การเลือกใช้จุดเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบ การสร้างจุดเด่นของงานด้วยการใช้จุด จุดอาจ ได้มาจากรูปแบบที่มีอยู่ในธรรมชาติ เช่น ก้อนหิน ลายของสัตว์ต่างๆ ที่มีลักษณะเป็นจุดการนำมาจัดวาง ในการออกแบบสิ่งพิมพ์ ในกำหนดการจัดวางโดยยึดหลักการจัดองค์ประกอบมาใช้ เช่น การจัดวางเป็น จุดนำสายตาการจัดวาง การจัดวางแบบเอกภาพ ความสมดุล การนำจุดมาใช้ในการออกแบบทำให้เกิด ความงามและการสร้างจุดเด่นในการออกแบบสิ่งพิมพ์ได้ทางหนึ่ง ภาพที่ 2.4 การใช้จุดในการออกแบบ ที่มา : ประทุมทอง ไตรรัตน์ เส้น (Line) เส้นเกิดจากการเดินทางหรือการต่อเนื่องของจุดไปในทิศทางเดียวกัน ไม่เปะปะ กระจัดกระจาย การเกิดเส้นในคอมพิวเตอร์เป็นลักษณะเดียวกันกับการเกิดจุด คือ เกิดจากตารางสี่เหลี่ยม พิกเซลที่มาต่อกันเป็นเส้น เส้นเป็นตัวกำหนดรูปทรง รูปร่างเมื่อนำมาต่อบรรจบกันและ การทำให้เกิด แสงเงาโดยการใส่โทนอ่อนแก่ เส้นมีลักษณะที่แตกต่างกันและยังสื่อความหมายของอารมณ์ในการรับรู้ที่ แตกต่างกัน ดังนี้ เส้นตรง (Straight Line) เป็นเส้นที่สื่อถึงความสง่า ความเข้มแข็ง ความเกลี้ยง ความง่าย ทำให้ เกิดความรู้สึกมั่นคง แข็งแรง เส้นประ (Broken Line) เป็นเส้นที่สื่อถึงความตื่นเต้น ความไม่เป็นระเบียบ ความแตกแยก และ ความสับสนวุ่นวาย เส้นนอน (Horizontal Line) เป็นเส้นที่สื่อถึงความรู้สึกสงบนิ่ง กว้างขว้าง ราบเรียบ เส้นตั้ง (Vertical line) เป็นเส้นที่สื่อถึงความมีระเบียบ แข็งแรง มั่นคง เส้นเฉียง (Diagonal Line) เป็นเส้นที่สื่อถึงความรู้สึกเคลื่อนไหว ความไม่แน่นอนและเกิด ทิศทาง ตามการเดินทางของเส้น เส้นโค้ง (Curve Line) เป็นเส้นที่สื่อถึงความรู้สึกอ่อนหวาน นุ่มนวล ความอ่อนน้อมและ ความ เศร้าโศก
เส้นซิกแซก (Zigzag Line) หรือเส้นสลับฟันปลา เป็นเส้นที่สื่อถึงความรู้สึก เคลื่อนไหว ไม่ แน่นอน เส้นคลื่น (Wave Line) เป็นเส้นที่สื่อถึงความรู้สึกเคลื่อนไหวช้าๆ นิ่มนวลและเป็นจังหวะ แก่ผู้ พบเห็น การเลือกใช้เส้นต่างๆ เพื่อสื่อให้ถึงความรู้สึกหรือเน้นด้วยการใช้เส้นโดยการกำหนดความ หนา - บาง ของเส้นได้การจัดวางควรคำนึงถึงองค์ประกอบเพื่อให้เกิดความสวยงามและการสื่อความหมาย และ การสื่ออารมณ์โดยการใช้เส้นแบบต่าง ภาพที่ 2.5 การใช้เส้นในการออกแบบสิ่งพิมพ์ ที่มา : อารีรัตน์ ผลธิรัตนแสงชัย, ประทุมทอง ไตรรัตน์ รูปร่างและรูปทรง (Shape & Form) เป็นองค์ประกอบที่มีมิติที่มีรูปร่างเหมือนจริงและรูป ทรง เรขาคณิตและรูปอิสระ ลักษณะรูปร่างมี 2 มิติ คือ มีความกว้างและยาว ในส่วนของรูปร่าง 3 มิติ คือ มี ความกว้าง ความยาวและความลึก
ภาพที่ 2.6 รูปร่างและรูปทรงในการออกแบบสิ่งพิมพ์ ที่มา : www.canva.com แสงและเงา (Light & Shade) แสงและเงาเกิดจากการที่มีแสงสว่างมากระทบกับวัตถุทำให้มี บริเวณที่โดนแสงมีความสว่างและบริเวณที่ไม่มีแสงมีความมืด โทนเกิดจากการรับแสงที่ไม่เท่ากันในแต่ละ บริเวณ โดยธรรมชาติของแสงย่อมตกกระทบบนผิวของวัตถุไม่เท่ากัน ด้านที่ได้รับแสงโดยตรงมีความจ้า ในส่วนด้านที่ตรงกันข้ามหรือด้านที่แสงไม่ได้เข้าโดยตรงมีน้ำหนักมืดลงตามลำดับ การเกิดโทนของภาพ โดยการวาดในคอมพิวเตอร์หรือจากการวาดด้วยดินสอเกิดจากการใช้โทนลงไปในภาพที่ทำให้ผู้ดูเกิด ความรู้สึกต่อลักษณะภาพ 3 มิติ การเกิดภาพแม้เป็นภาพ 2 มิติ แต่การมองเห็นเป็นภาพ 3 มิติ ของ รูปทรงของภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้นที่มีความลึกจากการใช้แสงและเงา
ภาพที่ 2.7 แสงและเงา (Light & Shadow) ที่มา : ประทุมทอง ไตรรัตน์+ การออกแบบกราฟิก 2 มิติ การออกแบบสามารถใช้แสงเงาเพื่อเน้นความลึกที่มองเห็นภาพเป็น 3 มิติได้ เช่นเดียวกับการถ่ายภาพเห็นได้ว่าการเกิดภาพด้วยโทนมองดูจะเป็นลักษณะของภาพ 3 มิติ การ เกิดภาพมีโทนลดหลั่นกัน เช่นเดียวกับภาพพิมพ์ที่ใช้เม็ดสกรีนลดหลั่นโทนของภาพให้เห็นเป็นรูปทรงของ วัตถุได้ ช่องว่าง (Space) การจัดองค์ประกอบงานด้านศิลปะหรือการจัดงานด้านสิ่งพิมพ์ ช่องว่างหรือที่ ว่างมีความสำคัญต่อการออกแบบ เพื่อสร้างจุดเด่นการออกแบบสิ่งพิมพ์ช่องว่างเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้อ่าน ได้พักสายตา การจัดช่องว่างระหว่างบรรทัดช่องว่างระหว่างคอลัมน์ (Column) (คำว่าคอลัมน์เป็นคำทับ ศัพท์ภาษาไทย เรียกว่า สดมภ์แต่นิยมเรียกว่า คอลัมน์) จะมีขนาดของการจัดวางช่องว่างระหว่างบรรทัด การกำหนดช่องว่างในโปรแกรมคอมพิวเตอร์จะมีความห่างระหว่างบรรทัดให้เลือกใช้ได้ซึ่งจะมีให้เลือก และยังสามารถกำหนดขนาดของช่างว่างระยะบรรทัดเองได้
ภาพที่ 2.8 ช่องว่าง (Space) ที่มา : ประทุมทอง ไตรรัตน์ สี (Color) เป็นองค์ประกอบหนึ่งของการออกแบบสิ่งพิมพ์หรือการออกแบบงานศิลปะต่างๆ ใช้ เพื่อสื่อถึงความเป็นจริง หรืออาจใช้เพื่อสร้างความต่างที่มีผลต่อความรู้สึกและการรับรู้ สียังเป็นส่วนที่ทำ ให้รายละเอียดของภาพเพิ่มขึ้นได้สียังมีอิทธิพลต่อการสร้างความรู้สึก อารมณ์ของผู้เห็นสีและทำให้เกิด ประสบการณ์ต่อการเรียนรู้ได้ที่สามารถเชื่อมโยงความรู้สึกให้จดจำได้มากขึ้น เช่น การรับรู้จากสีแดงจาก ไฟ ซึ่งหมายถึงความร้อนทำให้เชื่อมโยงกับความรู้สึกร้อนหรือความอันตรายจากเปลวไฟที่มีสีแดง สี จำแนกได้ดังนี้ สีของแสงและสีที่เป็นวัตถุธาตุ สีที่เป็นแสง (Spectrum) คือ สีที่อยู่ในธรรมชาติเมื่อมีการหักเห เช่น การเกิดสีรุ้งเกิดจาก การหัก เหและมองเห็นเป็น 7 สี ได้แก่ สีม่วง สีคราม สีน้ำเงิน สีเขียว สีเหลือง สีแสดและสีแดง สีที่เป็นวัตถุธาตุ (Pigment) คือ สีที่อยู่ในวัตถุทั่วไป เช่น สีของหิน ดิน แร่ หรือในพืชหรือ สัตว์ และสีที่เกิดจากการสังเคราะห์โดยใช้วิธีทางเคมี เพื่อนำมาใช้ในงานการผลิตผลิตภัณฑ์ในงาน อุตสาหกรรม ต่างๆ งานก่อสร้าง การทำสีรถยนต์ ฯลฯ เป็นต้น ลักษณะของเนื้อสี สีที่เป็นวัตถุธาตุ แบ่งออกตาม ลักษณะได้ดังนี้ 1. สีที่มีความโปร่งใส (Transparent) คือ เนื้อสีมีความโปร่งใสที่สามารถมองทะลุจากด้านล่าง มายังด้านบนและทำให้เกิดเป็นสีที่ผสมกัน ได้แก่ สีน้ำ สีหมึกพิมพ์ 2. สีที่มีความทึบแสง (Opaque) คือ เนื้อสีมีความทึบไม่สามารถมองเห็นสีด้านล่างได้ ซึ่งเมื่อ ระบายทับกันแล้วไม่เห็นเนื้อสีชั้นล่าง ได้แก่ สีฝุ่น สีโปสเตอร์ สีอะคริลิค สีพลาสติก สี เป็นสิ่งกำหนดโทนของภาพและอารมณ์ซึ่งจะอยู่ในเส้น รูปทรง พื้นผิว พื้นหลังและตัวหนังสือ หรือเกิดจากภาพถ่ายสีธรรมชาติ การเลือกสีใช้ในงานออกแบบเพื่อสร้างจุดเด่น ความแตกต่างและการสื่อ อารมณ์ของสีต่างๆ ในงานออกแบบ
ภาพที่ 2.9 สี (Color) ที่มา : ประทุมทอง ไตรรัตน์ พื้นผิว (Texture) สำหรับสิ่งพิมพ์การเกิดของพื้นผิวมีลักษณะพื้นผิวที่ในงานสิ่งพิมพ์ โดยการ เกิดจากวิธีการดังนี้ คือ 1. การออกแบบให้มีลักษณะของพื้นผิวลักษณะต่างๆ เพื่อการมองเห็นจากการถ่ายภาพเพื่อนำมา เป็นต้นฉบับหรือการสร้างลายในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ให้เป็นอักษรพื้นผิวแบบต่างๆ ที่ช่วยให้สิ่งพิมพ์มี จุดเด่นการเน้นและเพื่อสื่อถึงลักษณะที่ต้องการสื่อเพิ่มขึ้น 2. การใช้หมึกพิมพ์ที่มีเนื้อสีที่แห้งแล้วให้ลักษณะของพื้นผิวที่มีลักษณะต่างๆ 3. การเลือกใช้วัสดุในการพิมพ์ที่มีพื้นผิว เช่น มีความมัน วาว หรือมีลวดลายต่างๆ 4. การตกแต่งหลังจากการพิมพ์ เช่น การเดินรอยร้อน การปั้มลักษณะต่างๆ ลงบนวัสดุที่ใช้พิมพ์ ให้เป็นมิติมีลักษณะของพื้นผิวแบบต่างๆ
พื้นผิว การสร้างงานออกแบบให้มีมิติ และสามารถเพิ่มองค์ประกอบของงานออกแบบได้การ เลือกใช้ลักษณะของพื้นผิวอาจสร้างให้เชื่อมโยงกับเนื้อหาที่ต้องการสื่อเพิ่มขึ้นได้ ภาพที่ 2.10 พื้นผิว (Texture) ที่มา : ประทุมทอง ไตรรัตน์ หลักการจัดองค์ประกอบในการออกแบบสิ่งพิมพ์ หลักการออกแบบประกอบด้วยโครงสร้างที่สำคัญ 2 ส่วน ได้แก่ องค์ประกอบทางศิลปะ และ องค์ประกอบของการจัดวาง การออกแบบสิ่งพิมพ์มีส่วนประกอบของ เส้น รูปร่าง พื้นผิว สี และแสงเงา นำมาประกอบกันเป็นผลงานทางศิลปะ ลักษณะการจัดองค์ประกอบที่สามารถนำมาใช้ในการออกแบบ และประยุกต์ใช้ในการจัดวางในการออกแบบสิ่งพิมพ์มีดังนี้
ภาพที่ 2.11 การจัดองค์ประกอบ ที่มา : ประทุมทอง ไตรรัตน์ ความสมดุล (Balance) คือ การกำหนดและจัดวางองค์ประกอบเพื่อให้มีน้ำหนักและขนาด สัดส่วนที่เท่าๆ กันทั้งสองข้าง การประสานองค์ประกอบ เรื่อง ขนาด รูปร่าง ความเข้มจางของสีสร้าง ความสมดุลที่แตกต่างกันออกไป ภาพที่ 2.12 ความสมดุล ที่มา : ประทุมทอง ไตรรัตน์ ความสมดุลในงานออกแบบสิ่งพิมพ์ ดังนี้ - ความสมดุลแบบสมมาตร (Symmetrical Balance) หรือความสมดุลแท้ คือ การจัดวาง องค์ประกอบให้ซีกซ้ายและซีกขวามีลักษณะเหมือนกันทุกประการ หรือการจัดวางให้อยู่ในตำแหน่งที่ สมดุลทั้งหมด เมื่อลากเส้นแบ่งครึ่งพื้นที่แบ่งส่วนขององค์ประกอบออกเป็น 2 ส่วนจะมีความเท่ากันของ องค์ประกอบ
ภาพที่ 2.13 ความสมดุลแบบสมมาตร ที่มา : ประทุมทอง ไตรรัตน์, www.canva.com - ความสมดุลแบบอสมมาตร (Asymmetrical Balance) คือ การจัดองค์ประกอบเพื่อให้ผู้ดู เกิดความรู้สึกว่าองค์ประกอบในซีกซ้ายและขวามีปริมาณเท่าๆ กัน แม้ว่าลักษณะที่แท้จริงไม่เหมือนกัน สามารถวัดความสมดุลโดยความรู้สึกที่มองเห็นข้อมูลต่างๆ อาจจัดวางอย่างอิสระทั้งหมดแต่ดูแล้วรู้สึก สมดุล ภาพที่ 2.14 ความสมดุลแบบอสมมาตร ที่มา : ประทุมทอง ไตรรัตน์ การสร้างสมดุลภาพให้เกิดขึ้นในการสร้างสรรค์งานออกแบบสิ่งพิมพ์ทุกครั้ง ไม่ควรยึดติดกับ หลักการมากจนเกินไปจนทำขาดการสร้างสรรค์ที่แตกต่าง การออกแบบสร้างสรรค์โดยการใช้การจัดวาง ความสมดุลแบบอสมมาตรทำให้ความรู้สึกอิสระไม่เคร่งครัดมากเกินไป และการสร้างความรู้สึกการรับรู้ เรื่องราว เนื้อหาสาระให้มีการจัดพื้นที่ว่าง การใส่สี การใช้แสงมาเป็นองค์ประกอบที่สร้างความตื่นเต้น น่าสนใจเพิ่มขึ้นจะสร้างงานออกแบบในลักษณะของ “สมดุล ในความรู้สึก” ที่สามารถสร้างให้เกิดความ สนใจในการค้นหาเพิ่มขึ้นในการจัดหน้านิตยสาร โปสเตอร์ ที่ต้องการสื่อความหมายของานของแบบให้มี ความสัมพันธ์กับเนื้อหาและองค์ประกอบทั้งหมด เช่นเดียวกับ Shutterstock กล่าวว่า ความสมดุลเป็น
พื้นฐานหลักของการออกแบบ ความสมดุลในการสร้างตำแหน่งและองค์ประกอบของภาพและข้อความได้ อย่างเหมาะสม ซึ่งความสมดุลไม่จำเป็นต้องอยู่ตรงกลางเสมอไป ความสมดุลนอกจากความสมดุล 2 แบบ การสร้างความสมดุลโดยการใช้ความสมดุลแบบรัศมี (Radial Balance) โดยการจัดวางองค์ประกอบ ให้มีการกระจายออกไปจากจุดศูนย์กลางใช้ในการออกแบบงานที่เป็นเชิงสัญลักษณ์หรือเครื่องหมาย การค้าส่วนมาก เพราะการจัดวางแบบสมดุลอาจทำให้ดูน่าเบื่อ หลายๆ ครั้งความไม่สมดุลกับสร้างความ สมบูรณ์แบบทำให้งานออกแบบน่าดูขึ้นเพราะความเป็นธรรมชาติเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดความสนใจได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ภาพที่ 2.15 ความสมดุลแบบสมมาตร แบบอสมมาตรและแบบรัศมี ที่มา : https://www.learningsolutionsmag.com/ เอกภาพ (Unity) คือ การจัดวางองค์ประกอบให้มีการรวมตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยไม่ กระจัดกระจาย หากการออกแบบขาดเอกภาพทำให้ผู้อ่านรู้สึกแตกแยกไม่น่าสนใจ ไม่สามารถสื่อ ความหมายในสิ่งที่ต้องการถ่ายทอดได้ การมีเอกภาพช่วยให้ชิ้นงานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งต้องขึ้นอยู่ กับวัตถุประสงค์ของการใช้งานสิ่งพิมพ์ ครอบคลุมทั้งเรื่องการสร้างเอกภาพ จากการใช้เส้นนำสายตาสู่จุด เดียว ย่อมทำให้รู้สึกว่ามีความเป็นอันหนึ่งอันเดียว การออกแบบเอกภาพจะสร้างจุดสนใจที่มีจุดรวมกัน เช่น การออกแบบโปสเตอร์เพื่อให้เกิดสนใจในเรื่องเดียวกัน เอกภาพ แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ดังนี้ คือ
ภาพที่ 2.16 เอกภาพ ที่มา : ปวงกร ไตรรัตน์ เอกภาพทางความคิด (Intellectual Unity) ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในเรื่องของ ความหมายขององค์ประกอบต่างๆ ในงานออกแบบสิ่งพิมพ์จากการตีความหมายของเนื้อหารวม ข้อความ ภาพและองค์ประกอบอื่นๆ ให้เป็นในแนวทางเดียวกันมีความสอดคล้องกันส่งเสริมซึ่งกันและกัน เพื่อการ สื่อสารตามแนวคิดที่ต้องการสื่อสารและมุมมองที่มีต่อการออกแบบสิ่งพิมพ์ ตามแนวคิดที่ทำการออกแบบ สิ่งพิมพ์ โดยการใช้ภาพและข้อความที่มีความสอดคล้องเมื่อเห็นแล้วมีความคิดเป็นเรื่องเดียวกัน ภาพที่ 2.17 เอกภาพทางความคิด ที่มา : ปวงกร ไตรรัตน์ เอกภาพทางการมองเห็น (Visual Unity) การมองภาพที่ปรากฏและมีความเข้าใจ และรับรู้ต่อ องค์ประกอบทั้งหมดในการทำงานร่วมกันไปในทิศทางเดียวกันการออกแบบสิ่งพิมพ์ ควรต้องมีความเป็น เอกภาพทั้ง 2 แบบเพื่อให้ได้ผลของการออกแบบที่ไม่มีองค์ประกอบที่เกินความจำเป็นและไม่รวมเข้าเป็น พวกเดียวกันหรือมีการขาดหายไปในส่วนที่จำเป็น
ภาพที่ 2.18 เอกภาพทางการมองเห็น ที่มา : ปวงกร ไตรรัตน์ จุดเน้นแห่งความสนใจ (Center of Interest) การสร้างจุดสนใจให้เกิดขึ้นในงานออกแบบ สิ่งพิมพ์โดยกำหนดบริเวณใดบริเวณหนึ่งอาจเป็นภาพหรือข้อความให้มีลักษณะพิเศษเพื่อดึงดูดความ สนใจโดยมีหลักว่า “ความคิดเดียว และจุดสนใจเดียว” การเน้นจุดแห่งความสนใจสามารถเน้นที่ขนาดตัวอักษร เน้นรูปร่างของภาพประกอบ เน้นสีหรือ การเน้นโดยใช้เส้นนำสายตา การกำหนดจุดแห่งความสนใจควรมีเพียงจุดเดียวในภาพแต่ไม่ควรอยู่บริเวณ กึ่งกลางและในบริเวณชิดขอบมากเกินไป นอกจากนั้นยังสามารถกำหนดจุดแห่งความสนใจโดยอาศัยจุดที่ เรียกว่า “จุดรวมสายตา” (Optical Center) ซึ่งอยู่ในแนวแกนกลางเหนือเส้นกลางหน้าแนวนอนครึ่งหนึ่ง ในการวางตำแหน่งที่สร้างจุดสนใจได้มากขึ้น หลักการเน้นจุดแห่งความสนใจ มีดังนี้ ภาพที่ 2.19 การเน้นจุดความสนใจ ที่มา : ประทุมทอง ไตรรัตน์
การเน้น (Emphasis) การออกแบบโดยการเน้นควรมีการจัดลำดับความสำคัญของการเน้น ใน การออกแบบสิ่งพิมพ์โดยการจัดลำดับความสำคัญตามวัตถุประสงค์ จากจุดประสงค์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของ การออกแบบสิ่งพิมพ์ คือ เพื่อการสื่อสาร ในการสื่อสารส่งสารออกไปย่อมต้องการให้การรับสารได้ข้อมูล อย่างถูกต้องและครบถ้วน การออกแบบโดยการเน้น และการจัดลำดับจึงมีความสำคัญใน การเน้น เพื่อให้ผู้รับสารรับในส่วนใดก่อนหรือหลังอย่างไร คือ ในการมองหาสามารถมองเป็นลำดับได้อย่างง่ายและ สบายต่อการมองหาและการเน้นเป็นจุดสำคัญของการออกแบบเพื่อให้งานออกแบบออกมาดูน่าสนใจ โดย การนำจุดเด่นมาจัดวางทำให้เกิดความสนใจได้ การเน้นมีลักษณะดังนี้ - การเน้นโดยใช้จุดแห่งความสนใจ (Emphasis by Center of Interest) การสร้างจุดสนใน ใจในงานการออกแบบสิ่งพิมพ์ให้มีความโดดเด่นและน่าสนใจมากที่สุดในงาน ในการออกแบบสิ่งพิมพ์ สามารถออกแบบได้หลายรูปแบบในการสร้างจุดแห่งความสนใจ โดยการใช้ขนาด รูปร่าง และสี เป็นต้น - การเน้นโดยการตัดกัน (Emphasis by Contrast) การทำให้ส่วนประกอบจำนวนหนึ่ง แตกต่างกันไปในเรื่องต่างๆ เช่น ขนาด รูปร่าง สี น้ำหนัก ลักษณะพื้นผิวที่ต่างออกไปจากส่วนอื่นๆ การ เน้นด้วยขนาด การเน้นด้วยรูปร่าง การเน้นด้วยน้ำหนัก การเน้นด้วยพื้นผิว การเน้นด้วยการใช้สีตรงกัน ข้ามตัดกันเพื่อการเน้นในการออกแบบสิ่งพิมพ์ - การเน้นโดยการแยกตัวออกไป (Emphasis by Isolation) การเน้นโดยให้ ส่วนประกอบ แยกออกไป เช่น การเน้นโดยรูปร่างรูปทรงที่เป็นกลุ่มในพื้นที่แล้วเน้นโดยแยกรูปร่าง ดังกล่าวออกมาให้ เป็นจุดเด่น - การเน้นโดยการจัดวางตำแหน่ง (Emphasis by Placement) การจัดวางองค์ประกอบใน ตำแหน่งที่เหมาะสมแล้วนำส่วนของเส้น สี รูปร่าง รูปทรง หรืออื่นๆ สิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือมากกว่าเพื่อนำมา เน้นให้เกิดจุดเด่นขึ้นมา โดยเป็นส่วนของการชักนำสายตาหรือการเน้น โดยตำแหน่งของการจัดวางส่วน ขององค์ประกอบต่างๆ ให้มีทิศทางไปทางเดียวกัน หรืออาจเป็นไปตามรัศมีเพื่อมองเข้าไปหาจุดเน้นนั้นได้ - การเน้นโดยการใช้เส้นนำสายตา (Emphasis by Perspective Line) เป็นลักษณะของ การใช้เส้นชักนำสายตาเข้าไปยังจุดเน้น โดยการกำหนดตำแหน่งในการจัดวางส่วนประกอบให้มีทิศทางไป ตามกันเป็นแนวเดียวกันที่ให้ห่างออกจากจุดสนใจ เพื่อกำหนดระยะห่างที่เท่ากันจากจุดสนใจทำให้เกิด ความเด่นของจุดสนใจขึ้นมา การเน้นมีลักษณะต่างๆ เพื่อสร้างจุดเด่นตรงกับความต้องการใช้งานหรือ ต้องการสื่อสาร เพื่อให้เห็นจุดเน้นนั้นเป็นลำดับแรกของการมอง
ภาพที่ 2.20 การเน้น ที่มา : ประทุมทอง ไตรรัตน์ ความขัดแย้ง (Contrast) การจัดวางองค์ประกอบให้มีความแตกต่างกันขององค์ประกอบที่ใช้ ในการออกแบบ ได้แก่ รูปทรง รูปร่าง สี ขนาด ทิศทาง เพื่อสร้างจุดเด่นความน่าสนใจของงานเพิ่มขึ้น การสร้างความขัดแย้ง มีลักษณะต่างๆ ดังนี้ - ความขัดแย้งด้วยขนาด (Contrast of Scale) กำหนดขนาดที่ต้องการเน้นให้มีขนาดแตกต่าง กับจุดอื่นๆ เช่น การเพิ่มขนาดของตัวอักษรในส่วนที่เป็นหัวเรื่อง หรือการใช้ขนาดของภาพที่แตกต่างกัน ในแต่ส่วนที่ต้องการเน้นให้เป็นจุดเด่นที่แตกต่างกันจากขนาด ภาพที่ 2.21 ความขัดแย้งจากขนาด ที่มา : ประทุมทอง ไตรรัตน์ - ความขัดแย้งด้วยรูปร่างและรูปทรง (Contrast of Shape and Form) การใช้รูปร่างที่ แตกต่างออกไปในงานออกแบบสิ่งพิมพ์สามารถทำได้ด้วยการจัดวางหน้ากระดาษที่แตกต่าง หรือการ สร้างกรอบที่มีลักษณะที่แตกต่างกันแล้วทำการจัดวางลงในหน้าสิ่งพิมพ์ให้มีความแตกต่างด้วยรูปทรงของ การจัดวาง
ภาพที่ 2.22 ความขัดแย้งจากรูปร่าง ที่มา : ประทุมทอง ไตรรัตน์ - ความขัดแย้งด้วยความเข้มหรือน้ำหนัก (Contrast of Weight) การสร้างความขัดแย้งที่ โดยการใส่ความเข้มหรือน้ำหนักลงไปในส่วนที่ต้องการเน้นที่แตกต่างกัน ภาพที่ 2.23 ความขัดแย้งจากความเข้มหรือน้ำหนัก ที่มา : ประทุมทอง ไตรรัตน์ - ความขัดแย้งของทิศทาง (Contrast of Direction) ทิศทางและความเคลื่อนไหวที่แตกต่าง เช่น เน้นโดยการกำหนดทิศทาง องศาที่แตกต่าง หรือการเคลื่อนไหวที่มีรูปทรงแตกต่างกัน - ความขัดแย้งของพื้นผิว (Contrast of Texture) การสร้างจุดเด่นโดยการใช้ลักษณะของ พื้นผิวที่แตกต่าง การสร้างพื้นผิวในงานพิมพ์อาจใช้การเลือกกระดาษที่แตกต่างกัน หรือการสร้างลวดลาย ลงในหน้ากระดาษ ให้มีลักษณะของการมองเห็นพื้นผิวที่แตกต่างออกไป หรือการใช้สีใส่โทนของสีต่างๆ ลงในแต่ละจุดที่ต้องการสร้างจุดเด่นได้เช่นกัน
- ความขัดแย้งของการเว้นที่ว่าง (Contrast of Space) การเว้นพื้นที่ว่างสามารถทำให้เป็น จุดเด่นของงานสิ่งพิมพ์เด่นออกมาลักษณะได้ในการเว้นหน้ากระดาษจะเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ในการพัก สายตา การที่มีภาพมาวางหรือเว้นที่ว่างระหว่างตัวอักษรที่จัดวางจำนวนมากให้ผู้อ่านรู้สึกผ่อนคลายลงได้ และยังสร้างจุดเด่นให้กับงานได้อีก สัดส่วน (Proportion) ความมีสัดส่วนในการออกแบบสิ่งพิมพ์ หมายถึง การจัดวาง องค์ประกอบโดยคำนึงถึงความสัมพันธ์ของขนาดรูปร่างขององค์ประกอบต่างๆ เช่น ตัวอักษร รูปภาพ ประกอบกันเพื่อให้มีขนาดสัดส่วนที่เหมาะสมในภาพรวมขององค์ประกอบทั้งหมด ซึ่งจะมีการกำหนด กรอบหรือแบบขอบเขต การจัดแบ่งการจัดวางในการออกแบบที่จะทำให้งานออกแบบน่าสนใจมีความ สวยงามและเหมาะกับการใช้งาน การกำหนดสัดส่วนของงานออกแบบสิ่งพิมพ์สามารถกำหนดได้3 ลักษณะ คือ การกำหนดตาม แนวตั้งของหน้าสิ่งพิมพ์การกำหนดตามแนวนอนของหน้าสิ่งพิมพ์และการกำหนดในลักษณะของการ แบ่งเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส การแบ่งสัดส่วนควรต้องสอดคล้องกับการแบ่งหน้าสิ่งพิมพ์แบบตารางกริด เพื่อ ความสะดวกในการออกแบบ และมีการกำหนดสัดส่วน เรียกว่า สัดส่วนทอง (Golden Designs) ซึ่งเป็น จุดสำคัญของการออกแบบหรือภาพถ่าย ภาพที่ 2.24 สัดส่วนทอง ที่มา : https://www.brozknows.com/blog/the-golden-ratio-in-design/ ภาพที่ 2.25 การกำหนดสัดส่วนทองของหน้าสิ่งพิมพ์ ที่มา : http://goinkscape.com/the-golden-ratio-in-inkscape-design/
จังหวะและการซ้ำ (Rhythm & Repetition) ลักษณะของจังหวะการจัดการวาง องค์ประกอบ ให้มีระยะตำแหน่งเป็นช่วงๆ ที่มีความซ้ำเกิดขึ้นมีทิศทางแก่ผู้อ่าน ในการออกแบบ สิ่งพิมพ์ ควรต้องมีการ จัดแบบการวางจังหวะ เช่น ช่องว่างในการพักสายตาตามความสวยงาม และเอกลักษณ์ที่สำคัญของการ จัดองค์ประกอบหรือการจัดองค์ประกอบให้เกิดรูปแบบซ้ำและต่อเนื่องที่ซ้ำกันทางด้านรูปร่าง ความเข้ม จางของสี เป็นต้น การจัดวางแบบจังหวะและการช้ำ มี3 ลักษณะดังนี้ คือ 1. แบบสม่ำเสมอ (Regular) โดยการนำองค์ประกอบหลายองค์ประกอบมาจัดวางและมี การเว้นระยะช่องว่างแต่ละองค์ประกอบที่สม่ำเสมอกัน 2. แบบไม่สม่ำเสมอ (Irregular) โดยการนำองค์ประกอบหลายองค์ประกอบมาจัดวางและมี การเว้นระยะช่องว่างแต่ละองค์ประกอบที่มีช่องว่างแตกต่างกันและไม่สม่ำเสมอกัน 3. แบบเป็นลำดับ (Progressive) โดยการนำองค์ประกอบแต่ละชิ้นมาจัดวางโดย ต้องมีการ จัดลำดับการเพิ่มหรือลดให้เป็นลำดับในการจัดวาง เช่น การวางห่างกันเป็นระยะที่เป็น ลำดับที่ 1 ไป 3 ไป 5 เป็นต้น ภาพที่ 2.26 จังหวะการจัดวาง ที่มา : ประทุมทอง ไตรรัตน์ ความเรียบง่าย (Simplicity) การวางองค์ประกอบในการจัดภาพหรืองานออกแบบสิ่งพิมพ์ที่ เน้นความเรียบง่ายไม่รกรุงรัง เพื่อให้การสื่อความหมายเป็นไปตามต้องการ ความเรียบง่ายก่อให้เกิดความ ง่ายในการรับรู้ของผู้อ่าน การออกแบบต้องทำในเนื้อหาที่มีความยาวหรือมีขอบเขตความกว้างยาวชัดเจน โดยเน้นความง่าย ต่อการสื่อความหมายของภาพชัดเจน หรือตัวอักษรน่าอ่านข้อความกระชับเข้าใจง่าย
ภาพที่ 2.27 ความเรียบง่าย ที่มา : ประทุมทอง ไตรรัตน์, ชนม์นิภา สายคำ ทิศทางและการเคลื่อนไหว (Direction & Movement) การออกแบบสิ่งพิมพ์ที่กำหนด ทิศทาง และให้สื่อถึงความเคลื่อนไหว คือ การมองที่องค์ประกอบหนึ่งมีการกำหนดทิศทางไปสู่อีก องค์ประกอบหนึ่งได้โดยปกติการอ่านหนังสือหรือมองภาพในการอ่านที่กวาดสายตาจากบนลงล่างและ จากซ้ายไปขวา เป็นลักษณะของธรรมชาติของการอ่านและมองดูสิ่งพิมพ์ทั่วไป แต่การกำหนดทิศทางทำ ให้สามารถกำหนดการมองของผู้อ่านได้ให้เชื่อมโยงไปยังจุดที่ได้กำหนดขึ้นมา โดยการออกแบบที่ให้เกิด ทิศทางและการเคลื่อนไหวมากำหนดลำดับของการมอง ภาพที่ 2.28 ทิศทาง ที่มา : ประทุมทอง ไตรรัตน์
ระบบกริดในการออกแบบสิ่งพิมพ์ (Grids System in Graphic Design) กำหนดแนวคิดของการออกแบบโดยใช้หลักการจัดองค์ประกอบทางศิลปะและประยุกต์กับการ จัดวางหน้าสิ่งพิมพ์ด้วยการใช้ระบบกริดหรือตารางกริดในการออกแบบสิ่งพิมพ์ ระบบกริดหรือตารางกริด (Grids) คือทำการลากเส้นตามแนวตั้งและแนวนอนให้ตัดกัน เพื่อ กำหนดพื้นที่ในการออกแบบ ในแนวนอนและแนวตั้งให้สัมพันธ์กับบริเวณพื้นที่ว่าง ในการแสดงแบบเพื่อ การจัดวางของหน้าสิ่งพิมพ์ เรียกได้ว่าการกำหนดพื้นที่ที่มีความสำคัญต่อการออกแบบสิ่งพิมพ์ ซึ่งแบ่ง ออกเป็นตารางที่สามารถเลือกกำหนดตามรูปแบบที่ต้องการใช้ และสามารถกำหนดได้ที่ละหน้าหรือหลาย หน้าก็ได้ โดยนำองค์ประกอบต่างๆ มาจัดวางลงในตารางกริดในแต่ละหน้าของสิ่งพิมพ์ การจัดวางต้อง คำนึงถึงพื้นที่ในการพิมพ์แต่ละหน้า ซึ่งควรให้มีการจัดวางที่เหมาะสม สวยงามตามหลักของ สุนทรียศาสตร์และที่ขาดไม่ได้ คือ การสร้างจุดเน้นให้ตรงตามวัตถุประสงค์ของการใช้งาน นับได้ว่าการใช้ ตารางกริดมีประโยชน์ต่อการออกแบบสิ่งพิมพ์ โดยใช้ตารางกริดเป็นตัวกำหนดขอบเขตพื้นที่ในการ ออกแบบสิ่งพิมพ์ที่นำส่วนประกอบต่างๆ เช่น หัวเรื่อง เนื้อเรื่อง ภาพประกอบ พื้นที่ว่าง นำมาจัดวางใน พื้นที่หรือในหน้าที่ทำการจัดวางให้มีความสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องมีความเป็นระเบียบชวนมอง ดึงดูด และ ยังแสดงถึงการสร้างภาพลักษณ์ให้กับองค์กรหรือหน่วยงานจากสิ่งพิมพ์ ที่มีความสวยงามเหมาะสมในการ ใช้งาน ส่วนประกอบของตารางกริด การกำหนดองค์ประกอบของตารางกริด โดยมีองค์ประกอบ ดังนี้ ระยะขอบ ช่องกลาง ช่องว่างระหว่างตาราง หน่วยตาราง มุมตาราง เลขหน้า เส้นพับ เส้นบรรทัดพื้นที่ พิมพ์มีรายละเอียดดังนี้ ภาพที่ 2.29 การแบ่งกริด ที่มา : https://designschool.canva.com/blog/design-books-to-read-in-2016/
1 มุมตารางกริด (Grid Intersection) คือ ตำแหน่งที่เส้นแนวตั้งและแนวนอนของตารางตัดกัน มุมของตารางกริด เป็นเส้นควบคุมพื้นที่พิมพ์อยู่ในขอบเขตที่กำหนดตำแหน่งของเนื้อหา ภาพประกอบ เป็นเสมือนจุดกำหนดในการจัดวางองค์ประกอบต่างๆ บนพื้นที่พิมพ์ที่การจัดวางทำให้พื้นที่ที่วางได้มุม ฉากกับตารางอย่างมีความเป็นระเบียบต่อเนื่อง 2 เส้นตัดเจียน (Trim Mask) คือ แนวเส้นที่ใช้วางเครื่องหมายแสดงขนาดของสิ่งพิมพ์ที่ต้องการ จริงภายหลังการจัดพิมพ์เป็นเส้นสำหรับการตัดเขียน 3 ระยะขอบ (Margin) คือ พื้นที่บริเวณกรอบที่ว่างที่ต่อเนื่องกับขอบเขตของส่วนที่ใช้ในการจัด วางเนื้อหา การกำหนดขอบเขตพื้นที่ของระยะขอบขึ้นอยู่กับการใช้ประโยชน์ของจัดหน้าสิ่งพิมพ์ตาม แนวคิดการออกแบบ พื้นที่ระยะขอบเป็นส่วนช่วยในกำหนดขอบเขตของเนื้อหาตัวอักษร หรือภาพในการ จัดวางแต่ละหน้ามีขอบเขตที่แน่นอน ทำให้เกิดความเป็นระเบียบง่ายต่อการดูและ การอ่าน แต่หาก ต้องการประหยัดจำนวนของหน้าสิ่งพิมพ์สามารถลดพื้นที่ระยะขอบลงเพื่อให้ขนาดหน้ากว้างขึ้น แต่ข้อ ควรระวังอย่าลดลงมากเกินอาจเกิดปัญหาในการเปิดเล่มออกของระยะการอ่าน และเกิดปัญหาในการทำ สำเร็จในรูปแบบต่างๆ 4 ตําแหน่งเลขหน้า (Folio) คือ ตำแหน่งที่กำหนดไว้เพื่อวางลำดับเลขหน้า โดยอาจใช้วาง ตัวพิมพ์ชื่อหนังสือหรือชื่อบท เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องเป็นระบบที่ดูเป็นระเบียบในการวางเลขหน้าและ ตำแหน่งที่ตรงกันทุกหน้าและลำดับการเรียงหน้าของงานพิมพ์ว่าอยู่หน้าใดและมีจำนวนเท่าใดและนำไป จัดทำหน้าสารบัญ 5 ช่องว่างระหว่างตาราง (Alley) คือ ช่องว่างของพื้นที่พิมพ์ตามแนวตั้งหรือแนวนอนระหว่าง หน่วยตารางกริดที่ขนานกับเส้นตารางโดยเห็นเป็นช่องว่างระหว่างบรรทัดหรือคอลัมน์ที่ประกอบเป็น ข้อความหรือภาพ เป็นช่องว่างที่กำหนดการแบ่งแยก หัวเรื่อง หัวข้อ เนื้อความและภาพประกอบ 6 หน่วยตารางกริด (Grid Unit) คือ พื้นที่พิมพ์อันดูแล้วเป็นกลุ่มของตารางที่จัดไว้เป็นชุดหรือ พื้นที่พิมพ์ที่เกาะกลุ่มกันภายในช่องว่างระหว่างตาราง (Alley) ที่ล้อมรอบอยู่ ซึ่งมีประโยชน์ต่อการ จัดพิมพ์และอ่าน ที่ดูแล้วมีการแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ เป็นส่วนที่กำหนดขนาดและสัดส่วนของภาพ ความ กว้างของเนื้อหาลงบนพื้นที่พิมพ์ 7 ช่องกลาง (Gutter) คือ พื้นที่ว่างระหว่างกรอบพื้นที่พิมพ์ของหน้าซ้ายกับกรอบพื้นที่พิมพ์ ของหน้าขวาที่เป็นช่องว่าง และเป็นแนวของส่วนที่เว้นไว้ด้านสันของสิ่งพิมพ์ที่เป็นช่องว่างหน้าคู่ ซ้าย-ขวา เรียกว่า อกกลาง ช่องกลางหรือกัตเตอร์ เพื่อใช้ในการแบ่งพื้นที่พิมพ์ของแต่ละหน้าออกจากกัน 8 เส้นพับ (Fold Line) คือ เส้นแนวกึ่งกลางของหน้ากระดาษระหว่างช่องกลาง (Gutter) ของ หน้าคู่ซ้ายและขวาเพื่อใช้พับในการทำเล่มหรือเป็นส่วนที่ใช้ในการแบ่งสิ่งพิมพ์โดยเส้นพับมีหน้าที่กำหนด พื้นที่ขอบเขตของหน้าสิ่งพิมพ์ที่มีจำนวนหน้าของสิ่งพิมพ์ตั้งแต่ 2 หน้าขึ้นไป เพื่อแบ่งขอบเขตในการเย็บ เล่ม การออกแบบเมื่อต้องการภาพที่ต่อเนื่องระหว่าง 2 หน้า ควรระวังการจัดวางเพื่อที่ให้ภาพที่ต่อกัน ระหว่างหน้ามีความตรงกันพอดีและควรใช้กับหน้าคู่ที่อยู่ในหน้าต่อเนื่องกันเมื่อทำการเปิดออกเมื่อทำการ เข้าเล่มแล้ว
9 พื้นที่พิมพ์ (Printing Area) เป็นบริเวณพื้นที่หลักในการจัดวางเนื้อหาและภาพประกอบเป็น ส่วนที่กำหนดขึ้นในบริเวณของเส้นในส่วนพื้นที่บริเวณจากระยะขอบด้านข้างทั้งสองด้านและขอบด้านบน และด้านล่าง และภายในพื้นที่พิมพ์แบ่งช่องตารางกริดออกตามขนาดในการเลือกเพื่อการจัดแบ่งหน้า สิ่งพิมพ์ ภาพที่ 2.30 ตารางกริด ที่มา : http://www.designfreebies.org ตารางกริด ใช้เพื่อกำหนดรูปแบบในขั้นตอนแรกของการกำหนดตำแหน่งการจัดวางองค์ประกอบ และกำหนดขนาดของแต่ละองค์ประกอบ ตามเส้นแนวตารางกริด ได้แก่ ความกว้างของคอลัมน์ ความ กว้างยาวของภาพประกอบ ในการจัดวางตามที่กำหนดให้มีความสม่ำเสมอของการออกแบบแต่ละหน้า และมีความสัมพันธ์กันได้โดยการกำหนดรูปแบบตารางกริดที่ใช้ในการจัดวางหน้า ตารางกริดที่นิยมใช้ในการออกแบบสิ่งพิมพ์ประเภทต่างๆ มี4 ลักษณะดังนี้ 1. แบบเมนูสคริปต์กริด (Manuscript Grid) เป็นรูปแบบตารางกริดที่มีการจัดวาง โครงสร้าง ในการจัดวางเป็นแบบเรียบง่าย ซึ่งแบ่งออกเป็นหน่วยตาราง 1 หน่วยตารางใหญ่ โดยไม่มีการแบ่งย่อยลง ไป มีพื้นที่ระยะขอบ อยู่รอบๆ และช่องกลาง นิยมใช้กับการจัดวางหน้าสิ่งพิมพ์เนื้อหาที่มีความต่อเนื่อง จำนวนมาก การจัดวางตามหน่วยตารางแบบเมนูสคริปต์ หากต้องการความแตกต่างต้องใช้การเลือก รูปแบบของตัวอักษร ขนาดตัวอักษรในการกำหนดชื่อเรื่อง หัวเรื่อง การย่อหน้า ที่ช่วยสร้างความต่างของ การออกแบบสิ่งพิมพ์
ภาพที่ 2.31 การแบ่งหน้าสิ่งพิมพ์แบบเมนูสคริปต์ ที่มา : https://blog.visme.co/layout-design/ 2. แบบคอลัมน์กริด (Column Grid) เป็นรูปแบบตารางกริดที่มีการจัดวางโครงสร้างออกแบบ เป็นคอลัมน์หรือสดมภ์ (Column) โดยมีการแบ่งออกเป็นหน่วยตารางมากกว่า 1 หน่วยตาราง เป็น 2 หรือ 3 หน่วยตาราง ในทางแนวตั้งเป็นลักษณะแบบคอลัมน์ โดยไม่มีการแบ่งย่อยหน่วยตารางให้ย่อยลง ไปอีกในทางแนวนอน ซึ่งนิยมใช้ในการออกแบบหนังสือพิมพ์ นิตยสารและวารสาร การออกแบบแต่ละ เรื่องในเล่มเพื่อให้มีการจัดวางที่แปลกกันออกไป และสร้างความแตกต่างที่น่าสนใจเพิ่มขึ้นและทำให้การ อ่านสะดวกเพิ่มขึ้น ภาพที่ 2.32 การแบ่งหน้าสิ่งพิมพ์แบบคอลัมน์กริด ที่มา : https://designschool.canva.com/blog/design-books-to-read-in-2016/ 3. แบบโมดูลาร์กริด (Modular Grid) เป็นรูปแบบตารางกริดที่มีโครงสร้างในการจัดวาง โดย แบ่งออกเป็นหน่วยตาราง ทั้งแนวตั้งและแนวนอน แบ่งออกเป็นคอลัมน์ เช่นเดียวกับการแบ่งแบบ คอลัมน์กริด แต่ละคอลัมน์อาจเท่ากันหรือไม่เท่ากัน และมีการแบ่งย่อยในแนวนอนออกเป็นหน่วยตาราง สี่เหลี่ยมเพิ่ม แต่ละหน่วยตารางอาจมีช่องว่างระหว่างตาราง (Alley) เป็นช่องว่างกันอยู่ในแนวตั้งและ แนวนอน
ภาพที่ 2.33 การแบ่งหน้าสิ่งพิมพ์แบบโมดูลาร์กริด ที่มา : https://medium.com/subform/are-grid-systems-still-relevant-in-digital-407beb4128c1 4. แบบไฮราเคิลกริด (Hierarchical Grid) เป็นรูปแบบตารางกริดที่มีโครงสร้างที่ซับซ้อน การ จัดวางรูปแบบเฉพาะให้กับสิ่งพิมพ์เป็นเฉพาะกรณีหน่วยตารางมากกว่า 1 หน่วยตาราง โดยแต่ละหน่วย ตารางจะมีขนาดเท่ากันหรือไม่เท่ากัน และมีช่องว่างระหว่างหน่วยตารางที่เท่ากันหรือทับซ้อนกัน และไม่ มีระยะขอบ (Margin) คือ มีการจัดวางแบบหลายหน่วยตารางทั้งแนวตั้งและแนวนอนซึ่งอาจมีการจัดวาง แบบคอลัมน์หรือการจัดวางแบบอื่นผสมลงไปในแต่ละหน้าสิ่งพิมพ์ โดยการแบ่งหน่วยตารางให้มีขนาดที่ เท่ากันและต่างกัน ก็เพื่อให้สร้างจุดเด่น จุดรอง จากการกำหนดขนาดที่แตกต่างกันหรืออาจมีการทับซ้อน กันของแต่ละหน่วยตาราง ภาพที่ 2.34 การแบ่งหน้าสิ่งพิมพ์แบบไฮลาซิเคิลกริด ที่มา : http://munchypotato.blogspot.com/2010/10/vince-frost-given-grid.html การออกแบบสิ่งพิมพ์ด้วยการกำหนดแบบตารางกริด และการแบ่งจำนวนหน่วยตาราง จะต้อง คำนึงถึงเนื้อหา ภาพ ในการกำหนดขนาดของพื้นที่ จำนวนหน่วยตารางและขนาด ต้องให้เหมาะสมกับ ข้อมูลตัวอักษรและภาพ เพื่อให้การแบ่งหน่วยตารางที่กำหนดในการออกแบบให้ตรงตามวัตถุประสงค์และ ยังสร้างจุดเด่นตามที่ต้องการในการออกแบบได้
ขั้นตอนการออกแบบสิ่งพิมพ์แต่ละประเภท การออกแบบสิ่งพิมพ์เป็นขั้นตอนหนึ่งของกระบวนการผลิตสิ่งพิมพ์ การออกแบบสิ่งพิมพ์จะต้อง เข้าใจถึงบทบาทของสิ่งพิมพ์ในการนำไปใช้งานและมีกระบวนการผลิตอย่างไร กระบวนการผลิตสิ่งพิมพ์ เริ่มจากการทำต้นฉบับที่อาจเป็นผลงานวิชาการ นวนิยาย สารคดี หรือเป็นสิ่งพิมพ์เพื่อการสื่อสาร การ โฆษณา และอื่นๆ ขั้นตอนต่อไปคืองานบรรณาธิการ และขั้นตอนต่อไป คือ การออกแบบและนำไปทำการ ผลิตสิ่งพิมพ์ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ การเตรียมการพิมพ์ การพิมพ์ และหลังพิมพ์ การออกแบบสิ่งพิมพ์มีกระบวนการออกแบบเป็นระบบที่มีความเชื่อมโยงและสัมพันธ์กับขั้นตอน การผลิตสิ่งพิมพ์ ดังนี้ 1. ขั้นตอนการศึกษาข้อมูลของเนื้อหา สาระสำคัญ แนวคิดที่สื่อออกไปยังกลุ่มเป้าหมายว่าใครคือ กลุ่มผู้บริโภค สิ่งพิมพ์นี้ทำเพื่ออะไร นำไปใช้ที่ไหน เมื่อไร ใช้เพื่ออะไร ค่าใช้จ่าย ใช้เป็นข้อมูลประกอบใน การออกแบบสิ่งพิมพ์และการผลิตสิ่งพิมพ์ 2. ขั้นตอนการกำหนดขนาดและรูปร่างของสิ่งพิมพ์ ต้องเป็นสิ่งพิมพ์ที่มีขนาดและรูปร่างที่ง่ายต่อ การหยิบถือใช้งาน ง่ายต่อการจัดเก็บและราคาไม่สูง การพิจารณารูปร่างของสิ่งพิมพ์จะต้องคำนึงถึงเป็น อันดับแรก คือ ผู้อ่าน รองลงมา คือ งบประมาณ ซึ่งขนาดและรูปร่างจะมีผลกับการเลือกขนาดของอักษร ภาพและจำนวนของเนื้อหา ภาพประกอบ ที่จะมีผลกับงบประมาณในการผลิต 3. ขั้นตอนการจัดวางหน้าสิ่งพิมพ์หรือเรียกว่า เลย์เอาท์ (Layout) โดยมี 2 ขั้นตอน คือ ขั้นตอน ที่ 1 จัดวางหน้าสิ่งพิมพ์คร่าวๆ เรียกว่า ดัมมี่ (Dummy) แบบร่าง เพื่อนำไปดำเนินการจัดเรียงตัวอักษร และภาพลงตามลักษณะแบบร่าง และเมื่อนำไปการออกแบบตามแบบร่างที่กำหนดไว้ให้ครบตามจำนวน หน้า และขั้นตอนที่ 2 คือ การจัดวางหน้า โดยการนำเนื้อหาที่การออกแบบไว้มาทำการจัดวางหน้า ตาม การทำแม่พิมพ์ในการพิมพ์ให้ครบจำนวนหน้าของสิ่งพิมพ์หากพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ดิจิทัลต้องทำการจัด วางหน้าก่อนนำไปพิมพ์เป็นเล่มสิ่งพิมพ์ การออกแบบสิ่งพิมพ์ประเภทหนังสือ มีขั้นตอนการออกแบบเหมือนกับการออกแบบสิ่งพิมพ์ทั่วไป แต่การออกแบบหนังสือมี รายละเอียดมากกว่าการออกแบบสิ่งพิมพ์อื่นๆ โดยมีรายละเอียดของขั้นตอนการออกแบบ ดังนี้ 1. ศึกษาและทำความเข้าใจเนื้อหาของหนังสือจากผู้แต่งว่ามีความต้องการสื่ออะไร อะไรเป็น จุดเด่นของหนังสือและต้องการสื่ออะไรให้กับผู้อ่าน ผู้อ่านคือกลุ่มไหนมีลักษณะเช่นไร เพื่อนำมากำหนด รูปแบบของการออกแบบ การเลือกใช้ขนาดของตัวอักษรให้เหมาะกับวัยของผู้อ่าน และสิ่งที่ต้องการสื่อไป ยังผู้อ่าน หรือต้องการสื่อถึงรูปแบบของหนังสือว่าเป็นไปในรูปแบบใด 2. การกำหนดขนาดของหนังสือ ในการออกแบบต้องทราบถึงความต้องการของเจ้าของหนังสือ และทำการคิดร่วมกันในการกำหนดขนาดหนังสือ การเลือกขนาดหนังสือควรยึดหลักการใช้ขนาดตาม มาตรฐานขนาดหนังสือที่นิยมทั่วไป โดยในการใช้กระดาษที่เมื่อนำมาผลิตแล้วจะให้เหลือเศษน้อยที่สุด ซึ่ง จะส่งผลต่อความประหยัด ความสะดวกในการผลิตและการใช้งาน แต่หากมีความต้องการขนาดที่แตกต่าง
จากมาตรฐาน ต้องคำนึงสัดส่วนที่เกินมาตรฐานแต่ยังคงใช้ส่วนที่เหลือของ กระดาษไปผลิตสิ่งพิมพ์อื่นๆ ได้หรือไม่ หากมีเศษควรเหลือเศษน้อยที่สุด 3. รูปแบบของปกหน้า การออกแบบหนังสือปกหน้ามีความสำคัญต่อการจำหน่าย และเป็นส่วน สำคัญที่ต้องสื่อถึงเรื่องในเล่มอย่างสมบูรณ์ได้อย่างไร ในการกำหนดรูปแบบหน้าปกตั้งแต่การเลือกใช้ ภาพประกอบ ชนิดของกระดาษ จำนวนสีที่พิมพ์ ข้อความบนปก และการทำสำเร็จหรือการตกแต่ง หน้าปกมีการออกแบบไว้อย่างไร เช่น การเดินรอยร้อน การปั้มนูน การไดคัท (Die-cut) ป๊อปอัพ (Popup) และหากต้องมีใบหุ้มปก การออกแบบปกต้องมีความสัมพันธ์กับปกหน้า และสร้างความสนใจให้กับผู้ ซื้อได้ 4. รูปแบบของปกใน ส่วนของปกในมีการพิมพ์หรือไม่ขึ้นอยู่กับความต้องการ และ งบประมาณ ในการพิมพ์หนังสือปกอ่อนอาจมีการพิมพ์ปกในของปกหลังเป็นประวัติผู้แต่ง หรืออาจนำไปไว้ปกหลังเลย การพิจารณาการพิมพ์ปกด้านในขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านการจัดวางหน้า ซึ่งอาจเป็นการพิมพ์ที่ลงยกในการ พิมพ์พอดีหรือหากเป็นเศษของการพิมพ์นำไปไว้ปกหลังด้านใน การทำปกแข็งในการพิมพ์ปกในซึ่งเป็น ภาพที่ต่อเนื่องกันหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการออกแบบหรือไม่มีการพิมพ์ก็ได้ ซึ่งจะเพิ่มรายละเอียดหรือเพื่อเพิ่ม ความสวยงามก็ได้เช่นกัน 5. การเลือกแบบและขนาดตัวอักษร การเลือกรูปแบบตัวอักษร ขนาดตัวอักษร นอกจากดูจาก กลุ่มผู้อ่านเป็นหลักและจากชนิดของสิ่งพิมพ์ที่ใช้เป็นตัวกำหนด เช่น หากเป็นหนังสือวิชาการควรเลือก ตัวอักษรที่ใช้พิมพ์ที่อ่านง่าย อ่านแล้วรู้สึกสบายตา ซึ่งการเลือกขนาดควรต้องคำนึงถึงกลุ่มผู้บริโภคเป็น ส่วนใหญ่ในการใช้งาน หากเป็นหนังสือสำหรับเด็กควรใช้ขนาดตัวที่ใหญ่และมีความหนา การเลือกใช้ รูปแบบของตัวอักษรใน 1 เล่ม ไม่ควรมีการเลือกรูปแบบที่มากเกินไป และการออกแบบเพื่อสร้างจุดเด่น จุดเน้น สามารถใช้ขนาด ใหญ่ กลาง เล็ก และลักษณะของตัวอักษรแบบหนา บาง เอนตัวอักษรแทนการ ใช้สีได้เช่นกัน 6. จำนวนภาพและรูปแบบภาพในการทำหนังสือ การเลือกจำนวนภาพ รูปแบบ และสีที่ใช้พิมพ์มี ผลต่อค่าใช้จ่ายในการพิมพ์ การออกแบบควรเลือกภาพที่สื่อถึงหนังสือ และสามารถแทนการสื่อสารที่ได้ อย่างแท้จริง แต่หากเป็นหนังสือที่มีลักษณะพิเศษ เช่น หนังสือภาพ ควรเลือกการจัดวางภาพและขนาด ของภาพให้เหมาะกับขนาดของเล่มหนังสือและพื้นที่ในแต่ละหน้าด้วย 7. ระบบการพิมพ์ต้องมีการกำหนดก่อนออกแบบหนังสือ โดยการพิมพ์ด้วยระบบการพิมพ์ ออฟเซต ระบบดิจิทัลหรือระบบอื่นๆ ต้องแจ้งให้กับผู้รับผิดชอบในการออกแบบสิ่งพิมพ์ การกำหนด ระบบการพิมพ์เป็นระบบใด นักออกแบบควรต้องทราบถึงข้อมูลของระบบการพิมพ์ เพื่อได้นำมากำหนด ความละเอียดของภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกใช้ระบบการพิมพ์ดิจิทัลมาใช้เพื่อผลิตสิ่งพิมพ์ใน การพิมพ์หนังสือควรเป็นจำนวนเล่มที่ไม่มาก สำหรับการพิมพ์ดิจิทัลการกำหนดความละเอียดของภาพ ขึ้นอยู่กับคุณภาพของเครื่องพิมพ์แต่ละรุ่น แต่การเลือกใช้ระบบการพิมพ์ยังต้องขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้พิมพ์ที่ เครื่องพิมพ์สามารถพิมพ์ได้ 8. การกำหนดขั้นตอนหลังการพิมพ์ต้องทำการกำหนดก่อนทำการออกแบบสิ่งพิมพ์ ขั้นตอนหลัง การพิมพ์ทำในส่วนใดต้องมีกำหนดการจัดวาง เช่น การเว้นหน้าหนังสือสำหรับการเย็บสัน การไสสันทา
กาว หรือการเย็บกี่ เป็นต้น และหากมีการพิมพ์หน้าที่มีการพับแบบพิเศษ การเข้าเล่ม การตกแต่งส่วน อื่นๆ ของหน้าปก หรือส่วนใด การออกแบบต้องมีข้อมูลครบทุกส่วน เพื่อใช้ในการกำหนดการออกแบบ สิ่งพิมพ์การกำหนดมาจากข้อมูลที่ได้มาใช้ในการออกแบบหนังสือซึ่งเหมือนกับการออกแบบสิ่งพิมพ์อื่นๆ ที่ควรให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการใช้งานและให้ครบองค์ประกอบ สิ่งพิมพ์ประเภทหนังสือ (Book) หนังสือมีลักษณะของสิ่งพิมพ์ที่มีเนื้อหาเป็นเรื่องเดียวกัน หรือ ทิศทางเดียวกันมีความสอดคล้อง มีการเย็บเล่ม ส่วนประกอบหนังสือมีดังนี้ ปกหน้า ปกใน คำนำ สารบัญ เนื้อเรื่อง บรรณานุกรม เป็นต้น แต่หนังสือพิมพ์ไม่มีลักษณะดังที่กล่าวมาคือ หนังสือพิมพ์ จะไม่มีการเย็บ เล่ม แต่ใช้วิธีการสอดเข้าเป็นเล่มแต่นิยมเรียกกันว่าหนังสือเช่นกัน การออกแบบผู้ออกแบบต้องทราบถึง วัตถุประสงค์ของหนังสือว่าเพื่อใช้ทำอะไร อย่างไร ได้มีการแบ่งประเภทของหนังสือออกเป็นดังนี้ คือ การ แบ่งตามประเภทของเนื้อหามีการแบ่งแบบของรูปแบบการเขียน ในการแบ่งหนังสือออกตามลักษณะการ เขียนชัดเจนบ้างในบางเล่ม แต่อาจมีการเขียนทั้ง 3 รูปแบบในเล่มเดียวกัน เพื่อเพิ่มความน่าสนใจและ ความหลากหลายของเนื้อหาได้ หนังสือแบ่งออกตามลักษณะรวมๆ ได้ดังนี้ 1. หนังสือประเภทตำราและสารคดี (Textbook) จัดอยู่ในประเภทของ non-fiction คือ เป็นหนังสือที่แต่งขึ้นโดยเน้นเนื้อหาของศาสตร์ของการศึกษา เกี่ยวกับวิชาการต่างๆ ซึ่งเป็นประเภทของ ตำราหรือการเขียนจากการค้นคว้าวิจัย และส่วนของสารคดี เป็นเนื้อหาเพื่อการให้ความรู้ แต่การเขียนมี ลักษณะที่สร้างความเพลิดเพลินให้กับผู้อ่าน และมีการสอดแทรกข้อคิด หรือการใช้สำนวนที่ชวนน่า ติดตามและน่าค้นหา 2. หนังสือจำหน่ายทั่วไป (Trade book) จัดอยู่ในประเภทของนวนิยาย (Fiction) คือ เป็นหนังสือที่แต่งขึ้น โดยเนื้อหาจะทำให้ผู้อ่านเกิดความเพลินเพลิด และสนุกสนานเป็นแนวของหนังสือ บันเทิงคดีหรือหนังสือประเภทนวนิยาย หรือเป็นหนังสืออ่านเพื่อความบันเทิงมากกว่าการอ่านเพื่อความรู้ ทางวิชาการ 3. หนังสือการ์ตูน (Comic) เป็นหนังสือที่มีการวาดภาพประกอบเรื่องราวการวาดภาพมี ลักษณะเหมือนจริง เกินจริง หรือตามจินตนาการของผู้วาด การแต่งเรื่องอาจเป็นรูปแบบของวิชาการที่ ส่งเสริมการอ่านของเด็กในวัยต่างๆ โดยใช้การวาดการ์ตูนประกอบ เพื่อเสริมความสนใจในการอ่านให้กับ เด็กหรือเป็นแนวแต่งขึ้นตามเรื่องที่เล่ากันมาในลักษณะของนิทานหรือตามจินตนาการของผู้แต่ง 4. หนังสือพิมพ์ (Newspaper) มีลักษณะที่ไม่เย็บรวมเล่ม เนื้อหาเการนำเสนอ ข่าว กำหนดออกเป็นรายวันหรือรายสัปดาห์ ปัจจุบันการผลิตหนังสือพิมพ์ได้มีการลดจำนวนการผลิตลงมาก เนื่องจากผู้บริโภคมีสื่ออื่นในรูปของสื่อดิจิทัล ซึ่งเป็นทางเลือกในการบริโภคข่าวที่สะดวกและรวดเร็ว
การแบ่งหนังสือตามลักษณะของการทำปก ออกเป็น 2 แบบ ดังนี้ หนังสือปกแข็ง คือ หนังสือที่ต้องมีวัสดุมาหุ้มกับกระดาษแข็งทั้งปกหลัง ปกหน้าและสันหนังสือ และนำไปติดกับส่วนเนื้อใน ปกใช้การพิมพ์ลงบนกระดาษที่มีความเหนียวแล้วไปหุ้มกระดาษแข็งและ นำมาติดกับเล่มเป็นปกหรือใช้วัสดุอื่นๆ และทำการปั๊ม เช่น การทำปกแข็งงานวิชาการที่เป็นงานวิจัยหรือ วิทยานิพนธ์เป็นปกแข็งที่ใช้ผ้าแรกซีนมาหุ้มปั้มทองบนหน้าปก การเย็บหนังสือปกแข็งการเย็บสันไม่นิยม ทำการเย็บมุงหลังคาและหากเป็นหนังสือที่ผู้ใช้ต้องเก็บไว้นานและมีราคาสูงจะใช้การเย็บด้วยด้ายการเย็บ กี่มากกว่าการไสสันทากาว ภาพที่ 2.35 ปกแข็ง ที่มา : http://nomediakings.org/doit yourself/doityourself_book_press.html หนังสือปกอ่อน คือ หนังสือที่เย็บปกติดกับตัวเล่มเย็บด้วยลวดหรือการเย็บด้วยเชือกหรือการไส สันทากาวในส่วนของตัวเล่มถูกเย็บติดกันกับปกหนังสือ การเย็บทำได้ 2 แบบ คือ การเย็บสันและการเย็บ มุงหลังคา หากต้องการเย็บมุงหลังคาจำนวนความหนาของหนังสือต้องไม่มากเกินไป เพราะการเก็บเล่มจะ เรียงซ้อนแล้วพับกลางของกระดาษทั้งหมดที่จะนำมาเย็บด้วยลวดตรงกลางเล่ม ซึ่งต่างกับการเย็บสันเรียง เล่มจากล่างไปบนให้ครบ และนำมาเย็บด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การไสกาว การเย็บกี่ การเย็บลวด สำหรับ การเย็บด้วยลวดจะขึ้นอยู่กับความยาวของลวดที่ใช้ในการเย็บ เมื่อเย็บแล้วเสร็จจึงนำทากาวติดปกกับตัว เล่ม ภาพที่ 2.36 ปกอ่อน ที่มา : https://www.haymarketbooks.org/
ส่วนประกอบของหนังสือ หนังสือโดยทั่วไป (ไม่รวมกับหนังสือการ์ตูนและหนังสือพิมพ์) มี ส่วนประกอบ 3 ส่วน ดังนี้ คือ ส่วนหน้าหรือตอนต้น ส่วนของเนื้อหาและส่วนท้ายเล่ม ในหนังสือที่เขียน เพื่องานวิชาการ จะมีองค์ประกอบที่ค่อนข้างครบมากกว่าหนังสือประเภทเพื่อความบันเทิงและอื่นๆ อาจ มีส่วนประกอบที่ไม่ครบแต่การออกแบบหนังสือ นิตยสาร นวนิยายหรือวารสารมีการออกแบบที่สร้าง ความสนใจมากกว่าหนังสือที่อ่านเพื่อการเรียนที่เป็นตำราประกอบการเรียน ส่วนประกอบของหนังสือในที่นี้จะกล่าวถึงหนังสือวิชาการเป็นหลัก แบ่งเป็น 3 ส่วนเป็นส่วนใหญ่ ดังนี้ ส่วนประกอบตอนต้น ส่วนประกอบตอนกลาง (เนื้อเรื่อง) ส่วนประกอบตอนท้าย มีรายละเอียดดังนี้ คือ ส่วนประกอบตอนต้น ประกอบด้วย ใบหุ้มปกหนังสือ (Book Jacket) เป็นส่วนที่อยู่ด้านนอกสุดทำหน้าที่รักษาปกหนังสือ โดยการ นำมาหุ้มปกหนังสือ แต่ไม่ได้ติดอยู่กับปกหนังสือเพื่อป้องกันความสกปรก และเป็นที่ทำให้ปกหนังสือใหม่ อยู่เสมอ ใบหุ้มปกพบมากในหนังสือประเภทขนาดพก เรียกว่า พ็อกเก็ตบุ๊ค (Pocket Book) ส่วนตัวเล่ม เป็นหนังสือปกอ่อนเข้าเล่มไสสันกาว และมีการทำใบหุ้มปกขึ้นมาอีกหนึ่งใบ อาจมีการจัดพิมพ์และ รายละเอียดคล้ายกับปกใน หรืออาจเหมือนกับปกในและอาจมีการหุ้มปกด้วยพลาสติกที่ใช้บริการสำหรับ การหุ้มปกเพื่อป้องกันการเสียหายหรือความสกปรกที่เกิดขึ้นจากการใช้งาน การใช้พลาสติกส่งผลกับการ ลดลงของการใช้ใบหุ้มปกของหนังสือที่ทำการพิมพ์และลดค่าใช้จ่ายและทดแทนโดยการใช้วัสดุอื่นมา แทนในการรักษาหนังสือ ปกหนังสือ (Cover) เป็นส่วนสำคัญและยังทำหน้าที่รักษารูปทรงของหนังสือ ปกหนังสือ แบ่ง ออก 2 ชนิด คือ ปกแข็งและปกอ่อน ปกทำหน้าที่ในการรักษาเล่มแล้วยังบอกรายละเอียดของ หนังสือ ได้แก่ ชื่อเรื่องและชื่อผู้แต่ง การออกแบบปกต้องสื่อความหมายของเรื่องที่เขียนและให้เห็น ถึงภาพรวม ของเนื้อหาภายเล่ม อาจมีการเขียนชื่อเรื่องที่น่าสนใจไว้เพื่อให้ผู้อ่านตัดสินใจในการซื้อ ภาพที่ 2.37 ปกหนังสือ ที่มา: ระพีพรรณ เขื่อนคำ
สันหนังสือ (Spine) เป็นส่วนที่ยึดปกหน้าและปกหลังเข้าไว้ด้วยกัน และยังทำหน้าที่บอก รายละเอียดของหนังสือ โดยมีการพิมพ์ชื่อหนังสือ ชื่อผู้แต่ง และ ปีพิมพ์ สันหนังสือส่วนนี้เอาไว้ในการ ค้นหาหนังสือที่วางอยู่ในชั้นโดยหันด้านสันของหนังสือออกมาให้การค้นหาง่ายขึ้น ในการพิมพ์สันหนังสือ สามารถพิมพ์ได้เฉพาะสันที่มีความหนาของตัวเล่มพอกับขนาดตัวอักษรที่ใช้พิมพ์ การเลือกขนาดตัวอักษร ต้องไม่ให้เลยส่วนขอบของสันออกมา และควรมีขนาดที่สามารถอ่านได้ในการเข้าเล่มเป็นลักษณะของ การเข้าเล่มเป็นแบบหุ้มสันเท่านั้น การเย็บแบบมุงหลังคาไม่สามารถพิมพ์บนสันได้ ใบรองปกหนังสือ (Fly Leaves) ซึ่งเป็นใบที่ยึดปกกับตัวเล่ม ในการทำเล่มปกแข็งเมื่อทำการ เย็บหนังสือครบตามจำนวนหน้าแล้วต้องมีการนำกระดาษที่มีความกว้างเป็น 2 เท่าของเล่มพับกลางได้ เป็นกระดาษ 1 คู่ (เป็นกระดาษที่ใช้พิมพ์เนื้อในหรือกระดาษอื่นที่เลือกมาใช้จะทำการพิมพ์ก็ได้) นำมาติด เข้ากับตัวเล่มทั้งด้านหน้าและด้านหลังโดยทากาวบริเวณขอบกระดาษด้านที่พับประมาณ 1 เซนติเมตร และนำไปตัดเจียนพร้อมกับเนื้อในหนังสือ จะเป็นกระดาษที่ต้องทากาวยึดกับปก 1 แผ่นและเหลือ กระดาษอีก 1 แผ่น ซึ่งเป็นใบรองปกของหนังสือปกแข็ง สำหรับหนังสือปกอ่อนจะเป็นการนำมาใส่เป็น แผ่นเดียวก็ได้ หากจะทำการพิมพ์การออกแบบจะต้องพิมพ์หน้าซ้ายขวาเป็นส่วนใหญ่ แต่หากเป็นหนังสือ ปกอ่อนอาจทำการพิมพ์มาพร้อมกับเนื้อหาและเป็นส่วนใบรองปกหนังสือการออกแบบใบรองปกหนังสือ การใช้ภาพที่มีความต่อเนื่องกันต้องทำการพิมพ์ต่อกัน 2 หน้า สามารถสร้างภาพที่มีมุมมอง 2 หน้าต่อกัน สามารถเพิ่มคุณค่าของหนังสือได้เช่นกัน หน้าชื่อเรื่อง (Half Title Page) อยู่ถัดจากใบรองปกให้รายละเอียดของชื่อหนังสือ หรือชื่อชุด ส่วนของชื่อเรื่องในหนังสือส่วนใหญ่พิมพ์ที่ใบรองปก แต่มีการแยกออกมาสำหรับการพิมพ์หนังสือปกแข็ง ที่ไม่มีการพิมพ์ในส่วนของใบรองปก เพราะการพิมพ์ในส่วนของใบรองปกของหนังสือปกแข็งทำให้เพิ่ม ค่าใช้จ่ายในการพิมพ์ จึงมีการพิมพ์ชื่อเรื่องอีกหนึ่งแผ่นการออกแบบหน้าชื่อเรื่องอาจพิมพ์สีเดียวและเน้น ตรงชื่อเรื่องกับชื่อผู้แต่งเป็นส่วนใหญ่ หน้าปกใน (Title Page) เป็นหน้าที่ให้รายละเอียดทางบรรณานุกรมของหนังสือที่ค่อนข้าง สมบูรณ์ ได้แก่ ชื่อหนังสือ ชื่อผู้แต่ง ครั้งที่พิมพ์ สถานที่พิมพ์ สำนักพิมพ์และปีที่พิมพ์ เป็นต้น และอาจ รวมเอาหน้าลิขสิทธิ์มาไว้ในปกใน เพื่อลดจำนวนหน้าลง แต่การเพิ่มอาจมาจากสาเหตุของการพิมพ์ที่ไม่ลง จำนวนหน้าตามจำนวนยกที่พิมพ์ การออกแบบหน้าปกในสำหรับหนังสือวิชาการไม่มีการออกแบบมากนัก หากเป็นหนังสือประเภทนิตยสาร วารสาร ในส่วนนี้มีการออกแบบที่สามารถสร้างเอกลักษณ์ของหนังสือ ได้ หน้าลิขสิทธิ์ (Copyright Page) อยู่ด้านหลังหน้าปกในหรือหน้าหลังปกรองหรือการกำหนด หน้าขึ้นมาใหม่ โดยให้รายละเอียดเกี่ยวกับการจัดพิมพ์ เช่น ครั้งที่พิมพ์ สถานที่พิมพ์ สำนักพิมพ์ ปีที่พิมพ์ ตลอดจนลิขสิทธิ์และเลขมาตรฐานสากล ISBN (International Standard Book Number) หน้านี้มี ความสำคัญต่อการนำไปใช้ในการอ้างอิงและการจัดจำหน่าย ในการจัดทำหนังสือด้านวิชาการจำเป็นต้อง มี แต่อาจมีส่วนรายละเอียดไม่ครบในบางส่วนที่กล่าวมาข้างต้นของหนังสืออื่นๆ ที่ไม่ได้เป็นงานวิชาการ หน้าอุทิศ (Dedication Page) เป็นหน้าที่ผู้เขียนอุทิศหรือมอบความดีงามของหนังสือ ให้แก่ บุคคลที่เคารพรักหรือสนิทสนม การออกแบบสามารถเลือกใช้รูปแบบตัวอักษรที่เหมือนกับส่วนของเนื้อหา
หน้าคำนำ (Preface) เป็นหน้าที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับวัตถุประสงค์และขอบข่ายเนื้อหาของ หนังสือ ส่วนของคำนำของหนังสือวิชาการมีการจัดรูปแบบการใช้ตัวอักษรแบบเดียวกับส่วนของเนื้อหา แต่หากเป็นหนังสือประเภทสารคดีหรือนิตยสาร วารสาร การออกแบบหน้าคำนำสามารถจัดทำเป็นหน้าที่ แสดงถึงเอกลักษณ์ของหนังสือในหนังสือประเภท วารสาร นิตยสาร และจัดวางเหมือนกันในทุกเล่มที่ออก จะสร้างภาพลักษณ์และสะดวก ประหยัดเวลาในการออกแบบครั้งต่อไปได้ หน้าประกาศคุณูปการ (Acknowledgement) หรือหน้ากิตติกรรมประกาศเป็นหน้าที่ แสดง ถึงความขอบคุณต่อผู้ให้การสนับสนุนหรือช่วยเหลือในการจัดทำหนังสือ การออกแบบโดยสามารถ ออกแบบให้เหมือนส่วนหน้าของหนังสือหน้าอื่นๆ เช่นเดียวกันกับ หน้าคำนำ หน้าอุทิศ หน้าบทนำ (Introduction) เป็นหน้าที่เขียนเกริ่นนำเนื้อหาและขอบเขตของเนื้อเรื่องการ ออกแบบมีรูปแบบเดียวกับส่วนของเนื้อหาแต่เกริ่นนำเพื่อให้ผู้อ่านได้รู้ถึงเนื้อหาข้างในอย่างสรุปย่อก่อน สร้างให้เกิดความสนใจเข้าไปอ่านเพิ่มเติมในส่วนของเนื้อหาอื่นๆ เพื่อเป็นข้อมูลให้เกิดการตัดสินใจซื้อ หนังสือ หน้าสารบัญ (Table of Content) เป็นหน้าที่บอกถึงหัวข้อเรื่องสำคัญ พร้อมกับเลขหน้า ที่ หัวข้อเรื่องปรากฏอยู่ การออกแบบหน้าสารบัญเป็นเหมือนส่วนหน้าของหนังสือที่นักออกแบบได้กำหนด แนวคิดในการออกแบบสิ่งพิมพ์ หากต้องการให้มีความแตกต่าง อาจใช้หลักการออกแบบมากำหนด รูปแบบ หรือการใช้ภาพมาเป็นส่วนของแต่ละหน้าของสารบัญได้ หรือการจัดวางที่สามารถสร้างให้เป็น เอกลักษณ์ของวารสารหรือนิตยสารได้จากการออกแบบ หน้าสารบัญภาพ และตาราง หรืออื่นๆ (Lists of Illustration) เป็นหน้าที่บอกชื่อภาพหรือ ตารางพร้อมกับเลขหน้าที่ภาพหรือตารางที่ปรากฏอยู่ ส่วนใหญ่มีอยู่ในหนังสือวิชาการ ส่วนประกอบตอนกลาง (เนื้อเรื่อง) ประกอบด้วย เนื้อเรื่องเป็นส่วนที่มีปริมาณมากที่สุดและมี ความสำคัญที่สุด เนื้อเรื่องมีส่วนของการเขียนเนื้อเรื่องหรือการจัดวางขึ้นอยู่กับชนิดของหนังสือ เป็น หนังสือวิชาการ วารสารวิชาการหรือหนังสือเพื่อความบันเทิงในรูปแบบของนิตยสาร หนังสือการ์ตูน การ ออกแบบส่วนเนื้อเรื่องมีความแตกต่างกันไป แต่หลักการออกแบบการจัดวางส่วนนี้ตามความเหมาะสม ของแนวการออกแบบ เพื่อให้ตรงตามวัตถุประสงค์และสร้างอัตลักษณ์ของหนังสือ ส่วนประกอบ ตอนกลางของหนังสือมีดังนี้ เนื้อหา (Text) เป็นส่วนของสาระความรู้ ความคิดเห็น ตลอดจนประสบการณ์ต่างๆ ที่ผู้เขียน ถ่ายทอดออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรและภาพประกอบที่เป็นภาพถ่ายหรือภาพวาด และการอ้างอิง ได้แก่ อัญประกาศ (Quotation) การอ้างอิงแบบการยกคำกล่าวมาในบางครั้งมีการใส่เครื่องหมายคำพูดเป็น ข้อความที่คัดลอกสรุปมาใส่ แปลความหรือถอดความมาประกอบเนื้อหาในส่วนนี้ต้องมีการอ้างอิง แหล่งที่มาของข้อความโดยใส่ชื่อของเจ้าของคำกล่าว ปีและตามด้วยคำกล่าว ตรงๆ หรือการสรุป อ้างอิงแทรกในเนื้อหา (Citation) การอ้างอิงแหล่งที่มาโดยใส่วงเล็บไว้ท้ายข้อความ เรียกว่า ระบบนาม - ปี ยกเนื้อหามาและมีการสรุปเนื้อหาดังกล่าวให้มีเนื้อหาให้มีความหมายเหมือนเดิมแต่ควรมี การเขียนด้วยวิธีการเขียนที่แตกต่างจากแหล่งที่นำมาใช้หากการเขียนงานเชิงวิชาการไม่ควรยกมาแบบ
ตรงมากจนเกินไป ควรมีการปรับวิธีการเขียนใหม่ ซึ่งหลีกเลี่ยงการคัดลอกโดยตรง แต่หากยกมาโดยตรง มักมีคำ "กล่าวว่า” เชิงอรรถ (Footnote) การอ้างอิงไว้ข้างล่างสุดของหน้าข้อความ โดยในข้อความใส่หมายเลข กำกับไว้แล้วโยงหมายเลขไประบุแหล่งอ้างอิงไว้ข้างล่างลักษณะของการนำบทความมาอ้างอิง ทำ เช่นเดียวกับการอ้างอิงตามระบบนาม-ปี แต่เปลี่ยนการอ้างอิงโดยใส่ตัวเลขและนำมาเขียนอธิบายด้านล่าง หรือไปเขียนตอนภาคผนวกท้ายบทได้เช่นกันเดียวกัน อ้างอิงท้ายบท (Notes) การอ้างอิงแหล่งที่มาไว้ส่วนท้ายของแต่ละบท โดยการอ้างอิงใช้ในส่วน ใดในเนื้อหานำมาจากการอ้างอิงในบทออกมาเขียนเหมือนการเขียนบรรณานุกรม ภาพประกอบ (Illustration) เป็นส่วนประกอบของเนื้อหาที่ทำให้เนื้อหาชัดเจนและ น่าสนใจ ยิ่งขึ้น หนังสือบางชนิดมีภาพประกอบจำนวนมาก เช่น หนังสือท่องเที่ยว การใช้ ภาพประกอบในหนังสือ ที่เป็นวิชาการไม่ควรมีการดัดแปลงภาพให้เปลี่ยนไปจากความเป็นจริง ตาราง (Table) เป็นส่วนประกอบของเนื้อหาที่ทำให้เข้าใจชัดเจนและง่ายยิ่งขึ้น ส่วนประกอบตอนท้ายเป็นส่วนท้ายต่อจากเนื้อหา ซึ่งประกอบด้วย บรรณานุกรม (Bibliography) เป็นส่วนที่อ้างถึงหนังสือหรืออื่นๆ ในการใช้ประกอบการเขียน หนังสือ ส่วนนี้บางครั้งอาจเรียกว่า หนังสืออ้างอิงหรือเอกสารอ้างอิง ที่นิยมใช้ในประเทศไทย คือ การ อ้างอิงระบบ APA (American Psychological Association) ภาคผนวก (Appendix) เป็นส่วนเพิ่มเติมของเนื้อเรื่องทำให้เนื้อเรื่องสมบูรณ์มากขึ้น แต่ไม่ได้ ใส่ไว้ในส่วนเนื้อหาเพราะว่าอาจทำให้ขอบเขตของเนื้อหาเปลี่ยนไปหรือข้อความไม่ต่อเนื่องกัน อภิธานศัพท์ (Glossary) เป็นหน้าที่ให้คำอธิบายความหมายของศัพท์คำยากหรือศัพท์ เฉพาะ วิชา โดยเรียงคำศัพท์ตามลำดับตัวอักษร ดัชนี (Index) เป็นหน้าที่นำเอาคำหรือหัวข้อเรื่องที่อยู่ในเนื้อหามาจัดเรียงและใส่เลขหน้ากำกับ ที่คำนั้นปรากฎว่าอยู่หน้าใด เป็นหน้าที่มีไว้สำหรับการค้นหา สรุปส่วนประกอบของหนังสือแต่ละเล่มอาจมีส่วนประกอบไม่เท่ากันบางเล่มอาจมี ส่วนประกอบ ครบถ้วนทุกรายการบางเล่มอาจมีส่วนประกอบเท่าที่จำเป็นและขนาดที่แตกต่าง ตามความต้องการและ งบประมาณในการจัดทำการออกแบบหนังสือควรทำความเข้าใจทุกส่วนประกอบเพื่อได้ออกแบบให้ตรง กับการใช้ประโยชน์จากหนังสือให้คุ้มค่ามากที่สุด หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Book : e-book) เป็นหนังสือที่ใช้บนอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์ในระบบปฏิบัติการต่างๆ ได้แก่ PC, Mac, Android ส่วนประกอบมีลักษณะที่เหมือนหรือ คล้ายกับหนังสือทั่วไป สร้างขึ้นด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ จัดทำเป็นแฟ้มข้อมูลและสามารถแทรกเสียง ภาพเคลื่อนไหว เสียงเข้าไปได้ ในการใช้งานผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน และอื่นๆ ในระบบ ออฟไลน์และออนไลน์ที่สามารถเชื่อมโยงไปยังจุดต่างๆ และสามารถสร้างให้มีปฏิสัมพันธ์และการโต้ตอบ กับผู้ใช้งานได้ และสามารถทำการพิมพ์ออกมาเป็นเอกสารเพื่อการใช้อ่านบนกระดาษหากต้องการ และ
การปรับปรุงข้อมูลสามารถปรับปรุงได้ง่ายโดยการทำได้บนคอมพิวเตอร์สามารถปรับเปลี่ยนข้อมูลได้ ตลอดของการใช้งาน ซึ่งต่างกับสิ่งพิมพ์บนวัสดุหากต้องการปรับปรุงต้องใช้ทำการจัดพิมพ์ขึ้นใหม่ การปรับเปลี่ยนการผลิตสื่อในรูปของสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถเข้าถึงผู้ใช้ได้รวดเร็ว ส่งผลที่ทำ ให้หนังสือพิมพ์มีการปิดตัวและลดการผลิตลงจำนวนมาก จากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวส่งผลต่อ พฤติกรรมการบริโภคสื่อเปลี่ยนไป ซึ่งทำให้การดำเนินธุรกิจด้านหนังสือพิมพ์ หนังสืออื่นๆ เพื่อความ บันเทิง มีการเปลี่ยนการผลิตออกมาในรูปสื่อดิจิทัล และหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เพิ่มมากขึ้น ได้แก่ การ นำเสนอข่าวเป็นในรูปของสื่อดิจิทัล เช่น เพจของเฟสบุ๊ก (Facebook) ไลน์ (Line) และอื่นๆ สำหรับการออกแบบหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ สามารถใช้หลักการออกแบบเหมือนกับการออกแบบ สิ่งพิมพ์ทั่วไป โดยการใช้ระบบกริดผสมผสานกับหลักการจัดองค์ประกอบทางศิลปะมาใช้ในการออกแบบ ซึ่งในการใช้งานโดยการอ่านผ่านหน้าจอเป็นสี่เหลี่ยมเช่นเดียวกับการพิมพ์ที่ส่วนใหญ่เป็นลักษณะของ สี่เหลี่ยมของหน้ากระดาษที่ใช้พิมพ์ ภาพที่ 2.38 หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ที่มา : https://www.pinterest.com/pin/136022851228201547/ หนังสือพิมพ์(Newspaper) การผลิตหนังสือพิมพ์ได้มีการลดจำนวนลงเป็นอย่างมาก เนื่องจาก เทคโนโลยีสารสนเทศได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการสื่อสารที่สามารถสื่อสารผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ตที่มี ความเร็วสูง ซึ่งมาในรูปแบบของสิ่งพิมพ์หรือในรูปสื่ออื่นๆ ที่มีภาพเคลื่อนไหว เสียง และมีภาพนิ่ง ซึ่งเห็น ได้ว่ารูปแบบการสื่อสารของข่าวได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ทำให้ความต้องการของผู้บริโภคที่มีต่อ หนังสือพิมพ์ลดจำนวนลงอย่างมาก และในประเทศที่มีจำนวนการเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศและการใช้ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้มีการปิดตัวของหนังสือพิมพ์ลงเป็นจำนวนมาก และขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการธุรกิจหนังสือพิมพ์ ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดจำหน่ายในการแจกและหารายได้จาก การขายโฆษณา จากการเปลี่ยนแปลงทำให้มีการลดขนาดของหนังสือพิมพ์ลงเป็นขนาดเล็ก (Tabloid) ที่ ผลิตออกเพื่อแจกฟรีไปตามร้านค้าต่างๆ การออกแบบหนังสือพิมพ์มีการกำหนดรูปแบบที่แน่นอนและ จำนวนหน้า จำนวนคอลัมน์ ขนาดการออกแบบครั้งแรกจึงมีความสำคัญมาก เพราะใช้ในการพิมพ์ไปด้วย
รูปแบบที่ทำการกำหนดครั้งแรกไปนานจนกว่ามีการปรับรูปแบบใหม่ เนื่องจากการผลิตหนังสือพิมพ์ถูก กำหนดด้วยเงื่อนของเวลา การหาข่าวและนำมาเขียนเป็นส่วนที่ต้องใช้เวลา และข่าวเมื่อเขียนเสร็จควร ต้องทำการนำเสนออย่างทันเวลา เพื่อได้เป็นข่าวใหม่และสดก่อนที่ฉบับอื่นจะนำเสนอ การผลิตจึงต้องมี กระบวนการที่ใช้เวลาน้อยที่สุดเพื่อให้ได้งานผลิตออกมาตามเวลาของใช้งาน หลักการออกแบบหนังสือพิมพ์ มีขั้นตอนที่เหมือนกับการออกแบบหนังสือทั่วๆ ไปแต่รายละเอียด ของการออกแบบหนังสือพิมพ์มีน้อยกว่าหนังสือทั่วไป การจัดวางเป็นรูปแบบที่เป็นรูปแบบเดิมตั้งแต่เริ่ม ออกฉบับแรกและฉบับต่อไป หากมีการเปลี่ยนรูปแบบต้องเป็นช่วงเวลาที่พิเศษเพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบให้ น่าสนใจเพิ่มขึ้น หนังสือพิมพ์มีอายุในการใช้งานสั้นมาก แต่มีหนังสือพิมพ์ประเภทธุรกิจหรือความบันเทิง จะออกเป็นรายสัปดาห์หรือเป็นรายปักษ์ ขั้นตอนการออกแบบหนังสือพิมพ์ มีดังนี้ - ขั้นตอนการศึกษาและทำความเข้าใจกับหนังสือพิมพ์ ศึกษาและทำความเข้าใจ หนังสือพิมพ์ ก่อนว่ามีความต้องการแนวใด สื่ออะไรที่เป็นจุดเด่นของหนังสือพิมพ์ ต้องการสื่ออะไรให้กับผู้อ่าน ผู้อ่าน คือกลุ่มไหน มีลักษณะเช่นไร เพื่อนำมากำหนดรูปแบบของการออกแบบให้หนังสือพิมพ์มีจุดเด่น - ขั้นตอนการกำหนดรูปแบบหน้าแรกประกอบด้วยองค์ประกอบดังนี้ คือ ชื่อหนังสือพิมพ์ ที่ใช้ เหมือนกันทุกฉบับที่พิมพ์ ขนาด และรูปแบบของหนังสือพิมพ์ ขนาดของหนังสือพิมพ์มี 2 ขนาด ดังนี้ คือ หนังสือพิมพ์แผ่นใหญ่ (Broad Sheet) ที่มีขนาดเต็มหน้ากระดาษ คือ ประมาณ 15 นิ้ว x 21 - 23 นิ้ว ซึ่งเป็นขนาดของแต่ละสำนักพิมพ์ที่ขึ้นอยู่กับขนาดของหน้ากระดาษที่ใช้พิมพ์ และเครื่องพิมพ์ที่ใช้ กระดาษในการพิมพ์เป็นแบบม้วน ภาพที่ 2.39 การพิมพ์หนังสือพิมพ์ ที่มา : https://amp.mgronline.com/Around/9590000072170.html หนังสือพิมพ์แผ่นเล็ก (Half Size หรือ Tabloid) ซึ่งเป็นขนาดของหนังสือพิมพ์ประเภท เฉพาะ กลุ่มลงไป เช่น หนังสือพิมพ์เกี่ยวกับกีฬา แต่ในปัจจุบันได้มีหนังสือพิมพ์ขนาดเล็กออกมาวางจำหน่ายและ มีส่วนที่แจกจ่ายโดยมีรายได้หลักจากการโฆษณา การพิมพ์หนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่พิมพ์ด้วยเครื่องแบบป้อนม้วนในการผลิตหนังสือพิมพ์จำนวนมาก จะใช้เครื่องพิมพ์แบบป้อนม้วน แต่ในปัจจุบันจำนวนและความต้องการลดลงได้มีการปรับลดจำนวนการ
พิมพ์ลง และได้มีการนำเครื่องแบบป้อนแผ่นและนำมาเก็บเล่ม การเลือกใช้กระดาษที่มีคุณภาพที่ดีกว่า การพิมพ์หนังสือพิมพ์ขนาดใหญ่ คือ การใช้กระดาษปอนด์ในการพิมพ์ซึ่งจะนำเสนอเรื่องเฉพาะโดยตรง กับกลุ่ม เช่น เกี่ยวกับวงการบันเทิง เศรษฐกิจ กีฬา ที่ใช้เวลาการอ่านไม่มากเพื่อให้ได้ประเด็นที่สนใจ การกำหนดขนาดของหนังสือพิมพ์ขึ้นอยู่กับช่องทางการจำหน่าย และความต้องการของตลาด ใน การปรับเปลี่ยนขนาดของหนังสือพิมพ์เป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงได้ยากสำหรับการผลิต เนื่องจากการผลิต หนังสือพิมพ์จะใช้เครื่องพิมพ์เฉพาะที่มีขนาดของงานพิมพ์ตามขนาดของเครื่องพิมพ์แต่ละเครื่องซึ่งจะเป็น เครื่องป้อนม้วน กระบวนการผลิตในขั้นตอนการพิมพ์จะมีความต่อเนื่องกันที่สามารถพิมพ์และทำการเรียง และพับออกเป็นแต่ละฉบับพร้อมจัดส่ง ขั้นตอนการออกแบบหนังสือพิมพ์ ประกอบด้วยส่วนที่เป็นหน้าแรกมีองค์ประกอบ ได้แก่ชื่อ ตรา สัญลักษณ์ วันที่ ฉบับที่ ข่าว การนำเสนอข่าวในหน้าแรกที่มีการพูดถึงคำว่า ข่าวหน้าหนึ่ง เป็นข่าวที่เป็น ประเด็นที่คนส่วนใหญ่ให้ความสนใจ การออกแบบข่าวในหน้าแรกมีส่วนเป็น หัวข่าวหรือพาดหัว หน้าแรก มีข่าวที่เป็นข่าวที่สนใจอันดับแรกอยู่ด้านบนสุดและมีข่าวรองลงมา เรียกว่าหัวรอง การมีข่าวรองจำนวน เท่าไรซึ่งขึ้นอยู่กับข่าวที่มีแต่การออกแบบมีการวางเนื้อที่สำหรับวางไว้เป็นคอลัมน์ การปรับเปลี่ยนไม่มี การเพิ่มหรือลดโดยการใช้วิธีการแทนเนื้อที่ที่วางไว้ ไม่มีการปรับเปลี่ยนออกที่มีการกำหนดก่อนการ ออกแบบไว้หรือหากมีควรมีเพียงเล็กน้อย เพราะการปรับเปลี่ยนอาจส่งผลต่อการขยับในส่วนอื่นๆ ด้วย และส่วนหน้าอื่นมีการแบ่งออกเป็นหน้าข่าวแต่ละประเภท มีการพาดหัวข่าวเหมือนกับหน้าหนึ่งและมี หน้าที่เป็นข้อความข่าว ที่ต่อมาจากหน้าหนึ่งที่เรียกว่าหัวต่อ (Jump Head) มีขนาดใหญ่กว่าเนื้อเรื่องไม่ มาก ซึ่งเป็นเนื้อเรื่องที่ต่อมาจากหน้าแรกหรือหน้าอื่น รูปแบบตัวอักษร ส่วนที่เป็นชื่อของหนังสือพิมพ์มีการออกแบบตัวอักษรเฉพาะของตราสัญลักษณ์ (Logo) การออกแบบที่แสดงถึงลักษณะของหนังสือและอาจมีคำขวัญ (Slogan) ของหนังสือพิมพ์ ข่าวถือ เป็นจุดขายของหนังสือพิมพ์การเลือกรูปแบบตัวอักษรในการพาดหัวข่าว ควรต้องมีขนาดใหญ่และรูปแบบ ที่เด่นชัดการเลือกใช้อาจเป็นตัวอักษรที่มีรูปแบบประดิษฐ์ (Display) หรือมีการออกแบบเฉพาะข่าว เพื่อ ใช้ตัวอักษรที่สื่อถึงข่าวได้และควรใช้รูปแบบที่เน้นพิเศษ (Extra Bold) ภาพประกอบการเลือกภาพประกอบหนังสือพิมพ์มีความแตกต่างกับการใช้ภาพประกอบสื่ออื่นๆ ซึ่งในการเลือกภาพควรเป็นภาพที่สามารถสร้างความสนใจและเสริมความเข้าใจให้กับผู้อ่านได้และไม่ควร ทำการปรับหรือตกแต่งภาพให้เกินความเป็นจริง และต้องตระหนักถึงกฎหมายและข้อกำหนดต่างๆ ที่ เกี่ยวข้องในการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับภาพ ที่ใช้ไม่ทำให้เกิดความเสียหายกับบุคคลในภาพหรือสถานที่ การ ออกแบบหนังสือพิมพ์โดยหลักการออกแบบนิยมใช้ตารางกริด การกำหนดรูปแบบที่มีการปรับเปลี่ยนและ ยืดหยุ่นได้เล็กน้อย การปรับการออกแบบตามเนื้อหาของข่าวในแต่ละวันแต่ไม่มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบ ของการออกแบบไว้แต่แรก สิ่งพิมพ์ที่ไม่ได้ทำเป็นเล่มหรืออาจมีการเย็บเล่ม แต่หากมีการเย็บเป็นเล่มแบบส่วนใหญ่ มีจำนวน หน้าสิ่งพิมพ์ไม่มากหน้า เช่น การทำเอกสารแนะนำในรูปแบบของแผ่นพับที่เป็นเล่มเพื่อการ ประชาสัมพันธ์ หรือเพื่อการโฆษณาส่วนใหญ่ เรียกว่า สิ่งพิมพ์เฉพาะกิจ คือจัดพิมพ์ขึ้นเมื่อ ต้องการใช้ งานเพื่อการสื่อสารข้อมูล
สิ่งพิมพ์เฉพาะกิจ ได้แก่ โปสเตอร์ (Poster) เป็นสิ่งพิมพ์ที่มีวัตถุประสงค์ เพื่อการโฆษณาหรือการประชาสัมพันธ์ ของ การให้บริการ โปสเตอร์แบ่งตามวัตถุประสงค์ของการใช้งานแบ่งออกเป็นลักษณะดังนี้ โปสเตอร์ เพื่อการประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานหรือองค์กร ในการสื่อสาร การสร้างความรู้ ความ เข้าใจ แต่ไม่ได้มุ่งหวังในผลกำไร โปสเตอร์ เพื่อการโฆษณา ใช้กับการดำเนินธุรกิจขององค์กรที่มุ่งหวังผลกำไรให้กับสิ่งที่ทำการ โฆษณาออกไป สรุปโดยรวมโปสเตอร์ที่มีการใช้กันทั่วไปตามวัตถุประสงค์ไม่ว่าเพื่อการประชาสัมพันธ์ หรือการ โฆษณาที่เป็นในกลุ่มของโปสเตอร์โฆษณาสินค้า โปสเตอร์ภาพยนตร์ โปสเตอร์การแสดง โปสเตอร์จัดงาน และโปสเตอร์การศึกษา โปสเตอร์การวิจัย โปสเตอร์การชวนเชื่อและการเมืองโปสเตอร์หาเสียง โปสเตอร์ ในการรณรงค์เรื่องต่างๆ ได้แก่ ความตระหนักถึงภาวะโลกร้อน การรณรงค์ เกี่ยวกับวัฒนธรรมต่างๆ โปสเตอร์(Poster) เป็นสิ่งพิมพ์เมื่อนำไปใช้งานนำไปติดตั้งหรือแขวนติดกับอุปกรณ์สำหรับการ ติด หรือแขวนในที่มีคนผ่านไปมาเห็นได้ โปสเตอร์ควรมีข้อมูลไม่มากนักเนื่องจากต้องการสื่อให้คนที่พบ เห็นที่ผ่านไปมาใช้เวลาน้อยที่สามารถเข้าใจในรายละเอียดของข้อความและภาพที่สื่อออกไป ส่วนประกอบของโปสเตอร์มีดังนี้ ภาพที่ 2.40 โปสเตอร์ ที่มา : ระพีพรรณ เขื่อนคำ ข้อความที่ใช้แบ่งออกเป็นส่วนที่พาดหัวให้เห็นเด่นชัดและมีส่วนรองและเนื้อหาแต่มี จำนวนที่ ไม่มาก การออกแบบต้องพาดหัวให้เด่นเพื่อสร้างความสนใจกับผู้ที่ผ่านมาและมีเนื้อหาที่สำคัญครบถ้วน
ภาพ การออกแบบโปสเตอร์ภาพเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสื่อสินค้าได้ดีควรต้องมีการเลือกภาพที่ สร้างจุดเด่นให้โปสเตอร์ แต่ในโปสเตอร์ไม่มีการใช้ภาพและการนำตัวอักษรมาสร้างจุดเด่นแทนภาพที่ สามารถใช้สื่อสารเพื่อสร้างความสนใจและเข้าใจได้ในระยะเวลาสั้นๆ ตราสัญลักษณ์ชื่อหน่วยงาน เพื่อระบุถึงเจ้าของโปสเตอร์ การออกแบบโปสเตอร์ไม่จำเป็นต้องมีครบทุกองค์ประกอบขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และความ ต้องการของเจ้าของงานที่ต้องการสื่อสารออกไป ขั้นตอนการออกแบบโปสเตอร์เริ่มการออกแบบเหมือนกับการออกแบบหนังสือและ หนังสือพิมพ์ ในข้อที่ 1-3 มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 1. ขั้นตอนการศึกษาและทำความเข้าใจกับโปสเตอร์ วัตถุประสงค์ของการใช้งานต้องการสื่อกับ คนกลุ่มใด วิธีการสื่อสารด้วยการใช้โปสเตอร์ก่อนว่ามีความต้องการแนวใด สื่ออะไรที่เป็นจุดเด่นของ โปสเตอร์ต้องการสื่ออะไรกลุ่มไหนมีลักษณะเช่นไร เพื่อนำข้อมูลมากำหนดรูปแบบของ การ ออกแบบและการออกแบบโปสเตอร์ที่สื่อถึงรูปแบบของโปสเตอร์กับงานที่เป็นเนื้อหาของโปสเตอร์ได้ 2. ขั้นตอนการกำหนดรูปแบบหน้าแรกประกอบไปด้วยพาดหัว ส่วนของหัวรอง และรายละเอียด ที่สำคัญไม่ควรใส่มากเกินไป หากเป็นโปสเตอร์ที่นำไปติดในที่คนผ่านไปมาโดยใช้เวลาเพียงสั้นๆ ในการ มองดูควรมีเนื้อหาหรือข้อความเพียงเล็กน้อย แต่หากเป็นโปสเตอร์ในงานวิชาการข้อความควรมีเพียงพอ ต่อการอ่านที่ทำให้เกิดความเข้าใจ แต่ต้องไม่มากจนเกินความจำเป็น 3. ขั้นตอนการออกแบบโปสเตอร์ใช้การจัดวางแบบตารางกริด ในการจัดวางที่มีการแบ่งตาราง เพื่อการจัดวางในการออกแบบ แต่การออกแบบโปสเตอร์ควรใช้หลักการออกแบบเพื่อสร้างองค์ประกอบ ทางศิลปะที่นักออกแบบสามารถเลือกใช้และอาจมีการประยุกต์กฎของการถ่ายภาพมุมมองจากเทคนิค การถ่ายภาพมาใช้ในการออกแบบ ซึ่งการเน้นตามเทคนิคการถ่ายภาพในการนำมาออกแบบโปสเตอร์ได้ เช่นกัน ซึ่งได้กล่าวไว้ในตอนท้ายบทนี้ สำหรับสิ่งพิมพ์ในรูปแบบของโปสเตอร์กระบวนการผลิตในการพิมพ์ การเลือกระบบการพิมพ์ ควรต้องพิจารณาจากขนาดและจำนวนของการใช้ หากเป็นขนาดที่สามารถพิมพ์ได้ด้วย เครื่องพิมพ์ ออฟเซตและจำนวนการใช้งานจำนวนมาก การเลือกระบบการพิมพ์ออฟเซตทำให้ราคาต่อแผ่นมีราคาที่ไม่ สูงเมื่อเทียบกับระบบการพิมพ์ดิจิทัลในการพิมพ์จำนวนมาก แต่หากเป็นจำนวนที่ไม่มากควรใช้การพิมพ์ ดิจิทัล และหากพิมพ์โปสเตอร์ขนาดใหญ่มากและใช้งานเป็นเวลานานติดภายนอกอาคารควรใช้การพิมพ์ แบบพ่นหมึก และควรเลือกใช้หมึกพิมพ์ที่เหมาะกับการจัดแสดงภายนอกอาคารที่มีความทนต่อ สภาพแวดล้อม อาจมีการเคลือบเพื่อเพิ่มความคงทนต่อสภาพแวดล้อมภาพนอกเพิ่มขึ้น แผ่นพับ (Brochure) เป็นสิ่งพิมพ์ที่ใช้ในการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ ประกอบด้วยข้อมูล สำคัญและรายละเอียดตามความต้องการให้ผู้อ่านเข้าในเรื่องนั้นๆ เพื่อการโฆษณาหรือการประชาสัมพันธ์ ในรายละเอียดของสินค้าหรืออื่นๆ โดยมีการใส่ภาพประกอบที่สามารถสื่อถึงผู้อ่านได้ การทำแผ่นพับ สามารถเลือกใช้รูปแบบและวิธีการพับได้หลายรูปแบบ หลายขนาดและรูปร่าง และอาจมีการเย็บเป็นเล่ม ซึ่งไม่ควรมีจำนวนหน้ามาก การใช้งานแผ่นพับสามารถนำไปวางไว้นะจุดที่ลูกค้าเข้ามาใช้บริการหรือการ แจกจ่ายโดยตรงให้กับลูกค้าโดยตรง
ภาพที่ 2.41 แผ่นพับ ที่มา : ประทุมทอง ไตรรัตน์ ส่วนประกอบของแผ่นพับ ประกอบด้วย ปกหน้า การออกแบบแผ่นพับส่วนปกเป็นส่วนแรกหรือในกรณีทำเป็นเล่มซึ่งเปรียบเสมือนปก หน้า ประกอบด้วย ชื่อ หรือการพาดหัวข้อความหลักหรือเป็นชื่อเรื่องหนังสือ ภาพบนปกหน้า การเลือก ภาพควรเป็นภาพที่สร้างความสนใจและสื่อเรื่องต่างๆ ภายในได้ด้วยข้อความบนปกเป็นข้อความที่สรุป ประเด็นสำคัญ การใส่ภาพของสินค้าหรือตราสัญลักษณ์เพื่อระบุถึงเนื้อหาในแผ่นพับและที่อยู่สำหรับการ ติดต่ออาจไปไว้ปกหลังสุด ส่วนในเป็นส่วนของเนื้อหาเป็นข้อความ ภาพประกอบ แผ่นพับอาจมีเฉพาะ ภาพประกอบหรือข้อความอย่างเดียว เช่น แผ่นพับที่โฆษณาขายบ้านในแต่ละโครงการเป็นรูปแบบบ้าน แบบต่างๆ มีตัวอักษรเพียงเล็กน้อยในแผ่นพับ ปกหลัง มีเนื้อหาหรือเป็นภาพของสินค้าตราสัญลักษณ์และที่อยู่สำหรับการติดต่อ ในการจัดวางที่ อยู่อาจไม่ได้มีความโดดเด่นมาก แต่ต้องจัดวางที่ทำให้ผู้อ่านสามารถมีข้อมูลในการติดต่อกลับได้ ขั้นตอนการออกแบบแผ่นพับใช้หลักการเดียวกับการออกแบบหนังสือ หนังสือพิมพ์หรือโปสเตอร์ ลักษณะของแผ่นพับเป็นสิ่งพิมพ์ที่มีรายละเอียดมากพอเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจ และทั่วไปจะมีการใส่เนื้อหา มากกว่าสิ่งพิมพ์ประเภทโปสเตอร์ การออกแบบแผ่นพับมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 1. ขั้นตอนการศึกษาและทำความเข้าใจกับแผ่นพับวัตถุประสงค์ของการใช้งานต้องการสื่อกับคน กลุ่มใด วิธีการสื่อสารด้วยการใช้แผ่นพับ และแนวของเนื้อหาที่ต้องทำการศึกษาก่อนว่ามีความต้องการ แนวใดสื่ออะไรที่เป็นจุดเด่นของแผ่นพับ ต้องการสื่ออะไร กลุ่มไหน มีลักษณะเช่นไร เพื่อนำมากำหนด รูปแบบของการออกแบบ และการออกแบบแผ่นพับที่สามารถสื่อถึงรูปแบบของแผ่นพับกับลักษณะของ งานได้ เช่น การทำเป็นรูปแบบบ้านเมื่อทำการพิมพ์เสร็จ และนำมาปั๊มตัดให้เป็นรูปแบบบ้านที่สามารถสื่อ ได้จากรูปร่างของแผ่นพับ 2. ขั้นตอนการกำหนดรูปแบบหน้าแรกที่ประกอบไปด้วยหัวพาดหัวรอง ประเด็นที่สำคัญที่ทำให้ ผู้อ่านสนใจเรื่องภายในแผ่นพับ
3. ขั้นตอนการออกแบบใช้การจัดวางในการออกแบบโดยการใช้ตารางกริด การจัดวางที่มีการ แบ่งตารางสำหรับการจัดวางหน้าสิ่งพิมพ์ แต่ในการออกแบบแผ่นพับใช้หลักการออกแบบและการจัดวาง องค์ประกอบทางศิลปะสามารถเลือกใช้ได้ในการออกแบบแผ่นพับ การเลือกการจัดองค์ประกอบการเลือก แบบใด ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับต้องการเน้นจุดใดและลักษณะของการเน้นแบบใดเพื่อสร้างจุดเด่นของแผ่นพับ สิ่งพิมพ์ในกลุ่มการใช้เฉพาะธุรกิจ สิ่งพิมพ์ที่ใช้การดำเนินธุรกิจใช้สิ่งพิมพ์ที่ใช้มีลักษณะต่างๆ ดังนี้ เช่น ใบเสร็จรับเงิน ใบเสนอราคา หัวจดหมาย ซองจดหมาย นามบัตร สำหรับธุรกิจที่มีสิ่งพิมพ์ย่อย ออกไปอีก เช่น ธุรกิจร้านอาหาร ได้แก่ เมนูอาหาร ที่รองภาชนะใส่อาหารและบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหาร บรรจุภัณฑ์ที่มีการพิมพ์เฉพาะเพื่อใช้รูปแบบต่างๆ บรรจุภัณฑ์ เช่น ขวดน้ำพลาสติก หรือบรรจุภัณฑ์ เฉพาะสำหรับสินค้าที่จำหน่ายวัสดุในการผลิตมีให้เลือกใช้ ได้แก่ กระดาษ แก้ว พลาสติก ไม้ ผ้า โลหะ มี ความพยายามที่มีการเลือกใช้วัสดุที่ไม่ส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้กระดาษเพื่อผลิตบรรจุ ภัณฑ์แทนการใช้วัสดุอื่นๆ ในจำพวกที่ย่อยสลายไม่ได้ จากการใช้พลาสติกและได้มีการผลิตพลาสติกที่ ย่อยสลายได้แต่ยังคงมี ราคาสูง บรรจุภัณฑ์ทำการพิมพ์ลงบนบรรจุภัณฑ์เลยหรือการพิมพ์เป็นสลากนำไป ติด ในการพิมพ์บนกระดาษหรือบนแผ่นฟิล์มที่สามารถนำไปติดบนบรรจุภัณฑ์ การออกแบบมี ส่วนประกอบดังนี้ คือ ชื่อสินค้า ตราสัญลักษณ์และรายละเอียดที่จำเป็นและมีบาร์โค๊ด (Barcode) เพื่อใช้ ในการคิดราคาของสินค้า และสัญลักษณ์อื่นๆ ที่สำคัญและจำเป็นบนบรรจุภัณฑ์ การออกแบบมีขั้นตอน เหมือนกับการออกแบบสิ่งพิมพ์อื่นๆ แต่การออกแบบโครงสร้างบรรจุภัณฑ์การออกแบบทที่นำมาขึ้นรูป เพื่อการบรรจุสินค้า และต้องสามารถรักษาผลิตภัณฑ์ภายในได้ในขณะที่ทำการขนส่งและวางจำหน่าย การเลือกระบบการพิมพ์ต้องเลือกจากวัสดุที่ใช้พิมพ์และรูปทรงของบรรจุภัณฑ์ในแต่ละแบบ จากการศึกษาของ Edyta Zielinska (2011) เรื่อง การออกแบบโปสเตอร์สำหรับงานวิจัย ด้าน วิทยาศาสตร์ โดยสอบถามกับนักวิจัยด้านวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับความต้องการของรูปแบบการออกแบบ โปสเตอร์สำหรับงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ ผลการศึกษา พบว่า การออกแบบโปสเตอร์งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ มีความจำเป็นของการ ออกแบบโปสเตอร์สำหรับงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ นักออกแบบควรต้องมีทักษะที่แตกต่างกับนัก ออกแบบโปสเตอร์อื่นๆ เพราะหากไม่มีความรู้และทักษะที่เหมาะสมอาจเกิดความผิดพลาด ทำให้เกิด ความรู้สึกที่ไม่ดีต่อผู้อ่านงานการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ และมีข้อเสนอแนะในการออกแบบโปสเตอร์ สำหรับงานประชุมวิชาการด้านวิทยาศาสตร์ สรุปแนวคิดในการออกแบบ ได้ดังนี้ 1. ควรมีการวางแนวการออกแบบจากผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบเฉพาะด้านที่เข้าใจเนื้อหา เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ร่วมกับนักวิจัยในการออกแบบโปสเตอร์งานวิจัย ด้านวิทยาศาสตร์ที่มีสัญลักษณ์ เฉพาะศาสตร์ 2. จำนวนของเนื้อหาควรไม่มากเกินไปที่นำมาใส่ในโปสเตอร์และมีความพอดีตามขนาดที่กำหนด 3. แนวทางในการอ่านควรเป็นแนวตั้งและอ่านจากซ้ายไปขวา 4. เลือกใช้ตัวอักษรที่ทำให้โปสเตอร์มีความโดดเด่นและไม่ควรเกิน 2-3 แบบ 5. ไม่ควรใส่ข้อสรุปไว้ด้านต่างๆ ของโปสเตอร์ไว้ในส่วนอื่น แต่ควรเอาไว้ด้านบนของคอลัมน์ขวา สุด
6. ขนาดตัวอักษรควรทำให้ใหญ่และทำให้อ่านได้ง่าย ตัวอย่างเช่น ชื่อ เรื่องควรใช้ ขนาด 85 pt ส่วนหัวเรื่อง 36 - 44 pt และในส่วนเนื้อเรื่อง 24 - 34 pt สรุปได้ว่าการออกแบบโปสเตอร์ในงานวิชาการ การสร้างจุดเด่นและความถูกต้องของเนื้อหาและ การใช้สัญลักษณ์เฉพาะมีความสำคัญและการอ่านง่ายมีเนื้อหาที่ไม่มากเป็นต่อการอ่าน แต่ควรไม่น้อยเกิน ความเข้าใจของเนื้องาน การใช้กฎของการถ่ายภาพในการออกแบบ การถ่ายภาพด้วยกล้องดิจิทัลเป็นเทคโนโลยีในการสร้างภาพที่มีความสะดวกมากขึ้น ดังนั้น การถ่ายภาพควรต้องยึดหลักของการถ่ายภาพ การจัดวางองค์ประกอบที่มีลักษณะหรือมุมมองตาม หลักการออกแบบและเทคนิคของการถ่ายภาพ เพื่อให้ได้ภาพถ่ายออกมาที่มีจุดสนใจและมีการจัดวางตาม หลักการจัดองค์ประกอบทางศิลปะ และควรต้องมีความงามทางศิลปะและตามหลักการออกแบบ เมื่อนำ ภาพมาใช้ประกอบการในผลิตสิ่งพิมพ์จะต้องเป็นส่วนที่เสริมคุณค่าของงานได้และในการจัดวางหน้า สิ่งพิมพ์สามารถประยุกต์ใช้หลักของการถ่ายภาพ เพื่อใช้ในการจัดวางหน้าสิ่งพิมพ์ให้มีลักษณะตามกฎ ของการถ่ายภาพ โดยมีรายละเอียด ดังนี้ กฎสามส่วน (Rule of Thirds) กฎสามส่วน เรียกได้ว่าการจัดวางองค์องค์ประกอบที่นิยมมากในการจัดองค์ประกอบศิลปะ ทางการถ่ายภาพ ซึ่งกล้องถ่ายภาพได้บรรจุกฎข้อนี้เข้าในช่องมองภาพ (View Finder) กฎสามส่วน โดย ประกอบไปด้วยเส้น 4 เส้น ที่แบ่งภาพเป็นส่วนละเท่าๆ กัน แนวตั้งสองเส้นและแนวนอนสองเส้น เป็น ภาพสี่เหลี่ยมแนวนอน 3 ช่องและแนวตั้งอีก 3 ช่อง การใช้กฎข้อนี้วางสิ่งสำคัญของภาพไว้บนเส้นใดเส้น หนึ่ง หรือจุดตัดของเส้นทั้ง 4 เส้น ในส่วนของการว่างแบบกฎสามส่วนเป็นลักษณะของการจัดวางที่มี ช่องว่าง (Space) การจัดวางหน้าสิ่งพิมพ์การมีช่องว่างเพื่อสร้างจุดเด่นหรือเพื่อการพักสายตาการวาง จุดสำคัญของภาพตามแนวเส้นแบ่งหรือจุดตัด
ภาพที่ 2.42 กฎสามส่วน ที่มา : วรพจน์ ส่งเจริญ ความสมดุล (Balance) การสร้างสมดุลในการสร้างแบบตรงกลางให้มีความสมดุลทั้งสองข้างเท่ากัน เมื่อแบ่งจากตรง กลางภาพออก ที่เป็นความสมดุลแบบสมมาตร และการสร้างสมดุลแบบอสมมาตร คือ วางจุดสนใจไว้ด้าน ใดด้านหนึ่งของภาพไม่อยู่กึ่งกลางภาพ เพื่อให้ภาพเกิดสมดุล Galer, M. (2008) กล่าวว่า ความสมดุลไม่ จำเป็นต้องเป็นภาพที่มีความสมดุลทั้งสองข้างเท่ากันถึงเป็นภาพที่สมบรูณ์ ในทางตรงกันข้ามความ กลมกลืนหรือความแตกต่างนับเป็นปัจจัยของความสมดุลได้เช่นกัน ภาพที่ 2.43 ความสมดุล ที่มา : ปวงกร ไตรรัตน์ เส้นนำสายตา และความรู้สึกเคลื่อนไหว (Leading Lines and Movement) โดยธรรมชาติของมนุษย์เวลามองภาพสายตาถูกนำโดยเส้นที่มีอยู่ หากใช้เส้นที่มีอยู่ในธรรมชาติ มาใช้นำสายตา สร้างความรู้สึกของจังหวะ การเคลื่อนไหว เป็นส่วนหนึ่งขององค์ประกอบภาพให้ได้ มุมมองภาพที่มีความน่าสนใจ โดยมีเส้นโค้ง เส้นตรง เส้นเฉียง เส้นทแยงมุม ที่มีอยู่ในธรรมชาตินำสายตา ไปสู่จุดที่ต้องการเน้น หรือจุดสำคัญของภาพ การใช้หลักการออกแบบโดยการใช้ทิศทางและการ เคลื่อนไหวให้เป็นส่วนของการสร้างจุดแห่งความสนใจได้
ภาพที่ 2.44 เส้นนำสายตาและความรู้สึกเคลื่อนไหว ที่มา : วรพจน์ ส่งเจริญ, ชญาดา แมกเนอร์ รูปแบบซ้ำๆ (Patterns) การจัดองค์ประกอบด้วยการใช้ความซ้ำๆ ในการจัดวางหรือการออกแบบโดยวางอย่างเป็น ระเบียบหรือไม่เป็นระเบียบ ของรูปทรงที่สมดุลแบบสมมาตรหรือแบบอสมมาตร โดยหาจุดสนใจใน รูปทรงเหล่านั้น และนำเสนอมุมมองซ้ำๆ อาจสร้างความแปลกแตกต่างไปจากที่มองเห็นสอดคล้องกับ Van Een00, C., (2013) กล่าวว่า การสร้างจุดเด่นในภาพด้วยการใช้ความซ้ำๆ นำเสนอแนวคิดของภาพ ให้มีมุมมองของการเคลื่อนไหว และการเว้นพื้นที่ว่างของภาพเป็นจังหวะให้มีความซ้ำๆ เพื่อสร้างจุดเด่น ของภาพเพิ่มได้
ภาพที่ 2.45 รูปแบบซ้ำๆ ที่มา : วรพจน์ ส่งเจริญ การกำหนดมุมมอง (Viewpoint) การถ่ายภาพหรือจัดวางองค์ประกอบต้องคิดเสมอว่าและการมองภาพจากมุมไหนที่ให้เกิดความ น่าสนใจ หรือแก้ปัญหาที่มีอยู่ในภาพได้ เช่นการถ่ายภาพจากมุมต่ำ มุมสูง ระดับสายตา ทางซ้ายหรือ ทางขวา จากด้านหน้า-หลัง ซึ่งสอดคล้องกับ Galer, M., (2008) กล่าวถึงมุมมอง หรือจุดที่แตกต่าง ควร ทบทวนดูวัตถุที่ต้องการนำเสนอให้ครบทุกมุมมอง ควรมองในด้านที่ไม่คุ้นเคยซึ่งการนำเสนอในมุมมองที่ แตกต่างอาจทำให้การจัดองค์ประกอบน่าสนใจมากขึ้น
ภาพมุมต่ำกว่าระดับสายตา (Lower Eyes Level) ภาพมุมต่ำ (Low Level) ภาพมุมสูง (High Level) ภาพที่ 2.46 กำหนดมุมมอง ที่มา : วรพจน์ ส่งเจริญ ฉากหลัง (Background) การถ่ายภาพในสิ่งที่คิดว่าน่าสนใจแล้ว แต่พอดูภาพที่ออกมาดูเหมือนไม่โดดเด่นอย่างที่คิด จุด สนใจอยู่ในฉากหลังที่ยุ่งเหยิงจนดูสับสน การเลือกฉากหลังที่เหมาะสม เรียบง่าย หรือตัดกันกับวัตถุช่วย ให้จุดสนใจดูเด่นขึ้น ภาพที่ 2.47 ฉากหลัง ที่มา : วรพจน์ ส่งเจริญ, ปวงกร ไตรรัตน์
มิติความลึก (Depth) เนื่องจากภาพถ่ายเป็นภาพ 2 มิติ การจัดองค์ประกอบควรให้ได้ความรู้สึกเสมือนจริงในมิติของ ภาพ กฎการสร้างความลึกของภาพใช้หลักการซ้อนกันของวัตถุ ฉากหน้า และฉากหลัง ในภาพให้มีส่วนที่ ทับซ้อนกันบางส่วน สร้างความรู้สึกของมิติให้เกิดขึ้น Galer, M., (2008) การมีวัตถุที่มีความเข้มแตกต่าง ในภาพช่วยบ่งบอกมิติ ภาพที่ 2.48 มิติความลึก ที่มา : ปวงกร ไตรรัตน์ กรอบภาพ (Framing) การสร้างกรอบภาพในการถ่ายภาพ (Framing from Environment) สามารถทำกรอบของภาพ ได้จากสภาพแวดล้อมจากธรรมชาติ เช่น ภูเขา ถ้ำ ต้นไม้ เมื่อจัดวางสิ่งเหล่านี้ไว้ที่ขอบภาพเมื่อจัด องค์ประกอบและให้จุดสนใจที่อยู่ตรงกลางภาพให้เด่นขึ้นมา
ภาพที่ 2.49 กรอบภาพ ที่มา : วรพจน์ ส่งเจริญ, ชญาดา แมร์กเนอร์ การเน้นภาพโดยถ่ายใกล้ และลดทอนส่วนที่ไม่จำเป็น (Close up and Cropping) รูปหลายๆ รูปไม่น่าสนใจเพราะว่า จุดสนใจ ที่สำคัญของภาพมีขนาดที่เล็กเกินไป หรืออยู่อย่าง กลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อม การเข้าไปใกล้ๆ วัตถุ และตัดส่วนที่ไม่สำคัญออกไป เน้นเฉพาะส่วนที่ สำคัญเท่านั้น การเพิ่มโอกาสให้ได้มองเห็นในจุดสนใจของภาพที่ต้องการนำเสนอได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันอาจเปิดมิติใหม่ของภาพนั้น เช่น ภาพที่เสมือนจริง ถ่ายทอดเรื่องราวหนึ่ง เมื่อมีการตัดทอน สิ่งรอบๆ ออกไป อาจมีความหมายใหม่ในภาพ ภาพที่ 2.50 ภาพการเน้นภาพโดยถ่ายใกล้ และลดทอนส่วนที่ไม่จำเป็น ที่มา : ปวงกร ไตรรัตน์
สัดส่วนทองคำ (Golden Design) สัดส่วนทองคำมีมาตั้งแต่สมัยกรีก โดยมีหลักการกำหนดสัดส่วนคือการแบ่งสัดส่วนด้วย กำหนด ช่องจากเส้นโค้งเหมือนกับก้นหอยในส่วนที่เป็นจุดเด่นอยู่ที่ก้นหอย มีการนำมาใช้กับงาน ศิลปะต่างๆ งาน ถ่ายภาพและงานการพิมพ์ สามารถใช้การจัดวางในลักษณะนี้ได้ที่ให้ภาพที่ได้มีความสวยงามตามหลักการ จัดวางแบบสัดส่วนทองคำ ภาพที่ 2.51 สัดส่วนทองคํา ที่มา : ชญาดา แมร์กเนอร์ การผสมผสานและทดลอง (Mixing and Experimentation) การผสมผสานทำให้ได้มุมมองของภาพที่แตกต่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคของกล้องถ่าย ภาพ แบบดิจิทัล ทำให้สามารถทดลอง สร้างสรรค์ ผสมผสาน จากกฎต่างๆ ที่ได้เรียนรู้เข้าด้วยกันสามารถทำได้ โดยไม่ต้องกังวลว่าต้องใช้เวลาในการล้าง อัด ขยายรูปที่ยาวนานก่อนที่ได้เห็นภาพ หรือแม้ถ่ายรูปมากขึ้น เท่าที่ต้องการที่ไม่ต้องกังวลกับค่าใช้จ่ายในการซื้อฟิล์มถ่ายภาพเพิ่มขึ้น จึงสามารถทดลอง การจัด องค์ประกอบแบบต่างๆ ได้มากเท่าที่ต้องการ ภาพไหนที่ไม่ชอบสามารถลบทิ้งไปได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพิ่มขึ้นแต่อย่างไร การผสมผสานจากการใช้กฎหลายๆ ข้อ ในสถานการณ์ที่เหมาะสมเข้าด้วยกัน ตลอดจนการทดลองหากฎเกณฑ์หรือหลักการใหม่ๆ สามารถทำให้งานมีความแปลกใหม่เพิ่มขึ้น
ภาพที่ 2.52 การผสมผสานและทดลอง ที่มา : วรพจน์ ส่งเจริญ, ปวงกร ไตรรัตน์, ชญาดา แมร์กเนอร์ สรุป กฎในการถ่ายภาพมีการแบ่งออกได้หลายรูปแบบ แต่ที่นำมาเสนอโดยการรวมกฎที่ ใกล้เคียงกันเข้ามารวมกันเพื่อเป็นแนวทางของการจัดองค์ประกอบในการถ่ายภาพ และการนำกฎของการ ถ่ายภาพมาประยุกต์ใช้กับการออกแบบสิ่งพิมพ์ในการจัดวางหน้าสิ่งพิมพ์ที่สร้างจุดเน้นต่างๆ ตามการจัด องค์ประกอบตามกฎการถ่ายภาพหรือการใช้เทคนิคการถ่ายภาพที่สร้างลักษณะของภาพออกมาจัด องค์ประกอบภาพ โดยกฎที่ใช้และมีความสอดคล้องกันในเรื่อง การใช้เส้น สี รูปทรงที่นำมาจัดวางรวมกัน และให้มีการจัดวางตามหลักการจัดองค์ประกอบทางศิลปะที่มีส่วนที่ใช้หลักการเหมือนกันและแตกต่างกัน ในบางเรื่อง ซึ่งสามารถนำมาผสมผสานกัน เพื่อให้การออกแบบที่มีความแตกต่างและตรงตาม วัตถุประสงค์ของการใช้งาน ได้แก่ การเว้นช่องว่าง การวางแบบสมดุล เอกภาพ จุดเน้นแห่งความสนใจที่มี ลักษณะการถ่ายภาพโดยการเน้นด้านหน้าชัดหลังไม่ชัด การสร้างกรอบจากธรรมชาติ เส้นนำสายตามาใช้ ในการจัดวางองค์ประกอบของภาพถ่าย
สีนับว่าเป็นส่วนสำคัญของการออกแบบและยังเป็นส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์ต่างๆ สีตามหลักทฤษฎีสีเป็นพื้นฐานของการออกแบบ สีมีผลต่ออารมณ์ช่วยโน้มน้าวจิตใจให้มี ความรู้สึกจากการเห็นสีต่างๆ ในการออกแบบสิ่งพิมพ์ต้องมีความรู้ความเข้าใจถึงวัฒนธรรม การใช้สีที่มีผลต่อวัฒนธรรมและการสื่อถึงอารมณ์ในการเห็นสีเพื่อให้การเลือกใช้สีไม่ขัดต่อ ความรู้สึกที่มีความแตกต่างแต่ละวัฒนธรรมในท้องถิ่นหรือชุมชน การจัดการสีเป็นส่วนหนึ่งของการถ่ายทอดสีเพื่อไม่ให้เกิดความผิดเพี้ยนหรือเรียกได้ว่า ให้มีความเพี้ยนสีน้อยที่สุด ตัวอย่างเช่นสีของเครื่องหมายการค้าซึ่งต้องมีสีที่เหมือนกันกับสีที่ กำหนด การใช้สีเพื่อความสวยงามต้องคำนึงถึงการใช้สีส่งผลต่อการมองเห็นและเพื่อการสร้าง เอกลักษณ์ให้กับสินค้าขององค์กร - สีแบบเติมเต็มหรือแม่สีบวก (Additive Color) - สีแบบหักลบหรือแม่สีลบ (Subtractive Color) - การจัดการสี (Color Management) - แผ่นเทียบสี (Color Guide) - การทำงานของ (ICC Profile)
บทที่ 3 สีและการจัดการสี (Color and Color Management) การเกิดปรากฎการณ์ของแสงตกกระทบวัตถุ คือ การสะท้อนแสง การดูดกลืนของแสงและการ หักของแสง แสงสีขาวในธรรมชาติประกอบด้วยแสง 3 สี ได้แก่ แสงสีแดง แสงสีเขียวและแสงสีน้ำเงิน การเกิดปรากฎการณ์ทั้งสามอย่างของแสงตกกระทบกับวัตถุขึ้นอยู่กับสมบัติความทึบแสง ความโปร่งแสง ค่าดัชนี้การหักเหของแสง และสีของวัตถุที่ตกกระทบเป็นปรากฎของสีในการมองเห็น คือปริมาณของแสง ที่สะท้อนออกจากวัตถุ เช่น หมึกพิมพ์สีเหลืองจะดูดกลืนแสงสีน้ำเงินและสะท้อนสีเหลือง จากคำถามสีคืออะไร? สีของแสง การรับรู้ที่เกิดจากสมองของมนุษย์ในการเห็นสีต่างๆ ที่เกิดแสงสะท้อนจากวัตถุที่มีแสงมาตก กระทบมีความถี่ที่แตกต่างกัน หากไม่มีแสงก็ไม่มีการเกิดขึ้นของสี แสงเป็นประเภทของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เหมือนกับคลื่นวิทยุ แต่แสงมีความถี่ที่มากกว่าและช่วงความยาวของคลื่นที่สั้นกว่า ตาของมนุษย์สามารถ รับความถี่ได้ในปริมาณที่จำกัด เรียกว่า “แสงที่มองเห็นได้" แสงที่มองเห็นได้มีขอบเขตตั้งแต่แสงสีแดง มี ความยาวช่วงคลื่นประมาณ 700 นาโนเมตร จนไปถึงสีน้ำเงินหรือสีม่วงซึ่งมีความยาวคลื่นประมาณ 400 นาโนเมตร และมีสีอื่นประกอบอยู่รอบคลื่นสีแดง เรียกว่า รังสีอินฟาเหรด (Infrared Ray) มนุษย์รับรู้ คลื่นนี้เป็นความร้อน และต่ำกว่าคลื่นสีม่วง คือ รังสีอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet Ray) ซึ่งมีพลังงานมาก และสามารถทำให้ผิวเป็นสีแทนได้เมื่อแสงประกอบไปด้วยปริมาณที่เท่ากันในแต่ละความยาวคลื่นในช่วง ที่สามารถมองเห็นได้ของสเปกตรัม (Spectrum) และเมื่อกระทบกับตาของมนุษย์เห็นเป็นสีขาว เช่น แสง เวลากลางวัน สี เป็นปรากฏการณ์การทางธรรมชาติที่เกิดจากการแสงตกกระทบลงบนวัตถุ และมีการสะท้อน กลับส่วนหนึ่งจะถูกดูดกลืน และส่วนหนึ่งสะท้อนเข้าตาทำให้สามารถรับรู้ถึงแสงของสีวัตถุนั้น โดยปกติใน การมองเห็นแสงของมนุษย์อยู่ในช่วงคลื่นประมาณระหว่าง 400-700 นาโนเมตร ในรูปของคลื่น แม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Spectrum) ในรูปของแสงอัตราไวโอเลต (UV) เป็นช่วงคลื่นที่ต่ำ กว่า 400 นาโนเมตร ในช่วงนี้ตาของมนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้และในรูปของแสงอินฟาเรดที่มีช่วงคลื่น สูงกว่า 700 นาโนเมตร ซึ่งตาของมนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้เช่นกัน สีแบ่งออกเป็น 2 แบบ ดังนี้
ภาพที่ 3.1 ช่วงความยาวคลื่น ที่มา : http://www.shadesdaddyblog.com/typos-rayban-sunglass-lenses/ เมื่อแสงขาวตกกระทบกับพื้นผิวบางส่วนของวัตถุ แสงถูกดูดกลืนลงไปพื้นผิวของวัตถุและ บางส่วนเกิดการสะท้อน สีที่เห็นเกิดจากการสะท้อนของคลื่นแสง ซึ่งพูดได้ว่าแสงถูกกรองโดยพื้นผิวที่สีไป ตกกระทบ เช่น สนามหญ้ามีสีเขียวในเวลากลางวันเพราะพื้นผิวของหญ้าสะท้อนสีเขียวและดูดกลืนสีอื่น ทั้งหมดทำให้มองเห็นเป็นสีเขียว ตาและสี จอตาของมนุษย์ถูกปกคลุมไปด้วยตัวรับแสง เรียกว่า เซลล์รูปแท่ง (Rods) และเซลล์รูป กรวย (Cones) เซลล์รูปแท่ง (Rods) ที่มีความไวต่อแสง แต่ไม่มีความไวต่อสี ด้วยการใช้เซลล์รูปแท่ง (Rods) ในการมองแสงที่สีขาวในเวลากลางวันและสีดำเวลามืด ภาพที่ 3.2 การมองเห็น ที่มา : http://enchroma.com/technology