๑๙๔ | โอวาทธรรมหลวงปมู่ นั่
เสือท่ีเจอ บางทีกเ็ ป็นเสือปลอมกม็ ี คือเป็นเสือเทวดาคอยมาดูแลภยันตรายให้
สาหรับป่าแล้ว ก็คือบ้านหลงั หนึ่งของหลวงป่มู ่ัน เดินอยู่ในป่าก็เหมือนเดินอยู่
ในบ้าน มีคร้งั หนงึ่ ท่านธุดงคอ์ งค์เดยี วอย่ใู นป่า เข้าไปทถ่ี ้าแหง่ หนึง่ ก็พบงูเห่า
เจ้าของถ้าเลื้อยเข้ามาหาจะเอาเร่ือง ท่านก็แผ่เมตตาให้ พูดทานองว่าจะก่อ
กรรมอีกทาไม เกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉานแล้ว ยังรับกรรมไม่พออีกหรือ มันก็
หยุดชะงัก ขณะทีท่ า่ นพดู ท่านกาหนดจิต แผก่ าลังจติ ไปทมี่ ัน มันเลยฟังรู้เร่ือง
แล้วมันก็เล้ือยอ้อมตัวไป ท่านก็บอกว่าจะมาขอพักภาวนาอยู่สักพัก จากน้ัน
ท่านก็อยู่ภาวนาในถ้าน่ันแหละ ส่วนงูเห่า พอตกค่า มันก็ออกไปหากินตาม
ประสาของมนั เชา้ ก็กลบั มา เข้าทขี่ องมัน เรยี กวา่ ต่างคนต่างอยู่
จริงๆ สตั ว์ทงั้ หลายก็คือเพอ่ื นรว่ มเกดิ แก่เจบ็ ตายทั้งนั้น อย่างงู อย่างเสอื มนั ก็
เคยเกิดเป็นคนมาแล้วท้งั น้ัน แต่เพราะพลั้งพลาดในกรรม ตายไปก็มาเกดิ เป็น
งู เป็นเสือ บางคนก็คิดว่าทาไมต้องเกิดเป็นเสือ ทาให้ต้องล่าต้องฆ่าสัตว์อื่น
เป็นอาหาร ก็ต้องตอบว่าทุกอย่างเป็นไปตามกรรม สัตว์ทถ่ี ูกเสือล่าเสือกิน ไม่
มีเหตุกันมา มันก็ไมล่ ่าไม่กินกันหรอก เพราะมันเคยล่าเคยกินกันมาก่อน ผูก
จติ อาฆาตกันมาก่อน พอเกิดมา มนั กม็ าตามล่าตามกินอยู่อยา่ งน้นั แหละ ไม่มี
วนั จบ
อยา่ เชอ่ื หมอมากนัก ใหเ้ ช่ือธรรมมากจงึ ดี เชือ่ กรรมเชือ่ ผลของกรรม
อนั น้ีก็หมายความว่าเวลาเจ็บป่วยไม่สบายขนึ้ มา กอ็ ย่าเช่ือหมอมากนกั หมอ
จะบอกว่าเป็นโน่นเพราะอย่างนี้ เป็นน่ีเพราะอย่างโน้น เขาก็วินิจฉัยไปตาม
หลักวทิ ยาศาสตร์ที่รา่ เรียนมา แต่ความจริงโรคทุกโรค ล้วนเกิดจากรรมท้ังสิ้น
ถา้ เราเชื่อกรรม เรากจ็ ะเช่ือธรรม เพราะพระพทุ ธเจ้าตรัสสอนเป็นธรรมไว้ว่า
สตั ว์ทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม จะดีจะร้ายก็เป็นไปตามกรรมท่ีเคยทามา
ทั้งนั้น โรคภยั ไข้เจบ็ กเ็ ชน่ กัน ล้วนเป็นผลของกรรมทีเ่ คยทาไม่ดีไว้ท้ังสิ้น ไม่มี
โอวาทธรรมหลวงปู่ม่ัน | ๑๙๕
ใครหนกี รรมพ้น ตอ่ ใหย้ ่ิงใหญ่แคไ่ หน รา่ รวยมากแค่ไหน ก็ไม่อาจจะหนีกรรม
ไปได้เลย กรรมทาหน้าที่ของมันอย่างซ่ือสัตย์เสมอ จะชา้ จะเรว็ ก็อกี เรื่องหน่ึง
คนทาช่ัวแล้วได้ดี ก็จะหลงระเริงไปตามสิ่งดีๆ ท่ีได้รับ หารู้ไม่ว่าขณะนั้น ผล
แห่งกรรมดีที่เคยทาไว้ในอดีตมันส่งผลอยู่ ลองมันส้ินผลเม่ือใด คราวนี้ก็จะได้
ล้ิมรสผลแห่งกรรมชวั่ อยา่ งแสนสาหัส
บางคนยังไม่ทันตายก็ได้ล้ิมรสสัมผัสเลยก็มี ไม่นับหลังจากตายไปแล้วว่ามัน
ทุกข์ทรมานแค่ไหน ถ้าเราเชื่อเร่ืองกรรม ประกอบแต่กรรมดี กรรมไม่ดีท่ี
ส่งผลก็จะส่งผลเสร็จส้ินเร็วข้ึน ด้วยอานาจแห่งกรรมดีท่ีทา บางคนเจ็บป่วย
ได้รับการรักษาจากหมอ หายเจ็บป่วย ก็จะเชอื่ หมอว่าเป็นเพราะหมอจึงหาย
ป่วย จรงิ ๆ เปน็ เรอ่ื งของกรรมทง้ั นนั้ เวลาป่วย กรรมไมด่ ีสง่ ผล พอพบหมอ ได้
ยาดี น่ันแหละกรรมดีส่งผล ทนี ี้ บางคนป่วย แตร่ ักษาเท่าไรกไ็ ม่หาย หาหมอ
กี่คนๆ ก็ไม่หาย หมดค่ารักษาไปมหาศาลก็ยังไม่หาย น่ันเป็นเพราะกรรมชั่ว
มันส่งผลอยู่ รักษาอย่างไรก็ไม่หาย หลวงปู่ชาเวลาป่วยจึงบอกว่าก็รักษาไป
มนั หายก็ใหม้ ันหาย มันไมห่ ายก็ใหม้ ันตาย เร่อื งมแี ค่นัน้
สถานท่ีเข็ดขวาง ท่านบอกว่าเป็นพวกเปรต ต้องทาบุญใหท้ านอุทิศ
ถึง เขาก็ไดร้ ับอนุโมทนา หายไปเกิด ณ ทอี่ ืน่ ๆ
สถานที่เข็ดขวางหมายถึงเวลาไปภาวนาอยู่ท่ีใด ก็จะมีพวกอมนุษย์มาคอย
รบกวนการภาวนา ขวางการภาวนาจนภาวนาไม่ได้ พระเณรพอไปภาวนา ณ
ที่น้ัน ก็จะถูกรังควานต่างๆ นานา จนอยู่ไม่ได้ ต้องเก็บกลดเผ่นหนีไปที่อ่ืน
พระเณรอื่นรู้กิตติศัพท์สถานที่แห่งน้ันก็พากันกลัวเข็ดไม่กล้าเช้าไปภาวนา
เลยเรียกว่าสถานทีเ่ ข็ดขวาง แตส่ าหรับหลวงปู่ม่ันทา่ นบอกว่าอมนุษยท์ ี่มาขัด
มาขวาง เป็นพวกเปรต อสุรกาย ต้องทาบุญให้ทานอุทิศถึง มันจึงจะหายไป
เกิด ณ ทีอ่ ่ืน แตม่ นั ก็ตอ้ งอนุโมทนาในผลบุญท่ีอุทิศให้ด้วย จึงจะไดร้ บั ผลนน้ั ๆ
๑๙๖ | โอวาทธรรมหลวงปู่มัน่
แต่จริงๆ แล้ว สาหรบั พระปา่ ทา่ นกไ็ มม่ บี ญุ อนั ใดจะให้ นอกจากบญุ ทเ่ี กิดจาก
ภาวนา ซ่ึงบุญประเภทนี้มีอานิสงส์มาก สามารถแผ่บุญให้ได้ทันที พอเปรต
อสุรกายโมทนาในบุญ ก็จะไปเกดิ ที่อ่ืน อันน้ีกเ็ ป็นเรือ่ งลึกซ้ึงเหมอื นกันเพราะ
ถ้าไม่มีวาสนาต่อกันมา มันก็ไม่รับ หากเป็นเช่นนี้ พระป่าก็จะใช้วิธีทรมาน
คาวา่ ทรมานไม่ได้หมายถึงทาร้ายอะไรแบบน้ัน แต่ทา่ นจะใช้อานาจจิตจนมัน
ทนอยู่ไม่ได้ ต้องไปอยู่ท่อี ื่นแทน อันน้ีหมายถึงพวกท่ีโปรดไม่ได้ เป็นอนั ธพาล
ตงั้ แต่เกดิ จนตาย ตายแล้ว สันดานก็ยังเหมือนเดมิ จติ ทถี่ งึ ธรรม ยอ่ มมีอานาจ
อยู่ในตวั
คร้ังหน่ึงหลวงปู่มั่น เดินเข้าไปยังเทือกเขาแห่งหน่ึง ก็ได้พบอมนุษย์ตนหน่ึง
มันบอกกับหลวงปู่ม่ันว่า พอองค์หลวงปู่เดินเข้ามาในอ าณาเขตที่มัน
ครอบครอง มันกร็ ู้สึกอ่อนเปล้ียเพลียแรงข้ึนมาทันที ท้ังๆ ที่หลวงป่มู นั่ ไม่ไดใ้ ช้
อานาจจิตทาอะไรเลย จิตมันมีกาลังของมันเอง จิตของผู้ที่กิเลสราคะอะไร
ต่างๆ ทาอะไรไม่ได้ ย่อมมีกาลังมาก ภาษาธรรมะเรียกว่ามีพละห้าบริบูรณ์
คาว่าพละก็คือกาลังน่ันเอง หลวงปู่ม่ันใช้อานาจจิตเทศน์สอนพวกอมนุษย์
ต่างๆ ในป่าให้เป็นสัมมาทิฏฐิมากมาย หลายคร้ังท่ีท่านไปอยู่ตามเขาลูกนั้น
ลูกน้ี พอจะเปล่ียนย้ายสถานท่ี เทวดาก็พากันมาอ้อนวอนขอให้ท่านอยู่ต่อ
เพราะเวลาท่ีท่านอยู่ กระแสจิตของท่านแผ่ไปทั้งภูเขาทาให้พวกเขาได้รับ
ความปิติ ความสุขไปตามๆ กัน เร่ืองเหล่าน้ีเป็นเร่ืองมีอยู่จริง ไม่ใช่เร่ือง
เหลวไหล คนที่มองว่าเป็นเร่ืองเหลวไหลไร้สาระ ก็คือคนที่ยังปฏิบัติไปไม่ถึง
จะมองคนท่ีปฏิบัติถึงประหน่ึงเหมือนคนบ้า งมงาย คนท่ีมองคนปฏิบัติถึงว่า
บ้า ไม่นานคนที่มองน่ันแหละจะเป็นบ้าเสียเอง พวกเปรต พวกอสุรกาย ท่ี
พระพุทธเจ้าตรัสบอกไว้ เป็นเร่ืองจริงทั้งน้ัน ทาให้มาก เจริญภาวนาให้มาก
แล้วจะหายสงสัยเอง
โอวาทธรรมหลวงปู่ม่ัน | ๑๙๗
ขยายความธรรม ในกลมุ่ สายธารธรรม เมื่อวันท่ี ๒๘ ตลุ าคม ๒๕๖๓
นิพพาน น้ันคือจิตหดโดยเห็นธาตุ รู้แจ้งธาตุ จิตฐีติภูต รู้อยู่น้ันเป็น
ตวั นิพพานฯ
ท่านทรงกลด : อันน้ีลึกซ้ึงมากๆ ถ้าปฏิบัติไปไม่ถึง จะไม่เข้าใจที่หลวงปู่มั่น
กล่าวไว้เลย นิพพานน้ันคือจิตหด ชา่ งตรงกับที่หลวงปู่ชาบอกไว้เสียเหลือเกิน
ท่านบอกว่าแล้วจิตมนั จะหดตัวเข้ามา เราก็กาลงั เปน็ อย่างน้ันอยู่ จิตมนั จะหด
ตัวเข้าหาตัวเอง จากที่เคยวิ่งแส่ส่ายหาอารมณ์ มันจะหดตัวเข้ามา ยิ่งหดตัว
เข้ามามาก สติก็จะมีกาลงั ข้ึนอย่างอัศจรรย์ จนแทบจะกลายเปน็ สติท่คี มุ้ ครอง
จติ อยู่ทกุ ขณะเลยกว็ ่าได้ ความสขุ แบบท่ีไม่เคยพบมาก่อน ก็จะได้พบ มนั เป็น
สุขท่ีไม่อาจจะหาได้จากในโลกมนุษย์ หรือโลกพรหม โลกเทวดา มันเป็นสุขท่ี
แปลก ไม่เคยพบ ไม่เคยลิ้มรส เป็นสุขเหนอื โลก เรียกวา่ โลกุตตระสุข ถงึ ตรงน้ี
จะเข้าใจเข้าถงึ คาสอนหลวงปดู่ ูลย์ไปในคราวเดยี วกนั
หลวงปู่ดลู ยส์ อนวา่ อยา่ สง่ จติ ออกนอก จิตส่งออกนอกคอื สมุทัย ผลของการส่ง
จติ ออกนอกก็คอื ทุกข์ ธรรมชาติของจิตปุถชุ นจะส่งออกนอกตลอดเวลา จิตไม่
เคยอยู่กับจติ ไม่เคยมีสตกิ ากับ จิตไม่เคยอยกู่ ับรู้ ไม่เคยอยกู่ ับความรู้สกึ ตวั ไม่
เคยรูเ้ ท่าทันอารมณ์เลย เห็นอะไรกว็ ิ่งตามตะครุบหมด หลวงปชู่ าบอกวา่ เห็น
อะไรก็ตะครุบ เห็นอะไรก็ตะครุบ จิตปุถุชนเป็นอย่างนั้น ส่วนของนักปฏิบัติ
ธรรมท่ีเดินมรรคถูก แม้จะยังตะครุบ แต่ก็พยายามจะมีสติมีรู้เท่าทันมัน
พยายามจะมีสติรู้สึกตัวท่ัวพร้อมข้ึนมา การเดินมรรคถูก จิตจะค่อยๆ หยุด
ส่งออกนอกไปโดยปริยาย จะไม่ตามกระแสโลก กระแสอารมณ์เหมือน
เม่ือก่อน ต้องทวนกระแสอารมณ์ กระแสโลก จึงจะถึงกระแสธรรม เม่ือทวน
กระแสได้ จะเหน็ ว่าจิตท่เี คยสง่ ออกนอก จะค่อยๆ หยดุ สง่ สภาวะดังกล่าวกับ
๑๙๘ | โอวาทธรรมหลวงปมู่ นั่
จิตหดตัวก็คอื อันเดยี วกัน ย่งิ เห็นส่ิงทั้งปวงเปน็ สักแตว่ ่าธาตุ รู้แจง้ ในธาตวุ ่าไม่
ควรยดึ ม่ัน จิตก็จะหดตัวเข้ามาโดยอตั โนมตั ิ
คาว่าฐีติภูตัง อันน้ีก็ได้เขียนไว้ในหนังสือกว่าจะถึงกระแสธรรมแล้วเช่นกัน
หมายถึงภาวะท่ีจิตกลับคืนสู่ฐานะเดิม การท่ีจิตหดตัวก็คือจิตกาลังกลับคืนสู่
ฐานะเดมิ ฐานะเดิมของจติ เดิมก็คอื จติ ที่ไม่ปรุงแต่ง วิสังขาระคตัง จิตตัง เมื่อ
กลับคืนได้อย่างเต็มภมู ิ จิตก็จะเหลือแต่ "รู้" อยู่อยา่ งเดยี ว หลวงปู่ม่ันจึงบอก
ว่า "รู้อยู่นั้นเป็นตัวนิพพาน" ย่ิงจิตหดตัวมากเท่าใด ก็จะรู้อยู่มากเท่านั้น มัน
จะรู้ รู้อยู่อย่างเดียว ตรงรู้ๆ น่ีแหละคือสติอัตโนมัติ สติบริสุทธิ์ น่ีเป็นเพราะ
เราเข้าใกล้ภาวะตรงนั้น จึงสามารถสาธยายได้ดุจตาเห็นอย่างน้ี มันมีแต่รู้
จริงๆ นะ เป็นรู้ท่ีเต็มไปด้วยสุข เพราะภาวะจิตที่ปรุงแต่งเป็นโน่นน่ีนั่น มัน
เหลือน้อยลงทุกที บอกไม่ได้เหมือนกันว่าจะหยุดปรุงแต่งสนทิ ได้เมื่อใด เร่ือง
คาบริกรรมภาวนาอะไรนี่ มันไม่ใช่นิพพานอะไรเลย มันมีแต่รู้รู้อยู่ และมันก็
ไม่ได้หายไปไหนจิตท่ีรู้นี่นะ มันไมไ่ ด้หายไปไหน ดังพระบางรูปทีส่ อนผดิ ๆ ว่า
มันจะกลนื หายไปกับสิ่งนั้นสิง่ น้ี หรือดังที่หลวงป่ดู ูลยต์ อบศิษย์ว่านิพพานแล้ว
สัจธรรมคือจิตนม้ี ันยังอยู่ ไมไ่ ด้หายไปไหน กลา่ วโดยสรปุ ในโอวาทอนั ลกึ ซง้ึ นี้ก็
คอื "รู้ที่ไม่ปรุงแต่ง น่ีแหละคือนิพพานล่ะ" ถ้าถามว่านิพพานคืออะไร ก็ตอบ
สัน้ ๆ ว่า นิพพานคอื รูท้ ีไ่ มป่ รงุ แตง่
บรรพชิตจะต้องปฏบิ ตั ติ รงตอ่ พระนพิ พาน
หมายความวา่ พระแทจ้ ะต้องปฏบิ ตั ิตรงต่อพระนพิ พาน ไม่ใช่ปฏิบตั เิ พื่อพัดยศ
เพื่อลาภสักการะ เพือ่ หวงั จะเปน็ ท่านเจ้าคุณ เพื่อหวงั ให้มีคนมากราบไหว้บชู า
เยอะๆ พระแท้ บรรพชติ แท้ จะตอ้ งไม่มีการทาการตลาด หาเงินหาทองเข้าวัด
ทาทกุ วถิ ีทางเพอ่ื ให้วัดม่งั ค่ัง ไมม่ ีตรงไหนท่ีปฏิบตั ิตรงต่อพระนพิ พานเลย การ
โอวาทธรรมหลวงปู่มน่ั | ๑๙๙
ปฏิบัติตรงพระนิพพานก็ต้องเจริญสติปัฏฐานส่ีเท่านนั้ อย่างอื่นไม่ใช่ทางตรง
ต่อพระนิพพาน อะไรใช่ทาง ไม่ใช่ทาง ถ้าติดตามอ่านกันมา ศึกษากันมา ก็
ควรจะมีปัญญาแยกแยะกนั ไดบ้ ้างแลว้ หากยังแยกแยะไม่ได้ ก็นับว่าน่าสลดใจ
สังเวชใจเสยี จรงิ
ในขณะท่ีมีชีวิตน้ันทาบุญดีมาก การทาศพถึงผู้ตายน้ันไม่ได้เป็น
ส่วนมาก แต่ทาตามประเพณีเท่าน้ัน พระอรหันต์นิพพาน ภูเขาถ้าต่างๆ ใคร
ทาศพให้ท่านเลา่ ทา่ นทาไมถึงนพิ พาน
อันนี้หมายความว่า คนเราควรจะทาบุญในขณะที่มีชีวิตอยู่ จะดีมาก เพราะ
เปน็ การทาด้วยตนเอง บุญท่ีได้ก็จะได้เตม็ ท่ี ถ้ารอตาย แลว้ รอใหค้ นทาบญุ งาน
ศพไปให้ หลวงปู่ม่ันบอกว่ามันจะไม่ได้เป็นส่วนมาก เพราะอะไร ก็เพราะว่า
บางคนตายแลว้ ก็เกดิ ใหม่ทนั ที ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานบา้ ง เปน็ หมูเป็นแมว
หมากาไก่ เป็นจิ้งจกเฝ้าบ้านก็เยอะ ทาบุญงานศพให้ตายก็ไปไม่ถงึ หรือถ้าทา
กรรมหนักก็ลงนรกทนั ที บุญก็ไปไม่ถึงอีก ยกเว้นเป็นเปรตเปน็ สัมภเวสี ยังไม่
ไปเกิด และยังวนเวียนอยู่ พอเขาทาบุญให้ ก็ได้อาศัยบุญจากการโมทนา
พอจะเอาตัวรอดไปได้บา้ ง หรือบางทีไปเกดิ เป็นเทวดาแล้ว บุญทที่ าบางทีเขา
กไ็ ม่เห็นความสาคัญมันเหมือนคนได้กินอาหารภัตตาคารหรูๆ เสียแล้ว จะลด
ตวั ลงมานั่งกินอาหารขา้ งทาง มนั ก็ยาก นี่แหละหลวงปูม่ น่ั จึงบอกวา่ การทาศพ
ทาบุญถึงผู้ตายนั้น ส่วนใหญ่ก็ไปไม่ถึง เป็นแค่การทาตามประเพณีเท่าน้ัน
ดังนั้น หากพ่อแม่หรือตนเองยังมีชีวิตอยู่ ก็ควรจะขวนขวายพาท่านทาบุญ
รวมท้ังตนเองด้วย อย่าไปคาดหวังว่าลูกหลานเขาจะทาไปให้ บางทีก็ทาให้ปี
ละครัง้ บางปีเขากแ็ กลง้ ลมื เสยี ถึงตอนนั้นเราก็ไปเกดิ เป็นอะไรต่อมิอะไรแล้ว
จะทาบุญอะไรเสียก็รีบทา เพราะความตายไม่เคยรอใคร เราทาเองกินเอง
ดกี ว่าเท่ยี วไปขอใครกินเหมอื นขอทาน
๒๐๐ | โอวาทธรรมหลวงปู่มัน่
พระอรหันต์นิพพานตามภูเขาถ้าตา่ งๆ ไม่มใี ครทาศพให้หรอก หลวงปูม่ น่ั กาลัง
บอกว่า พระอรหันต์ไม่ได้คาดหวังว่าจะให้ใครมาคอยทาศพให้เหมือนปุถุชน
ท่านไม่ได้หวังบุญจากงานศพ เพราะจิตท่านมันเลยบุญไปแล้ว จิตอยู่เหนือ
กศุ ลและอกุศล กุศลา ธัมมา อกุศลา ธัมมา ไปงานศพเคยได้ยินพระสวดบ้าง
ไหม จติ พระอรหนั ต์ทา่ นไม่เอาทั้งกุศลและอกศุ ล ไมต่ ้องการใหใ้ ครมาทาศพให้
ท่านกน็ อนตายคือนิพพานตามถ้าตามเขาอยู่มากมาย ทาไมท่านถึงนิพพานอยู่
ในถ้าในเขาได้เลา่ กเ็ พราะท่านไม่ได้อาลยั ในกายขนั ธ์ กายหยาบอันน้ี ท่านละ
อุปาทานในกายได้แล้ว แลเหน็ กายมันเส่ือมพังไปดุจเห็นเกวียนเก่าๆ ทผี่ ุพงั ไป
ตามกาลเวลาเทา่ นั้นเอง ไม่มายืนร้องไหเ้ หมือนวิญญาณปุถชุ นทยี่ ืนร้องไห้อยู่
ข้างกายหรือศพตนเองเวลาตนเองตายหรอก พระอรหนั ตท์ า่ นทาไมถงึ นพิ พาน
ได้โดยที่ไม่ต้องการให้ใครมาจัดงานศพได้ เพราะท่านเห็นว่าศพท่านมันไม่ใช่
ของทา่ น หยิบยมื มาจากธรรมชาตดิ นิ น้า ไฟ ลม ก็คนื ธรรมชาติไปตามที่ยมื มา
ไมต่ ้องการบุญ และไมต่ ้องการให้ใครมาจัดงานศพใหญ่โตส้ินเปลืองเหมือนคน
โลกๆ
ข้อเปรียบช้ันนิพพาน คือ นับ ๑ ไปถึง ๐ ๐ ( สูญ ) โลกเขาแปลว่า
ไม่มี แตส่ ญู มอี ยนู่ ฉ้ี ันใด นพิ พานเป็นของที่มอี ยฯู่
อนั นี้กล็ ึกซ้งึ มากๆ เลข ๑ คืออะไร ๑ หมายถึงส่ิงที่มี มีของอยู่ ๑ อยา่ ง ๑ ชิ้น
๒ ก็เช่นกนั เลขตา่ งๆ คอื สิ่งทปี่ รุงแต่งข้ึนมา ทาให้ดูว่ามี เลข ๓ เลข ๔ เลข ๕
มันมีท้งั นัน้ แต่พอเป็นเลข ๐ แปลว่าไม่มี คือมนั เท่ากับศูนย์ มันไม่มี โลกแปล
ศนู ย์ว่าไม่มี เลยดูเหมือนสญู เอาล่ะ คราวน้ี ให้มองเลข ๐ ดีๆ เห็นอะไรไหม
ในเลข ๐ มีอะไร เห็นกนั ไหม มันคือความวา่ ง ในเลข ๐ มันเปน็ ความว่าง แต่
เปน็ ความวา่ งทม่ี ี นพิ พานก็เช่นกัน นพิ พานงั ปรมงั สญุ ญัง นิพพานวา่ งอย่างยิ่ง
โอวาทธรรมหลวงปู่ม่นั | ๒๐๑
แต่เป็นความว่างที่ไม่สูญ หลวงปู่มั่นจึงบอกว่านิพพานเป็นของที่มีอยู่
หมายความว่านิพพานคือความว่างท่ีมีอยู่
หลวงปู่ชาก็บอกเหมือนกัน คนทั่วไปไม่เขา้ ใจความว่างของนิพพาน ท่านบอก
ว่านิพพานไม่ใช่ว่ามันว่างในส่ิงท่ีไม่มี แต่มันว่างในสิ่งท่ีมี แล้วอะไรคือว่างเล่า
ก็จติ ไงล่ะ จิตว่าง จิตว่างคือนิพพาน จิตว่างไมใ่ ช่ว่าจติ ไม่มี จิตมอี ยู่ แต่มนั วา่ ง
วา่ งจากอะไร วา่ งจากอารมณ์ ว่างจากกเิ ลส ว่างจากการปรุงแตง่ เม่อื ใดทีป่ รุง
แต่ง เมื่อน้ันก็เป็น ๑ เป็น ๒ เปน็ ๓ ๔ ๕ ๖ ฯลฯ แต่พอเป็น ๐ มันก็ไมม่ ีการ
ปรงุ แต่ง ออกไปจาก ๐ กเ็ ปน็ ๑ เปน็ ๒ เป็น ๓ เป็น ๔ ๕ ๖ ฯลฯ แต่เม่อื ทวน
กระแสเข้ามา จิตหดตัวเข้ามา จาก ๖ มาเป็น ๕ มาเป็น ๔ แล้วก็มาเป็น ๑
สุดท้ายก็กลับคืนสู่ฐานะเดิมคือ ๐ นี่ธรรมอย่างน้ี มันไหลของมันออกมาเอง
หาอ่านที่ไหนในโลกไม่ได้หรอก ๐ ท่ีจิตหดตัวเข้ามาน่ีแหละคือนิพพาน คือ
ฐตี ิภูตงั เลข ๐ มันไม่ไดส้ ญู มนั ยังมคี วามว่างอยู่ในนั้น
หลวงปู่ม่ันจึงบอกว่า สูญมีอยู่น้ีฉันใด นิพพานก็เปน็ ของที่มีอยฉู่ ันน้ัน เม่ือใดท่ี
มี ๑ มี ๒ เม่ือน้นั ก็ยงั เกดิ แกเ่ จ็บตายอยู่ ยงั ทอ่ งเทีย่ วในวฏั สงสารอยู่ แต่เมอื่ ใด
เจริญสติ จนจิตกลับคืนสู่เลข ๐ ได้ เม่ือน่ันแหละจะหยุดการท่องเที่ยวใน
ภพน้อยภพใหญ่ ในวัฏสงสารเสียได้ หยุดการเวียนว่ายตายเกิด ไปตลอด
อนนั ตกาล
๒๐๒ | โอวาทธรรมหลวงปมู่ น่ั
ขยายความธรรม ในกลุ่มสายธารธรรม เมือ่ วันท่ี ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๓
ธาตุกบั จิตติดกัน จึงวนเวยี นแก่ เจ็บ ตาย อยู่ทุกชาติหาที่สิน้ สุดมิได้
ธาตุเป็นของทมี่ อี ยูเ่ ชน่ นน้ั ตั้งแต่ด้ังเดมิ มา และแปรปรวนอยู่เช่นนน้ั จติ ของคน
ไมไ่ ปยดึ ไปถอื กเ็ ปน็ จติ ส้ินทกุ ข์ไดฯ้
ท่านทรงกลด : โอวาทอันน้ี ตอนต้นและตอนท้ายย่อมเป็นคาตอบอยู่ในตัว
คาว่าธาตุกับจิตติดกัน หมายความว่าจิตเข้าไปยึดติดในธาตุ ยึดติดในธาตุที่
ประกอบกันข้ึนมาเป็นสกนธ์กายอันน้ี ยึดติดในดิน น้า ลม ไฟ ดินน้าลมไฟก็
เป็นของท่ีมีอยู่เช่นน้ันตั้งแต่เดิมมา ประกอบกันขึ้นมา แล้วก็แปรปรวนเป็น
ธรรมดาอย่อู ยา่ งนัน้ หาความแน่นอนอนั ใดบ่มิได้ ดินก็ตอ้ งแปรปรวนไป น้าก็
ต้องแปรปรวนไป ลมก็ต้องแปรปรวนไป ไฟก็ต้องแปรปรวนไป เป็นธรรมดา
ของเขาอยอู่ ยา่ งนน้ั หากจิตเราเห็นธาตุตามความเป็นจรงิ เช่นน้ี ไมเ่ ข้าไปยดึ ถือ
กจ็ ะเปน็ จติ ทีส่ ้ินทกุ ขไ์ ด้ในเรว็ วนั
จิตต้ังจิตมิได้ ตั้งจิต ต้ังธาตุ จึงแสดงรู้เห็นด้วยกันได้ เพราะจิตมัน
เปน็ นามธรรม
ธรรมดาจิตเป็นของไม่มีตัวตน คือหาตัวตนไม่ได้ว่าหน้าตาจิตเป็นอย่างไร แต่
ของที่ไมม่ ตี ัวตนที่มอี ยู่ แต่เป็นของท่ีไม่มตี ัวตนที่มีอยู่จริง จะเอาจิตมาตง้ั จติ ให้
เห็นเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาหาได้ไม่ เพราะว่ามันเป็นนามธรรม เหมือนความคิด
ความคิดก็เป็นนามธรรม ไม่มีใครท่ีสามารถจบั ความคดิ เอามาขังกรงได้ แต่ว่า
ธาตุเป็นของมีตัวตนที่เห็นได้ จึงต้องเอาธาตุมาเรียนรู้เพื่อให้ได้พบจิต เข้าถึง
จติ ให้จิตมันตัง้ ข้นึ มา หมายความวา่ หลวงปู่มน่ั กาลังบอกว่าให้พากนั พิจารณา
กายหยาบอันประกอบด้วยธาตุส่อี ันน้ี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ไปตลอดจนเย่ือ
มันสมอง ให้เหน็ เป็นอนจิ จังเสีย ให้เห็นเป็นธาตดุ นิ นา้ ไฟ ลม พิจารณาจนจิต
โอวาทธรรมหลวงปู่มนั่ | ๒๐๓
สงบ และเห็นกายเหน็ ธาตุตามจริง จิตจะผละออกจากความยึดม่ันในกายออก
มา "ตั้งม่ัน" ให้เหน็ เห็นจิตคือเหน็ ธรรม แต่ไม่ใช่เห็นแบบเป็นตัวเป็นตนอะไร
หรอกนะ มันเป็นการเหน็ ด้วยญาณทัสสนะ จะเกิดญาณรู้ขึ้นมาว่าอันน้ีคือจิต
อนั น้ีคือธาตุ อันน้ีคือขันธ์ อันนี้คืออารมณ์ ตอ้ งตั้งธาตุขึน้ มาก่อน จึงจะตั้งจิต
ได้ เม่ือต้ังจิตขึ้นมาได้ ก็จะพบจิตพบธรรมล่ะ อันน้ีท่านพูดตามประสบการณ์
การปฏบิ ัตธิ รรมของท่าน เพราะทา่ นพิจารณากายหรือกายคตาสติ จนนาไปสู่
การพบจิตพบธรรม ท่านจึงประพันธ์ไว้ว่า พบต้นจิต จิตต้น พ้นโหยหวน แต่
ความเป็นจริง การพบจิตมีหลายวิธี ตามแนวสติปัฏฐานส่ี การปฏิบัติธรรมคือ
การเจริญสติตามแนวสติปัฏฐานสี่ ย่อมนาไปสู่การพบจิตพบธรรมทั้งสิ้น
นาไปสู่การตั้งมั่นของจิต พอจิตตั้งมั่นก็คือสัมมาสมาธิในมรรคมีองค์แปด
สมาธิท่ีพระพุทธเจ้าสอนคือความตั้งม่ันของจิต สมาธิแปลว่าความตั้งม่ันของ
จิต เมื่อจิตตั้งมั่น ก็จะเห็นรูปนามตามความเป็นจริง เห็นแล้วก็จะเบ่ือหน่าย
คลายกาหนดั ออกมา จะเกิดนิพพิทาวิราคะตามมาโดยอัตโนมตั ิ
ธรรมทั้งหลาย จติ ประกอบกายยกขึน้ แสดง ปราศจากกายแล้วจะยก
นามธรรมข้นึ แสดงไมไ่ ดเ้ ลย อันนกี้ ค็ อื สิ่งทข่ี ยายความไปข้างต้น
หมายความว่าธรรมท้ังหลาย ประกอบด้วยจิตด้วยกาย ให้ยกกายขน้ึ พจิ ารณา
ก่อน เพราะเป็นของท่ีแลเห็นได้ง่าย จึงได้บอกพวกเราว่าก่อนนอนควรจะ
สาธยายอาการสามสิบสองให้ได้ทุกคืน ตั้งแต่ผม ขนเล็บ ฟัน หนัง ถึง
มัตถะเกมัตถะลุงคังคอื เยื่อมนั สมอง หลวงปู่มัน่ จะสอนเนน้ เร่ืองกายมาก ทา่ น
บอกว่าปราศจากกายแล้ว จะยกนามธรรมขึ้นมาแสดงไม่ได้เลย ธรรมดาขันธ์
หา้ ย่อมประกอบไปด้วยรปู และนาม รูปกค็ ือกายอนั น้ี ให้พจิ ารณากายกอ่ น ใช้
กายนาไปหาจิต อันเป็นนามธรรม ท่านบอกว่าหากปราศจากกายแล้ว จะยก
จติ ขน้ึ แสดงไมได้เลย เพราะกายน้กี ็เกิดจากจิต เป็นเร่ืองมหัศจรรยท์ จ่ี ติ ซึ่งเป็น
๒๐๔ | โอวาทธรรมหลวงปมู่ ่นั
นามธรรมสามารถปรุงแต่งกายอันเป็นรปู ธรรมขึ้นมาได้ แรกเร่ิมจติ จะปรงุ แต่ง
วญิ ญาณข้ึนมาก่อน จากน้นั กป็ รุงแตง่ นามทเี่ หลือคือเวทนาสญั ญาสังขาร ส่วน
รูปนีป้ รงุ แตง่ ท้ายสุด ในปฏจิ จสมุปบาทจงึ ใช้คาว่าเพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึง
มี นาม-รูป จะไม่ใช้คาว่า รูป-นาม นี่คือความลึกซึ้งของปฏิจจสมุปบาท แต่
กอ่ นก็สงสัยว่าทาไมไม่ใชค่ าว่ารูปนาม แต่พอเหน็ อะไรเปน็ อะไร จงึ เหน็ ว่านาม
มาก่อนรปู
เรื่องปฏิจจสมุปบาทเป็นของลึกซึ้ง ท่องเป็นนกแก้วนกขุนทอง ไม่มีวันเข้าใจ
เข้าถึงหรอก ต้องเจริญสติอย่างเดียวเท่าน้ัน จึงจะเห็น มันจะเห็นเลยว่าตา
กระทบรูปแล้วเกิดผัสสะ เกิดเวทนาตามมาอย่างไร พอขาดสติกากับ ตัณหา
ราคะตามมาอย่างไร ผู้ท่ีมาเห็นถึงกระบวนการตรงน้ีแจ้งชัดดุจตาเห็นรูป
จึงไม่ยากที่จะบรรลุธรรมขั้นสูงๆ ต่อไป ปฏิจจสมุปบาทท่ีสอนๆ กันอยู่ เป็น
เร่ืองความจาความเข้าใจท้ังนั้นและก็เป็นไปไม่ได้ท่ีคนเราก่อนตาย เปิด
บทปฏจิ จสมุปบาทใหฟ้ ัง จะบรรลธุ รรมได้ เรือ่ งน้ีก็แสดงไปหลายครงั้ แล้ว เป็น
เรื่องเหลวไหลโกหกทงั้ นน้ั
หลวงปู่ม่ันท่านก็ไม่ได้สอนอะไรแบบน้ัน อย่างพระมหาหลายรูปมากราบฝาก
ตัวเป็นศิษย์ท่าน ท่านก็บอกวางตาราเสียก่อน วางปฏิจจสมุปบาทที่เรียนมา
เสียก่อน ให้พิจารณากาย เอากายเอาธาตุมาพิจารณาก่อน เห็นกายตามจริง
เกิดความเบ่ือหน่ายในกาย จิตผละจากกายออกมา ก็จะเห็นรูปเห็นนามท่ี
เหลือท้ังหมด นามธรรมจะปรากฏข้ึนแสดงให้เห็นอย่างแจ้งชัด แล้วจะส้ิน
สงสยั เอง
ก็พอสมควรแก่คาถาม เรื่องโอวาทหลวงปู่มั่นน่ีก็แปลกเหมือนกัน มาถูกท่ีถูก
เวลา หากยกมาให้เราขยายความเมื่อหลายปีก่อน ก็คงจะไม่ขยายได้ลึกซึ้ง
โอวาทธรรมหลวงปู่ม่ัน | ๒๐๕
พิสดารได้ปานน้ี เช่นเร่ืองจิตหด จิตกลับคืนสู่ฐานะเดิม อ่านตาราให้ตาย
อย่างไรกไ็ ม่มีวันเขา้ ใจเข้าถงึ แตพ่ อปฏบิ ัตไิ ปถึง เออ! มนั หดจริงๆ จติ มนั หดตัว
เข้าหาตัวมันเอง ยิ่งหดตัวมากเท่าใด การปรุงแต่งก็น้อยลงมากเท่านั้น เพราะ
เห็นมันหดตัวจริงๆ จึงสามารถขยายความได้ไม่ติดขัด ทาให้กราบหลวงปู่มั่น
หลวงปู่ชาได้อย่างสนิทใจ ว่าท่ีท่านสอนอย่างน้ีๆ มันคืออะไร และสามารถ
นามาขยายความให้พวกเราฟงั ไดอ้ ยา่ งถงึ จติ ถึงใจ
๒๐๖ | โอวาทธรรมหลวงปู่มน่ั
ขยายความธรรม ในกลมุ่ สายธารธรรม เม่ือวนั ที่ ๓๐ ตลุ าคม ๒๕๖๓
มคั โคหนทางดาเนินมที ีส่ ดุ ส่วนหนทางเดนิ เท้าไม่มีทีส่ ิ้นสุดฯ
ท่านทรงกลด : มัคโค ก็คือมรรคา คือมรรค คือหนทางการปฏิบัติที่ชอบท่ี
ถูกต้อง ในหนังสือกว่าจะถึงกระแสธรรมได้เขียนไว้ในตอนธรรมพื้นฐาน
เอโกมัคโค คือทางสายเอก ทางสายเดียว ภิกษุทั้งหลาย อะไรคือเอโกมัคโค
ไดแ้ ก่สติปัฏฐานสน่ี ั่นเอง สติปฏั ฐานคอื ทางสายเอกสายเดียวท่ีจะนาไปสู่การพบ
จิตพบธรรม นาไปสู่การพ้นทุกข์ หลวงปู่มั่นบอกว่ามัคโค จริงๆ ต้องเอโกมัคโค
เป็นทางดาเนินท่มี ีทสี่ ุด ส่วนหนทางเดินเท้าไมม่ ที ่ีส้ินสุด ทา่ นเปรียบเทียบการ
เดนิ ทางระหว่างโลกกบั ธรรม ทางเดินเท้ากค็ ือทางเดินแบบโลกๆ ท่องเทยี่ วไป
ในวฏั สงสาร ไมม่ ที ่ีสิ้นสดุ เดนิ ไปไม่มีจดุ หมาย ชาตินเี้ ป็นคน ชาตหิ น้าเปน็ หมา
เป็นเทวดา เป็นพรหม กลับมาเกิดเป็นคน ตายแล้วก็ไปเกิดเป็นสัตว์นรกบ้าง
เปรตบ้าง อสุรกายบ้าง ไม่มีที่สิ้นสุด คนไม่มีวาสนาทางธรรมก็จะเพลิดเพลิน
อยู่กับการเดินเท้า หารู้ไม่ว่ากาลังเดินไปสู่ความตายอยู่ทุกขณะ เกิดมากี่ชาติ
กี่ชาติก็ต้องตาย แต่เอโกมัคโค เมื่อเดินแล้วจะไปพบกับความเป็นอมตะ คือ
ไม่ตาย ถ้าจะตายก็จะตายชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย หรือหากบรรลุแค่โสดาบัน
อย่างมากก็จะตายอีกไม่เกินเจ็ดชาติ ก็จะจบการเดินทางในวัฏสงสารอัน
ยาวนาน หลวงปู่มนั่ จงึ บอกว่ามคั โคนี้ เป็นทางดาเนนิ ที่มที ี่สดุ
เอโก มคฺโค หนทางอันเอก วิสุทธิยา เป็นหนทางอันบริสุทธิ์มีทาง
เดียวเท่านี้ มโน ปุพฺพ จิตเป็นบุพภาคที่จะได้เป็นใหญ่ จิตถึงก่อนสาเร็จด้วย
จติ ฯ (มโน ปพุ ฺพงคฺ มา ธมฺมา มโนมยา)
โอวาทท่ีสองบันทึกถูกต้องแล้ว ใช้คาว่าเอโกมัคโค คือหนทางเอก วิสุทธิยา ก็
คือนาไปสู่ความบริสุทธ์ิของจิต ที่บันทึกว่าเป็นหนทางอันบริสุทธิ์มีทางเดียว
โอวาทธรรมหลวงปู่ม่นั | ๒๐๗
น่าจะเป็นว่าหนทางท่ีจะนาไปสู่ความบริสุทธ์ิมีทางเดียว ขณะเดินทางยังไม่
บริสุทธ์ิ เมื่อเดินทางถึงจึงบริสุทธ์ิ คาวา่ มโน ปุพพงั จิตเปน็ บุพภาค อนั นี้ลกึ ซ้ึง
มากๆ ภาคคอื สว่ น บุพ คือเร่มิ แรก แรกเริ่ม จิตเป็นบุพภาค หมายความว่าจิต
คือส่วนที่เร่ิมแรกของสิ่งท้ังปวง จิตปรุงแต่งสิ่งทั้งปวง รูปนามขันธ์ห้าออกมา
จิตคอื ตน้ เหตุของสิง่ ทัง้ ปวง จิตคอื ตน้ เหตุของส่ิงทัง้ ปวง ด้วยอวชิ ชาจิตจึงปรุง
แต่งส่วนต่างๆ ออกมา ปรุงแต่งวิญญาณ นามรูปที่เหลือท้ังหมด เราจึงต้อง
เจรญิ สติปัฏฐาน เพ่ือยังจิตให้ฉลาด เกิดวิชชาข้ึนมา พอวิชชาเกิด อวิชชาก็จะ
ค่อยๆ ดบั ไปเอง แต่จติ น้ไี ม่ไดด้ บั ตามอวชิ ชา คงเหลอื จติ ท่บี ริสุทธิ์
หลวงปู่ม่นั จงึ บอกวา่ หนทางที่นาไปสู่ความบรสิ ุทธิก์ ็คอื จติ บรสิ ุทธิ์น่ีแหละ ไม่ใช่
ว่าอวิชชาดับ แล้วจิตจะดบั ดังที่พระบางรูปสอนวา่ จิตดบั อวิชชาดับ ไม่มีจิต
ไม่มอี วชิ ชา ซงึ่ เปน็ การสอนท่ีผิดหลงอย่างใหญห่ ลวง ทนี ี้ หลวงปู่ม่ันบอกวา่ จิต
เป็นบุพภาค คือส่วนเร่มิ แรกส่วนตัง้ ต้น เรากต็ ้องทวนกระแสเข้าหาจิต เข้าถึง
ส่วนเร่ิมแรกของจิต หรือจิตเดิม จิตก็จะเป็นใหญ่ เป็นใหญ่กว่ากิเลสอารมณ์
อารมณ์กิเลสทาอะไรจิตไม่ได้ เม่ือถึงจิต จิตถึงจิต จิตก็จะตัดอารมณ์กิเลส
ทั้งปวงได้ เรียกว่าสาเร็จด้วยจิต การปฏิบัติใครถึงจิตก่อน คนน้ันก็สาเร็จ
หลวงปู่ม่นั จงึ บอกว่าเหน็ จติ คอื เห็นธรรม ถงึ จติ คอื ถงึ ธรรม ธรรมทัง้ ปวงออกมา
จากจิต กิเลสเกิดท่ีจิต ก็จบลงที่จิต พบต้นจิต จิตต้น พ้นโหยหวน อันนี้ก็คือ
ความหมายที่อันเดียวกบั บพุ ภาคของจิต จิตทต่ี ัง้ ต้น จติ เดมิ จติ เร่ิมแรก กับต้น
จติ จติ ต้น มนั อนั เดียวกนั หมด
จริงๆ การเจรญิ สติปฏั ฐานก็คือการทวนกระแสอารมณ์ กระแสโลก เข้าไปหา
จติ ท่ีตั้งต้น หรือจิตเดิม พบจิตเดิม ก็คือพบตน หลวงปู่ขาวบอกว่าผู้ใดพบตน
ผนู้ ้ันก็จะพ้นโลก คาว่าพบตนก็คือพบจิตนี่แหละ จิตที่เป็นต้นจิต ต้นเหตุของ
ส่ิงท้ังปวง เมื่อพบต้นจิต ก็จะเห็นว่าเหตุของส่ิงทั้งปวงมาจากจิต มาจากการ
๒๐๘ | โอวาทธรรมหลวงปมู่ นั่
ปรุงแต่งของจิต คราวนี้ก็ไม่ยากท่ีจะดับการปรุงแต่งของจิตได้ พอดับได้จิตก็
จะตกอยู่สภาวะที่ไม่สามารถปรุงแต่งอะไรได้ เรียกว่าวิสังขารคตังจิตตัง
อันเป็นปฐมวาจาท่ีพระพุทธเจ้าเปล่งออกมาหลังจากตรัสรู้ แปลว่า บัดนี้ จิต
ตถาคต ไม่อาจจะปรุงแตง่ เป็นอะไรได้อกี ต่อไป จิตทีไ่ มป่ รงุ แตง่ มนั เป็นอย่างไร
เคยไปงานศพไหม เคยฟังพระสวดบังสุกุลไหม พระสวดเอง เออเอง แตย่ ังไม่
เคยเหน็ พระองคไ์ หนเข้าถงึ บทสวดอนั นเี้ ลย
อนิจจา วต สังขารา อุปปาทวยธัมมิโน อุปปัชชิตวา นิรุชฌันติ เตสัง วูปสโม
สโุ ข
สังขารทัง้ หลายไมเ่ ทย่ี งหนอ เกิดแล้วยอ่ มดบั เป็นธรรมดา เกดิ แล้วยอ่ มดับไป
เตสงั วูปสโม สโุ ข
การเข้าไประงบั ดับสังขารท้ังปวงเสียได้ เป็นสุขจรงิ หนอ
น่ี ความสาคัญที่สุดอยู่ในตอนท้ายท่ีพระสวด การเข้าไปดับสังขารเสียได้ สุข
จริงหนอ บรมสุข
เตสัง วูปสโม สโุ ข
การเขา้ ไปดับสงั ขารทจี่ ติ เสยี ได้ จิตหยดุ การปรุงแต่งเสยี ได้ สุขจริงหนอๆๆ
อวิชชาดับ สังขารก็ดับ แต่จิตไม่ดับ เป็นจิตท่ีเสวยวิมุตติสุข เน่ืองจากดับ
สังขารทั้งปวงลงได้ แล้วเรื่องราวทั้งปวงก็จบลงตรงน้ัน ภพชาติจบลงตรงนั้น
การเดินทางสิ้นสุดลงตรงน้ัน ไม่ต้องมาเดินทางเท้าบนโลกนี้หรือโลกไหนอีก
ตอ่ ไป ตราบจนอนนั ตกาล
โอวาทธรรมหลวงปู่ม่ัน | ๒๐๙
ขยายความธรรม ในกล่มุ สายธารธรรม เมื่อวันท่ี ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๓ วนั พระ
วันนี้เป็นวันพระใหญ่ ทางโลกกาหนดให้เป็นวันลอยกระทง คนทางโลกก็จะ
สนุกสนานตามประเพณีท่ีทากนั มา ส่วนพวกเราก็สนกุ สนานกับวันลอยกระทง
กนั มามากแลว้ ความสนุกสนานท่ผี า่ นมาก็เป็นแค่ชั่วครู่ชัว่ คราว เหมือนไฟไหม้
ฟาง หาแก่นสารไม่ได้ เกิดแล้วก็ดับไป สนุกครั้งหน่งึ ก็ดบั ลงครง้ั หนึ่ง สนกุ ทาง
โลกกเ็ ท่านั้นแหละ ไมม่ ีสาระอะไรทจี่ ะยึดจะถือได้เลย ควรจะเบื่อหนา่ ยความ
สนุกทางโลก เข้าหาความสงบทางธรรมจึงจะประเสริฐสดุ เพราะความตายไม่
เคยรอใคร วันน้ีสนุก พรุ่งนตี้ ายแล้วก็มี ควรจะใช้วันเวลาท่ีเหลือศกึ ษาปฏิบัติ
ธรรม เจริญสติ หาทางพ้นทุกข์ พบจิตพบธรรม พบพระนิพพาน ก็จะพบ
ความสุขทแี่ ทจ้ รงิ ความสุขทไี่ มเ่ กิดไมด่ ับ เรียกวา่ อมตสุข
โอวาทธรรมของหลวงปมู่ ั่นกใ็ กลจ้ ะจบเข้ามาทกุ ขณะแล้ว คงจะได้หนังสอื เล่ม
หนาพอสมควร เปน็ หนังสอื ท่ีทรงคณุ ค่ายง่ิ ในพระศาสนา หนงั สือทุกเลม่ ท่พี วก
เราทาบุญทากันมา และทีมงานได้จดั พมิ พข์ ึ้น ตอ่ ไปจะมคี นมาตามหาตามอา่ น
กนั อย่างมากมาย เพราะเป็นของจริง ท้าให้มาอา่ น มาพิสูจน์กัน อยา่ งในไลน์
กลุ่มสายธารธรรมสามร้อย ก็มีสมาชิกคนหนึ่งส่งข้อความมาบอกว่า ญาติ
ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งได้อ่านหนังสือกว่าจะถึงกระแสธรรม เกิดปัญญาทางธรรม มี
ความปิติซาบซง้ึ อยากจะให้คนอ่ืนได้อ่านบา้ ง เลยขอทาบุญเอาหนงั สือไปแจก
ประมาณรอ้ ยหา้ สิบเล่ม ก็โมทนากับญาตผิ ู้ใหญ่ท่านนั้นด้วย หนังสือที่ออกมา
ทกุ เล่ม หากคนหยาบๆ ไมม่ ีวาสนาทางธรรมอ่าน กจ็ ะวางต้ังแต่หน้าแรกแล้ว
แต่ถ้าคนมีวาสนาทางธรรมได้อ่านจนจบ กจ็ ะเกิดปิติ เกิดปัญญาขึน้ ได้ บางคน
อ่านไปก็ขนลุกไป หลายๆ อย่างท่ีติดค้าง เป็นคาถามก็มีอยู่ในหนังสือท้ังนั้น
แหละ และไม่ใช่ว่าจะอ่านคร้ังเดียวแล้วก็จบแค่นั้น ให้พยายามอ่านกลับไป
กลับมา ปญั ญาเกิดข้ึนได้
๒๑๐ | โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น
ใช้ไหวพริบเป็นอาชาไนยอยูเ่ นืองนิตย์
คาว่าไหวพริบท่ีหลวงปู่ม่ันพูดในที่นี้หมายถึงปัญญา ปัญญาสาคัญท่ีสุด ให้
ตรวจสอบการปฏิบัติของตนเองด้วยปัญญา ว่าบัดน้ีจิตหลงไปในมิจฉามรรค
หรือไม่ ติดความสงบหรือไม่ ส่งออกนอกแล้วหรือไม่ จิตปรุงแต่งราคะ โทสะ
ขึ้นแล้วหรือไม่ จิตฟุ้งซ่านหรือไม่ จิตไม่รู้เท่าทันอารมณ์แล้วหรือไม่ จิตคิดดี
คิดไม่ดีหรือไม่ คาว่าอาชาไนยก็คือม้า ม้าที่จะนาพาผู้ปฏิบัติไปถึงจุดหมาย
ปลายทาง ไหวพริบก็คือการรู้เท่าทันรูปและนาม รู้เท่าทันอารมณ์ทุกชนิด
ร้เู ท่าทันจิตที่ปรุงแตง่ เปน็ โน่นน่ีนั่นตลอดเวลา ให้จิตอยู่กับรู้อยู่เสมอ พอเผลอ
ไปก็ดงึ จติ กลับมาอยูก่ ับร้อู ีก ใหค้ อยสังเกตจติ อย่เู สมอ
ให้แก้อวชิ ชา แก้อนสุ ยั ความไม่รู้ไม่ฉลาดนัน้ ใหก้ ลบั เป็นคนฉลาดฯ
อวิชชากค็ อื ความไมร่ ู้ ไม่รเู้ ทา่ ทันในรูปในนาม เหน็ ผิดวา่ รปู นามขันธ์ห้า
อารมณ์เป็นเราของเรา ให้แก้ให้มันถูก แก้จากความเห็นผิดเป็นเห็นถูกเสีย
จากมิจฉาทิฏฐิ ให้เปน็ สัมมาทิฏฐิเสีย สัมมาทิฏฐิก็คือวิชชา อนุสัยก็คือกิเลสที่
นอนเน่ืองอยูใ่ นสนั ดานของจิต ซ่ึงธรรมดาหากไม่มีอะไรมากระทบ มันก็นอน
เน่ืองไม่แสดงออกมา อย่างปรกติคนเรา อยู่เฉยๆ ก็ไม่เป็นไปเท่าไรนัก พอมี
ใครมาด่า ก็จะโกรธออกมา ตัวโกรธน่ีแหละคอื อนุสยั ทางปรยิ ัตเิ ขาเรียกปฏิฆะ
พอหายโกรธ โกรธนนั้ กไ็ มไ่ ดห้ ายไปไหน มันนอนเน่อื งอยใู่ นสนั ดานของจติ น่ัน
แหละ จติ พร้อมท่ีจะแสดงออกมาตลอดเวลา ตามตาราเขาว่าอนุสัยมีเจ็ดอยา่ ง
เหมอื นสังโยชน์ คือความเห็นผดิ ว่าขันธ์ห้าเป็นตวั เปน็ ตนหรือสักกายทฏิ ฐิ และ
ความเห็นผิดในการประพฤติการปฏบิ ตั ิ หรือสีลพั พตปรามาส ความลังเลสงสัย
หรือวิจิกิจฉา ความไม่พอใจหรือปฏิฆะหรือตัวโกรธ ความยินดีพอใจในกาม
โอวาทธรรมหลวงปู่มนั่ | ๒๑๑
หรอื กามฉนั ทะ ความยดึ ติดในรูป ในอรูป หรือรปู ราคะ อรูปราคะ ความสาคัญ
วา่ ตนเองเหนือกว่าเขา หรอื มานะ และความไม่รู้คืออวชิ ชา
เมื่อเราเจริญสติ จนบรรลุโสดาบัน จะแก้อนุสัยสักกายทิฏฐิ สีลัพพตปรามาส
และวจิ กิ จิ ฉาได้ เม่ือบรรลุอนาคามผี ล กจ็ ะแก้อนุสัยตัวโกรธหรือปฏฆิ ะกับกาม
ราคะได้ อนสุ ยั ที่เหลือจะแกไ้ ดเ้ ม่อื บรรลุอรหัตผล คราวนก้ี ็มาถึงสง่ิ ท่ีลึกซง้ึ กว่า
น้ีเข้าไปอีก คาว่ากิเลสนอนเนื่องอยู่ในสันดานน้ัน มันนอนเน่ืองอยู่อย่างไร
เพราะจิตปรงุ แต่งจิตสงั ขารไดแ้ กอ่ ารมณ์ต่างๆ ขึ้นครัง้ หนงึ่ กด็ ับไปทุกคร้ัง แล้ว
จะเอาอะไรมานอนเนื่อง มนั เหมอื นไมเ่ หลือที่ให้นอนเนือ่ ง เรื่องนน้ี ักปรยิ ัตไิ ม่
มีวันรู้ คนท่ีปฏิบัติไปไม่ถึง ไม่มีวันรู้ คาว่านอนเนื่องก็คือนอนเนื่องอยู่ใน
สันดานของจิตเดิมน่ันเอง มันไม่ได้นอนเน่ืองในจิตสังขาร อะไรท่ีเป็นสังขาร
เมือ่ เกิดแล้วก็ต้องเสอื่ มดบั เหมอื นอารมณ์โกรธ พอเกิด ไมน่ านก็จะดับ แตต่ ัว
โกรธตัวจริง มันนอนเน่ืองอยู่ในจิตเดิม มันมีเชื้ออยู่ตลอดเวลา เหมือนงูเห่า
โผล่ออกมาจากรู ธรรมดางูมนั กน็ อนเน่ืองอยู่ในรู พอกบเขียดอะไรผ่านมา มัน
ก็ออกมาตะครุบกิน กินเสรจ็ มนั ก็เลอื้ ยลงไปในนอนอย่ใู นรเู ชน่ เดิม งูน้นั ไม่ได้
หายไปไหน ตัวโกรธก็ดี อวิชชาก็ดี มันอยู่กับจิตตลอดเวลา มีอวิชชาเป็น
หัวหน้าใหญ่ เป็นตัวการใหญ่ อวิชชาเป็นพ่อแม่ของกิเลสท้ังปวง เพราะมี
อวิชชา ตวั โกรธจึงมี
จติ เดิมแม้จะปรุงแต่งส่ิงทั้งปวง แล้วส่ิงทั้งปวงนน้ั ดับไป แต่ตัวมันไม่ได้ดบั มัน
ก็ยังคงปรุงแต่งอยู่ทุกขณะจิต มันปรุงแต่งอวิชชา ปรุงแต่งราคะ โทสะ ปรุง
แต่งอารมณท์ ั้งปวงมานานนบั เป็นล้านๆๆๆๆ กปั นับกปั ไม่ได้ เมื่อมันปรุงแต่ง
มากๆ เขา้ มนั กห็ มักดองจติ ยอ้ มจติ ยอ้ มตวั มนั เอง ภาษาปรยิ ตั ิเรยี กวา่ อาสวะ
พลอยทาให้จิตมีความยินดีในกาม ในภพ หมักดองความเห็นผิด หมักดอง
ความไมร่ ู้คอื อวิชชา จนยากที่จะแกไ้ ขได้ หากไมม่ ีพระพุทธเจา้ มาตรัสรู้ ก็ไม่มี
๒๑๒ | โอวาทธรรมหลวงปมู่ ัน่
วันจะแก้อนุสัย ล้างอาสวะได้เลย อนุสัยกับอาสวะเป็นของคู่กัน อนุสัยคือ
กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในสันดานของจิต คือจิตมีสันดานคอยปรุงแต่งกิเลส
ตลอดเวลา จนดูเหมือนนอนเนื่องอยู่ นอนเนื่องอยู่ในจิตเดิมนั่นแหละ
ขณะเดยี วกันกิเลสที่ปรุงแตง่ ตลอดเวลา เกิดขนึ้ ที่จิตตลอดเวลา กห็ มักดองจิต
นนั้ ไว้ จติ ท่เี ดมิ ผ่องใสเม่ือถกู หมักถกู ดองด้วยกเิ ลส กเ็ ศรา้ หมองไป ซ่ึงคนโลกๆ
ก็ไม่มีวันจะรู้เรื่องเหล่านี้ ก็ใช้ชีวิตเกิดแก่เจ็บตายไปไม่มีวันจบ เมื่อพระพุทธเจ้า
มาตรัสรู้ ก็สอนเรื่องสัมมาทิฏฐิ คือให้เห็นถูกเห็นชอบในรูปนาม ในกิเลส
ท้งั ปวงเสยี เปลย่ี นความเหน็ ผดิ เปน็ เหน็ ชอบ คอื สัมมาทิฏฐิ
หลวงป่มู ัน่ ก็บอกว่าใหแ้ ก้อวิชชา แกอ้ นุสยั แก้ความไม่รูไ้ ม่ฉลาดให้กลบั เปน็ คน
ฉลาด น่ันกค็ ือต้องเจรญิ สตปิ ัฏฐาน อย่างเรอ่ื งกาย ก็ให้แก้ด้วยกายคตาสติ ถ้า
แกไ้ ด้ จากเห็นกายเป็นคนน่นั คนน้ี เป็นเราเป็นเขา เป็นสัตว์เปน็ บุคคลต่างๆ ก็
จะหมดลง คราวน้กี ็เริ่มฉลาดข้ึนมาบ้างแล้ว อวชิ ชาถูกบั่นทอนลงบ้างแล้ว แต่
ยังไม่หมดแค่นน้ั เพราะขันธ์ห้ามถี งึ หา้ อยา่ ง รปู หรอื กายเป็นเพียงด่านแรก ยัง
มีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่บางคนพิจารณากาย แก้กายได้ ก็แก้
ความยินดีในกาย คือกามไปได้ในคราวเดียวกัน บรรลอุ นาคามีกม็ ี เช่นหลวงปู่
ม่ัน หรอื บางคนเจริญเวทนานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน ก็สามารถแก้อนสุ ัยไดห้ มดก็มี
อันน้ีไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับอุบายในการปฏิบัติของแต่ละคน แต่สาหรับเรา ได้
เคยบอกไว้แล้วว่าให้พิจารณากายบา้ ง เวทนาบา้ ง จติ ตานุปัสสนาบ้าง เพราะ
ทุกอย่างท่ีพิจารณา ท่ีเจริญ ก็เพ่ือให้สติมันโต พอสติโต มีกาลัง แยกจิตออก
จากขันธห์ า้ ได้ มันก็ถงึ กระแสธรรมกระแสพระนิพพานแลว้ คราวนี้ทีเ่ หลือก็ไม่
ยากท่จี ะเดินตอ่ การแก้อวิชชา แก้อนุสัยต่างๆ มที างเดียวก็คือเอโกมัคโค คือ
ทางสายเอก สายเดียว น่ันคือสติปัฏฐานส่ี ทางอ่ืนไม่มี เจริญสติแล้วจะฉลาด
ในรูปในนาม รู้เทา่ ทันรปู รเู้ ท่าทันนาม ตรงรู้เท่าทันรูปและนาม กค็ ือวชิ ชา คือ
ความรูค้ วามฉลาดทห่ี ลวงป่มู ัน่ กล่าวถึง
โอวาทธรรมหลวงปู่มนั่ | ๒๑๓
ความรคู้ วามฉลาด มีอย่ใู นสถานทไ่ี ม่รู้
อันนี้ก็ลึกซ้ึง มันคลา้ ยกับที่ท่านสอนว่าดอกบัวเกิดจากตมฉันใด ปัญญาก็เกิด
จากความไม่รฉู้ ันนั้น สถานท่ีไม่รู้อยูท่ ี่ไหน ก็อยู่ทจ่ี ิตน่แี หละ จิตมันไม่รู้ จิตมัน
โง่ มันเต็มไปดว้ ยอวิชชา ก็ต้องทาให้จติ มนั ฉลาดขน้ึ มา อวิชชาเกดิ ท่ีจิต กต็ ้อง
แกท้ ่ีจิต จิตมนั ไม่รู้ ก็ต้องแกใ้ ห้มนั รู้ให้มนั ฉลาดข้ึนมา หนา้ ทีเ่ รามีอย่อู ยา่ งเดียว
ก็คือสอนจิต อบรมจิต ด้วยสติด้วยปัญญา และปัญญาที่จะทาให้จิตฉลาด
ข้ึนมา ไม่ใช่ปัญญาแบบทางโลก ไม่ใช่ปัญญาที่เกิดจากความคิดความจา แต่
เป็นปัญญาทีเ่ รยี กว่าภาวนามยปัญญา คอื ปัญญาท่ีเกิดจากการภาวนา ปัญญา
แบบนี้เกิดได้อย่างไร ปัญญาแบบนี้เกิดได้ต่อเม่ือเราเจริญสติตามท่ี
พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ในสติปัฏฐานส่ีนั่นแหละ เมื่อเราเจริญสติจนสติมันมี
กาลัง เรียกว่าอินทรีย์ห้าบริบูรณ์ อินทรีย์ห้าได้แก่ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ
ปัญญา จิตก็จะตั้งมั่นเกิดสัมมาสมาธิข้ึนมา ต้องสัมมาสมาธิเท่านั้นนะ แล้ว
สัมมาสมาธทิ เ่ี กิดนแ่ี หละจะตดั สังโยชน์ ละอนุสัยได้ในขณะจิตเดียวนน้ั ปญั ญา
ท่เี กิดในขณะจิตน้ัน มันเลยความคิดไปแล้ว มันเป็นปัญญาที่เกิดจากการที่จิต
หยุดคิด ปัญญาท่ีเกิดจากการคิด ยังไม่ใชป่ ัญญาในทางธรรม แต่ปัญญาที่เกิด
จากการทจ่ี ิตหยดุ คิด จึงจะเป็นปัญญาในทางธรรม เป็นภาวนามยปญั ญา เป็น
ปัญญาที่จะทาให้ละอนุสัย สังโยชน์ได้ เป็นปัญญาที่จะทาให้คนธรรมดา
กลายเป็นอริยบคุ คลขึ้นมาได้
ปัญญาหรือความรู้ความฉลาดท่ีเกิดในขณะท่ีจิตหยุดคิด มันก็เกิดที่จิตน่ัน
แหละ เกดิ ในสถานทท่ี ี่เดมิ มันไมร่ ู้ พอปัญญาเกดิ วชิ ชาเกิด อวิชชาก็หมดกาลัง
ไป หายไป ขึ้นอยู่กับกาลังสติในขณะนั้น ถ้าสตมิ ีกาลงั มาก ปญั ญามีกาลังมาก
อวิชชาก็หายหรือดับไปหมดจากจิต จิตบริสุทธิ์ขึ้นมาทันที บรรลุอรหัตผล ณ
ขณะจิตนั้น แต่หากกาลังสติมีไม่มาก ปัญญาท่ีเกิดมีกาลังไม่มาก อย่างน้อยก็
๒๑๔ | โอวาทธรรมหลวงปมู่ ่ัน
พอจะทาให้สังโยชน์เบื้องต้นขาดลงจากจิตได้ สังโยชน์ทั้งสิบมันก็คืออวิชชา
ทั้งน้ันแหละ อย่างสักกายทิฏฐิท่ีพระโสดาบันละได้ ก็เป็นอวิชชาอย่างหนึ่ง
เห็นรูปนามเป็นตัวเป็นตน เป็นก้อนเป็นอัตตา นี่คือสักกายทิฏฐิ เรียกว่ามัน
ค่อยๆ บั่นอวิชชาลงไป อย่างที่หลวงปู่มั่นใช้คาว่าตอกล่ิมเข้าไป อวิชชาก็
กระเด็นออกมา มันอาจจะยังออกมาไม่หมด เพราะกาลงั ที่ตอกมันไม่พอ แต่
อย่างน้อยก็ทาให้มันหลุดออกมาจากจิตได้บ้าง พอมันหลุดออกมาได้บา้ งแล้ว
ท่ีเหลือก็ไม่ยากอีกต่อไป จิตจะก้าวหน้าไปเร่ือยๆ บรรลุสกทาคามี อนาคามี
และอรหัตผลตามลาดับในท่ีสุด หรือเปรียบอกี นัยหนึ่ง เหมอื นจติ เรามันมืดอยู่
เพราะอานาจอวิชชาห่อหุ้มอยู่ พอเราอบรมสติ เจริญสติ ทาให้ปัญญาเกิด
ปัญญาทางธรรมมันสว่าง ถ้าสว่างมาก อวิชชาคือความมืดก็จะสลายหายไป
หมด ถ้าสว่างไม่มาก ก็ทาให้ความมืดหายไปได้เพียงบางส่วน หน้าที่เราก็คือ
เจริญสติปัญญาตอ่ ไปให้มันมากข้ึนๆๆ จนความมืดหรืออวิชชาหายไปจากจิต
จากใจท้ังหมด วิชชาหรือปัญญาก็จะเข้าแทนที่อวิชชาประจาท่ีจิตตลอดไป
ห้องหนึ่งมืดอยู่ พอแสงสว่างเข้าไปถึง ความมืดก็หายไป ความมืดกับความ
สว่างก็อยูใ่ นหอ้ งๆ เดียวกันน่ันแหละ นี่แหละหลวงปูม่ น่ั จงึ บอกว่าความรคู้ วาม
ฉลาด มอี ยใู่ นสถานท่ีไม่รู้ เพราะว่ามันอยูใ่ นที่ทีเ่ ดียวกันนั่นเอง ทาปัญญาทาง
ธรรมให้เกิด ความมดื ท่จี ิตจะหายไป
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า นัตถิ ปัญญา สมอาภา แสงสว่างเสมอด้วยปญั ญา เป็น
ไมม่ ี ซ่ึงบางโรงเรียนก็เอาไปเปน็ คาขวญั ประจาโรงเรยี นกม็ ี แตจ่ ริงๆ มนั ลึกซ้ึง
กว่าที่คนโลกเข้าใจ เขาเข้าใจว่าปัญญาคือแสงสว่าง แต่ปัญญาท่ีเขาเข้าใจคือ
ปญั ญาท่ีเกดิ จากความคดิ ความเข้าใจ ซงึ่ ความจริง ปัญญาท่ีจะทาให้เกดิ ความ
สว่างทจ่ี ติ ได้ ตอ้ งเป็นปัญญาทางธรรมเทา่ นน้ั
โอวาทธรรมหลวงปู่ม่ัน | ๒๑๕
อจนิ ไตย เกิดความรู้ ความฉลาด น้นั หาประมาณมิได้ฯ
อันนท้ี ่านหมายถงึ วา่ พอแก้อวิชชา แก้อนุสัยได้แลว้ จิตเกดิ ปญั ญาบริสทุ ธ์ิแล้ว
ก็จะเกดิ ความรคู้ วามฉลาดข้ึนทจ่ี ิต เปน็ จานวนมาก ไมส่ ามารถประมาณได้
มีนยั หลายนยั ถงึ แปดหมนื่ ส่พี ันประการฯ
จะเกิดความรู้ออกมามากมาย พระธรรมแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ก็
ออกมาจากจิตท่ีฉลาดแล้วอันน้ี แต่สาหรับเรื่องอจินไตยส่ีอย่างนั้น ไม่ได้
เป็นไปเพ่ือความฉลาดอันนี้ อจินไตยส่ีคือความเป็นไปของพระพุทธเจ้าท่ี
เรียกว่าพุทธวิสัย เช่น ความรู้ว่าทาไมพระพุทธเจ้าจึงทรงทราบว่าคนนั้นต้อง
สอนอยา่ งนี้ คนนี้ตอ้ งสอนอย่างนัน้ อันนี้แม้จติ จะฉลาดเพียงใด กไ็ ม่สามารถรู้
ได้ เพราะเป็นพุทธวิสัย พระมหากัสสปะ ตอนนั้นบรรลุอรหัตผลแล้ว ก็
พยายามทาอย่างที่พระพุทธเจ้าทา ถกู พระพุทธเจ้าตาหนิ บอกว่ามหากัสสปะ
อนั น้ันมันวิสัยของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่วิสยั ของสาวก หรือเร่ืองฌาน ว่าทาไมมี
ฌานแล้วแสดงฤทธ์ิได้อยา่ งนน้ั อย่างน้ี ไม่สามารถคดิ หาเหตุผลได้
เรื่องกรรม เร่ืองโลก เหล่าน้ีคิดแล้วจะเป็นบ้าเสียก่อน ไม่ใช่คิดแล้วจะฉลาด
นาพาจิตให้บริสุทธ์ิได้ จิตเม่อื ฉลาดบริสุทธิ์แล้ว กฉ็ ลาดรู้เท่าทันทุกข์ เหตุแห่ง
ทุกข์ การดับทุกข์ หนทางการดับทุกข์เท่านั้น ฉลาดในอริยสัจจ์ ฉลาดรู้ในรูป
ในนาม แต่ไม่ฉลาดรู้เรื่องอจินไตย และในความเป็นจริง เมอื่ ถึงตรงน้ัน ตรงท่ี
ล้างอวิชชาที่จิตได้แล้ว จิตมันก็ไม่อยากจะรู้อะไรอีกเลย เพราะว่ามันจบกิจ
แล้วนั่นเอง
๒๑๖ | โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น
ขยายความธรรม ในกลุม่ สายธารธรรม เมื่อวันท่ี ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๓
จติ รบั ธรุ ะหมดทุกอย่าง จิตเปน็ แดนเกดิ ร้เู ท่าอาการของจิตได้แลว้ รู้
ปรกตขิ องธาตุฯ
ท่านทรงกลด : จิตรับธุระหมดทุกอย่าง หมายความว่าอะไรเกิดข้ึนก็มาลงท่ีจิต
อารมณ์ยนิ ดี ยินร้าย ก็จิตนน่ั แหละเป็นผู้รับรู้ อย่างตาราปริยัติก็เขียนวา่ เมื่อตา
เห็นรูป หูได้ยินเสียง ก็เกิดวิญญาณรับรู้ทางตาทางหู แต่จริงๆ แล้ว ผู้ท่ีรับรู้ที่
แท้จริงก็คือจิต วิญญาณทางตาก็เรียกจักขุวิญญาณ ทางหูก็เรียกโสตวิญญาณ
ทางจมูกก็ฆานวิญญาณ ทางล้ินก็ชิวหาวิญญาณ ทางกายก็กายวญิ ญาณ ทางใจ
ก็มโนวิญญาณ วิญญาณเป็นเพียงตัวทาหน้าท่ีส่งสารสื่อไปยังจิตเท่านั้นเอง ซ่ึง
ตรงน้ีช่างตรงกับคาสอนของหลวงปู่ชา ท่ีบอกว่าวิญญาณมันมีอย่วู ิญญาณเดียว
ก็คือที่ใจหรือจิตนั่นแหละ ท่ีมันมาตามช่องทางต่างๆ นะ สุดท้ายก็มาลงท่ีใจ
อันเดียว ใจหรือจิตจึงเป็นผู้รับธุระหมดทุกอย่าง ขณะเดียวกัน จิตก็เป็นแดน
เกิดของสิ่งทั้งปวง ภพชาติอะไรต่างๆ ก็เกิดท่ีจิตน่ีทั้งน้ัน กริยาอาการของจิตก็
ออกมาจากจิต อาการของจิตภาษาปริยัติเขาเรียกเจตสิก เจตสิกก็ออกมาจาก
จติ เจตสิกหรืออาการของจิต เกิดจากจิตปรุงแตง่
หลวงปู่มั่นจึงสอนให้รู้เทา่ อาการของจิต บดั นี้อาการของจิตมันเป็นอย่างไร ก็
ให้รู้เท่าทัน มันสุข มันทุกข์ มันยินดยี ินร้าย มันฟุ้งซ่าน มันโมโหแล้วนะ มันมี
ราคะแล้วนะ มันหดหู่แล้วนะ ให้รู้เท่าอาการของจิตให้มันทันกัน จึงเรียกว่า
รู้เท่าทัน ท่ีเราพร่าสอนไปมากมายก็คืออันนี้แหละ ให้รู้เท่าทันอาการของจิต
รู้เท่าทันอารมณ์ท้ังปวง อารมณ์ทั้งปวงก็ออกมาจากจิต เป็นอาการของจิต
รู้เท่าวา่ อาการของจิต ไม่ว่าจะแสดงอาการอย่างไรกต็ ้องเส่ือมดับ เป็นอนิจจัง
ทุกขงั ทนอยไู่ ม่ได้ ดบั แล้วก็หาแก่นสารไม่ได้ เป็นอนัตตา เหน็ ไหม การปฏิบัติ
โอวาทธรรมหลวงปู่มนั่ | ๒๑๗
ท้ิงไตรลกั ษณไ์ มไ่ ด้เลย ไตรลักษณก์ ับวปิ สั สนาอันเดียวกัน พจิ ารณาจนจิตสงบ
ลงไป เกิดวิปัสสนาญาณ ไตรลักษณญาณข้ึนมา จิตก็จะถอนจากความยึดมั่น
หมายมั่นในอาการของจิตออกมา พยายามให้รู้เท่าทันอาการของจิตอยู่เสมอ
บางคนกิเลสโทสะกดหัวอยู่ ก็ยังไม่รู้ตัวก็มี น่ีเพราะไม่เคยฝึกสติให้มันรู้เท่า
อาการของจิต กิเลสอารมณ์มันก็จูงจมูกไปทางโน้นบ้าง ทางน้ีบ้าง นอกจาก
หลวงปู่ม่ันจะสอนให้รู้เท่าทันอาการของจิตแล้ว ก็ให้รู้เท่าทันปรกติของธาตุ
ต่างๆ ด้วย อย่างกายน้ีก็ให้รู้เท่าทันว่าปรกติของกายมันเป็นแค่ธาตุเท่านั้น
ธาตุดินน้าไฟลมประกอบกนั ข้นึ มา สว่ นแข็งเชน่ ผมขนเล็บฟนั หนงั กค็ ือธาตุดนิ
ส่วนอ่อนเช่น น้าเลือดน้าหนองปัสสาวะ ก็คือธาตุน้า ส่วนท่ีให้ความอุ่นใน
ร่างกายก็คือ ธาตุไฟ ส่วนที่เป็นอากาศเคลื่อนไหวไปมาก็คือ ธาตุลมเช่น
ลมหายใจเข้าออก ถ้าเรารูป้ รกติของกายวา่ เปน็ ธาตอุ ย่างน้ี เรากจ็ ะไม่ยึดมั่นใน
กาย จติ จะถอนจากความยึดมน่ั ในกายออกมา
จติ เป็นเคร่ืองบังคบั กายกบั วาจาให้พดู และให้ทางานฯ
อนั นี้ก็ตรงกับคาท่วี ่าจิตเป็นนาย กายเปน็ บ่าว ปรกติคนเราจะทาอะไร จะพูด
อะไร จิตจะเป็นผู้สั่งการว่าต้องทาอย่างนั้นอย่างนี้ ทางโลกหรือทาง
วิทยาศาสตร์ จะมองว่าผู้ท่ีส่ังการรา่ งกายหรือวาจาให้พูดอยา่ งน้ัน ทาอย่างน้ี
คือสมอง ซ่ึงความจริงไม่เป็นอย่างน้ัน เพราะสมองกเ็ ป็นกายอย่างหนึง่ จิตสั่ง
กายวาจาผ่านสมองอีกทีหน่ึง สมองเป็นเพียงเครื่องประมวลผลของจิต เวลา
สมองพัง ก็ส่ังการไม่ได้ ได้แต่ยืนมองร่างกายของตนเองอยู่ ยืนมองไม่นาน
บางทีก็ผละไปที่อ่ืน ไปเกิดใหม่บ้าง บางทีอายุขัยยังไม่หมด ก็เป็นสัมภเวสี
เร่รอ่ นอยู่ ชวี ิตหลังความตาย หลงั สมองพังของผู้ท่ีจิตใจไม่มีธรรมะ น่าสงสาร
มาก บางทีก็เที่ยวเร่ร่อนขอทาน ขอส่วนบญุ คนไปเร่ือย ไปเจอเจ้าท่ีเจ้าทางที่
เขามีกาลังมากกว่า ก็ถูกขับไล่ไสส่ง กลับมาหาลูกหลาน ทาเสียงกุกๆ กักๆ
๒๑๘ | โอวาทธรรมหลวงปมู่ นั่
เขาก็กลัว เอาพระมาสวดขับไล่กม็ ี ถ้าลกู หลานดีหน่อย มีความเชื่อในชวี ิตหลัง
ความตาย ก็ทาบุญอุทิศผลบุญไปให้ พอเอาตัวรอดไปได้บ้าง แต่ถ้าเจอ
ลกู หลานที่เขาไม่เชือ่ สิ่งเหลา่ นี้ ก็กลายเปน็ ผีขอทานยืนอยหู่ น้าบ้านน่นั เอง
เม่ือมีชีวิตอยู่ จึงไม่ควรประมาทในการใช้ชีวิต อย่าหลงระเริงกันให้มากเลย
เพราะชวี ิตเปน็ ของไม่แนน่ อน แต่ถ้าอยใู่ นกลุ่มธรรม ติดตามธรรมะเป็นประจา
จนธรรมะเข้าไปในจิตในใจได้บา้ งแล้ว ก็ไม่นา่ จะเปน็ หว่ งมากนัก ขอใหม้ จี ิตอยู่
ในธรรมเปน็ ตลอดเช่นนี้ก็แลว้ กัน
จิตทไ่ี ม่ติดพัวพนั ในอารมณ์ท้ังปวง เรยี กวา่ บริสุทธิ์
โอวาทอันน้ีก็คือที่สุดของพรหมจรรย์ ที่สุดของการปฏิบัติ ที่สุดของพุทธ
ศาสนา ทเ่ี ราพากเพียรปฏิบตั ิกันมาก็เพือ่ ภาวะอันนี้ ภาวะที่จิตไม่ตดิ พัวพันใน
อารมณ์ทั้งปวง หลวงปู่ดูลย์ก็สอนว่าจิตที่พ้นไปจากอารมณ์ทั้งปวง เป็นสุข
อย่างย่ิง จิตบริสุทธ์ิก็คือจิตท่ีพ้นไปจากอารมณ์ท้ังปวง เม่ือจิตพ้นไปจาก
อารมณท์ ้งั ปวง จติ ก็บริสุทธ์ิ เราปฏิบัติธรรมไม่ได้ม่งุ ทาลายจติ ดับจิต อย่างนั้น
มันผิดทาง หลงทาง แต่เราปฏิบัติก็เพ่ือให้จติ มันพ้นไปจากอารมณท์ ้ังปวง จิต
พ้นแล้ว จิตก็ไม่ได้หายดับสูญไปไหน จิตนั้นยังอยู่ แต่มันบริสุทธ์ิข้ึนมา ถ้าไป
เจอครูบาอาจารย์ท่ีไหนสอนวา่ นิพพานแล้วจิตดับ จิตหาย จติ ไม่มี กข็ อเตือน
ให้ถอยห่างคาสอนของท่านเหล่าน้ันออกมา เพราะเป็นการสอนผิดไปจาก
พระพุทธเจ้า ผิดไปจากหลวงปู่มั่น หลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ชา หลวงตามหาบัว
และพระอรหันตแ์ ทท้ ั้งหลาย
การจะพ้นไปจากอารมณ์ท้ังปวงได้ มีทางเดียวก็คือสติปัฏฐานส่ี สติปัฏฐานสี่
คือเอโกมัคโค ทางสายเดียว ทางสายเอก อย่างเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ก็
คือการให้มีสติรู้เท่าทันสุข รู้เท่าทันทุกข์ สุขเวทนาก็ให้รู้เท่าทัน ทุกขเวทนาก็
โอวาทธรรมหลวงปู่ม่นั | ๒๑๙
ให้รู้เท่าทัน เฉยๆ หรอื อทุกขมสุขเวทนาก็ให้รูเ้ ทา่ ทัน รวู้ ่ามันไมเ่ ที่ยง ตอ้ งเสื่อม
ต้องพัง ไม่ควรเข้าไปหมายม่ันยึดม่ัน อย่างพระพุทธเจ้าสอนปัญจวัคคีย์เป็น
ปฐมเทศนา ก็สอนเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน สอนว่าสุข คือกามสุขัลลิกานุโยค
เธอท้ังหลายไม่ควรเข้าไปข้องแวะ ทุกข์ก็เช่นกัน อัตตกิลมถานุโยค ก็ไม่ควร
เขา้ ไปข้องแวะ ทางสองทางนไ้ี มค่ วรเขา้ ไปข้องแวะ คาว่าไม่ควรเข้าไปข้องแวะ
กค็ ือไม่ควรสง่ จิตเข้าไปขอ้ งแวะ เมอ่ื ไม่เขา้ ไปขอ้ งแวะ จิตกจ็ ะเปน็ กลางข้ึนมา
จติ จะตัง้ ม่นั ขนึ้ มาตรงนนั้
ถ้าเราสังเกตพระพุทธรูปปางปฐมเทศนาดีๆ จะเห็นทางสายกลางอยู่ตรงนั้น
พระหัตถ์ขวาก็คือสุข พระหัตถ์ซ้ายก็คือทุกข์ ตรงกลาง พระองค์เอานิ้วชี้โค้ง
เข้าหาหัวแม่มือ เป็นวงกลมขึ้นมา วงกลมนั้นคือเลขศูนย์ อันน้ันแหละคือจิต
ดังที่เคยแสดงขยายโอวาทหลวงปู่ม่ันไปเมื่อหลายวันก่อน เลขศูนย์มันไม่สูญ
ในเลขศูนย์มันมีความว่างอยู่ เลขศูนยก์ ็คือจิตที่ว่าง หลวงปู่ม่ันบอกว่าถ้าเป็น
เลข ๑ ๒ ๓ ๔ มนั กอ็ อกไปจากจติ ๑ ๒ ๓ ๔ ล้วนเป็นอาการของจติ ท้ังนน้ั พอ
เราทวนกระแสจิตกระแสอารมณ์เข้ามา อารมณ์สุขยินดีไม่ว่ิงตาม ไม่เข้าไป
ข้องแวะ อันนีแ้ หละคือการทวนกระแสอารมณ์ ทวนกระแสโลก จิตก็จะหดตัว
เข้ามาต้ังมั่นเปน็ เลขศนู ย์ ดังทป่ี รากฏในพระพทุ ธรปู ปางปฐมเทศนา จติ ตั้งม่ัน
ได้ก็เพราะพ้นจากอารมณ์ท้ังปวง พระอัญญาโกณฑัญญะได้ฟังส่งกระแสจิต
ตามไป เห็นตามจริงดังท่ีพระพุทธเจ้าทรงเทศนา จิตท่านก็เร่ิมจะหยุด ไม่วิ่ง
ตามอารมณ์สุขอารมณ์ทุกข์ จนหยุดต้ังม่ันได้สนิท พรากจิตออกจากอารมณ์
ทั้งปวงได้ เห็นอารมณ์ทั้งปวงเกิดเป็นธรรมดา ดับเป็นธรรมดา ก็อุทานขึ้น
มาว่า ยังกิญจิ สมุทยธัมมัง สัพพันตัง นิโรธธัมมันติ ส่ิงใดเกิดเป็นธรรมดา
ส่ิงน้ันก็ดับเป็นธรรมดา คาว่าส่ิงใดสิ่งหน่ึงก็คืออารมณ์ทั้งปวงน่ันเอง เห็น
อารมณ์ขันธ์ห้าเกิดดับ หาตัวตนแก่นสารไม่ได้ พระพุทธเจ้ารู้วาระจิตของ
พระอญั ญาโกณฑญั ญะ ก็อุทานขึ้นมาวา่ โกณฑญั ญะรู้แลว้ หนอ โกณฑญั ญะรู้
๒๒๐ | โอวาทธรรมหลวงปมู่ ่นั
แล้วหนอ รู้หนอก็คือรูธ้ รรม เกิดดวงตาเห็นธรรมข้นึ มานน่ั เอง ท่ีรู้ธรรมกเ็ พราะ
พระพุทธเจ้าเทศนาเร่ืองเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน แต่ก่อนจะเทศนา
พระองค์ไม่ได้บอกเลยวา่ บัดนจี้ ะแสดงเวทนานปุ สั สนาสติปัฏฐานนะ พระองค์
ไม่ได้บอกอย่างนั้น การปล่อยให้ใจไหลไปตามกามสขุ ไม่ควรทา การปล่อยใจ
ใหห้ ลงในทุกข์ เช่น การทรมานตนเองใหไ้ ดร้ ับความทุกข์ ก็ไม่ควรทา พระองค์
สอนเร่อื งอารมณ์ ไม่ได้สอนปริยตั ิอะไรเลย หลวงปู่ชาก็เช่นกัน ท่านก็สอนว่า
การจะร้เู หน็ ธรรมเร็ว อยทู่ อี่ ารมณท์ ั้งสองนี้ อารมณย์ นิ ดี ก็ให้รูเ้ ทา่ ทนั อารมณ์
ยนิ ร้ายกใ็ หร้ ้เู ทา่ ทัน ท่านกส็ อนทางสายกลางเหมือนพระพุทธเจ้าน่นั แหละ จิต
พอรู้เทา่ ทนั อารมณ์มากๆ เขา้ กจ็ ะตั้งม่ันขึ้นมา รู้เห็นธรรมเหมือนพระอญั ญา
โกณฑัญญะ แล้วจากนั้นจิตก็จะค่อยๆ ชาระตัวมันเอง ปัญญาจะมากข้ึนๆๆ
เองตามลาดบั พึงเข้าใจว่าชั้นรู้กับชน้ั ละ มันคนละชัน้ กนั การจะละอารมณ์ได้
กต็ ้องใช้ปญั ญาอย่างเดียว น่ันคอื จะเห็นอารมณ์เป็นอนัตตาตลอดเวลา จนจิต
หลุดจากอารมณอ์ อกมาได้ ชน้ั รู้ชัน้ เหน็ จิตยังอาลัยพัวพันในอารมณ์อยู่ เพราะ
อยู่กันมานาน ดังท่ีหลวงตามหาบัวเคยเล่าไว้ จิตมันอ้อยอ่ิงอยู่ ต้องใช้ปัญญา
ข้ันเด็ดขาดจัดการลงไป ตรงนี้จะเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งในสิ่งท่ีพระพุทธเจ้า
ทรงสอนว่า คนเราจะบริสุทธิ์ได้ก็ด้วยปัญญา คาว่าคนเราหมายถึงจิตคนเรา
จะต้องเห็นอารมณ์เป็นอนัตตา จนเกดิ ความเบ่ือหนา่ ย นิพพทิ า คลายกาหนัด
วิราคะ แล้วจิตจึงจะหลุดจะพ้นออกมาได้ เม่ือพ้นออกจากอารมณ์ท้ังปวงได้
จิตก็จะบริสุทธ์ิ ตรงกับที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ตรงกับท่ีโอวาทหลวงปู่ม่ัน ที่
หลวงปู่หลยุ จันทสาโรบนั ทึกไวว้ ่า จิตท่ไี ม่ติดพวั พันในอารมณ์ทง้ั ปวง เรยี กว่า
บรสิ ุทธ์นิ น่ั เอง
โอวาทธรรมหลวงปู่มนั่ | ๒๒๑
ขยายความธรรม ในกลมุ่ สายธารธรรม เม่ือวนั ที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๓
สุทโธทนะห้ามพระองค์ไม่ให้ไปบิณฑบาต กรุงกบิลพัสดุ์ เราไม่อด
พระองค์ตอบว่าไปตามประเพณีพระพุทธเจ้าสุทโธทนะฟังโอวาทแล้วได้
โสดาบนั
ทา่ นทรงกลด : เมอื่ พระพุทธเจ้าบรรลุอรหัตผล พระเจา้ สทุ โธทนะทราบข่าวก็
ส่งคนไปเชิญพระองค์กลับวัง หวังว่าพระพุทธเจ้าอาจจะเปลี่ยนใจกลับมา
ครองราชสมบตั ิ อันนีเ้ ป็นความคิดของพระเจ้าสุทโธทนะในเวลานนั้ พระองค์
สง่ คนไปเชิญพระพุทธเจ้าหลายชุดหลายคราว คนที่ส่งไปเมอื่ ฟังธรรม ก็บรรลุ
ธรรม ไม่มีใครกลับมาอีกเลย ครั้งสุดท้ายส่งอามาตย์กาฬุทายีไปพร้อมบริวาร
๑,๐๐๐ คน พออามาตย์กาฬุทายแี ละบริวารไดฟ้ งั ธรรมก็บรรลอุ รหัตผล จึงทูล
ขอบวช แตอ่ าศัยทท่ี ่านรักษาสัจจะไว้กับพระเจา้ สุทโธทนะ ว่าหากไดบ้ วชกจ็ ะ
ทูลเชิญพระพุทธเจ้ามายังกรุงกบิลพัสดุ์ให้ได้ เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมาถึง ใน
วันรุง่ กไ็ ด้เดนิ ออกบิณฑบาตไปตามถนนในเมอื ง พรอ้ มดว้ ยพระภิกษุมากมาย
พระเจ้าสุทโธทนะ ไม่เข้าใจพุทธประเพณี คิดว่าพระพุทธเจ้าเดนิ เท่ียวขอทาน
ข้าวเขากิน ก็เสด็จไปยืนต่อหน้าบอกพระพุทธเจ้าว่า ทาไมทาให้ตนต้อง
อับอาย พระองค์เที่ยวมาเดินขอเขากินอย่างนี้ ทาไมพระองค์และภิกษจุ านวน
แคน่ ี้ ตนจะเล้ียงดูไมไ่ ด้เล่า พระพทุ ธเจ้าตรสั ตอบว่า ไมไ่ ด้ตัง้ ใจจะให้อายอะไร
การบณิ ฑบาตเปน็ พุทธประเพณี หมายความวา่ พระพทุ ธเจ้าทัง้ หลายต่างกเ็ ดิน
บิณฑบาตโปรดสัตว์ทั้งสิ้น แลว้ ก็แสดงธรรมให้พระเจา้ สุทโธทนะฟัง พระองค์
ฟังแลว้ กบ็ รรลุโสดาปตั ตผิ ล
เรื่องการบิณฑบาตน้ี หลวงปู่มั่นท่านก็ถือเคร่งครัดมาก ท่านจะต้องเดิน
บิณฑบาตทุกวัน เป็นจริยาวัตรของพระแท้ท้ังหลาย จะไม่น่ังรอให้คนมา
๒๒๒ | โอวาทธรรมหลวงปู่ม่นั
ประเคนถงึ ท่ี แมก้ ระท่งั ยามเจ็บป่วยหนัก บ้นั ปลายของอายขุ ยั ของทา่ น ท่านก็
ให้พระช่วยประคองตัวท่านถือบาตรออกเดิน จนลุกไม่ไหว ท่านก็ให้พระ
ประคองตัวท่านยืนข้ึนเพื่อให้คนเข้ามาใส่บาตร เป็นกิจของพระอรหันต์ที่
จะต้องโปรดญาติโยม เคยเห็นพระบางรูป นั่งรอท่ีกุฏิบ้าง ศาลาบ้าง ไม่ยอม
ออกเดินบิณฑบาต ท้ังๆ ที่ไม่ได้เจ็บป่วยอะไร อย่างหลวงปู่แบน ธนากโรก็
เช่นกัน บ้ันปลาย แม้จะชราภาพมากแล้ว ท่านก็ออกเดินบิณฑบาตให้กับคน
ทีม่ าใสบ่ าตรในวดั อันนกี้ ็ผดิ พุทธประสงค์ เพราะขนาดตวั พระพุทธเจา้ เอง ยัง
ทรงต้องออกเดิน ประพฤติตนเป็นแบบอย่างให้กับสาวก เราเป็นพระสาวก
หากไม่ได้เจ็บป่วยจริง ก็ไม่ควรจะเอาเปรียบพระพทุ ธเจ้า พระพุทธเจ้าจะเดิน
บณิ ฑบาตทุกเช้า เวน้ แต่มีกจิ คนนิมนต์ใหไ้ ปทรงฉันทนี่ ั่นท่นี ่ี
ท่านไม่ให้ศีลแก่โยมที่รู้ศีล อ้างว่าแม้พระภิกษุที่บวชนั้นก็ไม่ให้ศีล
๒๒๗ เลย ให้แตเ่ พยี ง ศลี ๑๐ ชน้ั สามเณรเท่าน้นั ต่อนนั้ ประกาศสงฆ์ต้งั สมมุติ
ให้กนั เอง แล้วก็พากันรักษาพระปาฏิโมกข์ นี้ฉันใด เพียงศีล ๕ ให้เจตนารักษา
แตเ่ ฉพาะตนเอง เทา่ นัน้ ก็เป็นพอ
ขอ้ นล้ี ึกซ้งึ และสาคัญยิ่งนัก ตอนแรกกส็ งสัยว่าทาไมถึงไม่ให้ศีลแก่โยมเชน่ กัน
คาตอบก็โพลง่ ออกมาเลย เหมือนหลวงปู่มั่นมายนื บอกบทอยขู่ ้างหลัง ว่าเหตุ
ท่ที ่านไม่ใหศ้ ีลแกโ่ ยมนั้น ประการแรก เป็นเพราะว่าโยมสว่ นใหญ่ยงั หยาบอยู่
อย่างทุกวันน้ี ไปวัดกันกร็ ับศีลกันแบบพลอ่ ยๆ พอรับเสรจ็ ออกมา กโ็ กหกกัน
แล้ว ตกเย็นก็กินเหล้าด่ืมสุรากัน น่ีรับศีลจากพระอรหันต์ผู้ประกอบด้วยคุณ
อนั ยิ่งใหญ่ หากรบั แล้ว รับพล่อยๆ รับแบบไม่คิดจะรักษาจรงิ จัง ความวิบัติก็
จะตกแก่ตัวผู้รับอย่างเลี่ยงไม่พ้น รับศีลจากพระปุถุชน แล้วผิดศีลก็ยัง
พอทาเนา อันนี้รับกับพระอรหันต์ซ่ึงมีจิตบริสุทธิ์ หากผิดศลี ข้ึนมา มีแต่จะลง
นรกอยา่ งเดียว ไม่ตอ้ งสงสยั ใดๆ เลย
โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น | ๒๒๓
ท่ีทา่ นไม่ให้ศลี แกญ่ าตโิ ยมท่แี ม้จะรู้จกั ศีล กเ็ พราะสงสารเมตตาแก่เขาตา่ งหาก
แล้วท่านก็อา้ งวา่ ขนาดพระ ทา่ นกย็ ังไม่ให้ศีล ๒๒๗ ขอ้ เลย ใหแ้ ต่เพียงศลี ๑๐
ซ่ึงเป็นศีลของสามเณรเท่านั้น จากนั้นก็ให้ภิกษุรักษาศีลเอาเอง ประกาศ
กันเอาเอง ใหพ้ ากันรกั ษาพระปาฏิโมกขค์ ือวนิ ัยหรือศีลของสงฆ์เอา ฉนั นี้ก็ฉัน
ใด หากญาติโยมจะขอศีล ก็ให้เจตนารักษาเอาเฉพาะตนเองเถิด เท่าน้ันก็
พอแล้ว ไม่ต้องมาขอศีลอะไรจากเราหรอก เพราะญาติโยมกร็ ู้ศีลดีอยู่แล้ว ว่า
ศีลห้ามนั มีอะไรบ้าง ดีช่ัวก็รู้อยูแ่ ก่ใจ จะมาขอเราทาไม การขอศีลให้ศีล ก็เป็น
เพยี งสมมุติเท่านัน้ หากขอแล้วเอาไปทิ้ง ไมไ่ ดต้ งั้ ใจจะรักษาอยา่ งจริงจัง ก็อย่า
มาขอเลย จะเป็นบาปเป็นกรรมหนักไปเปล่าๆ ถ้าตั้งใจจะรักษาศีลเอง ก็
สมาทานเอาเองได้ เพราะศีลมันอยู่ที่ความตั้งใจ ไม่ใช่อยู่ที่การเปล่งวาจา
ปาณาติปาตา อทินนา กาเมสุมิจฉาจารา มสุ าวาทา สุราเมรยมัชฌปมา อะไร
เทือกนี้ ก็รดู้ ีอยแู่ ล้วไม่ใช่หรือ อยูท่ ่ไี หน ตง้ั ใจทไี่ หน มันกเ็ ป็นศีลท่ีนัน่ แหละ
ศีลไม่ได้อยู่ที่วัด อยู่ที่พระ อยู่ที่วาจา อยู่ที่คาพูด อยู่ที่ความต้ังใจของเรานี่
ตา่ งหาก เกดิ มาอยู่มาจนถึงป่านนี้ สมาทานขอศลี มาก่ีรอ้ ยคร้งั แล้ว รักษาไวไ้ ด้
สกั คร้งั ไหม มนั กแ็ คล่ มปากเทา่ นนั้ เอง ถ้ารศู้ ลี แลว้ วา่ มีอะไรบา้ ง ก็ไมต่ ้องมาขอ
ให้ตั้งใจเอาเอง หลวงปู่ม่นั ท่านวา่ อย่างน้ัน อกี ประการหนึง่ ท่านจะไม่เน้นเรื่อง
ศีลมาก แต่ท่านจะเนน้ การประพฤติปฏิบตั ิมากกวา่ นั่นคือการเจริญสติภาวนา
มุ่งทาวิปสั สนาญาณให้เกิดมากกว่า เพราะเมื่อเกิดญาณ บรรลธุ รรมอย่างน้อย
โสดาบันแล้ว ศีลห้ามันก็จะมาเองโดยอัตโนมัติ เรยี กวา่ ศีลวิรัติน่นั เอง เป็นศีล
ประจาใจ ไม่ต้องสมาทานแต่อยา่ งใด มันจะเป็นของมันเอง ซง่ึ เร่ืองนี้ได้แสดง
ไปมากมายแล้ว ว่าทาไมพระโสดาบันจงึ มศี ีลหา้ โดยอัตโนมตั ิ เป็นศีลวริ ัติ ลอง
หาอ่านจากหนังสือเลม่ ตา่ งๆ ดู
๒๒๔ | โอวาทธรรมหลวงปู่มน่ั
สมณะ พราหมณ์ มกี ารเพ่งอย่เู ปน็ นิจ มันไมร่ ู้ไม่ฉลาดแล้ว จะไปอยู่
ณ ทไี่ หนอาพาธก็หาย บุญกไ็ ด้ด้วย พระองค์ตรสั ใหพ้ ระสารบี ตุ รทาเชน่ นั้น แท้
ที่จรงิ พระสารีบุตรก็ทาชานาญมาแล้ว แล้วทาอีก อาพาธก็หาย
ทา่ นพูดถึงการอาพาธเจ็บป่วยของพระ ว่าสามารถใช้ธรรมโอสถรักษาหายได้
หากมีการเพ่งภาวนาอยู่เป็นนิจ คาว่าเพ่งในที่นี้หมายถึงการเพ่งในกายในจิต
แตไ่ ม่ใช่เพ่งแบบเพ่งจ้องดังที่เข้าใจ หมายถึงการเพ่งพิจารณากายบา้ ง จิตบ้าง
การเพ่งพิจารณาดังกล่าวสามารถนามาใช้ในเวลาเจ็บป่วยได้ เวลาเจ็บป่วย
หากภาวนาจนจิตเป็นสมาธิขนึ้ มา อานาจสมาธิกส็ ามารถรกั ษาอาพาธได้ อย่าง
หลวงปู่ม่ันครั้งหนึ่งเจ็บป่วยหนัก พระและญาติโยมก็เอาหมอมารักษา จัดยา
สมัยใหม่ให้ฉัน ท่านก็ไม่หาย สุดท้ายท่านบอกไม่ต้องฉันยาแล้ว จะใช้ธรรม
โอสถรักษา แล้วท่านก็เข้าสมาธิ ท่ีเจ็บป่วยก็หายไป ตอนแรกก็สงสัยว่าทาไม
หลวงปไู่ มเ่ ขา้ สมาธิรักษาเสียตัง้ แต่แรก เสยี เวลาให้หมอใหโ้ ยมใหพ้ ระคอยดูแล
รักษาอยู่ได้ น่ีคือความคิดแบบโง่ๆ ไมไ่ ด้คิดถงึ น้าใจของพระอริยะเจ้าท่ีมีแต่จะ
สงเคราะห์โลก เพราะถ้าหลวงปู่ทาเชน่ นั้นแต่ต้น พวกญาติโยมพวกหมอพวก
พระปุถุชน ก็จะไม่มีโอกาสได้ทาบุญกับพระอรหันต์อย่างท่านเลย ท่านให้
โอกาสคนพวกนั้นได้ทาบุญมากกว่า ท่านกร็ ู้อยูแ่ ลว้ ว่ารักษาแบบหมอสมยั ใหม่
มันไม่หาย แต่ท่านก็ยอมให้ร่างกายมันทุกข์ทรมาน เพ่ือจะสงเคราะห์คน
เหล่าน้นั นั่นเอง
ตรงคาว่ามันไม่รู้ไม่ฉลาดแล้ว ตรงน้ีข้อความท่ีบันทึก คนท่ีนามาเผยแผ่นามา
ไม่ครบ ความท่ีควรเป็นก็คือ สมณะ พราหมณ์ (หมายถึงพระ) มีการเพ่งอยู่
เป็นนิจ มันไม่รู้ไม่ฉลาดขึ้นมาแล้วก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร พอมันรู้มันฉลาดข้ึนมา
ไปอยู่ท่ีไหน เวลาอาพาธก็จะหาย ที่หายเพราะรแู้ ล้วว่าจะใช้ธรรมโอสถรักษา
อย่างไร การเพ่งภาวนานอกจากจะช่วยรักษาอาพาธได้แล้ว ก็ยังเป็นบุญใน
โอวาทธรรมหลวงปู่มัน่ | ๒๒๕
เวลาเดียวกันอีกด้วย เพราะเม่ือจิตสงบเป็นสมาธิขึ้นมา ตรงน้ันเกิดบุญ
มหาศาล ครูบาอาจารย์จึงสอนว่าความสงบเป็นยอดแห่งบุญ พระพุทธเจ้าก็
สอนใหพ้ ระสารีบุตรรักษาอาพาธด้วยธรรมโอสถเช่นกัน ซงึ่ จริงๆ พระสารบี ุตร
ท่านก็ทาชานาญอยู่แล้ว พอทาอีก อาพาธก็หาย แล้วทาไมพระพุทธเจ้าทรง
สอนพระสารีบุตรอีก พระองค์ไม่รู้หรือว่าพระสารีบุตรก็ทาอยู่แล้ว แท้จริง
พระองค์ก็รู้ว่าพระสารีบุตรทาอยู่แล้ว แต่ที่สอนก็เพ่ือเป็นนัยให้พระสารีบุตร
ไปสอนคนอื่นด้วย หมายถึงพระพุทธเจ้าอนุญาตให้ใช้ธรรมโอสถรักษาความ
เจ็บปว่ ยได้
จริงๆ เร่ืองนี้ก็ลึกซึ้ง เพราะความเจ็บป่วยทุกรูปแบบก็เป็นกรรมอย่างหน่ึง
หากพทุ ธศาสนาหรอื พระพทุ ธเจ้าสอนให้ใชส้ มาธิ ใชธ้ รรมโอสถ ใชส้ มั โพชฌงค์
เจ็ดเที่ยวรักษาคนป่วย ก็จะผิดจุดประสงค์การตั้งพุทธศาสนาไป เพราะพุทธ
ศาสนามุ่งเน้นให้คนพ้นทุกข์ ให้พ้นไปจากการเกิดการแก่เจ็บตาย เหมือนท่ี
พระองค์ทรงบัญญัติห้ามพระแสดงฤทธ์ินั่นแหละ พระองค์จะทรงเน้นปัญญา
มากกว่า การจะเทย่ี วไปบอกดว้ ยพระองค์เองวา่ ใหร้ ักษาอาพาธด้วยวิธนี ๆี้ นะ
พระองค์จะทรงถูกติเตียนเอาได้ จึงทรงบอกเป็นการเฉพาะรายเท่านั้น ดุจท่ี
บอกพระ สารีบุตรเพ่ือให้พระสารีบุตรไปบอกคนอ่ืนเป็นการเฉพาะ เช่นกัน
เพราะหากเม่ือกรรมส่งผลถึงที่สุดของมัน ธรรมโอสถอย่างไรๆ ก็เอาไม่อยู่
เช่นกัน ขนาดพระโมคคัลลานะมีฤทธ์ิมากมายกย็ ังหนีกรรมไม่พ้นเลย ไม่มีใคร
ใหญ่เกนิ กรรม ขอใหจ้ าไว้
๒๒๖ | โอวาทธรรมหลวงปมู่ นั่
ขยายความธรรม ในกล่มุ สายธารธรรม เม่ือวันท่ี ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๓
มีแป้น (ไม้กระดาน) แล้วก็มีบ้าน มีบ้านแล้วก็มีแป้น พูดอย่างน้ี
จงึ แจม่ แจ้งดี
ท่านทรงกลด : คาว่าแป้นในที่นี้คือไม้กระดาน เป็นภาษาทางอีสานกระมัง
หลวงปู่มั่นบอกว่ามีแป้นแล้วก็มีบ้าน มีบ้านแลว้ ก็มแี ป้น หมายถึงสังขารท้ังปวง
มนั ไม่มีตัวตน มันประกอบกนั ข้นึ มา ปรงุ แตง่ กันข้นึ มาอย่างบ้านนี้ อะไรคอื บา้ น
มันก็คือไม้กระดานประกอบกันขึ้นมาเป็นบ้านเท่าน้ัน เมื่อร้ือเอาไม้กระดาน
หรือแป้นออก บ้านก็ไม่มี ท่านเปรียบกายเราเหมือนบ้าน ประกอบกันขึ้นมา
จากธาตุดินนา้ ไฟลม มผี ม ขน เลบ็ ฟัน หนงั เนอื้ กระดกู ทั้งหลาย เอน็ ทั้งหลาย
เย่ือในกระดูก ไต หัวใจ ตับ พังผืด ม้าม ปอด อะไรท่ีเป็นส่วนแข็งอันนั้นก็คือ
ธาตุดิน ส่วนอันไหนที่เป็นส่วนอ่อนเหลว เช่น น้าดี น้าเลือด น้าเหลือง น้าลาย
อันนั้นก็คือธาตุน้า แล้วก็มีลม มีความอุ่นคือไฟ ไฟย่อยอาหาร ไฟที่ให้ความ
อบอุ่นในร่างกาย ถ้าเราแยกผม แยกขน แยกเล็บ แยกฟัน แยกหนัง แยก
กระดูก แยกส่วนต่างๆ ออกมา มันก็จะหาความเป็นตัวตนของคนได้ที่ไหน มัน
หาตัวตนไม่ได้ ถ้าเราพิจารณาจนจิตสงบลงไป แล้วเห็นกายตามความเป็นจริง
ดังกล่าวปรากฏขน้ึ ในจิตเหมือนตาเห็นรูป เห็นสว่ นต่างๆ ของกายเป็นเพยี งธาตุ
ประกอบกันข้ึนมา ความยึดมั่นในตัวตนในคนก็ไม่มี เมื่อเห็นว่าคนไม่มี เป็น
เพียงธาตุประกอบกัน จิตท่ีคิดจะทาร้ายคนก็ไม่มี จิตจะสงบจากอาฆาต
พยาบาท นี่เรียกว่าจิตสงบด้วยปัญญาคือความเห็นชอบ เห็นตามจริงในธาตุ
อย่างบ้านท่ีหลวงปู่ม่ันยกมาก็เชน่ กัน บ้านใหญ่ บ้านเล็ก บ้านหรู บ้านธรรมดา
มันก็แค่ไม้กระดานประกอบกันข้ึน มายุคนี้ มันก็แค่ปูนหินทรายเหล็กอิฐ
ประกอบกันขึ้นมา แยกปูน แยกทราย แยกเหล็ก แยกไม้ แยกอิฐออกมา บ้าน
ก็หายไป หลวงปู่มั่นยกบ้านขึ้นมาอปุ มาอุปมัยให้ฟงั แล้วท่านก็บอกว่า ต้องพูด
โอวาทธรรมหลวงปู่ม่นั | ๒๒๗
อย่างนี้ จึงแจ่มแจ้งดี ข้อความท่ีบันทึก ขาดหายไปในช่วงกลาง จึงทาให้ไม่
สมบรู ณ์
ธรรมเป็นของธรรมดาตั้งอยู่อย่างน้ัน คือต้ังอยู่ด้วยความแก่ ความ
เจบ็ ความตาย จึงไดช้ ื่อว่าธรรมเปน็ ของจริง ไมม่ ีอาการไป ไม่มอี าการมา ไม่มี
ขน้ึ ไมม่ ลี ง เปน็ สภาพทต่ี ง้ั ไว้ดุจกลา่ วไว้ ข้างตน้ ฯ
อันนี้ก็ลึกซึ้งมากๆ คาว่าธรรมในท่ีนี้หมายถึงจิต ธรรมดาจิตก็ตั้งของมันอยู่
อยา่ งน้ัน ไมม่ อี าการไป ไม่มีอาการมา ไม่มีขน้ึ มีลง ธรรมดาของจติ เดิมมันเป็น
อย่างน้ัน ส่วนความแก่ความเจ็บความตาย ไม่ใช่ธรรมของจริง เป็นของปรุง
แต่ง จึงมีแก่ มีเจ็บ มตี าย อยา่ งกายน้ี เกดิ มาแล้วก็มีแกม่ ีเจ็บมีตาย แต่จิตเดิม
ก็ตง้ั อยอู่ ย่างนนั้ ไม่ไดแ้ ก่เจ็บตายไปตามดว้ ย หรือจิตสงั ขารหรืออาการของจิต
ทั้งปวง เมื่อเกิดหรอื ปรุงแต่งข้ึนมาแล้ว ก็มีเสือ่ มมีดบั หรอื ตายไป แตจ่ ิตเดิมไม่
มอี าการไปมาเหมือนอาการของจติ เมื่อปฏบิ ตั จิ นถงึ จิตเดมิ หรอื ฐตี ิภตู ังได้ ก็จะ
พบจิตไม่มีอาการไปมา มีสภาพท่ีตั้งไว้ดุจกล่าวไว้ข้างต้น คาว่าตั้งไว้ ก็คือ
ต้ังมน่ั คาสอนของหลวงปู่ม่นั ใช้ภาษาธรรมดา แต่เป็นของลึกซ้ึงท้ังน้ัน ปฏิบัติ
ไปไมถ่ งึ จะเห็นภาพหรือเข้าถงึ เข้าใจในคาสอนทา่ นเลย
จริงๆ ที่ถกู แล้ว ฉบับท่ีถูกต้องต้องบันทึกว่าธรรมเป็นของธรรมดาตง้ั อยู่อย่าง
น้นั คือตั้งอยู่ท่ามกลางความแก่ความเจ็บความตาย จึงได้ช่ือว่าธรรมเป็นของ
จริง ธรรมที่จิตปรงุ แต่งไม่ว่ารปู หรอื นามย่อมแกต่ ายเส่ือมดับไป แต่ตัวจิตเดิม
มันกอ็ ยทู่ า่ มกลางความแก่ ความเจ็บ ความตาย มนั หาได้แก่เจ็บตายไปด้วยไม่
เอาธรรมชิ้นเดียวน้ีเอง คือกายน้ีเองไปเจ็บ กายช้ินเดียวนี้เองไปแก่
กายชิ้นเดียวนี้เองไปตาย เมื่อตายแล้วก็ไปเกิดอีก ล้วนแต่ต่ืนเต้นอยู่ด้วยธาตุ
อันน้เี อง หาทจี่ ะจบไม่ได้และส้นิ สดุ มิได้ฯ
๒๒๘ | โอวาทธรรมหลวงปู่มน่ั
แล้วทา่ นก็มาพดู ถึงกายว่า เอาธรรมช้ินเดียวกันน้เี อง คือกายนี้เอง ไปเจบ็ ไป
แก่ ไปตาย ตายแล้วกเ็ กิดอีก มันกธ็ าตุเดิมอีก คือธาตุดินนา้ ลมไฟ เกิดกี่ทีก่ที ีก็
ธาตุอันเดิม เกิดมาก็หลงดีใจต่ืนเต้นไปกบั ธาตุอันเดิม เวลาเด็กเกิดใหม่ เราก็
หลงต่นื เต้นดใี จ หลงว่าเป็นของขวัญอันประเสริฐ แตพ่ ระพุทธเจา้ กลับเหน็ เป็น
ตรงข้าม เหน็ ว่าน่นั คือหว่ ง คือราหุล โลกกับธรรมมกั มองสวนทางกันเสมอ เอา
ส่ิงนี้ไปพูดให้โลกฟัง เขาจะหาว่าบ้า มองโลกในแง่ร้าย มองโลกในแง่ร้ายกับ
มองโลกตามความเป็นจริง มันคนละเร่ืองกัน เม่ือคนทางธรรมมองโลกตาม
ความเปน็ จริง ก็จะถกู คนทางโลกมองว่าเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย คนทางธรรม
เหน็ โลกตามความจรงิ จิตก็จะสงบ คนทางโลกไมไ่ ด้มองโลกตามความเปน็ จริง
จิตกจ็ ะวนุ่ วายเรา่ ร้อน มนั ต่างกนั ตรงน้ี
อย่างหมาแมวตายตัวหน่ึง คนทางโลกก็มองว่าทาไมมันต้องตาย เพ่ิงอายุได้
ไม่ก่ีปีเอง แล้วก็เป็นทุกข์วุ่นวายเร่าร้อนกับการตายของหมาของแมว แต่คน
ทางธรรมมองว่าของมันตายได้ เกิดมาแล้วก็ต้องแก่ต้องตาย ธรรมดามันเป็น
ของมันอย่างนั้น ไม่ตายวันนี้ ก็ต้องตายในวันหน้า เขาเห็นตามจรงิ อย่างน้ี จิต
ก็จะไม่ทุกขร์ ้อนอะไรมาก เหมือนหลวงปู่ชาสอนเร่ืองแก้วนา้ ท่านบอกวา่ แก้ว
น้านี้ มันไม่แตกวันนี้ก็ตอ้ งแตกในวันหน้า ไมม่ ีคนทาใหแ้ ตก ไก่ก็จะทาให้แตก
เพราะของมันแตกได้ ให้เห็นความแตกในความไม่แตก เมื่อมนั แตกก็จะได้ไม่
ทุกข์ เพราะเห็นตามจริงแล้วว่าของมันต้องแตก พอมันแตก เออ! น่ันไง ว่า
แลว้ มนั ตอ้ งแตก หรืออยา่ งคบคน ก็อยา่ ไปคาดหวงั วา่ เขาจะดีอะไรมาก เพราะ
ธรรมดาคนย่อมเปล่ียนแปลงได้เสมอ จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว จิตบังคับกาย
อย่างทหี่ ลวงปู่มั่นสอนไว้ ธรรมดาจติ มันเปล่ียนตลอดเวลา จิตปรุงแต่งอยา่ งนี้
แล้วก็ดับ แล้วก็ปรุงแต่งใหม่ แล้วก็ดับอีก หาสาระแก่นสารไม่ได้ จิตท่ี
เปลี่ยนแปลงก็บังคับกายวาจาให้เปล่ียนไปตามด้วย ธรรมดาของเขามันเป็น
อย่างนั้น ถ้าเราเห็นตามจริงอย่างน้ี เวลาคนที่เราคบรู้จักเขาเปล่ียนไป ก็จะ
โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น | ๒๒๙
ร้องข้ึนมาทันทีว่า อ้อ! เป็นธรรมดาเช่นน้ันเอง จะไม่มาน่ังจมอยู่กับการ
เปลยี่ นแปลงของคนทางโลก จะไม่เป็นบา้ เปน็ หลังไปเหมอื นคนทางโลก ข้ึนชื่อ
ว่าคนย่อมไม่แนน่ อน จึงไม่ต้องตื่นเต้นตกใจไปกบั การเปล่ยี นแปลงของคน ให้
เห็นเป็นของธรรมดา และไม่ต้องไปนึกหาเหตุผลอันใดให้เสียเวลา อย่าไป
เสยี เวลาหาเหตผุ ลกับการเปลี่ยนแปลงของคนให้มากนัก วา่ ทาไมเปน็ อยา่ งน้ัน
ทาไมเป็นอย่างนี้ มันจะบ้าเอาเสียกอ่ น เฝา้ แก้ไขจิตใจตนเองไม่ให้ทุกข์ร้อนไป
กบั การเปลี่ยนแปลงของคนจะดกี วา่
จริงๆ เร่ืองคนนี้ หากเจริญกายคตาสติ เหน็ คนเปน็ ธาตุได้แล้ว จะไม่ทุกข์อะไร
มากเลยเวลาคนเปลี่ยนไป เพราะเห็นแล้วว่าคนมันก็สักแต่ธาตุดนิ นา้ ไฟ ลม
เทา่ นั้น ถึงเวลาก็ต้องเสื่อมตอ้ งดับตอ้ งแกต่ ้องตายไปเท่านั้น ใครทาอะไร เราก็
แก้ไขไปตามหน้าที่ แต่ไม่ต้องลงมือไปทาร้ายอะไรเขา ไม่ต้องไปอาฆาต
พยาบาทเขา ไมต่ ้องไปตามแช่งสาปอะไรเขา อย่างนั้นมนั ทารา้ ยตนเองทงั้ น้ัน
ย่ิงแช่งก็ย่ิงเจอ การแช่งก็คือการอาฆาตพยาบาทอย่างหนึ่ง ไม่นานเขาก็ต้อง
ตายเหมือนเราน่ีแหละ เพราะข้นึ ช่ือว่าธาตุ ย่อมแปรปรวนอยู่เปน็ นจิ เสอื่ มไป
ทุกขณะ จนแก่เจ็บตายไป ตายแล้วก็เกิดใหม่ ด้วยธาตุอันเดิม วนเวียนว่าย
ตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร หาท่ีจบไม่ได้ หากมาหลงกายเป็นตัวเป็นตนอยู่ ไม่มี
วันจบ เพราะมันจะตามยดึ มีอุปาทาน ตวั อปุ าทานนแ้ี หละคือตัวพาไปเกดิ แต่
ถา้ เจรญิ สตภิ าวนาเห็นกายเปน็ ธาตุได้ มันก็บนั่ ทอนวัฏสงสารลงไปได้ แตถ่ ้ายัง
มาต่ืนเต้นอยู่กับธาตุเดิมอันนี้ ก็ไม่มีวันพ้นจากวัฏสงสารได้เลย จะตื่นเต้นไป
ทาไม มนั ของเกา่ ของเดิมท้ังน้ัน เปลีย่ นแต่หน้าตา ช่ือแซส่ กุล แต่ธาตุกย็ งั เป็น
ธาตเุ ดมิ อยนู่ ั่นเอง
๒๓๐ | โอวาทธรรมหลวงปมู่ น่ั
ขยายความธรรม ในกล่มุ สายธารธรรม เมื่อวนั ที่ ๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๓
ธรรมแสดงอยู่เรื่อยๆ เว้นแต่นอนหลับโดยมไิ ด้กาหนดจะไม่รู้ไม่เห็น
ขณะน้นั
ท่านทรงกลด : หมายถึงธรรมที่ปรากฏแล้วจะแสดงให้เห็นอยู่เรื่อยๆ จะเห็น
การเกิดการดับของธรรมอยู่เสมอ เห็นบ่อยๆ เข้ามันก็จะเบื่อหรือนิพพทิ าขึน้ มา
เร่ือยๆ เช่นกัน นิพพิทาหรือความเบ่ือหน่ายในรูปนามอารมณ์ที่เห็นเกิดดับอยู่
เสมอนั้น จะเกิดข้ึนหลังจากเห็นธรรมแล้วเท่านั้น ถ้ายังไม่เห็นธรรม ก็จะเป็น
ความเบื่อหน่ายแบบโลกๆ คือเบื่อๆ อยากๆ เบ่ือไม่จริง แต่เบ่ือหน่ายจริง มัน
จะจางคลายออกมา คาว่าธรรมที่แสดงอยู่เรื่อยๆ ก็คือรูปนามอารมณ์น่ันเอง
มันจะแสดงการเกิดการดับให้เห็นเป็นปรกติ หลวงปู่ชาจึงบอกว่าคนธรรมดา
เห็นจะกลายเป็นมุนี มุนีเห็นก็จะเห็นเป็นธรรมดา ธรรมะของพระอริยะเจ้าจะ
สอดคล้องต้องกันเช่นน้ีเสมอ เพราะท่านเห็นส่ิงเดียวกัน ที่หลวงปู่ชากล่าว
หมายความว่า ถ้าคนธรรมดาปฏิบตั ิธรรมเจริญสติอย่างถูกต้อง จนแยกจิตออก
จากขันธ์ห้าอารมณ์ได้ เห็นอารมณ์เกิดดับอยู่ อย่างท่ีพระอัญญาโกณฑัญญะ
เห็น ว่าสิ่งใดเกิดเป็นธรรมดาสิ่งน้ันก็ดับเป็นธรรมดา หาตัวตนแก่นสารอะไร
ไม่ได้ ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนเราเขาอะไรสักอย่าง การเห็นธรรมก็คือการเห็นการ
เกดิ การดับของรูปนาม เหน็ แลว้ จงึ เรียกว่าดวงตาเห็นธรรม
ทีนี้ ถ้าคนธรรมดาเห็นขึ้นมา คนน้ันก็จะกลายเป็นพระอริยะเจ้า หลวงปู่ชา
เรียกว่ามุนี แต่พอมุนีหรือพระอริยะเจ้าเห็น มันก็จะเห็นเป็นของธรรมดาล่ะ
คราวน้ี มนั ก็จะแสดงใหเ้ หน็ อยู่เร่อื ยๆ หลวงป่มู ่ันบอกวา่ เห็นครั้งหน่ึง กจ็ ะเห็น
ตลอดไป จะเห็นอกี เรอื่ ยๆ เว้นแต่นอนหลับ การนอนหลบั ของพระอริยะเจา้ ก็
มีสองแบบ แบบแรกก็คือหลับแบบธรรมดา ปล่อยให้สังขารขันธ์ทางานของ
เขาไปตามปรกติ กจ็ ะมีฝันอะไรเป็นธรรมดา พระอรหันต์ก็ฝันได้ ใช่ว่าจะฝัน
โอวาทธรรมหลวงปู่ม่ัน | ๒๓๑
ไม่ได้ เพราะตัวสังขารขันธ์คือตัวปรุงแต่งมันยังทางานอยู่ ยังไม่ดับขันธ์ แต่
ท่านไม่ได้ยึดฝันเป็นจริงเป็นจัง เป็นเรื่องเป็นราวอะไร ฝนั แลว้ ก็จบแค่ตรงนั้น
เหมือนความคิดเกิดแล้วดับไป หาสาระอะไรไม่ได้ พอปล่อยให้หลับเป็น
ธรรมชาติของขนั ธ์ กจ็ ะไม่เหน็ เว้นแตจ่ ะกาหนดใหจ้ ิตอยู่กบั รู้
พระธรรมแสดงท้ังกลางวันและกลางคืน อกาลิโก กาหนดกาลเวลา
มไิ ด้ แสดงท้ังภายนอกและภายใน
หมายถึงธรรมชาติของรูปนามมันแสดงตลอดเวลา อันน้ีก็อันเดียวกับโอวาท
ข้างต้น คือแสดงตลอดเวลาทั้งกลางวันกลางคืน ไม่ใช่จะแสดงให้เห็นเฉพาะ
เวลากลางวัน หรือกลางคืนเท่าน้ัน ท้ังแสดงท้ังภายนอก คือเห็นด้วยตาเปล่า
กบั แสดงอย่ภู ายในใจ ภายนอกก็อยา่ งเชน่ เห็นต้นไม้ ใบท่ีเคยเขียวกลบั เหลอื ง
ร่วงหล่นลงพ้ืน น่ันก็คืออนิจจังแล้ว ขยับเข้ามาท่ีกายเรา เห็นผมร่วง ผมขาว
บา้ งไหม ผวิ หนา้ ผิวหนัง เหย่ี วบ้างไหม ฟนั ผฟุ นั พังไปกซี่ แี่ ล้ว ส่วนภายในกค็ ือ
อารมณต์ ่างๆ ทเี่ กดิ แล้วดับไป เช่นอารมณ์ยนิ ดบี ้าง ยินร้ายบา้ ง พอใจไม่พอใจ
โกรธ รัก ฟุ้งซ่าน หรืออย่างเวทนาก็มีสองแบบ เวทนานอกเชน่ น่ังอยู่นานๆ ก็
ปวดเม่ือยข้ึนมา เวทนาในก็คืออารมณ์ยินดีไม่ยินดีต่างๆ เหน็ กันบ้างไหม มัน
เกิดมันดบั วันหนึ่งมากมายเหลอื คณานบั คนโลกๆ เขาไม่สนใจดูหรอก ไม่รู้ว่า
อะไรเป็นอะไร แต่คนทางธรรมก็จะหยิบมันขึ้นมาวิจยะคือวิจัยดู ให้เห็นเป็น
อนิจจงั ทกุ ขัง อนัตตาเสยี จิตจะได้ไม่ไปยึดมั่นถือม่ันมาก
ถา้ สงั เกตดูดีๆ จะเห็นธรรมมนั แสดงตลอดเวลาจรงิ ๆ ทง้ั ภายนอกภายใน คาว่า
พระธรรมนี่ ถ้าเอาจริงๆ ก็คืออนิจจังน่ันแหละคือพระธรรม เห็นอนิจจังก็คือ
เห็นพระธรรม ตอนแรกใหเ้ ห็นแบบพิจารณาเฝ้าสังเกตไปก่อน การพิจารณาก็
คือการพยายามสังเกตการเกิดการดับของรูปนามอารมณ์ต่างๆ เฝ้าสังเกตอยู่
เนืองๆ แต่อย่าไปเป็นทุกข์กับการเฝ้าสังเกตน้ัน ให้สังเกตด้วยจิตท่ีเป็นกลาง
๒๓๒ | โอวาทธรรมหลวงปู่มน่ั
ด้วยความรู้สึกตัวทั่วพร้อม วันหนึ่งพอจิตสงบต้ังม่ันข้ึนมา คราวนี้ก็จะเห็น
พระธรรมของจริงปรากฏข้ึนในจิต เห็นแล้วก็จะเป็นมุนี ต่อไปมันก็จะเห็นเอง
โดยไมต่ อ้ งกาหนดเห็นแบบตอนแรกเรยี กวา่ เห็นเป็นธรรมดา
ผทู้ ร่ี ้ธู รรมแลว้ เป็นผ้วู เิ ศษ อานสิ งสห์ าประมาณมไิ ด้
ผู้ท่ีรู้ธรรมก็คือพระโสดาบันขึ้นไป เป็นผู้วิเศษในที่นี้ไม่ได้หมายถึงวิเศษแบบมี
ฤทธิ์อภิญญา เสกของศักด์ิสิทธิ์ หายตัวได้ รู้เห็นเหตุการณ์ในอนาคต หยั่งรู้
ฟ้าดินได้ ไม่ใช่วิเศษอย่างนั้น คาว่าวิเศษในท่ีน้ี หลวงปู่ม่ันหมายถึงเป็นผู้มี
คุณวเิ ศษ มีคุณเป็นพเิ ศษกว่าปุถชุ นคนธรรมดาสามัญท่ัวๆ ไป เป็นเนื้อนาบุญ
ของโลก มีอานิสงส์นับประมาณไม่ได้ หมายถึงการได้มีโอกาสทาบญุ กับคนที่รู้
ธรรมนั้น จะมีอานิสงส์นับประมาณไม่ได้ ดังในบทสวดมนต์บทสังฆคุณ
ว่าผู้ที่เป็นสงฆ์ท่ีแท้จริงก็คือคู่แห่งบุรุษส่ีคู่ นับเรียงบุรุษได้แปด เริ่มท่ี
พระโสดาปัตติมรรคเป็นต้นไป บุรุษแปดน้ี เป็นเน้ือนาบุญของโลกท่ีแท้จริง
อะนตุ ตะรัง ปญุ ญักเขตตัง โลกัสสาติ การได้มีโอกาสทาบุญกบั ผทู้ ีร่ ูธ้ รรมเช่นน้ี
เปน็ ของยากยิง่
โดยเฉพาะในสมัยปัจจุบัน หาผู้ท่ีจะมารู้ธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้จริงน้ัน
ยากยงิ่ นัก ทั้งชาวพทุ ธปัจจบุ ันกห็ าผทู้ ี่มปี ัญญาไดย้ ากเช่นกัน ส่วนใหญ่จะมแี ต่
ศรทั ธา ปัญญาไม่ค่อยมี เห็นพระปลุกเสกเครื่องรางของขลังศักดิ์สทิ ธิ์ ก็ทกึ ทัก
หลงว่าเป็นพระอรหันต์ เห็นพระมีฤทธ์ิทักวาระจิตได้ถูก ก็ทึกทักว่าเป็น
พระอรหันต์ เห็นพระสอนเรือ่ งสมาธิก็ทึกทักวา่ เป็นพระอรหันต์ เห็นพระสอน
เร่ืองจิต ฟังแลว้ กไ็ ม่รเู้ ร่อื ง ซง่ึ ความจริงสอนผิด กท็ ึกทักเอาว่าเป็นพระอรหนั ต์
ขาดปัญญาแยกแยะธรรมแท้ออกจากธรรมปลอมไม่ได้ แต่สาหรับพวกเราก็
น่าปิติ มจี านวนไม่นอ้ ยที่มปี ัญญาแยกแยะได้
โอวาทธรรมหลวงปู่ม่นั | ๒๓๓
อย่างวันก่อนก็มีศิษย์ปฏิบัติดีท่านหนึ่ง ส่งคาสอนของพระรูปหน่ึงมาให้ เขา
เชื่อกันว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะมีลูกศิษย์มากมาย อ่านแล้วก็รู้ทันทีว่าสอน
ผดิ ศิษยท์ ่ีส่งมากบ็ อกว่าสอนผดิ ก็เลยโมทนากบั ไปกับเขาทีส่ ามารถแยกแยะ
คาสอนผิดคาสอนถูกได้ ถ้าจิตตรงต่อมรรคต่อผลแล้ว จะแยกแยะได้เช่นน้ี
แหละ ไปพบเห็นธรรมสอนแบบผิดๆ จิตก็จะไม่รับ มันจะโต้แย้งด้วยปัญญา
ออกมาเอง คาสอนท่ีส่งมาอ่านแล้วก็รู้ทันทีว่าได้แค่ฌานแค่นั้นเอง หลงเอา
ฌานเป็นนพิ พาน ยงั ไม่ไดเ้ ป็นผู้รธู้ รรมจรงิ แต่ประการใด
ถ้ารู้ธรรมจริง จะสอนแบบท่ีหลวงปู่มั่น หลวงปู่ชาสอน ถ้ารู้ธรรมไม่จริง ก็จะ
เป็นการสอนแบบคาดเดาเอาเอง ถ้ารู้ธรรมจริง ธรรมท่ีสอนก็จะเป็นรอย
เดียวกับหลวงปู่มั่น หลวงปู่ชา หลวงปูดูลย์ รอยเดียวกับที่พระพุทธเจ้าสอน
อย่างเรื่องจิตดับ จิตกลืนหายไปกับอากาศธาตุอะไรน้ี จะไม่พบไม่เห็นใน
คาสอนของหลวงปู่มั่น หลวงปู่ชา หรอื แมแ้ ตห่ ลวงปู่แบนอะไรเลย ทั้งไมพ่ บใน
คาสอนของพระอรหันตร์ ูปไหนด้วย ถ้ารู้ธรรมจริง จะไม่สอนอยา่ งนัน้ กใ็ ห้ใช้
ปญั ญาแยกแยะเอาเอง ทั้งนี้กแ็ ล้วแตบ่ ุญวาสนาทางธรรมของแต่ละคนทีท่ ามา
ไม่เท่ากันอีกด้วย ถ้าบุญวาสนาทางธรรมทามาน้อย ก็จะพบและหลงอยู่กับ
คาสอนผิดๆ น่ันแหละ ไม่มีวนั จะพบผรู้ ู้ธรรมจริงเลย หรอื พบแลว้ ก็มีอันต้อง
พลดั พรากจากไปเองในทสี่ ุด
๒๓๔ | โอวาทธรรมหลวงปู่มน่ั
ขยายความธรรม ในกล่มุ สายธารธรรม เม่ือวันท่ี ๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๓
วันน้ีก็เป็นการขยายความโอวาทหลวงปู่มั่นครั้งสุดท้าย มีบางท่านได้ติดตาม
อา่ นแล้ว เกรงวา่ จะไม่ได้อา่ นธรรมะอีก ขอให้แสดงธรรมทุกวันพระ ก็จะดูว่า
วนั พระใดไม่ติดอะไรก็จะแสดงใหฟ้ ังตามศรทั ธา สาหรับโอวาทหลวงปู่มัน่ ทไ่ี ด้
ขยายความติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายเดือนนี้ ทีมงานจะรวบรวมทาเป็น
หนังสือไว้แจกพวกเรา หากได้หนังสือแลว้ ก็ขอใหเ้ กบ็ ให้ดี เพราะต่อไปจะไม่มี
ใครมาแสดงธรรมแบบนใี้ ห้ฟังอีก มีท่านผู้พิพากษาท่านหน่งึ ติดตามอา่ นโอวาท
หลวงป่มู ่ันที่ผา่ นมา ได้สง่ ขอ้ ความส่วนตวั มา ขออนุญาตนามาลงดงั นี้
“คอยเฝ้าติดตามท่านทรงกลดขยายความโอวาทหลวงปู่ม่ันทุกวันค่ะ เป็น
คาอธิบายท่ีทรงคุณค่ามากค่ะ ไม่เคยหาอ่านแบบน้ีได้จากที่ไหนเลย ดังทีท่ ่าน
บอกไว้จริงๆ เฝ้ารอการรวมเล่ม... กราบขอบพระคุณท่านทรงกลดอย่างยิ่งท่ี
เสยี สละเวลาให้ส่ิงท่ีมีคา่ ที่สุดนีค้ ่ะ”
การอ่านหนังสือธรรมะต่างๆ ท่ี ทีมงานได้รวบรวมจัดทาข้ึนก็ดี ฟังธรรมหรือ
อ่านธรรมท่ีแสดงไปก็ดี หากจิตสงบข้ึนมาในขณะนั้น หรือเกิดปิติขึ้นมาใน
ระหว่างท่ไี ด้อา่ น เกดิ มาชาตนิ ี้กไ็ ม่เสยี ทีท่ีเกิดมาพบพระพุทธศาสนาแล้ว บุญท่ี
เกิดจากจิตสงบหรือปิติในขณะดังกล่าว มหาศาลย่ิงกว่าสร้างโบสถ์สร้างวิหาร
และนาไปสู่มรรคผลนิพพานอย่างไม่ต้องสงสัย ธรรมโอวาทของหลวงปู่มั่นที่
หลวงปู่หลุย จันทสาโร บันทึกไว้ ถือเป็นธรรมช้ันยอดที่สุด เป็นธรรมที่ลึกซ้ึง
ของพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนา ในช่วงก่ึงพุทธกาล ที่ไม่มีผู้ใดเทียบเท่า
ท่านยังก่อกาเนิดพระอรหันต์ตามมาอีกมากมาย โอวาทธรรมของท่าน อ่าน
แลว้ กธ็ รรมดาสามัญ ใชภ้ าษาธรรมดา แต่แฝงไว้ดว้ ยความลึกซึ้งเกินคนสามัญ
จะเข้าถึง คนสามัญมาอ่าน ก็จะไม่รู้สึกอะไร แต่ถ้าผู้รู้ธรรมมาอ่าน จะเห็น
ความลึกซง้ึ ถงึ จติ ในแต่ละโอวาทคาสอน
โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น | ๒๓๕
อย่างคาสอนที่ว่า "จิตที่ไม่ติดพัวพันในอารมณ์ทั้งปวง เรียกว่าบริสุทธิ์" เป็น
ภาษาธรรมดามากๆ แต่พอปฏิบัติไปถึงที่ของมัน โอ! ช่างลึกซึ้งจริงๆ ท่านก็
สอนเหมือนหลวงป่ชู าน่ันแหละ ไปดูคาสอนหลวงปู่ชาเถดิ ท่านจะสอนอยสู่ อง
เรื่อง คือเร่ืองจิตกับอารมณ์ แล้วท่านก็บอกว่าจิตก็จิต อารมณ์ก็อารมณ์
อารมณ์ไม่ใช่จิต และจิตก็ไม่ใช่อารมณ์ จิตมีอันเดียว นอกเหนือไปจากจิต
เรียกวา่ อารมณ์ทง้ั สิ้น รูปเวทนาสัญญาสังขารวญิ ญาณ ล้วนเปน็ อารมณข์ องจติ
อารมณ์ก็คือท่ีอยู่ของจิตของใจปุถุชน ทาไมหลวงปู่ม่ันจึงบอกว่าจิตท่ีไม่ติด
พวั พนั ในอารมณ์ทั้งปวง เรยี กว่าบรสิ ทุ ธ์ิ น่ันคือจิตท่พี ้นไปจากการติดพวั พันใน
รปู นามขันธห์ ้าอารมณ์ ก็จะเปน็ จิตท่ีบรสิ ุทธ์ิ
พระโสดาบันแยกจิตออกจากอารมณ์ได้แล้ว แต่จิตก็ยังไม่บริสุทธิ์
พระสกทาคามีนอกจากแยกจิตออกจากอารมณไ์ ด้ ราคะโทสะเบาบาง แตจ่ ิตก็
ยงั ไม่บริสุทธ์ิ พระอนาคามีเล่า แยกจิตออกจากอารมณ์ได้ ละอารมณ์ท้ังปวง
ได้ คงเหลอื แต่วิญญาณขันธ์ จิตก็ยังไมบ่ รสิ ุทธ์ิ เพราะอะไร กเ็ พราะว่าจิตของ
พระโสดาบนั ก็ดี จิตของพระสกทาคามีก็ดี จิตพระอนาคามีก็ดี ยังติดพวั พันใน
อารมณ์ต่างๆ อยู่ พระโสดาบัน พระสกทาคามี จิตยังติดพัวพันในอารมณ์
รูป เวทนา สัญญา สังขาร ติดพัวพันในรูปสุข ในทุกข์ ในสัญญาความจา ใน
ความคิดต่างๆ พระอนาคามีจิตยงั ตดิ พัวพนั ในวญิ ญาณขันธ์ คาว่า "ตดิ พัวพัน"
น่เี หมือนจะไม่มีอะไร แตพ่ อปฏิบัตถิ ึงมันมีอะไรอยู่ในสิ่งท่ีคิดว่าไม่มีอะไร ติด
พัวพันก็คือจิตยังไปมาหาสู่อยู่ เหมือนแม่ลูกแยกจากกัน เพราะอีกฝ่ายไปมี
ครอบครัว แม่ก็ยังไปมาหาสู่ลูกอยู่ ไม่ไปหาด้วยกาย ก็ส่งใจไปตลอดเวลา
คาว่าติดพัวพันคือส่งใจไปพัวพันอยู่ ดังได้แสดงไปหลายครั้งแล้วว่าช้ันเห็นกับ
ชนั้ ละ คนละชั้นกัน หลวงปู่ดลู ย์ก็สอนเชน่ นเี้ สมอ
อย่างรูปนามอารมณ์ขันธ์ห้าอะไรน่ี ปุถุชนก็จะเห็นว่าน่ันคือเรา เป็นเรา ของ
เรา ภาษาธรรมะเรียกว่าอหงั การ มมังการ เหน็ ว่ารปู หรอื กายนคี้ ือเรา ของเรา
๒๓๖ | โอวาทธรรมหลวงปมู่ ่นั
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือความรู้สึกนกึ คิดอะไรตา่ งๆ วา่ นนั่ คือเรา
ของเรา แต่พอเราเจริญสติท่ีถูกต้อง (สัมมาสติ) แยกจิตออกจากอารมณ์จาก
ขนั ธ์ห้าได้ จติ ต้งั มั่นจึงแยกจิตออกมาได้ พบจิตพบธรรม เกิดดวงตาเห็นธรรม
บรรลุโสดาปัตติผล ก็จะเห็นว่า อ้อ! ที่เคยหลงว่าความรู้สึกนึกคิดคือเรา
มันไม่ใช่เราเลย จะเห็นขันธ์ห้าไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขาท่ีเรียกว่าละ
สักกายทิฏฐไิ ด้
ตอนนี้มันเหน็ ละ่ วา่ รูปนามขนั ธห์ ้าอารมณ์ไม่ใช่เรา แต่จิตมันก็ยงั ยดึ ว่ามันเป็น
ของเราอยู่ สักกายทิฏฐินี่ ละอหงั การไปได้แล้ว แต่มมังการ หรอื ความเห็นผิด
วา่ รูปนามขนั ธ์หา้ อารมณย์ งั เปน็ ของเราอยู่ เหมือนลูกของเราแต่งงานแยกจาก
เราไปแล้ว ไม่ได้อยู่กับเราแล้ว แต่เราก็ยังยึดพัวพันอยู่ว่าลูกก็ยังเป็นของเรา
หรือดังที่ยกตัวอย่างไว้ในหนังสือกว่าจะถึงกระแสธรรม เหมือนเราขับรถ ไม่
เคยลงจากรถเลย ขบั ไปขับมา เกดิ ความรูส้ ึกว่ารถกับเราเปน็ สว่ นหน่ึงเดียวกัน
เราเปน็ รถ รถเป็นเรา วันหนึ่งจอดรถ ลงจากรถมายืนดู อ้าว! รถไมใ่ ช่เรา เรา
ไมใ่ ชร่ ถน่นี า แตก่ ย็ ังยึดตดิ พัวพนั อยวู่ า่ รถเป็นของเรา
รูปนามขันธ์ห้าก็เช่นกัน เพราะอยู่กับมันมานานนับอสงไขยไม่ได้ ก็เลยยึดว่า
นั่นคือเราของเรา แม้จิตจะแยกออกมาเกิดความเห็นแล้วว่ามันไม่ใช่เราแล้ว
แตก่ ็ยังยึดติดพวั พันอย่วู ่ามันเปน็ ของเรา พอเห็นวา่ เป็นของเรา จิตกส็ ง่ แส่ส่าย
ไปพัวพันโดยอัตโนมัติ แต่เพราะเห็นความจรงิ (ยถาภูตญาณทัสสนะ) ของรูป
นามอารมณ์ว่ามันเกิดดับๆๆๆ พอเห็นเป็นธรรมดา (มุนีจะเห็นเป็นธรรมดา)
ทุกขณะจิต จิตก็จะเรียนรู้ไปเองว่า มันไม่ใช่ของเราแล้ว พอเห็นดังน้ี จิตก็จะ
คอ่ ยๆ ละความพัวพันออกมา มันจะเบอ่ื หน่ายคลายกาหนัดออกมาเอง ที่มัน
เบอ่ื หนา่ ยคลายกาหนัดก็เพราะเห็นชอบ ความเห็นชอบว่ามันไม่ใช่ของเรา คือ
ปัญญาหรือวิชชา วิชชามากเท่าใด อวิชชาก็จางลงเท่านั้น ดุจแสงสว่างสาด
ส่องเข้ามาในหอ้ งมากเพียงใด ความมืดก็หายไปเองมากเทา่ นั้น ความเหน็ ชอบ
โอวาทธรรมหลวงปู่ม่นั | ๒๓๗
ว่ามันไม่ใช่ของเรา คือปัญญาหรือวิชชา วิชชามากเท่าใด อวิชชาก็จางลง
เท่านั้น ดุจแสงสว่างสาดส่องเข้ามาในห้องมากเพียงใด ความมืดก็หายไปเอง
มากเท่านั้น เมื่อเห็นมากเข้าๆๆๆ จิตก็จะหลุดจากความพัวพันในอารมณ์
เวทนาสญั ญาสงั ขารหรือความรู้สกึ นกึ คิดต่างๆ อนาคามผี ลเกิดขึ้นตรงน้ี แตจ่ ิต
พระอนาคามกี ย็ งั พวั พนั อยู่กับวญิ ญาณขนั ธ์ อันเป็นชนั้ สดุ ทา้ ยที่ตอ้ งละอีก จิต
พระอนาคามีจะเห็นการเกดิ ดับของวิญญาณขันธ์ขดั เจนมาก ทานองเดียวกัน
เม่ือจิตเห็นการเกดิ ดับ เห็นอนิจจัง เหน็ อนัตตาในวิญญาณขนั ธ์มากเท่าใด จิต
ก็จะคลายความพวั พนั ในวญิ ญาณขนั ธ์มากเทา่ นน้ั ตรงนห้ี ลายคนอาจจะงง แต่
ถ้าอ่านหนังสือกว่าจะถึงกระแสธรรมอย่างกระจ่างแจ้ง จะไม่งง เพราะใน
หนังสือได้เขียนไว้ว่า เม่อื ปฏิบัติไปลึกๆ จะพบว่าวิญญาณขันธ์ก็เป็นท่ีอยู่ของ
จิตหรือเป็นอารมณ์ของจิตได้ พอจิตหลุดจากความพัวพันในวิญญาณขันธ์ ก็
เท่ากับไม่ติดพัวพันในอารมณ์ทั้งปวงลงได้ จิตก็บริสุทธิ์ สังเกตดีๆ
หลวงปู่มั่นใช้คาวา่ "ทัง้ ปวง" ท้ังปวงกค็ อื รวมถึงวิญญาณขันธ์ด้วยน่นั เอง นคี่ ือ
ความลกึ ซ้งึ ของคาสอนหลวงปมู่ ัน่ ที่นอ้ ยคนนักจะเข้าถงึ และเขา้ ใจ
สาหรบั โอวาทสดุ ท้ายในวันนี้
คนในโลก หลงของเก่า คือหลงธาตุน้ันเองแหละ ชังแล้วมารัก รัก
แลว้ มาชัง หาที่สิน้ สดุ มิได้ พระองคไ์ ม่หลง
อันนี้จะเหมือนกับที่เคยแสดงไปเมอ่ื วันก่อน คือการหลงของเก่าอันได้แก่ธาตุ
ดินน้าไฟลม ธาตเุ ดิมๆ ท่ีเคยครองกันมา ถ้าเจริญกายคตาสติจนเห็นกายตาม
จริงว่าเปน็ สกั แตธ่ าตุดังกล่าว ประกอบกันข้ึนมาเปน็ คนหรอื สตั ว์ ก็จะหายหลง
ไปไดเ้ ยอะแล้ว จะไม่ค่อยหลงรกั หลงชังเหมอื นเมอื่ กอ่ น ในคร้ังแรกอาจจะหลง
รักหลงชงั ขึ้นมา แต่พอสติเข้ามาจับ การหลงการชังก็จะดับไปเอง เพราะไม่มี
คนบ้าท่ีไหนเท่ียวตามรักตามชังดิน ตามรักตามชังน้า ตามรักตามชังลม ตาม
๒๓๘ | โอวาทธรรมหลวงปู่มน่ั
รกั ตามชังไฟอยู่ไดห้ รอก ไมม่ ใี ครตามรักตามชังโครงกระดกู น้าเลือด น้าหนอง
ข้ีเย่ียวกองนี้ได้หรอก ถ้าเราเห็นกายตามจริงขึ้นมา เราจะสมเพชตัวเองท่ีแต่
กอ่ นเท่ียวตามรักตามชงั น้าเลือดน้าหนองกองข้ีกองเยยี่ วกองน้ีอยู่ รักแล้วกช็ ัง
ชังแล้วก็รัก เพราะความท่ีไม่รูเ้ ท่าทัน เห็นผดิ ในสิ่งที่รักท่ีชัง หาวันสนิ้ สุดไมไ่ ด้
บอกไม่ได้วา่ จะสิ้นสุดความรกั ความชงั เมอื่ วนั ใด
แต่พระพุทธเจ้าไมห่ ลง เพราะพระองคท์ รงเห็นดว้ ยญาณแล้ววา่ กายนม้ี ันก็เป็น
เพียงธาตุทั้งสี่ประชุมกันขึ้นมาเท่านั้นเอง ถึงเวลาก็เส่ือมแตกดับไป หาแก่น
สารสาระอันใดไม่ได้ น่าสลดใจจริงๆ ชาวพุทธไปงานศพไม่รวู้ ่ากีร่ ้อยศพ แต่ก็
ยงั ไม่เห็นความจรงิ ตรงน้ี ขนาดเผาศพพ่อแม่ญาติพ่ีน้องตัวเองเสร็จ เช้าขึน้ มา
น่ังเก็บเถ้ากระดูกอยู่ ก็ยังไม่เห็นความจริงอันน้ี ยังเท่ียวตามรักตามชังอยู่ไม่
วา่ งเว้น เปน็ ทุกข์กับการตามรกั ตามชังธาตดุ นิ น้าไฟลมอยไู่ ม่สน้ิ สดุ มันของเก่า
ของเดิมทงั้ น้ัน เกดิ กี่ทกี ็เอาดินเอาน้าเอาลมเอาไฟอันเดิมนัน่ แหละมาประกอบ
ประชมุ กันข้ึน ถงึ เวลาก็เส่ือมหมดสภาพอีก ต้องเผาทงิ้ อีก วนเวียนอยู่อย่างน้ี
ไม่มีวันจบ เราเผาเขาบ้าง เขาเผาเราบ้าง ผลัดกันเผาอยู่อย่างนี้แหละ ไม่รู้ว่า
วันใดจะได้เลกิ เผา
ธรรมธาตุ สัตวห์ ลงธาตุ ชมธาตุ ยินดีธาตุ ยินร้ายธาตุ จึงไดท้ ากรรม
ไปต่างๆฯ
อันนี้ก็สืบเนื่องจากอันแรก ว่าสัตว์อันหมายถึงคนหรือสัตว์ต่างๆ หลงธาตุดิน
น้า ไฟ ลม ของเก่าอันน้ี มีความยินดีในธาตุ ยินร้ายในธาตุ ก็หลงทากรรมไป
ต่างๆ นานา ถึงขนาดฆ่ากันเพ่ือแย่งชิงกัน ทาร้ายกัน เพราะเห็นธาตุเป็นตัว
เป็นตน เป็นเรา เป็นเขา ลงมือเบียดเบียนกัน หากเห็นตามจริง จะพบว่าสิ่งท่ี
คนลงมือทาร้ายเบยี ดเบยี นอยนู่ ้นั มนั ก็แคธ่ าตุดนิ นา้ ไฟลมเทา่ นน้ั สว่ นเจา้ ของ
ผู้ครองธาตุครองกายอันได้แกจ่ ิต ดว้ ยความหลงผิดเหน็ ว่าธาตุนี้กายนี้เป็นเรา
โอวาทธรรมหลวงปู่มน่ั | ๒๓๙
เป็นของเรา ก็ผกู ใจเจบ็ อาฆาตพยาบาท หาทางเอาคนื ไมส่ ้ินสุด กลายเป็นการ
ลงมอื ก่อกรรมจองเวรกนั ไป กเ็ พราะด้วยการไมร่ ูเ้ ทา่ ทนั ในธาตุอันน้ี ถา้ เหน็ คน
เป็นสกั แต่ว่าธาตุ ก็จะไม่ตกเป็นทาสของธาตุ นเ่ี พราะเห็นว่าคนเปน็ คน จึงตก
เปน็ ทาสของธาตุ
เคยลงขอ้ ธรรมไปวา่ ถ้าเหน็ บา้ นเปน็ ธาตุ กจ็ ะไมเ่ ป็นทาสของบา้ น บา้ นทคี่ นเรา
ยดึ วา่ เป็นของเรานี่ แท้จรงิ ก็ไมต่ า่ งจากคน เปน็ สังขารเหมือนคน ตา่ งกันตรงที่
คนเป็นสังขารที่มีวิญญาณครอง แต่บ้านเป็นสังขารท่ีไม่มีวิญญาณครอง
นอกจากน้ันกเ็ ป็นการปรงุ แต่งของธาตุเหมือนกัน บ้านหนึ่งหลังกป็ ระกอบไป
ด้วยอิฐปูนเหล็กไม้ มันก็คือธาตุดินทั้งน้ัน ถ้าเห็นบ้านเป็นเพียงธาตุดิน
ประกอบกันขึ้นมา เราก็จะไม่ตกเป็นทาสของบ้าน เวลาบ้านพังก็จะไม่ทุกข์
เพราะอะไรที่เป็นการประกอบกันขึ้นมาหรือภาษาธรรมะเรียกว่าสังขารน้ัน
ย่อมต้องเส่ือมต้องพัง พระบรมศาสดาก็สอนก่อนปรินิพพานไว้ว่า สังขาร
ทัง้ หลายย่อมมคี วามเสื่อมเปน็ ธรรมดา พระองค์สอนให้เห็นตามจริงว่าของมัน
เสื่อมเป็นธรรมดา เพื่อว่าจิตเราจะได้ไม่เข้าไปยึดม่ันในสังขารทั้งปวงน่ันเอง
เป็นคาสอนเดยี วกับคาสอนท่ีว่า สัพเพธรรมานาลงั อภินเิ วสายะ คือส่ิงท้งั ปวง
ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น คาสอนทั้งปวงมันจบลงตรงท่ีไม่ยึดมั่นถือมั่นอันน้ี อย่าง
หลวงปู่ม่ันบอกว่าจิตท่ีไม่ติดพัวพันในอารมณ์ทงั้ ปวง เรียกว่าบริสุทธิ์ มนั ก็อัน
เดียวกนั การไม่ติดพัวพนั ในอารมณ์ทง้ั ปวงก็คือการไมย่ ดึ ม่ันในอารมณ์ทั้งปวง
อยา่ งกายหรอื บ้าน มันก็เปน็ สังขาร ตอ้ งเสื่อมเปน็ ธรรมดา เวลามันเสื่อม ก็จะ
ไม่เป็นทุกข์กับการเสื่อมกับการพังของกายของบ้าน แล้วทาไมคนทั้งหลายก็
เห็นอย่างนี้ว่าของมันเสื่อมได้ ไม่ควรยึดม่ัน แต่ทาไมยังทุกข์อยู่ ก็เพราะเขา
เห็นตามความคิด ไม่ได้เห็นตามความจริง การเห็นตามความคิด กับเห็นตาม
ความจริง คนละเรื่องกัน ต่างกันราวฟ้ากับเหว เห็นตามความคิด ยังละไม่ได้
ต้องเหน็ ตามจริงด้วยญาณทัสสนะ จึงจะละได้ จึงจะพ้นทุกข์ได้ อย่างหมอทีผ่ ่า
๒๔๐ | โอวาทธรรมหลวงปมู่ ่ัน
ศพต่างๆ ก็เห็นด้วยตาชัดแจ้งว่าร่างกายประกอบด้วยหัวใจ ด้วยเลือด ด้วย
กระดูก เห็นความไม่สะอาดของร่างกายทุกอย่าง แล้วทาไมหมอยังลงมือ
กอ่ กรรมถงึ ขนาด ฆา่ คนได้ เพราะมนั เหน็ ด้วยตาเน้ือ เหน็ ด้วยความคิด มันแก้
ความหลงธาตุ ยนิ ดธี าตุ ยนิ รา้ ยธาตุไม่ไดห้ รอกเขาจงึ ได้ทากรรมไปต่างๆ อย่าง
ทห่ี ลวงปู่มั่นบอกไว้ แตถ่ ้าลองปฏิบัตธิ รรม เหน็ ดว้ ยตาในสิ เขาจะไม่มวี ันลงมือ
ก่อกรรมทาร้ายใครเลย เพราะมีแต่คนโง่เท่านั้นท่ีลงมือก่อกรรมทาร้ายธาตุ
ดนิ น้า ไฟ ลม
โอวาทธรรมหลวงปู่มั่นท่ียกมาให้ขยายน้ีลึกซึ้งมากๆๆ บางอย่างก็ไม่อาจจะ
แสดงออกมาเป็นคาพูดได้ หรือบางอย่างก็แสดงไปก็ไม่มีวันจะเข้าใจ ความ
ลกึ ซงึ้ ของคาสอนของหลวงปมู่ ั่นก็ดี ของพระอริยสงฆอ์ งค์อื่นๆ ก็ดี ตอ้ งปฏิบัติ
ไปถงึ จึงจะหายสงสัย แตใ่ นธรรมต่างๆ ของครูบาอาจารย์ทีเ่ คยมีคนถามๆ มา
โอวาทธรรมของหลวงปมู่ ่ันนับวา่ ลึกซ้ึงทีส่ ดุ สมแล้วท่ที ่านเป็นครูผยู้ ิ่งใหญ่ของ
พระอรหนั ต์ในยคุ ก่งึ พุทธกาล หรืออยา่ งหนังสือมุตโตทัย เคยอ่านตอนเรยี นอยู่
ชั้นมัธยมต้น อา่ นแล้วไม่เข้าใจเลยวา่ คอื อะไร แม้อายมุ ากข้ึน ลองกลบั ไปอ่าน
ก็ยังไม่เข้าใจอยู่นั่นเอง จนมาปฏิบัติถึง จึงร้อง อ้อ! มันเป็นอย่างน้ีๆๆ ที่
หลวงปู่มั่นเขียนไว้ มันเป็นอย่างน้ีน่ีเอง อย่างคาว่าพบต้นจิต จิตต้น
พ้นโหยหวน คดิ ให้ตายกไ็ มม่ ีวันเข้าใจ ตอ่ เมื่อมาเจริญสตพิ บจติ พบธรรม อ้อ!
จิตต้นมันเป็นอย่างนี้ พบจิตต้น จิตเดิม มันจะพ้นทุกข์ พ้นโหยหวน มันเป็น
อย่างน้ี พวกเราน้ีนับว่ามีวาสนาสูง ท่ีได้มีโอกาสได้อ่านโอวาทหลวงปู่มั่นที่
ลึกซึ้ง บางคนทาบุญหลายล้านๆ สร้างพระใหญ่โตมากมาย จบเปรียญธรรม
เกา้ ประโยค ก็ยงั ไมม่ โี อกาสได้อา่ นแบบนเ้ี ลย
โอวาทธรรมหลวงปู่ม่นั | ๒๔๑
ประวตั ิทา่ นทรงกลด มัน่ สงิ ห์
การศึกษา
ปวช. (วิทยาลัยพณิชยการบางนา)
นิติศาสตรบัณฑิต (เกยี รตนิ ยิ ม) มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง
บริหารธรุ กจิ มหาบัณฑิต (MBA) จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั
นบท. (เนตบิ ณั ฑิตไทย)
LL.M. (University of Southern California, USA.)
การทางาน
พนักงานธนาคารกสิกรไทย จากัด (มหาชน)
ผู้พพิ ากษาประจาศาลแพ่งกรุงเทพใต้
ผู้พพิ ากษาประจาศาลอาญากรงุ เทพใต้
ผพู้ ิพากษาศาลจงั หวดั อทุ ัยธานี
ผ้พู ิพากษาศาลจังหวัดรอ้ ยเอ็ด
ผพู้ ิพากษาศาลจงั หวัดเพชรบรุ ี
ผู้พพิ ากษาศาลลม้ ละลายกลาง
เลขานกุ ารศาลลม้ ละลายกลาง
ผพู้ ิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวจงั หวัดสระบรุ ี
ผูพ้ ิพากษารองหวั หนา้ ศาลเยาวชนและครอบครัวจงั หวัดนครสวรรค์
ผูพ้ พิ ากษาหัวหนา้ คณะชั้นตน้ ในศาลจังหวัดปราจีนบรุ ี
ผูพ้ พิ ากษาหวั หนา้ ศาลเยาวชนและครอบครัวจงั หวัดน่าน
อาจารยพ์ ิเศษ มหาวิทยาลยั ราชภัฏสวนสนุ ันทา
E-mail: [email protected]
๒๔๒ | โอวาทธรรมหลวงปู่ม่นั
ชอ่ งทางการตดิ ต่อ
LINE OPENCHAT สายธารธรรม
ทรงกลด ม่ันสิงห์
[email protected]
ทรงกลด มัน่ สิงห์