The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ท่านทรงกลด มั่นสิงห์ ได้ขยายความโอวาทหลวงปู่มั่น ที่หลวงปู่หลุย จันทสาโร บันทึกไว้เพื่อให้เป็นมรดกทางธรรมให้พุทธศาสนิกชนทุกคนได้ศึกษาและน่ามาใช้ในการปฏิบัติภาวนาตามแนวทางขององค์ท่านหลวงปู่มั่น

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by วรพงษ์ สุพิมล, 2021-01-21 13:38:13

โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น

ท่านทรงกลด มั่นสิงห์ ได้ขยายความโอวาทหลวงปู่มั่น ที่หลวงปู่หลุย จันทสาโร บันทึกไว้เพื่อให้เป็นมรดกทางธรรมให้พุทธศาสนิกชนทุกคนได้ศึกษาและน่ามาใช้ในการปฏิบัติภาวนาตามแนวทางขององค์ท่านหลวงปู่มั่น

๔๔ | โอวาทธรรมหลวงปู่ม่ัน

ต้องอาศัยคิดจึงจะรู้ ก็หมายความว่า จะรู้ว่าคิดน่ันไม่ใช่เรา ของเรา คิดเป็น
สังขารต่างหากจากจิต เปน็ เพียงอาการหรือกิริยาของจิตอย่างหน่ึง จะถือเป็น
เราของเราไม่ได้ แต่จะรู้อยา่ งนี้ได้ ต้องแยกจิตออกจากคิดได้เด็ดขาดกอ่ น คือ
จะต้องเจริญสติจนจิตแยกออกจากคิดมาต้ังมั่นให้ได้ก่อน ถ้าเราเห็นคิดเป็น
เพียงสักแต่วา่ อาการของจติ อยู่เนอื งๆ วันหน่ึงพอมันละเอียดลงไป จติ กจ็ ะผละ
ออกมาตัง้ มนั่ ให้เห็น เรียกว่าให้รเู้ หน็ ธรรม

เรื่องน้ีก็กล้าพูดได้ว่ายังไม่เคยมีใครเอาคาสอนของหลวงปู่ม่ันแบบนี้มากล้า
ถามและจะมีคนกล้าตอบได้แบบเรา ถ้าจะบอกว่าหาอ่านแบบนี้ในโลกไม่ได้
หรอก กจ็ ะเป็นการเกินไปหรอื ไม่ กไ็ ม่รู้เหมือนกัน

โอวาทธรรมหลวงปู่มนั่ | ๔๕

ขยายความธรรม ในกลมุ่ สายธารธรรม เมื่อวันท่ี ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๓ วนั พระ

 อรหันต์กเ็ ป็นคุณอนันต์ นับหาประมาณมิได้ พระอรหนั ต์ตรัสร้ใู นตัว
เห็นในตวั มีญาณแจ่มแจ้งดี ลว้ นแต่เล่าเรียนธรรมชาติน้ันๆ

ท่านทรงกลด : กลับมาที่หัวข้อธรรมในวันพระวันนี้ พระอรหันต์ตรัสรู้ในตัว
หมายความว่าไม่ได้ตรัสรู้นอกตวั ในตัวคืออะไร ก็คอื ขันธ์ห้าน่ีแหละ เห็นไหม
การตรัสรู้ธรรมไม่ได้ไปตรัสรู้ท่ีไหน เอาขันธ์ห้ามาเรียนรู้ให้แจ่มแจ้งเท่านั้น
ในตัวก็คือในกายน้ี หลวงปู่มั่นสอนให้พิจารณากาย หรือกายคตาสติ อันเป็น
กายานุปัสสนาสตปิ ฏั ฐาน ในตัวก็คือความรู้สึกนึกคิดในตวั เราน้ี เวทนา สญั ญา
สังขาร วิญญาณ พิจารณาด้วยพระไตรลักษณ์ ด้วยอานาจสติ ให้เห็นมันเป็น
อนิจจงั ทุกขัง อนตั ตาเสียใหห้ มด

หลวงปู่ชาบอกว่าเห็นอะไร (ในใจ) ก็ใส่อนิจจังเข้าไป น้อมอนิจจังเข้าไป
อนิจจังตัวเดียวใช้ได้ถึงอรหัตผล ท่านบอกไว้ ตรัสรู้ในตัว เห็นในตัว คือเห็น
ตามจริงในตัว ว่าท่ีแท้ตัวมันไม่มี มันเป็นอนัตตาทั้งน้ัน คาว่าเห็นในตัว ไม่ได้
หมายถึงเห็นด้วยตาเนื้อ หรือเห็นด้วยความคิดความเข้าใจ แต่หมายถึงเมื่อ
พิจารณาขนั ธห์ า้ จนจิตสงบ เกิดญาณแจ่มแจ้งขน้ึ มา ก็จะเห็น เรียกว่าเป็นการ
เห็นด้วยญาณทัสสนะ การจะเห็นเป็นญาณดงั กล่าว ก็ต้องเลา่ เรียนธรรมชาติ
น้นั ๆ ธรรมชาติอะไร กธ็ รรมชาตขิ องรูปของนามของขันธห์ า้ อารมณ์ ธรรมชาติ
ของรูปของกายว่ามันเป็นของสกปรก ไม่สะอาด เป็นของไม่เที่ยง ต้องเส่ือม
ตอ้ งพงั ต้องดบั หาตัวตนไม่ได้ ธรรมชาตขิ องเวทนา ธรรมชาติของสขุ ของทุกข์
ของอารมณ์ยินดียินร้าย ธรรมชาติของสัญญา ความจา มาๆ ไปๆ หาตัวตน
ไม่ได้ จะวิ่งตามอย่ทู าไม ทาไมไม่สักแต่เปน็ ผดู้ ู จะวิง่ ตามคลุกคลกี ับความหลัง
ไปทาไม ธรรมชาติของความคิดปรุงแต่ง คิดคร้ังหน่ึงก็ดับลงไปครั้งหนึ่ง หา

๔๖ | โอวาทธรรมหลวงปู่ม่ัน

ตัวตนได้ทไี่ หน จะยึดม่นั ความคดิ ไปทาไม ธรรมชาตขิ องวญิ ญาณ ตาเห็นรปู ก็
เกิดความรู้ขึ้นครั้งหน่ึงแล้วดับลงทันที หาตัวตนอะไรท่ีไหนได้ น่ี หลวงปู่ม่ัน
สอนใหเ้ รยี นรธู้ รรมชาติของรปู นามขนั ธ์ห้าอย่างน้ี เมอื่ เรียนรู้ จิตก็จะสงบ เกิด
ญาณทัสสนะ เห็นตามจรงิ อย่างแจ่มแจง้

สมาหิโต ยถาภูตัง ปชานาติ เมื่อจิตสงบเป็นสัมมาสมาธิ ก็จะเห็นรูปนาม
ตามจริง เหน็ แล้ว จิตกถ็ อนจากความยึดม่ันออกมา ถอนหมด กบ็ รรลอุ รหัตผล
จิตของผู้บรรลุอรหัตผล ย่อมมีคุณมาก ผู้ใดได้ทาบุญกับพระอรหันต์แท้ๆ
ยอ่ มจะไดบ้ ญุ มาก ตรงกนั ข้ามทาบุญกบั อรหนั ตเ์ ก๊ กอ็ าจจะไม่ไดอ้ ะไรเลย เว้น
แต่พระน้ันมีศีลบริสุทธิ์ก็พอจะได้บ้าง พระอรหันต์นี้ ท่านย่อมจะแจ้งใน
ธรรมชาติของรูปนามอยูต่ ลอดขณะจิต ไม่กลับกลอกไปมา เห็นธรรมชาติตาม
จริง แล้วจิตมันก็ถอนออกมาเสียเท่าน้ันแหละ พระพุทธเจ้าสอนให้ฝึกจิตให้
ออกจากธรรมชาติ เพราะธรรมชาติของรูปนามของทุกสิ่งย่อมตกอยู่ภายใน
อนิจจัง ไม่ได้สอนให้เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ อันนี้เป็นคาในหนังเรื่อง
พระพุทธเจ้า ซ่ึงหนังเร่ืองน้ี ดูเพื่อความบันเทิงได้ แต่เอาสาระทางธรรมไม่ได้
เพราะคาสอนแทบจะผิดทั้งสนิ้ บางอันก็ออกมาจากความคิดความเข้าใจของ
ผ้เู ขยี นบทเอง ทาให้คนหลงเขา้ ใจว่าเปน็ คาสอนของพระพทุ ธเจา้

จิตของพระอรหันต์จะอยู่เหนือธรรมชาติ ซึ่งเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เราเป็นหนึ่งเดยี วกับธรรมชาติ แต่สอนทาจิตของเรา
ใหถ้ ึงสภาพที่ไมอ่ าจจะปรุงแต่งอะไรไดอ้ กี ต่อไป วิสังขารคตงั จิตตัง เป้าหมาย
ของพุทธศาสนาคือการทาจิตให้บริสุทธ์ิ น่ีคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน หรือ
หลวงปู่มน่ั ก็สอนให้อบรมจิตให้กลับคืนสู่ฐานะเดิม หรือฐตี ิภูตงั หรอื หลวงปชู่ า
ก็สอนให้หาจติ เดิม กลบั คืนสูส่ ภาพจติ เดมิ เสยี ซ่งึ การกลับคืนส่สู ภาพจติ เดิมใน
คร้ังน้ี จะเป็นสภาพที่ไม่มีการปรุงแต่งใดๆ อีกต่อไป กล่าวคือจิตมันหลุดพ้น

โอวาทธรรมหลวงปู่ม่ัน | ๔๗

เป็นอิสระจากธรรมชาติท้ังปวงแล้ว คาว่าจิตเป็นหน่ึง หรือจิตหน่ึงที่หลวงปู่
ดูลย์บอก หมายถึงจิตมันอย่ดู ้วยลาพังของตวั มันเอง ไม่เก่ียวข้องกับธรรมชาติ
ใดๆ จิตเป็นหนึ่งแท้จริงแล้ว จะไม่รวมกับใคร กับธรรมชาตใิ ดๆ ทั้งสิ้น กล่าว
โดยสรุป จิตหนึ่งน่ีแหละคือเป้าหมายของการปฏิบัติท้ังปวง ผู้ใดปฏิบัติจนถึง
จิตหนึง่ ได้ ผนู้ ้นั ก็ถึงธรรม สนิ้ การเวียนวา่ ยตายเกิด หักกงล้อวฏั สงสารได้ หรือ
ท่เี รยี กวา่ อรหัตผลนนั่ เอง

๔๘ | โอวาทธรรมหลวงปู่มัน่

ขยายความธรรม ในกลุ่มสายธารธรรม เม่อื วนั ท่ี ๑๙ สิงหาคม ๒๕๖๓

 ถ้าส่งจติ ใจต้องเด็ดเดีย่ วกลา้ หาญที่สุดจงึ จะร้ธู รรมเหน็ ธรรม

 สง่ จิตออกนอกกาย ทาใหเ้ ผลอสติฯ

 แก้โทษคือแก้อาบัติ ให้แก้ปัจจุบันจิต อย่าส่งจิตอดีต อนาคต แล้ว
บอกจติ ว่าไม่มีโทษ เม่อื ทา่ นไปจาพรรษาอย่เู ทือกเขาใหญ่ทา่ นเกดิ อาบัติจนฉัน
อาหารเข้าไป ก็เปน็ อนั นน้ั ออกมา เพราะจิตวิบัติแล้ว ธาตุก็วบิ ัติดว้ ย ตอ่ นน้ั แก้
จิตได้แล้ว อาพาธ ๓ วัน หายเป็นปรกติดี การอาบัติเช่น อาบัติอุกฤษฏ์ อย่า
พึงล่วงงา่ ยๆ เพราะมันเคยตัวฯ

ท่านทรงกลด : อันแรกนา่ จะบนั ทกึ ผดิ หรือขอ้ ความไม่ครบถ้วน จิตใจต้องเด็ด
เดย่ี วกลา้ หาญทสี่ ุดจึงจะรู้ธรรมเหน็ ธรรม หมายความดังท่ีหลวงปู่ชาบอกไว้ว่า
นิพพานอยู่ฟากตาย คือต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการปฏิบัติ ถ้าทาเหยาะๆ
แหยะๆ แม้จะถูกทางก็จะเนิ่นช้า แต่ก็ดีว่าการปฏิบัติที่ผิดทาง ทาให้ตาย
อย่างไรก็ไม่มีวันรู้เห็นธรรม หากปฏิบัติถูก อาจจะทาบ้างไม่ทาบ้าง ก็จะมี
โอกาสรูเ้ ห็นธรรมได้ แต่อย่างท่ีบอกก็คือจะเน่นิ ชา้ สักหนอ่ ย เปรียบเหมอื นการ
เดินทางกลับบ้าน คนหนึ่งเดินถูกทาง แต่เดินๆ หยุดๆ แต่ก็ยังเดินอยู่ ก็จะถึง
บ้านในที่สุด กบั อกี คนหนึ่งเดินผิดทาง หลงทางอยู่ เดินใหต้ ายอย่างไรก็ไมม่ วี ัน
จะถงึ บา้ น

การปฏิบัติผิดๆ ในสมัยน้ีก็มีให้เห็นอย่มู ากมาย บอกท้ังตรงและอ้อมไปก็เยอะ
แล้ว ให้ใช้ปัญญาพิจารณาเอา เชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่บุญวาสนาของคนท่ีไม่
เท่ากัน ปฏิบัติตามหรือไม่ปฏิบัติก็แล้วแต่บุญวาสนาของแต่ละคนเช่นกัน ถ้า
ปฏบิ ัตติ ามสักหน่อย จะมสี ตริ เู้ ท่าทันอารมณ์ขึ้นมาบา้ ง อยา่ งบางคร้ัง มกี ารส่ง
ข้อความท่ีผดิ กติกาเข้ามาในกลุ่ม ก็มบี างทา่ นเตือนไป แทนที่จะมปี ัญญา มสี ติ

โอวาทธรรมหลวงปู่ม่ัน | ๔๙

รู้เท่าทันอารมณ์ กลับออกจากกลุ่มไปทันที ส่อให้เห็นว่าสักแต่อ่าน ไม่ได้
ปฏบิ ตั ิอะไรแต่อย่างใด

เวลามีใครเตือน หรอื วา่ อะไร หนา้ ท่ีเราก็คือให้ดอู ารมณ์ทีเ่ กิด ให้มีสติรเู้ ท่าทัน
เสียว่าอารมณ์ที่เกิดน้ี ไม่นานก็จะดับไป เพราะธรรมดาสิ่งใดเกิด สิ่งนั้นย่อม
ดับ ธรรมดาของทุกอย่างมันเปน็ อย่างนนั้ นี่แค่จะรู้เท่าทันอารมณ์แค่น้ยี ังไม่มี
ปัญญา จะไปเอาความก้าวหน้าในการปฏิบัติอะไรได้ อารมณ์แค่น้ียังไม่รู้ทัน
จะทาตามที่หลวงปู่มั่นบอกได้อย่างไร จิตใจไม่ได้มีความเด็ดเด่ียวกล้าหาญท่ี
จะสกู้ ับอารมณน์ ิดหน่อยแคน่ ้ี จะเอาไปรูเ้ หน็ ธรรม นพิ พานอะไรได้ ก็จมอยูก่ บั
โลก อยกู่ ับกองข้กี องเลอื ดอยา่ งนี้ตอ่ ไปเถิด

บางคนย่ิงน่าสมเพชใจนัก บอกว่าปฏิบัติธรรมมาหลายสิบปี พออ่านพบ
ข้อความไมพ่ อใจหน่อยเดียว ก็ออกอาการทันที แสดงให้เห็นอยา่ งชัดเจนว่าที่
ปฏิบัติมามันของปลอมทัง้ สนิ้ ใครบอกปฏิบตั ิธรรมมานาน ลองเดนิ เข้าไปด่าดู
จะได้เห็นของจริงว่าจริงหรือปลอม ของจริงต้องแบบท่ีหลวงปู่มั่นบอกน่ัน
แหละ เด็ดเด่ยี วกล้าหาญทสี่ ุด

อย่างเม่อื ปีก่อนๆ มีพระรูปหน่ึงออกมารับรองเด็กคนหนึ่งว่าใจเป็นธรรมแล้ว
ลองเอาเด็กคนน้ันไปอยปู่ ่าช้าคนเดยี วสักสามคืนซิ มันจะอยไู่ ด้ไหม ถ้าใจเป็น
ธรรมมันต้องไม่กลัวตาย เช่ือเถอะ คืนเดียวก็ร้องไห้คิดถึงแม่แล้ว แล้วจะมา
บอกใจเปน็ ธรรมไดอ้ ยา่ งไร เทา่ ทีเ่ หน็ มแี ต่ใจเปน็ ธรรมปลอมทัง้ นนั้

โอวาทถัดมาของหลวงปู่ม่ันก็คอื สง่ จิตออกนอกกายทาใหเ้ ผลอสติ หมายความว่า
อยา่ งไร กห็ มายความวา่ หลวงปู่ม่นั กาลังสอนใหเ้ จริญกายคตาสติ ถงึ ตอนนี้ คงไม่
มีใครถามแล้วกระมังว่ากายคตาสติคืออะไร ถ้ายังสงสัยถามอยู่ ก็ยังสอบตกอยู่
คนอืน่ เขาไปถึงไหนกันหมดแล้ว หากกายคตาสติไมร่ ู้เรอ่ื ง ก็ถือว่าแย่มากๆ การ
ระลึกรู้อยู่ในกาย มีผมขนเล็บฟันหนัง ไปตลอดจนมัตถะเกมัตถะลุงคัง หรือ

๕๐ | โอวาทธรรมหลวงปู่ม่ัน

มันสมอง หรือท่ีเรียกว่าอาการสามสิบสอง น่ีคือกายคตาสติ จะสวดมนต์ก่ี
รอ้ ยพันจบ ก็สบู้ ทการพิจารณาอาการสามสิบสองไม่ได้ เพราะบทนี้มันแกโ้ รค
เกิดโรคตายได้ ถ้าเราระลึกอยู่ในกายเสมอ จิตจะไม่ส่งออกนอก เมื่อจิตไม่
สง่ ออกนอก แส่ส่ายไปหาอารมณ์โนน่ นี่นน่ั จติ กจ็ ะสงบ เห็นกายตามความเป็น
จริง ว่าไม่ใช่เราของเรา จากนั้นจิตก็จะปริวัตรตัวมันมองเห็นส่วนทีเ่ หลือของ
ขันธ์ได้แก่เวทนาสัญญาสังขารวิญญาณว่าไม่ใช่เราของเราด้วย เพราะสภาพ
ขนั ธ์แต่ละอันไม่ต่างกัน กล่าวคือเกิดขึน้ ตั้งอยู่แลว้ ดับไป เรียกว่ามไี ตรลักษณ์
ประจาตวั มนั

ไตรลักษณ์นี้ท่านพุทธทาสแปลวา่ ลักษณะสามัญของทุกส่งิ หรือสามัญลักษณะ
ทุกอย่างไม่ว่ารูปหรือนามล้วนตกอยู่ในลักษณะสามัญนี้ทั้งสิ้น อนิจจัง ทุกขัง
อนัตตา การระลึกรู้ในกายหรือกายคตาสติน้ี เป็นส่ิงท่ีควรจะกระทาบ้าง
สาหรบั นกั ปฏิบัติ หลวงปู่มนั่ เคยหลงทางอยู่พักหนึ่ง ต่อมากล็ องพจิ ารณากาย
แล้วพบว่าจิตไม่ส่งออกนอกเหมือนเคย เลยม่ันใจว่ามาถูกทางแล้ว จนบรรลุ
อนาคามีในท่ีสุด ก็ลองพิจารณากายกันดู อยา่ งน้อยกอ่ นนอนบ้างกย็ ังดี หลาย
คนพิจารณาแล้ว ก็เกิดสภาวะเปน็ ปจั จัตตงั ขึ้นกับตัว ความสงสยั ในกายก็หมด
ไป นน่ั แหละคือปากทางพระนพิ พานแลว้

อันสุดท้ายในโอวาทน้ีคือเร่ืองอาบัติ ซ่ึงเป็นเร่ืองของพระ แต่จะตอบเป็น
ความรู้ไว้ ปรกติพระมีศีล ๒๒๗ ข้อ ผิดข้อใดข้อหนึ่งก็เป็นอาบัติ คือผิดศีล
ของพระ หลวงปู่ม่นั แกอ้ าบตั ิดว้ ยการทาจติ ให้เป็นปัจจบุ ัน เพราะทเี่ กดิ อาบตั ิก็
เพราะจิตวิบัติ จิตวิบัติแล้วอาบัติ พออาบัติจิตก็วิบัติ เป็นเหตุเป็นผลซ่ึงกัน
และกัน ทุกอย่างเกิดจากจิต ใหแ้ ก้ท่ีจิต ก็จะแก้อาบตั ิท้ังปวงได้ ผลของอาบัติ
อย่างหนึ่งก็คือธาตุวิบัติ หมายถึงส่งผลถึงกาย ทาให้กายรวนไม่สบายไปด้วย
เม่ือแก้ท่ีจิต ให้จิตด่ิงอยู่ในปัจจุบัน ไม่ส่งไปในอดีตหรืออนาคต หมายถึงให้มี
สติน่ันเอง เมื่อจิตมีสติ จิตก็จะไม่มีโทษ โทษท่ีเกิดจากอาบัติท้ังปวงก็หมดลง
ดบั ลง เช่นนัน้ เอง

โอวาทธรรมหลวงปู่มัน่ | ๕๑

ขยายความธรรม ในกล่มุ สายธารธรรม เมอื่ วนั ท่ี ๒๖ สงิ หาคม ๒๕๖๓ วนั พระ

 เกิดตาย เกิดแล้วตาย ชมแต่หนังของเก่า อย่าไปเอามา ให้รู้เฉพาะ
ปรกตขิ องจติ

ทา่ นทรงกลด : เกิดตาย เกดิ แลว้ ตาย หมายความว่าคนเรานี้เกิดมาแล้วก็ต้อง
ตาย ไม่มีทางอ่นื จะหนไี ปได้ ชมแต่หนังของเกา่ หมายความวา่ เกดิ มาเปน็ คน ก็
มีหนังห่อหุ้ม มันก็หนังอันเก่าอันแหละ หุ้มแล้วก็เหี่ยว มีอยู่แค่น้ัน เกิดมากี่
ชาตๆิ ก็หลงหนงั อนั เก่า ตอนเตง่ ตงึ มันกห็ ลอกใหเ้ ราหลง หลงคนน้ันคนน้บี า้ ง
หลงหนังตัวเองบ้าง มันจะเหี่ยวก็ไม่ยอมให้มันเหี่ยว ไปดึงไปเสริมมันข้ึนมา
พยายามจะเอาชนะธรรมชาติแต่สดุ ท้ายก็ไมม่ ีใครชนะธรรมชาติอันสุดท้ายได้
นัน่ คือความตาย

อยา่ ไปเอามาก็คอื อยา่ ไปยึด ยึดในหนัง ยดึ ในการเกิด ให้รู้เฉพาะปรกตจิ ิตของ
ตน จติ ท่ีปรกติเป็นอย่างไร กค็ ือจิตทไ่ี มแ่ ส่สา่ ยไปยดึ ในรา่ ยกาย ในหนงั ในคน
จิตท่ีผิดปรกติก็คือจิตปรุงแต่งเป็นโน่นน่ีนั่น ขณะจิตท่ีปรุงแต่ง ขณะน้ันจิต
ย่อมผิดปรกติแล้ว ปรกติของจิตก็คือจิตท่ีมีสภาพไม่ปรุงแต่ง คือจิตที่อยู่กับรู้
อยู่กบั ความเปน็ กลาง ไมว่ ่ิงตามอารมณน์ ้อยใหญ่ อารมณ์ยินดีกป็ รกติ อารมณ์
ยินร้ายก็ปรกติ ปรกติของจิตก็คือความเป็นกลางน่ันเอง ถ้าคนที่รักษาความ
เป็นกลางของจิตได้ คนนนั้ กจ็ ะเขา้ ถงึ ความปรกตขิ องจติ

อยา่ งเร่ืองกายเร่ืองหนังนก้ี เ็ ป็นเร่ืองหยาบๆ เปน็ ส่ิงแรกๆ ทีค่ นเราจะส่งจิตเข้า
ไปยึดไปติด ทาให้จิตผิดปรกติไป จิตที่ผิดปรกติจะมีสภาพท่ีด้ินรน กวัดแกว่ง
ซัดแส่ส่ายไปตามกระแสโลก คนชมทีหน่ึง จิตก็ฟูข้ึนทีหนึ่ง พอมีคนด่าทีหนึ่ง
จติ กฟ็ ุบลงทหี น่งึ ว่งิ ขน้ึ วงิ่ ลงอยอู่ ย่างน้ี ไม่มวี นั สงบสขุ เปน็ จิตท่ปี รกติได้เลย

๕๒ | โอวาทธรรมหลวงปู่ม่นั

พระพุทธเจ้าจึงสอนไม่มาก สอนให้รักษาจิตให้ปรกติไว้ คนชมก็อย่าหลง คน
ด่ากอ็ ย่าหลงไปกบั คาด่า พวกเรานี้ ฝกึ ปฏิบัติมาขนาดนี้ ถ้ามีคนดา่ แล้วยงั ว่ิง
ตามคาด่าอยู่อีก หนังสือสิบเล่มท่ีทามาก็เป็นหมัน ควรจะวางจิตให้นิ่งเป็น
ปรกติไดบ้ ้างแล้ว เวลามีคนด่า ห้ามไม่ไดท้ ่จี ะเกิดอารมณ์ไมพ่ อใจ แต่เราก็ตอ้ ง
รกั ษาจิตไว้ ไม่ให้ไหวไปตามอารมณ์น้ัน ถ้าทาได้ นแ่ี หละคือการรู้เฉพาะปรกติ
ของจิตแล้ว จะเห็นว่าจติ ท่ีไม่ว่งิ ตามอารมณ์ จะมีสภาพนิ่ง แต่ไม่ใช่น่งิ แบบไม่
รูส้ กึ แบบคนตายด้าน มันเป็นการน่งิ ท่ีรู้เท่าทนั ถา้ มีคนด่าแล้วยงั วิ่งตามเขา ก็
อย่าเพ่ิงไปพูดเร่ืองปฏิจจสมุปบาทอะไรเลย เห็นบางคน ท่องปฏิจจสมุปบาท
ได้คล่องแคล่ว พอโดนด่าหน่อยเดียว ของขึ้นระเบิดออกมาเลย พวกนี้เก่ง
แต่เรียน แตจ่ า เจอของจริง เสร็จทกุ ราย คนชมก็เชน่ กนั อย่าไปหลงระเริงกับ
คาชมให้มากเลย วันนี้ชม เพราะทาให้เขาถูกใจ ลองพรุ่งน้ี ทาในสิ่งท่ีเขาไม่
ถกู ใจ คาชมก็จะกลายเป็นคาดา่ เทา่ น้นั เอง ไมม่ อี ะไร ทดี่ ีท่สี ุดกค็ อื รักษาจิตเรา
ให้ปรกติไว้ คาชมคาด่าไม่แน่นอน แต่การรักษาจิตให้ปรกติ จะนาไปสู่ความ
แน่นอน นน่ั คอื พระนพิ พาน

โอวาทธรรมหลวงปู่มน่ั | ๕๓

ขยายความธรรม ในกลุม่ สายธารธรรม เม่อื วันท่ี ๑๐ กันยายน ๒๕๖๓ วนั พระ

 แสดงฐานของธรรมะเปน็ บอ่ เกดิ อริยสจั จ์ของจริง

ท่านทรงกลด : แสดงฐานของธรรมะเป็นบ่อเกิดอริยสัจจ์ของจริง ฐานของ
ธรรมะอย่างกว้างก็คือมรรคมีองค์แปด ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ
สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ และ
สัมมาสมาธิ

ฐานของธรรมอย่างกลางก็คอื ศลี สมาธิ ปญั ญา

สมั มาวาจา สัมมากัมมันตะ สมั มาอาชวี ะ สามอย่างนี้คอื ศีล

สัมมาวายามะ สัมมาสติ และสมั มาสมาธิ คือสมาธิ

สัมมาทิฏฐิ และสมั มาสังกัปปะ คอื ปญั ญา

เร่ืองศีลก็ไม่ยากท่ีจะเข้าใจ เรื่องสมาธิ ก็แสดงไปมากว่าสติต้องมาก่อนสมาธิ
เมื่อเราเจรญิ สติอย่างตอ่ เน่ืองไม่ขาดสาย จิตกับสติตั้งมั่นเข้าด้วยกัน ก็จะเกิด
สัมมาสมาธิขึ้นมา คาว่าต่อเน่ืองไมข่ าดสายก็คือความเพยี ร คือสัมมาวายามะ
พอเกิดสัมมาสมาธิ ปัญญาที่เป็นโลกุตระปัญญาก็จะเกิดขึ้นมา น่ันคือเกิด
ความเห็นตามจริงในรูปนามว่าไม่ใช่เราของเรา เรียกว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ ฝ่าย
โลกุตตระปัญญา สมาหิโต ยถาภูตัง ปชานาติ เม่ือจิตต้ังมั่นก็จะเห็นรูปนาม
ขันธ์ห้าตามจรงิ พอเห็นตามจริงวา่ ไม่ใชเ่ ราของเรา จิตก็จะผละออกจากความ
ยึดมน่ั ในขันธห์ า้ เรยี กวา่ ดารอิ อกจากกาม ออกจากพยาบาท ออกจากความคิดท่ี
จะเบียดเบียนใคร เห็นรูปนามคร้ังแรกเกิดโสดาปัตติผล สกทาคามีผล พอดาริ

๕๔ | โอวาทธรรมหลวงปู่ม่นั

ออกจากกาม ออกจากกามได้ ก็จะเกิดอนาคามีผล และอรหัตผลตามมาใน
ที่สดุ นี่คือผลของมรรคทีเ่ ป็นโลกตุ ระ

แต่ก่อนท่ีจะมาถึงมรรคที่เป็นโลกุตระอันน้ี ก็จะดาเนินโลกียมรรคมาก่อน
กลา่ วคือจะเกิดความเห็นข้ึนว่าชีวติ น้ีมีแต่ทุกข์ สุขที่มีอยมู่ ันไม่จริง ก็ดาริ เป็น
การดาริแบบโลกๆ ก่อน คือคิดว่าจะต้องไปจากโลก จากวัฏสงสาร โลกนี้ก็คือ
กาม คืออารมณ์ เหมือนพวกเราที่เบ่ือหน่ายการเกิด ไม่อยากกลับมาเกิดอีก
เพราะเห็นแล้วว่าชีวติ น้ีมนั มีแตท่ ุกข์ น่ีคือเห็นชอบ จากน้ันก็สารวมกายวาจา
(ศีล) พากเพียรอบรมสัมมาสติอันได้แก่สติปัฏฐานส่ี จนจิตต้ังมั่นอยู่กับสติได้
แยกจิตออกจากรูปนาม ก็จะเห็นรูปนามตามจริง หรือท่เี รียกวา่ มัคคสมงั คดี ังที่
แสดงไปเม่อื วันกอ่ นนั่นเอง

ส่วนฐานของธรรมะอย่างแคบ รวบย่อลงมาเหลืออันเดียวน่ันก็คือสตินั่นเอง
เม่ือมีสติอันเดียวก็จะเกิดความเห็นชอบ ดาริออกจากกาม สารวมกายวาจา
เจริญสติอย่างต่อเน่ือง จนเกิดสมาธิในที่สุด เวลามีสติท่ีแท้จรงิ กล่าวคอื จิตกับ
สติอยู่ด้วยกันได้ จะเห็นสภาพอารมณ์ตามจริง คือจะเห็นมันเกิดดับๆๆๆ
แรกๆ จะเห็นไม่มาก หรือเห็นครั้งเดียว จิตก็จะเรียนรู้ข้ึนมาว่า เออ อารมณ์
รูปนามนี่มันไม่เท่ียง ถ้ามันเที่ยงมันจะดับลงไปให้เห็นอย่างน้ีเหรอ พอเห็น
จิตก็จะคลายความยึดมั่นออกมา ตรงท่ีคลายออกมานี่แหละเรียกว่า
สมั มาสงั กัปปะล่ะ คลายจาก ออกจากอารมณ์รัก (กาม) อารมณ์ไม่รักไม่ยินดี
(พยาบาท) เรียกว่าสติคือฐานของธรรมะท่ีแท้จริง พอเข้าถึงฐานของธรรมะท่ี
แท้จริงได้ หมายความว่าจิตกับสติตั้งม่ันเข้าด้วยกันได้ เกิดสัมมาสมาธิ เกิด
มัคคสมังคี แยกจิตออกจากขันธ์ได้ ออกจากรูปนาม ออกจากเวทนาอารมณ์
ทั้งปวงได้ ก็จะเห็นดังนี้ จะเห็นอารมณ์ที่เป็นทุกข์หรือเวทนาแยกออกไป

โอวาทธรรมหลวงปู่มนั่ | ๕๕

ปรากฏอยู่เฉพาะหนา้ เปน็ การเหน็ ด้วยญาณทัสสนะ ไมใ่ ช่เห็นแบบคิดเอาคาด
เอา เหน็ อย่างแจม่ แจ้ง จงึ เรียกเหน็ จริงรูแ้ จง้ จะเรียกว่าตรสั รู้ธรรมขน้ึ มากไ็ ด้

พอเห็นทุกข์แยกออกไป ก็จะเห็นเหตุแห่งทุกข์ ว่าโดยปรกติ ทุกข์มันแยก
ออกไปจากจิต จิตก็ไม่ทุกข์ แต่พอส่งส่ายเขา้ ไปยึดทุกข์ว่าน่ันคือเราของเรา ก็
เกิดทุกข์ขน้ึ มา ถ้าต่างคนต่างอย่ไู มท่ ุกข์ พอยึดก็ทกุ ข์ ตรงน้ีเรียกวา่ เห็นสมทุ ัย
คือเหตุแห่งทุกข์ น่ันคืออุปาทานน่ันเอง พอเห็นตรงน้ี จิตก็เกิดปัญญาข้ึนมา
ขณะจิตเดียวกันน้ันว่าจะละทุกข์ต้องทาอย่างไร นั่นคือดับเหตุแห่งทุกข์เสีย
คือละสมุทัยเสีย ขณะจิตเดียวกันนั้นก็จะเกิดปญั ญาข้ึนว่าหนทางแห่งการดับ
ทุกข์ก็คือความเห็นชอบ ซึ่งตอนน้ีเป็นความเห็นชอบหรือสัมมาทิฏฐิฝ่าย
โลกุตระแล้ว เห็นชอบว่าทุกข์ก็ดี ขันธ์ห้าก็ดีมันไม่ใช่เราของเรา พอเห็นชอบ
ดังน้ี จิตก็จะออกจากอารมณ์ ออกจากกาม จากพยาบาท คือสัมมาสังกัปปะ
น่ันเอง แล้วจิตก็เกิดศีลวิรัช คือมีศีลห้าโดยบริบูรณ์ไปตลอด น่ีเอง ท่ีพระพุทธเจ้า
ตรสั วา่ พระโสดาบนั จะมีศลี หา้ เป็นปรกติประจาจติ โดยไมต่ ้องสมาทาน แลว้ จิต
ก็จะรู้ต่อไปว่าเม่ือเดินมรรคเช่นน้ีต่อไป สติจะยิ่งมากข้ึนๆๆ และจะเกิดสมาธิ
ตดั สังโยชน์ท่เี หลือไดไ้ ปตามลาดับ เห็นทุกข์ เห็นสมุทัย เห็นนิโรธ เห็นมรรคมี
องค์แปด จึงเรียกว่าเห็นอริยสัจจ์ นั่นเอง นี่คือแสดงฐานของธรรมะบ่อเกิด
อริยสัจจ์ของจริง เปน็ เชน่ นี้แล

หลวงปู่หลยุ จนั ทสาโร ท่านบนั ทกึ ไว้สั้นๆ เพียงนนั้ แต่เรามาแสดงขยายความ
ให้ตามท่เี ห็น ซึง่ แสดงออกมา ก็เป็นเรื่องทล่ี กึ ซ้ึงมากๆๆ คงหาอา่ นที่ใดไม่ไดใ้ น
โลกน้ี มันไหลออกมาเองจากจิต ของมนั เอง เป็นเช่นนั้นเอง ท่านที่อยู่ในห้อง
ธรรมน้ี คงได้ทาบุญมามากจริงๆ มีบุญวาสนาทางธรรมกันมากจริงๆ จึงได้มี
โอกาสได้มาอ่านส่ิงท่ีเราแสดงเช่นนี้ แม้ตัวเราเองอ่านหนังสือธรรมะมา
มากมาย (ก่อนที่จะรเู้ ห็นว่าอะไรเป็นอะไร) ก็อดพิศวงกับตวั เองไม่ได้ วา่ เวลา

๕๖ | โอวาทธรรมหลวงปู่มนั่

แสดงธรรม ทาไมมนั ออกมาได้ลึกซึ้ง อย่างทีต่ ัวเองก็ไม่เคยอ่านหนังสอื ที่ไหน
มาก่อน ธรรมนเ้ี ปน็ ของอัศจรรยอ์ ย่างนนี้ ีเ่ อง

 แสดงตนดูถูกท่านว่าท่านเป็นคนโกรธ เพราะผู้ฟังไม่เห็นตามความ
เป็นจรงิ

หมายความวา่ อยา่ งไร เรื่องนกี้ ็แสดงไปหลายครง้ั แลว้ วา่ เวลาพระอรหนั ตโ์ กรธ
ดูเหมือนจะโกรธ แต่ท่านไม่ได้โกรธ อย่างหลวงตามหาบัว ท่านเหมือนจะดุ
ตลอดเวลา หลวงปู่ม่ันนี่ดุมาก การดุกับการโกรธ สาหรับคนทางโลก บางทีก็
เปน็ เร่อื งเดยี วกัน แต่สาหรบั คนทางธรรม การดกุ ับการโกรธคนละเรื่องกนั คน
ทางโลกเห็นพระดุ ก็เข้าใจว่าพระโกรธ เหมือนท่านจะโกรธอยู่ตลอดเวลา
หน้าตาท่าทางมันเป็นเรื่องของขันธ์ ของกิริยาทางกาย แต่กิริยาทางจิตของ
ท่านมันไม่มี เมื่อกิริยาจิตไม่มี จะเอาโกรธมาจากไหน ก็เป็นเพียงอาการของ
กายเท่านน้ั เอง ที่ดูเหมอื นทา่ นโกรธ จริงๆ ทา่ นดดุ ้วยความเมตตาตา่ งหาก

อย่างหลวงปมู่ นั่ ถ้าทา่ นไมด่ ุ กอ็ าจจะไมม่ ีพระอรหนั ตม์ าให้เราเหน็ ใหเ้ รากราบ
ไหว้อยู่มากมายหลายองค์เช่นนี้หรอก คนเรามันไม่เห็นตามจริง เห็นท่านดุก็
เข้าใจวา่ ท่านโกรธ ถ้าเหน็ ตามจรงิ ในใจทา่ น จะเหน็ ว่าใจทา่ นไมม่ อี ะไร คอื ไม่มี
อะไรที่จะปรุงแต่งเป็นอารมณ์โน่นนี่น่ันอีก วิสังขารคตัง จิตตัง จิตมันหมด
สภาพท่ีจะปรุงแต่งเป็นอะไรได้อีก ทีน้ี คนโลกๆ หยาบๆ เห็นกิริยาท่านว่า
เหมือนคนมักโกรธ ก็ไม่รู้เรอื่ ง ไปดูถูกดูหม่ินทา่ น นห่ี รือพระสปุ ฏปิ ันโน น่หี รือ
พระปฏิบัติ นี่หรือพระอรหนั ต์ หารู้ไม่วา่ กาลงั สร้างกรรมไม่ร้ตู ัว ถ้าตาหนใิ นใจ
ก็เบา แต่ถ้าเอ่ยวาจา หรือลงมือแสดงท่าทางเหยียดหยาม ก็หนักทีเดียว เห็น
พระ ก็อย่าไปดูภายนอกท่าน

โอวาทธรรมหลวงปู่มน่ั | ๕๗

พระแท้ ท่านจะมคี วามเปน็ ธรรมชาตขิ องท่าน คือธรรมชาติเดิมของขันธ์ หรือ
ท่ีเรียกว่าขันธสันดาน พระสาวก เร่ืองขันธสันดาน มันแก้ไม่ได้ อย่างเช่น
พระสารีบุตร เป็นถึงพระอัครสาวก ดูน่าจะสารวมเรียบร้อยให้สมฐานะท่ี
พระพุทธเจ้าแต่งตั้ง แต่พอเดินเจอท้องร่องก็กระโดดข้ามๆๆ คนเห็นก็ดูถูก
พระอัครสาวกอะไรไม่สารวม ไปฟอ้ งพระพุทธเจ้า พระองค์กบ็ อกว่า มันนิสัย
เดิมๆ ของท่าน (ทางพระเรียกวาสนา) เพราะท่านเกิดเป็นลิงมาหลายชาติ
ของเดิมมันเลยตดิ มา แก้ไขไมไ่ ด้หรอก ตรงกันข้าม ไปเห็นพระพูดจาเรียบรอ้ ย
สารวม จะ๊ ๆ จา๋ ๆ ระวงั จะเป็นอรหนั ตเ์ ก๊ กิรยิ าพระจึงบอกอะไรไม่ได้ ทพี่ อจะ
บอกได้ก็คอื คาสอน เพี้ยนหรือไม่เพี้ยน เพราะคาสอนออกมาจากจิต ถ้าไม่ถึง
จิตไม่ถึงธรรม คาสอนก็จะเพี้ยนไปอีกแบบหนึ่ง เช่น นิพพานแล้วจิตกลืน
หายไปกับอากาศธาตุ อนั นี้เปน็ คาสอนทีเ่ พี้ยนสุดๆ ก็ขอใหร้ ะวังให้จงดี

จริงๆ ข้อธรรมคาสอนที่ยกมาให้แสดงในวันน้ี เหมือนจะไม่เกี่ยวกัน แต่จริงๆ
แล้วเก่ียวกนั เพราะเม่ือผ้ใู ดเข้าถงึ ฐานของธรรมะ จนเกิดเหน็ อริยสัจจ์ของจริง
แล้ว บุคคลน้ันก็จะอยูอ่ ีกฐานะหน่ึง ต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง จากปุถุชน กลาย
มาเป็นอริยชน มีพระโสดาบันเป็นปฐม ทีนี้ คนที่ไม่รู้เร่ือง ไปดูหม่ินดูถูกท่าน
เขา้ เพราะไมเ่ ห็นตามจริงวา่ บดั น้ีบุคคลนน้ั จิตไดข้ า้ มโคตรจากปถุ ุชนไปสู่ความ
เป็นอริยชนแล้ว เห็นเพียงกิริยาภายนอกที่ยังเหมือนคนปรกติทั่วๆ ไป ไป
แสดงอาการดูถูกดูหม่ิน กรรมหนักก็จะตกแก่คนที่ไปกระทาดังว่า อย่างไม่
อาจจะหลีกหนีพ้นได้เลย

๕๘ | โอวาทธรรมหลวงปู่ม่ัน

ขยายความธรรม ในกลุ่มสายธารธรรม เมื่อวันท่ี ๑๗ กนั ยายน ๒๕๖๓ วนั พระ

 ธาตุดนิ ธาตนุ า้ ธาตุลม ธาตไุ ฟ น้เี องทาใหบ้ ุคคลเป็นพระอรหนั ต์

 ให้รู้ นโม นะ น้า โม ดิน (อิ อะ) อิติปิโสฯ อรห เมื่อรูแ้ ล้วความรู้หา
ประมาณมไิ ด้ อะ อิ สาคญั นกั เปน็ คณุ สมบตั ิของพระอรหันตฯ์

ท่านทรงกลด : ธาตุดิน น้า ลม ไฟ นี่เองทาใหค้ นเป็นพระอรหนั ต์ หมายความ
ว่าให้พิจารณากายนี้แยกส่วนออกไป ให้เห็นเป็นธาตุต่างๆ ดังที่เขียนไว้ใน
หนังสือกว่าจะถึงกระแสธรรมและหนังสือเล่มอื่นๆ มากมาย วันก่อนมี
นักปฏิบัติธรรมปฏิบัติดีท่านหนึ่งส่งข้อความมาบอกว่า สงสารเพื่อนจริงๆ ได้
หนังสือของท่านทรงกลดไปครบทุกเล่ม แต่ยังภาวนาไม่เป็น ไม่รู้จะภาวนา
อยา่ งไร ไม่รูจ้ ะพจิ ารณาอสภุ ะอย่างไร คอื ไม่รจู้ ะพิจารณากายอย่างไร

การพิจารณากายให้เป็นอสุภะก็ดี เป็นธาตุดินน้าไฟลมก็ดี มันเรื่องเดียวกัน
นักปฏิบตั ทิ ่ปี ฏิบัตดิ ที า่ นน้ีบอกวา่ ผถู้ ามมีอาวุธครบมอื แล้วแต่ไม่รูจ้ ะใช้อยา่ งไร
มันก็เหมือนกับคนส่วนหนึ่งในกลุ่มธรรมนี้แหละ มีหนังสือทุกเล่ม แต่ไม่เคย
เปิดอ่าน หรืออ่านแล้วก็ไม่เคยนามาใช้ สักแต่อ่านให้มันจบๆ ไป อ่านให้มัน
ผ่านๆ ไป ร่างกายนี้มีแต่ของไม่สะอาด ต้ังแต่ผมขนเล็บฟันหนังไปจนถึง
มันสมอง หรือท่ีเรียกว่าอาการสามสิบสอง หรือเป็นภาษาบาลีว่าเกศา
โลมา นขา ทันตา ตโจ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มังสัง เน้ือ นหารู เอ็นท้ังหลาย
อัฏฐิ กระดูกท้ังหลาย อัฏฐิมิญชัง เยื่อในกระดูก วักกัง ไต หะทะยัง หัวใจ
ยะกะนัง ตับ กิโลมะกัง พังผืด ปิหะกัง ม้าม ปัปผาสัง ปอด อันตัง ไส้ใหญ่
อันตะคุนัง สายรัดไส้หรือลาไส้เล็ก อุทะริยัง อาหารใหม่ กะรีสัง อาหารเก่า
และมัตถะเกมัตถะลุงคัง เย่ือสมอง นี่คือการพิจารณาให้เห็นว่าส่ิงต่างๆ ที่
กล่าวมา นอกจากจะไม่สะอาดด้วยสีสัณฐานกลิ่นที่เกิดท่ีอยู่แล้ว มันก็เป็นแค่

โอวาทธรรมหลวงปู่มน่ั | ๕๙

สักแต่ว่าธาตุ คือธาตุดนิ คาวา่ ธาตุดินหมายถึงสว่ นทเี่ ป็นสว่ นแข็งในร่างกายท่ี
กล่าวมาคือธาตุดิน

ส่วนธาตุน้า จะเร่ิมด้วยปิตตัง น้าดี เสมหัง น้าเสลด ปุพโพ น้าเหลือง โลหิตัง
เลือด เสโท เหง่ือ เมโท น้ามันข้น อัสสุ น้าตา วสา น้ามันเหลว เขโฬ น้าลาย
สิงคานิกา น้ามูก ละสิกา น้ามันไขข้อ มุตตัง น้ามูตร น่ีคือรวมเรียกว่าธาตุน้า
ท่องกันบ้างหรือเปล่า ก่อนนอนสาธยายกนั บ้างไหม ดีกว่าเอาเวลาไปร้องเพลง
ดูหนังซรี ีย์เกาหลี หรือคยุ ไรส้ าระกบั คนโลกๆ ใครทอ่ งได้ พิจารณาได้ ปลายทาง
ก็คือพระนิพพาน นี่เป็นเร่ืองที่สอนซ้าๆ อยู่อย่างน้ี แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่นาพา
จะเรียนลัดไปดบั อวิชชากันเสียทีเดียว เลยโดนอวิชชามันดับมันน็อคเสียทุกราย
ไม่ต้องโทษใครหรอก โทษตัวเองท่ีโง่ ปล่อยใหอ้ วชิ ชามนั หลอกเอาได้

สว่ นธาตไุ ฟในร่างกายกค็ อื ความอบอุ่น คอื ไฟทช่ี ่วยย่อยอาหาร ธาตลุ มก็คือลม
หายใจเข้าออก ลมในทอ้ ง คนเราประกอบด้วยธาตุท้งั สี่นี้ อันน้ีว่าด้วยหยาบๆ
พิจารณาแยกธาตุให้ได้อย่างนี้ ให้ใช้ความคิดไปก่อน พอจิตได้ท่ี มันจะสงบ
ของมันเอง ใครภาวนาอย่างอน่ื มา ถ้าจติ สงบแล้ว ก็ให้เอามาใช้พิจารณากาย
อย่างน้ี จะไปนอนตายอยู่กับพุทโธ หรือการภาวนาอย่างอื่น มันไร้ประโยชน์
ถ้าไม่พิจารณาอย่างน้ี ก็ตายเปล่าทุกรายไป เมื่อพิจารณาเข้าไป จิตสงบ คราว
น้ีมันจะเห็นเป็นธาตุปรากฏข้ึนในจิตจริงๆ ความเป็นสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา
มันก็หมดไป มันสักแต่ว่าธาตุดินน้าลมไฟเท่าน้ัน แล้วจิตมันก็จะถอนออกมา
จากความยึดมนั่ ในกาย ถอนออกมาจากความยึดมนั่ ในความยินดีในกาย ความ
พอใจไม่พอใจ มันจะถอนออกมา ถอนออกจากความจาสัญญาในกาย ใน
ความคิดปรุงแต่งต่างๆ ในตัวรู้หรือวิญญาณท่ีวิ่งรับรู้อยู่ตามทวารต่างๆ ผลก็
คือจิตถอนหลุดพ้นออกจากขันธ์ห้า กลายเป็นวิมุตติจิต วิมุตติธรรม น่ันคือ
อรหัตผลนนั่ เอง

๖๐ | โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น

การพิจารณากายหรือกายคตาสติ จัดเป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐานอยา่ งหนึ่ง
บอกไปในหนังสือแลว้ ว่า การปฏิบัติไม่จาเป็นต้องปฏิบัติทุกฐานของสติปัฏฐานสี่
ฐานใดฐานหน่ึง ท่ีเราถกู จริต พิจารณาแลว้ เกิดปัญญา การรู้แจง้ เหน็ จรงิ ข้ึนใน
จิตก็ใช้ได้เหมือนกันหมด เพราะผลสุดท้ายก็เหมือนกัน น่ันคือความหลุดพ้น
ของจิต แม้จะพิจารณาได้ไมถ่ ึงขนาดจิตถอนออกมาจากความยึดมนั่ ในขันธ์ห้า
ทั้งหมดได้ แค่เห็นกายตามจริงอย่างน้ี ว่าสักแต่ว่าธาตุดินน้าลมไฟ จิตหมด
สงสยั ในกาย มันจะรขู้ องมันเองวา่ หมดสงสยั เมื่อใดอยา่ งไร จะเห็นคนไม่ใชค่ น
เห็นเป็นเพียงธาตุเท่านั้น เวลาใครด่า ก็จะเห็นดินน้าลมไฟมันด่าเราอยู่ คนท่ี
เท่ียวโมโหดินน้าไฟลม ก็มีแต่คนบ้าเท่าน้ัน มันจะรู้ทันอารมณ์ รทู้ ันคนข้ึนมา
เอง ตรงรู้ทันน่ันคือสติ แล้วจิตก็จะเรียนรู้ของมันไปเองตลอดทาง จนถึงพระ
นิพพานในทีส่ ุด ถงึ พระนิพพานกค็ ืออรหัตผล

ดังแสดงมาจะเห็นได้ว่า เร่ิมต้นพิจารณากาย ก็ไปถึงอรหัตผลได้ เพราะมันก็
คือทางที่จะทาให้สติมันโตได้เหมือนกันหมด เมื่อสติโต มรรคก็โต สติกล้า
มรรคก็กล้า เม่ือมรรคกล้า ผลก็คือพระนิพพานอย่างมิต้องสงสัย มรรคผล
นิพพานจงึ เปน็ ครรลองของมันอยูใ่ นตวั เสมอ

โอวาทธรรมหลวงปู่ม่นั | ๖๑

ขยายความธรรม ในกลมุ่ สายธารธรรม เม่ือวนั ที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๓ วันพระ

 เกิดความรู้อยา่ งพิเศษแล้วยอ่ มหาอานิสงสป์ ระมาณไมไ่ ด้

ท่านทรงกลด : ความรู้พิเศษตามความหมายของหลวงปู่ม่ัน นั่นคือ ญาณทัสสนะ
นน่ั เอง หรอื เรียกสนั้ ๆ ว่า "ญาณ" ญาณแปลว่าเคร่อื งรู้ ความรู้ทีอ่ อกมาจากจิต
เช่น ล่วงรู้เหตุการณ์ในอดีตบ้าง ที่เรียกว่าอตีตังสญาณ หรือเหตุการณ์ใน
อนาคตบ้าง เรียกว่า อนาคตังสญาณ แต่ญาณหรือความรู้พิเศษ ใดๆ ก็สู้
อาสวักขยญาณไม่ได้ เพราะเป็นญาณที่รู้ว่ากิเลสดับแล้ว ภพชาตสิ ้ินแลว้ กิจที่
ควรทาเพื่อการน้ีไม่มีอีกแล้ว หรือญาณที่รู้ว่าบรรลุอรหัตผลแล้วน่ันเอง
อานิสงส์ก็จะประมาณมิได้ หมายความไม่สามารถประมาณอานิสงส์แห่งการ
เกดิ ความรพู้ ิเศษดังกล่าวได้ เพราะเป็นไปเพอื่ การส้ินภพสิ้นชาติ ความรู้พิเศษ
มาจากไหน ขอ้ ธรรมท่ียกมาให้สาธยายช่างตรงกับข้อธรรมที่ลงให้อ่านในวันนี้
เหลือเกิน ไม่มีคาว่าบังเอิญนะ ความรพู้ ิเศษทั้งปวงไม่ได้มาจากตารา ไม่ได้มา
จากการจดการจา ไม่ได้มาจากผู้ใดพร่าสอน แต่ความรู้พิเศษดังกล่าวมาจาก
จิตหรอื ใจดวงเดยี ว

อย่างที่หลวงปดู่ ูลย์ อตุโล บอกไว้ ธรรมท้ังปวงย่อมออกมาจากจิต หลวงปู่ม่ัน
ก็บอก พบใจคือพบธรรม ถ้าเราพบใจพบธรรม ก็จะพบความรู้พิเศษของมัน
เอง มากน้อยข้ึนอยู่กับการสั่งสมของแต่ละคนไม่เท่ากัน อย่างเราอ่าน
พระไตรปิฎก พระบางรปู ระลกึ ชาตไิ ด้เพียงเจด็ ชาติบ้าง บางรูประลึกชาติได้
ร้อยชาติ บางรูประลึกชาติได้หมื่นชาติ บางรูปแสนชาติ บางรูประลึกได้นับ
อสงไขย บางรปู บรรลธุ รรม ระลกึ ชาติอะไรไมได้เลยก็มี แต่สิง่ ที่เหมอื นกนั ก็คือ
ญาณทีร่ วู้ า่ บรรลธุ รรมแล้ว

การจะเกิดความรู้พิเศษเบ้ืองต้นต้องรักษาใจให้ได้ก่อน คนโลกๆ ก็จะรู้จักแต่
อารมณ์ หมายเอาอารมณ์วา่ ใจ หมายเอาใจเป็นอารมณ์ หลวงปู่ชาบอก ใจก็ใจ

๖๒ | โอวาทธรรมหลวงปู่มน่ั

อารมณ์ก็อารมณ์ มันคนละอันกัน หรือหลวงตามหาบัวก็บอก จิตหรือใจกับ
ขันธ์ห้า คือ รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ มันแยกกันได้ จะเห็นได้เม่ือ
ลงมือปฏิบัติ หมายความว่านั่งอ่านน่ังจานั่งท่องอยู่ ไม่มีวันจะเห็นได้ ต่อให้
ทอ่ งปฏิจจสมุปบาทจนคล่องแคล่วกไ็ ม่มีวนั จะเห็นตรงนไี้ ด้

ดังน้ัน จึงเป็นไปไม่ไดเ้ ลยท่ีก่อนตายเพียงแต่ได้ฟังปฏิจจสมุปบาทแล้วจะเห็น
ธรรม พบธรรม บรรลุธรรม เป็นเร่ืองลวงโลกทั้งสิ้น แต่กด็ ีกวา่ เปิดเพลงให้ฟัง
ก่อนตาย อย่างน้อยคนตายเม่ือฟังปฏิจจสมุปบาท ก็จะระลึกถึงพระพุทธเจ้า
ระลึกถึงพระธรรม ถ้าไม่เคยทากรรมหนักไว้ จิตก็อาจจะสงบ ตายแล้วไปสู่
สุคติภมู ิได้ คนตายถา้ ไปดี ผวิ หน้าจะอ่มิ เอิบ เพราะเกดิ ปติ ิในขณะจิตที่ตายนั้น
ด้วยอานาจปิติก็จะทาให้ร่างกายผิวพรรณผ่องใสได้ เพราะอานาจปิติจะ
หลั่งสารแห่งความสุขส่งผลต่อร่างกายนั่นเอง แต่ในเร่ืองธรรมะ ก็ยังโง่อยู่
เหมอื นเดิม ไมไ่ ด้บรรลุอะไรหรอก

การจะบรรลุธรรม เห็นธรรม เกิดความรพู้ ิเศษหรอื ญาณ จะต้องเริ่มต้นทรี่ กั ษา
ใจให้ไดก้ ่อน โดยเบ้ืองตน้ จะต้องรกั ษาความรู้สกึ ตัวท่ัวพร้อม ความรู้สกึ กลางๆ
รซู้ ่ือๆ รู้ซ่อื ๆ นะ ไมใ่ ช่รู้เซ่อๆ รู้ซ่ือๆ กบั รู้เซ่อๆ นี่ต่างกันราวฟ้ากับเหว รู้ซื่อๆ
ที่หลวงปู่ทา จารธุ ัมโมสอน หมายถงึ รแู้ บบไม่ปรงุ แต่ง คาว่าซื่อหมายถึงไม่ปรุง
แตง่ ต่อเติม รู้ซือ่ ๆ กบั รู้อยู่กบั ท่ี แบบทีห่ ลวงปู่ดูลย์สอน มันก็อันเดยี วกัน ส่วน
รู้เซ่อๆ ก็คือไม่รู้อะไรเลย คือความเฉย หรืออทกุ ขมสุขเวทนานัน่ เอง ถ้ารู้ซ่อื ๆ
หรือรู้อยู่กับท่ี มันจะเกิดความรู้สึกตัวต่ืนขึ้นมา จึงเรียกว่ารู้ตัวท่ัวพร้อม บาง
คนเกิดมาแล้วแก่ตายไป ยังไม่รู้จักความรู้สึกตัวทั่วพร้อมเลย ความรู้สึกตัว
หรือรูส้ กึ กลางๆ อันนีแ้ หละคือสติ คอื ทางสายกลาง ซ่งึ สอนไปมากมายแลว้

คนโลกๆ หรือใครๆ ที่บอกว่ารู้จักใจ ยังไมร่ ู้จักจริงท้ังน้ัน คนที่รู้จักจักใจจริงมี
แต่พระอริยะเจ้าเท่านั้น เพราะเมื่อเขาสามารถดารงความรู้สึกตัว ความรู้สึก
กลางๆ รู้ซื่อๆ รู้อยู่กับที่ไว้ได้ ขณะจิตน้ัน ใจหรือจิตก็จะอยู่ที่เดียวกับความ

โอวาทธรรมหลวงปู่มน่ั | ๖๓

รสู้ ึกตัว ความรู้สึกกลางๆ รู้ซื่อๆ รู้อยู่กบั ท่ี หรอื สติโดยอัตโนมตั ิ จนเมื่อดารงไว้
ไดน้ านๆ ดว้ ยความเพียรท่ีต่อเน่อื ง เหมือนสายนา้ ที่ไม่ขาดสาย วันหน่งึ จติ หรือ
ใจกับสติก็จะตั้งมั่นเข้าด้วยกัน เกิดสัมมาสมาธิในมรรคมีองค์แปด หรือจะ
เรียกว่ามัคคสมังคีก็ได้ วันนั้นก็จะแยกจิตหรือใจออกจากขันธ์ห้าอารมณ์ได้
คราวนก้ี ็จะเกดิ ความรหู้ รือญาณพเิ ศษขึ้นมาเองว่าอันไหนจิตใจอันไหนอารมณ์
ขันธ์ห้า

คาวา่ ญาณพเิ ศษนไ้ี ม่ใช่คิดเอาเอง หมายเอา ทึกทักเอา อย่างท่ีหลวงปมู่ ั่นบอก
คิดกไ็ มใ่ ช่ หมายเอาก็ไม่ใช่ ญาณกับความคดิ มันคนละเรอื่ งกัน มันเป็นความรู้
ที่ออกมาจากจิตเองโดยไม่ต้องคิด วันใดปฏิบัติไปถึง จะรู้เอง ส้ินสงสัยเอง
ความรู้ท่ีออกมาจากจิตหรือญาณน้ีแหละ มันจะทาลายสังโยชน์ได้ ทาลาย
กิเลสได้ ความคดิ ทาลายสังโยชนไ์ ม่ได้ ต่อใหค้ ิดพิจารณาจนลงแกใ่ จแค่ไหน ก็
ทาลายสังโยชน์ไม่ได้ วันน้ีลงแก่ใจ พรุ่งน้ีก็ไม่ลงแล้ว สงสัยใหม่อีกแล้ว ถ้าลง
จริง ความสงสัยหรือวิจิกิจฉาจะหายไป เพราะวิจิกิจฉาเป็นหน่ึงในสังโยชน์
เบอ้ื งต้น

อย่างวันกอ่ น เอาเร่ืองคนน่ังเผารา่ งกายตนเองอยู่มาเล่าให้ฟงั ว่าทาไมไม่ใชท่ าง
เพราะเข้าไปเล่น ไปปรงุ แตง่ ท้ังสน้ิ ไม่มีตรงไหนท่ีเรียกวา่ ญาณอะไรเลย วันน้เี ผา
พรุ่งน้ีก็ปรากฏขน้ึ มาอีก ก็ต้องเผาอีก การไปกาหนดนงั่ เผา กับการเห็นตามจริง
คนละเรื่องกัน เหน็ ตามจริงได้จะต้องเกิดสมั มาสมาธิก่อน หมายความจิตตอ้ งต้ัง
มั่นให้ได้ก่อน คาว่าจิตตั้งม่ันหมายถึงจิตแยกออกจากรูปนามขันธ์ห้าอารมณ์
ออกมาตง้ั มน่ั ไมใ่ ชเ่ ขา้ ไปเลน่ คลุกวงในแบบน้นั เข้าไปเลน่ อยู่ จะออกมาต้งั ม่นั ได้
อย่างไร พอจิตตง้ั ม่ัน จึงจะเห็นตามจริง สมาหิโต ยถาภูตัง ปชานาติ เมื่อจิตตั้ง
มนั่ ก็จะเหน็ รูปนามตามจริง ตรงนแี้ หละจะเกดิ ญาณหรือความรูพ้ ิเศษข้นึ มาล่ะ
รแู้ ลว้ ร้ตู ลอดไป ไมก่ ลับกลอกไปมา สังโยชน์เบอ้ื งตน้ คือสักกายทฏิ ฐิถกู ทาลาย
ตรงน้ี น่ีคือญาณหรือความรู้พิเศษท่ีสาคัญยิ่งกว่าญาณอ่ืน เพราะเป็นญาณ
นาไปส่กู ารสนิ้ ภพสิ้นชาติ เม่ือเกิดญาณตรงนี้แล้ว สังโยชนเ์ บื้องต้นถูกทาลาย

๖๔ | โอวาทธรรมหลวงปู่ม่ัน

แลว้ เบอื้ งหนา้ ก็คือพระนิพพานอย่างไมม่ ีเป็นทางอืน่ ไปได้ ญาณนแ้ี หละยอ่ มมี
อานสิ งส์ไม่มีประมาณสิน้ สดุ เพราะไมม่ ีอะไรประมาณได้เทา่ กบั พระนพิ พาน

บางคนก็สงสัยว่าแล้วการพิจารณากาย จะทาให้เกิดญาณได้อย่างไร คาตอบ
งา่ ยๆ กค็ ือเม่อื เราพจิ ารณากายในแบบอยา่ งทพ่ี ระพุทธเจ้าสอน จิตหรอื ใจก็จะ
เบือ่ หน่ายในกาย ผละออกมาจากความยึดม่ันในกาย มันผละออกมานะ ไม่ใช่
เข้าไปคลุกวงในอยู่ ผละออกความความยึดมั่นในกาย ในขณะจิตเดียวกับท่ี
ผละออกมาจากความยดึ ม่ันในความยนิ ดใี นกาย (นาม) แล้วมนั ก็มาต้ังมั่น แยก
จิตหรือใจออกจากรูปนามได้เช่นกัน พบจิตพบใจพบธรรมเหมือนกัน การ
รักษาใจไว้กับสติก็ดี การระลึกรู้อยู่ในกายก็ดี เป็นไปเพื่อการพบใจพบธรรม
เกิดญาณหยั่งรู้ในรูปนามขันธ์ห้า ส่วนญาณอ่ืนๆ เป็นเพียงผลพลอยได้
ไม่ได้เป็นไปเพ่ือการสิ้นสังโยชน์ ญาณที่เห็นรูปนามตามจริงเรียกย่อๆ ว่า
ยถาภูตญาณทัสสนะ

สว่ นญาณท่ีหยัง่ รู้อนาคต อดีต หรือวาระจิตคน ไมไ่ ด้เป็นไปเพ่ือพระนิพพาน
ดังน้ันพระมากมายที่ได้ฌาน แต่ยังไม่บรรลุธรรม (เรียกว่าฌานโลกีย์) จึง
สามารถทีจ่ ะมญี าณแบบที่วา่ ได้ แต่พอพูดถงึ ธรรมะ พูดถึงพระนิพพาน พูดถึง
จติ ใจที่แทจ้ รงิ ก็จะพูดหรอื สอนเพี้ยนๆ แปลกๆ ใหเ้ หน็ อยู่เสมอ แต่ถ้าไดญ้ าณ
ทเี่ ห็นธรรม จะสอนตรง เรียกว่าเป็นอชุ ุปฏิปนั โน คือปฏิบตั ิตรง สอนตรง เป็น
สงฆ์ท่ีสมควรกราบไหว้ได้ เพราะเป็นอริยะสงฆ์ที่แท้จริง พระท่ีสอนผิดๆ คือ
ผิดทางปฏิบัติ ไม่ตรงต่อพระนิพพาน ยังไม่เป็นอุชุปฏิปันโน ตามหมายความ
ของคาว่าสงฆท์ พ่ี ระพทุ ธเจา้ บญั ญตั ิ เรียกว่ายังเปน็ สมมุติสงฆ์อยู่ แมจ้ ะไดฌ้ าน
มีฤทธ์ิมากมาย กย็ ังได้ชอ่ื ว่าสมมตุ ิสงฆ์อยู่ ลองไปดูบทสวดมนต์ก็ได้ ทีว่ า่ บรุ ุษมี
สค่ี ู่ นบั เรียงบรุ ุษไดแ้ ปด นนั่ แหละคือสงฆท์ สี่ มควรกราบไหว้อย่างแท้จริง

โอวาทธรรมหลวงปู่มัน่ | ๖๕

ขยายความธรรม ในกลุ่มสายธารธรรม เมือ่ วนั ท่ี ๒๘ กนั ยายน ๒๕๖๓

 พจิ ารณาค้นกาย ตรวจกายถูกดีแล้ว ไม่เป็นปญั หาข้ึนมาได้ ถ้าไมถ่ ูก
ยอ่ มเปน็ ปญั หาขึน้ มา

 ใหม้ า้ งกายเปน็ นิจนนั้ ดี อย่าให้มันหมุ้

 ภายนอกใหล้ ะเอียดเสยี ก่อน แลว้ ภายในจึงละเอยี ด

 สกลกายอันเดียวนี้แหละเปน็ ตัวธรรม

ท่านทรงกลด : เป็นเรื่องเดียวกัน จะขอขยายความในคราวเดียวกัน คาว่าค้น
กาย ก็คือกายคตาสติดงั ท่ีแสดงไปมากมายแล้วน่ันแหละ ม้างกายก็คอื รื้อกาย
ออก แยกส่วนของกายออกเป็นดินเป็นน้า ส่วนท่ีแข็ง ส่วนน้ันก็เป็นดิน ส่วน
ไหนเหลวสว่ นน้ันก็เปน็ น้า เป็นธาตดุ นิ ธาตุน้า รื้อออกมาเป็นผมขนเล็บฟันหนัง
ไปจนถึงเยื่อมันสมอง รวมแล้วเรยี กวา่ อาการสามสบิ สอง

พอม้างออก รื้อออกมา ก็ไม่มีอะไรหุ้มกายอีกต่อไป ก็จะเห็นคนไมใ่ ช่คน เป็น
เพียงธาตทุ ั้งส่ีมาประชุมกันอยู่เท่านัน้ เม่ือไมม่ ีอะไรหุ้ม ความเป็นคน ตัวตนเรา
เขาก็หมดไป เมื่อตรวจกาย พิจารณากายดีแล้ว จิตก็จะสงบขนึ้ มา มนั สงบได้
จรงิ ๆ เพราะเคยทาเหน็ ผลมาแลว้

พิจารณากายให้เห็นเป็นสิ่งปฏิกูล เป็นของไม่เทย่ี งต้องเส่ือมต้องพงั เป็นเพียง
ธาตุ พิจารณากลบั ไปกลับมาอย่างนี้ เรียกว่าตรวจกายถูกดีแล้ว จิตจะสงบ ถ้า
พิจารณาไม่ถกู จิตย่อมเป็นปญั หาข้ึนมา คือไม่สงบ ท่จี ติ สงบเพราะมนั เหน็ กาย
ตามความเป็นจรงิ กายคือภายนอก ถา้ พจิ ารณาเห็นละเอยี ดลงไปเปน็ สักแตว่ ่า
ธาตุ จิตคือภายในก็จะละเอียดระงับขึ้นมา จิตมันจะเบา เพราะเห็นความ

๖๖ | โอวาทธรรมหลวงปู่มนั่

ละเอียดของกาย ไม่ยึดม่ันในกาย ท่ีมันหนักก็เพราะอานาจความยึดมั่น
อานาจอุปาทานในกาย ที่หลงรักหลงชังกันอยู่ทุกวันนี้ มันไปติดที่เปลือกคือ
หนังหุ้มทั้งน้ันแหละ ลองร้ือหนังออก จะเห็นว่าตนเองมันโง่แท้ เที่ยวหลงรัก
หลงชังกองข้ีกองเย่ียวกองเลือดกองเนื้ออยู่ มันหาตัวตนอะไรไดเ้ สยี ท่ีไหน ถ้า
ค้นคว้าในกายจนเห็นกายไมม่ อี ะไร จิตก็จะถอนออกมาจากความยึดมัน่ ตรงท่ี
จิตมันถอนมนั ผละออกมาตั้งมั่นนั่นแหละ ตรงนั้นคือธรรม กายคตาสตินาไปสู่
การพบธรรม เหน็ ธรรมได้ เพราะเมื่อเบือ่ หนา่ ยในกายแลว้ ก็ย่อมเบ่ือหนา่ ยใน
ความยนิ ดีในกายไปดว้ ย จิตจะผละจากรูปจากนามออกมาให้เห็น พบจิตก็คือ
พบธรรม ท่านจงึ ว่าสกลกายอนั เดียวนแี้ หละเป็นตวั ธรรม

โอวาทธรรมหลวงปู่มนั่ | ๖๗

ขยายความธรรม ในกล่มุ สายธารธรรม เม่อื วันท่ี ๒๙ กันยายน ๒๕๖๓

 สัตว์เกิดในท้องมารดาทุกข์แสน กามเป็นของต่าช้า เป็นของท่ีนา
ทกุ ขเ์ ดือดรอ้ นฯ

 พระโมคคัลลาน์ สารบี ุตร ล้วนแต่เกดิ ในตระกูลมจิ ฉาทฐิ ิ โมคคัลลาน์
สง่ั สอนแมไ่ มไ่ ด้เลยทีเดียวฯ

 พระโมคคัลลาน์ สารีบตุ ร พระองคเ์ กดิ ในตระกลู มิจฉาทฐิ ิ ดุจดอกบัว
ย่อมเกิดในตมฉนั ใด

ท่านทรงกลด : สัตว์ท่ีเกิดมาในท้องมารดาน้ันทุกข์แสนสาหัส เพราะต้องนอน
ขดตัวอยู่ในท้องที่แคบๆ อาศัยอาหารจากสายรก มารดาเป็นผู้ให้อาหารอยู่
ตลอดที่ยังอยู่ในครรภ์ ขณะเกิดกท็ ุกข์แสนสาหัส ทเี่ คยแสดงไปว่าการเกิดเป็น
ทุกข์ เพราะขณะเกดิ หากเปน็ การเกดิ แบบธรรมชาติสมัยก่อน มารดาน้ันทกุ ข์
แสนสาหัส บางคนก็เบ่งลูกขาดใจตายไปก็มี สว่ นทารกทเ่ี กิดก็ทุกข์ทรมานมาก
ร้องลัน่ ขณะท่ีเกดิ ใบหนา้ บดิ เหยเกด้วยความเจบ็ ปวด ไม่มเี ดก็ ทารกท่ีไหนเกิด
มาแล้วยิ้มรา่ ออกมาหรอก น่แี หละทา่ นวา่ การเกิดมนั เปน็ ทุกข์

เหตุที่หลวงปู่มั่นกล่าวว่ากามเป็นของท่ีต่าช้า ก็เพราะเหตุมีกาม จึงมีการเกิด
ถ้าไมม่ ีกาม ก็ไม่มีการเกิด เมอื่ เกดิ มาแล้วกต็ ้องทกุ ข์ ต้องแก่ ต้องเจบ็ ตอ้ งตาย
อยา่ งทุกวันนี้ ก็มโี รคระบาดโควิด ๑๙ ไมร่ ้วู า่ จะตดิ โรครา้ ยตัวนี้เข้าวนั ไหน อยู่
ด้วยความหวาดระแวง แล้วยังจะบอกว่าเกิดมาไม่ทุกข์อีกหรือ ความกลัว
ความหวาดระแวง อยู่ไม่เป็นสุขน่ันแหละ คือตัวทุกข์แล้ว เพราะมีกาม จึงมี
เกิด พอเกิดแล้ว ก็นาทุกข์เดือดร้อนมาให้สารพัด ต้องต่อสู้ด้ินรน แก่งแย่ง
ต้ังแต่เกิดไปจนตาย เห็นแต่ทุกข์ทั้งนั้น มีแต่คนทางโลก คนหลงโลกเทา่ นน้ั ท่ี
ไมเ่ หน็ ทุกข์

๖๘ | โอวาทธรรมหลวงปู่ม่ัน

คนที่เห็นว่าชีวิตน้ีคือทุกข์ จัดว่าเป็นคนมีบุญวาสนาทางธรรม แบบพระ
โมคคัลลานะ กับพระสารีบุตร ท้ังสองคนไปนั่งดูการละเล่นกันตามปรกติ
วันหนึ่ง มันถึงเวลาของมันขึ้นมา ต่างก็มองหน้ากัน แล้วบอกว่าเรามาน่ังดู
อะไรกันอยู่นี่ ควรจะแสวงหาโมกขธรรม ทางพน้ ทุกข์กันดีกว่า เหมือนคนโลก
ทนี่ ่ังดูหนังดูละคร ดซู ีรียห์ นังเกาหลีแลว้ ติด จะมใี ครสกั กคี่ นท่ีจะเป็นแบบพระ
โมคคัลลานะ พระสารีบุตร ที่ดูแล้ว รู้สึกเบ่ือหน่าย ควรจะแสวงหาสุขท่ียั่งยืน
อย่างหนังละคร พอเรื่องน้ีจบ เรื่องใหม่ก็มา คอยตามดูเรื่อยไป ไม่รจู้ ักจบ ว่ิง
ตามหาความสุขจอมปลอมกันอยู่ จนอายุห้าสิบหกสิบเจ็ดสิบก็ยังว่ิงตามหา
ความสุขจอมปลอมกันอยู่ ต่างกับพระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร พอรู้สึก
ขึ้นมาเท่านั้น ก็ไปกราบลามารดาแสวงหาโมกขธรรม ท้ังสองได้ไปสานัก
สญั ชัยปริพาชก แต่ก็ร้สู กึ วา่ ยังไมใ่ ช่ ตา่ งก็ยังคงแสวงหากันอยู่ ได้ขา่ วว่าท่ีไหน
มีคนบรรลุธรรม กไ็ ปหากนั แต่ก็ยงั ไมพ่ บอยดู่ ี

ทง้ั สองตกลงกันวา่ จะแยกกนั ไปหาผรู้ ู้ ใครได้บรรลุธรรมก่อน กจ็ งมาบอกอีก
ฝ่ายหนึ่ง จนวันหน่ึง พระสารีบุตรก็ได้มาพบพระอัสสชิ หลังจากติดตามดูสัก
พักหนึ่ง ก็เกิดความเล่ือมใสในกริยาของพระอัสสชิ ท่านจึงถามว่าใครเป็น
อาจารยท์ ่าน พระอัสสชิตอบว่าพระสมณโคดมเป็นศาสดาของเรา แลว้ ศาสดา
ของท่านสอนอย่างไรเล่า ท่านถามพระอัสสชิ พระอสั สชกิ ็ถ่อมตน บอกว่าเรา
เพ่ิงบวชใหม่ พอจะแสดงธรรมได้แต่เพียงย่อๆ เท่านัน้ พระอัสสชแิ สดงยอ่ ท่ีสุด
ว่า ธรรมท้ังปวงย่อมไหลมาแต่เหตุ พระพุทธเจ้าแสดงเหตุและการดับแห่ง
ธรรมท้ังปวงนั้น เพียงแค่น้ีพระสารีบุตรก็บรรลุโสดาปัตติผล แล้วท่านก็ร้อง
ห้ามไม่ให้พระอัสสชิแสดงธรรมต่อ เพราะเกรงจะผิดสัญญาที่ให้ไว้กับพระ
โมคคลั ลานะ บอกขอกลับไปบอกเพอ่ื นก่อน แลว้ จะตามไปบวชกับพระศาสดา

ทาไมแสดงแค่นั้น พระสารีบุตรจึงบรรลุโสดาบันได้โดยง่าย แม้เม่ือพระสารีบุตร
นาธรรมดังกล่าวไปแสดงแก่พระโมคคัลลานะๆ กบ็ รรลเุ ช่นกัน แต่ตอนทแี่ สดง

โอวาทธรรมหลวงปู่มน่ั | ๖๙

ให้พระโมคคัลลานะฟัง ท่านไม่ได้แสดงย่อแบบที่ได้ฟังมา เร่ืองนี้ไม่มีใน
พระไตรปิฎกหรอก หาฟงั หาอ่านไดท้ ีน่ เ่ี ทา่ น้ัน

ตอนพระสารีบุตรฟังธรรมโดยย่อ ธรรมท้ังปวงย่อมไหลมาแต่เหตุ แค่น้ีท่านก็
บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว เพราะท่านมีปัญญามาก มากถึงขนาดเป็นรองจาก
พระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้น ท่านสงสัยมาตลอดว่าเจ้าอารมณ์ความรู้สึกนึก
คดิ ที่มันแลน่ อย่ใู นหัวของท่านมาจากไหน พวกนับถือพระเจ้า พราหมณ์ตา่ งๆ
ก็บอกว่าพระเจา้ พระพรหมเปน็ ผู้สร้างให้ แต่พระสารีบุตรก็ไม่เช่ือ ยังสงสัยอยู่
ต่อเมื่อได้ฟังว่าอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดหรือธรรมารมณ์ท้ังปวง มันไหลมาแต่
เหตุ เพราะมีเหตุจึงมีส่ิงเหล่านี้ตามมา เหตุก็คือการปรุงแต่ง การปรุงแต่งกับ
เหตุอันเดยี วกนั เมื่อมปี รงุ แตง่ กต็ ้องมีเสอ่ื มดบั

รูปนามขันธ์ห้าอารมณ์ต่างๆ ที่พระสารีบุตรสงสัยมาตลอดว่ามันมาจากไหน
พอมีพระอัสสชิมาบอกว่า มันมาจากการเหตุคือการปรุงแต่งนะ ถ้าไม่มีปรุง
แต่ง มันก็ไม่มีเหตุ ไม่ปรุงแต่ง ก็ไม่เกิดธรรมคือรูปนามอารมณ์ต่างๆ ข้ึนมา
ขณะจิตน้ัน จิตท่านหยุดปรุงแต่ง หรือออกจากการปรุงแต่ง จิตเดิมสลัด
ออกมาจากการปรุงแต่ง ต้องหยุดปรุงแต่ง จิตเดิมจึงจะสลัดตัวออกมาต้ังม่ัน
ให้เห็น พระสารีบุตรเกิดสภาวธรรมคือจิตท่านตั้งม่ันข้ึนมาในขณะน้ัน ที่จิต
ทา่ นต้ังมัน่ ได้ เพราะจิตท่านไมป่ รุงแต่ง จิตท่านหยดุ การปรงุ แต่ง ออกจากส่งิ ที่
ปรุงแต่ง กจ็ ะพบส่ิงที่ไม่ปรุงแต่ง เรียกว่าดับเหตุ หยดุ เหตุในขณะจิตนั้นได้ แต่
ยังหยุดได้ไม่จริง แต่ขณะจิตน้ัน จิตพระสารีบุตรก็ข้ามโคตรมาสู่จิตอริยชน
แล้ว จิตสลัดจากอุปาทานออกมาต้ังม่ัน พบจิตพบธรรม เห็นรูปนามตามจริง
ว่าสักแต่ไหลออกมาจากเหตุคือจากจิตที่ปรุงแต่งขึ้นมาทั้งส้ิน และนี่คือ
ขอ้ ความทพี่ ระสารบี ุตรนาไปขยายให้พระโมคคลั ลานะฟัง

๗๐ | โอวาทธรรมหลวงปู่มัน่

ถ้าพระโมคคัลลานะได้ฟังธรรมฉบับย่อท่ีพระอัสสชิแสดงให้พระสารีบุตรฟัง
ทา่ นไม่อาจจะบรรลธุ รรมได้ เพราะปญั ญาทา่ นไม่เท่าปัญญาของพระสารีบุตร
พระสารีบุตรจึงต้องแสดงให้พิสดารคือแจกแจงให้ละเอียดย่ิงขึ้น ขณะที่พระ
สารีบุตรแสดงธรรมให้พระโมคคัลลานะฟัง ขณะน้ันท่านบรรลุโสดาบันแล้ว
เห็นครรลองของพระนิพพานแล้ว ผู้ที่มีปัญญามาก พอบรรลุโสดาบัน ก็
สามารถแสดงธรรมได้ลึกซึ้งวิจติ รกว่าพระโสดาบนั ท่ัวไป พระพุทธเจ้าจึงไว้วาง
พระราชหฤทยั พระสารีบุตรใหแ้ สดงธรรมแทนพระองคอ์ ยบู่ ่อยครง้ั ทเี ดยี ว

หลังจากทง้ั สองบรรลุโสดาบัน ต่างก็ไมล่ ืมครูบาอาจารย์คอื สัญชัยปริพาชก จึง
ไปชักชวนสัญชัยปริพาชกไปกราบพระพุทธเจ้า แต่ด้วยทิฏฐิมานะ สัญชัยไม่
ยอมไป กลบั ถามท้ังสองว่า โลกน้ีมคี นโงห่ รือคนฉลาดมากกวา่ กัน ท้งั สองตอบ
ว่าคนโง่ย่อมมากกวา่ คนฉลาด สัญชัยจงึ บอกว่า น่ันแหละคนฉลาดย่อมไปหา
พระพุทธเจ้า ส่วนคนโง่ท่มี ีอยมู่ ากกว่าจักมาหาเรา ลาภสักการะก็จะบงั เกดิ แก่
เราเป็นจานวนมาก โลกปัจจุบันก็เช่นกัน มีคนโง่มากกว่าคนฉลาดมากเหลือ
คณานับ ย่ิงความฉลาดในทางธรรม หาได้ยากย่ิงนัก เราจึงเห็นคนโง่เที่ยวไป
สานักโน่นน่ีน่ัน ไปหาพระอาจารย์รูปนั้นรูปนี้ โดยไม่รู้เลยว่าคาสอนท่ีพระ
รปู น้นั รูปน้สี อนมันผิดจากพระธรรมวินยั อยา่ งล่อแหลมเป็นอยา่ งย่งิ

อย่างวันน้ีมีศิษย์คนหนึ่ง ส่งคาสอนของพระป่ารูปหนึ่งมาให้อ่าน ตอนแรก
เหมือนจะถูก แต่พอตอนหลังถึงคาว่า สุดท้ายกายกับจิตก็มารวมกัน อันนี้มัน
ผิดจนไม่รู้จะผิดอย่างไร ศิษย์คนน้ีก็เก่ง รู้ว่าคาสอนอันน้ีไม่ถูกทาง ก็โมทนา
สาธุกบั เขาด้วยที่มปี ญั ญาเหน็ ชอบ แยกสง่ิ ที่ผดิ จากถูกได้ เราปฏิบัติก็เพ่ือชาระ
จติ ให้บริสุทธ์ิ อันเป็นหวั ใจของพระพุทธศาสนา ไม่ได้ปฏิบัติเพื่อให้จิตมารวม
กบั กาย น่ีแสดงว่ายังแยกจิตออกจากขันธ์อะไรไมไ่ ด้เลย พระรูปนี้ก็มีช่ือเสียง
อยู่ มีลกู ศษิ ย์มากมาย เป็นพระในพุทธศาสนา ไม่ใช่ว่าจะสอนถูกไปทุกรูป ถ้า
ยังไม่เห็นธรรมแบบพระสารีบุตร ไม่มีทางจะสอนถูกได้เลย มีแต่ชักพาคนไป

โอวาทธรรมหลวงปู่มัน่ | ๗๑

หลงทางเท่าน้ันเอง ซ่ึงก็มีจานวนมาก หลงแล้วหลงเลย กู่เท่าไรก็ไม่กลับ หา
ยากที่จะมีปัญญาเหมือนคนในกลุ่มธรรมกลุ่มนี้ ทแี่ สดงด่าๆ ไป แล้วออกจาก
กลุ่มไป นั้นก็คือพวกท่ียังหลงอยู่ หลงทางอยู่ พอแสดงสิ่งที่ถูกให้ก็ไม่พอใจ
ขาดปัญญาทางธรรมที่จะพินจิ วา่ อนั ไหนถูกอนั ไหนผดิ

จริงๆ คาสอนต่างๆ ลองไปเทียบเคียงกับหลวงปู่ชา หลวงปู่มั่น หลวงปู่ดูลย์
พระอรหันต์แท้ทั้งหลาย ก็จะลงรอยเดียวกัน ท่ีผิดเพี้ยน บางทีก็เกิดจากการ
บันทึกธรรมของพระใกล้ชิดที่ยังไม่บรรลุธรรม อา่ นก็ร้ทู ันทีว่า อนั น้ีบันทึกผิด
มาแน่ๆ มันรู้ออกมาเอง ไมร่ เู้ หมอื นกันวา่ รไู้ ดอ้ ยา่ งไร

อย่างพระสารบี ุตร พระโมคคัลลานะ พอบรรลโุ สดาบนั ก็เกดิ ญาณคอื ความรู้ท่ี
ตัดวิจิกิจฉาขน้ึ มาในขณะจิตน้ัน ท่านจงึ ไม่สงสัยเหมือนกับท่ีเคยไปหาอาจารย์
คนนนั้ คนน้ีท่ีเขาบอกบรรลุธรรม พอไปฟัง กลับมากย็ ังสงสยั อีก ความสงสยั ไม่
มีวันหมด แต่พอบรรลุโสดาบัน สักกายทิฏฐิเอย วิจิกิจฉาคือตัวสงสัยเอง มัน
ถูกทาลายลงสนิ้ แลว้ มันไม่สงสัยเหมือนเมอ่ื ก่อน เพราะเกิดญาณทสั สนะเห็น
ตามจริงในรูปนามแล้ว ท่านก็หมดสงสัยในรูปนามขันธ์ห้าว่ามันมาจากไหน
เพราะเห็นประจักษ์แจ้งต่อใจแล้วว่า มันมาจากจิตนี้เอง จะเรียกว่าท่าน
เหน็ ปฏิจจสมปุ บาทกไ็ ด้

ถา้ เหน็ ธรรม (ชนั้ โสดาบนั ) จะเห็นเลยว่ารปู นามมันไหลออกไปจากจติ มนั เห็น
อย่างนั้นจริงๆ มนั เห็นอยา่ งนั้นจริงๆ ที่พระอัสสชิบอกว่าธรรมท้ังปวงย่อมไหล
มาแต่เหตุ อ่านตั้งแต่ชั้นประถมมัธยม จาได้ว่าท่านสอนพระสารีบุตรอย่างนี้
ไม่รู้หรอกว่า คาวา่ ไหล มนั ไหลอย่างไรไม่รู้หรอกวา่ คาว่าไหล มันไหลอย่างไร
พอเห็นเข้าจริง เออ มันไหลจริงๆ ท่านจึงใช้คาว่ามันไหลมาแต่เหตุ เหตุก็คือ
จติ ทปี่ รงุ แต่ง เรากส็ ิ้นสงสยั ไปเหมือนกับพระสารีบุตรนั่นแหละ

๗๒ | โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น

พระสารีบุตรก็ดี พระโมคคัลลานะก็ดี ก่อนท่ีจะมายังสานักพระพุทธเจ้า
ท่านก็เกิดในตระกูลพราหมณ์ เป็นมหาเศรษฐี แต่มีความเห็นผิด จึงเรียกว่า
เกิดในตระกูลมิจฉาทิฏฐิ เห็นว่าทุกอย่างเกิดจากการดลบันดาลของพรหม
ของพระผู้เป็นเจ้า แต่จริงๆ ทุกอย่างเกิดจากเหตุท้ังส้ิน ไม่มีใครดลบันดาล
อย่างนั้นอย่างน้ีได้ ตระกูลนอกพระพุทธศาสนา จึงเรียกว่าตระกูลมิจฉาทิฏฐิ
แต่ถึงแม้ท่านท้ังสองเกิดในตระกูลมิจฉาทิฏฐิ ดุจดอกบัวเกิดในตม แต่ท่านก็
หาทางโผลข่ ึ้นมาเหนือน้าจนได้

ส่วนมารดาของท้ังสองท่าน เป็นมิจฉาทิฏฐิด้วยกันท้ังคู่ แต่ชะตากรรมกลับ
ต่างกันราวฟ้ากับเหว กล่าวคือมารดาของพระโมคคัลลานะ มีจิตอกุศลใน
พุทธศาสนามาก พระโมคคลั ลานะไม่สามารถโปรดได้ ต่อมาก็ไดต้ ายลง พระ
โมคคลั ลานะจึงใช้ฤทธติ์ รวจดูวา่ ไปอย่ทู ่ีไหน กป็ รากฏวา่ ไปตกนรกหมกไหม้อยู่
ท่านก็ใช้ฤทธ์ิดับไฟนรก ไปโปรดมารดา มารดาผอมหิวโหย เหลือแต่หนังติด
กระดูก ถูกไฟนรกเผาผลาญตลอดเวลา พอดับไฟได้ พระโมคคัลลานะก็ยื่น
บาตรส่งอาหารให้ แต่นางไม่สามารถกินอะไรได้ ด้วยอานาจบาปกรรมหนัก
พระโมคคัลลานะก็กลับมาหาพระพุทธเจ้าๆ แนะว่าให้ทาบุญอาหาร ผลไม้
ดอกไม้ธูปเทียนแก่หมสู่ งฆท์ ี่เป็นพระอรหันต์ท่ีจะมาประชุมกันในเวลาอันใกล้
น้ัน แลว้ อุทิศมหาบุญน้ันให้มารดา นัน่ แหละจงึ โปรดได้

ส่วนมารดาของพระสารีบุตรมีบุญมากกว่านัก เพราะก่อนท่ีพระสารีบุตรจะ
นิพพาน ก็ลองย่องๆ ไปโปรดมารดาดู มารดาในขณะนั้นโกรธพระสารีบุตร
มาก เพราะนอกจากตนจะทิ้งครอบครัว ทิ้งทรัพย์สมบัติไปบวช ไม่มีใครดูแล
ทรัพย์สมบัติมหาศาลของตระกูล ยังพาญาติพี่น้องออกบวชไปหลายคน พอ
เห็นพระสารบี ุตรกลับมาหาตน ก็นึกดใี จว่าสงสัยจะมาสกึ ตอนแก่ กลับมาดูแล
ทรัพย์สมบัติกระมัง ตอนนั้น พระน้องชายคือพระจุนทะก็ติดตามมาด้วย
ขณะน้ันใกล้จะถึงวาระสุดท้ายของพระสารีบุตรแล้ว เพราะอาการอาพาธ

โอวาทธรรมหลวงปู่มัน่ | ๗๓

กาเริบหนักมาก เลอื ดไหลออกจากปาก ไม่ยอมหยุด แต่เพราะประสงค์จะตอบ
แทนค่านา้ นมเปน็ ครั้งสุดทา้ ยในชวี ติ ในชีวิตจรงิ ๆ เพราะท่านจะไม่กลบั มาเกิด
อีกช่ัวอนันตกาล ท่านจึงแข็งใจไม่ยอมนิพพานง่ายๆ เพราะยังไม่ได้โปรด
มารดา

ขณะน้นั มารดาของทา่ น แม้จะไมพ่ อใจการบวชของพระสารบี ุตร แต่กอ็ ดเป็น
ห่วงลูกไม่ได้ แอบเดินเข้าไปดูท่ีห้องนอนเดิมที่พระสารีบุตรอยู่ตอนท่ียังไม่ได้
ออกบวช แล้วมารดาของพระสารีบุตรก็เห็นเทวดา เห็นพรหมมากราบพระ
สารีบุตรกันมากมาย ก็สงสัยว่าพวกเหล่าน้ันเป็นใคร มาทีก็สว่างไปท้ังบ้าน
แลว้ ก็จากไป สงสยั ว่าคนเหลา่ น้นั เป็นใครมากราบลูกเรา กราบแลว้ ก็ไป กราบ
แล้วก็ไป อดสงสัยไม่ได้ จึงเดินเข้าถามว่า เห็นมีใครมาเย่ียม เขาเหล่าน้ันเป็น
ใคร พระสารีบตุ รกบ็ อกวา่ เป็นท้าวมหาราช ท้าวสักกะ ทา้ วมหาพรหม นางก็
เกดิ ปติ ิข้นึ วา่ เทวดา พรหมเหล่าน้ัน ต่างเปน็ ใหญ่ แต่กลับมากราบไหวบ้ ุตรเรา
บุตรเรามีอานุภาพถึงเพียงนี้เชียวหรือ แล้วจิตนางท่ีเคยดูหมิ่นพระพุทธเจ้าก็
พลิกขึ้นมาว่า ขนาดบุตรเราท่ีเป็นเพียงพระสาวกยังมีอานุภาพเพียงน้ี แล้ว
พระพุทธเจ้าจะมีอานุภาพขนาดไหน จิตนางเกิดปิติอย่างที่ไม่เคยปรากฏมา
ก่อนเลยในชีวิต พระสารีบุตรเห็นสีหน้านาง ก็รู้ว่าความคิดนางได้เปลี่ยนไป
แลว้ จากเกลยี ดชงั กลายเปน็ ศรทั ธา

ท่านจึงใช้โอกาสครั้งสุดท้ายในชีวิตแห่งวัฏสงสาร แสดงธรรมให้มารดาฟัง
จบพระธรรมเทศนา มารดาของท่านก็บรรลุโสดาปัตติผล ขณะจิตที่บรรลุ
นางอุทานว่า ทาไมเจ้าจึงปล่อยเวลาล่วงเลยมาถึงป่านน้ี ทาไมเพิ่งมาแสดง
ธรรมให้แม่ฟัง ทาไมเพิ่งทาให้แม่ลิ้มรสกระแสธรรม กระแสพระนิพพานเล่า
พระสารีบุตรทราบว่ามารดาตนบรรลุโสดาปัตติผลแล้ว ก็บอกกับตนเองว่า
บัดน้ี เราได้ทดแทนค่าน้านมให้แก่แม่เราแล้ว ขณะน้ันใกล้สว่าง ท่านให้
พระจุนทะเรียกประชุมสงฆ์ กล่าวขอขมาสงฆ์ และให้สงฆ์ขอขมาท่าน ท่าน

๗๔ | โอวาทธรรมหลวงปู่มน่ั

รับขมา แล้วท่านก็นอนนิพพานอยู่ตรงนั้น ฝ่ายมารดาของพระสารีบุตรกลับ
เข้ามาท่ีห้องอีกคร้ัง ไม่รู้ว่าพระสารีบุตรนิพพานแล้ว เห็นท่านนอนอยู่ไม่พูด
ไม่จา จึงเข้าไปจับที่หลังเท้า ก็รู้สึกเย็นชืด จึงรู้ว่าลูกตาย (นิพพาน) แล้ว
นางเสียใจร้องไห้คร่าครวญ ถึงกาลกอ่ นที่ไมร่ คู้ ณุ ของพระพทุ ธศาสนา คุณของ
พระสารีบตุ ร บตุ รของตน

พึงสาเหนียกว่า พระโสดาบันเพียงแค่ละสังโยชน์เบ้ืองต้นได้เท่าน้ัน ยังยึด
อารมณ์ ยังละอารมณ์อะไรไม่ได้ เพียงแต่เห็นอารมณ์ตามจริง แต่ยังละไม่ได้
เพราะช้ันเห็นกับชัน้ ละ มันคนละชั้นกัน มารดาของพระสารีบุตรก็เช่นกัน แม้
จะบรรลโุ สดาบัน แต่ก็ยังละอารมณ์อะไรไม่ได้ (จะเร่มิ ละได้เม่ือเขา้ ส่อู นาคามี
มรรค) ทา่ นจงึ ร้องไห้คร่าครวญ นกึ ถึงคุณของพระสารบี ุตร แตน่ างกโ็ ชคดกี ว่า
ใครอีกหลายพนั ล้านคน ทีก่ ่อนบุตรตนจะตาย ยงั ไดฟ้ ังธรรมจากบตุ ร จนบรรลุ
โสดาปตั ติผล

พวกเราก็เช่นกัน ไม่ควรปลอ่ ยเวลาให้เน่ินนานไปแบบมารดาของพระสารีบุตร
เพราะมัจจุราชไม่มีการต่อรองกับใคร และก็ไม่ใช่ว่าจะมีบุญแบบมารดาของ
พระสารีบุตร ให้ใช้เวลาทุกขณะให้มคี ่า อยา่ หายใจทงิ้ ไปเปล่าๆ ให้มีสติกากับ
ในทุกอิริยาบถ พระสารีบุตรก็ไปนิพพานแล้ว พระโมคคัลลานะก็ไปนิพพาน
แล้ว (ทา่ นนิพพานหลังพระสารบี ุตร ๑๕ วนั ) หลวงปูค่ รบู าอาจารย์ท่เี ราเคารพ
ทัง้ หลายก็ไปนิพพานกันหมดแล้ว เราจะมามัวหลงโลกท่ีมีแต่เร่ืองไร้สาระอยู่
อย่างนี้หรอื ควรจะมงุ่ หน้าเจริญสติ ปฏิบตั ิภาวนา มุ่งตรงตอ่ พระนพิ พาน

โอวาทธรรมหลวงปู่มน่ั | ๗๕

ขยายความธรรม ในกลุม่ สายธารธรรม เมื่อวนั ท่ี ๓๐ กันยายน ๒๕๖๓

 เร่ือง กัมมัฏฐาน ๕ ภาวนาให้มาก ในร่างกาย เห็นอสุภะเป็น
ยาปรมัตย์แก้จิตพระเณรที่บรรพชาอุปสมบท ล้วนแต่พระอุปัชฌายะให้
กรรมฐาน ๕ มาทั้งน้ัน เป็นหลักสาคัญที่กุลบุตรจะภาวนา รู้แจ้งในรูปธรรม
เป็น สันฺทิฏฐิโก เห็นเอง เบ่ือหน่ายรูปธรรม อรูปธรรม แลเห็นนามธรรมไป
พรอ้ มกนั

 ปัญจวัคคีย์น้ันทางปรมัตถ์ว่า หัว ๑ แขน ๒ ขา ๒ เป็นห้า ภิกษุ
แปลวา่ คนตอ่ ยกิเลส ปญั จวคั คีย์กเ็ ปน็ ภกิ ษเุ หมือนกะเราฯ

 ท่านพจิ ารณาร่างกระดูกได้ ๕๐๐ ชาติมาแล้ว ตงั้ แตเ่ กดิ เปน็ เสนาบดี
เมืองกรุ รุ าชเปน็ อบุ าสก ถึงพระรตั นตรัย

ทา่ นทรงกลด : โอวาทอันนข้ี องหลวงปู่มนั่ ก็ไมต่ ้องขยายความอะไรมาก ทา่ น
สอนให้พิจารณากายให้มาก ผมขนเล็บฟันหนัง คือกรรมฐานห้าที่พระ
อุปัชฌาย์บอกแก่ภิกษุบวชใหม่ เพราะธรรมดาภิกษุบวชใหม่ จะมีจิตใคร่ไป
ทางกามคณุ ท่านจงึ สอนให้พิจารณาผมขนเลบ็ ฟันหนังก่อน ให้เห็นเป็นของไม่
สะอาด จะได้เบ่ือหน่ายในกาย จิตจะได้สงบ ไม่ส่งส่ายไปทางกามคุณ เรื่อง
กายนี้หลวงปู่มั่นจะสอนใหภ้ ิกษุพิจารณาเป็นส่วนใหญ่ ตัวท่านเองก็พิจารณา
อยู่หา้ ร้อยชาติ จนมาชาตปิ ัจจุบนั ในชาตนิ ้เี ปน็ ชาตสิ ดุ ท้าย

ศิษย์หลวงปู่มั่นส่วนใหญ่เมื่อภาวนาพุทโธจนจิตสงบแล้ว ท่านไม่ให้ติดตรง
ความสงบน้ัน ให้เดินต่อด้วยการพิจารณากายเสีย แต่ก็ไม่ได้จากัดทุกรูปเสมอ
ไป อย่างหลวงปู่ดูลย์ ท่านก็ดูจิต ไม่ได้พิจารณากายอะไร หลวงปู่ม่ันท่านก็
ไม่ได้ว่าอะไร หรือหลวงปู่ลี วัดอโศการาม ท่านก็สอนอานาปานสติ มีพระไป
ฟอ้ งหลวงปมู่ น่ั ทา่ นกไ็ ม่ได้ว่าอะไร เพราะในความเปน็ จรงิ สตปิ ฏั ฐานส่ไี มไ่ ด้มี
เฉพาะการพจิ ารณากายแตอ่ ยา่ งเดยี ว หรืออย่างหลวงปู่เทยี น ท่านก็สอนเร่อื ง

๗๖ | โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น

ความร้สู ึกตัว หลวงปู่ชาจะสอนเน้นใหม้ ีสติร้เู ท่าทันอารมณ์ยินดี ยินร้าย หรือ
เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานน่ันเอง สาหรับแนวทางที่ให้ไว้ ก็สามารถทาไป
ด้วยกันได้ ข้อสาคัญก็คือขอให้เป็นเร่ืองสติ เป็นใช้ได้หมด เพราะสุดท้ายจิต
จะตอ้ งหดตวั มาอย่กู ับสติ

พจิ ารณากาย ระลกึ รู้เพ่ือให้รเู้ ทา่ ทันกายว่ามันไมใ่ ชข่ องสะอาดนะ เป็นของไม่
เทีย่ งนะ เปน็ สักแตว่ ่าธาตุดินธาตนุ ้านะ พอรูเ้ ท่าทนั เห็นตามจริง จิตกจ็ ะหดตัว
เข้ามา คาว่าจิตหดตัว หมายถึงจิตผละจากความยึดมั่นในกายออกมา หรือ
อย่างดูจิต ปรุงแต่งเป็นโน่นน่ีน่ัน พอเห็นการปรุงแต่ง จิตจะหยุดการปรุงแต่ง
โดยอตั โนมตั ิ จะไม่ไหลตาม หรือทีห่ ลวงปดู่ ลู ย์เรียกว่าสง่ จติ ออกนอก ออกจาก
จิตที่ปรุงแต่ง ก็จะพบจิตท่ีไม่ปรุงแต่งหรือจิตเดิมน่ันเอง พระสารีบุตรกับ
หลวงปดู่ ลู ยก์ ็บรรลุธรรมด้วยนยั เดียวกัน หรือหลวงปเู่ ทียนก็สอนตรงๆ เลย ให้
รู้สึกตัวขนึ้ มา ตรงร้สู กึ ตัว ตรงนนั้ จิตหยุดปรุงแต่ง จิตหดตวั มาอย่กู ับรู้

ในหนังสือธรรมะจากใจก็เคยเขียนไว้ว่า สติคือตัวที่หยุดการปรุงแต่งของจิต
เป็นเคร่ืองทาลายการปรุงแต่งของจิต คิดเท่าไรก็ไม่รู้ จะรู้เม่ือหยุดคิด นี่
หลวงปู่ดูลย์สอนไว้ คิดก็คือปรุงแต่ง หยุดคิดก็คือหยุดปรุงแต่ง หรือหลวงปู่
ทา จารธุ มั โม ท่านก็สอน ให้รู้ซื่อๆ ร้ซู ่ือๆ กค็ ือรแู้ บบไม่ปรุงแตง่ หลวงปู่ดูลย์ก็
สอนอีก ให้ร้อู ยกู่ ับที่ ถา้ รู้อยกู่ ับที่ได้ ก็จะไมป่ รงุ แต่ง หลวงปู่ชาก็สอนรเู้ ท่าทัน
อารมณ์ยินดียินร้าย พอรู้เท่าทัน จิตก็ผละจากอารมณ์ยินดียินร้าย จิตจะเป็น
กลางข้นึ เองโดยอตั โนมตั ิ จิตเปน็ กลาง จิตหยดุ ปรงุ แต่ง อันเดียวกัน ดังน้ันการ
ปฏิบัติถ้าอิงสติแล้ว เป็นอันถูกหมด อย่างท่ีสอนๆ ไป ให้พิจารณากายบ้าง
รสู้ ึกตัวบ้าง รู้อยู่กับท่ีบ้าง รู้เทา่ ทันอารมณบ์ ้าง รู้เท่าทันจิตท่ีปรุงแต่งเป็นโน่น
นี่นั่นบ้าง เพราะพระพุทธเจ้าท่านก็สอนว่าเห็นกายในกายบ้าง เห็นเวทนาใน
เวทนาบ้าง เห็นจิตในจิตบ้าง พอเห็นมากๆ เข้า ธรรมก็จะปรากฏข้ึนมาแก่ใจ
เอง คราวนี้ จิตก็จะเดินธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานของมันเองโดยไม่ต้องคอย
กาหนดบังคับแต่อย่างใด

โอวาทธรรมหลวงปู่ม่นั | ๗๗

ขยายความธรรม ในกลุ่มสายธารธรรม เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๓

 เรื่องของโลกย่อมมีการยงุ่ อยู่เรอ่ื ยๆ มาตงั้ แตไ่ หนๆ

 ในโลกนี้เป็นอนัตตาหมด ไม่มีต้นไม้และภูเขา วิปัสสนาลบล้างหมด
ไมม่ เี ชือ้ โรคอยใู่ นโลกช่ือว่า โลกตุ ระ

 พระองค์แสดงอนุปุพพิกถาไปโดยลาดับ ยกทานข้ึนก่อนดุจบันได
ข้ึนตน้ แม้ฉันใด โลกุตระ โลกีย์กด็ ี กต็ ้องเจริญตน้ ขึ้นไปก่อน ไม่เจริญขึน้ ตน้ ไป
ก่อนเป็นผิด จะกระโดดข้นึ สูงทีเดียวไม่ไดต้ ายกนั

 ปัญญามีสัมปยุตทุกๆ ภูมิ กามาวจร รูปาวจร อรูปาวจร โลกุตระ
เหล่าน้ีล้วนแต่มีปัญญาประกอบ ควรท่ีเป็นเสียมก็เป็น ควรท่ีเป็นขวานก็เป็น
สว่ นท่ีเฉยๆ เร่ือยๆ นั้น เช่น เหล็กเปน็ แท่งกลม จะเอามาใชอ้ ะไรกไ็ มไ่ ด้ นี้ฉัน
ใด

ท่านทรงกลด : สาหรับโอวาทธรรมของหลวงปู่มั่นในวันนี้ ก็ไม่ต้องอธิบาย
อะไรมาก เพราะท่านก็ได้อธิบายอยูใ่ นตวั อยู่แล้ว อย่างท่วี ่าเรอ่ื งของโลกย่อมมี
การยุ่งอย่เู ร่ือยๆ มาตั้งแต่ไหนๆ อันนี้ก็หมายความว่า จะสมัยนี้หรอื สมัยไหน
มันก็ยุ่งเหมือนกันหมด สมัยพุทธกาล สมัยสุโขทัย อยุธยา หรือรัตนโกสินทร์
มนั ก็ยุ่งเหมือนกัน มันไม่ใช่เพ่งิ จะมายงุ่ เอาตอนน้ี อย่างเร่อื งโรคระบาด ไม่ใช่
ว่าเพิ่งจะมามีเอาวันนี้ ในสมัยก่อนก็มี คร่าชีวิตคนไปมากมายหลายล้านคน
เร่ืองการเมืองการทหาร ก็ยุ่งไม่ได้แตกตา่ งกนั คนก็โหดไม่แพก้ ัน บางคนอ่าน
ขา่ ว บอกสมยั นค้ี นจิตใจโหดร้ายจงั ฆ่าลูกบา้ ง ฆ่าพ่อฆา่ แม่บา้ ง น่ีคือคนที่ไม่มี
ปัญญา เพราะในสมัยกอ่ น คนกฆ็ ่าลูก ฆา่ พอ่ ฆ่าแมก่ ัน ไม่ได้แตกต่างกนั ตราบ
ใดท่ีคนยังมกี ิเลส คนก็ไม่ไดต้ ่างกัน ถ้าทากนั ไว้ จองเวรกันไว้ กต็ ้องมาทวงคืน

๗๘ | โอวาทธรรมหลวงปู่ม่ัน

กันเป็นธรรมดา บางคนบอก แค่มอื ถือเคร่ืองเดยี ว ทาไมคนเราถึงขนาดลงมือ
ฆา่ กันได้ มันเป็นเพราะเขามีกรรมต่อกนั ถ้าไม่มีมือถือให้เป็นเหตุ ก็มีเหตุอื่น
ใหเ้ ขาฆ่ากันอยู่ดี

ผู้ที่คิดว่าบ้านเมืองจะเรียบร้อย ทุกคนเทา่ เทียมกัน ไม่มกี ารแบง่ แยกชนชั้น มี
แต่คนรวยเสมอกัน อันน้ันมันยิ่งกว่าฝันกลางวันเสียอีก มันไม่มีทางเป็นไปได้
หรอก คนเรามันประกอบกรรมมาไม่เหมอื นกัน จะให้คนที่ไม่เคยให้ทาน เป็น
คนรวย มันเป็นไปไม่ได้ ให้เงินเขาไปสักสิบล้าน ไม่นานก็หมด ถ้าคนยัง
เบยี ดเบียนกันอยู่ โกงกันอยู่ ผิดลูกผดิ เมียกันอยู่ โกหกกันอยู่ ด่ืมสรุ ากันอยู่ จะ
สร้างโรงพยาบาลสกั ลา้ นโรง เปล่ียนรัฐบาลสักร้อยรัฐบาล มันก็ไม่มที างจะทา
ให้คนกินดีอยู่ดี ไม่เจ็บไม่ป่วยได้หรอก ธรรมดาของโลกย่อมจะยุ่งอยู่เสมอ
อย่างคนเอาเปรียบกัน คนถูกเอาเปรียบก็จองเวร ทั้งๆ ที่เขาเองก็เคยเอา
เปรียบคนท่ีเอาเปรียบเขามาก่อน มันก็จองเวรกันไม่สิ้นสุด แล้วมันจะเอา
ความไม่ยุ่งมาจากไหน ที่โลกมันยุ่ง ก็เพราะไม่รู้จักอารมณ์ตามความเป็นจริง
คนโลกมันว่ิงตามอารมณ์อยู่ทุกขณะจิต จะเอาความสงบมาจากไหน มันก็ยุ่ง
อยู่อย่างนั้นแหละ โลกยงุ่ เราก็อย่าไปย่งุ ตามโลก ก็เท่านนั้ เอง

พวกที่ไม่มีปัญญา ก็จะคิดว่า พอบอกวา่ ไม่ยุ่งตามโลก ก็คอื เก็บตัวอยู่คนเดียว
ไม่ย่งุ กับใคร อันน้กี ็สอนไปมากมายวา่ โลกท่แี ทก้ ็คืออารมณ์เราน่ีแหละ เหน็ พอ
มีอารมณ์ ก็ยุ่งกันทุกที ที่จะรเู้ ท่าทันอารมณ์ แลว้ หยุดจิต ไม่ว่ิงตามอารมณไ์ ด้
หายากเต็มที ตราบใดที่ยังไม่นิพพาน เราก็ยังต้องเกี่ยวข้องกับโลกอยู่ แต่ทา
จิตให้อยู่เหนือโลก ที่เรียกว่าโลกุตระจิต โลกยุ่งก็ยุ่งไป แต่จิตเราน้ีเยือกเย็น
สบายสงบ ทีห่ ลวงปชู่ าเรยี กวา่ อย่เู หนือเวทนานัน้ แหละ

โอวาทธรรมหลวงปู่ม่ัน | ๗๙

ถ้าเห็นโลกนเี้ ป็นอนัตตา อย่างท่ีหลวงปู่มัน่ บอก มันกไ็ ม่ยุ่ง มันไม่มีต้นไม้และ
ภูเขา วิปัสสนาลบล้างหมด ลบล้างอย่างไร มันลบล้างด้วยความเห็นถูกหรือ
สมั มาทิฏฐิ เหน็ ว่าทุกอย่างมันสกั แต่ปรุงแต่งสมมุติขึน้ มาเท่านนั้ ต้นไมก้ ็สมมุติ
ภูเขาก็สมมุติ เมื่อเห็นทุกอย่างด้วยญาณทัสสนะว่าเป็นสมมุติ หาตัวตนไม่ได้
เป็นอนัตตา จิตก็หลุดออกจากโลก จากภูเขา จากต้นไม้ จากรูปจากนาม ไป
อยู่อกี โลกหน่งึ ทแ่ี ม้แต่เชื้อโรคกไ็ มม่ ี

โลกนั้นเรียกว่าเหนือโลก หรือโลกุตระ คาว่าไม่มีเชื้อโรค หมายความไม่มีส่ิง
ปรุงแต่ง หลวงปู่มั่นเปรียบเทียบเช้ือโรคเป็นสิ่งที่มีชีวิตท่ีเล็กที่สุด มองด้วยตา
เปล่าไม่เห็น ว่าในโลกุตระ แม้เช้ือโรคก็ไม่มี หมายความว่าไม่มีการปรุงแต่ง
แม้แต่อณูเดยี ว

ส่วนการจะไปสู่โลกุตตระนั้น ก็ต้องปฏบิ ัติไปตามลาดับ ดุจพระพทุ ธเจ้าแสดง
อนุปพุ พิกถา คือแสดงธรรมไปตามลาดับ ยกทานข้นึ ตามด้วยศลี และภาวนา
การปฏิบัติก็เช่นกัน ต้องค่อยๆ ศึกษาเรียนรู้ไปทีละลาดับ เริ่มต้นท่ีมรรคมี
องค์แปด เร่ิมต้นที่สติ จู่ๆ จะข้ามไปดับอวิชชาเลย ไม่มีทางเป็นไปได้ ดับด้วย
ความคิดก็พอได้อยู่ คนท่ดี ับอวิชชาได้ มีแตพ่ ระอรหันต์เท่านั้น เห็นบางสานัก
ดับอวิชชากันสลอน แต่ยังครองเหย้าครองเรือน บ้างก็บอกว่า เด็กคนนี้ดับ
อวิชชาได้แล้ว ก็มี ก็นา่ สลดใจจริงๆ เร่ืองสตทิ ่ีแท้จริงหรือสัมมาสติยังไม่รเู้ ร่อื ง
รขิ า้ มไปดับอวชิ ชากันได้แลว้

บางคนทาสมาธิ แล้วเกิดนิมิตระเบิดกระจกบ้าง กายระเบิดบ้าง โลกระเบิด
บ้าง คิดว่าทาลายอวิชชาได้แล้ว บรรลุอรหัตผลกันแล้ว หารู้ไม่ว่ายังโง่
เหมือนเดิม หรืออาจจะโง่กว่าเดิมก็ได้ คือหลงว่าตนบรรลุธรรมข้ันสูงแล้ว ไม่
ตอ้ งทาอะไรแล้ว

๘๐ | โอวาทธรรมหลวงปู่ม่นั

ในการปฏิบัติภาวนา เร่ืองสติเร่ืองปัญญา ต้องประกอบในทุกขณะจิต คาว่า
สัมปยุตหมายถึงทุกๆ ภูมิที่จะละ ต้องประกอบไปด้วยปัญญารู้เท่าทันท้ังนั้น
กามาวจร รูปาวจร อรูปาวจร หมายถึงภูมิท่ีข้องเกี่ยวข้องกับกาม รูปพรหม
พรหมที่ประกอบด้วยรูป พรหมทีไ่ ม่มรี ูป จะต้องมีปัญญาประกอบรู้เท่าทนั ว่า
นน่ั ยังไม่ใช่นิพพาน บางคนภาวนาแล้วตัวกายหายหมด คิดว่าบรรลุอรหัตผล
แล้ว หารู้ไม่ว่านั่นมันแค่พรหมไม่มีรูปอย่างหน่ึงเท่านัน้ ต้องมีปัญญารู้เท่าทัน
ไม่หลงเขา้ ไปยึดในภูมินน้ั ๆ ปัญญาเปรียบเหมือนเสียมหรือขวานด้านทค่ี ม จึง
จะใชไ้ ด้ สว่ นท่เี ฉยๆ เชน่ เหล็กแท่งกลม เอามาใช้ไม่ได้ เฉยๆ ท่อื ๆ ก็คอื สภาพ
จิตที่เป็นฌานต่างๆ นัน่ เอง

พระบางรูปภาวนาแล้วไปติดอารมณ์เฉยท่ีเรียกอุเบกขารมณ์ เป็นอารมณ์ใน
ฌาน มนั แขง็ ท่ือ เฉย ขาดปัญญากากับ ก็ติดอยู่ตรงนั้น คดิ ว่าตนถึงทีส่ ุดแห่ง
พรหมจรรย์แล้ว บรรลุอรหัตผลแล้ว ลูกศิษย์ลกู หาก็มากมายอยู่ ก็พากันหลง
ในคาสอนที่ผิดๆ นั้นอยา่ งถอนตวั ไม่ขึ้น ก็พากันไปเป็นพรหม น่าเสียดายเกิด
มาพบพระพุทธศาสนา แต่กลับไปไดแ้ ค่พรหม จะมีประโยชน์อันใดกับการมา
บังเกิดของพระพุทธเจ้าเล่า เพราะก่อนหน้าพระพุทธเจ้าจะบังเกิดข้ึนในโลก
เขาก็ภาวนาแบบพรหม แบบฤษีกันอยู่ดาษดื่นแล้ว

ดังนั้นในการภาวนา เร่ืองปัญญาจึงสาคัญที่สดุ อย่างคนในทีมงานก็ดี หรือใน
กลุ่มนสี้ ่วนหน่ึงกด็ ี ก็มีปัญญามากแล้ว สามารถแยกแยะคาสอนผิดคาสอนถูก
ได้ การสามารถแยกแยะได้เช่นนี้ นี่คือปัญญาบารมีท่ีสาคัญที่สุด คนทาบุญ
ทาทานสร้างพระสร้างวิหารมีมากมายก่ายกอง แต่หาคนท่ีมีปัญญาแยกแยะ
คาสอนผิดถูกได้ มีเพียงกามอื เดียว คนที่แยกแยะมีปัญญาได้เช่นน้ี เบ้อื งปลาย
ก็คอื พระนิพพานอย่างมติ ้องสงสัย เหตุเพราะเขาประกอบเหตุไว้ดีแล้ว เหตุนั้น
ก็คือมคี วามเหน็ ชอบหรือสมั มาทิฏฐนิ ่ันเอง

โอวาทธรรมหลวงปู่ม่ัน | ๘๑

ขยายความธรรม ในกลมุ่ สายธารธรรม เม่อื วนั ที่ ๒ ตลุ าคม ๒๕๖๓ วันพระ

ท่านทรงกลด : วันน้ีวันพระ วันออกพรรษา ขอให้ตั้งใจฟังธรรมให้จงดี วัน
ออกพรรษา จังหวัดท่ีอยู่ริมแม่น้าโขงบางจังหวัด ก็จะมีการเท่ียวชมบ้ังไฟ
พญานาคกัน เร่ืองพญานาคเป็นเรื่องที่มีจริง พระพุทธเจ้าหรือครูบาอาจารย์
ท้ังหลายที่ประสบพบเห็น ไม่ได้โกหกเราหรอก เพียงแต่เราปฏิบัติไปไม่ถึง ก็
คิดว่ามันไม่มี เราไม่เห็น ก็เลยคิดว่าคนอ่ืนไม่เห็นเหมือนเรา ลองปฏิบัติถึงจะ
หายสงสัยในส่ิงท่ีพระพุทธเจา้ หรือครูบาอาจารย์กล่าวไว้ วันพระวันนี้มีหลาย
โอวาททีย่ กมาใหข้ ยายความ

 ภเู ขาสูงท่ีกลิ้งมาบดสัตว์ให้เป็นจุณไปน้ันอายุ ๗๐ ปี แล้วไม่เคยเห็น
ภูเขา เห็นแต่ชาตทิ ุกข์ ชราทุกข์ พยาธิทุกข์ มรณทุกข์ เทา่ น้ันแล ทฐิ ิมานะเป็น
ภูเขาสงู หาทีป่ ระมาณมไิ ด้

หลวงปู่มนั่ พูดถึงภูเขาหมายถึงชีวิตของมนุษย์โดยประมาณมอี ยู่ ๗๐ ปี
แต่หลวงป่บู อกว่าไมเ่ คยเห็นชวี ิต ไมเ่ ห็นอะไรจะเป็นคนเป็นสตั ว์ เหน็ แต่ทกุ ข์ท่ี
อยู่ในคนในชีวิตของคนน้ัน ทุกข์ที่เกิดมา ทุกข์ท่ีแก่ชราลงไป ทุกข์ที่เจ็บป่วย
และทุกข์เพราะความตาย ท่านเห็นแค่นั้น และกล่าวว่าภูเขาทีส่ ูงหาประมาณ
ไม่ได้ก็คือทิฐิมานะคน เพราะคนใดที่ทิฐิมานะแรงกล้าแล้ว ก็สอนไม่ได้ ต้อง
ปล่อยทิ้งไป เหมือนดอกบวั เหลา่ ที่ส่ี

คนจบสูงๆ มกี ารศึกษาดีๆ มีการงานดี เกิดมารา่ รวย คนเหลา่ น้ีก็จะติดสุข ติด
ความรู้ ติดตาแหน่งหน้าที่การงาน บางคนเรียนมามาก ไม่ฟังใคร สอนไม่ได้
เลย ต้องปล่อยให้แก่ตายไปแบบโง่ๆ คงมีแต่ผู้ที่มีบุญวาสนาทางธรรมสูง
เท่าน้ัน ท่ีเข้ามาให้เราสอน ตัง้ จิตอธษิ ฐานไว้กับพระพุทธเจ้าวา่ ขอให้พบคนที่
สอนได้ไปพระนพิ พานเท่าน้ัน คนที่สอนไม่ได้ ขอให้อย่าได้พบ ถ้าพบกอ็ ยา่ อยู่
ให้ออกไปเสีย เพราะจะเสียเวลาในการสอนเปล่าๆ บางคนก็คิดว่าฉันเป็น

๘๒ | โอวาทธรรมหลวงปู่ม่ัน

ลูกศิษย์พระอรหันต์องค์น้ันองค์น้ีแล้ว ไม่ฟังใครแล้ว ธรรมคนอื่นที่แย้งกับ
อาจารย์ตน ลว้ นผิดหมด หารไู้ มว่ ่า พระอรหันตท์ ีต่ นนับถอื ศรัทธา บางทีก็เป็น
อรหันต์เทียม แล้วก็เห็นคาสอนทถ่ี ูกเปน็ ผดิ เห็นผิดเป็นถูก

ดังเคยมีเร่ืองตลกที่เคยเล่าให้ฟังวา่ เคยเอาธรรมะไปลงในกลุ่มธรรมกลุ่มหน่ึง
ลงมาเปน็ เวลานาน แลว้ วันหน่ึง คงเหน็ วา่ คาสอนของเราไม่ถูกตอ้ ง เลยเอาเรา
ออกจากกลุ่มแบบไม่รเู้ นอื้ รตู้ ัว พอวันต่อมา ก็กลับเอาธรรมทีเ่ ราแสดง ซงึ่ มคี น
เอาไปลงไว้ในเพจธรรมะครบู าอาจารย์ มาลงให้คนในกลุ่มธรรมน้นั อา่ น เพราะ
เข้าใจว่าเป็นธรรมท่ีครูบาอาจารย์แสดง ก็ตลกดีเหมือนกัน เห็นแล้วก็อด
สมเพชไม่ได้ นี่คืออานาจของทิฐิมานะ ตัวน้ีแหละขวางก้ันมรรคผลดีนักแล
ทิฐิมานะมันทาอะไรได้ทุกอย่าง ก่อกรรมหนักกรรมเบาอะไรได้หมด ท้ังนี้
ท้ังนั้นก็เพราะทิฐิมานะตัวเดียว เรื่องทิฐิมานะกับเร่ืองมุมานะ แม้ภาษาจะ
คล้ายกัน แต่ความหมายก็คนละเร่ืองกัน ทิฐิมานะ เป็นภาษาทางธรรม แต่
มุมานะ หมายถึงการขยันสร้างฐานะด้วยตัวเอง ไม่พึ่งพาใคร เป็นภาษาใน
ความหมายทางโลก คนละเรอื่ งกัน อันนก้ี ม็ คี นฝากถามมาก ก็ตอบไวต้ รงน้ี

 พุทธองค์เกิดในป่าลุมพินีวัน ปลงสังขารในป่า ให้โอวาทปาติโมกข์
ในป่า ตรัสรู้ในปา่ เปลย่ี ว นพิ พานในป่าเปล่ียว วิจัยธรรมในปา่ ชนะมารในป่า
ธรรมท้ังหลายลว้ นแตเ่ กิดในป่า เปน็ ธรรมราคาสงู ธรรมโลกุตระเหนอื โลกยี ์

หมายความว่า ท่านตอ้ งการใหเ้ หน็ คณุ ค่าของป่า วา่ พระพทุ ธเจ้าประสตู ิ ตรสั รู้
ปรินิพพาน ก็ล้วนแต่ในป่าทงั้ ส้ิน ป่าก่อกาเนดิ พระอรหันต์มากมาย เมื่อบรรลุ
ธรรมแลว้ จิตก็เข้าถึงโลกุตรธรรม อยู่เหนือโลก ท่านจึงพอใจในการอยู่ปา่ กว่า
สิ่งใด อันนี้ท่านคงหมายถึงส่ังสอนพระลูกศิษย์ให้พอใจต่อการอยู่ป่า ต่อการ
ธุดงค์แบบพระมหากัสสปะ การอยู่ในป่าเปลี่ยวน้ี ถ้าใครไม่เคยไปอยู่ แนะนา
ใหไ้ ปลองอยนู่ ะ แต่ถา้ เป็นสตรีกไ็ มแ่ นะนา

โอวาทธรรมหลวงปู่ม่ัน | ๘๓

การอยูป่ ่ามันสอนเราอะไรมากมาย สอนให้ตอ่ สู้กับความกลัว กลัวอะไร กลัว
ตาย ถึงตอนน้ัน มันจะเห็นว่าการเอาชีวิตเป็นเดิมพันมันเป็นอย่างไร แล้วจะ
เห็นสิ่งอะไรแปลกๆ เยอะ น่ังอ่านหนังสือที่บ้าน ไปปฏิบัติธรรมตามธรรม
สถานสะดวกสบายต่างๆ สถานที่สวยงาม แวดลอ้ มไปด้วยผู้คน อาหารการกิน
บริบูรณ์ ไม่มีทางจะเห็นอะไรแปลกๆ หรอก ของสิ่งน้ี เขาไม่ชอบการเกลื่อนกล่น
ของผูค้ น กลา่ วโดยย่อ ป่าก่อกาเนดิ โลกุตรธรรม โลกุตรจิตใหก้ ับพระอริยสาวก
มากมายเหลอื คณานับ

 มรรค โลกย์ เทวทูต ชาติ ชรา มรณะ พยาธิ ให้โพธิสัตว์ออกบวช
พระองค์บวชแล้ว ทาทกุ รกิรยิ า ในวันที่ตรัสรู้ ปฐมยามราคะเกิดในดวงจิตของ
พระองคป์ ่วนป่ัน พระองคท์ วนกระแสว่า เราเห็นแล้วไม่ใช่หรอื ท่เี ราออกบวช
เราจะไม่กลับแน่ ต่อน้ันทาจิตเข้าสู่ภวังค์ สงบ อยู่ในอัปปนาสมาธิ ต่อน้ันถึง
เกดิ ปญั ญาความรู้ขึ้นมา ระลกึ ถึงชาติก่อนๆ ได้ ในมัชฌมิ สมยั ต่อน้ันพระองค์
ตรวจปฏจิ จสมปุ บาททวนไปทวนมาดว้ ยปัญญาอันยิ่ง จิตลงส่ภู วงั ค์ เกิดความรู้
ขึ้นมาตรัสรู้ ดับอวชิ ชาตณั หา เป็นสยมภู พทุ ธปัจฉิมสมยั กาลคร้ังนนั้

 วิชชา ๓ ของพระพุทธเจ้า ลึกลับสุขุมมาก ในยามที่ ๓ พระองค์ทา
ความรู้เทา่ อย่างน้ัน ยามท่ี ๒ พระองค์ทาความรู้เทา่ นัน้ นนั้ ยามท่ี ๓ พระองค์
ทาความรู้เท่าคือแก้อวิชชาและปฏิจจสมุปบาทในของจิตในช่องแคบมารแย่ง
ไมไ่ ด้ มคี วามรู้อันพิเศษข้นึ มาว่า พระองค์เป็นสยมภูความทีท่ ่านแกอ้ วิชชาเป็น
ของข้นั ละเอียดยิ่งนัก บุคคลจะรเู้ ห็นตามนั้นน้อยท่ีสุด สุดอานาจของจิต เมื่อ
กาหนดรลู้ งไปเป็นของว่างหมด ไมใ่ ชต่ ัวตนสัตว์บคุ คลเราเขา ไมใ่ ชผ่ หู้ ญงิ ผู้ชาย
ธาตสุ ญุ โญ เปน็ ธาตุสูญ แลว้ กาหนดจิต รูจ้ ิต ตง้ั อยใู่ น ฐีตธิ รรม

สองอันนี้เร่ืองเดียวกัน ลาดบั การตรสั รู้ของพระพุทธเจ้า ได้เคยแสดงไปหลาย
คร้ังแล้ว มีการรวบรวมไว้ในหนังสือ ลองไปหาอ่านดู แสดงไปก็จะซ้าเปล่าๆ

๘๔ | โอวาทธรรมหลวงปู่มัน่

จริงๆ ธรรมที่แสดงมากมายมหาศาล ก็ไม่รู้เหมือนกนั วา่ เอาอะไรมาแสดง มัน
ออกมาเอง และก็ไม่ได้ไปลอกใครเขามาแสดง มนั เปน็ ของมนั เองอย่างนี้แหละ
แสดงไปๆ ความร้มู ันก็ออกมาเองโดยไมต่ อ้ งคดิ อะไรเลย

สาหรับโอวาทอนั น้ีกข็ อขยายแบบยอ่ ๆ ว่า เม่ือพระองคห์ ายใจแบบมีสติหรือที่
เรยี กวา่ อานาปานสติ ไม่ไดห้ ายใจแบบเพง่ ลมหายใจเหมอื นตอนเดก็ ๆ ตอนน้ัน
มพี ิธพี ืชมงคล พระเจ้าสุทโธทนะก็ไปทาพิธี เจ้าชายสิทธัตถะนอนเล่นอยู่ ของ
เก่าก็มาปรากฏ คือสนุกกับการเพ่งลมหายใจ จนจิตเป็นฌานขึ้นมา แล้วเกิด
อภนิ หิ าร กล่าวคอื พระอาทิตย์บ่ายคล้อยไปแล้ว แต่เงาไม้ยังคงอยูใ่ ห้ร่มเงากับ
เจ้าชาย พระเจ้าสุทโธทนะกลับมาเห็น ก็ทรุดลงกราบในอภินิหารของบุตร
ตอนนั้นพระองค์เพง่ ถ้าเพง่ จะเปน็ ฌาน

แต่คืนวันตรัสรู้ ไม่ได้เพ่ง แต่ "รู้" หายใจเข้า "รู้" หายใจออก "รู้" รู้คือรู้ซ่ือๆ
รสู้ กึ ตวั รสู้ ึกกลางๆ รทู้ ่พี ระองคค์ ้นพบในคนื ตรสั รู้ ก็คอื สตนิ ั่นเอง พอจิตอยูก่ ับ
รมู้ ากเข้าๆๆๆๆ จิตก็ทวนกระแสเข้ามา จากทเี่ คยว่ิงตามอารมณ์ ว่ิงตามภาพ
พระนางพิมพาราหุล (สัญญาขันธ์) ก็ทวนเข้ามาหาตัวจิตเอง จนจิตกับสติ
ต้งั ม่ันเข้าดว้ ยกัน เกิดสมั มาสมาธิขึ้น ซึ่งหลวงปมู่ นั่ เรยี กว่าอปั ปนาสมาธิ ตรงนี้
คนไม่รู้ จะไม่เข้าใจ อัปปนาสมาธิของหลวงปู่มั่นในที่น้ีหมายถึงจิตตั้งมั่น ไม่
ใชอ่ ัปปนาแบบฌาน หรอื ครูบาอาจารย์บางท่านเรยี กอปั ปนาฌาน คนละเร่ือง
กนั ถา้ อัปปนาแบบฌาน มันจะเฉย แข็งทอื่ มันคืออารมณ์เฉยอย่างหน่ึง เป็น
อารมณ์ฌาน แต่อัปปนาสมาธิ หมายถึงจิตท่ีตั้งม่ันไม่เกี่ยวข้องกับอารมณ์
ทงั้ ปวง

ในยามต้นพระพุทธเจ้าสามารถดารงจิตให้ต้ังมั่นอยู่กับสติได้ เกิดสัมมาสมาธิ
สมาธิท่ีพระองค์ไม่เคยพบมาก่อนเลยในชีวิต แม้ขณะไปศึกษาสมาธิกับ
อาฬารดาบสกด็ ี อุทกดาบสก็ดี จนได้ฌานสมาบตั ิ พระองค์ก็ยังไมร่ ู้จกั สมาธิที่

โอวาทธรรมหลวงปู่ม่ัน | ๘๕

ทรงรู้จักในคืนตรัสรู้นี้ สมาธิที่พระองค์ทรงพบในคืนตรัสรู้ ช่างแตกต่างจาก
สมาธิท่ีไปเรียนกับดาบสทั้งสอง ราวฟ้ากับเหว เพราะสมาธิของดาบสทั้งสอง
คือสมาธิแบบหินทับหญ้า แต่สมาธิท่ีทรงค้นพบในคืนตรัสรู้ มันเป็นสมาธิท่ี
จะถอนรากถอนโคนถอนรากหญ้าท้ังปวง ถอนรากตัณหา ถอนโคนวัฏสงสาร
ในยามแรกคือเวลา ๑๘ นาฬิกา ถึง ๒๑ นาฬิกา พระองค์ก็ทรงบรรลุ
"ปุพเพนวิ าสานตุ ญิ าณ" คอื ทรงระลึกชาตใิ นอดตี ท้ังของตนเองและผู้อ่นื ได้

พอถึงยามสอง ทรงบรรลุ "จุตูปปาตญาณ" คือ การรู้แจ้งการเกิดและดับของ
สรรพสัตว์ทั้งหลาย สามารถเห็นการจุติและอุบัติของวิญญาณท้ังหลาย
ยามสองก็คือเวลาตัง้ แตส่ ามท่มุ ถึงเที่ยงคนื พอยามสุดทา้ ย คือเวลาเที่ยงคนื ถึง
ตสี าม ยามน้ีสาคัญทสี่ ุด ยามไหนก็สู้ยามนี้ไม่ได้ เม่ือระลึกชาติได้นบั อเนกชาติ
คือนับไม่ถ้วน ในคนื เดยี วระลึกชาตไิ ด้มากมาย คนที่ทาไมไ่ ด้ หรอื พวกบ้าตารา
ทั้งหลายก็จะเถียงว่า แค่สามชั่วโมง จะระลึกชาติอะไรได้เป็นแสนๆ ชาติ ดู
หนังเร่ืองหน่ึงกส็ องช่ัวโมงแล้ว คือคนแบบน้ีมเี ยอะ ปฏบิ ัติไม่ถงึ ก็จะเหมาว่า
ส่ิงท่ีคนอ่ืนปฏิบัติถึง ไมจ่ ริง จิตของคนเรามันไวย่ิงกว่าอะไรท้ังหมด หลังจาก
ระลึกชาติได้ ก็เห็นการเกิดการตายของสัตว์มากมาย ก็ทรงเบื่อหน่ายในการ
เกิดการตาย แล้วพระองค์ก็ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท พึงทราบว่า ขณะ
แยกจิตออกจากอารมณ์ จากขันธ์ห้ามาตั้งมั่นอย่กู ับสติ เกดิ สัมมาสมาธิได้น้ัน
ก็จะเห็นว่ารูปนามขันธ์ห้าอารมณ์ท้ังปวงไหลมาจากการปรุงแต่งของจิต
พระองค์พบจิตพบธรรมตั้งแต่ยามต้นแล้ว แต่เห็นกับละมันคนละขั้นกัน
พระองค์เห็นแล้วว่ารูปนามขันธ์ห้าเกิดจากการจิต ไหลออกมาจากเหตุ ก็คือ
การปรุงแต่งของจิต เรียกว่าเห็นปฏิจจสมุปบาท การจะดับเหตุก็ต้องดับการ
ปรุงแต่งของจติ เสยี

ครูบาอาจารย์มากมาย ไม่เห็นธรรม ก็จะพากันท่องตามๆ กันมาดับที่เหตุๆ
แล้วพาลกันตามดับจิต นึกว่าจิตเป็นต้นเหตุ จิตเป็นต้นเหตุของสิง่ ท้ังปวง แต่

๘๖ | โอวาทธรรมหลวงปู่มนั่

เราดับจิตไม่ได้ จิตไม่มีวันตายอย่างท่ีหลวงตามหาบัวบอกไว้ ส่ิงที่เราจะต้อง
ดับก็คือการปรุงแต่งของจิต ไปดูในปฏิจจสมุปบาทสิ อะไรคือเหตุ เหตุจริงๆ
ไม่ใช่จิตอันเดียว แต่คืออวิชชาคือความไม่รู้ ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร จิตจึง ปรุง
แต่งรูปนาม เริ่มที่วิญญาณออกมา อวิชชาก่อให้เกิดสังขาร สังขารตรงน้ี
หมายถึงการปรุงแต่ง คนละสังขารในขันธ์ห้าที่หมายถึงความคิดปรุงแต่ง
หมายความว่าจติ มันปรุงแต่งปฏิสนธิวิญญาณออกมา พระองคเ์ ห็นชัดแล้วว่า
อวิชชาตัณหาอุปาทาน คือเหตุแห่งทุกข์ เพราะไม่รู้เท่าทันในรูปนาม จึงเกิด
ตณั หา เกดิ ความยึดมนั่ อุปาทานตามมา แล้วก็เกิดภพชาติชรามรณะตามมาไม่
สน้ิ สดุ

สว่ นจติ จะปรุงแตง่ วิญญาณแรกขึ้นมาเม่ือใด วิญญาณจะไปปรุงแต่งรูปนามท่ี
เหลือเม่ือใด ก็สุดจะทวนถึงได้ พระองค์จงึ อุทานว่าวัฏสงสารของมนุษย์นี้ไม่รู้
ตน้ รู้ปลาย ทางที่ดีเราดับท่ีเหตุก่อนจะดีกว่า เพื่อจะได้ไมต่ ้องเกิดตอ้ งตายอีก
ตอ่ ไป นั่นคอื ดับวฏั สงสารเสีย แล้วพระองค์ก็สงั เกตวา่ เมอื่ ใดท่ีสง่ จิตออกไปยึด
ในรูปนาม มีเวทนาเปน็ ต้น กจ็ ะเกิดภพชาติชรามรณะทุกขเ์ มื่อน้ัน แตเ่ มือ่ ใดท่ี
รเู้ ท่าทันว่ารูปนามน้ีไม่ใช่ของเรา จิตก็จะหยุดส่งนอกออกไปยึด เมื่อพระองค์
เรียนรู้อย่างน้ี พระองค์ก็ปล่อยให้เวทนาสักแต่เวทนา จิตก็สักแต่ว่าจิต ไม่ส่ง
จิตออกไปยึด ด้วยรู้เท่าทันแล้วว่ารูปนามเวทนาอารมณ์ท้ังปวง มันไม่ใช่เรา
ของเรา ตรงรู้เท่าทันอันน้ีแหละคือวิชชา เม่ือรู้เท่าทันข้ึนมา อวิชชาก็จะจาง
คลายจนดับไปในท่สี ุด เปรยี บเหมอื นห้องมดื อยู่ เม่ือเกิดแสงสวา่ งขึน้ มาในหอ้ ง
นั้น ความมืดก็หายไป ความมืดกับความสว่างก็อยู่ในท่ีดุจเดียวกัน เพียงแต่
เปล่ยี นความเห็นจากผิดเป็นถกู เสีย เห็นผิดก็คืออวิชชา เห็นว่ารูปนามขันธ์ห้า
คอื เราของเรา นแ่ี หละคืออวชิ ชา พอเหน็ ถกู ก็เป็นสมั มาทิฏฐิขึ้นมา

เม่ือเห็นถกู มากขนึ้ จิตพระองค์ก็เบื่อหน่ายคลายกาหนดั จนหลุดพ้นไปในท่สี ุด
คาว่าหลดุ พน้ ในทีน่ ี้ ไมไ่ ดห้ ลุดพ้นไปไหน แต่หลุดพ้นกลับคืนสูภ่ าวะเดมิ ของจิต

โอวาทธรรมหลวงปู่มนั่ | ๘๗

เดิม ที่หลวงปู่มั่นเรียกว่าฐีติ นั่นแหละ การกลับคืนสู่ฐานะเดิมของจิตคราวนี้
จะไม่มีวันเคล่ือน ไม่มีวันปรุงแต่งเป็นอะไรได้อีก วิสังขารคตัง จิตตัง จิต
ตถาคตถึงสภาวะที่ไม่สามารถจะปรุงแต่งเป็นอะไรได้อีก เป็นจิตท่ีบริสุทธ์ิ
ปราศจากกิเลส เคร่อื งเศร้าหมองใดๆ กไ็ ม่มีในจิตดวงน้อี ีกตอ่ ไป แล้วพระองค์
ก็เกดิ ญาณคือเคร่ืองรู้แห่งจติ ขนึ้ มาว่า บดั นี้ภพชาตสิ ิ้นแลว้ พรหมจรรยจ์ บแล้ว
กิจท่ีต้องทาเพ่ือการนี้ไม่มีอีกต่อไปแล้ว ญาณอันนี้เรียกว่าอาสวักขยญาณ
น่ันเอง ขณะญาณน้ัน ก็จะเห็นความเป็นอนัตตาในธาตุท้ังปวง คือสุญตา
ความวา่ ง ข้างนอกกว็ ่าง ข้างในกว็ า่ ง แต่ขา้ งนอกวา่ งแบบไมม่ อี ะไร ขา้ งใน คือ
จิตมันว่างแบบมีอะไร ตรงท่ีว่างแบบมีอะไรน่ีแหละ เรียกว่าว่างแบบนิพพาน
นิพพานงั ปรมัง สุญญัง นิพพานว่างอย่างย่ิง นิพพานวา่ ง คือจิตว่าง จิตท่ีพ้น
ไปจากอารมณ์ทั้งปวงนี่แหละคือนิพพาน หลวงปู่ดูลย์เม่ือถึงตรงน้ี ก็บอกไว้
เลยว่า จิตทพี่ ้นไปจากอารมณท์ ง้ั ปวง ทกุ ขใ์ ดๆ ก็อาศัยอยไู่ ม่ได้

ส่วนคาว่าธาตุสูญ หมายถึงธาตุคนหญิงชาย มันไม่มีตัวตนจริง มันปรุงแต่ง
ขึ้นมาตามเหตุตามปัจจัย เมื่อถึงตรงนั้น ธาตุนั้นก็สูญ หาตัวตนไม่ได้ แต่
นิพพานไม่ได้สูญ มันอยู่ตรงข้ามกัน โลกคือสัตว์สูญได้ แต่นิพพานไม่สูญ ถึง
พระนิพพาน กค็ อื ถึงจิตถึงใจถึงธรรม จิตตงั้ อยู่ ไม่เคล่ือน ไม่ปรุงแต่ง หลวงปมู่ ่ัน
จงึ เรยี กว่าตง้ั อยู่ในฐีติธรรม คือธรรมอันเป็นธรรมชาตขิ องจิตเดิมน่นั เอง

๘๘ | โอวาทธรรมหลวงปู่ม่นั

ขยายความธรรม ในกลุ่มสายธารธรรม เมื่อวนั ท่ี ๓ ตุลาคม ๒๕๖๓

 บริจาคทาน โลภน้ันคือปรารถนา เมื่อได้แล้วปรารถนาอยากได้มาก
พระเวสสันดรท่านไม่เป็นเช่นนั้น พระองค์ท่านปรารถนาโพธิญาณ เป็น
ปรมัตถบารมี

ทา่ นทรงกลด : ขยายความได้ดังน้ี การที่เราให้ทาน ไม่ได้ให้เพ่อื หวังผลว่าจะ
รวย ถ้าให้ทานเพ่ือหวังรวย บุญท่ีได้ก็นิดเดียวเท่าน้ันเอง ทาไมเป็นอย่างนั้น
เพราะขณะใหจ้ ิตมันเศร้าหมอง เกิดความโลภขึ้นในใจ เป็นอกุศลจิต บุญท่ีได้
จากการให้ทานเพราะเหตุท่ีอยากจะรวยจึงได้ไม่มาก ท่ีเราให้ทานก็เพื่อขจัด
กิเลสตัวโลภะ กิเลส ตัวโลภะ จัดเป็นกิเลสอยู่ในราคะ ปรกติกิเลสจะมีราคะ
โทสะ โมหะ ราคะไม่ได้หมายถึงเร่ืองความอยากในกามคุณอย่างเดียว แต่
หมายถงึ ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น

พระเวสสนั ดรได้ให้ทานท่ีย่ิงใหญ่คือภรรยาและลูก แม้ภรรยาและลูกก็ยอมสละ
ได้เพ่ือพระโพธิญาณ เพ่ือจะได้ตรัสรู้ นาพาขนสัตว์ให้ข้ามวัฏสงสาร ลูกของ
พระเวสสนั ดร คือกัณหาชาลี ไม่เข้าใจพระบิดา ว่าทาไมต้องบริจาคตนให้คนอื่น
พระองค์เลยบอกว่าช่วยมาเป็นสาเภาทองให้พ่อสามารถข้ามห้วงมหรรณพคือ
วัฏสงสาร จะได้รื้อขนสัตว์ไปสู่ฝ่ังพระนิพพาน ท้ังสองเลยยอม และเม่ือพระ
เวสสันดรมาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ และตรัสรู้เป็นพระสัมมาพุทธเจ้าในชาติ
สดุ ท้าย กัณหาชาลีและพระนางมัทรี มเหสีของพระเวสสันดร ก็มาเกิดในชาติ
เดียวกับพระพุทธเจ้าเช่นกัน พระนางมัทรีก็คือพระนางพิมพา ภายหลังออก
บวชเป็นภิกษุณี ก็บรรลุอรหัตผล เกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ชาลีกลับชาติมา
เกิดเป็นพระราหุล ก็บรรลุอรหัตผลเช่นกัน ส่วนกัณหากลับชาติมาเกิดเป็น
พระอุบลวรรณาเถรี สุดท้ายก็บรรลุอรหัตผลเป็นชาติสุดท้าย จริงๆ เราต้อง

โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น | ๘๙

ขอบคุณพระราหุล หรือชาลี ต้องขอบคุณพระนางพิมพา พระอุบลวรรณาเถรี
ทเ่ี สียสละตนเองเพอื่ การตรสั รขู้ องพระพุทธเจ้า

ถา้ ศึกษาประวัติพระพุทธเจ้าอยา่ งละเอียด จะเห็นว่ากวา่ จะมาตรัสรู้น้นั ไมใ่ ช่
เร่ืองง่ายๆ สละชีวติ มาเพื่อการตรัสรู้มากมายเหลือคณานบั เช่นชาติหน่ึงบวช
เปน็ ฤษี บาเพญ็ เพยี รอยูต่ ามป่าตามเขา วันหนึ่ง มองลงไปจากเขาด้านบน เห็น
แม่เสือกับลูกเสือครอกหนึ่ง กาลังจะอดตาย เพราะไม่มีอาหารกิน ท่านก็
กระโดดลงไป สละร่างกายให้แม่เสือกิน เพ่ือจะไดม้ ีนา้ นมเลย้ี งลูก เรอื่ งอย่างนี้
คนโลกๆ เขลาๆ ไม่มวี ันเข้าใจหรอก ท่านก็สละรา่ งกายเท่าน้ัน แต่ขณะโดดลง
ไป จิตก็เข้าฌาน ตายแล้วกไ็ ปเกดิ ในพรหมโลก สละร่างกายภายนอก แต่จติ ไป
เกิดเป็นพรหม คนที่มีบุญวาสนาหากอ่านมาถึงตรงน้ี จะเห็นคุณค่าของ
พระพุทธศาสนามากขึ้นทีเดียว เห็นคุณค่าของการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ว่า
กวา่ จะมาตรสั ร้ไู ด้ ตอ้ งบาเพ็ญบารมมี าถึงสี่อสงไขยกับแสนมหากัปป์

แต่ชาวพุทธเราส่วนใหญ่ก็ไม่เห็นค่า ได้แต่ทาบุญให้ทานสร้างพระ สร้างโน่น
สร้างน้ี เที่ยวไถ่ชีวิตโคกระบือ ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเร่ืองเสียหายแต่อย่างใด แต่ที่ถูก
ควรจะเร่งศึกษาพระธรรมคาส่งั สอนทเ่ี ป็นไปเพอ่ื การพ้นทุกข์ เจรญิ สตภิ าวนา
นาพาให้พ้นจากวัฏสงสาร ให้สมกับท่ีพระพุทธเจ้าทรงอุตสาหะบาเพ็ญเพียร
สรา้ งบารมมี าเพอื่ ตรัสรู้

ตรัสรู้แล้ว ก็ทรงพระมหากรุณาธิคุณ นาสิ่งที่ตรัสรู้มาสอนพวกเรา นาพาพ้น
ทุกข์ตามไปด้วย แต่ก็น่าเสียดายท่ีชาวพุทธในปัจจุบันกลับหลงใหลวัตถุ
หลงใหลความเจริญ หลงใหลเทคโนโลยี หลงใหลอยู่ในความสุขสบาย อันเป็น
ของจอมปลอม ดงั ทเ่ี ขียนไว้ในหนงั สือกวา่ จะถึงกระแสธรรมว่า สิง่ ที่เราเสพสุข
อยู่ทุกวันน้ี มนั ก็สุขอันเดียวกับที่พระพุทธเจ้าเคยเสพเคยสขุ มากอ่ นท่ีจะออก

๙๐ | โอวาทธรรมหลวงปู่ม่ัน

บวช พอตรัสร้แู ล้ว ก็ไมไ่ ด้กลับไปเสพสุขแบบเกา่ อีกเลย เพราะพบสุขที่ยิ่งกว่า
เรียกวา่ บรมสขุ

ชาวพุทธส่วนใหญ่ไม่ได้นาพาต่อการปฏิบัติท่ีตรงต่อพระนิพพาน อย่างเรื่อง
สติปัฏฐานสี่ น้อยคนนกั ที่สนใจปฏิบัตอิ ย่างจริงจัง แม้เราจะมาพร่าสอนให้ ก็
จะอ่านผา่ นๆ ไป ท่ีจะเอาไปใช้นั้น ไม่แน่ว่าจะมีมากหรือน้อย เราก็ได้แสดงไว้
เป็นมรดกโลก มรดกธรรมเท่าน้ัน เพ่ือบางที จะมีคนมีปัญญามาพบ มาอ่าน
และนาไปใช้ ไปปฏบิ ัติอย่างจริงจงั ก็จะพบพระนิพพานไดไ้ ม่ยาก นา่ เสียดาย
ที่ชาวพุทธส่วนใหญ่ จะสนใจแต่อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ สนใจแต่เร่ืองบนบาน
พระเองก็พาชาวบา้ นไปทางนัน้ ด้วย บางวัดนเี้ ข้าไปแลว้ สลดใจจรงิ ๆ สร้างเทพ
ให้คนกราบไหว้มากมาย ขอพวกเราอย่าได้เป็นชาวพุทธส่วนใหญ่ส่วนนั้น จง
มุ่งคาสอนท่ีนาพาไปสู่การพ้นทุกข์จะดีที่สุด ส่วนเราก็ทาหน้าที่ของเรา
เท่านั้นเอง วันหน่ึง ไปพบพระพุทธเจ้า พระองค์จะได้ไม่ตาหนิเหมือนท่ีเคย
ตาหนพิ ระสารบี ุตรมาแลว้

เร่ืองมีอยู่ว่า พระสารีบุตรไปโปรดพราหมณ์ใกล้ตายคนหนึ่ง ท่านก็คิดว่า
พราหมณ์ตายแล้วคงอยากเกิดไปเปน็ พรหมกระมัง เลยแสดงพรหมวิหารสี่ให้
ฟัง พราหมณ์ฟงั แล้ว จิตเปน็ สมาธแิ บบฌาน ตายแล้วก็ไปเกิดเป็นพรหมจรงิ ๆ
กลับมา พระพุทธเจ้าก็ตรัสถามว่า สารีบุตร เธอไปสอนอะไรพราหมณ์ พระ
สารีบุตรก็เล่าตามจริง พระพุทธองค์ทรงตาหนิเลยว่า สารีบุตร ทาไมเธอไม่
สอนมรรคมีองค์แปดแก่พราหมณ์ เพราะถ้าพราหมณ์ได้ฟัง ก็จะบรรลุ
โสดาปัตติผลเป็นอย่างน้อย พระเด๋ียวนี้ก็มีมากมาย สอนคนให้ไปพรหม
โดยเฉพาะพรหมลูกฟัก คือสอนให้ภาวนาจนไปเจอความว่าง แล้วบอกว่านั้น
คือพระนิพพาน เพราะเข้าใจผิดวา่ นิพพานคือความว่าง นิพพานว่างก็จริง แต่
ไม่ได้ว่างแบบนั้น อันนั้นไปเอาความว่างมาเป็นอารมณ์ เรียกว่าอารมณ์ว่าง

โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น | ๙๑

เห็นไหม มันยังมีอารมณ์อยู่ ตราบใดที่มีอารมณ์อยู่ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ว่าง
หรืออารมณ์เฉย ไม่ใช่นิพพานทั้งน้ัน ต้องเจริญสติ นาพาจิตไปพ้นไปจาก
อารมณ์ จงึ จะวา่ ง นิพพานจริง

 ให้เป็นมหาสติ มหาปัญญา รอบกาย รอบจิต มรณะร้ายมาถึงแล้ว
ตอ้ งเข้าแย่งกันในช่องแคบ แมโ้ พธสิ ัตวช์ นะมาร ชนะในชอ่ งแคบ

คาว่าช่องแคบก็คือคูหาท่ีจิตอยู่ ท่านเปรียบว่าจิตมีที่อยู่ในคูหา การปฏิบัติ
ภาวนา เมอื่ ถึงขั้นมหาสติ มหาปญั ญา กล่าวคือถงึ จิตถึงธรรมแล้ว จิตนั่นแหละ
เป็นมหาสติ มหาปัญญาในขณะเดียวกัน รอบกายก็คือรู้เท่าทนั กาย รอบจิตก็
คอื รเู้ ท่าทนั จติ เมือ่ ความตายมาถงึ ปรกติกจ็ ะเข้ามาจ่โู จมในช่องแคบคอื คูหาท่ี
จิตอยู่นี้ ถ้าเป็นจิตปุถุชนก็จะกลัวตาย คนท่ีบอกว่าไม่กลัวตาย ถ้ายังไม่บรรลุ
ธรรมอย่างน้อยโสดาปัตติผลถงึ เวลากลวั ตายทุกคนแหละ เมือ่ ความตายมาถึง
ความกลัวต่างๆ เช่นกลัวตาย กลัวทรพั ย์สมบตั ิจะไม่มใี ครดแู ล กลัวเมียหรือผัว
จะไปเป็นของคนอ่นื จิปาถะ ก็จะแยง่ เขา้ มากลุ้มรุมจิตดวงน้ี ในช่องแคบหรือ
คูหาที่จิตอยู่ สาหรับปุถุชน ถ้าขณะจิตนั้นไม่ได้ระลึกถึงบุญกุศลความดีท่ีเคย
ทา จิตก็จะไม่สว่าง เม่ือความกลัวซ่ึงเป็นอารมณ์อย่างหนึ่งเกิดถาโถมเข้ามา
จิตกจ็ ะยึดเอาความกลัวนั้น ทาให้เศร้าหมองไม่ผ่องใส หากตายในขณะจติ นั้น
กไ็ ปอบายภูมทิ ันที

แต่สาหรับพระอริยะเจา้ ความกลัวตายอันเป็นอารมณอ์ ย่างหนึ่งแม้จะมี แต่ก็
ไม่สามารถเข้าถึงจิตได้ ความกลัวตาย มรณะร้ายมาถึงก็จริง แต่ได้แต่วนอยู่
รอบๆ เข้าไม่ถึงจิต ส่วนคาว่าแม้โพธิสัตว์ชนะมาร ก็ชนะในช่องแคบ ก็
หมายถึงชนะกันทจ่ี ิตนีแ่ หละ ไมใ่ ช่ทอ่ี ่นื

๙๒ | โอวาทธรรมหลวงปู่มน่ั

 โลกยี สจั จะคือโพธิสตั ว์เหน็ เทวทตู โลกุตรสัจจะคอื โพธสิ ัตว์ตรสั รู้

อันน้ีหมายความว่าขณะที่เห็นเทวทูตคือคนแก่คนเจ็บคนตายและ
นักบวช ขณะนั้นยังเป็นเพียงพระโพธิสัตว์อยู่ ยังไม่บรรลุธรรม จึงเรียกว่า
โลกยี สจั จะ คอื ความจรงิ ของโลก ความจริงทีว่ ่าทุกคนเกดิ มาแลว้ กต็ ้องแกต่ อ้ ง
เจ็บต้องตาย คนส่วนใหญ่ก็จะเห็นโลกียสัจจะกันทั้งน้ัน ไปงานศพกันทุกวัน
แต่โลกุตรสัจจะมีแต่พระอริยะเจ้าเท่านั้นที่เห็น หมายความว่าขณะท่ีเจ้าชาย
สิทธัตถะหรือพระโพธิสัตว์ในขณะนั้น ตรัสรู้อริยสัจจ์สี่ คือทุกข์ สมุทัย นิโรธ
และมรรค ก็ได้พบความจริงอันย่ิงใหญ่คือความจริงท่ีทาให้ไปพ้นจากโลก อยู่
เหนือโลก เหนือการเกดิ การแก่การเจ็บการตายได้ เรียกว่าความจริงเหนือโลก
ซึ่งคนโลกๆ ไม่มวี นั จะรู้ จึงเรียกวา่ โลกตุ รสจั จะ

 ท่านเทศน์ให้สงเคราะห์เข้าตนท้ังนั้น สุภะเป็นธาตุบูดเน่าเป็น
ธรรมชาติของเขา ร้ายแต่มนุษย์ จิตติดสุภะ ด่ืมสุรา ท่านยกพระโพธิสัตว์ยก
เป็นกษัตริย์ มีเมีย ๖ หม่ืน บุตรราหุล ท่านก็ไม่เมา ไหนเรามีเมียตาเปียก
คนเดยี วตดิ กนั จนตาย ธาตเุ มาอันนเ้ี ปน็ ธรรมชาติไมใ่ หค้ นสนิ้ สดุ ทุกข์ไปได้

หมายถึงเวลาท่านสอน ท่านก็สอนให้น้อมเข้ามาหาตนหากาย เรียกว่า
โอปะนะยิโก ให้เห็นว่ากายนี้เป็นของบูดเน่า ไม่ได้สวยงามหรือเป็นสุภะดังที่
เหน็ กันอยู่ ทา่ นบอกว่าร่างกายนี้ คนมองวา่ สวยงาม แต่ความจริงแล้วเป็นธาตุ
บูดเน่าตามธรรมชาติของเขา อย่างเอาอาหารอะไรใส่ปากไป เค้ียวสองสามที
อาหารทด่ี สู วยงามน่าโอชะในตอนแรก พอเคี้ยวเข้าเทา่ นัน้ ลองคายออกมาดูสิ
มันกลายเป็นของสกปรกนา่ รังเกียจไปเสียแลว้ พระพทุ ธเจ้าจึงสอนว่า อะไรที่
เข้าไปในกายก็จะกลายเป็นของน่ารังเกียจไปด้วยกัน อาหารท่ีกินมันก็

โอวาทธรรมหลวงปู่มน่ั | ๙๓

กลายเปน็ ของบูดเน่าอยใู่ นลาไส้ ทงั้ อาหารเกา่ อาหารใหม่ ท่านบอกว่า คนเรา
ส่วนใหญ่จติ ตดิ สุภะคือความสวยงามของกาย เหมอื นติดสุรา

อย่างเจ้าชายสิทธัตถะ พระโพธิสตั ว์ มีเมียหกหมน่ื มีบตุ รคือพระราหุล ทา่ นก็
ไมต่ ดิ ไมเ่ มา ทง้ิ วัง ทิ้งสุข ออกบวชแสวงหาทางพน้ ทุกข์ ไฉนเรามีเมียตาเปยี ก
คือเต็มไปด้วยข้ีตาอยู่คนเดียว จึงติดไปจนตาย ธาตุเมาคือร่างกายน้ี เป็น
ธรรมชาติที่น่าสะพรึงกลัว เพราะทาใหค้ นมาหลงติดอยู่ ไม่ให้คนส้นิ สดุ ทุกขไ์ ป
ได้ ทางแก้ไม่ให้เมา ก็คือต้องพิจารณากายหรือที่เรียกว่ากายคตาสติให้มากๆ
ถึงเวลานี้ อยา่ มามาถามนะวา่ พจิ ารณาอยา่ งไร เพราะสอนไปมากมายเหลือท่ี
จะคณานับ ในหนังสอื ก็เขียนไวม้ ากมาย

ถ้าสนใจอ่านจริงจัง นาไปใช้จริง ก็จะแก้ธาตุเมาคือการหลงกายน้ีลงได้บ้าง
เวลาคนท่ีรักตาย จะได้ไม่ทุกข์มาก เพราะจะเห็นว่าที่ตายอยู่น้ัน มันก็สักแต่
ธาตุดินน้าไฟลมเท่าน้ันท่ีตาย ถึงเวลามันก็เสื่อมพังไปตามเร่ืองของมัน มัน
ไม่ได้มีความหมายของสัตว์บุคคลตัวตนเราเขาอะไรหรอก ธาตุเมาคือกายนี้
มนั หลอกให้เราหลงอย่เู ท่าน้ันเอง ก็ลองพจิ ารณากนั ดู

จริงๆ ก็แปลกเหมอื นกัน โอวาทธรรมท่ีเอามาลงให้ขยายน้ี ตอนเห็น ก็ยังไม่รู้
เลยว่าจะตอบจะขยายอย่างไร ถึงเวลาก็ออกมาเอง ดุจธาตุพระนิพพาน
หลวงปู่ม่ันมายืนกากับอยู่ ทั้งโอวาทหลวงปู่ม่ัน ท่ีหลวงปู่หลุย จันทสาโร
บันทึกไว้ เท่าที่ทราบ ก็ยังไม่เคยเห็นใครบรรยายอธิบายไว้เลย ทุกอย่างไม่มี
คาว่าบังเอิญ คงจะรอให้เรามาขยายความ จัดทาเป็นหนังสือที่ทรงคุณค่าอีก
เล่มหนึ่งในประวตั ศิ าสตร์ของพุทธศาสนากระมัง


Click to View FlipBook Version