โอวาทธรรมหลวงปูม่ ั่น ภูริทตั โต
บันทกึ โดย หลวงปูห่ ลยุ จันทสาโร
ทรงกลด มน่ั สงิ ห์
โอวาทธรรมหลวงปูม่ น่ั ภูรทิ ัตโต
ช่ือผูแ้ ตง่ นายทรงกลด มน่ั สิงห์
ปที ่ีพมิ พ์
คร้ังทพ่ี มิ พ์ 2563
จานวน
จดั ทาโดย 1
ISBN
พิมพท์ ่ี 3,000 เล่ม
นายทรงกลด มนั่ สงิ ห์
978-616-577-085-9
ห้างหนุ้ สว่ นจ่ากดั น่ากงั การพมิ พ์
74 ซอยสาธุประดิษฐ์ 16 ถนนสาธุประดษิ ฐ์
แขวงบางโคล่ เขตบางคอแหลม กรุงเทพฯ 10120
โทร. 02-211-1998, 02-211-9664
คานา
หลวงปู่มั่นหรือพระครูวินัยธรม่ัน ภูริทัตโต เป็นพระป่าท่ีได้ปฏบิ ัติตน
ตามแนวทางค่าสอนอย่างเคร่งครัด ท่านวางแนวทางในการปฏิบัติสมถะและ
วิปัสสนาตามหลักธรรมค่าสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้าให้แก่
พระสงฆ์ สามเณร และฆราวาสโดยท่ัวไป แนวค่าสอนของท่านเป็นทร่ี ู้จักกันดี
ในนามว่า ค่าสอนพระป่า (สายพระอาจารย์ม่ัน) ท่านถูกกล่าวขานกันไม่รู้จบ
เป็นที่ประจักษ์แก่ศิษย์ผู้ใกล้ชิดถึงญาณความรู้ของหลวงปู่ม่ัน ว่ากว้างขวาง
แม่นย่าทุกด้านหาผู้เสมอเหมือนได้ยากยิ่ง ด้วยเทคโนโลยีในยุคทา่ น การเทศน์
สอนพระสงฆ์ สามเณร หรือฆราวาส ได้ถูกบันทึกไว้ไม่มากนัก หนึ่งในจ่านวน
น้ันเป็นการบันทึกโดย หลวงปู่หลุย จันทสาโร ซึ่งได้จดสรุปเป็นโอวาทย่อๆ
จากการเทศน์แต่ละคร้ัง และมีผู้น่ามาเผยแพร่ผ่านส่ือต่างๆ ให้ได้อ่านและ
ศกึ ษา ด้วยการจินตนาการว่าท่านเทศนเ์ ร่ืองใดในแต่ละโอวาท ซ่ึงบางโอวาท
เป็นเพียงโอวาทสั้นๆ แต่ลึกซ้ึง เม่ืออ่านด้วยความรู้ของนักปฏิบัติธรรมปุถุชน
ท่วั ไปกย็ ากยงิ่ ที่จะเข้าใจ เม่ือมาอา่ นโอวาทยาวๆ กย็ ากท่จี ะเขา้ ใจเชน่ กัน
ในกลางเดือนมิถุนายน ๒๕๖๓ ท่านทรงกลด ม่ันสิงห์ ได้ปรารภที่จะ
ขยายความโอวาทหลวงปู่มั่น ที่หลวงปู่หลุย จันทสาโร บันทึกไว้เพ่ือให้เป็น
มรดกทางธรรมให้พุทธศาสนิกชนทุกคนได้ศึกษาและน่ามาใช้ในการปฏิบัติ
ภาวนาตามแนวทางขององค์ท่าน พันต่ารวจเอก หญิง ดอกเตอร์ อนันยา พลจันทร์
จึงได้น่าโอวาทองค์ท่านจากการบันทึกของหลวงปู่หลุย จันทสาโร มาจัดเรียง
และรวมแต่ละโอวาทที่มีเน้ือหาใกล้เคียงกันมาถามให้ ท่านทรงกลดฯ ขยาย
ความในกลุ่มไลน์ สายธารธรรม จึงเกิดปรากฏการณ์การได้รับฟังเทศน์โดย
การขยายความดังกล่าว ประหนึ่งยอ้ นกลับไปฟังการเทศน์ของ หลวงปู่ม่ัน ใน
แต่ละค่าคืนท่ีมีการเทศน์สอนพระสงฆ์ สามเณร หรือฆราวาส ในวัดป่าแห่งใด
แห่งหนึ่งทีเดียว เหล่าศิษย์ในกลุ่มไลน์ ประมาณ ๕๐๐ ชีวิต ได้ฟังเทศน์อย่าง
ลึกซ้ึง ผ่านตัวอกั ษรที่เสมือนดั่ง หลวงปูม่ ัน่ ไดม้ ายนื ตรวจสอบเทศนแ์ ต่ละครั้ง
ของท่านทรงกลดฯ ด้วยองคท์ ่านเอง ดงั น้ัน จึงไมแ่ ปลกใจทเ่ี หล่าศิษยจ์ ะด่มื ด่า
และตั้งตารอคอยให้ถึงเวลาที่จะได้รับฟังการเทศน์ในแต่ละค่าคืน ต้ังแต่กลาง
เดือนมถิ ุนายน จนถงึ ต้นเดือนพฤศจกิ ายน ๒๕๖๓
ในการขยายความ โอวาทหลวงปู่มั่น ทา่ นทรงกลดฯ ได้แสดงหลักการ
ปฏิบัติภาวนา การเดินหน้าของเหตุแห่งทุกข์ และการถอยกลับ (ดับ) ซึ่งเหตุ
แห่งทุกข์ ตามวงของปฏิจจสมุปบาท ผ่านการขยายความอย่างละเอียดลึกซึ้ง
เหมือนเห็นจิตกระโจนออกไปตะครุบอารมณ์อย่างรวดเร็ว และเห็นจิตย้อน
สายกลับหดตัวจากอุปาทานในอารมณ์ ถอยออกมาจากสิ่งที่มันวิ่งเข้าหา
กระโจนเข้าไปตะครบุ ลีลาจติ พอรสู้ ึกตวั มันจะคายอารมณอ์ อกมา ดจุ ปลาใหญ่
ส่ารอกของมีพิษออกไป ประคองจิตด้วยสติกลับไปสู่ฐานะเดิมก่อนท่ีจะ
กระโจนออกมาปรุงแตง่ เร่ืองราวในสังสารวัฏอันมากมาย ไม่รู้ต้นรู้ปลาย ด้วย
เหตุน้ี ไฉนเลยท่ีเหล่าศิษย์จะเก็บการเทศน์ไว้เพียงในกลุ่มที่มีผู้ได้อ่านจ่านวน
ไมม่ ากนี้ จึงเปน็ บุญของพระพุทธศาสนา ที่มีทีมงานสายธารธรรมคอยตามเก็บ
ธรรมที่แสดงไว้ในกลุ่มอย่างไม่ขาดตกหล่น และจัดพิมพ์เป็นหนังสือด้วยเงิน
บริจาคของท่านผู้ใจบุญที่เห็นคุณค่าแห่งธรรมนี้ทุกท่าน จึงเป็นท่ีมาของ
หนังสือท่ีอยู่ในมือของท่านเล่มนี้ ซึง่ จะคงอยู่คู่แผ่นดินพุทธ เป็นมรดกธรรมใน
อนาคตกาลตอ่ ไป
คณะผู้จัดท่าขอถือเอาความเพียรและความตั้งใจปฏิบัติวิปัสสนาเป็น
อาจาริยบูชาแด่ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่หลุย จันทสาโร และพ่อแม่ครู
อาจารย์ที่ท่านทรงกลดฯ ขอโอกาสกล่าวถึงในการเทศน์ ตลอดจนพระอริยสงฆ์
ลูกศิษย์หลวงปู่ และท่านทรงกลด ม่ันสิงห์ ท่ีได้เดินตามรอยทางมรรค จน
สามารถรกั ษามรดกธรรมได้อยา่ งไมผ่ ิดเพย้ี นจากองคห์ ลวงปู่ มาสู่เราท่าน
บุญกุศลใดที่เกิดจากการได้ช่วยงานธรรมครูบาอาจารย์ ขออุทิศแด่
ผู้เก่ียวข้องกับคณะผู้จัดท่าทั้งท่ียังมีชีวิตอยู่และได้ล่วงลับไปแล้ว ตลอดจน
สรรพสัตว์ทุกภพโดยไม่มีประมาณ สุดท้ายน้ีขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่านเม่ืออ่าน
แล้วใหเ้ จรญิ ในธรรม ใหเ้ กดิ ปัญญาได้ดวงตาเหน็ ธรรม เปน็ สมบตั ิครองใจตราบ
เทา่ นิพพานกนั ถว้ นทัว่ ทุกคนเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ
ทมี งานสายธารธรรม ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๓
โอวาทหลวงปู่มัน่ นนั้ ศกั ด์สิ ิทธ์ิ ประจักษจ์ ิตผูช้ ิดใกล้ในคาสอน
อีกหน่ึงช่อื คือ “พระครูวนิ ยั ธร” ทุกบทตอนแม่นยาล้าเลิศญาณ
หลวงป่หู ลุยเมตตาพาบันทกึ สรปุ ลกึ โอวาทเก่าเล่าสบื สาน
มผี ู้เผยออกส่อื ถือเปน็ งาน ศกึ ษาอา่ นเรือ่ งท่านเทศนเ์ หตอุ นั ใด
หลวงปมู่ ั่นบรรพชาสิบหา้ ครบ แตป่ ระสบเหตุลาสกิ ขาใหม่
เม่ือพบหลวงปเู่ สาร์จงึ เข้าใจ ความยิง่ ใหญ่ในข้อวัตรชัดศรทั ธา
จึงติดตามเดนิ ทางไกลไปอุบล ฤดดี ลวเิ วกค่าจาพรรษา
พ.ศ.สองสส่ี ี่สามตามตารา จดุ นม้ี ชี ื่อว่า “พระธาตุพนม”
หลวงป่มู ่นั ออกปลกี หลกี วิเวก ทา่ นเป็นเอกบาเพญ็ เพียรเวียนสัง่ สม
ถ้าสาริกาเหตุการณ์สานเกลียวกลม น้อมกราบกม้ รบั ธรรมนากมล
เปน็ ครูใหญข่ องพระกรรมฐาน สืบตานานศกั ดิ์สิทธ์ิสัมฤทธผิ์ ล
ปฏบิ ัตเิ ปน็ แบบอย่างช่างแยบยล ธดุ งค์ดลปรากฏจรดวนั นิพพาน
ปวงศษิ ย์กราบเคารพนบเศยี รเกล้า ท่านทรงกลดบอกเล่าตามกลา่ วขาน
มุง่ หมายมอบหลักธรรม์อนันตกาล เพือ่ เปน็ ทานปถุ ุชนคนภักดิธ์ รรม
เจอื จันทน์ พ.ประสทิ ธ์ิ ประพันธ์
เผด็จ บุญหนุน ตรวจ
โอวาทธรรมหลวงปู่มน่ั | ๑
ขยายความธรรม ในกลมุ่ สายธารธรรม เม่ือวนั ท่ี ๑๗ มถิ ุนายน ๒๕๖๓
ในโลกน้เี ปน็ ธาตุทัง้ นน้ั ให้รู้เทา่ ทันกบั ธาตุอยา่ หลงตามธาตุ
ท่านทรงกลด : คาว่าโลกในที่นี้หมายถึงโลกที่เราเห็นท่ัวๆ ไป ได้แก่ ผืนแผ่นดิน
ผืนน้า ต้นไม้ ภูเขา ธรรมชาติต่างๆ แต่ในทางธรรม คาว่าโลกไปไกลกว่าน้ัน
คาวา่ โลกในทางธรรม หมายถึงขนั ธห์ า้ ได้แก่ รูปนาม แต่ในความหมายคาสอน
ของหลวงปู่มน่ั คาว่า โลก ในท่นี ี้หมายถึงรปู ภายนอก และรูปกาย ให้เห็นโลก
เห็นกายตามความเป็นจริง โลกภายนอกเป็นธาตุดิน ธาตุน้า ธาตุไฟ ธาตุลม
สว่ นโลกที่เปน็ รูปกายก็เป็นธาตดุ ิน น้า ไฟ ลมเช่นกัน
ธาตุดินคืออะไร ก็ได้แก่ส่วนของกายท่ีเป็นส่วนแข็งหยาบ ผม ขน เล็บ ฟัน
หนัง เนื้อ เอ็นทั้งหลาย กระดูกทั้งหลาย เยื่อในกระดูก ไต หัวใจ ตับ พังผืด
ม้าม ปอด ไส้ใหญ่ ไส้เล็ก อาหารใหม่ (อาหารที่ยังไม่ย่อย) อาหารเก่า
(อจุ จาระ)
ส่วนธาตุน้าก็ได้แก่ น้าดี น้าเสลด นา้ เหลอื ง เลือด เหง่อื นา้ มันข้น น้ามันเหลว
น้าตา น้าลาย น้ามกู เยอื่ ในสมอง ซ่ึงมองวา่ เปน็ ธาตดุ ินเพราะมลี กั ษณะแขง็
ส่วนธาตลุ มกค็ ือลมหายใจเข้าออก ลมในท้อง ลมในร่างกาย
ธาตุไฟก็คือส่วนที่ใหค้ วามอบอุ่น
ถ้ามีปัญญาพิจารณาดูดีๆ จะเห็นว่าเรายืมธาตุดินน้าไฟลมจากธรรมชาติมา
ทง้ั นน้ั พอถึงเวลากต็ ้องคนื เขาไป นีแ่ หละหลวงปู่มัน่ จงึ สอนว่าให้มองใหเ้ ห็นว่า
โลกนี้เป็นธาตุทั้งนั้น ให้รู้เท่าทันธาตุ คือรู้เท่าทันกาย เห็นกายตามความเป็น
จริงว่าสักแต่ธาตุประชุมกันข้ึนมาเท่านั้น เมื่อเห็นความจริง จะได้ไม่หลงธาตุ
๒ | โอวาทธรรมหลวงปู่ม่ัน
การเห็นความจริง ไม่ได้หมายถึงการคิดเอา เขา้ ใจเอา อย่างน้ันไม่เรียกว่าเห็น
แต่เรียกว่าทึกทักเอา หมายเอาว่าเห็น การจะเห็นจนรู้เท่าทันได้ จะต้อง
พิจารณากายที่เรียกว่ากายคตาสติ หรืออาการสามสิบสอง ดังท่ีเขียนไว้ใน
หนังสือ หรือท่ีมักจะเอามาลงให้พิจารณาในส่วนธรรมภาคปฏิบัติบ่อยๆ
พิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยงของผมขนเล็บฟันหนัง ให้เห็นเป็นสักแต่ว่าธาตุ
ดังท่ีกล่าว เม่ือพิจารณาอยู่เนืองๆ วันหนึ่งจิตจะสงบลงไป คราวน้ีจะเห็น
ปรากฏข้ึนในจิต อาจจะไม่เห็นตรงตามท่ีพิจารณาอยู่ก็ได้ เช่นกาลังพิจารณา
ผม พอจติ สงบ ก็จะเหน็ กระดูกปรากฏขึน้ มา จิตพอเหน็ อยา่ งน้ัน ก็ยอมรับว่า
กายน้ีสักแต่ธาตุเท่าน้ัน พอเห็นตามจริงอย่างน้ี ก็จะไม่หลงในกาย ไม่หลงใน
ธาตุ เห็นกายเป็นเพียงธาตุท้ังสี่ประชุมกันขึ้นมาเท่านั้นเอง ถึงเวลาก็เสื่อมพัง
ดินกลับสู่ดิน น้ากลับสู่น้า ลมกลับสู่ลม ไฟกลับสู่ไฟ จริงๆ มันกลับคืนอยู่
ทกุ ขณะลมหายใจ แต่เรามันโง่ ไม่เห็นเอง อย่างลมหายใจ วันๆ หน่ึง หายใจ
เข้าออกไม่รู้ก่ีพันหม่ืนคร้ัง แต่กลับไม่เห็นความจริงกัน เรียกว่าหายใจท้ิงไป
วนั ๆ พอหายใจเข้า น่ันไง ยืมธรรมชาติลมเขามาใช้แล้ว พอหายใจออก ก็คืน
ให้เขาไป ลมหายใจมันไม่ใช่เรา ของเราแต่อย่างใดเลย แล้วจะไปยึดสิ่งอ่ืนๆ
เป็นเราของเราได้อย่างไร คนมีปัญญาโยนิโสมนสิการได้อย่างนี้ จติ ก็จะคลาย
ความยดึ ม่นั หรอื อุปาทานออกมาแลว้ ทม่ี ันคลายกเ็ พราะมันหายหลงธาตุ
ถา้ เหน็ โลกเป็นธาตุตามความเป็นจริง ก็จะไมห่ ลงธาตุ อยา่ งบา้ น ก็เป็นธาตดุ ิน
ประกอบกันข้ึนมา อิฐก็มาจากดิน หินก็มาจากดิน ไม้ก็มาจากดิน เหล็กก็มา
จากดิน แลว้ จะมายึดเอาบ้านเป็นของเราได้หรือ เราทึกทักไปเองท้ังนั้น หรือ
อย่างเครื่องเพชรทอง มันก็เป็นธาตุทั้งน้ัน มันก็อยู่ของมันอย่างนั้น เราไป
ทึกทักให้ราคามันเอง มนั ไม่ไดร้ ู้เร่อื งอะไรกับเราดว้ ยเลย นี่ ถ้าเราเห็นตามจริง
อยา่ งนี้ กจ็ ะไมห่ ลงธาตุ
โอวาทธรรมหลวงปู่มัน่ | ๓
ใหเ้ หน็ ปัจจุบันธรรม อยา่ สง่ จิตอนาคตและอดีต
ท่านทรงกลด : เรื่องน้ีก็แสดงตอบไปมากมายเช่นกัน การท่ีจิตเราไม่เป็น
ปจั จุบนั กเ็ พราะเราหลงส่งจติ ไปอนาคตบา้ ง อดตี บา้ ง ท่ีท่านสอนอยา่ งนี้ ไม่ได้
หมายถึงห้ามไม่ให้คิดถึงอนาคต บางคนก็โง่หนัก พอบอกว่าไม่ควรส่งจิตไป
อนาคต ก็หยุดวางแผนทุกอย่าง อย่างน้ี พระอรหันต์เวลาสร้างศาลา สร้าง
โบสถ์ ก็ไม่ต้องวางแผนอะไรเลยสิ มันไม่ใช่อย่างนั้น คาว่าส่งจิตไปอนาคต
หมายความว่าอนาคตเราคิดได้ แต่ไม่ควรส่งจิตเข้าไปยึดมั่นในอนาคต ใน
ความคิด ไม่ควรส่งจิตไปยึดม่ันว่า อนาคตต้องสาเร็จอย่างนั้น ต้องเป็นอยา่ งน้ี
เพราะเมื่อใดทย่ี ึด เมื่อน้ันย่อมทุกข์ทันที ยิ่งพออนาคตไม่ได้เป็นไปตามที่วาด
หวังไว้ กย็ ่ิงทุกข์หนักเขา้ ไปอกี
ในการปฏิบัติ ท่านมิได้สอนห้ามไม่ให้คิด คดิ ได้ แต่อย่าแบกความคิด เหมอื นที่
เขียนไว้ในหนังสือกว่าจะถึงกระแสธรรม บอกว่าเวลาเราขุดดินเสร็จ เราจะ
แบกจอบหรอื วางจอบ คาตอบก็คือวางจอบ ความคิดก็เช่นกัน เมื่อเราใช้งาน
มนั เสร็จ เราก็ควรจะวางความคิด ไม่ใชแ่ บกยึดความคดิ ไว้ข้ามวันขา้ มคืน ใคร
เห็นต่างจากความคดิ ตน ไม่ได้ อันนค้ี ือการส่งจติ เข้าไปอนาคตแล้ว ถ้าไมส่ ง่ จิต
เข้า คิดอะไร มันก็วางไวต้ รงน้ัน จิตก็อยู่ส่วนจิต คิดก็ส่วนคดิ ไม่เกยี่ วข้องกัน
เม่ือจิตอยู่สว่ นจิต น่ันแหละเรียกว่าอยู่กับปัจจุบันแล้ว อดีตก็เช่นกัน เราห้าม
อดีตไม่ได้ จะไปส่ังว่าอดีตท่ีไม่ดีทั้งหลายเอ๋ย จงอย่ามาให้เห็นหน้านะ ทาได้
ไหม ทาไม่ได้หรอก หรือจะไปสั่งอดีตวา่ อดีตท่ีดีๆ ทั้งหลายเอ๋ย จงอยู่กับเรา
ใหเ้ ราได้ชน่ื ใจไปตลอดนะ ทาได้ไหม ทาไมไ่ ดห้ รอก ตรงทาไม่ได้ มันก็บอกอยู่
โทนโท่แล้วว่า มันบังคับบัญชาอะไรเขาไม่ได้เลย นึกจะมามันก็โผล่มา นึกจะ
ไปมันก็ไป ก็อะไรท่ีไม่อยู่ในอานาจบังคับบัญชาของเราได้ จะถือว่าส่ิงน้ันมัน
เป็นของเราไดอ้ ีกหรือ
๔ | โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น
อดตี ก็คือสญั ญาขันธอ์ ย่างหนงึ่ เรอื่ งขันธ์ห้านก่ี ็สาคญั ถ้าใครจะมาเรยี นธรรมะ
กับเรา ไปศกึ ษาขนั ธห์ า้ ทเ่ี ขียนไวใ้ นหนงั สือให้เข้าใจกอ่ น ไมง่ น้ั ไม่มวี นั รู้เร่ืองใน
สิ่งที่เราแสดง ในส่ิงท่ีเราตอบ เร่ืองขันธ์ห้าเป็นเร่ืองตั้งต้นพุทธศาสนา
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ก็ตรัสรู้เรื่องขันธ์ห้า รู้ที่มาของขันธ์ห้า รู้ท่ีดับของขันธ์ห้า
เรื่องอดีตก็เป็นเรื่องสัญญาขันธ์คือความจาได้หมายรู้ ไม่ควรส่งใจไปในอดีต
คือไม่ควรจมปลักอย่กู บั อดตี เม่ือใดทจ่ี มปลัก เมือ่ น้นั ยึดในอดีต สง่ ใจเข้าไปยึด
อดตี แล้ว อดตี ผา่ นมา ให้แค่รับรู้ รับทราบ ใหห้ ยุดเพยี งแคน่ ั้น ไม่ควรปล่อยให้
ใจหลงปรุงแตง่ ว่ามันควรจะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ มันแก้ไขอะไรไม่ได้แลว้ แต่
การคิดทบทวนเพ่ือแก้ไขในอนาคต พอคิดแล้ววางความคิด อยา่ งนี้ไมเ่ รียกว่า
สง่ จติ ไปในอดีตหรอื อนาคต
อนาคตก็ต้องวาง อดีตก็ต้องวาง การวางในท่ีนี้ ไม่ได้หมายถึงวางแบบวาง
สง่ิ ของ แต่หมายถงึ การหยดุ อย่แู ค่รู้ อารมณ์ใดๆ มากระทบก็หยุดอยู่แคร่ ู้ อดีต
ก็หยุดแค่รู้ อนาคตก็หยุดแค่รู้ ถ้าหยุดได้ มันจะวางไปเองโดยไม่ต้องแสดง
กริยาวางอะไรเลย ถา้ ยงั ตามวางอยู่ แสดงว่ายงั วางไม่ได้จริง การตามวาง ก็คือ
การตามยึด ไม่ยอมวางน่ันเอง บางคนน่ี เข้าใจการปฏิบัติแบบผิด ไปตามดู
ความคดิ ตามวางความคิด
มอี ยคู่ นหนึง่ ไลน์มาถาม บอกตามความคดิ อยู่หลายปี ไม่เหน็ กา้ วหนา้ อะไรเลย
จะก้าวหน้าอะไรได้ เพราะปฏิบัติผิดตั้งแต่แรก การตามกับการหยุด มันก็
ต่างกันอย่างแจ้งชดั อยู่แล้ว ดังแสดงไปนานแลว้ ความคิดก็เหมอื นลิง เราตาม
มนั ไหวหรือ บัดเด๋ียวมันอยบู่ นต้นไม้ต้นนี้ บดั เดี๋ยวมันก็ไปอยู่บนตน้ ไม้ต้นโน้น
บ้าง ไม่มที างตามมันทันหรอก จะบ้าเอาเสยี ก่อน บางคนก็ไปหลงความคิดว่า
คือจิต ดูจิตก็ตามความคิดไป หลักการปฏิบัติมีแค่ว่า ความคิดใดๆ เกิด ก็แค่
รับรู้ รับทราบ ให้หยุดแค่นั้น พอกันแค่น้ัน หยุดอยู่กับรู้ ไม่หลงตามความคิด
โอวาทธรรมหลวงปู่มน่ั | ๕
ไป หลงตามความคดิ ก็คือหลงส่งจิตไปในอนาคต อดีต น่นั แหละ ให้ร้ทู ันอดีต
รู้ทันความคิด รู้ทันว่า มันไม่แน่ ไม่เท่ียงหรอก มาแล้วก็ไป เกิดแล้วดับ
ธรรมดาของมนั เป็นอย่างน้ัน ไม่มคี วามคิดใด อดีตใดจะคงทนอยูไ่ ด้ นี่เรยี กว่า
รเู้ ทา่ ทนั ขณะเดียวกนั กใ็ ห้รูส้ ึกตวั อยูก่ ับความรู้สึกตัวใหม้ าก มันจะเสริมใหจ้ ิต
เปน็ ปจั จุบนั ได้อย่างรวดเรว็
ถ้าเรารู้เทา่ ทนั ความคดิ รูเ้ ท่าทนั อนาคต รู้เท่าทันอดีต ว่าสักแตม่ าแล้วก็ไป หา
สาระแกน่ สารอนั ใดไมไ่ ด้ (อนัตตา) จิตกจ็ ะไมห่ ลงไปในอดีต ในอนาคต เมือ่ จิต
ไมห่ ลงไป จติ กจ็ ะกลับคืนสูฐ่ านะเดมิ ของมัน กจ็ ะเหน็ ปจั จุบนั ธรรม กค็ ือจิตน่ัน
แหละเป็นปัจจุบันธรรม ตัวจิตเอง (จิตเดิม) มันเป็นปัจจุบันอยแู่ ล้ว แต่เพราะ
ไมร่ ู้เท่าทนั อารมณ์ ไม่รเู้ ทา่ ทนั อดีต อนาคต จึงหลงไป พอรู้กห็ ายหลง รูใ้ นที่นี้
กค็ ือร้เู ทา่ ทัน และอยู่กับ "รู้" ตวั หลงคอื อวิชชา ตัวรคู้ ือวิชชา เมื่อวิชชาหรือตัว
รู้เกิด อวิชชาก็ดับไป เท่าน้ันเอง เมื่อตัวรู้เกิด ก็หายหลง เมื่อหายหลง จิตก็
เข้าถึงปัจจุบัน เห็นปัจจุบันธรรม ก็พอสมควรแก่คาถาม คาสอนของ
หลวงปู่ม่ันเป็นคาสอนของพระอรหันต์ท่ีพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณ จึงลึกซึ้ง
เกินคนสามัญจะเข้าใจ เข้าถงึ ได้ คนท่ีไม่เห็นธรรมจรงิ ก็จะสอน จะตีความไป
ผดิ ๆ ชกั พาคนให้หลงได้อยา่ งงา่ ยดาย
๖ | โอวาทธรรมหลวงปู่มนั่
ขยายความธรรม ในกลมุ่ สายธารธรรม เมือ่ วันท่ี ๒๓ มิถนุ ายน ๒๕๖๓
ธาตุ ๘๔,๐๐๐ ธาตุออกมาจากจิตหมด
ความรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นอนันตนัย มากมายยิ่งกว่า ๘๔,๐๐๐
พระธรรมขันธ์เป็นอุบายที่จะทรมานสัตว์
พ้นวิสัยของสาวกท่ีจะรู้ตามเห็นตามได้ สาวกกาหนดรู้แต่เพียง
๘๔,๐๐๐ เทา่ น้นั กเ็ ป็นอศั จรรย์
ธรรมะเป็นตน้ เอโกมีอันเดยี ว แต่แสดงอาการโดยนยั ๘๔,๐๐๐ ธาตุ
๔ ธาตุ ๖ ธาตุ ๑๘ ให้เหน็ ด้วยจักษุด้วย ให้เห็นด้วยญาณ คือปญั ญาดว้ ย นโม
ดิน น้า บดิ า มารดา ปนั้ ขึน้ มา
๘๔,๐๐๐ เป็นอุบายท่ีให้พระองค์ทรมานสัตว์ สัตว์ย่อมรู้แต่
๘๔,๐๐๐ เท่านั้น จะรู้ย่ิงไปกว่านั้นเป็นไม่มี เว้นแต่นิสัยพุทธภูมิฯ รอู้ นันตนัย
หาประมาณมไิ ด้ พ้นจากนิสัยของสาวก สาวกรู้แต่ ๘๔,๐๐๐ เทา่ นน้ั จะรยู้ งิ่ ไป
กว่าน้นั มไิ ด้
ท่านทรงกลด : คาว่า ๘๔,๐๐๐ ธาตุก็คือ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ล้วน
ออกมาจากจิตอันเดยี ว ที่พระองค์สอนสาวกกเ็ พียง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
เท่าน้นั แต่ว่าความรู้ของพระองค์มีมากกว่านน้ั นบั ประมาณไม่ได้ ส่วนสาวกก็
จะสามารถเรียนรไู้ ดก้ ็เพียง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เกินกว่านั้นก็ไม่สามารถ
เรียนรูไ้ ด้ เพราะพ้นวิสยั ของสาวก
โอวาทธรรมหลวงปู่มน่ั | ๗
๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ก็คือตามท่ีปรากฏในพระไตรปิฎกนั่นแหละ คือส่ิงที่
พระพุทธเจ้าสอนสั่งเวไนยสัตว์อยู่ ๔๕ พรรษาส่วนคาว่าธรรมเป็นต้น เอโกมี
อันเดียวก็คือจิต แต่พอแสดงอาการของโดยนัยก็กระจายออกไปได้ถึง
๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธห์ รอื ธาตุ
ส่วนธาตุ ๔ ก็คือธาตุดินน้าไฟลม ซึ่งแสดงไปมากมายแล้ว ถ้าไม่รู้ว่าธาตุส่ีคือ
อะไร ก็ไมร่ ูว้ า่ จะพูดอย่างไรเหมือนกนั
เหมือนไม่รู้ว่าขันธ์ห้าคืออะไร อันน้ีก็จัดว่าแย่มาก ไม่สมควรจะเรี ยกว่า
พุทธศาสนิกชน เพราะไม่รู้เรื่องที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ จะทาบุญสร้างพระ
มากมาย ปล่อยวัวปล่อยควายมากมาย สร้างวิหารเจดีย์มากมาย แต่ไม่รู้ว่า
ขันธ์ห้าคืออะไร ธาตุส่ีคืออะไร ก็ไม่ควรจะเรียกตนเองว่าเป็นพุทธศาสนิกชน
ไม่ควรจะกล่าวว่าตนเองนับถือศาสนาพุทธ ส่วนธาตุหกกเ็ พิ่มอากาศธาตุ กับ
วิญญาณธาตุเข้ามา อากาศธาตุก็คอื ความว่างทั้งในร่างกายและข้างนอก ส่วน
วิญญาณธาตกุ ็คือธาตตุ ัวรู้
สาหรับธาตสุ ิบแปด อนั นกี้ ็ไม่มีอะไร เป็นเรื่องปริยตั ิลว้ นๆ คือเอาผัสสะทง้ั หก
มาขยาย เช่น ตาเห็นรูปเกิดวญิ ญาณ (วิญญาณทางาน) ขึ้นมา ตาก็เปน็ จกั ขธุ าตุ
รปู ท่ีเห็นก็เป็นรปู ธาตุ ส่วนวิญญาณก็เรียกเปน็ จักขุวิญญาณธาตุ ประตูท้ังหก
หรอื ทวารทัง้ หก คณู สามเข้าไปก็กลายเป็นสิบแปดธาตุขนึ้ มาเทา่ น้ันเอง
อย่างอันสุดท้ายใจสัมผัสธรรมารมณ์ ตัวใจก็เรยี กมโนธาตุ ธรรมารมณ์ก็เรียก
ธรรมธาตุ ส่วนวิญญาณที่รับรู้ก็เรียกมโนวิญญาณธาตุ อันน้ีไม่ต้องไปสนใจ
อะไรมาก เพราะรู้แล้วก็ไม่ไดท้ าให้ตรัสรู้ธรรมได้ เป็นเร่ืองท่ีพวกเรียนหนงั สือ
เรียนปริยัติเขาเรียนกัน เรียนสิ่งเหล่านี้แล้วก็ไม่ได้เป็นปัจจัยให้บรรลุธรรม
๘ | โอวาทธรรมหลวงปู่มัน่
ตรัสรู้ธรรมแต่อย่างใด จะตรัสรู้ธรรม บรรลุธรรม ให้เรียนเร่ืองสติอันเดียว
(สติปัฏฐานสี่) พอบรรลุแล้ว ส่ิงท่กี ลา่ วมันจะปรากฏขึน้ ให้เห็นเอง
เท่าท่ีเห็นมา ยังไมเ่ คยเหน็ อาจารย์สอนปริยตั ิ สอนพระอภิธรรมคนไหนบรรลุ
ธรรมเลย มีแต่ความรู้ความจาสัญญาเต็มหัวไปหมด อย่างพระพุทธเจ้า ก่อน
ตรัสรู้ ท่านกไ็ มไ่ ดร้ อู้ ะไรมาก รู้แค่วา่ หายใจเขา้ รู้สกึ ตวั หายใจออกรู้สกึ ตัว หรือ
ท่ีเรียกในตอนหลังว่า อานาปานสติ พระองค์รู้แค่น้ัน พอจิตกับความรู้สึกตัว
หรือสติต้ังมั่นเข้าด้วยกัน เกิดสัมมาสมาธิ ซ่ึงไม่ใช่สมาธิแบบที่เคยเรียนกับ
อุทกดาบส อาฬารดาบส ก็บรรลุธรรมตรงน้ัน เห็นรูปนามตามความเป็นจริง
เห็นขันธ์ห้าเกิดจากไหน มาจากไหน เห็นการทางานของตาเวลาเห็นรูป เห็น
ผัสสะ เหน็ เวทนา เหน็ จิตทางานอยา่ งไร หรือเรยี กวา่ เห็นปฏจิ จสมปุ บาท สง่ิ ท่ี
เขาเรยี นปรยิ ตั ิอะไรกัน มนั มาทีหลังเห็นธรรมทง้ั นัน้ พวกเราทไี่ ม่ตรสั รู้กเ็ พราะ
เรียนเยอะ อยากรู้เยอะๆ รู้แล้วก็ไม่เอาไปใช้ อย่างหนังสือท่ีทีมงานจัดทา
ข้ึนมา (รวมท้ังธรรมะจากใจ เล่ม ๖ ท่ีกาลังจะปรากฏโฉมในเร็ววนั น)้ี รวมสิบ
เล่ม ถ้าเอาสักประโยคหน่ึงในหนังสือไปใช้ ก็สามารถบรรลุธรรมได้แล้ว แต่ก็
ไม่เอากัน
อย่างสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ก็ดี ท่านสอนลูกศิษย์ ไม่ได้
สอนมากแบบนี้ อย่างเรานี้ สอนยิ่งกวา่ พระสอนเสียอีก สมัยพุทธกาล ท่านก็
ให้อุบายในการเจริญสติภาวนาสั้นๆ แต่คนรับอุบายธรรม เมื่อฟังแล้ว ก็ปลีก
ตวั ไปทาใหม้ าก เจรญิ ให้มาก เอาชวี ติ เปน็ เดมิ พนั จงึ บรรลธุ รรมกนั
อยา่ งบางคนอ่านหนังสือจบทกุ เลม่ อารมณ์มากระทบหนอ่ ยเดยี ว หลุดเลย วิ่ง
ตามอารมณ์ไป ที่อ่านมาไม่เข้าหัวเข้าจิตเข้าใจเลย ท่านพุทธทาสจึงบอกว่า
เวลาอารมณ์มันเกิดในขณะนั้นพิจารณาในขณะน้ันให้เห็น อนิจจัง ทุกขัง
โอวาทธรรมหลวงปู่มนั่ | ๙
อนตั ตา ในอารมณ์นน้ั มันย่งิ กว่าอ่านพระไตรปิฎกเสียอีก แตเ่ ราสว่ นใหญ่ก็ไม่
เอากัน ปล่อยให้อารมณผ์ ่านไปทงิ้ ไปวันหน่งึ ไมร่ ู้เทา่ ไรต่อเท่าไร
หลวงปูช่ าจงึ บอกว่ามะม่วงมนั หล่นให้เราเก็บมากมายทุกวนั แต่เราก็ไมร่ ู้จักค่า
เราก็เลยอยู่ไปแบบวันๆ เท่านั้น นี่ก็สอนมามากมาย จิตเป็นกลางเอย ความ
รู้สึกตัวเอย พิจารณากายเอย พิจารณาอารมณ์เอย ให้รู้เท่าทันอารมณ์เอย
บัดน้ีจิตปรุงแต่งเป็นอย่างน้ันอย่างน้ีแล้วนะ ออกมาอยู่กับความรู้สึกตัวเสีย
บางคนก็จะเอาแต่ความสงบ หนีอารมณ์ไปอยกู่ ับความสงบ เขาสอนให้อยู่กับ
อารมณ์อย่างรู้เท่าทัน แตค่ อยจะหนอี ารมณ์ มนั ก็เลยไม่ได้ก้าวหน้าไปไหน
พระธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์มันก็มีแค่น้ีแหละ จิตหน่ึง สติ แล้วก็
อารมณ์ สติจะแยกอารมณ์ออกไป จนเหลือจิตหน่ึง อย่างท่ีหลวงปู่ดูลย์บอก
๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธอ์ อกมาจากจิตดวงเดียว ทา่ นกก็ ล่าวเหมือนหลวงปู่ม่ัน
ถึงจิต (จติ เดิม) ก็จะเห็นสิ่งเดียวกัน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ก็คอื ส่ิงท่ีจิตปรุง
แต่งท้ังหมด จะเป็นรูปนามอะไรก็แล้วแต่ ออกมาจากจิตหนึ่งทั้งนั้น ทวน
กระแสเข้าถึงจิตหน่ึงจิตเดิมได้ จะหายสงสัยในสิ่งท่ีหลวงปู่ม่ัน หลวงปู่ดูลย์
กลา่ วมาทง้ั หมด
พระไตรปิฎกที่พระพุทธเจ้าสอนแล้วพระท่านได้รวบรวมกันไว้ ก็มาจากจิต
หน่ึงนี้แหละ ท่านไมไ่ ดไ้ ปเอาจากนอกโลกหรือโลกไหน แต่ท่านสอนท่านบอก
ท่านบัญญัติเอาไว้น้ัน ไม่หมายถึงต้องเรียนรู้ให้หมดแล้วจึงจะบรรลุธรรม
หลวงตามหาบัวหรือพระมหาทั้งหลาย พอไปถึงหลวงปู่ม่ัน ท่านก็บอกวาง
ตาราเสียก่อนนะท่านมหา แสดงว่าไม่จาเป็นต้องเรียนต้องจาตารา
พระไตรปฎิ กทั้งหมด แล้วจึงจะสามารถบรรลุธรรม เอาแค่สติตัวเดียวเท่าน้ัน
๑๐ | โอวาทธรรมหลวงปู่มน่ั
ถา้ ได้สติแล้ว ทีเ่ หลือไม่ว่าจะเป็นมรรคเป็นผลนพิ พานก็ตามมาเองโดยอัตโนมัติ
เพราะไดพ้ บทางเจอทางมรรคผลนิพพานแลว้
หลวงปู่แหวนจึงบอกท่านเจ้าคุณพุธหรือหลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวันว่า
ทา่ นเจ้าคุณ ไม่ต้องกาหนดอะไรมากนะ เอาสตติ วั เดยี วเท่านั้นแหละ แล้วเราก็
ขอยนื ยันวา่ เป็นเช่นนนั้ จริงๆ ถ้าได้สติทีถ่ ูกต้อง (สัมมาสติ) เจริญสติ สตินาพา
ไปหาจิต พบจิต พบธรรม คราวน้ีจะอา่ นธรรมะอะไรก็เขา้ ใจแตกฉานเอง หรือ
จะเปน็ เฉพาะกับเราก็ไม่รเู้ หมือนกัน เห็นธรรมะท่พี ระสอน ก็รู้ทันทีว่าถกู หรือ
ผิด พระรูปนยี้ ังไม่ไดอ้ ะไรเลย พระรูปนี้แค่เป็นนักคิดนักเขียนเท่าน้ัน ถ้าบอก
ไปจะตกใจเปล่าๆ พระท่ีเห็นพากันนับถือกันอยู่ ไม่ต้องกาหนดจติ ดูก็ได้ เห็น
ข้อเขียน คาสอน ก็รู้ทันทีว่ายังเป็นปุถุชนอยู่ ยิ่งฆราวาสที่อวดอ้างตนเองว่า
บรรลุโสดาบันบ้าง สอนธรรมอย่างนั้นอย่างน้ี ท่เี ห็นมายังไมถ่ ึงไหนสักคนเลย
พดู อย่างนี้ ไม่ต้องมาถามนะว่าองค์น้ันใชไ่ ม่ใช่ ฆราวาสคนนั้นใช่ไมใ่ ช่ ไม่ตอบ
หรอก ถ้าจะตอบก็จะตอบวา่ ปฏิบัติให้ถงึ กจ็ ะรู้เองแหละ เพราะตอบไปกย็ ังไม่
หายสงสัยอยู่ดี จึงไม่มปี ระโยชน์ทีจ่ ะตอบ
โอวาทธรรมหลวงปู่ม่นั | ๑๑
ขยายความธรรม ในกลมุ่ สายธารธรรม เมอื่ วนั ที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๓
นโิ รธเป็นของดับเพราะรู้เท่าแล้ว จิตไม่เกิดยินดี ยินร้าย ดบั ไปเช่นนี้
ชือ่ วา่ นิโรธ
ท่านทรงกลด : การปฏิบัติที่จะไปถึงนิโรธคือการดับทุกข์ได้นั้น จะต้องเจริญ
สติจนเกดิ สติอัตโนมัติรู้เท่าทันอารมณ์ทั้งปวง คาว่ารู้เท่าหมายถึงอารมณ์ใดๆ
เกิดก็รู้เทา่ คือรเู้ ท่ากันเสมอกัน เช่นอารมณ์มาร้อยก็รู้ร้อย อารมณม์ าห้าสิบก็รู้
ห้าสิบ เม่ือรู้เท่าอยู่อย่างน้ี อารมณ์ไม่ว่าดีหรือร้ายก็เข้าไม่ถึงจิต เพราะมีสติ
คอยกางก้นั อารมณห์ รือนวิ รณ์ทงั้ ปวงดงั กล่าว จิตก็ไม่อาจจะส่งออกนอกไปยึด
ฉวยปรุงแต่งเต้นไปตามอารมณ์ต่างๆ เรียกว่าจิตวางเฉยต่ออารมณ์ทั้งปวง
อารมณ์ก็สักแตอ่ ารมณ์ อารมณ์ยนิ ดเี กดิ เมอ่ื รูเ้ ทา่ ก็ดับไปทนั ที อารมณ์ยนิ รา้ ย
เกิด เมื่อรู้เทา่ กด็ ับไปทนั ที เรยี กวา่ อารมณ์มาไมถ่ งึ จิต
จิตก็ไม่พลอยยินดีไปตามอารมณ์ยินดี และไม่พลอยยินร้ายไปตามอารมณ์
ยินรา้ ย นีแ่ หละ หลวงปู่ม่ันจงึ เรยี กว่าจติ ไม่เกิดยินดยี ินร้าย ท่ีจิตของปุถุชนมัน
เกิดยินดียินร้าย ก็ใช่ใดอ่ืน เพราะไม่รู้เท่าทันในอารมณ์ท้ังปวง หลงส่งจิตเข้า
ไปยึดแล้วปรุงแต่งอารมณ์ข้ึน คาว่าปรุงแต่งอารมณ์กับจิตเกิดอารมณ์ยินดี
ยินร้ายที่หลวงปู่ม่ันบอก ก็คืออันเดียวกัน ส่วนจติ ของผู้ที่มีสติรู้เท่า อารมณ์ก็
ทาอะไรจิตไม่ได้ จิตไม่พลอยเต้นตามอารมณ์ไปด้วย เม่ืออารมณ์ทาอะไรจิต
ไมไ่ ด้ จิตนัน้ ก็สงบจากทกุ ข์จากสขุ เรียกวา่ จติ นิโรธ นิโรธคือการดบั สนิท อะไร
ดบั กอ็ ารมณ์ต่างๆ ที่จิตเคยหลงเข้าไปพวั พนั เมื่อรู้เทา่ ทนั มนั ก็ดบั สว่ นข้างใน
จติ นี้ เมื่ออารมณ์มาไม่ถึง จึงเรียกว่าอารมณ์มันดับ มันไม่มีอารมณ์หลงเหลือ
อยู่ อารมณ์ทั้งปวงที่จิตยึดไว้คือตัวทุกข์ เมื่ออารมณ์ขาดจากจิต เพราะมีสติ
ร้เู ท่าอยู่ ทกุ ขก์ ด็ บั สนทิ จากจิต จิตไม่ได้ดับ แตท่ ุกขด์ บั
๑๒ | โอวาทธรรมหลวงปู่มัน่
คาว่านิโรธคือการดับสนิทแห่งทุกข์ พระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ท้ังหลาย มี
หลวงปู่มั่น เป็นต้น ไม่เคยบอกว่าจิตดับสนิท ไม่เคยสอนว่านิโรธคือการดับ
สนิทแห่งจิต แต่นิโรธคือการดับสนิทแห่งทุกข์ท้ังปวงต่างหาก ว่าโดยย่อ จิตที่
พ้นไปจากอารมณ์ท้ังปวงน่ันแหละ คือนิโรธ คือการดับสนิทแห่งทุกข์ท้ังปวง
ตอบโดยย่อเท่านีล้ ะ่
โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น | ๑๓
ขยายความธรรม ในกลุ่มสายธารธรรม เม่ือวันท่ี ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๓
วนั อาสาฬหบชู า
มรรค ๘ ใครภาวนาเจริญดีแล้ว แก้โลกธรรม ๘ ประการ ฉะน้ันจิต
ท่านอรหันตไ์ มห่ วั่นไหวด้วยโลกธรรม ๘ ประการ มไี ตรลักษณ์บงั คับ แม้โลกีย์
ท้ังหลาย มีไตรลักษณ์บังคับอยู่เสมอ ไตรลักษณ์บังคับไม่ได้น้ัน มีโลกุตระ
เท่านั้น โลกุตระอันน้ีอยู่เหนือไตรลักษณ์ สถานที่เกษมบุคคลท่ีจะพ้นโลก
โลกีย์ไปถึงโลกุตระ ต้องสร้างพระบารมีเป็นการใหญ่ บุคคล ๓ จาพวกคือ
พระพุทธเจ้า ๑ พระปจั เจก ๑ พระอรหนั ต์ ๑ พระพทุ ธเจ้าสร้างบารมี ๓ ชนิด
ปญั ญาบารมี ๔ อสงไขย แสนกาไรมหากปั ศรทั ธาบารมี ๘ อสงไขย แสนกาไร
มหากัป วิริยบารมี ๑๖ องไขย แสนกาไรมหากัป พระปัจเจกสร้างบารมี
๒ อสงไขย แสนกาไรมหากัป พระอรหันต์สร้างบารมี ๑ อสงไขย แสนกาไร
มหากัป ดังนี้ สร้างพระบารมีมิใช่น้อยกว่าจะสาเร็จพระนิพพานได้ดังนี้
ชานาญมากท่ีสุด ๑ อสงไขย เหลือที่จะนับน้ันประการหนึ่ง เอาสวรรค์ เอา
นรกเป็นเรือนอยู่สร้างพระบารมี พระนิพพานเป็นของท่ีแพงท่ีสุด ต้องสร้าง
บารมีแลกเปล่ยี นเอาจงึ จะไดพ้ ระนิพพาน
ท่านทรงกลด : วันน้ีจะตอบคาถามนี้ ฉลองวันอาสาฬหบูชา ๒๕๖๓ ใคร
เจริญภาวนามรรคแปดดีแล้ว จะสามารถแก้โลกธรรมแปดประการได้ วัน
ปฐมเทศนา พระพุทธเจ้าทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตนสูตร คือการหมุนกงล้อ
แห่งธรรม ธรรมทพี่ ระองค์แสดงก็ได้แสดงไปหลายคร้งั แลว้ ว่าโดยย่อก็คือทรง
แสดงทางสายกลาง ทางหนึ่งก็คือการปล่อยใจให้หลงใหลเพลิดเพลินไปกับ
อารมณท์ ี่น่ารักน่าใครน่ ่ายินดี หรือกามสุขัลลิกานุโยโค อีกทางก็คือการปล่อย
ใจให้หลงใหลไปกับอารมณ์ท่ีไม่น่ายินดี หรืออัตตกิลมถานุโยโค จิตท่าน
โกณฑัญญะ พอฟังถึงตรงนี้ ก็ผละจากอารมณ์ท้ังสองฝ่ังท่ีแต่ก่อนแล่นไปไม่
๑๔ | โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น
เกาะฝ่งั โนน้ ก็ฝ่ังนี้ เหมือนอารมณป์ ุถชุ นท่ัวๆ ไป แลว้ จิตทา่ นก็เป็นกลางขน้ึ มา
จติ เกิดสัมมาสมาธิ ตั้งมั่นขึ้นมา เห็นรูปนามตามจริงว่าสักแตเ่ กิดสักแต่ดับ หา
ตวั ตนแก่นสารไม่ได้ ท่านอุทานว่า ยังกิญจิ สมุทยธัมมัง สพั พันตัง นโิ รธธัมมันติ
คือส่ิงใดเกิดเป็นธรรมดา ส่ิงนั้นก็ย่อมดับเป็นธรรมดา คาว่าส่ิงใดก็คือรูปนาม
ขนั ธ์ห้านี่แหละ พระพทุ ธเจ้าท่านทรงรู้วาระจิต ก็อุทานว่า โกณฑัญญะรู้แล้ว
หนอๆ เกิดดวงตาเห็นธรรม บรรลุโสดาปัตติผล พระโสดาบันจะตอ้ งผ่านจุดนี้
ท้ังนั้น จะน่ังสมาธิอยู่เป็นวันเป็นคืน ถ้าไม่เห็นตรงน้ี ก็ยังไม่ถือว่าบรรลุ
โสดาบัน
พระบางรูปก็สอนผิดๆ ว่า การบรรลุโสดาบันคือเข้าใจธรรมจนถึงพร้อมด้วย
สัมมาทิฏฐิ ความจริงแล้วการเข้าใจธรรมกบั การบรรลุธรรมมันคนละเร่ืองกัน
การเข้าใจยังเป็นชั้นความคิดอยู่ แต่การบรรลุธรรม มันพ้นความคิดไปแล้ว
เมอ่ื ใดบรรลุธรรมก็จะรู้เองว่ามันตา่ งกนั อย่างไร
เรอื่ งปฐมเทศนา ไดแ้ สดงไปหลายคร้ัง มีรายละเอยี ดมากมายอยใู่ นหนงั สือ ซ่ึง
เช่ือว่าคนจานวนมากไมเ่ คยอ่านเคยฟังทไี่ หนมากอ่ น พวกเราที่อยู่ในกลุม่ น้ีถือ
ว่ามีบุญวาสนามากจริงๆ ที่ได้ฟังได้อ่านธรรมที่ไม่ค่อยปรากฏในท่ีใด อย่าง
วันน้ีไปทาบุญทีว่ ัดป่าสองแห่ง ทอดสายตามองไปดคู นที่มาทาบญุ มากมาย ไม่
เห็นใครเลยท่ีจะมุ่งพระนิพพานเหมือนพวกเรา ส่วนใหญ่มาทาบุญตาม
ประเพณีบ้าง มาเพื่อสะสมบุญบ้าง ซ่ึงยังเป็นบุญหยาบๆ อยู่ จะมีบุญเหมือน
พวกเราท่มี ่งุ เน้นภาวนา ไมม่ เี ลยจริงๆ แต่ก็ดีกวา่ ไม่ทาอะไรเลย อยา่ งน้อยก็ยัง
นึกถึงบญุ ในวันสาคัญทางพระพุทธศาสนา
คนท่ีสนใจธรรมปฏิบัติภาวนา คือคนท่ีสั่งสมวาสนามามากกว่าคนปรกติ และ
ยิ่งมาพบคาสอนที่ถูกต้อง ไม่หลงทาง เกิดสัมมาทิฏฐิแบบพวกเรา จักต้องมี
โอวาทธรรมหลวงปู่มัน่ | ๑๕
พระนิพพานเป็นท่ีไปอย่างแน่นอน การมีสัมมาทิฏฐิก็คือปฐมบทของมรรคมี
องค์แปด คืนวันพระปฐมเทศนา พระพุทธเจ้าก็ทรงสอนเรอื่ งมรรคมีองค์แปด
เริ่มที่สัมมาทิฏฐิ ทาความเห็นให้ถูก ความเห็นว่าอารมณ์ยินดี ไม่ควรข้องแวะ
อารมณย์ นิ รา้ ยกไ็ มค่ วรข้องแวะ
เมื่อความเห็นถูกจิตก็ออกจากอารมณ์ยินดี อารมณ์ยินร้าย หรือเรียกว่า
สัมมาสังกัปปะ ขณะจิตนั้นศีลก็มาพร้อม สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ
สัมมาอาชีวะ เม่ือประกอบด้วยความเพียร คือเพียรให้จิตไม่แส่ส่ายเข้าไปสู่
อารมณท์ งั้ สอง อนั เรียกว่าสมั มาวายามะ กเ็ กดิ สตขิ น้ึ มาเองโดยอตั โนมัติ ความ
รสู้ กึ ตัว หรือสภาวะจิตทเ่ี ป็นกลางจะมาเอง เรยี กวา่ สมั มาสติ พอสติมีกาลัง จิต
ก็จะต้ังมนั่ เกดิ สัมมาสมาธิ จิตพรากออกจากอารมณ์ ออกจากขันธ์หา้ มาตงั้ ม่ัน
เห็นรปู นามตามจรงิ เกดิ สัมมาสมาธิ สมาหโิ ต ยถาภูตัง ปชานาติ
เมื่อจิตตั้งมนั่ กจ็ ะเห็นรูปนามตามจริง จิตจะเห็นจิตอย่างแจม่ แจง้ และจะเห็น
รูปนามตามจริงในขณะเดียวกัน ครบู าอาจารย์จึงเรยี กตรงนวี้ ่าพบจิต พบธรรม
เม่ือจิตต้งั มั่น จิตจะพบตัวมนั เอง เห็นตัวมนั เอง ส่ิงท่กี ล่าวไม่ไดเ้ ห็นเป็นรปู รา่ ง
เพราะขณะจิตนน้ั มันไม่มีการปรุงแต่งของจิตเลยแม้แตน่ ิด มันเปน็ การเห็นท่ี
เรียกวา่ ญาณทสั สนะ ตอ้ งเหน็ เองจงึ จะเข้าใจนะ
ทีน้ี มรรคมีองค์แปดแก้โลกธรรมได้อย่างไร จะแก้ได้จริง ต้องเป็นอย่างท่ี
หลวงปู่ม่ันว่าไว้ คือตอ้ งภาวนาเจริญดีแลว้ มันถึงจะแก้ได้ โลกธรรมแปดคือมี
ลาภ เส่ือมลาภ มียศเสื่อมยศ มีสรรเสริญ มีนินทา มีสุข เส่ือมสุขกลาย
เป็นทุกข์ จิตของผู้ที่เจริญภาวนามรรคแปดดีแล้ว จะอยู่เหนือโลกธรรมแปด
โลกธรรมแปดเข้าไม่ถึงจิต ผู้ท่ีเจรญิ มรรคแปดดีแล้วก็คอื พระอริยบุคคล คาว่า
ดีแล้ว คือถึงอริยมรรคแล้ว ถึงอริยมรรคถึงขั้นท่ีอารมณ์มาไม่ถึงจิต มีลาภ
๑๖ | โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น
มียศ มีสรรเสริญ มีสุข รวมลงมาก็คืออารมณ์ยินดี หรือสุขเวทนา เสื่อมลาภ
เส่ือมยศ ถกู นนิ ทา เสื่อมสุข รวมลงมากค็ ืออารมณ์ยนิ ร้ายหรือทุกขเวทนา มัน
ก็กลับไปทอ่ี ารมณส์ องฝั่งดงั กลา่ วขา้ งตน้ นั่นแหละ
เม่ือเจริญมรรคจนถงึ ข้ันท่จี ิตพ้นไปจากอารมณ์ อารมณ์มาไม่ถึงจิตได้ จิตก็อยู่
เหนอื อารมณ์ จิตท่อี ยู่เหนอื อารมณ์ก็คอื โลกุตตรจิต อารมณ์ท้ังปวง โลกธรรม
แปดทั้งปวง เป็นเรื่องของโลกียะ มีลาภเส่ือมลาภ ก็คืออนิจจัง คือไตรลักษณ์
มียศ เสื่อมยศ มีสรรเสริญ มีนินทา มีสุข เส่ือมสุขก็คืออนิจจัง คือไตรลักษณ์
ท้ังน้ัน โลกธรรมแปดมันไม่เท่ียง เป็นอนิจจัง ทุกขัง คือทนไม่ได้ วันนี้รวย
พรุ่งน้ีจน วันน้ีมีลาภ พรุ่งนี้ลาภท่ีได้มาก็เสื่อมหายไป หมดไป มันเที่ยงเสียที่
ไหน ยศ กเ็ ชน่ กนั ไมไ่ ดต้ ิดตวั เราไปตลอดหรอก สรรเสรญิ เลา่ วันนค้ี นเดยี วกนั
ชมอยู่ พรงุ่ นเี้ ขากอ็ าจจะนินทาวา่ ร้ายเราก็ได้ ไม่แนห่ รอก สขุ ก็เช่นกัน ไม่มีสุข
ใดจะคงอยู่ไปตลอด อาหารม้ือเช้าท่ีแสนอร่อย สุขใดๆ ที่ได้เสพเมื่อตอน
กลางวัน ตอนน้ีมันก็เสื่อมดับไปหมดแล้ว อย่ายึดม่ันให้มากนักเลย แต่จิต
ปุถุชนก็จะว่งิ เป็นบ้าเป็นหลังไปกับโลกธรรมแปดเหล่าน้ีแหละ บางคนเจอคน
นินทาว่าร้ายหน่อยเดียวก็จะเป็นจะตาย ไม่บ้าโกรธ ก็ไปนั่งเศร้าซึม ร้องไห้
ฟูมฟาย ตีโพยตีพาย เป็นเร่ืองเป็นราว เคยมยี ศศักดิ์ มีคนนับถือ พอเสื่อมยศ
คนไม่นับถือ ก็เท่ียวโกรธแค้นเขา นึกน้อยใจอยู่ คนทางโลกจึงเป็นบ้าอยู่กับ
ส่ิงเหล่านอ้ี ย่างน่าสงั เวชใจที่สุด
แตส่ าหรบั ผทู้ ี่เจริญมรรคแปด มีความเหน็ ชอบ เห็นวา่ สิ่งเหล่านม้ี ันไม่เทีย่ ง ไม่
ควรยดึ มั่นถือมั่น เป็นเพียงเงาแหง่ ใจที่ไม่มีอยจู่ ริง คนท่ีว่ิงไล่ตะครุบเงาตนเอง
ไม่ต่างจากหมาเท่ียวไลต่ ะครบุ เงาตนเอง เงาในอดีตก็ตะครบุ เงาทย่ี ังมาไม่ถงึ ก็
ตะครุบ แต่คนที่รู้เท่าทันเงา เห็นเงาตามจริง คือเห็นว่าโลกธรรมแปดมัน
ไม่เท่ียง ไมม่ ีอยู่จริง เป็นอนัตตา โลกธรรมแปดกท็ าอะไรจติ ใจเขาไม่ได้ เพราะ
โอวาทธรรมหลวงปู่มนั่ | ๑๗
เขาเจรญิ มรรค เกดิ ความเหน็ ชอบที่เปน็ อริยมรรคขึ้นมา คอื เจรญิ ภาวนามรรค
ดแี ลว้ จติ อยู่เหนอื โลกธรรมแปด โลกธรรมแปดตกอยูภ่ ายในกฎไตรลักษณ์
แต่จิตที่อยู่เหนอื โลกธรรมแปด อยู่เหนืออารมณ์ จะไม่มีการเสื่อม จึงไม่ตกอยู่
ภายใต้กฎไตรลักษณ์ ที่มันไม่เส่ือม เพราะมันพ้นการปรุงแต่งเป็นวิสังขารไป
แล้ว จิตที่พ้นการปรุงแต่ง ก็คือโลกุตตรจิต จิตที่อยู่เหนืออารมณ์ เหนือโลก
ธรรมแปดนั่นเอง โลกธรรมแปดทาอะไรจิตท่ีพ้นจากการปรุงแต่ง ไม่ได้เลย
โลกธรรมแปดเข้าไม่ถึงโลกุตตรจิต จิตท่ีเป็นโลกุตระ อยู่เหนือไตรลักษณ์
เพราะไม่มีการปรุงแต่งไม่มีการเสื่อมการดับ หลวงปู่ม่ัน จึงบอกว่าโลกุตตระ
อยู่เหนือไตรลักษณ์ ก็ด้วยเหตุน้ี จิตของผู้ท่ีเข้าถึงสภาวะโลกุตตระ ย่อมไม่
เกลือกกลั้วด้วยอารมณ์ ด้วยโลกธรรมแปด จึงเรียกว่าไม่หวั่นไหวไปตามโลก
ธรรมแปด จะเห็นโลกธรรมแปดเกิดแลว้ ดับเป็นธรรมดาแต่จิตน้ีตง้ั มั่นวางเฉย
อยู่ ไม่หว่ันไหว ผู้ใดเจริญมรรคมาถึงตรงน้ี จะพบจิตตนตั้งมั่นเป็นสมาธิอยู่
ตลอดเวลา ไม่หวั่นไหวเวลาลาภเสือ่ ม เวลายศเส่ือม เวลาใครนินทา และเวลา
สขุ เสือ่ ม จะเห็นกส็ กั แต่ว่าเห็นเท่าน้นั เอง
สาหรับคาสอนของหลวงปู่มน่ั ในส่วนท่ีถัดมาก็เปน็ เพียงพลความ กล่าวถึงการ
สร้างบารมีของผู้ที่จะไปถึงโลกุตตระ ซึ่งเชื่อว่าหลายๆ คนในกลุ่มนี้ได้สร้าง
บารมีมาถึงแล้ว เพราะผู้ท่ีจะมาพบคาสอนของพระพุทธเจ้าที่ถูกต้องอย่าง
พวกเรานี้ ไม่ใช่เป็นของง่ายอย่างที่กล่าวข้างต้น จะต้องมีบารมีมาพอแล้ว
เท่าน้ัน จึงจะพบ ซ่ึงบัดน้ีก็ได้พบแล้ว ก็อย่าทิ้งบารมีอันนี้ไปเสียกอ่ น ถ้าท่าน
ไม่ทิง้ ธรรม ทิ้งทางถกู ไปหาทางผิด ก็จะเขา้ ถงึ โลกุตตระด้วยกันทุกท่านทุกคน
กข็ อจบธรรมเทศนาเนื่องในวนั อาสาฬหบชู า ๒๕๖๓ แตเ่ พียงเท่าน้ี
๑๘ | โอวาทธรรมหลวงปู่มนั่
ขยายความธรรม ในกลมุ่ สายธารธรรม เมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๖๓
พระอานนท์ เป็นคลังแห่งพระธรรม อะไรท่านรู้หมด ทาเน่ินช้า
เพราะท่านติดพระสูตร พระอภิธรรม ไม่น้อมลงมาปฏิบัติ จึงสาเร็จช้าอายุ
๘๐ ปี หลังพุทธปรินพิ พาน ๓ เดอื น
พระอานนท์ทาความเพียรในกายวิปัสสนา กาหนดจติ โดยมิได้ละ จน
ขาตรงทีเดียว จึงได้ทอดกายด้วยสติ หัวยังไม่ทันถึงหมอนจิตก็เข้าสู่ภวังค์
ภวังคห์ ายไป เกิดความรู้ เญยธรรมทั้งหลายฯ
พระอานนทท์ รงไวซ้ ึ่งพระสัทธรรม ว่าเป็นของภายนอก ต่อหันเข้ามา
ปฏิบตั ภิ ายในจึงสาเร็จฯ
ท่านทรงกลด : จะตอบเฉพาะในส่วนท่ีเก่ยี วกบั คาถาม เพราะเรือ่ งพระอานนท์
มีรายละเอียดท่แี สดงไว้มากมาย ปรากฏอย่ตู ามหนังสอื เล่มตา่ งๆ พระอานนท์
เป็นเลิศกว่าภิกษุอืน่ ในการจดจาคาสอนของพระพุทธเจ้าได้มากทีส่ ุด เรียกว่า
พหูสูต ตอนสงั คายนาพระธรรมคาสอนของพระพทุ ธเจ้าคร้ังแรก พระอานนท์
จะเป็นผู้รับรองว่าพระองค์ได้ตรัสสอนอย่างน้ีๆ จริงหรือไม่ ท่านบรรลุ
โสดาปัตติผลอยู่หลายสิบปี แต่ไม่บรรลุอรหัตผล จนอายุแปดสิบ หลัง
พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วสามเดือนจึงบรรลุอรหัตผล เหตุที่ท่านบรรลุ
อรหัตผลเน่ินช้า นอกจากท่านจะคอยจดจาคาสอนของพระพุทธเจ้า ทาให้
ไม่มีเวลาประกอบความเพียร เหตุผลหนึ่งท่ีสาคัญก็คือพระอานนท์เป็น
พระพุทธอุปฏั ฐาก ธรรมดาของพระพุทธอุปัฏฐากจะไมเ่ ป็นอรหันต์ เพราะต้อง
คอยเปน็ หน้าด่านให้กับพระพุทธเจ้า คอื เปน็ ผูป้ ระสานการเขา้ พบพระพทุ ธเจ้า
ปรกตใิ ครจะเขา้ พบฟังธรรม สนทนาธรรม จะต้องผ่านท่านก่อน เป็นคาสญั ญา
ที่พระพุทธเจ้าให้ไว้กับพระอานนท์ เพราะเวลาแสดงธรรม สนทนาธรรม
โอวาทธรรมหลวงปู่มนั่ | ๑๙
พระอานนท์จะต้องคอยอยู่ด้วย เพื่อจดจาคาสอนคาสนทนาต่างๆ เราจึงได้
พระสูตร มาเป็นส่วนหน่งึ ของพระไตรปฎิ ก ก็เพราะพระอานนท์
เหตุท่ีผู้ทาหน้าที่ตรงน้ีจะต้องไม่เป็นพระอรหันต์ ก็เพราะความเป็นอรหัตผล
จะทาร้ายคนท่ีมาขอพบพระพุทธเจ้า หากพูดจาไม่ดี กระทาการไม่ดีต่อ
พระพุทธอุปัฏฐากทเี่ ป็นอรหันต์น้ัน แตพ่ ระอานนท์เป็นแค่พระโสดาบัน หาก
พวกท่ีมาติดตอ่ ขอพบพระพทุ ธเจ้าล่วงละเมิด กรรมกจ็ ะไม่หนักเหมือนละเมิด
พระอรหนั ต์ ไมใ่ ช่วา่ ท่านไม่สามารถบรรลุอรหัตผลได้ ท่านทาได้ แต่ท่านไมท่ า
ต่างหาก เพราะถ้าท่านทาความเพียร บรรลุอรหัตผล พระพุทธเจ้าก็จะหา
พระอุปัฏฐากองค์ใหม่แทน ท่านก็จะหลุดจากตรงนี้ไป เพราะท่านรัก
พระพุทธเจา้ ประสงคจ์ ะดูแลพระพุทธเจ้าไปจนกว่าพระองคน์ ิพพาน ท่านจึง
ค่อยประกอบความเพียร อันนี้ ไม่มีในตาราหรอก มันออกมาจากความรู้ของ
เราเอง โดยท่านใช้ความเพียรไปในทางคอยจดจาคาสอนของพระพุทธเจ้า
ไม่ให้คลาดเคล่ือนแม้แต่นิด ท่านเล็งเห็นว่าบรรลุอรหัตผลไม่ใช่เรื่องยาก
เพราะท่านบรรลุโสดาบันแล้ว พระโสดาบันจะบรรลุอรหัตผลง่ายดุจพายเรือ
ตามน้า
แต่การจดจาคาสอนของพระพุทธเจ้า จะเป็นประโยชน์ต่อมหาชนต่อไปใน
อนาคตกาลอย่างประมาณค่าไม่ได้ ท่านจึงเลือกที่จะเอาเวลาไปจดจาคาสอน
ของพระพุทธเจ้าก่อน พอพระพุทธเจ้าปรินิพพานล่วงไปสามเดือน ท่านจงึ เร่ง
ความเพยี รในคืนกอ่ นที่จะมกี ารสงั คายนาคาสอนของพระพทุ ธเจ้าเป็นครั้งแรก
ซ่ึงมีพระมหากัสสปะเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ คืนนั้นท่านก็ทาความเพียรอย่าง
หนกั ทบทวนคาสอนของพระพทุ ธเจา้ ที่สาคัญๆ ท้งั หมด แต่กไ็ ม่สามารถบรรลุ
อรหัตผล เหตุที่ไม่บรรลุ (เคยแสดงไปหลายคร้ัง) ก็เพราะจิตท่านจดจ่อแต่จะ
บรรลุ เพราะมีแรงกดดนั จากงานสังคายนา ทีม่ แี ต่พระอรหนั ตท์ ้ังนนั้ ท่านเป็น
๒๐ | โอวาทธรรมหลวงปู่ม่นั
พระโสดาบันองค์เดียว ดังนั้น คืนนั้น ทา่ นจึงอยากบรรลมุ าก อยากเป็นพระอรหันต์
มาก ความอยากเป็นความคิด เป็นกิเลสอย่างหน่ึง จวบจนใกล้รุ่ง ท่านก็ทอด
ถอนใจ ตรึกว่าตนคงหมดวาสนาจะเปน็ อรหันตแ์ ลว้ “ไม่เอา” มันแลว้ อรหนั ต์
อะไรนี่ แล้วก็จะล้มตัวลงนอน ศีรษะยังไม่ทันถึงหมอนจิตท่านก็หลุดพ้น
ตรงนน้ั เพราะทา่ น “ไมเ่ อา” อรหันต์ ท่านจงึ บรรลอุ รหันต์
พงึ เขา้ ใจว่า จติ พระโสดาบันนั้นปรกติจะแยกจากความคิดอารมณ์ เห็นอารมณ์
ความคิดไม่ใช่เรา ไม่ใชต่ ัวตนเราเขาอยู่เป็นปรกติ แตก่ ย็ ังยึดว่ามันเป็นของเรา
อยู่ ช้ันเหน็ กับช้นั ละมันคนละชั้นกนั พระอานนทเ์ หน็ แต่ยงั ละไม่ได้ พอไมเ่ อา
ไม่เอาความคิดความอยากท่ีจะเป็นอรหันต์มาเป็นของตน นั่นแหละจิตท่าน
จงึ ละ จึงหลดุ ได้ นอกจากพระอานนท์ไม่เอาความคิดความอยาก ท่านกไ็ ม่เอา
สัญญาความจดความจาคาสอนของพระพุทธเจ้าในขณะจิตน้ันด้วย อย่างท่ี
หลวงปู่ชาบอก ในน้ันเขาไม่ได้แบกคัมภีร์เข้าไปหรอกนะ ความคิดต่างๆ ก็ดี
สัญญาความจากด็ ี ล้วนเปน็ ส่ิงภายนอกจิตทั้งนั้น ตอ่ เม่อื ท้ิง ไม่เอา ทวนเข้าจิต
ภายใน จิตถึงจิต จึงบรรลุอรหัตผล ทหี่ ลวงปู่มั่นบอกว่าต้องหันปฏิบัติภายใน
จงึ จะสาเร็จน่ันแหละ
ส่วนคาว่าจิตเข้าสู่ภวังค์ ภวังค์หายไป เกิดความรู้ คาว่าภวังค์อันน้ี ไม่ได้
หมายถึงจิตตกภวังค์แบบท่ีเข้าใจกัน คือจิตตกไหลวูบลงไปแล้วรวมลง แช่
แน่นง่ิ สว่างอยู่ แบบนี้มนั คอื สมาธิแบบฌานของพวกฤษี แตภ่ วังค์ท่ีหลวงปู่ม่ัน
บอก เป็นสภาวะท่ีจิตจะหลุดพ้น ก่อนหลุดพ้นก็ดี ขณะหลุด หรือพ้นแล้วก็ดี
สตจิ ะต้องมีตลอด
โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น | ๒๑
หลวงปู่มั่นจงึ ใชค้ าว่า “จึงไดท้ อดกายดว้ ยสติ หวั ยงั ไม่ทนั ถึงหมอน..”
ตรงกบั ท่ีหลวงปู่ดลู ยเ์ คยบอกไว้วา่ ขณะบรรลุ สติจะต้องมตี ลอด ขาดไม่ได้เลย
ถ้าตกภวังค์แบบท่ีเข้าใจกัน ขณะจิตน้ันจะไม่มีสติ แต่ภวังค์ท่ีหลวงปู่ม่ันบอก
เป็นขณะจิตท่ีจะหลุดพ้น เป็นขณะที่มีสติ แล้วขณะจิตน้ันหายไป เกิดความรู้
ความรู้อนั นกี้ ค็ ือความรู้วา่ จิตหลดุ พน้ กิจที่จะทาเพื่อการนี้ไมม่ อี ีกแลว้ เรียกว่า
จบกจิ หรอื อาสวักขยญาณนั่นเอง ญาณทร่ี วู้ ่ากเิ ลสหมดสนิ้ แลว้ บรรลุอรหัตผล
แลว้ คาว่าขณะจิตหายกอ่ นบรรลุ ไมไ่ ด้หมายถึงจติ หาย มันเปน็ สภาวะของจิต
ก่อนหลุดพ้นจากอย่างหน่ึง หลวงปู่ม่ันเอาประสบการณ์การบรรลุอรหัตผล
ของตนมาเปรียบกบั พระอานนท์ มันเป็นขณะจิตเดียวกนั เร่ืองนีล้ ึกซึ้งเกินกว่า
คนสามัญจะเข้าใจเขา้ ถงึ ตอบไว้กเ็ พือ่ เป็นมรดกโลก และเพ่ือคนมีปัญญาเห็น
ธรรมในอนาคตกาลข้างหนา้ เทา่ นัน้
สาหรบั ศษิ ย์ของเราในปจั จุบนั กม็ จี านวนไม่นอ้ ยท่ีจะเป็นแบบพระอานนท์ คือ
บรรลุโสดาบันก่อน แล้วบรรลุอรหตั ผลได้ตอ่ ไป ถ้าเดินมรรคถกู โสดาปัตติผล
ก็ไมไ่ ปไหนหรอก ทเี่ ราสอนก็มงุ่ พระนิพพาน แต่อย่าเพง่ิ สนใจว่านพิ พานอยู่ท่ี
ไหน ถา้ จะตอบสั้นๆ นพิ พานก็อยู่ที่ใจน่ันแหละ ใจทีส่ น้ิ กิเลส หยดุ ปรุงแต่งเสีย
ได้น่ันแหละคือนิพพาน ถึงกระแสธรรม พระแสพระนิพพานเมื่อใด ก็หาย
สงสยั ไปเอง ตัววิจกิ ิจฉา (สังโยชนเ์ บอ้ื งตน้ ) มนั หมดอานาจลงตรงน้ัน
๒๒ | โอวาทธรรมหลวงปู่ม่นั
ขยายความธรรม ในกลมุ่ สายธารธรรม เมอ่ื วนั ที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๖๓
ให้เอากาย วาจา ใจนี้ยกข้ึนพิจารณา อย่าเพ่ิมอย่าเอาออก ให้เห็น
เปน็ ปรกติ
ท่านทรงกลด : ให้เห็นกาย วาจา ใจเป็นปรกติของมันอย่างน้ัน ธรรมชาตขิ อง
กายเป็นอย่างไรก็ให้เห็นตามจริงอย่างนนั้ ธรรมดาของกายเป็นของไม่สะอาด
เป็นส่ิงไม่เท่ียง ทนอยู่ไม่ได้ ต้องผุต้องพังไปตามธรรมดาปรกติของมัน หา
แก่นสารไมไ่ ด้ ไมค่ วรยึดวา่ กายน้ีเปน็ เราของเรา
อยา่ เพมิ่ ก็คอื อย่าไปปรุงแตง่ (คิด) มนั วา่ เปน็ ของสวยงาม เป็นเรา ของเรา
อย่าเอาออกก็คืออย่าเอาจิตออกจากกาย ให้พิจารณากาย เอากายเป็นท่ีตั้ง
แห่งการพิจารณา ใหม้ ีสติอย่ใู นกาย ไม่ออกจากกาย พจิ ารณากลับไปกลับมา
การมีสติระลึกรู้อยู่ในกายก็คือกายคตาสติ เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
เปลยี่ นทีอ่ ยขู่ องใจมาอยู่ในกาย อยา่ เอาจติ เอาใจออกจากกาย พิจารณากายให้
เหน็ ตามความเปน็ จริง
การเห็นตามจริงในที่น้ีไม่ได้หมายถึงการคิด แต่หมายถึงการพิจารณาอยู่ในกาย
กลับไปกลับมา ผมขนเล็บฟันหนัง ไปจนถึงเย่ือมันสมอง (มัตถะเกมัตถะลุงคัง)
ใครที่ไม่รู้เร่ืองกาย เร่ืองอาการสามสิบสอง จะบอกว่าเป็นศิษย์เรา เป็นศิษย์
ตถาคต ก็ยังพูดได้ไม่เต็มปากนะ เมื่อเราพิจารณากาย จิตไม่ออกไปจากกาย
อย่เู นอื งๆ วนั หน่งึ จติ จะสงบลงไป แล้วจะเหน็ กายตามความเปน็ จรงิ ปรากฏขน้ึ
ในจิต พอจิตเหน็ กายตามจริง จิตก็จะคลายความยืดม่ันถือมั่นออกมาเองโดย
ไม่ต้องบังคับขับไส หน้าที่ของเราก็คือทาสิ่งที่เอ้ือต่อการทีจ่ ิตได้เห็นความจริง
ของกายของขันธท์ เี่ หลอื เทา่ น้ัน
โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น | ๒๓
หลวงปู่ดูลย์ก็สอน บอกว่าหน้าทีเ่ รามแี ค่นัน้ พอมันเห็นตามจริง (ในจิต) จิตก็
จะปล่อยจะวางของมันเอง ถา้ ไปทอ่ งแต่คาวา่ ปลอ่ ยวางๆ คิดว่าปล่อยวางๆ ไม่
มที างจะปล่อยวางอะไรได้ ต้องทาให้จิตมนั เหน็ ประจักษอ์ ยูต่ ่อหน้า น่ันแหละ
มนั จงึ จะวางได้จริง เห็นมาเยอะ คนท่ีบอกว่าปลอ่ ยวางๆ อะไรได้ เอาเข้าจริง
ยังปล่อยวางอะไรไม่ไดเ้ ลย บอกว่าปล่อยวางได้ กเ็ พราะยงั ไม่มอี ะไรมาทดสอบ
ลองมีอะไรมาสะกิดหน่อยเดียว ถ้าไม่หลอกตัวเองอย่างโง่ท่ีสุด ก็จะรู้เองว่า
ปล่อยวางได้จรงิ หรือไม่ไดจ้ ริง บางคนบอกปลอ่ ยวางได้จริง โดนด่าหนอ่ ยเดยี ว
แทบจะเปน็ จะตาย นอนไมห่ ลบั อยูท่ ้ังคืน เราจงึ เหมน็ ขฟี้ ันพวกที่บอกว่าปลอ่ ย
วางๆ อะไรได้
อย่างคนท่เี ห็นกายตามจริง เหน็ นะ ไม่ใช่คดิ ว่าเห็น ลองรถถูกชน ของมีค่าจะ
มากจะน้อยหาย พวกน้ีไม่ทุกข์ร้อนอะไรมากหรอก เพราะอะไร เพราะเห็น
แล้วว่าแม้กายนี้ยังไม่ใช่เราของเราแต่อย่างใดเลย สิ่งอื่น ไม่ว่าจะเป็นวัตถุ
สง่ิ ของ คน สตั ว์ มนั จะเป็นของเราได้อย่างไร จิตมนั จะโยนิโสมนสิการของมัน
เองโดยอตั โนมตั ิ
ส่วนวาจา ก็ใหพ้ ิจารณาด้วย ว่าวาจาต่างๆ คาพดู คน ไม่วา่ ของเราของใคร พูด
แลว้ กด็ ับลงทันที จริงๆ การเห็นการเกดิ ดับในชวี ิตประจาวันทีง่ ่ายท่สี ุดก็คาพูด
วาจาคนนแ่ี หละ พูดคาหนึ่ง เสียงก็ดับลงทหี น่ึง แต่เรามนั โง่ ไม่เห็นเอง เที่ยว
ไปตามยึดสิ่งท่ีดับ พูดครั้งหน่ึง ก็ดับลงคร้ังหน่ึง ไม่เหลืออะไรเลย คนโลกๆ
เท่านั้นเท่ียวไปตามไขวค่ ว้าสิ่งท่ีไมเ่ หลอื เขาจึงเป็นทุกข์กับคาพูดคน จริงๆ ถ้า
จะพูดให้ถูก เป็นทุกข์กับความโง่ของตนเองมากกว่า ท่ีไม่รู้เท่าทันคาพูดคน
วาจาคน ถ้าพิจารณาให้เห็นตามจริงว่าสักแต่เกิดสักแต่ดับ หาแก่นสารอะไร
ไม่ได้ คือไมไ่ ปปรงุ แตง่ ต่อเติมเพมิ่ อะไรข้ึนมา มันก็จบแคน่ ั้น แต่ก็อยา่ ปลอ่ ยให้
๒๔ | โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น
ผ่านไป เอามันมาพิจารณาให้เห็นตามจริงเสียหน่อย ว่ามันก็ตกอยู่ภายใต้กฎ
ไตรลกั ษณ์ เกดิ แล้วดบั เป็นธรรมดา เชน่ น้นั เอง
ส่วนใจเล่า อันน้ีก็แสดงไปเยอะแล้ว การเห็นใจหรอื จิตตามจริง ก็คือการดูจิต
น่นั เอง เหน็ ไหม จิตมนั แสดงฤทธ์เิ ปน็ นนั่ เป็นน่ี แสดงวาดลวดลายเป็นอารมณ์
ต่างๆ มากมาย หน้าที่เราก็คือสักแต่รอู้ ารมณ์เท่าน้ัน หลวงปู่ดูลย์ก็สอนเสมอ
หน้าทเ่ี รามแี คน่ น้ั เคยเอารูปมาลงเตอื นสตบิ ่อยๆ หน้าที่เราแคร่ อู้ ารมณเ์ ทา่ น้ัน
อย่าไปต่อความยาวสาวความยืดอะไรกับมัน มันสักแต่เกิดแล้วก็ดับไปเป็น
ธรรมดาเช่นนน้ั เอง หาตัวตนแกน่ สารอะไรไม่ได้ จะยดึ เปน็ เราของเราก็ไม่ได้
ไอ้ความยึดน่ันยึดนเี่ ป็นเราของเราน่ี ตราบใดท่ียงั ไม่เห็นการเกิดดับของส่ิงนั้น
ของรูปของนาม ไม่มีทางท่จี ะละความยึดมั่นอะไรได้เลย จะน่ังสมาธิอยู่ร้อยปี
ถ้าไม่เห็นอนิจจังในรูปในอารมณ์แล้ว ก็ปล่อยวางอะไรไม่ได้หรอก การเห็น
อนิจจังจึงเป็นปากทางของพระนิพพาน จะเห็นได้ ก็ต้องเจริญสติปัฏฐาน
เท่าน้ัน ถึงตรงนี้ คงไม่ต้องมาถามแล้วว่า อะไรคือสติปัฏฐาน ถ้ายังไม่รู้
ถือว่าแย่มากๆ จะนั่งหลับตาทาสมาธิ ทาบุญมากมายมหาศาล ถ้าไม่รู้เรื่อง
สติปัฏฐาน อนั เป็นสติที่แทจ้ ริง (สัมมาสติ) แล้ว ก็ถอื ว่ายังห่างไกลพทุ ธศาสนา
อย่อู ีกมากๆ
ถ้าจะคุยเรื่องการปฏิบัติ เร่ืองทางพ้นทุกข์ ต้องคุยเรื่องสติปัฏฐาน เพราะ
สติปัฏฐาน จะนาไปสู่การเห็นอนิจจังในรูปนาม เห็นแล้วจิตจะผละจากความ
ยึดม่ันออกมาเองโดยอัตโนมัติ จนวันหนึ่ง ผละออกมาตั้งเด่นให้เห็น หรือที่
เรียกว่าความตั้งมั่นของจิต มันก็คือสัมมาสมาธิในมรรคมีองค์แปดนั่นเอง
หลักการมนั มีอยู่แค่นี้ เหลอื แตว่ ่าจะลงมือทา ทาจริงหรือไมเ่ ท่านน้ั แหละ เรื่อง
โอวาทธรรมหลวงปู่ม่ัน | ๒๕
ของใจก็มเี พยี งเทา่ น้เี ชน่ กนั อยา่ เพิม่ ก็คืออย่าไปปรงุ แต่งต่อ มนั เกดิ อะไรขน้ึ มา
ก็ปล่อยให้มนั ดบั ไปเช่นน้นั หน้าทีเ่ ราก็คอื เฝา้ ดหู รือที่เรียกว่าพจิ ารณานน่ั เอง
อย่าเอาออกก็คอื อย่าเอาใจออกจากใจ ใหใ้ จมันอยู่กบั ใจ ให้ใจมนั พิจารณาใจที่
ปรุงแต่งเป็นโน่นนี่นั่น อันนี้ ก็เขียนไว้ในหนังสือกว่าจะถึงกระแสธรรมแล้ว
สว่ นใหญ่จะเจอคนสักแตอ่ ่าน แตอ่ ่าน "เจอ" น่ี ไม่คอ่ ยเหน็ นะ การดูจิตดูใจ ก็
คือจิตหน่ึงเฝ้าดูจิตท่ีปรุงแต่งเป็นโน่นนี่น่ัน อย่าให้จิตออกจากจิต อย่าให้ใจ
ออกจากใจ จิตส่งนอกเป็นสมุทัย ผลของจิตส่งนอกคือทุกข์ คาสอนของ
หลวงปู่ดูลย์ มันลงรอยกับหลวงปู่มั่น เพราะท่านถึงจิตถึงใจเหมือนกัน แล้ว
อย่ามาถามว่าจิตหรือใจต่างกันหรือเหมือนกัน ถ้ายังถาม ยังสงสัยอยู่ ถือว่า
อนุบาลเร่ืองธรรมะอีกมาก เรื่องจิตหรือใจ ก็เขียนไว้ในหนังสือกว่าจะถึง
กระแสธรรมแล้วเหมือนกัน บางคนก็สงสัย บางทีครูบาอาจารย์ใช้คาว่าจิต
บางคนใชค้ าว่าใจ มนั คอื สิง่ เดยี วกนั
จติ ส่งนอก ก็คือเอาจิตออก น่ีไง หลวงปู่ม่ันบอกว่า "อย่าเอาออก" คืออย่าส่ง
จิตออกนอก ใหจ้ ติ มันอยูก่ ับจิต พิจารณาอยู่แต่จิต หรือท่ีเรียกวา่ จติ ตานปุ ัสสนา
สตปิ ัฏฐานนัน่ แหละ จิตเหน็ จิตเป็นมรรค จิตหนึ่งเห็นจิตทป่ี รงุ แต่งเปน็ อารมณ์
ตา่ งๆ นีค่ ือมรรค พอมนั เห็นอย่างแจ่มแจ้ง จิตก็ละความยึดม่ันในจิต หลุดพ้น
วมิ ตุ ติ นโิ รธ ดบั ทุกข์ จติ เหน็ จิตอยา่ งแจม่ แจ้งคอื นิโรธ
๒๖ | โอวาทธรรมหลวงปู่มน่ั
ขยายความธรรม ในกลุ่มสายธารธรรม เมอ่ื วนั ที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๓
แสดงฌานเป็นทีพ่ กั ชัว่ คราวแล้วเจริญตอ่ ๆ ไป
พวกสุทธาวาสทง้ั หลาย คือ เจริญฌานและวิปัสสนาตอ่ ไป จึงสาเร็จ
ได้ในทน่ี ้ัน
ท่านทรงกลด : ฌานเป็นท่ีพักช่ัวคราวของพระอนาคามี พวกสุทธาวาสก็คือ
พระอนาคามี ไมว่ ่าจะเป็นอนาคามีมรรคหรอื อนาคามีผล เมื่อตายแล้ว เพราะ
ยงั ไม่บรรลุอรหัตผล จึงไปเกิดในพรหมช้ันสุทธาวาส แล้วเจริญวิปัสสนาต่อที่
นั้นจนบรรลุอรหัตผล
คาว่าฌานในที่นี้หมายถึงฌานของพระอนาคามี ไม่ใชฌ่ านของพวกฤษีชีไพร มี
พระมากมายได้ฌาน ติดฌาน หลงว่าฌานคือนิพพาน ทาสมาธิแล้ว จิตดิ่งลง
ไปสงบ สว่าง ก็นึกว่าบรรลุอรหัตผลแล้ว บางคนก็ตัวเบาอยู่หลายวัน ต่อมา
อาการตวั เบา ปติ ิก็หายไป ถ้าของจรงิ มันจะไม่หาย เพราะของจริงมันพ้นการ
ปรงุ แต่งไปแล้ว ถา้ หาย แสดงว่ายงั ปรุงแตง่ อยู่ อะไรท่ีปรงุ แตง่ ก็ต้องเสอื่ มต้อง
ดับเปน็ ธรรมดา
แต่ฌานของพระอนาคามีไม่มีการเสอื่ มการดบั จึงเรยี กโลกุตตรฌาน คือฌานที่
จิตอยู่เหนือโลกแล้ว พวกฤษี หรือพระท่ีได้ฌานธรรมดา ไม่ใช่ฌานของ
พระอริยเจ้า เม่ือตายก็จะไปพรหมเหมือนกัน แต่ไม่ใช่พรหมชั้นสุทธาวาส
คาว่าท่ีพักช่ัวคราวที่หลวงปู่ม่ันบอก หมายถึงสภาวะจิตของพระอนาคามี มี
ฌานเป็นที่พักช่ัวคราว บางทีการจดคาสอนสั้นๆ ก็ขาดที่มาเหมือนกัน ก่อน
หนา้ ท่ีจะมีการจดคาสอนน้ี หลวงปู่ม่ันไดแ้ สดงธรรมทีล่ ะเอียดลึกซง้ึ กอ่ น ท่ีจด
มาคือใจความตอนทา้ ย
โอวาทธรรมหลวงปู่มนั่ | ๒๗
ขยายความธรรม ในกล่มุ สายธารธรรม เม่อื วนั ที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๓ วันพระ
ต้องผ่านความผิดมาเสียกอ่ นจึงปฏบิ ตั ถิ กู ความผิดเปน็ เหตุ ความถูก
เป็นผลของความทั้งหลาย ต้องเดินมรรค ๘ ให้ถูกจึงจะแก้ได้ เดินตามสาย
หนทางของพระอริยะเจ้า ใช้ตบะอย่างย่ิงคือ ความเพียร จึงจะสอนตนได้
โลกยี ์ โลกตุ ตระ ๒ อย่างประจาอยู่ในโลก ๓ ภพ
มรรค ๘ น้ัน สมาธิมรรคเปน็ องค์ ๑ นอกน้ันเปน็ ปริยาย
ท่านทรงกลด : คาถามน้ี มาตรงกับวันพระพอดี
สัปดาหห์ นึง่ มวี ันพระหนึ่งวนั ควรใช้เวลาในวันพระสวดมนต์ ภาวนากันบ้างก็
จะดีไม่น้อย คาว่าภาวนาในที่นี้หมายถึงการเจริญสติ จะเป็นกายคตาสติหรือ
อะไรก็ได้ ซง่ึ ก็ได้เขยี นไว้ในหนงั สอื มากมาย ส่วนคนท่ีภาวนาเป็น เจรญิ สตเิ ป็น
ก็เท่ากับมีวันพระทุกวัน เอาวันพระมาเตือนใจกันบ้างว่าวันคืนล่วงไปเราทา
อะไรกันอยู่ อายุก็มากข้ึนๆ ความตายก็เดินทางมาใกล้ขึ้นๆ หรืออีกนัยหนึ่ง
เรากเ็ ดนิ ไปสู่ความตายใกล้ขึน้ ๆ จงึ ไมค่ วรประมาทในการใชช้ วี ติ
กลับมาที่คาสอนของหลวงปู่ม่ัน ต้องผ่านความผิดมาเสียก่อนจึงปฏิบัติถูก
ความผิดเป็นเหตุ ความถูกเป็นผลของความทั้งหลาย จริงๆ ต้องบอกว่า
ความถูกเป็นผลของความผิดท้ังหลาย อย่างพระพุทธเจ้าท่านก็ผ่านความผิด
มากอ่ น ไปภาวนาแบบฤษี จนได้ฌานสฌี่ านแปด ก็ไมส่ าเรจ็ เลยท้ิงอทุ กดาบส
อาฬารดาบส ไปบาเพญ็ ทุกกรกิริยา ทรมานรา่ งกาย คิดวา่ ทรมานมากๆ ความ
ทุกขจ์ ะหายไปได้ ทงิ้ ความผิดไปหาความผดิ จงึ ไมบ่ รรลธุ รรมแตอ่ ย่างใด
๒๘ | โอวาทธรรมหลวงปู่ม่ัน
ตอ่ มาทรงค้นพบทางสายกลาง คืออานาปานสติ หายใจเข้ารู้สึกตวั หายใจออก
รู้สกึ ตวั ความรู้สึกตัว รตู้ ัวท่ัวพร้อมนี่แหละคือทางสายกลาง มันเป็นความร้สู ึก
ท่ีไม่ซ้ายไม่ขวา ไม่สุขไม่ทุกข์ ตอนพระองค์ไปอยู่กับสองฤษีน่ัน บาเพ็ญจิต
แบบฌานสมาธิ มนั กส็ ุขดี แต่สขุ ยังไม่แท้ ยังเสอ่ื มดับได้ พอออกมา ความทุกข์
กถ็ าโถมจิตอยู่เหมอื นเดิม ยังไม่ใช่ทางสายกลางแท้ ย่ิงไปบาเพ็ญทุกรกิริยา ก็
ยิ่งไปกันใหญ่
พอมาหายใจแลว้ ทรงพบความรสู้ ึกตวั ข้ึนมา อนั น้ีกไ็ ม่เคยพบ ก็เลยลองดู และ
เกิดความคิดวา่ ชะรอยจะใชท่ างแล้วกระมัง เม่ือเอาเข้าจริง กป็ รากฏว่าใช่ทาง
จริงๆ เป็นมรรคทจี่ ะนาสู่การพน้ ทุกข์ได้จริง เรียกวา่ ต้องผา่ นความผิดเสียกอ่ น
หรืออย่างหลวงปู่มั่น ท่านก็ผ่านความผิดมาก่อนเหมือนกัน ภาวนาพุทโธ จิต
สงบ เกิดสมาธนิ มิ ิต เพลดิ เพลินอยหู่ ลายเดอื น
พอออกมา จิตท่านมันไม่หยุด ยังเท่ียววิง่ แสส่ า่ ยไปตามอารมณ์เหมอื นเดมิ จะ
มามัวรอน่ังหลับตาหนอี ารมณ์ เข้าไปอยู่ในสมาธินิมิตก็ไม่ได้ ท่านเลยเอาใหม่
ลองพจิ ารณากายดู (กายคตาสต)ิ คราวนี้ ทา่ นว่าจิตมนั หยดุ หยุดอยู่ในกาย ไม่
เที่ยววิ่งไปข้างนอกเหมือนเคย เอากายมาเป็นฐานในการเจริญสติ ท่านก็เลย
มั่นใจว่า ใช่ทางแล้ว ถูกทางแล้ว ท่านบาเพ็ญจิตจนบรรลุอนาคามีก่อน แล้ว
ตามดว้ ยอรหัตผลในทส่ี ดุ
ต้องเดินมรรค ๘ ให้ถูกจึงจะแก้ได้ เดินตามสายหนทางของพระอริยะเจ้า น่ี
ทา่ นก็บอกตรงๆ อยู่ในตัวแลว้ วา่ ต้องเดินมรรคแปดใหถ้ ูกจึงจะแก้ได้ คาวา่ แก้
ได้ก็คือแก้ความผิดน่ันเอง ถ้ามรรคผิด ผลก็ย่อมผิด มรรคแปดก็คือทา
ความเห็นให้ถกู เช่นเหน็ ว่ากายน้ีไม่ใช่เราของเรา เป็นของไม่สะอาด หาความ
จีรังยัง่ ยืนแก่นสารไมไ่ ด้ ไมค่ วรยึดม่นั ถือมัน่ เป็นตน้ เห็นอารมณ์สขุ ก็ดีทกุ ขก์ ด็ ี
โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น | ๒๙
เป็นของไม่แน่นอน หาแก่นสารสาระไม่ได้เช่นกัน เกิดแล้วก็ดับอยู่อย่างน้ัน
ถ้าเห็นอย่างน้ี ชื่อว่ากาลังเจริญสติอยู่ในตัวอย่างถูกต้องแล้ว นี่คือทางของ
พระอริยะเจ้าทง้ั หลาย คาวา่ ทางของพระอริยะเจ้ากค็ อื สติปัฏฐาน พระอริยะเจ้า
ทุกๆ องค์ต้องเดินทางนี้ เดนิ มรรคอนั นี้ ทางอ่ืนนอกจากน้ีเป็นไม่มี (เอโกมัคโค)
ใช้ตบะคอื ความเพียรอยา่ งย่ิง จึงจะสาเร็จ อย่างท่ีหลวงปู่ชาบอก นพิ พานอยู่
ฟากตาย คือต้องเอาชวี ิตเป็นเดมิ พัน คาว่าชีวติ เป็นเดิมพัน หมายถึงว่าภาวนา
อยา่ ถอย ไม่ใชเ่ กิดอะไรมาสะดดุ ความเพียรหน่อยเดียว ก็เลิกรากันไปแบบคน
สว่ นใหญ่
การปฏิบัติน้ันมักจะมีอะไรมาทดสอบอยู่เสมอ เขาจะดูว่าเราของจริงหรือไม่
ถ้าผ่านบททดสอบไปได้ ก็จะได้พบของจริง บททดสอบท่ีสาคัญก็คือคนรอบ
ข้างน่ันแหละ โดยเฉพาะคนที่ทาให้รักให้ชัง ถ้าไม่รู้ทัน ก็เสร็จทุกราย จึงต้อง
ประกอบด้วยความเพียรอย่างล้าเลิศ ข้ีเกียจก็ทา ขยันก็ทา มีอยู่แค่น้ี อารมณ์
ที่มากระทบทุกชนิดคอื ครูสอนใจ เรยี นรูจ้ ากเขา ศึกษา พาจติ ออกจากอารมณ์
ให้ได้ ออกมาอยกู่ บั ความรสู้ ึกตัวให้ได้ แรกๆ จะยากหนอ่ ย แต่ถา้ ทาบอ่ ยๆ มัน
จะออกมาเอง เพราะมนั รวู้ ่าตรงไหนอยแู่ ล้วว่นุ วายเดือดร้อน ตรงไหนอยแู่ ล้ว
สงบสุข ค่อยๆ พร่าสอนจิตไป อย่างที่หลวงป่มู ่ันบอก จิตเราก็เหมอื นเดก็ นอ้ ย
จะไปบังคับให้เป็นอย่างนั้นอย่างน้ีคงไม่ได้ ต้องค่อยๆ ตะล่อมมันเข้ามา
ผิดพลาดเผลอไผลไปบ้างก็ไม่เป็นไร ดงึ กลับมาใหม่ ให้มาอยู่กับความรู้สึกตัว
เสีย มาอยู่กับการพิจารณากายบ้าง ลมหายใจบ้างก็ได้ เอาเท่าท่ีได้ไปก่อน
ดีกว่าไม่มอี ะไรใหเ้ ป็นหลักทางใจเอาเสยี เลย
เร่ืองล้มลุกคลกุ คลานเปน็ เร่ืองธรรมดาของการปฏิบัติ แตพ่ อต้ังตวั ได้ จะเริ่มดี
ขึ้น มีกาลงั ใจย่ิงข้นึ คาวา่ ตั้งตัวไดก้ ็คือจิตเริม่ ต้งั มั่นขน้ึ มาได้ โดยไมต่ อ้ งคอยนั่ง
๓๐ | โอวาทธรรมหลวงปู่มน่ั
หลับตาภาวนาให้จิตรวม จิตรวมกับจิตตั้งมั่น คนละอย่างกัน อันนี้อธิบายไป
หลายครั้งแล้ว เมอ่ื มคี วามเพียรไม่ท้อถอยอยา่ งนี้ กจ็ ะสอนตนได้ในท่ีสดุ
โลกียะ- โลกตุ ระ ๒ อย่างประจาอยูใ่ นโลก ๓ ภพ หมายความวา่ ในภพมนุษย์
เทวดา พรหม ย่อมมีความเป็นโลกอยู่ (โลกียะ) แตใ่ นความเป็นโลก ถ้าเจริญ
มรรคถูก ก็สามารถออกจากโลก นาพาจิตเข้าสู่แดนโลกุตตระได้ โลกก็คือสิ่ง
สมมุติ ออกจากสมมตุ ิกเ็ ป็นวมิ ุตติ ภพเทวดาก็ภาวนาได้ แต่ยากกวา่ ภพมนุษย์
สกั หนอ่ ย เพราะส่วนใหญจ่ ะหลงเพลิดเพลินอยใู่ นสขุ กเ็ หมือนคนทเี่ กิดมาแล้ว
รา่ รวยนั่นแหละ มักจะหลงระเริงความในความรา่ รวย จะไมค่ ่อยมองเหน็ ทุกข์
เพราะขาดอะไร ก็ใชเ้ งนิ ซื้อได้หมด น้อยคนนกั ท่ีเกิดมารา่ รวยแลว้ จะเหน็ ทุกข์
เห็นภัยในวัฏสงสาร มีแตค่ นที่มีบญุ วาสนาทางธรรมสูงๆ ทง้ั น้ันทจ่ี ะเห็นดงั น้ีได้
แต่แม้เห็นแลว้ ก็นอ้ ยคนเขา้ ไปอีก ท่จี ะพบมรรคถกู ส่วนใหญใ่ นคนส่วนน้อยนี้
จะพบกับมรรคผดิ ๆ แทบทง้ั ส้นิ คนเกิดมารวย แล้วเห็นทุกข์ แล้วพบมรรคถูก
น่ีคือคนท่ีบุญวาสนาย่ิงกว่าใครท่ีสุดในสามภพ ภพพรหมก็ภาวนาได้ ยกเว้น
พรหมชั้นสุทธาวาส ซ่ึงเป็นท่ีอยู่ของพระอนาคามี อันนี้จิตท่านเป็นโลกุตตระ
แล้ว จิตมันภาวนาของมันโดยปรกติอยู่แล้ว แต่ท่ีหลวงปู่มั่นบอกหมายถึง
พรหมท่ียังเป็นโลกียะอยู่ จริงๆ แล้วโลกียะกับโลกุตตระเป็นของคู่กัน ประจา
โลกก็คอื ประจาจิต จิตดวงเดยี วเป็นได้ทั้งโลกียะและโลกุตตระ จิตพระพุทธเจ้า
หรอื พระอริยะเจ้าทั้งหลาย ก่อนจะเป็นโลกุตตรจิต ก็ลว้ นเปน็ โลกยี จิตมาก่อน
ทั้งสน้ิ แต่เมื่อมาพบมรรคที่ถกู ก็พลกิ จากโลกียะมาเป็นโลกุตตระได้
มรรค ๘ นั้น สมาธิมรรคเป็นองค์ ๑ นอกน้ันเป็นปริยาย นี่ถ้าไม่ใช่
พระอรหนั ต์ก็ไมส่ ามารถเข้าถึงและพูดเชน่ นี้ได้ สว่ นเราแม้ยงั เดนิ ทางไปไมถ่ งึ ท่ี
หลวงปู่มั่นถึง แต่พอเห็นแล้ว ก็รู้ชัดแจ้งข้ึนมาโดยไม่ต้องคิด ว่าท่ีท่านกล่าว
หมายถึงอย่างไร การท่ีเราเจริญมรรค เจริญสติมาท้ังหมด สิ่งที่เราเจริญเป็น
โอวาทธรรมหลวงปู่ม่นั | ๓๑
เพียงทางเอ้ือที่จะนาพาจิตไปสู่การตั้งม่ันของจิตท้ังนั้น มรรคอีกเจ็ดข้อเป็น
เพียงส่ิงเอ้ือ เป็นสิ่งประกอบ เพื่อจะยังจิตให้ต้ังม่ันเกิดสัมมาสมาธิในมรรคมี
องค์แปด หรือท่ีครูบาอาจารย์เรียกว่ามัคคสมังคี คาว่ามัคคสมังคี อย่าไปปน
สับสนกับการภาวนาสมาธิแบบฌาน แบบจิตรวมลงไปแล้วสว่าง แช่แน่น่ิง
ข้ึนมา อย่างนนั้ ไม่ใชม่ ัคคสมังคี ถา้ มัคคสมงั คีเกดิ แล้ว ความเป็นพระอริยะเจ้า
ก็จะเกิดในขณะจิตเดียวกัน ที่เราปฏิบตั ิมาท้ังหมดก็เพ่ือสมาธิมีองค์แปดหรือ
มคั คสมังคีนี่เอง เพ่ือความต้ังม่ันของจิตหรือสัมมาสมาธิพราะเม่ือจิตผละจาก
ขนั ธ์ห้าอารมณ์ออกมาต้ังม่นั เราก็จะพบจิต พบจิตหรือใจก็คือพบธรรม น่ีคือ
วาจาของครูบาอาจารยท์ งั้ หลาย
หลวงปู่ชาบอกวา่ ท่ีเราลาบากปฏิบัติธรรมกันกเ็ พื่อให้มันได้พบจิตเดิม พบจิต
เดิมก็คือพบจิต การจะพบจิตเดิมได้ ก็ต้องเจริญสติให้จิตต้งั มั่นขึ้นมาจงึ จะพบ
จติ รวมเป็นฌานสมาธิ ไมม่ ีทาง ไม่มีวนั พบจติ เดมิ จึงไม่ต้องสงสัยเลยวา่ พวกท่ี
เรียนสมาธิแบบฌานกันท้ังหลาย จงึ ยงั ไม่พบจิตเดิมแตอ่ ย่างใด คาว่ามรรคอื่น
เป็นปริยายก็หมายถึงมรรคอื่นเป็นเพียงส่ิงรอบข้าง สิ่งประกอบ แต่เป็นสิ่ง
ประกอบท่ีจาเป็นขาดไม่ได้ เพราะเม่ือประกอบได้ท่ีหรือทเ่ี รียกว่าเจริญมรรค
ได้เตม็ รอบของมันแล้ว ผลท่ีตามมาอย่างแน่นอนท่สี ุดก็คือความต้ังม่ันของจิต
หรอื สมั มาสมาธินั่นเอง
สมาธิในมรรคมีองค์แปดจงึ แปลวา่ ความตง้ั มั่นของจติ มันคล้ายกิ่งไมท้ ่ีจมอยใู่ น
ปลักในโคลนเลนมองไม่เห็น พอมันต้ังข้ึนมาจึงจะมองเห็นได้ว่าอันไหนคือ
ก่งิ ไม้อันไหนคือโคลนเลน ก่ิงไมก้ ็คือจิต โคลนเลนก็คอื อารมณ์ท้ังปวงที่ห่อหุ้ม
จิตไว้ หรือเหมอื นเมฆหมอกท่ีหอ่ ห้มุ พระจนั ทรว์ นั เพญ็ ไว้ มองไมเ่ ห็นดวงจนั ทร์
ดวงจันทร์จะหามีไม่ ก็ไม่ได้ แท้จริงดวงจันทร์น้ันมีอยู่ แต่เพราะเมฆหมอก
บดบังจึงทาให้มองไม่เห็น เมื่อสลัดเมฆหมอกออกมาได้ จึงปรากฏดวงจันทร์
๓๒ | โอวาทธรรมหลวงปู่ม่นั
แจ่มกระจ่าง นี่คือหลักการท่ีพระสุภัททะใช้ในคืนบรรลุธรรม อันเป็นคืน
เดียวกบั ที่พระพทุ ธเจา้ ปรนิ พิ พาน
ดังนั้นการที่เราปฏิบตั ิทัง้ หมดก็เพ่ือความตั้งม่ันของจิตนี่แหละ ส่วนต้งั มั่นแล้ว
จะละกเิ ลสได้มากน้อยแค่ไหนก็ข้ึนอยู่กับกาลังสตทิ ี่ทาใหจ้ ติ มันต้ังมนั่ ข้ึนมา ถ้า
กาลังดีที่สุด ก็บรรลอุ รหัตผลเลยทีเดียว ถ้ากาลังออ่ นแตพ่ อจะทาให้จติ ต้ังมั่น
ข้ึนมาได้ แยกได้ว่าอันไหนจิตอันไหนอารมณ์ ก็โสดาบัน ถ้ายิ่งกว่านั้นข้ึนมา
หน่อยก็สกทาคามี ถ้ามีกาลังมาก พรากจิตออกจากกามราคะโทสะได้ด้วย ก็
อนาคามี คาวา่ องคห์ น่ึงก็คือองค์เดียว นาไปสอู่ งคน์ ้ีองค์เดียว ท่ีทามาทัง้ หมดก็
เพอ่ื องคน์ ี้องค์เดยี ว น่นั คือสัมมาสมาธิ ก็ตอบปัญหาพอสมควรแกเ่ วลา
ปญั หาท่ถี ามท่ียกเป็นคาสอนของพระอรหันต์ ท่ีหาได้ยากย่ิงในยุคน้ี จงึ ลึกซ้ึง
เกินคนสามัญท่ัวไปจะเข้าใจเขา้ ถงึ ได้ จึงเป็นบญุ ของพวกเรากลุ่มน้ี ท่ีได้มาฟัง
มาอ่านประกอบสติปัญญาทางธรรมกนั
โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น | ๓๓
ขยายความธรรม ในกล่มุ สายธารธรรม เมื่อวนั ท่ี ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๓
เล่นนมิ ิตกไ็ ด้ ยนิ ดียินร้ายกไ็ ด้ เรียกวา่ คมุ้ เงาตน เชอื่ นมิ ิตเป็นบา้
ปฏิภาค น้นั อาศัยผู้ท่ีมวี าสนา จึงจะบังเกดิ ขึ้นได้ อคุ คหนมิ ติ นั้นเป็น
ของท่ีไม่ถาวร พิจารณาให้ชานาญแล้วเปน็ ปฏิภาคนิมิต ชานาญทาง ปฏิภาค
แลว้ ทวนเขา้ มาเปน็ ตน ปฏิภาคน้นั เปน็ ส่วนวปิ สั สนาฯ
นิมิตทั้งหลายเกิดด้วยปีติสมาธิอย่างเดียว การภาวนาอย่าให้ทิ้งกาย
กับจิต นี้เป็นกรรมฐานเดิม แต่ให้จิตเด็ดเดี่ยวอย่างท่ีสุดจึงเป็นผู้ท่ีรู้ธรรมใน
ธรรมฯ
ปฏิภาคนิมิตเกิดเฉพาะผู้ทมี่ ีวาสนาอยา่ งเดยี ว การภาวนาอยา่ ให้ทิ้ง
กายกับจิต น้ีเป็นกรรมฐานเดิม แต่ให้จิตเด็ดเดี่ยวอย่างที่สุดจึงเป็นผู้ท่ีรู้ธรรม
ในธรรมฯ
ปฏิภาคนิมิต เป็นปาฏิหาริย์ของจิต มีอานาจทาให้เป็นอากาศสว่าง
เปลา่ ได้อันเป็นอัศจรรย์ใหญ่หลวงฯ
ท่านทรงกลด : คาสอนของหลวงปู่มั่นเป็นคาสอนที่ลึกซ้ึง ยากท่ีคนสามัญจะ
เข้าใจจริงๆ ตอบแสดงไว้เพอ่ื เปน็ มรดกโลก หากอ่านแล้วไม่เข้าใจก็อย่าทอ้ ใจ
เพราะบางทกี ็เกนิ กาลงั ปัญญาของคนอา่ นเหมอื นกนั ความเปน็ พระอรยิ ะเจา้ นี้
ไม่ได้หมายความว่าจะมีปัญญาเสมอกัน เสมอกันก็แต่ดวงจิต แต่ปัญญาอยู่ท่ี
การส่ังสมมาไม่เหมือนกัน มิฉะน้ัน พระพุทธเจ้าคงไม่ยกย่องพระสารีบุตรว่า
เป็นเลิศทางปัญญายิ่งกว่าภิกษุอื่น พระอริยะเจ้าจะพ้นทุกข์ตามลาดับไป
๓๔ | โอวาทธรรมหลวงปู่ม่นั
เหมอื นกัน แต่ปัญญาทจี่ ะถอ่ งถงึ ธรรมตา่ งกันตามวาสนาบารมี บอกไวจ้ ะไดไ้ ม่
ทอ้ เวลาอา่ นแลว้ ไม่เข้าใจ
อย่างธรรมทแ่ี สดงๆ ไป หรือท่ีเอามาลงใหอ้ ่านน้ี คงมแี ต่คนละเอียดทางธรรม
ละเอียดทางจติ แบบพวกเราที่จะเข้าใจอยู่ ถ้าคนโลกๆ หยาบๆ เขาจะไม่เข้าใจ
อะไรเลย และจะออกไปในท่ีสุด เหลือไว้แต่ผู้ท่ีมีวาสนาบารมีทางธรรมอย่าง
แทจ้ ริงเท่าน้ัน สาหรับหนงั สอื ท่ไี ดร้ บั ไป ก็อ่านให้บ่อยๆ อย่าเอาไปเก็บ อยา่ งมี
นักปฏิบัติท่านหน่ึง ไปปฏิบตั ิธรรมท่ีวัดแห่งหน่ึง แต่ไม่ได้ปฏิบัติตามแนวทาง
ของวัดนน้ั เพราะเปน็ แนวทางท่ีผดิ แต่ท่านก็ปฏิบตั ิตามแนวทางที่เราสอน จน
มคี วามก้าวหนา้ ดว้ ยดี เกิดฝนั นมิ ิตเป็นนิมติ หมายว่าจะพ้นจากวฏั สงสารไดเ้ ร็ว
วนั และได้ไปหยบิ หนังสือปุจฉาเล่ม ๓ ที่ยากที่สุดมาอ่าน คราวน้ีอา่ นแลว้ ทะลุ
เข้าใจหมด ก็โมทนากับท่านด้วย เพราะในบรรดาหนังสือที่ทา เนื้อหาปุจฉา
เล่มที่ ๓ เป็นอะไรท่ีลึกซ้ึงท่ีสุด เป็นเล่มที่หนาท่ีสุด ถ้าใครอ่านแล้วทะลุ ก็ถือ
ว่าสอบผ่านระดับหนึ่งแล้ว อันนี้ก็คงจะเป็นเหตุหน่ึงท่ีทาให้เกิดฝันนิมิตท่ีจะ
พ้นจากวฏั สงสารได้
สาหรับคาสอนของหลวงปู่มั่นอันน้ีก็เป็นเรื่องนิมิต แต่เป็นนิมิตที่เกิดจากการ
ภาวนา ซึ่งท่านก็บอกอยู่แล้วว่าถ้าไปยินดียินร้ายกับนิมิต เล่นกับนิมิต ก็
เหมือนไปเล่นกับเงาตน เห็นนิมติ เช่ือนิมิตจะเป็นบา้ ได้ นิมิตเป็นเคร่ืองรู้ของ
จิต ถ้าเป็นจติ ที่ยังปรุงแต่งอยู่ นิมิตกไ็ มแ่ นน่ อน ถ้าเป็นจิตที่พน้ ปรุงแต่งไปแล้ว
(จิตของพระอริยะเจ้า) จะมีความแน่นอน แต่ไม่ว่าจะเป็นนมิ ิตอะไร ก็อย่าไป
ยนิ ดยี ินร้าย ให้ปล่อยวางเสีย อย่าไปยึดม่ันหมายมั่นเป็นจริงเปน็ จงั กับมัน สัก
แต่รเู้ ท่านน้ั
โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น | ๓๕
การเจริญภาวนา ไมไ่ ด้หมายเอานิมิตเปน็ จุดหมาย บางคนก็ไม่มนี ิมิตอะไรเลย
ขอให้เอาสติเป็นจุดหมาย เป็นหลักในการภาวนา ทาจิตให้อยู่กับสติได้
พบความสงบตรงน้ัน เป็นความสงบสุขท่ามกลางความวุ่นวายของโลก ของ
อารมณ์ ก็ถือว่าถูกต้องแล้ว เรื่องนิมิตก็เป็นเรื่องของวาสนาของแต่ละคนท่ี
ส่ังสมมาไม่เหมือนกนั
ปฏิภาคนิมิตคือนิมิตท่ีเป็นประกายพรึก อุคคหนิมิตจะมาก่อนปฏิภาค
อุคคหนิมิตก็คือนิมิตหยาบ นิมิตติดตา เช่นเรานึกภาพกระดูก จนปรากฏข้ึน
ในจิต เป็นภาพกระดูก พอเพ่งมากเข้าๆ ภาพกระดูกนั้นก็จะใสเหมือนแก้ว
เรียกปฏิภาค ที่หลวงปู่ม่ันบอกว่าพิจารณาอุคคหนิมิตให้ชานาญ ก็จะเป็น
ปฏิภาคนิมติ แต่อย่างไรก็ตาม การภาวนาอย่าให้ท้ิงกายกบั จิต ถึงจะไปได้ต่อ
ให้เพ่งอะไรใสเป็นแก้ว เป็นปฏิภาค ถ้าพ้นไปจากกายและจิตแล้ว ไม่มีทาง
บรรลุธรรม อย่างพวกฤษีเพง่ น้า (อาโปกสิณ) พอภาพนา้ ติดตาติดใจ เกดิ เป็น
ภาพข้นึ มา เรยี กว่าอุคคหนิมิต พอเพง่ จนชานาญ ก็จะเปน็ ปฏิภาคนิมติ ตรงน้ี
แหละทีท่ าใหเ้ กิดฤทธ์ิ เช่นสามารถทาฝนใหต้ กได้ หรือเพง่ ไฟก็เชน่ กนั ซึ่งจะไม่
ขอกล่าวถึงเพราะไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ แต่ถ้าเพ่งกระดูก เห็นกระดูกเสื่อมพังไป
อนั นคี้ อื เป้าหมายของศาสนาพทุ ธ
เร่ืองนิมิตก็จะไม่อยากให้เน้นกันมาก ตรงที่บอกว่าปฏิภาคเป็นส่วนของ
วปิ ัสสนา อันน้ีน่าจะบนั ทกึ มาไมค่ รบถว้ น เพราะจติ ที่เพง่ จนเปน็ ปฏภิ าค จะไม่
สามารถพิจารณาอะไรได้ แต่ทาให้เกิดฤทธ์ิ เกิดปาฏิหาริย์ของจิตได้ การ
ปฏบิ ตั ิธรรม ตอ้ งมคี วามเด็ดเดย่ี วกลา้ หาญ จึงจะเป็นผู้รธู้ รรมในธรรมข้นึ มาได้
ต้องเอาชีวิตเปน็ เดิมพนั ถ้าทาเหยาะๆ แหยะๆ ไม่มีทางจะรู้เหน็ ไดเ้ ลย แต่ถ้า
เป็นการเหยาะๆ แหยะๆ แต่พยายามทาอยู่ตลอดเวลา อันน้กี ็พอจะได้อยู่ แต่
อาจจะช้าหน่อย แต่ก็ดกี ว่าไม่ทาอะไรเลย หรือทาทิ้งๆ ขว้างๆ พอด่าทีก็ทาที
๓๖ | โอวาทธรรมหลวงปู่ม่นั
อย่างหลังก็คงจะยาก แล้วไม่นานก็จะเกิดความท้อถอย เกิดความสงสัย แล้ว
ท้ิงไปในที่สุด เหมือนท่ีหลวงปู่ชาบอก ใต้ดินมันมีน้า แต่เราขุดไปไม่ถึง แล้ว
บอกว่าน้าไม่มี และถึงแม้เราจะตะโกนบอกว่าน้ามีอยู่ น้ามีอยู่ จนเสียงแหบ
เสียงแห้ง แตถ่ ้าคนมนั ไมเ่ อา ไมย่ อมขุด มนั ก็เปล่าประโยชนเ์ ท่าน้ันเอง
ธรรมะเป็นของปัจจัตตังคือรู้ไดเ้ ฉพาะตน ใครทาก็ไดก้ ับคนน้นั ไม่มพี ระที่ไหน
ที่จะพาเราไปนิพพานได้ แม้พระพุทธเจ้าก็พาไปไม่ได้ พระองค์จึงบอกว่าเรา
เป็นเพยี งผชู้ ้ีทางเท่านั้น ถ้าพระที่ไหนมาบอกว่าอยู่กบั เราแลว้ จะไปนพิ พานได้
ก็ขอให้รู้ว่ากาลังเจอพระตอแหลเข้าแล้ว ปฏิบัติมาขนาดน้ี เรียนรู้มาขนาดน้ี
ถ้ายังโง่อยู่ ก็คงช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ในทางโลกน้ัน ย่อมมีความเปล่ียนแปลง
เปน็ ธรรมดา โลกน้ีย่อมพร่องอยู่เป็นนิจ น่ีคอื ถ้อยคาท่ีพระพุทธเจ้าตรสั ไว้ คน
ท่ีแสวงหาความสมบรู ณข์ องโลก ไมม่ ีทางจะพบ คนทแี่ สวงหาความเป็นธรรมก็
เช่นกนั ไม่มีทางจะพบเช่นกนั เพราะทุกคนล้วนทากรรมกันมาทั้งนนั้ กรรมดี
บ้าง ช่ัวบ้าง กรรมท่ีทากส็ ่งผลไปตามลาดับ ดงั นั้น ระหว่างการแสวงหาความ
เปน็ ธรรม กบั แสวงหาธรรม จงแสวงหาอย่างหลงั จะดีกวา่
ความเป็นธรรมมันเป็นธรรมอยู่ในตัวอยู่แล้ว ไม่ต้องแสวงหา แต่ธรรมน้ี
แม้จะมีอยู่ในตัว แต่ก็น้อยคนนักจะพบจะเห็น ต้องเด็ดเด่ียวกล้าหาญอย่างที่
หลวงปู่ม่ันว่าไว้น่ันแหละ จงึ จะพบธรรม สว่ นความเป็นธรรมนั้น มันเป็นเร่ือง
ของกรรม ถ้าไม่เอาเร่ืองของกรรมมาจับ ก็จะทุกข์ไปกับการแสวงหา คนที่
แสวงหาความเป็นธรรมโดยไม่เช่ือเร่อื งกรรม จึงไมม่ ีวันพบความเป็นธรรม ทุก
วันน้ีเรามีแต่คนแสวงหาความเป็นธรรม ซ่ึงเราเห็นแล้วก็ได้แต่สลดสังเวชใจ
คนทางโลกจะแสวงหาความเป็นธรรมอยู่เสมอ แต่คนทางธรรมจะแสวงหา
ธรรม หาจิตหาใจตน กเ็ ลือกเอาว่าจะเป็นคนทางโลกหรือคนทางธรรม
โอวาทธรรมหลวงปู่มัน่ | ๓๗
ขยายความธรรม ในกลมุ่ สายธารธรรม เมอ่ื วนั ที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๓
ทา่ นไมช่ อบฤทธ์ิ ชอบภาวนาให้ส้นิ กิเลส ฤทธิ์ทั้งหลายเกิดด้วยกาลัง
สมถะ ฌานสมาบัติ ทั้งน้ัน ใชว้ ปิ ัสสนาอยา่ งเดยี วไมม่ ีฤทธิส์ าเร็จอรหันต์
การนอน การสงบเข้าฌานเป็นอาหารของจิตและร่างกายอย่างหนึ่ง
สมถะ ต้องพักจิตสอบอารมณ์ ส่วนวิปัสสนา จิตเดินไตรลักษณ์ให้รู้อริยสัจจ์
เหนื่อยแล้วเข้าพกั จิต พักจิตหายเหนื่อยแล้ว จิตตรวจอริยสัจจ์อีกดังนี้ ฉะนั้น
ให้ฉลาดการพักจิต การเดินจิต ท้ังวิปัสสนาและสมถะ พระโยคาวจรเจ้าทิ้ง
ไม่ได้ ชานิชานาญทั้งสองวิธี จึงเอาตัวพ้นจากกิเลสท้ังหลายไปได้ เป็นมหาศีล
เป็นมหาสมาธิ เป็นมหาปัญญา มีศีลทั้งอย่างหยาบอย่างกลาง อย่างละเอียด
พร้อมท้ังจิตเจตสิก พร้อมท้ังกรรมบถ ๑๐ ไม่กระทาผิดในท่ีลับและท่ีแจ้ง
สว่างทั้งภายในและภายนอก มีมหาสติรอบคอบหมด วิโมกข์ วิมุตติ อกุปปธรรม
จิตบริสุทธ์ิ จิตปรกติเป็นจิตพระอรหันต์ สว่างแจ้งทั้งภายนอกภายในสว่างโร่
ปถุ ุชนติเตยี นเกิดบาป เพราะพระอรหนั ต์บริสุทธ์ิ กายเปน็ ชาตินิพพาน วาจา
ใจ เป็นชาตินิพพาน นิพพานมี ๒ อย่าง นิพพานยังมีชีวิตอยู่ ๑ นิพพานตาย
แล้ว ๑ พระอรหนั ต์ขน้ึ รถขนึ้ เรอื ไปนพิ พานฉะนนั้
ท่านทรงกลด : เป็นโอวาทท่ีค่อนข้างยาวทเี ดียว
ก่อนจะไปโอวาทของหลวงปู่มั่น ก็เตือนสติพวกเรากันสักเล็กน้อย วันน้ีเป็น
วนั พระ คืนนี้หลังจากอ่านธรรมทแี่ สดงจบ ก็ควรจะภาวนากันสักเล็กน้อย จะ
พิจารณากาย อานาปานสติ หรือเดินจงกรมอะไรก็ได้ หรือจะสวดมนต์
พิจารณาสังขารก็ได้ หรือจะน่ังสมาธิตามท่ีถนัด พอจิตสงบกพ็ ิจารณากายเสีย
หรือจะนั่งเฝ้าดูเหตุการณ์ภายในใจก็ได้ ดูให้ดีๆ ว่ามันมีแก่นสารอันใดไหม
เรื่องหนึ่งมาแล้วก็ไป เร่ืองน้ันมาก็ไปอีก ไม่มีเร่ืองไหนที่อยู่ถาวรกับใจเราได้
บางเรื่องเหมือนจะเป็นการจาฝังใจ ถ้าดูดีๆ ใจเราน่ีแหละมันโง่ ไม่รู้เท่าทัน
๓๘ | โอวาทธรรมหลวงปู่ม่ัน
สญั ญาขันธ์ คือความจา ไปหลงคิดหลงจามันเอง จริงๆ มันก็อยู่ของมันอย่าง
นัน้ แต่เพราะใจท่ไี ม่เคยศึกษาเรื่องการปฏิบัติ ส่ายแส่เข้าไปยึด ไปหลงอยู่กับ
มันจนดูเหมือนเป็นจาฝังใจข้ึนมา ถ้าเห็นตามจริง จะเห็นว่ามันก็อยู่ของมัน
ตามเรื่อง การย้าคิดเร่ืองเดิมๆ จาเรื่องเดิมๆ จนเกิดทุกข์ขึ้นมา กับอุปาทาน
เป็นเร่ืองเดียวกัน เพราะท่ีใดมีอุปาทาน ที่น่ันย่อมมีทุกข์ อุปาทานแปลว่า
ความยึดม่ันถือมัน่
หลวงปู่ชาจึงสอนว่า เมื่อใดที่รู้สึกทุกข์ ก็ขอให้รู้เถิดว่าเมื่อนั้นไปหลงยึดส่ิงใด
สิ่งหนึ่งเข้าให้แล้ว หาเหตุให้เจอ แล้วทาลายเหตุนั้นเสีย ที่ยึดคนก็เพราะหลง
เหน็ คนเป็นตัวตน เปน็ เราเป็นเขา ถ้าพิจารณากาย จนเห็นตามจริงขึ้นในใจว่า
เป็นเพียงธาตุท้ังสีป่ ระชุมกันข้ึนมา ถงึ เวลากแ็ ตกดับทาลายไป มันกไ็ ม่มีอะไร
ใจของคนท่ีเห็นความจริงเหล่าน้ัน จึงปล่อยวางเร่ืองคนได้ไม่ยาก คาว่าเห็น
หมายถึงเห็นปรากฏข้ึนเฉพาะหน้า (จิต) ไม่ใช่เห็นแบบคิดเอา นึกเอา ให้จิต
มนั เห็น มันจงึ จะแก้ไขเหตุได้ เคยสอนไปหลายครัง้ เวลามีอะไรไม่สบายใจ ให้
หายใจเข้าลึกๆ ให้รู้สึกตัวข้ึนมา แลว้ อยกู่ ับความรู้สึกตวั ที่พบ จะเหน็ ความไม่
สบายใจถอยออกไปจากใจ จริงๆ ใจเรามันถอยออกมาจากความไม่สบายใจ
นั้น ความไม่สบายใจก็คืออารมณ์อย่างหน่ึง ความรู้สึกตัวก็คือสติ เม่ือสติ สติ
จะแยกใจออกจากอารมณ์ หลักธรรมชาติของสติ ของจิตมนั เป็นอย่างนั้น และ
นค่ี อื หลักการภาวนาทีเ่ อาไปใช้ในชวี ติ ประจาวนั ได้ แรกๆ จะทายาก เพราะสติ
มันอ่อน พอทาบอ่ ยๆ สติมีกาลงั วันหลงั เวลามีอะไรไม่สบายใจ หรือมอี ะไรมา
กระทบใจ สติจะทางานให้เห็น จะเห็นอาการของจิตหรือใจผละออกจาก
อารมณ์ท่ีไม่สบายใจนั้น แลว้ จะพบกบั ความสงบขึ้นมาแทน สิ่งท่ีสอนอันน้ี ถ้า
จะเรียกใหโ้ ก้ๆ ก็คือเวทนานปุ สั สนาสติปฏั ฐาน ลองเอาไปใชก้ ันดู หาสติให้พบ
พบสตกิ ็จะพบสงบ พอใจพบสงบ เขาจะเรียนรู้ของเขาเอง ว่าอยูก่ ับความสงบ
จะสุขกว่าอยู่กับเวทนาอารมณ์ต่างๆ จิตมันก็จะปริวัตรของมันไปเอง จนวัน
โอวาทธรรมหลวงปู่มน่ั | ๓๙
หน่ึงแยกจิตออกจากขันธ์ จากอารมณ์ได้ คราวน้ีก็จะเปน็ จิตที่มงุ่ พระนิพพาน
อยา่ งไม่มวี นั ถอยกลับ
สาหรับโอวาทคาสอนของหลวงปู่ม่ันในคืนนี้ ท่านไมช่ อบฤทธ์ิ ชอบภาวนาให้
ส้ินกิเลส ฤทธ์ิท้ังหลายเกิดด้วยกาลังสมถะ ฌานสมาบัติ ทั้งน้ัน ใช้วิปัสสนา
อย่างเดยี วไม่มีฤทธส์ิ าเร็จอรหันต์ อนั น้ีกต็ รงชดั เจนท่ีสุด เร่อื งฤทธ์นิ ี้ เป็นเรือ่ ง
ที่ไม่ใช่ทางพระนิพพาน ส่วนใหญ่คนมีฤทธิ์ ก็ติดฤทธิ์ ติดแล้วออกยาก สอน
ยาก พระบางรูปมีฤทธ์ิ คิดว่าตนเองบรรลุอรหัตผล ก็ติดอยู่ตรงน้ัน ติดองค์
เดียวไม่พอ พาลูกศิษยต์ ิดตามไปด้วยอย่างน่าอนาถใจเป็นที่สดุ ฤทธิ์ท้ังหลาย
เกดิ จากกาลังสมถะ คอื การภาวนาแบบเพ่งบริกรรม พอจติ สงบลงไปกเ็ กิดฤทธิ์
ต่างๆ นานา รู้วาระจิตคนบ้าง เสกของให้ศักด์ิสิทธิ์ พูดคุยกับผีกับเทวดาได้
บางคนก็เข้าใจผิดคิดว่าต้องภาวนาให้มีฤทธอิ์ ะไรก่อน แล้วจงึ จะเดินวิปัสสนา
ได้ เห็นไหม หลวงปมู่ ่ันก็บอกว่าใช้วิปัสสนาอย่างเดียวไม่มีฤทธ์ิสาเร็จอรหันต์
ได้ อย่างสมัยพทุ ธกาล พระพทุ ธเจ้าก็สอนการเจริญสตกิ ่อน พอสาเรจ็ อรหันต์
ฤทธ์ิก็มีข้ึนมาเอง เป็นของเก่าท่ีพระรูปนั้นๆ เคยบาเพ็ญมา บางรูปบรรลุ
อรหัตผลแล้ว จิตบริสุทธ์ิแล้ว ก็ไม่สนใจเรื่องฤทธ์ิอะไรหรอก เพราะต่อให้มี
ฤทธ์ิอะไรมากมาย ก็ส้ฤู ทธ์ิกรรมไม่ได้ เหน็ พระโมคคลั ลานะไหม เป็นตัวอยา่ ง
ที่ดีท่ีสุด เป็นเลิศกว่าภิกษุอ่ืนในทางฤทธิ์ แต่สุดท้ายพอกรรมท่ีเคยทาร้าย
พ่อแมส่ ่งผล ฤทธิก์ ็ยงั พา่ ยแพฤ้ ทธก์ิ รรม กม้ หนา้ ก้มตารับกรรมท่เี คยก่อไป
การใช้วิปัสสนาอย่างเดียวก็สาเร็จธรรมได้ คาว่าวิปัสสนาก็คือการเจริญ
สติปัฏฐานสนี่ ั่นแหละ ถึงตอนน้ีคงไม่ต้องถามแล้วว่าสตปิ ัฏฐานสี่คืออะไร การ
บาเพ็ญสมถะ พอจิตสงบ ก็เท่ากับได้พกั จิต ส่วนวิปัสสนา พอเจริญสติ พบจิต
พบธรรม มันก็พักจิตอยใู่ นตัว ทาไมจงึ เป็นอย่างนั้น เพราะเม่ือพบจิต แยกจิต
ออกจากขันธ์ได้ จิตมันก็จะสงบพักอยู่ในตัว เหมือนคนที่เคยว่ิงถือดุ้นไฟร้อน
อยู่ พอรู้ว่าดุ้นไฟน้ันทั้งร้อนทั้งหนัก ก็วางลง หยุดวิ่งเสีย มันก็สงบ เย็น เบา
ขึ้นมาแทน ตรงสงบ เย็น เบา นั่นแหละคือการพักจิต จริงๆ แลว้ การเจรญิ สติ
๔๐ | โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น
เป็นทั้งสมถะและวิปัสสนา ซ่ึงก็ได้แสดงตอบไปหลายครั้งแล้ว พอมีสติ จิตก็
สงบ ถา้ จิตอยู่กับสตไิ ด้ มันจะสงบจริง ตรงสงบก็คอื สมถะ พอจิตสงบ กจ็ ะเห็น
รูปนามตามจรงิ ว่าเกิดแล้วตอ้ งเส่ือมดับ หาแก่นสารไมไ่ ด้ ไม่ควรยดึ ม่ันถือม่ัน
ตรงเห็นรปู นามตามจริงว่าไม่เที่ยง ก็คอื ไตรลักษณ์ คือวิปสั สนา เมื่อทาชานิชานาญ
จิตก็จะพ้นจากกิเลสไปได้ คือวิมุตติ หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง จิตที่พ้นจาก
กิเลสย่อมเป็นมหาศีล คอื เป็นศีลอยใู่ นตัว ไม่ต้องสมาทาน มหาสมาธิกค็ ือเป็น
สมาธิอยู่ในตัว ไม่ต้องคอยกาหนด เป็นมหาปัญญา คือจิตจะรู้แจ้งแทงตลอด
ในรูปนามโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องคอยพิจารณาไตรลักษณ์อะไรอีก ไตรลักษณ์
เหมือนแพพาข้ามฝั่ง เมื่อถึงฝั่ง ก็ท้ิงแพไป เหลือแต่จิตบริสุทธ์ิอันเดียว เสวย
วิมตุ ตสิ ขุ อยอู่ ยา่ งนัน้ ไตรลกั ษณ์ไม่จาเปน็ อกี ต่อไป
สาหรับศีลน้ันก็มีศีลอย่างหยาบ ก็คือศีลห้าทั่วๆ ไป อย่างกลางก็คือศีลแปด
ศีลสิบ อยา่ งละเอยี ดก็คอื กรรมบถสิบ ได้แก่ไม่ฆา่ สัตว์ ไมล่ กั ทรพั ย์ ไมป่ ระพฤติ
ผิดในกาม เรียกว่ากายกรรม ไม่พูดปด พูดเพ้อเจ้อ ส่อเสียด หยาบ เรียกว่า
วจีกรรม ไม่คิดเอาของของใคร ไม่คิดพยาบาท และมคี วามเหน็ ทีช่ อบ เรียกว่า
มโนกรรม
พระอรยิ ะเจ้าช้ันโสดาบัน สกทาคามี มีศีลหา้ เปน็ ปรกติ เปน็ ศลี วิรตั ิ แต่กย็ ังพูด
เพ้อเจ้อได้ ส่อเสียด หยาบได้ จะหมดไปเม่ือบรรลุอนาคามีผล กล่าวโดยย่อ
พระอริยะเจ้าช้ันอนาคามีผลขึ้นไปก็จะมีศีลท่ีละเอียด ไม่กระทาผิดศีลทั้งใน
ท่ลี ับและที่แจง้
คาวา่ สวา่ งทั้งภายในภายนอกก็คือ นอกจิตก็สว่าง ภายในจิตก็จ้าสว่าง น่นั คือ
สภาพจิตของพระอรหนั ต์ เพราะจติ หลุดพน้ แล้ว เป็นวิโมกข์ วิมุตติ แล้ว ออก
จากกองกเิ ลสได้แลว้
โอวาทธรรมหลวงปู่มัน่ | ๔๑
ส่วนคาว่าอกุปปธรรม หมายถึงธรรมท่ีไม่กาเริบขึ้นมาอีก ราคะก็ไม่กาเริบ
โทสะกไ็ ม่กาเรบิ อยา่ งพระหลายๆ รปู ทด่ี ังๆ ตอนแรกกส็ มาธิดี แต่เพราะยังไม่
บรรลุธรรมจริง วันหน่ึงราคะกาเริบ ก็มีเร่ืองราวข้ึนมา ต้องสึกไปบ้าง ถูกจับ
สึกบ้าง หรือโลภะ (กิเลสประเภทเดียวกับราคะ) กาเริบ ก็เบียดบังทรัพย์มา
เปน็ ของตนเสยี เขา้ ขา่ ยลกั ทรพั ย์ ตอ้ งปาราชกิ สิน้ จากความเปน็ พระไป
แต่สาหรับพระอรหันต์ท่ีแท้ ท่านละกิเลสได้จริง กิเลสไม่อาจจะกาเริบขึ้นมา
ใหม่ได้ พระพุทธเจ้าเปรยี บเหมือนตาลยอดดว้ น คือไมส่ ามารถงอกเงยอะไรขึ้น
ได้อีก จึงเรียกว่าอกุปปธรรม กายเป็นชาตินิพพาน คือกายสงบ สงบจากการ
เบียดเบียน วาจาเป็นชาตินิพพาน ก็คือวาจาสงบ ไม่พูดปดเพ้อเจ้อส่อเสียด
ใคร หรอื พูดคาหยาบ คาหยาบน้ีกต็ ้องระวังใหด้ ีเหมอื นกัน เห็นพระอรหันต์พูด
มึงๆ กูๆ ด่าแรงๆ หยาบๆ อย่าไปมองอย่างน้ัน ท่านพูดก็จริง แต่ใจไม่ไดย้ ินดี
ไปกับคาหยาบน้ันๆ ด้วย พูดไปตามกริยาอาการ หรือขันธสันดานของท่าน
เท่านั้น หรือบางทีกด็ ่าแรงๆ ด้วยเมตตา เพือ่ ใหล้ กู ศิษย์มสี ติขึน้ มา เจตนาทา่ น
ที่จะพดู หยาบไมม่ ี
สว่ นคาวา่ ใจนพิ พานกค็ ือใจสงบ เยน็ นิพพานแปลอีกอยา่ งว่าเยน็
นิพพานมีสองอย่าง คือนิพพานยังมีชวี ิตอยู่ เรียกว่าสอุปาทิเสสนพิ พาน คอื ใจ
นิพพาน แตข่ นั ธ์ยังอยู่
ตอ่ เมอื่ ดับขันธ์ จงึ เรยี กว่านพิ พานตายแลว้ หรอื อนุปาทิเสสนิพพาน
ตรงคาวา่ พระอรหันตข์ ้ึนรถข้ึนเรือไปนิพพาน หมายถึงพระอรหันต์ไปนพิ พาน
นั่นง่าย ทา่ นเปรียบเหมือนว่าอยากไปทีไ่ หนก็ข้ึนรถข้ึนเรือไป ไม่นานก็ถึง แต่
ความจรงิ จติ ของพระอรหันต์ทา่ นนพิ พานอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว จึงง่ายเหมือน
ข้ึนรถข้นึ เรอื ไปฉะน้ัน
๔๒ | โอวาทธรรมหลวงปู่ม่ัน
ขยายความธรรม ในกล่มุ สายธารธรรม เม่ือวันที่ ๔ สงิ หาคม ๒๕๖๓ วนั พระ
ใหร้ ูธ้ รรมะและอาการของธรรมถึงขั้นละเอยี ดแล้วก็จะรู้เองเหน็ เอง
ท่านทรงกลด : ให้รู้ธรรมะคืออะไร ธรรมะคืออะไร ถ้าใครอ่านหนังสือกว่าจะ
ถงึ กระแสธรรมในตอนธรรมะพน้ื ฐาน จะจาได้ ว่าธรรมะคอื อะไร จริงๆ กม็ แี ม่
ชีทา่ นหน่ึงแนะนาว่าในธรรมพนื้ ฐานในหนงั สือกว่าจะถงึ กระแสธรรม น่าจะไป
บรรจุไว้ในหนังสือปจุ ฉาเล่ม ๑ คือเร่ิมต้นปฏิบัตธิ รรม ซึ่งก็เห็นด้วยเป็นอย่าง
ยิ่ง ดงั นั้น ในคราวตอ่ ไป หากมีการพิมพป์ ุจฉาเลม่ ๑ ก็จะบรรจธุ รรมพนื้ ฐานท่ี
ปรากฏในหนังสือกว่าจะถึงกระแสธรรมเอาไว้ด้วย เพราะธรรมพ้ืนฐานเป็น
สิง่ จาเป็นอย่างยิ่งท่ีชาวพุทธควรรู้ เนื้อหามอี ยู่เพียง ๒๕ หนา้ แต่ก็ครอบคลุม
พุทธศาสนาไว้ทัง้ หมด
ก่อนจะไปอ่านเล่มอ่ืนๆ ควรจะกระจ่างแจ้งในธรรมพ้ืนฐาน ๒๕ หน้าน่ี
เสียก่อน มีหัวข้ออยู่เจ็ดหัวข้อ แต่ย่อใจความพุทธศาสนาเอาไว้หมด เช่น
ธรรมะคืออะไร ทาไมต้องเรียนรู้ธรรมะ ชีวติ คืออะไร พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร
ทางนาไปสู่การพ้นทุกข์ สติปัฏฐานส่ีคืออะไร และสติปัฏฐานส่ีใน
ชีวิตประจาวัน ธรรมะคืออะไร ธรรมะก็คือธรรมชาติ ธรรมชาติของรูปของ
นาม ของกายของใจทีป่ รงุ แต่งเปน็ น่ันเป็นนี่ เรียกว่าเป็นอาการของใจ อาการ
ของธรรมะ
ธรรมชาติของรูปเป็นอย่างไร รูปก็คือรูปกายน้บี า้ ง รปู ภายนอก เชน่ ตน้ ไม้ ใบ
หญ้าบา้ ง ธรรมชาตขิ องรปู เปน็ อยา่ งไร ธรรมชาตขิ องรูปล้วนไม่เทีย่ ง ใบไม้ก็ไม่
เท่ียง ต้องเหลืองต้องหล่นผุพังเน่าเป่ือยลง หาแก่นสารไม่ได้ ธรรมชาติของ
กายก็ไม่เท่ียง ต้องแก่ต้องเฒ่า หนังเหี่ยวย่น อวัยวะภายนอกภายในก็เส่ือม
ทรุดลงทุกวัน ธรรมชาติภายในก็คอื อารมณต์ ่างๆ เรียนรูเ้ วทนา สัญญา สงั ขาร
โอวาทธรรมหลวงปู่ม่นั | ๔๓
วิญญาณ ว่ามันก็ไม่ต่างจากธรรมชาติภายนอก คือล้วนไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง
ทนอยู่ไม่ไดต้ ้องเสือ่ มตอ้ งดับ เปน็ ทุกขงั ดบั แล้วก็หาตวั ตนแก่นสารอนั ใดไม่ได้
เรียกว่าเป็นอนัตตา อาการของธรรมะก็คืออาการที่มันปรุงแต่งแล้วไม่เท่ียง
น่นั เอง อาการของจิตหรือใจท่ีปรุงแต่งเป็นจิตสังขารต่างๆ หรืออารมณ์ต่างๆ
ให้เห็นอาการเหล่านั้น หรือจะเรียกว่าให้เรียนรู้กิริยาจิตก็ได้ อาการกับกิริยา
มนั ก็อันเดียวกัน ใหร้ ู้อาการถงึ ข้ันละเอียด หมายถึงรู้ถึงอาการที่มันดับไป ไม่
เหลอื อะไร เหน็ การเสอ่ื มดับของอาการของจติ เหล่านั้น เม่ือถงึ ขนั้ ละเอยี ด "จิต
ก็หมดอาการ" หรือ "หมดกิริยาของจิต" ตรงน้ี อุปมาเหมือนคนแสดงท่าทาง
ต่างๆ ไม่เคยหยุด ออกอาการโน่นนี่นั่น พอหยุดอาการ หยุดการแสดงกิริยา
ต่างๆ มันก็จะน่ิงขน้ึ มา จติ ก็เหมือนกัน พอรู้ถงึ อาการอันละเอียด คือเห็นการ
เสอ่ื มดบั จนไม่เหลืออะไร มันกเ็ ห็นแลว้ วา่ อาการของจติ มนั ไม่มอี ะไร จติ ก็หมด
อาการ ตั้งมนั่ เกดิ สัมมาสมาธิขึน้ มาตรงนั้น
หลวงป่มู นั่ จงึ บอกวา่ แล้วจะร้เู ห็นเอง กค็ อื รู้เหน็ ธรรม ที่หลวงปูด่ ลู ย์บอกว่าคิด
เท่าไรก็ไมร่ ู้ จะรู้เม่ือหยดุ คดิ ก็คอื อนั เดยี วกนั คิดเป็นอาการของจิต พอหยุดคิด
ก็หยุดอาการของจิตเสียได้ ก็จะรู้ธรรมเห็นธรรมขึ้นมา นี่คือนัยแห่งธรรมที่
หลวงปู่ม่ันสอน และหลวงปู่หลุยบันทึกเอาไว้ ซึ่งตอนเห็นคาถาม พอกาหนด
ลงไป มันก็ไหลออกมาแบบน้ีแหละ ไม่รเู้ หมือนกนั ว่ามาได้อย่างไร การปฏิบัติ
ก็เพื่อไปสู่การหยุดคิดหยุดปรุงแต่ง จิตจะรู้ธรรมก็ตรงน้ัน เห็นคิดว่ามันสักแต่
จติ ปรุงแต่งขึน้ มา พอมันเส่อื มดบั ใหเ้ หน็ ก็จะเห็นว่าแท้จริงคดิ มันไมม่ อี ะไร คือ
เห็นความละเอียดของคิดของสังขารแล้วว่ามันไม่มีอะไร จิตก็จะปล่อยคิด ไม่
ยึดคดิ และหยุดคิด ตัวจิตน่ันหยุดคิด แต่คิดท่ีเป็นสังขารยังทางานอยู่ หลวงปู่
ดลู ย์จึงบอกว่า แต่ทั้งน้ี ต้องอาศยั คิดจึงจะรู้ ถ้าไม่มีคิด กไ็ ม่มีอะไรจะใหร้ ู้ ไม่มี
คิดเหลอื ก็พวกภาวนาแลว้ รวมลงไปแชแ่ น่น่ิง ไมเ่ หลือคิด ไมเ่ หลืออะไร เลยไม่
รู้อะไร ออกมากโ็ ง่เหมอื นเดิม เร่อื งนก้ี ็เขียนไว้หมดแล้วในหนังสอื เช่นกนั ท่ีว่า