๙๔ | โอวาทธรรมหลวงปู่มน่ั
ขยายความธรรม ในกลมุ่ สายธารธรรม เม่อื วันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๖๓
เทศน์เรื่องมงคลวิเสส ท่ีมนุษย์ เทวดามีความสงสัย มิได้แก้อัตถะ
แปลได้เหมือนพระพุทธองค์ มนุษย์เป็นสถานกลาง อะไรดีหรือชั่วก็ต้องกล่ัน
ออกไปจากมนุษยน์ ้ีทั้งน้ัน ทาให้เปน็ ดีกม็ นุษย์ ทาใหช้ ่ัวก็มนุษย์ จะเป็นปุถุชน
ก็มนษุ ย์ จะเปน็ พระพทุ ธเจ้ากม็ นษุ ย์
ท่านทรงกลด : เรื่องมงคลวิเสสเป็นพระนิพนธ์ของ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ว่าด้วยเรื่องการแสดงธรรมให้พระเจ้าแผ่นดินฟัง
เช่นเร่ืองทศพิธราชธรรม ซึ่งมนุษย์และเทวดามีความสงสัย ว่าเรื่องนั้นๆ เป็น
อย่างไรเร่อื งนี้ๆ เปน็ อย่างไร ซ่ึงไมม่ ีใครสามารถตอบเฉลยได้แบบพระพทุ ธเจ้า
ปัญหาบางอย่างก็เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้าเท่านั้นท่ีจะตอบได้ เกินภูมิ
พระสาวก ก็ตอบไม่ได้ คาว่ามนุษย์เป็นสถานกลาง หมายความว่า ภพภูมิ
มนุษย์อยู่ระหว่างเบอ้ื งบนคือ สวรรค์ พรหม กับเบื้องต่าคืออบายภมู ิ จะดีจะ
ชว่ั ก็ออกไปจากความเปน็ มนุษย์ กล่าวคือจะเปน็ เทวดากม็ าจากมนุษย์ จะเป็น
พรหมก็มาจากมนษุ ย์ จะเป็นเปรต สตั ว์นรก อสุรกาย หรือสัตว์เดรัจฉาน กม็ า
จากภพภูมมิ นุษย์ ถา้ ทาดีก็ไปสวรรค์ ทาสมาธิฌานก็ไปเปน็ พรหม มนษุ ย์ทาช่ัว
ก็ไปอบายภูมิ
มนุษย์ปรกติเป็นปุถุชน แต่มนุษย์ที่สร้างบารมีมาเพ่ือเป็นพระพุทธเจ้า ก็ต้อง
มาเป็นมนษุ ยก์ ่อนจงึ จะตรัสรู้เปน็ พระพทุ ธเจา้ ได้ ไมเ่ คยมพี ระพทุ ธเจา้ ตรสั รใู้ น
ภพภมู ิเทวดาหรือพรหม
สัตว์เดรัจฉาน เขาก็มีสัญญา ปัญญา นามธรรม รู้เหมือนกับมนุษย์
แตเ่ ขาพดู ไมไ่ ด้ สตั ว์เดรัจฉานกับคนกไ็ มแ่ ตกตา่ งกนั
โอวาทธรรมหลวงปู่มน่ั | ๙๕
คอื มขี ันธ์ห้าเหมอื นกนั มรี ปู เวทนาสัญญาสงั ขารวิญญาณเหมือนกบั คน แต่เขา
พดู ภาษาคนไมไ่ ด้ แตพ่ ดู ภาษาของเขาได้ พวกเขาสามารถสื่อสารกันดว้ ยภาษา
ของเขาได้ อย่างพระอริยะเจ้าบางจาพวก เมื่อปฏิบัติภาวนาถึง ก็สามารถมี
ญาณล่วงรู้ภาษาสัตว์ได้ เคยเห็นนกไหม เช้าๆ มันก็พากันออกไปหากิน พอ
กลับมาทีต่ ้นไมท้ ี่พวกเขาอาศัยอยู่ ในตอนเย็น ก็จะได้ยินเสียงเขาพูดกันจอแจ
ไปหมด ตา่ งก็ไต่ถามกนั วา่ วันน้ไี ปไหนมาบ้าง เจออะไรกนั บ้าง เคยนั่งรถแท็กซ่ี
กลับบ้าน ใช้เส้นทางถนนรามอินทรา พอมาถึงถนนช่วงหน่ึงใกล้วงแหวนใน
ตอนเย็น ก็จะมีต้นไม้ใหญ่ริมทางอยู่หลายต้น ได้ยินเสียงนกเป็นร้อยๆ ตัวส่ง
เสียงจ้อกแจ้กดังลั่นไปหมด นั่นแหละ เขากาลังเล่าสู่กันฟังเร่อื งผจญภัยท่ีเขา
ไดป้ ระสบกันมาในวนั นัน้
อย่างพระพุทธเจ้า ตอนท่พี ระองค์เบ่ือพระภิกษุทะเลาะกนั พูดก็ไม่ฟัง พระองค์
ก็หลบไปอยใู่ นป่าแห่งหนึ่ง ชอ่ื ป่าเลไลย์ คนละป่ากับที่จังหวัดสุพรรณบรุ ีนะ ก็มี
ช้างและลิงคอยอุปัฏฐากดูแล ช้างช่ือปาลิไลย์ เป็นพระโพธิสัตว์เหมือนกัน
พระองค์ก็สามารถพูดจาส่ือสารกับช้างรู้เร่ือง จริงๆ พวกสัตว์ต่างๆ เช่นสุนัข
หรือแมว เม่ืออยู่กบั คนนานๆ หรือตายจากมนุษย์แล้วมาเกดิ เป็นสนุ ขั หรอื แมว
ทนั ที เขาจะฟังภาษามนุษย์รู้เร่ือง แต่พูดไม่ได้เท่านั้นเอง สัญญาเกา่ มาติดตัว
มาอยู่ แต่ถ้ามาจากสัตว์นรกที่อยู่ในนรกเป็นเวลาหลายหม่ืนๆ ปี พอมาเกิด
เป็นสุนัขหรือแมวด้วยเศษกรรม พวกนี้จะยังฟังไม่รู้เรื่องก่อน ต้องใช้เวลาสัก
พกั หนึ่ง
หนงั คนในโลกยินดใี นหนงั และเครื่องอุปโภคบริโภค หนังอนั น้ีทาให้
มนุษยห์ ลงยินดี พากันทุกข์กันมากฯ
๙๖ | โอวาทธรรมหลวงปู่ม่ัน
อนั นก้ี ็แสดงไปเยอะแล้ว สงั เกตดูหลวงปมู่ น่ั จะสอนเนน้ เรอื่ งกายเร่อื งหนังมาก
เพ่ือให้ภิกษุหนุ่มได้เบื่อหน่าย จะได้ไม่สึกเสียกลางคัน คนในโลกก็จะยินดีใน
หนงั ลองลอกเอาหนังออก ความยนิ ดกี ็จะหมดไป เพราะจะเหน็ กายตามความ
เป็นจริง แต่การเห็นตามจริงน้ี เห็นด้วยตาเนื้อ มันละอะไรไม่ได้หรอก ดูอย่าง
หมอหลายคน ผ่าตัดศพอยทู่ ุกวัน ก็ยังถกู อานาจกเิ ลสครอบงา ลงมือกอ่ กรรม
ฆ่าคนดว้ ยกันได้ เพราะปัญหาอยู่ที่จติ กิเลสเกิดท่ีจิตก็ตอ้ งละท่จี ิต ละด้วยตา
เนื้อ ไม่มีทางเป็นไปได้ จะละด้วยความคิดความเข้าใจก็ไม่ได้อีก เอาสิ่งท่ีปรุง
แต่งมาละส่ิงท่ีปรุงแต่ง ไม่มีทางเป็นไปได้ ต้องทาใจให้หยดุ ปรุงแต่ง เห็นส่ิงท่ี
ปรุงแต่งตามความเป็นจริง นั่นแหละจึงจะละได้จริง อย่างน้อยแม้จะยังละ
ราคะโทสะไม่ได้ ก็ละสักกายทฏิ ฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ทเี่ รียกวา่ สังโยชน์
เบ้อื งต้นลงได้ ละสังโยชน์เบือ้ งตน้ ได้ กบ็ รรลโุ สดาปัตติผล เป็นพระโสดาบัน
คาว่าสักกายทิฏฐิ หมายถึงความเห็นผดิ เห็นว่ารูปนามขันธ์ห้าเป็นตัวเป็นตน
เป็นเราเป็นเขา ถ้าละได้ ก็จะเกิดความเห็นถูก เป็นสัมมาทิฏฐิ ประจาจิตไป
จนถึงนิพพาน ถา้ ละสกั กายทิฏฐไิ ด้แล้ว กไ็ ม่มีทางจะลงมือฆา่ ใคร เพราะใจมัน
เห็นอยู่ตลอดเวลาว่ากายก็ดี ความรู้สึกนึกคิดอะไรต่างๆ ก็ดี มันไม่มี
ความหมายแห่งความเป็นสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา เป็นเพียงสิ่งท่ีจิตปรุงแต่ง
ขนึ้ มาเทา่ นนั้ เกดิ เป็นธรรมดาและดบั ไปเปน็ ธรรมดา เท่านัน้ เอง
คนโลกนี้ นอกจากจะหลงยินดีในหนัง ก็ยังหลงยินดีในเคร่ืองอุปโภคบริโภค
หลงในไอโฟน ในเทคโนโลยีใหม่ ทท่ี าใหค้ นเราสะดวกสบาย ย่ิงสะดวก ก็ยิ่งโง่
ติดความสบาย เห็นโลกนี้ผิดจากความเป็นจริง ไปหลงเห็นว่าโลกน้ีเป็นโลก
แห่งความสขุ แล้วกพ็ ากันเกดิ แกเ่ จบ็ ตาย ติดอยู่ในโลก ไม่เคยสาเหนียกเลยว่า
สุขท่ีได้จากความสะดวกสบาย มันคือกับดักแห่งมาร ให้ติดข้องอยู่ในโลก
อาหารการกินก็เช่นกัน ต่างก็แสวงหาอาหารอร่อยๆ มาบริโภค ถ้าสงั เกตให้ดี
โอวาทธรรมหลวงปู่มนั่ | ๙๗
จะเหน็ ว่าความอรอ่ ยกด็ ี ความสบายก็ดี มันแค่ช่ัวคร้ังคราว เกดิ แลว้ ดบั ไป หา
แก่นสารอันใดไม่ได้ พอดับ ก็แสวงหาอีก ไม่สิ้นสุด ใจที่ดิ้นรนแสวงหาสุขอยู่
ตลอดเวลานั่นแหละ คือตัวทุกข์ น่ีคนเรามันโง่อย่างน้ี อยู่กับทุกข์แต่ไม่เห็น
ทุกข์ อยู่กับอารมณ์ แต่ไม่เห็นอารมณ์
วนั นี้กม็ ีลกู ศิษย์ไลน์มาสนทนา บอกพักน้ไี มเ่ ห็นอารมณ์ นา่ จะไปติดความสงบ
เขา้ แล้ว ผดิ ทางแล้วใชไ่ หม ตอบไปว่า ใช่ ผิดทางแล้ว ไปติดความสงบเข้าแล้ว
พระบางรปู ก็สอนให้เอาแต่ภาวนาหาความสงบ แล้วก็ไปหลงใหลยนิ ดีกบั ความ
สงบนน้ั คิดวา่ นน่ั คอื พระนิพพาน ยิง่ สงบมนั ยิ่งโง่ สงบไมโ่ ง่ คือสงบเพราะรู้เทา่
ทันอารมณ์ หลวงปู่ชาเคยถามพระฝรั่งว่า นั่งสมาธิแล้วเป็นไงบ้าง พระฝร่ัง
ตอบว่า สงบเงียบดีครับ หลวงป่ดู ุเลย บอกว่า น่ันมันนั่งโง่เข้าแล้ว ถ้านั่งแล้ว
สงบเงียบ แม้จะสุข แต่มันก็เป็นสุขแบบโง่ๆ ท่านบอกว่า นั่งแล้วต้องเห็น
อารมณ์ ถึงจะถกู แต่จิตเราไม่วิ่งตามอารมณ์ จิตเรานิ่ง อารมณเ์ คล่อื นไหว จึง
เรียกวา่ น้าไหลนิง่
อย่างที่หลวงปู่ดูลย์บอกไว้ ยิ่งจิตละเอียดเท่าใด หากมีอารมณ์ไหวตัวขึ้น
เล็กน้อยก็จะเห็นได้อย่างชัดเจน คาว่าจิตละเอียดของทา่ นหมายถึงจิตอย่กู ับรู้
ได้อย่างแนน่ แฟ้น ท่านจงึ บอกว่า พระรูปอ่ืนจะภาวนาอย่กู ับอะไร เราไม่รู้ แต่
เรา "อยู่กับรู้" กล็ องพิจารณาเปรยี บเทียบกับตนเองดูว่าภาวนาปฏิบัตกิ ันแบบ
ไหน บางคนอ่านฟังธรรมที่เราแสดงมากมาย แต่ก็ไม่เปล่ยี นแนวทางเดิมของ
ตน ความก้าวหน้าจึงไม่มี ได้แค่ความสงบเดมิ ๆ ท่ีเคยปฏิบัตอิ ยู่ สงบแบบนั้น
พอออกมาเจออารมณ์ ระวังเถิด มนั จะระเบดิ เข้าสกั วันหนงึ่ ไม่แปลกหรอกที่
คนไปอยู่วัดหลายวัน พอกลบั บ้านมา มีอะไรมากระทบเขา้ หน่อยเดยี ว ระเบิด
เลย คนก็สงสัยไปวัดประสาอะไร ทาให้คนเสื่อมศรัทธาวัด เส่ือมศรัทธาใน
๙๘ | โอวาทธรรมหลวงปู่มนั่
คาสอนของพระพุทธเจ้าเข้าไปอีก จรงิ ๆ ก็ไม่ใช่เรือ่ งแปลก เพราะไปเสพธรรม
แบบผดิ ๆ มา ผลจงึ เปน็ เชน่ นั้น
อคฺค มนุสฺเสสุ (มาจากประโยคเต็ม ซึ่งปรากฏในหนงั สือ มุตโตทัย ว่า
อคค ฐาน มนุสเสสุ มคค สตตวิสทธยิ า) มนุษย์เลิศมนษุ ย์นา้ ใจสงู มที ุกข์ มสี มุทัย
มมี รรค มีนิโรธ ครบทกุ อย่าง จงึ สาเร็จนพิ พานได้ พระอนิ ทร์ พระพรหม เป็นต้น
บวชเป็นพระเป็นเณรไม่ได้เหมอื นมนษุ ย์ มนษุ ย์เป็นธาตุพอ ดุจแมค่ รัวแกงชา่ ง
เอรด็ อรอ่ ย มันพอพรกิ พอเกลือ จงึ ให้สาเร็จมรรคผลได้ ไม่ขัดขอ้ งด้วยประการ
ใดๆ ฉะนนั้ มนุษย์ไม่ควรน้อยเน้ือต่าใจ ปฏิบัติให้ได้สวรรค์ นิพพาน ได้ธาตพุ อ
เป็นชนิดทีส่ ูงสุด
อันนี้ก็คล้ายกับท่ีได้อธิบายไปตามเน้ือความข้างต้นแล้ว ภพชาติที่จะสาเร็จ
มรรคผลนิพพานไดง้ ่ายท่ีสุดก็คอื มนุษย์น่แี หละ สาหรับพวกตกอยู่ในอบายภมู ิ
อนั นี้ไมต่ ้องพูดถงึ ไมม่ ีทางสาเร็จได้ ถามวา่ ทาไม มนั เปน็ กฎของธรรมชาตเิ ป็น
อย่างน้ัน สว่ นเทวดา สาเร็จมรรคผลนพิ พานได้ แต่ก็มีเฉพาะที่มีพระพุทธเจ้า
มาตรัสรเู้ ท่าน้นั
ปรกติเทวดาจะเสวยผลบุญ เสพสุขอยู่ตลอดเวลา จนกว่าจะหมดอายุขัยคือ
ตายจากความเป็นเทวดาเรียกว่าจุติ นึกถึงคนรวยที่ไม่สนใจการปฏิบัติธรรม
ฉนั ใดก็ฉันน้ัน คนรวยมีเงินทองมากมาย อยากได้อะไรกใ็ ช้เงินซ้อื เอา จึงจะไม่
ค่อยเห็นความทกุ ข์ เม่ือไม่เห็นทกุ ข์ ก็ไมส่ นใจหาทางพ้นทกุ ข์ ไม่สนใจมรรคผล
นิพพาน หลวงปชู่ าจงึ บอกเสมอว่า รวยกบั ซวย มันอนั เดียวกัน เทวดาก็เช่นกัน
เสพสขุ มาก จนไม่ได้สนใจเรื่องมรรคผลนิพพาน แต่พอพระพทุ ธเจ้ามาบังเกิด
อาศัยทเ่ี คยสร้างบารมีร่วมกับพระองค์มา เวลาพระองค์แสดงธรรม กจ็ ะดอด
มาฟงั แลว้ บรรลมุ รรคผลนพิ พานเปน็ จานวนมาก
โอวาทธรรมหลวงปู่มัน่ | ๙๙
อย่างตอนท่ีพระพุทธเจ้าแสดงพระปฐมเทศนา มีมนุษย์คนเดียวท่ีบรรลุ
โสดาบนั คือพระอัญญาโกณฑัญญะ แตเ่ ทวดาเป็นจานวนมากได้บรรลุโสดาบัน
หรอื ตอนท่ีพระพทุ ธเจ้าเรียกพระราหุลไปฟงั ธรรมจนบรรลอุ รหัตผล ก็มีเทวดา
จานวนมหาศาลย่องเข้าไปฟังธรรมด้วย และบรรลุมรรคผลเป็นจานวนมาก
เชน่ กนั หรอื คร้ังหน่ึง เมือ่ พระพทุ ธเจ้าระลึกถึงมารดาคือพระนางสิรมิ หามายา
ที่สิ้นพระชนม์ และไปบังเกิดเป็นเทวดาอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต พระองค์ก็ไป
โปรดพระมารดา จนพระนางสิริมหามายาบรรลุโสดาบัน เทวดาที่บรรลุธรรม
กต็ ้องเคยสร้างบารมีกับพระพทุ ธเจา้ มาด้วยกัน สว่ นท่ีไมไ่ ดส้ ร้างบารมีมา ก็จะ
ไม่สนใจธรรมะ เพลิดเพลินอยู่กับความสุขอันเป็นโลกียสุขนั่นแหละ เหมือน
อย่างพวกเรา คนที่เคยสร้างบารมีรว่ มกนั มากับเรา ก็จะไดม้ ีโอกาสมาฟงั ธรรม
เจรญิ สตภิ าวนา อุปถัมภค์ า้ ชูกัน เพราะเคยรว่ มสรา้ งร่วมทากนั มาแต่อดีต ไม่มี
คาว่าบังเอิญ อย่างท่ีเคยน่ังสมาธิดู พวกเราจานวนหนึ่งจะบรรลุมรรคผลใน
ชาตนิ ี้ อยา่ งนอ้ ยโสดาบนั ส่วนที่ไม่ไดบ้ รรลุ กจ็ ะปดิ อบายได้ ตายแลว้ ไม่ร่วงลง
อบายภมู ิ เหตุเพราะมีธรรมที่เราแสดง ธรรมที่ได้อา่ นจากหนงั สือคุ้มครองจติ
ส่วนทพ่ี วกทไี่ มไ่ ด้สรา้ งบารมีรว่ มกนั มา เขา้ มาไมน่ านก็จะรอ้ นออกไป ทุกอย่าง
ก็เปน็ ไปตามเหตุตามปัจจยั ของมันเช่นนน้ั เอง ทาไมจึงกลา่ วว่าภพภูมิมนุษยจ์ ึง
ง่ายต่อมรรคผลนิพพาน เพราะมนุษย์เกิดมาก็ทุกข์แล้ว สาหรับคนมีปัญญา
วาสนาทางธรรม เขาจะเห็นโดยไม่ต้องมใี ครมาบอกเลยว่า การเกิดการแก่การ
เจ็บการตาย น่ีเป็นทุกข์ อย่างเราไปโรงพยาบาล ไปเห็นคนป่วย มนั กไ็ มอ่ ยาก
เกิดแลว้ แต่ทาไมคนอนื่ ไปแลว้ กลับไม่รู้สึกอะไร เพราะเขาไม่ได้สรา้ งบารมมี า
เพื่อพระนิพพาน ท่ีว่าเพศมนุษย์ง่ายต่อพระนิพพาน มันง่ายสาหรับคนท่ีมี
ปัญญาสร้างสมวาสนาทางธรรมมาเท่านั้นแหละ จะเห็นทุกข์ได้ง่าย เกิดมาก็
ทกุ ขแ์ ล้ว วันหน่ึงเห็นทุกข์กันบ้างไหม ต่นื มาไม่อาบน้าแปรงฟัน ก็ไม่สบายตัว
แล้ว น่ันแหละทุกข์ ปวดอึ ปวดฉ่ี ลองไม่อึไม่ฉ่ีสิ ทุกข์ไหม หิวข้าวหิวน้า
๑๐๐ | โอวาทธรรมหลวงปู่ม่นั
ทุกข์ไหม ใครพูดอะไรให้ไมพ่ อใจ ทุกข์ไหม น่ังนานก็ทุกข์ ยืนนานกท็ ุกข์ เดิน
นานก็ทุกข์ นอนนานก็ทุกข์ มันทกุ ขอ์ ยูต่ ลอด แตเ่ รามันโง่ มองไม่เห็นเอง คน
ฉลาดมีปัญญาทางธรรม ก็จะเห็น พอเห็นเขาก็จะแสวงหาทางพ้นทุกข์ ด้วย
การลงมือปฏิบัติธรรมทถี่ ูกต้อง เจรญิ สัมมาสติ จนเหน็ ทกุ ข์ในอรยิ สัจจ์ คือเห็น
ทุกขด์ ้วยตาใน เห็นด้วยจติ ไม่ได้เห็นด้วยตาเนื้อเหมือนคราวแรก เห็นคราวนี้
จะเห็นเหตแุ ห่งทุกข์ การดับทุกข์ หนทางการดบั ทุกขใ์ นคราวเดียวกัน เรียกว่า
เห็นอรยิ สจั จ์สี่น่นั เอง เห็นแลว้ ก็จะเดินมรรคจติ ต่อไปเองจนถึงพระนพิ พาน
ทห่ี ลวงปมู่ ่นั เรียกวา่ ไดธ้ าตพุ อเปน็ ชนิดที่สูงสดุ
โอวาทธรรมหลวงปู่ม่นั | ๑๐๑
ขยายความธรรม ในกลมุ่ สายธารธรรม เมอ่ื วันท่ี ๕ ตุลาคม ๒๕๖๓
จิตเป็นธรรมท่ีบริสุทธิ์ หมดจดทุกอย่าง มนุษย์ เทวดา ไมม่ ีท่ีครหา
เลย
ท่านทรงกลด : จิตเป็นธรรมท่ีบริสุทธ์ิ หมดจดทุกอย่าง มนุษย์ เทวดา ไม่มีท่ี
ครหาเลย อันน้ีหมายถึงถึงท่ีสุดของมันแล้ว หมายถึงจิตของพระอรหันต์
ท่ีบริสุทธ์ิ ปราศจากกิเลสเคร่ืองเศร้าหมองทั้งปวง ถึงที่สุดแห่งหัวใจ
พระพุทธศาสนาท่ีวา่ ทาจิตให้บรสิ ุทธ์ิ คือเปา้ หมายสูงสุดของพระพทุ ธศาสนา
ในโอวาทปาฏโิ มกข์ คือละเว้นการทาช่ัว ทาดี และทาจิตให้บริสุทธ์ิ ไม่ใช่ทาจิต
ให้ผ่องใสอยา่ งทท่ี ่องๆ กันมา เพราะการภาวนาแบบบรกิ รรม หรือเพ่งดวงแกว้
จิตก็สงบผ่องใสได้เช่นกัน แต่ไม่เกิดปัญญา ออกมาก็ยังโง่เหมือนเดิม ได้แค่
ความสงบ ความผ่องใสเท่าน้ัน แต่ไม่ได้ความบริสุทธิ์ ถ้าบริสุทธ์ิแล้ว จะไม่มี
การเกิดอีก จิตจะผ่องใส ไม่กลับมาเศร้าหมองอีก บางคนเคยภาวนาจิตสงบ
สว่างผ่องใสข้ึนมา แต่ไม่นานก็เส่ือม จิตกลับไปเศร้าหมองอีก อันน้ีมนั ยังเป็น
ของไม่แน่นอน สมถะน่ยี ังไม่แนน่ อน ตอ้ งวิปัสสนา เจริญสติปฏั ฐาน จนทาให้
จิตใหบ้ ริสุทธิ์ คือพ้นไปจากอารมณ์ได้ จึงจะเปน็ จิตที่บริสุทธิ์ผ่องใสถาวร เมื่อ
ถึงภาวะจติ ท่ีบริสุทธแิ์ ล้ว จะเป็นมนุษย์หรอื เทวดา ก็หาที่ติไมไ่ ด้ เพราะเป็นจิต
อนั เดียวกนั จะเปน็ จติ มนุษย์หรือจิตเทวดา เมื่อถงึ ความบริสทุ ธ์แิ ห่งจิตแล้ว ก็
ไม่ได้แตกตา่ งกัน ไม่มอี ะไรต้องตเิ ตียนซงึ่ กันและกัน เพราะละอวิชชาคอื ความ
ไม่รู้ ความโง่ทไี่ มร่ ู้เท่าทันรปู นามอารมณ์ไดแ้ ล้ว
บางทเี ราก็ใช้คาวา่ โงบ่ อ่ ยๆ อันนหี้ ากเป็นคนโลกหยาบๆ ก็รู้สกึ เหมือนถูกดา่ น่ี
คือความแตกต่างกันระหว่างปุถุชนคนหนา คนโลกๆ กับผู้มีปัญญาทางธรรม
ถ้าปุถุชนก็รู้สึกเหมือนถูกด่า แต่ถ้าคนมีปัญญา ก็จะรู้สึกว่ากาลังถูกสอน จะ
๑๐๒ | โอวาทธรรมหลวงปู่มนั่
เห็นกิเลสมันร้อนข้ึนมา คนโลกหยาบๆ บางคนก็ทนไม่ได้ ก็จะออกไปเป็น
ธรรมดา ซึ่งก็เป็นเร่ืองที่ดี เพราะหากอารมณ์ไม่พอใจแค่น้ี ยังไม่รู้เท่าทัน
ปล่อยให้อารมณ์มันกดหัว ลากออกไปจากกลุ่ม ก็สมควรท่ีจะเกิดแก่เจ็บตาย
อยู่ต่อไปไม่สิ้นสุด กลุ่มนี้ต้ังข้ึนมาเพื่อคนท่ีมุ่งหวังพระนิพพานเท่าน้ัน ดัง
เจตนาที่เคยตั้งจิตอธิษฐานไว้ ขอให้พบแต่คนมุ่งพระนิพพาน คนหยาบๆ
อย่าได้พบ ถึงพบ ก็ขอใหอ้ อกไป กข็ อให้เหลือไว้แต่คนมีวาสนา มีปญั ญาทาง
ธรรมท่แี ท้จรงิ เหลือไว้คนที่สามารถไปพระนพิ พานได้จริง เทา่ นัน้ กพ็ อ
มนุษย์เป็นสตั วเ์ ลิศ เปน็ ท่ีตั้งพระพุทธศาสนา ทวปี ทั้ง ๓ ก็เปน็ มนุษย์
เชน่ อุดร กรุ ุทวีป แตไ่ ม่สมบรู ณ์ พระองค์ไมโ่ ปรดตง้ั ศาสนา เทวดาก็เหมือนกัน
มนุษยท์ ีม่ าเกดิ ในชมพทู วปี เปน็ มนุษย์วิเศษ รับรัชทายาท
หลวงปมู่ ั่นก็ดี พระพุทธเจ้าก็ดี ต่างมีความเห็นตรงกันว่ามนุษย์เป็นสัตว์ท่ีเลิศ
เหมาะท่ีจะศึกษาเรียนรู้ทางพ้นทุกข์ได้ เพราะเกิดมาแล้ว ก็จะเห็นทุกข์ได้
โดยง่าย บางคนเกิดมา แค่ไปงานศพครั้งเดียวในสมัยเด็กๆ ก็จะเห็นแล้วว่า
ชวี ิตน้ีคือทุกข์ ไม่อยากเกิดอีกแล้ว เพราะเกิดแล้วกต็ ้องตายแบบนี้ กจ็ ะสนใจ
คาสอนของพระพุทธเจ้าขึ้นมา ส่วนทวีปอื่น เช่นอุดร กุรุทวีป แม้จะมีมนุษย์
อยู่ พระพุทธเจ้าก็ไม่ไปบังเกิด เร่ืองมนุษย์ต่างดาวน้ี พระพุทธเจ้าตรัสไว้ตั้ง
สองพันกว่าปีแล้ว ว่านอกจากโลกมนุษย์ของเรานแี้ ล้ว ก็ยังมีโลกอื่นที่มีมนษุ ย์
อาศัยอยู่อีกด้วย แต่มีความเจริญทางวัตถุมาก มีความสะดวกสบายทุกอย่าง
คนก็จะเห็นทุกข์กันน้อย หากไปประสูติและตรัสรู้ที่น่ัน การสอนธรรมะเพ่ือ
การพ้นทุกข์ เพ่ือการขนสัตว์ร้ือสัตว์ไปพระนิพพาน ก็ไม่ประสบความสาเร็จ
ไม่สมกับท่ีได้บาเพ็ญบารมีสละชีวิตเลือดเน้ือมามากมาย พระพุทธเจ้าทุก
พระองค์จงึ ลว้ นแต่มาประสูตแิ ละตรัสรู้ในโลกมนษุ ยท์ ี่เรียกวา่ ชมพูทวปี น้ี
โอวาทธรรมหลวงปู่มนั่ | ๑๐๓
มนุษย์ตาย จะเอาไปกินและเอาไปใช้ไม่ได้ ไม่เหมือนวัวควาย วัว
ควายเนอ้ื กนิ ได้
อันนี้ก็ไม่ยากท่ีจะเข้าใจ มนุษย์ตายแล้วจะเอาไปกินอะไรไม่ได้ แต่อวัยวะ
บางอย่างในปัจจุบันสามารถเอาไปใช้ประโยชน์ได้ แต่จะกินแบบเน้ือวัวเนื้อ
ควายคงไม่ได้ ท่านชี้ให้เห็นว่า วัวควายตายแล้ว ก็ยังประโยชน์ให้กับคนได้
กลา่ วคอื เปน็ อาหารใหค้ นไดก้ นิ ตอ่ ชีวิต ส่วนคนตายแล้ว ก็กินไมไ่ ด้
ไม่อ้างสวรรค์ นิพพาน ไม่อ้างทุคติ อ้างความเป็นไปทางปัจจุบัน
อย่างเดยี ว เพราะช่ัวดีกป็ ัจจุบันที่ยงั เป็นชาติมนุษย์
อนั นหี้ มายถึงเวลาสอน จะไม่ยกเอาสวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัตมิ าล่อ ไม่เอา
ทุคติมาขู่คนให้กลัว แต่จะสอนให้อยู่กับปัจจุบัน ทาปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะ
มนุษย์นั้น จะชั่วจะดี ก็อยู่ที่การกระทาของตน อยู่ที่การกระทาในปัจจุบัน
เท่าน้ัน อดีตก็ลับไปแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว อนาคตก็ยังมาไม่ถึง และไม่
แน่นอน ทางที่ดี ควรทาปัจจุบันให้ดีท่ีสุด เมื่อปัจจุบันดี ก็จะมีสุคติเป็นที่ไป
อยา่ งมติ ้องสงสัย และถ้าดีในแงก่ ารปฏิบัติ เจรญิ สติภาวนา ก็จะมีนพิ พานเป็น
ท่ีไปอย่างมิต้องสงสัย โดยไม่ต้องยกสวรรค์ ยกนิพพานมาอ้างว่าดีอย่างนั้นดี
อยา่ งน้ี แต่อย่างใดเลย
ธาตุมนุษย์เป็นธาตุตายตัว ไม่เป็นอ่ืนเหมือนนาค เทวดาท้ังหลายที่
เปล่ียนเป็นอื่นได้ มนุษย์มีนิสัยภาวนาให้สาเร็จง่ายกว่าภพอื่น อคฺค ฐาน
มนุสฺเสสุ มคค สตตวสิ ุทธิยา มนุษย์มีปัญญาเฉียบแหลมคมคอยประดิษฐ์ กุศล
อกุศล สาเร็จอกุศล…มหาอเวจีเป็นที่สุด ด้วยกุศลมีพระนิพพานให้สาเร็จได้
ภพอื่นไม่เลิศเหมือนมนุษย์ เพราะมีธาตุที่บกพร่องไม่เฉียบขาดเหมือนชาติ
มนษุ ย์ ไมม่ ีปัญญากวา้ งขวางพสิ ดารเหมือนมนษุ ย์ มนุษย์ธาตพุ อหยดุ ทุกอยา่ ง
๑๐๔ | โอวาทธรรมหลวงปู่มนั่
สวรรค์ไม่พออบายภูมิธาตุไม่พอ มนุษย์มีทุกข์ สมุทัย…ฝ่ายชั่ว ฝ่ายดี…กุศล
มรรคแปด นิโรธ รวมเป็น ๔ อย่าง มนุษย์จึงทาอะไรสาเร็จ ดังนี้ ไม่อาภัพ
เหมือนภพอืน่
คาว่าธาตุมนุษย์เป็นธาตุที่ตายตัวหมายความว่า เป็นธาตุท่ีคงรูปอยู่ชั่วขณะ
หน่ึง อย่างน้อยก็ปี สบิ ปี สามสิบปี ห้าสิบปี เจ็ดสิบปี แปดสบิ ปี เก้าสิบปี หรือ
ร้อยปี แต่ถ้าเป็นธาตุนาค (พญานาค) หรือเทวดาท้ังหลาย พวกนี้จะมีรูปท่ี
เปล่ียนแปลงได้ดังใจนึก ท่านจึงบอกว่าเปล่ียนเป็นอ่ืนได้ อย่างพญานาคจะ
แปลงเป็นคนก็ได้ หรือกลับเป็นนาค เป็นงูอะไรก็ได้ ชั่วขณะจิตเดียว มนุษย์
หากจะภาวนาก็จะสาเร็จง่ายกว่าภพอื่น ปญั ญาของมนษุ ย์ก็สามารถปรุงแต่ง
ได้ท้ังฝ่ายกุศลอกุศล จะใช้ปัญญาให้เป็นไปเพ่ือพระนิพพานก็ได้ หรือจะใช้
ปัญญานาไปสู่มหาอเวจีมหานรกก็ได้ (คือคนฉลาดแต่ใช้ปัญญาในทางท่ีผิด)
คาว่าภพอื่นไม่เลิศเหมือนมนุษย์ เพราะมีธาตุที่บกพร่องไม่เฉียบขาดเหมือน
มนุษย์ หมายความว่าภพอ่ืนยังมีความบกพร่องอยู่ เช่น ภพเปรตอสรุ กายสัตว์
นรก พวกนี้ส่วนใหญ่ก็จะทุกข์ตลอดเวลา จิตจะเร่าร้อนเพราะอานาจ
บาปกรรมตลอดเวลา ไม่มีทางจะพิจารณาอะไรได้ ส่วนสัตว์เดรัจฉาน จะกิน
จะนอนก็คอยหลบค่อยซ่อน แม้เขาจะเอามาเล้ียงอย่างดี ก็ยังคอยหวาดกลัว
ภยั ต่างๆ จติ มคี วามพร่องตลอดเวลา
ส่วนภพเทวดาหรือพรหม เหมือนจะสมบูรณ์ แต่ก็ไม่สมบูรณ์ เพราะความ
สมบูรณ์พูนสุขน่ันแหละคือความพร่อง ในทางโลกถือว่าสมบูรณ์ แต่ในทาง
ธรรม ถือว่าพร่อง เพราะอาศยั อานาจแห่งความสมบูรณ์ มีทุกอย่าง ทาใหห้ ลง
ติดยึดอยู่ตรงน้ัน ไม่อาจจะเห็นทุกข์ แล้วหาทางไปให้พ้นจากทุกข์ได้ จึง
เรียกวา่ มคี วามพร่องอยู่ ไม่พร้อมเหมือนมนุษย์ ท่ีเหน็ ทุกขต์ ลอดเวลา อยา่ งท่ี
บอกไป ตน่ื มาก็ทกุ ขแ์ ลว้ มันปวดอึ ปวดฉ่ี หิวขา้ ว เวทนาทางกายมนั ทาหนา้ ท่ี
โอวาทธรรมหลวงปู่มน่ั | ๑๐๕
ตลอดเวลา ถา้ คนมปี ัญญากจ็ ะเห็นเวทนาอันน้ี เวทนาทางใจ ถา้ มันเห็นยาก ก็
ดูเวทนาทางกายไปก่อน หลวงปู่ชาก็สอนแรงๆ ว่า หมามันยังรู้จักเวทนา
อารมณเ์ ลย เวลามันหวิ มนั กร็ ้องครางหงงิ ๆ เราเปน็ คน ทาไมจงึ โง่กว่าหมา ไม่
รจู้ ักอารมณอ์ ะไรสักอย่าง ท้ังๆ ท่ีมันเกิดอยู่ตลอดเวลา เหมือนทีศ่ ิษย์คนหน่ึง
เปน็ นกั ภาวนา แต่บอกวา่ พักนไี้ ม่เห็นอารมณ์อะไรเลย นน่ั เพราะภาวนาผดิ ไป
หลงภาวนาแบบหนีอารมณ์ ไปติดความสงบ จะเอาแต่เข้าถ้าอย่างเดียว ชีวิต
จริงมันอยู่ในน้ันไม่ได้นานหรอก
ภพมนษุ ย์ ถ้าในทางโลก เหมือนจะอาภัพกวา่ เทวดากว่าพรหม แต่ในทางธรรม
ไม่ได้อาภัพแบบน้ัน เพราะสามารถเจริญสติภาวนาบรรลุมรรคผลได้อย่างไม่
ยาก หากลงมือปฏิบัติแบบเอาจริงเอาจัง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ก็อยู่ที่ตัว
มนุษย์ (จติ ) นแ่ี หละ ไม่ไดอ้ ยู่ที่ภพภมู ิอะไรท่ไี หนหรอก เพียงแต่จิตของเทวดา
ของพรหมจะเสวยสุข แบบโลกียสุขตลอดเวลา จิตที่จะรับรู้ทุกข์มนั ไม่มี ส่วน
จิตมนุษยม์ นั รบั รู้ทุกข์ได้ไมย่ าก นา่ สังเวชใจสาหรับมนุษยจ์ ริงๆ อยกู่ บั ทกุ ขท์ ุก
ลมหายใจ แต่กลับไม่เห็น ไม่รู้สึก ในบทสวดมนต์ทาวัตรเช้าก็มีเรื่องทุกข์อยู่
ลองไปหาอ่านดู
การเกิดการแก่การเจ็บการตาย นี้คือทุกข์ใช่หรือไม่ โสกะปะริเทวะทุกขะ
โทมะนัสสุปายาสาปิ ทุกขา ความโศกความร่าไรราพัน ความไม่สบายกาย
ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจก็เป็นทุกข์ ความประสบกับสิ่งไมเ่ ป็นท่ีรักท่ี
พอใจก็เป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์ มีความ
ปรารถนาส่งิ ใด แลว้ ไม่ได้สิ่งนั้นกเ็ ป็นทุกข์ วนั นเ้ี หน็ ทกุ ข์กนั บ้างไหม ทุกข์ตา่ งๆ
ที่เห็นมันก็คืออารมณ์ท่ีไม่น่ายินดี หรือทุกขเวทนานั่นแหละ ให้สังเกตให้ดี ก็
จะเห็น เม่ือเห็นเนืองๆ ก็จะร้ทู ันได้ ไม่มีใครโง่ที่ไหน เห็นไฟ แล้วยังเอามอื ไป
แหยไ่ ฟเล่นหรอก ที่แหย่อยู่ ปล่อยให้มันเผาอยู่ กเ็ พราะไม่เห็น หลวงปู่ชาบอก
๑๐๖ | โอวาทธรรมหลวงปู่ม่นั
อารมณ์ก็เหมือนงูน่ันแหละ ทุกวันน้ี อยู่กับงู แต่ไม่เห็นงู มันก็เลยถูกงูมันกัด
เอา เพราะตาบอดมองไม่เห็นงู ลองทาตาให้ดขี ้ึนมา ก็จะเห็น พอเห็น ก็จะไม่
ปลอ่ ยใหม้ ันกดั อีกต่อไป
ปรกติอารมณ์ท่ีเป็นทุกข์จะเห็นได้ง่าย จะเห็นก่อน พอเห็น ก็ลองขยับไปดู
อารมณฝ์ ่ายดบี า้ ง ท่ีเรียกวา่ สุขเวทนา เอาเวทนานอกกอ่ นกไ็ ด้ เชน่ อาบน้าแล้ว
สบายตัว นั่นแหละสุขเวทนาแล้ว กินข้าวแล้วอร่อย น่ันก็สุขเวทนาแล้ว มีคน
ชม เกิดความยินดี น่ันแหละสุขเวทนาแล้ว วันๆ หน่ึง อารมณ์ทั้งดีและไม่ดี
เกิดมากมาย ทาไมจึงไม่เห็นกัน ปล่อยให้มันกัดหัวอยู่ตลอดเวลาได้อย่างไร
หลวงปูช่ าบอก ถ้าเห็นแล้ว รู้เท่าทัน มันจะบรรลุธรรมไวมาก แต่เรากไ็ ม่ค่อย
จะเอากนั จะเอาแตน่ ง่ั หลบั ตาภาวนาหาความสงบกนั ท่าเดยี ว แลว้ บอกว่าไม่รู้
อารมณ์มนั หายไปไหนหมด อารมณ์มันยังอยู่ ไม่ไดห้ ายไหนหรอก แตเ่ รามันโง่
เองที่ไม่เห็นมัน อย่างความทุกข์ต่างๆ อันเป็นอารมณ์อย่างหน่ึง มันก็เกิด
ตลอดเวลา วันหนึ่งๆ มีใครสมหวังทุกเรื่องบ้าง ตรงที่ไม่สมหวังน่ันแหละคือ
ปรารถนาสงิ่ ใดแล้วไม่ได้ส่งิ นน้ั มนั เปน็ ทุกข์ ลองพจิ ารณากนั ดู ใหม้ ันเห็นทกุ ข์
แบบนี้ไปก่อน แล้วก็ให้มีสติรู้เท่าทัน วันหนึ่งจิตมันหยดุ ต้ังมนั่ ข้ึนมา ก็จะเห็น
สมุทัย เห็นนิโรธ และเห็นมรรค ขน้ึ ในดวงจิตอันน้ี แล้วจะขอบคณุ ธาตุมนุษย์
ท่ที าให้เหน็ ทกุ ข์ จนนาไปสกู่ ารเหน็ ธรรม เหน็ อริยสัจจ์สใ่ี นที่สุด
โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น | ๑๐๗
ขยายความธรรม ในกลุม่ สายธารธรรม เมือ่ วนั ท่ี ๖ ตลุ าคม ๒๕๖๓
ท่านกาชับวา่ อย่าใหจ้ ติ เพ่งนอก ให้รู้ในตวั เห็นในตัว เมือ่ รูใ้ นตัวแลว้
รทู้ ่วั ไป เพราะตวั เปน็ ต้นเหตุ
เพ่งนอกน้นั ไมส่ นิ้ สงสัย เพราะยังหมายนอกหมายในอยู่ ตกอย่ใู น
กระแสของสมุทยั
ท่านทรงกลด: สองโอวาทน้ีเน้ือหาอันเดียวกัน จะขอขยายไปในคราวเดียวกัน
อันนี้ท่านก็ได้มาจาก ประสบการณ์ส่วนตัวท่าน คือตอนแรกท่านก็ภาวนาแบบ
พุทโธ พอจิตสงบก็เกิดนิมิต แล้วท่านก็เท่ียวเล่นอยู่ในนิมิตน้ันอยู่หลายเดือน
วันนี้เจออย่างนั้น วันน้ันเจออย่างนี้ เที่ยวขี่ม้าไปนั่นไปนี่ แล้ววันหนึ่งท่านก็มา
พจิ ารณาว่า มันไม่จบ ไมม่ ีทางว่าจะจบอยา่ งไร ตอนน้ันท่านก็ไมม่ ีครบู าอาจารย์
อะไร มแี ต่หลวงปเู่ สาร์องค์เดียว ซ่ึงท่านสอนให้ภาวนาพุทโธ หลวงปู่ม่ันก็นึกถึง
ที่ตอนบวช พระอุปัชฌายส์ อนกรรมฐานห้าใหค้ อื ผมขนเล็บฟันหนัง ท่านก็ลอง
พิจารณาดู ปรากฏว่าเมื่อพิจารณาแล้ว จิตก็ไม่เที่ยวสร้างนิมิต ไม่เที่ยวว่ิงไป
โน่นน่ีน่ัน ท่านก็บอกว่าจิตมันอยู่กับท่ี คืออยู่เฉพาะในร่างกายนี้เท่านั้น จิตก็
สงบเพราะเห็นกายตามความเป็นจริง ท่านก็มานั่งตรึกว่าชะรอยจะถกู ทางแล้ว
ตอ่ มาเม่ือท่านบรรลุอนาคามี ทา่ นกก็ ลับไปโปรดหลวงปู่เสาร์ พระอาจารย์ของ
ท่าน ด้วยบารมีเคยสร้างสมกันมา ทาให้หลวงปู่เสาร์แม้จะเป็นพระอาจารย์
ท่าน กลับไม่มีทิฏฐิมานะอะไรแต่อย่างใด ยอมรับฟังหลวงปู่ม่ันแต่โดยดี
สุดท้ายท้ังสองก็บรรลุอรหัตผลไปด้วยกัน นี่แหละ เป็นท่ีมาของคาสอนท่ีว่า
อยา่ ให้จิตเพ่งนอก เพง่ นอกก็คือเพง่ กสิณต่างๆ บ้าง เพ่งคาบรกิ รรมต่างๆ บ้าง
เพ่งโทษคนน้ันคนนี้บ้าง เพ่งนอกกับส่งจิตออกนอกก็อันเดียวกัน ส่งจิตออก
๑๐๘ | โอวาทธรรมหลวงปู่ม่ัน
นอกกับส่งจติ เท่ียววิ่งตามอารมณต์ ่างๆ กอ็ ันเดยี วกนั ถ้ายงั เพ่งนอก กต็ กอยู่ใน
กระแสของสมทุ ยั อันนี้กต็ รงกับคาสอนของหลวงปดู่ ลู ย์ อตุโล อยา่ งอศั จรรย์
หลวงปู่ดูลย์สอนว่า จิตส่งนอกเป็นสมุทัย ผลของการที่จิตส่งนอกคือทุกข์
เม่ือใดที่ส่งจิตออกนอก เม่ือน้ันก็จะเกิดทุกข์ตามมา เพราะจิตท่ีส่งนอก เพ่ง
นอก ย่อมเปน็ จิตท่ีปรุงแต่ง จิตท่ีส่งแส่ส่ายไปตามอารมณ์ต่างๆ เหมือนคนว่ิง
ไม่เคยหยุด แต่เมื่อใดท่ีหยุดส่งนอก หยุดอยู่กับการระลึกรู้อยู่ในกาย หยุดอยู่
กับรู้ได้ เมื่อน้ันก็หยุดส่งนอก หยุดเพ่งนอกไปโดยปริยาย ถ้ารู้ในตัว เห็นใน
ตัวอย่างแท้จรงิ แลว้ จติ จะหยุดส่งนอกไปโดยปรยิ าย เพราะเห็นแล้ววา่ มันไม่มี
อะไร เมื่อเห็นอย่างแจ้งชัดว่าไม่มีอะไร จิตก็คลายความยึดมั่นออกมา ตรงที่
คลายออกมา จิตจะผละมาอยู่กบั ตัวเอง มาอยู่กบั รู้ ตรงรนู้ ่ันแหละ คอื จุดทจ่ี ิต
หยุดเพ่งนอก หยุดส่งนอก เม่ือหยุดส่งนอกได้อย่างม่ันคง ก็จะเห็นอริยสัจจ์
สน้ิ สงสยั ในคาสอนของพระพทุ ธเจ้า ส้นิ สงสัยในตวั ในตนในขันธ์ห้า เพราะเห็น
ขนั ธ์ห้าเป็นตัวเป็นตน นี่แหละคือเห็นผิด คืออวิชชา คือต้นเหตุของสง่ิ ทั้งปวง
ทาลายอวิชชาไดก้ ็คือทาลายความเหน็ ผิดได้ อวชิ ชาคอื ความเห็นผิด ไมใ่ ชม่ ่าน
หมอก ไม่ใช่เรอื นแกว้ ท่ีตอ้ งระเบิดออกมา
วันนี้ก็มีลูกศิษย์ส่งคาสอนของพระอาจารย์รูปหน่ึงมาให้ ว่ามีโยมลูกศิษย์
พระอาจารย์องค์น้ัน ภาวนาแบบไหนไม่รู้ ย้อนมาดูความคิดดูจิต มีเสียงระเบิด
ในหัว แล้วย้อนดูกายหายใจมีเสียงระเบิดภายในกาย พระอาจารย์องค์น้ันก็
รับรองว่าสามารถแยกธาตุแยกขันธ์ได้แล้ว ซึ่งลูกศิษย์เราคนนี้ก็มีปัญญา อ่าน
แล้วบอกว่าไม่น่าจะใช่ ซ่ึงถกู ตอ้ งอยา่ งนั้น การเห็นธรรม แยกธาตแุ ยกขันธ์ ไมไ่ ด้
มกี ารระเบิดอะไรดังทพ่ี ากันเข้าใจผิดๆ กนั อยู่ ตอนพระอัญญาโกณฑัญญะบรรลุ
ธรรม หรือพระอรยิ สาวกองคไ์ หนๆ บรรลุ ก็ไม่ได้มกี ารระเบดิ อะไรแต่อย่างใด
โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น | ๑๐๙
การบรรลุธรรมเป็นเพียงการแยกจิตออกจากขันธ์ จติ มาต้ังม่นั เกิดสัมมาสมาธิ
ในมรรคมีองค์แปด เห็นขันธ์ห้าเกิดดับๆๆๆ หาความหมายตัวตนอะไรไม่ได้
ขณะเดยี วกันก็เหน็ จติ ตนเองตงั้ ม่ันอยู่ จะพบจิตตนเองในขณะจิตนน้ั
หลวงปู่ม่ันจึงบอกว่าพบจิตหรือใจคือพบธรรม ท่านประพันธ์ไว้ว่า พบต้นจิต
จิตต้นพ้นโหยหวน คือพบจิตต้นหรือจิตเดิม ก็จะพ้นทุกข์ หรือหลวงปู่ขาว
อนาลโย ก็บอก ผู้ใดพบตน จะพ้นโลก พบตนก็คือพบจิตน่ันแหละ การบรรลุ
ธรรมไม่ได้หมายถึงการระเบิดกายระเบิดจิตหรืออะไรดังที่เข้าใจผิดกัน การ
ระเบิดเปน็ เพียงนมิ ิต เป็นวิปสั สนูปกิเลสอยา่ งหน่งึ เท่านั้น ทาให้คนหลงเข้าใจ
ผดิ วา่ บรรลุธรรมแลว้ ตวั เราก็เคยระเบิดมากอ่ น แรกๆ กิเลสก็สงบ พออาทิตย์
หนึ่งผ่านไป ราคะโทสะอะไรๆ ก็กลบั มาเหมือนเดมิ มนั ระเบิดแล้วสงบ สว่าง
วา่ งอยู่
มันเป็นความสงบ สว่าง เป็นความว่างแบบโงๆ่ ตอ่ เมอ่ื มาเจริญสติอย่างถกู ต้อง
พบเห็นธรรมอยา่ งถูกต้อง จึงแยกได้ว่ากาลก่อนกับกาลท่ีพบธรรม มันต่างกัน
อย่างไร มันต่างกันราวฟ้ากับเหว มันจะรู้ขึ้นมาเองว่าบัดน้ีสักกายทิฏฐิเอย
วิจิกิจฉาเอย สีลัพพตปรามาสเอย มนั ถูกทาลายส้ินแล้ว ไม่กลบั มาอีกแล้ว ไม่
เหมือนตอนกายระเบิดจิตระเบิดถงึ สามครัง้ เมื่อตอนบวชท่ีวัดมาบจนั ทร์ใหม่ๆ
มันต่างกัน ระเบดิ นั้น ยังไม่รู้เลยว่าจิตเป็นอย่างไร อารมณ์เปน็ อย่าง ขันธ์ห้า
เป็นอยา่ งไร พอมาเหน็ จรงิ ร้แู จ้ง มันจะแยกให้เหน็ เป็นส่วนๆ ของมันเอง และ
เหน็ ตลอดเวลา ไมก่ ลบั กลอกไปมาอกี ตอ่ ไป ภมู จิ ิตภูมิธรรมก็กา้ วหน้า ขยับขึ้น
ของมันเอง แล้วจะรู้ว่าท่ีครูบาอาจารย์บอกว่าจิตเป็นหนึ่ง จิตเป็นหนึ่ง นี้มัน
เปน็ อยา่ งไร ใครมาดา่ เราตอนน้ี กจ็ ะมีแตค่ วามวบิ ัตเิ ทา่ นัน้ เอง
๑๑๐ | โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น
สาหรับโอวาทวันนี้ ก็ดูเหมือนจะเคยอธิบายไปบ้างแล้ว อธิบายซ้าบ้างก็ดี
เหมือนกัน เป็นการย้าเตือน บันทึกคาสอนของหลวงปู่มั่น โดยหลวงปู่หลุย
จันทสาโร ท่ีดอกเตอร์แอมเอามาลงให้ขยายความในวันนี้ หลวงปู่หลุยบันทึก
ไว้เมื่อปี ๒๔๘๓ มาถึงวันนี้ ก็ตกราวแปดสิบปี ก็เป็นโอกาสดี และเป็นบุญ
วาสนาของท่านท้ังหลายท่ีได้มีโอกาสได้อ่านก่อนคนอื่น เม่ือจัดพิมพ์เป็น
หนังสือ ก็จะเป็นหนังสือทีส่ าคัญของโลกเล่มหนึ่งในอนาคต ก็โมทนากับทุกๆ
ท่านที่ร่วมทาบุญเพื่อจัดทาหนังสือสื่อธรรมกันมา วันน้ี ก็พอสมควรแก่เวลา
ขอใหเ้ จริญในธรรมด้วยกนั ทุกๆ ทา่ นเทอญ
โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น | ๑๑๑
ขยายความธรรม ในกลุ่มสายธารธรรม เมือ่ วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๖๓
ค้นดกู ายถงึ หลกั และเห็นอรยิ สัจจ์ของจริงแล้ว เดนิ ตามมรรคเห็น
ตัวสมุทัยเห็นทุกขสจั
ทา่ นทรงกลด : คน้ ดกู ายถึงหลกั และเหน็ อริยสัจจ์ของจริงแลว้ เดินตามมรรค
เห็นตัวสมุทัยเห็นทุกขสัจ อันนี้ท่านก็สอนเน้นเร่ืองกายเป็นหลัก ที่เรียกว่า
กายคตาสติ ให้ค้นข้างในสรรพางค์กาย ไม่ให้ส่งจิตออกนอกกาย จนถึงหลัก
ทางใจ คือพบใจพบธรรม เห็นทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ก็สามารถเดินตาม
มรรคท่เี หลือไปตอ่ ไปจนจบกิจ อย่าถอนทาความเพียร มันจะเคยตัว ให้ทาจน
ชิน ให้ได้เน้ือหรือคุ้นเคย จึงจะเห็นมรรคผลเห็นผล เรื่องความเพียรนี้สาคัญ
ที่สุด โดยเฉพาะฆราวาสอย่างเราๆ มักจะมีจิตใจโลเลไม่แน่นอน วันนี้ขยัน
พรุ่งน้ีกข็ ้เี กียจ ไม่เอาแลว้ พอไม่เอาวันสองวัน กจ็ ะกลายเปน็ เดือน เปน็ ปี แล้ว
หายไปในท่ีสุด
ส่วนใหญ่คนไม่พบธรรมกเ็ พราะไม่มีความเพยี ร เพยี รแคไ่ หน ก็ต้องบอกวา่ ให้
เพยี รแบบหลวงปู่ชา ขยันก็ทา ขเ้ี กยี จก็ทา ถา้ ทาแล้วหยุด มนั จะเคยตัว เพราะ
ธรรมดาจิตมันติดโลก พอมาฝึกอะไรที่สวนกระแสโลก แรกๆ มันก็ไม่ยอม
ภาพลูกภาพสามีภาพภรรยา ภาพนั้นภาพน้ีมันติดตาติดใจตลอด ย่ิงมีหลาน
เห็นเสร็จทุกราย ให้อยู่กับสิ่งเหล่าน้ีอย่างรู้เท่าทัน เราไม่ได้เพ่ิงจะมามีลูกมี
หลาน มีสามภี รรยาแต่ในชาติน้ี มาเกิดทีก็มีมันทุกชาตินั่นแหละ แล้วก็ติดอยู่
หลงอยู่ พอจะกลบั ไปเร่ิมปฏิบตั ิใหม่บางทีก็ไมท่ ันการแล้ว ตายลงระหว่างทาง
บ้าง นอนติดเตยี งเสียแลว้ บ้าง นอนเป็นผกั เปน็ ปลา เป็นภาระกบั ลูกๆ หลานๆ
ได้ใช้กรรมกันต่อไปไม่สิ้นสุด เรื่องผู้ป่วยนอนเป็นผักหรือท่ีเรียกว่าเจ้าชาย
นทิ รานี้ เมอื่ วานมีน้องคนหนงึ่ ถามว่า จติ เขายังอยู่ไหม ก็ตอบไปทนั ทีว่าบางที
๑๑๒ | โอวาทธรรมหลวงปู่ม่ัน
กอ็ ยู่ บางทีกไ็ ม่อยู่ ที่ยังอยู่ กพ็ อเข้าใจได้ แตท่ ี่ไม่อยู่ เปน็ ไปได้อย่างไร ก็ตอบ
ไปว่า กร็ า่ งกายกบั จติ มนั คนละอนั กัน จิตก็จิต กายก็กาย ถ้าธาตุส่ีในกายมันยัง
ทางาน เรียกว่ายังไม่ถึงอายุขัยของมัน มันก็ยังไม่ตาย สมองก็ทางาน แต่กาย
ขยบั ไม่ได้ หรือสมองตาย แต่ตัวยังอุ่น เพราะธาตุไฟยังไม่ไดด้ บั เรยี กว่าชวี ติ ใน
ส่วนท่เี ปน็ ร่างกายมันยงั อยู่
ถ้าคนสมัยใหม่ บอกวา่ ไม่อยากใหเ้ ขาทรมาน เลยไปถอดปล๊ัก เรียกภาษาทาง
การแพทย์สมัยใหม่ว่าการุณยฆาต นั่นคือการทาผิดศีลข้อที่ ๑ คือฆ่าคนเลย
ทีเดียว เป็นการฆ่าคนด้วยความโง่ เหตุที่กายมารับสภาพอย่างนั้น ก็เป็นไป
ตามสภาพกรรม อายุขัยของกายยังไม่หมด ก็ตอ้ งปล่อยไป เช่ือไม่เชอ่ื กแ็ ล้วแต่
เราก็ได้แค่บอกแค่เตือน ทีน้ี ส่วนเจ้าจิตน้ี ถ้ามันไม่เอากายแล้ว มันก็ปล่อย
กายไว้อย่างน้ัน แต่ไม่ได้ปล่อยวางแบบคนท่ีปฏบิ ัติธรรมนะ มนั เหน็ ว่ารา่ งกาย
นีใ้ ชไ้ ม่ได้ มันก็ไปหาอันใหม่ คอื ไปสรา้ งอนั ใหม่ มนั ไม่ได้เกดิ สติเกดิ ปญั ญาแจ่ม
แจ้งขึ้นมาว่ากายน้ีไม่ใช่เราของเรา เหมือนเรามีรถ เห็นวา่ รถคนั หนึ่งเป็นของ
เรา ก็ยึดอยู่ วันหนึ่งรถมันพัง ก็ไปหารถคันใหม่มาใช้ ได้คันใหม่มา ก็ยึดคัน
ใหม่ว่าเป็นของเราอยู่นน่ั เอง ปัญญามันไม่มี บางทีกายนอนอยู่บนเตียง จติ ไป
เกิดเป็นสตั ว์โน่นนี่น่ันแล้วกม็ ี เร่ืองภพชาตจิ ึงเปน็ เรื่องท่ีนา่ กลัว อนั นี้ก็ประดับ
ความรไู้ วเ้ ท่าน้ัน ไม่ไดเ้ ปน็ ไปเพ่ือความพน้ ทุกข์ แต่ใหเ้ ห็นภยั ในการเกิดการแก่
เจ็บตายก็พอ จะได้เร่งความเพยี ร เม่ือทาความเพยี รจะเหน็ อะไรเป็นอะไรขึ้น
บ้างแลว้ จิตตกในกระแสมรรคแล้ว มนั กจ็ ะทาของมันเอง มันจะเคยชินกบั การ
ปฏบิ ัตขิ องมันเอง หรือบางคนจิตยงั ไมต่ กกระแส แตไ่ ด้เห็นสภาวธรรมเชน่ เห็น
การเกิดการดบั ของกาย ของอารมณ์ รักษาความเพยี รไว้ จติ มันเหน็ บา้ งแล้ว ก็
ไม่ยากที่จะเห็นมรรคเห็นผลในอนาคตอนั ใกล้ หลวงป่ชู าบอกว่า นา้ ในดนิ มันมี
อยู่ ไม่ใช่ไม่มี เพียงแต่เราขุดไปไมถ่ ึงมันเท่าน้ัน มรรคผลกเ็ ชน่ กนั มันมีอยู่จริง
พระพุทธเจา้ พระอรยิ สาวกไม่โกหกเราหรอก แตเ่ รามนั เพยี รไมถ่ ึงเท่านัน้ เอง
โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น | ๑๑๓
อริยสจั จ์ ทกุ ข์ สมุทัย นิโรธ มรรค คือ กาย วาจา ใจ เป็นมรรค เข้า
ไปดับทุกข์ ดับสมุทัย ดับนิโรธ นิโรธดับไม่เอา เอาท่ไี ม่ดับ คือดับน้นั ยังเป็นตัว
มรรค เอาสิ่งทีไ่ มด่ บั ส่ิงทีต่ ้งั อย่นู น้ั แหละเปน็ ตัวใหส้ ้ินทุกข์ อนั นี้กล็ ึกซึง้ มาก
กายวาจาใจน่ีแหละคือตวั มรรค คือตัวท่ีจะนาไปสูก่ ารเห็นอรยิ สัจจ์ สารวมกาย
สารวมวาจา สารวมใจ สารวมกาย วาจานี้ก็เป็นศีล สารวมใจเข้ามา น้ีเป็น
สมาธิกับปัญญา ให้ใจสารวมอยู่กับสติ อยู่กับความเห็นชอบ เห็นว่ากายน้ี
อารมณ์ รูปนามขันธ์ห้าท้ังปวงไม่ใช่เราของเรา ความยินดีก็ไม่ใช่เรา ของเรา
ความยินร้ายก็ไม่ใช่เราของเรา ความยินดียินร้ายหรือเฉยๆ ก็คือเวทนา
ความจาคือสัญญา ความคิดคือสังขาร การปรุงแต่งต่างๆ ก็ไม่ใช่เรา ของเรา
วญิ ญาณความรู้สกึ เวลาตาเห็นรูป หไู ด้ยินเสียงก็ไม่ใชเ่ ราของเรา สว่ นรปู หรือ
กาย หากพิจารณาจนจิตสงบลงไป เกิดความเห็นแจ้งข้ึนมาสักครั้งหน่ึง ก็จะ
หายสงสัยว่ามนั ใช่เราของเราหรือไม่ ให้มีสตริ เู้ ท่าทนั เสมอ แล้ววันหนง่ึ จิตหรือ
ใจจะต้ังมั่นขึ้นมาเกิดสัมมาสมาธิในมรรคมีองค์แปด จะเห็นขันธ์ห้าอารมณ์
ทัง้ ปวงตามจริง ถ้าเหน็ ตามจริง จะเห็นการเกิดการดับของขันธ์ ตรงทเี่ กิดดับ
อยู่ ตรงนนั้ ยังเป็นมรรค ตรงนั้นยังดับไม่จริง แต่ตัวท่ีไม่ดับ ตัวท่ีอยู่นอกมรรค
คอื จิตหรือใจทต่ี ้งั ม่นั อยู่ อันนีไ้ มด่ ับ
อย่างท่ีหลวงปู่ชาบอก จะเห็นการเกิดการดบั สดุ ท้ายจะเหลือสิ่งทไี่ มด่ ับ ตรงท่ี
ไมด่ ับนนั่ แหละคือการดับทกุ ข์อยา่ งสิ้นเชิง หมายถึงจติ ท่ีหลดุ พ้นออกมาตัง้ มั่น
ไมเ่ กี่ยวข้องกับอารมณใ์ ดๆ จิตที่ไมป่ รุงแตง่ เป็นอะไรๆ
นั่นแหละคือนิโรธ เพราะถา้ ยังปรุงแต่ง ก็ต้องเสื่อมดบั ไม่อาจจะเป็นนิโรธได้
แต่ถ้าจิตหลุดพ้นแลว้ มนั จะตง้ั อยู่ ไม่มีการเคลื่อน ไมม่ กี ารปรุงแต่ง ดว้ ยเหตุนี้
แหละ หลวงปู่มน่ั จึงบอกว่า “สง่ิ ท่ตี ้ังอยู่นั่นแหละ เป็นตัวให้สนิ้ ทุกข์” น่ีถ้าเรา
๑๑๔ | โอวาทธรรมหลวงปู่มน่ั
ไม่ปฏบิ ัติมาจนใกล้ถึงที่หลวงปู่มั่นกลา่ วไว้ ก็จะไม่มีวันเข้าถึงคาสอนอันลึกซ้ึง
ของหลวงปู่ม่นั ได้เลย กราบหลวงปมู่ ั่นด้วยเศียรเกลา้ ไว้ ณ ตรงนอ้ี ีกครั้ง
จติ เสวยเวทนาอยา่ งละเอียดน้ัน ให้ละลายเวทนาเข้าไปอีกเอามรรค
เข้าไปฟอกแล้วทาความรู้อยู่แทนเวทนา จึงจะเห็นตน เห็นธรรม เห็นความ
บรสิ ุทธิ์ฯ
คาว่าเสวยเวทนาอย่างละเอียด อันนี้ท่านสอนพระที่ทาสมาธิได้ แต่ยังไม่ใช่
สัมมาสมาธิในมรรคมีองค์แปด สัมมาสมาธิในมรรคมีองค์แปดเกิดแล้ว
สังโยชน์จะถูกทาลายไปตามกาลังของสติของสมาธิในขณะจิตน้ัน แต่สมาธิ
แบบธรรมดาหรือฌาน ไม่อาจจะทาลายสังโยชน์ได้ ขณะท่ีจิตเป็นสมาธิแบบ
น้ัน มันจะมีสุขเวทนาแบบละเอียด ท่านบอกให้ละลายเวทนาด้วยการเอา
มรรคเขา้ ไปฟอก คอื ให้กาหนดเห็นเวทนาตามความเปน็ จริง เอาตัวสัมมาทฏิ ฐิ
เข้าไปฟอก ให้เห็นตามจริงว่าเวทนาท่กี าลังเสวยอยู่น้ี มันไม่เทย่ี ง ทนอยูไ่ ม่ได้
ต้องเส่ือมดับเป็นธรรมดา หาแก่นสารไม่ได้ เมื่อเห็นเวทนาตามจริง ก็จะเกิด
ความรู้ข้ึนมาประจาจิตแทนเวทนา จิตจะอยู่กับรู้ ส่วนเวทนาก็จะถูกสลัด
ออกไปจากจิต เหมือนพระจันทร์สลัดเมฆหมอกออกมา พอจิตสลัดออกมา
ทา่ นเรียกวา่ ทาความรู้อยู่แทนเวทนา จติ ก็จะพบตน เหน็ จติ เห็นตน เห็นธรรม
เห็นความบริสุทธ์ิของจิต ดุจพระจันทร์สลัดตนออกจากเมฆหมอก มาสว่าง
ผอ่ งใสอยู่ อยา่ งน้นั
เดินมรรคให้เห็นทุกข์ ให้เดินมรรคเห็นสมุทัย ให้ย่ิงในมรรคให้ยิ่ง
มรรคนโิ รธ จงึ จะพ้นทกุ ขฯ์
การเดินมรรคท่ีถูกจะต้องย่ิงเดินย่ิงเห็นทุกข์ อย่างที่เล่าเร่ืองศิษย์
คนหนึ่งให้ฟังว่า ปฏิบัติแล้วไม่เห็นอารมณ์ เพราะไปติดความสงบเข้าให้แล้ว
โอวาทธรรมหลวงปู่ม่ัน | ๑๑๕
เอาแตแ่ ช่แนน่ ิง่ อยู่ในความสงบนนั้ การเดินมรรค หากเดินตามรอยสตปิ ัฏฐาน
แล้ว ยิ่งเดินจะยิ่งเห็นทุกข์ ถ้าไม่เห็นทุกข์ แล้วจะเอาเหตุแห่งทุกข์ท่ีเรียกว่า
สมุทยั ที่ไหนมาเห็นเล่า หลวงปู่ดูลย์จึงบอกว่า หากปฏิบัติถูก แม้จติ ไหวตวั ข้ึน
เลก็ นอ้ ย เกดิ อารมณข์ ้ึนเล็กน้อย ก็จะเหน็ ไดช้ ดั ย่ิงมสี ติ จะยง่ิ เหน็ อารมณน์ อ้ ย
ใหญ่ทั้งทุกข์ท้ังสุขได้อย่างชัดเจน แต่อารมณ์เหล่านั้นจะทาอะไรจิตก็หาได้ไม่
ทมี่ ันทาเอาได้ กัดเอาได้ กเ็ พราะไม่เห็นมัน ถ้าเห็นจะไมเ่ ป็น ถ้าเปน็ จะไม่เห็น
ย่ิงเห็นทุกข์เท่าไร ก็จะฉลาดมากเท่าน้ัน หลวงปู่ชาจึงบอกว่าทุกข์ทาให้เรา
ฉลาด สุขทาให้เราโง่ มีทุกข์จะได้ศึกษามันว่ามันมาจากไหน ทาไมจึงทุกข์ ท่ี
ทุกข์ก็เพราะเราเห็นผิด จิตมีอวิชชา เห็นว่าทุกข์นั้นคือเราของเรา เหตุแห่ง
ทุกข์กค็ ือเห็นผดิ น่ีแหละ ความเห็นผิดคอื อวิชชา อวิชชาไม่ใช่กระจกที่จะต้อง
ระเบิดอะไรอย่างท่ีพระบางรูปสอนผิดๆ อยู่ ระเบิดกระจก ระเบิดกายแล้ว
บรรลุธรรม อนั นี้ผิดเสียยิ่งกว่าผดิ มันเป็นเพียงสภาวะท่จี ิตสงบแบสมถะอยา่ ง
หนึ่งเท่านนั้ ในทางวิปัสสนามนั คอื วิปสั สนูปกเิ ลสอย่างหนึ่ง ทาให้คนหลงปล้ืม
กระหย่ิมย้มิ ย่อง เช่ืออย่างผิดๆ ว่าบรรลุธรรมแล้ว ย่ิงไปเจอพระท่ีเคยระเบิด
มาด้วยกนั หลงวา่ บรรลอุ รหัตผลแล้ว มารบั รองก็ย่ิงพาเขา้ รกเขา้ พงไปกนั ใหญ่
เรื่องจิตระเบิดอะไรน่ี เคยถามหลวงปู่แบน ขณะสนทนาธรรมกันสองต่อสอง
ครั้งหนึ่ง ว่ามันใช่บรรลุธรรมอย่างท่ีพระองค์นั้นองค์น้ีสอนหรือ ท่านก็ย้ิมๆ
บอกว่าต้องไปถามพระองค์นั้นๆ ดูว่ามันคืออะไร นี่ทา่ นกต็ อบอย่ใู นตัวอยแู่ ล้ว
วา่ มนั ไม่ใช่ ถ้าใช่ ทา่ นก็บอก เออ ตรงกบั เรา เรากร็ ะเบดิ เหมอื นกันตอนบรรลุ
สว่ นเร่ืองที่พระบางรูป พอบรรลุธรรมขั้นสูง โลกธาตุหว่ันไหว อันน้ีมันคนละ
เรื่องกัน ที่โลกธาตุหวัน่ ไหว เพราะเทวดาเปลง่ วาจาสาธุการกันทั่วไตรโลกธาตุ
ต่างๆ ท่ีท่านบรรลุก็เพราะเดินมรรคถูก ทามรรคให้ย่ิง ให้ยิ่งในมรรค ให้เห็น
ทุกข์ เห็นเหตุ ว่าท่ีทุกข์ก็เพราะเห็นผิด พอเห็นผิด จิตก็แส่เข้าไปยึดทุกข์
เพราะเห็นผิดว่าทุกข์น่ันคือเราของเรา พอเห็นทุกข์ จิตก็หยุดส่งออกไปยึด
๑๑๖ | โอวาทธรรมหลวงปู่มัน่
ตรงน้ีน่ีแหละคือนิโรธ จิตต้ังม่ัน ไม่ส่งแส่ส่ายเข้าไปยึด จิตก็ดับทุกข์ ที่ดับ
เพราะไม่มีทกุ ข์ให้ดับ ทกุ ข์มันอยูส่ ว่ นทุกข์ จิตก็อยสู่ ว่ นจิต ไม่มีอะไรจะตอ้ งดับ
ส่วนทุกข์อันเป็นเวทนาขันธ์อันหนึ่ง เม่ือดับขันธ์นิพพาน มันก็ดับไป เรียกว่า
ดบั สนทิ คงเหลอื แตจ่ ิตบริสุทธิ์อนั เดยี ว
ให้กาหนดจิตให้กล้าแข็ง เรียนมรรคให้แข็งแรง จึงจะเห็นทางส้ิน
ทกุ ขไ์ ปได้
อันน้ีก็สรุปอีกครั้งว่า ต้องกาหนดจิตให้กล้าแข็ง ให้กล้าแข็งด้วยสติ ไม่ให้วิ่ง
ไหลตามอารมณ์ ว่ิงไหลตามลูกตามหลานตามภรรยาสามี ตามอารมณ์คนนั้น
คนนี้ ตามคาพูดคนน้ันคนนี้ เรียนมรรคให้แขง็ แรง กค็ อื มรรคหรือแนวทางการ
ปฏิบัติที่พร่าสอนไปยิ่งกว่าใครอยู่ในขณะนี้ จนจิตหยั่งลงในมรรค เห็นทุกข์
เห็นเหตแุ ห่งทุกข์ กจ็ ะเห็นทางสิน้ ทกุ ขไ์ ปได้โดยปริยาย
โอวาทธรรมหลวงปู่มัน่ | ๑๑๗
ขยายความธรรม ในกลมุ่ สายธารธรรม เมือ่ วันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๖๓
ต้องทาจติ ให้เป็นเอก ต้องสงเคราะหธ์ รรมใหเ้ ป็นเอกเสมอๆ
ท่านทรงกลด : ต้องทาจิตให้เป็นเอก ต้องสงเคราะห์ธรรมให้เป็นเอกเสมอๆ
คาว่าเป็นเอกก็คือเป็นหน่ึง หมายความว่าต้องทาจิตให้เป็นหนึ่ง ต้อง
สงเคราะห์คือพยายามทาจติ ใหเ้ ปน็ หนึง่ อยู่เสมอ คาวา่ สงเคราะห์คือเอ้ือให้เกิด
ให้เป็น ส่ิงที่จะทาให้จิต เอ้ือจิตให้เป็นเอกเป็นหนึ่งก็คือสติ เมื่อเราเจริญสติ
อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย สติจะกางก้ันกิเลสอารมณ์ออกไป สติเตสังนิวารณัง
สติคือเคร่ืองกางกั้นกิเลส กางกั้นกิเลสออกจากจิต เมื่อกิเลสอารมณ์ออกจาก
จิต ก็จะเหลือแต่จิตอยู่อันเดียว จิตที่เหลืออันเดียวน่ีแหละเรียกว่าเป็นเอก
เปน็ หน่งึ พระอริยะเจ้าแทจ้ ะต้องดาเนนิ มรรคจติ เพ่ือไปสูจ่ ติ ท่ีเปน็ หน่งึ เสมอ
หลวงปู่ดูลย์ก็สอนบ่อยเรื่องจิตเป็นหน่ึง จิตเป็นหนึ่ง จิตไม่เคล่ือน จิตไม่ปรุง
แต่ง จิตนิพพานอันเดียวกัน เพราะอวิชชาดับไป จึงจะเหลือจิตเป็นหนึ่ง เป็น
เอกข้ึนมา ไมใ่ ช่ไม่มจี ิต ไม่มีอวิชชา ดังที่เข้าใจกนั ผดิ ๆ กันอยู่ คนทั่วไปจะมีจิต
และอวิชชาอยู่ผมสมปนเปกันอยู่ แต่พระอรหันต์จะเหลือแต่จิตที่บริสุทธ์ิอัน
เดียว อวิชชาไม่มี ไมใ่ ชอ่ วิชชาดับ แลว้ จิตจะดับตามไป หรือจิตดับ อวชิ ชาดับ
อันน้ีสอนผิดอย่างมากๆ ลองไปเทียบคาสอนของหลวงปู่มั่นดู จะเห็นความ
แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว หลวงปู่ม่ันก็สอนว่าจิตเป็นธรรมชาติที่บริสุทธ์ิ
(หลังจากละอวิชชา บรรลุอรหัตผลแล้ว) หาท่ีติครหามิได้เลย หลวงปู่ดูลย์ก็
บอก อวิชชาดับ ธรรมชาติท่ีเป็นจิตยังอยู่ ไม่ได้หายไปไหน ก็เลือกเอาว่าจะ
เช่อื หลวงปมู่ นั่ หลวงปู่ดูลย์ หรอื เชอ่ื ใคร
๑๑๘ | โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น
โลกสันนิวาส มีความแปรปรวนตั้งเที่ยงอยู่เช่นนั้น แต่จิตของเรา
รกั ษาไว้ให้ดอี ยา่ ใหต้ ิด ถ้าไมต่ ิดก็ได้ชื่อวา่ เป็นสุข ในตอนนี้ท่านแสดงทบไปทบ
มาเพ่อื ใหศ้ ษิ ย์รู้
โลกที่เปน็ อยู่น้ี มันไม่เที่ยงอยู่เป็นนิจ มีความเสื่อมอยูเ่ สมอ ให้รักษาจิตไว้ให้ดี
อย่าให้ติดในโลก ท่ีพระพุทธเจ้าสอนว่า สูเจ้าทั้งหลายจงมาแลดูโลกนี้ท่ีงาม
ตระการตาดจุ ราชรถ อนั คนโงต่ ิดข้องอยู่ แต่ผ้รู หู้ าข้องไม่ ก็คือคนโง่คนเขลาไม่
รู้เท่าทันโลก เห็นว่าโลกดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ ก็จะติดในโลก แต่ถ้าคนมีปัญญา
รเู้ ทา่ ทนั วา่ มันแคภ่ าพลวงตา หลอกให้เราหลงตดิ อยู่ จิตก็จะผละออกจากโลก
เม่ือจิตผละออกจากโลกได้ จิตก็จะเป็นสุข แต่ไม่ใช่สุขแบบโลกๆ เป็นสุขที่อยู่
เหนือโลก เลยเรยี กโลกตุ ระสุข
ใหร้ ะงบั สงั โยชน์ท่ีละเอยี ดสิงอย่ใู นดวงจิตนัน้ ฯ
ตรงนี้น่าจะบันทึกผิด หรือบันทึกคลาดเคลื่อน หรือท่านเข้าใจว่าระงับกับละ
คือความหมายเดียวกัน เพราะระงับคือยับยั้ง มันไม่หมดไป มันยังอยู่ แต่ถูก
ระงับไว้เท่าน้นั เหมือนเรามีแผนงานบางอย่าง แต่ถูกระงบั ไว้ แผนงานน้ันยัง
อยู่ ไม่ได้หายไปไหน แต่สาหรับสังโยชน์ เม่ือดาเนินมรรคถูกต้อง จะเกิด
มคั คสมังคีแล้ว จะละสังโยชน์ได้ มีสงั โยชน์เบื้องต้น เปน็ ต้น ละได้แล้ว จะไม่มี
การเกดิ ข้ึนมาใหม่ ละแล้ว ละขาดเลย ไม่กลบั กลอกไปมา สังโยชน์เบือ้ งต้นมี
อะไรบ้าง อันน้ีก็แสดงไปเยอะแล้ว ถ้าไม่รู้ ก็ให้ไปหาอ่านเองเองบ้าง อย่าให้
ตอ้ งคอยป้อนใหม้ ากนกั เลย
จติ นน้ั เมา สรุ าไมไ่ ด้เมา สุราไม่ติดคน คนติดสุราต่างหาก เมื่อคนด่ืม
ไปแล้ว ทาใหเ้ ปน็ บ้าไปตา่ งๆฯ
โอวาทธรรมหลวงปู่มัน่ | ๑๑๙
ท่านพูดถึงของมึนเมาเป็นเชิงเปรียบเทียบ แต่จริงๆ ไม่ได้หมายถึงสุราอย่าง
เดียว ท่านบอกสุรา ถ้ามันอยู่ของมันเฉยๆ คนเราไม่ไปกิน มันก็ไม่เมา ไม่ติด
สุราไมต่ ดิ คน คนไม่ติดสรุ า หมายความอารมณ์ต่างๆก็ดี ถ้ามันอยู่ของมนั เฉยๆ
เราไม่ส่งจิตออกนอกไปยึดไปเสพ อารมณ์ก็สักแต่อารมณ์ จิตก็สักแต่ว่าจิต
อารมณ์จะทาอะไรคนได้ เหมือนสุรา ถ้ามันวางอยู่ เราไม่ไปดืม่ ไปกิน สุราจะ
ทาอะไรเราได้ อารมณ์ไม่ได้ติดจิต แต่จิตมันติดอารมณ์ด้วยหลงต่างหาก ถ้า
อารมณ์มันตามติดจิตคน ก็ไม่สามารถบรรลุธรรมได้เลย ไม่สามารถนาจิตให้
พ้นจากอารมณ์มาเป็นเอก เป็นหน่ึงได้เลย คนเราเม่ือเสพอารมณต์ ่างๆ เข้าไป
กจ็ ะเปน็ บา้ เปน็ หลงั ไปตามอารมณ์ที่เสพ
ภมุ เทวดา อยากด้ือ ทดลองเสมอทีเดียว ไปอยู่ที่เข็ดขวางต้องระวัง
ต้องตรวจจติ เสมอฯ
ทา่ นบอกเทวดาบางตนก็อยากดื้ออยากทดลองเรา ไปอยู่ท่ีขวางหูขวางตาเขา
ก็ต้องคอยระวัง หม่ันตรวจตราจิตให้มีสติอยู่เสมอ จิตถ้ามีสติคุ้มครอง พวก
เทวดาเกเรก็ทาอะไรไม่ได้ บางคนก็เขลาอีก คิดว่าเทวดาน่ะเป็นคนดี ทาไม
บางทีเกเรได้ กเ็ ทวดาก็แค่จิตอนั หนงึ่ ทีย่ งั เต็มไปดว้ ยกิเลสตณั หา ทาไมจะเกเร
ไมไ่ ด้ แต่ถา้ มีธรรมค้มุ ครองจิต เทวดาจะเคารพยาเกรงเรา ถ้ามีเทวดาเกเรเข้า
มากล้ากราย เขาจะแพภ้ ยั ไปเอง
อารมณ์ภายนอกและภายใน เป็นของที่ตง้ั อยเู่ ป็นธรรมดา แต่จิตเป็น
ของที่รับรู้ ฉะนั้นต้องทรมานทางจิตให้มากๆแก้อวิชชา แก้อาสวะ แก้ทุกข์
แก้สมุทัย นิโรธ เกิดญาณตง้ั อยูเ่ ปน็ อมตธรรมท่ีไม่ตายฯ
อารมณ์ภายนอกก็ได้แก่อารมณ์ท่ีเกิดจากตาหูจมูกลิ้นกาย เห็นรูปได้ยินเสียง
ดมกล่ินลิ้มรสสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็ง ก็จะเกิดอารมณ์ขึ้นมา ส่วนอารมณ์
๑๒๐ | โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น
ภายในก็คือที่เกิดภายในจิตในใจ ไม่ว่าจะเป็นภายนอกภายใน จิตก็เพียงแต่
รับรู้เท่านั้น ทีน้ี พอรับรู้แล้ว ไม่รับรู้อย่างเดียว เพราะความไม่รู้เท่าทันว่ามัน
สกั แต่เกิดและดับไปเป็นธรรมดา จึงหลงเข้าไปยึดอารมณ์น้ันๆ ตรงท่ีไม่รู้เท่า
ทนั น้ีแหละเรยี กว่า อวิชชา ท่านจึงบอกให้แกอ้ วิชชาเสีย คอื ทาความรเู้ ท่าทัน
ให้เกดิ ทาความเหน็ ใหถ้ กู เสีย พอรเู้ ท่าทัน มคี วามเหน็ ที่ถูกต้อง กจ็ ะแก้อวิชชา
ได้ แก้อวิชชาได้ ก็จะแก้ทุกข์ สมุทัยได้หมด ส่วนนิโรธเป็นผลของการแก้
อวิชชาได้ คือดับทุกข์ พอแก้ได้ จะเกิดญาณต้ังอยู่เป็นอมตธรรมท่ีไม่ตาย ท่ี
เรียกว่าอาสวักขยญาณ คือญาณท่ีรู้ว่ากิเลสสิ้นแล้ว อวิชชาดับแล้ว ญาณที่
ปรากฎจะมาพร้อมกับจติ ทบ่ี รสิ ุทธิ์ ไม่มกี ารเกดิ เมอ่ื ไม่มีการเกดิ กไ็ มม่ ีการตาย
จึงเรยี กวา่ อมตธรรม นั่นคอื พระนิพพานน่นั เอง
ให้เรียนทางจิตทวนกระแส ตดั รากเหงา้ เครื่องผูกดุจรอ้ื เคร่อื งฟกั
คาว่าเรียนทางจิตทวนกระแส ก็คือทวนกระแสโลก กระแสอารมณ์ อารมณ์
ยินดี กไ็ ม่วิ่งตาม อารมณ์ยินร้ายก็ไม่ว่ิงตาม พยายามทวนกระแสอยู่เสมอ ถ้า
ทวนได้ จติ จะเปน็ กลาง เม่ือจติ เป็นกลางได้อย่างมน่ั คง พรอ้ มด้วยสติ ก็จะเกิด
สัมมาสมาธิในมรรคมีองคแ์ ปด ตดั รากเหง้าเคร่ืองผูก เครือ่ งผูกสตั ว์ไว้ให้ติดอยู่
กับโลก คอื สังโยชนส์ บิ สังโยชนแ์ ปลวา่ เครื่องผกู จะตัดจะละไดเ้ พยี งใดกข็ น้ึ อยู่
กับกาลังสติในขณะนั้น มีสังโยชน์เบ้ืองต้น เบื้องต่า เบื้องสูง ผู้ละสังโยชน์
เบ้ืองต้นได้มีพระโสดาบัน พระสกทาคามี ผู้ละสังโยชน์เบ้ืองต่าได้ก็คือพระ
อนาคามี สังโยชน์เบือ้ งสูงไดแ้ ก่พระอรหันต์ คาวา่ รื้อเครื่องฟักก็คือร้ืออวิชชา
รื้ออวิชชาได้ส้ิน ก็บรรลุอรหัตผล การรื้ออวิชชาได้ ไม่ใช่ของง่าย ไม่ใช่ทากัน
ง่ายๆ เหมือนเด็กเล่นขายของ ให้เพียรเริ่มจากสติไปก่อน แล้วมันจะเป็นขั้น
เปน็ ตอนไปของมนั เอง
โอวาทธรรมหลวงปู่มน่ั | ๑๒๑
ขยายความธรรม ในกลุ่มสายธารธรรม เมอ่ื วันที่ ๑๐ ตลุ าคม ๒๕๖๓ วนั พระ
ท่านทรงกลด : วันนี้เป็นวันพระอีกวัน วันคืนล่วงๆ ไป เราทาอะไรอยู่ ขอให้
ระลึกตรงน้ีอยู่เสมอ เดือนหนึ่งมีวันพระประมาณสี่วัน มีวันพระเพ่ือให้เตือน
ตนวา่ วันคนื ล่วงๆ ไป ควรจะคิดถงึ พระรตั นตรยั กันบ้าง สมัยนี้ บางคนไม่ร้เู ลย
วา่ วนั น้ีเป็นพระ ที่คนโบราณกาหนดวันพระขึ้นมา ก็มใิ ชใ่ ดอ่ืน อยา่ งน้อยก็ให้
ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะได้เป็นพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ
สังฆานุสสติ อย่างน้อยจิตจะได้มีพระรัตนตรัย ชั่วขณะหนึ่งก็ยังดี เพราะ
ขณะที่นึกถึง จิตก็จะเปน็ กุศลข้นึ มา นี่คอื กศุ โลบายของการมวี นั พระ
ธรรมท้ังหลายเกิดขึ้นน้นั อย่าย้าย มันเตม็ แล้วมันย้ายเอง ท่านเตือน
ทา่ นมหาบัว ฉะนั้นพระโยคาวจรเจ้า ละกิเลสส่วนใดได้แล้วทา่ นไม่กลับมาละ
อีก เพราะมรรคประหารสิ้นไปแล้ว เดินหน้าแกก้ ิเลสใหม่เร่ือยไป จนละกิเลส
รอบ ไมเ่ กิดอกี นก้ี เ็ ปน็ อัศจรรย์
อันน้ีหมายถึงธรรมส่วนใดเกิดข้ึนในจิต ก็สักแต่ให้มันเกิด อย่าไปคิดย้าย
เม่ือใดที่คิดย้าย เม่ือน้ันก็ปรุงแต่ง เมื่อใดท่ีปรุงแต่ง เมื่อนั้นยังไม่ใช่ธรรมแท้
มนั เกดิ แล้ว พอมันเตม็ ภูมขิ องมันแลว้ มนั กข็ ยบั ย้ายเอง หมายความว่าอยา่ งไร
หมายความว่าเม่ือเราดาเนินมรรคจิต จนประหารกเิ ลสละสงั โยชน์ได้บ้างแล้ว
ถา้ เป็นของจริง จะไม่กลับกลอกไปมา อย่างเช่น ละสังโยชน์เบ้ืองต้นได้แล้ว มี
สกั กายทฏิ ฐิคือความเห็นผิดในรูปนามขันธห์ ้าว่าเป็นตัวเปน็ ตน วจิ ิกิจฉา สงสัย
ในขันธ์ห้า สงสัยในคาสอนของพระพุทธเจ้า สีลัพพตปรามาส คือการลูบคลา
ศีล ถือศีลบ้างไม่ถือศีลบ้าง ปฏิบัตบิ ้างไม่ปฏิบตั ิบ้าง ถ้าละสังโยชน์เบ้ืองต้นได้
ศีลจะเป็นของมันเอง การปฏิบัติก็จะเป็นของมันเอง มันจะทาของมันตลอด
เอง อยทู่ ่ีเราว่าจะเร่งความเพียรหรอื ไม่ ถา้ ไมเ่ ร่งกเ็ จ็ดชาติบรรลุพระนพิ พาน
๑๒๒ | โอวาทธรรมหลวงปมู่ ่นั
ทีนี้ เมื่อบรรลุโสดาบันแล้ว ก็ไม่ต้องพยายามคิดปรุงแต่งจะย้ายขยับเป็น
สกทาคามี อนาคามี หน้าที่ของเราก็คือเดินหน้าปฏิบัติต่อไป เห็นรูปนามชัด
แล้ว ก็จะเห็นอนิจจังชัด เห็นทุกขังชัด เห็นอนัตตาชัด ทาความเพียรให้เต็มท่ี
เม่ือเต็มที่ เต็มรอบของมัน สติมกี าลังดีแล้ว มันก็จะขยับย้ายภูมิจติ ของมันเอง
เป็นสกทาคามบี ้าง อนาคามีบ้าง กิเลสส่วนใด สังโยชน์ส่วนใดละได้แล้ว ก็จะ
ไม่กลับมาอีก ไม่ใช่ว่าวันนี้ใจเป็นธรรม ละสังโยชน์ได้แล้ว พรุ่งน้ี ใจไม่เป็น
ธรรมแล้ว อันน้ีมันธรรมะหลอกเด็ก ถ้าของจริง จะไม่กลับมาอีก เป็นธรรม
แลว้ เป็นธรรมเลย
วธิ ลี ะกิเลสฝังแน่นอยู่ในสันดานนั้น ตลี ิ่มใหม่ใสล่ งไปลม่ิ เก่ากระดอน
ออกนฉี้ นั ใด มรรคเขา้ ไปฟอกกเิ ลสเก่าออกมาแล้วจึงเหน็ ความบริสุทธ์ิ
ปรกติกิเลสมันหมักหมมอยู่ในสันดานของจิต ต้องตีล่ิมอันใหม่เข้าไป กิเลสท่ี
เป็นล่ิมเก่าก็จะกระดอนออกมา คาว่า "ลิ่ม" ในท่ีนีห้ มายถึงมรรค หมายถึงสติ
เอาสตเิ ขา้ ไปแทนทกี่ ิเลสเสีย ดังทเี่ คยแสดงไปมากมาย สติคอื เครือ่ งฟอกจิตให้
บรสิ ุทธ์ิ สติกลา้ มรรคกล้า กิเลสก็อยูไ่ ม่ได้ สติกล้า มรรคกลา้ กฆ็ ่ากิเลส กิเลส
กล้า ก็ฆ่ามรรค ฆ่าสติ เคยทาเป็นข้อธรรมไปแล้ว น่ี ถ้าปฏิบัติถูก ปฏิบัติตรง
ผลก็จะตรงกับของครูบาอาจารย์ที่เป็นของแท้ ถ้าครูบาอาจารย์ปลอมก็จะไม่
ตรง ย่ิงเราเจริญสติมกี าลงั มากเทา่ ใด จติ ก็ผลักกเิ ลสออกจากจิตได้มากเท่าน้ัน
จนสติเข้าไปแทนที่กิเลส ในจิตมีแต่สติ จนจิตนั้นแหละกลายเป็นสติเสียเอง
เรียกว่าสติบริสุทธิ์ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าพระอรหันต์เป็นผู้มีสตบิ ริสุทธิ์ มันมี
แต่สติล้วนๆ สติมากเท่าใด จิตจะสงบข้ึนมาเองมากเท่าน้ัน ธรรมดาของจิต
ปถุ ุชน จะวุ่นวายตลอดเวลา แต่พอมสี ติ จิตจะค่อยๆ หยดุ จะค่อยๆ สงบ จน
หยดุ เคลอ่ื น หยุดปรงุ แต่ง
สติคือตัวทาลายการปรุงแต่งของจิต อันนี้ก็เป็นข้อธรรมอยู่ในหนังสือธรรมะ
จากใจเล่มท่ี ๑ ถ้าปฏบิ ัติถูก จะพบรอยเดียวกับที่เราได้กล่าวไว้ในหนังสอื พบ
โอวาทธรรมหลวงปู่มัน่ | ๑๒๓
รอยเดียวกับของหลวงปู่ม่ัน ของครูบาอาจารย์ที่เป็นพระแท้ทั้งหลาย ดังนั้น
ให้เจรญิ สติให้มาก คาว่าเจริญก็คือทาให้สติมนั โตขึ้น มีกาลังมากขึ้น เม่ือสติมี
กาลังมาก มันก็จะฟอกกิเลสเก่าออกมาเอง จริงๆ หน้าที่เราไม่ได้หมายถึง
กาจัดกิเลส แต่หน้าที่เราหมายถึงทาสติให้โต เมื่อสติโต มีกาลัง กิเลสก็อ่อน
กาลังลงไปเอง กิเลสอ่อนกาลัง มันจะเหมือนถูกฟอกออก จนเหลือความ
บรสิ ทุ ธิข์ องจิตอยูอ่ ันเดียว หลวงปู่มน่ั จงึ ใช้คาวา่ ฟอกกเิ ลส
สนิมมันเกิดในเนื้อเหล็ก กิเลสมันเกิดในดวงจิต ต้องประหารจิตให้
เปน็ ธรรม
อนั นี้ถ้าไปให้คนที่ไม่รู้เห็นธรรมแสดง เขาก็จะแสดงไปผิดๆ อย่างมิต้องสงสัย
เพราะมีคาว่าประหารจิตอยู่ มีมากมายท่ีพระสอนให้พากันทาลายจิต พอมา
เจอคาวา่ ประหารจิตก็เลยย่ิงมน่ั ใจวา่ ต้องทาลาย ตอ้ งประหัตประหารจติ ให้สิ้น
ซาก ความจริงแล้วจิตมันทาลายไม่ได้ หลวงตามหาบัวก็ยืนยันว่าจิตไม่มีวัน
ตาย ถ้าจิตทาลายได้ นิพพานก็ไม่มี เพราะนิพพานก็คือสภาพจิตท่ีบริสุทธ์ิ
ไม่ได้ถูกทาลายหายไปไหน ข้อความตรงน้ีท่ีถูกก็คือ กิเลสมันเกิดในดวงจิต
ต้องประหารกิเลส ทาจิตให้เป็นธรรม ต้องประหารกิเลส ทาจิตให้เป็นธรรม
ไมใ่ ชป่ ระหารจิต
ข้อความทถี่ ูกคือ กิเลสมันเกดิ ในดวงจติ ตอ้ งประหาร ทาจิตใหเ้ ป็นธรรม กิเลส
กค็ อื สนิม จติ ก็คอื เหล็ก สนิมเกดิ จากเหลก็ กิเลสก็เกิดออกมาจากจติ เอาสนิม
ออก ก็จะเหลือเหล็กที่สะอาดบริสุทธ์ิ เอากิเลสออกจากจิต ก็จะเหลือจิตท่ี
บริสุทธ์ิ กิเลสไม่ได้มาจากไหน มาจากการปรุงแต่งของจิตทั้งน้ัน อย่างเช่น
เวลาตาเห็นรูป จะเกิดเวทนาตามมา เช่นรู้สึกยินดี เป็นสุขเวทนา แต่เพราะ
ความไม่รู้เท่าทันเวทนา จิตก็จะเข้าไปยึดเวทนา แล้วปรุงแต่งเป็นตัณหา เกิด
ความอยากได้ในรูปน้ันข้ึนมา ในปฏิจจสมุปบาท เวทนาจึงก่อให้เกิดตัณหา
จริงๆ เวทนาไม่ได้ก่อให้เกิดตัณหา แต่เพราะจิตไม่รู้เท่าทันเวทนาต่างหาก
๑๒๔ | โอวาทธรรมหลวงปมู่ นั่
แทนที่จะปล่อยให้เวทนาสักแต่เวทนา ก็เข้าไปยึดคว้าฉวยมา "ปรุงแต่ง" ต่อ
เกิดกิเลสคือตัณหาขึ้นมา ถ้าเราเห็นธรรม จะเห็นภาพที่กล่าวมาเป็นภาพ
แบบสโลว์โมชั่น จะเห็นชัดถึงการปรุงแตง่ กิเลสของจติ พระโสดาบันเหน็ ตรงนี้
เนอื งๆ จิตก็จะค่อยหยดุ ปรุงแต่งกิเลสไปเอง ตรงเหน็ เนืองๆ แลว้ รู้เท่าท้น ตรง
นั้นแหละสติมันจะโตของมันขึ้นมาเอง เป็นเร่ืองที่ลึกซึ้งอยู่เหมือนกัน วันใด
เห็นธรรม จะเห็นภาพที่เรากล่าวเหมือนตาเห็นรูป ตรงสนิมเกิดจากเหล็ก
กิเลสเกิดในดวงจิต อันน้ีก็แปลก ความรู้มันโพล่งออกมาเอง การประหาร
กิเลสก็คือเจริญสติ ทาสติให้โต ให้มีกาลัง แล้วจะเห็นว่ามันไม่ได้มีการ
ประหัตประหารใดๆ มันเป็นเพยี งโวหารเทา่ นนั้ แทจ้ ริง มนั คือการคอ่ ยๆ หยุด
การปรุงแต่งกิเลสต่างหาก พอหยุดปรุงแต่งได้ ก็ดูเหมือนกิเลสค่อยๆ ดับไป
จางคลายไป เลยดเู หมือนมันถูกประหารให้มลายหายไป อยา่ งน้ัน
ละกเิ ลสด้วยสติ สตฟิ อกอาสวะกิเลสเอง
โอวาทอนั นี้ กค็ ือคาตอบของทุกส่ิง เราไม่สามารถละกิเลสด้วยความคิด ความ
เข้าใจ ตอ่ ใหค้ ิดลงแก่ใจเพียงใด ก็ไม่สามารถละไดแ้ ละเราก็ไมส่ ามารถละกิเลส
ไดด้ ว้ ยนิมิตตา่ งๆ เช่นภาวนาแลว้ โลกระเบิด กระจกระเบิด สารพดั อย่างจะยก
มาอ้าง เราสามารถละได้ด้วยอานาจสติเท่าน้ัน และสติที่จะละกิเลสได้ ก็มีแต่
สติปัฏฐานส่ีเท่านั้น สตอิ ่ืนละไม่ได้ สติท่ีเป็นความระลึกได้ในลกั ษณะความจา
สติแบบชาวโลกๆ ไม่มีทางละกิเลสได้ เมื่อเราเจริญสติที่ถูกต้อง สติมีกาลัง
กิเลสก็จะจางคลายไปเอง หน้าที่เรามเี พียงประการเดียวก็คือทาสตใิ ห้มีกาลัง
ข้ึนมาเท่าน้ัน จาไว้ จะไปท่องว่าเราไม่มี ไมม่ ีเรา ทอ่ งให้ตายก็ไม่มีวันละกิเลส
ได้ เพราะมันแค่ความจาความท่อง มันไม่เห็นอะไรตามความเป็นจริงเลย
ความรู้สกึ ตัวทวั่ พร้อมก็ไมม่ อี ะไรสกั อย่าง
โอวาทธรรมหลวงปู่ม่ัน | ๑๒๕
บรรดานักปฏิบัติให้เฉลียวฉลาดรู้เท่าทันโจร เมื่อรู้เท่าทันโจรแล้ว
โจรย่อมไม่มีโอกาสลักส่ิงของไปได้ แม้ฉันใด ปฏิบัติให้มีสติและปัญญารักษา
ตน กเิ ลสมอิ าจเข้าถึงได้ฯ
คาวา่ โจรในท่ีนี้ก็คือกเิ ลสต่างๆ อารมณ์ตา่ งๆ กลา่ วคือมันเป็นสงครามระหว่าง
กิเลสกับสติ โดยมีใจหรือจิตเป็นเดิมพัน ดังท่ีเขียนไว้ในหนังสือกว่าจะถึง
กระแสธรรม ปัจจุบันเราไม่รูเ้ ท่าทันโจร ไม่ร้เู ท่าทนั อารมณก์ ิเลส ใครดา่ หนอ่ ย
ก็ปล่อยให้อารมณ์ไม่ยินดีฉุดกระชากลากใจไปย่ายีอยู่ได้เป็นแรมวันแรมคืน
เพราะไมม่ ีสติ ไม่มีปญั ญาจะรูเ้ ทา่ ทันโจรมัน ถา้ รเู้ ท่าท้น ไม่มีวนั ทโ่ี จรจะลกั ใจ
เอาไปได้ รู้เท่าทันว่าอย่างไร ก็รู้เท่าทันว่า อารมณ์กิเลสก็สักแต่อารมณ์ เกิด
แล้วดับเป็นธรรมดาของเขาอย่างนั้น เอาอนิจจงั ทุกขงั อนัตตาเข้ามาจับ มัน
ไม่เที่ยง มันทนอยู่ไม่ได้หรอก ต้องเสื่อมต้องดับ ดับแล้วก็หาตัวตนอะไรไม่ได้
นี่เรียกวา่ อนัตตา
ถา้ รู้เท่าทันอารมณ์ รู้เท่าทันโจรอย่างน้ี ก็เรยี กว่ามีสติมีปัญญารู้เท่าทันขึ้นมา
พอรเู้ ท่าทัน ก็สามารถรักษาจิตไวไ้ ด้ พระพุทธเจ้าสอนอยเู่ สมอ แต่พวกเราไม่
เคยสาเหนียก พระองค์สอนวา่ กเิ ลสจรมา แล้วจรไป เท่าน้นั เอง แตเ่ พราะเรา
มันโง่ ไม่รู้เท่าทันกิเลส ไม่รู้เท่าทันอารมณ์ มันจรมา ก็ว่ิงตามมันไป โดยไม่รู้
อะไรเป็นอะไรเลย เหมือนเรานั่งอยู่ในบ้าน รถคันไหนมา ก็วิ่งขึ้นรถไปไม่
สิ้นสดุ แทนทีจ่ ะนงั่ มองกิเลส มองอารมณ์ ให้เหมือนนัง่ มองรถวิง่ ผ่านไปมา ถ้า
น่ังมองได้ ก็สบาย แต่ส่วนใหญ่ทาไม่ได้หรอก อย่างก่อนนอน กว่าจะหลับได้
แทบตาย อารมณ์ไหนผ่านเข้ามา ก็วิ่งตามมันไป เดย๋ี วอันใหม่มาอีกแล้ว ก็ว่ิง
ตามไปอีก ความคิดหนึ่งผ่านมา ก็วิ่งตามไป ความคิดใหม่ผ่านมา ก็วิ่งตามไป
อีก ความคิดกบั อารมณก์ อ็ ันเดยี วกนั
ในหนังสือกว่าจะถึงกระแสธรรมก็เขียนไว้ว่าอารมณ์เหมือนรถ ผ่านมาแล้ว
ผ่านไป เท่าน้ันเอง เคยอ่านกันบ้างไหม ถ้าอ่าน แล้วเอามาใช้ สติจะดีข้ึนมา
๑๒๖ | โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น
เอง จะไม่ถูกเจ้ากเิ ลส อารมณ์ลักจิตลกั ใจเอาไปบดขย้ีเล่นแบบท่ีเป็นทุกวันนี้
หรืออีกอันหนึ่งก็เขียนไว้ในหนังสือกว่าจะถึงกระแสธรรมเหมือนกัน เปรียบ
เหมือนกิเลสอารมณ์เหมอื นนักเลงโต สติกค็ ือพี่เล้ียง เราก็คือเด็กน้อย นักเลง
โตพยายามจะเข้าถึงตัวเด็กน้อย นาพาไปในทางท่ีทุกข์ร้อน คบกบั กิเลส มีแต่
ทุกข์มีแต่ร้อน มันพาเกิดพาตายไม่สิ้นสุด แต่ถ้าพ่ีเล้ียงคือสติมีกาลังดี ก็
สามารถกันนกั เลงโต นักเลงอนั ธพาลไม่ให้เขา้ ถึงตัวเราคือเดก็ น้อยได้ และเมื่อ
พี่เล้ยี งคือสตบิ ่มเพาะเดก็ น้อยคือจิต จนเติบใหญ่มีกาลังดี มสี ติปญั ญาร้เู ท่าทัน
นกั เลงอันธพาลคือกเิ ลสได้ดีแล้ว พ่ีเล้ียงก็ไม่จาเป็นอีกต่อไป นั่นคือก็ต้องวาง
พ่ีเลี้ยงลง ถึงตอนนั้นจิตก็สามารถอยู่ได้ด้วยตนเองแล้ว รู้เท่าทันกิเลส กิเลส
เขา้ ไม่ถึงจิตแล้ว
ต้องเจริญทุกข์ให้พอเสียก่อน ดับต้องอยู่ในท่ีน้ัน ดุจตีลิ่มลงไป ลิ่ม
เก่าถอน ลิ่มใหม่เข้าแทน คือกิเลสออก ความบริสุทธิ์เข้าแทน ดุจของดีอยู่ใน
ของชั่ว คอื อวิชชาออกวชิ ชาเขา้ แทนฯ
คาว่าเจริญทุกข์ให้พอหมายความว่า ต้องเจริญสติให้เห็นทุกข์ชัดแจ้ง ถ้าสติดี
จะเหน็ ทุกข์ หรอื เวทนาชัดแจง้ มาก แม้ทุกขท์ างใจไหวตัวขน้ึ เล็กนอ้ ย ก็จะเห็น
ได้อย่างชัดเจน เหมือนตาเห็นรูปประจักษ์อยู่เฉพาะหน้า เหมือนเราจับของ
ร้อนอยู่ แตไ่ ม่รู้ว่าร้อน ทุกวันนี้เราจบั ของรอ้ นกนั ท้ังน้ัน ลูกเมยี สามี หลาน พ่ี
น้อง คนรัก คนชัง ทรัพย์สมบัติ ชอื่ เสียง คาพูดคน มันของร้อนท้ังน้ัน แต่เรา
ไมเ่ หน็ ว่าร้อน เพราะจับจนเคยชนิ ลองเจริญสติ แยกจติ ออกจากอารมณไ์ ด้สัก
คร้ัง จะเห็นว่าส่ิงเหล่าน้ันมันร้อนทั้งนั้น จะเห็นแม้อารมณย์ ินดีกเ็ ปน็ ของร้อน
มพิ ักต้องกล่าวถึงอารมณย์ ินร้าย อารมณ์โมโห มันเกดิ นิดเดียว จิตก็สลัดออก
ทนั ทีโดยอัตโนมัติ เพราะจิตมันเย็น พอเจอของรา้ น มันกส็ ลัดออกทันที ทกุ ข์ก็
เชน่ กัน ถ้าเจริญสติดี จะเหน็ ทกุ ข์มันร้อนอย่างชัดเจน พอเหน็ ว่าร้อน จติ มันก็
จะสลัดออก ภาษาธรรมะเรียกว่าสละคืน ปฏินิสสัคคานุปัสสี พอจิตสลัดคืน
โอวาทธรรมหลวงปู่ม่ัน | ๑๒๗
จติ ก็เยน็ คาว่าดับต้องอยู่ในทีน่ ั้น กค็ ืออยู่ในจิตนี่แหละ ดุจตีลิ่มลงไป ล่ิมก็คือ
สติ พอเอาสติเข้าไปแทนที่ทุกข์ จิตก็ดับทุกข์ ทุกข์ก็ดับในจิต นิโรธคือการดับ
ทกุ ข์ก็อยู่ท่ีน่ัน คืออยู่ที่จิต ทุกข์กับกิเลสมันเนื้อเดียวกัน ที่ใดมีกิเลส ที่นั่นก็มี
ทกุ ข์ กเิ ลสคอื เครือ่ งเศร้าหมอง เคร่อื งร้อยรดั จติ จติ เราเศรา้ หมองอยู่ ถกู กิเลส
ร้อยรดั อยู่ ไมเ่ ป็นอสิ ระได้ ดุจทาสในเรือนเบี้ย จะหาสขุ มาจากไหน พอเอาสติ
เข้าไป คือทาให้สติเจริญข้ึน กิเลสก็ออกมา ทุกข์ก็ออก จิตก็จะบริสุทธ์ิขึ้นมา
แทน จริงๆ ความบรสิ ุทธ์ิไม่ไดเ้ ข้าแทน แต่ปรากฏแทนที่ข้ึนที่จิต ทมี่ ันปรากฏ
ขนึ้ ก็เพราะกิเลสถูกสลัดออกมา เหมือนข้าวสารท่ีมีเปลือกข้าวหุ้มอยู่ พอเรา
กะเทาะเปลอื กออกมา ความขาวบรสิ ทุ ธ์ิของขา้ วสารกป็ รากฏขึ้นมา
คาวา่ ดุจของดอี ยู่ในของชว่ั ก็คือจิตอยู่ในของช่ัวคอื อวิชชา อวิชชาครอบงาจิต
อยู่ อวิชชาก็คือความเห็นผิด เห็นว่ารูปนามขันธ์ห้าเป็นเราของเรา พอเราใส่
ความเห็นถูกเข้าไป มีสติรู้เท่าทันรูปนามขันธ์ห้าอารมณ์ข้ึนมา ตรงความเห็น
ถูกดังกล่าวน่ีแหละเรียกว่าวิชชา เอาวิชชาเข้าไปแทนท่ีอวิชชา อวิชชาก็จาง
คลายไป ยงิ่ อวิชชาจางคลายเทา่ ใด จิตก็จะแสดงความบรสิ ุทธิ์ข้ึนมาชัดข้ึนมาก
เทา่ นัน้ จนละอวชิ ชาไดห้ มด บรรลุอรหัตผล จิตนั้นกจ็ ะเป็นจิตบรสิ ุทธเิ์ ต็มรอ้ ย
บรรลุเปา้ หมายสูงสดุ ของหวั ใจพระพุทธศาสนา คือการทาจิตให้บรสิ ุทธิน์ ่ันเอง
เรื่องอวิชชานี้ ก็ขอให้ทาความเข้าใจให้ดีว่าหมายถึงอะไร ในหนังสือเขียนไว้
มากมาย เพราะมีการเข้าใจผิด สอนกนั ผดิ ๆ อยู่มากมาย บางทีก็ไปหลงวา่ ม่าน
หมอกท่ีปรากฏข้ึนในจิตคืออวิชชาบ้าง หลงกระจกหุ้มจิตว่าคืออวิชชาบ้าง
หลงโลกหุ้มจิตว่าคืออวิชชาบ้าง พอภาวนาระเบิดกระจก ระเบิดโลก ทาลาย
มา่ นหมอกออกมา กเ็ ลยเขา้ ใจว่าละอวิชชา บรรลุอรหัตผลกันได้แล้ว จริงๆ ส่ิง
ท่ีกลา่ วเป็นเพียงนมิ ติ หลอกจติ เทา่ นน้ั เอง
๑๒๘ | โอวาทธรรมหลวงปมู่ ่ัน
ขยายความธรรม ในกลมุ่ สายธารธรรม เมือ่ วนั ท่ี ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๓
ธรรมเป็นฐีติธรรม ตั้งเที่ยงอยู่เช่นนั้น แปรปรวนอยู่เช่นน้ัน ให้รู้ให้
เหน็ เฉพาะท่เี กดิ กบั จติ
ท่านทรงกลด : ธรรมะของหลวงปมู่ ัน่ เป็นธรรมข้ันสงู คนท่ีไมม่ ีพน้ื ทางธรรมมา
กอ่ น ยากท่ีจะเข้าใจ หากเอาไปอ่านคนโลกๆ ทั่วๆ ไปอ่าน อาจจะมองไปอีก
อย่างหนึ่ง ซ่ึงอาจจะเป็นอกุศล เป็นบาปเป็นกรรมกับเขาได้ว่าเรามาแสดง
ขยายโอวาทอะไรอยู่ เพราะคนโลกๆ ก็จะขลุกติดอยู่แต่กับความสุขทางโลก
แต่ก็จะพยายามขยายความด้วยภาษาที่ง่ายต่อการเข้าใจให้มากที่สุด หลวงปู่
ม่ันบอก ธรรมท่ีลึกลับต้องแสดงให้เฉพาะคนในวงในเท่านั้น หมายความว่า
ธรรมท่ีลึกซ้ึงต้องแสดงให้เฉพาะคนที่มีวาสนาทางธรรมฟังเท่านั้น ธรรมท่ี
ลกึ ซึ้งกค็ อื ธรรมที่พน้ โลก พน้ สมมุติ
ธรรมที่ยกมาใหข้ ยายความน้ี ล้วนแตเ่ ปน็ ธรรมพ้นโลกท้ังส้ิน ยงิ่ แสดงก็ยงิ่ สวา่ ง
อยู่กลางใจของใครหลายคนทีเดียว อย่างเม่ือคืนก็แสดงไปสองช่ัวโมง มันไป
ของมนั เอง ไม่มีกาหนดกฎเกณฑ์ใดๆ การฟังธรรมก็เชน่ กนั คนที่มีวาสนาทาง
ธรรม เขาจะฟังธรรมโดยไม่เบื่อหรอก โดยเฉพาะธรรมที่ถูกต้อง ยิ่งฟังก็ย่ิง
สว่าง ฟังแล้วจิตจะเป็นสัมมาทิฏฐิโดยไม่รู้ตัว ปัจจุบันจะหาผู้สนทนาธรรมท่ี
ถกู ตอ้ งก็หายาก อย่างตน้ ปีก่อน ไปจังหวดั สกลนคร ก็มโี อกาสไปกราบหลวงปู่
อยสู่ องรูป รูปแรกกค็ ือหลวงปู่อวา้ น เขมโก วัดป่านาคนมิ ิตต์ สนทนากนั อย่าง
ถงึ พริกถึงขิง ถึงพระนิพพาน ขณะสนทนา กม็ ีผู้หญิงลักษณะมีบุญ ผิวพรรณ
ผ่องใสคนหนึ่ง นั่งอยู่กับสามี นง่ั ฟังอยู่ด้วย พอเพื่อนที่พาเราไปกราบหลวงปู่
หลุดออกมาว่าเราเป็นผู้พิพากษา ผู้หญิงคนดังกล่าว นั่งฟังลีลาการสนทนา
ธรรมที่ลึกซึ้งกับหลวงปู่อว้านอยู่ ก็ร้องอุทานออกมาว่า "ท่านทรงกลดหรือ
โอวาทธรรมหลวงปู่มัน่ | ๑๒๙
เปล่าคะ" แล้วคลานเข้ามาหา บอกว่า ศิษย์ขอกราบอาจารย์ แล้วก็กราบเรา
ตรงหน้าหลวงปู่น่ันแหละ เล่นเอาเพ่ือนท่ีไม่ได้รู้จักเราในมุมน้ี ถึงกับงุนงงไป
เหมอื นกนั
จากน้นั ก็ไปกราบหลวงปู่แบน ท่ีวัดดอยธรรมเจดีย์ ไปถงึ มดื แล้ว ไมม่ โี อกาสได้
เจอ เลยขอค้างท่ีวัด เช้ามืดราวตีส่ีทาวัตรเช้าสวดมนต์เสร็จราวตีห้า ลงจาก
โบสถ์มากวาดลานวัด ขณะน้ันเป็นฤดูหนาว ฟ้ายังมืดอยู่ อาศัยไฟที่ลานพอ
มองเห็นอะไรให้กวาดได้บ้าง ขณะกวาดๆ อยู่ที่ริมลานวัดอีกฟากหน่ึง ก็
สังเกตเห็นคนถือไฟฉายสอ่ งสว่างจา้ เดนิ ตรงมาที่เรา พอผ่านพระรูปหนึ่ง พระ
รูปนัน้ กท็ รดุ ตัวลงกราบ ผู้ท่ีเดินถือไฟฉายส่องมาท่เี รา พอมาถึงระยะมองเห็น
อา้ ว! หลวงปู่แบนนน่ี า ท่านเดนิ เขา้ มาถามเสียงเขม้ ๆ ตามสไตลท์ ่านว่า มาจาก
ไหนเนี่ย แล้วหลวงปู่ก็เดินพาคุยสนทนาธรรมสองต่อสอง เดินไปมุมโน้นบ้าง
มุมน้ีบ้าง เป็นเวลาราวคร่ึงชั่วโมง จนมาถึงปากทางขึ้นกุฏิท่าน ท่านก็บอกว่า
อ้าว! แค่นี้ล่ะนะ ธรรมท่ีสนทนาก็ล้วนเป็นเรื่องลึกซึ้งเช่นกันกับท่ีสนทนากับ
หลวงปู่อว้าน น่ันเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้กราบและสนทนากับหลวงปู่แบน เพราะ
ต่อมาไม่นาน ท่านก็ละสังขาร ท้ังสองหลวงปู่ เป็นพระที่สนทนาได้ถงึ จิตถึงใจ
และต้ังแตน่ ้ันมา กไ็ มเ่ คยสนทนาธรรมท่ลี กึ ซึ้งถงึ ใจกบั พระรูปใดอีกเลย เพราะ
ส่วนใหญ่ก็จะพบแต่พระที่ "ยังไม่ถึงใจ" ธรรมท่ีแสดงที่ขยายไป ล้วนแต่เป็น
ธรรมที่ "ถึงใจ" ทั้งน้ัน สุดแท้แต่ปัญญาของใครจะถึงหรือไม่ถึงเท่าน้ันเอง
ต่อไป จะไม่มใี ครมาแสดงธรรมที่ลึกซ้งึ แบบน้ีได้อกี แล้ว จงึ ขอต้ังใจฟงั หรอื อ่าน
ใหจ้ งดี
ธรรมเป็นฐีติธรรม ตั้งเท่ียงอยู่เช่นน้ัน แปรปรวนอยู่เช่นนั้น ให้รู้ให้
เหน็ เฉพาะท่ีเกดิ กับจติ
๑๓๐ | โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น
อันนี้หลวงปู่บอกว่าธรรมท้ังปวงเกิดท่ีจิต เท่ียงก็อยู่ท่ีจิต แปรปรวนก็อยู่ที่จิต
ให้เอาจิตเป็นท่ีต้ังแห่งธรรม จึงเรียกว่าฐีติธรรม มีคาสอนของหลวงปู่ม่ัน
เก่ียวกับฐีติธรรม ฐีติภูตัง ซ่ึงก็ได้เขียนไว้ในหนังสือกว่าจะถึงกระแสธรรม
เหมือนกัน คาว่าฐีตภิ ูตัง มีคนเขา้ ใจผิด คลาดเคล่ือนไปมากมาย ถ้ารู้เห็นธรรม
จริง จะลงรอยเดียวกับหลวงปู่มั่น คาว่าฐีติภูตัง หมายถึงที่ตง้ั เดิมของจิต หรือ
ท่ีหลวงปู่ชาเรียกว่าจิตเดิม เม่ือเราปฏิบัติธรรม เจริญสติอย่างถูกต้อง จิตจะ
ทวนกระแสเข้ามา จนกลับคืนสฐู่ านะเดิม กลับคืนได้สนทิ เม่ือใด ก็หยุดเคลอื่ น
เม่ือนั้น หยุดเคล่ือนก็คือหยุดปรุงแต่ง หลวงปู่ดูลย์จึงสอนว่าอย่าส่งจิตออก
นอก จิตที่ไม่ส่งออกนอก กบั จิตคนื สู่ฐานะเดิมหรือฐตี ิภตู ังก็อนั เดียวกัน จิตถึง
จิต ใจถึงใจ ถึงใจก็คือถึงธรรม เมื่อถึงใจแล้ว ก็ไม่มีอะไรจะต้องทาอีก มัน
กลบั คนื สู่ฐานเดมิ ของมนั เรียบร้อยแลว้
ท่ีเราพูดได้ เพราะว่ามันกาลังจะเป็นเช่นน้ัน กลับคืนฐานะเดิมแล้วจะเป็น
อย่างไร ไม่ส่งออกนอกแล้วเป็นอย่างไร ถึงใจแล้วเป็นอย่างไร คงมีคนอยากรู้
มากมาย มันจะเป็นอย่างไร มนั กส็ ุขสงบย่ิงกว่าความสขุ ใดๆ ท่ีเคยพานพบมา
เป็นสุขท่ีในโลกไม่มีวันจะหาพบ เลยเรียกว่าสุขเหนือโลก หรือโลกุตตระสุข
พบร่องรอยสุขอันนี้แล้ว จะหายสงสัยว่าทาพระพุทธเจ้าจึงไม่กลับวัง พูดให้
ตายก็ไม่มีวันรู้รสหรอก ต้องมาปฏิบัติจนถึงเอง เหมือนผลมะมว่ ง บอกใหต้ าย
ว่ากินแล้วอร่อยเพียงใด คนฟังก็ไม่มีวันรู้ ต้องมากัดกินเอาเอง อมตธรรมน้ี
ใครได้ล้ิมรส ย่อมจะไม่หวนกลบั ไปเสพสขุ แบบชาวบา้ นเขาเสพกันอกี เลย
อย่างเม่อื วันพูดถงึ สติฟอกจติ ให้บรสิ ุทธ์ิ ฟอกกิเลสใหอ้ อกจากจติ ทห่ี ลวงปู่ม่ัน
บอกว่าตอกลิ่มเข้าไป ลิ่มก็คือมรรค คือสติ พอกิเลสสลัดออกมา เหลือแต่จิต
กิเลสมันร้อน มนั วุ่น พอมันสลัดออกจากจิต จิตก็เยือกเย็น สงบ ตรงนั้นแหละ
สุขเสียยิ่งกว่าสุข ยิ่งกว่านั่งหลับตาบริกรรมภาวนาให้จิตรวมเป็นร้อยเท่า
โอวาทธรรมหลวงปู่มนั่ | ๑๓๑
พันทวี นี่แหละ หลวงปู่ม่ันถึงดุหลวงตามหาบัวตอนท่ีติดสุขจากความสงบ
เพราะภาวนาพุทโธอยู่ วา่ จะมานอนตายอยู่ในสมาธิแบบน้ีหรือ น้ีมันสขุ ข้ีฟัน
ของวิมุตติสุขเท่านัน้
ทแี่ ผน่ ดินย่อมเป็นฝุ่นผีทง้ั ส้นิ ให้จิตพิจารณาตกลงถึงฐานฯ จิตจึงไม่
กังวลฟุง้ ซ่านกระสับกระส่ายฯ
หมายความว่าแผ่นดินทุกตารางนวิ้ ไม่มีตรงไหนที่ไมม่ คี นตายถูกฝงั หลวงปูม่ ่ัน
จึงบอกว่าแผ่นดินย่อมเป็นฝุ่นผีทั้งสิ้น ให้จิตเห็นตามจริง จะได้เบ่ือหน่ายใน
การเกิดการแก่การเจ็บการตาย ให้เร่งความเพียรพิจารณากายบ้าง จิตบ้าง
จนถึงฐาน ฐานในที่นี้หมายถึงฐานะเดิมของจติ หรือฐีตภิ ูตัง ไม่ใช่หมายถึงฐาน
ของจิตแบบสมาธิรวมหรือฌาน เมอ่ื ถงึ ฐานะเดิมของจติ หรอื ฐีติภตู ังได้แล้ว จิต
ก็ไม่กังวลฟุ้งซ่านกระสับกระส่าย อย่างท่ีเขียนไว้ในหนังสือกว่าจะถึงกระแส
ธรรม ว่าแต่ก่อนเรานีโ่ ง่เสียจรงิ ๆ มุ่งแต่จะภาวนาดบั ความคดิ ความกงั วล วนั น้ี
ภาวนาได้ สงบนิง่ อีกวนั ภาวนาไม่ได้ ฟุ้งซา่ น เอาแนไ่ มไ่ ด้ มันกลับกลอกไปมา
แตพ่ อมาเจริญสตอิ ยา่ งถูกต้อง แยกจติ ออกจากอารมณ์ได้ จิตมันก็สงบของมัน
เอง ท่ีฟุ้งซ่านก็คอื อารมณ์ ทก่ี ระสับกระส่ายก็คืออารมณ์ ที่กังวลกค็ ืออารมณ์
พอแยกจิตได้ อารมณ์ก็ส่วนของอารมณ์ จิตก็อยู่ส่วนจิต ดังที่หลวงปู่ชา
สุภัทโทกล่าวไว้ อารมณก์ ป็ ลอ่ ยไปตามเรือ่ งของมนั แตจ่ ติ นสี้ งบ ไม่ฟ้งุ ซา่ น ไม่
กระสบั กระส่าย เป็นความสงบที่เป็นอยู่ตลอดเวลา ไม่กลับกลอกไปมาเหมือน
เม่ือก่อน และเปน็ ความสงบทีไ่ ม่จาเป็นต้องหลบั ตาดว้ ย จะยืนเดินนงั่ นอน มัน
กส็ งบของมันอย่างน้ัน ความสงบอันนี้จะสงบไปตลอดจนถึงพระนิพพาน สว่ น
อารมณ์ความฟุ้งซ่านกังวลต่างๆ เมื่อถึงเวลาก็จะดับไปเอง ที่เรียกว่าดับขันธ์
นนั่ แหละ
๑๓๒ | โอวาทธรรมหลวงปมู่ น่ั
ทาจติ ให้สวา่ งโพลง กาหนดรู้ฐีติธรรม น้ันเรยี กว่าปญั ญาโดยแท้
ถ้าจิตถึงฐีติภตู ัง ถึงทีต่ ้ัง จติ จะสว่างโพลงของมันเอง ท่ีมันสวา่ งก็เพราะอวชิ ชา
ดบั ไป วิชชาเข้ามาแทนท่ี วิชชากบั ปญั ญาอันเดียวกนั นตั ถิ ปัญญา สมะอาภา
แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี นี่คือถ้อยวาจาท่ีพระพุทธเจ้าตรัสไว้ คาตรัส
ของพระพุทธเจ้า เป็นหน่ึงไม่มสี อง เป็นจริงเสมอ ที่เราเห็นว่าไม่จรงิ ก็เพราะ
ปฏิบตั ิไปไม่ถงึ ต่างหาก อย่างแสวงสว่างน้ี ถ้าเปน็ แสงสวา่ งทัว่ ไป กส็ ว่างอยแู่ ต่
ภายนอกเท่าน้ัน แต่ปัญญามันเป็นแสงสว่างอยู่ภายใน ทาให้จิตทาให้ใจมัน
สว่างข้ึนมา ปัญญาในท่ีนี้หมายถึงปัญญาทางธรรม ไม่ใช่ปัญญาทางโลก คนมี
ปญั ญาทางโลกมาก เช่นไอน์สไตน์ หรอื พวกจบการศึกษาสงู ๆ ตา่ งๆ มากมาย
จติ ใจไม่ไดส้ ว่างแต่อย่างใด ปัญญาทางโลกซักฟอกจิตให้ขาวสะอาดจากกิเลส
ไมไ่ ดห้ รอก มันตอ้ งปัญญาทางธรรมเท่านัน้
ปัญญาทางธรรมก็คือสัมมาทิฏฐิ คือความเห็นชอบในรูปนามขันธ์ห้าอารมณ์
ต่างๆ ท่ีเรามาเจริญสติปัฏฐานสี่ก็เพื่อทาให้จิตมันเกิดปัญญาทางธรรมขึ้นมา
พิจารณากายหรือกายคตาสติ ก็เพ่ือให้จิตมันรู้เท่าทันกาย เห็นกายตามจริง
พิจารณาเวทนาอารมณ์ก็เพ่ือให้เห็นเวทนาอารมณ์ตามจริง พิจารณาจิตปรุง
แต่งเป็นโน่นน่ีน่ัน ก็เพื่อให้เห็นตามจริงว่าส่ิงที่จิตมันปรุงแต่งนั้น มันก็สักแต่
ปรุงแต่ง เกิดแล้วดับ หาสาระตัวตนแก่นสารไม่ได้ เวทนาก็สักแต่เวทนา ให้
พิจารณาด้วยพระไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จนจิตสงบเกิดปัญญารู้
แจ้งขึ้นมา ตรงน้ีแหละ จะทาให้จิตมันสว่างข้ึน จนถึงฐานที่แท้จริง ก็จะสว่าง
เตม็ ที่
โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น | ๑๓๓
มแี ตจ่ ติ รูปไมม่ ี แสดงไมไ่ ด้ ตอ้ งอาศัยกนั เป็นไปจงึ แสดงได้ฯ
ธรรมท้ังปวงออกมาจากจิต จิตเดิมมันไม่มีรูป แต่ไม่ใช่ไม่มีรูปแล้วจะไม่มี
ส่วนใหญ่เราก็จะหยาบๆ เห็นส่ิงท่ีมองด้วยตาเปล่า จึงจะบอกว่ามันมี ความ
จริงส่ิงที่มองไม่เห็น มันก็มีอยู่อย่างเช่นอากาศ เป็นส่ิงท่ีไม่สามารถมองเห็น
ด้วยตาเปล่าแต่มันก็มีอยู่คราวนี้จะเอาส่ิงท่ีไม่มีแต่มีอย่างจิตมาแสดง มัน
แสดงไม่ได้เพราะไม่มีรูปให้แสดงต้องอาศัยรูปที่เกิดจากจิต จึงจะแสดงได้
ตอ้ งอาศัยนามทีเ่ กิดจากจิต จึงจะแสดงได้ เพราะรปู นามล้วนปรุงแต่งออกมา
จากจติ
แก้บ้านน้ั ให้ทวนกระแสเข้าจิตเดิม แก้ได้ เสือมาเฝ้าเราท่ีเป็นพระ
โยคาวจรเจา้ เปน็ เทพโดยมาก ถ้าเป็นเสอื มนั เอาไปกนิ แลว้
อนั นขี้ ้อความคนละเรอ่ื งกัน แกบ้ ้าน้ันใหท้ วนกระแสเขา้ จติ เดิม อนั นี้กแ็ สดงไป
มากแล้ว ปรกติจิตปุถุชน จะบ้าอยู่ตลอดเวลา บ้าทางโลกกับบ้าทางธรรม
คนละเร่ืองกัน บ้าทางโลกก็คือคนบ้าที่ต้องไปอยู่โรงพยาบาลบ้า บ้าแบบโรค
จติ หรือจากเหตอุ ื่นๆ แตบ่ ้าทางธรรมน้ี หมายถึงคนที่ไม่รู้เท่าทันรูปนามขันธ์
ห้า บา้ วง่ิ ตามอยู่ อย่างไปเที่ยวหลงรักใครเขา้ สักคน เทย่ี วบ้าวงิ่ ตามหึงหวง จะ
เป็นจะตายถา้ เขาไปมีอ่ืน น่ีถ้าเรามาพิจารณากาย เหน็ กายตามจริง จะเห็นว่า
เราน่บี ้าจรงิ เท่ยี วว่ิงตามหงึ หวงก้อนขี้ก้อนเลอื ดอยู่ คนดๆี เขาไม่เท่ียววิ่งตาม
รกั ตามชังโครงกระดูก กอ้ นเลือดก้อนหนองแบบน้ีหรอก ลองพิจารณาอาการ
สามสิบสองให้เห็นจริงสักหน่อยเถิด แต่ต้องเห็นถึงขนาดจิตผละออกมาจาก
ความยึดม่ันได้ จึงจะหายบ้า หรืออย่างอารมณ์คน ไม่ว่าอารมณ์เราหรือ
อารมณ์ใคร มันก็เกิดแล้วดับลงตรงนั้นแหละ แต่เรานี่ เก็บมาคิดข้ามวัน
๑๓๔ | โอวาทธรรมหลวงปมู่ ่นั
ข้ามคืน อารมณ์มันก็เหมือนเงานั่นแหละ มันไม่มีจริงหรอก มันเป็นเพียงเงา
แหง่ ใจเท่านน้ั มแี ตค่ นบ้าเทา่ นัน้ เทยี่ ววิ่งตามเงาตนเอง
หลวงปู่มั่นถึงสอนว่าโรคบ้า ต้องทวนกระแสจิตเข้ามา อย่าปล่อยให้จิตไหล
ตามรปู ตามคนนัน้ คนนี้ ตามอารมณค์ นนัน้ คนนี้ หรอื ตามอารมณ์ตนเอง อยา่ ง
ตามอารมณ์คนน่ี พอเขาโกรธ ก็โกรธตามเขา แทนที่จะเห็นคนโกรธว่าเขา
กาลังบ้าให้ดูอยู่ เราน่ีกลับบ้าไม่แพ้เขา แก้โรคบ้าทางธรรมมีทางเดียว ก็คือ
เจริญสติให้มากทาให้มาก ถา้ เจริญสติมีกาลังดี ท่ีเท่ียวตามบ้ารักบ้าชัง จะหาย
หมด เพราะมันรู้เท่าทันท้ังรักทั้งชังข้ึนมาแล้ว เวลารัก ก็ดึงจิตไว้ อย่าให้ไหล
ตาม เวลาชังก็เหมือนกัน ดึงจิตไว้ อย่าให้ไหลตาม ดึงเอาไว้กับสติ กับความ
รู้สึกตัวทั่วพร้อม และให้รู้เท่าทันว่าอารมณ์รักก็ดี อารมณ์ชังก็ดี ล้วนไม่เที่ยง
ตอ้ งเส่ือมดับไปเปน็ ธรรมดา อย่าบ้ากับมันให้มากนักเลย ถ้าทาได้ มันจะทวน
กระแสเข้าหาจิตเดิมของมันเองโดยอัตโนมัติ ที่หลวงปู่มั่นกล่าวไว้ มันเป็น
อย่างน้ันจริงๆ ท่านพูดออกมาจากจิตจรงิ พูดจากของจริง ไมไ่ ด้โมเมคดิ ไปเอง
เข้าใจไปเอง เห็นไหม ท่านพูดถึงจิตเดิม เหมือนหลวงปู่ชาหรือหลวงปู่แบน
หรือหลวงปคู่ รบู าอาจารย์ของแท้องค์อ่ืนๆ ท่านไม่เคยสอนเลยว่า ไม่มีจติ ไม่มี
อวชิ ชา มแี ต่จะสอนวา่ ละอวิชชา เอาอวชิ ชาออกจากจติ เสีย จะพบจติ เดมิ
หรืออย่างหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ท่านก็พูดถึงจิตเดิมจิตแท้ไว้
เหมือนกนั ท่านบอกว่า “จิตมแี ตร่ ู้ล้วน ๆ”จติ โดยหลักธรรมชาติ ไม่มีรักมีชัง
มเี กลียดมีโกรธ มีแตร่ ู้ลว้ นๆ ที่รักท่ีชงั นน้ั เปน็ สงิ่ ท่ีแฝงขึน้ กับจติ ความแฝงนั้น
ท่านใหช้ ่ือว่าสง่ิ ท่ีปลอม ไม่ใชข่ องจริงคือ “จิตแท้” ทา่ นก็สอนให้เอาความแฝง
ออก ที่รักท่ีชังก็คืออารมณ์นั่นแหละ ทวนกระแสอารมณ์เข้ามาหาจิตเดิม
จติ แท้ พบจิตแท้ พบจิตเดิม กจ็ ะพบพระนิพพานอยู่ตรงนั้น
โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น | ๑๓๕
เสอื มาเฝ้าเราท่ีเป็นพระโยคาวจรเจ้าเป็นเทพโดยมาก ถา้ เป็นเสือ มนั เอาไปกิน
แล้ว ข้อความนี้ คงเปน็ การบันทึกคนละตอนกบั เรือ่ งจิตเดิมอันนี้หมายถึงการ
ทมี่ เี สือมาคอยเฝ้าเวลาหลวงปู่ม่นั เดนิ จงกรมหรอื น่ังภาวนาวา่ เป็นเสือเทพคือ
เทวดาแปลงตัวมาเป็นเสือคอยระวังเสือแท้ หรือสตั ว์อันตรายอื่นท่ีมีจิตหยาบ
แยกแยะไม่ได้ว่าอะไรเป็นอะไรท่านบอกว่าถ้าเป็นเสือแท้มันเอาท่านไปกิน
แล้วจริงๆ ทา่ นกล่าวด้วยความถ่อมตนเพราะตอ่ ให้เสือจริง กไ็ ม่สามารถเอา
ท่านไปกินได้ ถ้าไม่มีเวรต่อกันมา แตถ่ ึงแมจ้ ะมีเวรต่อกันมาด้วยอานาจจิตท่ี
กล้าแข็งของท่าน ก็จะทาให้เสือคู่เวร จิตใจอ่อนมีเมตตา ระงับการจองเวรได้
จริงๆสัตว์ทุกชนดิ ก็รู้ภาษาเหมอื นคนแต่พูดภาษาคนไม่ไดเ้ ท่าน้ันพระธุดงค์
ท่านอุทิศชีวิตให้พระพุทธศาสนาแล้วและท่านก็เชื่อเร่ืองกรรม ว่าหากถึงท่ี
ตายก็ตอ้ งตาย ไม่วา่ จะน่งั ภาวนาอยูใ่ นป่าหรอื ในวัด
น้าใจของสัตว์ยุ่งดว้ ยธาตุ ระคนอยดู่ ้วยธาตุ ธาตุไม่มที สี่ ้ินสุด แม้จิต
กไ็ มม่ ีสน้ิ สุดฯ
อันนี้หมายถึงสัตว์โลกท่ัวๆ ไปว่ามีจิตใจยุ่งอยู่กับธาตุธาตุดินน้าลมไฟเราน่ี
แหละยงุ่ อยู่กบั ลกู กับหลานกับภรรยาสามี คนนั้นคนนี้คนนี้ก็ประกอบไปด้วย
ธาตุหยาบคอื ธาตุดินน้าไฟลม ส่วนแข็ง เช่น ผมขนเล็บฟันหนังกระดูก ตับไต
ไส้ ก็จัดเป็นธาตุดิน ส่วนเหลว เช่น เลือด หนอง ปัสสาวะ น้าหนอง จัดเป็น
ธาตนุ า้ ถ้าแยกธาตใุ นคนได้ จะเห็นวา่ คนก็เพยี งธาตุประกอบกันเทา่ นัน้ มันไม่
มอี ะไรทเี่ ปน็ เราของเราแทจ้ ริงหรอก
สมัยนี้จะเห็นชัด ไม่รไู้ ปเอาไตของใครมาใส่ในร่าง แล้วก็ตูว่ ่าน่ันคือไตเราไม่มี
อะไรในร่างกายน้ีเป็นเราของเราสักอย่างและธาตุน้ีก็ไม่มีที่สิ้นสุดหมายถึง
๑๓๖ | โอวาทธรรมหลวงปู่มน่ั
ธาตขุ องสัตว์โลกไม่มีที่สิ้นสุดตราบใดท่ียังไม่นิพพาน มันก็จะปรุงแต่งธาตใุ หม่
ขึ้นมาเรื่อยไปไม่สิ้นสุดธาตุใหม่ท่ีปรุงแต่ง มันก็เหมือนเดิมอีก กล่าวคือต้อง
เสื่อมต้องดับไป หาสาระแก่นสารอะไรไมได้เลยส่วนคาว่าจิตของสัตว์ไม่มีที่
สิน้ สุด ก็ทานองเดียวกัน ตราบใดท่ยี งั ไม่นพิ พาน จิตดวงนี้ยังมีเชอ้ื เกดิ เชื้อตาย
อยู่ มันกเ็ กิดใหม่ไปเรื่อยๆหาทสี่ ้ินสุดไม่ได้จึงเรียกว่าวัฏสงสาร คือการเวียน
วา่ ยตายเกดิ ไม่มที ี่สิน้ สุด
ถ้าคนมีปญั ญาวาสนาทางธรรม จะเห็นภัยในวฏั สงสารเบ่ือการเกิดการตาย
จะเร่งหาทางให้หลดุ พน้ ไปจากวัฏสงสารดุจดงั พระพุทธเจา้ และพระอริยสาวก
ทั้งหลายอย่างพ่อแม่ญาติพี่น้องเรา ลูกเมียสามีภรรยาเรามีมากมายเหลือ
คณานับท่ีล่วงหน้าไปพระนพิ พาน รอเราอยทู่ ี่พระนพิ พานแต่เรากลับมาเกิด
มาตายไม่รู้จักพอไฉนไม่คิดติดตามคนเหล่าน้ันไปพระนิพพานบ้างเล่าการ
เกิด ถ้าเกดิ มาสุขสบายดี มันกด็ ีอย่หู รอกแตส่ ังสารวัฏไม่แน่นอนไม่ใช่เกิดมา
ชาตินี้ ทาบุญมากมาย แล้วคดิ ว่าชาติหน้าจะสบายเหมือนชาติน้ีเกดิ กรรมช่ัว
ทที่ าไวต้ ามมาส่งผล ต่อให้ชาตนิ ี้ทาบุญมากมายเพียงใดก็เอาไมอ่ ยู่เกิดมาใหม่
เปน็ ยาจกขอทานบ้าง คนพกิ ารบา้ ง ตาบอดหหู นวก จิปาถะอย่าหลงระเริงอยู่
กบั การเกดิ ใหม้ ากนกั เลย
เรอื่ งของโลกธาตนุ นั้ กระทบกระเทอื นกนั หมด กาหนดรู้ เฉพาะจิต
ก็รู้สน้ิ ทางอน่ื หมด
คาว่าโลกธาตุในที่น้ีหมายถึงขันธ์ห้าเรานี่แหละ รูปเวทนาสัญญาสังขาร
วญิ ญาณ เกดิ เป็นชาวพทุ ธ ไมร่ ู้จกั ขนั ธห์ า้ ตอ่ ใหภ้ าวนาทาสมาธมิ านานแคไ่ หน
ก็จัดว่าเสียชาติเกิด คาว่ากระทบกระเทือนกันหมด หมายถึงเม่ือส่ิงใดเกิด ก็
โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น | ๑๓๗
พลอยกระทบถึงส่ิงอื่นด้วย เช่นตาเห็นรูป เกิดเวทนา เห็นคนสวยคนหล่อ
ตรงท่ีเห็นคือรูป พอตาเห็นรูป ก็เกิดความรู้สึกยินดี เกิดสุขเวทนา แล้วจิตก็
ปรุงแต่งจดจาคนที่เห็นไว้ เกดิ สัญญา จากน้ันคิดอยากได้มาเป็นของเรา หรือ
หลงใหลปรุงแต่งช่ืนชม เกิดสังขารคือการปรุงแต่งของจิตเป็นความคิดต่างๆ
ขณะท่ีเห็น ตากระทบรูป วิญญาณขันธ์คือการับรู้ทางตาก็ทางาน เห็นไหม
ครบถ้วน มันกระทบกันหมดทั้งโลกธาตุคือรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ
ทา่ นจงึ บอกว่าใหก้ าหนดที่จิตอันเดยี ว กาหนดอะไร กาหนดรู้ ให้รทู้ ี่จิต อะไร
เกิด ก็สักแต่รู้ ท่านจงึ บอกว่า "กาหนดรู้เฉพาะจิต" เหมือนท่ีหลวงปู่ดูลย์สอน
เลยว่า เม่ือตากระทบรูป ก็ให้หยุดอยู่แค่รู้ อย่าปรุงแต่งเสริมต่อเป็นเร่ืองเป็น
ราวตอ่ ไป ให้รเู้ ฉพาะจติ อยา่ งเดียว หรือหลวงปู่ทา จารุธมั โม ก็สอนส้นั ๆ ให้รู้
ซื่อๆ รู้ซ่ือๆ ก็คือรู้พร้อมข้ึนท่ีจิต เม่ือจิตกับรู้อยู่ด้วยกัน ก็จะเกิดสัมมาสมาธิ
เรียกว่ามัคคสมังคี คราวนี้ก็จะรู้ส้ินทางอื่นหมด คาว่ารู้ส้ินทางอ่ืน ไม่ใช่ไปรู้
เรื่องนอกโลก แต่หมายถึงรู้แจ้งในอริยสัจจ์สี่ รู้แจ้งในขันธ์ห้า สิ้นสงสัยใน
พระพุทธเจา้ สิ้นสงสยั ในพระธรรมคาสงั่ สอนของพระพุทธเจา้
๑๓๘ | โอวาทธรรมหลวงปมู่ ่นั
ขยายความธรรม ในกลมุ่ สายธารธรรม เมื่อ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๓
ใหแ้ ก้ปจั จุบัน เม่อื แกป้ จั จบุ ันได้แล้ว ภพ ๓ นั้นหลดุ หมดไมต่ อ้ งส่ง
อดีต อนาคต ให้ลบอดตี ภายนอกใหห้ มด จึงจะเข้าอารมณ์ภายในได้ เพ่งนอก
เป็นตวั สมทุ ัย
ท่านทรงกลด : แก้ปัจจุบันก็คืออยู่กับปัจจุบัน ปัจจุบันจึงเป็นธรรม เรียกว่า
ปัจจุบันธรรม หลวงปู่แหวนบอกอดีตก็ทาเมา อนาคตก็ทาเมา ปัจจุบันจึง
ธรรมา อันนี้ก็เช่นเดียวกัน คาว่าแก้ปัจจุบันก็คือไม่ส่งใจไปอดีตเพราะอดีตก็
ล่วงลับไปแล้ว ไม่สามารถแกไ้ ขอะไรไดอ้ ีกแล้ว คนทางโลกเป็นอนั มาก จะจม
อยู่กับอดีต อดีตท่ีรุ่งโรจน์หวานช่ืน มันดับไปแล้ว ก็ยังน่ังจมระลึกถึงอยู่
อนาคตสวยหรู ยังมาไม่ถึงก็เฝ้าครุ่นคิดอยู่ เร่ืองอดีต เร่ืองอนาคต เป็นเรื่อง
ของการส่งจิตออกนอกท้ังส้ิน ทีนี้ ก็จะมีคาถามว่า อย่างน้ีจะไม่ให้วางแผน
อนาคตอะไรได้หรือ ตอบวา่ ก็วางแผนได้ แต่ให้วางด้วยการมีสติรู้เท่าทัน ว่า
ส่ิงทีว่ างแผนไว้น้นั ไม่แนน่ อน หากไมเ่ ปน็ ไปตามแผนทว่ี าง กจ็ ะไดไ้ ม่ทุกขม์ าก
วางแผนแล้ว กใ็ ห้วางแผนทวี่ างเสียด้วย อยา่ แบกไว้ใหห้ นักหัว จริงๆ ถ้าฝกึ สติ
มาดี สติสามารถมีได้ขณะท่ีวางแผน การวางแผนอนาคตหรือการคิด สามารถ
คดิ แบบมีสตไิ ด้ แตก่ ่อนไม่นกึ วา่ จะทาได้ ถึงเวลามันทาได้จริงๆ ขอยืนยันเป็น
ครัง้ ทรี่ ้อย
ดงั ที่หลวงปู่ชาสอนไว้ ยืนเดินน่ังนอนกินพูดดื่มคิด ให้มีสติ มีความรู้สึกตัวอยู่
เสมอ ยืนเดนิ น่ังนอนกนิ พูดดื่ม อนั นี้กไ็ มย่ าก แต่คิดนี้จะยากสกั หน่อยในระยะ
เริ่มต้น เม่ือสติมีกาลังดี เราสามารถมีสติในขณะที่คดิ ได้ แล้วจะเห็นคิดดับไป
ทุกขณะจิตท่ีมีสติ พอคิดเสร็จ มันก็ดับไม่มีอะไรเหลือ สิ่งที่เหลือคือสัญญา
ความจาเท่านัน้ ซึง่ หากมสี ตริ ู้เท่าท้นสญั ญาความจา มันก็ลอยอยหู่ ่างๆ จากจิต
โอวาทธรรมหลวงปู่ม่ัน | ๑๓๙
เท่านั้นเอง จิตไม่ส่งออกนอกไปยึดสัญญาความจา ทาให้เกิดทกุ ข์ข้ึนมาอีกได้
การปฏบิ ัตมิ ันจะเป็นอย่างนั้น ถึงตรงนั้นเมื่อมีสติทีแ่ ท้จริง จติ อยูก่ ับปัจจุบันได้
จรงิ หลวงปแู่ หวนบอกว่าให้จิตมนั ด่งิ อย่กู บั ปจั จุบนั กค็ ือมันจะดงิ่ อยกู่ ับรู้ รคู้ ือ
ปัจจุบันท่ีแท้จริง ถ้าทาจิตให้อยู่กับรู้ได้ ก็ไม่ต้องกังวลถึงอดีตที่ดับไปแล้ว ไม่
ต้องกังวลถึงอนาคตที่ยังไม่ถึง หากทาได้อย่างน้ี ก็แก้ภพทั้งสามคืออบายภูมิ
มนษุ ย์ และเทวโลกไดห้ มด กล่าวคือจะพ้นไปจากภพทั้งสาม ไม่กลับมาเกิดใน
ภพทั้งสามอีก ดินแดนท่ีไม่อยู่ในภพทั้งสามก็คือพระนิพพานนั่นเอง คาว่าลบ
อดีตภายนอก ก็คือไม่ส่งจิตไปจับอดีตหรือสัญญาต่างๆ อนาคตก็ภายนอก
เช่นกัน เมื่อไม่ส่งจิตไปอดีตอนาคต ซ่ึงหลวงปู่ม่ันก็บอกอยู่แล้วว่า ไม่ต้องส่ง
อดีต อนาคต คาวา่ ไม่ต้องส่งกค็ ือไมส่ ่งจติ ออกนอกนัน่ แหละ เมื่อจิตไม่ส่งนอก
อดีตก็จะลบออกจากจิต อนาคตก็จะลบออกจากจิต คราวนี้ จิตก็จะด่ิงอยู่กับ
อารมณ์ภายใน คาว่าอารมณห์ มายถงึ ที่อย่ขู องใจ เม่ือไม่ส่งจิตออกนอกไปอดีต
หรืออนาคต จิตหรือใจก็จะเข้าถึงที่อยู่ที่แท้จริงของเขาเอง น่ันคือจิตก็จะอยู่
กับจิต
ส่วนคาว่าเพ่งนอกเป็นสมุทัย อันนี้ก็เหมือนที่หลวงปู่ดูลย์สอน คือจิตส่งออก
เป็นสมุทัย ผลของการที่จิตส่งนอกคือทุกข์ ส่งนอกก็คือส่งไปยึดสัญญาหรือ
อดีต ส่งไปยึดสังขารคือความคิดปรุงแต่งหรืออนาคต อนาคตยังมาไม่ถึง แต่
เราเฝ้าคิดปรุงแต่งมันขึ้นมา จึงเรียกว่าสังขารในขันธ์ห้า เมื่อทาจิตให้อยู่กับ
ปัจจุบันได้ อยู่กับรู้ อยู่กับสติได้ จิตก็จะหยุดเพ่งนอก เม่ือจิตหยุดเพ่งนอก
เท่ากับทาลายสมุทัยได้ ผลก็คือจิตจะอยู่กับจิต หรือจิตเห็นจิต เม่ือจิตอยู่กับ
จติ ได้สนทิ เพราะเหน็ สังขารทง้ั ปวงตามความเป็นจริง จิตกน็ โิ รธ
อายตนะภายในภายนอกแปรปรวนอยู่เป็นนิจ สว่างโร่ ทั้งภายนอก
และภายในไม่ขาดระยะของ ทุกข อนิจจ อนตฺตา ฟังเทศน์ธรรมชาติแสดง
๑๔๐ | โอวาทธรรมหลวงปู่มัน่
เรือ่ ยๆ พระโยคาวจรฟังเทศน์ในตอนนี้ ฉลาดในตอนนี้ สน้ิ กิเลสในตอนน้ี เป็น
ปจจฺ ตตฺ ความเพยี ร มรรคผล ถือสมถะพอ วปิ สั สนาพอ มนั ผลักกิเลสมันเอง
อายตนะภายในก็คือตาหูจมูกลิ้นกายใจ อายตนะภายนอกก็คอื รปู เสยี งกลิ่นรส
สมั ผัสธรรมารมณ์ มันจะเปน็ คู่ๆ กนั มันแปรปรวนคือไม่เทย่ี งอยู่เปน็ นิจอย่าง
รูปท่ีเห็น มันก็เส่ือม ตาที่เห็นมันก็เสื่อม ที่เหลือก็เช่นกัน เกิดแล้วดับๆๆ อยู่
อย่างน้ัน จึงเรียกว่าแปรปรวนอยเู่ ปน็ นิจส่วนคาว่าใจท่เี ส่ือมดับได้ หมายถงึ ใจ
ทป่ี รุงแต่งเป็นโนน่ น่ีนั่นมนั แสดงอนจิ จัง ทกุ ขงั อนตั ตา ให้เหน็ ตลอดเวลา แต่
เราไม่เห็นมันเอง ถ้าเห็นส่ิงทั้งปวงเป็นอนจิ จังทุกขังอนัตตาก็เท่ากับฟังเทศน์
ท่ีธรรมชาติแสดงให้ฟังอยู่ตลอดเวลา จริงๆ ธรรมชาติมันแสดงธรรมให้ฟัง
ตลอดน่นั แหละ แตเ่ ราไม่สาเหนียกมนั ต่างหาก
ตงั้ แต่ต่ืนนอนถึงเข้านอน เห็นอนิจจังทุกขังอนัตตากันบ้างไหม ต่ืนเช้ามา ผม
รว่ งไปก่ีเสน้ เคยเหน็ ไหมหนังเหยี่ วไปเท่าไรแลว้ เคยเหน็ บ้างไหมของที่กินด่ืม
เข้าไปขบั ถา่ ยมนั ออกมา เห็นไหม มันเส่ือมมันพงั เป็นอุจจาระ ปสั สาวะท่ีนอน
หมอนมุ้งสิ่งของเครื่องใช้ มันเก่ามันเส่ือมมันพังน่ันแหละคืออนิจจังทั้งนั้น
อย่างหลวงปู่ชาบอก เห็นอะไรก็ใส่อนิจจังเข้าไป ท้ังรูปทั้งนามนามก็คือ
อารมณ์ต่างๆ มันเกิดดับๆๆ อยู่ตลอด เห็นบ้างไหมหากเห็นบ่อย จิตมันจะ
เบ่ือหน่ายคลายอุปาทานในรูปนามออกมาเองคอยชอบแต่จะนั่งหลับตาๆๆ
หรือสวดมนต์ๆๆอารมณ์มันกดหัวอยู่ กลับไม่รู้สึกการภาวนาคืออะไรก็คือ
อนิจจังทุกขังอนัตตาน่ีแหละถ้าเราภาวนาเป็น เราก็สามารถภาวนาได้ตลอด
ทกุ ลมหายใจเขา้ ออก
โอวาทธรรมหลวงปู่ม่นั | ๑๔๑
พระ พุทธเจ้าถามพระ อาน น ท์ว่าวันหนึ่ง ภาวน าบ่อยแค่ไ หน พระ อาน น ท์
ตอบว่าคร้ังหนึ่งบ้าง สองครั้งบ้าง สามคร้ังบ้าง พระพุทธเจ้าตรัสว่าน้อยไป
ต้องภาวนาทุกลมหายใจลมหายใจเข้าแล้วออกนนั่ เห็นไหม เกิดแลว้ ดับหน่ึง
ครั้งแล้วลมหายใจเข้ากับลมหายใจออกมันก็อันเดียวกันพอสูดเข้ามันก็เกิด
พอหายใจออกมันก็ดับเห็นอะไรก็ใส่อนิจจัง ทาให้มันเคยชินเดี๋ยวจิตจะทา
ของมันเองเร่ิมแรกต้องฝกึ มันก่อนพอฝึกได้ มันจะทาของมันเอง คราวนี้ไม่
ตอ้ งฝึก เพราะมันทาเองเปน็ แล้วพอมันทาเอง มันก็จะคลายออกจากความยึด
มนั่ ในรูปและนามยิ่งคลายออกมาเท่าใด ก็ย่ิงสงบมากเทา่ นั้นขณะท่ีมันคลาย
ออกมา ก็จะมีความรู้สึกเหมือนทวนกระแสอารมณ์จิตจะถอนกลับมาอยู่กับ
ตนเองโดยอัตโนมตั ิยง่ิ ถอนเทา่ ใด ความรูส้ ึกตวั หรือสติกจ็ ะมากเทา่ น้ัน
ไมต่ ้องไปฟังพระเทศนอ์ ะไรที่ไหนหรอกถ้าจับหลัก อนิจจัง ทกุ ขัง อนัตตา ได้
แล้วจะเห็นธรรมชาติมันเทศน์ให้เราฟังตลอดเวลาทีเดียวตอนแรกจะเห็น
ธรรมชาติภายนอกคือรูปก่อนต่อเม่ือสติเจริญมากข้ึน ก็จะเห็นธรรมชาติ
ภายในคืออารมณ์ต่างๆ เกิดดับให้เห็นตลอดเวลาเช่นกันแล้วมันก็จะเกิด
ปัญญาขึ้นมาในตอนน้ันแหละจะส้ินกิเลสในขณะที่ฟงั เทศน์จากธรรมชาติได้
อย่างอัศจรรย์ทุกอยา่ งอาศัยความเพียรมรรคผลต้องอาศยั ความเพยี รสมถะ
กค็ อื ความสงบ เม่อื เรามีสติดี จติ จะสงบของมันเอง ตรงสงบคือสมถะ พอสงบ
จะเห็นธรรมชาติภายในตามความเป็นจริง ตรงน้ีคือปัญญา ขณะท่ีพิจารณา
เพื่อให้เห็นตามความเป็นจริงว่าธรรมชาติท้ังปวง ไม่ว่าภายนอกหรือภายใน
ลว้ นตกอยู่ในอนิจจังทกุ ขงั อนัตตา ตรงนี้คอื วิปสั สนา คาว่าวปิ ัสสนาคืออนิจจัง
ทุกขงั อนตั ตา นั่งหลับตาทาสมาธิเอาแต่สงบ อย่างนไ้ี ม่เรียกวิปัสสนา ได้ฌาน
นั้นฌานนี้ อย่างนีไ้ มเ่ รยี กวปิ สั สนา
๑๔๒ | โอวาทธรรมหลวงปมู่ ่นั
น่งั ทอ่ งว่าเราไมม่ ี ไม่มีเรา อยา่ งนี้ไมเ่ รยี กวิปสั สนา แตเ่ รยี กวิปสั สนกึ พอเจริญ
วิปัสสนาได้ จิตเห็นตามจริง จิตจะผลักกิเลสออกจากจิตเองเห็นตามจริงว่า
อารมณ์กิเลสเปน็ สิ่งแฝงในจิต ทาให้จิตได้รับความทุกข์บีบค้ันเหน็ ชัดว่ากิเลส
มันร้อยรัดท่ิมแทงอยู่ พอเห็นชัด ไม่มีคนบ้าท่ีไหนปล่อยให้ของแหลมเฝ้าทิ่ม
แทงตนอยหู่ รอก มันก็ขับออกมาเองโดยอัตโนมัติเท่านั้นแหละขอ้ สาคัญทาให้
จิตมนั เหน็ กอ่ นหลวงปู่ดลู ยจ์ งึ บอกวา่ หน้าท่เี รากค็ อื ทาสง่ิ ทเี่ อ้ือใหจ้ ติ ได้เรยี นรู้
ได้เหน็ ตามจริงเทา่ นั้นซง่ึ กค็ อื ตวั อนจิ จงั ทุกขังอนตั ตาหรือวิปัสสนานี่เอง
ให้พิจารณาธาตุ เมื่อเห็นธาตุแปรปรวนอยเู่ ปน็ นจิ เรียกว่า สมั มาทิฐิ
เห็นชอบ
พิจารณาธาตุดินน้าไฟลมที่ประกอบขึ้นมาเป็นร่างกายเรา พิจารณาด้วย
อนิจจังทุกขังอนัตตา ทั้งผมขนเล็บฟนั หนงั ตลอดจนนา้ เลอื ดน้าหนอง ธาตุดิน
ธาตุนา้ ให้เหน็ ว่ามันแปรปรวนอยเู่ ปน็ นิจอย่างผมเคยดา กก็ ลบั ขาว เคยดกก็
กลบั รว่ งฟันก็หกั นา้ เลือดก็แปรเปล่ียนตลอด เด๋ียวดีเดี๋ยวเสีย ลมในร่างกายก็
แปรปรวนตลอด บางทีก็เรอออกมาเหม็นเปรี้ยว ไฟในร่างกายเดี๋ยวอุ่นเดี๋ยว
เยน็ ใหเ้ หน็ เช่นนี้อยเู่ สมอ การเห็นอยา่ งน้ี เรียกว่าเหน็ ชอบหรือสมั มาทิฏฐิ พอ
เห็นชอบเนืองๆ จิตก็จะเบ่ือหน่ายคลายความยึดมั่นออกมา สติก็จะดีขึ้น จน
วันหนงึ่ จิตต้งั มั่นเปน็ สมาธิในมรรคมีองค์แปดขึ้นมาได้ ตรงนั้นกจ็ ะเหน็ ธรรม
ร้ธู รรมขึ้นมา
โอวาทธรรมหลวงปู่มนั่ | ๑๔๓
เป็นทกุ ขแ์ ละเป็นตวั มจิ ฉาทิฐิ เพ่งในเปน็ ตัวสัมมาทฐิ ิ เพ่งในตวั เปน็
สัมมาทิฐิ
อันนนี้ า่ จะบันทึกขาดตอนไปในช่วงตน้ ตรงคาว่าเป็นทุกข์ ต้องมีคามากอ่ น คา
ที่ถูกต้องคือดังนี้ เพ่งนอกเป็นทุกข์และเป็นตัวมิจฉาทิฏฐิ เพ่งในเป็นตัว
สัมมาทฏิ ฐิ หมายความว่าอย่างไร หมายความวา่ การเพ่งจติ ออกนอกหรอื ส่งจิต
ออกนอก ย่อมนาทุกข์มาให้ อย่างเวลาที่ใครด่าเรา หูได้ยินเสียง อายตนะ
ภายในภายนอกกระทบกัน เกิดผัสสะ เมื่อมีผัสสะกต็ ้องมีเวทนาตามมาอย่าง
ไม่ต้องสงสัย ทีน้ี ปรกติจิตของปุถุชนพอมีพอเวทนา ในที่นี้ก็คือความไม่ยินดี
เพราะถูกดา่ เรยี กว่าทุกขเวทนา จติ ก็จะแถแสส่ ่ายเข้าไปยึดไปจับทนั ที เพราะ
เหตุที่ไม่เคยฝึกการมีสติ การรู้เท่าทันเวทนาอารมณ์มาก่อน พอจับก็เกิด
อุปาทาน คือการยึดเวทนาที่ไม่ดีอันนน้ั ขน้ึ มา ก็เกิดทกุ ข์ขน้ึ น่ีคือการเพ่งนอก
คือสง่ จิตไปเพง่ ไปยดึ เวทนาอารมณ์ตา่ ง ๆ
คราวน้ีก็มีคนสงสัยว่าแล้วเวทนาท่ีเป็นฝ่ายดีหรือสุขเวทนาล่ะ มันจะทุกข์
อยา่ งไร เม่อื มีใครชมเรา หไู ด้ยินเสยี ง อายตนะภายในภายนอกกระทบกันเกิด
ผัสสะ เกิดเวทนา คือความรู้สึกยินดี เป็นสุขเวทนา เช่นเดียวกับอันแรก จิต
ของปุถุชนก็จะวิ่งเข้าไปจับเวทนาเหมือนกัน ขณะที่จิตจับสุขเวทนา มีความ
ยินดีในเวทนาน้ัน จิตก็ปรุงแต่งตัณหาคือความอยากได้อยากมีเวทนาน้ีไว้
นานๆ จิตจะร้อนขึ้นทันทีท่ีปรุงแต่งตัณหาขึ้นมา ตรงที่จิตมันร้อนนี่แหละคือ
ทกุ ข์ แต่จิตปุถุชนจะไม่เห็นทุกข์ตรงน้ี เพราะตามืดบอด ยังไม่เกิดดวงตาเห็น
ธรรม ไม่เหน็ สภาพจิตทท่ี ุรนทุรายอยากมสี ุขเวทนาแบบนน้ั ไปนานๆ แต่ถ้าวัน
ใดเห็นธรรม จะเห็นสภาพจิตอยา่ งนนั้ ชดั เจนมากแลว้ จิตก็จะคอ่ ยๆ เบ่ือหนา่ ย
คลายกาหนัดออกมาเองเม่ือถึงตรงน้นั นพิ พิทาวิราคะจะเกิดตลอดเวลานับแต่
เกิดดวงตาเห็นธรรมหรอื บรรลโุ สดาบัน