The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการจัดการเรียนรู้ วิชา เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการอาชีพ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by patsarit3089, 2021-12-16 02:03:34

แผนการจัดการเรียนรู้ วิชา เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการอาชีพ

แผนการจัดการเรียนรู้ วิชา เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการอาชีพ

แผนการจดั การเรยี นรู้มงุ่ เน้นสมรรถนะ

รหสั วิชา 30001 – 2001
เทคโนโลยสี ารสนเทศเพ่ือการจดั การอาชีพ
หลักสตู รประกาศนียบัตรวิชาชพี ชน้ั สูง (ปวส.)

ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2564

นายพฒั น์สาริทธ์ิ มณีเขยี ว
ตาแหน่ง ครู

แผนกวิชาเทคโนโลยสี ารสนเทศ

วิทยาลยั เทคนิคสมุทรปราการ
สานักงานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษา

กระทรวงศึกษาธิการ

แผนการจัดการเรียนรูม้ งุ่ เนน้ สมรรถนะ

ชอื่ วชิ า เทคโนโลยสี ารสนเทศเพอ่ื การจัดการอาชพี รหสั วิชา 3001-2001
ทฤษฎี 2 ปฏิบัติ 2 หน่วยกิต 3

หลกั สูตรประกาศนยี บัตรวิชาชีพ  หลกั สูตรประกาศนยี บตั รวิชาชีพขั้นสงู
ประเภทวชิ า บรหิ ารธรุ กจิ
สาขาวิชา การตลาด

จัดทาโดย
นายพฒั น์สาริทธ์ิ มณีเขยี ว

วทิ ยาลัยเทคนคิ สมุทรปราการ
สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศกึ ษา

กระทรวงศกึ ษาธิการ



คำนำ

แผนการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศเพือ่ การจัดการอาชีพ รหสั วิชา 3001-2001 จัดทา
ข้ึนเพื่อเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอน วิชา เทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือการจัดการอาชีพตาม
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพช้ันสูง พุทธศักราช 2557 ของสานักงานคณะกรรมการการ
อาชีวศึกษา เป็นการศึกษาและปฏิบัติเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคม ระบบเครือข่าย
คอมพิวเตอร์และสารสนเทศ การสืบคน้ ข้อมลู สารสนเทศ การจดั เก็บ ค้นคนื ส่งผ่านและจดั ดาเนนิ การ
ข้อมูลสารสนเทศ การประยุกต์ใช้โปรแกรมสาเร็จรูปในการนาเสนอและสื่อสารข้อมูลสารสนเทศตาม
ลกั ษณะงานอาชพี โดยจัดการเรยี นการสอนทงั้ หมด 18 สปั ดาห์ สปั ดาหล์ ะ 4 ชัว่ โมง เนอ้ื หาแบ่งเป็น
7 หน่วย ดังนี้ หน่วยท่ี 1 คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคม หน่วยท่ี 2 ระบบเครือข่ายและ
เทคโนโลยีสารสนเทศ หน่วยท่ี 3 การสืบค้นข้อมูลสารสนเทศ หน่วยท่ี 4 การประยุกต์ใช้โปรแกรม
สาเร็จรูป หน่วยท่ี 5 การใช้โปรแกรมด้านงานเอกสาร Microsoft Word หน่วยที่ 6 การใช้โปรแกรม
ด้านตารางคานวณ Microsoft Excel และหน่วยที่ 7 การโปรแกรมด้านการนาเสนอ Microsoft
PowerPoint เปน็ ต้น

ผู้จัดทาขอขอบคุณผู้ท่ีสร้างแหล่งเรียนรู้ และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่าง ๆ จึงทาให้แผนวิชา
เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการอาชีพ เล่มน้ีเสร็จสมบูรณ์ ผู้จัดทาหวังว่า รายงานเล่มนี้จะเป็น
ประโยชน์กับผู้อ่าน หรือนักเรียน นักศึกษา ท่ีกาลังหาข้อมูลเร่ืองน้ีอยู่ หากมีข้อแนะนาหรือ
ข้อผิดพลาดประการใด ผูจ้ ดั ทาขอนอ้ มรบั ไวแ้ ละขออภัยมา ณ ทน่ี ีด้ ้วย

พัฒนส์ ารทิ ธ์ิ มณเี ขยี ว



สารบัญ หนา้

เร่ือง ข
คำนำ ค
สำรบัญ ง
หลักสูตรรำยวิชำ จ
หน่วยกำรเรียนรู้ 1
หนว่ ยกำรเรยี นรูแ้ ละสมรรถนะประจำหน่วย 12
แผนกำรจัดกำรเรยี นรู้ หน่วยท่ี 1 คอมพวิ เตอรแ์ ละอุปกรณโ์ ทรคมนำคม 27
แผนกำรจัดกำรเรียนรู้ หนว่ ยที่ 1 คอมพวิ เตอร์และอุปกรณ์โทรคมนำคม (ต่อ) 41
แผนกำรจัดกำรเรยี นรู้ หนว่ ยท่ี 2 ระบบเครอื ขำ่ ยและเทคโนโลยสี ำรสนเทศ 54
แผนกำรจัดกำรเรยี นรู้ หนว่ ยท่ี 2 ระบบเครอื ข่ำยและเทคโนโลยสี ำรสนเทศ (ตอ่ ) 66
แผนกำรจดั กำรเรยี นรู้ หน่วยท่ี 2 ระบบเครือขำ่ ยและเทคโนโลยสี ำรสนเทศ (ตอ่ ) 75
แผนกำรจัดกำรเรยี นรู้ หน่วยที่ 3 กำรสบื ค้นข้อมูลสำรสนเทศ 87
แผนกำรจดั กำรเรียนรู้ หนว่ ยท่ี 3 กำรสบื คน้ ข้อมูลสำรสนเทศ (ต่อ) 97
แผนกำรจดั กำรเรยี นรู้ หนว่ ยที่ 4 กำรประยุกต์ใช้โปรแกรมสำเรจ็ รปู 115
แผนกำรจดั กำรเรียนรู้ หน่วยที่ 5 กำรใชโ้ ปรแกรมดำ้ นงำนเอกสำร Microsoft Word 125
แผนกำรจัดกำรเรยี นรู้ หน่วยท่ี 5 กำรใช้โปรแกรมด้ำนงำนเอกสำร Microsoft Word (ต่อ) 141
แผนกำรจดั กำรเรียนรู้ หน่วยที่ 6 กำรใช้โปรแกรมด้ำนตำรำงคำนวณ Microsoft Excel 153
แผนกำรจัดกำรเรยี นรู้ หนว่ ยที่ 6 กำรใชโ้ ปรแกรมดำ้ นตำรำงคำนวณ Microsoft Excel (ต่อ) 168
แผนกำรจดั กำรเรยี นรู้ หนว่ ยที่ 7 กำรโปรแกรมด้ำนกำรนำเสนอ Microsoft PowerPoint 181
แผนกำรจัดกำรเรยี นรู้ หน่วยที่ 7 กำรโปรแกรมด้ำนกำรนำเสนอ Microsoft PowerPoint (ตอ่ ) 191
แผนกำรจดั กำรเรียนรู้ หนว่ ยที่ 7 กำรโปรแกรมด้ำนกำรนำเสนอ Microsoft PowerPoint (ตอ่ )
บรรณำนุกรม



หลกั สตู รรายวชิ า

ชอื่ วิชา เทคโนโลยสี ารสนเทศเพ่ือการจดั การอาชพี รหสั วิชา 3001-2001
ทฤษฎี 2 ปฏิบัติ 2 หนว่ ยกติ 3

หลกั สูตรประกาศนยี บัตรวชิ าชพี  หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพขน้ั สูง
ประเภทวิชา บริหารธรุ กิจ สาขาวิชา การตลาด

จดุ ประสงคร์ ายวชิ า
1. เพอ่ื ให้เขา้ ใจเกยี่ วกับคอมพิวเตอร์และอปุ กรณ์โทรคมนาคม ระบบเครือข่ายคอมพวิ เตอร์
2. เพื่อให้สามารถสืบค้น จัดเก็บ ค้นคืน ส่งผ่าน จัดดาเนินการข้อมูลสารสนเทศนาเสนอและ
ส่ือสารข้อมูลสารสนเทศในงานอาชีพโดยใช้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคม และ
โปรแกรมสาเรจ็ รปู ทเี่ ก่ยี วขอ้ ง
3. เพ่ือให้มีคุณธรรม จริยธรรมและความรับผิดชอบในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือการ
จัดการอาชีพ

สมรรถนะรายวชิ า
1. แสดงความรู้เก่ียวกับหลักการและกระบวนการสืบค้น จัดดาเนินการและสื่อสารข้อมูล
สารสนเทศในงานอาชีพ โดยใช้คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์โทรคมนาคม ระบบเครือข่าย
คอมพิวเตอรแ์ ละสารสนเทศและโปรแกรมสาเรจ็ รูปที่เก่ยี วข้อง
2. ใช้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคมในการสืบค้นและส่ือสารข้อมูลสารสนเทศผ่าน
ระบบเครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์และสารสนเทศ
3. จดั เกบ็ คน้ คืน สง่ ผ่านและจดั ดาเนินการข้อมูลสารสนเทศตามลักษณะงานอาชีพ
4. นาเสนอและส่อื สารขอ้ มลู สารสนเทศในงานอาชพี โดยประยุกตใ์ ชโ้ ปรแกรมสาเรจ็ รปู

คาอธิบายรายวชิ า
ศึกษาและปฏิบัติเก่ียวกับคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคม ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์

และสารสนเทศ การสืบค้นข้อมูลสารสนเทศ การจัดเก็บ ค้นคืน ส่งผ่านและจัดดาเนินการข้อมูล
สารสนเทศ การประยุกต์ใช้โปรแกรมสาเร็จรูปในการนาเสนอและส่ือสารข้อมูลสารสนเทศตาม
ลักษณะงานอาชพี



หน่วยการเรยี นรู้

หน่วยที่ ชื่อหน่วย / หัวข้อย่อย จานวน สปั ดาห์ที่
ชั่วโมง
1 คอมพวิ เตอรแ์ ละอปุ กรณ์โทรคมนาคม 1-2
2 ระบบเครือข่ายและเทคโนโลยสี ารสนเทศ 8 3-5
3 การสืบคน้ ข้อมูลสารสนเทศ 12 6-7
4 การประยกุ ตใ์ ชโ้ ปรแกรมสาเรจ็ รปู 8 8
4 9
สอบกลางภาคเรยี นท่ี 1/2563 4 10
วันไหว้ครู - 11-12
5 การใชโ้ ปรแกรมดา้ นงานเอกสาร Microsoft Word 8 13-14
6 การใช้โปรแกรมด้านตารางคานวณ Microsoft Excel 8 15-17
7 การใช้โปรแกรมดา้ นการนาเสนอ Microsoft PowerPoint 12 18
สอบปลายภาคเรียนที่ 1/2563 4
68
รวมทั้งหมด

หมายเหตุ

1. การกาหนดชว่ั โมงสอน ผสู้ อนอาจยึดหยนุ่ ได้ตามกความเหมาะสม
2. สอบทฤษฎแี ละปฏิบตั ิกลางภาคเรียน สอบในสัปดาห์ที่ 9 จัดสอบโดยผู้สอน
3. สอบปลายภาค 1 ช่ัวโมง สอบตามตารางสอบทวี่ ิทยาลัยฯกาหนด ในสปั ดาหท์ ่ี 18
4. การเรียงลาดับหน่วยการสอน ผู้สอนจะพิจารณาจากความยากง่าย ความต่อเนื่อง

สัมพันธ์กันของเนื้อหา และความเหมาะสมในการเรยี นรู้ ตามหลักสูตรประกาศนียบัตร
วิชาชีพช้นั สูง พุทธศักราช 2557 ประเภทวชิ า บรหิ ารธุรกิจ สาขาวชิ า การตลาด

หน่วยการเรยี นรแู้ ละส

ชอื่ หน่วย ความรู้ 1.1.1 บอ
1.2.1 บอ
หน่วยที่ 1 1.1. ความหมายของคอมพวิ เตอร์ 2 สว่ น
คอมพวิ เตอร์และ 1.2. ระบบคอมพิวเตอร์ 1.3.1 บอ
อุปกรณโ์ ทรคมนาคม 1.3. องคป์ ระกอบของเคร่ืองคอมพวิ เตอร์ องค์ประก
1.4. ประเภทของคอมพวิ เตอร์ 1.4.1. บ
1.5. หลกั การทางานของคอมพวิ เตอร์ ประเภท
1.6. ประโยชนข์ องคอมพวิ เตอร์ 1.5.1. อ
1.7. ความหมายโทรคมนาคม 1.6.1. บ
1.8. อุปกรณโ์ ทรคมนาคม 1.7.1 บอ
1.9. สว่ นประกอบของโทรคมนาคม 1.8.1 ยก
1.10. ชนดิ ของการเช่ือมต่อ 1.9.1 บอ
1.11. หน้าทขี่ องระบบโทรคมนาคม 1.10.1.
1.11.1.
น้อย 2 ห



สมรรถนะประจาหนว่ ย

สมรรถนะ

ทกั ษะ คุณลกั ษณะที่
พึงประสงค์
อกความหมายของคอมพวิ เตอรไ์ ด้
อกสว่ นประกอบของระบบคอมพิวเตอร์ไดอ้ ย่างน้อย 1. ใฝก่ ารเรยี นรู้
2. ผู้เรียนทางานเป็นระเบียบ
อกองค์ประกอบของคอมพวิ เตอร์ได้อย่างน้อย 3
กอบ เรยี บรอ้ ย
บอกประเภทของของคอมพวิ เตอร์ได้อย่างน้อย 1 3. ปฏิบัติงานด้วยความซ่ือสัตย์

อธบิ ายหลักการทางานของคอมพิวเตอร์ได้ถูกต้อง สจุ ริต
บอกประโยชนข์ องคอมพวิ เตอร์ได้อย่างน้อย 2 ด้าน 4. มคี วามรบั ผดิ ชอบตอ่ หน้าท่ี
อกความหมายของโทรคมนาคมได้ 5. มีความมงุ่ มน่ั ในการทางาน
กตวั อยา่ งอุปกรณโ์ ทรคมนาคมได้อย่างน้อย 2 อย่าง 6. ใช้เวลาอยา่ งคุม้ ค่า
อกส่วนประกอบของโทรคมนาคมได้ 7. มจี ติ สาธารณะ
บอกชนิดของการเช่ือมต่อได้อย่างได้อยา่ งถูกต้อง
ยกตวั อย่างหนา้ ที่ของระบบโทรคมนาคมไดอ้ ยา่ ง
หน้าท่ี

ชื่อหน่วย ความรู้ 2.1.1 บอ
2.2.1 อธ
หนว่ ยที่ 2 ระบบ 2.1. ระบบเครือขา่ ย 2.3.1 บอ
เครอื ข่ายและ 2.2. ความเป็นมาของอนิ เทอรเ์ นต็ อยา่ งถูกต
เทคโนโลยสี ารสนเทศ 2.3. ความหมายของระบบเครือขา่ ย 2.4.1. จา
2.4. ลกั ษณะของการเชื่อมต่อของระบบ คอมพิวเต
เครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ 2.5.1. บ
2.5. ประเภทของระบบเครือขา่ ย นอ้ ย 1 ป
2.6 อปุ กรณท์ ี่ใชใ้ นระบบเครือข่าย 2.6.1. ย
2.7. ความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศ คอมพวิ เต
2.8. บทบาทของระบบสารสนเทศ 2.7.1 บอ
2.9. ระบบสารสนเทศทใ่ี ชค้ อมพวิ เตอร์ 2.8.1 อธ
2.10. การประยุกต์ใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ 2.9.1 บอ
2.11. ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศ คอมพวิ เต
2.10.1.
นอ้ ย 3 ด
2.11.1.



สมรรถนะ

ทักษะ คุณลักษณะที่
พงึ ประสงค์

อกความสาคัญของระบบเครือขา่ ยอนิ เทอรเ์ น็ตได้ 1. ใฝ่การเรียนรู้

ธบิ ายความเป็นมาของอนิ เทอรเ์ น็ต 2. ผู้เรียนทางานเป็นระเบียบ

อกความหมายของระบบเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ได้ เรียบรอ้ ย

ต้อง 3. ปฏิบัติงานด้วยความซ่ือสัตย์

าแนกลักษณะของการเชือ่ มต่อของระบบเครอื ขา่ ย สจุ รติ

ตอร์ได้อย่างถูกต้อง 4. มคี วามรบั ผดิ ชอบตอ่ หน้าท่ี

บอกประเภทของระบบเครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์ได้อย่าง 5. มคี วามม่งุ ม่นั ในการทางาน

ประเภท 6. ใช้เวลาอยา่ งคุม้ ค่า

ยกตัวอย่างอปุ กรณ์ท่ีใชใ้ นระบบเครือขา่ ย 7. มีจติ สาธารณะ

ตอร์ได้ อย่างน้อย 3 อยา่ ง

อกความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศได้

ธบิ ายบทบาทของระบบสารสนเทศได้ถกู ต้อง

อกสว่ นประกอบของระบบสารสนเทศทีใ่ ช้

ตอร์ได้อยา่ งน้อย 2 ส่วน

ยกตวั อย่างการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศได้อย่าง

ดา้ น

ยกตวั อย่างผลกระทบดา้ นบวกได้ถกู ต้อง

ช่อื หน่วย ความรู้
หน่วยที่ 3 การสืบคน้
ขอ้ มลู สารสนเทศ 2.12.1.

หนว่ ยที่ 4 การ 3.1. การสบื ค้นข้อมูลสารสนเทศ 3.1.1 บอ
ประยกุ ต์ใชโ้ ปรแกรม
สาเรจ็ รูป 3.2. เครื่องมือในการสบื ค้นข้อมูลสารสนเทศ 3.2.1 อธ

3.3. สว่ นประกอบของเครือ่ งมือในการสืบคน้ สารสนเท

ข้อมูลสารสนเทศ 3.3.1 ยก

3.4. การสืบคน้ ข้อมลู สารสนเทศจาก ขอ้ มูลสาร

อนิ เทอรเ์ น็ต 3.4.1 อธ

3.5. เทคนคิ การสบื ค้นข้อมูล อินเทอร์เน

3.6 ขั้นตอนการสืบค้นขอ้ มูล 3.5.1 บ

3.7. การจัดเกบ็ และการคน้ คืนสารสนเทศ วิธี

3.6.1. ข

3.7.1อธบิ

ถูกต้อง

4.1. ความหมายของโปรแกรมสาเร็จรปู 4.1.1 บอ

4.2. โปรแกรมประยุกต์ 4.2.1 บอ

4.3. ลกั ษณะของซอฟต์แวร์ประยุกต์ 4.3.1 อธ

4.4. ประเภทของซอฟต์แวร์ประยกุ ต์ 4.4.1 ยก

นอ้ ย 2 อ



สมรรถนะ คณุ ลักษณะท่ี
พึงประสงค์
ทักษะ
1. ใฝ่การเรียนรู้
ยกตวั อยา่ งผลกระทบดา้ นลบไดถ้ ูกต้อง 2. ผู้เรียนทางานเป็นระเบียบ
อกความสาคัญการสืบคน้ ข้อมลู ได้
ธบิ ายลกั ษณะเครื่องมอื ในการสบื ค้นข้อมูล เรยี บรอ้ ย
ทศได้ถูกต้อง 3. ปฏิบัติงานด้วยความซ่ือสัตย์
กตวั อย่างส่วนประกอบของเครื่องมือในการสืบค้น
รสนเทศได้อย่างน้อย3 อย่าง สุจรติ
ธิบายลักษณะการสบื ค้นขอ้ มูลสารสนเทศจาก 4. มีความรบั ผดิ ชอบต่อหนา้ ท่ี
น็ตได้ถูกต้อง 5. มีความมุ่งม่นั ในการทางาน
บอกเทคนิคเทคนิคการสืบค้นขอ้ มลู ได้อย่างน้อย 2 6. ใชเ้ วลาอยา่ งคมุ้ คา่
7. มีจิตสาธารณะ
ข้ันตอนการสบื ค้นข้อมูลได้อย่างนอ้ ย 2 ขนั้ ตอน
บายของการจดั เกบ็ และการค้นคืนสารสนเทศได้

อกความหมายของโปรแกรมสาเร็จรปู 1. ใฝ่การเรียนรู้
อกความสาคัญโปรแกรมประยุกตไ์ ดถ้ ูกต้อง 2. ผู้เรียนทางานเป็นระเบียบ
ธบิ ายลักษณะของซอฟต์แวรป์ ระยุกตไ์ ดถ้ กู ตอ้ ง
กตัวอย่างประเภทของซอฟต์แวร์ประยุกต์ได้อย่าง เรยี บรอ้ ย
อย่าง 3. มคี วามมุ่งมัน่ ในการทางาน
4. ใช้เวลาอยา่ งคมุ้ ค่า

ชอ่ื หน่วย ความรู้

หนว่ ยที่ 5 การใช้ 5.1. ความรเู้ บอ้ื งตน้ เกย่ี วกับโปรแกรม 5.1.1 บอ
โปรแกรมด้านงาน
เอกสาร Microsoft Microsoft Word Word ได
Word
5.2. ความหมายและการใชค้ าส่งั แถบ 5.2.1 บอ

เคร่ืองมือ ถูกต้อง

5.3. ข้นั ตอนการเปิด-ปดิ และบนั ทึกขอ้ มลู 5.3.1 บอ

บนโปรแกรม Microsoft Word 5.4.1 พิม

5.4. การพมิ พเ์ อกสาร การเลือกข้อมูล ข้อมูลได้ถ

คดั ลอก และเคล่ือนยา้ ยข้อมลู 5.5.1 แท

5.5.การแทรกรปู ภาพและอักษรศลิ ป์ 5.6.1 อธ

5.6 การจัดการตารางบนเอกสาร 5.7.1 บอ

5.7 การจดั เรียงลาดับขอ้ มลู ในตารางเอกสาร ถูกต้อง

5.8 การแทรกเลขหนา้ หวั /ท้ายกระดาษ 5.8.1 บอ

5.9 การสรา้ งจดหมายเวยี นและซองจดหมาย 5.9.1 อธ

5.10 การพมิ พเ์ อกสารออกทางเคร่ืองพมิ พ์ จดหมายไ

5.10.1 จ

ถกู ต้อง



สมรรถนะ คณุ ลกั ษณะที่
พงึ ประสงค์
ทกั ษะ
1. ใฝ่การเรยี นรู้
อกความสาคัญโปรแกรมโปรแกรม Microsoft 2. ผู้เรียนทางานเป็นระเบียบ
ดถ้ ูกต้อง
อกความหมายและการใช้คาสง่ั แถบเครื่องมือได้ เรยี บรอ้ ย
3. ปฏิบัติงานด้วยความซ่ือสัตย์
อกขนั้ ตอนการเปดิ -ปดิ และบนั ทึกข้อมลู ได้ถูกต้อง
มพ์เอกสาร เลอื กข้อมลู คัดลอก และเคลื่อนยา้ ย สจุ ริต
ถูกต้อง 4. มคี วามรบั ผดิ ชอบตอ่ หน้าท่ี
ทรกรูปภาพและอักษรศิลป์ไดถ้ ูกตอ้ ง 5. มีความมงุ่ มน่ั ในการทางาน
ธบิ ายการจัดการตารางบนเอกสารไดถ้ ูกต้อง 6. ใชเ้ วลาอย่างคุม้ ค่า
อกการจดั เรียงลาดบั ข้อมูลในตารางเอกสารได้ 7. มจี ติ สาธารณะ

อกวธิ ีการแทรกเลขหนา้ หัว/ท้ายกระดาษได้ถกู ต้อง
ธิบายลกั ษณะการสร้างจดหมายเวยี นและซอง
ได้ถูกต้อง
จบั คลู่ กั ษณะการพิมพเ์ อกสารออกทางเครื่องพิมพ์ได้

ช่อื หน่วย ความรู้ 6.1.1 บอ
Excelได้ถ
หนว่ ยที่ 6 การใช้ 6.1. ความรู้เบือ้ งต้นเกย่ี วกบั โปรแกรม 6.2.1 บอ
โปรแกรมดา้ นตาราง Microsoft Excel 6.3.1 อธ
คานวณ Microsoft 6.2. ส่วนประกอบของโปรแกรม Microsoft 6.4.1 ยก
Excel Excel อยา่ งน้อย
6.3. การกาหนดขอบเขตของข้อมลู 6.5.1 บอ
6.4. การคานวณและการใชส้ ูตรฟงั กช์ น่ั 6.6.1 อธ
6.5. การจดั รูปแบบประเภทของข้อมลู 6.7.1 บอ
6.6. การแก้ไขข้อมูลบนเซลล์ ถูกต้อง
6.7. การคัดลอกเซลล์ ลบ และเคล่อื นย้าย
ข้อมลู



สมรรถนะ คณุ ลักษณะที่
พึงประสงค์
ทักษะ
1. ใฝ่การเรยี นรู้
อกความสาคญั โปรแกรมโปรแกรม Microsoft 2. ผู้เรียนทางานเป็นระเบียบ
ถูกต้อง
อกส่วนประกอบของโปรแกรม Microsoft Excel เรยี บรอ้ ย
ธบิ ายการกาหนดขอบเขตของข้อมลู ได้ถูกตอ้ ง 3. ปฏิบัติงานด้วยความซ่ือสัตย์
กตวั อย่างการคานวณและการใชส้ ตู รฟังก์ชัน่ ได้
ย 2 ฟงั ก์ชน่ั สจุ รติ
อกการจดั รปู แบบประเภทของข้อมูลได้ถูกต้อง 4. มีความรบั ผิดชอบตอ่ หน้าท่ี
ธิบายการแก้ไขข้อมูลบนเซลล์ไดถ้ กู ต้อง 5. มคี วามม่งุ มั่นในการทางาน
อกการคัดลอกเซลล์ ลบ และเคลอื่ นยา้ ยขอ้ มลู ได้ 6. ใชเ้ วลาอย่างคุม้ ค่า
7. มีจติ สาธารณะ

ชอ่ื หน่วย ความรู้

หนว่ ยท่ี 7 การใช้ 7.1. ความรู้พน้ื ฐานโปรแกรม Microsoft 7.1.1 บอ
โปรแกรมดา้ นการ PowerPoint 7.2.1 บอ
นาเสนอ Microsoft 7.2. สว่ นประกอบของโปรแกรม Microsoft PowerPo
PowerPoint PowerPoint 7.3.1 อธ
7.3. หลักการออกแบบงานนาเสนอกับการ ข้อความล
จัดการข้อความลงบนสไลด์ 7.4.1 บอ
7.4. การเลอื กมมุ มองการนาเสนอผลงาน 7.5.1 บอ
7.5 ข้ันตอนการสรา้ งผลงานดว้ ยตนเอง 7.6.1 อธ
7.6. การแก้ไขและลบรปู แบบสไลด์ ถูกต้อง
7.7 การเพ่ิมฉากหลงั สไลด์ ตกแตง่ สไลด์ 7.7.1 บอ
7.8. การกาหนดสีพ้นื หลงั สไลด์ 7.8.1 อธ
7.9 การกาหนดลักษณะของการเปลย่ี นภาพ 7.9.1 ยก
ฉายสไลด์ ฉายสไลด
7.10 การกาหนดข้อความและภาพให้ 7.10.1 บ
เคลื่อนทแ่ี บบกาหนดเอง เคล่ือนท่ีแ



สมรรถนะ คณุ ลกั ษณะที่
พึงประสงค์
ทกั ษะ
1. ใฝ่การเรียนรู้
อกความสาคัญ Microsoft PowerPoint ได้ถูกต้อง 2. ผู้เรียนทางานเป็นระเบียบ
อกสว่ นประกอบของโปรแกรม Microsoft
oint ไดถ้ ูกต้อง เรยี บรอ้ ย
ธิบายหลกั การออกแบบงานนาเสนอกบั การจัดการ 3. ปฏิบัติงานด้วยความซ่ือสัตย์
ลงบนสไลดไ์ ด้ถกู ต้อง
อกการเลือกมุมมองการนาเสนอผลงานไดถ้ ูกตอ้ ง สุจริต
อกขน้ั ตอนการสรา้ งผลงานด้วยตนเองได้ถกู ต้อง 4. มคี วามรบั ผิดชอบตอ่ หน้าท่ี
ธบิ ายลกั ษณะการแก้ไขและลบรปู แบบสไลด์ได้ 5. มคี วามมุง่ ม่นั ในการทางาน
6. ใชเ้ วลาอย่างคุม้ ค่า
อกการเพิม่ ฉากหลังสไลด์ ตกแต่งสไลด์ได้ถกู ต้อง 7. มีจติ สาธารณะ
ธบิ ายลักษณะการกาหนดสีพน้ื หลังสไลดไ์ ด้ถูกต้อง
กตัวอยา่ งการกาหนดลกั ษณะของการเปลี่ยนภาพ
ดไ์ ด้ถูกต้อง
บอกลักษณะการกาหนดขอ้ ความและภาพให้
แบบกาหนดเองได้ถูกตอ้ ง



แผนการจัดการเรยี นรมู้ ่งุ เนน้ สมรรถนะ หน่วยที่ 1

ชื่อหนว่ ย คอมพิวเตอรแ์ ละอุปกรณ์ สอนครง้ั ที่ 1
โทรคมนาคม ชว่ั โมงรวม 8

จานวนชัว่ โมง 4

1. สาระสาคัญ
คอมพิวเตอร์ หมายถึง เครื่องจักรอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกสรา้ งขึ้นเพื่อใชท้ างานแทนมนุษย์ ในด้านการคิด

คานวณและสามารถจาข้อมลู ท้ังตัวเลข และตวั อกั ษรไดเ้ พ่ือการเรียกใช้งานในครั้งต่อไป นอกจากนยี้ ังสามารถ
จัดการกับสัญลักษณ์ได้ด้วยความเร็วสูงโดยปฏิบัติตามข้ันตอน ของโปรแกรม คอมพิวเตอร์ยังมีความสามารถ
ในด้านต่าง ๆ อีกมาก เช่น การเปรียบเทียบทาง ตรรกศาสตร์ การรับส่งข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลในตัวเครื่อง
และสามารถประมวลผลจากข้อมูลต่าง ๆ ได้ ระบบคอมพิวเตอร์ คือ องค์ประกอบหลักที่จะทาให้เครื่อง
คอมพิวเตอร์สามารถทางาน ได้อย่างสมบูรณ์ ถ้าขาดองค์ประกอบส่วนใดส่วนหนึ่งคอมพิวเตอร์ก็ไม่สามารถท่ี
จะทางานได้

2. สมรรถนะประจาหน่วย
2.1 ความหมายของคอมพวิ เตอร์
2.2 ระบบคอมพวิ เตอร์
2.3 องคป์ ระกอบของเคร่อื งคอมพิวเตอร์
2.4 ประเภทของคอมพิวเตอร์
2.5 หลกั การทางานของคอมพวิ เตอร์
2.6 ประโยชนข์ องคอมพิวเตอร์

3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้

3.1 ด้านความรู้
3.1.1. ผเู้ รียนบอกปัจจยั พ้นื ฐานในการเลอื กคอมพิวเตอร์มาใช้งานได้
3.1.2. ผเู้ รยี นบอกส่วนประกอบของระบบคอมพิวเตอร์ได้
3.1.3. ผเู้ รยี นยกตัวอยา่ งองคป์ ระกอบของคอมพิวเตอร์ได้
3.1.4. ผเู้ รยี นบอกประเภทของของคอมพวิ เตอร์ได้
3.1.5. ผู้เรยี นอธบิ ายหลกั การทางานของคอมพวิ เตอรไ์ ด้ถูกต้อง
3.1.6. ผเู้ รียนบอกประโยชน์ของคอมพิวเตอร์ได้

3.2 ดา้ นทกั ษะ
3.2.1 สามารถบอกความหมายของคอมพวิ เตอร์ได้
3.2.2 สามารถบอกส่วนประกอบของระบบคอมพิวเตอร์ได้อย่างน้อย 2 สว่ น
3.2.3 สามารถบอกองค์ประกอบของคอมพิวเตอร์ได้อยา่ งน้อย 3 องคป์ ระกอบ
3.2.4 สามารถบอกประเภทของของคอมพวิ เตอร์ได้อยา่ งน้อย 1 ประเภท
3.2.5 สามารถอธิบายหลกั การทางานของคอมพิวเตอร์ได้ถูกต้อง



3.2.6 สามารถบอกประโยชน์ของคอมพิวเตอร์ได้อยา่ งน้อย 2 ดา้ น
3.3 คุณลกั ษณะที่พงึ ประสงค์

3.3.1 ใฝก่ ารเรียนรู้
3.3.2 ผูเ้ รียนทางานเป็นระเบยี บเรียบร้อย
3.3.3 ปฏิบตั ิงานดว้ ยความซือ่ สัตยส์ ุจรติ
3.3.4 มีความรบั ผิดชอบต่อหน้าที่
3.3.5 มคี วามมงุ่ ม่ันในการทางาน
3.3.6 ใชเ้ วลาอย่างคุ้มคา่
3.3.7 มีจติ สาธารณะ



แผนการจดั การเรียนรู้มุง่ เน้นสมรรถนะ หนว่ ยที่ 1

ช่ือหนว่ ย คอมพิวเตอรแ์ ละอปุ กรณ์ สอนคร้ังที่ 1
โทรคมนาคม
ชัว่ โมงรวม 8
จานวนชั่วโมง 4

4. เน้ือหาสาระการเรียนรู้
1.1 ความหมายของคอมพิวเตอร์

"คอมพิวเตอร์" มาจากภาษาละตินคาว่า Computare หมายถึง เคร่ืองคานวณทางอิเล็กทรอนิกส์ที่
สร้างข้นึ สามารถเก็บขอ้ มูลพรอ้ มดว้ ยคาสัง่ แล้วแสดงผลออกมาในรปู แบบต่าง ๆ ได้รวดเรว็ และถูกตอ้ ง
คอมพิวเตอร์ หมายถึง เคร่ืองจักรอิเล็กทรอนิกส์ท่ีถูกสร้างขึ้นเพ่ือใช้ทางานแทนมนุษย์ ในด้านการคิดคานวณ
และสามารถจาข้อมูลท้ังตัวเลข และตัวอักษรได้เพื่อการเรียกใช้งานในครั้งต่อไป นอกจากนี้ยังสามารถจัดการ
กับสัญลักษณ์ได้ด้วยความเร็วสูงโดยปฏิบัติตามข้ันตอน ของโปรแกรม คอมพิวเตอร์ยังมีความสามารถในด้าน
ต่าง ๆ อีกมาก เช่น การเปรียบเทียบทาง ตรรกศาสตร์ การรับส่งข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลในตัวเคร่ืองและ
สามารถประมวลผลจากขอ้ มลู ต่าง ๆ ได้

1.2 ระบบคอมพิวเตอร์
ระบบคอมพิวเตอร์ คือ องค์ประกอบหลักที่จะทาให้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถทางาน ได้อย่าง

สมบูรณ์ ถ้าขาดองค์ประกอบส่วนใดสว่ นหนึง่ คอมพิวเตอร์ก็ไมส่ ามารถทจี่ ะทางานได้ ระบบของคอมพิวเตอร์น้ี
ประกอบไปดว้ ยองคป์ ระกอบหลักท่สี าคญั 3 ส่วน คอื

1.2.1. ฮาร์ดแวร์ (Hardware) คือ อปุ กรณ์หรือชิ้นส่วนของคอมพวิ เตอร์ ท่มี ีวงจรไฟฟ้า อยภู่ ายใน
เป็นส่วนใหญ่ สามารถจับต้องได้ เชน่ กล่องซพี ยี ู (Case) จอภาพ (Monitor) แป้นพิมพ์
(Keyboard) เมาส์ (Mouse) เคร่อื งพมิ พ์ (Printer) เคร่ืองสแกนภาพ (Scanner) เป็นตน้

1.2.2. ซอฟต์แวร์ (Software) คือ โปรแกรมหรอื ชุดคาสั่งทาหน้าทค่ี วบคุมให้ฮาร์ดแวร์ และเครอ่ื ง
คอมพิวเตอร์ทางานตามผู้ใช้ต้องการ ซอฟต์แวร์จะถูกบรรจุอยู่ในสื่อหรือวัสดุที่ใช้ใน การเก็บ
ข้อมลู เชน่ ฮาร์ดดิสก์ ซดี ีรอม ดวี ีดีรอม แฟลชไดรฟ์ เป็นต้น

1.2.3. พีเพิลแวร์ (People ware) คือ บุคคลท่ีมีส่วนเก่ียวข้องกับการทางานของเคร่ือง
คอมพิวเตอร์ เช่น ผู้จัดการระบบ (System Manager) นักวิเคราะห์ระบบ (System Analysis)
ผ้เู ขียนโปรแกรม (Programmer) ผ้ใู ชโ้ ปรแกรม(User) เปน็ ต้น

1.3 องคป์ ระกอบคอมพิวเตอร์
คอมพวิ เตอรจ์ ะทางานไดต้ อ้ งมีองค์ประกอบพืน้ ฐาน 4 อยา่ ง ดังน้ี
1.3.1 ฮาร์ดแวร์ (Hardware) หมายถึง อุปกรณ์ต่าง ๆ ท่ีประกอบกันเป็นตัวเคร่ืองคอมพิวเตอร์

ประกอบด้วย แป้นพิมพ์ (keyboard) เมาส์ (Mouse) จอภาพ (Monitor) หน่วยประมวลผลกลางหรือซีพียู
(Central Processing Unit) อุปกรณ์เกบ็ ขอ้ มูล (Handy Drive) เครือ่ งพิมพ์ (Printer)

1.3.1.1. แปน้ พิมพ์ (Keyboard) คือ อุปกรณท์ ีใ่ ช้พมิ พ์หรอื ป้อนข้อมลู ข้อความ คาสัง่ ตา่ ง ๆ ลง
ไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ เพ่ือใช้สาหรับส่ังการ ควบคุมการทางานเครื่องคอมพิวเตอร์
ในปจั จบุ ันแปน้ พิมพม์ ีท้ังแบบมสี ายและไร้สาย (Wireless Keyboard)



1.3.1.2. เมาส์ (Mouse) คือ อุปกรณ์ท่ีช่วยอานวยความสะดวกในการใช้งานบนวินโดว์ ใช้
สาหรับเป็นตัวชี้ตาแหน่งบนจอภาพ (Pointer และเลือก (Click) ใช้ปุ่มคาสั่งบน
ระบบปฏิบัติการที่ใช้กราฟิกในการแสดงผลและรับข้อมูลคาส่ัง เช่น ระบบปฏิบัติการ
วินโดว์ (Windows) ของบริษัทไมโครซอฟต์ Ubuntu ของ Linux หรือ Mac OS X
ของบริษัทแอปเปิลสาหรบั เครอ่ื งคอมพวิ เตอรแ์ มคอินทอช

1.3.1.3. จอภาพ (Monitor คือ อุปกรณ์ท่ีทาหน้าท่ีแสดงผลของเคร่ืองคอมพิวเตอร์ สัญญาณ
ของจอภาพ จะถูกส่งออกมาจากแผงวงจรควบคุมภาพที่เรียกว่า การ์ดแสดงผล
ปัจจุบันนิยมใช้จอภาพแบบแอลซีดี (Liquid Crystal Display) เน่ืองจากประหยัด
พลังงาน ถนอมสายตามากกว่าจอภาพแบบซีอาร์ที (Cathode Ray Tube) ท่ีต้องใช้
พน้ื ที่โตะ๊ ทางานมากและส้นิ เปลอื งพลงั งาน

1.3.1.4. หน่วยประมวลผลหรือซีพียู (Central Processing Unit) คือ อุปกรณ์ท่ีทาหน้าที่
ประมวลผลคล้ายกับสมองของมนุษย์ ทาหน้าท่ีหลักในการคานวณและควบคุมการ
ทางานของอปุ กรณ์แต่ละช้ินภายในเครอื่ งคอมพวิ เตอร์ท้ังหมด

1.3.1.5. อุปกรณ์เก็บข้อมูล (Handy Drive) คือ อุปกรณ์ที่ทาหน้าที่เป็นหน่วยความจาขนาด
เลก็ ราคาถกู สะดวกต่อการพกพา และแลกเปล่ียนข้อมลู ระหว่างเคร่ืองคอมพวิ เตอร์ได้
งา่ ย

1.3.1.6. เครื่องพิมพ์ (Printer) คือ อุปกรณ์ต่อพ่วงเข้ากับคอมพิวเตอร์ ทาหน้าท่ีแสดงผลท่ีได้
จากการประมวลผลของเครื่องคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในรูปของอักษรหรือรูปภาพท่ีจะไป
ปรากฏอยู่บนกระดาษเครื่องพิมพ์ (Printer) แบ่งเป็น 4 ประเท ได้แก่ เคร่ืองพิมพ์
แบบพ่นหมึก (Ink-Jet Printer) เครื่องพิมพ์แบบหัวเข็ม (Dot Matrix Printer)
เคร่ืองพิมพแ์ บบเลเซอร์ (Laser Printer) และพล็อตเตอร์ (Plotter)

1.3.1.7. ลาโพง (Speaker) คืออุปกรณ์ท่ีใช้ในการแปลงสัญญาณไฟฟ้าเป็นสัญญาณเสียง และ
แสดงเสียงออกทางลาโพงทาให้ผู้ใช้ได้ยินสัญญาณเสียงในแบบต่าง ๆ เช่น เสียงเพลง
และ เสียงพูดต่าง ๆ ลาโพงจัดเป็นอุปกรณ์ด้านหน่วยแสดงผล (Output Unit) ทา
หนา้ ทีใ่ นการแสดง ผลข้อมลู

1.3.2 ซอฟต์แวร์ (Software) หมายถึง โปรแกรมชุดคาส่ังท่ีสร้างข้ึนมาลาดับข้ันตอนการทางานใน
ด้านต่าง ๆ และตง้ั ช่ือใหเ้ หมาะสมกับการทางาน ซง่ึ แบ่งไดด้ งั น้ี

1.3.2.1. ระบบปฏิบัติการ (Operating System) คือ โปรกรมที่ทาหน้าท่ีเป็นโปรแกรมหลัก
ใช้ในการควบคุมโปรแกรมต่าง ๆ และฮาร์ดแวร์ทุกชิ้นที่นามาติดตั้งให้ทางานบนเคร่ือง
คอมพวิ เตอร์ไดร้ ะบบปฏิบตั กิ ารที่นยิ มใช้ ได้แก่

1.3.2.1.1. Microsoft Windows เป็นโปรแกรมท่ีสร้างขึ้นโดยบริษัทไมโครซอฟต์ แบ่งผู้ใช้
ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มท่ีใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ตามบนหรือสานักงานท่ัวไปและ
กลุ่มเคร่ืองคอมพิวเตอร์ที่ต้องเช่ือมต่อผ่านทางระบบเครือข่ายท่ีมีความปลอดภัย
ของขอ้ มูล ปจั จบุ นั มีการพัฒนาเปน็ Window XP

1.3.2.1.2. Windows XP Professional เป็นโปรแกรมท่ีใช้สาหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีการ
เช่ือมตอ่ กับระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ และสารองขอ้ มลู ตา่ ง ๆ ไดต้ ามตอ้ งการ

1.3.2.1.3. Windows XP Home Edition เป็นโปรแกรมท่ีใช้สาหรับการเชื่อมต่อกับเครือข่าย
สาหรบั เครอื่ งคอมพวิ เตอร์ทางานภายในบ้านหรอื สานักงาน



1.3.2.1.4. Windows Vista เปน็ โปรแกรมทนี่ ้ันความสวยงาม ดูหรูหรา น่าใชง้ าน แตเ่ น่อื งจาก
มีการใช้งานที่ยุ่งยาก จึงไม่เหมาะกับผู้ที่กาลังเร่ิมตันใช้งาน เหมาะกับบุคคลเฉพาะ
กลมุ่ มากกวา่ เชน่ กลมุ่ ที่นาไปใช้ดูหนงั ฟังเพลง เพ่อื ความบันเทงิ ภายในทอี่ ยอู่ าศัย

1.3.2.1.5. Windows 7 เป็นโปรแกรมท่ีมีลักษณะเหมือนกับ Windows Vista ใช้งานง่าย
เหมอื นกับ Windows XP

1.3.2.2. โปรแกรมประยุกต์ (Application) คอื โปรแกรมทใ่ี ช้งานใหเ้ หมาะสมกบั การทางาน ไดแ้ ก่
1.3.2.2.1. Microsoft Office โปแกรมใชส้ าหรับทางานในสานกั งาน เช่น โปรแกรม Microsoft
Word ใช้ในงานเอกสาร ทารายงานต่างๆ โปรแกรม Microsoft Excel ใชใ้ นงานด้าน
บัญชี คานวณเก่ียวกับตัวเลข สร้างกราฟและตาราง โปรแกรม Microsoft
PowerPoint ทาสไลด์เพ่ือนาเสนอรายงานต่อท่ีประชุม (Presentation) โปรแกรม
Microsoft Access สร้างฐานข้อมูลเก็บรายชื่อพนักงาน คลังสินค้า และโปรแกรม
Microsoft Outlook ใช้รับ-ส่งอีแลที่มีไฟล์ขนาดใหญ่ในสานักงานและแจ้งนัดหมาย
การประชุมร่วมกนั
1.3.2.2.2. โปรแกรมด้านกราฟิกใช้สาหรับตกแต่งรูปภาพ สร้างภาพกราฟิก ออกแบบนิตยสาร
ต่าง ๆ เช่น Adobe Photoshop, Adobe illustrator เป็นตน้
1.3.2.2.3. โปรแกรมออกแบบเว็บไซต์ ใช้สาหรับออกแบบหน้าเว็บเพจและสร้างเว็บไซต์ เช่น
โปรมแกรม Adobe Dreamweaver โปรแกรม Adobe Flash
1.3.2.2.4. โปรแกรมด้านสื่อบันเทิง ใช้เพื่อสร้างความบันเทิง ดูหนัง ฟังเพลง เช่น Windows
Media Player, Power DVD เปน็ ต้น

1.3.3 บคุ ลากร (People ware) หมายถงึ ผู้ปฏบิ ัตงิ านตามกระบวนวิธกี ารในกจิ กรรมต่าง ๆ เช่นการ
สร้างหรือเก็บรวบรวมข้อมูล บางกลุ่มอาจทาหน้าที่ในการพัฒนาซอฟต์แวร์ข้ึนมาใหม่ ๆ ตามความต้องการ
และในการประมวลผล และอาจเปลี่ยนแปลงโปรแกรมที่มีอยู่แล้วให้สอดคล้องตามความต้องการที่
เปลี่ยนแปลง บุคลากรทางคอมพิวเตอร์บางกลุ่มทาหน้าท่ีสร้างกระบวนการวิธีการให้แก่บุคลากรทาง
คอมพิวเตอร์กลมุ่ อื่นๆ เพ่อื ใหก้ ารทางานหรือใชง้ านดว้ ยคอมพวิ เตอร์ท่ีมปี ระสิทธิภาพ

1.3.4 ข้อมูลและสารสนเทศ Data Information ในการทางานต่าง ๆ จะต้องมีข้อมูลเกิดขึ้น
ตลอดเวลา ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับงานท่ีถูกเก็บรวบรวมมาประมวลผล เพื่อให้ได้สารสนเทศที่เป็นประโยชน์ต่อ
ผู้ใช้ ซึ่งในปัจจุบันมีการนาเอาระบบคอมพิวเตอร์มาเป็นข้อมูลในการดัดแปลงข้อมูลให้ได้ประสิทธิภาพ โดย
ความแตกต่างระหวา่ ง ขอ้ มูล และ สารสนเทศ

1.4 ประเภทของคอมพิวเตอร์
แบ่งตามความสามารถของระบบ

1.4.1.ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ (Super Computer) หมายถึง เครื่องประมวลผล ข้อมูลท่ีมีความสามารถ
ในการประมวลผล สูงที่สุดโดยท่ัวไปสร้างขึ้นเป็นการเฉพาะ เพ่ืองานด้านวิทยาศาสตร์ที่ต้องการ
การประมวลผลซับซ้อนและต้องการ ความเร็วสูง เช่น งานวิจัยขีปนาวุธ งานโครงการอวกาศ
สหรัฐฯ (NASA) งานส่ือสารดาวเทยี ม หรอื งานพยากรณ์ อากาศ เปน็ ต้น

1.4.2. เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (Mainframe Computer) หมายถึง เครื่องประมวลผล ข้อมูลที่มีส่วน
ความจาและความเร็วน้อยลงสามารถใช้ข้อมูลและคาสั่งของเคร่ืองรุ่นอ่ืนในตระกูล (Family)
เดียวกันได้โดยไม่ต้องดัดแปลงแก้ไขใด ๆ นอกจากนั้นยังสามารถทางานในระบบเครือข่าย



(Network) ได้เป็นอย่างดี โดยสามารถเชื่อมต่อไปยังอุปกรณ์ที่เรียกว่า เคร่ืองปลายทาง
(Terminal) จานวนมากได้ สามารถทางานได้พร้อมกันหลายงาน (Multi-Tasking) และใช้งานได้
พร้อมกันหลายคน (Multi User) ปกติเคร่ืองชนิดนี้ นิยมใช้ในธุรกิจขนาดใหญ่มีราคาตัง้ แต่สิบลา้ น
บาทไปจนถึงหลายร้อยล้านบาทตัวอย่างของเคร่ืองเมนเฟรมที่ใช้กันแพร่หลายก็คือ คอมพิวเตอร์
ของธนาคารท่เี ชอ่ื มตอ่ ไปยงั ตู้ ATM และสาขาของธนาคารทวั่ ประเทศ
1.4.3. มินิคอมพิวเตอร์ (Mini Computer) ธุรกิจและหน่วยงานท่ีมีขนาดเล็กไม่จาเป็นต้องใช้
คอมพิวเตอร์ขนาดเมนเฟรมซึ่งมีราคาแพง ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์จึงพัฒนาคอมพิวเตอร์ให้มีขนาดเล็ก
และมีราคาถูกลง เรียกว่าเคร่ืองมินิคอมพิวเตอร์โดยมีลักษณะพิเศษในการทางานร่วมกับอุปกรณ์
ประกอบรอบข้างที่มีความเร็วสูงได้มีการใช้แผ่นจานแม่เหล็กความจุสูงชนิดแข็ง (Hard disk) ใน
การเกบ็ รักษาข้อมูลสามารถอา่ นเขียนข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว หนว่ ยงานและบริษัทท่ีใช้คอมพวิ เตอร์
ขนาดน้ี ได้แก่ กรม กอง มหาวิทยาลัย ห้างสรรพสินค้า โรงแรม โรงพยาบาล และโรงงาน
อุตสาหกรรมต่าง ๆ
1.4.4. ไมโครคอมพิวเตอร์ (Micro Computer) หมายถึง เครือ่ งประมวลผลข้อมูลขนาดเล็ก มสี ่วนของ
หน่วยความจาและความเร็วในการประมวลผลน้อยที่สุดสามารถใช้งานได้ด้วย คนเดียว จึงมักถูก
เรียกว่า คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer : PC) ปัจจุบัน ไมโครคอมพิวเตอร์มี
ประสิทธิภาพสูงกว่าในสมัยก่อนมากอาจเท่ากับหรือมากกว่าเคร่ือง เมนเฟรมในยุคก่อน
นอกจากน้ันยังราคาถูกลงมากดังนั้นจึงเป็นท่ีนิยมใช้มาก ท้ังตามหน่วย งานและบริษัทห้างร้าน
ตลอดจนตามโรงเรียนสถานศึกษา และบ้านเรือนบริษัทที่ผลิตไมโครคอมพิวเตอร์ออกจาหน่ายจน
ประสบความสาเร็จเป็นบริษัทแรก คือบริษัทแอปเปิลคอมพิวเตอร์ เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์
จาแนกออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ แบบติดตั้งใช้งานอยู่กับที่ บนโต๊ะทางาน (Desktop
Computer) และแบบเคลื่อนย้ายได้ (Portable Computer) สามารถ พกพาติดตัวอาศัยพลังงาน
ไฟฟ้าจากแบตเตอร่ีจากภายนอก ส่วนใหญ่มักเรียกตามลักษณะของ การใช้งานว่า Laptop
Computer หรือ Notebook Computer
แบง่ ตามหลักการประมวลผล
1.4.5. คอมพวิ เตอร์แบบอนาล็อก (Analog Computer) หมายถึง เครอื่ งมอื ประมวล ผลขอ้ มูลท่ีอาศัย
หลักการวัด (Measuring Principle) ทางานโดยใช้ข้อมูลท่ีมีการเปล่ียนแปลง แบบต่อเนื่อง
(Continuous Data) แสดงออกมาในลักษณะสัญญาณท่ีเรียกว่า Analog Signal เครื่อง
คอมพิวเตอร์ประเภทน้ีมักแสดงผลด้วยสเกลหน้าปัทม์ และเข็มช้ี เช่น การวัดค่าความยาว โดย
เปรยี บเทียบกบั สเกลบนไม้บรรทัด การวดั ค่าความรอ้ นจากการขยายตัวของปรอทเปรียบ เทยี บกับ
สเกลข้างหลอดแก้ว นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างของ Analog Computer ท่ีใช้การประมวล ผลแบบ
เป็นขนั้ ตอน เช่น เคร่ืองวดั ปรมิ าณการใชน้ ้าดว้ ยมาตรวัดน้าที่ เปล่ยี นการไหลของนา้ ใหเ้ ปน็ ตัวเลข
แสดงปริมาณ อุปกรณ์วัดความเร็ว ของรถยนต์ในลักษณะเข็มช้ี หรือ เครื่องตรวจคล่ืนสมองที่
แสดงผล เปน็ รปู กราฟ เปน็ ต้น
1.4.6. คอมพิวเตอร์แบบดิจิทัล (Digital Computer) ซึ่งก็คือคอมพิวเตอร์ท่ีใช้ในการ ทางานท่ัว ๆ ไป
นั่นเอง เป็นเครื่องมือประมวลผลข้อมูลที่อาศัยหลักการนับทางานกับข้อมูลที่มี ลักษณะการ
เปลี่ยนแปลงแบบไม่ต่อเน่ือง (Discrete Data) ในลักษณะของสัญญาณไฟฟ้า หรือ Digital Signal
อาศัยการนับสัญญาณข้อมูลที่เป็นจังหวะด้วยตัวนับ (Counter) ภายใต้ระบบ ฐานเวลามาตรฐาน
ทาให้ผลลัพธ์เป็นท่ีน่าเชื่อถือ ทั้งสามารถนับข้อมูลให้ค่าความละเอียดสูง เช่นแสดงผลลัพธ์เป็น



ทศนิยมได้หลายตาแหน่ง เป็นต้น เนื่องจาก Digital Computer ต้องอาศัย ข้อมูลที่เป็น
สญั ญาณไฟฟา้ (มนษุ ย์สัมผัสไม่ได้) ทาใหไ้ ม่สามารถรับขอ้ มูลจากแหล่งข้อมลู ตน้ ทางได้โดยตรง จงึ
จาเป็นต้องเปลี่ยนข้อมูล ต้นทางที่รับเข้า (Analog Signal) เป็นสัญญาณ ไฟฟ้า (Digital Signal)
เสียก่อน เม่ือประมวลผล เรียบร้อยแล้วจึงเปล่ียนสัญญาณไฟฟ้ากลับไปเป็น Analog Signal เพื่อ
ส่ือความหมายกับมนุษย์ต่อไป โดยส่วนประกอบสาคัญที่เรียกว่า ตัวเปล่ียน สัญญาณข้อมูล
(Converter) คอยทาหน้าท่ีในการ เปล่ียนรูปแบบของสัญญาณข้อมูล ระหว่าง Digital Signal กับ
Analog Signal
1.4.7. คอมพิวเตอร์แบบลูกผสม (Hybrid Computer) เครื่องประมวลผลข้อมูลท่ีอาศัย เทคนิคการ
ทางานแบบผสมผสาน ระหว่าง Analog Computer และ Digital Computer โดยทั่วไปมักใช้ใน
งานเฉพาะกิจ โดยเฉพาะงานด้าน วิทยาศาสตร์ เช่น เคร่ืองคอมพิวเตอร์ ในยานอวกาศ ท่ีใช้
Analog Computer ควบคุมการหมุนของ ตัวยาน และใช้ Digital Computer ในการ คานวณ
ระยะทาง เป็นต้น การทางาน แบบผสมผสานของคอมพิวเตอร์ชนิดน้ี ยังคงจาเป็นต้องอาศัยตัว
เปล่ียน สญั ญาณ (Converter) เช่นเดิม
แบง่ ตามวตั ถุประสงค์ของการใชง้ าน
1.4.8. เ ค ร่ื อ ง ค อ ม พิ ว เ ต อ ร์ เ พื่ อ ง า น เ ฉ พ า ะ กิ จ (Special Purpose Computer) ห ม า ย ถึ ง
เคร่ืองประมวลผลข้อมูลที่ถูกออกแบบตัวเคร่ืองและโปรแกรมควบคุมให้ทางานอย่าง ใดอย่างหน่ึง
เป็นการเฉพาะ (Inflexible) โดยทั่วไปมักใช้ในงานควบคุมหรืองานอุตสาหกรรม ที่เน้นการ
ประมวลผลแบบรวดเร็วเช่นเคร่ืองคอมพิวเตอร์ควบคุมสัญญาณไฟจราจร คอมพิวเตอร์ ควบคุม
ลิฟตห์ รอื คอมพิวเตอร์ควบคุมระบบอัตโนมตั ิในรถยนต์ เปน็ ตน้
1.4.9. เคร่ืองคอมพิวเตอร์เพื่องานอเนกประสงค์ (General Purpose Computer) หมายถึง
เคร่ืองประมวลผลข้อมูลที่มีความยืดหยุ่นในการทางาน (Flexible) โดยได้รับการ ออกแบบให้
สามารถประยุกต์ใช้ในงานประเภทต่าง ๆ ได้โดยสะดวกโดยระบบจะทางานตามคาสัง่ ในโปรแกรม
ท่ีเขียนขึ้นมาและเมื่อผู้ใช้ต้องการให้เคร่ืองคอมพิวเตอร์ทางานอะไรก็เพียงแต่ ออกคาสั่งเรียก
โปรแกรมที่เหมาะสมเข้ามาใช้งานโดยเราสามารถเก็บโปรแกรมไว้หลาย โปรแกรมในเคร่ือง
เดียวกันได้ เช่นในขณะหนึ่งเราอาจใช้เครื่องนี้ในงานประมวลผลเกี่ยวกับ ระบบบัญชีและใน
ขณะหนงึ่ กส็ ามารถใช้ในการออกเช็คเงนิ เดอื นได้ เป็นต้น

1.5 หลกั การทางานของคอมพวิ เตอร์
การทางานของคอมพิวเตอร์ เร่ิมจากการป้อนข้อมูลเข้าทางหน่วยป้อนข้อมูล (Input Unit) ผ่านไปยัง

หน่วยประมวลผลข้อมูล (CPU: Central Processing Unit) โดยหน่วยประมวล ผลข้อมูลกลางจะทางาน
ร่วมกับหน่วยความจา(Memory Unit) เม่ือได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ จะส่งข้อมูลไปยังหน่วยแสดงผล (Output
Unit)

รูปท่ี 1 หลกั การทางานของคอมพวิ เตอร์



ทีม่ า https://sites.google.com/site/krutomtc/3-1-khxmphiwtexr

1.6ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์ถกู นามาใชป้ ระโยชน์ตอ่ การดาเนินชวี ิตประจาวันในสงั คมเปน็ อยา่ งมากท่ีพบเห็นไดบ้ อ่ ย

ท่ีสุดกค็ ือ การใชใ้ นการพมิ พ์เอกสารตา่ ง ๆ เช่น พิมพ์จดหมาย รายงาน เอกสาร ต่าง ๆ ซง่ึ เรียกว่างาน
ประมวลผล (word processing) นอกจากนี้ยังมีการประยกุ ตใ์ ช้ คอมพิวเตอร์ในดา้ นต่าง ๆ อีกหลายดา้ น
ดังตอ่ ไปนี้

1.6.1. งานธุรกิจ เช่น บริษัท ร้านค้า ห้างสรรพสินค้า ตลอดจนโรงงานต่าง ๆ ใช้คอมพิวเตอร์ในการทา
บัญชี งานประมวลคาและติดต่อกับหน่วยงานภายนอกผ่านระบบ โทรคมนาคม นอกจากนี้งาน
อุตสาหกรรมสว่ นใหญ่ก็ใช้คอมพวิ เตอรม์ าช่วยในการควบคุม การผลติ และการประกอบชิ้นสว่ นของ
อุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น โรงงานประกอบรถยนต์ ซึ่งทาให้ การผลิตมีคุณภาพดีขึ้น หรืองานธนาคาร ที่
ใหบ้ ริการถอนเงินผ่านตู้ฝากถอนเงินอัตโนมัติ (ATM) และใชค้ อมพวิ เตอร์คิดดอกเบ้ียให้กบั ผู้ฝากเงิน
และการโอนเงินระหว่างบัญชี เชื่อม โยงกนั เป็นระบบเครอื ข่าย

1.6.2. งานวิทยาศาสตร์ การแพทย์ และงานสาธารณสุข สามารถนาคอมพิวเตอร์มาใช้ ในส่วนของการ
คานวณท่ีค่อนข้างซับซ้อน เช่น งานศึกษาโมเลกุลสารเคมี วิถีการโคจรของการ ส่งจรวดไปสู่อวกาศ
หรืองานทะเบียน การเงิน สถิติ และเป็นอุปกรณ์สาหรับการตรวจรักษา โรคได้ ซึ่งจะให้ผลที่แม่นยา
กว่าการตรวจดว้ ยวธิ ีเคมแี บบเดิม และใหก้ ารรักษาไดร้ วดเร็วขึน้

1.6.3. งานคมนาคมและส่ือสาร ในส่วนท่ีเก่ียวกับการเดินทาง จะใช้คอมพิวเตอร์ในการ จองวันเวลา ที่
น่ัง ซึ่งมีการเชื่อมโยงไปยังทุกสถานีหรือทุกสายการบินได้ ทาให้สะดวกต่อ ผู้เดินทางท่ีไม่ต้อง
เสียเวลารอ อีกท้ังยังใช้ในการควบคุมระบบการจราจร เช่น ไฟสัญญาณ จราจร และการจราจรทาง
อากาศ หรือในการสื่อสารก็ใช้ควบคุมวงโคจรของดาวเทียมเพ่ือให้ อยู่ในวงโคจร ซึ่งจะช่วยส่งผลตอ่
การส่งสัญญาณให้ระบบการสื่อสารมีความชดั เจน

1.6.4. งานวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม สถาปนิกและวิศวกรสามารถใช้คอมพิวเตอร์ใน การออกแบบ
หรือจาลองสภาวการณ์ต่าง ๆ เช่น การรับแรงสั่นสะเทือนของอาคารเม่ือเกิด แผ่นดินไหว โดย
คอมพิวเตอร์จะคานวณและแสดงภาพสถานการณ์ใกล้เคียงความจริง รวมทั้ง การใช้ควบคุมและ
ติดตามความก้าวหนา้ ของโครงการต่าง ๆ เช่น คนงาน เคร่ืองมอื ผลการ ทางาน

1.6.5. งานราชการ เปน็ หนว่ ยงานทม่ี ีการใชค้ อมพวิ เตอร์มากทีส่ ุด โดยมีการใชห้ ลายรปู แบบ ทั้งนี้ข้ึนอยู่
กับบทบาทและหน้าท่ีของหน่วยงานน้ัน ๆ เช่น กระทรวงศึกษาธิการมีการใช้ ระบบประชุมทางไกล
ผ่านคอมพิวเตอร์, กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้จัดระบบ เครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพ่ือ
เชอ่ื มโยงไปยงั สถาบันต่าง ๆ,กรมสรรพากร ใช้จดั ในการจัดเกบ็ ภาษี บนั ทึกการเสียภาษี เป็นตน้

1.6.6. การศึกษา ได้แก่ การใช้คอมพิวเตอร์ทางด้านการเรียนการสอน ซ่ึงมีการนาคอมพิวเตอร์มาช่วย
การสอนในลักษณะบทเรียน CAI หรืองานด้านทะเบยี น ซงึ่ ทาใหส้ ะดวก ตอ่ การค้นหาข้อมลู นักเรียน
การเก็บขอ้ มลู ยมื และการสง่ คนื หนังสือหอ้ งสมุด



แผนการจัดการเรยี นรูม้ งุ่ เนน้ สมรรถนะ หนว่ ยท่ี 1

ช่อื หนว่ ย คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ สอนครงั้ ท่ี 1
โทรคมนาคม ช่ัวโมงรวม 8

จานวนชัว่ โมง 4

5. กิจกรรมการเรียนการสอน

5.1 การนาเขา้ สู่บทเรยี น

5.1.1. ครู เชค็ ชือ่ และตรวจการแตง่ กาย

นกั เรยี น ขานชือ่ และลกุ ใหค้ รูตรวจการแต่งกายทีละคน

5.1.2. ครู ทบทวนก่อนเรยี นโดยซักถาม เรื่องความร้เู ก่ียวกับคอมพวิ เตอร์และ

สารสนเทศเพื่องานอาชีพ ผู้สอนตรวจแล้วให้ผเู้ รยี นบนั ทกึ คะแนนที่ได้ไว้

เพอ่ื เปรียบเทยี บกับการทดสอบหลังเรยี นจบ

นักเรียน ตอบคาถาม ซักถามข้อสงสัย

5.2 การเรียนรู้

5.2.1. ครู แนะนารายวิชาและ แจง้ หวั ข้อที่จะสอน ตามเน้ือหาสาระ เร่ือง

คอมพิวเตอร์และอปุ กรณโ์ ทรคมนาคม โดยใช้ส่อื power point ตอบ

คาถาม/ซักถามปญั หา

นักเรียน ตอบคาถาม ซกั ถามปญั หาข้อสงสยั ศึกษาจากสอ่ื และเอกสาร

ประกอบการสอน

5.2.2. ครู อธบิ ายเกีย่ วกับความหมายของคอมพิวเตอร์ ระบบคอมพิวเตอร์

องค์ประกอบของเครื่องคอมพวิ เตอร์ ประเภทของคอมพวิ เตอร์ หลักการ

ทางานของคอมพวิ เตอร์ และประโยชน์ของคอมพิวเตอร์ โดยใชส้ ่ือ

power point เร่อื ง คอมพิวเตอรแ์ ละอุปกรณโ์ ทรคมนาคม ตอบ

คาถาม/ซกั ถามปญั หา

นกั เรียน จดบันทึกย่อ ตอบคาถาม ปรึกษา/อภปิ รายกบั เพ่ือน

5.2.3. ครู ทดสอบผเู้ รียนโดยถามตอบกนั ภายในห้องเรียน และอธิบายบางข้อที่

ผเู้ รยี นมีข้อสงสัยจากการจดบันทึก

นักเรียน รว่ มกนั อภิปรายหาขอ้ สรปุ

5.2.4. ครู ให้ทาแบบฝกึ หดั ที่ 1 เรอ่ื ง คอมพิวเตอรแ์ ละอุปกรณ์โทรคมนาคม

ให้คาแนะนา เพ่ือทดสอบเก่ยี วกบั ความเข้าใจรายรายบคุ คล

นกั เรยี น ปฏิบัตแิ บบฝึกหดั ตามใบงาน

5.3 การสรุป

5.3.1. ครู สมุ่ เรยี กผูเ้ รยี นออกมาสรปุ เนอื้ หาที่ได้เรยี นตามกลมุ่ ที่จดั ทาแบบฝึกหดั ที่1

จนครบคลุมเน้ือหาทั้งหมด โดยผสู้ อนช่วยใหค้ าแนะนา และอธบิ ายเพ่ิมเติม

นกั เรยี น ออกมาอธบิ ายหนา้ ชั้นเรยี นทีละกลุ่มโดยสรปุ เนื้อหา ซกั ถามปัญหาและ

จดบนั ทึกเพิ่มเตมิ

๑๐

5.3.2. ครู ใหผ้ ู้เรียนปฏบิ ตั ิตามแบบฝกึ หดั ท่ี 1 ให้เสร็จสมบูรณ์ และใหผ้ ้เู รียน

ซักถามปัญหาในการเรียน

นกั เรยี น ซักถามปญั หาและข้อสงสยั ในการปฏบิ ตั กิ ารทดลอง สรุปผลการทดลอง

และส่งใบงานใน Google Classroom

5.4 การวัดและประเมินผล

5.4.1. ครู สมุ่ ถามผเู้ รยี นเก่ียวกับเนอื้ หาที่เรียน

นกั เรียน ตอบคาถามทผ่ี ู้สอนถาม

5.4.2. ครู ให้ผู้เรยี นเล่นเกมสต์ อบคาถามโดยส่มุ คาถามจากเนอื้ ที่เพ่ือวัดความเข้าใจ

เนื้อหามากข้ึน ตรวจแบบฝกึ หัดท่ี 1 และบนั ทกึ คะแนน

นกั เรียน เล่นเกมสต์ อบคาถาม และแลกเปล่ียนคาตอบ

6. สอ่ื การเรียนร/ู้ แหล่งการเรียนรู้
6.1 ส่ือส่ิงพิมพ์
เอกสารประกอบการสอน เรอ่ื งคอมพิวเตอรแ์ ละอปุ กรณ์โทรคมนาคม
บุญสบื โพธิ์ศรี, รพีพรรณ ชาวไร่อ้อย.2558. เทคโนโลยสี ารสนเทศเพอ่ื การจัดการอาชีพ.

พมิ พค์ ร้ังที่ 1. กรุงเทพฯ : สานกั พิมพ์ศูนยส์ ่งเสรมิ อาชวี ะ

ธีรวฒั น์ ประกอบผล.2558. เทคโนโลยสี ารสนเทศเพื่อการจัดการอาชีพ. กรงุ เทพฯ : ซัค

เซส มีเดีย

โอภาส เอ่ียมสริ ิวงศ.์ 2556. เครือขา่ ยคอมพิวเตอร์และการสอื่ สาร. กรุงเทพฯ : ว.ี พรน้ิ ท

6.1 สื่อโสตทศั น์
ส่ือ PowerPoint วชิ าเทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือการจัดการอาชีพ หน่วยท่ี 1 เร่ือง คอมพวิ เตอร์และ

อุปกรณ์โทรคมนาคม

7. เอกสารประกอบการจดั การเรียนรู้ (ใบความรู้ ใบงาน ใบมอบหมายงาน ฯลฯ)
7.1 ใบความรู้ ประกอบการเรยี นวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการอาชพี หนว่ ยที่ 1 เรื่อง

คอมพวิ เตอร์และอุปกรณโ์ ทรคมนาคม
7.2 แบบฝึกหดั ท่ี 1 เรื่องคอมพวิ เตอรแ์ ละอปุ กรณ์โทรคมนาคม

8. การบรู ณาการ/ความสัมพนั ธ์กบั วิชาอน่ื
8.1 สามารถนาความรู้ มาใช้แยกแยะความแตกต่างระหว่างคอมพวิ เตอรแ์ ละอปุ กรณ์โทรคมนาคม
8.2 สามารถนาความรู้ มาใชร้ ว่ มกับวชิ าการใชง้ านดา้ นคอมพวิ เตอรห์ รือสารสนเทศ

9. การวดั และประเมนิ ผล
9.1กอ่ นเรยี น
9.1.1.ผูเ้ รียนศึกษา คน้ คว้าจากเอกสาร ตารา เกี่ยวกบั ความรเู้ ก่ยี วกับคอมพิวเตอร์และสารสนเทศ
เพอื่ งานอาชีพ
9.1.2.ผูเ้ รยี นทาแบบทดสอบก่อนเรียน

๑๑

9.2ขณะเรยี น
9.2.1.การสงั เกตพฤติกรรมภายในช้ันเรยี น
9.2.2.ทาแบบฝึกหัดประจาหนว่ ย

9.3 หลังเรียน
9.3.1.ใหผ้ ้เู รยี นชว่ ยกนั สรปุ เนอ้ื หา
9.3.2.ทาแบบทดสอบหลงั เรยี น
9.3.3.ทาแบบทดสอบประจาหน่วยที่ 1 เพ่ือวดั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน

10.บนั ทึกหลังการสอน
10.1 ผลการใช้แผนการจดั การเรียนรู้

............................................................................................................................. ................................................
................................................................................... ................................................................................... .......
.................................................................................................................. ...........................................................
............................................................................................................................. ................................................
...........................................................................................................................................................................

10.2 ผลการเรียนรู้ของนักเรียน นักศกึ ษา
........................................................................................................................ .....................................................
............................................................................................................................. ................................................
.................................................................................................................................. ...........................................
................................................................................................................ ............................................................
............................................................................................................................. ................................................
...........................................................................................................................................................................

10.3 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้
.............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ................................................
............................................................................................................................. ...............................................
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ................................................
................................................................................................................ ...........................................................

๑๒

แผนการจัดการเรียนรมู้ ่งุ เนน้ สมรรถนะ หน่วยที่ 1

ชื่อหนว่ ย คอมพิวเตอรแ์ ละอุปกรณ์ สอนคร้ังท่ี 2
โทรคมนาคม ช่ัวโมงรวม 8

จานวนชว่ั โมง 4

1. สาระสาคัญ
โทรคมนาคม (Telecommunications) เปน็ การส่งสารสนเทศในรปู แบบของตวั อักษร ภาพและเสยี ง

โดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือการติดต่อสารจากท่ีหนึ่งไปยังอีก ที่หน่ึงไปยังอีกที่ หนึ่งโดยใช้พลังงานไฟฟ้าให้
ไหลไปตามสายเคเบิลทองแดง เคเบิลเส้นใยแก้วนาแสง หรือโดย อาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการส่งสัญญาณ
ไปในบรรยากาศ เช่น การสง่ วิทยุ โทรทศั น์ การส่งคลื่นไมโครเวฟ และการสง่ สัญญาณผา่ นดาวเทยี ม โดยจดุ ที่
สง่ ข่าวสารกบั จุดรับจะอยู่ หา่ งไกลกัน และขา่ วสารท่สี ่งจะเฉพาะเจาะจงผรู้ ับคนใดคนหน่งึ หรอื ส่งให้ผู้รบั ทั่วไป
ก็ได้ โทรคมนาคมเป็นการใช้สื่ออุปกรณ์รับไฟฟ้าต่าง ๆ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ โทรสาร และโทรพิมพ์
เพ่ือการสื่อสารในระยะไกล โดยอุปกรณ์เหล่าน้ีจะแปลงข้อมูลรูปแบบ ต่าง ๆ เช่น เสียงและภาพไปเป็น
สัญญาณไฟฟ้า สัญญาณเหล่าน้ีจะถูกส่งไปโดยส่ือ เช่น สาย โทรศัพท์ หรือคลื่นวิทยุเม่ือสัญญาณไปถึงจุด
ปลายทาง อุปกรณด์ ้านผรู้ ับจะรับและแปลงกลบั สญั ญาณไฟฟา้ เหลา่ นี้ให้เป็นขอ้ มลู ที่สามารถเข้าใจได้

2. สมรรถนะประจาหน่วย
2.1 ความหมายโทรคมนาคม
2.2 อปุ กรณโ์ ทรคมนาคม
2.3 ส่วนประกอบของโทรคมนาคม
2.4 ชนิดของการเชอื่ มต่อ
2.5 หน้าท่ีของระบบโทรคมนาคม

3. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้

3.1 ด้านความรู้
3.1.1. ผู้เรียนบอกความหมายของโทรคมนาคมได้

3.1.2. ผู้เรยี นยกตัวอย่างอปุ กรณ์โทรคมนาคมได้
3.1.3. ผ้เู รียนบอกสว่ นประกอบของโทรคมนาคมได้
3.1.4. ผูเ้ รยี นบอกชนิดของการเชอ่ื มตอ่ ได้อยา่ งได้อย่างถูกต้อง
3.1.5. ผู้เรยี นยกตวั อยา่ งหน้าที่ของระบบโทรคมนาคมได้

3.2 ดา้ นทักษะ
3.2.1 สามารถบอกความหมายของโทรคมนาคมได้
3.2.2 สามารถยกตวั อยา่ งอปุ กรณโ์ ทรคมนาคมได้อย่างนอ้ ย 2 อย่าง
3.2.3 สามารถบอกส่วนประกอบของโทรคมนาคมได้

๑๓

3.2.4 สามารถบอกชนิดของการเช่อื มตอ่ ไดอ้ ย่างได้อย่างถกู ต้อง
3.2.5 สามารถยกตวั อย่างหนา้ ที่ของระบบโทรคมนาคมได้อย่างน้อย 2 หนา้ ท่ี
3.2.6 สามารถแยกแยะความแตกตา่ งระหว่างคอมพวิ เตอรแ์ ละอปุ กรณโ์ ทรคมนาคมได้

3.3 คุณลักษณะที่พึงประสงค์
3.3.1 ใฝก่ ารเรียนรู้
3.3.2 ผูเ้ รยี นทางานเปน็ ระเบียบเรียบรอ้ ย
3.3.3 ปฏบิ ัติงานดว้ ยความซ่อื สตั ยส์ ุจรติ
3.3.4 มคี วามรับผิดชอบต่อหนา้ ที่
3.3.5 มีความมงุ่ มน่ั ในการทางาน
3.3.6 ใช้เวลาอย่างคุ้มคา่
3.3.7 มจี ติ สาธารณะ

๑๔

แผนการจัดการเรยี นรมู้ ุ่งเน้นสมรรถนะ หนว่ ยที่ 1

ชื่อหนว่ ย คอมพิวเตอร์และอปุ กรณ์ สอนคร้งั ที่ 2
โทรคมนาคม ช่วั โมงรวม 8

จานวนชั่วโมง 4

4. เน้อื หาสาระการเรียนรู้
1.7 ความหมายของโทรคมนาคม

โทรคมนาคม (Telecommunications) เป็นการส่งสารสนเทศในรูปแบบของตัวอักษร ภาพและเสียง
โดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือการติดต่อสารจากที่หนึ่งไปยังอีก ที่หนึ่งไปยังอีกที่ หนึ่งโดยใช้พลังงานไฟฟ้าให้
ไหลไปตามสายเคเบิลทองแดง เคเบิลเส้นใยแก้วนาแสง หรือโดย อาศัยคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าในการส่งสัญญาณ
ไปในบรรยากาศ เช่น การสง่ วทิ ยุ โทรทศั น์ การส่งคลื่นไมโครเวฟ และการสง่ สัญญาณผ่านดาวเทียม โดยจดุ ท่ี
ส่งข่าวสารกับจุดรับจะอยู่ ห่างไกลกนั และขา่ วสารทสี่ ง่ จะเฉพาะเจาะจงผู้รบั คนใดคนหน่งึ หรือส่งใหผ้ ู้รบั ท่ัวไป
กไ็ ด้

โทรคมนาคมเป็นการใชส้ ่อื อปุ กรณร์ บั ไฟฟา้ ตา่ ง ๆ เช่น วทิ ยุ โทรทัศน์ โทรศพั ท์ โทรสาร และโทรพิมพ์
เพ่ือการส่ือสารในระยะไกล โดยอุปกรณ์เหล่านี้จะแปลงข้อมูลรูปแบบ ต่าง ๆ เช่น เสียงและภาพไปเป็น
สัญญาณไฟฟ้า สัญญาณเหล่าน้ีจะถูกส่งไปโดยส่ือ เช่น สาย โทรศัพท์ หรือคลื่นวิทยุเมื่อสัญญาณไปถึงจุด
ปลายทาง อุปกรณ์ด้านผู้รับจะรับและแปลงกลับ สัญญาณไฟฟ้าเหล่าน้ีให้เป็นข้อมูลท่ีสามารถเข้าใจได้ เช่น
เป็นเสียงทางโทรศัพท์ หรือภาพบน จอโทรทัศน์ หรือข้อความและภาพบนจอคอมพิวเตอร์ โทรคมนาคมจะ
ช่วยให้บุคคลสามารถ ติดต่อสารกันได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ๆ ในโลกในรูปแบบของข่าวสาร ความรู้ และความ
บันเทิง

การติดต่อเพ่ือการสื่อความหมายระหว่างผู้ส่งข่าวสาร และผู้รับข่าวสาร แต่ผู้ส่งข่าวสาร และผู้รับ
ขา่ วสารอาจจะอยูใ่ นสถานทเี่ ดียวกันหรืออย่ตู า่ งสถานที่กันก็ได้ หากอย่ตู ่างสถานที่กนั อาจจะตอ้ งใชร้ ะบบการ
ส่อื สาร เชน่ โทรเลข โทรศพั ท์ หรอื โทรสาร เพ่อื การตดิ ต่อส่ือสาร ระหวา่ งผู้ส่งขา่ วสารและผรู้ บั ข่าวสาร
คาว่า“Tele” เป็นรากศัพท์ที่มาจากภาษากรีก หมายความว่า“ไกล ” หรือ “อยู่ไกลออก ไ ป ”
Telecommunications สามารถให้ความหมายอย่างกว้าง ๆ ตามรูปศัพท์ได้ ว่าหมายถึง “การสื่อสารไปยัง
ผ้รู บั ปลายทางท่อี ยไู่ กลออกไป”

สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunications Union : ITU)
ได้ให้คาจากัดความว่า “Telecommunications” หมายถึง “การส่งข่าวสารทุก รูปแบบไม่ว่าจะเป็นเสียงพูด
ตัวอักษร สัญลักษณ์ ภาพถ่าย graphics ภาพเคล่ือนไหว (Video) ฯลฯ ไปยังปลายทาง โดยอาศัย
สัญญาณไฟฟ้าหรือสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าไม่ว่ารูปแบบใดและ ไม่จากัดว่าจะไปใช้สื่อชนิดใด (เช่น ระบบวิทยุ
คู่สายทองแดง หรือ optical fiber ฯลฯ)”

1.8 อปุ กรณโ์ ทรคมนาคม (Telecommunication Device)
อุปกรณ์โทรคมนาคม (Telecommunication Device) จะหมายถึง อุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ที่ทาให้

เกิดการสื่อสารแบบอิเล็กทรอนิกส์เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพหน่วยความเร็วในการรับส่งข่าวสารของ
อปุ กรณ์โทรคมนาคม มีการวัดทใ่ี ชห้ นว่ ยท่เี รยี กว่า

๑๕

- bit per second (bps) คือ ข่าวสาร 1 bit ต่อการสง่ ใน 1 วนิ าที
- thousand of bits per second (Kbps) คอื ขา่ วสาร 1,000 bits ต่อการสง่ ใน 1 วินาที
- million of bits per second (Mbps) คอื ขา่ วสาร 1,000,000 bits ต่อการส่งใน 1 วินาที
- giga of bits per second (Gbps) คือ ขา่ วสาร 1,000,000,000 bits ตอ่ การสง่ ใน 1 วนิ าที
อุปกรณ์โทรคมนาคม ประกอบด้วย ปัจจุบันมีระบบสื่อสารโทรคมนาคมหลายประเภท ตั้งแต่โทรเลข
โทรศัพท์ โทรสาร วิทยุ โทรทัศน์ และเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีรูปแบบของส่ือหลายอย่าง เช่น สายโทรศัพท์
เส้นใยแก้วนาแสง เคเบิลใต้น้าคลืน่ วทิ ยุ ไมโครเวฟ และดาวเทยี ม
1.8.1 อุปกรณโ์ ทรคมนาคมระบบส่อื สารโทรคมนาคม
1.8.1.1. โทรศัพท์มือถือ หรือ โทรศัพท์เคล่ือนท่ี (และมีการเรียก วิทยุโทรศัพท์) คือ อุปกรณ์

อิเล็กทรอนิกส์ท่ีใช้ในการสื่อสารสองทางผ่าน โทรศัพท์มือถือใช้คล่ืนวิทยุในการติดต่อ กับ
เครอื ขา่ ยโทรศัพท์มือถือโดยผ่านสถานฐี าน โดยเครือขา่ ยของโทรศัพท์มอื ถือแต่ละผใู้ ห้ บริการจะ
เช่ือมต่อกับเครือข่ายของ โทรศัพท์บ้านและเครือข่ายโทรศัพท์มือถือของผู้ให้บริการอ่ืน
โทรศัพท์มือถือท่ีมีความสามารถเพิ่มข้ึนในลักษณะคอมพิวเตอร์พกพาจะถูกกล่าว ถึงในช่ือ
สมาร์ทโฟน โทรศัพท์มือถือในปัจจุบันนอกจากจากความสามารถพ้ืนฐานของโทรศัพท์แล้ว ยังมี
คุณสมบัติพื้นฐานของโทรศัพท์มือถือที่เพิ่มขึ้นมา เช่น การส่งข้อความ ปฏิทิน นาฬิกาปลุก
ตารางนัดหมาย เกม การใช้งานอินเทอร์เน็ต บลทู ูธ อินฟราเรด กลอ้ งถา่ ยภาพ SMS วทิ ยุ เคร่ือง
เล่นเพลง และ GPS
1.8.1.2. โทรสาร หรือแฟกซ์ (Fax) เป็นส่ือคมนาคมประเภทหนึ่ง ราชบัณฑิตยสถาน บัญญัติศัพท์ใช้คา
ว่าโทรภาพ เพราะเดิมหมายถึงภาพหรือรูปทสี่ ง่ มาโดยทางไกล ตลอดจนหมาย ถงึ กรรมวธิ ใี นการ
ถอดแบบเอกสารตีพิมพ์หรือรูปภาพ โดยทางคล่ืนวิทยุหรือทางสาย เช่นสาย โทรศัพท์ ในสังคม
สารนิเทศปัจจุบันนิยมใช้คาว่า โทรสาร แทนโทรภาพ เพราะครอบคลุม ประเภทของการส่ง
สารสนเทศได้มากกว่าภาพ เคร่ืองโทรสารมาจากคาในภาษาอังกฤษว่า Facsimile หรือที่นิยม
เรียกกันส้ันๆว่า Fax (แฟกซ์) หมายถึง อุปกรณ์การถ่ายเอกสาร ภาพ และวัสดุกราฟิกด้วยคล่ืน
อากาศความถี่สูง ผ่านระบบโทรศัพท์ทาให้ผู้ส่งและผู้รับท่ีแม้อยู่ห่างกันแค่ไหนก็ตาม เป็นการส่ง
สัญญาณด้วย แสงท่ีมาแปลงเป็นเสียงแล้วย้อนกลับไปเป็นกระแสไฟฟ้า แล้วแปลงกลับมาเป็น
เสียงและแสง อีกคร้ังหน่ึง การส่งเอกสารผ่านทางโทรสารต้องมีหมายเลขของเคร่ืองรับ (เบอร์
โทรศัพท์) และ ต้นฉบับท่ีเป็นเอกสาร และการส่งแฟกซ์แต่ละครั้ง คิดค่าบริการตามอัตราค่าใช้
โทรศัพท์ ถ้าใน พื้นท่ีเดียวกันก็คร้ังละ 3 บาท ต่างจังหวัดคิดตามอัตราค่าบริการโทรศัพท์
ทางไกล แต่ในความ จริงสถานท่ีรับบริการส่งแฟกซ์จะคิดค่าบริการแพงกว่าค่าใช้จ่ายจริง
หลายเท่าตัว ปัจจุบันเคร่ืองโทรสารได้รับความนิยมใช้ในสานักงานกันอย่างแพร่หลาย เน่ืองจาก
ให้ ความสะดวก รวดเร็ว และให้ความแม่นยาในการส่งข้อมูลข่าวสารด้วยสีที่เหมือนกับต้นฉบับ
ใช้ถ่ายเอกสารนาไปพ่วงต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ เพ่ือใช้เป็นพรินเตอร์ (Printer) ช่วยลดปญั หา
การสือ่ สารข้อความผดิ พลาด และช่วยใหก้ ารติดต่อส่อื สารระหวา่ งกันสะดวกและรวดเร็วย่ิงข้ึน
1.8.1.3. วิทยุ-โทรทัศน์ ดิจิตอล (Digital Broadcasting) หมายถึง การส่งผ่านภาพและเสียง โดย
สัญญาณดิจิตอลที่มีประสิทธิภาพสูง ภาพและเสียงคมชัด สามารถส่งข้อมูลได้มากกว่าแบบ
อนาล็อกในหนง่ึ ช่องสัญญาณ และทาให้ได้คุณภาพของภาพและเสยี งดีกว่า การเปล่ยี นระบบจาก
อนาลอ็ กเปน็ ดิจิตอล เป็นกระแสของโลก ทัง้ ในกจิ การวิทยุ- โทรทัศนต์ ่าง ๆ ดงั น้ี

๑๖

1.8.1.3.1. ระบบแพร่ภาพดิจิตอลผ่านดาวเทียม (The Digital Video Broadcasting
- Satel lite System) หรอื DVB-S

1.8.1.3.2. ระบบแพรภ่ าพดิจิตอลผา่ นสายเคเบิ้ล (The Digital Video Broadcasting
- Cable System) หรือ DVB-C

1.8.1.3.3. ระบบแพร่ภาพดิจิตอลภาคพ้ืนดิน (The Digital Video Broadcasting -
Terres trial System) หรอื DVB-T

จุดใหญ่ท่ีจะทาให้ดิจิตอลทีวีต่างจากอนาล็อกทีวีมากคือเทคนิคในด้านน้ี ซึ่งก็จะเริ่มเห็น จากตัวอย่างของ
ระบบโทรศัพท์ท่ีเปลย่ี นจากอนาล็อกมา เป็นดิจิตอล ในทานองคล้ายกัน โทรทัศน์ดิจิตอลจะกลายเป็นสื่อผสม
ชนิดหน่ึง (Multimedia) โดยเป็นส่ือผสมที่มีความเร็วสูงสุด สื่อผสมในท่ีนี้จะประกอบด้วยภาพ เสียงและ
ข้อมูลภาพจะเห็นได้จาก ดิจิตอลทีวีก็จะขึ้นเป็น ระดับความคมชัดสูง (HDTV) ภาพท่ีรับชมก็สามารถโต้ตอบ
(Interactive) ได้

1.8.1.4. จพี ีเอส (GPS) Global Positioning System หมายถึง ระบบกาหนดตาแหน่ง บนโลก โดยใช้
วิธีการคานวณตาแหน่งพิกัดภูมิศาสตร์ของอุปกรณ์รับสัญญาณ จากค่าตาแหน่ง พิกัดจาก
ดาวเทียมท่ีโคจรอยู่รอบโลก ท่ีส่งผ่านสัญญาณนาฬิกามายังโลก จีพีเอส เป็นระบบนาร่องโดย
อาศัยคลื่นวิทยุ และรหัสที่ส่งมาจากดาวเทียม NAVSTAR (NAVigation Satellite Timing and
Ranging) จานวน 24 ดวงที่โคจรอยู่เหนือพ้ืนโลก สามารถ ใช้ในการหาตาแหน่งบนพ้ืนโลกได้
ตลอด 24 ชั่วโมงทุก ๆ จุดบนผิวโลก GPS (Global Positioning System) เป็นระบบดาวเทยี ม
NAVSTAR ท่ีออกแบบและ จดั สร้างโดยกองทพั สหรัฐอเมริกา เพ่ือใช้ในการนาทาง (Navigation)
มีวัตถุประสงค์ในการ ออกแบบคอื
1.8.1.4.1. เพ่อื ให้มผี ใู้ ชป้ ระโยชนท์ ั้งฝา่ ยทหารและพลเรือนไดเ้ ป็นจานวนมาก

1.8.1.4.2. เพอ่ื เครอ่ื งรับและอปุ กรณใ์ ช้งานไดง้ า่ ยและมีราคาต่า

1.8.1.4.3. เพ่ือใช้ไดส้ ะดวกไม่มีข้อจากัด นน่ั คอื ใช้ไดต้ ลอด 24 ชัว่ โมง โดยไม่ขึน้ กบั

สภาพ ภมู ิอากาศและสถานที่

1.8.1.4.4. ให้ความถูกต้องทางตาแหน่งตามเงอ่ื นไขทฝี่ ่ายทหารกาหนด GPS เป็น

เพียงระบบหนง่ึ ของสหรัฐอเมริกา ที่เรียกระบบนีว้ ่า GNSS หรอื Global Navigation

Satellite System ซง่ึ ยังมีอีกหลายระบบทีอ่ ยใู่ นกลุ่มนี้ เชน่ GPS เป็นเพยี งระบบหนึง่

ของสหรฐั อเมรกิ า ทเี่ รยี กระบบนว้ี ่า GNSS หรอื Global Navigation Satellite

System ซึ่งยงั มีอกี หลายระบบทอี่ ยใู่ นกล่มุ นี้ เช่น
- NAVSTAR - USA นิยมเรียกว่า GPS
- GLONASS - Russia
- Galileo - European Union
- Beidou - China
- QZSS - Japanese
- IRNSS - Indian Regional Navigational Satellite System – India
องค์ประกอบของ GPS จีพีเอส (GPS) มีหลักการทางานโดยอาศัยคล่ืนวิทยุ และรหัสท่ีส่งมาจาก
ดาวเทียม NAVSTAR จานวน 24 ดวง ทโี่ คจรอยู่รอบโลกวันละ 2 รอบและมีตาแหน่งอย่เู หนือพน้ื โลกที่ ความ
สงู 20,200 กโิ ลเมตร สามารถใชใ้ นการหาตาแหน่งบนพ้นื โลกได้ตลอด 24 ช่ัวโมง ทกุ ๆ จดุ บนผิวโลก ใชน้ า

๑๗

รอ่ งจากท่หี นึ่งไปที่อ่ืนตามต้องการ ใช้ติดตามการเคล่ือนท่ขี องคนและ สิง่ ของตา่ ง ๆ การทาแผนท่ี การทางาน
รังวัด (Surveying) ตลอดจนใช้อ้างอิงการวัดเวลาที่เท่ียง ตรงท่ีสุดในโลกองค์ประกอบของระบบกาหนด
ตาแหนง่ บนโลก (GPS) ประกอบด้วย 3 สว่ นหลกั คือ

1. สว่ นอวกาศ (Space segment )
2. สว่ นสถานีควบคุม (Control segment)
3. สว่ นผ้ใู ช้ (User segment)
1.8.2 อุปกรณโ์ ทรคมนาคมเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์
1.8.2.1. สายโทรศัพท์ ทาหนา้ ทีเ่ ช่อื มผูเ้ ช่าเขา้ กับชุมสายเป็นตวั นาสัญญาณเสียงของคสู่ นทนา ให้ถึงกัน
สายเคเบลิ ทีจ่ ะนามาใช้งานในกิจการโทรศัพท์ ต้องคานงึ ถงึ คุณสมบัติหลายประการ เช่น ขนาด
ลวดทองแดง ความต้านทานของฉนวน ค่าคาปาซิเตอร์ในคู่สาย การทนความร้อน ของฉนวน
ค่าความต้านทานและการลดทอนของลวดตัวนาเหล่าน้ีต้องคานึงถึง ซ่ึงจะมีค่าที่ กาหนดไว้ ให้
พิจารณาก่อนการนาไปใช้ งาน นอกจากนั้นเคเบิลท่ี จะนาไปใช้งานต้องมีการฟอร์มเพื่อลดค่า
CROSS TALK และทาให้แยกคู่ได้ชัดเจน สายโทรศัพท์แบ่งได้สองประเภท คือวางในอากาศ
และวางใต้ดิน ชนิดท่ีวางในอากาศ ยังแบ่งออกได้เป็นวางในอาคารและวางนอก อาคาร ส่วน
วางใตด้ ินนน้ั ก็แบง่ ออกเป็นวาง ใตด้ นิ และวางใต้นา้ ซ่ึงเคเบลิ แตล่ ะชนิดจะทาโครงสร้างแตกต่าง
กันและราคาก็แตกต่างกัน ด้วยนอกจากน้ันเพ่ือความสะดวกในการใช้ งานของเคเบิลโทรศัพท์
ยังเคลือบสหี มุ้ คู่สาย ไว้อีก เรียกวา่ รหัสสขี องค่สู ายโทรศัพท์ ซง่ึ สะดวกในการแยกค่สู ายใช้งาน
มากยง่ิ ขึน้
1.8.2.2. สายใยแก้วนาแสง หรือ ออปติกไฟเบอร์ หรือ ไฟเบอร์ออปติก เป็นแก้วหรือ พลาสติก
คุณภาพสูง ยืดหยุ่นโค้งงอได้ เส้นผ่าศูนย์กลางเพียง 8-10 ไมครอน (10 ไมครอน = 10 ใน
ล้านส่วนของเมตร =10x10^-6=0.00001 เมตร = 0.01 มม.) เล็กกว่าเส้นผมที่มีขนาด
40-120 ไมครอน, กระดาษ 100 ไมครอน ใยแก้วนาแสงทาหน้าที่เปน็ ตัวกลางในการสง่ แสง
จากด้านหน่ึงไปอีกด้านหนึ่ง ด้วยความเร็วเกือบเท่า แสง เมื่อนามาใช้ในการสื่อสาร
โทรคมนาคม ทาให้ สามารถส่ง-รับข้อมูลไดเ้ ร็วมาก ได้ระยะทางเกิน 100 กม.ในหน่งึ ช่วง และ
เนื่องจากแสงเป็นตัวนาส่ง ข้อมูล ทาให้สัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าภายนอก ไม่ สามารถรบกวน
ความชดั เจนของขอ้ มูลได้ ใยแก้วนาแสงจึงถกู นามาใชแ้ ทนตวั กลางอ่นื ๆในการส่งข้อมูล
1.8.2.3. เคเบิลใต้น้า (submarine communications cable) เป็นสื่ออีกอย่างหนึ่งท่ีมี การใช้ในการ
สือ่ สาร โทรคมนาคมระหว่างประเทศ มีการรับสง่ สญั ญาณทกุ ชนิดได้อย่างมี ประสทิ ธิภาพ ได้มี
การพัฒนาเทคโนโลยีเร่ือย ๆ มาเป็นลาดับตั้งแต่ยุคของเคเบิลใตน้ ้าชนดิ แกน (coaxial cable)
มาจนถึง สายเคเบิลชนิดใยแก้ว (optical fiber cable) ซ่ึงมีใช้แพร่หลายท่ัว โลกเพราะเหมาะ
กับสภาวการณ์ปัจจุบัน และมีการพัฒนาความสามารถให้ทันสมัย โครงข่าย เคเบิลใต้น้า
(submarine cable networks) มีประวัติท่ีน่าสนใจ นับตั้งแต่ พ.ศ. 2393 มีการ วางสาย
เคเบิลใต้น้าท่ีช่องแคบอังกฤษ ในขณะท่ีสายเคเบิลโทรเลขทางทรานสแอตแลนติค เส้น แรก
วางใน พ.ศ. 2410 ปัจจุบันสายเคเบิลใต้น้าสามารถวางได้เร็วกว่าในอดีตเน่ืองจาก ความ
ก้าวหนา้ ของเทคโนโลยี ทาใหม้ กี ารวางสายเคเบิลใต้ นา้ ในภมู ิภาคเอเชีย-แปซิฟิก นานกวา่ 10
ปีแล้ว และมีปริมาณทราฟฟิกโทรศัพท์ระหว่างประเทศเพ่ิม ข้ึนถึง 10 เท่าตัว ทั่วโลกจะมีการ
ลงทุนทางด้าน เคเบลิ ใตน้ ้าใยแกว้ มากกวา่ 15 พันล้านดอลลาร์ สหรัฐ ใน จานวนหน่งึ กว่าครึ่ง

๑๘

เป็นของภูมิภาค เอเชีย-แปซิฟิกเนื่องจากมีความเจริญเติบโตทางด้าน เศรษฐกิจ ทาให้ความ

ตอ้ งการเพ่มิ ขน้ึ อย่างรวดเร็ว

1.8.2.4. คล่ืนวิทยุ เป็นคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าความถ่ีสูง ซึ่งมีคุณสมบัติกระจายไปได้เป็นระยะ ทางไกล

ด้วยความเร็วเท่ากับแสงคือ 300 ล้านเมตรต่อวินาที เครื่องส่งวิทยุจะทาหน้าท่ีสร้าง คลื่น

แม่เหล็กไฟฟ้าความถ่ีสูงหรือคลื่นวิทยุ (RF) ผสมกับคลื่นเสียง (Audio Frequency -AF) แล้ว

ส่งกระจายออกไป ลาพังคล่นื เสยี งซงึ่ มีความถ่ีต่าไมส่ ามารถสง่ ไปไกล ๆ ได้ ต้องอาศยั คล่ืนวทิ ยุ

เป็นพาหะจึงเรียกคล่ืนวิทยุว่า คลื่นพาหะ (Carier Wave) เครื่องรับวิทยุ จะทาหน้าท่ี รับ

คลน่ื วทิ ยแุ ละแยกคล่นื เสยี งออกจากคล่ืนวิทยุให้รบั ฟังเปน็ เสยี งปกติได้

ความถ่ีของคลื่น หมายถึง จานวนรอบของการเปล่ียนแปลงของคลื่น ในเวลา 1 นาที คล่ืนเสียงมี

ความถี่ช่วงท่ีหูของคนรับฟังได้ คือ ต้ังแต่ 20 เฮิรตซ์ถึง 20 กิโลเฮิรตซ์ (1 KHz =1,000 Hz) ส่วนคลื่นวิทยุ

เป็นคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าความถ่ีสูง อาจมีตั้งแต่ 3 KHz ไปจนถึง 300 GHz( 1 GHz = พันล้าน Hz) คล่ืนวิทยุ

แตล่ ะชว่ งความถจี่ ะถกู กาหนดให้ใช้งานด้านตา่ ง ๆ ตาม ความเหมาะสม

1.8.2.5. คล่ืนไมโครเวฟ เป็นคลื่นความถ่ีวิทยุชนิดหนึ่งที่มีความถี่อยู่ระหว่าง 0.3 GHz - 300 GHz

การใช้งานน้ันส่วนมากนิยมใช้ความถ่ีระหว่าง 1 GHz - 60 GHz เพราะเป็น ย่านความถ่ีที่

สามารถผลติ ขึน้ ไดด้ ว้ ยอุปกรณอ์ เิ ล็กทรอนิกส์

1.8.2.6. ดาวเทียม คือ สิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์คิดค้นข้ึน ท่ีสามารถโคจรรอบโลก โดยอาศัย แรงดึงดูดของ

โลก ส่งผลใหส้ ามารถโคจรรอบโลกได้ในลกั ษณะเดียวกนั กบั ทด่ี วงจันทรโ์ คจรรอบ โลก และโลก

โคจรรอบดวงอาทิตย์ วัตถุประสงค์ของส่ิงประดิษฐ์นี้เพ่ือใช้ทางการทหาร การ ส่ือสาร การ

รายงานสภาพอากาศ การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เช่น การสารวจทางธรณีวิทยา สังเกตการณ์

สภาพของอวกาศ โลก ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวอ่ืน ๆ รวมถึงการสังเกต วัตถุ และ

ดวงดาว กาแลก็ ซตี ่างๆ

1.9 ส่วนประกอบของโทรคมนาคม

Transmission Media หมายถึง ตัวกลางในการส่งสัญญาณ มีลักษณะข้อดีและข้อเสีย แตกต่าง

กันไป ในการพัฒนาระบบโทรคมนาคม การเลือกใช้ตัวกลาง ควรเลือกให้เหมาะกับ จุดประสงค์ของการสร้าง

ระบบสารสนเทศขององค์กร และจุดประสงค์โดยรวมของการดาเนิน ธุรกรรมขององค์กร ด้วยต้นทุนที่ต่าทีส่ ุด

แต่สามารถปรับเปลีย่ นระบบดงั กลา่ วให้ทนั สมัยได้ เปน็ ระยะ ๆ ด้วย

ตารางที่ 1.1 ตารางแสดงรายละเอียดชนดิ ของตวั กลาง

ชนิดของตัวกลาง คาอธบิ าย ขอ้ ดี ข้อเสีย

Twisted-pair wire เส้นทองแดง 2 เส้นมา ใชใ้ นการให้บรกิ าร ความเรว็ และ

cable (สายทองแดงบิด บิดเป็นเกลียวๆ มีทั้ง โทรศัพท์ มีอยมู่ าก ระยะทางในการสง่ มี

ค)ู่ แบบหุม้ ฉนวนและแบบ (เพราะราคาไม่แพง) จากดั

ไม่หุ้มฉนวน

Coaxial Cable (สาย สายไฟที่มีการหุ้มฉนวน การสง่ สัญญาณชดั เกว่า ราคาแพงกวา่

เคเบลิ หุ้มฉนวน) และเร็วกว่า Twisted- Twisted-pair wire

pair wire cable cable.

๑๙

Fiber-optic cable เส้นใยแกว้ ขนาดเล็ก ขนาดเล็กกวา่ สง่ ข้อมูล มีราคาแพงในการซ้ือ
(สายใยแก้วนาแสง) มาก ๆ นามามัดรวมกัน ได้ดีกวา่ มสี ัญญาณ และตดิ ตงั้
รบกวนได้น้อยกว่า
Microwave Coaxial Cable
Transmission
(สญั ญาณไมโครเวฟ) สัญญาณของคล่ืนวทิ ยุ ไมต่ ้องเสียตน้ ทนุ ในการ ตอ้ งไม่มสี ิ่งกดี ขวาง
ความถี่สงู ส่งผา่ นใน วางสายไฟใหย้ งุ่ ยาก ในการสง่ สัญญาณ
บรรยากาศและอวกาศ และสามารถส่งสัญญาณ ระหว่างผสู้ ง่ และผรู้ บั
ความเรว็ สูงได้

Cellular มกี ารแบ่งอาณาเขตใน ใชใ้ นโทรศัพท์มอื ถอื สญั ญาณสามารถมี
Transmission การส่ง แต่ละอาณาเขต ราคาต่าลงเรื่อย ๆ คลน่ื รบกวนได้
(สัญญาณเซลลลู ่าร์) ข้นึ อยู่ในความ
รบั ผดิ ชอบของแตล่ ะ
Infrared บริษทั เจา้ ของมือถือ
Transmission
(สัญญาณอนิ ฟาเรด) สญั ญาณส่งผา่ นอากาศ สามารถเคลื่อนยา้ ย ตอ้ งไมม่ ีสง่ิ กดี ขวาง
เปน็ ลาแสง อุปกรณ์ทใ่ี ช้ได้ง่าย ไม่ ระหวา่ งอปุ กรณส์ ่ง
ต้องมีการต่อสายไฟให้ และอุปกรณร์ ับเลย
ย่งุ ยาก

1.9.1 ประเภทของขอ้ มลู
ข้อมลู ในการส่ือสารโทรคมนาคมสามารถแยกไดเ้ ปน็ 4 ประเภท คือ

1.9.1.1. ประเภทเสียง เชน่ เสยี งพดู เสยี งดนตรี
1.9.1.2. ประเภทตวั อักษร เชน่ อักษร ตัวเลข สญั ลกั ษณ์
1.9.1.3. ประเภทภาพ ทง้ั ภาพนง่ิ และภาพเคลอ่ื นไหว
1.9.1.4. ประเภทรวม เป็นการสื่อสารทั้งตัวอกั ขระ ภาพและเสยี ง
1.9.2 องค์ประกอบของการสอ่ื สารในระบบโทรคมนาคม
องคป์ ระกอบของการสื่อสารในระบบโทรคมนาคม แบง่ ได้ 2 สว่ น ซึง่ ทาหน้าทด่ี งั น้ี
1.9.2.1. สอ่ื หรือพาหะ เพ่อื นาข่าวสารนนั้ ไปถึงกันโดยใชเ้ คลอ่ื นวิทยุท่ีมคี วามถ่ีสูงเป็น คลน่ื พาห์ ชว่ ย

นาสัญญาณทางไฟฟ้าทีส่ ่งมาน้นั แพรก่ ระจายไปในบรรยากาศไปยงั เครื่องรับได้โดยสะดวก
1.9.2.2. เครอ่ื งส่งและเครอ่ื งรับ จดุ ส่งและจุดแตล่ ะจุดจะตอ้ งมเี ครอ่ื งเข้ารหสั เพ่อื เปล่ียน ขา่ วสารน้ัน

ให้เป็นสัญญาณทางไฟฟ้าเสียก่อน เพื่อฝากสัญญาณไปกับคล่ืนพาห์ ด้วยการกล้าสัญญาณ
โดยเคร่ืองมือที่เรียกว่า มอดูเลเตอร์ เมื่อสัญญาณนั้น เสมือนเครื่องถ่ายสาเนาเอกสาร
เพียงแต่ต้นฉบับท่ีส่งมาน้ันอยู่ห่างไกลจากผู้รับโทรสารเป็นอุปกรณ์ท่ีนามา ใช้แทนเคร่ือง
โทรสาร (photo telegraph) ทเี่ คยใช้ในการส่งภาพนิ่งมาแตเ่ ดิม ซึง่ ลา้ สมยั ไปแลว้
1.9.3 อุปกรณ์โทรคมนาคมโดยทัว่ ไป
ตารางท่ี 1.2 ตารางแสดงอุปกรณ์โทรคมนาคมโดยท่วั ไป

๒๐

อปุ กรณ์ หนา้ ท่ีการใช้งาน
Model (โมเด็ม)
เปลีย่ นข้อมลู จากรปู แบบดิจิตอลใหเ้ ปน็ รปู แบบอนาลอ็ ก ขนั้ นี้
เรยี กวา่ Mudulation (โมดูเรช่นั ) แลว้ ส่งผา่ น สายโทรศพั ท์
จากนน้ั เม่ือถงึ จดุ หมายก็แปลงข้อมลู ในรปู แบบอนาลอ็ กให้กลับ
เปน็ รปู แบบดิจติ อล ขั้นนเี้ รียกว่า Demulation (ดโี มดูเรชั่น)

Fax Modem (แฟกซ์ โมเดม็ ) สามารถสง่ เอกสาร รูปภาพ แผนภมู ติ า่ ง ๆ ผา่ น สายโทรศพั ทไ์ ด้

Multiplexer สามารถใหส้ ัญญาณโทรคมนาคมรูปแบบต่าง ๆ ส่งผ่าน ชอ่ ง
PBX ทางการสื่อสารช่องทางเดียวกัน ในเวลาเดียวกนั ได้

เปน็ ระบบสอื่ สารทจี่ ัดการการส่งขอ้ มูลและเสยี งภายใน อาคาร
ขององค์กร และการสง่ ข้อมูลและเสียงจากองค์กร ไปยงั สถานท่ี
อน่ื ๆ ภายนอกองค์กร

1.9.3.1. Dedicated Line (สายเช่ือมต่อทางกายภาพ) หรือบางคร้ังเรียกว่า leased line (สายให้
เช่า) คอื การเชอื่ มต่อสัญญาณระหวา่ ง 2 สถานทที่ างกายภาพ โดยไม่ต้องมีการใช้ โทรศพั ท์
ในการหมุนเขา้ เพื่อต่อเหมือนการใชโ้ มเด็มเลย อปุ กรณ์ ณ 2 สถานที่จะเช่ือมต่อกนั เสมอ
สว่ นใหญม่ ักใชก้ บั การเชื่อมต่อระหวา่ งสานักงานใหญ่ขององคก์ รใดองคก์ รหนึ่ง

1.9.3.2. Digital Subscriber Line (DSL) (ผเู้ ช่าสายสัญญาณแบบดจิ ิตอล) เช่อื มต่อโดย การใช้
สายโทรศัพท์ที่มีอยู่ในปจั จุบนั ให้ความเรว็ ในการสง่ สัญญาณถึง 500 Kbps ในราคา
ประมาณ 20 เหรียญสหรฐั ฯ

1.9.3.3. Computer Network หมายถึง การเชือ่ มตอ่ โดยใช้ ตัวกลาง อปุ กรณ์ และโปรแกรม
คอมพิวเตอร์ ในการเชื่อมต่อเครือ่ งคอมพวิ เตอรม์ ากกว่า 2 เครอ่ื งเข้าดว้ ยกัน เมื่อเครื่อง
คอมพิวเตอรเ์ ช่ือมต่อกันแลว้ แต่ละเคร่ืองสามารถแบ่งปนั การใชง้ านต่าง ๆ ได้ เช่น การแบง่
ปนั การใชข้ ้อมูลระหว่างกันและกนั ได้

1.9.4 องค์ประกอบข้ันพื้นฐานของการสื่อสารขอ้ มูล
1.9.4.1. ผู้ส่งสาร (Transmitter) คอื สิง่ ทท่ี าหน้าที่ส่งขอ้ มูลในการสื่อสาร เชน่ ผูพ้ ูด คอมพวิ เตอร์
เคร่อื งส่งรหัสมอส เป็นตน้
1.9.4.2. ผรู้ ับสาร (Receiver) คือ ส่งิ ท่ที าหน้าทรี่ ับขอ้ มลู ที่ถูกสง่ มา เชน่ ผู้ฟงั เคร่ืองรบั วทิ ยุ เป็นตน้
1.9.4.3. ขอ้ มูล (Message) คือ สิ่งท่ผี ู้สง่ สารตอ้ งการส่งให้ผรู้ บั สาร รบั ทราบ เช่น ขอ้ ความ ประกาศ
รหัสลับ เปน็ ตน้
1.9.4.4. สัญญาณรบกวน (Noise) คือ สงิ่ ที่ทาให้เกดิ การรบกวน ตอ่ ระบบและขา่ วสาร
1.9.4.5. สอ่ื (Medium) คือ ตวั กลางท่ีใช้ในการสง่ ข้อมลู ระหวา่ งผู้สง่ สารและผรู้ บั สาร เชน่ อากาศ
สายไฟฟ้า สายโทรศัพท์ เปน็ ตน้
1.9.4.6. โปรโตคอล (Protocol) คือ กระบวนการ วิธกี าร ประเภท หรอื ขอ้ กาหนดตา่ งๆ ทต่ี กลงกัน
ระหว่างผูส้ ง่ และผรู้ ับสารเพื่อใช้ในการ ส่อื สารข้อมูล เช่น การเขียนจา่ หนา้ ซองจดหมาย การ
เข้ารหัสและการถอดรหัสข้อมูล การใช้ภาษา เดียวกันในท่ีทางานร่วมกัน เช่น โทรสาร วิทยุ

๒๑

ติดตามตัว โทรศพั ทเ์ คล่ือนท่ี อนิ เทอรเ์ น็ต วิทยุ กระจายและโทรทศั น์ Remote Control
เปน็ ตน้
1.9.5 กลยุทธพ์ ืน้ ฐานในการประมวลผลมี 3 กลยุทธ์หลักๆ ดังน้ี
1.9.5.1. Centralized Processing (การประมวลผลแบบมีศูนย์กลาง) หมายถึง อุปกรณ์ ที่ใช้ใน
การประมวลผลมีอยู่ ณ สถานที่เพียงแห่งเดียว เพื่อให้มีลักษณะการควบคุมได้ดีที่สุด เช่น
สถาบันการเงินต่าง ๆ มักจะใช้การประมวลผลวิธีนี้เพราะสามารถรักษาความปลอดภัย ณ
สถานท่เี ดยี วได้
1.9.5.2. Decentralized Processing (การประมวลผลแบบกระจาย) หมายถึง อุปกรณ์ ท่ีใช้ใน
การประมวลผลมีอยู่หลายสถานที่ และระบบคอมพิวเตอร์แต่ละท่ีไม่มีการเช่ือมต่อเพื่อ
ติดต่อสอื่ สารกัน เช่น รา้ นวิดีโอซทึ าย่า
1.9.5.3. Distributed Processing (การประมวลแบบแบ่งปัน) อุปกรณ์ท่ีใช้ในการประมวล ผลมี
อยหู่ ลายสถานท่ี แต่ระบบคอมพิวเตอรแ์ ต่ละท่มี ีการเช่ือมต่อเพื่อติดต่อสอื่ สารกัน เช่น ศูนย์
โทรศัพท์มือถอื AIS

1.10 ชนดิ ของการเช่อื มตอ่ (Network Types)
1.10.1.LAN (Local Area Network) หมายถึง การเช่ือมต่อคอมพิวเตอร์ภายใน สานักงานหรือโรงงาน

การเชอื่ มต่อแบบนมี้ ักใชส้ ายไฟแบบสายทองแดงบิดคแู่ บบไม่มฉี นวน (Unshielded twisted-pair –
UTP) เป็นส่วนมาก แต่การเช่ือมต่อด้วยสายใยแก้วนาแสง ก็มีการนามาใช้ด้วย การเช่ือมต่อแบบน้ี
ต้องใชอ้ ุปกรณ์ทีเ่ รยี กวา่ Network Interface Card (NIC)
1.10.2.Wide Area Network (WAN) เป็นการเช่ือมต่อในพ้ืนท่ีท่ีกว้างกว่า LAN มักครอบคลุมประเทศใด
ประเทศหน่งึ สามารถเชอื่ มต่อโดยใชส้ ญั ญาณไมโครเวฟ ดาวเทียม หรือสายโทรศพั ท์ก็ได้
1.10.3.International Networks เป็นการเชื่อมต่อระหว่างประเทศต่าง ๆ ซ่ึงต้องใช้ อุปกรณ์ และ
โปรแกรมที่มีความสลับซับซ้อนเพ่ือให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ ของแต่ละประเทศท่ี
ต้องการเชื่อมตอ่ กนั ถา้ ประเทศใดประเทศหนึง่ มีกฎหมาย ระเบยี บ ขอ้ บังคับของประเทศตนเกี่ยวกับ
การใช้อุปกรณ์ โทรคมนาคม และฐานข้อมูลแบบเข้มงวดจะ เรียกการเช่ือมต่อว่ามีอุปสรรค คือ
Trans border Data Flow แต่ถ้าไม่เข้มงวดจะเรียกว่าประเทศ น้ันเป็น Data Havens หรือสวรรค์
ของขอ้ มูล ขา่ วสาร

1.11 หน้าท่ขี องระบบโทรคมนาคม
ทาหน้าที่ในการส่งและรับข้อมูลระหว่างจุดสองจุด ได้แก่ ผู้ส่งข่าวสาร (Sender) และ ผู้รับข่าวสาร

(Receiver) จะดาเนินการจัดการลาเลียงข้อมูลผ่านเส้นทางท่ีมีประสิทธิภาพท่ีสุด จัดการตรวจสอบความ
ถูกต้องของข้อมูลท่ีจะส่งและรับเข้ามา สามารถปรับเปล่ียนรูปแบบข้อมูล ให้ท้ังสองฝ่ายสามารถเข้าใจได้
ตรงกัน ส่วนใหญ่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นตัวจัดการ ในระบบ โทรคมนาคมส่วนใหญ่ใช้อุปกรณ์ในการรับส่งข้อมูล
ข่าวสารต่างชนิด ต่างย่ีห้อกัน แต่สามารถ แลกเปล่ียนข้อมูลระหว่างกันได้เพราะใช้ชุดคาส่ังมาตรฐานชุด
เดยี วกนั กฎเกณฑม์ าตรฐานใน การสอื่ สารนเ้ี รียกวา่ “โปรโตคอล (Protocol)” อปุ กรณ์แต่ละชนดิ ในเครอื ข่าย
เดียวกันต้องใช้ โปรโตคอลอย่างเดียวกัน จึงจะสามารถสื่อสารถึงกันและกันได้ หน้าที่พ้ืนฐานของโปรโตคอล
คือ การทาความรู้จกั กับอปุ กรณ์ตวั อืน่ ที่อยู่ในเสน้ ทางการถ่ายทอดข้อมลู การตกลงเงื่อนไขใน การรับส่งข้อมูล
การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล การแก้ไขปัญหาข้อมูลท่ีเกิดการผิดพลาด ในขณะท่ีส่งออกไปและการ

๒๒

แก้ปัญหาการสื่อสารขัดข้องที่อาจเกิดขึ้นโปรโตคอลที่รู้จักกันมาก ได้แก่ โปรโตคอลในระบบเครือข่าย
อินเทอรเ์ นต็ เชน่ Internet Protocol ; TCP/IP, IP Address ท่ใี ชก้ ันอยู่

เทคโนโลยีโทรคมนาคม ใช้เพื่อติดต่อสื่อสารรับ/ส่งข้อมูลจากที่ไกลออกไป เป็นการส่งของข้อมูล
ระหวา่ ง คอมพิวเตอร์ หรืออปุ กรณต์ ่าง ๆ ทีอ่ ยหู่ า่ งไกลกัน ซง่ึ จะชว่ ยใหก้ ารเผยแพร่ข้อมูล หรือ สารสนเทศไป
ยังผู้ใช้ในแหล่งต่าง ๆ เป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็ว ถูกต้อง ครบถ้วนและทัน เหตุการณ์ (Up-to-Date) ซ่ึง
รูปแบบของข้อมูลท่ีรบั /ส่งอาจเป็นตัวเลข (Numeric Data) ตวั อกั ษร (Text) ภาพ (Image) และเสียง (Voice)
ตัวอย่างเช่น การส่งข้อมูลต่าง ๆ ของยานอวกาศท่ีอยู่นอกโลกมายังเครื่องคอมพิวเตอร์บนโลก เพ่ือทาการ
คานวณ และ ประมวลผล ทาให้ทราบปรากฏการณ์ต่าง ๆ ได้อยา่ งรวดเรว็

องคป์ ระกอบและหนา้ ท่ีของระบบโทรคมนาคม ดงั ต่อไปน้ี
1.11.1.ต้นกาเนิดข่าวสาร (Source of Information) ส่วนน้ีเป็นส่วนแรกในระบบการสื่อสาร

โทรคมนาคม เป็นแหล่งที่มาของข่าวสารต่าง ๆ ท่ีผู้ส่งต้องการที่จะส่งไปยังผู้รับที่ปลายทาง ตัวอย่าง
ในระบบโทรศัพท์หรือระบบวิทยุกระจาย เสียง ส่วนนี้ก็คือเสียงพูดของผู้พูดที่ต้นทาง ซ่ึงจะถูก
ไมโครโฟนเปลี่ยนให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าที่ เหมาะสม และส่งเข้าไปในระบบ หรือในกรณีระบบการ
สื่อสารข้อมูล (Data Communication) ส่วนน้ีอาจจะเป็นเคร่ืองคอมพิวเตอร์หรือ Data Terminal
ประเภทต่าง ๆ
1.11.2.เครอื่ งสง่ (Transmitter) เคร่ืองสง่ หรือตวั ส่งน้ีทาหน้าท่ีในการแปลงหรือเปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้าที่ใช้
แทนข่าวสาร จากต้นกาเนิดข่าวสาร ให้เป็นสัญญาณหรือคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าท่ีเหมาะสมในการส่ง
ต่อไปยัง ปลายทาง เช่น ระบบโทรศัพท์ตัวเครื่องโทรศัพท์จะแปลงสัญญาณไฟฟ้าท่ีใช้แทนเสียงพูด
ให้ เป็นสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าท่ีเหมาะสมและส่งต่อไปยังปลายทาง หรือในระบบวิทยุกระจายเสียง
ส่วนนี้ ได้แก่ เคร่ืองส่งวิทยุ สาหรับในระบบการสื่อสารข้อมูล ส่วนนี้จะเป็น MODEM หรือ อุปกรณ์
อื่นที่เหมาะสมในการเปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้าท่ีมาจากคอมพิวเตอร์หรือ Data Terminal เพ่ือให้เป็น
สัญญาณแม่เหลก็ ไฟฟา้ ที่เหมาะสมในการผา่ นระบบสื่อสัญญาณ (Transmissions) ไปยงั ปลายทาง
1.11.3.ระบบการส่งผ่านสัญญาณ (Transmissions) เม่ือเคร่ืองส่งได้เปลยี่ นหรอื แปลงสัญญาณไฟฟ้าท่ีใช้
แทนขา่ วสารต่าง ๆ ให้เป็นสญั ญาณ หรือคล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟา้ ที่เหมาะสมแล้ว สัญญาณกจ็ ะถูกส่งผ่าน
ระบบระบบการส่งผ่านสัญญาณ เพ่ือส่งต่อไปยังเครื่องรับและผู้รับที่ปลายทาง ดังนั้นระบบการ
ส่งผ่านสัญญาณจึงถือได้ว่านับ เป็นส่วนท่ีสาคัญและจาเป็นมากในระบบการสื่อสารโทรคมนาคม
เน่ืองจากหากปราศจากระบบ การส่งผ่านสัญญาณหรือมีระบบการส่งผ่านสัญญาณท่ีคุณภาพไม่ดี
แลว้ ระบบการสอื่ สาร โทรคมนาคมทมี่ ปี ระสทิ ธิภาพก็ไมส่ ามารถจะเกดิ ขึน้ ได้
1.11.4.เคร่ืองรับ (Receiver) ส่วนนี้เป็นส่วนท่ีทาการแปลงหรือเปลี่ยนสญั ญาณหรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่
ถูกส่งผ่าน ระบบการส่งผ่านสัญญาณจากต้นทาง เพื่อให้กลับมาเป็นสัญญาณไฟฟ้าที่ใช้แทนข่าวสาร
ทถ่ี ูก สง่ มาจากตน้ ทางทั้งน้เี พ่ือส่งให้อุปกรณ์ปลายทางทาการแปลงหรือเปลย่ี นสัญญาณไฟฟ้าน้นั ให้
กลับมาเป็นข่าวสารท่ีผู้รับสามารถเข้าใจความหมายได้ ในระบบโทรศัพท์ส่วนน้ีก็คือตัวเคร่ือง รับ
เครื่องโทรศัพท์ ท่ีจะทาการเปลี่ยนสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าท่ีรับได้นั้น ให้เป็นสัญญาณไฟฟ้า ท่ี
เหมาะสมสาหรับการสง่ ต่อให้หูฟัง หรือในระบบวิทยุกระจายเสียงสว่ นน้ีก็คือเคร่ืองรับวิทยุที่ จะแยก
สัญญาณเสียงออกจากคล่ืนวิทยุเพ่ือส่งต่อให้ลาโพงสาหรับระบบการส่ือสารข้อมูล ส่วนนี้จะเป็น
MODEM หรืออุปกรณ์ที่เหมาะสมในการเปลี่ยนสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าที่รับมาน้ัน ให้เป็น
สัญญาณไฟฟ้าท่ีใช้ข้อมูลในรูปแบบท่ีถูกต้อง และเหมาะสมสาหรับการส่งต่อให้เคร่ือง คอมพิวเตอร์
หรือ Data Terminal

๒๓

1.11.5.อุปกรณ์ปลายทางและผู้รับท่ีปลายทาง (Destination) ระบบการส่ือสารโทรคมนาคม เช่นใน
ระบบโทรศัพท์ ก็คือหูฟังท่ีจะเปล่ียนสัญญาณ ไฟฟ้าให้เป็นเสียงพูดท่ีเหมือนต้นทาง และผู้รับท่ี
ปลายทางก็คือผู้ใช้โทรศัพท์ที่ปลายทาง ใน ระบบวิทยุกระจายเสียงส่วนน้ี คือลาโพงและผู้รับฟังการ
รายการวิทยุกระจายเสียงนั้น ส่วน ระบบการส่ือสารข้อมูลนั้น ในส่วนน้ีได้แก่เคร่ืองคอมพิวเตอร์
หรือ Data terminal ประเภท ตา่ ง ๆ

๒๔

แผนการจัดการเรียนรมู้ งุ่ เน้นสมรรถนะ หน่วยที่ 1

ชือ่ หนว่ ย คอมพวิ เตอร์และอปุ กรณ์ สอนคร้งั ที่ 2
โทรคมนาคม ชั่วโมงรวม 8

จานวนช่ัวโมง 4

5. กจิ กรรมการเรียนการสอน

5.1 การนาเขา้ ส่บู ทเรียน

5.1.1. ครู เช็คช่อื และตรวจการแตง่ กาย

นักเรยี น ขานชื่อและลกุ ใหค้ รตู รวจการแต่งกายทีละคน

5.1.2. ครู ทบทวนกอ่ นเรยี นโดยซักถาม เรื่องความร้เู กย่ี วกบั การสือ่ สารท่ีเกย่ี วกบั งาน

โทรคมนาคม ผ้สู อนตรวจแลว้ ใหผ้ ูเ้ รียนบนั ทึกคะแนนที่ได้ไว้เพ่ือเปรียบเทียบกับ

การทดสอบหลังเรียนจบ

นักเรยี น ตอบคาถาม ซกั ถามข้อสงสยั

5.2 การเรียนรู้

5.2.1. ครู แนะนารายวิชาและ แจง้ หัวข้อท่จี ะสอน ตามเนอ้ื หาสาระ เร่ือง

คอมพิวเตอร์และอุปกรณโ์ ทรคมนาคม โดยใช้สอ่ื power point

ตอบคาถาม/ซักถามปญั หา

นักเรียน ตอบคาถาม ซกั ถามปัญหาข้อสงสัย ศึกษาจากส่ือ และเอกสาร

ประกอบการสอน

5.2.2. ครู อธิบายเกยี่ วกบั ความหมายโทรคมนาคมระบบคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์

โทรคมนาคม สว่ นประกอบของโทรคมนาคม ชนดิ ของการเช่อื มต่อ

และหนา้ ทขี่ องระบบโทรคมนาคม ตอบคาถาม/ซักถามปัญหา

นกั เรียน จดบนั ทึกยอ่ ตอบคาถาม ปรึกษา/อภปิ รายกับเพื่อน

5.2.3. ครู ทดสอบผเู้ รียนโดยถามตอบกันภายในห้องเรียน และอธบิ ายบางข้อท่ี

ผเู้ รียนมีข้อสงสัยจากการจดบนั ทกึ

นกั เรียน รว่ มกันอภิปรายหาขอ้ สรุป

5.2.4. ครู ให้ผู้เรียนทาใบงานการทดลองท่ี 1 เรอ่ื งคอมพิวเตอรแ์ ละอุปกรณ์

โทรคมนาคม เพื่อแยกแยะความแตกต่างระหว่างคอมพิวเตอร์และ

อปุ กรณ์โทรคมนาคม โดยการจดั กจิ กรรมเปน็ กลมุ่

นกั เรียน ปฏบิ ัตกิ ารทดลองตามใบงาน

5.3 การสรปุ สมุ่ เรียกผเู้ รียนออกมาสรุปเน้ือหาที่ไดเ้ รยี นตามกลุ่มท่ีจัดทาใบงานการทดลอง1
5.3.1. ครู จนครบคลุมเนอ้ื หาทง้ั หมด โดยผู้สอนช่วยให้คาแนะนา และอธบิ ายเพ่มิ เติม
ออกมาอธิบายหนา้ ช้นั เรียนทลี ะกลุม่ โดยสรปุ เนอื้ หา ซักถามปัญหาและ
นักเรยี น

๒๕

จดบนั ทึกเพ่ิมเตมิ

5.3.2. ครู ให้ผู้เรยี นปฏิบตั ิตามแบบงานการทดลองท่ี 1 ให้เสรจ็ สมบูรณ์ และให้ผเู้ รียน

ซักถามปัญหาในการเรยี น

นกั เรียน ซกั ถามปัญหาและข้อสงสยั ในการปฏิบัตกิ ารทดลอง สรปุ ผลการทดลอง

และส่งใบงานใน Google Classroom

5.4 การวดั และประเมินผล

5.4.1. ครู สุม่ ถามผเู้ รียนเก่ียวกับเน้ือหาท่เี รยี น

นกั เรียน ตอบคาถามทผ่ี สู้ อนถาม

5.4.2. ครู ใหผ้ ้เู รียนจบั กลุ่มทางานโดยแบ่งเป็นกลุ่มละ 4-5 โดยสรปุ เนื้อหาที่เรียนและ

แยกแยะความแตกต่างระหว่างคอมพิวเตอรแ์ ละอุปกรณโ์ ทรคมนาคม

นาเสนอหน้าชนั้ เรยี น หลังจากน้ันตรวจใบงานการทดลองที่ 1

นักเรียน สรปุ และนาเสนอหนา้ ชั้นเรียน

6. ส่อื การเรยี นรู้/แหล่งการเรยี นรู้
6.1 ส่ือส่ิงพิมพ์
เอกสารประกอบการสอน เรื่องคอมพวิ เตอรแ์ ละอปุ กรณ์โทรคมนาคม
บญุ สืบ โพธิ์ศรี, รพีพรรณ ชาวไร่อ้อย.2558. เทคโนโลยสี ารสนเทศเพื่อการจัดการอาชีพ.

พิมพ์ครัง้ ที่ 1. กรงุ เทพฯ : สานกั พิมพ์ศูนยส์ ่งเสรมิ อาชีวะ

ธรี วฒั น์ ประกอบผล.2558. เทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือการจดั การอาชีพ. กรงุ เทพฯ : ซคั

เซส มเี ดีย

โอภาส เอี่ยมสิริวงศ์. 2556. เครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอรแ์ ละการสือ่ สาร. กรุงเทพฯ : วี.พรนิ้ ท

6.1 สอื่ โสตทัศน์
สอื่ PowerPoint วชิ าเทคโนโลยสี ารสนเทศเพือ่ การจัดการอาชีพ หนว่ ยที่ 1 เร่ือง คอมพวิ เตอรแ์ ละ

อุปกรณ์โทรคมนาคม

7. เอกสารประกอบการจดั การเรยี นรู้ (ใบความรู้ ใบงาน ใบมอบหมายงาน ฯลฯ)
7.1 ใบความรู้ ประกอบการเรยี นวิชาเทคโนโลยสี ารสนเทศเพื่อการจัดการอาชพี หนว่ ยที่ 1 เร่ือง

คอมพวิ เตอร์และอุปกรณโ์ ทรคมนาคม
7.2 ใบงานทดลองท่ี 1 เรื่องคอมพิวเตอรแ์ ละอุปกรณ์โทรคมนาคม

8. การบรู ณาการ/ความสัมพันธ์กับวิชาอืน่
8.1 สามารถนาความรู้ มาใชแ้ ยกแยะความแตกตา่ งระหวา่ งคอมพวิ เตอรแ์ ละอุปกรณ์โทรคมนาคม
8.2 สามารถนาความรู้ มาใช้รว่ มกบั วิชาการใช้งานด้านคอมพวิ เตอรห์ รือสารสนเทศ

9. การวัดและประเมนิ ผล
9.1ก่อนเรยี น

๒๖

9.1.1.ผเู้ รยี นศกึ ษา คน้ ควา้ จากเอกสาร ตารา เก่ยี วกบั ความรู้เก่ยี วกับคอมพิวเตอร์และสารสนเทศ
เพอื่ งานอาชีพ

9.1.2.ผู้เรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน
9.2ขณะเรียน

9.2.1.การสังเกตพฤติกรรมภายในชั้นเรียน
9.2.2.ทาแบบฝึกหัดประจาหน่วย
9.3 หลังเรียน
9.3.1.ใหผ้ เู้ รยี นชว่ ยกันสรุปเน้ือหา
9.3.2.ทาแบบทดสอบหลังเรียน
9.3.3.ทาแบบทดสอบประจาหน่วยที่ 1 เพ่ือวัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน

10.บนั ทกึ หลังการสอน
10.1 ผลการใช้แผนการจัดการเรียนรู้

............................................................................................................................. ................................................
.............................................................................................................................................................................
.................................................................................................................. ...........................................................
............................................................................................................................. ................................................
...........................................................................................................................................................................

10.2 ผลการเรียนรขู้ องนักเรียน นกั ศกึ ษา
............................................................................................................................. ................................................
............................................................................................................................. ................................................
................................................................................................................................... ..........................................
......................................................................................................................... ...................................................
............................................................................................................................. ................................................
...........................................................................................................................................................................

10.3 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการเรยี นรู้
.............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ................................................
............................................................................................................................. ...............................................
............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ................................................
................................................................................................................ ...........................................................

๒๗

แผนการจัดการเรียนรมู้ ุง่ เน้นสมรรถนะ หน่วยท่ี 2

ช่อื หน่วย ระบบเครือขา่ ยและเทคโนโลยี สอนครง้ั ที่ 3
สารสนเทศ ช่วั โมงรวม 12

จานวนชั่วโมง 4

1. สาระสาคญั
อินเทอร์เน็ต เป็นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่สามารถทาการเชื่อมต่อเคร่ือง

คอมพิวเตอร์หลาย ๆเคร่ืองเข้าด้วยกันจนได้ช่ือว่า อินเทอร์เน็ต ซ่ึงในการเชื่อมต่อเข้ากันภายในมาตรฐาน
การส่ือสารของ (Protocol) เดยี วกนั ซ่งึ เคร่ืองคอมพวิ เตอรท์ ี่เข้าสรู่ ะบบเครอื ข่ายอนิ เทอร์เน็ตสามารถรับส่ง
ขอ้ มลู ถึงกนั ไดท้ วั่ โลก เช่น ข้อความ รปู แบบภาพ รูปแบบเสียง ส่งทง้ั ภาพและเสยี ง ฯลฯ ทงั้ นี้ยังสามารถ
ค้นหาข้อมูลผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ด้วยความรวดเร็ว เพียงไม่กี่นาทีก็สามารถทาการค้นหาข้อมลู
ท่ตี อ้ งการได้ ระบบเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ (Computer Network) หมายถงึ การเช่ือมต่อคอมพิวเตอรต์ ้ังแต่ 2
เครอ่ื งข้ึนไปเขา้ ด้วยกันด้วยสายเคเบิล หรือสือ่ อ่ืนๆ ทาให้คอมพวิ เตอร์สามารถรบั สง่ ข้อมลู แก่กันและกันได้ ใน
กรณีท่ีเป็นการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์หลายๆ เคร่ืองเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ท่ีเป็น
ศูนย์กลาง เรียกคอมพิวเตอร์ที่เป็นศูนย์กลางนี้ว่า โฮสต์ (Host) และเรียกคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่เข้ามา
เชื่อมต่อว่า ไคลเอนต์ (Client)

2. สมรรถนะประจาหน่วย
2.1 ระบบเครือขา่ ยอนิ เทอรเ์ น็ต
2.2 ความเปน็ มาของอินเทอรเ์ นต็
2.3 ความหมายของระบบเครือข่าย
2.4 ลักษณะของการเชื่อมต่อของระบบเครือข่ายคอมพวิ เตอร์
2.5 ประเภทของระบบเครือขา่ ย
2.6 อุปกรณ์ทใี่ ช้ในระบบเครือข่าย

3. จุดประสงค์การเรียนรู้

3.1 ด้านความรู้
3.1.1. ผู้เรียนบอกความสาคญั ของระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้

3.1.2. ผเู้ รียนอธิบายความเปน็ มาของอินเทอรเ์ น็ต
3.1.3. ผเู้ รยี นบอกความหมายของระบบเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ได้อย่างถกู ต้อง
3.1.4. ผเู้ รยี นจาแนกลกั ษณะของการเชอ่ื มตอ่ ของระบบเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์ได้อย่างถูกต้อง
3.1.5. ผู้เรยี นบอกประเภทของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ได้
3.1.6. ผู้เรียนยกตวั อย่างอุปกรณท์ ่ใี ชใ้ นระบบเครือขา่ ยคอมพวิ เตอรไ์ ด้

3.2 ด้านทักษะ
3.2.1 สามารถบอกความสาคัญของระบบเครือข่ายอนิ เทอร์เนต็ ได้

๒๘

3.2.2 สามารถอธบิ ายความเปน็ มาของอินเทอรเ์ น็ต
3.2.3 สามารถบอกความหมายของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ได้อย่างถูกต้อง
3.2.4 สามารถจาแนกลักษณะของการเชื่อมตอ่ ของระบบเครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์ได้อย่างถูกต้อง
3.2.5 สามารถบอกประเภทของระบบเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ได้อย่างนอ้ ย 1 ประเภท
3.2.6 สามารถแยกแยะความแตกต่างระหวา่ งคอมพิวเตอรแ์ ละอุปกรณ์โทรคมนาคมได้
3.2.7 ยกตวั อยา่ งอปุ กรณ์ทีใ่ ช้ในระบบเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์ได้ อย่างน้อย 3 อยา่ ง

3.3 คณุ ลกั ษณะทพี่ ึงประสงค์
3.3.1 ใฝ่การเรียนรู้
3.3.2 ผเู้ รียนทางานเปน็ ระเบียบเรยี บร้อย
3.3.3 ปฏบิ ตั ิงานดว้ ยความซื่อสตั ยส์ ุจริต
3.3.4 มีความรบั ผิดชอบต่อหนา้ ท่ี
3.3.5 มคี วามมุ่งมนั่ ในการทางาน
3.3.6 ใชเ้ วลาอยา่ งคุ้มคา่
3.3.7 มจี ิตสาธารณะ

๒๙

แผนการจัดการเรียนรมู้ ุ่งเนน้ สมรรถนะ หน่วยท่ี 2

ชอ่ื หนว่ ย ระบบเครอื ข่ายและเทคโนโลยี สอนครัง้ ท่ี 3
สารสนเทศ
ชัว่ โมงรวม 12
จานวนชว่ั โมง 4

4. เนอ้ื หาสาระการเรยี นรู้
2.1 ระบบเครือขา่ ยอินเทอร์เน็ต

อินเทอร์เน็ต เป็นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่สามารถทาการเชื่อมต่อเคร่ือง
คอมพิวเตอร์หลาย ๆเครื่องเข้าด้วยกันจนได้ช่ือว่า อินเทอร์เน็ต ซ่ึงในการเช่ือมต่อเข้ากันภายในมาตรฐาน
การส่อื สารของ (Protocol) เดียวกัน ซงึ่ เคร่ืองคอมพวิ เตอรท์ ่ีเข้าส่รู ะบบเครือข่ายอินเทอรเ์ น็ตสามารถรับส่ง
ขอ้ มลู ถึงกันได้ทวั่ โลก เชน่ ข้อความ รูปแบบภาพ รูปแบบเสียง สง่ ทั้งภาพและเสียง ฯลฯ ทง้ั น้ียงั สามารถ
ค้นหาข้อมูลผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ด้วยความรวดเร็ว เพียงไม่ก่ีนาทีก็สามารถทาการค้นหาข้อมลู
ท่ตี ้องการได้

2.2 ความเป็นมาของอินเทอร์เนต็
อินเทอร์เน็ตเร่ิมต้นมาจากผลทางสงครามทางการเมืองในยุคสงครามเย็น เมื่อ พ.ศ. 2510 โดยมี

ฝ่ายคอมมิวนิสต์และฝ่ายเสรีประชาธิปไตย ซ่ึงมีสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศผู้นา กลุ่มเสรีประชาธปิ ไตย และ
รัสเซียเป็นฝ่ายคอมมิวนิสต์ ท้ังสองประเทศต่างคิดกลัวในเรื่องของขีปนาวุธนิวเคลียร์ที่เข้ามาถล่มจุด
ยุทธศาสตร์ของทั้งสองประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้ระบบคอมพิวเตอร์ที่เช่ือมต่อกันน้ันเกิดความเสียหาย
กระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกาจึงได้เริ่มโครงการวิจับและพัฒนาเครือข่ายคอมพิวเตอร์ข้ึนเม่ือเดือน
มกราคม 2512 โดยให้ชื่อโครงการว่า ARPANET (Advanced Research Projects Agency Network)
ซึ่งมีจุดมุ่งหมายในการวิจัยและพัฒนาให้เกิดระบบเครือข่ายข้อมูลแบบกระจายศูนย์ ซ่ึงจะทาให้ได้รับความ
เสียหายน้อยที่สุดจากสงครามนิวเคลียร์ในระหว่างการติดต่อสื่อสาร โดยระบบเครือข่ายนี้แตกต่างจากระบบ
ท่ัวไป ในด้านการสื่อสารน้ันสามารถรับสง่ ข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ได้โดยมีข้อผิดพลาดน้อยที่สดุ ถึงแม้ว่า
คอมพิวเตอร์ หรือสัญญาณในการส่ง ในแต่ละจุดจะเกิดความเสียหายหรือถูกทาลายไปบางส่วน ซึ่งใน
โครงการน้ีเครื่องคอมพิวเตอร์ในแต่ละเคร่ืองนั้นจะเชื่อมโยงกันด้วยสายส่งข้อมูลท่ีแยกออกเป็นหลาย ๆ เส้น
เปรียบเสมือนกับการประสานกันของร่างแห และเม่ือคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งต้องส่งสัญญาณไปยังเครื่อง
คอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่ง ข้อมูลท่ีส่งไปนนั้ จะถูกแบง่ ออกเป็นส่วนย่อย ๆ ท่ีเรียกว่า Packet แล้วข้อมูลจะ
ถูกทยอยส่งไปให้ปลายทางตามท่ีกาหนด โดยแต่ละชิ้นส่วนของข้อมูลนั้น อาจจะไปคนละเส้นทางแต่จะไป
รวมกันที่ปลายทางตามลาดับที่ถูกต้อง แต่หากเกิดข้อผิดพลาดระหว่างการเดินทางของข้อมูล ส่วนใดส่วน
หน่งึ ซึ่งอาจเกิดจากข้อผิดพลาดทางด้านสัญญาณรบกวน สายสง่ สญั ญาณเกิดความเสียหาย หรือแม้กระทั้ง
เคร่ืองคอมพิวเตอร์ถูกทาสายระหว่างการส่งข้อมูล เครื่องคอมพิวเตอร์ปลายทางจะส่งสัญญาณกลับมาแจ้ง
เครื่องคอมพิวเตอร์ต้นทางให้รับรู้ และจัดการส่งข้อมูลเฉพาะส่วนท่ีขาดไปได้ใหม่โดยใช้เส้นทางอ่ืนแทน ทา
ให้มัน่ ใจไดว้ า่ ขอ้ มูลนน้ั ไปถงึ ปลายทางอย่างแน่นอน

๓๐

เมื่อวันท่ี 2 กันยายน พ.ศ. 2512 ได้มีการทดลองเชื่อมโยง IMP (Interface Message
Process) ซึ่งเป็นการต่อเชื่อมถึงกันทางสายโทรศัพท์ เพื่อทาการสื่อสารกันโดยเฉพาะระหว่างมหาวิทยาลัย
4 แห่ง โดยมโี ฮลตต์ ่างชนดิ กนั ทใี่ ชใ้ นระบบปฏิบัติการต่างกนั คอื

1. มหาวทิ ยาลัยยทู าห์ ที่ซอลต์เลคซติ ี้ ใช้เครือ่ ง DEC PDP-10 ภายใต้ระบบปฏบิ ัติการ Tenex
2. สถาบันวจิ ัยสแตนฟอรด์ ใช้เครือ่ ง SDS 940 และระบบปฏบิ ตั กิ าร Genie
3. มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย แห่ง ซานตา บาร์บารา มีเคร่ือง IMB 360/75 ทางานภายใต้

ระบบปฏบิ ัติการ OS/MVT
4. มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย แห่ง แอนเจลิส ใช้เครอื่ ง SDS Sigma 7 ภายใต้ระบบปฏบิ ัตกิ าร

SEX (Sigma Executive)
เมื่อมีการเชอื่ มต่อจากทงั้ 4 มหาวิทยาลยั ขา้ งตน้ นจ้ี ะเหน็ ได้ว่าแตล่ ะมหาวิทยาลยั มรี ะบบปฏบิ ัติการ
และโฮสต์ที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงต้องมีการใช้ซอฟต์แวร์เพื่อเช่ือมโยงระบบปฏิบัติการและโฮสต์ให้
ติดต่อสื่อสารกันได้ ซ่ึงทาให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีสาหรับใช้ในการติดต่อส่ือสารในครั้งนี้ เรียกว่า
“Packet Switching” จากการทดลองให้งานเครือข่าย ARPANET จนเปน็ ท่พี อใจแล้ว ในปี พ.ศ. 2515
กระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกาได้ทาการเช่ือมต่อคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยต่าง ๆ เข้า
ดว้ ยกันถึง 50 แหง่ โดยเครือขา่ ย ARPANET จะใช้เพือ่ การค้นหาและวิจัยทางด้านการทหารเป็นสว่ นใหญ่
ในการเช่ือมต่อคอมพิวเตอร์ทั้งหมดนี้ ARPANET ได้มีการกาหนดมาตรฐานในการรับส่งข้อมูลที่เรียกว่า
Network Control Protocol หรือ NCP เพื่อเป็นการควบคุมการรับส่งข้อมูล การตรวจสอบ และการ
เป็นตัวกลางในการเช่ือมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่ต่อเข้าด้วยกัน แต่มาตรฐาน NCP ยังมีข้อจากัด
และข้อผิดพลาดในด้านของจานวนเครื่องที่ต่อเข้ากัน อันเป็นผลทาให้ ARPANET ไม่สามารถท่ีจะขยาย
จานวนเคร่ืองเพือ่ รองรบั การส่ือสารออกไปไดม้ ากนัก จนกระทง่ั ปี พ.ศ. 2525 ARPANET ไดม้ กี ารพัฒนา
ระบบการรับส่งข้อมูลแบบใหม่ โดยใช้ช่ือมาตรฐานใหม่น้ีว่า TCP/IP (Transmission Control
Protocol/Internet/Protocol) ซึ่งมาตรฐานการส่ือสารน้ีได้รองรับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต่างชนิดกันให้
สามารถรับส่งข้อมูลหรือสอ่ื สารระหว่างกันได้ ซ่ึงถือว่าเป็นสิ่งสาคัญสาหรบั อินเทอร์เน็ต ในปี พ.ศ. 2526
โพรโทคอล TCP/IP ได้มีการยอมรับกันอย่างแพร่หลายจนกระทั่งปัจจุบัน ในปี พ.ศ. 2526 อาร์พาเน็ต
ถูกแบ่งแยกเป็น 2 เครือข่าย คือ เครือข่ายดา้ นการวจิ ยั และเครอื ข่ายของกองทัพ เครอื ขา่ ยดา้ นงานวจิ ัย
โดยใชช้ อื่ ว่า ARPANET สว่ นทางด้านเครอื ขา่ ยของกองทัพมชี ื่อมีชอื่ เรยี กใหมว่ ่า “มลิ เนต็ ” (MILNET)
ARPANET ให้บริการจนกระทั่งถึงจุดท่ีสมรรถนะของเครือข่ายไม่พอเพียงที่จะรับภาระการส่ือสาร
หลักของอินเทอร์เน็ตอีกต่อไป จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2529 มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติ หรือ NSF
(National Science Foundation) ได้รับเป็นเส้นทางหลักของการส่ือสารแทน การเติบโตของอินเทอร์เน็ต
ในช่วงหน่ึงปีให้หลังของการเปล่ียนแปลงมาใช้ TCP/IP มีจานวนโฮสต์ในอินเทอร์เน็ต รวมกัน 213 IP
โฮสต์ ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2529 จานวนโฮสต์ในอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นเป็น 1,024 โฮสต์ และในเดือน
มกราคมปี พ.ศ. 2536 จานวนโฮสต์ในอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นไปมากกว่า 1,000,000 โฮสต์ แต่ละวันจะมี
โฮสต์เพ่ิมเข้าสู่ระบบและมีผู้ใช้รายใหม่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จานวนโฮสต์โดยประมาณภายในอินเทอร์เน็ตนับ
จากปี พ.ศ. 2524 ถึง 2537 มีการขยายตัวเพ่ิมข้ึนแบบเอ็กโปรเนนเซียล นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529
จานวนโฮสต์ได้เพ่ิมข้ึนมากกว่า 2 เท่าตัวในทุก ๆ ปี และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดย้ัง จานวนโฮสต์
โดยประมาณใน พ.ศ. 2538 คาดว่ามีราวหกล้านเครื่อง หากประเมินว่าโฮสต์หนึ่งมีผู้ใช้เฉลี่ย 5-8 ราย
จะประมาณว่า มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตท่ัวโลกอยู่กว่า 30 ล้านคน การขยายตัวของอินเทอร์เน็ตในปัจจุบนั อยใู่ น

๓๑

อัตรา 10-15 % ตอ่ เดือน ปจั จบุ นั นีไ้ ดเ้ ปน็ ผู้วางมาตรฐานการเช่อื มตอ่ ระหว่าง เครอื ขา่ ยทาหน้าที่คน้ คว้า
วจิ ยั สง่ิ ใหม่ เพ่อื รองรบั อินเทอร์เนต็ ในอนาคต

2.2.1 ความเปน็ มาของอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย
นับต้ังแต่ปี พ.ศ. 2530 ประเทศไทยได้ติดต่อกับอินเทอร์เน็ตในลักษณะการใช้บริการจดหมาย
อิเล็กทรอนิกส์แบบแลกเปล่ียนถุงเมล์ สถาบันท่ีติดต่อกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในลักษณะดังกล่าวคือ
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ (PSU) และสถาบันเทคโนโลยแี หง่ เอเชยี หรอื สถาบนั เอไอ
ที (AIT) การติดต่ออินเทอร์เน็ตของท้ังสองสถาบันเป็นการใช้บริการจดหมายอิเล็กทรอนิกส์โดยความร่วมมือ
กับประเทศออสเตรเลยี ตามโครงการ IDP ซงึ่ เปน็ การตดิ ต่อเชือ่ มโยงเครือข่ายดว้ ยสายโทรศัพท์ จนกระทั่งปี
พ.ศ. 2531 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่น้ัน ได้ยื่นขอที่อยู่อินเทอร์เน็ตแห่งแรกใน
ประเทศไทยโดยได้รบั ท่ีอยู่อนิ เทอร์เน็ต sritrang.psu.th ซงึ่ นบั วา่ เป็นท่ีอยู่อินเทอร์เน็ตแห่งแรกของประเทศ
ไทย ต่อมาปี พ.ศ. 2534 บริษัท DEC (Thailand) จากัด ได้ขอท่ีอยู่อินเทอร์เน็ตเพื่อใช้ในกิจการของ
บริษัท โดยได้รับที่อยู่อินเทอร์เน็ตเป็น dect.co.th โดยที่คา “th” เป็นส่วนท่ีเรยี กวา่ โดเมน (Domain)
ซ่ึงเป็นส่วนแสดงโซนของเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยโดยคาว่า “th” เป็นรหัสท่ีย่อมาจากคาว่า
Thailand
ปี พ.ศ. 2535 นับว่าเป็นปีท่ีอินเทอร์เน็ตเข้ามาในประเทศไทยอย่างเต็มตัว โดยจุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัยได้จัดตั้งเครือข่ายและได้เช่าสาย “ลีสไลน์” (Leased Line) ซึ่งเป็นสายความเร็วสูงเพื่อ
เช่ือมต่อกับอินเทอร์เน็ต โดยเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่าย “ยูยูเน็ต” (UUNET) ของบริษัท ยูยูเน็ตเทคโนโลยี
จากัด (UUNET Technologies Co.,Ltd.) ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐเวอร์จีเนีย ประเทศสหรัฐอเมริการ การเช่ือมต่อ
ในระยะแรกโดยลีสไลน์ความเร็ว 9600 bps (bps : bit per second) ปัจจุบันจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ได้ขยายเครือข่ายโดยตั้งชื่อว่า “จุฬาเน็ต” (ChulaNet) และได้ปรับปรุงความเร็วของลีสไลน์จาก 9600
bps ไปเป็นความเร็ว 64 Kbps และ 128 Kbps ตามลาดับ ในปีเดียวกันได้มีสถาบันการศึกษาหลาย
แห่งขอเชอื่ มต่อเครือข่ายอินเทอรเ์ น็ตโดยผ่านจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั สถาบันการศกึ ษาเหลา่ นี้คือ สถาบัน
เอไอที (AIT) มหาวิทยาลัยมหิดล (MU) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (CMU) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า
วิทยาเขตเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (KMITL) และมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญบริหารธุรกิจ (AU) โดยเรียก
เครือข่ายน้ีว่า เครือข่าย “ไทยเน็ต” (THATNET) ในปัจจุบันเครือข่ายไทยเน็ตประกอบด้วย
สถาบันการศึกษาเพียง 4 แห่งเท่านั้น ส่วนใหญ่ย้ายการเช่ือมโยงอินเทอร์เน็ตโดยผ่านเนตเทค (NECTEC)
หรือศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ดังน้ัน เครือข่ายไทยเน็ตจึงมีขนาดเล็ก จึง
นับว่าเครือข่ายไทยเน็ตเปน็ เครือข่ายท่ีมี “เกตเวย์” (Gateway) หรือประตูสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นแห่ง
แรกของประเทศไทย
ปี พ.ศ. 2535 เป็นปีเริ่มต้นของการจัดต้ังกลุ่มจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ เพ่ือการศึกษาและวิจัย
โดยมชี ื่อวา่ “เอน็ ดบั เบิลยจู ี” (NWG : NECTEC E-mail Working Group) โดยหน่วยงานของรัฐท่ีมชี อ่ื ว่า
“ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ” หรือ “เนคเทค” (NECTEC : National
Electronic and Computer Technology Centre) สังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในสมัย
กลุ่มเอ็นดับเบิลยูจี ได้จัดต้ังเครือข่ายชื่อว่า “ไทยสาร” (ThaiSarn : Thai Social scientific and
Research Network)
สาหรับเครือข่ายไทยสารได้รับการพัฒนามาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531 โดยสถาบันเทคโนโลยีพระจอม
เกล้า วิทยาเขตเจา้ คุณทหารลาดกระบงั (KMITL) ซงึ่ ไดร้ บั การสนับสนุนทุนวจิ ัยเกี่ยวกบั ระบบเครือข่ายจาก
เนคเทค โดยมีจุดประสงคใ์ นการเช่ือมโยงคอมพวิ เตอรร์ ะหว่างมหาวิทยาลัยและองคก์ รสาคัญ ๆ ในประเทศ

๓๒

ไทยเข้าด้วยกัน โดยจะมีเนคเทคเป็นศูนย์กลางการดาเนินงาน การเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ระหว่างกันเช่นน้ี
เพ่ือการติดต่อส่ือสารและแลกเปล่ียนข้อมูลข่าวสารระหว่างกัน ซึ่งเนคเทคได้สนับสนุนการจัดตั้งกลุ่ม
NEWgroup (NECTEC E-mail Group) ในปี พ.ศ. 2534 โดยมีวัตถุประสงค์ในการสื่อสารบนเครือข่าย
คอมพิวเตอร์โดยวิธี “จดหมายอิเล็กทรอนิกส์” (Electronic mail หรือ E-mail) ในตอนแรกกลุ่ม
NEWgroup ประกอบด้วยสมาชิกสถาบันการศึกษา จานวน 8 แห่ง ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
(CU) สถาบันเอไอที (AIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU) สถาบันพัฒนาบริหารศาสตร์ (NIDA)
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (KU) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (CMU) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขต
หาดใหญ่ (PSU) และสถาบันเทคโนโลยพี ระจอมเกล้า วทิ ยาเขตเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (KMITL) เปน็ ต้น
ซึ่งต่อมากลุ่ม Newsgroup ได้เปล่ียนชื่อย่อเป็น “เอ็นดับเบิลยูจี” ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ในตอน
เร่ิมแรกของการพัฒนาระบบเครือข่ายของไทยสารเป็นการติดต่อเชื่อมโยงโดยอุปกรณ์เชื่อมต่อชนิดท่ีเรียกว่า
“โมเด็ม” (Modem) โดยเชื่อมต่อด้วยระบบ “ยูยูชีพี” (UUCP : Unix to Unix Copy) ซ่ึงต่อมาได้
เช่ือมต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ตผ่านเกตเวย์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อปี พ.ศ. 2536 และปัจจุบัน
เครอื ข่ายไทยสารได้เชอื่ มตอ่ เข้ากับเครือข่ายอนิ เทอรโ์ ดยเชอื่ มโยงกบั เครอื ขา่ ย “ยูยเู นต็ ” ของบรษิ ทั ยยู เู นต็
เทคโนโลยี จากัด ปัจจุบันเครือข่ายไทยสารเชื่อมโยงกับสถาบันต่าง ๆ มากว่า 30 แห่ง โดยมี
สถาบันการศึกษาและองค์กรของรัฐเป็นสมาชิกเครือข่ายไทยเน็ตกับ ไทยสาร ซึ่งเป็นผลดีต่อการส่ือสาร
ระหว่างสมาชิกในเครือข่ายไทยเน็ตและไทยสาร โดยมีผลทาให้การส่ือสารระหว่างเครือข่ายเป็นไปอย่าง
รวดเร็วมากขึ้น มาเช่นน้ันแล้ว การส่ือสารระหว่างเครือข่ายท้ังสองต้องผ่านอินเทอร์เน็ตไปท่ีประเทศ
สหรัฐอเมริกาแลว้ วกกลบั มาประเทศไทย ซึ่งเป็นการเสยี เวลาโดยใชเ่ หตุ

2.3 ความหมายของระบบเครือข่าย
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network) หมายถึง การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ต้ังแต่ 2

เคร่อื งขึ้นไปเข้าด้วยกนั ดว้ ยสายเคเบิล หรือส่ืออ่ืนๆ ทาให้คอมพวิ เตอรส์ ามารถรับส่งข้อมูลแก่กันและกนั ได้ ใน
กรณีท่ีเป็นการเช่ือมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์หลายๆ เคร่ืองเข้ากับเคร่ืองคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ท่ีเป็น
ศูนย์กลาง เรียกคอมพิวเตอร์ท่ีเป็นศูนย์กลางนี้ว่า โฮสต์ (Host) และเรียกคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กท่ีเข้ามา
เชอื่ มต่อวา่ ไคลเอนต์ (Client)

2.4 ลกั ษณะการเชื่อมตอ่ ของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
จุดปลายทางของการรับ-ส่งข้อมูล เรียกว่าโหนด (Node) ซึ่งการที่จะทาให้แต่ละโหนดติดต่อรับ-ส่ง

ข้อมูลถึงกันได้น้ันต้องมีการเช่ือมต่อท่ีเป็นระบบ ในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์นี้ สามารถแบ่งลักษณะของ
การเชอ่ื มโยงออกเป็น 4 ลักษณะ คอื
2.4.1.เครือข่ายแบบดาว (Star Network) จะมีคอมพิวเตอร์หลักที่เป็นโฮสต์ (Host) ต่อสายสื่อสารกับ

คอมพิวเตอร์ย่อยที่เป็นไคลเอนต์ (Client) คอมพิวเตอร์ที่เป็นไคลเอนต์แต่ละเคร่ืองไม่สามารถ
ติดต่อกันไดโ้ ดยตรง การติดตอ่ จะตอ้ งผ่านคอมพวิ เตอร์โฮสต์ที่เป็นศนู ย์กลาง
ข้อดีของเครือข่ายแบบดาว

1) มีความคงทนสูง คือหากสายเคเบิลของบางโหนดเกิดขาดก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อระบบโดยรวม
โดยโหนดอ่นื ๆ ก็ยงั สามารถใช้งานไดต้ ามปกติ

2) เนอื่ งจากมจี ดุ ศนู ยก์ ลางอยู่ท่ฮี ับ (Hub) ดงั นน้ั การจัดการและการบรกิ ารจะง่ายและสะดวก
ข้อเสยี ของเครือข่ายแบบดาว


Click to View FlipBook Version