๑๔๔ | โอวาทธรรมหลวงปมู่ น่ั
แต่ปุถุชนไม่มวี นั เห็น พวกเขาถึงนา่ สลดสงั เวชใจเปน็ อย่างย่ิง อยู่กับทกุ ข์แต่ไม่
เห็นทุกข์ อยู่กับงูเห่า แต่ไม่เห็นงูเห่า แต่สาหรับคนที่ฝึกสติ รู้เท่าทันอารมณ์
เป็นข้ึนมาบ้างแล้ว จะเร่ิมเห็นสภาพตรงน้ีชัดข้ึนๆๆ จะเร่ิมเห็นตามจริงว่า
การส่งจติ ออกนอกหรือเพง่ นอกเป็นทกุ ข์เพียงใด หรือการเพง่ รปู เพ่งนน้ั เพ่งนี้
ก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ แม้แต่เพ่งท่ีเป็นฌานก็ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะเอาใจไปไว้
ข้างนอก แต่เพ่งในเช่นระลึกรู้อยู่ในกาย พิจารณาอาการสามสิบสองหรือ
กายคตาสติ อันน้ีคือสัมมาทิฏฐิ เพราะจะทาให้เห็นร่างกายตามจริงว่ามันไม่
สะอาด เป็นของไม่เที่ยง ต้องเส่ือมดับเป็นธรรมดา หาตัวตนท่ีแท้จริงไม่ได้
(อนัตตา) ไม่อาจจะพึงยึดว่าเป็นเราของเราได้เลยแม้แต่นิด พิจารณาจนวัน
หนง่ึ จติ สงบ กจ็ ะเห็นตามจรงิ ขึ้นมาในจิต เรยี กว่าเหน็ เปน็ ญาณข้ึนมา ตรงเห็น
เป็นญาณขึ้นมานี่แหละ จิตจะถ่ายถอนความยึดม่ันออกมาได้เอง ตอนที่คิด
พิจารณายังถอนไม่ได้ ต้องเห็นเป็นญาณทัสสนะปรากฎข้ึนในจิต เสมือนตา
เห็นรปู แล้วมนั ก็จะถอนอปุ าทานของมันเอง
หลวงปู่ม่ันจึงสอนให้เพ่งหรือพิจารณาในตัวคือกายน้ี คาว่าในตัวจริงๆ ไม่ได้
หมายถึงกายอย่างเดียว แต่หมายถึงเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณด้วย ให้เพ่ง
พจิ ารณาเวทนาว่ามนั ใช่เราของเราไหม มันเกิดแลว้ ดับๆๆ มันหาตัวตนได้ไหม
ควรจะยึดม่ันส่ิงที่มันหาตัวตนไม่ได้ อยไู่ ด้ไหม จิตจะสอนตัวมันเอง พยายาม
พิจารณาเวทนาสัญญาสังขารให้เห็นตามจริง สว่ นวิญญาณยากจะเห็น ให้พัก
ไว้ก่อน เอาแค่นั้นก่อน ถึงเวลาก็จะเห็นตลอดไปจนถึงวิญญาณ ถ้าเราเพ่ง
พจิ ารณาอยู่ในตัวเสมอ เราก็จะไม่ส่งจิตออกนอก จิตก็จะเป็นสัมมาทิฏฐิของ
มันเอง พอจิตเป็นสัมมาทิฏฐิ จิตก็เข้าสู่กระแสมรรคมีองค์แปด เมื่อมีมรรคก็
ยอ่ มมผี ล มรรคผลนพิ พานกอ็ ยู่ไมไ่ กลเกนิ เอ้อื มเลย
โอวาทธรรมหลวงปู่มัน่ | ๑๔๕
ขยายความธรรม ในกล่มุ สายธารธรรม เมอ่ื ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๓
สติปัฏฐานเป็นความรู้อนันตนัย หาประมาณมิได้ ไม่เหมือนความรู้
ชนิดอื่น สนฺทิฏฐิโก เห็นด้วยเฉพาะนักปฏิบัติ ปจฺจตฺต รู้เฉพาะในดวงจิต รู้
ธรรมลกึ ลับสขุ มุ คัมภรี ภาพ
ท่านทรงกลด : สติปฏั ฐานสี่ เม่ือปฏิบัติถึงจิตถึงใจ รู้เห็นธรรมแล้วจะเกิดความรู้
นับประมาณไม่ได้ ท่ีว่าเป็นความรู้อนันตนัย หาประมาณมิได้ หมายความว่า
เป็นความรู้เร่ืองขันธ์ห้าท่ีประมาณมิได้ สติปัฏฐานส่ีเป็นเรื่องของการเรียนรู้
เร่ืองรูปนามขันธ์ห้าท้ังส้ิน อย่างกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ก็เป็นเรื่องของกาย
ของรูป แต่ไม่ได้หมายถึงว่าจะจบแต่เพียงเรียนรกู้ ายเท่านั้น เพราะทุกหมวดใน
กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ล้วนแต่นาพาไปสู่การพบจิตพบธรรมทั้งสิ้น หรือ
เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ก็เป็นการเรียนรู้เวทนา ถึงตรงนี้คงไม่ต้องอธิบาย
แลว้ กระมงั วา่ เวทนาคืออะไร
ถา้ คนในกลุ่มธรรมนี้ ยังเข้าใจว่าว่าเวทนาคือความสงสารแบบเวทนาทางโลก
ที่มักจะพูดว่า คนน้ีน่าเวทนายิ่งนัก ก็ถือว่าสอบตกอย่างส้ินเชิง หรือ
จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ก็เรียนรู้เร่ืองจิตที่ปรุงแต่งเป็นความคิดต่างๆ เห็น
สัญญาก็จับสัญญามาปรุงแต่งเป็นโน่นน่นี ่ัน ส่วนธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน น่ี
มาทีหลัง หลังจากรู้เห็นธรรมแล้ว จะเรียนลัดไปเรียนรู้เร่ืองปฏิจจสมุปบาท
อายตนะ ก็คงจะได้แค่ความเข้าใจความจา มันไม่เห็นภาพหรอก แต่ถ้าเห็น
ธรรม สิ่งท่ีกลา่ วไวใ้ นธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานก็จะปรากฏชัด พระพทุ ธเจ้าจึง
ตรัสธัมมานุปสั สนาสติปัฏฐานไว้ท้ายสุด หลวงป่มู ่ันกล่าวว่าสติปัฏฐานน้ี หาก
เรียนรู้ได้ถึงแก่นของมันแล้ว ก็จะหาค่าประมาณมิได้ เพราะทาให้ส้ินภพส้ิน
ชาติ หยุดการเวียนว่ายตายเกิด ความรู้อื่น สามารถเรียนรู้ได้ด้วยการจาการ
ท่องการเข้าใจ แตส่ ติปัฏฐานจะไม่เหมือนความรู้ชนิดอื่น ตรงที่ว่าเรียนรู้แล้ว
๑๔๖ | โอวาทธรรมหลวงปู่ม่นั
จะเห็นได้เฉพาะตนเท่านั้น จะไปทาให้คนอ่ืนมาเห็นเหมือนตนไม่ได้ อย่าง
ความรเู้ ร่ืองคณิตศาสตร์ เรื่องถอดสมการ เราสามารถสอนให้เห็นให้รูก้ ันด้วย
ตาเปลา่ บนกระดาษ กระดานได้ แตส่ ติปัฏฐานมันเป็นเรื่องของจิต รู้ไดเ้ ฉพาะ
ตน ท่านจงึ วา่ เป็นสันทิฏฐิโก เป็นปจั จัตตงั ร้ขู น้ึ ในดวงจิตของนกั ปฏิบัติเทา่ นั้น
รูแ้ ลว้ จะเหน็ วา่ สง่ิ ทีร่ เู้ ปน็ ธรรมทล่ี กึ ลบั สขุ ุมคัมภีรภาพจริงๆ
อัตตฺ าห…ิ . ฯลฯ เปน็ ของลึกลับเหลือที่สุด
อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นท่ีพึ่งของตน เร่ืองนี้เคยแสดงไปนานแล้ว คน
โลกๆ จะเข้าใจว่าตนเป็นท่ีพึ่งแห่งตน ก็คือต้องช่วยเหลือตนเอง แต่ในทาง
ธรรมมันลึกซ้ึงกว่าน้ัน คาว่าตนเป็นที่พ่งึ แห่งตนหมายความว่าเอาตนมาศึกษา
มาธัมวิจยะ ตนได้แก่อะไร ก็ได้แก่ กาย รูปน้ีได้แก่ เวทนาสัญญาสังขาร
วิญญาณ เอาตนมาเรียนรู้ตน เพ่ือจะได้แจ้งในตน เมื่อแจ้งในตน กล่าวคือ
เห็นชัดแจ้งด้วยญาณแล้ววา่ ตนไม่มอี ะไร ความยึดม่ันหรืออุปาทานในตนก็จะ
หมดไป ความยึดม่ันหมด ทุกข์ก็หมด เพราะทุกข์เกิดจากความยึดม่ันในตนนี้
แหละ พระพุทธเจ้าหรอื พระอรยิ สาวก ตอนตรัสรูบ้ รรลุธรรม ไม่ได้บรรลุนอก
ไปจากตน แต่บรรลุในตนนี่เอง เห็นตนตามความเป็นจริง จึงเรยี กว่าตนเป็นท่ี
พ่งึ แหง่ ตน เมื่อเห็นตนตามจริง ปรากฎเป็นญาณทสั สนะขึ้นในจิต จะพบวา่ มัน
เป็นของที่ลึกลับเหลือเกิน แต่ด้วยญาณทัสสนะ ก็จะคลี่คลายความลึกลับ
ออกมาได้
ให้รูธ้ าตเุ หน็ ธาตุ จิตจึงไม่ติดทางราคะ
อันน้ีก็ดังแสดงไป ให้เห็นว่ากายน้ีเป็นเพียงแค่ธาตุดินน้าลมไฟประกอบกัน
เท่าน้ัน หาความหมายแห่งสัตว์บุคคลตัวตนเราเขาไม่ได้สักอย่าง ถ้าเห็นคน
เป็นธาตุดินน้าลมไฟ ความสวยงามภายนอกจะหมดราคาลง มีแต่ดนิ แต่น้าลม
โอวาทธรรมหลวงปู่ม่ัน | ๑๔๗
ไฟเท่านั้น เมื่อเห็นดังน้ี จิตก็จะไม่ปรุงแต่งราคะข้ึนได้ เรียกว่าจิตไม่ติดทาง
ราคะ ด้วยเหตุนี้ เพราะไม่มีใครท่ีไหนจะมีราคะกาหนัดกับดิน กับน้า กับลม
กบั ไฟ แต่ถ้าเห็นคนเปน็ คนเมอ่ื ใด เห็นเป็นหญิงเปน็ ชาย เห็นเปน็ สวยเปน็ งาม
เป็นหล่อเม่ือใด ก็จะเกิดราคะข้ึนเมื่อนัน้ เกิดความอยากได้ เกดิ ความกาหนัด
ยนิ ดีขึ้นมา ตรงทเี่ กดิ ความกาหนดั เกดิ ตณั หาราคะ ตรงน้ันกค็ ือทกุ ข์
มีราคะ ย่อมเศร้าโศกเสียใจเพราะราคะฯ ผู้มีราคะคือความอยากได้อยากมี
อยากเปน็ มีความกาหนดั ในกาม ยอ่ มทุกขโ์ ศกเสยี ใจอย่างไมต่ ้องสงสัย เพราะ
ราคะยอ่ มนาทุกขโ์ ศกมาให้
อยา่ งคนเรามรี าคะ อยากมีค่คู รอง ผลของการมคี คู่ รอง ถ้าพิจารณาดๆี จะเห็น
ว่ามีแต่ความทุกข์ทั้งน้ัน มีลูกมีหลานก็มีทุกข์ แต่เรามองไม่เห็นมันเอง หลง
สนกุ อยู่กบั ทุกข์ โดยไมร่ ู้วา่ ทุกข์ คนมีราคะ จิตจะเศร้าหมองไม่ผ่องใส ทันทีท่ีมี
ราคะ จิตยอ่ มเศร้าหมองทันที จิตที่เศร้าหมองก็ย่อมนาทกุ ข์โศกมาให้อย่างไม่
ตอ้ งสงสัย มีความอยากได้สิ่งใด ไม่ได้ส่ิงน้ัน อันน้ีก็ราคะทาพิษ ผลก็คอื ความ
เศร้าโศก ไดส้ ่ิงใดมา ส่งิ น้ันก็ย่อมไมเ่ ท่ียง พอถึงเวลาสูญเสยี สิ่งน้ันไป ก็ทกุ ข์ก็
โศกอีก ให้พิจารณาให้เห็นโทษของราคะ จิตจะได้เบื่อหน่ายคลายกาหนัด
ออกมา
เขาโกรธเรา แต่เราอย่าตอบ ให้พิจารณาความบริสุทธ์ิละลาย แล้ว
ยกธงชัยข้ึน และมีอะไรก็สงเคราะห์เขาผู้ประมาณ ไม่นานเขากลับคืนดี ไม่
กลบั คนื ดกี ว็ ิบัติถงึ ตายทีเดยี ว
อันน้ีท่านก็สอนว่าให้ชนะคนโกรธด้วยการไม่โกรธตอบ คนโกรธ ให้ดูดีๆ
เหมือนคนบ้า เราเห็นวา่ เขาบ้า แต่เรายังบ้าตามเขา แสดงว่าเรานเ้ี ลวกว่าเขา
คาว่าให้พิจารณาความบริสุทธ์ิละลาย หมายความว่าให้เอาใจท่ีบริสุทธ์ิเข้า
๑๔๘ | โอวาทธรรมหลวงปมู่ ัน่
ละลายความโกรธ ไม่โกรธตอบ มีอะไรก็สงเคราะห์ช่วยเหลือเขา ถ้ายังมีบุญ
วาสนากันอยู่ เขาก็จะหายโกรธ กลับคืนดีกันได้ แตถ่ ้าเขาไม่ยอมคนื ดี หากเรา
สงเคราะห์เขาด้วยใจท่ีบริสุทธ์ิ เขานั่นแหละจะวิบัติไปเอง บางทีก็ถึงตายก็มี
เรื่องความโกรธนีเ่ ปน็ เร่อื งหยาบมากสาหรบั นักปฏิบตั ธิ รรม เพราะเป็นอารมณ์
ท่เี หน็ ได้อย่างชดั เจนมาก นักปฏิบัติธรรมท่านใดไม่เห็นความโกรธ ก็อยา่ เพ่ิงริ
ถามหาพระนิพพาน ให้รู้เท่าทันความโกรธให้ได้ก่อน อย่างบางคนคบกันมา
ย่สี ิบสามสบิ ปี โกรธด้วยเรอื่ งท่ีไม่เปน็ เรื่องหน่อยเดยี วก็เลกิ คบกนั ไปเลย พวก
เรานักปฏบิ ัติอยา่ ให้มีเรือ่ งเชน่ นี้เกดิ ขึ้น ถา้ เกดิ แสดงวา่ ยงั หยาบอยอู่ ีกมาก แต่
ถ้าเขาเลิกคบเราด้วยเรอื่ งไม่เปน็ เร่ืองเอง ก็ปลอ่ ยเขาไป ใหเ้ อาเพือ่ นทางธรรม
จะดีท่ีสุด เพ่ือนทางโลก ล้วนเป็นไปด้วยอารมณ์ หาความแน่นอนไม่ได้ น้อย
คนที่จะพบเพ่อื นทางโลกทยี่ ่ังยืน
คนเราจะดจี ะชัว่ ตอ้ งเกดิ วบิ ัติเสียกอ่ น
อนั นีห้ มายความวา่ คนเราจะเห็นว่าดีหรอื ช่วั จรงิ กต็ ้องมเี หตุวิบตั เิ สยี กอ่ น พอ
มีเหตุวิบัตกิ ็จะเห็นล่ะว่าดีหรือช่ัวจรงิ ตอนไม่มีเหตุวบิ ัติ คือเหตุร้ายตา่ งๆ ก็ดู
ไมอ่ อกหรอก มันดไี ปเสียหมด คู่รักสามีภรรยากเ็ หมอื นกนั ตอนรักกันอะไรก็ดี
ไปหมด พอมีเร่ืองร้ายเกิดข้ึนจะเห็นได้ชัดว่าเขาเป็นอย่างไร ร่วมทุกข์ร่วมสุข
ได้จรงิ ไหม ถึงเวลาท่มี ีเหตุคบั ขัน เหตุร้าย คนทีเห็นว่าดกี ็อาจจะไม่ดดี ังทีเ่ หน็ ก็
ได้ ส่วนที่เห็นว่าไม่ดี ก็อาจจะกลับเป็นคนดีอย่างที่คาดไม่ถึงเลยก็ได้ โบราณ
เขาถึงว่าคนเราจะเห็นกันก็ยามยาก เพื่อนก็เหมือนกัน ยามดี มันไม่เห็นหรอ
กว่าดีจรงิ ไม่ดีจรงิ ลองเราตกยากสิ คราวนี้ก็จะเห็นล่ะว่าใครดจี รงิ ไมด่ ีจริง
ความวิบตั ิต่างๆ ก็เป็นการพิสจู นค์ นไปในตัววา่ คนนน้ั ดีจรงิ หรือไมจ่ รงิ ถา้ ดจี ริง
รักดีจริงๆ ก็จะสามารถมีกาลังใจฝ่าภัยวิบัติไปได้ แต่ถ้าไม่ดี ก็จะเห็นว่าท่ีแท้
คนคนนน้ั เปน็ คนอย่างไร เหน็ แกต่ วั เพยี งใด
โอวาทธรรมหลวงปู่ม่ัน | ๑๔๙
ขยายความธรรม ในกลมุ่ สายธารธรรม เม่อื วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๓
ธรรมะ ธัมโม เรียนมาจากธรรมชาติ เห็นความเกิดความแปรปรวน
ของสงั ขารประกอบด้วยไตรลกั ษณ์
ทา่ นทรงกลด : อันนีก้ ็เขียนไว้ในหนังสือกว่าจะถงึ กระแสธรรมแล้วเชน่ กนั ว่า
ธรรมะก็คือธรรมชาติ ธรรมชาติภายนอกและภายใน ธรรมชาติภายนอกไม่
สามารถทาให้ถึงหลกั ธรรมทแี่ ท้จรงิ ได้ แต่ธรรมชาติภายในคือกายและใจที่ปรุง
แต่งเป็นสังขารต่างๆ จะทาให้เข้าถึงหลักธรรมที่แท้จริงได้ หลวงปู่ม่ันสอนว่า
ให้เรยี นธรรมะจากธรรมชาติ ใหเ้ หน็ ความแปรปรวนของสงั ขารทัง้ ปวง วา่ ล้วน
กต็ กอยู่ภายใตก้ ฎไตรลักษณ์ท้ังน้ัน เคยบอกศษิ ยค์ นหนึ่งวา่ ให้ดตู ้นไม้ ดอกไม้
วันน้ีมันเขียว สักวันก็จะเหลือง ดอกไม้วันน้ีมันสวย วันหนึ่งก็จะร่วงหล่นไป
นนั่ แหละอนิจจังล่ะ เหน็ อนจิ จังข้างนอก ก็น้อมเขา้ สู่อนิจจังข้างในคือกายคือ
ใจทีป่ รุงแตง่ เป็นอารมณ์ต่างๆ เขาบอกมันจะงา่ ยถงึ เพยี งนั้นหรือ บอกว่าลอง
ไปทาดูเถิด ทุกวันนี้ เหมือนจะยังติดความสงบอยู่เลย มันไม่ได้ง่ายอย่างน้ัน
ถา้ ง่าย ทาไมจงึ ยังวิง่ ตามอารมณ์น้อยใหญอ่ ยูล่ ะ่
การเรียนรู้ธรรมชาติ เห็นอะไรก็น้อมเขา้ มาภายใน เรยี กวา่ โอปะนะยโิ ก น้อม
เขา้ มาๆๆ ให้มันน้อมเข้ามาด้วยไตรลักษณ์ เหน็ ใบไม้รว่ ง น้อมเขา้ มาว่าไม่ต่าง
จากผมจากขนในร่างกายน้ี ว่ามันจะร่วงเหมือนกัน อนิจจัง คือไม่เท่ียงแท้
เหมือนกัน ทุกขงั คอื ทนอยู่ไม่ไดเ้ หมือนกนั อนตั ตาก็คอื เมอื่ ร่วงหล่นย่อยสลาย
กลบั คืนสู่สภาพธาตเุ ดิมของเขาคอื ธาตดุ ินบ้าง นา้ บ้าง มันก็หาตัวตนของใบไม้
ไม่ได้ หาตัวตนของผมของขนไมไ่ ด้ อนิจจัง ทุกขงั อนัตตานแี่ หละ คือทางพ้น
ทุกข์ สตปิ ัฏฐานส่ีก็สอนเรื่องอนจิ จงั ทกุ ขัง อนัตตาทั้งนั้น ลองไปหาอ่านฉบับ
เตม็ กันดู
๑๕๐ | โอวาทธรรมหลวงปู่ม่นั
อะไรขึ้นชื่อว่าสงั ขารคอื การปรงุ แต่ง ก็ล้วนแต่ต้องแปรปรวนด้วยอานาจพระ
ไตรลักษณ์ทั้งนั้น อย่างอารมณ์ต่างๆ ไม่ว่าดีหรือร้าย ความคิดปรุงแต่งต่างๆ
ไม่ว่าดีหรือร้าย มันก็เกิดแล้วต้องเส่ือมดับไปท้ังสิ้น ให้พิจารณากาย อารมณ์
ตา่ งๆ ยินดีบ้าง ยินร้ายบ้าง ความคดิ ปรุงแต่งต่างๆ ดีบ้างชั่วบ้าง ด้วยอนิจจัง
ทุกขังอนัตตาอยเู่ สมอ ตง้ั แต่เช้าถงึ เขา้ นอน ถา้ ทาไดจ้ ะเกดิ อะไรขนึ้ มันจะเป็น
อย่างน้ี จิตมันจะเห็นว่ารูปนามขันธ์ห้าอารมณ์มันไม่เท่ียง ถ้าเราเห็นการเกิด
ดับอยู่เสมอ จิตจะค่อยๆ ผละออกมาเองโดยอัตโนมัติ นี่คือหลักการท่ี
พระพุทธเจ้าค้นพบและทรงนามาสอนชาวโลก อะไรทีเ่ กิดดับส่ิงน้นั ย่อมไม่ใช่
จติ จิตแท้ จติ เดิม ย่อมมสี ภาพท่ไี มเ่ กดิ ไม่ดับ ที่เกิดดับคือสิ่งที่ปรุงแต่งออกไป
จากจติ เรียกวา่ สังขารทงั้ ปวงนน่ั แหละ
สภาพที่จิตไม่เกิดไม่ดับ จะเห็นเมื่อพบจิตพบธรรม แล้วจะเห็นสิ่งทั้งปวงเกิด
ออกไปจากจิต สิ่งใดเกิดสิ่งน้ันย่อมดับ จะเห็นสภาพธรรมตรงน้ีได้ ก็ต้องเริ่ม
จากอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา น่ังภาวนาจติ สงบแข็งทื่อให้ตายอย่างไร ก็ไม่มีวัน
เห็น ต้องเห็นธรรมชาติตามความเป็นจริง จึงจะเห็น การเรียนธรรมะจาก
ธรรมชาติ เคร่ืองมือท่ีใช้เรียนก็คืออนิจจัง ทุกขังอนัตตาน่ันเอง เคยสอนไป
หลายครั้งว่าทาไมเวลาเห็นสังขาร จิตจึงผละออกมา เปรียบเหมือนบ้านหลัง
หนึ่ง ถ้าเราเห็นบ้านพัง เราก็จะต้องวิ่งออกมา สงั ขารอารมณ์ทงั้ ปวงก็เช่นกัน
ถา้ เราเห็นอารมณส์ ังขารมันเสื่อมมันพังบ่อยๆ จติ ก็อยู่ไม่ได้ ต้องวิ่งออกมาได้
สักวันหน่ึง วันใดวิ่งออกมายืนข้างนอกได้ ไม่ยุ่งเก่ียวกับบ้านคืออารมณ์อีก
ตอ่ ไป วันน้นั ก็จะพบจะเห็นตนเอง จิตตั้งม่ันมันจะเห็นตนเอง ขณะเดียวกันก็
จะเห็นสภาพธรรมขันธ์ห้าอย่างชัดแจ้งเหมือนตาเห็นรูป ก็จะไม่สงสัยในขันธ์
ห้าอารมณ์อีกต่อไปวา่ มนั ใชเ่ ราของเราหรอื ไม่ ส้นิ สงสัยไปตลอดอนนั ตกาล
โอวาทธรรมหลวงปู่ม่ัน | ๑๕๑
เรียนแบบตาราเป็นของท่ีไม่แน่นอน สู้เรียนทางกายและจิตให้เป็น
ธรรมชาติไม่ได้ ฉะนน้ั ผเู้ รียนกายวาจาจิตไม่ใคร่สึก ปฏิบัติแต่ธรรมทร่ี ู้ยิ่งเห็น
จริงฯ
อันน้ีก็ชัดยิ่งกว่าชัด การเรียนจากตาราตามแบบ เป็นของไม่แน่นอนจริงๆ
เพราะได้แต่เพียงความจาความเข้าใจ ความจาก็ไม่เท่ียง ความเข้าใจซ่ึงก็คือ
ความคิดปรุงแตง่ กไ็ ม่เทยี่ ง วันนี้จา พรุ่งนลี้ มื วนั น้เี ข้าใจ พรุ่งน้ีไม่เข้าใจ อย่าง
พวกนักปริยัตินั่งเถียงถกธรรมกัน ก็เอาความจาความเข้าใจมาแข่งกัน หา
ประโยชน์อนั ใดไม่ได้เพราะมันก็ไดแ้ ค่ความจาความเขา้ ใจเทา่ นน้ั เอง ใครจาได้
มากกว่า เข้าใจมากกว่า คนน้ันก็ถูกยกย่องว่าเป็นปราชญ์ หารู้ไม่ว่า เป็นแค่
ใบลานเปล่าเท่าน้นั เอง ท่ีน่าสังเวชใจเปน็ ที่สุดก็คอื ชาวพุทธหลงเข้าใจว่าพระ
ทร่ี ู้มาก พูดมาก จาคัมภีร์ได้มาก คือพระอริยะเจา้ ตา่ งๆ หลวงปู่ชาบอกว่า ใน
นัน้ เขาไมไ่ ดแ้ บกคัมภีรเ์ ข้าไปหรอกนะ
หลวงตามหาบัว ตอนไปกราบหลวงปู่มัน่ ท่านบอกว่า ท่านมหา วางคัมภีร์ไว้
ก่อนนะ พระที่หลงคัมภีร์ หลงตารา อยู่ไม่นานก็สึก เพราะมันได้แค่ความจา
มนั เข้าไม่ถึงรสแห่งธรรม รสแห่งพระนพิ พาน ถ้าลองปฏิบัตเิ ข้าถงึ รสแห่งธรรม
แห่งพระนิพพานได้จริง ไมม่ ที างสึก ท่ีสกึ กเ็ พราะมันได้แค่ความจาความเข้าใจ
ที่ไม่สึกก็เพราะไม่มีท่ีไป แก่เกินไปแล้ว แต่พระบางองค์ แม้ยังไม่บรรลุธรรม
จดจาคัมภีร์ได้มาก แต่สามารถทาคุณประโยชน์ให้พระศาสนาได้ก็มี แต่ถ้าไป
ถามเร่ืองปฏิบัติเรอื่ งจิตเรื่องใจ ก็จะยกเอาคัมภีร์ตารามาตอบเท่านั้นเอง ตอบ
ไปตามความจาความเข้าใจ ไม่ได้ตอบออกมาจากใจท่ีรู้แจ้งในธรรมจริงแต่
สาหรบั ผูท้ ่ีเรียนจากกายวาจาจิต ปฏิบัตจิ นรู้ยิง่ เห็นจรงิ แล้วก็จะไม่สึก มแี ต่จะ
ปฏิบัตใิ ห้ร้จู ริงเห็นแจ้งยง่ิ ๆ ขึ้นไป จนจบกจิ
๑๕๒ | โอวาทธรรมหลวงปมู่ ั่น
สาหรับพระสมัยน้ี เท่าที่เห็น ออกยูทูบออกคลิปอะไรต่างๆ ล้วนแต่เป็นพระ
นกั จาทั้งน้ัน พระนักปฏบิ ตั ิท่ีรู้จรงิ เหน็ แจ้งหาไม่มีหรอก พระทีร่ จู้ รงิ ท่านไม่ทา
คลิปทาหนังอะไรหรอก เพราะท่าน "เลกิ แสดง" ไดแ้ ล้ว ทแ่ี สดงอยู่ ไมใ่ ช่พระ
หรือพระบางรูป ก็ปฏิบัติ แต่ปฏิบัติผิดทาง ไปหลงฌานเป็นญาณ หลงว่าตน
บรรลุอรหัตผลแล้วบ้าง บรรลุธรรมแล้วบา้ ง แล้วก็สอนนาพาศิษย์ให้หลงทาง
มากมาย ยงั ไม่รเู้ หน็ ธรรมจรงิ พระพวกน้ี ก็จะหลงอามสิ คือวัตถุต่างๆ ได้ จะมี
ข้อวัตรปฏิบัติแปลกๆ ต่างไปจากครูบาอาจารย์ท่ีรู้เห็นธรรมจริง ซึ่งคนมี
ปัญญาก็จะมองออกได้ไม่ยาก บางทีก็จะเห็นพระแบบน้ีบางรูปสึกออกมา
เหมือนกัน
ใหถ้ ือตามมีตามได้ หนั หาธรรมชาติ อย่าก่อความกังวลน้นั ดมี าก เมื่อ
ปฏบิ ัติไดแ้ ลว้ กไ็ มด่ ีใจ เสียใจ
อนั น้ีก็หมายถึงว่าในการปฏิบัติน้ันให้มักน้อย อย่าขวนขวายมาก ให้ถือตามมี
ตามได้ ไม่ต้องดนิ้ รนแสวงหาสถานท่ีอะไรใหม้ าก ไม่ต้องขวนขวายอยากได้ส่ิง
นั้นส่ิงนี้ใหม้ าก สง่ิ อานวยความสะดวกต่างๆ กไ็ มค่ วรดนิ้ รนเรยี กร้องจากคนให้
มาก มีแค่ไหนก็พอแค่นั้น ได้แค่ไหน ก็พอแค่น้ัน งานหลักของพระไม่ใช่
แสวงหาความเจริญทางวัตถุ ไม่ใชเ่ ที่ยวปลุกเสกพระเครื่องรางของขลัง ไม่ใช่
เท่ียวทาพิธี ทาน้ามนต์อะไรต่างๆ งานหลักของพระก็คือการปฏิบัติ หันหา
ธรรมชาติ ธรรมชาติภายนอกก็คือความเรียบง่าย อยู่ป่าช้าบ้าง อยู่ป่าอยู่เขา
บ้าง ไม่ควรคลุกคลีกับผู้คนให้มากและใหห้ ันหาธรรมชาติภายใน คือกายและ
จิตอันนี้ พจิ ารณากายก็เรียกว่าหันหาธรรมชาตแิ ลว้ พิจารณาจิตท่ีปรงุ แตง่ เป็น
อารมณต์ า่ งๆ ก็คือเรยี กวา่ หนั หาธรรมชาตแิ ลว้
โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น | ๑๕๓
ถ้าเราเที่ยวแสวงหาไปสถานท่ีต่างๆ อยู่ อยากได้เครื่องอานวยความสะดวก
อย่างน้ันอย่างน้ี อยากสร้างถาวรวัตถุให้มันวิจิตรตระการตา ส่ิงเหลา่ น้ันย่อม
นามาซ่ึงความกังวลท้งั ส้ิน พระบางรูปก็ง่วนแตส่ ร้างโน่นน่นี ั่น กลางคืนก็กังวล
แต่เรอ่ื งการก่อสรา้ ง เกรงเงินจะไม่พอบ้าง เกรงคนงานจะทง้ิ งานบ้าง เกรงงาน
จะบกพรอ่ งอยา่ งโน้นอยา่ งนบ้ี ้าง จปิ าถะ สารพัดความกังวลทถ่ี าโถมเขา้ มา ถ้า
ยังไม่บรรลุธรรม ก็ยากที่จะรู้เท่าทันความกังวลต่างๆ เช่นท่ีว่าน้ัน แล้วความ
เดือดร้อนก็ตกอยกู่ ับลูกศิษย์ ต้องเทีย่ วหาเงนิ หาทองมาประเคนใหพ้ ระทาน่ัน
ทานี่ ซื้อน่ันซื้อน่ี จิตนี้วุ่นอยู่แต่ญาติโยม จิตท่ีวุ่นน่ันแหละคือความกังวลล่ะ
บางทีก็ลงมือขอนั่นขอน่ีจากศิษย์ กลายเป็นพระนักขอ แทนท่ีจะเป็นพระ
นักปฏิบตั ิ
แตถ่ ้าเป็นพระนักปฏิบัติ จะถอื ตามมีตามได้ หนั หาธรรมชาติทัง้ กายและใจ อยู่
กบั กายและใจท้ังวันท้ังคนื ไม่สง่ จิตออกนอกไปไหนได้ วันหนง่ึ เมอื่ ปฏิบัติได้ ก็
ไม่ดีใจ เสียใจ ตรงนี้ถ้อยคาเหมือนจะง่าย แต่จริงๆ ลึกซ้ึง คาว่าปฏิบัติได้
หมายถึงอะไร ได้อะไร ก็คอื ได้ "ใจ" หลวงป่มู ั่นบอกเสมอวา่ ได้ใจก็คือได้ธรรม
ได้ธรรมก็คือได้ใจ พบใจคือพบธรรม พบธรรมก็คือพบใจ การปฏิบัติได้ ก็คือ
การปฏิบตั ิไปจนถึงพบใจ ไดธ้ รรม การนงั่ บรกิ รรมภาวนา จติ สงบรวมลงไป ยัง
ไม่เรียกว่าปฏิบัติได้ หรือนั่งคิดน่ังเข้าใจ จนลงแก่ใจ ก็ยังไม่เรียกว่าปฏิบัติได้
อนั น้ีเรียกว่าทึกทักไปเองว่า "ได้" การปฏบิ ัติท่ีเรียกว่าได้จรงิ ๆ กค็ ือการเจริญ
สติปัฏฐานจนเกดิ สภาวธรรมจิตตั้งม่นั เปน็ สัมมาสมาธิในมรรคมอี งค์แปด ตรง
นั้นจะพบใจ พบธรรม พอพบใจพบธรรม จะพบว่าสภาพเดิมของจิตของใจ
ไม่ใช่เสียใจหรือดีใจ อย่างท่ีหลวงปู่ชาบอกไว้ไม่ผิดเพ้ียน ว่าจติ เดิมหรือใจแท้
ไม่ดีใจหรอื เสียใจกับใคร ที่ดีใจเสียใจมันคืออารมณ์ หลวงปู่มั่นจึงบอกว่า เมื่อ
ปฏิบัติได้แล้วก็ไม่ดใี จหรือเสียใจ หมายถึงว่าเม่ือพบใจ ได้ธรรม ก็จะพบว่าจิต
หรือใจทีไ่ ด้ที่พบนั้น มีสภาพไม่ดีใจหรือเสียใจ ทด่ี ีใจหรือเสียใจมันก็คอื อารมณ์
๑๕๔ | โอวาทธรรมหลวงปมู่ ่ัน
อย่างหนงึ่ คอื เวทนา จิตที่แยกจากเวทนาได้ จะไม่ดใี จไปตามอารมณย์ ินดีหรือ
สขุ เวทนา ขณะเดียวกนั จติ ที่แยกจากเวทนาได้ ก็จะไม่เสยี ใจไปตามอารมณย์ ิน
รา้ ยหรือทกุ ขเวทนาดว้ ยเชน่ กนั เขาจะมีสภาพเปน็ กลางๆ เป็นสภาพกลางๆ ท่ี
สงบ ตัง้ มน่ั และสุขยงิ่ ดังท่ีหลวงปูเ่ ทสก์ เทสรังสี กลา่ วสรุปไว้วา่ ผู้ใดทาใจให้
ถงึ ความเปน็ กลางได้ ผนู้ ้ันจะพ้นจากทุกขท์ ้ังปวง
โอวาทธรรมหลวงปู่มน่ั | ๑๕๕
ขยายความธรรม ในกลุม่ สายธารธรรม เม่อื วนั ท่ี ๑๙ ตลุ าคม ๒๕๖๓
วาจาของท่านเปน็ ธรรมชาติท่ีบริสุทธ์ิด้วยศลี สมาธิ ปัญญา ไม่มลี าภ
ยศ อามิสเจือวาจาของทา่ น เทศนจ์ ึงขลังดี พดู ถกู ธรรม ตรงไป ตรงมา ไมเ่ ห็น
แก่หน้าบุคคลและอามิส
ทา่ นทรงกลด : เมอื่ ใจของทา่ นบริสทุ ธิ์แลว้ กจ็ ะทาให้วาจาบริสุทธไ์ิ ปด้วย ท่าน
จะพูดแต่เร่ืองศีล สมาธิ และปัญญาทางธรรมเท่านั้น ไม่มีเรื่องลาภยศหรือ
อามิสอ่ืนเจือวาจาของท่านเลย หมายถึงว่าท่านไม่เคยพูดเอ่ยวาจาขอลาภขอ
ยศขออามิสอันใดเลย พระแทจ้ ะไมเ่ อือ้ นเอ่ยขอนน่ั ขอน่ีจากญาติโยม มเี ทา่ ไรก็
เท่านั้น ไม่มีก็คือไม่มี ถ้ายังขออยู่ ยังไม่ใช่พระแท้ ท่านไม่เคยแสดงธรรมเพื่อ
ขอวัตถุสิ่งของจากญาติโยมเลย เทศน์ของท่านเป็นไปเพื่อศีล สมาธิ ปัญญา
เพื่อพระนิพพานแต่อย่างเดียว เทศน์ท่านจึงขลัง ศักดิ์สิทธ์ิ เป็นธรรมล้วนๆ
ธรรมแท้ จะแสดงตรงๆ ไม่อ้อมไปอ้อมมา ไม่เห็นแก่หน้าบุคคลหรือสิ่งของ
ไม่ใช่กลัวว่าเทศน์แรงๆ ลูกศิษย์จะหายหมด พอลูกศิษย์หาย ลาภวัตถุส่ิงของ
เงนิ ทองก็หาย
พระบางรูปกเ็ กรงใจญาติโยม ตอ้ งคอยพดู เอาอกเอาใจ กลัวญาตโิ ยมหาย กลัว
ลูกศิษย์หาย พระอย่างน้ัน ยังไม่ใช่พระแท้ พระแท้จะเทศน์ไม่เกรงกลัวใคร
เพราะความตายยังไม่กลัว แล้วจะกลัวสิ่งใดอีก เรยี กว่าเทศนต์ รงไปตรงมา ถูก
ก็ว่าถกู ผดิ ก็ว่าผดิ ไม่ไดส้ นใจวา่ ใครชอบหรอื ไม่ชอบ อยา่ งพระบางรปู พอเห็น
คนมีเงินมีทอง เป็นคุณหญิงคุณนาย เป็นนายทหารยศใหญ่ๆ นายตารวจยศ
ใหญ่ ก็จะเทศน์หรือพูดเอาอกเอาใจ ไม่ใช่ก็บอกว่าใช่ รักษาน้าใจ ปรนเปรอ
ด้วยคาหวาน เพือ่ ให้เขาอย่เู ป็นลูกศิษย์ พระบางรปู ก็เอาแต่ศิษย์รวยๆ จนๆ น่ี
เข้าไม่ถึงหรอก พระอย่างนี้ยังเห็นแก่วัตถุทานอยู่ ยังไม่มีใจบริสุทธิ์แบบพระ
แท้อย่างหลวงปู่ม่ัน เทศน์ของพระพวกนี้จึงยังไม่ถึงแก่น ยังไม่ถึงจิตถึงใจ
๑๕๖ | โอวาทธรรมหลวงปู่ม่ัน
เทศน์หรือธรรมทแี่ สดงก็กลับกลอกไปมา ยังไมเ่ ปน็ ธรรมทบี่ ริสทุ ธิ์ เพราะไม่ได้
ออกมาจากใจแท้
คณาจารย์บางองค์แสดงอริยสัจจ์ มีลาภ ยศ เจืออริยสัจจ์ เป็น
ส่วนมาก อันนี้หมายถึงคณาจารย์ที่ยังไม่ใช่ของแท้ แสดงอริยสัจจ์ ก็เพื่อลาภ
เพ่ือยศ คือแสดงอริยสัจจ์ไปตามความจาความเข้าใจที่ร่าเรียนมา ไม่ได้แสดง
อริยสัจจ์ด้วยใจท่ีเห็นอริยสัจจ์ ถ้าแสดงด้วยใจท่ีเห็นอริยสัจจ์ จะไม่แสดงเพื่อ
ลาภยศเพ่อื อามสิ วตั ถใุ ดๆ
พระนักเทศน์ส่วนใหญ่ จบเปรียญธรรมเก้าประโยค สามประโยคก็ดี จบ
นักธรรมตรีโทเอกก็ดี แต่ไม่ได้ปฏิบัติจนถึงแก่นแห่งธรรม ก็จะเทศน์สอนไป
ตามที่ตนร่าเรียนเข้าใจมา เขียนหนังสือวางขายอยู่มากมาย พระเหล่านี้ยัง
ไม่ใช่พระแท้ หยิบหนังสือข้ึนมาอ่าน ตรงพุทธพจน์ที่ยกมาก็ถูกดีอยู่ แต่พอ
ขยายความก็เข้าป่าทุกราย เพราะขยายไปตามที่ตนคิดตนเข้าใจ ขยายความ
จากความจา ไม่ได้ขยายจากความจริงท่ีเห็นประจักษ์เป็นญาณทัสสนะ อ่าน
แล้วเห็นร่องรอยแห่งความผิดจากอริยสัจจ์แท้เต็มไปหมด บางเล่มก็เป็น
หนังสือขายดี พิมพ์เป็นสิบคร้ัง คนก็หลงซื้อมาอ่านกันมากมาย อ่านแล้วก็ได้
ความเป็นมจิ ฉาทิฏฐิเต็มหัวใจ เพราะหลงเชอื่ ว่าเปน็ พระมหา จบเปรยี ญธรรม
เก้าประโยค คงจะรเู้ ห็นธรรม ความจริงแล้ว ยังเป็นใบลานเปล่าอยู่ ยังปฏิบัติ
ไม่ถึงไหนเลย เอาอริยสัจจ์มาเขียนขาย เพ่ือหาเงินหาทอง บอกไปหลายคร้ัง
แล้วว่าธรรมแท้ไม่มีขายหรอก คนท่ีเห็นธรรมรู้ธรรม เขาไม่พิมพ์หนังสือ
ออกมาขายเพื่อหวังลาภสักการะอะไรแบบน้ันหรอก เหมือนหลวงปู่ม่ัน ท่าน
เทศน์ก็ไม่ได้เทศน์เพื่อลาภ เพ่ือทรัพย์สินเงินทอง พระแท้จะต้องเป็นแบบ
หลวงปู่ม่นั ถ้ายงั เทศน์ ยังเขียนหนังสือขายเอาเงนิ เอาทองอยู่ กไ็ มใ่ ชพ่ ระแบบ
หลวงปู่มั่น เป็นพระแบบไหนกไ็ ปคิดเอาเอง
โอวาทธรรมหลวงปู่ม่นั | ๑๕๗
อย่าเช่ืออภิญญาฯ ปฏบิ ัตเิ พ่ือลาภ ยศ สรรเสรญิ เป็นอาบตั ิทกุ กฎ
อย่าเช่ือว่าพระทไ่ี ดอ้ ภิญญาจะต้องเป็นพระอรหันต์ คาว่าอภิญญากค็ อื ความรู้
ความสามารถทางจิตพิเศษ เพราะอบรมสมาธิมาดี สมาธิแบบฌาน ทาให้เกิด
อภญิ ญาได้ รูเ้ หตุการณล์ ่วงหนา้ ได้ รวู้ าระจติ คนได้ เสกของใหศ้ ักด์ิสิทธ์ิได้ คือ
มีฤทธ์ิอภิญญานั่นเอง คนพุทธส่วนใหญ่ก็จะโงม่ ากๆ เห็นพระมฤี ทธ์ิอะไรพวก
นี้ก็ทกึ ทักวา่ เป็นพระอรหนั ต์ไปเสียหมด หารู้ไม่วา่ มันคนละเรอื่ งกนั
หลวงปู่ม่ันจึงเตือนว่าอย่าไปเช่ืออภิญญา ท่านเตือนทั้งพระท้ังโยม โยมก็ไม่
ควรหลงพระที่มีอภิญญา แต่กิเลสยังมีเต็มหัวใจ เอาฤทธิ์อภิญญามาใช้เพื่อ
แสวงหาลาภ หายศสรรเสริญ ขณะเดียวกันพระก็ไม่ควรเช่ืออภิญญา ไม่ควร
หลงอภิญญา ปฏิบัติเพ่ืออภิญญา เพ่ือลาภ เพือ่ ยศ ท่านบอกเป็นอาบัติทุกกฏ
คาว่าอาบตั ทิ ุกกฎเปน็ วนิ ัยพระ แตเ่ ป็นอาบตั ิแบบเบา คือสามารถปลงอาบตั ิได้
ด้วยการกล่าวคาปลงอาบัติกับพระภิกษุ แต่อาบัติแบบปาราชิก อันน้ีเป็น
อาบตั หิ นักท่ีสุด ภกิ ษใุ ดต้องอาบัตปิ าราชกิ กข็ าดจากความเปน็ พระ โดยไมต่ ้อง
สึกแต่อย่างใดมีพระจานวนมาก เปน็ พระปาราชิก แต่ยังครองจีวรอยู่ ชาวบ้าน
ก็ไม่รู้ ก็หลงทาบุญอยู่ ทาบุญกับพระพวกน้ี อานิสงส์ท่ีได้ก็เหมือนให้ทาน
ขอทานเทา่ นน้ั เอง
ปาราชิกมีสี่อย่างคือเสพเมถุน ลักทรัพย์ ยักยอกทรัพย์ ตามตาราบอกว่าแค่
บาทหนึ่งก็ปาราชิกแล้ว พระจะปาราชิกข้อน้ีเป็นจานวนมาก ทรัพยใ์ ดที่ญาติ
โยมถวายแล้วบอกว่าเป็นสังฆทาน หากไปเอามาใช้ส่วนตัว ถ้าไม่ขอต่อสงฆ์
กอ่ น ก็ปาราชิกไดท้ ันที ส่วนทรัพย์ที่เขาถวายให้ส่วนตวั ความหมายก็บอกอยู่
ในตัวแล้วว่าเป็นของพระรูปนั้น อย่างนี้ไม่ปาราชิก เร่ืองน้ีเป็นเรื่อง
ละเอยี ดออ่ น แต่พระสมัยน้ีก็ไม่นาพากันหรอก เงนิ ที่เขาถวายเพื่อการเฉพาะ
๑๕๘ | โอวาทธรรมหลวงปมู่ นั่
อย่างนั้นอย่างนี้ ก็ต้องเป็นไปอย่างน้ันอย่างน้ี จะไปเบียดบังมาเป็นของตน
ไม่ได้
ส่วนการเปิดบัญชีในนามตน แต่ปัจจัยที่ได้นาไปใช้ของสงฆ์ อันน้ีจะไม่เข้า
ปาราชกิ เพราะเจตนาไมไ่ ดเ้ ปิดบัญชีเพื่อตน ปาราชกิ ข้อที่สามก็คอื ฆ่าคน
ข้อท่ีสี่นี้สาคัญมาก คือการกล่าวอวดอุตริมนุสธรรมท่ีไม่มีในตนจริง อันนี้เคย
แสดงและเคยพิมพ์เป็นหนังสืออยู่ในปุจฉาเล่มใดเล่มหนึ่งไปแล้ว เช่นรู้ว่า
ตนเองยังไม่บรรลุอรหัตผล ก็เท่ียวบอกเป็นนัยๆ ให้เขาเข้าใจผิดว่าตนบรรลุ
อรหัตผลแล้ว ทาให้คนหลงเชอื่ เพ่ือจะไดน้ าลาภสักการะมาสู่ตน มีคาถามว่า
แล้วถ้าพระหลงเข้าใจผิดคิดว่าตนบรรลุอรหัตผลเล่า อันน้ีก็ไม่ผิด ดูท่ีเจตนา
เป็นหลกั แตว่ ่ากันตามจริงแล้ว พระจะต้องรู้ว่าตนบรรลุหรอื ไม่บรรลุ ไม่ต้อง
กล่าวถงึ บรรลุอรหตั ผล อย่างการบรรลุอนาคามี พระก็ต้องรู้ว่าจะต้องละกาม
ได้ ละโทสะได้ ถ้ายังมีกาหนัดอยู่ มีความรู้สึกทางกามอยู่ หรือยังมีโทสะอยู่
เที่ยวโกรธโน่นนี่น่ันอยู่ อย่างนี้พระก็ต้องรู้ว่าตนยังไม่บรรลุอนาคามี แล้วจะ
บรรลุอรหัตผลได้อยา่ งไร เมื่อรอู้ ยา่ งนี้ แต่ทาตัวให้คนเข้าใจผิดคิดว่าตนบรรลุ
อรหตั ผล อย่างน้กี ็อวดอตุ รอิ ยา่ งแน่นอน
อย่างพระห้าสิบรูปในสมัยพุทธกาล ไปปฏิบัติอยู่สถานที่แห่งหน่ึง จิตสงบว่าง
ขึน้ มา ก็เข้าใจว่าบรรลุอรหัตผลแล้ว เดินทางมาเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า
ท่านทรงรู้ด้วยญาณวา่ พระเหล่านั้นยังไม่บรรลุอรหัตผลเลยสักรูปเดียว จึงให้
ภิกษุไปบอกว่าอย่าเพ่ิงมาเข้าเฝ้าตถาคต ให้แวะไปค้างที่ป่าช้าก่อน เพราะ
พระองค์รู้ว่าเย็นน้ันจะมีคนนาผู้หญิงสวยแต่ตายแล้วมายังป่าช้า ผู้หญิงสวย
เพิ่งตายใหม่ๆ ศพยังสดๆ อยู่ ภิกษุเหล่านั้นเห็นผู้หญงิ สวย กามราคะก็กาเริบ
ต่างจึงรู้ว่ายังไม่ได้บรรลุอรหัตผลตามที่หลงเข้าใจแต่อย่างใด จึงพักค้างแรม
โอวาทธรรมหลวงปู่มัน่ | ๑๕๙
บาเพ็ญเพียรท่ีป่าช้า พิจารณาศพของผู้หญิงท่ีตายน่ัน ศพจากสวยก็ค่อยๆ
เปล่ียนสภาพมีน้าหนองไหลเยิ้ม ตัวบวมเขียว ล้ินทะลักออกจากปาก การ
พิจารณาศพจดั เป็นสติปฏั ฐานอย่างหนึ่ง อยู่ในหมวดกายานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน
เรียกว่านวสีวถกิ าบรรพ มีหลักการเดียวกับกายคตาสติ แต่นีเ้ ป็นการพิจารณา
ศพท่ีเห็นอยู่เฉพาะหน้า จนจิตสงบเห็นกายตามจริงปรากฏข้ึนในจิต ว่าเป็น
ของไม่สะอาด เป็นสักแต่ธาตุหาความหมายตัวตนอะไรไม่ได้ จิตก็หลุดจาก
ความยึดมัน่ ในกาย หลุดจากความกาหนัดยนิ ดีในกาย จิตเกิดนิพพิทา วิราคะ
และวิมุตติหลุดพน้ ไปในที่สดุ ก็เกิดญาณขึ้นท่เี รียกว่าอาสวักขยญาณ คือญาณ
ทร่ี ู้ว่าบัดนี้กิเลสส้ินแล้ว กิจท่ีควรทาเพ่อื การน้ีไม่มีอีกแล้ว ภพชาติสิ้นแล้ว ซ่ึง
ขณะท่ีภาวนาจิตสงบวา่ งลงไปก่อนจะมาท่ีป่าชา้ ญาณน้ีไม่เคยปรากฏแต่พวก
ตนเลยพระพุทธเจ้าทรงทราบดว้ ยญาณวิถวี ่าพระภกิ ษุเหล่าน้นั บรรลุอรหัตผล
แท้แล้ว จึงบอกใหภ้ กิ ษไุ ปบอกว่าให้มาเข้าเฝ้าได้แล้ว
เรื่องน้ีใหแ้ ยกทาความเข้าใจเป็นสองตอน ตอนแรกที่ภาวนาจิตสงบว่าง เข้าใจ
ว่าตนเองบรรลุอรหัตผลแล้ว อันน้ี ไม่เป็นปาราชิก แต่พอมาเจอศพสาวสวย
แล้วเกิดกามราคะ ก็รู้ว่าตนเองยังไม่บรรลุอรหัตผล หากยังขืนด้ือเท่ียวบอก
ใครๆ ไมว่ า่ ทางตรงหรือทางออ้ ม เพ่ือให้คนหลงเช่อื ว่าตนบรรลอุ รหัตผล อันน้ี
กป็ าราชิกอย่างแน่นอน ดีว่าพระภิกษเุ หล่านนั้ รกั ดี ไมห่ ลอกตนเอง พอร้วู ่าตน
ยงั ไมบ่ รรลุอรหตั ผลแท้ ก็บาเพ็ญเพียรกันใหม่ จนบรรลุอรหัตผลแทไ้ ปในทีส่ ดุ
๑๖๐ | โอวาทธรรมหลวงปู่มน่ั
ขยายความธรรม ในกล่มุ สายธารธรรม เมอ่ื วันท่ี ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๓
ปัญญากับสติให้รู้เท่าทันกัน พิจารณากาย จิต ความไม่เที่ยงของ
สังขารเป็นธรรมะสื่อให้เห็นเรื่อยๆ ทาความร้ใู นน้นั เหน็ ในนัน้ ๆ
ทา่ นทรงกลด : ปญั ญากับสติให้รู้เท่าทนั กัน คือเม่ือมีสติก็ต้องให้มีปัญญา เม่ือมี
ปัญญาก็ต้องให้มีสติ ให้มันสม่าเสมอกันอย่าได้ขาด การเห็นความไม่เที่ยงของ
สงั ขารทั้งปวงอยูเ่ นืองๆ นี่คือปัญญา มีความรู้สึกตวั อยู่เสมอ ยืนเดนิ น่ังนอนกิน
พดู ดื่มคิด อันนี้คือสติ สังขารทั้งปวงก็คือรูปนามขันธ์ห้าอารมณ์ต่างๆ พยายาม
ให้เห็นความไม่เที่ยงของสังขารอยู่เสมอ ส่ือให้เห็นอยู่เร่ือยๆ ความคิดก็ไม่เที่ยง
สุขทุกข์ก็ไม่เที่ยง สัญญาก็ไม่เที่ยง รูปนี้กายนี้ก็ไม่เท่ียง ทาความรู้ในสังขาร
เหล่านี้อยู่เนืองๆ วันหน่ึงจติ สงบ ก็จะเห็นสังขารตามจริงในสังขารน้ัน เม่ือเห็น
ตามจริง จิตก็จะคลายความยึดมั่นในสังขารออกมาเอง แล้วจะพบว่าสิ่งทั้งปวง
ไม่ควรยึดม่ันถือมั่น สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ เป็นการพบการเห็นท่ี
เกิดขึ้นประจักษ์ในจิต เรียกว่าญาณทัสสนะ ตราบใดที่ญาณทัสสนะยังไม่เกิด
ไดแ้ ค่คิดแคน่ ึก ตราบนั้น ไมม่ วี ันจะละอะไรได้เลย
พระอรหนั ต์ทั้งหลาย จติ ไมม่ สี ังขาร มแี ต่สติ เพราะจติ สังขารมนั เปน็
ตวั สังขาร สังขารไมม่ ีในจิตของพระอรหนั ต์
อันน้ีคือคาบันทึกที่ถูกต้อง เพราะมีพระมากมายได้คาบันทึกผิดๆ แล้วก็หลง
เข้าใจผิดในธรรมส่วนน้ี เท่าท่ีเห็น พระบางรูปจามาว่าพระอรหันต์ท้ังหลาย
จติ ไม่มี มีแต่สติ ก็เลยเข้าใจวา่ ไมม่ จี ติ จิตไม่มี ไมม่ ีจิต ไม่มีอวิชชา จรงิ ๆ จิตมัน
มีอยู่ ถ้าไม่มีจิต ก็ไม่มีนิพพาน จะเอาอะไรไปนิพพานเล่า พระพุทธเจ้าพอถึง
ตรงนั้น ก็บอกว่า วิสังขารคตัง จิตตัง จิตเราอยู่ในสภาพที่ไม่อาจจะปรุงแต่ง
อะไรได้อีกต่อไปแล้ว คือมันหมดเร่ืองของมันแล้ว จบกิจแล้ว ที่ถูกต้องคือ
โอวาทธรรมหลวงปู่มน่ั | ๑๖๑
พระอรหันต์ จิตไม่มสี ังขาร มีแต่สติ ตรงนห้ี มายความว่า จิตพระอรหันต์ก็เป็น
แบบจิตพระพุทธเจ้า กล่าวคือไม่มีสังขาร สังขารคือการปรุงแต่ง จิตพระ
อรหันต์ไม่มีการปรุงแต่งอะไรอีกแล้ว จึงเรียกว่าจิตไม่มีสังขาร มีแต่สติ
หมายความว่าอย่างไร ก็หมายความตามที่พระพุทธเจ้าตรัสบอกไว้ กล่าวคือ
พระอรหันต์เป็นผู้มีสติบริสุทธิ์ จิตที่บรสิ ุทธิ์มันมสี ติอยู่ในตวั อย่างพร้อมสรรพ
เรียกว่ามีสติเต็มร้อย กิเลสใดๆ อารมณ์ใดๆ ทาอะไรไม่ได้เลย เพราะมีสติ
ค้มุ ครองจิตอยู่เสมอ สตเิ ตสงั นวิ ารณัง สติเปน็ เคร่อื งกางก้นั กเิ ลส จิตทเ่ี ป็นสติ
นั่นเอง กางก้ันกิเลสอารมณ์ด้วยตัวมันเอง จิตฉันใด สติก็ฉันน้ัน จิตคือธาตุรู้
สติก็คือรู้ รู้ๆ อยู่ มันอันเดียวกันน่ันแหละ จิตสังขารกับจิตคนละอันกัน จิตก็
จิต จิตสังขารกจ็ ิตสังขาร จิตกค็ ือจิตเดิม จิตแท้ มีอันเดียวส่วนจิตสังขารก็คือ
จิตท่ีปรุงแต่งเป็นโน่นน่ีนั่น ปรุงแต่งเป็นนามเป็นรูปเป็นอารมณ์เป็นขันธ์ห้า
ตา่ งๆ เรยี กว่าจิตสังขาร ตัวจิตสังขารมันเป็นสังขารอยใู่ นตัว จิตปรุงแตง่ สงั ขาร
จึงเรยี กว่าจติ สังขาร แต่ตัวจิตกับตวั จิตสงั ขาร มนั คนละตัวกัน
ส่งิ ใดเกิด สิ่งน้นั ยอ่ มดบั สงั ขารทั้งปวงย่อมเสือ่ มดับเปน็ ธรรมดา ตัวท่ีเส่อื มดับ
ก็คือตัวจิตที่เป็นสังขารหรือจิตสังขาร หรือตัวท่ีจิตปรุงแต่งข้ึนมา แต่จิตตัวที่
ปรุงแตง่ ตัวเดิม ไมไ่ ด้ดบั ไปดว้ ย สังขารทง้ั ปวงย่อมเส่อื มไปเปน็ ธรรมดา แตต่ ัว
ที่ปรงุ แต่งสังขารคอื จติ เดิมไม่มีวนั เสื่อมดับ พอออกจากการปรุงแตง่ ได้ จิตนั้น
ก็บริสุทธิ์ข้ึนมา หลวงปู่มั่นจึงบอกว่าสังขารไม่มีในจิตพระอรหันต์ เพราะจิต
พระอรหนั ตอ์ อกจากสังขารได้แลว้ นนั่ เอง
มหาสติเรียนกายจติ ใหม้ ากๆ ให้เหน็ จรงิ ธรรมะจรงิ สมมุติ อย่าหลง
รูป เสียง กล่นิ รส ของอนั นีเ้ ต็มโลกอย่เู ชน่ นนั้ ฯ
๑๖๒ | โอวาทธรรมหลวงปู่ม่ัน
การจะทาให้เกิดมหาสติมหาปัญญาได้นั้น ก็ต้องเรียนรู้เรื่องกายเรื่องจิตให้
มากๆ เรียนรู้กายจติ ก็คอื เรียนรู้สติปัฏฐานให้มากๆ สติปัฏฐานส่ีเป็นเร่ืองของ
การเรียนรู้กายและจิต เม่ือเรียนรู้จนเกิดญาณทัสสนะ เห็นจริงแล้ว ก็จะพบ
ธรรมะจริง คาว่าสมมุติ บันทึกตกไป คาเต็มก็คืออย่าหลงสมมุติ อย่าหลงรูป
เสียงกล่ินรส ของเหล่าน้ีมันมีมาคู่โลกเต็มโลกอยู่อย่างน้ัน อย่าเข้าไปหลงมัน
มนั เปน็ สมมตุ ิทั้งน้นั สมมุตกิ ็คือของไม่จริง ไมม่ ีอะไรจริงสักอย่าง รปู นี้ก็ไม่จริง
ไมน่ านกเ็ สอ่ื มก็พงั ตอ้ งฝังต้องเผา เวทนาสุขทุกข์หรือเฉยๆ กไ็ ม่จริง มาแลว้ ก็
ไป สุขเมอื่ เชา้ ขณะนี้ก็ดับไปแล้ว ทุกขจ์ ากความหิวความกระหายเมอื่ เช้าเมื่อ
เทย่ี ง ขณะนีม้ ันก็ดบั ไปแลว้ สัญญาความจาก็เชน่ กนั วนั นี้จา พรงุ่ นี้กล็ มื ถ้ามัน
จริง มันจะไม่มีวันลืม แต่เพราะมันไม่จริง มันจึงลืมได้ ความคิดก็เหมือนกัน
ปรุงแต่งขน้ึ มา ไม่นานก็ดับไป ไม่มีอะไรจรงิ สักอย่าง วิญญาณ ความรับรู้ทาง
ตาหจู มกู ล้นิ กายใจกเ็ ชน่ กัน ตาเห็นรูปครง้ั หนงึ่ ความรับรู้ก็เกดิ ขึน้ ครง้ั หนึ่ง พอ
หูได้ยินเสียง ความรับรู้ทางตาก็ดับไป ธรรมชาติมันเป็นเช่นน้ีอยู่เสมอ ไม่มี
อะไรจริงสักอย่าง ท่านจึงบอกว่าให้เห็นเป็นของสมมุติเสีย มันก็เป็นของมัน
อย่างน้ัน เรื่องความวุ่นวายต่างๆ ก็เช่นกัน มันก็วุ่นวายมาทุกสมัย ไม่มีสมัย
ไหนที่โลกไม่วุ่นวาย แล้วเราจะมาหลงวุ่นวายไปตามโลกอีกหรอกหรือ เกิดมา
คร้งั ใดก็วุ่นวายเมื่อนั้น ไม่เกิด จึงจะไม่วนุ่ วาย ความวุ่นวายเป็นของคู่โลก เป็น
ของเต็มโลกมาแต่ไหนๆ รูปเสียงกล่ินรสก็เป็นของคู่โลก เป็นของสมมุติ ไม่มี
อะไรจรงิ สักอยา่ ง ออกจากสมมุติ จึงจะเปน็ วมิ ตุ ติ หลวงปู่มัน่ กเ็ คยสอนไว้
ชวี ิตและนิพพาน ธาตุขันธ์มีจิตสิงอยู่เรียกว่า ชีวิต เมื่อพจิ ารณาวาง
ตามสภาพไดแ้ ลว้ จติ หดหาจิตเดิมเข้า รู้เหน็ ในปัจจบุ ันเจรญิ มหาสติรอบในสติ
มหาปญั ญารอบในปญั ญาแลว้ เห็นปรกติ
โอวาทธรรมหลวงปู่มน่ั | ๑๖๓
อันน้ีท่านสอนเปรียบเทียบ ชีวิตและนิพพาน ธาตุขันธ์มีจิตสิงอยู่ จิตกับธาตุ
ขันธ์คนละตัวกัน พระบางรูปก็สอนผิดเพราะยังไม่เห็นธรรมจริงว่าจิตคือ
วิญญาณขันธ์ จริงๆ แล้ว จติ กจ็ ิต วิญญาณขันธ์กว็ ิญญาณขันธ์ เปน็ การสอนที่
ม่ัวท่ีสุด จิตปรุงแต่งธาตุขันธ์ขึ้นมา แล้วมันก็ยึดอย่เู รียกว่าสิงอยู่ รวมเรียกว่า
ชีวิต แต่เม่ือพจิ ารณากายจิตใหเ้ ห็นตามจริงแล้ว ก็จะวางสภาพทเี่ ห็นตามจริง
น้นั ได้ เหน็ ตามจริงว่าธาตุขันธ์น้ันไม่ใชเ่ ราของเรา พอวางได้ จิตกจ็ ะหดตัวเข้า
มา มันหดตัวจริงๆ นะ หลวงปู่มนั่ เรียกว่ามันหดตัวเข้าหาจิตเดิม ความหมาย
คอื จิตมันหดตัวเข้าหาตัวมันเอง มันเปน็ อย่างน้ันจริงๆ ปฏิบัติมาถึงตรงนี้ จะ
นา้ ตาคลอ ที่มาถงึ รอยเดียวกับหลวงปู่ม่ัน ถึงรอยเดยี วกับหลวงปู่ชา หลวงปู่ชา
กเ็ คยบอกว่า แล้วจิตมันจะหดตัวเข้ามา มันจะหดตัว เคล่ือนเข้าหาตัวมันเอง
บอกไม่ถูกเหมือนกัน ต้องมาถงึ จึงจะเข้าใจ ย่ิงหดตัวก็จะย่ิงรู้เห็นสภาพธรรม
ในปัจจุบัน สติกจ็ ะมีกาลงั มากข้ึนอย่างอัศจรรย์ กลายเป็นมหาสติข้นึ มา คาว่า
มหาสตกิ ็คือสตมิ ันใหญม่ นั โตมนั มีกาลงั จนถึงขนาดอารมณ์เข้าไม่ถงึ ได้
สว่ นปัญญาทเี่ ห็นตามจรงิ ก็จะมมี ากขน้ึ มนั เอือ้ ซึง่ กนั และกนั สตโิ ต ปญั ญาก็โต
มีมหาสติ ก็มมี หาปัญญา มีความรอบยิ่งในปญั ญา แลว้ ก็จะเห็นรปู นามเกิดดับ
เป็นปรกติของเขาอย่างนั้น หาแก่นสารตัวตนไม่ได้ พอถึงเวลาดบั ขันธ์ ชีวิตก็
ดับไป เหลือแต่จิตคือนิพพาน ท่านจึงบอกว่าชีวิตกับนิพพาน มันเป็นอย่างนี้
นี่เอง นิพพานก็คลอดจากชีวิต รู้แจ้งในชีวิต เห็นว่าชีวิตไม่มีอะไร ก็ออกจาก
ชวี ติ พบนิพพาน
ปฏิบัตผิ ิดน้นั ลบสังขารดว้ ยไตรลักษณ์ไม่ได้ ประพฤติไปตามสงั ขาร
ปฏิบัตถิ ูกนั้น คือลบสงั ขารด้วยไตรลกั ษณไ์ ด้
๑๖๔ | โอวาทธรรมหลวงปู่มัน่
คาว่าลบก็คือดับ ดับสังขาร สงั ขารดบั ถ้าปฏบิ ัติผิด เดินมรรคผิด ก็ไม่สามารถ
ลบสงั ขารได้ แมจ้ ะพิจารณาด้วยไตรลักษณค์ อื อนิจจงั ทุกขงั อนัตตา กล็ บหรือ
ดบั สังขารไม่ได้ เช่นการนั่งภาวนาเผาร่างกายอยู่ กาหนดเผากระดูก เผากาย
มาเป็นสิบปี แม้จะเห็นว่ากายนไ้ี มเ่ ทยี่ ง เพราะพอเผาเสร็จก็กลายเปน็ เถ้าเป็น
ถา่ น แตก่ ารท่เี ข้าไปกาหนดเผา เขา้ ไปเลน่ เสียเอง มนั ไมไ่ ด้เหน็ ตามจรงิ แตเ่ ข้า
ไปกาหนด ลงไปคลุกคลดี ้วย จะไมเ่ หน็ ตามจริง เขาสอนใหเ้ ป็นผ้ดู ูท่ดี ี ไม่ใชใ่ ห้
ลงไปเล่น น่ีเรียกว่าปฏิบัติผดิ แต่ถ้าปฏิบัติถูก คือพิจารณาเฝ้าสังเกต เหมือน
สังเกตเห็นใบไม้ร่วงหล่น ไม่ใช่เข้าไปเด็ดใบไม้ให้ร่วงหล่นลงมาเสียเอง ก็จะ
เหน็ ไตรลกั ษณต์ ามจริงได้ จติ ท่ีเฝ้าดู จะผละออกมาเอง แตถ่ ้าจติ เข้าไปเลน่ ไม่
มีเวลาจะผละจะถอน เพราะสนกุ กับการเล่นนัน่ แลว้
บางคนนั่งปุ๊บจิตสงบ ก็เผาตัวเองเลย มันทาจนเคยชิน ทามาย่ีสิบสามสิบปี ก็
ไม่เกดิ นิพพิทาญาณแต่อยา่ งใด ก็ไดแ้ ค่นน้ั ไตรลักษณะญาณมนั ไมเ่ กดิ แล้วจะ
เอาอะไรมาเบื่อหนา่ ยคลายกาหนัดออกมา มันก็ยังยึดติดสงั ขารอยู่เหมอื นเดิม
ไม่มีวันจะลบดับสังขารได้ เพราะจิตที่ละสังขารได้ ลบสังขารได้ คือจิตท่ี
ในขณะจิตน้ันไม่มีสังขารใดเจือปนเป็นไปไม่ได้จะให้จิตที่ปรุงแต่งอยู่ ละส่ิงที่
ปรุงแต่งนั้นได้ จะต้องให้จิตหยุดปรุงแต่ง จึงจะเห็นสิ่งท่ีปรุงแต่งหรือสังขาร
ตามจริง เม่ือเห็นตามจริง จิตจึงจะลบหรือดับหรือสังขารของมันเอง โดยไม่
ตอ้ งไปกาหนดวา่ ต้องละต้องลบตอ้ งวางอะไรเลย หลวงปู่ดูลยจ์ งึ สอนวา่ หน้าท่ี
เราคือทาในสิ่งที่เอ้ือต่อจิตให้จิตเห็นตามจริงเท่าน้ันเอง มันจะละ จะวางของ
มนั เอง ให้เหน็ ตามจริงว่าสงั ขารทงั้ หลายมันไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้ หาตัวตนแก่น
สารไมไ่ ด้ เป็นอนจิ จังทกุ ขังอนตั ตา หน้าทข่ี องเรามแี ค่นน้ั
โอวาทธรรมหลวงปู่มัน่ | ๑๖๕
ปฏิภาคเปน็ เรือ่ งของปัญญาฯ
อันนค้ี งบันทึกไม่ทัน จึงได้แค่ปฏภิ าค เป็นเร่ืองนมิ ิตตา่ งๆ ว่าด้วยปฏิภาคนิมิต
เป็นนิมิตท่ีเป็นแกว้ ใส ติดอยใู่ นนิมิต พวกฝึกสมถะฝกึ ฌานก็จะมีท่ีอยู่คือนิมิต
ต่างๆ เหล่านี้ หลวงปู่มั่นจึงสอนให้รู้เท่าทันนิมิตต่างๆ ไม่ว่าอุคคหนิมิตหรือ
ปฏิภาคนิมิต ว่ายังไม่ใช่นพิ พาน ให้มีปญั ญารู้เท่าทันนิมิตต่างๆ ไม่หลงติดอยู่
จะเป็นการเสียเวลา คาว่าปัญญาในทางธรรมก็คอื การรเู้ ท่าทันรูปนามทั้งปวง
ปฏิภาคนิมิตก็จัดเป็นรูปติดตาอย่างหนึ่ง ต้องมีปัญญารู้เท่าทัน วางนิมิต มา
พิจารณากายจิตให้เห็นตามจริง จึงจะไปรอดได้ พระบางรูปพิจารณากาย แต่
ไม่ออกไปทางไตรลักษณ์ คือเพ่งกายแทน เพ่งผมขนเล็บฟันหนังบ้าง กระดูก
บ้าง เพ่งคือฌาน เห็นคือญาณ เอาส่วนของกายมาเป็นอารมณใ์ นการบรกิ รรม
ภาวนา คัมภีร์วิสุทธิมรรคน่ันแหละคือตัวหลง ในสติปัฏฐานส่ีท่านสอนเรื่อง
กายเพื่อให้เห็นกายตามจริง จะได้เบ่ือหน่ายในกาย จิตจะไดถ้ อนอุปาทานใน
กายออกมา แต่ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค กลับสอนให้เพ่ง พร้อมท้ังบริกรรมด้วย
เช่นเกศาๆๆๆๆ อัฐิๆๆๆ กระดูกๆๆๆ จนเกิดภาพติดตาขยายใหญ่ได้เล็กได้
แล้วก็ใสเป็นกระดูกแก้ว พอภาวนาปุ๊บ ก็พรึบข้ึนทันที จิตกับกระดูกรวมเข้า
เป็นหนึ่ง ก็ติดอยู่ในนั้น กิเลสอารมณ์หายหมด ก็หลงว่านิพพานแล้ว บรรลุ
อรหัตผลแล้ว มนั จะตา่ งอะไรกับการเพ่งดินเพง่ น้า เพง่ กระดูกก็คอื กสิณอย่าง
หนง่ึ เทา่ น้ันเอง ไม่เห็นไตรลักษณ์ เมอ่ื ไม่เหน็ ไตรลักษณ์ จะเอาความเบื่อหนา่ ย
ในรปู ในนามมาจากไหน นกั ปฏิบตั ิจงึ ต้องมปี ญั ญากากบั ไปตลอดทาง หากขาด
ผู้รูม้ าคอยชี้แนะ ก็จะหลงปฏิบัตผิ ดิ อยู่ ไมม่ ที างพบจิตพบธรรมไดเ้ ลย
๑๖๖ | โอวาทธรรมหลวงปู่ม่ัน
ขยายความธรรม ในกลุ่มสายธารธรรม เมื่อวันท่ี ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๓
ธรรมะชเ้ี ขา้ กายกับจิตเปน็ คัมภีร์เดมิ
ท่านทรงกลด : ธรรมะชี้เข้ากายกับจิตเป็นคัมภีร์เดิม หมายถึงคัมภีร์ต่างๆ ก็
ออกมาจากกายและจติ นี้ ธรรมะ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขนั ธน์ ้ี กล็ ้วนออกจากจิต
จากกาย ถ้าเรียนรู้กายกับจติ ได้อย่างร้เู ห็นถ่องแท้แล้ว ก็ถึงคมั ภีร์เดิมแล้ว ไม่
ต้องไปเรียนคัมภีร์อะไรท่ีไหนอีก มีคัมภีร์มากมาย เขียนโดยพระรูปน้ันรูปนี้
บางคนก็ยึดเอาคัมภีร์เป็นสรณะ ไม่ฟงั ใคร อะไรที่ผดิ แผกไปจากคมั ภีร์ก็เหมา
รวมว่าผิดไปหมด หารู้ไม่ว่าคัมภีรท์ ี่ตนยึดอยู่นั่นแหละมันของผิดอย่อู ย่างเต็มๆ
คัมภีร์อ่ืนนอกจากพระไตรปิฎกแล้ว จะผิดเป็นส่วนใหญ่และแม้แต่ใน
พระไตรปิฎกเอง บางส่วนมาแก้ไขเอาตามความเข้าใจของพระรุ่นหลังๆ ท่ี
ไม่ได้บรรลุอรหัตผล กม็ ีผิดให้เหน็ อยู่ พระไตรปิฎกทถี่ ูกต้องที่สุดมีอยู่คร้งั เดยี ว
คือคร้ังแรกท่ีมีการสังคายนาพระไตรปิฎก หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพาน
มีการสังคายนา รวบรวมคาสอนของพระพุทธเจ้าเป็นคร้ังแรกนาโดยพระ
มหากสั สปะ มีพระอานนท์เปน็ ผตู้ รวจทาน
หลงั จากนัน้ มากม็ ีการสังคายนากนั หลายครง้ั มีเอาเร่ืองฌานมาเป็นเรื่องบรรลุ
ธรรมบ้าง เช่นว่า พระรูปนั้น บรรลุอรหัตผลเพราะเข้าฌานน้ันฌานนี้ ไปเอา
ของพราหมณ์ของฤษมี าเป็นเร่ืองบรรลุธรรมบา้ ง พระที่ไดแ้ ค่ฌาน ก็ยึดว่าตรง
น้ันแหละคือนิพพาน ก็สังคายนาไปตามความเห็นความเข้าใจของตน ดังน้ัน
อย่าเชื่อคัมภีร์อะไรให้มากนัก โดยเฉพาะคัมภีร์ที่เขียนโดยท่านเจ้าคุณน่ัน
ท่านเจ้าคุณนี่ เป็นการเขียนตามความเข้าใจของตนเองทั้งนั้น ไม่ได้เขียน
ออกมาจากจติ จากใจทร่ี ูเ้ ห็นธรรมจรงิ ทางทด่ี ที ส่ี ุด ใหห้ นั หน้าเขา้ หาคมั ภรี ์เดิม
คอื กายและใจเรานี่แหละ ดูกายดจู ิตดูใจ วันนจี้ ติ ใจเป็นอย่างไร ปรุงแต่งโทสะ
โอวาทธรรมหลวงปู่มน่ั | ๑๖๗
ข้ึนก่ีคร้ังแล้ว ผมร่วงผมหงอกไปก่ีเส้น ผิวหนังเหี่ยวย่นไปเท่าไรแล้ว อารมณ์
ยินดียินร้ายเกิดดับเหน็ บา้ งไหม ใหท้ วนเข้าหาคัมภีร์เดิมคือกายและใจน้ี จึงจะ
พบธรรมแท้ อย่าไปเอาธรรมเทียมที่เขียนไวใ้ นคมั ภีร์ ไมม่ ีประโยชน์อนั ใด จะมี
ประโยชน์อันใด จดจาคัมภีร์อะไรได้มากมาย แตย่ ังละสังกายทฏิ ฐิ อะไรไม่ได้
เลย จะเสยี ชาตเิ กดิ เปลา่ ๆ
ญาณ ของพระพุทธเจ้า ท่านหมายเอา สกนธ์กาย เช่น นิมิตธาตุไฟ
ธาตุลม ธาตุน้า ธาตุดิน และอาการ ๓๒ เป็นนิมิต ท่านบอกว่ารู้เห็นเช่นนี้
บรรดาทา่ นเจ้าคุณทงั้ หลายไม่คัดคา้ นเลยฯ
คาว่าท่านเจ้าคุณต้องเป็นท่านเจ้าคุณท้ังหลาย อันน้ีหลวงปู่ม่ันกาลังสอนเร่ือง
เดิมอยู่คือเรื่องคัมภีร์ ท่านบอกว่าญาณของพระพุทธเจ้า ก็คือการร้เู ห็นสกนธ์
กายตามความเป็นจริง เห็นกายสักแต่เป็นธาตดุ ินน้าลมไฟ เห็นอาการสามสิบสอง
มีผมขนเล็บฟันหนังไปตลอดจนถึงมันสมอง ตามความเป็นจริงว่าเป็นของไม่
สะอาด สักแตเ่ ป็นธาตุดินธาตนุ า้ ต้องเสือ่ มต้องพงั หาแก่นสารตัวตนอะไรไมไ่ ด้
การเห็นดังกล่าวต้องเห็นแบบที่ปรากฎขึ้นในจิต ท่านเรียกนิมิต หลวงปู่ม่ัน
บอกว่าหากรู้เห็นเช่นน้ี บรรดาท่านเจ้าคุณท้ังหลายไม่คัดค้านเลย หมายถึง
พระที่เขียนตาราคัมภีร์ท้ังหลายไม่อาจจะออกมาเถียงคัดค้านอะไรได้ เพราะ
เป็นการเห็นตามจริงท่ีปรากฎข้ึนในจิต ไม่ใช่ปรากฎอยู่แต่ในคัมภีร์ ท่านเจ้า
คุณทั้งหลายจะเห็นก็เห็นแต่ท่ปี รากฏในคัมภีร์เท่านั้น แตจ่ ะมาเห็นแบบท่ีพระ
นักปฏิบัติเห็น ไม่มีทางจะเห็นได้ พอเห็นแล้ว ท่านเจ้าคุณทั้งหลายจะมา
คัดคา้ นก็ไมไ่ ด้ เพราะมันเห็นตามจริงของมันแลว้
อย่างพระโสดาบันท่านละสักกายทิฏฐิได้ ท่านก็เห็นวา่ ขันธ์ห้ามนั ไม่ใช่เราของ
เรา ละความหมายการมีตัวตนในขันธ์ห้าลงได้ ถ้าท่านเจ้าคุณจะมาคัดค้านว่า
๑๖๘ | โอวาทธรรมหลวงปู่มน่ั
มนั ไม่ใช่อย่างน้ันอย่างนี้ ก็ปล่อยให้คัดคัดค้านไป แต่ใจของพระโสดาบันไม่มี
ทางจะเหน็ อยา่ งท่ีทา่ นเจ้าคุณท้ังหลายเห็น หลวงปู่ชาบอกว่า เหมือนแต่ก่อน
เราเข้าใจว่าเป็ดเป็นไก่ ไกเ่ ป็นเป็ด พอมารู้ความจริงวา่ เปด็ เปน็ อย่างไรไก่เป็น
อย่างไร ใครจะมาบอกว่าเป็ดไม่ใช่เป็ด ใจมันก็ไม่รับ เพราะมันรู้แล้วว่าเป็ด
เป็นอย่างไร ไก่เป็นอย่างไร ท่านเจ้าคุณจะมาบอกว่าเป็ดคือไก่ ไก่คือเป็ด ใจ
ของผู้เขา้ ถึงธรรมก็ไม่มวี นั จะรบั ได้ จิตกับขันธห์ ้าอารมณก์ ็เช่นกนั
แตก่ ่อนเราก็หลงเข้าใจว่าขนั ธ์ห้าเชน่ ความคิด (สังขารขันธ์) คือจิต แต่พอแยก
จิตออกจากขันธ์ได้ เห็นจิตเป็นจิต คิดเป็นคิด ท่านเจ้าคุณท้ังหลายจะมาคัด
คดั ค้านว่าจิตคือคิด คิดคือจิต ใจของผู้ทเี่ ห็นธรรม มันก็ไมร่ ับ จะเอาไปตัดหัว
ฆ่าใหต้ ายให้ยอมรับวา่ จติ คอื คิด คิดคือจติ มันก็ไม่ยอมรับ เพราะมันเหน็ ความ
จริงประจักษ์แจ้งเสียแล้ว คาว่าเห็นประจักษ์แจ้งก็คือเห็นเป็นญาณทัสสนะ
ไม่ใช่เห็นแบบโลกๆ เห็นแบบคิดเอาหมายเอา หรือคิดลงแก่ใจอะไรเทือกน้ัน
คาว่าลงแก่ใจกับญาณทัสสนะ มันคนละราคากัน อย่าเอามาเทียบกัน มันคนละ
เร่ืองกัน เทยี บกนั ไมไ่ ด้
เจริญทางจิตอย่างเดียว ต้ังแต่ อุปจารสมาธิ รู้วาระจิตของผู้อื่นได้
แก้นิวรณ์ได้แต่โมหะคุมจิต ถ้าเจริญวิปัสสนา ถึง อัปปนาสมาธิ ท่านอาจารย์
บอกเชน่ นนั้ และบอกว่าทาความรู้ใหพ้ อเสยี กอ่ นจงึ ไม่หวัน่ ไหว
หมายถงึ เจรญิ ทางจิตด้วยการทาสมาธิอยา่ งเดยี ว ได้สมาธติ ง้ั แตอ่ ุปจารสมาธิ รู้
วาระจิตของคนอ่ืนได้ แก้นิวรณ์ได้ แตโ่ มหะยังครอบงาจิตอยู่ อันนีค้ ือการทา
สมาธแิ บบสมถะ เอาแต่สงบ พอไดส้ มาธิแบบน้ัน นิวรณห์ ้าประการก็เข้าไม่ถึง
นิวรณ์ห้าก็คือกามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ และวิจิกิจฉา
เคยแสดงไปเยอะแล้วเร่ืองนวิ รณห์ ้า เมื่อนวิ รณ์ห้าเขา้ ไม่ถึง จิตก็เป็นสมาธิ แต่
โอวาทธรรมหลวงปู่ม่นั | ๑๖๙
นี่คอื สมาธแิ บบสมถะ อาจจะร้วู าระจติ ของผู้อน่ื ได้ แต่ยังมีความโง่คอื โมหะคุม
จิต ครอบงาจติ อยู่ ออกจากสมาธแิ บบน้ันมาก็โง่เหมือนเดมิ ยังมีโมหะ อวชิ ชา
เต็มหัวใจอยเู่ หมอื นเดิม ที่หลวงปู่หลายองค์เรียกสมาธหิ วั ตอนั่นแหละ มันเป็น
ของทยี่ ังเสื่อมได้อยู่
แต่ถ้าเจริญวิปัสสนาคือเจริญสติปัฏฐานสี่ จนถึงอัปปนาสมาธิ ตรงน้ีแยกเป็น
สองส่วน ส่วนแรกก็คือคาว่าวิปัสสนา เมื่อเราพูดถึงวิปัสสนา ความหมายที่
ถกู ตอ้ งกค็ ือการเจริญสติปัฏฐานส่ี ถ้าหลดุ หรอื พ้นไปจากสตปิ ฏั ฐานแลว้ แม้จะ
ช่ือการปฏิบัติว่าวิปัสสนา ก็ไม่ใช่วิปัสสนาตามพุทธประสงค์ สติปัฏฐานสี่คือ
อะไร เป็นอยา่ งไร ถงึ เวลาควรจะรกู้ ันบา้ งแล้ว แสดงไปเยอะแลว้ อยใู่ นหนังสอื
มากมาย อย่าให้เป็นแบบที่หลวงปู่มั่นว่า คนไม่สนใจธรรม ก็เหมือนเทน้าลง
บนหลงั สนุ ขั มันสะบดั ทงิ้ เกลยี้ งไม่เหลอื หลอ
ทนี ีม้ าสว่ นท่ีสองคอื คาว่าอัปปนาสมาธิ ตรงนี้ทาให้คนเข้าใจผิดกนั มาก พอเห็น
คาว่าอปั ปนาสมาธิ กจ็ ะถึงการทาสมาธิจนจิตรวมถึงฐาน ได้แสดงไปหลายคร้ัง
ว่าจิตรวมกับจิตตั้งม่ันคนละอันกัน จิตรวมลงไปแช่แน่น่ิง คือฌาน จิตที่รวม
เป็นฌานเรียกว่าอัปปนาฌาน แต่อัปปนาสมาธิ หมายถึงจิตที่ต้ังม่ันน่ิงอยู่
สมาธิกับฌานคนละเรื่องกนั สมาธิแปลวา่ ความต้ังมัน่ ของจติ แต่ก่อนก่อนจะรู้
เห็นธรรมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน พระพุทธเจ้ากบ็ อกมาตลอดว่าสมาธิแปลวา่ จิต
ต้ังมั่นๆๆๆๆ มันจะตั้งม่ันได้ต่อเมื่อเจริญสติ แยกจิตออกมาจากอารมณ์ มา
“ตั้งม่ัน” ให้เห็นอยู่ พบจิตพบธรรม คนได้ฌาน ได้อัปปนาแบบฌาน ไม่มีวัน
พบธรรม เห็นธรรม พบจิตเห็นใจ อย่างอาจารย์ของเจ้าชายสิทธัตถะท้ังสอง
ท่านคืออุทกดาบสและอาฬารดาบส ต่างก็ได้อัปปนาๆๆๆ กันท้ังน้ัน แม้
พระพุทธเจ้าตอนน้นั ท่ีเขา้ ไปศกึ ษากับอาจารย์ทั้งสองท่านกไ็ ด้อัปปนาเช่นกัน
แต่มันเป็นอัปปนาแบบฌาน เลยเรียกว่าอัปปนาฌาน ท่านก็รู้ว่าไม่ใช่ทาง
๑๗๐ | โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น
พ้นทุกข์ ก็ผละออกมาจากสองสานักน้ัน มาแสวงหาทางด้วยตนเอง จนพบ
อานาปานสติ ในคืนตรัสรู้ และแยกจิตออกจากขันธ์ห้ามาตั้งมั่นได้ พบ
สมั มาสมาธิ จึงรธู้ รรมเหน็ ธรรม คาว่าอปั ปนาคือแนว่ แน่ เป็นหน่ึง อยู่ทวี่ ่าแน่ว
แน่เป็นหนงึ่ แบบโง่หรือแบบมีปัญญา ถ้าแน่วแน่แบบโง่ กค็ ือสมาธหิ ัวตอหรือ
อปั ปนาฌาน แต่ถ้าแน่วแน่เป็นหนึ่งแบบจิตตั้งมั่น ก็เป็นอัปปนาสมาธิ จะเกิด
ปัญญาขึ้นมา สมาหิโต ยถาภูตัง ปชานาติ เม่ือจิตต้ังมั่นก็จะเห็นรูปนามตาม
ความเป็นจริง พระพทุ ธเจา้ กพ็ ร่าสอนแบบน้ี แตห่ าคนรู้จริงทจี่ ะมาอธิบาย มัน
ยากย่ิงนัก เมื่อเราเจริญสติจนถึงอัปปนาสมาธิ หรือสัมมาสมาธิ เราก็จะรู้จะ
เหน็ ธรรม เรยี กวา่ ทาความรู้ใหพ้ อเสียกอ่ น จงึ จะถงึ สภาวะจติ อัปปนาสมาธินั้น
คาว่าทาความรู้ก็คือการเจริญสติ เจริญวิปัสสนา เม่ือความรู้พอ จิตตั้งมั่นเกิด
อปั ปนาสมาธิ กจ็ ะไม่หว่ันไหวไปตามกิเลสอารมณต์ า่ งๆ ขณะที่แยกจิตออกมา
ตง้ั ม่ันได้ จิตย่อมไม่หวั่นไหวตอ่ อารมณ์ใดๆ ขณะจิตนั้น ก็จะเห็นรูปนามตาม
จริง ก็จะละหรือคลายโมหะหรืออวิชชาท่ีคุมครอบงาจิตลงได้ ส่วนจะได้มาก
น้อยแค่ไหนก็ข้ึนกับกาลังสตปิ ัญญาในขณะนั้น แต่อย่างน้อยสกั กายทิฏฐิก็จะ
ถูกทาลายลงไปในขณะจิตน้ัน
จะบอกการดาเนิน วิปัสสนา และ สมถะ โดยเฉพาะนั้นมิได้ เพราะ
มันไปหน้าเดียว จริตของคนต่างๆ กัน แล้วแต่ความฉลาดไหวพริบของใคร
เพราะดาเนินจติ หลายแง่แลว้ แตค่ วามสะดวก
อันน้ีหมายถึงว่าแต่ละคนจริตไม่เหมือนกัน จะบอกว่าคนนี้เหมาะกับอันน้ี
คนนั้นเหมาะกับอันน้ันคงไม่ได้ ไม่ใช่วิสัยของสาวกที่จะบอกได้ว่าใครเหมาะ
กบั กรรมฐานแบบใด อันน้ีเป็นวสิ ัยของพระพุทธเจา้ องคเ์ ดียวเท่าน้ัน ทม่ี ีญาณ
หย่ังรู้ว่าคนไหนควรจะสอนอย่างไร จึงจะบรรลุธรรมโดยเร็ว ถ้าบอกก็ได้แค่
บอกหน้าเดียว คืออย่างเดียว แต่ละคนก็ต้องหาทางพลิกแพลงเอา แล้วแต่
โอวาทธรรมหลวงปู่มน่ั | ๑๗๑
ความฉลาดไหวพริบของแต่ละคน เม่ือดาเนินจิตหลายแง่หลายมุมแล้ว เขาก็
จะรู้เองว่าควรจะไปอย่างไรจึงจะไปรอด อันน้ีท่านพูดจากประสบการณ์ของ
ท่าน วา่ ก่อนนน้ั กภ็ าวนาพุทโธ จิตสงบเกดิ นิมติ แล้วก็หลงในนมิ ิต ผา่ นไปสาม
เดือนนิมติ ก็ไม่ยอมจบ แต่ละคนื มนั ก็มีลูกเลน่ ใหช้ วนติดตาม เหมือนดูหนังซรี ีย์
ทา่ นก็มาตรึกว่า สงสัยจะไม่ใช่ทาง ก็เลยลองมาพจิ ารณากายดู ปรากฏว่าเม่ือ
จิตสงบเพราะพิจารณากาย จิตก็ไมไ่ ปไหน ได้แต่ระลกึ รู้อยู่ในกาย จิตมันอยู่กับ
ท่ี ไม่หลงนิมิตอะไรเหมือนเม่ือกอ่ น ท่านก็เลยคิดว่าคงถูกทางแล้ว ต่อมาท่าน
กบ็ รรลุอนาคามี คือถา้ กลา่ วถงึ สมถะ หรอื ความสงบอยา่ งเดียวน้ี มนั ไม่จบ แต่
ถา้ สงบเพราะวปิ สั สนา มนั จึงจะจบ
พระอริยสาวกบางรูป ถ้าบาเพ็ญมาเพื่อเป็นสาวก พอบรรลุแล้ว ก็จะแนะนา
ผู้อื่นได้น้อย เพราะไม่ใช่วาสนาของตนท่ีส่ังสมมาเพ่ือทางนี้ แต่สาหรับผู้ท่ี
บาเพ็ญมาทางพุทธภูมิ เมื่อบรรลุธรรมแล้ว สามารถแจกแจงส่ังสอนธรรม
ชีแ้ นะธรรมได้กวา้ งขวางลึกซ้ึงกวา่ สาวกท่ัวไป อนั น้ีหมายถึงไดบ้ อกลาพุทธภูมิ
เสยี กลางคนั ไม่ประสงค์จะเป็นพระพุทธเจา้ แลว้ ตราบใดทีย่ ังไมม่ ีพระพทุ ธเจ้า
องค์ใดพยากรณ์ ตราบน้ันก็บอกลาพุทธภูมิได้อยู่ แต่ถ้ามีพระพุทธเจ้าองค์ใด
องค์หน่ึงพยากรณ์แล้วว่า จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าชื่อน้ันๆ ก็บอกลาไม่ได้
ตอ้ งบ่ายหน้าส่ังสมบารมีตอ่ ไปจนเต็ม นกั ปฏิบัติถ้าไม่มผี ู้รู้จริงมาชีแ้ นะ กต็ ้อง
เพียรสังเกตจิตตนเอง ว่าส่ิงท่ีตนปฏิบัติอยู่ มันใช่หรือไม่ ติดเพ่งติดฌานติด
สงบหรือไม่ ซึง่ ก็ได้ช้แี นะแสดงใหเ้ หน็ ไปมากมาย วนั นี้ก็มีศษิ ยน์ ักปฏิบัติดีท่าน
หนง่ึ ส่งขอ้ ความมามนี กั ปฏิบัติคนหน่ึง สง่ ขอ้ ความมาอีกทีว่าทเ่ี ขาติดตามพระ
อาจารย์ชอ่ื ดังรูปหนึ่งอยู่ แต่เหมือนจะสอนให้ติดเพ่ง มันใช่หรือเปล่า นี่แสดง
ว่าพอจะแยกแยะออกแล้วว่าเพ่งกับรู้ คนละตัวกัน เพ่งเป็นฌาน รู้เป็นญาณ
พระอาจารย์รูปน้ันสอนให้เพ่งบา้ ง บริกรรมบ้าง แลว้ จิตก็พรวดลงไป บางทีก็
ถงึ ข้นั ที่ส่เี ลย อนั นค้ี ือฌานอย่างไม่ต้องสงสัย แล้วกต็ ิดอยู่ในนน้ั เคยมีศิษย์อีก
๑๗๒ | โอวาทธรรมหลวงปมู่ ่นั
คนหน่ึง ส่งคาสอนของพระอาจารย์รปู เดียวกันมาให้ดู แล้วบอกว่า นี่มนั สมาธิ
ของพวกฤษีหรอื เปล่าคะ ทา่ นอาจารย์ กโ็ มทนาสาธไุ ปท่ีแยกแยะไดแ้ ล้ว
การปฏิบัติ ไม่ว่าจริตจะเป็นอย่างไร ขอให้อิงสติปัฏฐานไว้ ไม่มีวันหลงทาง
อย่างแน่นอน และให้พิจารณาไปพร้อมๆ กัน พิจารณากายบ้าง หายใจเข้า
ร้สู กึ ตวั หายใจออกรสู้ กึ ตวั บา้ ง ยืนเดนิ น่ังนอนกินพูดด่ืมคดิ ใหร้ ูส้ ึกตวั อยเู่ สมอ
อารมณ์ใดๆ เกิดก็ให้รเู้ ทา่ ทัน ว่ามันต้องเสอื่ มต้องดับ ใสอ่ นิจจังเข้าไป จติ ปรุง
แต่งเป็นราคะบ้าง โทสะบ้าง จิตฟุ้งซ่านบ้าง ก็ให้รู้ ความคิดอารมณ์ใดๆ มา
กระทบ ก็แค่รู้ ให้อยู่กับรู้อยู่เสมอ รู้คือสติ รู้เท่าทันคือปัญญา แล้วจิตมันจะ
คอ่ ยๆ สงบๆ ของมันเอง เรียกวา่ สงบดว้ ยอานาจวิปัสสนา ถึงตรงน้ัน จรติ ใคร
จะเป็นอย่างไรก็ไม่สาคัญแล้ว เพราะใจมันได้หลักของมันแล้ว หลักของใจที่
แท้จริงก็คอื สตินั่นแหละ ใช่ใดอืน่ ได้สติตัวเดยี ว ก็ได้พระไตรปิฎกทั้งเล่มเชียว
นะ กล็ องทาๆ กันดู ขยันก็ทา ขี้เกียจก็ทา ทาจนจิตมนั ทาของมนั เอง
โอวาทธรรมหลวงปู่มัน่ | ๑๗๓
ขยายความธรรม ในกลุ่มสายธารธรรม เมือ่ วันท่ี ๒๓ ตลุ าคม ๒๕๖๓
มนุษย์วนเวยี นเกิดแลว้ ตาย ตายแล้วเกิด ตดิ ของเกา่ กามาวจรสวรรค์
๑ สัตว์เดรัจฉาน ๑ มนุษย์ ๑ ท่านพวกน้ีติดของเก่า พระไตรปิฎก มีกิน ๑ มี
นอน ๑ สืบพันธุ์ ๑ แม้ปยู่ ่าตายายของเราล้วนแต่ติดของเก่า พระพุทธเจ้าก็ดี
พระปัจเจกก็ดี พระอรหันต์ก็ดี เม่ือท่านยังไม่ตรัสรู้ก็ติดของเก่า เพลิดเพลิน
ของเก่าในรูป เสียง กล่ิน รสของเก่าทั้งน้ีไม่มีฝ่ังไม่มีแดน ไม่มีต้น ไม่มีสาย
ย่อมปรากฏอยู่เช่นน้ัน ต่ืนเต้นกับของเก่า ติดรสชาติของเก่า ใช้มรรค ๘ ให้
ถอนของเก่า ให้อิทธิบาท ๔ ตีลิ่มสะเทือนใหญ่ปังๆ ลิ่มเก่าถอนคืออวิชชา ลิ่ม
ใหม่คือวิชชาเข้าแทนดังนี้ ท่านพระอาจารย์ม่ันท่านพูด ใช้ตบะความเพียร
อย่างย่ิง ที่จะถอนได้ต้องสร้างพระบารมีนมนาน จึงจะถอนได้ เพราะของเก่า
มนั บัดกรีกันได้เนื้อเช้ือสายของกิเลสมาพอแล้ว ย่อมเป็นอัศจรรย์ของโลกน้ัน
ทีเดยี ว
ทา่ นทรงกลด : อันน้ีท่านก็อธิบายค่อนข้างชดั อยู่แล้ว คาว่าของเก่าก็คือการกิน
การนอน การสืบพันธุ์ คือติดกามน่ันเอง เร่ืองกินเร่ืองนอน เร่ืองสืบพันธ์ุเป็น
เรื่องของกามท้ังน้ัน สวรรค์ก็มีกาม สัตว์ก็มีกาม มนุษยก์ ็มีกาม หลวงปู่ม่ันบอก
ว่า คนเราก็จะเพลิดเพลินอยู่ในของเก่า ได้แก่ รปู เสียงกล่นิ รสสมั ผัสธรรมารมณ์
ซึ่งก็คือเร่ืองกามนั่นเอง คาว่ากามในท่ีนี้ไม่ได้หมายถึงเฉพาะการสืบพันธุ์อย่าง
เดียว อย่างเรายินดีในรูปในเสียงในรสในกลิน่ อันนีก้ ็เป็นกามอย่างหนึ่ง บางทีก็
เรียกกามคุณห้า คือรูป เสียงกล่ิน รสสัมผัส แต่จริงๆ ธรรมารมณ์ก็ก่อให้เกิด
กามคุณได้ อย่างเช่น น่ังอยู่เฉยๆ ภาพผู้หญิงสวยโผล่ขึ้นมา ภาพชายหนุ่มรูป
งามโผล่ขึ้นมา แล้วเกิดความยินดีในกามข้ึนมา ก็เกิดกามขึ้นได้ เกิดกามตัณหา
ข้นึ มา คาว่าตณั หาก็เชน่ กัน ไม่ได้หมายถงึ เร่อื งราคะเร่อื งรักเร่ืองใคร่อยา่ งเดียว
๑๗๔ | โอวาทธรรมหลวงปมู่ ัน่
อะไรที่เป็นความอยากในรูป เสียง กล่ิน รสสัมผัสก็เป็นเร่ืองตัณหาทั้งนั้น
เรียกว่ากามตณั หา
สง่ิ เหล่าน้ี หลวงปมู่ ั่นบอกวา่ เป็นของเก่าท่ีติดตวั เรานานแสนนาน ไม่มีฝั่ง ไม่มี
แดน ไม่มีต้น ไม่มีปลาย คาว่าสายน่าจะบันทึกผิด ที่ถูกก็คือไม่มีปลาย
หมายความว่าของเก่าที่ติดอยู่น้ี ไม่รู้ว่าเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อใด และจะไปสิ้นสุด
ปลายทาง ณ ที่ใด มันก็ติดไปตลอดอนันตกาล หาท่ีสิ้นสุดไม่ได้ แต่เมื่อ
พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ส่ังสอนเวไนยสัตว์ ให้รู้จักอริยสัจจ์ น่ันแหละจึงพอจะ
พบปลายได้บ้าง แต่สาหรับคนโลกท่ีหูหนวกตาบอด ไม่สาเหนียกถึงสิ่งท่ี
พระพทุ ธเจ้าตรัสพร่าสอน พวกเขากจ็ ะยงั คงตดิ ของเกา่ อย่ตู ่อไปและพวกเขาก็
จะตื่นเต้นกบั ของเก่าอยูอ่ ย่างน้ัน อยา่ งไม่ร้จู กั เบ่ือหน่าย
มีแตค่ นมีบญุ วาสนาทางธรรมสูงเท่านั้น ที่จะเห็นโทษเห็นภัยในการตดิ ของเก่า
ดังกล่าว เร่งหาทางออกจากของเก่า คนที่มีปัญญาทางธรรม จะเกิดปัญญา
ขน้ึ มาว่า เราจะมาต่ืนเต้นอะไรกับของเก่าที่เคยเสพมาไมร่ ู้ก่ีล้านล้านกัปกัลป์
ส่งิ ทเ่ี ราเสพอยู่ ไม่ว่าจะเป็นรูป เสียง กลนิ่ รสสัมผัส มันกข็ องเดิมๆ ที่เคยเสพ
เคยลิม้ รสมาแล้วท้ังน้ัน เสพครัง้ หนึ่งก็ดับไปครง้ั หน่งึ แล้วก็ด้ินรนแสวงหาเสพ
ใหม่ เสพแล้วก็ติดอยู่กับของเก่าอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่าจะยุติลงได้เม่ือใด เพราะ
หลงตดิ รสชาตขิ องเกา่ เขา้ แล้ว หายากทจ่ี ะมผี ู้ใดหลุดพ้นจากของเก่าเชน่ วา่ ได้
หลวงปู่มั่นสอนว่า การจะถอนของเก่าดังว่าได้ จะต้องใช้มรรคมีองค์แปด มี
สัมมาทิฏฐิเป็นเบ้ืองต้น เห็นโทษเห็นภัยในของเก่า เรียกว่าเร่ิมเห็นชอบ พอ
เห็นโทษภัย จิตก็จะเริม่ ออกจากของเก่า ตรงน้ีเรียกว่าสัมมาสงั กัปปะ คือดาริ
ที่จะออกจากของเก่าคือกามท้ังหลาย แล้วก็จะสารวมกายวาจา อาชีพชอบ
การงานชอบ คือมุ่งแต่ทางานเจริญสติปัฏฐานด้วยความเพียร เรียกว่า
โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น | ๑๗๕
ประกอบด้วยสมั มาวายาโม เม่อื เดนิ มรรคเชน่ นอ้ี ยเู่ นอื งๆ วนั หนึง่ จิตกจ็ ะต้ังมนั่
รู้ธรรมเห็นธรรม เห็นรูปนามตามจริง ก็จะถอนจากของเก่าออกมาได้ หลวงปู่
มั่นบอกว่าการจะดาเนินมรรคให้สาเร็จ จะต้องอาศัยอิทธบิ าทส่ีประกอบด้วย
น่นั คือฉันทะ วิริยะ จิตตะ วมิ ังสา คอื จะต้องมีความปรารถนายินดใี นการที่จะ
พ้นไปจากของเก่า พ้นไปจากวัฏสงสารเสียก่อน แล้วเจริญสติด้วยความเพียร
มีจิตประกอบด้วยสติอยู่ตลอดเวลา กับทั้งหม่ันตรวจสอบมรรคอยู่เสมอว่า
บัดนี้ ตนเดนิ มรรคถกู หรือผดิ
หากพบวา่ ผดิ กจ็ ะได้แกไ้ ขใหถ้ กู ตรงนีห้ ากไม่มผี ู้รจู้ รงิ มาคอยช้ีแนะ ก็ตอ้ งคอย
ตรวจสอบด้วยอุบายอันแยบคาย ด้วยปญั ญาอันเฉียบแหลม จงึ จะรูไ้ ด้
หลวงปมู่ ั่นบอกว่าของเก่าทต่ี ิดมานมนานน้ี มีอวิชชาเป็นตวั การใหญ่ เพราะไม่
รู้เท่าทันในรูปเสียงกล่ินรส เห็นว่าเป็นของดีของงาม จิตเลยติดยึดอยู่ไม่ยอม
ปล่อย ท่านบอกต้องใส่วิชชาคือความเห็นชอบเข้าไป ตอกลิ่มวิชชาเข้าไป ให้
อวชิ ชากระเดน็ ออกมา เชน่ เห็นรูปวา่ งาม เลยติดรปู ก็ตอ้ งพิจารณากายให้เห็น
ตามจริง พอเห็นตามจริงวา่ แท้จริงมันไมง่ าม เป็นอสุภะ ทงั้ หาตัวตนแกน่ สาร
อะไรไม่ได้ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อวิชชาก็จะกระเด็นออกมา ก็จะถอน
ของเก่าได้
บุคคลรักษาจิต ได้แล้วท้ังศีล แม้รักษาทางปัญญา ได้แล้วทั้ง ศีล
สมาธิ ปัญญา ดจุ ข้าวสุกที่สาเร็จแล้ว เราจะตวงกนิ ไม่ตอ้ งไปกงั วลทานาเก็บ
เกี่ยว และข้าวเปลือก ข้าวสารเลย กินข้าวสุกแล้วก็เป็นพอน้ี ก็ฉันได้ เป็น
สถานทส่ี ารวม
หมายความว่าผู้ใดรักษาจิตได้แลว้ ก็ได้ครบทงั้ ศีล สมาธิ ปัญญา อันน้ีหมายถึง
ผูท้ ่เี จริญสติจนพบจิตพบธรรม รู้วา่ อันไหนจิต อนั ไหนอารมณ์ เม่อื ได้จิตแลว้ ก็
๑๗๖ | โอวาทธรรมหลวงปู่ม่ัน
คือได้ธรรม อันน้ีก็เป็นวาจาของหลวงปู่ม่ัน วันใดได้จิต จิตนั่นแหละคือพระ
นิพพาน คือพระไตรปิฎก คือสติ คือสมาธิ คือปัญญา ทาไมจึงเป็นอย่างน้ัน
เมอ่ื ไดจ้ ติ รักษาจิต หรือกลา่ วอีกนยั หน่งึ จิตจะรกั ษาตวั มันเอง ผทู้ พ่ี บจติ ก็คือ
พบธรรม พบธรรมก็คือเกิดดวงตาเห็นธรรมคือพระโสดาบันน่ันเอง พระ
โสดาบันมีศลี ห้าเป็นปรกติ อันนี้ก็แสดงไปมากแล้วว่าทาไมเป็นอยา่ งนั้น พระ
โสดาบันเห็นแจ้งแล้วว่าขันธ์ห้าหาตัวตนไม่ได้ สักแต่เกิดแต่ดับ พอเห็นอย่าง
น้นั มันก็ไมค่ ดิ จะฆา่ จะลักทรพั ย์ผิดลกู ผิดเมยี ใคร ไม่รู้จะโกหกไปเพื่ออะไรและ
ไม่รจู้ ะกินเหล้าเมายาไปทาไม เพราะเห็นส่ิงทั้งปวงมันไม่มีตวั ตน ไม่ว่าจะเป็น
อารมณ์ความรู้สึกนึกคิด ศีลมันกม็ ีโดยอัตโนมตั ิ เรียกว่ามศี ีลวริ ัติ คอื ศีลแบบที่
ไม่ต้องสมาทาน พอเห็นรูปนามอารมณ์ตามจริงๆ มากเข้าๆ จิตจะเบื่อหน่าย
คลายกาหนดั ออกมา จติ จะตงั้ มน่ั ด้วยตวั มันเองมากข้ึนๆๆๆ
พระโสดาบันจิตต้ังมั่นครั้งเดียว เห็นตามจริงครั้งเดียวก็จบเพียงน้ัน ต่อไปจะ
เปน็ ช้นั ละ เพราะชัน้ เห็นกับชั้นละคนละช้ันกัน ย่ิงละไดม้ ากเท่าใด จติ กต็ ั้งมั่น
มากเท่าน้ัน ตรงจติ ตง้ั ม่ันน่ีแหละคือสมาธิ เป็นสมาธิแบบลืมตา สมาธเิ พราะมี
สติกากับจิตอยู่เสมอ มาถึงตรงนี้จะเข้าใจท่ีหลวงปู่ชาพูดว่า สมาธิอาตมาไม่
มากหรอก แต่สติอาตมามาก หมายความว่าจิตที่ประกอบด้วยสติตลอดเวลา
จิตยอ่ มเป็นสมาธดิ ้วยตัวมนั เองส่วนปัญญาก็จะอยู่ในที่เดียวกัน จิตท่รี ักษาตัว
มันเองได้ ย่อมจะเป็นรูปนามอารมณต์ ามจริงในเวลาเดยี วกันว่า สิ่งท้ังปวงมัน
หาสาระแก่นสารตัวตนไม่ได้ เห็นสิ่งท้ังปวงเป็นอนัตตา นี่คือปัญญาที่ปรากฏ
ในจิต เมื่อได้จิต รักษาจิตได้ ก็จะได้ล้ิมรสพระนิพพาน มันจะสงบเยือกเย็น
ตลอดเวลา ตรงน้ีแหละท่ีหลวงปู่ม่ันบอกว่าคือข้าวสุก คือฉันหรือกินได้ทันที
และกินอยู่ได้ตลอดเวลา ไม่เหมือนข้าวสาร ข้าวเปลือก ที่ต้องคอยไปทานา
ปลูกเสียกอ่ นจงึ จะไดก้ ิน ขา้ วสารกต็ อ้ งเอามาหงุ กอ่ น ข้าวเปลอื กกต็ ้องเอามาสี
ก่อน แล้วจงึ นามาหุง แต่สาหรับขา้ วสกุ มนั กินได้ทันที จิตก็เชน่ กัน หากรักษา
โอวาทธรรมหลวงปู่มน่ั | ๑๗๗
จติ ไดม้ ่ันคง ก็สัมผสั รสพระนิพพานได้ทันที ความท่ียกมาให้ขยายนี้ กเ็ ป็นเรอ่ื ง
ลึกซ้ึงมากๆๆๆๆๆ ถ้าปฏิบัติมาไม่ถึง ไม่สามารถตอบหรือขยายความได้เลย
หลวงปมู่ ่นั ชา่ งลึกซึง้ เสียย่งิ นกั สว่ นคาว่าเปน็ สถานทสี่ ารวม หมายถงึ จิตน่นั เอง
เมอ่ื รักษาจิตได้ จติ มนั ก็จะสารวมตัวมันเอง เม่อื จติ สารวม กายวาจากส็ ารวม
คร้งั พุทธกาล บางองค์ตดิ ทางสมาธิ ๕๐ ปี จงึ สาเร็จก็มี
อันน้ีกแ็ สดงไปเยอะแล้วว่า มิจฉาสมาธิ หรอื สมาธใิ นทางสมถะ พอได้แล้วกจ็ ะ
ติดความสงบอยู่ในนั้น หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี เรียกว่าสมาธิหัวตอ หลวงตา
มหาบัวก็ติดอยูห่ ลายปี จนหลวงปู่ม่นั เดนิ มาดา่ วา่ จะนอนตายอยู่ในสมาธิแบบ
นี้หรือ ตอนน้ันหลวงตามหาบัวติดพุทโธ ต่อมาท่านออกมาพิจารณากาย
(กายคตาสติ) จึงสาเร็จไปได้ สมัยพุทธกาลก็มีภิกษุมากมายติดสมาธิแบบสงบ
มีอยู่องค์หน่ึง วนั หนึ่งเขา้ ฌานไม่ไดก้ ็กลมุ้ ใจ เลยลงมอื ฆ่าตัวตายเลย กอ่ นตาย
นึกถึงทีพ่ ระพุทธเจ้าสอนเร่ืองเวทนา เลยเอาเวทนาก่อนตายมาพิจารณาด้วย
ไตรลักษณ์ จึงบรรลุอรหัตผลไปได้ แต่หายากท่ีจะเป็นแบบนี้ ส่วนใหญ่ก็ติด
สมาธิแบบฌาน แบบสมถะกันหมด พระดังๆ สมัยน้ีกส็ อนแตส่ มาธแิ บบที่ชวน
ใหต้ ิดทั้งนน้ั แล้วก็หลงว่านนั่ คอื สัมมาสมาธิ หลงว่าคือพระนิพพาน เห็นแลว้ ก็
น่าสลดใจจริง สมาธิที่สอนให้เพง่ ให้บริกรรม ให้จิตจดจ่ออยู่กบั สิ่งที่เพ่ง เพ่ง
ดวงแก้ว เพง่ พระ เพ่งคาบรกิ รรมภาวนา ล้วนแลว้ แตเ่ ปน็ ไปเพอ่ื ความติดความ
หลงท้งั นนั้ ใหเ้ จริญไปในแนวทางสติปัฏฐานดังท่ีพร่าสอนไปจึงจะถูก และเอา
ตัวรอดได้
ธรรมทงั้ หลายมาจากเหตุ คือจิตออกจากจติ เรียกเจตสกิ ต่อนอกนั้น
เปน็ อาการท้ังหมด ดุจสันหรือคมของดาบมาจากเหลก็ ฉะน้ันฯ
๑๗๘ | โอวาทธรรมหลวงปมู่ ่นั
เหตุก็คือจิตที่ปรุงแต่งเป็นอาการต่างๆ เรียกว่าจิตสังขาร ส่ิงที่ออกมาจากจิต
ตามปริยัติเรียกว่าเจตสิก จิตกับเจตสิกคนละตัวกัน จิตเหมือนคน เจตสิกคือ
กริยาอาการต่างๆ ที่คนแสดงออกมา ถ้านิ่งอยู่ ไม่มีการแสดง ก็ไม่มีเจตสิก
ตรงที่นิ่งอยู่ ไม่เคลื่อนนัน่ แหละ จะพบตนพบจิต ท่านเปรียบเทียบเหมือนดาบ
เล่มหนึ่ง ดาบที่ทามาจากเหล็ก จากเหล็กมาเป็นดาบ พอเป็นดาบมันก็มีสัน
มีคม ท้ังสันและคมก็คือเหล็ก แตพ่ อมนั อย่ดู ้านหนงึ่ ก็เรยี กวา่ สัน พออยูอ่ กี ด้าน
หน่ึงก็เรียกว่าคม จริงๆ มันก็คือเหล็กนั่นแหละ เพียงแต่หน้าตาของมัน
เปล่ียนไปตามลักษณะท่ีมันแสดงเท่านั้นเอง ด้านหนึ่งแสดงเป็นสัน อีกด้าน
หน่ึงแสดงเป็นคม สมัยแสดงธรรมใหม่ๆ เคยแสดงเรื่องน้ีเปรียบเทียบกับ
มายากลพันหน้า หน้าท่ีเปลย่ี นไปเปน็ พนั หน้าก็คอื เจตสิก คือกริยาอาการ มัน
เปล่ียนไปเรอ่ื ยตามแต่จะปรุงแต่งเป็นหน้าอะไรแบบไหน แต่หนา้ เดิมหน้าแท้
มนั มอี ยหู่ น้าเดียว นัน่ คอื จติ เดิมนั่นเอง
ให้ปล่อยจิต อย่ากดจิต เหตุผลเคลื่อนคล่ืนอยู่ใน ให้พิจารณาความ
รกั ความชัง พจิ ารณานิสยั ของตน จติ ด้ือ บรษิ ทั มากพึ่งนิสัยเดมิ มิได้ ตะครุบจิต
จงึ มีกาลัง
อันนี้เปน็ การบันทึกระท่อนกระแท่นอยู่ ให้ปล่อยจิตในท่ีนี้ไม่ไดห้ มายถงึ ปลอ่ ย
จิตไปตามยถา ปล่อยใหไ้ หลไปตามอารมณ์แบบคนโลกๆ แต่หมายถึงปล่อยให้
จติ เป็นธรรมชาติของเขา ธรรมชาตขิ องจิตจรงิ ๆ ก็คือสกั แตร่ ู้ เพราะจิตคือธาตุ
รู้ สว่ นจติ ที่ปรุงแต่งเป็นอะไรตา่ งๆ เรียกว่าผดิ ธรรมชาติ พระพุทธเจ้าเรียกว่า
จิตผิดรปู อย่าไปกดจิต ก็คืออย่าไปบังคับจิต บังคับไม่ให้คิดไม่ให้นึก อันน้ีมัน
ผิดธรรมชาติ มันจะคิดจะนกึ อะไร ก็ปล่อยไปก่อน แตใ่ ห้รู้เท่าทันอยู่เสมอ ถึง
ได้สอนอยู่เสมอวา่ ยืน เดิน น่ัง นอน กิน พดู ด่ืม คิด ให้รู้สึกตัวอยู่เสมอ ให้อยู่
กับรู้ แม้มันจะมีคิดมีนึกมีอารมณ์อะไรก็แล้วแต่ หากจิตอยู่กับรู้ได้ ก็ถือว่า
โอวาทธรรมหลวงปู่มนั่ | ๑๗๙
ถูกต้อง เพราะตราบใดท่ียงั ไม่ดับขันธน์ ิพพาน คิดนกึ มันห้ามไม่ได้หรอก ถ้าไป
บงั คับมนั ไปกดมนั มันจะบ้าได้
เหมือนคร้ังหนึ่ง มีเพ่ือนผู้พิพากษาท่านหน่ึงไปเข้าอบรมคอร์สปฏิบัติธรรม
อันหน่ึง ท่ีดังมากๆ ไปถึงเขาก็ห้ามพูดเลย ท่านบอก ผมจะเป็นบ้าให้ได้ แล้ว
วนั หน่งึ คนที่นั่งข้างๆ ก็เกิดอาการคุม้ คลั่งขึ้นมา ทา่ นกโ็ ทรศัพท์มาคยุ มาเล่าให้
ฟงั กบ็ อกวา่ ทา่ นไม่บ้าเหมือนคนน้ันก็บญุ โขแล้ว เพราะอะไร เพราะธรรมชาติ
จิตคนเรามันคิดมันนกึ มานับกัปนบั กัลป์ พอมันนึก ปากมันก็พดู อยู่ๆ ไปห้าม
ไปกดมันไว้ สังขารมันก็ต่อต้านสิ น่ี ไปกดมันไว้ ให้พิจารณาความรักความชัง
วา่ ล้วนแต่ไม่เท่ียง หาแก่นสารไม่ได้ วันนี้รักพรงุ่ นี้ชัง วันน้ีชังพรุ่งนรี้ ัก เอาแน่
อะไรไม่ได้สักอย่าง จะวิ่งตามความรักความชังเป็นหมาบ้าอยู่ทาไม ให้
พจิ ารณานิสยั ของตนว่าเปน็ อย่างไร ควรแก้ไขอยา่ งไร คาว่านิสัยหมายถึงนิสัย
ของจิต สันดานของจติ ชอบคดิ ไปในทางชงั หรือทางรกั ใหร้ ู้เท่าทัน จติ ดื้อมาก
คาว่าบริษัทหมายถึงขยายความให้เห็นว่ามาก เพราะอะไรท่ีเป็นบริษัท
หมายถึงมาก อย่างคาว่าพุทธบริษัท ก็คือชาวพุทธจานวนมาก จิตที่ด้ือมากๆ
จะพึ่งนิสัยเดมิ สันดานเดิมไมไ่ ด้ เพราะมแี ตจ่ ะพาจิตให้เสยี ไปดว้ ยกัน นสิ ยั เดิม
ของจิตคนมักจะไหลลงสู่ที่ต่า จะพึ่งนิสัยเดิมแบบนั้นไม่ได้ ต้องคอยรักษาจิต
คือตะครุบจิต จิตจึงจะมีกาลังข้ึนมา คาว่าตะครุบจิต กับรักษาจิตก็คืออัน
เดียวกัน รักษาจิตให้อยู่กับสติอยู่เสมอ อยู่กับรู้เสมอ ตะครุบจิตก็คือคอยคว้า
จิตไว้ ดึงจิตไว้ ไม่ให้ไหลไปตามอารมณ์รักอารมณ์ชัง เพราะนิสัยเดิมของจิต
พอมีรักก็ไหลตาม พอมชี ังก็ไหลตาม แต่ถ้าเราคอยตะครุบ คอยคว้า คอยดึงจิต
คอยรักษาจิตไม่ใหไ้ หลไปตามอารมณ์ทัง้ สองฝง่ั จติ จะมกี าลังขน้ึ มา จนวนั หนึ่ง
จิตมีกาลังต้ังมั่นข้ึนมา เกิดสัมมาสมาธิในมรรคมีองค์แปด ก็จะรู้เห็นธรรม
ขึ้นมา
๑๘๐ | โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น
ขยายความธรรม ในกล่มุ สายธารธรรม เม่ือวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๓ วนั พระ
เหตปุ จฺจโย โหติ ธรรมทง้ั หลายเกดิ เพราะเหตุ ดับเพราะเหตุฯ
เหตุเกิดกอ่ น ปจั จยั เกดิ ทีหลังฯ
ท่านทรงกลด : อันนี้คือสิ่งท่ีพระอัสสชิสอนพระสารีบุตรสั้นๆ แต่กินใจความ
พทุ ธศาสนาทั้งหมด นั่นคือธรรมท้งั หลายเกิดแตเ่ หตุ เพราะเหตุ จะดับก็ต้องดับ
ท่ีเหตุ เร่ืองจึงจะจบ คาว่าธรรมทั้งหลายในที่น้ีหมายถึงธรรมชาติท่ีเป็นรูปนาม
ขนั ธ์ห้า เกิดแตเ่ หตุ หมายถึงมันมีการปรุงแต่งข้นึ มา ธรรมท้ังหลายจึงเกิดขึ้นมา
เหตุเดิมของธรรมท้ังหลายก็คืออวิชชา เพราะอวิชชาคือความไม่รู้เท่าทันเหตุ
จติ จงึ ปรุงแตง่ เป็นนามเป็นรูปข้ึนมา โดยเริม่ แรกคือปรุงแต่งวิญญาณขึน้ มากอ่ น
คาว่าเหตุเกิดก่อน ปัจจัยเกิดทีหลัง อันนี้ท่านกาลังกล่าวถึงปัจจยาการของ
รูปนาม หรือปฏิจจสมุปบาท คาว่าปัจจัยก็ข้ึนองค์ประกอบท่ีทาให้เกิดสิ่งนั้น
สิ่งนี้ข้ึน เพราะอวิชชาเป็นเหตุ จึงก่อให้เกิดสังขาร จากนั้นสังขารก็เป็นปัจจัย
ทาให้เกิดวิญญาณ วิญญาณก็เป็นปัจจัยก่อให้เกิดนามรูปตามมา นามรูปก็
กอ่ ให้เกิดสฬายตนะ เกิดผัสสะ เกิดเวทนา เกิดตัณหา เกิดอุปาทาน เกิดภพชาติ
ชรามรณะทุกขโ์ ศก ตามมาไมส่ ้ินสดุ
ธรรมท้ังปวงเกิดแต่เหตุ เหตุก็คอื อวิชชา คือความไมร่ ู้ การจะดับสิ่งทัง้ ปวงได้ก็
ต้องดับที่เหตุก็คือดับอวิชชา อวิชชาก็คือความไมร่ ู้เท่าทันในสังขารทั้งปวง ไม่
รเู้ ทา่ ทันในรปู ในนาม พระพทุ ธเจ้าสอนสติปัฏฐานสี่ก็เพื่อให้เกิดวิชชา คือการ
รเู้ ทา่ ทันในรูปนามเสยี เมื่อวิชชาเกิด อวิชชาก็จะดับๆ ไป เอาวิชชาเขา้ ไปล้าง
อวิชชา เอาวิชชาเข้าไปดับเหตุ เม่ือดบั เหตุได้ จติ ก็จะหยุดการปรุงแต่ง เม่ือจิต
หยดุ การปรงุ แต่งได้ วิสังขารคตัง จติ ตัง ก็เกิดท่ีจิต หยดุ ภพหยดุ ชาติตรงนน้ั
โอวาทธรรมหลวงปู่ม่นั | ๑๘๑
จิตเป็นคนเรียกสมมุติเอง จิตเป็นเหตุท่ีกระสับกระส่าย จิตปรกติดี
แล้วก็เป็นอนั ไดร้ บั ความสุขฯ
จติ เปน็ คนเรียกสมมตุ ิในที่นี้หมายถึง จิตเป็นคนเรยี กหาสมมุตเิ อง คือต้งั สมมุติ
ขึ้นมาเอง จิตเป็นเหตุที่กระสับกระสา่ ยกค็ ือจติ ส่งนอก จิตเคลื่อน จติ ปรุงแต่ง
ถ้าจิตหยุดส่งนอก หยุดเคลื่อน หยุดปรุงแต่ง จิตก็เป็นจิตท่ีปรกติ ย่อมได้รับ
ความสุขคือพระนิพพาน เพราะจิตไม่รู้เท่าทันรูปนามอารมณ์ จิตจึงเป็นเหตุ
กระสบั กระส่าย อย่ไู ม่สขุ วงิ่ ตามอารมณ์ไป เหมือนคนวิ่งตามไลต่ ามเงาตนเอง
อารมณ์ยินดีก็ว่ิงตาม อารมณ์ยินร้ายก็วง่ิ ตาม ท่านจึงสอนให้หยุดอยู่กับรู้ จะ
ได้หยุดวิ่ง หยุดกระสับกระส่าย สอนให้รู้เท่าทันอารมณ์ท้ังปวง ด้วยอนิจจัง
ทุกขัง อนัตตา เมื่อรู้เท่าทันอย่างน้ัน จิตก็จะหยุดเคล่ือน หยุดส่งนอก หยุด
กระสับกระส่าย กลายเป็นจิตท่ีปรกติข้ึนมา จิตที่ฝึกดีแล้ว เป็นปรกติดีแล้ว
ย่อมนาสุขมาให้ในที่สุด เป็นสุขที่แตกต่างจากสุขใดๆ ท่ีเคยได้รับมาในโลก
อย่างสนิ้ เชงิ จงึ เรียกวา่ โลกุตระสุข สขุ เหนือโลก
เอกมูลา เหตุผลมาจากความที่เป็นหนึ่งของจิต เป็นเหตุเป็นปัจจัย
(เหตุ ปจั จโย) ประกอบกัน จงึ ตัง้ เป็นบทบาทคาถาฯ
เอกแปลว่าหนึ่ง มูลก็คือเหตุ เหตุท้ังปวงเกิดจากจิตท่ีเป็นหนึ่งนี่แหละ จิตท่ี
เป็นหน่ึงเดียวนี้ แต่ไม่ยอมหยุดซัดส่ายไปตามอารมณ์ กล่าวโดยย่อรูปนาม
อารมณ์ท้ังปวง ธรรมทั้งปวงก็ล้วนออกไปจากจิตท่ีเป็นหน่ึงน้ีแหละ แต่ท่ีไม่
เห็นวา่ มันออกไปจากจิตท่ีเปน็ หน่ึง กเ็ พราะเราเคยไมท่ าใหจ้ ติ เป็นหนงึ่ ไดอ้ ยา่ ง
แทจ้ รงิ อยา่ งมากก็ทาไดแ้ ค่จิตรวม ซึ่งคนละเรื่องกับจิตทเี่ ปน็ หนงึ่ ถ้าจิตท่เี ป็น
หน่ึง จะเหลือจติ อันเดียวโดดๆ ต้ังมั่นอยู่ ไม่เก่ียวข้องกับอารมณ์ใดๆ และจะ
เห็นอารมณ์ท้งั ปวง ธรรมทัง้ ปวงไหลออกจากจิตทีต่ ง้ั ม่ันเป็นหนึ่งเดียวนี้ ตรงนี้
คือการเหน็ ธรรม เหน็ ธรรมกค็ ือเห็นรูปนามทง้ั ปวงออกไปจากจิต ออกไปแล้ว
๑๘๒ | โอวาทธรรมหลวงปมู่ ัน่
กเ็ กิดดับอยู่ หาความหมายตัวตนอะไรไม่ได้ จึงเรียกว่าเห็นธรรม บริกรรมจิต
รวมลงเป็นหน่ึง ไมใ่ ช่จิตเป็นหนง่ึ ตามนยั แหง่ พทุ ธพจน์
จิตเป็นหนึ่งก็คือจิตผละออกจากขันธ์ห้า ออกมาต้ังเป็นหน่ึงอยู่ พระพุทธเจ้า
เรียกวา่ จิตต้งั ม่ัน ความตั้งม่ันของจิตหรือสัมมาสมาธิในมรรคมีองค์แปดนั่นเอง
สมาธิท่ีพระพุทธเจ้าเคยเรียนมากับอาฬารดาบส อุทกดาบส พระองค์ไม่
เรียกว่าสัมมาสมาธิ แต่สมาธิที่พระองค์ค้นพบในคืนตรัสรู้ ทาใหพ้ ระองค์เห็น
ปัจจยาการของสิ่งทั้งปวงหรือปฏิจสมุปบาท นี่แหละพระองค์เรียกว่า
สัมมาสมาธิ ทีพ่ ระองค์บัญญัตคิ าว่าสมั มาสมาธิกเ็ พื่อให้แตกต่างจากสมาธิของ
พวกพราหมณ์พวกฤษีท้ังปวงที่สอนสมาธิแบบสมถะ แบบฌาน กันอยู่อย่าง
มากมายในสมัยน้ัน
เป็นท่ีน่าสลดใจท่ีครูบาอาจารย์มากมายในสมัยน้ี กลับพากันสอนสมาธิแบบ
พวกฤษี แลว้ ช่ืนชมอย่กู ับการสอนการปฏบิ ตั เิ หลา่ นัน้ จึงไมใ่ ชเ่ ร่ืองแปลกอนั ใด
ท่ีคนสมัยน้ีทาสมาธิมาท้ังชีวิต แต่กลับไม่เคยเห็นความจริงของรูปนาม ไม่มี
โอกาสได้ลิ้มรสของพระนิพพานเลย พูดตรงๆ ก็คือ ไม่มีวันจะบรรลุธรรมแต่
อย่างใดเลย เพราะพากันติดความสงบที่ได้จากสมาธิ ซ่ึงก็คือมิจฉาสมาธิท่ี
ประพฤติปฏิบัติอยู่ โดยไมร่ ้วู ่าอะไรเปน็ อะไรเลย ไม่เคยได้พานพบจิตเป็นหน่ึง
แบบท่ีพระพุทธเจ้าหรือพระอริยสาวกแท้พบเลย ถ้าพบแล้ว ก็จะสิ้นสงสัยใน
ธรรม วิจิกจิ ฉาจะถูกทาลายลง จะเห็นธรรมทง้ั ปวงเป็นเหตุเป็นปจั จัยหนุนให้
เกิดเร่ืองเกิดราวตามมาไม่สิ้นสุด จะเห็นโดยไม่ต้องคิดว่าเวลาตาเห็นรูป เกิด
ผัสสะ เวทนาเกิดและดับไปอย่างไร เห็นเวทนาก่อให้เกิดตัณหาๆ ก่อให้เกิด
อุปาทานอย่างไร คราวนี้ก็ไม่ยากที่จะดับทเี่ หตุ เพราะรู้เหตุของสง่ิ ทงั้ ปวงแล้ว
ธรรมทั้งปวงออกมาจากจิต เวลาจะดับกด็ ับท่ีจติ ดับเหตไุ ด้แลว้ ก็จะเหลือจิต
หนง่ึ จติ เดิม จิตเดียวท่ีบริสทุ ธ์แิ ละนน่ั คือเป้าหมายสดุ ทา้ ยของพทุ ธศาสนา
โอวาทธรรมหลวงปู่ม่นั | ๑๘๓
ขยายความธรรม ในกลุ่มสายธารธรรม เม่อื วนั ท่ี ๒๖ ตลุ าคม ๒๕๖๓
โอวาทหลวงปู่มั่น บันทึกโดยหลวงปู่หลุย จันทสาโร เป็นธรรมะข้ันสูงทั้งส้ิน
เพราะออกมาจากจิตพระอรหันต์ อาศัยครรลองแห่งธรรม ภูมิจิตภูมิธรรมท่ี
เดินมาค่อนคร่ึงทาง ก็พอจะคลคี่ ลายออกได้ตามสมควร หลายคนอ่านแล้วไม่
เขา้ ใจหรอก เพราะลึกเกนิ กว่าจะเขา้ ใจ จุดมงุ่ หมายไม่ได้ต้องการใหเ้ ขา้ ใจ แต่
ให้ศึกษาเรียนรู้ไว้เท่าน้ันเอง เพ่ือให้จิตได้สัมผัสธรรมท่ีลึกลับลึกซึ้ง เป็น
อุปนิสัยแก่จิตในภายภาคหน้าเท่านั้นเอง ส่วนใครท่ีอ่านแล้วพอเข้าใจหรือ
เขา้ ใจดี กข็ ออนุโมทนาด้วย แสดงว่าจิตไดร้ บั การอบรมมาดีพอตวั แลว้ ส่วนคน
ท่อี า่ นแล้วไมเ่ ข้าใจกอ็ ย่าทอ้ ใจ หากไม่ท้ิงเส้นทางน้ี วันหนึ่งก็จะเข้าใจอย่างแน่
แท้ ไม่ต้องกังวลใจใดๆ ถ้าคนสอนกันได้ ก็จะสอนได้ ถ้าสอนกันไม่ได้ ก็สอน
ไม่ได้ เขา้ มาไม่นานกอ็ อกไป
อย่างพระพุทธเจ้า ใช่ว่าท่านจะสอนได้ทุกคน ถ้าไม่มีวาสนาต่อกัน สอน
อย่างไรเขาก็ไมฟ่ ัง พระพุทธเจา้ ก็ตรัสบอกพระอานนท์เร่ืองนี้เหมือนกัน พระ
อานนท์ไมเ่ ชื่อ พระพทุ ธเจ้าเลยทาให้ดู โดยไปโปรดผหู้ ญงิ คนหน่ึงทไี่ ม่มวี าสนา
ตอ่ กัน สอนอย่างไรเธอก็ไม่ฟัง ไม่เอา ขนาดใช้ฤทธ์ิไปปรากฏพระวรกายล้อม
หน้าล้อมหลัง เธอก็เอามือปิดหน้า ไม่อยากเห็นอยากฟัง พระอานนท์จึงเช่ือ
พวกเราก็เช่นกัน เพราะมีวาสนาต่อกันมา จึงอยู่ในกลุ่มอย่างเหนียวแน่น ท้ัง
กลุม่ ห้าร้อย กล่มุ สามร้อย และกลุม่ เนเชอรลั มายอีกสองรอ้ ย กับกลุ่มอื่นๆ อีก
หลายกลมุ่ กพ็ อจะอนมุ านได้อย่างหน่ึงว่าตอ้ งมีวาสนาตอ่ กันมา เลยทาให้นึก
ถึงคืนหนึ่งที่ภาวนาเกิดความรู้ว่าคนในกลุ่มต่างๆ ท่ีสอนอยู่จะบรรลุธรรม
จานวนมาก ที่บรรลุกัน ก็เพราะจิตพวกเราใฝ่ในธรรมที่ถูกต้อง มีสัมมาทิฏฐิ
เดินมรรคถูก ไม่ได้บรรลุเพราะเรา เราเป็นเพียงผู้ช้ีทางชี้แนะเท่าน้ัน อยู่ไม่
นานก็จากไป แต่สมั มาทิฏฐทิ ่ีเกิดในจิตในใจพวกท่าน ก็จะอยกู่ ับจิตกับใจพวก
๑๘๔ | โอวาทธรรมหลวงปมู่ นั่
ท่านทั้งหลายไปตลอดอนันตกาล แม้นิพพานแล้วก็จะยังอยู่ จิตที่นิพพาน
สัมมาทิฏฐิก็ไม่ได้หายไปไหน ขอเพียงอย่าทิ้งหนทางที่ถูกต้องอันน้ีไปก่อนก็
แล้วกัน ดังหลายๆ คนท่ีไม่มีวาสนาต่อกัน ก็จะมีเหตุออกจากกลุ่มไป ทิ้ง
เสน้ ทางธรรมไป
กลับมาท่ีโอวาทหลวงปู่ม่ันในคืนน้ี
ฝึกหัดจิตดีแล้ว จติ เข้มแข็งมอี านาจมาก ย่อมกระทาจติ สารพัดได้ทุก
อยา่ ง เม่ือเห็นอานาจของจติ แลว้ แลเห็นกายเป็นของออ่ นจติ บังคับกายไดฯ้
ท่านสอนให้ฝึกหัดจิต การฝึกหัดจิตทาให้จิตมีอานาจเข้มแข็ง การฝึกจิตตรง
ข้ามกับการฝกึ กาย อย่างเราตอ้ งการให้รา่ งกายแข็งแรง ก็ต้องว่ิงต้องเดินต้อง
ออกกาลังกาย เคล่อื นไหวทาโน่นน่นี นั่ แต่จติ จะเปน็ ไปในทางตรงกนั ข้าม จิตท่ี
เคลื่อนไหวมาก กระสับกระสา่ ยมาก จะเป็นจิตท่ีไร้กาลัง จิตท่ีวง่ิ ตามอารมณ์
ตน อารมณ์คนอ่ืน วิ่งตามวาจาคนนั้นคนน้ี ย่อมขาดกาลัง เป็นจิตที่อ่อนแอ
ยอมให้อารมณจ์ งู จมูกพาไปโน่นน่ีน่นั ตลอดเวลา อารมณ์ดีก็วิ่งตาม อารมณแ์ ย่
ก็ว่ิงตามหัวซุกหัวซุน ไม่เคยหยุดพัก การทาจิตให้มีกาลัง ต้องทาให้จิตหยุด
เคลื่อนไหว การทาให้จิตหยุดเคล่ือนไหวก็มีสองแบบ แบบแรกเรียกว่าสมถะ
คือทาให้จิตสงบ นิ่ง หยุด สงบ สุข บางทีก็กลายเป็นจิตแช่แน่แน่วอยู่กับ
อารมณใ์ ดอารมณห์ นึ่ง เช่น เพ่งน้า ดนิ ลม ไฟ บริกรรมคาภาวนาตา่ งๆ ทาให้
จิตหยุดแน่วแน่อยู่กับส่ิงหนึ่งสิ่งใด เอาส่ิงใดส่ิงหน่ึงมาเป็นตัวล่อให้จิตมันจับ
พอจบั ไดก้ ห็ ยุด พอหยุดก็สงบ มกี าลังข้นึ มาเหมอื นกนั จิตที่สงบแบบนี้เรียกว่า
ฌาน เอาไปทาน้ามนต์ เสกคาถา เสกพระ สร้างวัตถุมงคล ก็ศักดิ์สิทธ์ิขลังดี
เหมอื นกนั อยา่ งทีห่ ลวงปมู่ ัน่ บอก
โอวาทธรรมหลวงปู่มัน่ | ๑๘๕
จติ มีอานาจมาก ย่อมกระทาอะไรไดส้ ารพัดอย่าง อานาจจิตอันน้ี มาจากฌาน
แต่อานาจจิตอันนี้ไม่แน่นอน วนั หน่ึงก็เส่ือมได้ เคยทาของขลังได้ วนั หนึ่งก็ไม่
ขลงั ขึน้ มาได้ เพราะเป็นอานาจจิตที่เกิดจากการปรงุ แตง่ ของจิตอยู่ อะไรทีป่ รุง
แต่ง ก็ย่อมเส่ือมได้เป็นธรรมดา เม่ือพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ท่านก็ค้นพบการ
สร้างอานาจจิตแบบใหม่ข้ึนมา เป็นอานาจจิตที่เกิดจากการหยุดปรุงแต่ง
อานาจจติ ในแนวน้ี มหี นทางเดยี วเทา่ นนั้ ท่ีจะทาใหเ้ กิดขนึ้ ได้ นนั่ คือการอบรม
สติปัฏฐานสี่ เพราะสติปฏั ฐานน่ีแหละ จะนาไปสู่การหยุดการปรุงแต่งของจิต
เคยเขียนไว้ในหนังสือธรรมะจากใจเล่มท่ี ๑ ว่าสติคือตัวทาลายการปรุงแต่ง
ของจิต เวลาเรานกึ เราคดิ อะไร ตรงน้ันเรียกว่าจติ กาลงั ปรุงแต่งอยู่ แต่พอมสี ติ
ข้ึนมาอย่างถูกต้อง เช่น รู้สึกตัวทั่วพร้อมข้ึนมา รู้สึกกลางๆ ขึ้นมา รู้ซื่อๆ
ขึ้นมา รู้อยู่กับท่ี หรือรู้เท่าทันข้ึนมาว่าส่ิงท่ีคิดที่นึก มันไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง
ตอ้ งเสอ่ื มดบั ไปในท่ีสุด จะเห็นการนึกการคิดที่เปน็ การปรุงแต่งของจิต ดับลง
ตรงหน้าไปทนั ทีหรือบางทียงั ไม่ดบั มันก็จะค้างเต่ิงอยู่ แลว้ กห็ ายไปในทสี่ ุด
พระพุทธเจ้าสอนพระอานนท์ว่า จะเห็นอารมณ์ท้ังปวงเคอะๆ เขินๆ อยู่ ทา
อะไรจิตไม่ได้ ในขณะที่มีสติขณะจิตนั้นๆ แรกๆ จะเห็นไม่ชัด พอเห็นชัด
รักษาความเห็นไว้ วันหนึ่งจิตมันหยุดต้ังมั่นข้ึนมาได้จริง เกิดความรู้ เกิด
ญาณทัสสนะ เห็นรูปเห็นนามตามจริง จะพบวา่ จติ ตรงน้นั มันมกี าลงั มากๆ จิต
หยุดต้ังมน่ั กับจิตหยดุ ปรุงแตง่ ก็อนั เดยี วกนั จากนน้ั จติ ก็จะมอี านาจของมันเอง
ย่ิงจิตมีอานาจมาก อารมณ์ก็ทาอะไรจิตได้น้อยลงเร่ือยๆ จนเข้าไม่ถึงจิตใน
ที่สุด อานาจจิตแบบนี้เรียกว่าเกิดจากการทาวิปัสสนา พระพุทธเจ้าสอนการ
สร้างอานาจจิตด้วยการทาวิปัสสนา ไม่ได้สอนทาอานาจจิตด้วยการบริกรรม
คาภาวนาแต่อย่างใด จุดประสงค์ของการสอนการอบรมจิตเพ่ือให้มีอานาจมี
กาลังของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ใดอื่น เพ่ือให้จิตมันต้ังม่ัน เป็นสัมมาสมาธิ
จะได้เห็นรูปนามขันธ์ห้าตามจริง พอเห็นตามจริงว่าไม่ใช่เราของเรา จิตก็จะ
๑๘๖ | โอวาทธรรมหลวงปู่มัน่
เบ่ือหนา่ ยคลายกาหนัดออกมา มันจะมีกาลังมีอานาจมากข้ึนเองโดยอัตโนมัติ
จนถงึ ภาวะจิตเปน็ หนึง่ ฐตี ิภตู ัง จิตไม่เคล่ือน กจ็ ะมีอานาจไม่ต่างจากจิตที่เป็น
อเุ บกขารมณ์ในฌาน แต่ต่างกันราวฟ้ากับเหวก็คือ จิตที่เป็นฌานเสื่อมได้ ยัง
ต้องเกิดแก่เจ็บตายต่อไปไม่รู้จบ แต่จิตที่เป็นหน่ึง เป็นญาณ เป็นฐีติภูตัง คือ
จิตกลับคืนสู่ฐานะเดิม ไม่มีการเส่ือม ท้ังจะจบการเกิด การแก่ การเจ็บ การ
ตาย จบวฏั สงสารลงได้ในทส่ี ดุ
เม่ือเหน็ อานาจของจิต จะเห็นกายเปน็ ของอ่อน จติ บังคบั กายได้ หมายความ
ว่าจิตมีอานาจเหนือกาย ยกตัวอย่าง อย่างเวลาน่ังสมาธิ เกิดความเจ็บปวด
มากๆ ก็ทนไม่ได้ ต้องลุกขึ้น หมายความว่าจิตมีอานาจเหนือกาย ยกตัวอย่าง
อย่างเวลาน่ังสมาธิ เกิดความเจ็บปวดมากๆ กท็ นไม่ได้ ต้องลกุ ขึ้น จิตสามารถ
บังคับกายให้น่ังสมาธิแม้มันจะเจ็บจะปวดอยู่ได้ ที่เจ็บท่ีปวดก็คือกาย คือ
เวทนา แต่จิตน้ีหาเจ็บหาปวดไปด้วยไม่ เพราะแยกจิตออกจากกายออกจาก
เวทนาได้แล้วนนั่ เอง ท่หี ลวงปู่ชาเรียกวา่ เหนอื เวทนากค็ ืออันนแ้ี หละ วิปัสสนา
ไม่ได้สอนให้เราหนีเวทนา แต่ให้อยู่กับเวทนา เรียกว่าต่างคนต่างอยู่ พอดับ
ขนั ธ์ เวทนากบั ดับไป แต่จิตน้ีไม่ดับ
ใครจะไปบังคับจิตน้ันไม่ได้เลย ต้องสอนจิตให้อยู่ด้วยอุบาย แม้คา
สง่ั สอนของพระองค์ ล้วนแตเ่ ป็นนโยบายทั้งน้นั เหตนุ ้นั ทา่ นจงึ ไมช่ ีอ้ ุบายตรงๆ
ลงไปทีเดียวจึงชกั อ่นื มาเปรยี บเทียบฯ
การบังคับจิตนั้นทาไม่ได้ คนท่ีพยายามทาก็จะบ้าไปในท่ีสุด เพราะจิตนี้ไว
เหมือนวอก จะไปบังคับไมใ่ ห้นึกไม่คิด เป็นไปไม่ได้ มีแต่จะรู้เท่าทันมัน มีแต่
จะฝึกมันอยู่กับรู้ ให้รู้เท่าทันการปรุงแต่งท้ังหลาย จิตบังคับไม่ได้ แต่สอนได้
ด้วยอุบายการฝึกจิต อุบายที่พระพุทธเจ้าให้ไว้ที่สาคัญก็คือสติปัฏฐานส่ี เช่น
โอวาทธรรมหลวงปู่ม่ัน | ๑๘๗
กายานปุ ัสสนาสติปฏั ฐาน จะไปบอก ไปบังคับใหม้ ันเช่ือว่ากายน้ีไม่ใช่เราของ
เรานะ พูดสักล้านคร้ัง มันก็ไม่เชื่อ จะไปบอกว่าเราไม่มี ไม่มีเรา บอกสัก
พนั ล้านคร้ัง มันกไ็ ม่เช่อื หนา้ ทเ่ี รากค็ ือตอ้ งทาใหม้ นั เห็นตามจริงเสยี อยา่ งเช่น
กายคตาสติ ผม ขนเล็บ ฟนั หนัง พิจารณาด้วยอนิจจัง ทกุ ขัง อนัตตา หรือให้
เห็นว่าเป็นธาตุ เปน็ ของไม่สะอาด วันหนึ่งจติ สงบเกิดความเหน็ ข้ึนในจิต เห็น
วา่ กายสักแต่เป็นธาตดุ ินธาตุน้า เปน็ ของไมส่ ะอาด มันก็จะเกิดความรขู้ ึ้นในจิต
อ้อ! กายนีไ้ มใ่ ชเ่ ราของเรานี่นา ไมต่ ้องมีใครมาบอก มาพร่ากรอกหูอยู่ เพราะ
จิตมันเห็นตามจริงของมันแล้ว พอเห็นมันก็ละวางอุปาทานในกายออกมาเอง
จะไปบังคับแบบในตอนแรก ว่าจิตเอ๋ย จงปล่อยวางกาย ปล่อยวางๆๆๆๆๆๆ
บอกสักหมน่ื ครงั้ มันกว็ างไมไ่ ด้หรอก
หลวงปเู่ จือ จึงบอกว่า ท่ีแท้การคิดจะละจะวางมันไม่ถกู ต้อง ที่ถกู ตอ้ ง ต้องทา
ให้จิตมันเห็นตามจริงเสีย มันจึงละจึงวางของมันเอง นี่คืออุบายการสอนจิต
หรอื เวทนาก็เช่นกนั จะไปบงั คับจติ ให้ปล่อยวางอารมณย์ ินร้าย ปลอ่ ยวางทุกข์
ท้งั ปวง ไมม่ ีทางจะทาได้หรอก มีแต่จะทุกขม์ ากขึ้น ที่ทุกข์มากข้ึนก็เพราะคิด
จะปล่อยจะวางทุกข์ แต่กลับวางไม่ได้ เลยเป็นทุกข์ซ้อนทุกข์ เป็นทุกข์สาหัส
ข้นึ มา แต่วันใดฝึกจิตใหเ้ ห็นเวทนาตามจริง เห็นตามจริงว่าเวทนาไม่ว่าดีหรือ
รา้ ย ไม่ว่าทุกข์หรือสุข สักแต่เกิดขึ้นและดับไปเป็นธรรมดา หาแก่นสารไม่ได้
เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในเวทนาด้วยญาณทัสสนะ เมื่อน้ันแหละจึงจะ
ปลอ่ ยวางเวทนาลงไดเ้ องโดยไมต่ อ้ งฝืนใจบังคับ
เรอื่ งฝึกเวทนานุปสั สนาสติปัฏฐานกส็ อนไปมากมาย ในหนงั สือปุจฉาฯ เล่ม ๒
กส็ าธยายไว้อยา่ งละเอียดว่าดว้ ยเวทนานุปสั สนาสติปัฏฐานโดยเฉพาะ ใครมีก็
ลองอ่านดู หรือกลับไปอ่านเล่มปฐมบทคือกว่าจะถึงกระแสธรรมก็ได้ ก็จะ
เข้าใจและสามารถนาไปปฏบิ ัติได้ทันที บางทกี ารมีหนังสอื อยใู่ นมือ แตก่ ลับไม่
๑๘๘ | โอวาทธรรมหลวงปมู่ ัน่
เห็นค่า ไมเ่ ห็นประโยชน์ ก็เหมือนไก่ไดพ้ ลอย เที่ยวไขว่คว้าส่ิงจอมปลอมข้าง
นอก บางคนกย็ ังแสวงหาหนทาง สานกั โน่นนีน่ นั่ ส่วนใหญม่ นั ปลอมท้ังนัน้ แต่
ก็ดเี หมือนกัน ไปใหร้ ู้ว่ามนั ปลอมอยา่ งไร แต่บางคนขาดปญั ญา ไปแล้วก็ไปลับ
หลงอยู่ในสิ่งจอมปลอมน้ันอย่างน่าสลดใจท่ีสุด เคยลงขอ้ ธรรมไปหลายคร้ังว่า
เรือ่ งศาสนาพุทธนี้ หากไม่ได้สอนเร่ืองขันธ์ห้า ไม่เขา้ ใจเรอ่ื งขนั ธ์ห้า แม้ทาบุญ
อะไรมากมาย น่ังสมาธิเป็นร้อยปีก็ ไม่มวี ันจะเข้าถึงศาสนาพุทธได้การจะเห็น
ขนั ธ์หา้ รแู้ จง้ ในขันธห์ า้ ได้ กต็ ้องอบรมจติ ด้วยสตปิ ฏั ฐานส่ีนนั่ แหละ
หลวงปู่มั่นบอกว่า พระพุทธเจ้าในบางทีก็ไมไ่ ด้สอนอะไรตรงๆ เพราะมันเห็น
ยาก พระองค์ก็ใชว้ ิธีการอปุ มาอปุ มัย ซ่ึงเปน็ อุบายอย่างหน่งึ ในการสอนเพื่อให้
เห็นภาพ อย่างเรื่องขันธ์ห้าน้ี พระองค์ก็เปรียบเทียบไว้ว่ารูปหรือกายน้ีก็
เหมือนน้า ฟองน้า ลองหยิบน้าข้ึนมาสิ กาไว้ได้ไหม มันกาไมไ่ ด้หรอก เพราะ
มนั ไม่มีตวั ตนของนา้ จรงิ ๆ มนั เกิดจากการประกอบกันของธาตุเท่านน้ั เอง เป็น
ฟองน้าหลายฟองมาประกอบกันเป็นน้า แต่พอจะเอาแก่นสารอะไรจากมัน
มันเอาไม่ได้ แม้จะหยิบน้าแบบเป็นๆ ก็ยังหยิบไม่ได้ ต้องใช้ภาชนะหยิบมัน
ขึ้นมา ส่วนเวทนา พระองค์ก็เปรียบเหมือนคล่ืนกระทบฝั่ง กระทบแล้วหาย
กระทบแล้วหาย ฝ่ังก็คือจิตเราน่ีแหละ เวทนาก็คืออารมณ์ยินดีบ้าง ยินร้าย
บ้าง เฉยๆ บ้าง ความเป็นจริง หากเห็นธรรม จะเห็นว่าพอมันกระทบแล้ว
แตกดบั ทนั ที เหมือนคลื่นกระทบหิน กระทบฝ่งั อย่างไรอย่างนน้ั
พระพุทธเจ้าท่านเห็น เราก็เห็นแบบพระพุทธเจ้า จึงเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่า
อ้อ! ท่ีวา่ เวทนาเปรียบเหมอื นคล่ืนกระทบฝงั่ มันเป็นอย่างน้ีๆ น่ีเอง คล่ืนมันก็
ไม่มีอะไร พอกระทบ กแ็ ตกดบั พบกระทบก็แตกดับ เวลาไปทะเล ลองไปนงั่ ดู
คลน่ื เปรียบเทียบกับเวทนาอารมณ์ดู บางทีอาจจะเห็นธรรมข้ึนมากไ็ ด้ ถา้ เรา
เห็นว่ามันกระทบแล้วดบั กระทบแล้วดับ ก็จะเหน็ ว่าเวทนาสกั แตเ่ วทนา คล่ืน
โอวาทธรรมหลวงปู่มนั่ | ๑๘๙
กส็ ักแต่ว่าคลื่น ทาอะไรจิตเราไม่ได้หรอก แต่ท่ีมันทาได้ ก็เพราะเห็นผิด เป็น
มิจฉาทิฏฐิ เห็นผิดว่าเวทนาอารมณ์ทุกชนิดมันมีตัวมีตน เป็นตัวเป็นตน พอ
เห็นผิด จิตก็ฉวยยึดไว้ ท้ังๆ ท่ีความเป็นจริงมันไม่มีอะไรจะให้ยึด เรียกว่าจิต
หลอกจิต เหมือนเราพยายามจะยึดคลื่นทกี่ ระทบฝ่งั ไว้ มนั ยึดได้เสยี ทไ่ี หน ลอง
ไปทะเล ไปน่ังริมหาด รมิ โขดหิน พยายามยึดคล่ืนทีก่ ระทบฝง่ั กระทบหิน มัน
ยดึ ได้ไหม มแี ต่คนบ้าเท่านั้นท่ีเที่ยวตามยึดคล่นื กระทบฝง่ั กระทบหินอยู่ เราก็
ไม่ต่างจากคนบ้าคนนั้น เที่ยวตามตะครุบเวทนาอารมณ์ หลวงปู่ชาจงึ สอนว่า
ปุถุชน เห็นอารมณ์อะไรๆ ก็ตะครุบๆๆๆ ทุกข์เกิดตรงตะครุบนั่นแหละ ตรง
ตะครบุ กค็ ืออุปาทาน ตามยึดในสง่ิ ทไ่ี ม่มใี ห้ยึด
แตถ่ ้าเราเห็นเวทนาเกดิ แลว้ ดับไมม่ ีอะไรเหลอื เหน็ ตามจรงิ แบบนี้แลว้ มันกไ็ ม่
มีอะไรให้ยึด มันจะปล่อยจะวางอยู่ทกุ ขณะจติ ทีเ่ หน็ เอง จะเห็นแต่ว่าเวทนาก็
สกั แตเ่ วทนา ดงั ท่พี ระพุทธเจ้าสอน คล่ืนก็สักแต่ว่าคล่ืน เวทนากส็ ักแต่เวทนา
ให้เห็นคล่ืนก็สักแต่ว่าเห็น เห็นเวทนาก็สักแต่ว่าเห็น อย่าว่ิงเที่ยวไล่ตะครุบ
คลื่น อย่าเที่ยวว่ิงไล่ตะครุบเวทนา แล้วจิตจะสงบ เพราะเวทนาเข้าไม่ถึงจิต
เอง จิตสงบเพราะไม่เที่ยววิ่งไล่ตะครุบคล่ืน ตะครุบเวทนาเหมือนเมื่อก่อน
กลายเป็นจิตท่ีเต็มไปด้วยปัญญา เพราะรู้เท่าทันคล่ืนเวทนาเสียแล้ว ส่วน
สัญญาเล่า พระพุทธเจ้าก็เปรียบเหมือนพยับแดด เด็กรุ่นใหม่อาจจะไม่รู้จัก
พยับแดด เคยขับรถไปตามถนนท่ีมแี ดดเปร้ียงๆ ไหม บางทีเราก็จะเห็นไกลๆ
เหมือนมีน้าอยู่ข้างหน้า พอขับไปถึง อ้าว! ไม่ใช่น้านี่ น่ันแหละพยับแดด
ความหมายก็คือมันเหมอื นจะมีแตไ่ ม่มี สัญญาความจา อดีตทั้งหลายก็เช่นกัน
มนั เหมือนคอยตามหลอกตามหลอนเราอยู่ตลอดเวลา เราก็เห็นมัน แต่ความ
เป็นจริงแลว้ สญั ญาความจาท้ังปวง มันไมม่ จี ริง มนั เป็นอนัตตา เป็นเรอื่ งทจี่ ิต
หลอกจิตอีกอันหน่ึง คือจิตปรุงแต่งสัญญาขึ้นมาเอง แล้วก็หลอกตัวเองว่า
สัญญามีตวั มตี น เปน็ เราของเรา เห็นสญั ญาผดิ ไปจากความเปน็ จรงิ สัญญามัน
๑๙๐ | โอวาทธรรมหลวงปู่มัน่
ก็มาๆ ไปๆ คนท่ีเป็นจริงเป็นจังกับสัญญา กับอดีต กับความจา มีแต่จะทุกข์
กบั ทุกข์ เพราะหลงยดึ สิ่งท่ไี ม่มีว่ามี คนโลกๆ กจ็ ะเหน็ สัญญาเปน็ สัญญา
แตห่ ากเจริญสติปัฏฐาน จนจิตต้งั มัน่ เหน็ รปู นามตามจริง จะเหน็ เลยว่าสัญญา
มนั เกดิ ๆ ดบั ๆ หาแก่นสารไมไ่ ด้ หาตวั ตนไม่ได้ เป็นเพยี งเงาของจิต เหมอื นเงา
แดดที่ดูเป็นน้านั่นแหละ อย่างเงาคนนี้ มันมีตัวตนไหมล่ะ คนเห็นเงาคนเป็น
คน คือคนบ้า สัญญาก็คือเงาแห่งใจ อย่าบ้ากับสัญญาความจาอดีตอะไรให้
มากเลย มันไม่มีจริงหรอก อย่าว่ิงตามสัญญาให้มากนัก ให้เห็นสัญญาเหมือน
เห็นคล่ืนกระทบฝั่ง คือเห็นก็สักแต่ว่าเห็น พอมันโผล่มาในหัว ก็แค่รับรู้
รบั ทราบ หน้าทเ่ี รามีเพียงเท่านั้น บางคนนอนไม่หลับทง้ั คนื เพราะสัญญาเมื่อ
กลางวันตามมาหลอกตามมาหลอน ว่ิงตามสญั ญาไปไมร่ ู้จบ เรื่องน้ันโผล่มาก็
หลงเป็นจริงเป็นจังกบั มัน พอเรื่องน้นั จากหรือดับไป เรอ่ื งใหม่ก็โผล่ขึ้นมาอีก
ก็หลงเป็นจรงิ เปน็ จงั กับมนั อกี
ท่านพุทธทาสบอกว่า สัญญามันทาหน้าท่ีของมันเท่าน้ันเอง คือโผล่มาตาม
หนา้ ที่ แล้วก็จากหรือดบั ไป แต่เพราะเราไม่รู้เท่าทนั ว่าจะอย่างไรเสีย มันตอ้ ง
จากไปต้องดับเป็นธรรมดา เราเลยยึด เลยวิ่งตามไปไม่รู้จบ เหมือนหลงตาม
พยับแดดเพราะเข้าใจว่าเป็นน้า มีตัวมีตน นั่นเอง สาหรับสังขารขันธ์ หรือ
ความคดิ ปรุงแต่ง พระพุทธเจ้าให้อุบายเปรียบเหมือนหยวกกล้วย หมายความ
ว่าเม่ือเราปอกเปลือกหยวกกล้วยเข้าไปถึงที่สุดของมัน ก็จะพบว่าท้ายท่ีสุด
มัน "ไม่มอี ะไร" คือหาแก่นไม่ได้ คาวา่ แก่นก็คือแก่นสารตัวตน นัน่ คอื ความคิด
ทง้ั ปวงก็คอื อนัตตา ความคิดใดๆ เราปรุงแต่งขึ้นมาคร้ังหนึ่งก็ดับไปทุกคร้ัง มี
ตัวตนแก่นสารเสียท่ีไหน บางทีก็ลืมไปด้วยซ้าว่าคิดอะไร ความคิดน้ี เอาเข้า
จรงิ ๆ มันไม่มีอะไร แตท่ าไมคนเราจึงยดึ มน่ั ความคิดของตนอยา่ งสูง ทเี่ รียกว่า
มอี ีโก้น่ันแหละ ก็เพราะเห็นความคิดเปน็ ตัวเป็นตน เป็นเราของเรา เห็นไหม
โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น | ๑๙๑
ทุกอย่างเกิดจากความเห็นผิดทั้งนั้น ความเห็นผิดหรือมิจฉาทิฏฐินี่คืออวิชชา
พอทาความเห็นให้ถูกด้วยอุบายอันแยบยลแบบท่พี ระพทุ ธเจ้าสอน วชิ ชาก็จะ
คอ่ ยๆ เกิด อวิชชาก็จะค่อยๆ ดับไป เหมือนความสว่างเกดิ ความมืดก็หายไป
แบบเดียวกนั
ขนั ธ์อันสุดท้ายก็คือวิญญาณขนั ธ์ พระพทุ ธเจ้าให้อบุ ายวา่ เปรียบเหมือนมายา
กล ความหมายของมายาก็คือไม่จริง มายาก็คือของหลอกลวง อันน้ีลึกซ้ึง
มากๆๆ วิญญาณคือหน้าแรกท่ีอยู่กับจิตเดิมมากท่ีสุด ส่วนปรุงแต่งอันแรกท่ี
ออกมาจากจิตก็คือวิญญาณ ในปฏิจจสมุปบาทจึงบอกว่าเพราะอวิชชาจึง
กอ่ ให้เกิดสังขาร สังขารก่อให้เกิดวิญญาณ หมายถึงเพราะความโง่ของจิต จึง
ปรุงแต่งวิญญาณขึ้นมา ปรุงแต่งก็คือสังขาร ปรุงแต่งวิญญาณข้ึนมาก่อน
จากน้ันจิตและวิญญาณก็ปรุงแต่งนามรูปท่ีเหลือท้ังหมด ออกลูกออกหลาน
มากมาย วิญญาณกค็ ือตวั รู้ แต่เป็นตวั ร้ทู ร่ี ้ายกาจ เพราะมนั หลอกจิตวา่ มันคือ
จิต ยิ่งมีคาว่าจิตวิญญาณ ครูบาอาจารย์มากมายจึงหลงทาง คิดว่าวิญญาณ
ขันธ์คอื จติ จริงๆ มันคนละตัวกัน วิญญาณหรอื มายานี้ มันหลอกครูบาอาจารย์
เสยี ผู้เสยี คนไปมากมาย
หลวงปู่ดูลย์บอกวา่ วิญญาณคอื สว่ นสุดทา้ ยท่ีตอ้ งละ ถา้ ปล่อยให้มนั หลอกอยู่
กย็ ังละไม่ได้ ยังต้องไปเกิดอกี ในชนั้ พรหมสุทธาวาส นักปฏิบตั ิจึงต้องรู้เทา่ ทัน
วิญญาณหรือมายาอนั นี้ วญิ ญาณคอื มายาหลอกจิตให้เหน็ วา่ มนั เป็นตัวเป็นตน
เป็นเรา อันนี้ก็กล่าวโดยย่อสาหรับวิญญาณ กล่าวอย่างไรก็ไม่มีวันเห็นภาพ
หรอก หากยังไม่เห็นธรรม ยังไม่บรรลุโสดาปัตติผล แต่ยกมาสาธยายก็เพื่อ
ขยายโอวาทหลวงปู่ม่ันวา่ พระพุทธเจ้ามอี บุ ายในการสอนด้วยการเปรียบเทยี บ
อยา่ งไรเท่านัน้ เอง
๑๙๒ | โอวาทธรรมหลวงปมู่ นั่
ให้รู้ที่จะแก้จิตของตน ให้รู้จักภพของตนท่ีจะไปเกิดฯ ท่านอาจารย์
ไดพ้ จิ ารณาวัฏฏะ ๕๐๐ ชาติ
อนั นห้ี มายถึงหลวงปู่ม่นั ได้พิจารณาภพชาติแต่หนหลงั วา่ เคยเกดิ เปน็ สุนขั อยู่
หา้ ร้อยชาติ กร็ ู้สึกสลดใจในภพ ในวฏั สงสารย่ิงนกั จึงตง้ั จติ อธษิ ฐานขอลาพทุ ธ
ภูมิ ขอเพียงสาวกภูมิ จึงไดบ้ รรลุอรหัตผลในชาตินี้ ท่านได้พิจารณาว่าหากยัง
ไม่บอกลาพุทธภูมิ ก็ต้องไปเกิดไปตายอีกหลายแสนชาติ จึงแก้ท่ีจิตตนด้วย
การบอกลาพทุ ธภูมเิ สีย เมื่อแกไ้ ดแ้ ลว้ จงึ ถึงพระนิพพานในชาตนิ ี้
ปจั จบุ นั ใหร้ ู้ทางจิตฯ
อันนี้ก็ขยายความแต่ส้ันๆ ว่าให้รับรู้ปัจจุบันด้วยจิต คืออะไรเกิด อะไรมา
กระทบ ก็ให้รู้อยู่ที่จติ แล้วจิตก็จะเป็นปัจจุบันขึ้นมา เพราะเม่ือจิตอยู่กับรู้ได้
แล้ว จิตจะไม่แส่ส่ายไปในอดีต อนาคต การคิดเรื่องในอนาคต หากไม่ได้คิด
ด้วยจิตฟุ้งซ่าน แต่คิดด้วยการมีสติกากับ ไม่ถือว่าเป็นการส่งจิตแส่ส่ายไปใน
อนาคตแต่อย่างใด หลวงปู่ม่ัน หลวงปู่ชาจึงสอนว่าเดิน ยืน นั่ง นอน กิน พูด
ดื่ม คิด ใหร้ ้ตู ัวเสมอ เห็นไหม มีคาว่าคิดอยู่ และมันก็ทาได้จรงิ ๆ คิดในขณะท่รี ู้
รใู้ นขณะท่คี ิด รทู้ ่ีจติ รอู้ ย่กู บั จติ จติ อยู่กับรู้ ของอย่างนี้ บอกไปก็ไม่เหน็ หรอก
ต้องลงมือปฏิบัติจริงๆ แล้วจะพบว่าเม่ือจิตอยู่กับรู้ได้จริง จิตก็จะอยู่กับ
ปัจจุบนั ได้จริง มันจะคิดแล้ววางๆๆๆ อยู่ทุกขณะจิต และขณะจิตน้นั ก็ไวมาก
และจะเห็นว่าคิดก็คิด จิตก็จิต ต่างคนต่างอยู่ มันเป็นอย่างไร ถึงตรงนั้นก็จะ
เขา้ ถึงคาสอนหลวงป่มู น่ั ทวี่ ่า ปัจจุบันให้ร้ทู างจติ วา่ มันเปน็ อยา่ งไร โดยไมต่ ้อง
ไปถามใคร
โอวาทธรรมหลวงปู่ม่ัน | ๑๙๓
ขยายความธรรม ในกลุ่มสายธารธรรม เมอื่ วนั ท่ี ๒๗ ตลุ าคม ๒๕๖๓
ธรรมเป็นของเย็น พระกรรมฐานอยทู่ ่ีไหน สัตว์ป่าต้องอาศัยอยู่ หมู
ป่าเห็นคฤหัสถ์เป็นยักษ์เป็นมาร เบียดเบียนสัตว์ ยิงจนไม่มีเหลือ เสือภูวัว
ทา่ นอาจารย์ทาอุโบสถ มนั มาร้อง เมื่อฟังปาฏิโมกข์จบแล้วมันก็หายไป ท่าน
อาจารย์ม่ันคุ้นเคยสัตว์เหล่านี้ ท่านรู้วาระจิตสัตว์เหล่าน้ี เป็นมิตรสหายกัน
ดว้ ยธรรมเคร่ืองเย็นใจ
ท่านทรงกลด : อันนี้หมายถึงพระที่จิตถึงที่ถึงธรรม จิตจะเยือกเย็น จึงเรียกว่า
ธรรมเป็นของเย็น พระกรรมฐานที่ปฏิบตั ิดีปฏิบตั ิชอบอยู่ที่ไหน ที่นัน่ จะเยอื กเย็น
จะมีหมู่เทวดามาคอยอารักขา เพราะเทวดาอยู่ได้ด้วยปิติ เมื่อพระท่ีปฏิบัติดี
ปฏิบัติชอบมาอยู่ ก็จะคอยแผ่เมตตา แผ่บุญที่เกิดจากการภาวนาให้เทวดา
ตลอดจนหมสู่ ัตวท์ ่ีอาศัยอย่ใู นบริเวณนัน้ พวกนี้ก็จะรับรูส้ ัมผัสได้ถึงอานาจแห่ง
ความเยือกเย็น ก็จะพลอยอยู่เป็นสุขไปด้วย แล้วท่านก็ยกตัวอย่างหมูป่าเห็น
ชาวบ้านเป็นยักษ์เป็นมาร เพราะชาวบ้านคฤหัสถ์จะคอยตามล่าตามฆ่าเอาเขา
มาเป็นอาหาร ชาวบ้านจะคอยตามล่าหมูป่าจนแทบไม่มีเหลือ อย่างที่ภูวัว
ขณะที่หลวงปู่ม่ันทาอุโบสถ คือสวดปาฏิโมกข์ เสือมันก็มาร้อง พอฟังจบ มันก็
หายไป พวกสัตว์ป่าไม่ว่าจะเป็นเสือหรืออะไรก็ตาม จะคุ้นเคยกับหลวงปู่มั่น
มาก ท่านหลวงปู่ม่ันรู้วาระจิตของสัตว์เหล่านั้น เป็นมิตรเป็นสหายกันเพราะมี
ธรรมเป็นตัวเชื่อม จิตท่านเป็นธรรมแล้ว จิตจึงเยือกเย็น สัตว์ป่าย่อมสัมผัสได้
ถงึ กระแสแหง่ ความเยน็ ความเมตตาที่แผ่ออกมาจากจิตท่าน
พระป่าเวลาท่านธุดงค์ ท่านก็ไม่ได้อาลัยชีวิตแล้ว อุทิศชีวิตให้พระพุทธเจ้า
หากจะตายก็ยอม เพราะยังไงก็ต้องตาย เวลาเจอสัตว์ป่าท่ีดุร้าย ท่านก็แผ่
เมตตาให้ หากไม่มีเวรต่อกนั ก็อย่าไดก้ ่อเวรก่อกรรม แตถ่ า้ หากมีเวรตอ่ กนั เรา
เคยทาเจ้าไว้ก่อน ก็ยินดีท่ีจะชดใช้กรรมให้ ท่านไม่อาลัยชีวิตเลยแม้แต่นิด