The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by social study, 2021-06-05 13:29:16

รายงานวิจัยการบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศเพื่อการบริหาร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น อาจารย์พันทิวา ทับภูมี

ผู้วิจัย : อาจารย์พันทิวา ทับภูมี

43

การจัดการในสมยั เดมิ หรือยุคคลาสสิก

แนวความคิดทางการ แนวความคิดการจดั แนวความคิดทางการ
จดั การเชงิ วิทยาศาสตร์ องค์การระบบราชการ จดั การเชิงกระบวนการ

ภาพท่ี 8 แนวความคดิ ทางการจดั การในสมัยดั่งเดมิ หรือยุคคลาสสิก
ทมี่ า (Schermerhorn, 2002, p.93)

จากภาพที่ 8 แสดงแนวความคิดทางการจัดการในสมัยเดิมหรือยุคคลาสสิก ประกอบด้วย
แนวความคิดทางการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ ได้แก่ ผลงานของเฟรดเดอริด วินสโลว์ เทย์เลอร์ ผลงาน
ของแฟรงค์ บังเกอร์ กิลเบรธ และลิลเล่ียน มอลเลอร์ กิลเบรธ และผลงานของเฮนร่ี แอล แกนทท์
แนวความคิดการจัดองค์การระบบราชการที่สาคัญ คือ ผลงานของแมกซ์ เวเบอร์ และแนวความคิด
ทางการจัดการเชิงกระบวนการ ได้แก่ ผลงานของเฮนร่ี ฟาโยล์ ผลงานของกูลิค ลูเธอร์และเออร์วิค
และผลงานของเจมส์ ดี. มนู ี่ และอลั เลน ซ.ี เรลล่ี เป็นต้น

นักทฤษฎีทางการจัดการในสมัยเดิมพยายามที่จะเสนอหลักการต่างๆ เก่ียวกับการจัดการ
อย่างเป็นสากลที่สามารถจะนามาใช้ได้กับทุกประเภทในทุกสถานการณ์ ซึ่งหลักการต่างๆ ที่ได้มี การ
คิดค้นขึ้นมานี้จะมีพื้นฐานมาจากความเห็นพ้องกันของนักทฤษฎีในยุคน้ีว่าในการปฏิบัติงานใดให้เกิด
ประสิทธิภาพได้นั้น จาเป็นจะต้องให้ความสาคัญกับเร่ืองของการประสานงานและการแบ่งงานกันทา
ตามความชานาญ สาหรับแนวความคิดทางการจัดการในสมัยเดิมโดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวความคิด
ทางการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่จะเป็นแนวความคิดที่เกิดจากผลงานของเทย์เลอร์ ซึ่ง
แนวความคดิ ดงั กลา่ วนมี้ ุง่ เน้นท่จี ะเพิ่มผลผลติ โดยการใชป้ ระโยชนจ์ ากแรงงานท่ีมีอย่เู ปน็ สาคัญ ดงั นี้

1. แนวความคิดทางการจดั การเชงิ วทิ ยาศาสตร์
1.1 ผลงานของเฟรดเดอริด วินสโลว์ เทย์เลอร์ (Frederick Winslow Taylor) เทย์

เลอร์ ได้เสนอแนวความคิดทางการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์วา่ ในการทางานใดก็ตาม จะสามารถใช้หลัก
ทางวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยในการศึกษาและวิเคราะห์เก่ียวกับงานนั้นๆ ได้เสมอ โดยเฉพาะคนงานใน
ระดับปฏิบัติ ซึ่งเทย์เลอร์เชื่อว่าการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากสถานท่ีปฏิบัติการ จะทาให้สามารถค้นหา
วิธีการทางานท่ีดีท่ีสุดเพียงวิธีเดียวได้ นอกจากน้ีเทย์เลอร์ยังได้เสนอหลักการสาคัญ ท่ีจะทาให้การ
ปฏบิ ัติงานเกิดประสทิ ธิภาพ62 ดังน้ี

62 Schermerhorn, John R., Hunt, James G., & Osborn, Richard N, Organizational Behavior,
7th ed, (New York: John Wiley & Son, 2000), P.155.

44

1.1.1 การหาวิธีที่ดีท่ีสุด ผู้บริหารจะต้องทาการสังเกตและรวบรวมข้อมูล
อย่างเป็นระบบ ท่ีเกย่ี วกับการปฏิบัติงานเพ่ือค้นหาวิธีท่ีดีท่ีสุดในการปฏิบัติงาน (One best way) ของ
แตล่ ะงานซง่ึ จะตอ้ งรวมถงึ กฎของการเคลอ่ื นไหว การกาหนดมาตรฐานของงานและสภาวะแวดล้อมของ
งานทเี่ หมาะสม

1.1.2 การคัดเลือกคนงาน โดยใช้หลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ในการคัดเลือก
ซึง่ เปน็ การค้นหาขีดความสามารถและข้อจากัดของคนงานแต่ละคน หลังจากน้ันจึงให้โอกาสคนงานแต่
ละคน ได้รับการฝกึ อบรมและพัฒนาเพ่อื ความก้าวหน้าในงานตามความจาเป็นต่อไป

1.1.3 การจัดให้มีการจูงใจด้านการเงิน เพ่ือให้เกิดผลงานท่ีดีท่ีสุดและทาให้
คนงาน ปฏิบัติงานตามคาสั่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังน้ันจึงทาได้โดยให้คนงานแต่ละคนได้รับ
ค่าตอบแทนเปน็ สดั สว่ นโดยตรงกับผลผลิตแทนการจ่ายคา่ แรงตามช่ัวโมงทท่ี างาน

1.1.4 การแยกฝ่ายบริหารออกจากฝ่ายปฏิบัติ เป็นการแบ่งหน้าที่ระหว่าง
ฝ่ายจัดการ และฝ่ายปฏบิ ัติออกจากกันโดยใหฝ้ า่ ยจัดการเป็นผรู้ บั ผดิ ชอบงานดา้ นการวางแผน สว่ นฝา่ ย
ปฏิบัติให้รับผิดชอบในส่วนที่เก่ียวกบั การปฏิบัติงาน โดยคนงานจะรับคาสัง่ จากหัวหน้าคนงานท่ีมีความ
ชานาญเฉพาะดา้ นของแตล่ ะคนปฏิบัติ เพื่อให้เกดิ ผลงานทม่ี คี ณุ ภาพและประสิทธภิ าพ

1.2 ผลงานของแฟรงค์ บังเกอร์ กิลเบรธ และลิลเลี่ยน มอลเลอร์ กิลเบรธ (The
Gilbreth) แฟรงค์และลิลเลี่ยน ผู้สนับสนุนแนวความคิดของการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ จากผล
การศึกษาการเคลื่อนไหวของคนงานเรียงอิฐ พบว่า จานวนคร้ังในการเคล่ือนไหวร่างกายของคนงาน ที่
ลดลงและสามารถเพิ่มผลผลิตได้ถึงสามเท่าจากการจัดทาภาพยนตร์ท่ีแสดงการเคล่ือนไหวของร่างกาย
ในการทางานเพ่ือชี้ให้เห็นถึงการเคล่ือนไหวที่ไม่มีผลต่อการเพ่ิมผลผลิต ต่อมาผลงานดงั กล่าวถูกใช้เป็น
รากฐานในด้านของการออกแบบงาน การกาหนดมาตรฐานของงานและค่าแรง ซึ่งเทคนิคดังกล่าวนี้
เรียกว่า การศึกษาการเคล่ือนไหว (Motion study) แฟรงค์และลิลเล่ียนได้ให้แนวคิดว่าผู้บริหารและผู้
ปฏิบัติ จะต้องค้นหาและปรึกษากันเพื่อหาวิธีการปฏิบัติที่ดีที่สุดจากหลายแนวทาง โดยพยายามลดกฎ
ขอ้ บังคับ ที่เป็นอุปสรรคต่อการเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานให้สูงข้ึนอย่างต่อเน่ือง และสูงขึน้ อยู่
ตลอดเวลา รวมทง้ั เพ่ือให้เกดิ ความเหมาะสมกับมาตรฐานของวธิ ปี ฏบิ ตั ิใหม้ ากท่สี ุด

1.3 ผลงานของเฮนร่ี แอล แกนท์ (Henri L. Gantt) แกนท์ ผู้เสนอแนวความคิด
ทางการจัดการที่เน้นการปฏิบัติและได้เสนอหลักการท่ีให้ความสาคัญกับผู้ปฏิบัติมากท่ีสุด โดยการ
กระตุ้นและการมอบภาระหน้าที่ท่ีน่าสนใจและงานมีความท้าทายเพ่ือให้ผู้ปฏิบัติได้ปฏิบัติอย่างถูกต้อง
แต่ต้องมีการคานึงถึงการฝึกอบรมให้ผู้ปฏิบัติได้มีความรู้และความชานาญท่ีสูงขึ้นเพ่ือมีทัศนคติที่ดีต่อ
งานจนเพ่ิมผลผลิตให้สูงข้นึ ได้ การมอบอานาจหน้าที่ความรับผดิ ชอบต้องชัดเจนเป็นธรรมและมสี ัดสว่ น
ที่สมดุลกัน รวมท้ังแผนงานและการควบคุม ซึ่งผู้บริหารจะต้องจัดแบ่งงานให้เกิดความเหมาะสมและ
งา่ ยต่อการปฏิบัติด้วย

2. แนวความคดิ การจัดองค์การระบบราชการ
แมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber) เป็นนักสังคมวิทยา ได้เสนอลักษณะขององค์การที่

เรียกว่า องค์การระบบราชการอนั เปน็ องค์การในอุดมคติ เขาเชือ่ ว่าจะใช้องค์การระบบราชการได้อย่าง
มี ประสิทธิภาพท่ีสุดโดยเฉพาะกับองค์การท่ีมีโครงสร้างขนาดใหญ่มีความซับซ้อนของงานมาก และใช้
ในการจัดการโครงสร้างองค์การและลดปัญหาของการจัดองค์การ สาหรับลักษณะขององค์การระบบ
ราชการของเวเบอร์ คือ จะต้องมีการกาหนดหน้าที่แยกจากกันตามความชานาญเฉพาะด้าน จากการ

45

กาหนดขอบเขตของงานแต่ละงานอย่างชัดเจน และกาหนดอานาจหน้าที่เพื่อที่จะปฏิบัติงานน้ันได้
นอกจากนี้จะต้องมีการกาหนดสายการบังคับบัญชาอย่างเป็นทางการในสายการบังคับบัญชาท่ีกาหนด
ขึ้นในองค์การนี้ จะแสดงการแบ่งระบบของอานาจหน้าที่ลดหลั่นจากเบื้องบนลงสู่เบ้ืองล่าง ผู้ที่อยู่ใน
ตาแหน่งทีต่ า่ กวา่ จะรับคาสั่งจากผูท้ อ่ี ยู่ในตาแหน่งทีส่ ูงกว่า

นอกจากนี้ผู้ที่อยู่ในตาแหน่งหน้าที่ต่างๆ จะถือเป็นพนักงานคนหน่ึงเท่านั้น กล่าวคือ
สิทธิในการที่จะบริหารหรือปฏิบัติหน้าที่จะถูกกาหนดให้ไว้กับตาแหน่ง ไม่ใช่กาหนดให้กับผู้ท่ีอยู่ใน
ตาแหนง่ ดงั นนั้ จงึ ไม่มีทางท่ีบุคคลอ่ืนใดแม้กระท่งั ผูท้ ่ีเป็นเจ้าของจะได้รับสิทธิท่ีกาหนดไวต้ าม ตาแหน่ง
ยกเว้นแต่จะเป็นผู้ปฎิบัติหน้าท่ีอยู่ในตาแหน่งน้ัน ส่วนในการคัดเลือกบุคคลเข้าทางานและการเลื่อน
ตาแหน่งให้สูงขึ้นจะต้องอาศัยหลักของความสามารถที่วัดได้จากผลการปฏิบัติงานในตาแหน่งหรือจาก
การได้รับการฝึกอบรม และการให้ออกจากงานต้องมีหลักเกณฑ์ องค์การระบบราชการ จะต้องมีการ
กาหนดกฎและระเบียบตา่ งๆ อย่างชัดเจน กฎและระเบยี บนจ้ี ะทาให้เกิดการปฏิบัติงานท่ีเป็นมาตรฐาน
เกดิ ความเปน็ ธรรมและทาใหส้ มาชิกอยใู่ นระเบียบวินยั องค์การ
ลักษณ ะขององค์การระบบราชการในด้านการปฏิบัติงานน้ัน จะต้องไม่อิงความสัมพั นธ์ส่วนบุคคล
กล่าวคือ ไมว่ ่าจะเป็นการติดตอ่ ระหว่างผูบ้ ังคับบัญชากบั ผู้ใต้บังคับบญั ชา หรอื การติดตอ่ ระหว่างเพ่ือใน
หนว่ ยงานอื่นๆ ในองค์การเดียวกัน หรอื การติดต่อระหวา่ งองคก์ ารกับลูกค้าจะต้องเปน็ การติดตอ่ ท่ีไม่อิง
ความสัมพันธส์ ่วนบคุ คล โดยจะตอ้ งทาการติดตอ่ อย่างเป็น

3. แนวความคิดทางการจดั การเชิงกระบวนการ
3.1 ผลงานของเฮนร่ี ฟาโยล์ (Henri Fayol) ฟาโยล์ เป็นผทู้ ไี่ ดร้ ับการยอมรับวา่ เป็นผู้

ท่ีมีความสาคัญมากที่สุดในด้านการจัดการ โดยท่านให้ความสนใจศึกษาถึงหน้าท่ีของผู้บริหาร ซึ่ง
ผู้บริหารจะต้องปฏิบัติหน้าท่ีเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ และประสิทธิผลของทั้งผู้ร่วมงานและผลจากการ
ปฏิบัติงานอีกด้วย ผลงานของฟาโยล์ได้รับการยอมรับว่าเป็นผลงานที่เข้ามาเสริมแนวความคิดของเทย์
เลอร์ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น กล่าวคือ แนวความคิดของเทย์เลอร์ จะให้ความสาคัญกับการจัดการในระดับ
ปฏบิ ัติการ ส่วนฟาโยลจ์ ะเน้นการจดั การในระดับสูง

ฟาโยล์ได้ให้แนวคิดในการจัดการที่เป็นประโยชน์ต่อการนาไปประยุกต์ใช้ในการ
จดั การ ได้แก่ การวางแผน เป็นการคาดการณ์ถึงเหตุการณ์ต่างๆ ท่ีมผี ลกระทบต่อการผลิตขององค์การ
จึงตอ้ ง มีการวางแนวทางการปฏิบัติไว้ล่วงหน้า เช่น การกาหนดผลผลิต ปริมาณ ต้นทนุ เวลา คุณภาพ
เป็นต้น การจัดองค์การเป็นการจัดโครงสร้างของงานและมีการกาหนดอานาจหน้าที่ความรับผิดชอบ
ให้แก่ผู้ปฏิบัติในแผนกต่างๆ เช่น แผนกจัดซ้ือ แผนกตรวจสอบผลผลิต เป็นต้น การบังคับบัญชาเป็น
การกาหนดหรือวางหลักเกณฑ์ในการบังคับบัญชา ได้แก่ นโยบาย กฎ ระเบียบ ให้ผู้ปฏิบัติได้ยึดถือ
เพ่ือให้การผลิตเป็นไปด้วยความราบร่ืน การประสานงานเป็นการกาหนดภาระหน้าที่แผนกต่างๆ ให้
เชอ่ื มโยง กับงานของทุกคนให้ประสานและเข้ากันได้ และการควบคุมเป็นกิจกรรมในการกากบั กจิ กรรม
การผลิตหรือให้บริการที่ทาให้เป็นไปตามแผนที่ได้กาหนดไว้ นอกจากหลักเกณฑ์ขา้ งต้นแล้ว ฟาโยล์ได้
ใหเ้ สนอแนวทางและหลักเกณฑ์ของการบริหารงานท่สี าคัญไว้ 14 ข้อ63 ดังนี้

63 Gatewood, Robert D., Taylor, Robert., & Ferrell, O.C, Management : Comprehension
analysis, and application, (New jersey: Richard D. Irwin, 1995), P.40-41.

46

3.1.1 อานาจหน้าที่และความรับผิดชอบ เป็นส่ิงท่ีแยกจากกันมิได้ ผู้ที่มี
อานาจหน้าที่นั้น จะต้องมีความรับผิดชอบต่อผลงานท่ีตนได้ออกคาส่ังไป และผู้ปฏิบัติท่ีรับผิดชอบใน
งานใดก็ตามจะตอ้ งมีอานาจและหนา้ ที่ในการปฏิบัตดิ ว้ ยเพอื่ ให้งานน้ันสาเร็จลลุ ่วงลงได้

3.1.2 หลักการท่ีมีผู้บังคับบัญชาเพียงคนเดียว ผู้ปฏิบัติงานกิจกรรมใดๆ ควร
ได้รับคาส่ังจากผู้บังคับบัญชาเพียงคนเดียวทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้เกิดความขัดแย้งระหว่างบุคคลากรใน
องค์การ

3.1.3 หลักของการมีจุดมุ่งหมายร่วมกัน คือ กิจกรรมของกลุ่มท่ีมีเป้าหมาย
เดยี วกนั ควร จะตอ้ งดาเนนิ ไปในทศิ ทางเดยี วกนั ตามหน้าท่ีทกี่ าหนดไว้

3.1.4 หลักการธารงไว้ซ่ึงสายงาน คือ สายการบงั คบั บญั ชาจากระดับสูงมายัง
ระดับลา่ ง ตามหลักการมีผู้บังคับบัญชาเพียงคนเดียวและช่วยให้เกิดระเบียบในการสง่ ต่อขอ้ มูลข่าวสาร
ระหวา่ งกัน

3.1.5 หลักการแบ่งงานกันทา คือ การแบ่งงานกันทาตามความถนัดทั้งนี้
เพื่อให้เป็นไปตามหลักของการใช้ประโยชน์จากแรงงานให้มีประสทิ ธิภาพสูงสดุ จนได้รับผลผลิตเพ่ิมขึ้น
เน่ืองจากการลดเวลาของการเรียนรู้งานใหน้ อ้ ยลงและเพม่ิ ทักษะของการทางานให้สูงข้นึ

3.1.6 หลักการเก่ียวกับระเบียบวินัย ระเบียบวินัยในการทางานนั้นเกิดจาก
การปฏิบัติตามข้อตกลง ท้ังนี้โดยมุ่งเน้นท่ีจะก่อให้เกิดความเคารพ เช่ือฟัง และทางานตามหน้าที่ด้วย
ความตั้งใจ

3.1.7 หลกั การถือประโยชน์สว่ นรวมเหนือกวา่ ประโยชน์ส่วนตัว ซง่ึ หลักการน้ี
ถอื ว่าสว่ นรวมย่อมสาคัญกว่าสว่ นบุคคลเพ่ือที่จะทาให้เกดิ ผลสาเร็จตามเปา้ หมายของกลุ่มนนั้

3.1.8 หลักการให้ประโยชน์ตอบแทนการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนด้วย
ความยตุ ิธรรม และใหเ้ กดิ ความพงึ พอใจแก่ทง้ั 2 ฝา่ ย คือ ฝา่ ยนายจ้างและลกู จ้างหรือบุคลากร

3.1.9 หลักการรวมอานาจไว้ส่วนกลาง ในการบริหารงานควรมีการรวม
อานาจไว้ที่ศูนย์กลาง และเม่ือความรับผิดชอบได้ถูกมอบหมายให้แก่ผู้บริหารแล้วอานาจหน้าท่ีจะต้อง
มอบหมายไปด้วย เพอ่ื ให้สามารถควบคุมงานตา่ งๆ ขององค์การไว้ได้อยา่ งเหมาะสม

3.1.10 หลักความมีระเบียบเรียบร้อย โดยถือว่าทุกคนในองค์การจะต้องมี
ระเบียบและ รู้ตาแหน่งหน้าท่ีความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในองค์การ รวมทั้งการกาหนดขอบเขตของ
งานทช่ี ัดเจน

3.1.11 หลักความเสมอภาค ผู้บริหารต้องยึดหลักความยุติธรรมเป็นหลัก
ปฏบิ ตั ติ อ่ ผู้ใตบ้ ังคับบญั ชาทกุ คนท้ังน้เี พอ่ื ใหไ้ ด้มาซ่งึ ความจงรกั ภักดแี ละการอุทศิ ตนเพื่องาน

3.1.12 หลักมีความม่ันคงในงาน ผู้บริหารและคนงานต่างต้องใช้เวลาระยะ
หนง่ึ เพื่อการเรียนรงู้ านการใหค้ นงานออกจากงานกลางคันยอ่ มเปน็ การส้ินเปลือง ดังนัน้ ผบู้ ริหารที่ดคี วร
ให้เวลาในการเรยี นรู้งานเพือ่ ลดปญั หาด้านการปรบั ตวั ของคนงาน

3.1.13 หลักความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ โดยผู้บังคับบัญชาควรท่ีจะเปิดโอกาส
ให้ผู้ปฏิบัติได้ใช้ความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ของตนเองในการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาขององค์การจะทา
ให้ผ้ปู ฏบิ ัติรสู้ ึกถงึ ความมสี ่วนร่วม ความเปน็ เจ้าขององค์การและรบั ผิดชอบต่อผลงาน เปน็ ต้น

47

3.1.14 หลักความสามัคคี ซ่ึงเน้นถึงการทางานที่เป็นกลุ่มและความเป็น
อันหนึ่งอันเดียวกัน จะมีส่วนช่วยส่งเสริมให้การทางานเป็นคณะทางาน และสมาชิกทุกคนสามารถ
ปฏิบตั งิ านสเู่ ป้าหมายร่วมกนั ใหไ้ ด้อย่างมปี ระสิทธิภาพ

จากหลักการของฟาโยล์ พบวา่ หลักการส่วนใหญ่จะมงุ่ เน้นให้ความสาคญั เกยี่ วกบั การ
รวมอานาจและการแบ่งหน้าท่ีตามความชานาญเฉพาะด้านรวมท้ังการปฏบิ ัติงานโดยใช้ที่ดีท่ีสุด ซ่ึงเป็น
หลักการและแนวทางที่มีความเหมาะสมกับสถานการณ์จากในอดตี จนถงึ ปจั จุบนั

3.2 ผลงานของกูลิค ลูเธอร์และเออร์วิค (Gulick, Luther., & Lyndall F. Urwick) กู
ลิคและเออร์วิคได้มุ่งเน้นศึกษาเก่ียวกับโครงสร้างขององค์การ โดยทั้งสองท่านได้เสนอหลักการในการ
จัดโครงสร้างขององค์การท่ีผู้บริหารควรนามาใช้ คือ หลักการเก่ียวกับการแบ่งงานกันทา การ
ประสานงาน การจัดแผนกงานโดยอาศัยเกณฑ์การแบ่งงานตามวัตถุประสงค์ กระบวนการ บุคลากร
สถานท่ี และหลักการเกี่ยวกับหน่วยช่วยอานวยการ กล่าวคือ ในผลงานของกูลิคและเออร์วิค ได้มีการ
แจกแจงเก่ียวกบั ข้อดแี ละข้อเสยี ท่ีเกย่ี วกบั การใชว้ ิธีการแบ่งงาน และวิธกี ารประสานงานในองคก์ ารตาม
วิธีต่างๆ การใช้หน่วยงานหลักและหน่วยช่วยอานวยการให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งการจัดช่วงการ
บังคับบญั ชาทีด่ ที ่ีสุดและประโยชน์ของการแบ่งงานตามความชานาญเฉพาะดา้ นอีกดว้ ย

ส่วนในด้านการจัดโครงสร้างขององค์การเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เป็นการประกันถึงการ
มีประสิทธิภาพในการดาเนินงานขององค์การ ดังน้ันจึงจะต้องมีการพัฒนากลไกที่จะเข้ามาช่วยให้
บุคลากรเกิดความตอ้ งการ และเกิดความต้งั ใจท่จี ะทางานร่วมกนั ในการบรรลวุ ัตถุประสงค์ของ องค์การ
และเสนอแนะว่าควรจะต้องมีการให้ความสาคัญกับหน้าที่การบริหารงานบุคคล เช่น การคัดเลือก
พนักงานท่ีมีความรู้ความสามารถ การทาให้บุคลากรมีความรู้สึกว่างานนั้นเป็นอาชีพอย่างหนึ่ง ซ่ึง
สามารถทจ่ี ะกา้ วหน้าต่อไปได้ และการทาใหพ้ นกั งานปฏิบัตงิ านอย่างเต็มใจ เป็นต้น

3.3 ผลงานของเจมส์ ดี. มูนี่ และอัลเลน ซี. เรลล่ี (James D. Mooney., & Alan C.
Rieley) มูน่ีและเรลล่ี ได้ให้ความสาคัญเก่ียวกับโครงสร้างองค์การและหลักการของการจัดองค์การ
นอกจากนี้ในดา้ นการจูงใจคนให้ปฏิบัติตามวตั ถุประสงค์ขององค์การนั้นทั้งมูนี่และเรลลี่ กล่าวว่า ความ
ม่ันคงขององค์การน้ันจะเกิดข้ึนได้จากการท่ีทุกคนในองค์การมีความมั่นคงและอยู่ในองค์การ ซึ่งมี
โครงสร้างท่มี ่ันคง ซึ่งทา่ นทงั้ สองให้ข้อเสนอ ดงั น้ี

3.3.1 หลักการเก่ียวกับการประสานงาน การประสานงานเป็นส่ิงจาเป็นใน
การรวม ความพยายามของบุคลากรในองค์การเพ่ือบรรลุเป้าหมายขององค์การไม่ว่าองค์การน้ันจะ
ประกอบด้วย บุคลากร 2 คนหรือมากกว่ากต็ าม

3.3.2 หลักการเกี่ยวกับสายการบังคับบัญชา สายการบังคับบัญชาที่เป็น
ทางการเป็น สิ่งจาเป็นในโครงสร้างขององค์การ ในสายการบังคับบัญชาน้ีจะมีการแบ่งอานาจหน้าท่ี
ความรบั ผดิ ชอบ ลดหล่ันกนั ลงมาจากเบือ้ งบนซงึ่ มอี านาจหนา้ ทม่ี ากที่สุดจนถงึ ระดับลา่ ง

3.3.3 การแบ่งแยกหน้าที่เฉพาะด้านจากกัน ในองค์การใดก็ตามจะตอ้ งมีการ
แบง่ แยกหน้าท่ีเฉพาะดา้ นแยกจากกันเพ่ือให้สามารถปฏบิ ัตหิ นา้ ทไ่ี ด้ตามความถนดั

จากแนวความคิดทางการจัดการสมัยเดิม อาจกล่าวได้ว่า แนวความคิดหรือ
ทฤษฎี ทางด้านการจัดการในองค์การสมัยดังกล่าวน้ี จะมุ่งเน้นการให้ความสนใจส่วนใหญ่ในด้านของ
โครงสรา้ งองค์การ ได้แก่ การแบ่งงานกันทา การกาหนดสายการบงั คับบัญชา การกาหนดอานาจ หนา้ ท่ี
และความรับผิดชอบ การกาหนดมาตรฐานของงาน และการกาหนดกฎและระเบียบวิธีปฏิบัติงานที่

48

ชัดเจน ส่วนแนวความคิดเก่ียวกับการปฏิบัติงานของคนในองค์การถูกมองในด้านลบมากกว่าทางบวก
เช่น มนุษย์ถูกมองว่าเป็นคนเกียจคร้านและไม่สนใจทางาน ดังนั้นผู้บริหารจึงต้องมีการกาหนด
โครงสรา้ งองค์การขนึ้ มาเพื่อสามารถทาการควบคุมบคุ ลากรได้อย่างใกล้ชิด จากการกาหนดให้มกี ฎและ
ระเบียบวิธีปฏิบัติด้านต่างๆ ซ่ึงในการควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ ซ่ึงถ้าไม่ดาเนินการแล้วพฤติกรรม
ของมนุษย์ในการปฏิบัติงานจะไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ขององค์การ นอกจากน้ีมนุษย์ยังเปรียบได้
กับมนุษย์เศรษฐศาสตร์ที่จะมุ่งให้ความสาคัญ และให้ความสนใจเฉพาะฐานะทางเศรษฐกิจของตนเอง
เพ่อื ใหเ้ กิดความเป็นอย่ทู ีด่ ขี ้ึนกวา่ ปัจจบุ นั ดงั นั้นการท่จี ะจงู ใจใหค้ นงานหรือบคุ ลากรทางานไดอ้ ย่างเต็ม
ความสามารถและมปี ระสิทธิภาพขึ้นมานั้น ผู้บริหารจึงต้องใชส้ ิ่งจูงใจท่มี ีความเหมาะสมกับสถานการณ์
และความต้องการ เช่น ตัวเงินหรือตาแหนง่ งานท่สี ูงข้นึ เป็นสิง่ จูงใจ

จากแนวความคิดทางการจัดการในสมัยเดิมหรือยุคคลาสสกิ จึงมีการกาหนด
หลักการที่มีความเก่ียวข้องและความสัมพันธ์กบั การประสานงาน ตลอดจนการแบ่งงานกันทาตามความ
ชานาญเฉพาะด้าน ซึ่งหลักการต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นนี้ยังเป็นที่ยอมรับและนามาใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
หลักการทีส่ าคญั 64 ดังนี้

1. หลักสกาลาร์ หรือสายการบังคับบัญชาเป็นการกาหนดอานาจหน้าท่ีและความรับผิดชอบไว้
อย่างชัดเจนและมีการแบ่งระดับของสายการบังคับบัญชาลดหล่ันกันลงมาจากบนสู่ล่าง ผู้ท่ีอยู่ใน
ตาแหน่งที่สงู กวา่ จะมีอานาจหนา้ ที่และความรับผดิ ชอบมากกว่าผอู้ ยู่ในตาแหนง่ ท่ตี ่ากวา่

2. หลักเอกภาพในการบังคับบัญชา หลักการน้ีกล่าวว่าในการปฏิบัติหน้าท่ีหนึ่งหน้าท่ีใดนั้น
ผ้ใู ต้บังคับบัญชาไม่ควรจะไดร้ ับคาส่ังจากผู้บังคับบัญชา 2 คนในเวลาเดียวกันเพื่อหลีกเลี่ยง การสั่งการ
หรือการปฏิบตั ิงานท่ซี ้าซอ้ น

3. หลักช่วงการบังคับบัญชา หลักการน้ีกล่าวว่าผู้บังคับบัญชาคนหน่ึงจะสามารถบังคับบัญชา
ได้อย่างมีประสิทธิภาพควรจะมีผู้ใต้บังคับบัญชาจานวนจากดั เนอื่ งจากเวลา และขอบเขตความสามารถ
ในการควบคมุ ดแู ลของผบู้ งั คับบัญชามอี ยู่อย่างจากัดนนั่ เอง

4. หลักการเน้นท่ีจุดสาคัญ หลักการนี้กล่าวว่าผู้บริหารจะมีเวลาและสมรรถภาพส่วนบุคคล
อย่างจากัดจึงควรละเว้นจากปัญหาการตัดสินใจในปัญหาประจาวันแต่ควรเน้นตัดสินใจเฉพาะปัญหาที่
สาคญั ๆ โดยปลอ่ ยให้การแก้ปัญหาประจาวันเปน็ หนา้ ทขี่ องผบู้ ริหารระดับลา่ งแทน

5. หลักการจัดแบ่งแผนกงาน หลักการนี้กล่าวว่ากิจกรรมท่ีจะต้องดาเนินการให้บรรลุ
วัตถุประสงค์ขององค์การ ดังน้ันกิจกรรมจึงควรได้รับการรวมกลุ่มเข้าไว้ด้วยกันเรียกว่าแผนกงาน เพื่อ
การปฏบิ ตั แิ ละการประสานงานจนเกิดประสิทธภิ าพ

6. หลักการเก่ียวกับหน่วยงานหลักและหน่วยอานวยการ หลักการนี้กล่าวว่าโครงสร้างของ
องค์การควรจัดให้มี 2 หน่วยงานคือหน่วยงานหลักที่จะต้องรับผิดชอบโดยตรงต่อวัตถุประสงค์ของ
องค์การ และหนว่ ยงานอานวยการซ่ึงทาหนา้ ท่ใี นการให้คาปรกึ ษาแนะนาต่อหน่วยงานหลกั

64 อ้างแลว้ , สโุ ขทยั ธรรมาธิราช, มหาวิทยาลยั , องคก์ ารและการจัดการ, พิมพ์ครั้งท่ี 6, (นนทบุรี :
มหาวทิ ยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธิราช, 2548), หนา้ 48-49.

49

7. หลกั การเก่ียวกับศูนย์กาไร หลักการนี้กล่าววา่ ในโครงสรา้ งองค์การควรให้แต่ละหน่วยงานมี
นโยบาย วัตถุประสงค์ กลยุทธ์ และบุคลากรเป็นของตนเองรวมทั้งมีความรับผิดชอบต่อผลกาไรและ
ขาดทุนด้วย จะทาใหห้ น่วยงานเกิดความร้สู ึกในการแข่งขันและทาใหผ้ ลกาไรขององค์การดีขึน้

ในยุคสมัยเดิมการมองมนุษย์ในเชิงลบ เช่น มนุษย์เป็นคนเกียจคร้านไม่รักความก้าวหน้า การ
ตดั สินใจไม่มีประสิทธิภาพ ขาดความซ่ือสัตย์ ปฏิบัติงานตามคาสั่งและต้องมีการจูงใจด้วยเงินเท่าน้ันจึง
จะช่วยให้องค์การสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้ ซึ่งแนวคิดต่างๆ ข้างต้นนี้ไม่สามารถนามาใช้กับการ
จัดการในปัจจุบันได้ทั้งหมด เนื่องจากมนุษย์มีการเรียนรู้ตลอดเวลามีการศึกษาท่ีสูงขึ้น เทคโนโลยีมี
ความทันสมัยกว่าในอดีต นอกจากน้ียังมีตัวแปรด้านสภาวะแวดล้อมทางวัฒนธรรม สังคม การเมือง
เศรษฐกิจเข้ามาเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมมนุษย์จะเป็นผลทาให้เกิดแนวคิดทางการจัดการในยุคต่อมาท่ีมี
ความทันสมัยและมองปัญหาตา่ งๆ ที่สอดคล้องกับสภาวะแวดล้อมท่ีองคก์ ารไดเ้ ผชญิ อยู่

อย่างไรก็ตามแนวทางการจัดการสมัยเดิมก็มีส่วนช่วยในการนาเสนอแนวคิดที่ผู้บรหิ าร ควรให้
ความสาคัญในการออกแบบโครงสร้างองค์การ และการกาหนดแนวทางการจัดการในสมัยต่อมา ได้แก่
วัตถุประสงค์ขององค์การไม่ควรมีการเปล่ียนแปลง รวมทั้งงานจะมีลกั ษณะเป็นงานประจาและองค์การ
เป็นระบบปิด นั่นคือวัตถุประสงค์ขององค์การจะไม่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะแวดล้อม ดังน้ันหาก
ผู้บริหารต้องการท่ีจะบรรลุผลวัตถุประสงค์จะมีเพียงส่ิงที่จะต้องทาการจัดโครงสร้างองค์การเพียง
เพ่ือที่จะประสานงานให้ราบร่ืนเท่าน้ัน จัดให้มีการประสานงานอย่างเป็นทางการ การออกคาส่ัง ลงไป
ตามสายการบังคบั บญั ชา การควบคมุ ให้บคุ ลากรปฏิบตั ิหนา้ ท่ี เป็นตน้

จากแนวความคิดทางการจดั การสมยั ด่ังเดมิ ได้มุ่งเน้นการศึกษาเกย่ี วกบั โครงสรา้ งองค์การ และ
การออกแบบงานเพ่ือให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด คนงานถูกมองว่าไม่แตกต่างจากเครื่องจักร ผู้บริหาร
ตอ้ งการบรรลุวัตถุประสงค์สามารถได้โดยการให้สิ่งจูงใจด้วยการเงนิ ทาใหน้ ักทฤษฎีสมัยดั่งเดิมไม่ได้ให้
ความสาคัญกับสภาวะแวดล้อมท่ีมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา นอกจากนี้พฤติกรรมของมนุษย์เองก็มี
ความสลับซับซ้อนและยากท่ีจะควบคุมได้ ดังน้ันในยุคต่อมาจึงมีนักทฤษฎีได้ให้ความสนใจและศึกษา
เก่ียวกับพฤติกรรมศาสตร์ ในยุคน้ีได้มุ่งการศึกษาในปัญหาด้านการจูงใจ การทาให้คนงานยินยอม
ปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายให้สาเร็จ การควบคุม เป็นต้น ส่วนปัจจัยด้านโครงสร้างองค์การได้ถูกให้
ความสาคญั รองลงมา นอกจากนีภ้ าวะท่ีองค์การไม่สามารถใช้ประโยชน์ จากเครื่องจักรได้เต็มกาลังการ
ผลิตเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่าทาให้องค์การต้องหันไปผลิตสินค้าชนิดอ่ืน เพ่ิมขึ้น ซึ่งเมื่อประกอบกับ
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในสมัยนั้นทาให้ลักษณะของงานตา่ งจากสมัยยคุ เดิมมาก โดยลักษณะงาน
สมัยใหม่น้ีต้องการความคิดสร้างสรรค์ในส่วนของบุคลากรมากข้ึน ด้วยเหตุน้ีจึงมีนักทฤษฏีองค์การหัน
มาให้ความสนใจทาการศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมกันมาจนกลายเป็น แนวความคิดเชิงพฤติกรรมศาสตร์
ในเวลาต่อมา

การศึกษาพฤติกรรมองค์การจะมีส่วนช่วยในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในองค์การ ซึ่งทาได้
หลายมิติ เช่น ศึกษาในมิติโครงสร้างองค์การ พฤติกรรมองค์การ วัฒนธรรมองค์การ ส่ิงแวดล้อม
องคก์ ารหรือศึกษาในมิติเวลาไลม่ าต้ังแต่ยุคคลาสสิกไปจนถึงยุคสมัยใหม่ แต่ในวันน้ีจะศึกษาองค์การใน
มิติของพฤติกรรมองค์การ เป็นแนวทางการศึกษาท่ีได้รับความสนใจมาต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน กลุ่ม
มนุษย์สัมพันธ์สมมติฐานเบื้องต้นเช่ือว่าพฤติกรรมท่ีเหมือนกันไม่ได้มาจากความต้องกา รอย่างเดียวกัน
บางครั้งพฤติกรรมท่ีเหมือนกันอาจมาจากความต้องการที่แตกต่างกันก็ได้ พฤติกรรมที่แตกต่างกัน

50

บางครั้งสะท้อนถึงความต้องการอย่างเดียวกัน หมายความว่าการจะพิจารณาถึงพฤติกรรมมนุษย์ใน
องคก์ ารโดยดูที่การกระทาเพียงอย่างเดียวนั้น ไม่อาจสะทอ้ นถึงความต้องการที่

เชอร์เมอร์ฮอร์น65 กล่าวว่า ในช่วงระหว่าง ค.ศ. 1920 เป็นยุคท่ีการจัดการได้มุ่งเน้นถึงการให้
ความสาคัญของทรัพยากรมนุษย์ที่ปฏิบัติหนา้ ท่ีในโรงงาน ซ่ึงเป็นการมุ่งถึงแนวความคิดทางการจัดการ
แนวพฤติกรรมศาสตร์ โดยการศึกษาที่มีช่ือเสียง คือ การศึกษาท่ีฮอร์ทอน (Hawthorne Study)
นอกจากน้ียังมีการเสนอถึงทฤษฎีความต้องการของมนุษย์ของมาสโลว์ (Maslow’s theory) ทฤษฎีขอ
งดรักกลาส แมกเกรเกอร์ (Douglas McGregor) คริส อาร์กีริส (Chris Argyris) เป็นต้น แนวความคิด
ทางการจัดการแนวพฤตกิ รรมศาสตร์เปน็ การมุ่งถึงการใหค้ วามสนใจเก่ยี วกับบุคคลที่มีความต้องการทั้ง
ทางดา้ นสังคม และตนเองท่ีมุ่งทจ่ี ะสรา้ งความพึงพอใจท่ีไดม้ ีปฏิสมั พันธ์ทางสังคมกับผู้อน่ื มปี ฏิกิริยาต่อ
แรงกดดันของผู้รว่ มงาน เป็นตน้

สาหรบั แนวความคดิ ทางการจัดการเชงิ พฤตกิ รรมศาสตร์ มีแนวความคดิ หลกั ดงั นี้
1. แนวความคดิ ทางการจัดการเชิงมนุษยสัมพันธ์ ในประเทศสหรฐั อเมรกิ าระหว่าง ค.ศ. 1920
- 1930 ในช่วงเวลาดังกล่าวมีความเปล่ียนแปลงเกิดขึ้นอย่างมาก เช่น การอพยพของคนจานวนมาก
จากชนบทเข้าสู่ตัวเมือง มีการนาเครื่องจักรกลมาใช้ในโรงงานแทนแรงงานคนมากขึน้ มีการแบ่งงานกัน
ทาทั้งในระดับคนงานและระดับบริหาร มีการกาหนดมาตรฐานของงาน เป็นต้น ซ่ึงการเปลี่ยนแปลง
เหล่าน้ีทาให้เกิดความจาเป็นที่จะต้องมีการพ่ึงพาอาศัยกันและการประสานงานกันอย่างใกล้ชิด ทาให้
นักทฤษฎีในยุคน้ีเกดิ ความคิดเห็นขัดแยง้ กับหลักการของนักทฤษฎีสมัยเดิมท่ีมุ่งเน้นการทางานและการ
แสวงหาผลกาไรสูงสุด เพราะแนวคิด ดังกลา่ วจะนาไปสู่สภาวะของการแขง่ ขนั กันอยา่ งรุนแรงทาให้เกิด
ความขัดแย้งกัน และแนวคิดดังกล่าวไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและไม่สอดคล้อง
กับสภาวะแวดลอ้ มทเี่ ปลีย่ นไป

1.1 ผลงานของเอลตัน เมโย (Elton Mayo) การทดลองแห่งเมืองฮอร์ธอร์น เอลตัน
เมโย (Elton Mayo) เป็นผูท้ ี่มีความคิดเหน็ ท่ีขัดแย้งกับนักทฤษฎยี ุคด่ังเดมิ จากผลการทดลองแห่งเมือง
ฮอร์ธอร์น (Hawthorne Study) ที่โรงงานในบริษัทเวสเทิร์น อิเลคทริค (Western Electric) ระหว่าง
ค.ศ. 1927-1932 เป็นผลงานท่ีนาไปสู่แนวคิดใหม่ที่เรียกว่า แนวความคิดทางการจัดการเชิงมนุษย
สัมพันธ์ แนวความคิดเชิงมนุษยสัมพันธ์น้ันแตกต่างไปจากแนวความคิดของแนวเดิม คือ แม้จะมีการ
เน้นการจัดระเบียบความสัมพันธ์ระหว่างคนงานกับตาแหน่งต่างๆ ในองค์การเหมือนกับยุคด่ังเดิมก็
ตามแตไ่ ดใ้ หค้ วามสาคัญกบั คนมากกว่าดา้ นการจัดระเบียบความสัมพนั ธต์ าแหนง่

1.1.1 การศึกษาด้านทัศนคติ เป็นการศึกษาเก่ียวกับทัศนคติและพฤติกรรม
ของมนษุ ย์ทอี่ ยู่ภายใตข้ อ้ จากัดของโครงสร้างองค์การที่ใหค้ วามสนใจศกึ ษาตวั แปรที่มีผลกับต่อประพฤติ
กรรมของมนุษย์ จากน้นั จึงทาความเข้าใจเก่ียวกบั ตัวแปรเหลา่ นั้น ซ่ึงพบว่าพฤตกิ รรมของมนุษย์จะเกิด
มาจากภายในตัวของมนุษย์เองมากกว่าเกิดมาจากสภาวะแวดล้อมภายนอก ดังนั้นนักทฤษฎีมนุษย
สัมพันธ์จึงเห็นว่าวิธีการควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ให้ได้ผล จะต้องทาให้เกิดมาจากจิตใจมากกว่าการ
ใหร้ างวลั และการลงโทษทส่ี ามารถนามาใชค้ วบคมุ ได้เพยี งบางส่วนเท่านัน้

65 Schermerhorn, John R., Hunt, Management, 7th ed, (New York: John Wiley & Son, 2002),
P.97.

51

1.1.2 การเน้นภาวะผนู้ า นักทฤษฎียุคมนุษยสัมพันธ์เสนอว่าการที่จะจูงใจให้
มนุษย์ปฏิบัติงานอย่างเต็มความสามารถเพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ขององค์การได้นั้น ไม่ สามารถท่ี
จะใชว้ ิธีการควบคุมจากภายนอกได้ จึงได้มีการเสนอวิธีการตามหลักของจิตวิทยาสังคม ขึ้น ดังน้ันจึงได้
มีการมุ่งเน้นในด้านของรูปแบบภาวะผู้นาท่ีเป็นประชาธิปไตย การให้พนักงานมี ส่วนร่วมในการ
ตดั สินใจและการออกแบบงานเพื่อใหเ้ ปน็ ทีส่ นใจของผูป้ ฏบิ ตั งิ าน เป็นต้น

1.1.3 การหาวธิ ีการทางานทด่ี ีท่ีสดุ นักทฤษฎยี คุ มนษุ ยสัมพันธ์เสนอว่าในการ
ปฏิบัติงานนั้น จะมีวิธีการที่ดีท่ีสุดในการจัดโครงสร้างความสัมพันธ์ของงานและคนเสมอ แต่โครงสร้าง
นั้นจะต้องยึดหลักการความมีอิสระของมนุษย์และต้องยึดหลักการภายในตัวมนุษย์เองเป็นเครื่องมือใน
การจูงใจ ให้คนทางาน เพ่ือไม่ให้มนุษย์เกิดความขัดแย้งขึ้นในจิตใจและทางานได้อย่างเต็ม
ความสามารถ

จ า ก แ น ว ค ว า ม คิ ด เชิ ง ม นุ ษ ย สั ม พั น ธ์ ท่ี น า ม า ก ล่ า ว ข้ า ง ต้ น จ ะ เห็ น ได้ ว่ า
พฤตกิ รรมของ มนุษย์ทีแ่ สดงออกมาน้นั จะเกิดมาจากภายในตัวของมนุษย์เองมากกว่าเกิดมาจากสภาวะ
แวดล้อมภายนอก การควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ให้ปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นสามารถท่ีจะใช้
ตัวเงิน และหรือความก้าวหน้าในอาชีพมาใช้เป็นเคร่ืองมือได้ นอกจากนี้การท่ีจะจูงใจให้มนุษย์
ปฏิบัติงานอย่างเต็มความสามารถเพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์น้ันควรจะได้มีการมุ่งเน้นในด้านของ
รูปแบบภาวะผู้นาท่ีเป็นประชาธิปไตยให้พนักงานมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และจะต้องยึดหลักการ
ความมีอสิ ระของมนษุ ยเ์ ป็นเครอื่ งมือในการจงู ใจให้คนทางานอยา่ งเตม็ ความสามารถอีกด้วย

2. แนวความคดิ ทางการจดั การเชิงสงั คมศาสตร์
2.1 ผลงานของแมรี่ ปาร์คเกอร์ ฟอลเล็ต (Mary P. Follett) ผลงานฟอลเล็ตที่สาคัญ

คอื การนาเสนอหลกั การเกยี่ วกบั การประสานงาน ได้แก่ หลกั การประสานงานโดยตรงระหว่างผู้ทม่ี สี ่วน
เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบ หลักการประสานงานต้ังแต่ระยะเริ่มต้นของงานหลักการประสานงานใน
ลักษณะแลกเปล่ียนขอ้ มูลกันและกัน

3. แนวความคิดทางการจดั การเชิงพฤตกิ รรมศาสตร์
3.1 ผลงานของอับราฮาม เอช มาสโลว์ (Abraham H. Maslow) ทฤษฎีความ

ตอ้ งการของมาสโลว์ (Maslow’s theory) หรือทฤษฎีลาดับความต้องการ (The Hierarchy of Needs
Theory) เป็นทฤษฎีเก่ียวกับแรงจูงใจที่เชื่อว่าการตอบสนองความต้องการ จะสามารถจูงใจคนให้ต้ังใจ
ทางานหรืออาจกล่าวได้ว่า พฤติกรรมของบุคคลเป็นผลมาจากการได้รับการตอบสนองตามความ
ต้องการ น่ันคือ ใช้ความต้องการของบุคลากรเป็นเครื่องแรงจูงใจให้ขยันทางานสาหรับความต้องการ
ของมนษุ ย์มี 5 ขนั้ 66 ดงั นี้

3.1.1 ความต้องการทางด้านร่างกาย (Physiological needs) เป็นความ
ต้องการ ด้านพ้ืนฐานของมนุษย์ที่มนุษย์มีความต้องการได้รับการตอบสนองก่อนความต้องการอ่ืนๆ
ได้แก่ อาหาร ท่อี ยอู่ าศัย เคร่ืองนุ่งห่ม และยารักษาโรค

3.1.2 ความต้องการความม่ันคง (Safety needs) เป็นความต้องการเกี่ยวกับ
ความ มง่ั คงและปลอดภัยในชีวิตและทรัพยส์ ิน

66 อา้ งแล้ว, สมยศ นาวีการ, การบรหิ ารเพ่อื ความเลศิ , (กรงุ เทพฯ: บรรณกิจ, 2533), หนา้ 186-187.

52

3.1.3 ความต้องการความรักหรือการติดต่อสัมพันธ์ (Social needs) เป็น
ความ ต้องการจะมเี พอ่ื น ความต้องการเปน็ ท่ียอมรับของกลมุ่ เป็นตน้

3.1.4 ความต้องการการยกยอ่ งนับถือ (Esteem needs) เปน็ ความต้องการท่ี
เป็น ความรู้สึกภายใน เช่น ความตอ้ งการได้รบั การเลอื่ นตาแหน่งงาน เปน็ ต้น

3.1.5 ความต้องการสมหวังในชีวิต (Self-actualization needs) เป็นความ
ต้องการ บรรลุถึงสิ่งที่ตนเองสามารถจะเป็น คือ ความประสบความสาเร็จในชีวิตอย่างสมบูรณ์ ความ
ต้องการ ในขน้ั นี้จะเกิดข้นึ เมื่อความต้องการใน 4 ขัน้ แรกได้รบั การตอบสนองแล้วเทา่ น้นั

3.2 ผลงานของดรักกลาส แมกเกรเกอร์ (Douglas McGregor) ผลงานของแมกเกร
เกอร์ นักทฤษฏีเชิงพฤติกรรมศาสตร์ได้เสนอทฤษฏีที่สาคัญ คือ ทฤษฏี x และ ทฤษฏี y โดยเเมกเกร
เกอร์เห็นว่าองค์การในสมัยเดิมท่ีมุ่งเน้นการแบ่งงานกันทาตามความชานาญเฉพาะด้าน มีการรวม
อานาจในการตัดสินใจ การติดต่อส่ือสารจากเบื้องบนสู่เบ้ืองลา่ ง และเน้นกฎระเบียบในการกากับความ
ประพฤติของคนโดยเคร่งครัด ซ่ึงแมกเกรเกอร์ให้ช่ือกากับของนักทฤษฏีเดิมว่า ทฤษฏี x โดยกล่าวว่า
มนุษย์มีพฤตกิ รรมทเ่ี กียจคร้าน ไมช่ อบทางาน ขาดความ รับผดิ ชอบ ชอบทจ่ี ะใช้ให้วธิ ีการบงั คับควบคุม
และลงโทษและจูงใจให้ทางานได้ด้วยตัวเงิน ซ่ึง แมกเกรเกอร์นั้นไม่เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าวท้ังหมด
เก่ียวกับมนุษย์ว่าเป็นคนประเภททฤษฎี x เขาเห็นว่าองค์การในโครงสร้าง ซ่ึงอาศัยหลักการของแนว
เดิมจะไม่สามารถนามาแก้ปัญหาให้กับองค์การท่ีกาลังเผชิญกับสภาวะแวดล้อมท่ีเปลี่ยนไปจากเดิมได้
จงึ ควรตอ้ งมีการปรบั หลักการใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิง่ จะต้องเปล่ยี นแนวคิดเก่ยี วกบั ธรรมชาตขิ องมนุษย์
เป็นประเด็นสาคัญ ดังน้ัน แมกเกรเกอรไ์ ด้เสนอแนวคดิ ใหมแ่ ละให้ชื่อทฤษฏี y แมกเกรเกอร์เสนอให้ใช้
น้ีกล่าวว่ามนุษย์จึงถูกมองว่าเป็นคนดี มีความรับผิดชอบ รักที่จะทางานและถ้าจัดสภาวะแวดล้อมของ
งานได้เหมาะสมก็จะสามารถควบคมุ ตนเองได้ จากแนวคิดตามทฤษฏี y นี้ กล่าวได้ว่าสิ่งที่นามาใช้จงู ใจ
มนษุ ย์ให้ทางานได้ดีนนั้ ไม่ใช่ตัวเงินอยา่ งเดียว แต่ข้ึนอยู่กบั ความปรารถนาท่ีจะทางานให้ได้ผลดีและการ
ยอมรับของกลุ่มทีเ่ ป็นเพอ่ื นรว่ มงานดว้ ย

3.3 ผลงานของคริส อาร์กีริส (Chris Argyris) อาร์กีริส ได้เสนอทฤษฏีพัฒนาการด้าน
บุคลิกลักษณะของมนุษย์ข้ึน โดยกล่าวว่า ขณะที่มนุษย์เติบโตจากเด็กจนเป็นผู้ใหญ่นั้นจะมีพัฒนาการ
คือ ในช่วงวัยเด็กจะมีลักษณะชอบพึ่งพาผู้อื่น มีความสนใจสิ่งต่างๆ ในวงแคบ ไม่ชอบทากิจกรรมมาก
นักแต่ชอบจะเป็นผู้ตาม มีพฤติกรรมตามใจตัวเอง เป็นต้น และเม่ือเติบโตเป็นผู้ใหญ่จะมีลักษณะต่าง
จากช่วงวยั เด็ก ได้แก่ ชอบความเป็นอิสระ สนใจส่ิงต่างๆ ในวงกว้าง ชอบที่จะทากิจกรรมต่างๆ เพมิ่ ขึ้น
ชอบจะเป็นผูน้ า มีพฤติกรรม ที่ปรับเปลย่ี นได้ เป็นต้น ซึ่งอาร์กรี ิสเหน็ วา่ การใช้ระเบียบเปน็ เครอื่ งมือใน
การบังคับมนุษย์และใช้วิธีการ ควบคุมอย่างใกล้ชิดน้ัน จะเป็นการขัดขวางพัฒนาการของมนุษย์ที่จะ
พัฒนาไปเปน็ บุคลิกภาพทสี่ มบูรณ์ และจะเปน็ การสนบั สนุนให้พฤติกรรมท่ไี มส่ ามารถจะทางานได้อยา่ ง
อิสระด้วยตนเอง และขาดความคิดสรา้ งสรรค์โดยจะตอ้ งรอฟังคาส่งั จากผ้บู งั คับบญั ชาตลอดเวลาและไม่
มีโอกาสท่จี ะทา้ ทาย

พฤติกรรมมนุษย์เป็นส่ิงมีชีวิตท่ีมีความสลับซับซ้อนและมีอิทธิพลต่อผลสาเร็จของ
องค์การ นอกจากน้ีมนุษย์ยังมีความต้องการท่ีเป็นหน้าที่ของผู้บริหารท่ีจะต้องกาหนดโครงสร้างของ
องค์การ และภาระงานที่เอื้อต่อการสนองตอบความต้องการของมนุษย์ได้ผู้บริหารจะต้องตระหนักว่า
บุคคล คนเป็นปัจจัยที่สาคัญท่ีสุดในองค์การ ความเต็มใจของบุคคลากรท่ีจะให้ความร่วมมือเป็น
ส่งิ จาเป็น ความสาเร็จขององค์การ ดังน้ันจึงต้องพยายามชักจูงให้บุคคลหันมาร่วมแรงร่วมใจกันทางาน

53

คาส่ังจะได้รับการยอมรับนาไปปฏิบัติได้ก็ต่อเมื่อเป็นท่ีเข้าใจของผู้ปฏิบัติ มีความสอดคล้องกับ
วัตถุประสงค์ขององค์การสอดคล้องกับความพอใจส่วนบุคคลของผู้รับ มีขอบเขตให้ผู้ปฏิบัติสามารถ
ปฏิบัติได้ เป็นต้น ในส่วนที่เก่ียวข้องกับการยอมรับเพื่อให้เกิดความร่วมมือในหมู่พนักงานขึ้นได้น้ัน
จะตอ้ งทาให้ แตล่ ะบุคคลเสียสละประโยชน์อนั เป็นส่วนตัวออกไป

สาหรับปัญหาด้านโครงสร้างขององค์การนั้นส่วนใหญ่จะมาจากการการระหว่างผู้ท่ีมี
หน้าที่ ในการตัดสินใจและผู้ปฏิบัติ นอกจากน้ียงั ไดเ้ น้นบทบาทของกลุ่มที่ไมเ่ ป็นทางการทีจ่ ะมีส่วนช่วย
ในการติดต่อสื่อสารให้เกิดประสิทธิภาพได้ด้วย ซ่ึงนักทฤษฏีทางพฤติกรรมศาสตร์บางท่านได้เสนอว่า
ผ้บู ริหารควรจะมุ่งเน้นการจูงใจพนักงานกอ่ นแลว้ จึงทาการกาหนดโครงสร้างองคก์ ารทีเ่ หมาะสม ข้ึนมา
ในภายหลังจึงจะสามารถจูงใจให้คนทางานดีขึ้นและมีขวัญกาลังใจเพิ่มขึ้น นอกจากนี้จะต้องมีการใช้
สิ่งจูงใจทั้งที่เป็นตัวเงินและไม่ใช่ตัวเงินในการสร้างการยอมรับให้เกิดขึ้น เพราะบุคคลจะสละส่ิงท่ีตน
ชอบพอและปฏบิ ัตติ ามคาสง่ั ไดต้ อ่ เม่ือเหน็ วา่ ผลไดน้ ้ันมมี ากกวา่ ผลเสยี

การตัดสินใจของผู้บริหารระดับสูงจะไม่มีประสิทธิภาพ ถ้าหากขาดการติดต่อส่ือสาร
มายัง พนักงานผูป้ ฏิบัติ ซ่ึงแนวคดิ ทไ่ี ด้เสนอวา่ การที่จะทาให้การตดั สินใจของผบู้ ริหารเป็นทยี่ อมรบั ของ
พนักงานและพนักงานให้ความร่วมมือนั้นอาจจะทาได้ คือ การใช้อานาจหน้าที่ในตาแหน่งทาการ
ตัดสินใจและให้พนักงานปฏิบัติ ดังนั้นจึงต้องมีการใช้สิ่งจูงใจด้วย เช่น เกียรติยศ เงินเดือน หรือใช้การ
ลงโทษ เป็นต้น และการใช้วิธีการควบคุมตนเองของพนักงานโดยการปลูกฝังความรู้สึกที่เป็น ส่วนหนึ่ง
ขององคก์ ารและการฝกึ อบรมเพ่ือให้พนักงานท่ีจะทาการตดั สินใจได้ด้วยตนเอง

การกาหนดงานหรือการออกแบบงานจัดเป็นภารกิจท่ีสาคัญในองค์การ ทั้งน้ีเนื่องจาก
งาน เป็นตัวเชื่อมระหว่างองค์การกับบุคคลเป็นส่ิงท่ีจะทาให้ทราบถึงลักษณะของบุคลากรท่ีองค์การ
ต้องการ ในการออกแบบองค์การหรือการออกแบบงานจะต้องพิจารณาท้ังระบบ คือ ต้องศึกษา
องค์ประกอบ ขององค์การ สภาวะแวดล้อมและพฤติกรรม ผู้ออกแบบองค์การหรือการออกแบบงานมี
จุดมุ่งหมายที่สาคัญข้ันสุดท้าย คือ การเพ่ิมผลผลิตและการที่บุคลากรมีความพึงพอใจในงาน ผลผลิต
ของบุคลากรและความพึงพอใจในงานเป็นข้อมูลย้อนกลับทาให้ผู้บรหิ ารทราบได้ว่า ผลจากการกาหนด
งานน้ันมีแนวโน้มในอนาคตสามารถพยากรณ์ได้ว่าบุคลากรขององค์การต่างๆ จะมีผู้หญิงเข้าสู่
ตลาดแรงงานเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในบางองค์การอาจจะมีผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เช่น ธนาคาร
พนักงานขาย เป็นต้น นอกจากนี้ผู้หญิงจะได้ดารงตาแหน่งเป็นผู้บริหารระดับสูงขององค์การหรือนัก
วิชาชีพสาขาต่างๆ เพิ่มข้ึนด้วย ขณะท่ีในอดีตน้ันผู้ดารงตาแหน่งดังกล่าวจะเป็นผู้ชายโดยส่วนใหญ่
เหตุการณ์นแ้ี สดงให้เห็นว่าสภาวะแวดล้อมไดม้ ีการเปลี่ยนแปลงไป น่ันคือบคุ ลากรจะมีระดับการศึกษา
ที่สูงขึ้น รวมทั้งจะมีเป้าหมายและความคาดหวังจากงานที่ตนปฏิบัติจะแตกต่างจากเดิมที่ต้องการเพียง
เงินเดือนและงานท่ีม่ังคงเท่านั้น นอกจากน้ีบุคลากรยังมีทัศนคติ ค่านิยม และพฤติกรรมที่ต้องการ งาน
ท่ีมีความท้าทาย มีความน่าสนใจอีกด้วย ดังน้ันผู้บริหารขององค์การจึงจาเป็นจะต้องให้ความสาคัญกับ
เหตุการณ์ดังกล่าว จึงจะทาให้องค์การสามารถกาหนดแผนการบริหารทรัพยากรมนุษย์ได้อย่าง
เหมาะสม

แนวความคิดทางการจัดการสมยั ใหม่
จากแนวความคิดของการจัดการแนวเดิมท่มี จี ุดเด่นทไี่ ด้มุ่งเน้นโครงสร้างที่เปน็ ทางการ
ที่มี การกาหนดกฎระเบียบวินัยที่เคร่งครัดในการใช้อานาจหน้าที่ที่มีลักษณะของการรวมอานาจ และ
การดาเนินการตามหลักการของความมีเหตุผล โดยมีสมมติฐานว่ามนุษย์เป็นคนเกียจคร้านไม่ชอบ

54

ทางานและจาเป็นต้องใช้วิธีการควบคุมพฤติกรรมมนุษย์โดยใกล้ชิด เพ่ือให้เกิดประสิทธิภาพและ
ประสิทธผิ ลต่อองค์การ ส่วนแนวความคดิ ทางการจัดการแนวมนุษย์สมั พันธ์และพฤติกรรมศาสตร์ นั้นก็
มีจุดเด่นท่ีได้มุ่งเน้นในการให้ความสาคัญในตัวคน โครงสร้างองค์การแบบไม่เป็นทางการ เน้น
ความสัมพันธ์ระหว่างคนในองค์การและมีสมมติฐานว่ามนุษย์เป็นคนรักงาน มีความขยันและความ
รับผิดชอบ ไม่จาเป็นจะต้องทากรควบคุมพฤติกรรมอย่างใกล้ชิด จากสมมติฐานน้ีทาให้การศึกษา
เก่ียวกับการหาสิ่งที่จูงใจคนให้การยอมรับและร่วมมือปฏิบัติงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ
เปลย่ี นไปเปน็ การศกึ ษาในเชิงบวกมากข้ึน

สาหรับแนวความคิดของนักทฤษฏีสมัยใหม่ได้วิจารณ์ว่าแนวความคิดทางการจัดการ
แนว พฤติกรรมศาสตร์ที่เสนอส่ิงที่ขัดแย้งกับความเป็นจริง เนื่องจากโครงสร้างองค์การที่เป็นทางการ
และการใช้ส่ิงจูงใจทางเศรษฐกิจเป็นส่ิงจาเป็น จากหลักการของนักทฤษฎีแนวเดิมเกี่ยวกับการแบ่งงาน
กันทาตามความชานาญเฉพาะด้านและการเน้นการมีมาตรฐานของการปฏิบัติงาน ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว
ว่าสามารถทาให้สังคมก้าวหน้าและมนุษยม์ ีความเป็นอยู่ท่ีดขี ึ้น จึงไม่เห็นด้วยที่จะมีการท้ิงแนวความคิด
ยคุ เดมิ ดงั นนั้ จงึ ไดม้ แี นวความคิดใหม่ขึน้ มาคือแนวความคิดเชงิ ระบบและแนวความคดิ เชิงสถานการณ์

แนวความคิดเชิงระบบมองว่าการศึกษาท่ีเก่ียวข้องกับการจัดองค์การนั้นคว รจะต้อง
ทาการ วิเคราะห์ถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่างๆ เพ่ือท่ีจะได้ภาพรวมขององค์การท่ีถูกต้องไม่ใช่นาแต่
ละ ส่วนแต่ละหน่วยงานในองค์การมาวิเคราะห์แยกจากกัน ซ่ึงแนวความคิดเชิงสถานการณ์ท่ียึดถือ
ปรัชญาของแนวความคิดเชิงระบบเป็นพ้ืนฐาน จึงได้เสนอความคิดเกี่ยวกับการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่าง
สภาวะแวดล้อม เทคโนโลยี โครงสร้างและการจูงใจคนให้ทางาน โดยเห็นว่าไม่มีวิธีการใดท่ีดีที่สุดที่จะ
นามาใช้ได้กับองค์การในทุกสถานการณ์ องคก์ ารท่ีจะประสบผลสาเรจ็ จะต้องปรับตัวให้สอดคลอ้ ง และ
เข้ากันได้กับสภาวะแวดล้อมท่ีเปล่ียนแปลงไปได้ นอกจากน้ีแนวความคิดทางการจัดการสมัยใหม่ยังได้
พัฒนาแนวคิด โดยมุ่งเน้นการใช้ตัวแบบทางคณิตศาสตร์มาช่วยในการแก้ปัญหาของการจดั การ มากข้ึน
เรียกว่าเป็นแนวความคิดของการจัดการเชิงปริมาณ ซึ่งได้รับความนิยมนามาใช้ในการแก้ปัญหา ที่มี
ความสลับซับซอ้ นของการดาเนนิ ธรุ กิจสมยั ใหม่

สาหรับแนวความคิดทางการจัดการสมัยใหม่ ประกอบด้วย แนวความคิดทางการ
จัดการเชงิ ปรมิ าณ แนวความคดิ เชิงระบบและแนวคิดเชงิ สถานการณ์67 ดงั นี้

1. แนวความคดิ ทางการจดั การเชงิ ปรมิ าณ
แนวความคิดของการจัดการเชิงปริมาณมีจุดก่อกาเนิดในช่วงสงครามโลกคร้ังท่ี 2 ท่ีได้นา
นักวิทยาศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาและอังกฤษมาให้ทางานร่วมกันเป็นทีมเรียกว่า (Operation
research group) เพ่ือใหค้ าปรึกษาเพื่อแก้ปญั หาในการรบทีมนักวทิ ยาศาสตรด์ งั กลา่ วได้รับปัญหา เช่น
จะวางปืนใหญ่ตาแหน่งใดที่จะดีที่สุด จึงมีการใช้ประสบการณ์และความรู้ในการแก้สมการของปัญหา
โดยใช้วิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ คือ การสังเกตอย่างเป็นระบบของพฤติกรรมที่ทาการศึกษา การสร้างตัว
แบบจาลองเพื่อนาข้อเสนอที่จะได้รับมาสร้างตัวแบบจาลอง เพื่อประโยชน์ของการพยากรณ์การ
เปล่ียนแปลง จากนั้นจึงทาการอนุมานจากตัวแบบจาลองว่าจะมีพฤติกรรมอย่างไปอย่างไรและทาการ
ทดสอบตวั แบบจาลองเพ่ือศึกษาพฤตกิ รรมทีเ่ ปลี่ยนแปลงไปตามการพยากรณ์ในตวั แบบจาลองหรือไม่

67 อ้างแล้ว, สโุ ขทัยธรรมาธิราช, มหาวทิ ยาลยั , องคก์ ารและการจัดการ, พมิ พ์คร้ังที่ 6, (นนทบรุ ี :
มหาวทิ ยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธริ าช, 2548), หนา้ 68.

55

หลังจากนั้นแนวคิดการจัดการเชิงปริมาณมาใช้กันในบริษัทต่างๆ จึงได้รับความนิยมในการ
นาเอามาใช้ในการแก้ปัญหาของระบบการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมมากขึ้น เช่น การแก้ปัญหา
เกี่ยวกับตารางการปฏิบัติงาน การกาหนดตาแหน่งทาเลที่ตั้ง ตัวแบบการขนส่ง ตัวแบบ การควบคุม
สินค้าคงเหลือ ตัวแบบโครงข่ายปฏิบัติงาน (PERT/CPM) ตัวแบบการจัดลาดับงาน และตัวแบบความ
นา่ จะเปน็ ในการแก้ปัญหาและการตดั สินใจตา่ งๆ ขององคก์ ารโดยทวั่ ไป เป็นต้น

2. แนวความคดิ เชิงระบบ
แนวความคิดเชิงระบบเป็นการวิเคราะห์ถึงส่วนประกอบต่างๆ ในระบบหรือองค์การท่ีมี
ความสัมพันธ์ซ่ึงกันและกัน จากนั้นจึงทาการวิเคราะห์ส่วนต่างๆ ในลักษณะองค์รวมขององค์การ ผลที่
ได้จากการวิเคราะห์ปัญหาถึงส่วนประกอบของระบบในลักษณะองค์การรวม จะให้ผลดีมากกว่าการ
วิเคราะห์ปัญหาในระบบโดยการแยกส่วน นอกจากนี้ยังพบว่าระบบเปิดจะมีวามสัมพันธ์กับสภาวะ
แวดลอ้ ม ส่วนองค์การในระบบปิดน้ันจะไมเ่ ปิดรับส่ิงใดๆ นาเข้ามาในระบบ ดังน้ันองค์การ คือ ระบบท่ี
ประกอบไปด้วยส่วนต่างๆ แนวคิดเชิงระบบนี้จาเป็นจะต้องพิจารณาสภาวะแวดล้อมท้ังภายนอกและ
ภายในขององค์การ มิใช่จะพิจารณาแต่เฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งในระบบขององค์การหรือพิจารณาแต่
เฉพาะระบบขององค์การโดยไม่พจิ ารณาสภาวะแวดลอ้ มภายนอกขององคก์ ารดว้ ย
จากแนวความคิดเชิงระบบสามารถสรุปหลักการ ตลอดจนแนวความคิดเชิงระบบท่ีสาคัญ68
ดังน้ี

2.1 ระบบทุกระบบประกอบไปด้วยระบบย่อย ในทุกระบบจะมีระบบย่อยหรือ
สว่ นประกอบ อย่างน้อยสองส่วนขน้ึ ไปและสว่ นตา่ งๆ จะมคี วามสมั พนั ธ์ซ่งึ กนั และกัน

2.2 การเน้นท่ีองค์รวมของทุกระบบ การเน้นที่องค์รวมของทุกระบบจะให้ผลรวมที่
มากกวา่ การเน้นที่แต่ละส่วนประกอบของระบบแลว้ นามารวมกนั

2.3 การเป็นทั้งระบบปิดและระบบเปิด การมององค์การวา่ เป็นระบบเปดิ เปน็ ส่ิงสาคัญ
เพราะจะทาให้องค์การสามารถที่จะสนองตอบให้สอดคล้องกับสภาวะแวดล้อม ส่วนระบบปิดซ่ึง
โดยทัว่ ไปจะเปน็ ระบบทีท่ าหน้าทใ่ี ดหนง่ึ ดา้ นหนึ่งและไมเ่ กี่ยวขอ้ งกับสภาวะแวดล้อมโดยตรง

2.4 ขอบเขตส้ินสุดของระบบ ระบบทุกระบบจะสามารถแบ่งแยกประเภทของระบบ
ว่า เป็นระบบเปิดหรือระบบปิด เส้นก้ันแบ่งขอบเขตของระบบน้ีถ้าเป็นของระบบเปิดจะเปิดรับปัจจัย
จากสภาวะแวดลอ้ มภายนอกเข้ามาและนาปจั จัยภายในออกสู่สภาวะแวดลอ้ มภายนอกได้

2.5 ความล้มเหลวของระบบปิด การเป็นระบบปิดน้ันมีแนวโน้มที่จะล้มเหลวได้ง่าย
กว่า ระบบเปิดเน่ืองจากปิดตัวเองจากสภาวะแวดล้อมภายนอก สาหรบั ระบบเปิดน้ันมีแนวโน้มที่จะอยู่
รอดได้ดีกวา่ เนอื่ งจากการปรบั ตวั ใหเ้ ข้ากับสภาวะแวดล้อมอยูต่ ลอดเวลา

2.6 การใช้ข้อมูลป้อนกลับ ระบบเปิดนั้นต้องการข้อมูลป้อนกลับเข้าสู่ระบบเพ่ือนา
ข้อมูลน้ันมาใช้เพื่อปรับตัวให้ดาเนินยู่ต่อไปได้ การส่งข้อมูลป้อนกลับเข้าสู่ระบบ เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับ
กระบวนการตา่ งๆ ของระบบหรือขอ้ มลู ท่ีเก่ยี วกับปัจจัยท่นี าออกจากระบบ เปน็ ต้น

68 Stoner, James AF, Management, (New jersey: Prentice-Hall, 1978), P.53-54.

56

2.7 มีการจัดลาดับขั้นของระบบ ไม่ว่าจะเป็นระบบใดก็ตามจะมีลาดับขั้นท่ีประกอบ
ไปด้วยระบบย่อยซ่ึงมีความสัมพันธ์ต่อกัน ในขณะท่ีองค์การจะประกอบไปด้วยระบบย่อยนั้นก็เป็น
ระบบยอ่ ยของระบบที่ใหญ่กวา่ ดว้ ย เชน่ หน่วยงานต่างๆ เป็นระบบย่อยขององคก์ ารนน่ั เอง

จากหลักการตามแนวความคิดเชิงระบบดังกล่าวข้างต้นนี้ จะก่อให้เกิดประโยชน์ท่ีมี
ส่วน ในการที่จะช่วยให้ผู้บริหารสามารถวิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่างๆ ภายในระบบท่ีมี
ปฏิสัมพันธ์กันและกันได้อย่างท่ัวถึงและมีความชัดเจน นอกจากน้ีแนวความคิดเชิงระบบยังช่วยให้
ผู้บริหารไม่ต้องมองหาวิธีท่ีดีท่ีสุดที่จะนามาใช้ในการจัดองค์การเสมอไป เนื่องจากหลักการของ
แนวความคิดนี้จะเน้นการปรับตัวให้เข้ากับสภาวะแวดล้อม ดังนั้นในด้านของโครงสร้างองค์การก็จะมี
ลักษณะที่เป็นเพียงปัจจัยในการมุ่งเน้น เพื่อการแสวงหาโครงสร้างองค์การท่ีมีความเหมาะสมและ
สอดคล้องกับสภาวะแวดล้อมเท่านั้น จากการศึกษาและวิเคราะห์องค์การแบบแยกส่วนมาเป็นการ
วิเคราะห์เชิงระบบ ซึ่งนักทฤษฎีเชิงระบบอาจจะไม่เห็นด้วยกับแนวความคิดของการจัดการเชิง
วิทยาศาสตร์ที่มุ่งเน้นการวิเคราะห์ท่ีจะต้องทาความเข้าใจกับส่วนย่อยในระบบก่อนจึงจะสามารถเข้าใจ
ในสว่ นรวมได้

3. แนวความคิดเชิงสถานการณ์
ความสาคัญของสภาวะแวดล้อมในฐานะท่ีเป็นปัจจัยนาเข้าท่ี ผู้บริหารจะต้องพิจารณา ในการ
แก้ปัญหาของความซับซ้อน ซ่ึงตัวแปรเก่ียวกับปัจจัยของสภาวะแวดล้อมท่ีมีอิทธิพลต่อองค์การ ใน
ปัจจบุ ันทาให้เกิดแนวความคิดเชิงสถานการณ์ข้ึนมา โดยแนวความคิดเชิงสถานการณ์น้ันจะยึดปรัชญา
ของแนวความคิดเชิงระบบมาเป็นพ้ืนฐาน แต่มีความก้าวหน้ากว่าแนวความคิดเชิงระบบอีกขั้นหน่ึง คือ
แนวความคิดเชิงสถานการณ์พยายามท่ีจะทาให้เกิดความสอดคล้องเข้ากันได้ระหว่าง สภาวะแวดล้อม
กับโครงสร้างขององค์การ นักทฤษฎีตามแนวความคิดเชิงสถานการณ์ กลา่ วว่า โครงสร้างขององค์การที่
ดีท่ีสุดนั้นจะขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อมขององค์การ กล่าวคือ จะไม่มีโครงสร้างองค์การใดจะสามารถ
นามาใช้ได้กับองค์การในทุกสถานการณ์ ตามแนวความคิดน้ีเห็นว่า ในบางกรณีโครงสร้างองค์การใน
ลักษณะที่เป็นระบบเปิด หรือโครงสร้างองค์การท่ีไม่เป็นพิธีการ ซึ่งโครงสร้างในลักษณะนี้จะมีความ
ยดื หยุน่ กอ็ าจใช้ได้อยา่ งมีประสิทธิภาพกไ็ ด้
แต่ในบางกรณีโครงสร้างองค์การท่ีเป็นระบบปิดหรือโครงสร้างองค์การท่ีเป็นพิธีการ และไม่
ยืดหยุ่นก็สามารถก็นามาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพได้เช่นกัน นอกจากนี้ในองค์การหน่ึงองค์การใด
อาจจะกาหนดโครงการสร้างองค์การแบบหนึ่งมาใช้กับหน่วยงานหนึ่งหน่วยงานใด และกาหนด
โครงสร้างอีกแบบหนึ่งมาใช้กับหน่วยงานอ่ืนๆ ในองค์การเดียวกันน้ันก็ได้ เช่น อาจกาหนด โครงสร้าง
องค์การแบบเป็นพิธีการมาใช้กับหน่วยการผลิต และองค์การโครงสร้างแบบไม่เป็นพิธีการมาใช้กับ
หนว่ ยงานที่ทาหน้าท่ีดา้ นการวิจัยและพฒั นา เป็นต้น ดังนั้นจะเห็นได้วา่ ความมีประสิทธผิ ลขององค์การ
ตามแนวความคิดของนักทฤษฎีเชิงสถานการณ์น้ัน จะขึ้นอยู่กับความสอดคล้องและเข้ากันได้ระหว่าง
โครงสร้างองคก์ ารกบั สภาวะแวดล้อมภายนอกองค์การนัน่ เอง
สาหรบั แนวความคดิ เชงิ สถานการณ์ ที่สาคญั มดี ังน้ี

3.1 ผลงานของโจแอน วดู วารด์ (Joan Woodward)
จากผลงานการวิจยั ของวูดวารด์ สามารถสรปุ ได้ว่าการออกแบบโครงสรา้ งองค์การ จะ
มคี วามแตกต่างกนั ออกไปตามสภาวะแวดล้อมทเี่ ข้ามากระทบ เช่น จากเทคโนโลยีที่แต่ละองคก์ าร หรือ
องค์การผู้ผลิตแต่ละประเภทผลิตภัณฑ์ใช้ เช่น ในสภาวะแวดล้อมที่เทคโนโลยีที่เป็นการผลิตตาม

57

กระบวนการท่ีมีวิธีการทางานยุ่งยากซับซ้อนน้ันจะมีสายการบังคับบัญชาหลายระดับ ในขณะท่ีสภาวะ
แวดล้อมเทคโนโลยีท่ีเป็นการผลิตตามคาสั่งน้ัน สายการบังคับบัญชาจะส้ันกว่า ดังนั้น โครงสร้างของ
องค์การในสภาวะแวดล้อมเทคโนโลยีแบบการผลิตตามกระบวนการ จึงมีลักษณะที่เป็นโครงสร้างแบบ
สงู ส่วนโครงสร้างองค์การในสภาวะแวดล้อมท่ีองค์การต้องใช้เทคโนโลยีในการผลิตตามคาส่ังของลูกค้า
นนั้ ควรจะมีลักษณะเปน็ โครงสรา้ งแบบแบนราบ

3.2 ผลงานของลอร์เร็นซ์และลอร์ช (Lawrence, P.R., & Lorsch, J.W.) จาก
ผลการวิจัยของลอร์เร็นซ์และลอร์ช เป็นผลการวิจัยที่สนับสนุนแนวความคิด เชิงสถานการณ์ จาก
ผลการวิจัยบริษัท 10 แห่งจากอุตสาหกรรมแตกต่างกัน ได้แก่ อุตสาหกรรม พลาสติก อุตสาหกรรม
อาหาร และอุตสาหกรรมภาชนะบรรจุ เป็นต้น โดยบริษัทที่เลือกมาศึกษานั้น จะมีสภาวะแวดล้อมท่ี
แตกต่างกัน และทาการวิเคราะห์โครงสร้างภายในของบริษัทในส่วนของความ แตกต่างด้านโครงสร้าง
และบุคลากรท่ีอยู่ในแต่ละบริษัท รวมท้ังแนวทางท่ีบริษัทใช้ในการแก้ปัญหา เกี่ยวกับความแตกต่าง
เหล่าน้ี

จากแนวความคิดเชิงสถานการณ์ต่อการจัดการ พบว่าความสัมพันธ์ระหวา่ งโครงสร้าง
ขององค์การกับการประสานงานของบุคลากรจะมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งจากทฤษฎีการจัดการ
แนวใหม่ท่ียึดแนวความคิดเชิงระบบกับแนวความคิดเชิงสถานการณ์ เพื่อให้ผู้บริหารสามารถนามา
ประยุกต์ใช้ในการจัดการได้น้ันจะต้องมีการวิเคราะห์ถึงปัญหาต่างๆ ในเชิงระบบว่าปัจจัยต่างๆ นั้น มี
ปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน และจะต้องตระหนักถงึ ความสอดคล้องระหว่างองค์การกับสภาวะแวดล้อม ไม่
วา่ จะเปน็ ด้านของการออกแบบโครงสร้างองค์การหรอื วธิ ีการในการจดั การต่างๆ กล่าวคือ จะไม่มีวธิ ีที่ดี
ท่ีสุดในการจัดการแต่การจัดการนั้นขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อมขององค์การเสมอ ในการพัฒนา
แนวความคิดทางการจัดการท่ีเกิดข้ึนน้ัน จะมีลักษณะเป็นววิ ัฒนาการตัง้ แตแ่ นวความคิดทางการจัดการ
เชิงวิทยาศาสตร์ จากน้ันจึงเป็นแนวความคิดเชิงกระบวนการ แนวความคิดเชิงพฤติกรรมศาสตร์
แนวความคิดเชิงระบบและแนวความคิดเชิงสถานการณ์ จากการท่ีเกิดการพัฒนาแนวความคิดต่างๆ ที่
เพิ่มขึ้นน้ี ทาให้ไม่มีแนวความคิดใดจะเป็นท่ียอมรับที่จะเป็นแนวความคิดที่มีประสิทธิผลมากที่สุด
ดงั น้นั การนาแนวคิดทางการจัดการใดมาใช้กับองค์การ ผู้บริหารควรจะตอ้ งพิจารณาถึงสภาวะแวดล้อม
ขององค์การทเ่ี ปน็ สถานการณ์องคก์ ารเผชญิ อยมู่ าพิจารณาด้วย

แนวความคดิ ทางการจัดการยคุ โลกาภวิ ตั น์
การจัดการยุคโลกาภิวัตน์เป็นการจัดการ ท่ีองค์การต้องเผชิญกับสภาวะแวดล้อมทางการ
แข่งขันที่รุนแรง เช่น การเปลี่ยนแปลงด้านความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การเปล่ียนแปลงในด้าน
ทัศนคติและพฤติกรรมของลูกค้า การเปลี่ยนแปลงในกระแสโลกาภิวัตน์ เป็นต้น ซ่ึงผู้บริหารของ
องค์การจาเป็นต้องให้ความสาคัญต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด โดยมุ่งพยายามในการ
กาหนดกลยุทธ์ให้กับองค์การเพ่ือสามารถดารงอยู่ได้ในขณะที่มีความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน รวมท้ัง
สามารถสร้างผลกาไรและความเจรญิ เติบโตอยา่ งยงั่ ยนื จากการเปลยี่ นแปลงในกระแสโลกาภิวัตน์นี้ ทา
ให้ลักษณะของการจัดการที่องค์การต้องมุ่งเน้นถึงการปรับตัวท่ีมีการให้การยอมรับและปรับปรุง การ
ดาเนินงานที่มีความสอดคล้องกับกระแสโลกาภิวัตน์ โดยผู้บริหารต้องคานึงถึงขอบเขตของ การดาเนิน
ธรุ กิจในตลาดระดบั โลกท่ใี นปจั จบุ ันมกี ารขยายขอบเขตท่กี ว้างขวางกว่าตลาดในประเทศ
จากแนวความคดิ ทางการจัดการยุคโลกาภิวัตน์นี้จะให้มุ่งให้ความสาคัญกบั การดาเนินงานและ
ปฏิบัติท่ีถูกต้อง โดยนาไปสู่ความได้เปรียบเชิงการแข่งขันจากการสร้างผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนอง

58

ความตอ้ งการของลูกค้า การเพิม่ มลู ค่าของผลิตภัณฑ์ในขณะที่สามารถลดต้นทนุ การผลติ และราคาลงได้
อย่างต่อเน่ือง และที่สาคญั คือการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันท่ีเหนือกว่าคู่แข่ง จึงเป็นเป้าหมาย
ท่สี าคญั ของแนวความคิดทางการจัดการยุคนี้ แนวความคดิ ทางการจัดการยุคโลกาภวิ ัตนท์ ี่สามารถสร้าง
ความได้เปรยี บทางการแขง่ ขนั มแี นวทางสาหรบั แนวความคดิ ทางการจัดการยุคโลกาภิวัตน์69 ดังนี้

1. การควบคุมคุณภาพ องค์การที่จาหน่ายผลิตภัณฑ์ในตลาดระดับโลกมีความจาเป็นต้อง ให้
ความสาคัญในด้านคุณภาพ (Quality) ของผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นองค์ประกอบของความได้เปรียบเหนือ คู่
แขง่ ขนั โดยเฉพาะการได้รับการยอมรบั ในมาตรฐานด้านคณุ ภาพระดับโลกจะต้องได้รบั ประกาศนยี บตั ร
ISO 9000 จากองค์กรกาหนดมาตรฐานโลก (International Organization for Standardization)
มาตรฐาน ISO นี้จะถือเป็นการรับประกันด้านคุณภาพกับผลิตภัณฑ์ขององค์การ ดังนั้นองค์การจะต้อง
ทาการปรับปรุงและพัฒนาท้ังในด้านกระบวนการดาเนินงานด้านโครงสร้าง ความรับผิดชอบ และ
ทรพั ยากรเพอ่ื ใหเ้ กดิ คณุ ภาพและจะต้องผา่ นการตรวจสอบและประเมนิ จากจากภายนอกอีกดว้ ย

2. การควบคุมคุณภาพโดยรวม ตามแนวความคิดของการควบคุมคุณภาพโดยรวม (Total
quality management ) เป็นการดาเนินการท่ีเน้นการควบคุมคุณภาพทั่วท้ังองค์การ เพ่ือให้บุคลากร
ทุกระดับเกิดการปรับปรุงและพัฒนากระบวนการทางานทุกด้านอย่างสม่าเสมอและต่อเน่ือง รวมทั้ง
สามารถตอบสนองความตอ้ งการของลกู คา้ ไดอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ โดยการเช่ือมโยงการปฏิบตั กิ ารต่างๆ
ทม่ี ีกระบวนการที่ขนานกันไวจ้ ะทาใหส้ ามารถทราบปัญหาที่อาจเกดิ ข้ึนได้ก่อนทีจ่ ะสายเกินแก้ไข

3. การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง การปรับปรุงอย่างต่อเน่ือง (Continuous improvement) เป็น
ความพยายามขององค์การที่จะรักษาความได้เปรียบในเชิงคุณภาพไว้ โดยการหาวิธีการใหม่ๆ ท่ีจะ
นาเข้ามาใช้เพื่อปรับปรุงผลการปฏิบัติการท่ีเป็นอยู่ในปัจจุบันให้ดีข้ึนอย่างต่อเน่ือง ความพยายาม
ดงั กล่าวมคี วามจาเป็นต้องทาควบคู่กับเทคนิคการเปรียบเทยี บ (Benchmarking) ซึ่งการเปรียบเทียบน้ี
องค์การจะเปรียบตัวเองในด้านต่างๆ กับองค์การท่ีมีประสิทธิภาพที่สุดในอุตสาหกรรมเดียวกัน เพื่อใช้
เป็นแนวทางในการปรับปรุงกระบวนการปฏิบัติของตนเอง นอกจากนี้การปรับปรงุ อย่างต่อเน่ืองจะเกิด
ผลได้ยงั มคี วามจาเปน็ ตอ้ งการการมสี ว่ นร่วมของบุคลากรควบคูไ่ ปด้วย

4. การร้ือปรับระบบ ผลจากการปรับปรุงคุณภาพหรือวิธีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ดังกล่าว
ข้างต้น ตามวิธีการของญ่ีปุ่นเป็นการปรับปรุงแบบค่อยเป็นค่อยไปทีละข้ันตอน อย่างไรก็ตาม
แนวความคิดทางการจัดการของการรื้อปรับระบบ (Re-engineering) จะเป็นการปรับปรุงคุณภาพ
แบบทาท้ังระบบในคร้ังเดียว ดังน้ันการปรับปรุงท่ีเห็นผลสาเร็จได้องค์การจะต้องดึงแนวคิดและวิธี
ปฏิบัติออกมาจากกฎเกณฑ์และข้อสมมติฐานท่ีเก่าแก่และล้าสมัย รวมท้ังทาการกาหนดคิดใหม่ทุก
กระบวนการและท้ังระบบ ตั้งแต่การแสวงหาข้อมูล การวางแผน การพัฒนาบุคลากร การควบคุม การ
ประเมนิ ผลงาน เป็นตน้

ผลจากกระแสโลกาภิวัตน์ที่ผู้บริหารต้องปรับตัวโดยการใช้ประโยชน์จากระบบข้อมูล
สารสนเทศและเทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุดท่ีทาให้การติดต่อสื่อสาร และการแสวงหาข้อมูล
ข่าวสารทาได้อย่างมีประสิทธิภาพส่งผลให้องค์การสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่าง
รวดเรว็ ซึ่งเป็นปจั จยั มผี ลตอ่ การสรา้ งความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน สว่ นในด้านการสรา้ งความเข้าใจใน

69 อา้ งแล้ว, สโุ ขทยั ธรรมาธิราช, มหาวทิ ยาลยั , องค์การและการจัดการ, พิมพค์ รั้งท่ี 6, (นนทบรุ ี :
มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธิราช, 2548), หนา้ 80-83.

59

กฎและกติกาของประชาคมโลก รวมท้ังระบบเศรษฐกิจของแต่ละประเทศก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งท่ีมี
ความสาคัญต่อการแข่งขัน โดยเฉพาะการแก้ไขกฎหมายเพื่อการตอบสนองระบบการค้าเสรี และ
สามารถนาองค์การไปอยู่ในสภาวะแวดล้อมใหม่ได้อย่างเหมาะสมและมีการปรับเปล่ียนบทบาทของ
ผู้บริหารระดับสูง ผู้บริหารระดับกลาง รวมทั้งบุคลากรผู้ปฏิบัติทุกๆ คนในองค์การก็เป็นปัจจัยท่ีมี
ความสาคัญต่อการดาเนินงานในยุคของการแข่งขันที่เกิดข้ึนจากกระแสโลกาภิวัตน์อีกด้วย โดยการทา
ให้องค์การมีลักษณะเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ท่ีเกิดขึ้นจากบุคลากรที่มีประสบการณ์ การนาความรู้
และความสามารถที่โดดเด่นมาใช้ในการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด
การเปิดโอกาสให้บุคลากรได้รับการพัฒนาและเรียนรู้เพ่ือการปรับปรุงผลงานของตนเองอย่างสม่าเสมอ
รวมทั้งองค์การควรมุ่งทาให้บุคลากรมีการทางานแบบทีมงาน ด้วยการใช้ภาวะผ้นู าในการบริหารระดับ
ต่างๆ และมงุ่ การจูงใจแบบเนน้ ผลงานเพอื่ การปรบั ตวั สูอ่ นาคต เป็นต้น

60

2.5 งานวจิ ัยทเ่ี ก่ียวขอ้ ง
คงคารัตน์ กิจจานนท์ (2539 : บทคัดย่อ) ศึกษาเร่ือง การศึกษาสภาพและปัญหาของระบบ

สารสนเทศเพ่ือการบรหิ ารในสถาบันอุดมศึกษา70 พบว่า
1. สถาบันอุดมศึกษามีการจัดทาระบบสารสนเทศเพ่ือการบริหารครอบคลุม 9 ด้าน คือ ด้าน

โปรแกรมนักศึกษา ด้านงานทะเบียนนิสิต ด้านการบริการนักศึกษา ด้านบุคลากร ด้านการเงินและ
งบประมาณ ด้ายการวิจัย ด้านอาคารสถานท่ี และด้านการจัดการทรัพย์สิน โดยมีการพัฒนาและ
บารุงรักษาโปรแกรมโดยเจ้าหน้าท่ีของสถาบัน ส่วนการบารุงรักษาฮาร์ดแวร์ใช้เจ้าหน้าท่ีของสถาบัน
รว่ มกับบริษัทท่ีว่าจ้างมาเป็นครั้งคราว บุคลากรท่ีปฏิบัติงานด้านระบบสารสนเทศท่ีมีอยู่ในปัจจุบันเป็น
เจ้าหน้าท่ีที่รับผิดชอบด้านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ส่วนใหญ่สนองต่อความต้องการของผู้บริหารระดับ
ปฏบิ ตั กิ าร

2. สถาบนั อดุ มศกึ ษามีนโยบายส่งเสรมิ ใหม้ ฐี านขอ้ มลู ร่วม เพือ่ สนบั สนุนให้ผู้บรหิ ารทกุ ระดบั ใช้
ประโยชน์จากสารสนเทศเพื่อการบริหาร และสารสนเทศท่ีมีการจัด ทาในปัจจุบันสนองต่อเป้าหมาย
และวตั ถุประสงค์ในระดบั ปานกลาง

3. สถาบันอุดมศึกษาได้รับงบประมาณส่วนใหญ่จากงบประมาณแผ่นดินในการสนับสนุนการ
จัดทาสารสนเทศ

4. การเชื่อมโยงเครือข่ายภายในสถาบัน ขณะนี้กาลังดาเนินการติดตั้ง ส่วนสถาบันท่ีมีการ
เชอื่ มโยงเครอื ข่ายแล้ว ยังไมไ่ ดฝ้ กึ ทักษะของผใู้ ช้ระบบสารสนเทศ

5. ปัญหาระบบสารสนเทศ ได้แก่ ไม่มีผู้รับผิดชอบด้านสารสนเทศ และฐานข้อมูลเป็นการ
เฉพาะเคร่ืองมืออุปกรณ์ท่ีใช้การจัดทาระบบสารสนเทศมีประสิทธิภาพต่า บุคลากรพัฒนาไม่กับ
เทคโนโลยีที่ทันกับเทคโนโลยีท่ีทันสมัยการรวบรวมข้อมูลมีการเก็บจากหลายแหล่ง ทาให้เกิดความ
ล่าชา้ และปญั หาขาดผูเ้ ช่ยี วชาญระบบเครือขา่ ย

6. เปรียบเทียบการจัดทาระบบสารสนเทศกับโครงสร้างการจาแนกแผน พบว่า
สถาบันอุดมศึกษามีการจัดทาระบบสารสนเทศส่วนใหญ่ครอบคลุม 8 ด้าน คือด้านการเรียนการสอน
ด้านการวิจัย ด้านการบริการสังคม ด้านสนับสนุนวิชาการ ด้านนิสิตนักศึกษา ด้านบริหารองค์กร ด้าน
หน่วยงานอิสระ ด้านอุดหนุนการศึกษา พบว่า งานท่ีสาคัญมากท่ีสุดของทั้ง 10 สถาบัน คือด้าน
สนับสนุนวิชาการ และงานที่มีการจดั ทาน้อยที่สุดเพียง 1 สถาบัน คือด้านหน่วยงานอิสระ และด้านทุน
อดุ การศกึ ษา ซ่ึงสอดคลอ้ งกับงานทเี่ สนอโดยทบวงมหาวทิ ยาลัย

7. การแลกเปลี่ยนโปแกรมประยุกต์ สถาบันอุดมศกึ ษาควรมีการแลกเปลี่ยนโปรแกรมที่มีอยู่ใน
ปัจจุบัน หรือสถาบันอุดมศึกษาควรร่วมมือกันเพื่อพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ให้สอดคล้องกับงานแต่ละ
ด้านทีจ่ ะทา โดยกาหนดโครงสรา้ งข้อมลู ให้เหมือนกนั

70 คงคารัตน์ กิจจานนท์, การศึกษาสภาพและปัญ หาระบบสารสนเทศเพอการบริหาร ใน
สถาบันอุดมศึกษาของรัฐม (วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาอุดมศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย, จุฬาลงกรณ์
มหาวทิ ยาลยั , 2539) หน้า บทคดั ย่อ.

61

ประธาน สุนทรไชยา (2545 : บทคัดย่อ) ศึกษาเรื่องสภาพปัจจุบัน และปัญหาการใชร้ ะบบ
เครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อการจัดการงานกองอาคารและสถานท่ี มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผลการศึกษา
พบว่ามีการนาคอมพิวเตอร์ใช้ด้านการพิมพ์เอกสารธุรการ รองลงมาคือด้านจัดเก็บข้อมูล ด้านการ
บริการ และเคร่ืองคอมพิวเตอร์ต่อเข้าระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์แต่ละหน่วยงานน้อยกว่า 2 เคร่ือง
ส่วนในระบบเครือข่ายใช้ในด้านสบื ค้นข้อมูลมากที่สุด ความสามารถของบุคลากรในการสืบค้นขอ้ มูลอยู่
ในระดับปานกลางและใช้เวลาในการสืบค้นสัปดาห์ละ 1-5 ช่ัวโมง โปรแกรมสาเร็จรูปท่ีใช้งานมากท่ี
ท่ีสุดในระบบเครือข่าย คือ โปรแกรมใช้สาหรับเปิดใช้งานดา้ นอินเตอรเ์ น็ต (web browser) ส่วนสภาพ
ปัญหาและความต้องการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และเครือข่ายคอมพิวเตอร์ พบว่า ด้านบุคคล ด้านวัสดุ
อุปกรณ์ ด้านงบประมาณ ด้านบรหิ ารจดั การ อยใู่ นระดบั มาก ดงั น้ี ด้านงบประมาณซงึ่ จะตอ้ งจัดหาเพ่ิม
ในเร่ือง จัดหาวัสดุอุปกรณ์ จัดระบบเครือข่าย และบริหารจัดการ ระบบ อีกท้ังพัฒนาบุคลากรให้มี
ความรูค้ วามชานาญในการใช้งาน71

นิพนธ์ เทศวงศ์ (2541) ศกึ ษาเร่ือง สภาพและปัญหาการใชส้ ารสนเทศเพื่อการบรหิ ารของ
ผบู้ ริหารโรงเรียนมธั ยมศกึ ษา สงั กัดกรมสามญั ศึกษาส่วนกลาง พบวา่

ส่วนมากผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานมีความรู้เกี่ยวกับสารสนเทศเพื่อการบริหารโดยการศึกษา
ดว้ ยตนเอง ฝ่ายวิชาการใช้ประโยชน์สาหรบั ระบบสารสนเทศเพ่ือการบริหารมากที่สุด โรงเรียนกาหนด
และดาเนินการสาหรับขั้นตอนของระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารเองเป็นส่วนมาก โรงเรียนส่วนใหญ่
ไม่มีการเช่ือมโยงระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ภายนอก โรงเรียนกาหนดรูปแบบการจาแนกข้อมูล การ
เก็บข้อมูลและพัฒนาโปรแกรมเป็นส่วนน้อย ปัญหาในการใช้ระบบสารสนเทศเพ่ือการบริหาร คือ การ
ขาดแคลนบุคลากรท่ีมีความรู้ อุปกรณ์เครอื่ งมือล้าสมัยและไม่เพียงพอ โรงเรียนแต่ละแห่งมีแนวปฏิบัติ
แตกต่างกนั และระบบสารสนเทศเพ่อื การบริหารไม่เป็นมาตรฐานเดียวกนั 72

เบญจมาภรณ์ ทองสอดแสง (2541: บทคัดย่อ) ศึกษาเร่ือง การจัดระบบสารสนเทศเพ่ือการ
บริหารในโรงเรยี นมัธยมศึกษาขนาดใหญ่ สงั กดั กรมสามัญศกึ ษา เขตการศึกษา 10 พบว่า สภาพปัญหา
ปัจจุบันการจัดระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารในโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่ สังกัดกรมสามัญ
ศกึ ษาขนาดใหญ่ เขตการศึกษา 10 ส่วนใหญฝ่ ่ายรบั ผิดชอบการจัดระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร คือ
ฝ่ายบริการ รองลงมา คือ ฝ่ายธุรการ ฝ่ายวิชาการ และฝ่ายปกครอง ผู้บริหารใช้สารสนเทศมากเกือบ
ทุกรายการ ยกเว้นข้อมูลประชากรและสิ่งแวดล้อม ส่วนผู้จัดระบบสารสนเทศใช้ระบบสารสนเทศใน
ระดับมาก คือ ข้อมูลนักเรียน ข้อมูลครู คนงาน และภารโรง ข้อมูลการเงิน ข้อมูลคาสั่ง กฎระเบียบ
ปฏิทินปฏิบัติงาน และแผนปฏิบัติงานของโรงเรียน และข้อมูลอาคารสถานที่ สาหรับข้อมูลอื่นๆ ใช้ใน
ระดับปานกลาง ผู้บริหารนาสารสนเทศไปใช้ในระดับมากทุกรายการ ส่วนผู้จัดระบบสารสนเทศนา
สารสนเทศไปใช้ในระดับมากเกือบทุกรายการ ยกเว้นเพื่อการประชาสัมพันธ์ที่ใช้ในระดับปานกลาง
รปู แบบของการบนั ทึกท่ีผบู้ ริหารใช้ในฐานะผ้ใู ช้มากทส่ี ุด คอื แบบฟอร์ม รูปอบบการบันทึกที่ผจู้ ดั ระบบ

71ประธาน สุนทรไชยา, สภาพปัจจุบันและปัญหาการใช้ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพ่ือการจดั การงาน
กองอาคารและสถานที่ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น, มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น 2545) หน้า บทคดั ยอ่ .

72 นิพนธ์ เทศวงศ์, สภาพและปัญหาการใช้ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารของผู้บริหาร โรงเรียน
มัธยมศึกษา สงั กดั กรมสามัญศกึ ษาสว่ นกลาง, วทิ ยานิพนธ์ศกึ ษาศาสตร มหาบัณฑติ สาขาวิชาการบริหารการศกึ ษา,
(กรงุ เทพมหานคร: บณั ฑติ วิทยาลัย มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์, 2541) หน้า บทคดั ย่อ.

62

สารสนเทศใช้ในฐานะผู้จัดทาและผู้ใช้มากที่สุด คือ แบบฟอร์ม รูปแบบของการจัดเก็บท่ีผู้บริหารใช้ใน
ฐานะผู้ใช้มากทสี่ ดุ คอื แฟ้มเอกสาร รูปแบบของการบันทึกท่ีผู้จัดระบบสารสนเทศใช้ในฐานะผู้จดั ระบบ
สารสนเทศใช้ในฐานะผู้จัดทา และผู้ใช้มากท่ีสุด คือ แฟ้มเอกสาร ครุภัณฑ์ท่ีใช้ในการจัดระบบ
สารสนเทศเพอ่ื การบริหารมากทีส่ ุด คือ ผ้จู ดั เกบ็ เอกสาร73

สาหรับปัญหาการจัดระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร ผู้บริหารและผู้จัดระบบสารสนเทศเห็น
ว่าปัญหาการจัดระบบสารสนเทศเพ่ือบริหาร คือ การเก็บรวมรวมข้อมูล การประมวนผลข้อมูล การ
วิเคราะห์ข้อมูล การเก็บรักษาข้อมูล การนาเสนอข้อมูลและปัญหาเกี่ยวกับวัสดุและคุรุภัณฑ์ในการ
จดั เกบ็ ข้อมูลอย่ใู นระดบั ปานกลาง

สาหรับความต้องการการจัดระบบสารสนเทศเพ่ือการบริหาร ผู้บริหารและผู้จั ดระบบ
สารสนเทศมีความต้องการการจัดระบบสารสนเทศเพ่ือการบริหาร คือ การเก็บรวมรวมข้อมูล การ
ประมวลผลข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล การเก็บรักษาข้อมูล การนาเสนอข้อมูล และความต้องการ
เก่ยี วกับครภุ ัณฑใ์ นการจดั เก็บข้อมลู ในระดบั มาก

ข้อเสนอแนะในการทาวิจัยคร้ังต่อไป คือ ควรศึกษาวิจัยเพื่อหารูปแบบท่ีเหมาะสมสาหรับการ
จัดระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาทุกขนาดและควรมีการศึก ษาวิจัยรูปแบบการ
จัดระบบสารสนเทศเพ่ือการบริหารของสถาบันศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เช่น กรมอาชีวศึกษา
กรมการศึกษานอกโรงเรียน เป็นต้น ซึ่งจะทาให้รูปแบบการจัดระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารท่ี
เหมาะสมย่งิ ขนึ้

วรรณพร วีเก่ง (2542: บทคัดย่อ) ศึกษาเร่ือง การศึกษาสารสนเทศเพื่อการบริหารของ
ผู้บรหิ ารสถาบันราชมงคล วิทยาเขตตาก74 พบว่า

ข้อมูลท่ัวไป พบว่า ผู้บริหารระดับสูงที่สัมภาษณ์ดารงตาแหน่งต้ังแต่ ผู้ช่วยอานวยการ จนถึง
ผู้อานวยการ เป็นเพศชาย ส่วนใหญ่มีอายุมากกว่า 50 ปี มีการศึกษาระดับปริญญาโท มีความคิดเห็น
ต่อข้ันการประมวลผล คือการเรียบเรียงข้อมูลโดยได้ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง และเคยใช้เครื่อง
ไมโครคอมพิวเตอร์จากการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง และเคยใช้เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์จากการศึกษา
ค้นคว้าด้วยตนเอง สาหรับผู้บริหารระดับกลางผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ดารงตาแหน่งเป็นหัวหน้า
แผนกวิชาการ สังกัดฝ่ายวิชาการ ในตาแหน่งอาจารย์ 2 ระดับ 7 เป็นเพศชาย อายุระหว่าง 31-40 ปี มี
ระดบั การศึกษาปรญิ ญาโท มีความคิดเห็นเก่ียวกับขั้นตอนการประมวลผล คือ การเรียบเรียงข้อมูลเป็น
หมวดหมู่ โดยการศึกษาจากการปฏบิ ัตงิ าน และเคยใช้เคร่อื งไมโครคอมพิวเตอร์จาการปฏิบตั ิงาน

สภาพการบริหารสนเทศเพื่อการบริหารของผู้บริหารระดับกลางในด้านองค์ประกอบของ
สารสนเทศ พบว่า ในหน่วยงานส่วนใหญใ่ ชว้ ิธีการประมวลผลด้วยมือและด้วยเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์
โดยมีอุปกรณ์ ได้แก่ เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ และเครื่องพิมพ์ใช้ระบบปฏิบัติงาน คือ Windows
95/98 โปรแกรมสาเร็จรูปที่ใช้ในการบริหาร คือ Microsoft Word และมีพนักงานปฏิบัติการ

73 เบญจมาภรณ์ ทองสอดแสง, การจัดระบบสารสนเทศเพ่ือการบริหารในโรงเรียน มัธยมศึกษาขนาด
ใหญ่ สังกัดกรมสามัญศึกษา เขตการศึกษา 10, (วิทยานิพนธ์ปริญญา มหาบัณฑิต มหาวิทยาลยัขอนแก่น, 2541)
หน้า บทคดั ย่อ.

74 วรรณพร วีเก่ง, การศึกษาสารสนเทศเพ่ือการบริหารของผู้บริหารสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยา
เขตตาก, (มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคล วทิ ยาเขตตาก, 2542) หนา้ บทคัดย่อ.

63

คอมพิวเตอร์เป็นเจ้าหน้าท่ีช่ัวคราว มีการศึกษาระดับปริญญาตรี ด้านวัตถุประสงค์ของหน่วยงานส่วน
ใหญ่หน่วยงานจะปฏิบัติงานตามวัตถุประสงค์ของฝ่ายบริหารท่ีหน่วยงานสังกัด ด้านความรับผิดชอบ/
กระบวนการข้อมูล พบว่า ผู้บริหารระดับกลางมีระดับการปฏิบัติในหน่วยงานในด้านการเก็บรวบรวม
ข้อมูล การตรวจสอบข้อมลู การประมวลผลข้อมลู และการดูแลรักษาข้อมูลหนว่ ยงานมีระดับการปฏิบัติ
มาก

ประเภทของสารสนเทศท่ีใช้ในการบริหารงานในวิทยาเขต พบว่า ประเภทของสารสนเทศ
สามารถแบ่งได้ตามประเภทของหน่วยงาน หรือแผนก และรวบรวมเป็นสารสนเทศของแต่ฝ่ายตาม
โครงสร้างกาสรบริหารของสถาบนั เทคโนโลยีราชมงคล วทิ ยาเขตตาก ปี พ.ศ. 2535-2542

การใช้สารสนเทศของแตล่ ะหน่วยงาน พบวา่ ผบู้ ริหารระดับกลาง ส่วนใหญ่มีการใชส้ ารสนเทศ
งบประมาณ และสารสนเทศพัสดุ สาหรับสารสนเทศประเภทอ่ืน มีการใช้ตามวัตถุประสงค์ของ
หน่วยงาน ซ่ึงใช้ในการวางแผน การควบคุมการปฏิบัติและการตัดสินใจซ่ึงมีระดับการใช้อยู่ในเกณฑ์
ปานกลาง

ปัจจุบันหรือข้อจากัดในการใช้สารสนเทศของผู้บริหารระดับสูง ส่วนใหญ่มีความคิดเห็นต่อ
ปัญหา คือ ด้านบุคลากร เนื่องจากบุคลากรมีภาระหน้าท่ีมากเกินไป ท้ังในด้านการเรียนการสอน ด้าน
การบริหาร และงานวิจัย และบางหน่วยงานไม่ได้มีการเก็บรวมรวมข้อมูลตนเอง สาหรับผู้บริหาร
ระดับกลาง มีความคิดเห็นต่อปญั หาท่ีมีระดับความสาคัญของปัญหาอยใู่ นระดับมาก คือ ขาดหน่วยงาน
ที่รบั ผิดชอบโดยตรงในการจัดการด้านข้อมูลและสารสนเทศ ขาดการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ทเ่ี ปน็ ระบบและ
ขาดงบประมาณทมี่ าสนับสนนุ การอบรมพัฒนาบุคลากร

ขณะที่ผู้บริหารระดับกลาง เสนอว่า ควรมีการอบรมบุคลากรในวิทยาเขตทุกระดับให้มีความรู้
ความเข้าใจเก่ียวกับระบบสารสนเทศ และผู้บริหารควรกาหนดนโยบายและเป้าหมายเก่ียวกับ
สารสนเทศใหช้ ัดเจน

การวิเคราะห์เปรียบเทียบระหว่างกลุ่มวิชาการ และกลุ่มบริหารกับค่าคะแนนความคิดเห็น
เก่ยี วกบั ระดบั การปฏบิ ตั ิความรบั ผืดชอบ/กระบวนการข้อมลู ไมแ่ ตกต่างกนั
การวิเคราะห์เปรียบเทียบระหว่างกลุ่มวิชาการ และกลุ่มบริหารกับค่าคะแนนความคิดเห็นต่อนโยบาย
และเป้าหมายด้านสารสนเทศไม่แตกตา่ งกนั

สมทบ สยามไชย (2550 : บทคัดย่อ) ได้ทาการศึกษาการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการ
บริหารงานสถานศึกษาวัดหนองคัน (ไจวิทยาคาร) อาเภอท่าใหม่จังหวัดจันทบุรีซึ่งเป็นการพัฒนา
โปรแกรมคอมพิวเตอร์เพ่ือการบริหารสถานศึกษา พบว่าระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร สถานศึกษา
รายงานข้อมูลท่ีปรากฏในโปรแกรมการจดัระบบสารสนเทศท้ัง 4 ด้าน รวม 119 รายการ ทุก
สถานศึกษาเป็นข้อมูลท่ีมีความต้องการจาเป็นสาหรับการจัดระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร และการ
ใช้ระบบสารสนเทศ พบวา่ การใช้โปรแกรมด้านการบันทึกและการประมวลผลขอ้ มูลด้านประโยชน์และ
ความเหมาะสมของโปรแกรมในทุกรายการตามขอบข่ายเนื้อหาท่ีปรากฏ ในโปรแกรม มีคุณภาพอยู่ใน
ระดับดีมาก รวมท้ังประสิทธิภาพด้านความสะดวกในการใช้ โปรแกรม ด้านความคุ้มค่าและความพึง

64

พอใจในการนาโปรแกรมไปใช้ตามขอบข่ายเนื้อหาที่ ปรากฏในโปรแกรมทุกรายการ มีคุณภาพในระดับ
ดีเชน่ เดยี วกัน75

จักราวุธ สอนโกษา (2550 : 79) ได้ทาการศึกษาเร่ือง การพัฒนาระบบสารสนเทศการ
บริหารงานบุคคล สานกังานเขตพื้นท่ีการศึกษาขอนแก่น เขต 1 จังหวัดขอนแก่น พบว่า หลังจากที่ ได้
ดาเนินการพัฒนาระบบสารสนเทศการบริหารงานบุคคล สานกังานเขตพ้ืนที่การศึกษาขอนแก่น เขต 1
ตามขั้นตอนการพัฒนา 4 ขั้นตอน การศึกษาและวิเคราะห์ระบบ การออกแบบระบบ การติดตั้งระบบ
และดูแลรักษาและการประเมินผลโดยใช้โปรแกรมสาเร็จรูป Micro Soft Excel ในการ จัดเก็บข้อมูล
การประมวลผลข้อมูลและการนาเสนอขอ้ มูลใชก้ระบวนการศึกษาเชิงปฏิบตั ิการ 2 วงรอบ มีกจิ กรรมใน
การพัฒนาคือ การประชุมเชิงปฏิบัติการและการนิเทศจากการดาเนินงานศึกษาค้นคว้าคร้ังน้ี ให้ระบบ
สารสนเทศมีความทันสมัยสะดวกในการนา ไปใช้ในการบริหาร จัดการไม่ว่าจะเป็นเร่ืองการแต่งต้ัง
โยกย้ายการพิจารณาความดีความชอบ การบรรจุแต่งต้ังและอ่ืนๆ ท่ีเกี่ยวข้อง เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานมี
ความรู้ความเข้าใจ มีความตระหนักในความสาคัญของการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์มาใช้ในการจัดเก็บ
ข้อ มูลการประมวลผลข้อมูลและการนาเสนอข้อมูล ทาให้ระบบงานขับเคลื่อนไปด้วยความม่ันใจ
สะดวกรวดเร็วและมีคุณภาพ76

75 สมทบ สยามไชย, การพฒั นาระบบสารสนเทศเพือ่ การบรหิ ารงานโรงเรยี นวดั หนองคัน (ไจพทิ ยาคาร)
อาเภอทา่ ใหม่ จงั หวดั จนั ทบุรี / สมทบ สยามไชย, (งานนพิ นธ์การศกษามหาบณั ฑติ , สาขาวิชาการบรหิ ารหารศกึ ษา,
คณะศกึ ษาศาสตร์, มหาวทิ ยาลัยบรู พา, 2550) หนา้ บทคัดยอ่ .

76 จักราวธุ สอนโกษา, การพัฒนาระบบสารสนเทศการบริหารงานบคุ คล ส านกั งานเขตพ่นื ที่ การศึกษา
ขอนแกน่ เขต 1 จังหวัดขอนแกน่ , (การศกึ ษามหาบณั ฑิต สาขาวชิ าการบริหาร การศกึ ษา มหาวิทยาลัย
มหาสารคาม. มหาสารคาม, 2550) หน้า 79.

65

2.6 กรอบแนวคดิ ในการวจิ ัย
ในการบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศเพ่ือการบริหาร มหาวิทยามหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

วิทยาเขตขอนแก่น เป็นการศึกษาวิธีการจัดการข้อมูลสารสนเทศในแต่ละหน่วยงาน โดยมีปัจจัยของ
กลุ่มเป้าหมายท่ีแตกต่างกันทั้งด้านสถานภาพ ระดับการศึกษา ตาแหน่งบริหาร ตาแหน่งวิชาการ การ
ปฏิบัติหน้าที่ ระยะเวลาในการทางาน ส่งผลตอ่ การบรหิ ารจดั การขอ้ มูลสารสนเทศเพ่ือการบริหาร มหา
วิทยามหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น อย่างไรบ้าง รวมถึงการสัมภาษณ์ข้อมูลเชิงลึก
ดังนน้ั ผวู้ ิจัยจงึ ไดก้ าหนดกรอบแนวคิดในการวจิ ัย ดงั น้ี

ตวั แปรอิสระ ตวั แปรตาม

ปัจจยั ส่วนบคุ คลของกลุ่มตวั อยา่ ง การบริหารจดั การข้อมูลสารสนเทศเพอ่ื
การบรหิ าร มจร ขอนแกน่
 สถานภาพ
 ระดบั การศกึ ษา  ด้านการศึกษา
 ตาแหน่งบริหาร  ด้านการเงนิ
 ตาแหน่งทางวชิ าการ  ดา้ นการวจิ ยั
 การปฏบิ ตั หิ นา้ ที่  ด้านพฒั นานิสิต
 ดา้ นทรพั ยากรมนุษย์
 ระยะเวลาการทางาน

การสมั ภาษณ์ขอ้ มลู เชิงลึก

แผนภาพท่ี 9 กรอบแนวคดิ ในการวิจยั

66

บทท่ี 3
วิธีดาเนนิ การวจิ ัย

การศึกษาวิจัยคร้ังน้ีเป็นการศึกษาวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method Research)
ประกอบด้วยการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) และการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative
Research) ซ่ึงผวู้ ิจัยได้ดาเนนิ การศกึ ษา ดังน้ี

3.1 รปู แบบการวิจยั
3.2 ประชากรและกล่มุ เป้าหมาย
3.3 เคร่อื งมอื ที่ใช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู
3.4 การสรา้ งเครื่องมือทีใ่ ชใ้ นงานวจิ ยั
3.5 วธิ กี ารเก็บรวบรวมข้อมลู
3.6 การจัดทาเก็บข้อมูลและวเิ คราะห์ข้อมูล

3.1 รูปแบบการวิจัย
ผ้วู จิ ยั ได้แบง่ รูปแบบการวิจยั มีรายละเอยี ด ดังนี้
3.1.1 การวิจัยเอกสาร (Documentary Research) เปน็ การศึกษาจากเอกสารต่าง ๆ ตาม

แนวคิดทฤษฏีเกี่ยวกับการจัดการข้อมูลสารสนเทศเพ่ือการบริหาร การเชื่อมโยงข้อมูลสารสนเทศ
หนังสือตาราวิชาการ วาสาร อินเตอร์เน็ต เอกสารงานวิจัยที่เก่ียวข้อง แล้วนามาประมวลความเสนอใน
รูปแบบการบรรยายเชิงพรรณนา 5 ด้าน ได้แก่ ด้านการศึกษา ด้านการเงิน ด้านการวิจัย ด้านพัฒนา
นสิ ิต และด้านทรัพยากรมนุษย์

3.1.2 การวิจัยภาคสนาม (Field Research) เป็นข้ันตอนหลังจากศึกษาเอกสารจนได้
แนวทางหรือแนวคิดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิธีการจัดการข้อมูลสารสนเทศเพื่อการบริหารของ
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยแล้วนามาเป็นแบบสอบถาม จากผู้บริหารระดับสูง ผู้บริหาร
ระดับกลาง ผู้บริหารระดับต้น และบุคลากรระดับปฏิบัติการของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลัย

3.2 ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง
ใช้แบบสัมภาษณ์กรณีตัวอย่างเจ้าหน้าท่ีผู้ปฏิบัติงานแต่ละกลุ่มงานท่ีนาแนวคิดการจัดเก็บ

ข้อมูลสารสนเทศไปประยุกต์ใช้กบั การจดั เกบ็ ข้อมูลและสมั ภาษณ์ผู้บรหิ ารและผูม้ ีสว่ นเกีย่ วข้องดังน้ี
3.2.1 กลมุ่ เปา้ หมาย
กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในงานวิจัยคร้ังนี้เป็นบุคคลกรมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช

วทิ ยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น รวมทงั้ สน้ิ 86 รปู /คน โดยแยกได้ดงั น้ี
- ด้านปริมาณ คือ จากการแจกแบบสอบถาม บุคลากรท่ีมีส่วนเก่ียวข้องระดับ

ปฏิบัตกิ าร จานวน 50 รปู /คน
- ดา้ นคณุ ภาพ การสัมภาษณ์เชงิ ลึก ไดแ้ ก่

67

1) สัมภาษณผ์ ้บู ริหารระดบั สงู จานวน 5 รูป/คน
2) สัมภาษณ์ผบู้ ริหารระดบั กลาง จานวน 5 รปู /คน
3) สมั ภาษณ์ผ้บู ริหารระดับต้น จานวน 5 รปู /คน
4) สัมภาษณ์บุคลากรระดับปฏิบัติการ กลุ่มงานละ 3 รูป/คน โดยมี
รายละเอยี ดดงั นี้

4.1) กลุ่มงานบรหิ าร
4.2) กลุ่มงานวางแผนวจิ ัยและพัฒนา
4.3) กล่มุ งานหอ้ งสมดุ และสารสนเทศ
4.4) กลุ่มงานวิชาการและคุณภาพการศึกษา
4.5) กลุ่มงานวางแผนและงบประมาณ
4.6) กลุ่มงานทะเบียนและวัดผล
4.7) กลมุ่ งานบรกิ ารการศกึ ษา
3.2.2 สถานทศี่ ึกษา
ผู้วิจัยกาหนดเขตพ้ืนที่สาหรับการวิจัย โดยจากัดเฉพาะมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ
ราชวิทยาลัย วทิ ยาเขตขอนแกน่

3.3 เคร่อื งมอื ท่ใี ช้ในการศกึ ษาวิจยั
เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการเก็บข้อมูล โดยผู้ศึกษาไดใช้แบบสอบถามที่สร้างขึ้นเองสามารถแบ่งออกได้

ดงั น้ี
3.3.1 เคร่อื งมือเชงิ ปริมาณ ไดแ้ ก่
ตอนที่ 1 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลท่ัวไป ได้แก่ สถานภาพของผู้ตอบ

แบบสอบถาม ไดแก เพศ อายุ ตาแหนง ประสบการณการทางาน สงั กดั /หนว่ ยงานรบั ผดิ ชอบ
ตอนท่ี 2 แบบสอบถามเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนารูปแบบการจัดการข้อมูล

สารสนเทศ
ตอนที่ 3 แบบสอบถามแนวทางการพัฒนารูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศ

มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น
ตอนท่ี 4 แบบสอบถามเก่ียวกับปัญหาและอุปสรรคในการการจัดการข้อมูล

สารสนเทศ และข้อเสนอแนะ
3.3.2 แบบ Checklist รายการระบบและกลไกการทางานของแตล่ ะสานกั งาน
3.3.3 เครอ่ื งมอื เชิงคณุ ภาพ ไดแ้ ก่
1) แบบสัมภาษณ์และการสังเกตกระบวนการการทางานของบุคลากรที่มีส่วนร่วม

(Observations Participant) ในการจัดการข้อมูล โดยจัดทาเป็นแบบบันทึกการทางานของบุคลากรท่ี
มีส่วนร่วมในการในการจัดการข้อมูลสารสนเทศ ซึ่งเป็นการสังเกตพฤติกรรมและการแสดงออกของ
ผู้ปฏิบัติงานของฝ่ายต่างๆ ควบคู่กับการสัมภาษณ์ผู้ปฏิบัติงาน และเข้าร่วมกิจกรรมของมหาวิทยาลัย
เพื่อให้มองเห็นถึงการปฏบิ ัติงานจรงิ

68

2) การประชุมกลุ่มย่อย (Focus Group) ซึ่งหัวข้อท่ีใช้ในการประชุมย่อย คือ การ
จดั การข้อมูลสารสนเทศเพ่อื การบรหิ ารงาน

3) การสัมมนาเชิงวิชาการเรื่อง วิธีการจัดการข้อมูลสารสนเทศ เพ่ือนาไปสู่การจัดทา
คูม่ ือการปฏิบตั ิงาน

3.4 การสร้างเครอื่ งมอื ท่ีใชใ้ นการวจิ ยั
มีขั้นตอนการสรา้ งเครอ่ื งมือ ดงั นี้
3.5.1 การสร้างเคร่ืองมือ เป็นการนาข้อมูลจากการศึกษาเอกสาร และงานวิจัยที่เก่ียวข้อง

ซึง่ ผวู้ ิจัยได้นามาเป็นแนวทางในการสรา้ งเครอ่ื งมอื เพ่ือใช้เก็บรวมรวมขอ้ มลู ในการวจิ ัย
1) ศกึ ษาเอกสาร งานวจิ ัยตา่ งๆ ทีเ่ กยี่ วข้อง
2) ศึกษาวิธีการสร้างแบบสอบถาม และสร้างแบบสอบถามโดยใช้มาตราส่วนประมาณค่า

ของลเิ คริ ท์ จานวน 50 ขอ้ โดยใช้จรงิ จานวน 35 ข้อ
3) นาแบบสอบถามที่สร้างขึ้น ไปให้ผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน พิจารณาความเหมาะสมของ

ข้อความและตรวจความเที่ยงตรงเพื่อตรวจสอบหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objective
Congruence : IOC) ของแบบประเมิน แล้วเลือกข้อคาถาม ท่ีมีค่าดชั นีความสอดคล้องต้ังแต่ 0.50 ขึ้น
ไป โดยใช้เกณฑ์การประเมินผลดงั น้ี

+1 หมายถงึ แน่ใจว่าแบบประเมินตรงตามประเด็นการถามข้อนน้ั
0 หมายถึง ไมแ่ น่ใจว่าแบบประเมนิ ตรงตามประเดน็ การถามข้อนั้นหรือไม่
-1 หมายถงึ แนใ่ จวา่ แบบประเมินไมต่ รงตามประเด็นการถามข้อนนั้
4) นาแบบสอบถามมาปรับปรงุ แบบประเมนิ ตามคาแนะนาของผูเ้ ชีย่ วชาญ
5) นาแบบสอบถามท่ปี รบั ปรงุ แกไ้ ขเรียบร้อยตามคาแนะนาของผูเ้ ชี่ยวชาญ
6) นาแบบสอบถามท่ีผ่านการปรับปรุงแก้ไขแล้ว มาจัดทาแบบสอบถามเป็นฉบับ
สมบูรณ์ ไปใช้กับกลุ่มเปา้ หมาย เพ่อื ดาเนนิ การตอ่ ไป

3.5 วธิ กี ารเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
ผู้วิจัยได้สร้างแบบสอบถามขึ้นโดยแบ่งเป็นแบบสอบถามข้อมูลเชิงปริมาฯและข้อมูลเชิง

คณุ ภาพ ซ่งึ สามารถเก็บรวบรวมขอ้ มูลงานวจิ ัยได้ดงั นี้
1) ทาหนังสือขอความร่วมมือในการเก็บรวมรวมข้อมูลจากสังกัด/หน่วยงาน ภายใน

มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรราชวิทยาลยั วิทยาเขตขอนแก่น
2) นาแบบสอบแจกบุคลากรท่ีมสี ว่ นเกย่ี วข้องระดับปฏิบัติการ จานวน 86 รปู /คน
3) ในการสัมภาษณ์เชิงลึกทาหนังสือเชิญผู้บริการระดับสูง ระดับกลาง ระดับต้น และ

บคุ ลากรระดบั ปฏบิ ัตกิ าร เพอื่ ทาการประชุมกลุม่ ย่อย (Focus Group)
4) ประชุมและบันทึกข้อเสนอแนะจากการสนทนากล่มุ
5) จัดทาโครงการสัมมนาเชิงวิชาการเร่ือง วิธีการจัดการข้อมูลสารสนเทศ โดยเชิญผู้บริหาร

และบคุ ลากรระดบั ปฏิบตั ิการ เขา้ รว่ มสัมมนา
6) ทาการสรุปโครงการสัมมนาเชงิ วชิ าการเรือ่ ง วิธีการจัดการขอ้ มูลสารสนเทศ

69

นาข้อมูลมาสังเคราะห์นามาเป็นแนวทางในการจัดทาคู่มือการปฏิบัติงาน การบริหารจัดการ
ข้อมลู สารสนเทศเพอ่ื การบริหาร มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั วทิ ยาเขตขอนแกน่

3.6 การวิเคราะหข์ ้อมลู และสถิตท่ใี ช้
การวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการศึกษาในขั้นตอนนี้ ผู้วิจัยใช้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรม

คอมพิวเตอรส์ าเรจ็ รปู ทางสถติ ินามาบนั ทึกลงเครื่องคอมพิวเตอร์ และสถิติท่ใี ชในการวเิ คราะหข้อมลู ดงั น้ี
3.6.1 ขอ้ มูลเชิงปริมาณ
ตอนที่ 1 เป็นแบบสอบถามเก่ียวกับสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม สถิติที่นามาใช้

ในการวิเคราะห์ได้แก ค่าร้อยละ (Percentage) ใช้อธิบายข้อมูลทั่วไป ไดแก สถานภาพของผู้ตอบ
แบบสอบถาม ไดแก เพศ อายุ ตาแหนง ประสบการณการทางาน สังกัด/หน่วยงานรับผดิ ชอบ

ตอนที่ 2 เป็นแบบสอบถามเก่ียวกับแนวทางการพัฒนารูปแบบการจัดการข้อมูล
สารสนเทศ สถิติท่ีนามาใชในการวิเคราะห ไดแก คาเฉลี่ย และสวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard
Deviation) เกณฑใ์ นการแปลความหมายข้อมลู ดงั นี้

คะแนนเฉลี่ย 4.50 - 5.00 หมายถึงมรี ะดับปฏบิ ัติมากทีส่ ดุ
คะแนนเฉลยี่ 3.50 - 4.49 หมายถงึ มีระดับปฏบิ ัตมิ าก
คะแนนเฉลีย่ 2.50 - 3.49 หมายถงึ มรี ะดับปฏบิ ตั ปิ านกลาง
คะแนนเฉลย่ี 1.50 - 2.49 หมายถึงมีระดับปฏิบัตนิ อย
คะแนนเฉล่ีย 1.00 - 1.49 หมายถงึ มรี ะดบั ปฏิบัตนิ อยทส่ี ุด
ตอนที่ 3 แนวทางการพฒั นารูปแบบการจดั การข้อมลู สารสนเทศมหาวิทยาลยั มหาจฬุ า
ลงกรณราชวทิ ยาลัย วทิ ยาเขตขอนแกน่ สถติ ทิ ่นี ามาใชในการวิเคราะห ไดแก คาเฉลี่ย และสวน
เบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) เกณฑ์ในการแปลความหมายข้อมูลดังน้ี
คะแนนเฉลี่ย 4.50 - 5.00 หมายถึงเหน็ ดว้ ยระดับมากทสี่ ุด
คะแนนเฉลยี่ 3.50 - 4.49 หมายถงึ เห็นดว้ ยระดบั มาก
คะแนนเฉลี่ย 2.50 - 3.49 หมายถึงเห็นด้วยระดับปานกลาง
คะแนนเฉลย่ี 1.50 - 2.49 หมายถงึ เห็นดว้ ยระดบั นอ
คะแนนเฉลย่ี 1.00 - 1.49 หมายถงึ เห็นดว้ ยระดับนอยท่ีสุด
ตอนท่ี 4 แบบสอบถามเกยี่ วกับปัญหาและอุปสรรคในการการจัดการข้อมูลสารสนเทศ
และข้อเสนอแนะ สถิติท่ีใช้คอื สถิติพรรณนาและสรปุ ความคดิ เหน็
3.6.2 แบบ Checklist รายการระบบและกลไกการทางานของแต่ละสานักงาน สถิติท่ีนามาใช้
ในการวเิ คราะหไ์ ดแ้ ก ค่าร้อยละ (Percentage)
3.6.3 แบบสัมภาษณ์การบริหารจัดการขอ้ มูลสารสนเทศเพื่อการบริหาร มหาวิทยาลัยมหาจฬุ า
ลงกรณราชวิทยาลยั วิทยาเขตขอนแก่น
3.6.4 เคร่อื งมือเชงิ คณุ ภาพ ได้แก่
1) แบบสังเกตกระบวนการการทางานของบุคลากรท่ีมีส่วนร่วม (Observations
Participant) ในการจัดการข้อมูล โดยจัดทาเป็นแบบบันทึกการทางานของบุคลากรท่ีมีส่วนร่วมในการ
ในการจัดการข้อมูลสารสนเทศ ซ่ึงเป็นการสังเกตพฤติกรรมและการแสดงออกของผู้ปฏิบัติงานของฝ่าย

70

ตา่ ง ๆ ควบค่กู ับการสัมภาษณ์ผูป้ ฏิบตั ิงาน และเข้าร่วมกจิ กรรมของมหาวทิ ยาลัย เพือ่ ใหม้ องเหน็ ถงึ การ
ปฏิบัตงิ านจรงิ

2) การประชุมกลุ่มย่อย (Focus Group) ซ่ึงหัวข้อท่ีใช้ในการประชุมย่อย คือ การ
จดั การขอ้ มลู สารสนเทศเพือ่ การบรหิ ารงาน

3) การสัมมนาเชิงวิชาการเรื่อง วิธีการจัดการข้อมูลสารสนเทศ เพื่อนาไปสู่การจัดทา
คมู่ ือการปฏิบัตงิ าน สถิติท่ีใช้คอื สถิติพรรณนา โดยการสังเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการสังเกต การประชุม
ย่อย (Focus Group) และการสัมมนาเชิงวิชาการเร่ือง วิธีการจัดการข้อมูลสารสนเทศ นาไปสู่การ
จัดทาคู่มือการปฏบิ ตั งิ าน

71

บทท่ี 4
ผลการวจิ ยั

การวิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิธีจัดการข้อมูลสารสนเทศ พัฒนาวิธีจัดการข้อมูล
สารสนเทศเพ่ือการบริหาร และวิเคราะหก์ ารเช่อื มโยงมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั วิทยา
เขตขอนแก่น โดยรูปแบบวิจัยเป็นแบบผสมผสาน (Mixed Method Research) ประกอบด้วยการวิจัย
เชิงคุณภาพ (Qualitative Research) และการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) โดยได้
นาเสนอผลการศกึ ษา ซึง่ ประกอบไปดว้ ย

1) ข้อมูลทัว่ ไปของผู้ตอบแบบสอบถาม
2) รูปแบบการจัดการขอ้ มูลสารสนเทศมหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั วิทยาเขต
ขอนแกน่
3) แนวทางการพัฒนารูปแบบการจดั การข้อมูลสารสนเทศมหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราช
วิทยาลยั วทิ ยาเขตขอนแกน่
4) ปัญหาและอปุ สรรคในการการจดั การข้อมูลสารสนเทศและข้อเสนอแนะ
5) รายการระบบและกลไกการทางานของแตล่ ะสานักงาน
6) ผลการสมั ภาษณ์เรื่อง การบริหารจัดการข้อมลู สารสนเทศเพ่ือการบริหาร มหาวทิ ยาลยั
มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น
7) บทสรปุ ผลการศึกษารูปแบบการจัดการขอ้ มูลสารสนเทศมหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณ
ราชวิทยาลยั วิทยาเขตขอนแก่น
สาหรับการการจัดเก็บขอ้ มูลสารสนเทศ เพื่อนาไปพัฒนาวิธีการจัดเกบ็ ข้อมูลสารสนเทศเพ่ือ
การบรหิ าร ผู้วิจัยได้ทาการจดั เก็บข้อมูลโดยเริ่มจากการวางแผนโดยการเตรียมข้อมูลของแบบสอบถาม
ศึกษากลุ่มเป้าหมายท่ีจะทาการเก็บข้อมูล แจกแบบสอบถามและคอยให้คาแนะนาระหว่าง
กลุ่มเป้าหมายตอบแบบสอบถาม และจัดสัมมนาเพ่ือหาแนวทางการพัฒนารูปแบบการจัดการข้อมูล
สารสนเทศมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย วทิ ยาเขตขอนแกน่ สาหรับกล่มุ ผู้บรหิ ารระดับต้น
ระดับกลาง และระดับสูง ซึ่งในการระหว่างการสัมมนาผู้วิจัยได้ทาการจดบันทึกข้อมูลเชิงลึกเพื่อให้ได้
ขอ้ มูลทสี่ มบูรณ์และนาไปวิเคราะห์ สงั เคราะหข์ ้อมูลต่อไป ซง่ึ สามารถสรปุ ไดด้ งั น้ี

4.1 ข้อมูลทั่วไปของผตู้ อบแบบสอบถาม
จากการศึกษาข้อมูลของผู้ตอบแบบสอบถามในการวิจัยครั้งน้ี จานวน 50 รูป/คน โดย

สามารถจาแนกตามเพศของผู้ตอบสอบถามคือ เป็นเพศชาย จานวน 29 รูป/คน คิดเป็นร้อยละ 58และ
เป็นเพศหญิง จานวน 21 คน คดิ เป้นร้อยละ52 มีอายอุ ยู่ระหว่าง 30-39 ปี จานวน 18 รูป/คน คดิ เป็น
ร้อยละ 36, อายอุ ยู่ระหว่าง 40-49 ปี จานวน 16 คิดเปน็ รอ้ ยละ 32, อายตุ า่ กว่า 30 ปี จานวน 10 คิด
เปน็ ร้อยละ 20 และอายุ 50 ปีขึน้ ไป จานวน 6 คดิ เปน็ ร้อยละ 12 มสี ถานภาพเปน็ คฤหสั ถ์ จานวน 38 .
คน คิดเป็นร้อยละ 76 เป็นบรรพชิต จานวน 72 รูป คิดเป็นร้อยละ 24 ผู้ตอบแบบสอบถามมีตาแหน่ง
งานเปน็ นักวชิ าการศึกษา จานวน 26 รูป/คน คิดเป็นรอ้ ย 52 เป็นอาจารย์ จานวน 15 รูป/คน คิดเป็น

72

ร้อยละ 30 และเป็นนักจัดการทั่วไป จานวน 9 รูป/คน คิดเป็นร้อยละ 18มีระดับการศึกษาปริญญาโท
จานวน 22 รูป/คน คิดเป็นร้อยละ 44 ระดับปริญญาตรี จานวน 20 รูป/คน คิดเป็นร้อยละ 40 และ
ปรญิ ญาเอก 8 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 16 และผูต้ อบแบบสอบถามมีประสบการณ์ในการทางาน ต่ากวา่ 5 ปี
และ 5-15 ปี จานวน 16 รูปคน คิดเป็นร้อยละ 32, 16-25 ปี จานวน 12 รูป/คน คิดเป็นร้อยละ 24
และ 25 ปขี ึน้ ไป 6 คิดเป็นร้อยละ 12 ดงั ตารางท่ี 1

ตารางท่ี 1 ขอ้ มลู ทั่วไปของผูต้ อบแบบสอบถาม (n=50)

ท่ี ข้อมูลท่ัวไป จานวน ร้อยละ

1. เพศ 29 58
ชาย 21 52
หญิง
10 20
2. อายุ 18 36
ตา่ กวา่ 30 ปี 16 32
30-39 ปี 6 12
40-49 ปี
50 ปีขน้ึ ไป 38 76
12 24
3. สถานะ
คฤหสั ถ์ 15 30
บรรพชติ 26 52
9 18
4. ตาแหนง่ งาน
อาจารย์ 20 40
นักวชิ าการศึกษา 22 44
นักจัดการทัว่ ไป 8 16

5. ระดับการศกึ ษา 16 32
ปริญญาตรี 16 32
ปรญิ ญาโท 12 24
ปริญญาเอก 6 12

6. ประการณ์ในการทางาน
ตา่ กว่า 5 ปี
5-15 ปี
16-25 ปี
25 ปีขึ้นไป

73

4.2 รปู แบบการจดั การข้อมูลสารสนเทศมหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขต
ขอนแก่น

จากการศกึ ษารูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วทิ ยาเขตขอนแก่น ด้วยการตอบแบบสอบถามของบุคลากรจากสายงานต่างๆ ในมหาวิทยาลัยมหาจุฬา
ลงกรณราชวทิ ยาลยั วิทยาเขตขอนแกน่ จานวน 50 รปู /คน พบวา่ รปู แบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศ
ท้งั 3 ด้าน มีผลการปฏบิ ัติงานอยูใ่ นระดับมาก = 3.54 (S.D. = 0.32) และเม่ือแยกเปน็ รายด้านพบว่า
ด้านที่มีการระดับการปฏิบัติมากท่ีสุด คือ ด้านการนาข้อมูลไปใช้ มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.69
(S.D. = 0.46) รองลงมาคือ ดา้ นกระบวนการบริหารขอ้ มลู สารสนเทศ มรี ะดับการปฏิบตั มิ าก = 3.50
(S.D. = 0.34) และด้านท่ีมีการปฏิบัติน้อยที่สุด คือ ด้านปัจจัย มีระดับการปฏิบัติปานกลาง = 3.41
(S.D. = 0.38) ดงั แสดงในตารางท่ี 2

ตารางที่ 2 ผลการศึกษารปู แบบการจดั การข้อมูลสารสนเทศมหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลยั วิทยาเขตขอนแกน่

ท่ี รายการจัดรูปแบบการการจัดข้อมูลสารสนเทศ ระดบั การปฏบิ ัติ

1. ด้านกระบวนการบริหารข้อมูลสารสนเทศ S.D. แปลผล
2. ดา้ นปัจจยั 3.50 0.34 มาก
3. ดา้ นการนาข้อมูลไปใช้ 3.41 0.38 ปานกลาง
3.69 0.46 มาก
รวม 3.54 0.32 มาก

4.2.1 รูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วทิ ยาเขตขอนแก่น ดา้ นกระบวนการบรหิ ารข้อมูลสารสนเทศ

จากการศึกษารูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น สามารถพิจารณาเป็นรายด้านได้ คือ ด้านกระบวนการบริหารข้อมูล
สารสนเทศ โดยรวมมีระดับการปฏิบัติมาก = 3.50 (S.D. = 0.34) และเมื่อแยกออกเป็นข้ันพบวา่ ข้ัน
ที่มีระดับการปฏิบัติมากท่ีสุด คือ ข้ันการเก็บรวบรวมข้อมูล มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.61 (S.D. =
0.70) รองลงมาคอื ข้นั การจัดหน่วยหรือคลงั ข้อมูลในหนว่ ยงาน มรี ะดับการปฏบิ ัติมาก = 3.53 (S.D.
= 0.45), ข้ันการตรวจสอบข้อมูล มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.52 (S.D. = 0.44), ข้ันการวิเคราะห์
ข้อมูล มีระดับการปฏิบัติปานกลาง = 3.48 (S.D. = 0.53) และขั้นที่มีการปฏิบัติน้อยท่ีสุด คือ ขั้น
การประมวลผล มีระดบั การปฏบิ ตั ปิ านกลาง = 3.38 (S.D. = 0.40) ตามลาดบั ดงั แสดงในตารางท่ี 3

74

ตารางท่ี 3 ผลการศกึ ษารปู แบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศมหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณ
ราชวทิ ยาลัย วิทยาเขตขอนแกน่ ด้านกระบวนการบรหิ ารขอ้ มลู สารสนเทศ

ที่ ด้านกระบวนการบรหิ ารขอ้ มูลสารสนเทศ ระดบั การปฏบิ ตั ิ

1. ขน้ั การเก็บรวบรวมขอ้ มลู S.D. แปลผล
2. ขน้ั การตรวจสอบข้อมลู 3.61 0.70 มาก
3. ขน้ั การประมวลผล 3.52 0.44 มาก
4. ขน้ั การจัดหนว่ ยหรอื คลงั ข้อมูลในหน่วยงาน 3.38 0.40 ปานกลาง
5. ขน้ั การวเิ คราะห์ข้อมูล 3.53 0.45 มาก
3.48 0.53 ปานกลาง
รวม 3.50 0.34 มาก

4.2.1.1 รูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย วทิ ยาเขตขอนแก่น ด้านกระบวนการบริหารข้อมลู สารสนเทศ ข้นั การเก็บรวบรวมขอ้ มูล

จากการศึกษารูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลัย วิทยาเขตขอนแกน่ ดา้ นกระบวนการบรหิ ารข้อมลู สารสนเทศ และเมอ่ื แยกรายละเอียดของขั้น
การเก็บรวบรวมข้อมูล พบว่า ข้อท่ีมีระดับการปฏิบัติมากท่ีสุด คือ การเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการที่
หลากหลาย เช่น การสอบถาม การออกแบบสารวจ การทดสอบ เป็นต้น มีระดับการปฏิบัติมาก =
3.88 (S.D. = 0.85) รองลงมาคือ การกาหนดเป้าหมาย ด้านปริมาณ คุณภาพ ระยะเวลาในการเก็บ
ข้อมูลชัดเจน มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.82 (S.D. = 1.02), การกาหนดผู้รับผิดชอบในการเก็บ
รวบรวมข้อมูล มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.76 (S.D. = 1.08), การสร้างเคร่ืองมือเก็บรวบรวมข้อมูล
ครอบคลมุ ภาระงานทงั้ หมด มรี ะดับการปฏบิ ัตมิ าก = 3.74 (S.D. = 1.00), การให้บคุ ลากรมีส่วนร่วม
ในการวางแผนกาหนดจุดประสงค์และเป้าหมาย การเก็บรวบรวม มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.66
(S.D. = 0.94), การกาหนดแหล่งข้อมูลชัดเจน และหลากหลาย มีระดับการปฏิบัตมิ าก = 3.60 (S.D.
= 0.99), การให้บุคลากรมีส่วนร่วมในการสร้างเคร่ืองมือและเก็บรวบรวมข้อมูล มีระดับการปฏิบัติมาก

= 3.58 (S.D. = 0.88), การสารวจสภาพปัจจุบัน ปัญหาความต้องการในการเก็บรวบรวมข้อมูล มี
ระดับการปฏิบัติปานกลาง = 3.38 (S.D. = 0.75), การวางแผนไว้ล่วงหน้าโดยการกาหนด
วัตถุประสงค์และขอบเขตของข้อมูลที่ต้องการจัดเก็บ มีระดับการปฏิบัติปานกลาง = 3.36 (S.D. =
0.90) และขอ้ ที่มีการปฏบิ ัตนิ อ้ ยทส่ี ุด คอื การใหค้ วามรคู้ วามเขา้ ใจในเร่อื งการจัดเก็บข้อมูล มีระดับการ
ปฏบิ ตั ปิ านกลาง = 3.30 (S.D. = 0.99) ตามลาดับ ดังแสดงในตารางที่ 4

75

ตารางที่ 4 ผลการศกึ ษารูปแบบการจัดการขอ้ มูลสารสนเทศมหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลยั วทิ ยาเขตขอนแก่น ดา้ นกระบวนการบรหิ ารข้อมลู สารสนเทศ ขั้นการเก็บ
รวบรวมข้อมลู

ท่ี รายการจัดรูปแบบการการจัดขอ้ มูลสารสนเทศ ระดับการปฏิบัติ
S.D. แปลผล

ดา้ นกระบวนการบรหิ ารขอ้ มูลสารสนเทศ

ข้ันการเก็บรวบรวมข้อมูล

1. การสารวจสภาพปจั จุบนั ปญั หาความตอ้ งการในการเก็บ 3.38 0.75 ปานกลาง
รวบรวมขอ้ มลู

2. การวางแผนไวล้ ว่ งหนา้ โดยการกาหนดวตั ถุประสงคแ์ ละ 3.36 0.90 ปานกลาง
ขอบเขตของข้อมูลที่ต้องการจัดเกบ็

3. การกาหนดเปา้ หมาย ด้านปริมาณ คุณภาพ ระยะเวลาในการ 3.82 1.02 มาก
เก็บข้อมูลชดั เจน

4. การกาหนดผ้รู บั ผดิ ชอบในการเก็บรวบรวมขอ้ มูล 3.76 1.08 มาก

5. การให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องการจดั เกบ็ ข้อมลู 3.30 0.99 ปานกลาง

6. การสร้างเคร่ืองมือเก็บรวบรวมข้อมลู ครอบคลมุ ภาระงาน 3.74 1.00 มาก
ท้ังหมด

7. การกาหนดแหลง่ ขอ้ มลู ชัดเจน และหลากหลาย 3.60 0.99 มาก

8. การให้บคุ ลากรมสี ่วนร่วมในการวางแผนกาหนดจุดประสงค์ 3.66 0.94 มาก
และเป้าหมาย การเก็บรวบรวม

9. การให้บุคลากรมีสว่ นร่วมในการสร้างเคร่ืองมอื และเก็บ 3.58 0.88 มาก
รวบรวมข้อมูล

10. การเกบ็ รวบรวมข้อมูลด้วยวิธกี ารที่หลากหลาย เช่น การ 3.88 0.85 มาก
สอบถาม การออกแบบสารวจ การทดสอบ เปน็ ตน้

รวม 3.61 0.70

4.2.1.2 รูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลยั วิทยาเขตขอนแก่น ด้านกระบวนการบริหารข้อมูลสารสนเทศ ขัน้ การตรวจสอบข้อมูล

จากการศึกษารูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ด้านกระบวนการบริหารขอ้ มลู สารสนเทศ และเมอื่ แยกรายละเอียดของข้ัน
การตรวจสอบข้อมูล พบว่า ข้อท่ีมีระดับการปฏิบัติมากท่ีสุด คือ การตรวจสอบข้อมูลด้วยวิธีการเก็บ
ข้อมูลอื่นๆ ท่ีเก่ียวข้อง มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.78 (S.D. = 0.82) และ การตรวจสอบข้อมูลให้
เป็นปัจจุบัน ตรงตามวัตถุประสงค์ มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.78 (S.D. = 0.95) รองลงมาคือ การ
ตรวจสอบความครบถ้วนของข้อมูลก่อนจัดเก็บ มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.66 (S.D. = 0.90), การ
จาแนกข้อมูลเป็นหมวดหมู่ตามลักษณะงานทุกครัง้ มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.56 (S.D. = 0.93), การ

76

กาหนดผู้รับผดิ ชอบที่มีความรู้ความสามารถในการตรวจสอบข้อมูลสารสนเทศอย่างชัดเจน มีระดับการ
ปฏิบัติมาก = 3.50 (S.D. = 0.91), ผู้ท่ีเกี่ยวข้องทุกฝ่ายมีโอกาสตรวจสอบข้อมูล มีระดับการปฏิบัติ
ปานกลาง = 3.40 (S.D. = 0.90), การตรวจสอบข้อมูลด้วยวิธีการเปรียบเทียบกับข้อมูลในอดีต มี
ระดบั การปฏิบตั ิปานกลาง = 3.36 (S.D. = 0.92), การปรบั ปรุงแก้ไขข้อมลู ที่ผดิ พลาดให้เป็นปัจจุบัน
อยู่เสมอ มีระดับการปฏิบัติปานกลาง = 3.36 (S.D. = 0.99) และขอ้ ที่มีการปฏิบัติน้อยท่ีสดุ คือ การ
ตรวจสอบข้อมูลด้วยวิธีการสุ่มตรวจในแต่ละฝ่ายงาน มีระดับการปฏิบัติปานกลาง = 3.30 (S.D. =
0.86) ตามลาดบั ดังแสดงในตารางที่ 5

ตารางที่ 5 ผลการศึกษารูปแบบการจดั การข้อมลู สารสนเทศมหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลยั วิทยาเขตขอนแก่น ดา้ นกระบวนการบรหิ ารข้อมลู สารสนเทศ ขัน้ การ
ตรวจสอบขอ้ มลู

ท่ี รายการจัดรูปแบบการการจดั ข้อมูลสารสนเทศ ระดบั การปฏบิ ตั ิ
S.D. แปลผล
ดา้ นกระบวนการบริหารขอ้ มูลสารสนเทศ
ขัน้ การตรวจสอบข้อมลู 3.50 0.91 มาก

1. การกาหนดผ้รู บั ผดิ ชอบทมี่ คี วามรคู้ วามสามารถในการ 3.78 0.95 มาก
ตรวจสอบข้อมูลสารสนเทศอย่างชัดเจน 3.66 0.90 มาก
3.56 0.93 มาก
2. การตรวจสอบข้อมูลใหเ้ ป็นปัจจบุ ัน ตรงตามวัตถปุ ระสงค์ 3.36 0.92 ปานกลาง
3. การตรวจสอบความครบถ้วนของขอ้ มลู กอ่ นจัดเกบ็ 3.30 0.86 ปานกลาง
4. การจาแนกข้อมูลเปน็ หมวดหมู่ตามลกั ษณะงานทุกครงั้ 3.78 0.82 มาก
5. การตรวจสอบข้อมูลดว้ ยวิธกี ารเปรียบเทยี บกบั ขอ้ มูลในอดีต 3.36 0.99 ปานกลาง
6. การตรวจสอบข้อมูลด้วยวธิ กี ารสุ่มตรวจในแตล่ ะฝา่ ยงาน 3.40 0.90 ปานกลาง
7. การตรวจสอบข้อมูลด้วยวิธกี ารเก็บข้อมลู อืน่ ๆ ทีเ่ กี่ยวข้อง 3.52 0.44 มาก
8. การปรับปรุงแกไ้ ขข้อมลู ท่ีผดิ พลาดใหเ้ ป็นปัจจุบนั อยู่เสมอ
9. ผู้ทเี่ กีย่ วข้องทุกฝ่ายมีโอกาสตรวจสอบข้อมูล

รวม

4.2.1.3 รูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลยั วทิ ยาเขตขอนแกน่ ด้านกระบวนการบรหิ ารขอ้ มูลสารสนเทศ ขั้นการประมวลผล

จากการศึกษารูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลยั วทิ ยาเขตขอนแกน่ ด้านกระบวนการบริหารขอ้ มลู สารสนเทศ และเมอื่ แยกรายละเอียดของขั้น
การประมวลผล พบว่า ข้อท่ีมีระดับการปฏิบัติมากที่สุด คือ การประมวลผลข้อมูลโดยใช้เครื่องคานวณ
มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.50 (S.D. = 0.95) รองลงมาคือ การประมวลข้อมูลโดยใช้การบรรยาย มี
ระดับการปฏิบัติปานกลาง = 3.48 (S.D. = 0.97), การจัดทาดัชนีหรือตัวชี้นาในการประมวลผล
ข้อมูลเป็นสารสนเทศ มีระดับการปฏิบัติปานกลาง = 3.46 (S.D. = 0.81), การกาหนดบุคลากรที่มี

77

ความร้คู วามสามารถในการประมวลผลข้อมูลอย่างชัดเจน มรี ะดับการปฏบิ ัติปานกลาง = 3.44 (S.D.
= 0.86), การกาหนดให้มีข้ันตอนการประมวลผลข้อมูลและการตรวจสอบผลของการประมวลผลข้อมูล
ทุกครั้ง มีระดับการปฏิบัติปานกลาง = 3.42 (S.D. = 0.76), การประมวลผลข้อมูลโดยใช้เคร่ือง
คอมพิวเตอร์ มีระดับการปฏิบัติปานกลาง = 3.28 (S.D. = 0.81), การประมวลข้อมูลตามลักษณะ
งานของมหาวิทยาลัย มีระดับการปฏิบัติปานกลาง = 3.28 (S.D. = 0.83) และข้อที่มีการปฏิบัติน้อย
ที่สุด คือ การประมวลข้อมูลได้ตรงเวลาทีก่ าหนด มีระดับการปฏิบตั ิปานกลาง = 3.18 (S.D. = 0.80)
ตามลาดับ ดงั แสดงในตารางท่ี 6

ตารางท่ี 6 ผลการศึกษารปู แบบการจัดการขอ้ มูลสารสนเทศมหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย วทิ ยาเขตขอนแกน่ ด้านกระบวนการบริหารขอ้ มลู สารสนเทศ ข้ันการ
ประมวลผล

ท่ี ด้านกระบวนการบริหารข้อมูลสารสนเทศ ระดบั การปฏิบัติ
S.D. แปลผล
ขั้นการประมวลผล
1. การกาหนดบุคลากรท่ีมคี วามร้คู วามสามารถในการ 3.44 0.86 ปานกลาง
3.50 0.95 มาก
ประมวลผลขอ้ มูลอยา่ งชัดเจน 3.28 0.81 ปานกลาง
2. การประมวลผลข้อมลู โดยใชเ้ ครื่องคานวณ 3.48 0.97 ปานกลาง
3. การประมวลผลข้อมูลโดยใชเ้ คร่อื งคอมพวิ เตอร์ 3.18 0.80 ปานกลาง
4. การประมวลข้อมูลโดยใช้การบรรยาย 3.46 0.81 ปานกลาง
5. การประมวลข้อมูลได้ตรงเวลาทก่ี าหนด
6. การจดั ทาดชั นหี รือตัวชน้ี าในการประมวลผลข้อมูลเป็น 3.28 0.83 ปานกลาง

สารสนเทศ 3.42 0.76 ปานกลาง
7. การประมวลข้อมลู ตามลักษณะงานของมหาวทิ ยาลยั 3.38 0.40 ปานกลาง
8. การกาหนดให้มขี ั้นตอนการประมวลผลขอ้ มูลและการ

ตรวจสอบผลของการประมวลผลข้อมูลทกุ ครัง้
รวม

4.2.1.4 รูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ด้านกระบวนการบริหารข้อมูลสารสนเทศ ข้ันการจัดหน่วยหรือ
คลังข้อมลู ในหน่วยงาน

จากการศึกษารูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย วทิ ยาเขตขอนแก่น ดา้ นกระบวนการบริหารขอ้ มลู สารสนเทศ และเม่อื แยกรายละเอียดของขั้น
การจัดหน่วยหรือคลังข้อมูลในหน่วยงาน พบว่า ข้อท่ีมีระดับการปฏิบัติมากท่ีสุด คือ การเก็บข้อมูล
สารสนเทศของมหาวทิ ยาลัยใช้วิธีเก็บไว้ในเคร่อื งคอมพิวเตอร์ มรี ะดับการปฏบิ ตั ิมาก = 3.82 (S.D. =
0.96) รองลงมาคือ การจัดให้มีเจ้าหน้าท่ีที่มีความรู้ความสามารถ สาหรับรับผิดชอบประจาศูนย์ข้อมูล

78

สารสนเทศ มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.74 (S.D. = 0.77), การเก็บข้อมูลสารสนเทศของ
มหาวิทยาลัยในรูปแบบสถิติ มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.56 (S.D. = 1.01), การจัดให้มีศูนย์ข้อมูล
สารสนเทศเป็นสัดส่วน มีระดับการปฏิบัติปานกลาง = 3.48 (S.D. = 0.91), การจัดให้มีระบบการ
ค้นหาข้อมูลสารสนเทศอย่างรวดเร็ว มีระดับการปฏิบัติปานกลาง = 3.46 (S.D. = 0.79), การเก็บ
ข้อมูลสารสนเทศของมหาวิทยาลัยใช้วิธีการเก็บโดยใช้แฟ้มข้อมูล มีระดับการปฏิบัติปานกลาง =
3.46 (S.D. = 0.81), การจัดระบบการเก็บรักษาข้อมูลสารสนเทศไว้เป็นหมวดหมู่ตามลักษณะงาน
มหาวทิ ยาลัย มีระดับการปฏบิ ัติปานกลาง = 3.44 (S.D. = 0.86) และข้อที่มีการปฏิบัติน้อยท่ีสุด คือ
การเก็บข้อมูลสารสนเทศของมหาวิทยาลัยในรูปแบบวีดีทัศน์ มีระดับการปฏิบัติปานกลาง = 3.30
(S.D. = 0.89) ตามลาดบั ดังแสดงในตารางท่ี 7

ตารางที่ 7 ผลการศกึ ษารูปแบบการจดั การขอ้ มูลสารสนเทศมหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลัย วทิ ยาเขตขอนแก่น ด้านกระบวนการบรหิ ารข้อมูลสารสนเทศ ขนั้ การจดั
หน่วยหรอื คลงั ขอ้ มูลในหนว่ ยงาน

ท่ี ดา้ นกระบวนการบริหารข้อมูลสารสนเทศ ระดับการปฏิบัติ
S.D. แปลผล

ข้นั การจัดหน่วยหรือคลงั ข้อมลู ในหนว่ ยงาน

1. การจดั ให้มีเจา้ หนา้ ท่ที มี่ ีความรูค้ วามสามารถ สาหรับ 3.74 0.77 มาก
รบั ผดิ ชอบประจาศนู ย์ข้อมูลสารสนเทศ

2. การจัดใหม้ ีศูนยข์ ้อมลู สารสนเทศเป็นสัดส่วน 3.48 0.91 ปานกลาง

3. การจดั ระบบการเกบ็ รักษาขอ้ มลู สารสนเทศไวเ้ ปน็ หมวดหมู่ 3.44 0.86 ปานกลาง
ตามลักษณะงานมหาวทิ ยาลัย

4. การจัดให้มรี ะบบการคน้ หาข้อมูลสารสนเทศอย่างรวดเรว็ 3.46 0.79 ปานกลาง

5. การเกบ็ ขอ้ มลู สารสนเทศของมหาวทิ ยาลัยใชว้ ิธกี ารเก็บโดย 3.46 0.81 ปานกลาง
ใช้แฟม้ ข้อมูล

6. การเก็บขอ้ มูลสารสนเทศของมหาวทิ ยาลยั ใช้วธิ ีเก็บไว้ใน 3.82 0.96 มาก
เคร่อื งคอมพิวเตอร์

7. การเก็บขอ้ มูลสารสนเทศของมหาวทิ ยาลัยในรปู แบบสถติ ิ 3.56 1.01 มาก

8. การเกบ็ ข้อมลู สารสนเทศของมหาวิทยาลยั ในรปู แบบวดี ที ัศน์ 3.30 0.89 ปานกลาง

รวม 3.53 0.45

4.2.1.5 รูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลยั วิทยาเขตขอนแก่น ดา้ นกระบวนการบรหิ ารข้อมูลสารสนเทศ ข้ันการวเิ คราะหข์ ้อมูล

จากการศึกษารูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลัย วทิ ยาเขตขอนแก่น ด้านกระบวนการบรหิ ารขอ้ มูลสารสนเทศ และเมื่อแยกรายละเอียดของขั้น
การวิเคราะห์ขอ้ มูล พบว่า ขอ้ ท่มี ีระดับการปฏบิ ัติมากทส่ี ดุ คอื การมอบหมายให้ผ้รู บั ผิดชอบในการเก็บ

79

รวบรวมข้อมูลเป็นผู้วิเคราะห์ข้อมูล มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.78 (S.D. = 1.02) รองลงมาคือ การ
กาหนดขั้นตอนการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการทางสถิติประเภทข้อมูลเป็นปรนัย มีระดับการปฏิบัติมาก

= 3.52 (S.D. = 0.93), การวิเคราะห์ข้อมูลทันตามกาหนดเวลา มีระดับการปฏิบัติปานกลาง =
3.48 (S.D. = 0.97), การตรวจสอบความถูกต้องของการวิเคราะห์ข้อมูลทุกครั้ง มีระดับการปฏิบัติปาน
กลาง = 3.44 (S.D. = 0.88), การจัดระบบ ข้ันตอนของการวิเคราะห์ข้อมูลตามกลุ่มงานของ
มหาวิทยาลัย มีระดับการปฏิบัติปานกลาง = 3.42 (S.D. = 0.79), การจัดให้มีบุคลากรผู้มีความรู้
ความสามารถในทางคณติ ศาสตรแ์ ละสถิติเป็นผวู้ เิ คราะห์ข้อมูลอยา่ งชดั เจน มีระดบั การปฏบิ ัติปานกลาง

= 3.38 (S.D. = 0.86) และข้อที่มีการปฏิบัติน้อยท่ีสุด คือ การกาหนดข้ันตอนการวิเคราะห์ข้อมูล
ด้วยวิธีการทางสถิติประเภทข้อมูลเป็นอัตนัย มีระดับการปฏิบัติปานกลาง = 3.32 (S.D. = 0.89)
ตามลาดบั ดังแสดงในตารางท่ี 8

ตารางท่ี 8 ผลการศกึ ษารปู แบบการจัดการข้อมลู สารสนเทศมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย วิทยาเขตขอนแกน่ ดา้ นกระบวนการบริหารขอ้ มูลสารสนเทศ ข้ันการ
วเิ คราะหข์ อ้ มูล

ที่ ด้านกระบวนการบรหิ ารขอ้ มูลสารสนเทศ ระดับการปฏิบัติ
S.D. แปลผล
ขน้ั การวเิ คราะหข์ ้อมลู
1. การจัดให้มบี ุคลากรผู้มีความรู้ความสามารถในทาง 3.38 0.86 ปานกลาง

คณิตศาสตร์และสถติ เิ ปน็ ผวู้ ิเคราะห์ข้อมลู อยา่ งชดั เจน 3.78 1.02 มาก
2. การมอบหมายใหผ้ ู้รับผดิ ชอบในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู เป็นผู้
3.52 0.93 มาก
วเิ คราะหข์ ้อมลู
3. การกาหนดข้ันตอนการวิเคราะห์ข้อมูลดว้ ยวิธีการทางสถิติ 3.32 0.89 ปานกลาง
3.44 0.88 ปานกลาง
ประเภทข้อมูลเปน็ ปรนัย 3.42 0.79 ปานกลาง
4. การกาหนดข้ันตอนการวิเคราะหข์ ้อมลู ด้วยวธิ กี ารทางสถติ ิ 3.48 0.97 ปานกลาง
3.48 0.53
ประเภทข้อมูลเป็นอัตนัย
5. การตรวจสอบความถกู ต้องของการวเิ คราะห์ข้อมลู ทกุ ครั้ง
6. การจัดระบบ ขัน้ ตอนของการวิเคราะหข์ ้อมูลตามกลุม่ งาน

ของมหาวิทยาลยั
7. การวเิ คราะห์ข้อมลู ทันตามกาหนดเวลา

รวม

80

4.2.2 รูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วิทยาเขตขอนแกน่ ด้านปจั จยั

จากการศึกษารูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลยั วิทยาเขตขอนแก่น สามารถพิจารณาเปน็ รายดา้ นได้ คือ ดา้ นปจั จยั โดยรวมมีระดับการปฏิบัติ
ปานกลาง = 3.41 (S.D. = 0.38) และเมอ่ื แยกออกเป็นรายข้อพบว่า ข้อที่มีระดับการปฏิบัตมิ ากที่สุด
คอื มีห้องหรอื อาคารสาหรับการบริหารระบบข้อมูลสารสนเทศ มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.86 (S.D.
= 0.93) รองลงมาคือ มีการกาหนดงบประมาณสาหรับการบริหารระบบข้อมูลสารสนเทศ มีระดับการ
ปฏิบัติมาก = 3.56 (S.D. = 0.93), มีเครื่องคอมพิวเตอร์และเครือข่ายอินเตอร์เน็ตสาหรับที่สาหรับ
สืบค้นและส่งข้อมูลสารสนเทศ มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.54 (S.D. = 0.97), มีตู้ แฟ้ม วัสดุที่ใช้
สาหรับการจัดเก็บข้อมูลสารสนเทศ มีระดับการปฏิบัติปานกลาง = 3.42 (S.D. = 0.70), การ
ปรับปรุงแก้ไขข้อมูลที่วิเคราะห์ ท่ีไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ มีระดับการปฏิบัติปานกลาง = 3.42 (S.D.
= 0.93), ผูบ้ รหิ ารใหค้ วามสาคญั ต่อการบรหิ ารข้อมูลสารสนเทศ มีระดบั การปฏบิ ัติปานกลาง = 3.30
(S.D. = 0.81), มีเครื่องคอมพิวเตอร์ท่ีใช้สาหรับการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลสารสนเทศ มีระดับ
การปฏิบัตปิ านกลาง = 3.10 (S.D. = 0.74) และข้อทีม่ ีการปฏิบัตินอ้ ยท่ีสุด คือ บคุ ลากรผู้รับผิดชอบ
ในการดาเนินงานมีความรู้ความเข้าใจในกระบวนการบรหิ ารระบบข้อมูลสารสนเทศ มีระดับการปฏิบัติ
ปานกลาง = 3.10 (S.D. = 0.76) ตามลาดบั ดงั แสดงในตารางท่ี 9

ตารางท่ี 9 ผลการศกึ ษารปู แบบการจัดการขอ้ มลู สารสนเทศมหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณ
ราชวิทยาลยั วิทยาเขตขอนแก่น ดา้ นปัจจัย

ท่ี รายการจดั รูปแบบการการจดั ขอ้ มูลสารสนเทศ ระดับการปฏิบัติ
S.D. แปลผล

ดา้ นปัจจยั

1. ผบู้ รหิ ารใหค้ วามสาคัญต่อการบรหิ ารขอ้ มูลสารสนเทศ 3.30 0.81 ปานกลาง

2. บคุ ลากรผูร้ ับผดิ ชอบในการดาเนนิ งานมีความรู้ความเข้าใจใน 3.10 0.76 ปานกลาง
กระบวนการบรหิ ารระบบข้อมูลสารสนเทศ

3. มีเครือ่ งคอมพิวเตอรท์ ี่ใชส้ าหรับการจัดเกบ็ และประมวลผล 3.10 0.74 ปานกลาง
ขอ้ มลู สารสนเทศ

4. มเี ครือ่ งคอมพิวเตอรแ์ ละเครือขา่ ยอินเตอรเ์ นต็ สาหรบั ที่ 3.54 0.97 มาก
สาหรบั สบื ค้นและส่งข้อมลู สารสนเทศ

5. มตี ู้ แฟม้ วัสดทุ ่ใี ช้สาหรับการจัดเก็บข้อมลู สารสนเทศ 3.42 0.70 ปานกลาง

6. มกี ารกาหนดงบประมาณสาหรับการบรหิ ารระบบขอ้ มูล 3.56 0.93 มาก
สารสนเทศ

7. มีหอ้ งหรืออาคารสาหรบั การบรหิ ารระบบข้อมูลสารสนเทศ 3.86 0.93 มาก

8. การปรบั ปรงุ แก้ไขข้อมูลทว่ี ิเคราะห์ ทีไ่ ม่ตรงกับวตั ถุประสงค์ 3.42 0.93 ปานกลาง

รวม 3.41 0.38 ปานกลาง

81

4.2.3 รูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วิทยาเขตขอนแกน่ ด้านการนาข้อมลู ไปใช้

จากการศึกษารูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น สามารถพิจารณาเป็นรายด้านได้ คือ ด้านการนาข้อมูลไปใช้ โดยรวมมี
ระดับการปฏิบัติมาก = 3.69 (S.D. = 0.46) และเมื่อแยกออกเป็นรายข้อพบว่า ข้อท่ีมีระดับการ
ปฏิบัติมากที่สุด คือ การนาข้อมูลสารสนเทศไปใช้ เพื่อการพัฒนาบุคลากร มีระดับการปฏิบัติมาก =
4.26 (S.D. = 0.69) รองลงมาคือ การนาข้อมูลสารสนเทศไปใช้ เพื่อการประชาสัมพันธ์ของ
มหาวิทยาลัย มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.80 (S.D. = 0.93) และการนาข้อมูลสารสนเทศไปใช้ เพ่ือ
การจัดการเรียนรู้ มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.80 (S.D. = 0.99), การนาข้อมูลสารสนเทศไปใช้ เพื่อ
การควบคุมการปฏบิ ัติงานให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ มีระดบั การปฏิบตั ิมาก = 3.74, (S.D. = 1.01),
การนาขอ้ มูลสารสนเทศไปใช้ เพอ่ื กาหนดเป็นแผนปฏิบัติของมหาวิทยาลัย มีระดบั การปฏิบัติปานกลาง

= 3.44 (S.D. = 0.91), การนาข้อมลู สารสนเทศไปใช้เพ่ือการตัดสินใจวินจิ ฉัยส่ังการของผบู้ รหิ ารของ
มหาวิทยาลัย มีระดับการปฏิบัติปานกลาง = 3.40 (S.D. = 0.83) และข้อที่มีการปฏิบัติน้อยท่ีสุด คือ
การจัดใหร้ ะบบการให้บริการใหบ้ ริการข้อมูลสารสนเทศแก่หน่วยงานท่ีเก่ียวขอ้ ง มรี ะดับการปฏิบัติปาน
กลาง = 3.38 (S.D. = 0.86) ตามลาดบั ดังแสดงในตารางที่ 10

ตารางท่ี 10 ผลการศึกษารปู แบบการจัดการข้อมลู สารสนเทศมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ
ราชวิทยาลยั วิทยาเขตขอนแกน่ ดา้ นการนาขอ้ มลู ไปใช้

ที่ รายการจดั รปู แบบการการจดั ข้อมูลสารสนเทศ ระดบั การปฏิบัติ
S.D. แปลผล

ดา้ นการนาข้อมลู ไปใช้

1. การนาข้อมลู สารสนเทศไปใชเ้ พือ่ การตดั สนิ ใจวนิ จิ ฉัยสงั่ การ 3.40 0.83 ปานกลาง
ของผ้บู ริหารของมหาวทิ ยาลยั

2. การนาข้อมูลสารสนเทศไปใช้ เพอื่ กาหนดเปน็ แผนปฏบิ ัติของ 3.44 0.91 ปานกลาง
มหาวิทยาลยั

3. การนาข้อมลู สารสนเทศไปใช้ เพือ่ การควบคุมการปฏิบัตงิ าน 3.74 1.01 มาก
ใหเ้ ปน็ ไปตามวัตถุประสงค์

4. การนาข้อมูลสารสนเทศไปใช้ เพือ่ การพฒั นาบคุ ลากร 4.26 0.69 มาก

5. การนาข้อมูลสารสนเทศไปใช้ เพ่ือการจัดการเรยี นรู้ 3.80 0.99 มาก

6. การนาข้อมลู สารสนเทศไปใช้ เพอื่ การประชาสัมพนั ธ์ของ 3.80 0.93 มาก
มหาวทิ ยาลยั

7. การจัดให้ระบบการให้บริการให้บริการข้อมลู สารสนเทศแก่ 3.38 0.86 ปานกลาง
หน่วยงานทเ่ี ก่ียวข้อง

รวม 3.69 0.46 มาก

82

4.3 แนวทางการพฒั นารูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศมหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราช
วทิ ยาลัย วทิ ยาเขตขอนแก่น

จากการศึกษาแนวทางการพัฒนารูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศมหาวิทยาลัยมหาจุฬา
ลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ด้วยการตอบแบบสอบถามของบุคลากรจากสายงานต่างๆ ใน
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น จานวน 50 รูป/คน พบว่า แนวทางการ
พัฒนารูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศ มีผลการปฏิบัติงานอยู่ในระดับมาก = 3.61 (S.D. =
0.54) และเมื่อแยกเป็นรายข้อพบว่า ข้อท่ีมีการระดับการปฏิบัติมากที่สุด คือ การจัดเก็บ รวบรวม
ประมวลผล และการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.84 (S.D. = 0.96)
รองลงมาคือ สามารถพัฒนาระบบสารสนเทศเปน็ คู่มอื เพื่อใช้ในมหาวิทยาลัยได้ มรี ะดับการปฏบิ ัตมิ าก

= 3.78 (S.D. = 0.89), มีระบบรับส่งข้อมูลข่าวสารในหน่วยงาน มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.68
(S.D. = 0.94), บุคลากรในมหาวทิ ยาลัยสามารถเขา้ ถงึ ระบบสารสนเทศ และสามารถเก็บข้อมลู ได้อย่าง
เป็นระบบ มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.66 (S.D. = 0.87), แหล่งบริการสืบค้นข้อมูลทางการวิชาการ
ข้อมูลการประกันคุณภาพภายใน มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.64 (S.D. = 0.96), ระบบสารสนเทศมี
ความทันสมัย มีความถูกต้องครบถ้วน มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.60 (S.D. = 0.86), ระบบสารสม
เทศมีประโยชน์ตอ่ การดาเนินงาน มีระดบั การปฏิบัตมิ าก = 3.58 (S.D. = 0.81), ความรวดเร็วในการ
เข้าถึงข้อมูล มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.56 (S.D. = 0.97), ความเหมาะสม การนาไปใช้งานได้จริง
ความน่าเช่ือถือมีความสมบูรณ์ครบถ้วนได้มาตรฐาน มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.52 (S.D. = 0.84)
และข้อที่มีการปฏิบัติน้อยท่ีสุด คือ ระบบสารสนเทศใช้งานง่าย มีระดับการปฏิบัติปานกลาง = 3.28
(S.D. = 0.70) ดงั แสดงในตารางที่ 11

ตารางท่ี 11 ผลการศึกษาแนวทางการพัฒนารปู แบบการจัดการข้อมลู สารสนเทศมหาวทิ ยาลยั
มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตขอนแกน่

ท่ี รายการพฒั นาระบบสารสนเทศ ระดบั ความเห็น
S.D. แปลผล
1. ระบบสารสนเทศมคี วามทันสมัย มคี วามถูกต้องครบถว้ น
2. ระบบสารสมเทศมปี ระโยชนต์ ่อการดาเนินงาน 3.60 0.86 มาก
3. ระบบสารสนเทศใช้งานง่าย 3.58 0.81 มาก
4. ความรวดเรว็ ในการเขา้ ถงึ ข้อมลู 3.28 0.70 ปานกลาง
5. แหลง่ บรกิ ารสบื ค้นข้อมูลทางการวชิ าการ ขอ้ มูลการประกัน 3.56 0.97 มาก

คณุ ภาพภายใน 3.64 0.96 มาก
6. มรี ะบบรบั สง่ ข้อมูลขา่ วสารในหน่วยงาน
7. การจัดเกบ็ รวบรวม ประมวลผล และการวเิ คราะห์ขอ้ มลู 3.68 0.94 มาก

อยา่ งเปน็ ระบบ 3.84 0.96 มาก
8. ความเหมาะสม การนาไปใช้งานไดจ้ รงิ ความน่าเชื่อถือมี
3.52 0.84 มาก
ความสมบรู ณ์ครบถ้วนได้มาตรฐาน

83

ตารางท่ี 11 ผลการศกึ ษาแนวทางการพฒั นารูปแบบการจัดการข้อมลู สารสนเทศมหาวทิ ยาลยั
มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตขอนแก่น (ต่อ)

ที่ รายการพฒั นาระบบสารสนเทศ ระดบั ความเหน็
S.D. แปลผล

9. สามารถพัฒนาระบบสารสนเทศเป็นคู่มอื เพื่อใช้ใน 3.78 0.89 มาก
มหาวทิ ยาลยั ได้

10. บุคลากรในมหาวิทยาลยั สามารถเข้าถึงระบบสารสนเทศ และ 3.66 0.87 มาก
สามารถเกบ็ ข้อมูลได้อย่างเป็นระบบ

รวม 3.61 0.54

4.4. ปัญหาและอปุ สรรคในการการจัดการข้อมูลสารสนเทศและขอ้ เสนอแนะ
จากการศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการจัดการข้อมูลสารสนเทศและข้อเสนอแนะ ในการ

ตอบแบบสอบถามของบุคลกรมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ซึ่ง
สามารถแยกรายละเอียดได้ดงั นี้

4.4.1. การบรหิ ารจัดการ ดา้ นบคุ คล
ดา้ นปญั หา
พบว่า อัตราบุคลากรยังไม่เหมาะสมกับกลุ่มงาน ไม่มีประสบการณ์ในการบริหาร

จัดการข้อมูล ทาให้ระบบการประเมินผลการปฏิบัติงานของบุคลากรไม่สามารถยึดโยงกับประสิทธิผล
ของผลการประเมินปฏิบัติงานผ่านระบบสารสนเทศหรือการประเมินออนไลน์ภายใต้เว็บไซตห์ รือระบบ
อินเตอร์เน็ตของมหาวิทยาลัย การบริหารจัดการข้อมูลยังไม่เป็นระบบเท่าที่ควร และขาดการ
ประสานงานกันในการบริหารจัดเก็บข้อมูล โดยการบริหารจัดการด้านบุคคลเป็นปัญหาท่ีมีความสาคัญ
ในการบริหารจัดการงานในด้านอ่ืนๆ ซึ่งหากขาดบุคลากรท่ีมีความรู้ความสารถก็จะทาให้งานไม่บรรลุ
ตามเป้าหมายทีว่ างไว้

ข้อเสนอแนะ
ควรมี การจัดบุ คล ากรให้ มีอัตราท่ี เห มาะส มกั บงาน ท่ี ได้รับ มอ บ ห มายแล ะพั ฒ น า
บุคลากรในการบริหารจัดการข้อมูล และมีการผลักดันให้บุคลากรพัฒนาความสามารถของตนเองอยู่เส
อม ควรพัฒนาโปรแกรมสาหรับรูปแบบสาหรับใช้เป็นเคร่ืองมือรวบรวมผลงานของบุคลากร เพื่อการ
ประเมนิ ผลการปฏิบัติงานเพื่อเล่ือนขั้นเงนิ เดือนประจาปี และควรรับนโยบายของผู้บริหารสกู่ ารปฏิบตั ิท่ี
เป็นแบบแผนการกระจายงานและมีวธิ ีในการจัดการอยา่ งเป็นระบบมากขึน้ และมีการกาหนดกณฑก์ าร
บริหารทช่ี ดั เจนเพื่อใช้เป็นแนวทางในการบรหิ ารจดั การขอ้ มูลตอ่ ไป
4.4.2. การบริหารจดั การ ดา้ นงบประมาณ
ปญั หา
ผู้บริหารระดับต้น/กลาง/ล่าง ยังไม่สามารถเช็คสถานะทางการเงินผ่านระบบ
สารสนเทศของมหาวทิ ยาลัย ทาให้ไม่สามารถบริหารจัดการกล่นั กรองและดุลพินจิ ทางการเงินรว่ มกนั ได้
อย่างมีประสิทธิภาพใช้ และในด้านของงบประมาณยังมีไม่เพียงพอต่อความต้องการของการจัดสรร

84

โครงการพัฒนาหรือการจัดซื้อเครี่องมือ เครื่องใช้ ท่ีมีความเหมาะสมกับงาน ซึ่งในการทาเรื่องขอ
งบประมาณก็เป็นปัญหาที่ยากในการเบิกงบมาใช้ในการจัดสรรงบประมาณต่างๆ ทาให้บางครั้งงานเกิด
ความล่าชา้ เนือ่ งจากขาดงบประมาณสนับสนนุ

ขอ้ เสนอแนะ
ผู้บริหารควรมีการตรวจเช็คสถานะทางการเงินของบุคลากรได้ในระบบสารสนเทศตาม
ความเหมาะสม ควรมีพัฒนาระบบฐานข้อมูลทางการเงินท่ีเช่ือมโยงกับการใช้จ่ายด้านต่างๆ ให้เป็น
ปัจจุบันและให้สิทธิผู้บริหารเข้าตรวจสอบเพื่อใช้ดุลยพินิจการเสนอขออนุมัติตามขั้นตอน ควรมีการให้
ฝ่ายการเงินวางแผนงบประมาณให้เป็นระบบเป็นไปตามระบบ แบ่งงบประมาณในการกระจายงานให้
ชัดเจนเป็นสัดเป็นส่วน และให้ทั่วถึงกัน เพื่อให้สามารถนางบประมาณไปใช้อย่างเหมาะสมและมี
ประสิทธภิ าพสูงสดุ
4.4.3. การบริหารจดั การ ดา้ นเครือ่ งมือหรอื อุปกรณ์
ปัญหา
การบริหารจัดการด้านเคร่ืองมือหรืออุปกรณ์ยังไม่สามารถบริหารจัดการได้อย่าง
เหมาะสมเน่อื งจากเครื่องมือต่างๆ บางส่วนขาดและไม่สามารถเบกิ อปุ รกณ์มากใช้งานได้ บางส่วนชารุด
และใช้งานไม่ได้เต็มประสิทธภิ าพ เช่น อปุ กรณ์สานักงาน วสั ดุเครือ่ งมือเครอื่ งใช้ในอาคาร หอ้ งน้าชารุด
ขาดการตรวจเช็คซ่อมบารุงอย่างเป็นระบบ อีกทั้งการจ่ายเครื่องมือตามความจาเป็นยังไม่สอดคล้องกับ
สภาพปัจจบุ ัน
ข้อเสนอแนะ
1) ควรสารวจเครือ่ งมือและอกุ รณ์เพ่ือให้ใช้งานได้อย่างเหมาะสม
2) จดั สรรเครือ่ งมือและอปุ กรณใ์ หเ้ หมาะสมกบั สภาพการทางาน
3) ใหส้ ิทธผิ บู้ รหิ ารเชค็ สถานะของอปุ กรณ์และเครื่องมือ เพ่ือใชเ้ ปน็ เครื่องมือ
ตัดสนิ ใจร่วมกัน
ทั้งการดาเนินการในการตรวจสอบและการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน เพ่ือให้สามารถใช้งาน
เคร่อื งมือและอปุ กรณต์ ่างๆ ได้อยา่ งเหมาะสมและตรงกับงาน
4.4.4. การบริหารจัดการ ด้านการบริหารจดั การ
ปญั หา
มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่นยงั ไม่สามารถใช้เชค็ สภา
นะการด้านเงิน ครุภัณฑ์ให้เกิดประสิทธภิ าพผลสูงสุดอันเน่ืองจากขาดระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพ่ือ
การสจดั การใน 3 เรื่องดังกล่าว ในการจดั หาเครอื่ งมือและอปุ กรณ์มาใช้งานใหเ้ พยี งพอต่อความต้องการ
เพือ่ การนาไปสกู่ ารปฏบิ ตั งิ านเป็นปญั หาหลักขององค์กร
ขอ้ เสนอแนะ
พัฒนาระบบสารสนเทศที่สามารถนาไปใช้งาน ได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพในด้านการ
พัฒนาคน การบริหารงบประมาณและการใช้วัสดุ อุปกรณ์ อาคารสถานท่ีเพื่อจัดการรายได้อย่างเป็น
ระบบ ควรนานโยบายสูก่ ารปฏบิ ัติงาน ตามนโยบายของผูบ้ รหิ าร

85

4.5 รายการระบบและกลไกการทางานรูปแบบวิธีการจัดการข้อมูลสารสนเทศเพ่ือการบริหาร
มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วทิ ยาเขตขอนแก่น

จากการตรวจสอบรายการรูปแบบวิธีการจัดการข้อมูลสารสนเทศเพอ่ื การบริหาร มหาวิทยาลัย
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ของสานักงาน 7 สานัก ได้แก่ 1) กลุ่มงานบริหาร 2)
กลุ่มงานวางแผนวิจัยและพัฒนา 3) กลุ่มงานห้องสมุดและสารสนเทศ 4) กลุ่มงานวชิ าการและคุณภาพ
การศึกษา 5) กลุ่มงานวางแผนและงบประมาณ 6) กลุ่มงานทะเบียนและวัดผล และ7) กลุ่มงานบริการ
การศึกษา ซงึ่ สามารถสรุปไดด้ ังน้ี

ผลการตรวจสอบรายการระบบและกลไกการทางานรูปแบบวิธกี ารจดั การขอ้ มูลสารสนเทศเพ่ือ
การบรหิ าร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น โดยรวมมีผลการประเมนิ อยู่
ในระดับพอใช้ คิดเป็นร้อยละ 66.06 และเมื่อแยกออกมาเป็นรายพบว่า ด้านท่ีมีคะแนนมากท่ีสุดคือ
ด้านการดาเนินงานตามภารกิจหลักของหน่วยงาน ผลการประเมินอยู่ในระดับดีมาก คิดเป็นร้อยละ
82.14 รองลงมาคือ ด้านการเงินและงบประมาณ ผลการประเมินอยู่ในระดับดี คิดเป็นร้อยละ 71.43,
ด้านวิสัยทศั น์ ภารกจิ และวตั ถุประสงค์ นโยบาย กลยทุ ธ์และแผน ผลการประเมนิ อยู่ในระดบั ดี คิดเป็น
ร้อยละ 71.15, ด้านการบริหารและจัดการข้อมูลสารสนเทศ ผลการประเมินอยู่ในระดับพอใช้ คิดเป็น
ร้อยละ 69.52, ด้านการจัดเก็บข้อมูลสารสนเทศส่วนบุคคล ผลการประเมินอยู่ในระดับพอใช้ คิดเป็น
ร้อยละ 66.06, ระบบและกลไกการประกันคุณภาพ ผลการประเมินอยู่ในระดับพอใช้ คิดเป็นร้อยละ
60.54 และดา้ นที่มีผลการประเมินน้อยท่ีสุดคือ ด้านการบรกิ ารวิชาการแก่ชุมชน ผลการประเมินอยู่ใน
ระดบั ปรบั ปรงุ คิดเป็นรอ้ ยละ 50.48 ดังตารางท่ี 12

ตารางที่ 12 ผลการตรวจสอบรายการระบบและกลไกการทางานรปู แบบวธิ กี ารจดั การข้อมลู
สารสนเทศเพอื่ การบริหาร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย
วิทยาเขตขอนแกน่

รายการตรวจสอบ ผลการตรวจสอบ
(Audit Checklist) มี ไม่มี

1. ดา้ นวิสยั ทัศน์ ภารกจิ และวัตถปุ ระสงค์ นโยบาย กลยทุ ธแ์ ละ 71.15 25.85
แผน
2. ด้านการดาเนนิ งานตามภารกจิ หลักของหน่วยงาน 82.14 17.86
3. ด้านการบริการวชิ าการแก่ชุมชน 50.48 49.52
4. ดา้ นการบรหิ ารและจัดการขอ้ มลู สารสนเทศ 69.52 30.48
5. ดา้ นการเงินและงบประมาณ 71.43 28.57
6. ด้านระบบและกลไกการประกนั คุณภาพ 60.54 37.46
7. ดา้ นการจดั เกบ็ ขอ้ มลู สารสนเทศส่วนบคุ คล 57.14 42.86
66.06 33.94
รวมคะแนน

86

4.5.1 รายการระบบและกลไกการทางานรูปแบบวิธีการจัดการข้อมูลสารสนเทศ
เพ่ือการบริหาร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ด้านวิสัยทัศน์
ภารกจิ และวตั ถปุ ระสงค์ นโยบาย กลยุทธ์และแผน

จากการศึกษาตรวจเช็ครายการระบบและกลไกการทางานรูปแบบวิธีการ
จัดการข้อมูลสารสนเทศเพ่ือการบริหาร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น
ด้านวิสัยทัศน์ ภารกิจ และวัตถุประสงค์ นโยบาย กลยุทธ์และแผน เม่ือแยกรายละเอียกของแต่ละข้อ
พบว่า ข้อท่ีมีผลการประเมินมากท่ีสุด คือ มีการเผยแพร่นโยบายและกลยุทธ์ของข้อมูลสารสนเทศให้
บุคลากรทราบและเข้าใจ มีระดับการประเมินผลอยูใ่ นระดับดีเลิศ คดิ เปน็ รอ้ ยละ 90.48 รองลงมาคอื มี
การเผยแพร่วิสัยทัศน์ ภารกิจและวัตถุประสงค์ของมหาวิทยาลัยให้บุคลากรทราบและเข้าใจ และมีการ
จัดทาแผนระยะ 5 ปี ท่ีสอดคล้องกับนโยบาย/กลยุทธ์ของมหาวิทยาลัย การประเมินผลอยู่ในระดับดี
มาก คิดเป็นร้อยละ 80.95, มีการกาหนดนโยบายและกลยุทธ์ของข้อมูลสารสนเทศ การประเมินผลอยู่
ในระดับดีมาก คิดเป็นร้อยละ 74.43, มีการจัดทาแผนปฏิบัติการประจาปีท่ีสอดคล้องกับภารกิจหลัก
ของการจัดการข้อมูลสารสนเทศและมีการติดตามและประเมินแผนการแผนปฏิบัติการประจาปี การ
ประเมินผลอยู่ในระดับดีมาก คิดเป็นร้อยละ 71.43 และข้อที่มีการประเมินผลน้อยที่สุด คือ มีการ
กาหนดวิสัยทัศน์ ภารกิจและวัตถุประสงค์ของการจัดการข้อมูลสารสนเทศ การประเมินผลอยู่ในระดับ
ต้องปรบั ปรงุ คิดเป็นรอ้ ยละ 52.38 ตามลาดับ ดังแสดงในตารางที่ 13

ตารางที่ 13 ผลการตรวจเชค็ รายการระบบและกลไกการทางานรปู แบบวธิ กี ารจัดการข้อมลู
สารสนเทศเพอื่ การบรหิ าร มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั วิทยาเขต
ขอนแกน่ ดา้ นวสิ ัยทศั น์ ภารกจิ และวัตถปุ ระสงค์ นโยบาย กลยุทธ์และแผน

รายการตรวจสอบ ผลการตรวจสอบ

(Audit Checklist) มี ไม่มี

ด้านวิสัยทัศน์ ภารกิจ และวัตถปุ ระสงค์ นโยบาย กลยทุ ธแ์ ละแผน

1. มกี ารเผยแพร่วิสยั ทศั น์ ภารกิจและวัตถปุ ระสงค์ของ 80.95 19.05
มหาวทิ ยาลัยให้บคุ ลากรทราบและเขา้ ใจ

2. มีการกาหนดวิสัยทัศน์ ภารกจิ และวตั ถุประสงค์ของการจัดการ 52.38 47.62
ข้อมลู สารสนเทศ

3. มกี ารกาหนดนโยบายและกลยทุ ธข์ องข้อมลู สารสนเทศ 74.43 28.57

4. มกี ารเผยแพรน่ โยบายและกลยุทธ์ของขอ้ มูลสารสนเทศให้ 90.48 9.52
บคุ ลากรทราบและเข้าใจ

5. มกี ารจัดทาแผนระยะ 5 ปี ท่ีสอดคลอ้ งกบั นโยบาย/กลยุทธข์ อง 80.95 19.05
มหาวทิ ยาลยั

6. มีการจัดทาแผนปฏบิ ตั ิการประจาปที ่ีสอดคลอ้ งกับภารกิจหลัก 71.43 28.57
ของการจดั การขอ้ มูลสารสนเทศ

87

ตารางที่ 13 ผลการตรวจเช็ครายการระบบและกลไกการทางานรปู แบบวิธีการจัดการขอ้ มูล
สารสนเทศเพอ่ื การบรหิ าร มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั วิทยาเขต
ขอนแกน่ ดา้ นวิสยั ทัศน์ ภารกิจ และวตั ถุประสงค์ นโยบาย กลยทุ ธ์และแผน (ตอ่ )

รายการตรวจสอบ ผลการตรวจสอบ

(Audit Checklist) มี ไม่มี

ด้านวิสัยทศั น์ ภารกิจ และวัตถุประสงค์ นโยบาย กลยทุ ธแ์ ละแผน

7. มกี ารตดิ ตามและประเมินแผนการแผนปฏบิ ัตกิ ารประจาปี 71.43 28.57

รวม 71.15 25.85

4.5.2 รายการระบบและกลไกการทางานรูปแบบวิธีการจัดการข้อมูลสารสนเทศ
เพ่ือการบริหาร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ด้านการดาเนินงาน
ตามภารกิจหลักของหนว่ ยงาน

จากการศึกษาตรวจเช็ครายการระบบและกลไกการทางานรูปแบบวิธีการ
จัดการข้อมูลสารสนเทศเพ่ือการบริหาร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น
ด้านการดาเนินงานตามภารกิจหลักของหน่วยงาน เมื่อแยกรายละเอียกของแต่ละข้อ พบว่า ข้อท่ีมีผล
การประเมินมากที่สุด คือ มีการกาหนดคุณสมบัติและภาระงานของบุคลากรและมีระบบเทคโนโลยี
สารสนเทศในการปฏิบัติงาน มีระดับการประเมินผลอยู่ในระดับดีเลิศ คิดเป็นร้อยละ 90.48 รองลงมา
คือ มีระเบียบปฏิบัติในการรับสมัครและคัดเลือกบุคลากร, มีการประเมินบุคลากร, มีการพัฒนา
ความสามารถของบุคลากร, มีสถานที่และครุภัณฑ์สาหรับการปฏิบัติงาน และมีการประเมินผลการ
ดาเนินงาน และนาผลการประเมินมาปรับปรุงแก้ไข การประเมินผลอยู่ในระดับดีมาก คิดเป็นร้อยละ
80.95 และข้อที่มีการประเมินผลน้อยท่ีสุด คือ มีการจัดสรรงบประมาณสาหรับการปฏิบัติงาน การ
ประเมินผลอยใู่ นระดับดี คดิ เป็นรอ้ ยละ 71.43 ตามลาดับ ดงั แสดงในตารางที่ 14

ตารางที่ 14 ผลการตรวจเช็ครายการระบบและกลไกการทางานรปู แบบวธิ ีการจัดการขอ้ มูล
สารสนเทศเพอ่ื การบริหาร มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั วิทยาเขต
ขอนแกน่ ดา้ นการดาเนินงานตามภารกิจหลักของหน่วยงาน

รายการตรวจสอบ ผลการตรวจสอบ

(Audit Checklist) มี ไมม่ ี

ดา้ นการดาเนนิ งานตามภารกิจหลกั ของหน่วยงาน

1. มีระเบียบปฏบิ ตั ใิ นการรบั สมคั รและคดั เลือกบคุ ลากร 80.95 19.05

2. มีการกาหนดคุณสมบัติและภาระงานของบคุ ลากร 90.48 9.52

3. มีการประเมนิ บคุ ลากร 80.95 19.05

4. มกี ารพัฒนาความสามารถของบุคลากร 80.95 19.05

5. มกี ารจัดสรรงบประมาณสาหรับการปฏบิ ตั งิ าน 71.43 28.57

88

ตารางที่ 14 ผลการตรวจเชค็ รายการระบบและกลไกการทางานรูปแบบวิธกี ารจดั การข้อมูล
สารสนเทศเพ่ือการบริหาร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขต
ขอนแก่น ด้านการดาเนินงานตามภารกิจหลกั ของหน่วยงาน (ต่อ)

รายการตรวจสอบ ผลการตรวจสอบ

(Audit Checklist) มี ไม่มี

ดา้ นการดาเนนิ งานตามภารกิจหลกั ของหนว่ ยงาน

6. มีสถานท่ีและครุภัณฑส์ าหรบั การปฏบิ ัติงาน 80.95 19.05

7. มีระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในการปฏบิ ตั งิ าน 90.48 9.52

8. มกี ารประเมินผลการดาเนินงาน และนาผลการประเมนิ มา 80.95 19.05
ปรับปรุงแก้ไข

รวม 82.14 17.86

4.5.3 รายการระบบและกลไกการทางานรูปแบบวิธีการจัดการข้อมูลสารสนเทศ
เพ่ือการบริหาร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ด้านการบริการ
วิชาการแก่ชมุ ชน

จากการศึกษาตรวจเช็ครายการระบบและกลไกการทางานรูปแบบวิธีการ
จดั การข้อมูลสารสนเทศเพ่ือการบริหาร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น
ด้านการบริการวิชาการแก่ชุมชน เมื่อแยกรายละเอียกของแต่ละข้อ พบว่า ข้อท่ีมีผลการประเมินมาก
ที่สุด คือ มีบุคลากร/คณะกรรมการดูแลด้านการบริการวิชาการแก่ชุมชน มีระดับการประเมินผลอยู่ใน
ระดับพอใช้ คิดเป็นร้อยละ 61.90 รองลงมาคือ มีการจัดสรรงบประมาณของการจัดการข้อมูล
สารสนเทศเพ่ือสนับสนุนการบริการวิชาการแก่ชุมชน และมีการวางแผนและบริการวิชาการแก่ชุมชน
การประเมินผลอยู่ในระดับต้องปรับปรุง คิดเป็นร้อยละ 52.38 และข้อที่มีการประเมินผลน้อยท่ีสุด คือ
มีการประเมนิ ผลการดาเนินงานบริการแก่ชมุ ชน และมีนาผลการประเมินมาปรับปรงุ งานบรกิ ารวิชาการ
แก่ชุมชน การประเมินผลอยู่ในระดับต้องปรบั ปรุง คดิ เป็นร้อยละ 42.86 ตามลาดบั ดังแสดงในตารางท่ี
15

89

ตารางท่ี 15 ผลการตรวจเชค็ รายการระบบและกลไกการทางานรปู แบบวธิ ีการจดั การข้อมูล
สารสนเทศเพอ่ื การบริหาร มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั วทิ ยาเขต
ขอนแกน่ ดา้ นการบรกิ ารวชิ าการแก่ชมุ ชน

รายการตรวจสอบ ผลการตรวจสอบ
(Audit Checklist) มี ไม่มี

ด้านการบรกิ ารวชิ าการแกช่ ุมชน 61.90 38.10
1. มีบคุ ลากร/คณะกรรมการดูแลด้านการบริการวิชาการแก่
ชุมชน 52.38 47.62
2. มกี ารจัดสรรงบประมาณของการจัดการข้อมูลสารสนเทศเพื่อ 52.38 47.62
สนบั สนุนการบรกิ ารวิชาการแก่ชุมชน 42.86 57.14
3. มกี ารวางแผนและบริการวิชาการแกช่ มุ ชน 42.86 57.14
4. มกี ารประเมินผลการดาเนินงานบริการแกช่ มุ ชน 50.48 49.52
5. มีนาผลการประเมนิ มาปรับปรงุ งานบริการวิชาการแก่ชุมชน

รวม

4.5.4 รายการระบบและกลไกการทางานรูปแบบวิธีการจัดการข้อมูลสารสนเทศ
เพอ่ื การบริหาร มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ด้านการบรหิ ารและ
จดั การขอ้ มลู สารสนเทศ

จากการศึกษาตรวจเช็ครายการระบบและกลไกการทางานรูปแบบวิธีการ
จดั การข้อมูลสารสนเทศเพ่ือการบริหาร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น
ด้านการบริหารและจัดการข้อมูลสารสนเทศ เม่ือแยกรายละเอียกของแต่ละข้อ พบว่า ข้อที่มีผลการ
ประเมินมากที่สุด คือ มีการประเมินบุคลากร มีระดับการประเมินผลอยู่ในระดับดีเลิศ คิดเป็นร้อยละ
90.48 รองลงมาคือ มีการพัฒนาความสามารถของบุคลากร การประเมินผลอยู่ในระดับดีมาก คิดเป็น
ร้อยละ 80.95, มีระเบยี บปฏิบัตใิ นการใหไ้ ด้มาซง่ึ ผบู้ ริหาร มีระเบียบปฏิบัติในการรับสมัครและคัดเลือก
บุคลากร มีการกาหนดคุณสมบัติและภาระงานบุคลากร และมีสถานท่ีและครุภัณฑ์สาหรับการบริหาร
และจัดการ การประเมินผลอยู่ในระดับดี คิดเป็นร้อยละ 71.43, มีการประเมินและการพัฒนาทักษะ
และความสามารถของผู้บริหาร มีการจัดสรรงบประมาณสาหรับการบริหารและจัดการ และมีระบบ
เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหาร การประเมินผลอยู่ในระดับพอใช้ คิดเปน็ ร้อยละ 60.90 ส่วนข้อที่มี
การประเมินผลน้อยท่ีสุด คือ มีโครงสร้างการบรหิ ารท่ีคล่องตวั และมีประสิทธภิ าพและประสิทธิผล การ
ประเมินผลอยู่ในระดบั ต้องปรับปรุง คิดเป็นร้อยละ 52.38 ตามลาดับ ดงั แสดงในตารางที่ 16

90

ตารางท่ี 16 ผลการตรวจเช็ครายการระบบและกลไกการทางานรปู แบบวิธกี ารจัดการขอ้ มลู
สารสนเทศเพื่อการบรหิ าร มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขต
ขอนแก่น ด้านการบริหารและจดั การขอ้ มลู สารสนเทศ

รายการตรวจสอบ ผลการตรวจสอบ

(Audit Checklist) มี ไมม่ ี

ด้านการบริหารและจัดการขอ้ มลู สารสนเทศ

1. มีระเบยี บปฏิบัตใิ นการให้ไดม้ าซงึ่ ผูบ้ ริหาร 71.43 28.57

2. มกี ารประเมนิ และการพัฒนาทกั ษะและความสามารถของ 61.90 38.10
ผูบ้ ริหาร

3. มีระเบยี บปฏบิ ตั ใิ นการรับสมัครและคัดเลือกบุคลากร 71.43 28.57

4. มีการกาหนดคณุ สมบตั ิและภาระงานบุคลากร 71.43 28.57

5. มกี ารประเมินบคุ ลากร 90.48 9.52

6. มีการพัฒนาความสามารถของบุคลากร 80.95 19.05

7. มกี ารจัดสรรงบประมาณสาหรับการบรหิ ารและจัดการ 61.90 38.10

8. มสี ถานทีแ่ ละครภุ ัณฑ์สาหรบั การบริหารและจัดการ 71.43 28.57

9. มรี ะบบเทคโนโลยีสารสนเทศในการบรหิ าร 61.90 38.10

10. มโี ครงสร้างการบริหารที่คลอ่ งตัวและมีประสิทธิภาพและ 52.38 47.62
ประสทิ ธิผล

รวม 69.52 30.48

4.5.5 รายการระบบและกลไกการทางานรูปแบบวิธีการจัดการข้อมูลสารสนเทศ
เพื่อการบริหาร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ด้านการเงินและ
งบประมาณ

จากการศึกษาตรวจเช็ครายการระบบและกลไกการทางานรูปแบบวิธีการ
จัดการข้อมูลสารสนเทศเพื่อการบริหาร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น
ด้านการเงินและงบประมาณ เมื่อแยกรายละเอียกของแต่ละข้อ พบว่า ข้อที่มีผลการประเมินมากท่ีสุด
คือ มีการจัดสรรงบประมาณตามแผนดาเนินการมหาวิทยาลัย มีระดับการประเมินผลอยู่ในระดับดีเลิศ
คดิ เป็นรอ้ ยละ 90.48 รองลงมาคอื มรี ะบบบัญชแี ละการตรวจสอบภายใน การประเมินผลอย่ใู นระดบั ดี
คิดเป็นร้อยละ 71.43 ส่วนข้อท่ีมีการประเมินผลน้อยที่สุด คือ มีการติดตามและประเมินผลการใช้
งบประมาณ และมีการนาผลการประเมินมาปรับปรุงการจัดสรรงบประมาณในคร้ังต่อไป การ
ประเมนิ ผลอยใู่ นระดบั พอใช้ คดิ เป็นรอ้ ยละ 61.90 ตามลาดับ ดังแสดงในตารางท่ี 17

91

ตารางที่ 17 ผลการตรวจเชค็ รายการระบบและกลไกการทางานรปู แบบวธิ ีการจดั การขอ้ มูล
สารสนเทศเพ่อื การบริหาร มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย วทิ ยาเขต
ขอนแก่น ด้านการเงนิ และงบประมาณ

รายการตรวจสอบ ผลการตรวจสอบ
(Audit Checklist) มี ไม่มี

ด้านการเงินและงบประมาณ 90.48 9.52
1. มกี ารจดั สรรงบประมาณตามแผนดาเนินการมหาวทิ ยาลัย 71.43 28.57
2. มีระบบบัญชแี ละการตรวจสอบภายใน 61.90 38.10
3. มีการติดตามและประเมินผลการใช้งบประมาณ
4. มีการนาผลการประเมนิ มาปรับปรงุ การจดั สรรงบประมาณใน 61.90 38.10
คร้ังตอ่ ไป
71.43 28.57
รวม

4.5.6 รายการระบบและกลไกการทางานรูปแบบวิธีการจัดการข้อมูลสารสนเทศ
เพอ่ื การบริหาร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั วิทยาเขตขอนแก่น ด้านระบบและกลไก
การประกนั คุณภาพ

จากการศึกษาตรวจเช็ครายการระบบและกลไกการทางานรูปแบบวิธีการ
จัดการข้อมูลสารสนเทศเพื่อการบริหาร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น
ด้านระบบและกลไกการประกันคุณภาพ เม่ือแยกรายละเอียกของแต่ละข้อ พบว่า ข้อที่มีผลการ
ประเมินมากท่ีสุด คือ มีบุคลากรและคณะกรรมการรับผิดชอบงานประกันคุณภาพการจัดการข้อมูล
สารสนเทศ มีระดับการประเมินผลอยู่ในระดับดีมาก คิดเป็นรอ้ ยละ 80.95 รองลงมาคือ มีการประเมิน
และพัฒนาความสามารถของบุคลากรท่ีรับผิดชอบการประกันคุณภาพ การประเมินผลอยู่ในระดับดี คิด
เป็นร้อยละ 71.43, มีระบบฐานข้อมูลเก่ียวกับงานกระกันคุณภาพการจัดการข้อมูลสารสนเทศ การ
ประเมินผลอยู่ในระดับพอใช้ คิดเป็นร้อยละ 61.90 ส่วนข้อที่มีการประเมินผลน้อยที่สุด คือ มีการ
วางแผนปฏิบัติการด้านประกันคุณภาพการจัดการข้อมูลสารสนเทศ, มีคู่มือปฏิบัติในการประกั น
คุณภาพการศึกษาการจัดการข้อมูลสารสนเทศ, มีการประเมินผลการดาเนินการประกันคุณภาพการ
จัดการข้อมูลสารสนเทศ และมีการนาผลการประเมินมาปรับปรุงการประกันคุณภาพการจัดการข้อมูล
สารสนเทศ การประเมนิ ผลอยู่ในระดบั ต้องปรับปรุง คิดเป็นร้อยละ 52.38 ตามลาดับ ดังแสดงในตาราง
ที่ 18

92

ตารางท่ี 18 ผลการตรวจเชค็ รายการระบบและกลไกการทางานรูปแบบวธิ ีการจดั การข้อมลู
สารสนเทศเพอื่ การบริหาร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขต
ขอนแก่น ด้านระบบและกลไกการประกันคณุ ภาพ

รายการตรวจสอบ ผลการตรวจสอบ

(Audit Checklist) มี ไมม่ ี

ดา้ นระบบและกลไกการประกันคณุ ภาพ

1. มีบคุ ลากรและคณะกรรมการรบั ผดิ ชอบงานประกนั คุณภาพ 80.95 19.05
การจดั การขอ้ มูลสารสนเทศ

2. มกี ารประเมนิ และพัฒนาความสามารถของบุคลากรที่ 71.43 28.57
รับผิดชอบการประกนั คุณภาพ

3. มรี ะบบฐานข้อมลู เกี่ยวกบั งานกระกันคุณภาพการจัดการ 61.90 38.10
ขอ้ มูลสารสนเทศ

4. มกี ารวางแผนปฏิบตั กิ ารด้านประกนั คณุ ภาพการจดั การ 52.38 47.62
ข้อมลู สารสนเทศ

5. มีค่มู ือปฏบิ ัติในการประกนั คณุ ภาพการศึกษาการจัดการ 52.38 47.62
ข้อมลู สารสนเทศ

6. มีการประเมนิ ผลการดาเนินการประกนั คุณภาพการจดั การ 52.38 47.62
ข้อมลู สารสนเทศ

7. มกี ารนาผลการประเมนิ มาปรับปรุงการประกนั คุณภาพการ 52.38 47.62
จัดการข้อมลู สารสนเทศ

รวม 60.54 37.46

4.5.7 รายการระบบและกลไกการทางานรูปแบบวิธีการจัดการข้อมูลสารสนเทศ
เพ่ือการบริหาร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ด้านการจัดเก็บ
ข้อมลู สารสนเทศสว่ นบคุ คล

จากการศึกษาตรวจเช็ครายการระบบและกลไกการทางานรูปแบบวิธีการ
จัดการข้อมูลสารสนเทศเพ่ือการบริหาร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น
ด้านการจัดเก็บข้อมูลสารสนเทศส่วนบุคคล เม่ือแยกรายละเอียกของแต่ละข้อ พบว่า ข้อที่มีผลการ
ประเมินมากที่สุด คือ การบันทึกข้อมูลงบประมาณที่ใช้ในการจัดเก็บข้อมูล และการบันทึกประวัติของ
บุคคลกรท่ีปฏิบัติงาน/นิสิต มีระดับการประเมินผลอยู่ในระดับดี คิดเป็นร้อยละ 71.43รองลงมาคือ มี
การประเมินและพัฒนาความสามารถของบุคลากรที่รับผิดชอบการประกันคุณภาพ การประเมินผลอยู่
ในระดับดี คิดเป็นร้อยละ 71.43, การรวบรวมผลงานต่างๆ เช่น งานวิจัย การประเมินผลอยู่ในระดับ
พอใช้ คิดเป็นร้อยละ 61.90, บันทึกการบริการข้อมูลวิชาการส่วนบุคคลหรือชุมชน การประเมินผลอยู่
ในระดับต้องปรับปรุง คิดเป็นร้อยละ 52.38 ส่วนข้อท่ีมีการประเมินผลน้อยท่ีสุด คือ บันทึกการทานุ


Click to View FlipBook Version