The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิชา เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการอาชีพ 1-2565

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by patsarit3089, 2022-05-25 00:50:02

วิชา เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการอาชีพ

วิชา เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการอาชีพ 1-2565

แผนการจดั การเรียนรู้

รหสั วิชา 30001-2001
เทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือการจดั การอาชีพ

หลกั สตู รประกาศนียบตั รวิชาชีพชนั้ สงู (ปวส.)
ภาคเรยี นที่ 1 ปี การศึกษา 2565

นายพฒั น์สาริทธ์ิ มณีเขียว
ตาแหน่ง ครู

แผนกวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ

วิทยาเทคนิคสมทุ รปราการ
สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ

แผนการจัดการเรียนรู้มุ่งเน้นสมรรถนะ

ชอื่ วชิ า เทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือการจดั การอาชพี รหัสวิชา 30001-2001
ทฤษฎี 2 ปฏบิ ตั ิ 2 หนว่ ยกิต 3

 หลักสตู รประกาศนียบตั รวชิ าชีพ  หลกั สูตรประกาศนยี บัตรวชิ าชพี ขน้ั สงู

จัดทำโดย
นายพฒั น์สารทิ ธิ์ มณเี ขียว

วิทยาลัยเทคนิคสมุทรปราการ
สำนักงานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษา

กระทรวงศึกษาธกิ าร



คำนำ

แผนการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการอาชีพ รหัสวิชา 3001-2001 จัดทำ
ขน้ึ เพื่อเปน็ แนวทางในการจดั การเรียนการสอน วิชา เทคโนโลยสี ารสนเทศเพอ่ื การจัดการอาชีพตาม
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง พุทธศักราช 2557 ของสำนักงานคณะกรรมการการ
อาชวี ศกึ ษา เปน็ การศกึ ษาและปฏิบตั ิเกย่ี วกบั คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคม ระบบเครือข่าย
คอมพิวเตอร์และสารสนเทศ การสบื คน้ ข้อมลู สารสนเทศ การจดั เก็บ ค้นคนื สง่ ผา่ นและจัดดำเนนิ การ
ขอ้ มลู สารสนเทศ การประยุกตใ์ ช้โปรแกรมสำเร็จรูปในการนำเสนอและสื่อสารขอ้ มูลสารสนเทศตาม
ลกั ษณะงานอาชพี โดยจดั การเรยี นการสอนทั้งหมด 18 สัปดาห์ สปั ดาหล์ ะ 4 ช่วั โมง เนอื้ หาแบ่งเป็น
7 หน่วย ดังนี้ หน่วยที่ 1 คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคม หน่วยที่ 2 ระบบเครือข่ายและ
เทคโนโลยีสารสนเทศ หน่วยที่ 3 การสืบค้นข้อมูลสารสนเทศ หน่วยที่ 4 การประยุกต์ใช้โปรแกรม
สำเรจ็ รูป หน่วยที่ 5 การใช้โปรแกรมดา้ นงานเอกสาร Microsoft Word หนว่ ยท่ี 6 การใช้โปรแกรม
ด้านตารางคำนวณ Microsoft Excel และหน่วยที่ 7 การโปรแกรมด้านการนำเสนอ Microsoft
PowerPoint เปน็ ตน้

ผู้จัดทำขอขอบคุณผู้ที่สร้างแหล่งเรียนรู้ และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่าง ๆ จึงทำให้แผนวิชา
เทคโนโลยีสารสนเทศเพือ่ การจัดการอาชีพ เล่มนี้เสร็จสมบูรณ์ ผู้จัดทำหวังว่า รายงานเลม่ นี้จะเป็น
ประโยชน์กับผู้อ่าน หรือนักเรียน นักศึกษา ที่กำลังหาข้อมูลเรื่องนี้อยู่ หากมีข้อแนะนำหรือ
ข้อผดิ พลาดประการใด ผู้จัดทำขอนอ้ มรับไว้และขออภัยมา ณ ทน่ี ี้ดว้ ย

พัฒนส์ าริทธ์ิ มณีเขยี ว



สารบญั หนา้

เร่อื ง ข
คำนำ ค
สารบญั ง
หลักสูตรรายวชิ า จ
หนว่ ยการเรยี นรู้ 1
หน่วยการเรยี นรแู้ ละสมรรถนะประจำหนว่ ย 12
แผนการจดั การเรยี นรู้ หน่วยที่ 1 คอมพวิ เตอรแ์ ละอปุ กรณโ์ ทรคมนาคม 27
แผนการจัดการเรยี นรู้ หน่วยท่ี 1 คอมพวิ เตอร์และอปุ กรณโ์ ทรคมนาคม (ต่อ) 41
แผนการจัดการเรียนรู้ หน่วยที่ 2 ระบบเครอื ข่ายและเทคโนโลยีสารสนเทศ 54
แผนการจัดการเรียนรู้ หนว่ ยท่ี 2 ระบบเครือข่ายและเทคโนโลยีสารสนเทศ (ต่อ) 66
แผนการจดั การเรียนรู้ หนว่ ยท่ี 2 ระบบเครือข่ายและเทคโนโลยีสารสนเทศ (ตอ่ ) 75
แผนการจัดการเรียนรู้ หนว่ ยที่ 3 การสบื ค้นข้อมูลสารสนเทศ 87
แผนการจัดการเรียนรู้ หนว่ ยท่ี 3 การสืบค้นขอ้ มูลสารสนเทศ (ตอ่ ) 97
แผนการจัดการเรยี นรู้ หน่วยที่ 4 การประยกุ ตใ์ ชโ้ ปรแกรมสำเร็จรปู 115
แผนการจดั การเรียนรู้ หน่วยที่ 5 การใช้โปรแกรมดา้ นงานเอกสาร Microsoft Word 125
แผนการจัดการเรยี นรู้ หนว่ ยท่ี 5 การใช้โปรแกรมด้านงานเอกสาร Microsoft Word (ตอ่ ) 141
แผนการจัดการเรียนรู้ หน่วยที่ 6 การใชโ้ ปรแกรมด้านตารางคำนวณ Microsoft Excel 153
แผนการจดั การเรียนรู้ หน่วยที่ 6 การใช้โปรแกรมด้านตารางคำนวณ Microsoft Excel (ต่อ) 168
แผนการจัดการเรยี นรู้ หน่วยที่ 7 การโปรแกรมด้านการนำเสนอ Microsoft PowerPoint 181
แผนการจัดการเรียนรู้ หน่วยที่ 7 การโปรแกรมด้านการนำเสนอ Microsoft PowerPoint (ตอ่ ) 191
แผนการจดั การเรยี นรู้ หน่วยที่ 7 การโปรแกรมด้านการนำเสนอ Microsoft PowerPoint (ต่อ)
บรรณานุกรม



หลักสตู รรายวชิ า

ช่อื วิชา เทคโนโลยีสารสนเทศเพอ่ื การจัดการอาชีพ รหสั วชิ า 30001-2001
ทฤษฎี 2 ปฏิบัติ 2 หนว่ ยกิต 3

 หลักสูตรประกาศนยี บตั รวิชาชีพ  หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพข้นั สงู

จุดประสงค์รายวชิ า
1. เพื่อให้เข้าใจเก่ียวกับคอมพิวเตอร์และอุปกรณโ์ ทรคมนาคม ระบบเครือข่ายคอมพวิ เตอร์
2. เพื่อให้สามารถสืบค้น จัดเก็บ ค้นคืน ส่งผ่าน จัดดำเนินการข้อมูลสารสนเทศนำเสนอและ
สื่อสารข้อมูลสารสนเทศในงานอาชีพโดยใช้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคม และ
โปรแกรมสำเร็จรูปทเ่ี กีย่ วข้อง
3. เพื่อให้มีคุณธรรม จริยธรรมและความรับผิดชอบในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการ
จัดการอาชีพ

สมรรถนะรายวชิ า
1. แสดงความรู้เกี่ยวกับหลักการและกระบวนการสืบค้น จัดดำเนินการและสื่อสารข้อมูล
สารสนเทศในงานอาชีพ โดยใช้คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์โทรคมนาคม ระบบเครือข่าย
คอมพิวเตอรแ์ ละสารสนเทศและโปรแกรมสำเรจ็ รปู ทีเ่ กย่ี วขอ้ ง
2. ใช้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคมในการสืบค้นและสื่อสารข้อมูลสารสนเทศผ่าน
ระบบเครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์และสารสนเทศ
3. จัดเกบ็ คน้ คืน ส่งผา่ นและจดั ดำเนินการขอ้ มลู สารสนเทศตามลกั ษณะงานอาชีพ
4. นำเสนอและสอ่ื สารข้อมูลสารสนเทศในงานอาชีพโดยประยุกต์ใช้โปรแกรมสำเร็จรูป



คำอธิบายรายวชิ า
ศึกษาและปฏิบัติเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคม ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์

และสารสนเทศ การสืบค้นข้อมูลสารสนเทศ การจัดเก็บ ค้นคืน ส่งผ่านและจัดดำเนินการข้อมูล
สารสนเทศ การประยุกต์ใช้โปรแกรมสำเร็จรูปในการนำเสนอและสื่อสารข้อมูลสารสนเทศตาม
ลักษณะงานอาชีพ



หนว่ ยการเรยี นรู้

หน่วยที่ ช่ือหน่วย / หวั ขอ้ ยอ่ ย จำนวน สัปดาห์ที่
ชั่วโมง
1 คอมพิวเตอร์และอุปกรณโ์ ทรคมนาคม 1-2
2 ระบบเครอื ข่ายและเทคโนโลยีสารสนเทศ 8 3-5
3 การสบื ค้นข้อมลู สารสนเทศ 12 6-7
4 การประยุกตใ์ ช้โปรแกรมสำเรจ็ รูป 8 8
4 9
สอบกลางภาคเรียนท่ี 2/2563 4 11-12
5 การใช้โปรแกรมดา้ นงานเอกสาร Microsoft Word 8 13-14
6 การใชโ้ ปรแกรมดา้ นตารางคำนวณ Microsoft Excel 8 15-17
7 การใชโ้ ปรแกรมดา้ นการนำเสนอ Microsoft PowerPoint 12 18
4
สอบปลายภาคเรียนท่ี 2/2563 68
รวมท้งั หมด

หมายเหตุ

1. การกำหนดชว่ั โมงสอน ผสู้ อนอาจยึดหย่นุ ได้ตามกความเหมาะสม
2. สอบทฤษฎแี ละปฏิบตั กิ ลางภาคเรยี น สอบในสปั ดาห์ที่ 9 จัดสอบโดยผู้สอน
3. สอบปลายภาค 1 ช่วั โมง สอบตามตารางสอบที่วทิ ยาลยั ฯกำหนด ในสัปดาห์ท่ี 18
4. การเรียงลำดับหน่วยการสอน ผู้สอนจะพิจารณาจากความยากง่าย ความต่อเนื่อง

สัมพันธ์กันของเนอื้ หา และความเหมาะสมในการเรียนรู้ ตามหลกั สตู รประกาศนียบัตร
วชิ าชพี ชน้ั สงู พทุ ธศกั ราช 2557 ประเภทวชิ า บริหารธุรกิจ สาขาวิชา การตลาด



หนว่ ยการเรยี นรู้และสมรรถนะประจำหนว่ ย

สมรรถนะ

ช่อื หน่วย ความรู้ ทกั ษะ คณุ ลกั ษณะท่ี
พึงประสงค์

หนว่ ยที่ 1 1.1. ความหมายของคอมพวิ เตอร์ 1.1.1 บอกความหมายของคอมพิวเตอรไ์ ด้ 1. ใฝ่การเรยี นรู้
คอมพวิ เตอร์และ 1.2. ระบบคอมพิวเตอร์
อปุ กรณโ์ ทรคมนาคม 1.3. องคป์ ระกอบของเครือ่ งคอมพวิ เตอร์ 1.2.1 บอกส่วนประกอบของระบบคอมพวิ เตอร์ไดอ้ ย่างน้อย 2. ผู้เรียนทำงานเป็นระเบียบ
1.4. ประเภทของคอมพิวเตอร์
1.5. หลักการทำงานของคอมพวิ เตอร์ 2 ส่วน เรยี บร้อย
1.6. ประโยชนข์ องคอมพวิ เตอร์
1.7. ความหมายโทรคมนาคม 1.3.1 บอกองค์ประกอบของคอมพิวเตอรไ์ ด้อย่างน้อย 3 3. ปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์
1.8. อุปกรณ์โทรคมนาคม
1.9. สว่ นประกอบของโทรคมนาคม องคป์ ระกอบ สจุ รติ
1.10. ชนดิ ของการเชือ่ มต่อ
1.11. หน้าทข่ี องระบบโทรคมนาคม 1.4.1. บอกประเภทของของคอมพิวเตอร์ได้อย่างน้อย 1 4. มีความรบั ผิดชอบตอ่ หนา้ ที่

ประเภท 5. มคี วามมงุ่ มนั่ ในการทำงาน

1.5.1. อธบิ ายหลกั การทำงานของคอมพวิ เตอร์ได้ถูกต้อง 6. ใช้เวลาอยา่ งคุม้ คา่

1.6.1. บอกประโยชน์ของคอมพวิ เตอรไ์ ด้อย่างน้อย 2 ด้าน 7. มีจิตสาธารณะ

1.7.1 บอกความหมายของโทรคมนาคมได้

1.8.1 ยกตวั อย่างอปุ กรณ์โทรคมนาคมไดอ้ ย่างน้อย 2 อยา่ ง

1.9.1 บอกส่วนประกอบของโทรคมนาคมได้

1.10.1. บอกชนิดของการเชื่อมต่อได้อย่างได้อย่างถูกต้อง

1.11.1. ยกตัวอย่างหน้าที่ของระบบโทรคมนาคมได้อย่างน้อย

2 หน้าที่



สมรรถนะ

ชื่อหนว่ ย ความรู้ ทกั ษะ คณุ ลักษณะท่ี
พึงประสงค์

หนว่ ยที่ 2 ระบบ 2.1. ระบบเครอื ขา่ ย 2.1.1 บอกความสำคัญของระบบเครอื ข่ายอนิ เทอร์เน็ตได้ 1. ใฝก่ ารเรียนรู้
เครอื ขา่ ยและ 2.2. ความเป็นมาของอินเทอร์เนต็
เทคโนโลยีสารสนเทศ 2.3. ความหมายของระบบเครือข่าย 2.2.1 อธบิ ายความเปน็ มาของอนิ เทอรเ์ น็ต 2. ผู้เรียนทำงานเป็นระเบียบ
2.4. ลกั ษณะของการเชอื่ มต่อของระบบ
เครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์ 2.3.1 บอกความหมายของระบบเครือข่ายคอมพวิ เตอรไ์ ด้ เรยี บรอ้ ย
2.5. ประเภทของระบบเครือขา่ ย
2.6 อุปกรณท์ ี่ใชใ้ นระบบเครอื ข่าย อยา่ งถกู ต้อง 3. ปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์
2.7. ความหมายของเทคโนโลยสี ารสนเทศ
2.8. บทบาทของระบบสารสนเทศ 2.4.1. จำแนกลกั ษณะของการเชอื่ มต่อของระบบเครือขา่ ย สุจรติ
2.9. ระบบสารสนเทศท่ใี ชค้ อมพิวเตอร์
2.10. การประยุกตใ์ ชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ คอมพวิ เตอรไ์ ดอ้ ย่างถูกตอ้ ง 4. มีความรับผดิ ชอบตอ่ หนา้ ที่
2.11. ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศ
2.5.1. บอกประเภทของระบบเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ไดอ้ ย่าง 5. มคี วามม่งุ มน่ั ในการทำงาน

น้อย 1 ประเภท 6. ใชเ้ วลาอย่างคุม้ คา่

2.6.1. ยกตัวอยา่ งอุปกรณท์ ี่ใช้ในระบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ 7. มีจิตสาธารณะ

ได้ อย่างนอ้ ย 3 อยา่ ง

2.7.1 บอกความหมายของเทคโนโลยสี ารสนเทศได้

2.8.1 อธบิ ายบทบาทของระบบสารสนเทศได้ถูกต้อง

2.9.1 บอกส่วนประกอบของระบบสารสนเทศท่ีใช้

คอมพิวเตอรไ์ ด้อย่างน้อย 2 ส่วน

2.10.1. ยกตัวอย่างการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศได้อย่าง

น้อย 3 ด้าน

2.11.1. ยกตัวอย่างผลกระทบด้านบวกได้ถูกต้อง



สมรรถนะ

ช่ือหน่วย ความรู้ ทักษะ คุณลกั ษณะท่ี
หน่วยที่ 3 การสืบคน้ พึงประสงค์
ขอ้ มูลสารสนเทศ 3.1. การสืบค้นขอ้ มูลสารสนเทศ
3.2. เคร่อื งมือในการสบื คน้ ข้อมลู สารสนเทศ 2.12.1. ยกตัวอย่างผลกระทบด้านลบได้ถูกต้อง
หนว่ ยท่ี 4 การ 3.3. ส่วนประกอบของเครือ่ งมือในการสบื ค้น
ประยุกต์ใช้โปรแกรม ขอ้ มูลสารสนเทศ 3.1.1 บอกความสำคญั การสืบคน้ ขอ้ มูลได้ 1. ใฝ่การเรยี นรู้
สำเร็จรปู 3.4. การสืบคน้ ข้อมลู สารสนเทศจาก
อินเทอร์เนต็ 3.2.1 อธบิ ายลกั ษณะเครอ่ื งมอื ในการสบื ค้นข้อมลู สารสนเทศ 2. ผู้เรียนทำงานเป็นระเบียบ
3.5. เทคนคิ การสบื คน้ ขอ้ มูล
3.6 ขั้นตอนการสบื คน้ ขอ้ มูล ไดถ้ กู ตอ้ ง เรียบร้อย
3.7. การจัดเก็บและการคน้ คนื สารสนเทศ
3.3.1 ยกตวั อยา่ งสว่ นประกอบของเคร่ืองมอื ในการสบื ค้น 3. ปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์
4.1. ความหมายของโปรแกรมสำเรจ็ รูป
4.2. โปรแกรมประยุกต์ ขอ้ มูลสารสนเทศไดอ้ ย่างนอ้ ย3 อย่าง สุจรติ
4.3. ลกั ษณะของซอฟตแ์ วรป์ ระยกุ ต์
4.4. ประเภทของซอฟต์แวรป์ ระยกุ ต์ 3.4.1 อธิบายลกั ษณะการสบื คน้ ขอ้ มูลสารสนเทศจาก 4. มีความรบั ผดิ ชอบต่อหนา้ ท่ี

อนิ เทอร์เน็ตได้ถูกตอ้ ง 5. มคี วามมุ่งมน่ั ในการทำงาน

3.5.1 บอกเทคนคิ เทคนคิ การสบื ค้นขอ้ มูลไดอ้ ยา่ งน้อย 2 วธิ ี 6. ใชเ้ วลาอย่างคุ้มค่า

3.6.1. ขนั้ ตอนการสืบคน้ ขอ้ มูลได้อย่างนอ้ ย 2 ข้นั ตอน 7. มีจิตสาธารณะ

3.7.1อธิบายของการจัดเก็บและการคน้ คนื สารสนเทศได้

ถกู ต้อง

4.1.1 บอกความหมายของโปรแกรมสำเร็จรูป 1. ใฝ่การเรยี นรู้

4.2.1 บอกความสำคญั โปรแกรมประยกุ ตไ์ ดถ้ กู ตอ้ ง 2. ผู้เรียนทำงานเป็นระเบียบ

4.3.1 อธิบายลักษณะของซอฟต์แวรป์ ระยกุ ต์ได้ถกู ตอ้ ง เรยี บรอ้ ย

4.4.1 ยกตวั อย่างประเภทของซอฟตแ์ วร์ประยุกตไ์ ด้อยา่ ง 3. มีความมุ่งมนั่ ในการทำงาน

น้อย 2 อยา่ ง 4. ใช้เวลาอย่างคมุ้ ค่า



ช่อื หน่วย ความรู้ สมรรถนะ คณุ ลกั ษณะท่ี
พงึ ประสงค์
หนว่ ยท่ี 5 การใช้ 5.1. ความร้เู บอื้ งตน้ เกย่ี วกบั โปรแกรม ทกั ษะ 1. ใฝ่การเรยี นรู้
โปรแกรมดา้ นงาน Microsoft Word 2. ผู้เรียนทำงานเป็นระเบียบ
เอกสาร Microsoft 5.2. ความหมายและการใชค้ ำสั่งแถบ 5.1.1 บอกความสำคัญโปรแกรมโปรแกรม Microsoft Word เรียบรอ้ ย
Word เครอ่ื งมอื ได้ถูกต้อง 3. ปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์
5.3. ข้ันตอนการเปดิ -ปดิ และบนั ทกึ ข้อมูล 5.2.1 บอกความหมายและการใชค้ ำสงั่ แถบเครอ่ื งมอื ได้ สุจรติ
บนโปรแกรม Microsoft Word ถกู ต้อง 4. มีความรบั ผดิ ชอบตอ่ หนา้ ที่
5.4. การพิมพเ์ อกสาร การเลือกขอ้ มูล 5.3.1 บอกขัน้ ตอนการเปิด-ปดิ และบนั ทึกข้อมูล ไดถ้ ูกตอ้ ง 5. มีความม่งุ มั่นในการทำงาน
คดั ลอก และเคลือ่ นยา้ ยขอ้ มูล 5.4.1 พิมพเ์ อกสาร เลอื กขอ้ มูล คัดลอก และเคลื่อนยา้ ย 6. ใช้เวลาอยา่ งคุม้ คา่
5.5.การแทรกรูปภาพและอกั ษรศลิ ป์ ข้อมูลได้ถกู ต้อง 7. มีจิตสาธารณะ
5.6 การจดั การตารางบนเอกสาร 5.5.1 แทรกรปู ภาพและอักษรศิลป์ได้ถูกตอ้ ง
5.7 การจดั เรียงลำดับขอ้ มลู ในตารางเอกสาร 5.6.1 อธิบายการจัดการตารางบนเอกสารได้ถูกต้อง
5.8 การแทรกเลขหนา้ หวั /ท้ายกระดาษ 5.7.1 บอกการจัดเรยี งลำดับข้อมลู ในตารางเอกสารไดถ้ ูกต้อง
5.9 การสร้างจดหมายเวียนและซองจดหมาย 5.8.1 บอกวิธีการแทรกเลขหน้า หวั /ท้ายกระดาษได้ถกู ต้อง
5.10 การพมิ พเ์ อกสารออกทางเครอื่ งพมิ พ์ 5.9.1 อธิบายลักษณะการสรา้ งจดหมายเวยี นและซอง
จดหมายไดถ้ ูกตอ้ ง
5.10.1 จับคู่ลักษณะการพิมพ์เอกสารออกทางเครื่องพมิ พไ์ ด้
ถกู ตอ้ ง



สมรรถนะ

ชื่อหน่วย ความรู้ ทักษะ คุณลกั ษณะท่ี
พึงประสงค์
หน่วยที่ 6 การใช้ 6.1. ความรู้เบ้อื งตน้ เกยี่ วกับโปรแกรม
โปรแกรมดา้ นตาราง Microsoft Excel 6.1.1 บอกความสำคัญโปรแกรมโปรแกรม Microsoft Excel 1. ใฝก่ ารเรยี นรู้
คำนวณ Microsoft 6.2. ส่วนประกอบของโปรแกรม Microsoft
Excel Excel ได้ถูกต้อง 2. ผู้เรียนทำงานเป็นระเบียบ
6.3. การกำหนดขอบเขตของข้อมูล
6.4. การคำนวณและการใช้สูตรฟังก์ช่นั 6.2.1 บอกสว่ นประกอบของโปรแกรม Microsoft Excel เรยี บร้อย
6.5. การจัดรูปแบบประเภทของข้อมูล
6.6. การแกไ้ ขข้อมูลบนเซลล์ 6.3.1 อธิบายการกำหนดขอบเขตของข้อมูลไดถ้ กู ตอ้ ง 3. ปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์
6.7. การคดั ลอกเซลล์ ลบ และเคลื่อนยา้ ย
ขอ้ มูล 6.4.1 ยกตวั อยา่ งการคำนวณและการใช้สูตรฟังกช์ ั่น ได้อยา่ ง สุจริต

นอ้ ย 2 ฟังก์ชน่ั 4. มีความรบั ผิดชอบตอ่ หนา้ ที่

6.5.1 บอกการจดั รปู แบบประเภทของข้อมูลได้ถกู ตอ้ ง 5. มคี วามม่งุ มั่นในการทำงาน

6.6.1 อธบิ ายการแกไ้ ขขอ้ มูลบนเซลล์ไดถ้ กู ตอ้ ง 6. ใชเ้ วลาอยา่ งคุม้ คา่

6.7.1 บอกการคัดลอกเซลล์ ลบ และเคลอ่ื นย้ายข้อมูลได้ 7. มจี ิตสาธารณะ

ถกู ต้อง



สมรรถนะ

ชื่อหน่วย ความรู้ ทักษะ คณุ ลกั ษณะท่ี
พงึ ประสงค์
หน่วยที่ 7 การใช้ 7.1. ความรู้พนื้ ฐานโปรแกรม Microsoft
โปรแกรมด้านการ PowerPoint 7.1.1 บอกความสำคญั Microsoft PowerPoint ไดถ้ กู ต้อง 1. ใฝก่ ารเรยี นรู้
นำเสนอ Microsoft 7.2. สว่ นประกอบของโปรแกรม Microsoft
PowerPoint PowerPoint 7.2.1 บอกส่วนประกอบของโปรแกรม Microsoft 2. ผู้เรียนทำงานเป็นระเบียบ
7.3. หลักการออกแบบงานนำเสนอกบั การ
จดั การข้อความลงบนสไลด์ PowerPoint ได้ถกู ต้อง เรยี บรอ้ ย
7.4. การเลือกมมุ มองการนำเสนอผลงาน
7.5 ขนั้ ตอนการสรา้ งผลงานด้วยตนเอง 7.3.1 อธบิ ายหลกั การออกแบบงานนำเสนอกบั การจดั การ 3. ปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์
7.6. การแกไ้ ขและลบรปู แบบสไลด์
7.7 การเพ่มิ ฉากหลงั สไลด์ ตกแต่งสไลด์ ข้อความลงบนสไลด์ไดถ้ กู ตอ้ ง สุจริต
7.8. การกำหนดสพี ืน้ หลังสไลด์
7.9 การกำหนดลักษณะของการเปลยี่ นภาพ 7.4.1 บอกการเลอื กมมุ มองการนำเสนอผลงานไดถ้ ูกต้อง 4. มีความรับผิดชอบตอ่ หนา้ ที่
ฉายสไลด์
7.10 การกำหนดขอ้ ความและภาพให้ 7.5.1 บอกขนั้ ตอนการสร้างผลงานด้วยตนเองได้ถูกต้อง 5. มีความมุง่ มนั่ ในการทำงาน
เคลอ่ื นท่ีแบบกำหนดเอง
7.6.1 อธิบายลักษณะการแก้ไขและลบรปู แบบสไลด์ได้ 6. ใช้เวลาอยา่ งคุม้ คา่

ถกู ต้อง 7. มจี ิตสาธารณะ

7.7.1 บอกการเพ่ิมฉากหลังสไลด์ ตกแต่งสไลดไ์ ด้ถกู ตอ้ ง

7.8.1 อธบิ ายลักษณะการกำหนดสพี ้ืนหลงั สไลดไ์ ดถ้ กู ต้อง

7.9.1 ยกตัวอย่างการกำหนดลักษณะของการเปลี่ยนภาพฉาย

สไลด์ได้ถกู ต้อง

7.10.1 บอกลกั ษณะการกำหนดข้อความและภาพให้เคลือ่ นที่

แบบกำหนดเองได้ถกู ตอ้ ง

1

แผนการจัดการเรยี นรมู้ ุ่งเนน้ สมรรถนะ หน่วยท่ี 1

ช่ือหน่วย คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ สอนครัง้ ที่ 1
โทรคมนาคม ช่ัวโมงรวม 6

จำนวนชว่ั โมง 3

1. สาระสำคัญ
คอมพิวเตอร์ หมายถึง เครื่องจักรอเิ ล็กทรอนิกส์ท่ีถกู สร้างขึ้นเพื่อใช้ทำงานแทนมนุษย์ ในด้านการ

คิดคำนวณและสามารถจำข้อมูลทั้งตัวเลข และตัวอักษรได้เพื่อการเรียกใช้งานในครั้งต่อไป นอกจากนี้ยัง
สามารถจัดการกับสัญลักษณ์ได้ด้วยความเร็วสูงโดยปฏิบัติตามขั้นตอน ของโปรแกรม คอมพิวเตอร์ยังมี
ความสามารถในด้านต่าง ๆ อีกมาก เช่น การเปรียบเทียบทาง ตรรกศาสตร์ การรับส่งข้อมูล การจัดเก็บ
ข้อมูลในตัวเครื่องและสามารถประมวลผลจากข้อมูลต่าง ๆ ได้ ระบบคอมพวิ เตอร์ คือ องค์ประกอบหลักท่ี
จะทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถทำงาน ได้อย่างสมบูรณ์ ถ้าขาดองค์ประกอบส่วนใดส่วนหนึ่ง
คอมพวิ เตอร์ก็ไม่สามารถทจ่ี ะทำงานได้

2. สมรรถนะประจำหน่วย
2.1 ความหมายของคอมพิวเตอร์
2.2 ระบบคอมพวิ เตอร์
2.3 องคป์ ระกอบของเคร่อื งคอมพวิ เตอร์
2.4 ประเภทของคอมพวิ เตอร์
2.5 หลกั การทำงานของคอมพวิ เตอร์
2.6 ประโยชนข์ องคอมพวิ เตอร์

3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้

3.1 ดา้ นความรู้
3.1.1. ผู้เรียนบอกปจั จยั พื้นฐานในการเลอื กคอมพิวเตอร์มาใช้งานได้
3.1.2. ผเู้ รยี นบอกสว่ นประกอบของระบบคอมพวิ เตอรไ์ ด้
3.1.3. ผ้เู รยี นยกตัวอย่างองค์ประกอบของคอมพิวเตอรไ์ ด้
3.1.4. ผู้เรียนบอกประเภทของของคอมพวิ เตอรไ์ ด้
3.1.5. ผู้เรียนอธบิ ายหลักการทำงานของคอมพวิ เตอร์ได้ถูกตอ้ ง
3.1.6. ผู้เรยี นบอกประโยชนข์ องคอมพิวเตอรไ์ ด้

3.2 ดา้ นทักษะ
3.2.1 สามารถบอกความหมายของคอมพวิ เตอร์ได้

2

3.2.2 สามารถบอกส่วนประกอบของระบบคอมพวิ เตอรไ์ ด้อยา่ งนอ้ ย 2 ส่วน
3.2.3 สามารถบอกองค์ประกอบของคอมพิวเตอรไ์ ด้อยา่ งนอ้ ย 3 องค์ประกอบ
3.2.4 สามารถบอกประเภทของของคอมพวิ เตอร์ไดอ้ ยา่ งนอ้ ย 1 ประเภท
3.2.5 สามารถอธิบายหลักการทำงานของคอมพวิ เตอรไ์ ดถ้ กู ต้อง
3.2.6 สามารถบอกประโยชนข์ องคอมพวิ เตอร์ไดอ้ ย่างนอ้ ย 2 ดา้ น
3.3 คณุ ลกั ษณะทพี่ งึ ประสงค์
3.3.1 ใฝก่ ารเรยี นรู้
3.3.2 ผูเ้ รียนทำงานเปน็ ระเบียบเรียบรอ้ ย
3.3.3 ปฏิบตั งิ านด้วยความซอ่ื สัตย์สจุ ริต
3.3.4 มีความรับผิดชอบตอ่ หนา้ ท่ี
3.3.5 มีความมุ่งมัน่ ในการทำงาน
3.3.6 ใช้เวลาอย่างคุ้มคา่
3.3.7 มีจิตสาธารณะ

3

แผนการจัดการเรยี นรมู้ ่งุ เนน้ สมรรถนะ หน่วยท่ี 1

ช่ือหนว่ ย คอมพวิ เตอรแ์ ละอุปกรณ์ สอนครง้ั ที่ 1
โทรคมนาคม ช่วั โมงรวม 6

จำนวนช่ัวโมง 3

4. เน้ือหาสาระการเรียนรู้
1.1 ความหมายของคอมพวิ เตอร์

"คอมพิวเตอร์" มาจากภาษาละตนิ คำว่า Computare หมายถึง เครื่องคำนวณทางอเิ ล็กทรอนกิ สท์ ี่
สรา้ งขึน้ สามารถเกบ็ ข้อมูลพร้อมดว้ ยคำส่ังแล้วแสดงผลออกมาในรูปแบบต่าง ๆ ไดร้ วดเร็วและถูกตอ้ ง
คอมพิวเตอร์ หมายถึง เครอ่ื งจักรอิเลก็ ทรอนกิ สท์ ่ีถูกสรา้ งข้ึนเพอื่ ใชท้ ำงานแทนมนษุ ย์ ในด้านการคิดคำนวณ
และสามารถจำขอ้ มูลทัง้ ตวั เลข และตวั อักษรไดเ้ พ่ือการเรยี กใชง้ านในครั้งตอ่ ไป นอกจากนย้ี งั สามารถจดั การ
กบั สญั ลักษณ์ไดด้ ว้ ยความเร็วสงู โดยปฏบิ ตั ิตามข้นั ตอน ของโปรแกรม คอมพวิ เตอรย์ ังมีความสามารถในด้าน
ต่าง ๆ อีกมาก เช่น การเปรียบเทียบทาง ตรรกศาสตร์ การรับส่งข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลในตัวเครื่องและ
สามารถประมวลผลจากขอ้ มูลตา่ ง ๆ ได้

1.2 ระบบคอมพิวเตอร์
ระบบคอมพิวเตอร์ คือ องค์ประกอบหลักที่จะทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถทำงาน ได้อย่าง

สมบูรณ์ ถ้าขาดองคป์ ระกอบสว่ นใดส่วนหน่งึ คอมพวิ เตอรก์ ็ไม่สามารถทจี่ ะทำงานได้ ระบบของคอมพิวเตอร์
น้ปี ระกอบไปด้วยองคป์ ระกอบหลกั ทส่ี ำคญั 3 ส่วน คือ

1.2.1.ฮาร์ดแวร์ (Hardware) คือ อปุ กรณห์ รือช้นิ สว่ นของคอมพิวเตอร์ ที่มีวงจรไฟฟา้ อย่ภู ายในเป็น
สว่ นใหญ่ สามารถจับต้องได้ เช่น กล่องซพี ยี ู (Case) จอภาพ (Monitor) แปน้ พิมพ์(Keyboard)
เมาส์ (Mouse) เคร่อื งพมิ พ์ (Printer) เครื่องสแกนภาพ (Scanner) เป็นต้น

1.2.2.ซอฟต์แวร์ (Software) คือ โปรแกรมหรือชุดคำสั่งทำหน้าที่ควบคุมให้ฮาร์ดแวร์ และเครื่อง
คอมพิวเตอร์ทำงานตามผู้ใช้ต้องการ ซอฟต์แวร์จะถูกบรรจุอยู่ในสื่อหรือวัสดุที่ใช้ใน การเก็บ
ข้อมลู เช่น ฮาร์ดดิสก์ ซดี ีรอม ดวี ดี ีรอม แฟลชไดร์ฟ เป็นต้น

1.2.3.พเี พลิ แวร์ (People ware) คือ บุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำงานของเครือ่ งคอมพิวเตอร์
เช่น ผู้จัดการระบบ (System Manager) นักวิเคราะห์ระบบ (System Analysis) ผู้เขียน
โปรแกรม (Programmer) ผใู้ ชโ้ ปรแกรม(User) เปน็ ตน้

1.3 องคป์ ระกอบคอมพวิ เตอร์
คอมพวิ เตอรจ์ ะทำงานไดต้ ้องมีองคป์ ระกอบพื้นฐาน 4 อย่าง ดังนี้

4

1.3.1 ฮาร์ดแวร์ (Hardware) หมายถึง อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ประกอบกันเป็นตัวเครื่องคอมพิวเตอร์
ประกอบด้วย แป้นพิมพ์ (keyboard) เมาส์ (Mouse) จอภาพ (Monitor) หน่วยประมวลผลกลางหรือซีพียู
(Central Processing Unit) อุปกรณเ์ ก็บข้อมลู (Handy Drive) เคร่อื งพิมพ์ (Printer)

1.3.1.1. แป้นพมิ พ์ (Keyboard) คอื อปุ กรณท์ ใี่ ช้พิมพห์ รือปอ้ นข้อมูล ขอ้ ความ คำสั่งต่าง ๆ
ลงไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้สำหรับสั่งการ ควบคุมการทำงานเครื่อง
คอมพวิ เตอร์ ในปจั จุบันแปน้ พิมพม์ ีทง้ั แบบมสี ายและไร้สาย (Wireless Keyboard)

1.3.1.2. เมาส์ (Mouse) คือ อุปกรณ์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งานบนวินโดว์ ใช้
สำหรับเป็นตัวชี้ตำแหน่งบนจอภาพ (Pointer และเลือก (Click) ใช้ปุ่มคำสั่งบน
ระบบปฏบิ ตั ิการทใ่ี ช้กราฟิกในการแสดงผลและรบั ข้อมลู คำส่ัง เชน่ ระบบปฏบิ ัตกิ าร
วินโดว์ (Windows) ของบริษัทไมโครซอฟต์ Ubuntu ของ Linux หรือ Mac OS X
ของบริษัทแอปเปิลสำหรับเครอ่ื งคอมพิวเตอร์แมคอินทอช

1.3.1.3. จอภาพ (Monitor คือ อุปกรณท์ ่ีทำหน้าท่แี สดงผลของเครือ่ งคอมพวิ เตอร์ สัญญาณ
ของจอภาพ จะถูกส่งออกมาจากแผงวงจรควบคุมภาพที่เรียกว่า การ์ดแสดงผล
ปัจจุบันนิยมใช้จอภาพแบบแอลซีดี (Liquid Crystal Display) เนื่องจากประหยัด
พลงั งาน ถนอมสายตามากกว่าจอภาพแบบซอี าร์ที (Cathode Ray Tube) ทต่ี อ้ งใช้
พนื้ ทโี่ ต๊ะทำงานมากและสิ้นเปลอื งพลังงาน

1.3.1.4. หน่วยประมวลผลหรือซีพียู (Central Processing Unit) คือ อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่
ประมวลผลคล้ายกับสมองของมนุษย์ ทำหน้าที่หลักในการคำนวณและควบคุมการ
ทำงานของอปุ กรณแ์ ต่ละชิ้นภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ทงั้ หมด

1.3.1.5. อุปกรณ์เก็บข้อมูล (Handy Drive) คือ อุปกรณ์ทีท่ ำหน้าทีเ่ ป็นหนว่ ยความจำขนาด
เล็กราคาถูก สะดวกตอ่ การพกพา และแลกเปล่ียนข้อมูลระหว่างเครอ่ื งคอมพิวเตอร์
ได้ง่าย

1.3.1.6. เคร่อื งพิมพ์ (Printer) คือ อปุ กรณต์ อ่ พว่ งเข้ากบั คอมพิวเตอร์ ทำหน้าท่ีแสดงผลที่ได้
จากการประมวลผลของเคร่ืองคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในรูปของอักษรหรอื รปู ภาพท่ีจะไป
ปรากฏอยู่บนกระดาษเครื่องพิมพ์ (Printer) แบ่งเป็น 4 ประเท ได้แก่ เครื่องพิมพ์
แบบพ่นหมึก (Ink-Jet Printer) เครื่องพิมพ์แบบหัวเข็ม (Dot Matrix Printer)
เครอ่ื งพมิ พ์แบบเลเซอร์ (Laser Printer) และพล็อตเตอร์ (Plotter)

1.3.1.7. ลำโพง (Speaker) คืออุปกรณท์ ใี่ ช้ในการแปลงสญั ญาณไฟฟา้ เป็นสัญญาณเสียง และ
แสดงเสยี งออกทางลำโพงทำให้ผู้ใช้ได้ยินสัญญาณเสยี งในแบบต่าง ๆ เชน่ เสียงเพลง
และ เสียงพูดต่าง ๆ ลำโพงจัดเป็นอุปกรณ์ด้านหน่วยแสดงผล (Output Unit) ทำ
หนา้ ทใ่ี นการแสดง ผลขอ้ มูล

1.3.2 ซอฟต์แวร์ (Software) หมายถึง โปรแกรมชุดคำสัง่ ที่สร้างขึ้นมาลำดับข้ันตอนการทำงานใน
ด้านตา่ ง ๆ และต้งั ชือ่ ใหเ้ หมาะสมกบั การทำงาน ซึ่งแบง่ ได้ดงั น้ี

5

1.3.2.1. ระบบปฏิบัติการ (Operating System) คือ โปรกรมที่ทำหน้าที่เป็นโปรแกรมหลักใช้ใน
การควบคุมโปรแกรมต่าง ๆ และฮาร์ดแวร์ทุกชิ้นที่นำมาติดตั้งให้ทำงานบนเครื่อง
คอมพวิ เตอร์ไดร้ ะบบปฏบิ ัตกิ ารทีน่ ยิ มใช้ ได้แก่

1.3.2.1.1. Microsoft Windows เป็นโปรแกรมที่สร้างขึ้นโดยบริษัทไมโครซอฟต์ แบ่งผู้ใช้
ออกเปน็ 2 กลุ่ม คอื กล่มุ ทใ่ี ช้เคร่ืองคอมพวิ เตอร์ตามบนหรือสำนกั งานทั่วไปและ
กลุ่มเครื่องคอมพวิ เตอรท์ ีต่ ้องเชื่อมตอ่ ผ่านทางระบบเครอื ข่ายที่มคี วามปลอดภยั
ของข้อมลู ปัจจบุ ันมีการพฒั นาเป็น Window XP

1.3.2.1.2. Windows XP Professional เป็นโปรแกรมที่ใช้สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มี
การเชอ่ื มตอ่ กับระบบเครือขา่ ยขนาดใหญ่ และสำรองข้อมลู ต่าง ๆ ได้ตามต้องการ

1.3.2.1.3. Windows XP Home Edition เป็นโปรแกรมที่ใช้สำหรับการเชื่อมต่อกับ
เครือขา่ ยสำหรบั เครอ่ื งคอมพิวเตอร์ทำงานภายในบ้านหรอื สำนักงาน

1.3.2.1.4. Windows Vista เป็นโปรแกรมที่นั้นความสวยงาม ดูหรูหรา น่าใช้งาน แต่
เนื่องจากมีการใช้งานที่ยุ่งยาก จึงไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังเริ่มตันใช้งาน เหมาะกับ
บุคคลเฉพาะกลุ่มมากกว่า เช่น กลุ่มที่นำไปใช้ดูหนัง ฟังเพลง เพื่อความบันเทิง
ภายในทอ่ี ย่อู าศัย

1.3.2.1.5. Windows 7 เป็นโปรแกรมที่มีลักษณะเหมือนกับ Windows Vista ใช้งานง่าย
เหมือนกบั Windows XP

1.3.2.2. โปรแกรมประยกุ ต์ (Application) คือ โปรแกรมทใี่ ชง้ านให้เหมาะสมกับการทำงาน ไดแ้ ก่
1.3.2.2.1. Microsoft Office โปแกรมใช้สำหรับทำงานในสำนักงาน เช่น โปรแกรม
Microsoft Word ใช้ในงานเอกสาร ทำรายงานต่างๆ โปรแกรม Microsoft Excel
ใช้ในงานด้านบัญชี คำนวณเกี่ยวกับตัวเลข สร้างกราฟและตาราง โปรแกรม
Microsoft PowerPoint ท ำ ส ไ ล ด ์ เ พ ื ่ อ น ำ เ ส น อ ร า ย ง า น ต ่ อ ท ี ่ ป ร ะ ชุ ม
(Presentation) โปรแกรม Microsoft Access สร้างฐานข้อมลู เกบ็ รายชือ่ พนักงาน
คลังสินค้า และโปรแกรม Microsoft Outlook ใช้รบั -สง่ อีแลทมี่ ีไฟล์ขนาดใหญ่ใน
สำนักงานและแจง้ นดั หมายการประชุมร่วมกนั
1.3.2.2.2. โปรแกรมดา้ นกราฟิกใช้สำหรบั ตกแต่งรปู ภาพ สรา้ งภาพกราฟกิ ออกแบบนติ ยสาร
ตา่ ง ๆ เช่น Adobe Photoshop, Adobe illustrator เป็นต้น
1.3.2.2.3. โปรแกรมออกแบบเวบ็ ไซต์ ใช้สำหรับออกแบบหน้าเว็บเพจและสร้างเว็บไซต์ เช่น
โปรมแกรม Adobe Dreamweaver โปรแกรม Adobe Flash
1.3.2.2.4. โปรแกรมด้านสื่อบันเทิง ใช้เพื่อสร้างความบันเทิง ดูหนัง ฟังเพลง เช่น Windows
Media Player, Power DVD เปน็ ต้น

1.3.3 บุคลากร (People ware) หมายถึง ผู้ปฏิบัติงานตามกระบวนวิธีการในกิจกรรมต่าง ๆ เช่น
การสร้างหรือเก็บรวบรวมข้อมูล บางกลุ่มอาจทำหน้าที่ในการพัฒนาซอฟต์แวร์ขึ้นมาใหม่ ๆ ตามความ

6

ต้องการและในการประมวลผล และอาจเปลี่ยนแปลงโปรแกรมที่มีอยู่แล้วใหส้ อดคล้องตามความต้องการที่
เปลี่ยนแปลง บุคลากรทางคอมพิวเตอร์บางกลุ่มทำหน้าที่สร้างกระบวนการวิธีการให้แก่บุคลากรทาง
คอมพิวเตอร์กล่มุ อน่ื ๆ เพอื่ ให้การทำงานหรอื ใช้งานด้วยคอมพวิ เตอรท์ ่ีมปี ระสิทธิภาพ

1.3.4 ข้อมูลและสารสนเทศ Data Information ในการทำงานต่าง ๆ จะต้องมีข้อมูลเกิดขึ้น
ตลอดเวลา ขอ้ มูลท่เี กยี่ วขอ้ งกับงานที่ถกู เก็บรวบรวมมาประมวลผล เพื่อใหไ้ ด้สารสนเทศทเ่ี ปน็ ประโยชน์ต่อ
ผูใ้ ช้ ซึ่งในปจั จบุ นั มกี ารนำเอาระบบคอมพิวเตอรม์ าเปน็ ขอ้ มูลในการดดั แปลงขอ้ มูลใหไ้ ด้ประสิทธิภาพ โดย
ความแตกต่างระหว่าง ขอ้ มลู และ สารสนเทศ

1.4 ประเภทของคอมพวิ เตอร์
แบง่ ตามความสามารถของระบบ

1.4.1.ซปุ เปอร์คอมพวิ เตอร์ (Super Computer) หมายถงึ เครื่องประมวลผล ขอ้ มูลท่มี คี วามสามารถ
ในการประมวลผล สงู ทีส่ ุดโดยทว่ั ไปสร้างขึน้ เป็นการเฉพาะ เพื่องานด้านวิทยาศาสตร์ท่ีต้องการ
การประมวลผลซับซ้อนและต้องการ ความเร็วสูง เช่น งานวิจัยขีปนาวุธ งานโครงการอวกาศ
สหรัฐฯ (NASA) งานสือ่ สารดาวเทยี ม หรืองานพยากรณ์ อากาศ เปน็ ต้น

1.4.2. เมนเฟรมคอมพวิ เตอร์ (Mainframe Computer) หมายถงึ เครอ่ื งประมวลผล ข้อมูลท่ีมีส่วน
ความจำและความเร็วน้อยลงสามารถใช้ข้อมูลและคำสั่งของเครื่องรุ่นอื่นในตระกูล (Family)
เดียวกันได้โดยไม่ต้องดัดแปลงแก้ไขใด ๆ นอกจากนั้นยังสามารถทำงานในระบบเครือข่าย
(Network) ได้เป็นอย่างดี โดยสามารถเชื่อมต่อไปยังอุปกรณ์ที่เรียกว่า เครื่องปลายทาง
(Terminal) จำนวนมากได้ สามารถทำงานได้พร้อมกันหลายงาน (Multi-Tasking) และใช้งานได้
พร้อมกันหลายคน (Multi User) ปกติเครื่องชนิดนี้ นิยมใช้ในธุรกิจขนาดใหญ่มีราคาตั้งแต่สิบ
ล้านบาทไปจนถึงหลายร้อยล้านบาทตัวอย่างของเครื่องเมนเฟรมที่ใช้กันแพร่หลายก็คือ
คอมพิวเตอร์ของธนาคารทเ่ี ชอื่ มตอ่ ไปยังตู้ ATM และสาขาของธนาคารทัว่ ประเทศ

1.4.3. มินิคอมพิวเตอร์ (Mini Computer) ธุรกิจและหน่วยงานที่มีขนาดเล็กไม่จำเป็นต้องใช้
คอมพิวเตอร์ขนาดเมนเฟรมซึง่ มรี าคาแพง ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์จึงพัฒนาคอมพิวเตอร์ให้มีขนาด
เล็กและมีราคาถูกลง เรียกว่าเครื่องมินิคอมพิวเตอร์โดยมีลักษณะพิเศษในการทำงานร่วมกับ
อุปกรณ์ประกอบรอบข้างที่มีความเร็วสูงได้มกี ารใช้แผ่นจานแม่เหล็กความจุสูงชนิดแข็ง (Hard
disk) ในการเก็บรักษาข้อมูลสามารถอ่านเขียนข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว หน่วยงานและบริษัทที่ใช้
คอมพิวเตอร์ขนาดน้ี ได้แก่ กรม กอง มหาวิทยาลัย ห้างสรรพสินค้า โรงแรม โรงพยาบาล และ
โรงงานอตุ สาหกรรมตา่ ง ๆ

1.4.4. ไมโครคอมพิวเตอร์ (Micro Computer) หมายถึง เครื่องประมวลผลข้อมูลขนาดเล็ก มีส่วน
ของหน่วยความจำและความเรว็ ในการประมวลผลนอ้ ยท่ีสุดสามารถใชง้ านได้ด้วย คนเดียว จงึ มัก
ถูกเรียกว่า คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer : PC) ปัจจุบัน ไมโครคอมพิวเตอร์มี
ประสิทธิภาพสูงกว่าในสมัยก่อนมากอาจเท่ากับหรือมากกว่าเครื่อง เมนเฟรมในยุคก่อน

7

นอกจากนั้นยังราคาถูกลงมากดังน้ันจึงเป็นที่นิยมใช้มาก ทั้งตามหน่วย งานและบริษัทห้างร้าน
ตลอดจนตามโรงเรยี นสถานศกึ ษา และบา้ นเรอื นบริษัทที่ผลติ ไมโครคอมพิวเตอรอ์ อกจำหน่ายจน
ประสบความสำเร็จเป็นบริษัทแรก คือบริษัทแอปเปิลคอมพิวเตอร์ เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์
จำแนกออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ แบบติดตั้งใช้งานอยู่กับท่ี บนโต๊ะทำงาน (Desktop
Computer) และแบบเคลื่อนย้ายได้ (Portable Computer) สามารถ พกพาติดตัวอาศัย
พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่จากภายนอก ส่วนใหญ่มักเรียกตามลักษณะของ การใช้งานว่า
Laptop Computer หรอื Notebook Computer
แบ่งตามหลกั การประมวลผล
1.4.5. คอมพิวเตอร์แบบอนาล็อก (Analog Computer) หมายถึง เครื่องมือประมวล ผลข้อมูลที่
อาศัยหลกั การวดั (Measuring Principle) ทำงานโดยใช้ขอ้ มลู ที่มีการเปลี่ยนแปลง แบบตอ่ เน่ือง
(Continuous Data) แสดงออกมาในลักษณะสัญญาณที่เรียกว่า Analog Signal เครื่อง
คอมพิวเตอร์ประเภทนี้มักแสดงผลด้วยสเกลหนา้ ปัทม์ และเข็มชี้ เช่น การวัดค่าความยาว โดย
เปรียบเทียบกับสเกลบนไม้บรรทดั การวัดค่าความร้อนจากการขยายตัวของปรอทเปรียบ เทียบ
กับสเกลข้างหลอดแก้ว นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างของ Analog Computer ที่ใช้การประมวล ผล
แบบเป็นข้นั ตอน เช่น เคร่อื งวดั ปรมิ าณการใชน้ ้ำดว้ ยมาตรวัดนำ้ ท่ี เปลีย่ นการไหลของน้ำให้เป็น
ตัวเลข แสดงปริมาณ อุปกรณ์วัดความเร็ว ของรถยนต์ในลักษณะเข็มชี้ หรือ เครื่องตรวจคลื่น
สมองท่แี สดงผล เป็นรปู กราฟ เป็นตน้
1.4.6. คอมพวิ เตอร์แบบดิจิทัล (Digital Computer) ซึง่ ก็คอื คอมพิวเตอร์ท่ีใชใ้ นการ ทำงานท่ัว ๆ ไป
นั่นเอง เป็นเครื่องมือประมวลผลข้อมูลที่อาศัยหลักการนับทำงานกับข้อมูลที่มี ลักษณะการ
เปลี่ยนแปลงแบบไม่ต่อเนื่อง (Discrete Data) ในลักษณะของสัญญาณไฟฟ้า หรือ Digital
Signal อาศัยการนับสัญญาณข้อมูลที่เป็นจังหวะด้วยตัวนับ (Counter) ภายใต้ระบบ ฐานเวลา
มาตรฐาน ทำให้ผลลัพธ์เป็นที่น่าเชื่อถือ ทั้งสามารถนับข้อมูลให้ค่าความละเอียดสูง เช่นแสดง
ผลลัพธ์เป็นทศนิยมได้หลายตำแหน่ง เป็นต้น เนื่องจาก Digital Computer ต้องอาศัย ข้อมูลท่ี
เป็นสัญญาณไฟฟ้า (มนุษย์สัมผัสไม่ได้) ทำให้ไม่สามารถรับข้อมูลจากแหล่งข้อมูล ต้นทางได้
โดยตรง จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนข้อมูล ต้นทางที่รับเข้า (Analog Signal) เป็นสัญญาณ ไฟฟ้า
(Digital Signal) เสียก่อน เมื่อประมวลผล เรียบร้อยแล้วจึงเปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้ากลับไปเป็น
Analog Signal เพื่อสื่อความหมายกับมนุษยต์ ่อไป โดยส่วนประกอบสำคญั ที่เรียกวา่ ตัวเปลี่ยน
สัญญาณข้อมูล (Converter) คอยทำหน้าที่ในการ เปลี่ยนรูปแบบของสัญญาณข้อมูล ระหว่าง
Digital Signal กบั Analog Signal
1.4.7. คอมพิวเตอร์แบบลูกผสม (Hybrid Computer) เครื่องประมวลผลขอ้ มูลที่อาศยั เทคนิคการ
ทำงานแบบผสมผสาน ระหว่าง Analog Computer และ Digital Computer โดยทวั่ ไปมกั ใช้ใน
งานเฉพาะกิจ โดยเฉพาะงานด้าน วิทยาศาสตร์ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ ในยานอวกาศ ที่ใช้
Analog Computer ควบคุมการหมุนของ ตัวยาน และใช้ Digital Computer ในการ คำนวณ

8

ระยะทาง เป็นต้น การทำงาน แบบผสมผสานของคอมพิวเตอร์ชนิดน้ี ยังคงจำเป็นต้องอาศัยตัว
เปล่ียน สญั ญาณ (Converter) เชน่ เดิม
แบง่ ตามวตั ถุประสงค์ของการใช้งาน
1.4.8. เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อง านเฉพาะกิจ (Special Purpose Computer) หมายถึง
เคร่อื งประมวลผลขอ้ มูลท่ีถูกออกแบบตวั เคร่อื งและโปรแกรมควบคุมใหท้ ำงานอย่าง ใดอยา่ งหนง่ึ
เป็นการเฉพาะ (Inflexible) โดยทั่วไปมักใช้ในงานควบคุมหรืองานอุตสาหกรรม ที่เน้นการ
ประมวลผลแบบรวดเร็วเช่นเคร่ืองคอมพิวเตอร์ควบคุมสัญญาณไฟจราจร คอมพิวเตอร์ ควบคุม
ลฟิ ต์หรอื คอมพวิ เตอร์ควบคมุ ระบบอตั โนมตั ิในรถยนต์ เป็นต้น
1.4.9. เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่องานอเนกประสงค์ (General Purpose Computer) หมายถึง
เครื่องประมวลผลข้อมูลที่มีความยืดหยุ่นในการทำงาน (Flexible) โดยได้รับการ ออกแบบให้
สามารถประยุกต์ใช้ในงานประเภทต่าง ๆ ได้โดยสะดวกโดยระบบจะทำงานตามคำสั่งใน
โปรแกรมที่เขียนขึ้นมาและเมื่อผู้ใช้ต้องการให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานอะไรก็เพียงแต่ ออก
คำสั่งเรียกโปรแกรมที่เหมาะสมเข้ามาใช้งานโดยเราสามารถเก็บโปรแกรมไวห้ ลาย โปรแกรมใน
เครื่องเดียวกันได้ เช่นในขณะหนึ่งเราอาจใชเ้ ครื่องนี้ในงานประมวลผลเกี่ยวกับ ระบบบัญชีและ
ในขณะหน่งึ กส็ ามารถใชใ้ นการออกเช็คเงนิ เดอื นได้ เป็นตน้

1.5 หลกั การทำงานของคอมพิวเตอร์
การทำงานของคอมพิวเตอร์ เริ่มจากการป้อนข้อมลู เข้าทางหน่วยปอ้ นข้อมูล (Input Unit) ผ่านไป

ยังหน่วยประมวลผลข้อมูล (CPU: Central Processing Unit) โดยหน่วยประมวล ผลข้อมูลกลางจะทำงาน
ร่วมกับหน่วยความจำ(Memory Unit) เมื่อได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ จะส่งขอ้ มูลไปยังหน่วยแสดงผล (Output
Unit)

รูปที่ 1 หลกั การทำงานของคอมพวิ เตอร์
ทม่ี า https://sites.google.com/site/krutomtc/3-1-khxmphiwtexr

1.6 ประโยชน์ของคอมพวิ เตอร์
คอมพวิ เตอร์ถูกนำมาใชป้ ระโยชน์ตอ่ การดำเนนิ ชีวติ ประจำวนั ในสงั คมเป็นอย่างมากที่พบเหน็ ได้

บ่อยที่สดุ ก็คือ การใชใ้ นการพมิ พ์เอกสารต่าง ๆ เชน่ พิมพจ์ ดหมาย รายงาน เอกสาร ตา่ ง ๆ ซึง่ เรียกวา่ งาน

9

ประมวลผล (word processing) นอกจากน้ยี งั มีการประยกุ ต์ใช้ คอมพวิ เตอร์ในดา้ นตา่ ง ๆ อีกหลายด้าน
ดังต่อไปน้ี

1.6.1.งานธุรกิจ เช่น บริษัท ร้านค้า ห้างสรรพสินค้า ตลอดจนโรงงานต่าง ๆ ใช้คอมพิวเตอร์ในการทำ
บัญชี งานประมวลคำและติดต่อกับหน่วยงานภายนอกผ่านระบบ โทรคมนาคม นอกจากนี้งาน
อุตสาหกรรมส่วนใหญ่ก็ใช้คอมพิวเตอร์มาช่วยในการควบคุม การผลิต และการประกอบชิ้นส่วน
ของอุปกรณต์ า่ ง ๆ เช่น โรงงานประกอบรถยนต์ ซ่ึงทำให้ การผลิตมคี ุณภาพดขี ึ้น หรอื งานธนาคาร
ทีใ่ ห้บรกิ ารถอนเงนิ ผา่ นตู้ฝากถอนเงนิ อตั โนมัติ (ATM) และใชค้ อมพิวเตอรค์ ิดดอกเบี้ยให้กับผู้ฝาก
เงิน และการโอนเงนิ ระหวา่ งบัญชี เชอ่ื ม โยงกนั เป็นระบบเครือขา่ ย

1.6.2.งานวิทยาศาสตร์ การแพทย์ และงานสาธารณสุข สามารถนำคอมพิวเตอร์มาใช้ ในส่วนของการ
คำนวณท่ีค่อนขา้ งซับซ้อน เช่น งานศกึ ษาโมเลกลุ สารเคมี วิถกี ารโคจรของการ ส่งจรวดไปสูอ่ วกาศ
หรืองานทะเบียน การเงิน สถิติ และเป็นอุปกรณ์สำหรับการตรวจรักษา โรคได้ ซึ่งจะให้ผลที่
แม่นยำกว่าการตรวจดว้ ยวธิ ีเคมีแบบเดมิ และให้การรกั ษาได้รวดเร็วขนึ้

1.6.3.งานคมนาคมและสื่อสาร ในส่วนที่เกี่ยวกับการเดินทาง จะใช้คอมพิวเตอรใ์ นการ จองวันเวลา ที่
นั่ง ซึ่งมีการเชื่อมโยงไปยังทุกสถานีหรือทุกสายการบินได้ ทำให้สะดวกต่อ ผู้เดินทางที่ไม่ต้อง
เสียเวลารอ อีกทง้ั ยังใชใ้ นการควบคมุ ระบบการจราจร เช่น ไฟสญั ญาณ จราจร และการจราจรทาง
อากาศ หรือในการสื่อสารกใ็ ช้ควบคุมวงโคจรของดาวเทียมเพ่ือให้ อยู่ในวงโคจร ซึ่งจะช่วยส่งผล
ตอ่ การสง่ สัญญาณใหร้ ะบบการส่ือสารมีความชัดเจน

1.6.4.งานวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม สถาปนิกและวิศวกรสามารถใช้คอมพิวเตอร์ใน การออกแบบ
หรือจำลองสภาวการณ์ต่าง ๆ เช่น การรับแรงสั่นสะเทือนของอาคารเมื่อเกิด แผ่นดินไหว โดย
คอมพิวเตอร์จะคำนวณและแสดงภาพสถานการณ์ใกล้เคียงความจรงิ รวมทั้ง การใช้ควบคุมและ
ติดตามความกา้ วหนา้ ของโครงการตา่ ง ๆ เชน่ คนงาน เครอื่ งมือ ผลการ ทำงาน

1.6.5.งานราชการ เปน็ หนว่ ยงานทมี่ กี ารใช้คอมพวิ เตอรม์ ากท่ีสุด โดยมกี ารใชห้ ลายรปู แบบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่
กบั บทบาทและหนา้ ทขี่ องหน่วยงานนั้น ๆ เช่น กระทรวงศกึ ษาธิการมกี ารใช้ ระบบประชุมทางไกล
ผ่านคอมพิวเตอร์, กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้จัดระบบ เครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพ่ือ
เชื่อมโยงไปยงั สถาบันต่าง ๆ,กรมสรรพากร ใชจ้ ัดในการจัดเก็บภาษี บนั ทึกการเสียภาษี เป็นตน้

1.6.6.การศึกษา ได้แก่ การใช้คอมพิวเตอร์ทางด้านการเรียนการสอน ซึ่งมีการนำคอมพิวเตอร์มาช่วย
การสอนในลักษณะบทเรียน CAI หรืองานด้านทะเบียน ซึ่งทำให้สะดวก ต่อการค้นหาข้อมูล
นักเรียน การเก็บข้อมูลยมื และการส่งคนื หนงั สอื หอ้ งสมดุ

10

แผนการจัดการเรยี นรูม้ ุง่ เนน้ สมรรถนะ หน่วยที่ 1

ช่อื หนว่ ย คอมพิวเตอรแ์ ละอปุ กรณ์ สอนคร้งั ที่ 1
โทรคมนาคม ช่วั โมงรวม 6

จำนวนช่ัวโมง 3

5. กจิ กรรมการเรียนการสอน

5.1 การนำเข้าสู่บทเรยี น

5.1.1. ครู เชค็ ชื่อและตรวจการแตง่ กาย

นักเรยี น ขานช่ือและลุกให้ครูตรวจการแต่งกายทลี ะคน

5.1.2. ครู ทบทวนก่อนเรียนโดยซกั ถาม เรอื่ งความร้เู กี่ยวกับคอมพวิ เตอรแ์ ละ

สารสนเทศเพ่ืองานอาชพี ผู้สอนตรวจแลว้ ให้ผเู้ รยี นบันทกึ คะแนนท่ีได้ไว้

เพือ่ เปรียบเทยี บกับการทดสอบหลงั เรยี นจบ

นักเรียน ตอบคำถาม ซักถามข้อสงสยั

5.2 การเรยี นรู้

5.2.1. ครู แนะนำรายวชิ าและ แจ้งหวั ขอ้ ทีจ่ ะสอน ตามเนื้อหาสาระ เร่ือง

คอมพิวเตอร์และอุปกรณโ์ ทรคมนาคม โดยใชส้ ่ือ power point ตอบ

คำถาม/ซกั ถามปัญหา

นกั เรยี น ตอบคำถาม ซกั ถามปญั หาข้อสงสัย ศกึ ษาจากสอ่ื และเอกสาร
ประกอบการสอน

5.2.2. ครู อธิบายเกี่ยวกับความหมายของคอมพิวเตอร์ ระบบคอมพิวเตอร์
องค์ประกอบของเครื่องคอมพิวเตอร์ ประเภทของคอมพวิ เตอร์ หลกั การ
ทำงานของคอมพิวเตอร์ และประโยชนข์ องคอมพิวเตอร์ โดยใช้ส่อื
power point เร่ือง คอมพวิ เตอรแ์ ละอปุ กรณโ์ ทรคมนาคม ตอบ
คำถาม/ซกั ถามปญั หา

นกั เรียน จดบนั ทกึ ยอ่ ตอบคำถาม ปรึกษา/อภปิ รายกับเพื่อน
5.2.3. ครู ทดสอบผู้เรียนโดยถามตอบกันภายในหอ้ งเรียน และอธิบายบางข้อท่ี

ผู้เรียนมขี ้อสงสยั จากการจดบันทึก

นักเรยี น รว่ มกนั อภปิ รายหาขอ้ สรปุ

5.2.4. ครู ให้ทำแบบฝึกหดั ที่ 1 เรอ่ื ง คอมพวิ เตอร์และอปุ กรณ์โทรคมนาคม
ให้คำแนะนำ เพอื่ ทดสอบเกย่ี วกบั ความเข้าใจรายรายบุคคล

นักเรยี น ปฏิบตั ิแบบฝกึ หดั ตามใบงาน

11

5.3 การสรปุ

5.3.1. ครู สมุ่ เรยี กผเู้ รยี นออกมาสรปุ เน้ือหาท่ีได้เรยี นตามกลุม่ ท่ีจดั ทำแบบฝึกหัดท่ี1

จนครบคลุมเนอ้ื หาทง้ั หมด โดยผู้สอนชว่ ยให้คำแนะนำ และอธิบายเพมิ่ เตมิ

นักเรยี น ออกมาอธิบายหนา้ ชน้ั เรยี นทลี ะกลุม่ โดยสรปุ เน้อื หา ซกั ถามปัญหาและ

จดบันทึกเพม่ิ เติม

5.3.2. ครู ให้ผูเ้ รียนปฏิบัติตามแบบฝกึ หดั ท่ี 1 ใหเ้ สรจ็ สมบรู ณ์ และให้ผู้เรยี น

ซกั ถามปญั หาในการเรยี น

นักเรยี น ซักถามปญั หาและข้อสงสัยในการปฏบิ ัติการทดลอง สรปุ ผลการทดลอง

และส่งใบงานใน Google Classroom

5.4 การวัดและประเมนิ ผล

5.4.1. ครู สุม่ ถามผู้เรยี นเกีย่ วกบั เนอ้ื หาที่เรียน

นกั เรียน ตอบคำถามที่ผสู้ อนถาม

5.4.2. ครู ให้ผเู้ รียนเล่นเกมสต์ อบคำถามโดยสุม่ คำถามจากเนอ้ื ทีเ่ พ่อื วดั ความเขา้ ใจ

เน้ือหามากขึ้น ตรวจแบบฝึกหดั ที่ 1 และบนั ทึกคะแนน

นักเรยี น เล่นเกมสต์ อบคำถาม และแลกเปล่ียนคำตอบ

6. ส่ือการเรยี นร/ู้ แหล่งการเรียนรู้
6.1 สอ่ื ส่ิงพิมพ์
เอกสารประกอบการสอน เร่อื งคอมพวิ เตอร์และอปุ กรณโ์ ทรคมนาคม
บญุ สบื โพธ์ศิ รี, รพพี รรณ ชาวไรอ่ ้อย.2558. เทคโนโลยีสารสนเทศเพ่อื การจดั การอาชพี .

พิมพค์ รั้งท่ี 1. กรงุ เทพฯ : สานักพมิ พ์ศนู ยส์ ่งเสรมิ อาชีวะ

ธีรวฒั น์ ประกอบผล.2558. เทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือการจัดการอาชีพ. กรงุ เทพฯ : ซคั

เซส มีเดยี

โอภาส เอีย่ มสริ ิวงศ.์ 2556. เครอื ข่ายคอมพิวเตอรแ์ ละการสอ่ื สาร. กรุงเทพฯ : ว.ี พรนิ้ ท

6.1 สอ่ื โสตทัศน์
สอื่ PowerPoint วชิ าเทคโนโลยสี ารสนเทศเพ่ือการจัดการอาชพี หนว่ ยท่ี 1 เรือ่ ง คอมพวิ เตอร์

และอปุ กรณ์โทรคมนาคม

7. เอกสารประกอบการจดั การเรียนรู้ (ใบความรู้ ใบงาน ใบมอบหมายงาน ฯลฯ)
7.1 ใบความรู้ ประกอบการเรียนวชิ าเทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือการจดั การอาชพี หนว่ ยที่ 1 เรื่อง

คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคม
7.2 แบบฝกึ หัดท่ี 1 เร่ืองคอมพิวเตอร์และอุปกรณโ์ ทรคมนาคม

12

8. การบูรณาการ/ความสมั พนั ธ์กับวชิ าอื่น
8.1 สามารถนำความรู้ มาใชแ้ ยกแยะความแตกตา่ งระหวา่ งคอมพวิ เตอรแ์ ละอปุ กรณโ์ ทรคมนาคม
8.2 สามารถนำความรู้ มาใชร้ ว่ มกบั วิชาการใช้งานด้านคอมพวิ เตอรห์ รือสารสนเทศ

9. การวดั และประเมนิ ผล
9.1 ก่อนเรียน
9.1.1.ผเู้ รยี นศึกษา ค้นคว้าจากเอกสาร ตำรา เกีย่ วกับความรเู้ กีย่ วกบั คอมพิวเตอร์และสารสนเทศ
เพื่องานอาชพี
9.1.2.ผูเ้ รยี นทำแบบทดสอบกอ่ นเรยี น
9.2 ขณะเรียน
9.2.1.การสงั เกตพฤตกิ รรมภายในชัน้ เรียน
9.2.2.ทำแบบฝึกหดั ประจำหนว่ ย
9.3 หลังเรยี น
9.3.1.ใหผ้ เู้ รียนชว่ ยกันสรปุ เนื้อหา
9.3.2.ทำแบบทดสอบหลงั เรยี น
9.3.3.ทำแบบทดสอบประจำหน่วยที่ 1 เพ่ือวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน

10.บันทกึ หลงั การสอน
10.1 ผลการใชแ้ ผนการจัดการเรียนรู้

..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
.........
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................

10.2 ผลการเรียนรูข้ องนักเรยี น นกั ศึกษา
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................

13

10.3 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการเรยี นรู้
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
.

12

แผนการจัดการเรยี นรมู้ งุ่ เน้นสมรรถนะ หนว่ ยท่ี 1

ชื่อหนว่ ย คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ สอนครงั้ ที่ 2
โทรคมนาคม ช่ัวโมงรวม 6

จำนวนช่วั โมง 3

1. สาระสำคัญ
โทรคมนาคม (Telecommunications) เป็นการส่งสารสนเทศในรูปแบบของตัวอักษร ภาพและ

เสียงโดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือการติดต่อสารจากที่หนึ่งไปยังอีก ที่หนึ่งไปยังอีกที่ หนึ่งโดยใช้พลังงาน
ไฟฟา้ ใหไ้ หลไปตามสายเคเบิลทองแดง เคเบิลเส้นใยแกว้ นำแสง หรอื โดย อาศัยคล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟา้ ในการส่ง
สัญญาณไปในบรรยากาศ เช่น การส่งวิทยุ โทรทัศน์ การส่งคลื่นไมโครเวฟ และการส่งสัญญาณผ่าน
ดาวเทียม โดยจุดที่ส่งข่าวสารกับจุดรับจะอยู่ ห่างไกลกัน และข่าวสารที่ส่งจะเฉพาะเจาะจงผู้รับคนใดคน
หนึ่งหรือส่งใหผ้ ้รู บั ทั่วไปกไ็ ด้ โทรคมนาคมเปน็ การใชส้ ื่ออปุ กรณร์ บั ไฟฟ้าตา่ ง ๆ เชน่ วิทยุ โทรทศั น์ โทรศัพท์
โทรสาร และโทรพิมพ์ เพื่อการสื่อสารในระยะไกล โดยอุปกรณ์เหล่านี้จะแปลงข้อมูลรูปแบบ ต่าง ๆ เช่น
เสียงและภาพไปเปน็ สญั ญาณไฟฟ้า สัญญาณเหลา่ น้จี ะถกู สง่ ไปโดยส่ือ เชน่ สาย โทรศพั ท์ หรือคล่ืนวิทยุเม่ือ
สัญญาณไปถึงจุดปลายทาง อุปกรณ์ด้านผู้รับจะรับและแปลงกลับ สัญญาณไฟฟ้าเหล่านี้ให้เป็นข้อมูลที่
สามารถเข้าใจได้

2. สมรรถนะประจำหน่วย
2.1 ความหมายโทรคมนาคม
2.2 อุปกรณ์โทรคมนาคม
2.3 สว่ นประกอบของโทรคมนาคม
2.4 ชนิดของการเชอ่ื มตอ่
2.5 หน้าทข่ี องระบบโทรคมนาคม

3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้

3.1 ด้านความรู้
3.1.1. ผ้เู รยี นบอกความหมายของโทรคมนาคมได้

3.1.2. ผเู้ รยี นยกตวั อยา่ งอุปกรณโ์ ทรคมนาคมได้
3.1.3. ผเู้ รียนบอกสว่ นประกอบของโทรคมนาคมได้
3.1.4. ผเู้ รยี นบอกชนิดของการเช่อื มตอ่ ได้อย่างได้อย่างถูกตอ้ ง
3.1.5. ผเู้ รียนยกตัวอยา่ งหน้าท่ีของระบบโทรคมนาคมได้

13

3.2 ด้านทักษะ
3.2.1 สามารถบอกความหมายของโทรคมนาคมได้
3.2.2 สามารถยกตวั อย่างอุปกรณโ์ ทรคมนาคมได้อย่างน้อย 2 อย่าง
3.2.3 สามารถบอกสว่ นประกอบของโทรคมนาคมได้
3.2.4 สามารถบอกชนิดของการเช่อื มต่อได้อย่างได้อย่างถูกต้อง
3.2.5 สามารถยกตวั อยา่ งหน้าท่ีของระบบโทรคมนาคมไดอ้ ยา่ งน้อย 2 หน้าที่
3.2.6 สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคมได้

3.3 คณุ ลกั ษณะที่พงึ ประสงค์
3.3.1 ใฝ่การเรยี นรู้
3.3.2 ผเู้ รยี นทำงานเปน็ ระเบียบเรียบรอ้ ย
3.3.3 ปฏิบตั งิ านด้วยความซ่อื สตั ย์สจุ ริต
3.3.4 มีความรับผดิ ชอบต่อหน้าที่
3.3.5 มีความมุ่งมัน่ ในการทำงาน
3.3.6 ใชเ้ วลาอย่างคมุ้ ค่า
3.3.7 มจี ิตสาธารณะ

14

แผนการจดั การเรยี นรู้มุง่ เนน้ สมรรถนะ หน่วยที่ 1

ช่อื หน่วย คอมพิวเตอรแ์ ละอุปกรณ์ สอนครั้งที่ 2
โทรคมนาคม ช่ัวโมงรวม 6

จำนวนช่ัวโมง 3

4. เนอื้ หาสาระการเรยี นรู้
1.7 ความหมายของโทรคมนาคม

โทรคมนาคม (Telecommunications) เป็นการส่งสารสนเทศในรูปแบบของตัวอักษร ภาพและ
เสียงโดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือการติดต่อสารจากที่หนึ่งไปยังอีก ที่หนึ่งไปยังอีกท่ี หนึ่งโดยใช้พลังงาน
ไฟฟ้าให้ไหลไปตามสายเคเบิลทองแดง เคเบิลเส้นใยแกว้ นำแสง หรือโดย อาศัยคล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟ้าในการส่ง
สัญญาณไปในบรรยากาศ เช่น การส่งวิทยุ โทรทัศน์ การส่งคลื่นไมโครเวฟ และการส่งสัญญาณผ่าน
ดาวเทียม โดยจุดที่ส่งข่าวสารกับจุดรับจะอยู่ ห่างไกลกัน และข่าวสารที่ส่งจะเฉพาะเจาะจงผู้รับคนใดคน
หนง่ึ หรือสง่ ใหผ้ ูร้ ับท่ัวไปกไ็ ด้

โทรคมนาคมเป็นการใช้สื่ออุปกรณ์รับไฟฟ้าต่าง ๆ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ โทรสาร และโทร
พิมพ์ เพื่อการสื่อสารในระยะไกล โดยอุปกรณ์เหล่านี้จะแปลงข้อมูลรูปแบบ ต่าง ๆ เช่น เสียงและภาพไป
เป็นสญั ญาณไฟฟา้ สญั ญาณเหล่านจ้ี ะถกู สง่ ไปโดยส่ือ เชน่ สาย โทรศัพท์ หรือคลนื่ วิทยุเม่ือสัญญาณไปถึงจุด
ปลายทาง อปุ กรณด์ า้ นผูร้ ับจะรบั และแปลงกลับ สัญญาณไฟฟ้าเหล่าน้ีให้เปน็ ข้อมูลท่ีสามารถเข้าใจได้ เช่น
เป็นเสียงทางโทรศัพท์ หรือภาพบน จอโทรทัศน์ หรือข้อความและภาพบนจอคอมพิวเตอร์ โทรคมนาคมจะ
ช่วยให้บุคคลสามารถ ติดต่อสารกันได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ๆ ในโลกในรูปแบบของข่าวสาร ความรู้ และความ
บันเทงิ

การติดต่อเพื่อการสื่อความหมายระหว่างผู้ส่งข่าวสาร และผู้รับข่าวสาร แต่ผู้ส่งข่าวสาร และผู้รับ
ข่าวสารอาจจะอยูใ่ นสถานที่เดยี วกนั หรืออยู่ต่างสถานที่กันก็ได้ หากอยู่ต่างสถานท่ีกัน อาจจะต้องใช้ระบบ
การสอื่ สาร เชน่ โทรเลข โทรศพั ท์ หรอื โทรสาร เพ่ือการติดต่อส่อื สาร ระหวา่ งผสู้ ่งข่าวสารและผูร้ บั ข่าวสาร
คำว่า“Tele” เป็นรากศัพท์ที่มาจากภาษากรีก หมายความว่า“ไกล” หรือ “อยู่ไกลออกไป”
Telecommunications สามารถให้ความหมายอย่างกว้าง ๆ ตามรูปศพั ท์ได้ วา่ หมายถงึ “การส่อื สารไปยัง
ผรู้ บั ปลายทางที่อยไู่ กลออกไป”

สหภาพโทรคมนาคมระหวา่ งประเทศ (International Telecommunications Union : ITU)
ได้ให้คำจำกัดความว่า “Telecommunications” หมายถึง “การส่งข่าวสารทุก รูปแบบไม่ว่าจะเป็น
เสียงพูด ตัวอักษร สัญลักษณ์ ภาพถ่าย graphics ภาพเคลื่อนไหว (Video) ฯลฯ ไปยังปลายทาง โดยอาศัย
สญั ญาณไฟฟ้าหรือสญั ญาณแมเ่ หล็กไฟฟ้าไมว่ ่ารูปแบบใดและ ไม่จำกดั วา่ จะไปใช้สอื่ ชนิดใด (เชน่ ระบบวิทยุ
คู่สายทองแดง หรือ optical fiber ฯลฯ)”

15

1.8 อปุ กรณโ์ ทรคมนาคม (Telecommunication Device)
อุปกรณ์โทรคมนาคม (Telecommunication Device) จะหมายถึง อุปกรณ์ คอมพิวเตอรท์ ี่ทำให้

เกิดการสื่อสารแบบอิเล็กทรอนิกส์เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพหน่วยความเร็วในการรับส่งข่าวสารของ
อปุ กรณ์โทรคมนาคม มีการวัดที่ใชห้ นว่ ยทีเ่ รียกว่า

- bit per second (bps) คอื ขา่ วสาร 1 bit ตอ่ การสง่ ใน 1 วินาที
- thousand of bits per second (Kbps) คือ ขา่ วสาร 1,000 bits ตอ่ การสง่ ใน 1 วนิ าที
- million of bits per second (Mbps) คือ ขา่ วสาร 1,000,000 bits ตอ่ การสง่ ใน 1 วินาที
- giga of bits per second (Gbps) คอื ขา่ วสาร 1,000,000,000 bits ต่อการสง่ ใน 1 วินาที
อุปกรณ์โทรคมนาคม ประกอบด้วย ปัจจุบันมีระบบสื่อสารโทรคมนาคมหลายประเภท ตั้งแต่โทร
เลข โทรศัพท์ โทรสาร วิทยุ โทรทัศน์ และเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีรูปแบบของสื่อหลายอย่าง เช่น
สายโทรศัพท์ เสน้ ใยแกว้ นำแสง เคเบลิ ใตน้ ้ำคลน่ื วทิ ยุ ไมโครเวฟ และดาวเทียม
1.8.1 อปุ กรณโ์ ทรคมนาคมระบบสื่อสารโทรคมนาคม
1.8.1.1. โทรศัพท์มือถือ หรือ โทรศัพท์เคลื่อนท่ี (และมีการเรียก วิทยุโทรศัพท์) คือ อุปกรณ์

อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการสื่อสารสองทางผ่าน โทรศัพท์มือถือใช้คลื่นวิทยุในการติดต่อ กับ
เครือขา่ ยโทรศัพทม์ ือถือโดยผ่านสถานีฐาน โดยเครอื ข่ายของโทรศัพท์มอื ถอื แต่ละผู้ให้ บริการ
จะเชื่อมต่อกับเครือข่ายของ โทรศัพท์บ้านและเครือข่ายโทรศัพท์มือถือของผู้ให้บริการอ่ืน
โทรศัพท์มือถือที่มีความสามารถเพิ่มขึ้นในลักษณะคอมพิวเตอร์พกพาจะถูกกล่าว ถึงในช่ือ
สมาร์ทโฟน โทรศัพทม์ ือถือในปจั จบุ นั นอกจากจากความสามารถพน้ื ฐานของโทรศัพท์แลว้ ยงั มี
คุณสมบัติพื้นฐานของโทรศัพท์มือถือท่ีเพิ่มขึ้นมา เช่น การส่งข้อความ ปฏิทิน นาฬิกาปลุก
ตารางนัดหมาย เกม การใช้งานอินเทอร์เน็ต บลูทูธ อินฟราเรด กล้องถ่ายภาพ SMS วิทยุ
เครอื่ งเลน่ เพลง และ GPS
1.8.1.2. โทรสาร หรือแฟกซ์ (Fax) เปน็ สื่อคมนาคมประเภทหนงึ่ ราชบัณฑติ ยสถาน บัญญตั ศิ พั ท์ใชค้ ำ
ว่าโทรภาพ เพราะเดิมหมายถึงภาพหรือรปู ที่ส่งมาโดยทางไกล ตลอดจนหมาย ถึงกรรมวธิ ีใน
การถอดแบบเอกสารตีพมิ พ์หรือรูปภาพ โดยทางคลื่นวิทยุหรือทางสาย เช่นสาย โทรศัพท์ ใน
สังคมสารนเิ ทศปจั จุบนั นยิ มใช้คำว่า โทรสาร แทนโทรภาพ เพราะครอบคลุม ประเภทของการ
ส่งสารสนเทศได้มากกว่าภาพ เครื่องโทรสารมาจากคำในภาษาอังกฤษว่า Facsimile หรือที่
นยิ มเรียกกนั สั้นๆว่า Fax (แฟกซ์) หมายถงึ อปุ กรณก์ ารถา่ ยเอกสาร ภาพ และวัสดกุ ราฟกิ ด้วย
คลน่ื อากาศความถ่ีสูง ผา่ นระบบโทรศพั ท์ทำให้ผู้ส่งและผรู้ ับท่ีแมอ้ ย่หู ่างกนั แคไ่ หนก็ตาม เป็น
การส่งสัญญาณด้วย แสงที่มาแปลงเป็นเสียงแล้วย้อนกลับไปเป็นกระแสไฟฟ้า แล้วแปลง
กลับมาเป็นเสียงและแสง อีกครั้งหนึ่ง การส่งเอกสารผ่านทางโทรสารต้องมีหมายเลขของ
เครอื่ งรบั (เบอรโ์ ทรศพั ท์) และ ต้นฉบับท่เี ป็นเอกสาร และการสง่ แฟกซ์แตล่ ะครงั้ คดิ ค่าบริการ
ตามอัตราค่าใช้โทรศพั ท์ ถ้าใน พน้ื ท่เี ดียวกันก็ครง้ั ละ 3 บาท ตา่ งจังหวดั คิดตามอัตราค่าบรกิ าร
โทรศพั ท์ทางไกล แตใ่ นความ จริงสถานทร่ี บั บริการสง่ แฟกซ์จะคิดค่าบริการแพงกว่าค่าใช้จ่าย

16

จริงหลายเท่าตัว ปัจจุบันเครื่องโทรสารได้รับความนิยมใช้ในสำนักงานกันอย่างแพร่หลาย
เนื่องจากให้ ความสะดวก รวดเร็ว และให้ความแม่นยำในการส่งข้อมูลข่าวสารด้วยสีท่ี
เหมือนกับต้นฉบับ ใช้ถ่ายเอกสารนำไปพ่วงต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้เป็นพรินเตอร์
(Printer) ชว่ ยลดปญั หา การส่ือสารขอ้ ความผดิ พลาด และช่วยใหก้ ารตดิ ตอ่ สื่อสารระหว่างกัน
สะดวกและรวดเร็วย่งิ ข้นึ
1.8.1.3. วิทยุ-โทรทัศน์ ดิจิตอล (Digital Broadcasting) หมายถึง การส่งผ่านภาพและเสียง โดย
สัญญาณดิจิตอลที่มีประสิทธิภาพสูง ภาพและเสียงคมชัด สามารถส่งข้อมูลได้มากกว่าแบบ
อนาล็อกในหนึ่งช่องสัญญาณ และทำให้ได้คุณภาพของภาพและเสียงดีกว่า การเปลี่ยนระบบ
จากอนาล็อกเป็นดจิ ติ อล เปน็ กระแสของโลก ทัง้ ในกิจการวทิ ยุ- โทรทศั น์ตา่ ง ๆ ดงั น้ี

1.8.1.3.1. ระบบแพร่ภาพดิจิตอลผ่านดาวเทียม (The Digital Video Broadcasting -
Satel lite System) หรือ DVB-S

1.8.1.3.2. ระบบแพร่ภาพดิจิตอลผ่านสายเคเบิ้ล (The Digital Video Broadcasting -
Cable System) หรือ DVB-C

1.8.1.3.3. ระบบแพร่ภาพดิจิตอลภาคพื้นดิน (The Digital Video Broadcasting -
Terres trial System) หรือ DVB-T

จุดใหญ่ที่จะทำให้ดิจิตอลทีวีต่างจากอนาล็อกทีวีมากคือเทคนิคในด้านน้ี ซึ่งก็จะเริ่มเห็น จากตัวอย่างของ
ระบบโทรศัพท์ที่เปลี่ยนจากอนาล็อกมา เป็นดิจิตอล ในทำนองคล้ายกัน โทรทัศน์ดิจิตอลจะกลายเป็น
ส่อื ผสมชนดิ หนึง่ (Multimedia) โดยเป็นส่ือผสมท่ีมีความเร็วสูงสุด สื่อผสมในท่นี จี้ ะประกอบด้วยภาพ เสียง
และข้อมูลภาพจะเห็นได้จาก ดิจิตอลทีวีก็จะขึ้นเป็น ระดับความคมชัดสูง (HDTV) ภาพที่รับชมก็สามารถ
โต้ตอบ (Interactive) ได้

1.8.1.4. จีพีเอส (GPS) Global Positioning System หมายถึง ระบบกำหนดตำแหน่ง บนโลก โดย
ใช้วิธีการคำนวณตำแหน่งพิกัดภูมิศาสตร์ของอุปกรณ์รับสัญญาณ จากค่าตำแหน่ง พิกัดจาก
ดาวเทียมที่โคจรอยู่รอบโลก ที่ส่งผ่านสัญญาณนาฬิกามายังโลก จีพีเอส เป็นระบบนำรอ่ งโดย
อาศัยคลื่นวิทยุ และรหัสที่ส่งมาจากดาวเทียม NAVSTAR (NAVigation Satellite Timing
and Ranging) จำนวน 24 ดวงที่โคจรอยู่เหนือพื้นโลก สามารถ ใช้ในการหาตำแหน่งบนพื้น
โลกได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุก ๆ จุดบนผิวโลก GPS (Global Positioning System) เป็นระบบ
ดาวเทียม NAVSTAR ที่ออกแบบและ จัดสร้างโดยกองทัพสหรัฐอเมรกิ า เพื่อใช้ในการนำทาง
(Navigation) มวี ตั ถุประสงคใ์ นการ ออกแบบคือ
1.8.1.4.1. เพ่ือให้มผี ใู้ ช้ประโยชน์ทงั้ ฝา่ ยทหารและพลเรอื นได้เป็นจำนวนมาก

1.8.1.4.2. เพ่ือเครือ่ งรบั และอุปกรณใ์ ช้งานไดง้ ่ายและมรี าคาตำ่

1.8.1.4.3. เพ่ือใชไ้ ด้สะดวกไม่มีขอ้ จำกัด นน่ั คือ ใชไ้ ด้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่ขนึ้ กับ สภาพ

ภูมอิ ากาศและสถานที่

17

1.8.1.4.4. ให้ความถกู ตอ้ งทางตำแหนง่ ตามเงื่อนไขที่ฝา่ ยทหารกำหนด GPS เป็นเพียงระบบ
หนงึ่ ของสหรฐั อเมริกา ทเี่ รียกระบบนีว้ ่า GNSS หรือ Global Navigation Satellite
System ซึ่งยังมอี กี หลายระบบท่ีอยใู่ นกล่มุ น้ี เช่นGPS เปน็ เพยี งระบบหนง่ึ ของ
สหรัฐอเมริกา ทเี่ รยี กระบบนี้ว่า GNSS หรอื Global Navigation Satellite System
ซึง่ ยงั มอี กี หลายระบบทอี่ ยใู่ นกลมุ่ นี้ เชน่
- NAVSTAR - USA นิยมเรียกว่า GPS
- GLONASS - Russia
- Galileo - European Union
- Beidou - China
- QZSS - Japanese
- IRNSS - Indian Regional Navigational Satellite System – India

องค์ประกอบของ GPS จีพีเอส (GPS) มีหลักการทำงานโดยอาศัยคลื่นวิทยุ และรหัสที่ส่งมาจาก
ดาวเทียม NAVSTAR จำนวน 24 ดวง ที่โคจรอยู่รอบโลกวันละ 2 รอบและมีตำแหน่งอยู่เหนือพื้นโลกท่ี
ความสูง 20,200 กิโลเมตร สามารถใช้ในการหาตำแหนง่ บนพ้ืนโลกได้ตลอด 24 ช่ัวโมง ทุก ๆ จุดบนผิวโลก
ใชน้ ำร่องจากทีห่ น่ึงไปทอ่ี ่ืนตามตอ้ งการ ใช้ตดิ ตามการเคล่ือนที่ของคนและ สิ่งของตา่ ง ๆ การทำแผนท่ี การ
ทำงานรังวัด (Surveying) ตลอดจนใช้อ้างอิงการวัดเวลาที่เที่ยง ตรงที่สุดในโลกองค์ประกอบของระบบ
กำหนดตำแหนง่ บนโลก (GPS) ประกอบด้วย 3 สว่ นหลกั คอื

1. สว่ นอวกาศ (Space segment )
2. ส่วนสถานคี วบคมุ (Control segment)
3. ส่วนผใู้ ช้ (User segment)
1.8.2 อุปกรณ์โทรคมนาคมเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์
1.8.2.1. สายโทรศัพท์ ทำหน้าที่เชื่อมผูเ้ ช่าเข้ากบั ชมุ สายเป็นตัวนำสัญญาณเสียงของคู่สนทนา ให้ถงึ
กันสายเคเบิลทีจ่ ะนำมาใช้งานในกิจการโทรศพั ท์ ต้องคำนึงถงึ คณุ สมบตั ิหลายประการ เชน่
ขนาดลวดทองแดง ความต้านทานของฉนวน ค่าคาปาซเิ ตอร์ในคู่สาย การทนความร้อน ของ
ฉนวน ค่าความต้านทานและการลดทอนของลวดตัวนำเหล่านี้ต้องคำนึงถึง ซึ่งจะมีค่าท่ี
กำหนดไว้ ให้ พิจารณาก่อนการนำไปใช้ งาน นอกจากนั้นเคเบิลที่ จะนำไปใช้งานตอ้ งมีการ
ฟอร์มเพื่อลดค่า CROSS TALK และทำให้แยกคู่ได้ชัดเจน สายโทรศัพท์แบ่งได้สองประเภท
คือวางในอากาศและวางใต้ดิน ชนิดที่วางในอากาศ ยังแบ่งออกได้เป็นวางในอาคารและวาง
นอก อาคาร ส่วนวางใต้ดินนั้นก็แบ่งออกเป็นวาง ใต้ดินและวางใต้นำ้ ซ่ึงเคเบิลแต่ละชนดิ จะ
ทำโครงสร้างแตกต่างกันและราคาก็แตกต่างกัน ด้วยนอกจากนัน้ เพื่อความสะดวกในการใช้
งานของเคเบิลโทรศัพท์ยังเคลือบสีหุ้มคู่สาย ไว้อีก เรียกว่ารหัสสีของคู่สายโทรศัพท์ ซ่ึง
สะดวกในการแยกคสู่ ายใช้งานมากยิง่ ขนึ้

18

1.8.2.2. สายใยแก้วนำแสง หรือ ออปติกไฟเบอร์ หรือ ไฟเบอร์ออปติก เป็นแก้วหรือ พลาสติก
คุณภาพสูง ยืดหยุ่นโค้งงอได้ เส้นผ่าศูนย์กลางเพียง 8-10 ไมครอน (10 ไมครอน = 10 ใน
ล้านส่วนของเมตร =10x10^-6=0.00001 เมตร = 0.01 มม.) เล็กกว่าเส้นผมที่มีขนาด 40-
120 ไมครอน, กระดาษ 100 ไมครอน ใยแก้วนำแสงทำหน้าทเี่ ปน็ ตัวกลางในการสง่ แสง จาก
ดา้ นหนึ่งไปอกี ด้านหน่งึ ด้วยความเร็วเกือบเท่า แสง เม่อื นำมาใช้ในการสื่อสารโทรคมนาคม
ทำให้ สามารถส่ง-รับข้อมูลได้เร็วมาก ได้ระยะทางเกิน 100 กม.ในหนึ่งช่วง และเนื่องจาก
แสงเป็นตัวนำส่ง ข้อมูล ทำให้สัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าภายนอก ไม่ สามารถรบกวนความ
ชดั เจนของข้อมลู ได้ ใยแกว้ นำแสงจึงถกู นำมาใช้แทนตวั กลางอื่น ๆในการสง่ ขอ้ มลู

1.8.2.3. เคเบลิ ใต้นำ้ (submarine communications cable) เปน็ ส่อื อกี อยา่ งหนง่ึ ท่ีมี การใช้ในการ
สื่อสาร โทรคมนาคมระหว่างประเทศ มีการรับสง่ สญั ญาณทุกชนดิ ไดอ้ ยา่ งมี ประสิทธภิ าพ ได้
มีการพัฒนาเทคโนโลยีเรื่อย ๆ มาเป็นลำดับตั้งแต่ยุคของเคเบิลใต้น้ำชนิดแกน (coaxial
cable) มาจนถึง สายเคเบิลชนิดใยแก้ว (optical fiber cable) ซึ่งมีใช้แพร่หลายทั่ว โลก
เพราะเหมาะกับสภาวการณ์ปัจจุบัน และมีการพัฒนาความสามารถให้ทันสมัย โครงข่าย
เคเบลิ ใตน้ ้ำ(submarine cable networks) มีประวตั ิทนี่ ่าสนใจ นับตัง้ แต่ พ.ศ. 2393 มีการ
วางสายเคเบิลใต้น้ำที่ช่องแคบอังกฤษ ในขณะที่สายเคเบิลโทรเลขทางทรานสแอตแลนติค
เส้น แรกวางใน พ.ศ. 2410 ปัจจุบันสายเคเบิลใต้น้ำสามารถวางได้เร็วกว่าในอดีตเนื่องจาก
ความ กา้ วหน้าของเทคโนโลยี ทำให้มีการวางสายเคเบิลใต้ นำ้ ในภมู ิภาคเอเชีย-แปซฟิ ิก นาน
กว่า 10 ปีแล้ว และมปี ริมาณทราฟฟกิ โทรศัพทร์ ะหว่างประเทศเพมิ่ ขน้ึ ถึง 10 เท่าตัว ท่ัวโลก
จะมีการลงทุนทางด้าน เคเบิลใต้น้ำใยแก้วมากกว่า 15 พันล้านดอลลาร์ สหรัฐ ใน จำนวน
หน่ึงกวา่ ครึง่ เป็นของภูมิภาค เอเชีย-แปซิฟกิ เนื่องจากมีความเจรญิ เติบโตทางด้าน เศรษฐกิจ
ทำให้ความต้องการเพ่มิ ขน้ึ อยา่ งรวดเร็ว

1.8.2.4. คลื่นวิทยุ เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่สูง ซึ่งมีคุณสมบัติกระจายไปได้เป็นระยะ ทางไกล
ด้วยความเร็วเท่ากับแสงคือ 300 ล้านเมตรต่อวินาที เครื่องส่งวิทยุจะทำหน้าที่สร้าง คล่ืน
แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ความถ่ีสูงหรอื คล่ืนวิทยุ (RF) ผสมกับคล่นื เสียง (Audio Frequency -AF) แลว้
ส่งกระจายออกไป ลำพังคลื่นเสียงซึ่งมีความถี่ต่ำไม่สามารถส่งไปไกล ๆ ได้ ต้องอาศัย
คลื่นวิทยุเป็นพาหะจึงเรียกคลื่นวิทยุว่า คลื่นพาหะ (Carier Wave) เครื่องรับวิทยุ จะทำ
หนา้ ที่ รับคลนื่ วิทยุและแยกคลืน่ เสียงออกจากคลืน่ วิทยุใหร้ ับฟงั เปน็ เสียงปกติได้

ความถี่ของคลื่น หมายถึง จำนวนรอบของการเปลี่ยนแปลงของคลื่น ในเวลา 1 นาที คลื่นเสียงมี
ความถี่ช่วงทีห่ ูของคนรับฟังได้ คือ ตั้งแต่ 20 เฮิรตซ์ถึง 20 กิโลเฮิรตซ์ (1 KHz =1,000 Hz) ส่วนคลื่นวิทยุ
เปน็ คลื่นแมเ่ หล็กไฟฟา้ ความถ่ีสงู อาจมีตงั้ แต่ 3 KHz ไปจนถึง 300 GHz( 1 GHz = พันลา้ น Hz) คล่ืนวิทยุ
แตล่ ะช่วงความถจ่ี ะถกู กำหนดให้ใชง้ านดา้ นตา่ ง ๆ ตาม ความเหมาะสม

19

1.8.2.5. คลื่นไมโครเวฟ เป็นคลื่นความถี่วิทยุชนิดหนึ่งที่มีความถี่อยู่ระหว่าง 0.3 GHz - 300 GHz

การใช้งานนั้นส่วนมากนิยมใช้ความถี่ระหว่าง 1 GHz - 60 GHz เพราะเป็น ย่านความถี่ท่ี

สามารถผลติ ขึ้นไดด้ ้วยอุปกรณ์อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์

1.8.2.6. ดาวเทียม คือ สิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์คิดค้นขึ้น ที่สามารถโคจรรอบโลก โดยอาศัย แรงดึงดูด

ของโลก ส่งผลให้สามารถโคจรรอบโลกได้ในลักษณะเดียวกันกับที่ดวงจันทร์โคจรรอบ โลก

และโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ วัตถุประสงค์ของสิ่งประดิษฐ์นี้เพื่อใช้ทางการทหาร การ

สื่อสาร การรายงานสภาพอากาศ การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เช่น การสำรวจทางธรณีวิทยา

สังเกตการณ์สภาพของอวกาศ โลก ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวอื่น ๆ รวมถึงการสังเกต

วตั ถุ และดวงดาว กาแลก็ ซตี ่างๆ

1.9 ส่วนประกอบของโทรคมนาคม

Transmission Media หมายถงึ ตัวกลางในการส่งสัญญาณ มีลกั ษณะข้อดีและขอ้ เสีย แตกต่าง

กันไป ในการพฒั นาระบบโทรคมนาคม การเลอื กใช้ตวั กลาง ควรเลอื กให้เหมาะกับ จุดประสงคข์ องการสร้าง

ระบบสารสนเทศขององค์กร และจุดประสงค์โดยรวมของการดำเนิน ธุรกรรมขององค์กร ด้วยต้นทุนที่ต่ำ

ทสี่ ุด แตส่ ามารถปรับเปลีย่ นระบบดงั กล่าวให้ทนั สมัยได้ เป็นระยะ ๆ ดว้ ย

ตารางที่ 1.1 ตารางแสดงรายละเอยี ดชนิดของตัวกลาง

ชนิดของตัวกลาง คำอธบิ าย ข้อดี ขอ้ เสีย

Twisted-pair wire เสน้ ทองแดง 2 เสน้ มา ใช้ในการใหบ้ ริการ ความเร็วและ

cable (สายทองแดงบดิ บดิ เป็นเกลียวๆ มีทงั้ โทรศัพท์ มีอยมู่ าก ระยะทางในการสง่ มี

ค)ู่ แบบห้มุ ฉนวนและแบบ (เพราะราคาไมแ่ พง) จำกัด

ไมห่ มุ้ ฉนวน

Coaxial Cable (สาย สายไฟท่ีมกี ารหุ้มฉนวน การสง่ สัญญาณชดั เกวา่ ราคาแพงกว่า

เคเบิลหมุ้ ฉนวน) และเรว็ กวา่ Twisted- Twisted-pair wire

pair wire cable cable.

Fiber-optic cable เส้นใยแกว้ ขนาดเล็ก ขนาดเล็กกวา่ สง่ ขอ้ มูล มีราคาแพงในการซ้อื

(สายใยแกว้ นาแสง) มาก ๆ นำมามดั รวมกัน ไดด้ ีกวา่ มีสญั ญาณ และตดิ ตัง้

รบกวนไดน้ อ้ ยกว่า

Coaxial Cable

Microwave สญั ญาณของคลน่ื วทิ ยุ ไม่ต้องเสียตน้ ทุนในการ ตอ้ งไม่มีส่ิงกดี ขวาง

Transmission ความถี่สงู ส่งผ่านใน วางสายไฟใหย้ งุ่ ยาก ในการสง่ สญั ญาณ

(สญั ญาณไมโครเวฟ) บรรยากาศและอวกาศ และสามารถสง่ สัญญาณ ระหวา่ งผู้ส่งและผรู้ บั

ความเร็วสูงได้

20

Cellular มกี ารแบง่ อาณาเขตใน ใช้ในโทรศพั ท์มือถอื สญั ญาณสามารถมี
Transmission การสง่ แต่ละอาณาเขต ราคาต่ำลงเร่ือย ๆ คล่ืนรบกวนได้
(สญั ญาณเซลลูล่าร์) ข้นึ อยูใ่ นความ
รบั ผดิ ชอบของแตล่ ะ สามารถเคล่อื นยา้ ย ตอ้ งไมม่ ีสง่ิ กดี ขวาง
Infrared บรษิ ทั เจ้าของมือถือ อปุ กรณ์ทใ่ี ชไ้ ดง้ ่าย ไม่ ระหวา่ งอุปกรณ์ส่ง
Transmission สัญญาณสง่ ผ่านอากาศ ตอ้ งมีการต่อสายไฟให้ และอุปกรณ์รบั เลย
(สัญญาณอนิ ฟาเรด) เปน็ ลำแสง ยุ่งยาก

1.9.1 ประเภทของขอ้ มูล

ข้อมลู ในการสือ่ สารโทรคมนาคมสามารถแยกได้เปน็ 4 ประเภท คือ

1.9.1.1. ประเภทเสียง เช่น เสียงพดู เสียงดนตรี

1.9.1.2. ประเภทตัวอกั ษร เชน่ อกั ษร ตัวเลข สญั ลกั ษณ์

1.9.1.3. ประเภทภาพ ท้ังภาพนิ่งและภาพเคลอ่ื นไหว

1.9.1.4. ประเภทรวม เปน็ การส่อื สารท้งั ตัวอกั ขระ ภาพและเสียง

1.9.2 องค์ประกอบของการส่อื สารในระบบโทรคมนาคม

องคป์ ระกอบของการสอื่ สารในระบบโทรคมนาคม แบ่งได้ 2 สว่ น ซ่งึ ทำหนา้ ทีด่ ังนี้

1.9.2.1. สื่อ หรือพาหะ เพื่อนำข่าวสารนั้นไปถึงกันโดยใช้เคลื่อนวิทยุที่มีความถี่สูงเป็น คลื่นพาห์

ช่วยนำสัญญาณทางไฟฟ้าที่ส่งมานั้นแพร่กระจายไปในบรรยากาศไปยังเครื่องรับได้

โดยสะดวก

1.9.2.2. เครอื่ งสง่ และเคร่อื งรับ จุดสง่ และจุดแต่ละจุดจะต้องมีเครื่องเข้ารหัส เพอ่ื เปลี่ยน ข่าวสาร

นั้นให้เป็นสัญญาณทางไฟฟ้าเสียก่อน เพื่อฝากสัญญาณไปกับคลื่นพาห์ ด้วยการกล้ำ

สัญญาณ โดยเครื่องมือที่เรียกว่า มอดูเลเตอร์ เมื่อสัญญาณนั้น เสมือนเครื่องถ่ายสำเนา

เอกสาร เพียงแตต่ น้ ฉบับทสี่ ่งมานนั้ อยู่หา่ งไกลจากผ้รู ับโทรสารเปน็ อุปกรณ์ที่นำมา ใช้แทน

เคร่อื ง โทรสาร (photo telegraph) ทีเ่ คยใชใ้ นการสง่ ภาพนง่ิ มาแตเ่ ดมิ ซงึ่ ลา้ สมัยไปแล้ว

1.9.3 อุปกรณ์โทรคมนาคมโดยทั่วไป

ตารางที่ 1.2 ตารางแสดงอปุ กรณ์โทรคมนาคมโดยทวั่ ไป

อปุ กรณ์ หนา้ ที่การใชง้ าน

Model (โมเดม็ ) เปล่ียนข้อมูลจากรูปแบบดิจติ อลให้เปน็ รปู แบบอนาลอ็ ก ข้ันนี้

เรยี กวา่ Mudulation (โมดูเรชัน่ ) แลว้ ส่งผ่าน สายโทรศัพท์

จากน้ันเมอื่ ถงึ จุดหมายก็แปลงขอ้ มูลในรปู แบบอนาล็อกให้กลับ

เปน็ รปู แบบดจิ ิตอล ขัน้ น้เี รยี กว่า Demulation (ดโี มดูเรชน่ั )

21
Fax Modem (แฟกซ์ โมเดม็ ) สามารถส่งเอกสาร รปู ภาพ แผนภูมติ า่ ง ๆ ผ่าน สายโทรศัพท์ได้

Multiplexer สามารถใหส้ ัญญาณโทรคมนาคมรูปแบบตา่ ง ๆ ส่งผ่าน ช่อง
PBX ทางการส่ือสารช่องทางเดียวกนั ในเวลาเดยี วกนั ได้
เป็นระบบส่อื สารที่จัดการการสง่ ขอ้ มลู และเสยี งภายใน อาคาร
ขององค์กร และการส่งขอ้ มลู และเสียงจากองคก์ ร ไปยงั สถานที่
อนื่ ๆ ภายนอกองคก์ ร

1.9.3.1. Dedicated Line (สายเชอื่ มตอ่ ทางกายภาพ) หรอื บางครั้งเรียกวา่ leased line (สาย
ให้เชา่ ) คือ การเชอื่ มต่อสัญญาณระหวา่ ง 2 สถานทีท่ างกายภาพ โดยไมต่ อ้ งมีการใช้
โทรศัพทใ์ นการหมนุ เข้าเพื่อต่อเหมือนการใชโ้ มเด็มเลย อุปกรณ์ ณ 2 สถานที่จะเช่ือมตอ่
กนั เสมอ ส่วนใหญม่ ักใช้กบั การเช่อื มต่อระหว่างสำนกั งานใหญข่ ององค์กรใดองค์กรหนง่ึ

1.9.3.2. Digital Subscriber Line (DSL) (ผเู้ ช่าสายสญั ญาณแบบดิจติ อล) เชอื่ มตอ่ โดย การ
ใช้สายโทรศัพท์ทม่ี อี ยใู่ นปัจจุบัน ให้ความเรว็ ในการสง่ สญั ญาณถึง 500 Kbps ในราคา
ประมาณ 20 เหรียญสหรัฐฯ

1.9.3.3. Computer Network หมายถงึ การเช่อื มตอ่ โดยใช้ ตวั กลาง อุปกรณ์ และโปรแกรม
คอมพิวเตอร์ ในการเชอ่ื มต่อเครือ่ งคอมพิวเตอร์มากกวา่ 2 เครอื่ งเขา้ ดว้ ยกัน เมอื่ เคร่อื ง
คอมพิวเตอรเ์ ชอื่ มต่อกันแล้ว แต่ละเครื่องสามารถแบง่ ปันการใชง้ านตา่ ง ๆ ได้ เชน่ การ
แบ่ง ปนั การใชข้ อ้ มลู ระหว่างกันและกนั ได้

1.9.4 องค์ประกอบข้ันพ้นื ฐานของการสอื่ สารขอ้ มูล
1.9.4.1. ผสู้ ง่ สาร (Transmitter) คือ ส่ิงทีท่ ำหน้าที่สง่ ข้อมูลในการสื่อสาร เชน่ ผพู้ ูด คอมพวิ เตอร์
เครอ่ื งส่งรหสั มอส เป็นต้น
1.9.4.2. ผรู้ บั สาร (Receiver) คือ สิ่งทท่ี ำหนา้ ทร่ี ับข้อมลู ที่ถูกส่งมา เชน่ ผฟู้ ัง เครอื่ งรบั วิทยุ เป็น
ต้น
1.9.4.3. ข้อมูล (Message) คือ ส่งิ ทผ่ี ูส้ ่งสารตอ้ งการส่งให้ผู้รับสาร รบั ทราบ เช่น ขอ้ ความ
ประกาศ รหัสลับ เปน็ ตน้
1.9.4.4. สญั ญาณรบกวน (Noise) คือ ส่งิ ที่ทำใหเ้ กดิ การรบกวน ตอ่ ระบบและขา่ วสาร
1.9.4.5. สอ่ื (Medium) คอื ตวั กลางท่ใี ช้ในการสง่ ข้อมูลระหว่างผสู้ ่งสารและผู้รบั สาร เช่น อากาศ
สายไฟฟ้า สายโทรศัพท์ เปน็ ตน้
1.9.4.6. โปรโตคอล (Protocol) คอื กระบวนการ วธิ ีการ ประเภท หรือขอ้ กำหนดต่างๆ ท่ีตกลง
กนั ระหวา่ งผสู้ ง่ และผู้รบั สารเพ่อื ใช้ในการ ส่อื สารข้อมลู เช่น การเขียนจา่ หนา้ ซอง
จดหมาย การเข้ารหัสและการถอดรหัสข้อมูล การใชภ้ าษา เดียวกนั ในทีท่ ำงานร่วมกนั

22

เช่น โทรสาร วิทยุ ติดตามตวั โทรศพั ท์เคลื่อนท่ี อนิ เทอร์เนต็ วทิ ยุ กระจายและโทรทัศน์
Remote Control เป็นต้น
1.9.5 กลยุทธ์พนื้ ฐานในการประมวลผลมี 3 กลยุทธ์หลกั ๆ ดงั น้ี
1.9.5.1. Centralized Processing (การประมวลผลแบบมีศูนย์กลาง) หมายถึง อุปกรณ์ ที่ใช้
ในการประมวลผลมีอยู่ ณ สถานที่เพียงแห่งเดียว เพื่อให้มีลักษณะการควบคุมได้ดีที่สดุ
เช่น สถาบันการเงินต่าง ๆ มักจะใช้การประมวลผลวิธีนี้เพราะสามารถรักษาความ
ปลอดภยั ณ สถานทีเ่ ดยี วได้
1.9.5.2. Decentralized Processing (การประมวลผลแบบกระจาย) หมายถึง อุปกรณ์ ที่ใช้
ในการประมวลผลมีอยู่หลายสถานท่ี และระบบคอมพิวเตอร์แต่ละท่ีไม่มกี ารเชื่อมต่อเพ่ือ
ตดิ ต่อสอื่ สารกัน เช่น รา้ นวดิ ีโอซึทายา่
1.9.5.3. Distributed Processing (การประมวลแบบแบง่ ปนั ) อปุ กรณท์ ีใ่ ช้ในการประมวล ผล
มีอยู่หลายสถานที่ แต่ระบบคอมพิวเตอร์แต่ละที่มีการเชื่อมตอ่ เพือ่ ติดต่อสื่อสารกัน เช่น
ศนู ย์โทรศัพทม์ อื ถอื AIS

1.10 ชนิดของการเชอื่ มตอ่ (Network Types)
1.10.1. LAN (Local Area Network) หมายถึง การเชื่อมตอ่ คอมพวิ เตอร์ภายใน สำนักงานหรือโรงงาน

การเช่ือมตอ่ แบบนม้ี ักใช้สายไฟแบบสายทองแดงบิดคู่แบบไมม่ ฉี นวน (Unshielded twisted-pair
– UTP) เปน็ สว่ นมาก แต่การเชอ่ื มต่อด้วยสายใยแกว้ นำแสง กม็ กี ารนำมาใช้ด้วย การเชือ่ มต่อแบบ
นี้ต้องใชอ้ ุปกรณท์ เ่ี รยี กวา่ Network Interface Card (NIC)
1.10.2. Wide Area Network (WAN) เป็นการเชื่อมต่อในพ้ืนที่ที่กว้างกว่า LAN มักครอบคลุมประเทศ
ใดประเทศหนง่ึ สามารถเชอ่ื มต่อโดยใชส้ ัญญาณไมโครเวฟ ดาวเทียม หรือสายโทรศพั ท์กไ็ ด้
1.10.3. International Networks เป็นการเชื่อมต่อระหว่างประเทศต่าง ๆ ซึ่งต้องใช้ อุปกรณ์ และ
โปรแกรมทม่ี ีความสลับซับซอ้ นเพ่อื ใหถ้ กู ตอ้ งตามกฎหมาย ระเบยี บ ขอ้ บงั คับ ของแตล่ ะประเทศท่ี
ต้องการเชื่อมต่อกัน ถ้าประเทศใดประเทศหนึ่งมีกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับของประเทศตน
เก่ยี วกบั การใช้อุปกรณ์ โทรคมนาคม และฐานข้อมูลแบบเขม้ งวดจะ เรยี กการเชื่อมต่อวา่ มีอปุ สรรค
คือ Trans border Data Flow แต่ถ้าไม่เข้มงวดจะเรียกว่าประเทศ นั้นเป็น Data Havens หรือ
สวรรคข์ องขอ้ มลู ข่าวสาร

1.11 หนา้ ที่ของระบบโทรคมนาคม
ทำหน้าท่ีในการส่งและรับข้อมูลระหว่างจุดสองจุด ได้แก่ ผู้สง่ ขา่ วสาร (Sender) และ ผู้รับข่าวสาร

(Receiver) จะดำเนินการจัดการลำเลียงข้อมูลผ่านเส้นทางที่มีประสิทธิภาพที่สุด จัดการตรวจสอบความ
ถูกต้องของข้อมูลที่จะส่งและรับเข้ามา สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบข้อมูล ให้ทั้งสองฝ่ายสามารถเข้าใจได้
ตรงกนั ส่วนใหญใ่ ช้คอมพิวเตอร์เป็นตวั จัดการ ในระบบ โทรคมนาคมส่วนใหญ่ใช้อุปกรณใ์ นการรับส่งข้อมูล

23

ข่าวสารต่างชนิด ต่างยี่ห้อกัน แต่สามารถ แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้เพราะใช้ชุดคำสั่งมาตรฐานชุด
เดียวกัน กฎเกณฑ์มาตรฐานใน การสื่อสารนี้เรียกว่า “โปรโตคอล (Protocol)” อุปกรณ์แต่ละชนิดใน
เครือข่ายเดียวกันตอ้ งใช้ โปรโตคอลอย่างเดียวกัน จึงจะสามารถส่ือสารถงึ กนั และกันได้ หน้าที่พ้ืนฐานของ
โปรโตคอล คือ การทำความรู้จักกับอุปกรณ์ตัวอื่นที่อยู่ในเส้นทางการถ่ายทอดข้อมูล การตกลงเงื่อนไขใน
การรับส่งข้อมูล การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล การแก้ไขปัญหาข้อมูลที่เกิดการผิดพลาด ในขณะท่ี
ส่งออกไปและการแก้ปัญหาการสื่อสารขัดข้องที่อาจเกิดขึ้นโปรโตคอลที่รู้จักกันมาก ได้แก่ โปรโตคอลใน
ระบบเครอื ข่ายอินเทอร์เน็ต เช่น Internet Protocol ; TCP/IP, IP Address ทใี่ ช้กนั อยู่

เทคโนโลยีโทรคมนาคม ใช้เพื่อติดต่อสื่อสารรับ/ส่งข้อมูลจากที่ไกลออกไป เป็นการส่งของข้อมูล
ระหว่าง คอมพิวเตอร์ หรอื อปุ กรณ์ตา่ ง ๆ ทอี่ ยหู่ า่ งไกลกัน ซึ่งจะชว่ ยให้การเผยแพรข่ ้อมูล หรือ สารสนเทศ
ไปยังผใู้ ชใ้ นแหล่งต่าง ๆ เปน็ ไปอย่างสะดวก รวดเร็ว ถกู ต้อง ครบถว้ นและทัน เหตุการณ์ (Up-to-Date) ซ่ึง
รูปแบบของข้อมูลที่รับ/ส่งอาจเป็นตัวเลข (Numeric Data) ตัวอักษร (Text) ภาพ (Image) และเสียง
(Voice) ตัวอย่างเชน่ การส่งขอ้ มลู ตา่ ง ๆ ของยานอวกาศท่ีอยนู่ อกโลกมายังเครอื่ งคอมพิวเตอรบ์ นโลก เพ่ือ
ทำการคำนวณ และ ประมวลผล ทำให้ทราบปรากฏการณต์ า่ ง ๆ ไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว

องคป์ ระกอบและหน้าทีข่ องระบบโทรคมนาคม ดงั ตอ่ ไปนี้
1.11.1. ต้นกำเนิดข่าวสาร (Source of Information) ส่วนนี้เป็นส่วนแรกในระบบการสื่อสาร

โทรคมนาคม เป็นแหล่งที่มาของข่าวสารต่าง ๆ ที่ผู้ส่งต้องการที่จะส่งไปยังผู้รับที่ปลายทาง
ตวั อยา่ งในระบบโทรศพั ทห์ รอื ระบบวิทยกุ ระจาย เสียง ส่วนน้กี ค็ ือเสยี งพดู ของผ้พู ูดท่ตี น้ ทาง ซึง่ จะ
ถูกไมโครโฟนเปลี่ยนให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าท่ี เหมาะสม และส่งเข้าไปในระบบ หรือในกรณีระบบ
การสื่อสารข้อมูล (Data Communication) ส่วนนี้อาจจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์หรือ Data
Terminal ประเภทตา่ ง ๆ
1.11.2. เครอ่ื งส่ง (Transmitter) เครือ่ งส่งหรอื ตวั ส่งน้ีทำหน้าทีใ่ นการแปลงหรือเปล่ียนสัญญาณไฟฟ้าท่ี
ใช้แทนข่าวสาร จากต้นกำเนิดขา่ วสาร ให้เป็นสญั ญาณหรือคล่นื แม่เหล็กไฟฟา้ ที่เหมาะสมในการส่ง
ตอ่ ไปยงั ปลายทาง เช่น ระบบโทรศพั ทต์ วั เครอื่ งโทรศัพท์จะแปลงสัญญาณไฟฟ้าที่ใชแ้ ทนเสียงพูด
ให้ เป็นสญั ญาณแม่เหลก็ ไฟฟา้ ทเ่ี หมาะสมและสง่ ตอ่ ไปยังปลายทาง หรือในระบบวิทยกุ ระจายเสียง
ส่วนนี้ ได้แก่ เคร่ืองสง่ วิทยุ สำหรับในระบบการส่อื สารข้อมลู สว่ นนจี้ ะเปน็ MODEM หรือ อุปกรณ์
อื่นทเ่ี หมาะสมในการเปลีย่ นสัญญาณไฟฟ้าท่ีมาจากคอมพวิ เตอร์หรือ Data Terminal เพ่ือให้เป็น
สัญญาณแม่เหล็กไฟฟา้ ทีเ่ หมาะสมในการผ่านระบบส่ือสัญญาณ (Transmissions) ไปยงั ปลายทาง
1.11.3. ระบบการส่งผ่านสญั ญาณ (Transmissions) เมอ่ื เครอ่ื งส่งไดเ้ ปลี่ยนหรอื แปลงสัญญาณไฟฟ้าที่
ใช้แทนข่าวสารต่าง ๆ ให้เป็นสัญญาณ หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เหมาะสมแล้ว สัญญาณก็จะถูก
สง่ ผา่ นระบบระบบการส่งผ่านสัญญาณ เพอื่ ส่งตอ่ ไปยงั เครอ่ื งรบั และผู้รบั ที่ปลายทาง ดังนั้นระบบ
การส่งผ่านสัญญาณจึงถือได้ว่านับ เป็นส่วนที่สำคัญและจำเป็นมากในระบบการสื่อสาร
โทรคมนาคม เนื่องจากหากปราศจากระบบ การสง่ ผา่ นสัญญาณหรอื มีระบบการสง่ ผ่านสัญญาณท่ี
คุณภาพไม่ดีแล้ว ระบบการสื่อสาร โทรคมนาคมทีม่ ีประสิทธภิ าพก็ไมส่ ามารถจะเกดิ ขนึ้ ได้

24

1.11.4. เครื่องรับ (Receiver) ส่วนนี้เปน็ ส่วนที่ทำการแปลงหรอื เปลี่ยนสัญญาณหรอื คลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้า
ที่ถูกส่งผ่าน ระบบการส่งผ่านสัญญาณจากต้นทาง เพื่อให้กลับมาเป็นสัญญาณไฟฟ้าที่ใช้แทน
ข่าวสารที่ถูก ส่งมาจากต้นทางทั้งนี้เพื่อส่งให้อุปกรณ์ปลายทางทำการแปลงหรือเปลี่ยน
สัญญาณไฟฟ้านั้น ให้ กลับมาเป็นข่าวสารที่ผู้รับสามารถเข้าใจความหมายได้ ในระบบโทรศัพท์
ส่วนนี้ก็คือตัวเครื่อง รับเครื่องโทรศัพท์ ที่จะทำการเปลี่ยนสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าที่รับได้น้ัน ให้
เป็นสญั ญาณไฟฟ้า ท่ีเหมาะสมสำหรับการสง่ ตอ่ ให้หฟู งั หรือในระบบวิทยุกระจายเสียงส่วนน้ีก็คือ
เครือ่ งรบั วิทยทุ ี่ จะแยกสัญญาณเสียงออกจากคลื่นวิทยุเพ่อื สง่ ต่อใหล้ ำโพงสำหรับระบบการส่ือสาร
ข้อมูล ส่วนนี้จะเป็น MODEM หรืออุปกรณ์ที่เหมาะสมในการเปลี่ยนสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าที่
รับมานั้น ให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าที่ใช้ข้อมูลในรูปแบบที่ถูกต้อง และเหมาะสมสำหรับการส่งต่อให้
เคร่อื ง คอมพิวเตอร์หรอื Data Terminal

1.11.5. อุปกรณ์ปลายทางและผู้รับที่ปลายทาง (Destination) ระบบการสื่อสารโทรคมนาคม เช่นใน
ระบบโทรศัพท์ ก็คือหูฟังที่จะเปลี่ยนสัญญาณ ไฟฟ้าให้เป็นเสียงพูดที่เหมือนต้นทาง และผู้รับท่ี
ปลายทางก็คือผู้ใช้โทรศัพท์ที่ปลายทาง ใน ระบบวิทยุกระจายเสียงส่วนน้ี คือลำโพงและผู้รับฟงั
การรายการวิทยุกระจายเสียงนั้น ส่วน ระบบการสื่อสารข้อมูลนั้น ในส่วนนี้ได้แก่เครื่อง
คอมพวิ เตอร์ หรอื Data terminal ประเภท ต่าง ๆ

25

แผนการจดั การเรยี นรู้มงุ่ เนน้ สมรรถนะ หนว่ ยท่ี 1

ช่อื หนว่ ย คอมพิวเตอร์และอปุ กรณ์ สอนครั้งท่ี 2
โทรคมนาคม ชว่ั โมงรวม 6

จำนวนชวั่ โมง 3

5. กจิ กรรมการเรยี นการสอน

5.1 การนำเข้าสู่บทเรียน

5.1.1. ครู เช็คชือ่ และตรวจการแต่งกาย

นักเรียน ขานชอื่ และลกุ ใหค้ รตู รวจการแต่งกายทลี ะคน

5.1.2. ครู ทบทวนก่อนเรียนโดยซกั ถาม เรอ่ื งความรู้เก่ียวกบั การส่ือสารที่เกี่ยวกับงาน

โทรคมนาคม ผู้สอนตรวจแล้วให้ผเู้ รียนบนั ทึกคะแนนทไี่ ด้ไว้เพื่อเปรยี บเทียบ

กบั

การทดสอบหลงั เรยี นจบ

นักเรยี น ตอบคำถาม ซกั ถามข้อสงสยั

5.2 การเรยี นรู้

5.2.1. ครู แนะนำรายวิชาและ แจง้ หวั ขอ้ ทจี่ ะสอน ตามเน้ือหาสาระ เรื่อง

คอมพวิ เตอร์และอปุ กรณ์โทรคมนาคม โดยใช้สื่อ power point

ตอบคำถาม/ซักถามปัญหา

นกั เรียน ตอบคำถาม ซักถามปัญหาขอ้ สงสัย ศึกษาจากสอื่ และเอกสาร

ประกอบการสอน

5.2.2. ครู อธบิ ายเกย่ี วกบั ความหมายโทรคมนาคมระบบคอมพวิ เตอร์ อุปกรณ์

โทรคมนาคม สว่ นประกอบของโทรคมนาคม ชนดิ ของการเช่ือมตอ่

และหนา้ ท่ีของระบบโทรคมนาคม ตอบคำถาม/ซกั ถามปญั หา

นกั เรียน จดบนั ทกึ ยอ่ ตอบคำถาม ปรึกษา/อภปิ รายกบั เพือ่ น

5.2.3. ครู ทดสอบผู้เรยี นโดยถามตอบกันภายในหอ้ งเรียน และอธบิ ายบางข้อที่

ผู้เรียนมขี อ้ สงสัยจากการจดบันทึก

นักเรียน ร่วมกันอภปิ รายหาขอ้ สรปุ

5.2.4. ครู ให้ผ้เู รยี นทำใบงานการทดลองที่ 1 เรื่องคอมพวิ เตอร์และอุปกรณ์

โทรคมนาคม เพอ่ื แยกแยะความแตกต่างระหวา่ งคอมพวิ เตอรแ์ ละ

อุปกรณโ์ ทรคมนาคม โดยการจดั กิจกรรมเปน็ กลุ่ม

นกั เรยี น ปฏิบัตกิ ารทดลองตามใบงาน

26

5.3 การสรปุ

5.3.1. ครู สมุ่ เรียกผู้เรียนออกมาสรปุ เน้ือหาทไี่ ด้เรียนตามกลุ่มท่ีจดั ทำใบงานการทดลอง

1

จนครบคลมุ เนื้อหาทัง้ หมด โดยผู้สอนช่วยให้คำแนะนำ และอธิบายเพ่มิ เตมิ

นกั เรียน ออกมาอธบิ ายหนา้ ชนั้ เรียนทลี ะกลุม่ โดยสรุปเนอื้ หา ซกั ถามปญั หาและ

จดบันทกึ เพิม่ เตมิ

5.3.2. ครู ให้ผเู้ รยี นปฏิบตั ิตามแบบงานการทดลองที่ 1 ให้เสร็จสมบูรณ์ และให้ผ้เู รียน

ซักถามปญั หาในการเรยี น

นกั เรยี น ซักถามปัญหาและขอ้ สงสัยในการปฏบิ ัตกิ ารทดลอง สรุปผลการทดลอง

และสง่ ใบงานใน Google Classroom

5.4 การวดั และประเมนิ ผล

5.4.1. ครู ส่มุ ถามผู้เรียนเกยี่ วกับเน้อื หาทเี่ รียน

นักเรียน ตอบคำถามท่ีผู้สอนถาม

5.4.2. ครู ให้ผูเ้ รยี นจับกลุ่มทำงานโดยแบง่ เป็นกลุม่ ละ 4-5 โดยสรุปเนอ้ื หาทเี่ รยี นและ

แยกแยะความแตกต่างระหว่างคอมพิวเตอรแ์ ละอุปกรณ์โทรคมนาคม

นำเสนอหน้าชนั้ เรียน หลงั จากนั้นตรวจใบงานการทดลองที่ 1

นักเรียน สรุปและนำเสนอหนา้ ช้ันเรยี น

6. ส่อื การเรยี นรู/้ แหล่งการเรยี นรู้
6.1 สอ่ื ส่ิงพิมพ์
เอกสารประกอบการสอน เรอื่ งคอมพวิ เตอรแ์ ละอุปกรณ์โทรคมนาคม
บุญสืบ โพธศ์ิ รี, รพีพรรณ ชาวไร่ออ้ ย.2558. เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการอาชพี .

พมิ พ์ครั้งที่ 1. กรงุ เทพฯ : สานกั พมิ พศ์ ูนย์ส่งเสรมิ อาชีวะ

ธรี วฒั น์ ประกอบผล.2558. เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการอาชพี . กรุงเทพฯ : ซคั

เซส มีเดีย

โอภาส เอยี่ มสริ วิ งศ์. 2556. เครอื ข่ายคอมพิวเตอร์และการสอ่ื สาร. กรงุ เทพฯ : วี.พร้ินท

6.1 สื่อโสตทัศน์
สอ่ื PowerPoint วชิ าเทคโนโลยีสารสนเทศเพอื่ การจัดการอาชพี หนว่ ยที่ 1 เรือ่ ง คอมพิวเตอร์

และอปุ กรณโ์ ทรคมนาคม

27

7. เอกสารประกอบการจดั การเรยี นรู้ (ใบความรู้ ใบงาน ใบมอบหมายงาน ฯลฯ)
7.1 ใบความรู้ ประกอบการเรียนวชิ าเทคโนโลยสี ารสนเทศเพือ่ การจัดการอาชีพ หนว่ ยที่ 1 เร่อื ง

คอมพวิ เตอรแ์ ละอปุ กรณโ์ ทรคมนาคม
7.2 ใบงานทดลองที่ 1 เรือ่ งคอมพิวเตอร์และอปุ กรณโ์ ทรคมนาคม

8. การบูรณาการ/ความสมั พนั ธก์ บั วชิ าอื่น
8.1 สามารถนำความรู้ มาใชแ้ ยกแยะความแตกตา่ งระหวา่ งคอมพิวเตอรแ์ ละอปุ กรณโ์ ทรคมนาคม
8.2 สามารถนำความรู้ มาใช้รว่ มกบั วิชาการใชง้ านด้านคอมพิวเตอรห์ รือสารสนเทศ

9. การวดั และประเมนิ ผล
9.1 กอ่ นเรียน
9.1.1.ผเู้ รียนศกึ ษา ค้นคว้าจากเอกสาร ตำรา เกี่ยวกับความรูเ้ กีย่ วกับคอมพิวเตอร์และสารสนเทศ
เพื่องานอาชพี
9.1.2.ผ้เู รยี นทำแบบทดสอบก่อนเรียน
9.2 ขณะเรียน
9.2.1.การสงั เกตพฤตกิ รรมภายในช้นั เรยี น
9.2.2.ทำแบบฝกึ หดั ประจำหน่วย
9.3 หลงั เรียน
9.3.1.ให้ผเู้ รียนชว่ ยกันสรปุ เน้อื หา
9.3.2.ทำแบบทดสอบหลังเรียน
9.3.3.ทำแบบทดสอบประจำหน่วยที่ 1 เพ่อื วัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน

28

10.บนั ทกึ หลงั การสอน
10.1 ผลการใชแ้ ผนการจดั การเรยี นรู้

..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................

10.2 ผลการเรยี นรู้ของนักเรียน นักศกึ ษา
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................

10.3 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการเรยี นรู้
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................

27

แผนการจัดการเรยี นรมู้ ่งุ เน้นสมรรถนะ หน่วยที่ 2

ช่อื หน่วย ระบบเครอื ขา่ ยและเทคโนโลยี สอนครง้ั ที่ 3
สารสนเทศ ช่ัวโมงรวม 12

จำนวนช่วั โมง 4

1. สาระสำคัญ
อินเทอร์เน็ต เป็นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่สามารถทำการเชื่อมต่อเครื่อง

คอมพิวเตอร์หลาย ๆเครื่องเข้าด้วยกันจนได้ชื่อวา่ อินเทอร์เน็ต ซึ่งในการเชื่อมต่อเข้ากันภายในมาตรฐาน
การสอ่ื สารของ (Protocol) เดยี วกัน ซง่ึ เครือ่ งคอมพวิ เตอร์ท่ีเขา้ สู่ระบบเครอื ข่ายอินเทอรเ์ น็ตสามารถรับส่ง
ขอ้ มูลถงึ กันได้ทวั่ โลก เช่น ข้อความ รูปแบบภาพ รูปแบบเสยี ง สง่ ทั้งภาพและเสยี ง ฯลฯ ท้ังนีย้ ังสามารถ
คน้ หาขอ้ มูลผ่านระบบเครือข่ายอนิ เทอรเ์ น็ตไดด้ ้วยความรวดเรว็ เพียงไม่กนี่ าทีก็สามารถทำการค้นหาข้อมูล
ทต่ี อ้ งการได้ ระบบเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์ (Computer Network) หมายถงึ การเชอื่ มตอ่ คอมพวิ เตอร์ตั้งแต่ 2
เครอ่ื งข้ึนไปเข้าดว้ ยกันดว้ ยสายเคเบิล หรือสอ่ื อน่ื ๆ ทำให้คอมพิวเตอรส์ ามารถรับส่งขอ้ มูลแกก่ นั และกนั ได้ ใน
กรณีที่เป็นการเชือ่ มตอ่ ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่องเข้ากับเครือ่ งคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ท่เี ป็น
ศูนย์กลาง เรียกคอมพิวเตอร์ที่เป็นศูนย์กลางนี้ว่า โฮสต์ (Host) และเรียกคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่เข้ามา
เชื่อมต่อวา่ ไคลเอนต์ (Client)

2. สมรรถนะประจำหนว่ ย
2.1 ระบบเครอื ข่ายอนิ เทอร์เน็ต
2.2 ความเป็นมาของอนิ เทอร์เน็ต
2.3 ความหมายของระบบเครอื ข่าย
2.4 ลกั ษณะของการเชื่อมต่อของระบบเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์
2.5 ประเภทของระบบเครือขา่ ย
2.6 อปุ กรณท์ ีใ่ ช้ในระบบเครือข่าย

3. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้

3.1 ดา้ นความรู้
3.1.1. ผู้เรยี นบอกความสำคัญของระบบเครือข่ายอินเทอร์เนต็ ได้

3.1.2. ผ้เู รียนอธิบายความเป็นมาของอนิ เทอร์เนต็
3.1.3. ผู้เรยี นบอกความหมายของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอรไ์ ดอ้ ย่างถูกตอ้ ง
3.1.4. ผู้เรยี นจำแนกลักษณะของการเชอ่ื มต่อของระบบเครือข่ายคอมพวิ เตอรไ์ ดอ้ ย่างถูกตอ้ ง
3.1.5. ผู้เรียนบอกประเภทของระบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ได้

28

3.1.6. ผู้เรยี นยกตัวอย่างอุปกรณ์ทใ่ี ช้ในระบบเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอรไ์ ด้

3.2 ด้านทกั ษะ
3.2.1 สามารถบอกความสำคัญของระบบเครอื ขา่ ยอนิ เทอร์เน็ตได้
3.2.2 สามารถอธิบายความเป็นมาของอนิ เทอรเ์ น็ต
3.2.3 สามารถบอกความหมายของระบบเครอื ข่ายคอมพวิ เตอรไ์ ดอ้ ย่างถูกตอ้ ง
3.2.4 สามารถจำแนกลักษณะของการเชื่อมตอ่ ของระบบเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ได้อยา่ งถกู ตอ้ ง
3.2.5 สามารถบอกประเภทของระบบเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอรไ์ ดอ้ ย่างน้อย 1 ประเภท
3.2.6 สามารถแยกแยะความแตกตา่ งระหว่างคอมพวิ เตอร์และอุปกรณโ์ ทรคมนาคมได้
3.2.7 ยกตัวอย่างอปุ กรณท์ ใ่ี ช้ในระบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ได้ อย่างนอ้ ย 3 อยา่ ง

3.3 คณุ ลักษณะทพี่ งึ ประสงค์
3.3.1 ใฝ่การเรยี นรู้
3.3.2 ผเู้ รียนทำงานเป็นระเบยี บเรยี บรอ้ ย
3.3.3 ปฏบิ ัตงิ านด้วยความซอื่ สตั ย์สจุ ริต
3.3.4 มีความรบั ผิดชอบตอ่ หน้าท่ี
3.3.5 มคี วามม่งุ มั่นในการทำงาน
3.3.6 ใชเ้ วลาอยา่ งคุม้ คา่
3.3.7 มีจิตสาธารณะ

29

แผนการจัดการเรยี นรูม้ งุ่ เนน้ สมรรถนะ หน่วยที่ 2

ชื่อหน่วย ระบบเครือขา่ ยและเทคโนโลยี สอนครงั้ ท่ี 3
สารสนเทศ
ชัว่ โมงรวม 12
จำนวนชวั่ โมง 4

4. เนื้อหาสาระการเรียนรู้
2.1 ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

อินเทอร์เน็ต เป็นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่สามารถทำการเชื่อมต่อเครื่อง
คอมพิวเตอร์หลาย ๆเครื่องเข้าด้วยกันจนได้ชือ่ วา่ อินเทอร์เน็ต ซึ่งในการเชื่อมต่อเข้ากันภายในมาตรฐาน
การสือ่ สารของ (Protocol) เดียวกัน ซึง่ เคร่อื งคอมพิวเตอร์ท่ีเข้าสรู่ ะบบเครอื ขา่ ยอนิ เทอร์เน็ตสามารถรับส่ง
ข้อมลู ถึงกนั ไดท้ ั่วโลก เชน่ ขอ้ ความ รูปแบบภาพ รูปแบบเสียง ส่งท้ังภาพและเสยี ง ฯลฯ ทง้ั นยี้ ังสามารถ
ค้นหาข้อมูลผา่ นระบบเครือข่ายอินเทอร์เนต็ ได้ด้วยความรวดเรว็ เพยี งไม่กน่ี าทกี ส็ ามารถทำการค้นหาข้อมูล
ท่ตี ้องการได้

2.2 ความเปน็ มาของอนิ เทอรเ์ นต็
อินเทอร์เน็ตเริ่มต้นมาจากผลทางสงครามทางการเมืองในยคุ สงครามเยน็ เมื่อ พ.ศ. 2510 โดยมี

ฝ่ายคอมมิวนิสตแ์ ละฝ่ายเสรปี ระชาธิปไตย ซ่งึ มีสหรัฐอเมรกิ าเป็นประเทศผ้นู ำ กลุม่ เสรีประชาธปิ ไตย และ
รัสเซียเป็นฝ่ายคอมมิวนิสต์ ทั้งสองประเทศต่างคิดกลัวในเรื่องของขีปนาวุธนิวเคลียร์ที่เข้ามาถล่มจุด
ยุทธศาสตร์ของทั้งสองประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้ระบบคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกันนั้นเกิดความเสียหาย
กระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกาจึงได้เริ่มโครงการวิจับและพัฒนาเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขึ้นเมื่อเดือน
มกราคม 2512 โดยใหช้ อ่ื โครงการว่า ARPANET (Advanced Research Projects Agency Network)
ซึ่งมีจุดมุง่ หมายในการวิจัยและพัฒนาให้เกดิ ระบบเครือข่ายข้อมลู แบบกระจายศูนย์ ซึ่งจะทำให้ไดร้ ับความ
เสยี หายนอ้ ยที่สดุ จากสงครามนวิ เคลียร์ในระหว่างการติดต่อสอ่ื สาร โดยระบบเครือข่ายนี้แตกต่างจากระบบ
ท่วั ไป ในด้านการสื่อสารนน้ั สามารถรับส่งขอ้ มูลระหวา่ งคอมพิวเตอรไ์ ด้โดยมีข้อผิดพลาดน้อยท่ีสุด ถึงแม้ว่า
คอมพิวเตอร์ หรือสัญญาณในการส่ง ในแต่ละจุดจะเกิดความเสียหายหรือถูกทำลายไปบางส่วน ซึ่ งใน
โครงการน้เี ครือ่ งคอมพิวเตอร์ในแต่ละเคร่อื งน้ันจะเชื่อมโยงกันดว้ ยสายส่งข้อมูลทีแ่ ยกออกเปน็ หลาย ๆ เส้น
เปรียบเสมือนกับการประสานกันของร่างแห และเมื่อคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งต้องส่งสัญญาณไปยังเครื่อง
คอมพิวเตอร์อกี เครอื่ งหนึ่ง ขอ้ มูลทสี่ ่งไปน้ันจะถกู แบง่ ออกเป็นส่วนย่อย ๆ ท่ีเรียกว่า Packet แล้วข้อมูลจะ
ถูกทยอยส่งไปให้ปลายทางตามทีก่ ำหนด โดยแต่ละชิ้นส่วนของข้อมูลนั้น อาจจะไปคนละเส้นทางแต่จะไป
รวมกันที่ปลายทางตามลำดับที่ถูกต้อง แต่หากเกิดข้อผิดพลาดระหว่างการเดินทางของข้อมูล ส่วนใดส่วน
หน่งึ ซึ่งอาจเกิดจากข้อผิดพลาดทางด้านสญั ญาณรบกวน สายส่งสญั ญาณเกิดความเสียหาย หรอื แมก้ ระท้ัง
เครื่องคอมพิวเตอร์ถกู ทำสายระหว่างการส่งข้อมูล เครื่องคอมพิวเตอรป์ ลายทางจะส่งสัญญาณกลับมาแจ้ง

30

เคร่อื งคอมพิวเตอรต์ น้ ทางให้รับรู้ และจดั การส่งข้อมูลเฉพาะสว่ นทขี่ าดไปได้ใหม่โดยใช้เส้นทางอื่นแทน ทำ
ให้ม่ันใจได้ว่าขอ้ มูลนั้นไปถึงปลายทางอย่างแนน่ อน

เมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2512 ได้มีการทดลองเชื่อมโยง IMP (Interface Message
Process) ซึ่งเป็นการต่อเชื่อมถึงกันทางสายโทรศพั ท์ เพื่อทำการสือ่ สารกันโดยเฉพาะระหว่างมหาวทิ ยาลัย
4 แหง่ โดยมโี ฮลตต์ ่างชนดิ กันที่ใช้ในระบบปฏิบตั กิ ารต่างกัน คอื

1. มหาวิทยาลยั ยูทาห์ ทซ่ี อลตเ์ ลคซติ ้ี ใช้เครือ่ ง DEC PDP-10 ภายใต้ระบบปฏิบตั ิการ Tenex
2. สถาบนั วจิ ัยสแตนฟอรด์ ใชเ้ ครื่อง SDS 940 และระบบปฏิบตั ิการ Genie
3. มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย แห่ง ซานตา บาร์บารา มีเครื่อง IMB 360/75 ทำงานภายใต้

ระบบปฏบิ ตั กิ าร OS/MVT
4. มหาวิทยาลัยแคลฟิ อร์เนยี แหง่ แอนเจลิส ใช้เครอื่ ง SDS Sigma 7 ภายใตร้ ะบบปฏบิ ตั กิ าร

SEX (Sigma Executive)
เมื่อมีการเช่อื มต่อจากทง้ั 4 มหาวิทยาลัยข้างตน้ น้จี ะเห็นไดว้ ่าแต่ละมหาวิทยาลยั มรี ะบบปฏิบัติการ
และโฮสต์ที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงต้องมีการใช้ซอฟต์แวร์เพื่อเชื่อมโยงระบบปฏิบัติการและโฮสต์ให้
ติดต่อสื่อสารกันได้ ซึ่งทำให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับใช้ในการติดต่อสื่อสารในครั้งนี้ เรียกว่า
“Packet Switching” จากการทดลองใหง้ านเครือข่าย ARPANET จนเป็นทีพ่ อใจแล้ว ในปี พ.ศ. 2515
กระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกาได้ทำการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยต่าง ๆ เข้า
ด้วยกันถงึ 50 แหง่ โดยเครือข่าย ARPANET จะใชเ้ พือ่ การค้นหาและวิจัยทางดา้ นการทหารเป็นส่วนใหญ่
ในการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ทั้งหมดนี้ ARPANET ได้มีการกำหนดมาตรฐานในการรับส่งข้อมูลที่เรียกว่า
Network Control Protocol หรือ NCP เพื่อเป็นการควบคุมการรับส่งข้อมูล การตรวจสอบ และการ
เป็นตัวกลางในการเชื่อมตอ่ เครือ่ งคอมพวิ เตอรท์ ุกเครื่องท่ีต่อเข้าด้วยกัน แต่มาตรฐาน NCP ยังมีข้อจำกดั
และข้อผิดพลาดในด้านของจำนวนเครื่องที่ต่อเข้ากัน อันเป็นผลทำให้ ARPANET ไม่สามารถที่จะขยาย
จำนวนเคร่อื งเพ่ือรองรับการสื่อสารออกไปได้มากนัก จนกระท่ังปี พ.ศ. 2525 ARPANET ไดม้ ีการพัฒนา
ระบบการรับส่งข้อมูลแบบใหม่ โดยใช้ชื่อมาตรฐานใหม่นี้ว่า TCP/IP (Transmission Control
Protocol/Internet/Protocol) ซึ่งมาตรฐานการสื่อสารนี้ได้รองรับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต่างชนิดกันให้
สามารถรับส่งข้อมูลหรือส่ือสารระหว่างกันได้ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับอนิ เทอร์เน็ต ในปี พ.ศ. 2526
โพรโทคอล TCP/IP ไดม้ กี ารยอมรบั กันอย่างแพร่หลายจนกระทงั่ ปจั จบุ นั ในปี พ.ศ. 2526 อารพ์ าเนต็ ถูก
แบ่งแยกเป็น 2 เครือข่าย คือ เครือข่ายด้านการวิจัย และเครือข่ายของกองทัพ เครือข่ายด้านงานวจิ ัย
โดยใชช้ ื่อว่า ARPANET สว่ นทางดา้ นเครือขา่ ยของกองทัพมชี ื่อมชี อื่ เรยี กใหมว่ ่า “มิลเนต็ ” (MILNET)
ARPANET ให้บริการจนกระทั่งถึงจุดที่สมรรถนะของเครือข่ายไม่พอเพียงที่จะรับภาระการสื่อสาร
หลักของอินเทอร์เน็ตอีกต่อไป จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2529 มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติ หรือ NSF
(National Science Foundation) ไดร้ ับเปน็ เสน้ ทางหลกั ของการสื่อสารแทน การเตบิ โตของอนิ เทอร์เน็ต
ในช่วงหนึ่งปีให้หลังของการเปลี่ยนแปลงมาใช้ TCP/IP มีจำนวนโฮสต์ในอินเทอร์เน็ต รวมกัน 213 IP
โฮสต์ ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2529 จำนวนโฮสต์ในอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นเป็น 1,024 โฮสต์ และในเดือน

31

มกราคมปี พ.ศ. 2536 จำนวนโฮสตใ์ นอินเทอร์เนต็ เพิ่มขึ้นไปมากกว่า 1,000,000 โฮสต์ แต่ละวันจะมีโฮสต์
เพ่ิมเขา้ สรู่ ะบบและมีผใู้ ช้รายใหม่เกิดขน้ึ อย่างต่อเนอ่ื ง จำนวนโฮสตโ์ ดยประมาณภายในอินเทอร์เน็ตนับจากปี
พ.ศ. 2524 ถงึ 2537 มกี ารขยายตวั เพิ่มข้ึนแบบเอก็ โปรเนนเซียล นบั ตง้ั แต่ปี พ.ศ. 2529 จำนวนโฮสต์
ได้เพ่ิมขนึ้ มากกว่า 2 เท่าตัวในทกุ ๆ ปี และยงั คงเพิ่มขึน้ อย่างไมห่ ยดุ ยง้ั จำนวนโฮสตโ์ ดยประมาณใน พ.ศ.
2538 คาดว่ามีราวหกล้านเครื่อง หากประเมินว่าโฮสต์หนึ่งมีผู้ใช้เฉลี่ย 5-8 ราย จะประมาณว่า มีผู้ใช้
อินเทอรเ์ นต็ ท่วั โลกอยกู่ ว่า 30 ลา้ นคน การขยายตัวของอนิ เทอร์เน็ตในปัจจุบนั อยู่ในอัตรา 10-15 % ต่อ
เดือน ปัจจุบันนี้ได้เป็นผู้วางมาตรฐานการเชื่อมต่อระหว่าง เครือข่ายทำหน้าที่ค้นคว้า วิจัยสิ่งใหม่ เพื่อ
รองรบั อนิ เทอร์เน็ตในอนาคต

2.2.1 ความเป็นมาของอนิ เทอร์เนต็ ในประเทศไทย
นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530 ประเทศไทยได้ติดต่อกับอินเทอร์เน็ตในลักษณะการใช้บริการจดหมาย
อิเล็กทรอนิกส์แบบแลกเปลี่ยนถุงเมล์ สถาบันที่ติดต่อกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในลักษณะดังกล่าวคือ
มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์ วทิ ยาเขตหาดใหญ่ (PSU) และสถาบนั เทคโนโลยีแหง่ เอเชยี หรอื สถาบนั เอไอ
ที (AIT) การตดิ ต่ออนิ เทอร์เน็ตของท้งั สองสถาบันเปน็ การใช้บริการจดหมายอิเล็กทรอนิกส์โดยความร่วมมือ
กบั ประเทศออสเตรเลียตามโครงการ IDP ซึ่งเป็นการติดต่อเชอื่ มโยงเครือข่ายด้วยสายโทรศพั ท์ จนกระทง่ั ปี
พ.ศ. 2531 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่นั้น ได้ยื่นขอที่อยู่อินเทอร์เน็ตแห่งแรกใน
ประเทศไทยโดยไดร้ บั ที่อยอู่ ินเทอรเ์ นต็ sritrang.psu.th ซึง่ นบั ว่าเป็นที่อยู่อินเทอรเ์ น็ตแหง่ แรกของประเทศ
ไทย ต่อมาปี พ.ศ. 2534 บริษัท DEC (Thailand) จำกัด ได้ขอที่อยู่อินเทอร์เน็ตเพื่อใช้ในกิจการของ
บริษัท โดยไดร้ ับทอ่ี ยูอ่ ินเทอรเ์ น็ตเปน็ dect.co.th โดยทคี่ ำ “th” เป็นสว่ นทเี่ รียกว่า โดเมน (Domain)
ซึ่งเป็นส่วนแสดงโซนของเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยโดยคำว่า “th” เป็นรหัสที่ย่อมาจากคำว่า
Thailand
ปี พ.ศ. 2535 นับว่าเป็นปีที่อินเทอร์เน็ตเข้ามาในประเทศไทยอย่างเต็มตัว โดยจุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัยได้จัดตั้งเครือข่ายและได้เช่าสาย “ลีสไลน์” (Leased Line) ซึ่งเป็นสายความเร็วสูงเพ่ือ
เชื่อมตอ่ กับอินเทอรเ์ น็ต โดยเช่ือมตอ่ เขา้ กบั เครือข่าย “ยูยเู น็ต” (UUNET) ของบริษัท ยูยูเน็ตเทคโนโลยี
จำกัด (UUNET Technologies Co.,Ltd.) ซง่ึ ตง้ั อยูท่ ่รี ัฐเวอรจ์ ีเนีย ประเทศสหรัฐอเมรกิ าร การเช่ือมต่อ
ในระยะแรกโดยลสี ไลนค์ วามเร็ว 9600 bps (bps : bit per second) ปจั จบุ ันจุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัยได้
ขยายเครือข่ายโดยตั้งช่อื ว่า “จุฬาเน็ต” (ChulaNet) และได้ปรับปรงุ ความเร็วของลีสไลน์จาก 9600 bps
ไปเป็นความเร็ว 64 Kbps และ 128 Kbps ตามลำดับ ในปีเดียวกันได้มีสถาบันการศกึ ษาหลายแห่งขอ
เชอื่ มตอ่ เครอื ขา่ ยอินเทอรเ์ น็ตโดยผ่านจฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย สถาบนั การศึกษาเหล่านี้คือ สถาบันเอไอที
(AIT) มหาวิทยาลัยมหิดล (MU) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (CMU) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า วิทยา
เขตเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (KMITL) และมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญบรหิ ารธรุ กิจ (AU) โดยเรียกเครือข่ายน้ี
ว่า เครือขา่ ย “ไทยเนต็ ” (THATNET) ในปจั จบุ ันเครอื ขา่ ยไทยเน็ตประกอบด้วยสถาบนั การศึกษาเพียง 4
แห่งเท่านั้น ส่วนใหญ่ย้ายการเชื่อมโยงอินเทอร์เน็ตโดยผ่านเนตเทค (NECTEC) หรือศูนย์เทคโนโลยี

32

อิเล็กทรอนิกสแ์ ละคอมพิวเตอร์แหง่ ชาติ ดงั น้นั เครอื ขา่ ยไทยเน็ตจงึ มีขนาดเลก็ จึงนับวา่ เครือข่ายไทยเน็ต
เปน็ เครอื ขา่ ยที่มี “เกตเวย”์ (Gateway) หรือประตสู ู่เครอื ขา่ ยอินเทอรเ์ น็ตเปน็ แหง่ แรกของประเทศไทย

ปี พ.ศ. 2535 เป็นปีเรมิ่ ตน้ ของการจัดตัง้ กลมุ่ จดหมายอิเลก็ ทรอนิกส์ เพ่ือการศึกษาและวิจยั โดย
มีชื่อว่า “เอ็นดับเบิลยูจี” (NWG : NECTEC E-mail Working Group) โดยหน่วยงานของรัฐที่มีชื่อว่า
“ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ” หรือ “เนคเทค” (NECTEC : National
Electronic and Computer Technology Centre) สังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในสมัย
กลุ่มเอ็นดับเบิลยูจี ได้จัดตั้งเครือข่ายชื่อว่า “ไทยสาร” (ThaiSarn : Thai Social scientific and
Research Network)

สำหรับเครือข่ายไทยสารได้รับการพัฒนามาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531 โดยสถาบันเทคโนโลยีพระจอม
เกล้า วิทยาเขตเจ้าคณุ ทหารลาดกระบัง (KMITL) ซง่ึ ได้รับการสนับสนนุ ทุนวิจัยเก่ยี วกับระบบเครือข่ายจาก
เนคเทค โดยมีจดุ ประสงค์ในการเชือ่ มโยงคอมพิวเตอร์ระหว่างมหาวิทยาลัยและองคก์ รสำคญั ๆ ในประเทศ
ไทยเข้าด้วยกัน โดยจะมีเนคเทคเป็นศูนย์กลางการดำเนินงาน การเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ระหว่างกันเช่นน้ี
เพื่อการติดต่อสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกัน ซึ่งเนคเทคได้สนับสนุนการจัดตั้งกลุ่ม
NEWgroup (NECTEC E-mail Group) ในปี พ.ศ. 2534 โดยมีวัตถุประสงค์ในการสื่อสารบนเครือข่าย
คอมพิวเตอร์โดยวิธี “จดหมายอิเล็กทรอนิกส์” (Electronic mail หรือ E-mail) ในตอนแรกกลุ่ม
NEWgroup ประกอบด้วยสมาชกิ สถาบันการศึกษา จำนวน 8 แหง่ ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CU)
สถาบันเอไอที (AIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU) สถาบันพัฒนาบริหารศาสตร์ (NIDA)
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (KU) มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่ (CMU) มหาวิทยาลยั สงขลานครนิ ทร์ วทิ ยาเขต
หาดใหญ่ (PSU) และสถาบนั เทคโนโลยพี ระจอมเกล้า วทิ ยาเขตเจา้ คุณทหารลาดกระบงั (KMITL) เปน็ ต้น
ซ่ึงต่อมากลุ่ม Newsgroup ได้เปลี่ยนชื่อย่อเป็น “เอ็นดับเบิลยูจี” ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ในตอน
เริ่มแรกของการพฒั นาระบบเครือข่ายของไทยสารเปน็ การติดตอ่ เช่ือมโยงโดยอุปกรณ์เช่ือมต่อชนิดท่ีเรียกว่า
“โมเด็ม” (Modem) โดยเชื่อมต่อด้วยระบบ “ยูยูชีพี” (UUCP : Unix to Unix Copy) ซึ่งต่อมาได้
เชื่อมต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ตผ่านเกตเวย์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อปี พ.ศ. 2536 และปัจจุบัน
เครือข่ายไทยสารได้เชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายอินเทอร์โดยเชื่อมโยงกับเครือข่าย “ยูยูเน็ต” ของบริษัท ยู
ยูเน็ตเทคโนโลยี จำกัด ปัจจุบันเครือข่ายไทยสารเชื่อมโยงกับสถาบันต่าง ๆ มากว่า 30 แห่ง โดยมี
สถาบันการศึกษาและองค์กรของรัฐเป็นสมาชิกเครือข่ายไทยเน็ตกบั ไทยสาร ซึ่งเป็นผลดีต่อการสื่อสาร
ระหว่างสมาชิกในเครือข่ายไทยเน็ตและไทยสาร โดยมีผลทำให้การสื่อสารระหว่างเครือข่ายเป็นไปอย่าง
รวดเร็วมากขึ้น มาเช่นนั้นแล้ว การสื่อสารระหว่างเครือข่ายทั้งสองต้องผ่านอินเทอร์เน็ตไปที่ประเทศ
สหรัฐอเมริกาแลว้ วกกลบั มาประเทศไทย ซงึ่ เป็นการเสยี เวลาโดยใช่เหตุ

2.3 ความหมายของระบบเครือข่าย
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network) หมายถึง การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2

เครือ่ งขึน้ ไปเข้าดว้ ยกนั ด้วยสายเคเบิล หรือสอื่ อ่ืนๆ ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถรับส่งข้อมลู แกก่ ันและกนั ได้ ใน

33

กรณีที่เป็นการเชื่อมตอ่ ระหว่างเครื่องคอมพวิ เตอร์หลายๆ เครื่องเข้ากับเครื่องคอมพวิ เตอร์ขนาดใหญ่ท่เี ปน็
ศูนย์กลาง เรียกคอมพิวเตอร์ที่เป็นศูนย์กลางนี้ว่า โฮสต์ (Host) และเรียกคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่เข้ามา
เช่ือมตอ่ ว่า ไคลเอนต์ (Client)

2.4 ลักษณะการเช่ือมต่อของระบบเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์
จุดปลายทางของการรับ-ส่งข้อมูล เรียกว่าโหนด (Node) ซึ่งการที่จะทำให้แต่ละโหนดติดต่อรับ-สง่

ข้อมูลถึงกันได้นั้นต้องมีการเชื่อมต่อที่เป็นระบบ ในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอรน์ ี้ สามารถแบ่งลักษณะของ
การเช่อื มโยงออกเป็น 4 ลกั ษณะ คือ
2.4.1. เครือข่ายแบบดาว (Star Network) จะมีคอมพิวเตอร์หลักที่เป็นโฮสต์ (Host) ต่อสายสื่อสารกับ

คอมพิวเตอร์ย่อยที่เป็นไคลเอนต์ (Client) คอมพิวเตอร์ที่เป็นไคลเอนต์แต่ละเครื่องไม่สามารถ
ตดิ ตอ่ กันได้โดยตรง การตดิ ต่อจะตอ้ งผา่ นคอมพวิ เตอรโ์ ฮสต์ทีเ่ ป็นศนู ย์กลาง
ข้อดขี องเครอื ข่ายแบบดาว

1) มีความคงทนสงู คอื หากสายเคเบิลของบางโหนดเกดิ ขาดก็จะไม่สง่ ผลกระทบตอ่ ระบบโดยรวม
โดยโหนดอนื่ ๆ กย็ ังสามารถใชง้ านไดต้ ามปกติ

2) เนื่องจากมีจดุ ศูนยก์ ลางอยูท่ ี่ฮบั (Hub) ดังน้ันการจัดการและการบริการจะง่ายและสะดวก
ขอ้ เสยี ของเครือข่ายแบบดาว

1) ใช้สายเคเบิลมากเท่ากับจำนวนเครื่องทีเ่ ช่ือมต่อ ซึ่งหมายถึงค่าใช้จา่ ยที่สงู ข้ึนดว้ ย แต่ก็ใช้สาย
เคเบิลมากกวา่ แบบ BUS กับแบบ RING

2) การเพ่ิมโหนดใดๆ จะตอ้ งมีพอร์ตเพยี งพอต่อการเชอ่ื มโหนดใหม่ และจะต้องโยงสายจากพอร์ต
ของฮับ (Hub) มายงั สถานทีท่ ่ีตงั้ เคร่ือง

3) เนื่องจากมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ฮับ (Hub) หากฮับเกิดข้อขัดข้องหรือเสียหายใช้งานไม่ได้
คอมพิวเตอร์ตา่ งๆ ทีเ่ ชอื่ มต่อเข้ากบั ฮบั (Hub) ดงั กลา่ วก็จะใช้งานไม่ไดท้ ั้งหมด

2.4.2. เครือข่ายแบบวงแหวน (Ring Network) เปน็ เครอื ขา่ ยที่เช่ือมต่อคอมพวิ เตอร์ด้วยสายเคเบิลเดียว
ในลกั ษณะวงแหวนไม่มเี คร่อื งคอมพวิ เตอร์เปน็ ศูนย์กลาง ขอ้ มูลจะตอ้ งผ่านไปยงั คอมพิวเตอร์รอบๆ วง
แหวน และผา่ นเครือ่ งคอมพิวเตอร์ทุกเคร่ืองเพ่ือไปยังสถานีทตี่ ้องการ ซงึ่ ขอ้ มูลที่สง่ ไปจะไปในทิศทาง
เดยี วกัน การวงิ่ ของขอ้ มูลในเครอื ขา่ ยวงแหวนจะใช้ทศิ ทางเดียวเทา่ น้ันเม่อื คอมพวิ เตอรเ์ ครอื่ งหนึ่งส่ง
ขอ้ มลู มนั จะสง่ ไปยงั เครอ่ื งคอมพิวเตอร์ตวั ถัดไป ถา้ ขอ้ มูลทร่ี บั มาไม่ตรงตามทคี่ อมพิวเตอรต์ น้ ทางระบุ
มันก็จะส่งผ่านไปให้คอมพิวเตอร์เครื่องถัดไป ซึ่งจะเป็นขั้นตอนแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึง
คอมพวิ เตอรป์ ลายทาง ท่ีถูกระบุตามทอ่ี ยจู่ ากเครื่องตน้ ทาง
ข้อดขี องเครือขา่ ยแบบวงแหวน
1) แต่ละโหนดในวงแหวนมีโอกาสทีจ่ ะสง่ ข้อมลู ได้เท่าเทยี มกัน
2) ประหยดั สายสญั ญาณ โดยจะใชส้ ายสัญญาณเทา่ กบั จำนวนโหนดทเี่ ชือ่ มตอ่
3) ง่ายต่อการตดิ ตง้ั และการเพ่มิ /ลบจำนวนโหนด


Click to View FlipBook Version