The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การออกแบบและการผลิตสิ่งพิมพ์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ประทุมทอง ไตรรัตน์, 2023-06-06 00:42:01

การออกแบบและการผลิตสิ่งพิมพ์

การออกแบบและการผลิตสิ่งพิมพ์

Keywords: การออกแบบและการผลิตสิ่งพิมพ์

สัดส่วนของตัวอักษร คือ สัดส่วนของความกว้างและความสูงของตัวอักษร การกำหนดรูปแบบ ของตัวอักษรในการออกแบบแต่ละตัวต้องให้สัดส่วนที่เห็นแล้วมีความสัมพันธ์กัน และต้องเป็นขนาด สัดส่วนที่ไม่ผิดจากมาตรฐาน หมายถึง ความเท่าและความกว้างของตัวอักษร เช่น ตัว ก ค ต ฆ ฉ ที่มี ลักษณะตัวแบบนี้มีความกว้างเท่ากันของรูปแบบและเป็นสัดส่วนกับตัวอักษร เช่น ข ช ซึ่งมีความกว้าง เท่าแบบแรกไม่ได้ เพราะทำให้เกิดความสับสนได้ สัดส่วนของอักษรทุกตัวต้องสัมพันธ์กันและต้องไม่ ขัดแย้งกันมากจนเกินไป และให้ได้ส่วนกันของความกว้างและความสูงของตัวอักษรเกือบทุกตัวต้องได้ส่วน กันเสมอ โครงสร้างของตัวอักษร การออกแบบตัวอักษรต้องพิจารณาถึงลักษณะของโครงสร้าง ตัวอักษร การศึกษาลักษณะโดยรวมของตัวอักษร ส่วนประกอบของเส้นที่ประกอบกันเป็นตัวอักษร การออกแบบ ต้องจัดกลุ่มตัวอักษร ที่มีลักษณะคล้ายกันแบ่งให้เป็นหมวดหมู่ เพื่อให้โครงสร้างมีขนาดสม่ำเสมอกัน และ รายละเอียดของโครงสร้างของตัวอักษรทั้งหมดมีความสัมพันธ์กันโดยตลอด ขนาดของตัวอักษร ขนาดของตัวอักษรไทยและภาษาอังกฤษมีขนาดความกว้างและความสูงไม่ เท่ากัน บางตัวกว้าง บางตัวแคบ โดยมีลักษณะที่แตกต่างและแบ่งออกได้ดังต่อไปนี้ 1. ตัวอักษรที่มีขนาดความกว้างและสูงปกติ เท่ากัน เรียกว่าอักษร “ตัวเต็ม” ได้แก่ อักษร ก ค ต บ ผ น พ และภาษาอังกฤษนั้นแบ่งออกเป็นแบบตัวพิมพ์ใหญ่ที่มีขนาดความกว้าง แบบปกติ เช่น A B D E F G H M N O P เป็นต้น 2. ตัวอักษรที่มีความกว้างกว่าปกติ ซึ่งมีขนาดกว้างกว่าแบบครึ่งตัว เรียกว่าอักษร “ตัวครึ่ง" ได้แก่ ณ ญ ฒ ณ ส่วนภาษาอังกฤษ ไม่มีลักษณะตัวอักษรที่กว้างกว่าแบบปกติ 3. ตัวอักษรที่มีลักษณะแคบพิเศษ เรียกว่า “ครึ่งตัว" ในภาษาไทยไม่มีตัวอักษรที่แคบกว่าปกติ แต่มีสระที่แคบกว่าปกติและสูงกว่าตัวปกติ เช่น สระ เ ไ ใ เป็นต้น ส่วนในภาษาอังกฤษมีตัวอักษรและสระ ที่ตัวแคบกว่าปกติ ได้แก่ I i 4. ตัวอักษรและสระภาษาไทยที่มีลักษณะขนาดความกว้างปกติ แต่มีความสูงไปด้านบนและลง มาด้านล่าง เช่น ป ฝ ฤ ฎ ฏ ๆ ๆ เป็นต้น สำหรับภาษาอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่ไม่มีลักษณะที่แตกต่างกัน แต่ ลักษณะของตัวเขียนภาษาอังกฤษมีลักษณะของตัวอักษร สระที่สูงและมีส่วนลงมาด้านล่างกว่าตัวปกติ เช่น g l q g เป็นต้น พื้นที่ว่างภายในตัวอักษรและรอบตัวอักษร เป็นส่วนการกำหนดความกว้างของตัวอักษรจาก พื้นที่ว่างภายในที่เป็นส่วนของพื้นที่ว่างที่ทำให้เส้นของตัวอักษรที่ได้ออกแบบไว้ เช่น เดียวกับพื้นที่ว่าง รอบตัวอักษร เพราะพื้นที่ส่วนนี้เป็นส่วนที่เมื่อนำตัวอักษรไปทำการเรียงพิมพ์ต่อกันเป็นคำแล้วมีพื้นที่ว่าง ระหว่างตัวที่เหมาะสมกับการมองเห็นและสามารถอ่านได้ง่าย


เส้นตัวอักษร เป็นเส้นแสดงถึงลักษณะของตัวอักษรตามการออกแบบ เส้นที่เท่ากันหรือไม่เท่ากัน ในแต่ละตัวที่มีความหนา-บาง ตรงไหนอย่างไร ขึ้นอยู่กับการออกแบบได้กำหนด ลักษณะของตัวอักษรให้ มีความหนาบางของเส้น ตัวอักษรบางแบบอาจเป็นเส้นหนา บางแบบอาจเป็นเส้นบางหรืออาจเป็น ลักษณะเส้นหนาบางรวมกัน หนาเท่ากันหมด บางเท่ากันทุกตัว หรือเส้นแนวดิ่งเป็นแบบเส้นหนา เส้นแนว ราบต้องเป็นเส้นบาง ขึ้นอยู่กับลักษณะที่กำหนดในการออกแบบ แต่ทุกตัวควรต้องมีลักษณะที่เหมือนกัน เมื่อนำไปเรียงพิมพ์เป็นคำแล้วไม่สร้างความยุ่งยากในการอ่าน ซึ่งแตกต่างกับการออกแบบตัวอักษรที่ใช้ใน การออกแบบตราสัญลักษณ์ (Logo) จะออกแบบเฉพาะตัวอักษรที่มีอยู่ในตรานั้นเท่านั้นไม่ได้ออกมาครบ ทั้งหมด หัวของตัวอักษร ตัวอักษรภาษาไทยหากเป็นแบบที่เหมาะกับการเรียงพิมพ์ข้อความในส่วนของ เนื้อหานิยมใช้ตัวอักษรที่มีลักษณะของหัวแบบเด่นชัด การออกแบบตัวอักษรภาษาไทยส่วนใหญ่เป็น ตัวอักษรที่มีหัวแต่การออกแบบอาจมีรูปแบบหัวแบบที่เรียกว่าไม่มีหัวแต่ในความเป็นจริงคือ ลักษณะของ ตัวอักษรที่มีหัว และการกำหนดรูปแบบของหัวให้เป็นแบบใดต้องเป็นแบบเดียวกันตลอด การออกแบบหัว อักษรต้องให้มีความสอดคล้องกับรูปแบบโดยรวมของตัวอักษรให้ง่ายกับการมองเห็นและการอ่านได้ง่าย ความสวยงามเป็นส่วนหนึ่งของการกำหนดรูปแบบให้สอดคล้องกัน ในการกำหนดตำแหน่งและขนาด ของหัวตัวอักษรต้องเท่ากัน สำหรับตัวอักษรที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันหรือลักษณะคล้ายกันแบบหัวตัวอักษร อาจเป็นแบบกลม แบบเหลี่ยม มีลักษณะโปร่ง แบบหัวตัด ช่องไฟของตัวอักษร การกำหนดระยะห่างของตัวอักษรเมื่อนำเอาเรียงกันแล้วให้เป็นคำมี ระยะห่างที่ทำให้อ่านได้ง่ายดูแล้วสบายตา การจัดช่องไฟของตัวอักษรต้องกำหนดระยะระหว่างตัวอักษร แต่ละตัวที่ต้องมีระยะห่างกันในระยะที่เหมาะกับการนำมาเรียงเป็นคำแล้วอ่านง่าย ไม่ติดกันหรือห่างกัน จนเกินไป การเว้นระยะช่องไฟของแต่ละตัวไม่จำเป็นต้องห่างเท่ากันแต่ต้องดูว่าขนาดและลักษณะของ ตัวอักษรแต่ละตัวของการจัดระยะห่างควรให้มีความสมดุลในการใช้งาน ลักษณะของเชิง ตัวอักษรภาษาอังกฤษมีเชิง (Serif) ที่เป็นแบบตัวโรมันและในปัจจุบัน การออกแบบมีลักษณะที่แตกต่างกัน เป็นแบบเชิงปลายแหลม ปลายตัดหรือเป็นเหลี่ยมขึ้นอยู่กับ การออกแบบ ในภาษาไทยการออกแบบโดยการประยุกต์จากลักษณะเชิงในภาษาอังกฤษที่มีส่วนยื่น ออกมาจากส่วนปลายของตัวอักษรในบางรูปแบบ


ตัวอย่างของการออกแบบตัวอักษรที่ต้องการสื่อสารองค์กรผ่านรูปแบบตัวอักษรเฉพาะ องค์กร ภาพที่ 4.18 ตัวอย่างการออกแบบตัวอักษร ที่มา : การวิจัยออกแบบตัวอักษรเพื่อสร้างภาพลักษณ์สายการบินโอเรียนท์ ไทยแอร์ (Orient Thai Airlines http://janesudaa.) ภาพ (Image) การใช้ภาพประกอบเพื่อนำมาใช้ในการผลิตสิ่งพิมพ์หรือการผลิตสื่ออื่นๆ จะใช้ภาพดิจิทัลซึ่งทำ ให้มีความสะดวกมากขึ้น ภาพดิจิทัลถ่ายด้วยการใช้กล้องดิจิทัลในการถ่ายภาพสามารถนำมาใช้งานได้โดย ไม่ต้องผ่านการอัดขยายภาพ และนอกจากการถ่ายภาพด้วยกล้องดิจิทัลในการวาดภาพและสร้างภาพ สามารถใช้โปรแกรมในคอมพิวเตอร์ในการวาดและสร้างภาพและยังมีภาพในอินเทอร์เน็ตที่สามารถเลือก มาใช้งานได้ ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายหรือไม่มีการเลือกใช้ภาพต้องดูว่าภาพนั้นมีลิขสิทธิ์หรือไม่อย่างไร การ เลือกใช้ภาพจึงควรต้องใช้ความเข้าใจการเลือกภาพ เพื่อนำภาพมาใช้ประกอบในงานสิ่งพิมพ์ โดยต้องดู จุดมุ่งหมายของสิ่งพิมพ์วัตถุประสงค์ เช่น เพื่อสร้างความเข้าใจ เสริมความเข้าใจ การสื่อความหมาย เพิ่ม จุดสนใจ ดังนั้นการเลือกภาพควรคำนึงถึงการสื่อความหมายให้เข้าใจมากขึ้น และใช้สื่อสารแทนการอ่าน ได้ ในส่วนการเลือกใช้ชนิดภาพแบบใด ต้องคำนึงคุณภาพของภาพที่นำมาใช้ในเรื่องของความสมบูรณ์ คมชัด และอื่นๆ โดยมีรายละเอียดในการเลือกภาพ ดังนี้


หลักการเลือกภาพประกอบ ปัจจุบันนับได้ว่าเป็นยุคของภาพดิจิทัล ไม่ว่าในการสร้างภาพด้วยการถ่ายภาพด้วยกล้องดิจิทัล และการนำภาพวาด ภาพถ่ายที่อัดด้วยกระดาษอัดภาพ หรือภาพพิมพ์ ในการนำมาผลิตใหม่ต้องสแกน ด้วยเครื่องกราด หรือการใช้แอพพลิเคชั่น (Application) ในโทรศัพท์หรือแทบเล็ตในการนำเข้าภาพ คือ การสร้างภาพดิจิทัลที่นำมาใช้ในการผลิตสิ่งพิมพ์ หลักการเลือกภาพประกอบในงานออกแบบสิ่งพิมพ์ 1. การสื่อความหมาย การเลือกภาพที่ใช้ประกอบสื่อ ควรเป็นภาพที่สื่อความหมายของเนื้อหาที่ สำคัญได้หรือเป็นภาพที่เล่าเรื่องได้ แต่ใช้ในการนำเสนอข่าวควรเป็นภาพที่สื่อสารความรู้สึกหรืออารมณ์ ตามข่าวได้เพิ่มเติมจากการอ่านเนื้อหา และเป็นส่วนที่ช่วยสร้างให้การรับรู้ของผู้อ่านได้เพิ่มขึ้น การเลือก ภาพประกอบมีความสำคัญในงานสิ่งพิมพ์เพราะภาพประกอบเป็นส่วนที่ทำให้สิ่งพิมพ์น่าสนใจมากขึ้นของ ภาพประกอบถูกเลือกมาเป็นอย่างดีแต่ในทางกลับกันการใช้ภาพประกอบที่ไม่ดีทำให้ลดคุณค่าของ สิ่งพิมพ์ลงได้เช่นกัน 2. คุณภาพของภาพ การเลือกใช้ภาพหากเป็นภาพถ่ายที่อัดด้วยกระดาษอัด ขยายภาพดูที่ความ ชัดและโทนของภาพครบถ้วนดีหรือไม่ ไม่ควรใช้ภาพที่มีโทนขาวเกินไปหรือดำเกินไป และหากเป็นภาพ ดิจิทัลขึ้นอยู่กับความละเอียดของภาพ การเลือกความละเอียดของภาพต้องคำนึงถึงระบบพิมพ์การพิมพ์ วัสดุที่ใช้พิมพ์แต่หากไม่สามารถหาภาพที่มีคุณภาพได้ตามที่ต้องการ ควรนำภาพมาทำการปรับแต่งภาพ ให้ได้คุณภาพก่อนนำไปใช้งาน 3. ความสวยงามของภาพ การเลือกภาพให้ความสวยงามของภาพเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สิ่งพิมพ์มี คุณค่าเพิ่มขึ้นได้ แต่การเลือกภาพที่สวยงามควรต้องคำนึงถึงถึงวัตถุประสงค์ของการสื่อสาร แต่สิ่งพิมพ์ที่ นำเสนอเรื่องข่าวไม่ได้คำนึงถึงความงามของภาพมากนัก แต่การเลือกภาพเพื่อสื่อสารมากกว่า แต่การ เลือกใช้ภาพควรตระหนักถึงผู้อ่านและผู้ถูกเป็นข่าว เพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีต่อการเลือกใช้ภาพที่ไม่ เหมาะสม ซึ่งอาจสร้างภาพที่ไม่ดีต่อผู้เป็นข่าวเพิ่มมากขึ้น วัตถุประสงค์การใช้ภาพประกอบสิ่งพิมพ์ มีดังนี้ - เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจ ภาพเป็นสิ่งที่มองแล้วสามารถสร้างความเข้าใจให้กับผู้อ่านเพิ่มขึ้น แล้วยังเป็นสิ่งที่มองแล้วสร้างความคิดหรือความสุขได้ - เพื่อเป็นหลักฐานอ้างอิงในการอ้างอิงบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ - เพื่อตกแต่งหน้าสิ่งพิมพ์การใส่ภาพประกอบนอกจากการสื่อสาร เพื่อสร้างความเข้าใจและการ เป็นหลักฐาน ภาพยังเป็นส่วนที่ทำให้สิ่งพิมพ์มีความสวยงามเพิ่มขึ้นหรือเป็นส่วนที่ทำให้การพักสายตา จากการอ่านมาดูภาพ


การใช้ภาพมาประกอบสิ่งพิมพ์ ซึ่งสามารถใช้ภาพลักษณะดังนี้ คือ ภาพวาดหรือภาพถ่ายที่มีโทน ต่อเนื่อง (Continuous Tone) ภาพพิมพ์ที่เป็นโทนต่อเนื่องแบบมีเม็ดสกรีน ภาพฮาล์ฟโทน (Half Tone) และภาพลายเส้น สำหรับการใช้ภาพดิจิทัล โดยการได้ภาพจากการสร้างภาพด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ในการสร้างภาพ เช่น กล้องถ่ายภาพดิจิทัล การนำเข้าภาพด้วยเครื่องกราดที่ทำการแปลงภาพจาก ภาพวาด ภาพถ่าย ให้เป็นไฟล์ภาพดิจิทัล มีรายละเอียดดังนี้ ภาพดิจิทัล (Digital Image) การเลือกใช้ภาพดิจิทัลต้องเข้าใจว่าภาพดิจิทัลมีลักษณะอย่างไร และการจัดทำภาพดิจิทัลที่ให้ รายละเอียดและเหมาะกับงานแบบใด โดยการบันทึกในรูปแบบภาพในรูปแบบใด โดยนามสกุลของไฟล์ เช่น TIFF, EPS หรือ JPEG และรูปแบบของ PDF การบันทึกภาพโดยสามารถใช้หน่วยความจำที่ลดลงแต่ คุณภาพของภาพไม่ลดลง และหากต้องการผลิตภาพดูโอโทน (Duotone) ต้องทำในขั้นตอนการทำภาพ เพื่อการส่งผลออกไปทำการพิมพ์ การจัดการรูปแบบของไฟล์ภาพนับว่ามีความสำคัญในการนำไปใช้ที่มีผล กับการย่อ ขยาย คุณภาพของภาพ ซึ่งการจัดการไฟล์ภาพ การเลือกใช้ การนำภาพจากกล้องดิจิทัลหรือ การเลือกใช้ภาพมาใช้ต้องมีการทำอย่างไร เพื่อให้ได้คุณภาพเหมาะกับการนำผลิตงานได้ตามความ ต้องการ การถ่ายภาพใช้กล้องดิจิทัลเป็นส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดในปัจจุบัน การถ่ายภาพก็เพื่อให้ได้ ภาพที่มีคุณภาพสูงหรือภาพที่เหมาะสมกับการใช้งาน ในการถ่ายภาพควรทำความเข้าใจของระบบการ ทำงานของกล้องดิจิทัล เพื่อให้สามารถจัดการใช้งานกล้องถ่ายภาพในการถ่ายภาพให้ได้ภาพที่มีคุณภาพ เพียงพอกับการใช้งาน การทำงานของกล้องดิจิทัลโดยใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นตัวเซ็นเซอร์ในการรับ แสงและประมวลผลของแสงให้เกิดเป็นภาพดิจิทัล บันทึกไว้ในรูปของไฟล์ภาพภายในกล้อง ซึ่งสามารถส่ง ต่อไปยังคอมพิวเตอร์การตกแต่งภาพสามารถตกแต่งด้วยโปรแกรมต่างๆ ที่ใช้สำหรับตกแต่งภาพ ในการ ส่งผลออกเป็นภาพหรือส่งผ่านอินเทอร์เน็ตเพื่อใช้งานในลักษณะต่างๆ ความละเอียดของภาพเกิดจากจุด เรียกว่า พิกเซล (Pixel) ซึ่งแต่ละพิกเซลทำการบันทึกข้อมูล 1 จุดภาพ เมื่อรวมกันหลายๆ จุดอัดกันแน่น จะกลายเป็นภาพที่สามารถมองเห็นได้ว่าเป็นภาพอะไร ภาพดิจิทัล มีรายละเอียดดังนี้


ภาพที่ 4.19 ภาพเชิงวัตถุ ที่มา: http://graphicdesign.stackexchange.com https://www.fastcodesign.com ภาพแบบเชิงวัตถุ (Object Graphics) เรียกว่า “กราฟิกแบบเวกเตอร์" (Vector Graphics) เป็นภาพที่สร้างขึ้นในคอมพิวเตอร์โดยให้แต่ละส่วนของภาพเป็นอิสระ การสร้างภาพโดยการคำนวณค่า ในคอมพิวเตอร์ด้วยโปรแกรมที่ใช้สำหรับการสร้างวาดภาพกราฟิก โดยลากเส้นจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง ซึ่งมีการคำนวณค่าที่แน่นอนและมีความคมชัดของภาพไม่ว่าทำการย่อขยาย ซึ่งไม่มีผลต่อคุณภาพของ ภาพ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นภาพประเภทโลโก้ (Logo) ที่ประกอบด้วยเส้นง่ายๆ เป็นเส้นตรง เส้นโค้ง สี่เหลี่ยม ตัวอักษรหรือภาพแบบอื่นๆ การสร้างภาพแบบเชิงวัตถุสามารถไล่โทนหรือใส่สี และภาพแบบนี้ยังใช้พื้นที่ ในการจัดเก็บน้อยมาก ภาพแบบเชิงวัตถุมีลักษณะดังนี้ การใช้เส้น (Outlines and Lines) การใช้เส้นเพื่อสร้างวัตถุสามารถใส่สีและกำหนดขนาดของ เส้นและเลือกรูปแบบของเส้น ได้แก่ เป็นรูปทรง เส้นโค้ง เป็นมุม เป็นต้น การเติมสีหรือเทสีลงไป (Fill) คือ การเติมสีลงในวัตถุหรือเซลที่สร้างขึ้นรูปทรงที่สร้างขึ้นด้วย เส้นที่ทำให้เกิดเป็นรูปทรงที่ถูกปิดด้วยเส้นแล้วเป็นรูปทรงต่างๆ สามารถใช้คำสั่งเพื่อเติมสี ภาพที่ 4.20 การเติมสีภาพ ที่มา : http://www.mediacollege.com/graphics/01/options-gif.html


การสร้างรูปแบบ (Patterns) คือการสร้างรูปแบบที่ประกอบด้วยกลุ่มเล็กๆ ของวัตถุที่ทำให้ซ้ำ กันโดยการกำหนดการจัดวางด้วยการกำหนดค่าตารางการจัดวางที่ทำให้เกิดภาพซ้ำที่ เหมือนกัน การไล่โทนสี (Gradients) การไล่โทนสีสามารถทำได้ในแบบเส้นตรงหรือเส้นโค้งและทำได้หลาย เส้นพร้อมกันการไล่โทนสีเพื่อให้เกิดโทนที่ลดหลั่นกัน ภาพที่ 4.21 การไล่โทนสี ที่มา : https://www.dreamstime.com/stock-illustration-dottedbackground-vectorillustrascriptive-design-words-you-should-know/ ภาพเชิงซ้อน (Knockouts) คือการทำภาพด้านหน้าให้เป็นภาพโปร่งแสงที่สามารถให้เห็นภาพ วัตถุด้านหลังได้ โดยการกำหนดให้วัตถุด้านหน้าสามารถมองทะลุเข้าไปเห็นวัตถุด้านในหรือด้านหลัง โดย การกำหนดสีแตกต่างกันและมีความกว้างที่แตกต่างกัน และรูปทรงที่เหมือนกันหรือแตกต่างการสร้างวัตถุ และการจัดวางที่ซ้อนทับกัน ความโปร่งแสง (Superimposition and Transparency) การสร้างวัตถุที่มีรูปทรงและมีการ จัดวางซ้อนทับกันอย่างมีประสิทธิภาพด้วยโปรแกรมการจัดวาง สามารถทำให้โปร่งแสงและซ้อนทับกันได้ รวมบนวัตถุต้นแบบกับวัตถุที่แตกต่างกัน


ภาพที่ 4.22 การจัดวางที่ซ้อนทับด้วยความโปร่งแสง ที่มา : https://99designs.com/blog/tips/15-descriptive-design-words-you-should-know/ กราฟิกพิกเซล (Pixel Graphics) คือการแบ่งออกเป็นช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ของสีที่เหมือนกับ กระเบื้องโมเสดเป็นองค์ประกอบของภาพหรือตัวอักษร การเรียงตัวของพิกเซลรูปแบบที่แตกต่างกัน โดย การสร้างภาพพิกเซลทำได้ดังนี้ - สร้างโดยการใช้เครื่องกราดภาพ จากฟิล์มที่เป็นฟิล์มสไลด์หรือฟิล์มเนกาทีฟ เขียน วาดหรือ จากงานพิมพ์นำมาทำการสแกนและนำไปแปลงภาพด้วยโปรแกรมแปลงภาพ - สร้างโดยกล้องดิจิทัลสร้างภาพเป็นพิกเซลโดยตรงจากโปรแกรมในกล้องถ่ายภาพดิจิทัล - สร้างจากคอมพิวเตอร์โดยตรง ด้วยโปรแกรมวาดภาพ ภาพที่ 4.23 การวาดภาพในคอมพิวเตอร์ ที่มา : http://graphicdesign.stackexchange.com/ing-pixel-art


โหมดสี (Color Modes) ภาพพิกเซลที่ใช้สามารถเป็นสีดำและสีขาวหรือสีและมีค่าที่แตกต่าง ของสีภาพ เรียกว่า มีโหมดสีที่แตกต่าง โหมดสีที่ง่ายที่สุด คือ ภาพซึ่งมีเพียงสองสี สีดำและสีขาว และ ภาพที่มีสองสีแต่มีโทนอย่างอื่นๆ ที่มีภาพสีเทา เช่น ภาพถ่ายขาวดำ ภาพดูโอโทน ภาพสีสำหรับภาพใน โหมดสี RGB และ สี CMYK สำหรับภาพพิมพ์ 4 สี ภาพที่ 4.24 โหมดสีของ RGB และ CMYK ที่มา : https://99designs.com/blog/tips/15-descriptive-design-words-you-should-know/ จำนวนของพิกเซล (Pixel) ในภาพมีจำนวนที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับโหมดสีของภาพที่ถูก บันทึก ไว้ในหน่วยความจำที่แสดงในบิตต่อพิกเซลที่แสดงถึงจำนวนของเฉดสีที่แตกต่างกัน ตารางที่ 4.1 แสดงจำนวนบิตต่อจำนวนสี จำนวนบิต จำนวนสี 1 บิต (21 ) 2 สี 2 บิต (22 ) 4 สี 3 บิต (23 ) 8 สี 4 บิต (24 ) 16 สี 5 บิต (25 ) 32 สี 6 บิต (26 ) 64 สี 7 บิต (27 ) 128 สี 8 บิต (28 ) 256 สี 10 บิต (210) 1,024 สี 12 บิต (212) 2,024 สี 14 บิต (214 ) 16,384 สี 16 บิต (216 ) 65,356 สี ที่มา: A Guide to Graphic Print Production


ภาพที่ 4.25 จำนวนของพิกเซลในการปรากฏสี ที่มา : http://www.tigercolor.com ภาพลายเส้น (Line Art) คือการแสดงเส้นพิกเซลเป็นสีดำและสีขาว โดยกำหนดค่าที่ 1 หรือ 0 ใช้หน่วยความจำเพียงเล็กน้อยในคอมพิวเตอร์ เป็นลักษณะของตัวอักษร โลโก้ หรือภาพโดยใช้ลายเส้นใน การวาด หรือการแปลงภาพให้เป็นภาพลายเส้น ภาพที่ 4.26 ภาพลายเส้น และการแปลงภาพโทนต่อเนื่องเป็นภาพลายเส้น ที่มา : https://www.shutterstock.com/th/https://www.youtube.co ภาพมีโทนหรือภาพโทนสีเทา (Grayscale Images) ภาพที่มีโทนสีเทาที่เกิดจากจำนวนของ พิกเซลตั้งแต่ 0% ถึง 100% ของสีในส่วนของสีขาวไม่มีจำนวนพิกเซลที่เป็นสีดำ (0% สีดำ) และสีดำซึ่งมี จำนวนพิกเซลเป็น (100% สีดำ) และมีโทนลดหลั่นกันลงไปตามจำนวนของพิกเซลที่ทำให้เกิดโทนตั้งแต่ โทนขาวสุดโทนกลางและดำสุดของภาพถ่ายหรือภาพวาดที่ต้องการให้มีโทนของภาพ การเกิดภาพดิจิทัล จากสีขาวเป็นสีดำถูกแบ่งออกมีขนาดที่มีจำนวนหนึ่งของสีที่ 256 ที่ 8 บิตหรือ 1 ไบต์ และขึ้นอยู่กับ หน่วยความจำในการบันทึกของจำนวนของพิกเซลที่ค่าความเข้มของภาพดิจิทัลที่ 0 ถึง 255 ความ แตกต่างสีเกิดเป็นโทนของภาพสีเดียว


ภาพที่ : 4.27 ภาพมีโทนหรือภาพโทนสีเทา ที่มา : http://www.hdwallpaperspulse.com/grayscale-wallpaper.html ภาพโทนสองสีหรือภาพดูโอโทน (Doutones : Tinted Grayscale Images) เป็นภาพที่มี การใช้สี 2 สีมาแสดงในภาพเดียวกัน โดยมีโทนลดหลั่นกันตามความเข้มของภาพ การปรับรายละเอียด ของภาพจากภาพต้นฉบับที่มีจำนวนสีตามต้นฉบับให้เป็น 2 สี เช่น สีดำกับสีแดง ภาพที่ได้ออกมามี ลักษณะเป็นสีน้ำตาล เรียกว่า สีซีเปีย (Sepia) การคำนวณค่าของภาพโดยโปรแกรมคำนวณค่า ความสัมพันธ์ของภาพออกมาเป็น 2 สีและเมื่อส่งไฟล์ข้อมูลเพื่อไปทำการพิมพ์ออกมาเป็นภาพที่มีโทน ของสีที่ใช้ผสมในส่วนต่างๆ ของภาพ การเลือกคู่สีสามารถใช้สีอื่นได้ไม่จำเป็นต้องเลือกสีดำกับสีแดง และ ในการพิมพ์ 3 สีก็ทำเช่นเดียวกัน แต่ทำการเลือกใช้สีในการแยกสีภาพของเป็น 3 สีซึ่งเรียกว่า ภาพ Tritone แต่การทำภาพสีธรรมชาติสำหรับการพิมพ์แบบ 4 สีที่ได้ภาพออกมาเหมือนภาพต้นฉบับที่ เรียกว่า Quatone ภาพที่ : 4.28 ภาพโทนสองสีหรือภาพดูโอโทน ที่มา : https://digital-photography-school.com/


โหมดสี RGB เป็นโหมดสีที่ประกอบด้วย สีแดง สีเขียว และสีน้ำเงิน เป็นสีที่แสดงทางจอภาพ แต่ ละสีมีค่าความเข้มที่แสดงด้วยจำนวนของพิกเซลตามจำนวนสีแดง สีเขียวและสีน้ำเงิน และตาของมนุษย์ สามารถมองเห็นสีที่รวมกันที่แสดงออกมาในรูปของจำนวนพิกเซลที่ทำให้เกิดโทนลดหลั่นกันของพิกเซล แสดงผลตามขนาดและความละเอียดของคุณภาพของจอภาพในการแสดงผล โครงสร้างของจำนวนพิกเซลในรูปแบบของโหมดสีแบบสี RGB ใน 8 บิต (8-Bits) สามารถแสดง ผลได้ดังนี้ 16.8 ล้านเฉดสี การแสดงสีด้วยโทนของภาพจากค่า 0 ได้สูงถึง 255 เฉดสี และหากทำการรวมสีแดง สีเขียวและ สีน้ำเงิน ตั้งแต่ค่าที่ 0 ถึง 255 (สีแดง 0 สีเขียว 0 สีน้ำเงิน 0 เป็นสีดำหรือไม่มีค่าของแสงและหากสีแดง = 255 สีเขียว = 255 สีน้ำเงิน = 255 คือแสงสีขาว) และหากเป็น 16-บิต สามารถแสดงผลได้ ดังนี้ 2 16 X 2 16 X 2 16 = 65,536 x 65,536 x 65,536 = 280 พันล้านเฉดสี การสั่งพิมพ์จากค่าโหมดสีแบบสี RGB ถูกแปลงค่าเป็นค่าสีแบบสี CMYK คือสีน้ำเงินเขียว สีม่วง แดง สีเหลือง และสีดำ ในการพิมพ์ภาพ 4 สีทางการพิมพ์ สีของระบบ LAB กำหนดค่าโดยระบบ CIELAB โดยการกำหนดค่าสีที่ค่าความสว่างเป็น L (Lvalue) การกำหนดด้วยค่าของสีขาวหรือความสว่าง และค่าของสีเขียวและสีแดงเป็น A (A-Value) และสี น้ำเงินกับสีเหลืองเป็น B (B-Value) โครงสร้างของรูปแบบสี 8 บิต มีค่าสีและจำนวนของพิกเซลที่แสดงค่าเฉดสีเป็น 2 8 × 2 8 × 2 8 = 256 × 256 × 256 = 16.8 ล้านเฉดสี ในการมองเห็นสีของมนุษย์ตามระบบสีแบบ LAB ที่มีความกว้าง มากเท่าที่สายตามนุษย์มองเห็นได้มีขนาดกว้างมากกว่าภาพดิจิทัลปกติโดยแสดงออกมาเป็นจำนวนค่า ด้วยจำนวนของพิกเซลในโหมดปกติที่มีความแคบมากกว่า ความสามารถในการมองเห็นของมนุษย์ที่มีต่อ สีคลื่นสีที่ปรากฏ ในการแสดงผลของสีแบบ LAB 256 เฉดสี ค่าของ L ประมาณ 50 เฉดสีที่ 256 ใน A และ B เป็น 256 × 50 × 50 = 640,000 เฉดสีจาก 16.8 ล้านเฉดสี ของเฉดสีที่มีค่าความต่างและในการ กำหนดค่าแบบ LAB มีการแทนค่าด้วยโหมดภาพสี RGB ที่นำไปใช้แสดงผลผ่านหน้าจอภาพ โหมดสี CMYK ในการพิมพ์ภาพพิมพ์ 4 สี คือ สีน้ำเงินเขียว สีม่วงแดง สีเหลือง และสีดำ เรียกว่า การพิมพ์ 4 สี ซึ่งการแปลงค่าโหมดสี RGB โดยการแยกสีผ่านการแปลงค่าจากโทนสีเทา (Grayscale) ให้เป็นค่าในการพิมพ์ภาพ 4 สี สำหรับการพิมพ์ซึ่งหากทำการแยกสีแล้วส่งข้อมูลลงใน แม่พิมพ์ได้ภาพพิมพ์ออกมา 4 แผ่น แต่ละแผ่นแยกออกเป็นสี CMYK และเมื่อทำการพิมพ์ทับซ้อนกันลง ในวัสดุได้เป็นภาพฮาฟโทน ซึ่งเป็นภาพโทนต่อเนื่องที่เกิดจากการลดหลั่นของเม็ดสกรีนของภาพ 4 สีจะ ใช้หน่วยความจำมากกว่าภาพในโหมดของสี RGB มากกว่า 33% ในภาพเดียว ซึ่งประกอบด้วยภาพ 4 สี


ที่ทำการแปลงค่าสีจากภาพ 3 สี เป็นภาพแบบ 4 สี คือ CMYK เป็น 256 × 256 × 256 × 256 = 4.3 พันล้านเฉดสี ซึ่งมาจากภาพในโหมดของสี RGB = 16.8 ล้านเฉดสี ภาพที่ 4.29 การแปลงสีจากสี RGB เป็นสี CMYK ที่มา : https://www.digitaprint.jp/english/tg_dtp.php โหมดสีดัชนี (Index Color Mode) ในบางครั้งอาจมีความต้องการใช้สีเฉพาะ การกำหนด ขนาดภาพดิจิทัลที่ทำให้ขนาดของไฟล์ข้อมูลเล็กลงของภาพปรากฏที่หน้าจอภาพ โดยสามารถจัดการ จำกัดจำนวนของสีในโหมดสี 8 บิต หรือ 256 สีในการกำหนดว่าสีทั้ง 256 สี ซึ่งต้องการให้เป็นสีใดบ้าง สามารถกำหนดชุดสีที่ใช้ว่าเป็นสีชุดสีใดบ้าง (แต่ต้องไม่เกิน 256 สี) โหมดสีดัชนีใช้ในกรณีของภาพแบบ GIF สำหรับเว็บไซต์ที่สร้างขึ้นในโหมดสีดัชนีสามารถแสดงได้ถึง 256 สีที่แตกต่างกัน จำนวนของสีถูก กำหนดให้เป็นช่วงสีของแต่ละสีหมายถึงทุกพิกเซลในภาพมีค่าระหว่าง 1 และ 256 ขึ้นอยู่กับช่วงสีใน โหมดสีดัชนีโดยมีเพียงพิกเซลภาพขนาดเดียวกันกับภาพระดับสีเทาเริ่มต้นด้วยภาพสี RGB โหมดดัชนีได้ กำหนดไว้ล่วงหน้า และสามารถใช้ช่วงน้อยกว่า 256 สีเพื่อลดขนาดไฟล์ข้อมูลภาพ เช่น 128 สีต้องใช้ 7 บิต 64 สี ภาพที่ 4.30 การตั้งค่าโหมดสีดัชนี ที่มา : http://www.mediacollege.com/graphics/01/options-gif.html


ภาพแบบดิบ (RAW Format) การจัดเก็บภาพด้วยการบันทึกผ่านทางตัวเซ็นเซอร์ของกล้อง ดิจิทัลสามารถจัดเก็บได้ในรูปแบบภาพดิบ ในโหมดของภาพทุกพิกเซลจะได้รับข้อมูลโดยตรงจากเซ็นเซอร์ ภาพของกล้อง และจัดเก็บข้อมูลภาพทั้งหมดที่กล้องสามารถจับภาพได้และการจัดเก็บไฟล์ข้อมูลภาพ แบบดิบมีลักษณะพิเศษ คือภาพแบบดิบประกอบด้วยไฟล์ตรงกันข้ามกับสี RGB ซึ่งมีแฟ้มสำหรับแต่ละสี ในโหมดรูปแบบภาพดิบแต่ละพิกเซล หมายถึงสีเพียง 1 สีของสีใดสีหนึ่ง เช่น สีแดง สีเขียวหรือสีน้ำเงิน สีแต่สีจะกำหนดโดยด้วยพิกเซลสีและถูกเก็บไว้ตามปกติใน 10, 12 หรือ 14 บิต (Bits) ดังนี้ 3 x 8 = 24 บิต (Bits) ในโหมดของ สี RGB เท่ากับ 1,024 และ 16,384 เฉดสี ภาพที่ 4.31 ภาพ RAW และภาพแบบ JPEG ที่มา : http://lifehacker.com/5907434 /which-format-is-best--when-you-should-shootphotos-in-jpeg-and-when-you-should-use-camera-raw ความละเอียดของภาพ (Resolution) ค่าความละเอียดของภาพดิจิทัลกำหนดจากจำนวนของ พิกเซล การสแกนภาพหรือการถ่ายภาพต้องระบุความละเอียดของภาพ ในการกำหนดความละเอียดใน การสแกนภาพด้วยความละเอียดสำหรับการพิมพ์และขนาดของภาพ การกำหนดต้องคำนึงถึงระบบการ พิมพ์และกระดาษหรือวัสดุที่ใช้พิมพ์เป็นหลัก ความละเอียดของภาพพิมพ์ประกอบไปด้วยจำนวนของ พิกเซลต่อเซนติเมตร (PPCM) หรือพิกเซลต่อ นิ้ว (1 Inch = 2.54 cm) และหากนำมาใช้ซ้ำโดยเฉพาะ นำเอาภาพที่พิมพ์แล้วมาเป็นต้นฉบับใหม่การสแกนภาพทำให้ความละเอียดของภาพลดลง


ภาพที่ 4.32 การเพิ่มความละเอียดของภาพ ที่มา: http://www.pn-design.co.uk/design_blogs/low_resolution_problems.html ความละเอียดของภาพ เช่น ภาพที่ประกอบด้วย 300 พิกเซล คือ มีความละเอียด 300 PPI (คือมี ความละเอียดใน 1 นิ้ว มีจำนวนของพิกเซลเท่ากับ 300 พิกเซล) และหากความละเอียดของภาพอยู่ใน ระดับต่ำพิกเซลมีขนาดใหญ่ และเห็นได้อย่างชัดเจนว่าภาพประกอบด้วยพิกเซลสามารถมองเห็นได้แต่ ภาพที่ความละเอียดสูงตาไม่สามารถมองเห็นพิกเซลของภาพ และภาพที่มีความละเอียดสูงเป็นภาพที่มี คุณภาพ แต่ในการจัดเก็บต้องใช้พื้นที่มากขึ้น ภาพที่ 4.33 การเพิ่มความละเอียดของภาพ ที่มา : http://www.pn-design.co.ukdesign_blogs/low_resolution problems.html การกำหนดความละเอียดสำหรับภาพโทนต่อเนื่อง พบว่าจากการแก้ปัญหาของความละเอียดของภาพที่ปรากฎในจอภาพกับความละเอียดของภาพ ในการพิมพ์ โดยต้องคำนึงถึงตามปัจจัยความต้องการพิมพ์ก่อนจะนำมากำหนดความละเอียดในการ สแกนภาพเข้าไปแสดงผลที่หน้าจอภาพ ตัวอย่างเช่นความละเอียดที่ 150 LPI (Lines Per Inch) ควร สแกนด้วยความละเอียด 300 PPI การกำหนดความละเอียดของภาพจึงมีความจำเป็นต่อการกำหนด คุณภาพพิมพ์ตามต้องการ การกำหนดรายละเอียดของภาพสูงทำให้ภาพมีคุณภาพ แต่หากไปพิมพ์ด้วย ระบบการพิมพ์และเครื่องพิมพ์ที่ไม่สามารถรองรับได้หรือวัสดุที่ใช้พิมพ์ไม่สามารถรองรับได้ การ


กำหนดค่าความละเอียดที่สูงทำให้ไม่สามารถถ่ายทอดความละเอียดออกมาได้ทั้งหมดของความละเอียด ซึ่งสิ้นเปลืองเวลาในการทำงานและพื้นที่ในการจัดเก็บไฟล์ข้อมูลภาพ เม็ดสกรีนที่ใช้ในการพิมพ์การพิมพ์ภาพเกิดจากเม็ดสกรีน เรียกว่า ภาพฮาล์ฟโทน มี การ ลดหลั่นของโทนสีอย่างต่อเนื่อง ในแต่ละสีโดยเกิดจากขนาดของเม็ดสกรีนที่มีขนาดแตกต่างกัน หรือมี จำนวนความหนาแน่นของเม็ดสกรีนที่แตกต่างกัน ในส่วนที่มีขนาดเม็ดสกรีนใหญ่หรือความหนาแน่นมาก เป็นส่วนที่มีความเข้มสีมาก และส่วนที่มีความเข้มน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนของเม็ดสกรีน และความหนาแน่น ของเม็ดสกรีนมีลักษณะดังนี้คือ - สกรีนแบบจำนวนของเม็ดสกรีนที่ไม่เท่ากัน (AM Screening) ในส่วนที่ต้องการความเข้มมี ขนาดเม็ดสกรีนใหญ่และในส่วนที่เป็นพื้นทึบ เรียกว่า พื้นตาย คือ มีเม็ดสกรีนอยู่เต็มพื้นที่ไม่มีสีขาวเลยคิด เป็นพื้นที่ 100 % ของเม็ดสกรีน และลดหลั่นกันลงในภาพที่ต้องการให้แสดงความเข้มลดลงครึ่งหนึ่งการ กำหนดจำนวนของเม็ดสกรีนที่ 50 % ของเม็ดสกรีนในบริเวณพื้นที่ที่เกิดภาพเป็นโทนกลาง และในส่วนที่ ขาวสุด ซึ่งไม่มีเม็ดสกรีนคือที่ 0 % ในพื้นที่นั้นมองเห็นสีของวัสดุที่ใช้พิมพ์เช่นสีขาวของกระดาษ ภาพที่ 4.34 AM Screening FM : Frequency Modulated Screening Hybrid Halftone Screening ที่มา : http://www.screen.co.jp/ga_dtp/en/product/screeninaspekta/do.html - สกรีนแบบขนาดเม็ดที่เท่ากัน ในการเกิดภาพเกิดจากความหนาแน่นของเม็ดสกรีนไม่เท่ากัน เรียกว่า (FM : Frequency Modulated Screening) ในส่วนที่เป็นพื้นตายมีจำนวนความหนาแน่นที่ 100% ในส่วนที่ขาวเป็น 0% การลดหลั่นขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของจำนวนเม็ดสกรีนต่อพื้นที่ ในส่วนที่ มีน้อยมีโทนสีที่อ่อนหรือเรียกว่าความเข้มน้อย - สกรีนในรูปแบบผสม (Hybrid Halftone Screening) รูปแบบการเกิดเม็ดสกรีนโดยมีการ จัดเรียงตัวของเม็ดสกรีนตามขนาด ความหนาแน่น ของจำนวนจุดสีต่างๆ และเม็ดสกรีนอาจมีขนาดใหญ่ และหนาของสกรีนแบบ AM และขนาดเล็กมากๆ ของเม็ดสกรีนแบบ FM แต่ทั้ง 2 แบบก็จะมีความเข้ม ของสีเท่ากัน ในงานพิมพ์เม็ดสกรีนจะมากหรือน้อยหรือมีความหนาแน่นในบริเวณต่างๆ ไม่เท่ากัน ซึ่งเม็ด สกรีนแบบ FM จะสามารถไล่ระดับในบริเวณที่มีสีอ่อนหรือแสงจางๆ ให้ฟุ้งๆ ได้เพื่อเก็บรายละเอียดของ ภาพได้ดีเพราะมีจุดที่เล็กแบบเม็ดฝุ่น ยิ่งมีเม็ดสกรีนหนาแน่นมากสีจะเข้มขึ้น และเม็ดสกรีนหนาแน่นน้อย


สีบริเวณนั้นจะจาง แต่ภาพที่เกิดจากเม็ดสกรีนแบบ FM จะทำให้เกิดภาพที่สีไม่เข้มพอ การใช้เม็ดสกรีน แบบ AM สร้างภาพโดยใช้ขนาดของเม็ดสกรีนขนาดใหญ่สีจะยิ่งเข้ม ซึ่งมีข้อดีคือภาพที่ออกมาจะเข้ม สี สด ชัดเจน และเม็ดสกรีนแต่ละสีซ้อนทับกันด้วยมุมที่ต่างกัน แต่ก็มีข้อจำกัดที่ไม่สามารถเก็บรายละเอียด ในพื้นที่ที่สีจางกว่าหรือสว่างกว่าได้ จึงมีการนำข้อดีของแต่ละแบบมาใช้ร่วมกันที่เรียกว่า Hybrid Screen สีที่ได้จากเทคนิคนี้จะมีความละเอียด กลมกลืน สมจริง ใกล้เคียงต้นฉบับมากที่สุด รูปทรงของเม็ดสกรีนยังมีให้เลือกใช้ได้หลาย แบบ เช่น แบบกลม แบบรี แบบเหลี่ยม ฯลฯ และ สามารถกำหนดความละเอียดได้ตามความต้องการ การใช้เม็ดสกรีนเพื่อกำหนดโทนของภาพ สามารถ นำมากำหนดการเน้นของหัวข้อหรือการนำมาใส่ในตัวอักษร เพื่อสร้างความแตกต่างของงานออกแบบได้ สำหรับการพิมพ์ภาพ 4 สี มุมเม็ดสกรีนของแต่ละสีในการพิมพ์ต้องมีมุมที่ต่างกัน เมื่อทำการพิมพ์แล้ว ไม่ได้ทับซ้อนกันแต่เหลื่อมกันเหมือนดอกกุหลาบ และสะท้อนออกมาได้เป็นภาพสีธรรมชาติ การกำหนดความละเอียดสำหรับภาพลายเส้น สำหรับภาพลายเส้นเมื่อพิมพ์ออกมาไม่ต้องการให้เห็นความละเอียดของจำนวนพิกเซลที่มีความ ขรุขระของภาพ แต่ต้องการให้ได้รายละเอียดมองเห็นภาพเป็นเส้น การกำหนดความละเอียดของภาพ ประมาณ 600 PPI ที่เหมาะสมสำหรับงานพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์เลเซอร์ที่ทำให้พิมพ์ง่ายและความละเอียด ที่ 1000-1200 PPI เหมาะกับการพิมพ์บนกระดาษเคลือบผิว และหากต้องการคุณภาพ การพิมพ์มี ความชัดบนกระดาษเคลือบต้องใช้ความละเอียดมากกว่า 1200 PPI การสแกนภาพเพื่อ พิมพ์ภาพลายเส้น โดยการสแกนภาพที่จุดดำสุดและจุดขาวสุด ภาพลายเส้นควรเพิ่มความละเอียดเป็น 1200-1800 PPI เพื่อ รักษารูปร่างและขนาดของเม็ดสกรีนขึ้นอยู่กับความละเอียดในการสแกน ตารางที่ 4.2 ตารางแสดงภาพตัวอักษรของการเลือกใช้ความละเอียดในการพิมพ์ ระบบการพิมพ์ ความละเอียด กระดาษ ความละเอียด การพิมพ์ออฟเชต 65-300 lpi กระดาษปรู๊ฟ 65-100 lpi กราวัวร์ 120-200 lpi กระดาษไม่เคลือบผิว 100-133 lpi สกรีน 50-100 lpi กระดาษเคลือบผิวแบบด้าน 133-170 lpi เฟล็กโซกราฟี 90-120 lpi กระดาษเคลือบผิวแบบมัน 150-300 lpi ที่มา: A Guide to Graphic Print Production


สำหรับการพิมพ์ด้วยระบบดิจิทัล การกำหนดรายละเอียดของความสามารถในการพิมพ์ที่ เครื่องพิมพ์แต่ละของเครื่องแต่ละรุ่นเช่นเดียวกับเครื่องที่ใช้พิมพ์งานพิมพ์จากคอมพิวเตอร์งานเอกสาร ทั่วไป การกำหนดความละเอียดควรต้องกำหนดค่าที่ต่ำกว่ารายละเอียดของเครื่องหรือเท่ากับเครื่องรุ่นนั้น สามารถทำได้ รูปแบบของไฟล์ข้อมูล (File Formats) ภาพพิกเซลถูกบันทึกไว้ในหลายรูปแบบไฟล์โดยในบางชนิดของรูปแบบไฟล์ข้อมูลมีการ กำหนด มาตรฐาน เพื่อการนำไปใช้ตามมาตรฐานอุตสาหกรรมมากขึ้นตามความแตกต่างของโหมดสีที่ใช้และตาม ความต้องการที่ใช้งาน การจัดเก็บรูปแบบของการจัดเก็บไฟล์ข้อมูลมีหลากหลาย รูปแบบ และการทำงาน ของแต่ละโปรแกรมที่สามารถกำหนดได้เหมือนกันหรือแตกต่างกัน ในรูปแบบของไฟล์ข้อมูลกำหนดว่า นามสกุลของโปรแกรมแต่ละโปรแกรมแตกต่างกันออกไป เช่น Photoshop เป็น PSD และใน Illustrator เป็น AI ได้แก่ PSD, EPS, PDF, DCS, TIFF, PICT, BMP, GIF, JPEG, PDF, เป็นต้น ภาพที่ 4.35 รูปแบบของไฟล์ข้อมูล ที่มา: https://99designs.com/blog/tips/15-descriptive-design-words-you-should-know/ PSD (Photoshop Format Directly) เป็นรูปแบบไฟล์ข้อมูลที่เป็นมาตรฐานที่มีใช้ใน โปรแกรม โฟโต้ช้อป การบันทึกข้อมูลภาพในรูปแบบที่มีการแก้ไขภายหลังโดยการบันทึกที่มีชั้นของภาพ (Layer) สามารถนำมาแก้ไขได้แต่ละชั้นเพื่อการแก้ไข AI (Adobe Illustrator) เป็นรูปแบบไฟล์ข้อมูลเมื่อนำไปย่อขยายจะทำให้ภาพไม่เสีย รายละเอียดของภาพไป (คือภาพไม่แตก) นิยมไปใช้สำหรับการบันทึกข้อมูลที่ต้องการย่อขยายภาพในการ นำไปพิมพ์หรือพริ้น ซึ่งได้ภาพที่มีความละเอียดเท่ากับความละเอียดที่กำหนดขึ้นเพื่อสามารถนำไปใช้งาน ได้กับการผลิตสื่อต่างๆ ได้


TIFF (Tagged Image File Format) เป็นรูปแบบไฟล์ข้อมูลที่นำไปต้นฉบับที่มีความ ยืดหยุ่น ของการจัดเปลี่ยนคุณภาพได้และสามารถทำการบีบอัดข้อมูลได้จากรูปแบบของการจัดทำ ICC สามารถ บีบอัดภาพในรูปแบบ TIFF ได้ 16 บิต ต่อช่องและสามารถใช้ระหว่างคอมพิวเตอร์ PC กับ Macintosh และสามารถแสดงสีของภาพได้ทั้งขาวดำและสี นิยมนำไปจัดเก็บงานเพื่อนำไปทำการพิมพ์ประเภท หนังสือหรือสิ่งพิมพ์อื่นๆ EPS (Encapsulate PostScript) เป็นรูปแบบไฟล์ข้อมูลที่สามารถดัดแปลงได้โดยสร้างขึ้น จากโปรแกรมทำเป็นภาพเวกเตอร์ (Vector) และภาพบิตแมพ ซึ่งเหมาะกับการผลิตงานพิมพ์เมื่อแยก ออกเป็นแต่ละสีที่ใช้ในการพิมพ์มีความละเอียดสูงในการพิมพ์ 4 สี คือ C M Y K Dcs (Desktop Color Separation) เป็นรูปแบบไฟล์ข้อมูลที่ใช้ในระบบการแยกสีของระบบ การพิมพ์ตั้งโต๊ะ (Desktop Publishing) แบบงานพิมพ์4 สี คือ C M Y K ลักษณะของรูปแบบไฟล์มีความ ละเอียดไม่สูงมาก PDF (Portable Document Format) เป็นรูปแบบไฟล์ข้อมูลที่สามารถเก็บได้ทั้งภาพกราฟิก ที่เป็นวัตถุและเป็นพิกเซล (Object Graphic and Pixel Graphic) ในรูปแบบของไฟล์แบบ PDF และมี มาตรฐานสูงแก้ไขได้ยาก และสามารถเปิดอ่านได้ทุกโปรแกรมที่ใช้ และยังสามารถบีบอัดข้อมูลจาก ที่ เป็นไปตามมาตรฐานของ ICC ได้หลากหลายรูปแบบที่มีการทำข้อมูลในลักษณะการเอาวัตถุมาซ้อนกัน แบบเป็นหน้ากาก (Clipping Paths) การนำภาพมาทับซ้อนกันเป็นชั้น รูปแบบภาพที่มีพื้นหลัง (Alpha Files) การทำภาพโปร่งแสง (Transparency) และรูปแบบอื่นๆ การบีบอัดข้อมูลที่มีการสูญเสียน้อยกว่า การทำข้อมูลด้วยการ ZIP และ JPEG แต่ต้องระวังไม่ให้มีการบีบอัดข้อมูลมากเกินไปในการทำไฟล์ใน รูปแบบ PDF การทำแฟ้มข้อมูลแบบ PDF ใน Adobe Photoshop และ Adobe Illustrator การเก็บ ภาพวัตถุในรูปแบบ PDF สามารถอ่านได้ทั้งในโปรแกรมของ Adobe และ Acrobat JPEG (Joint Photographic Experts Group) เป็นรูปแบบไฟล์ข้อมูลที่มีการบีบอัดเหมาะกับ การบีบอัดข้อมูลภาพที่มีรายละเอียดสูงๆ ให้มีขนาดของไฟล์ข้อมูลเล็กลงแต่ยังคง รายละเอียด การบีบอัด ภาพที่รูปแบบภาพแบบ JPEG มีวิธีการเหมือนกันในทำงานในเครื่องและโปรแกรมที่ต่างกัน และสามารถ ทำงานภาพแบบมีโทนแบบ Grayscale RGB, และ CMYK การเลือกใช้ไฟล์ข้อมูลรูปแบบต่างๆ ขึ้นอยู่กับการใช้งานและพื้นที่ในการจัดเก็บ ซึ่งมีรูปแบบของ นามสกุลต่างๆ กัน เช่น tif, .eps, jpg, jp2, pdf, .bmp, ฯลฯ การจัดเก็บไฟล์ข้อมูลมีการบีบอัดไฟล์ข้อมูล ในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้มีการจัดเก็บและสามารถส่งต่อหรือเปิดอ่านได้บนโปรแกรมต่างกันกับการใช้งาน การบีบอัดไฟล์ข้อมูลมีในรูปของแตกต่างกันได้แก่ Run Length Encoding (RLE), LZw, ZIP, CCITT, JPEG เป็นต้น


Janie Kliever (2015) ได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบการออกแบบสิ่งพิมพ์กับการออกแบบ เว็บไซต์: การออกแบบสิ่งพิมพ์กับการออกแบบเว็บไซต์เหมือนกับสองด้านของเหรียญที่มีส่วนคล้าย เหมือนและแตกต่าง โดยสรุปการเปรียบเทียบการใช้ตัวอักษรและการใช้ภาพดังนี้ 1. รูปแบบทางกายภาพของสิ่งพิมพ์กับเว็บไซต์ เช่นแผ่นพับสิ่งพิมพ์นำมาทำการพับ แต่ใน เว็บไซต์ใช้เส้นแบ่งของแต่ละหน้า 2. การสัมผัสสิ่งพิมพ์เมื่อพิมพ์ออกมาสามารถสัมผัสกับขนาดและการพิมพ์นูน แต่ในเว็บไซต์ใน การเชื่อมโยงข้อมูล ภาพเคลื่อนไหว เสียง ด้วยการดูและการฟัง 3. วงจรชีวิตของสิ่งพิมพ์เมื่อทำการพิมพ์แล้วเสร็จสิ้น หากต้องการพิมพ์อีกต้องทำการพิมพ์ใหม่ แต่เว็บไซต์สามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลาของการใช้งานที่มีความต่อเนื่อง 4. รูปแบบสิ่งพิมพ์ทำการพิมพ์บนวัสดุที่ใช้พิมพ์ออกมาตามความต้องการพิมพ์บนวัสดุ เช่น การ พิมพ์บนกระดาษ แก้ว ผ้า แต่ในเว็บไซต์ในการจัดทำปุ่มเมนูต่างๆ เพิ่มเติมการออกแบบต้องปรับให้เข้ากับ วิธีการต่างๆ ถึงลักษณะที่แตกต่างบนอุปกรณ์มีวิธีการเปลี่ยนแปลงการออกแบบไปหรือไม่อย่างไร เมื่อมี การเลื่อนซูมเข้าหรือออกเมื่อเข้ามาชมเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีในการใช้งาน 5. การออกแบบเว็บไซต์ในองค์ประกอบหลักของการสร้างประสบการณ์สำหรับผู้ใช้งานไม่ จำเป็นต้องออกแบบให้แตกต่างกันในการใช้ระบบปฏิบัติการที่แตกต่างกัน การออกแบบให้สามารถใช้งาน ได้ง่ายที่สุดและสามารถใช้กับระบบปฏิบัติที่แตกต่างกันได้ 6. การจัดวางโครงสร้างที่ประกอบด้วยเนื้อหา ภาพ กราฟิก สี ที่อยู่ในโครงสร้างในการออกแบบ ในแต่ละครั้งสำหรับสิ่งพิมพ์และยังมีข้อจำกัดของพื้นผิวของวัสดุตามความสามารถของระบบการพิมพ์ที่ใช้ พิมพ์แต่ละระบบ ในส่วนเว็บไซต์ไม่มีข้อจำกัดหรือเกือบไม่มีสามารถกำหนดได้หลากหลายอาจมีความ แตกต่างกันเนื่องจากการใช้อุปกรณ์ที่แตกต่างในการรับชม 7. การกำหนดพื้นที่พิมพ์สำหรับสิ่งพิมพ์ และขนาดสามารถกำหนดได้หลากหลาย แม้มีขนาด มาตรฐานและสามารถตัดให้เป็นรูปต่างๆ ขนาดพื้นที่พิมพ์ของเว็บไซต์ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่ใช้ใน การ กำหนดขนาดต้องให้พอดีกับอุปกรณ์และสามารถปรับขนาดได้ตามความต้องการในการใช้อุปกรณ์ที่ แตกต่าง 8. การกำหนดความละเอียด การกำหนดความละเอียดทั้งการพิมพ์เป็น DPI (จุดต่อนิ้ว) สำหรับ งานพิมพ์กำหนดในสิ่งพิมพ์เป็น DPI คือ ความหนาแน่นของจุดของหมึกที่พิมพ์บนพื้นผิว การพิมพ์ ความละเอียดที่มีคุณภาพขึ้นอยู่กับขนาดของการพิมพ์จำนวน DPI เพียงพอกับการยอมรับของสายตา เนื่องจากสายตาของมนุษย์ไม่สามารถแยกความแตกต่างความละเอียดของเม็ดสกรีนในการพิมพ์ได้ มากกว่า 300 DPI แต่การผลิตงานพิมพ์ที่มีรายละเอียดมาก ซึ่งขึ้นอยู่กับความสามารถของเครื่องพิมพ์


ภาพที่ 4.36 จุดของภาพที่เกิดจากการพิมพ์ 9. การกำหนดความละเอียดของเว็บไซต์เป็น PPI (พิกเซลต่อนิ้ว) การกำหนดความละเอียดของ ภาพที่แสดงในหน้าจอ ในการกำหนดให้มีความละเอียดสูงเพียงพอต่อการมองเห็นรายละเอียดของภาพ ซึ่งเกิดจากโทนที่แสดงด้วยความละเอียดของจำนวนพิกเซลให้เพียงพอต่อการมองเห็นเป็นรายละเอียด ของโทนของภาพ หากกำหนดความละเอียดไม่มากพอขนาดของพิกเซลจะมีขนาดใหญ่ทำให้มองเห็นภาพ ไม่คมชัด ภาพที่ 4.37 พิกเซล 10. การเลือกรูปแบบประเภทของไฟล์ที่เหมาะสมสำหรับการออกแบบในการเลือกรูปแบบไฟล์ เพื่อไม่เกิดการสูญเสียคุณภาพของภาพ JPG (หรือ JPEG): รูปแบบไฟล์ที่เริ่มต้นและนิยมใช้ในกล้องดิจิทัล JPGs ที่ถูกบันทึกไว้ด้วยความ ละเอียดที่เหมาะสมและอยู่ในโหมดสีที่ถูกต้อง (สี CMYK สำหรับการพิมพ์และสี RGB สำหรับเว็บไซต์) PDF: นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในการเก็บรักษาเนื้อข้อมูลที่มีลักษณะเดิมของไฟล์ข้อมูลที่รองรับ ได้กับโปรแกรมที่หลากหลายในการใช้งาน


PNG: เหมาะกับงานคุณภาพของภาพสูงและรายละเอียดของความโปร่งใส/ ทึบ TIFF: ใช้สำหรับงานคุณภาพของภาพสูงและขนาดของไฟล์ข้อมูลขนาดใหญ่ (การบีบอัดภาพไม่ ลดคุณภาพแตกต่างกับรูปแบบไฟล์ JPGs) เข้ากันได้กับทั้งคอมพิวเตอร์ MAC และ PC ในการแสดงผล GIF: รองรับกราฟิกที่มีภาพเคลื่อนไหวภาพโปร่งใส คุณภาพสีไม่ดีเท่า JPGs (256 สีหรือน้อยกว่า จึงไม่เหมาะสมสำหรับภาพถ่าย) เหมาะสำหรับกราฟิกง่ายๆ บนเว็บไซต์ โดยขนาดไฟล์ต่ำที่ไม่ส่งผลต่อ ความเร็วในการโหลดภาพของเว็บไซต์ 11. สี CMYK ชนิดของสีที่ใช้สำหรับการพิมพ์ ภาพที่ 4.38 สี CMYK และสี RGB การแสดงสีที่พิมพ์แตกต่างกันกับบนแผ่นกระดาษเมื่อเทียบกับการดูบนหน้าจอภาพ เพราะสีที่ แตกต่าง : สี CMYK สำหรับการพิมพ์และสี RGB สำหรับเว็บไซต์ 12. สี RGB ชนิดของสีที่ใช้สำหรับเว็บไซต์สี RGB บนหน้าจอดิจิทัลหรือจอภาพ ประกอบด้วย สี แดง สีเขียวและน้ำเงินรวมกันเป็นสีที่มองเห็นได้บนจอโทรทัศน์หรือคอมพิวเตอร์


ภาพที่ 4.39 การเกิดภาพสีทางการพิมพ์ สี RGB เป็นตัวแทนของตัวเลข (ระหว่างต่ำสุดและสูงสุด 0-255) ที่อ้างถึงปริมาณของสีแดง สี เขียวและน้ำเงินในการทำให้สีอ่อนลง โดยมีการกำหนดค่าสีที่มีความเข้มของสีนั้นน้อยลง เช่น Twitter, ค่า RGB สำหรับ “ทวิตเตอร์สีฟ้า" เป็น 85/1721238 - 230 ค่าสำหรับแสงสีฟ้าเป็นสีที่โดดเด่น รหัสหก หลักเป็นค่าเลขฐานสิบหก เรียกว่า รหัสฐานสิบหกเป็นวิธีการติดรหัสสีRGB สีเหล่านี้ใช้เฉพาะในการระบุ และให้สีเมื่อมีการสร้างการออกแบบที่มี HTML และ CSS เพื่อใช้เป็นมาตรฐานในการกำหนดชั้นของสี และการใช้งานสีให้สีที่เหมือนกัน ภาพที่ 4.40 สี RGB 13. การเลือกและใช้แบบอักษรสำหรับการออกแบบที่เหมาะสม การซื้อรูปแบบตัวอักษรหรือ ดาวน์โหลดแบบอักษรออนไลน์ฟรี แต่ในการใช้งานเว็บไซต์นอกจากการอ่านบนหน้าจอแล้วจะมีการพริ้น เพื่อนำออกมาอ่าน การแบบอักษรเหล่านี้ต้องได้รับอนุญาตทางกฎหมายในเรื่องลิขสิทธิ์ของการดาวน์ โหลดและจำนวนครั้งที่ตัวอักษรที่สามารถนำมาใช้ โดยทั่วไปแบบอักษรได้รับอนุญาตให้ผู้ใช้สำหรับเฉพาะ การติดตั้งบนเครื่องคอมพิวเตอร์และการใช้งานตามข้อตกลงเท่านั้น ดังนั้นในการออกแบบเว็บไซต์การใช้


แบบอักษรส่วนใหญ่จะเลือกแบบสำหรับการใช้ฟรีมากกว่า เพราะมี การนำไปใช้ได้อย่างไม่มีข้อจำกัด ทางด้านกฎหมาย ภาพที่ 4.41 ตัวอักษร การออกแบบที่ใช้ในการจัดการการพิมพ์วิธีการจัดประเภทแตกต่างกันระหว่างการพิมพ์และ เว็บไซต์สำหรับการพิมพ์การกำหนดรูปแบบตัวอักษรมักจะเลือกใช้รูปแบบขนาดไม่แตกต่างกันมากในการ พิมพ์แต่ละงาน สำหรับเว็บไซต์แบบอักษรที่ง่ายต่อการอ่าน (เป็นแบบอักษร Sans Serif หรือ Serif Unembellished) เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการอ่าน และในส่วนของเนื้อหาเว็บไซต์มักจะมีวรรค และข้อความสั้นๆ และระยะห่างระหว่างบรรทัดที่กว้าง ภาพที่ 4.42 แบบอักษร


14. ข้อจำกัดของการปรับเปลี่ยนขนาดของรูปแบบและตัวอักษร (Typography) ในการออกแบบ เว็บไซต์จะกำหนดลักษณะเริ่มต้นของเว็บไซต์แต่ผู้ใช้สามารถแทนปรับการเปลี่ยนขนาดของหน้าต่าง เบราว์เซอร์ ซูมเข้า-ออก หรือปรับการตั้งค่าเบราว์เซอร์ในการเลือกที่ขนาดตัวอักษร ในส่วนของสิ่งพิมพ์มีการกำหนดหรือปรับเปลี่ยนได้จนถึงเวลาของการพิมพ์ การเลือกขนาด ตัวอักษร ความละเอียดของภาพ ขนาดของภาพขึ้นกับความสามารถของเครื่องพิมพ์และวัสดุที่ใช้พิมพ์ และเมื่อทำการพิมพ์แล้วไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ 15. การออกแบบ วิธีการออกแบบแตกต่างกันหรือเหมือนกัน ขึ้นอยู่กับความรู้ความชำนาญของ นักออกแบบแต่ละคนในการจัดการขั้นตอนและเลือกใช้วิธีการออกแบบ การออกแบบสิ่งพิมพ์ส่งผลต่อ ผลิตภัณฑ์ในการออกแบบผู้ใช้งานไม่แตกต่างกัน แต่การออกแบบเว็บไซต์ส่งผลต่อผู้ใช้งาน ซึ่งแตกต่างกัน ไปตามอุปกรณ์การใช้งานที่เข้าสู่เว็บไซต์ และการเลือกใช้ได้ตามอุปกรณ์ที่ใช้ ภาพที่ 4.43 การออกแบบอักษร จาการออกแบบตัวอักษร Bryan Reimer, Bruce Mehler, Joseph E. Coughlin เพื่อใช้ในรถยนต์ แบบที่ 1 แบบที่ 2 ภาพที่ 4.44 ตัวอักษรจากการจากการวิจัยของ Bryan Reimer, Bruce Mehler, Joseph F, Coughlin, 2012 จากภาพที่ 4.44 การออกแบบอักษรเพื่อให้มีความสูงของตัวอักษรเทียบเท่ากับอักษรตัวใหญ่ “H” ตามมาตรฐาน ISO 15008 การออกแบบตัวอักษรสำหรับกำหนดขนาดตัวอักษรในรถยนต์ ตัวอักษร แบบสแควร์ (Eurostile) แบบ 1 และแบบอักษร humanist (Frutiger) แบบ 2 ในการกำหนดความสูง ของตัว อักษรคว ามกว ้างและความ กว้างโตก ( Character Height, Width & Stoke Width) มาตรฐานสากลสำหรับขนาดตัวอักษรการแสดงรถยนต์ (ISO 15008, 2009) ระบุว่า ความสูงของตัวอักษร


สำหรับแบบอักษรเฉพาะคือการวัดเป็นระยะห่างระหว่างเส้นฐานและความสูงของเส้นตัวอักษร เช่น “H” ได้สร้างแบบจำลองที่มีการปรับขนาดของตัวอักษร Humanist (Frutiger) และตัวอักษร แบบสแควร์ (Eurostile) ซึ่งความสูงของตัวพิมพ์ใหญ่เทียบเท่ากับแบบอักษรทั้งสอง เพื่อประเมินความสำคัญของ ลักษณะรูปร่างภายในของรูปแบบทั้งสองแบบที่สอดคล้องกับมาตรฐานอุตสาหกรรมยานยนต์ (Bryan Reimer, Bruce Mehler, Joseph F. Coughlin, 2012) การออกแบบตัวอักษรที่นำไปใช้ในเรื่องใด ควร มีการศึกษาเรื่องมาตรฐานการใช้งานของผลิตที่นำตัวอักษรไปใช้เพื่อให้ได้ตามมาตรฐานของการใช้งาน สรุป การออกแบบสิ่งพิมพ์ตัวอักษรและภาพเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ เพื่อการสื่อสารออกไป ใน การเลือกใช้รูปแบบ ขนาด ของตัวอักษรหรือภาพ ควรคำนึงถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องทั้งการนำไปใช้และ กระบวนการผลิต ซึ่งจะทำให้ผลงานในการออกแบบที่นำไปผลิตเป็นสิ่งพิมพ์หรือเพื่อการผลิตสื่ออื่นๆ ที่ จะสร้างความสามารถอ่านได้ง่าย และภาพที่นำมาใช้สามารถสื่อความหมายได้หรือมีความสัมพันธ์กับ เนื้อหา ในส่วนของการสร้างภาพซึ่งจะเป็นภาพดิจิทัลที่ต้องจัดทำรูปแบบไฟล์และการกำหนดความ ละเอียดให้เหมาะกับการใช้งานกับวัสดุและเครื่องพิมพ์ที่ใช้ในการผลิต


ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันสามารถประยุกต์ใช้งาน ร่วมกันระหว่างคอมพิวเตอร์ PC หรือ MAC ได้อย่างไร ในการจัดหน้าสิ่งพิมพ์ การเลือกหมึกพิมพ์ การเตรียมต้นฉบับ การเทียบสี การจัดการสี และส่งผลออกและส่งต่อไป ในขั้นตอนของการทำสำเร็จ เช่น การเคลือบ การพับ การเข้าเล่ม การจัดวางหน้าหรือการจัดวางรูปแบบในการพิมพ์ ต้องเข้าใจถึงหลักการต่างๆ รวมถึง การจัดวางรูปแบบ แบบหน้าคู่ หน้าเดี่ยวหรือการจัดแบบกลางหน้า การออกแบบต้องคำนึงถึงกระบวนการจัดวาง เพื่อให้ทราบถึงว่าการส่งข้อมูลออกมา ต้องเป็นรูปแบบใด ส่งออกไปยังเครื่องอะไร พิมพ์ด้วยระบบใด และในขั้นตอนการทำสำเร็จ ต้องทำอะไรบ้าง และต้องทำการตรวจความถูกต้องของเนื้อหา สีและอื่นๆ ก่อนนำมาทำการ จัดวางหน้า เพื่อให้ได้สิ่งพิมพ์ตามต้องการไม่ต้องเสียเวลาแก้ไขในขั้นตอนการทำการจัดวาง หน้า ขั้นตอนการจัดวางหน้า - การเตรียมเอกสารก่อนนำมาเพื่อทำการจัดวางหน้าสิ่งพิมพ์ - การเตรียมการโครงร่างในการจัดวางหน้าสิ่งพิมพ์ - การสร้างรูปแบบหรือโครงร่าง - การจัดเก็บข้อมูล


บทที่ 5 การเตรียมการพิมพ์ (Pre-Press) การเตรียมการพิมพ์เป็นขั้นตอนการผลิตที่นำงานออกแบบมาทำการจัดวางหน้าและทำการ การ ส่งผลออกเป็นแม่พิมพ์เรียกว่า คอมพิวเตอร์ทูเพลท (Computer to Plate) หรือสามารถส่งผลออกไปยัง แม่พิมพ์ที่อยู่ในเครื่องพิมพ์ได้ ไม่ว่าจะเป็นระบบการพิมพ์แบบใช้แรงกดหรือแบบไม่ใช้แรงกดการผลิตใน กระบวนการเตรียมการพิมพ์ได้มีการนำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ในการทำงานในกระบวนการผลิต สิ่งพิมพ์ในขั้นตอนต่างๆ และการส่งผลออกด้วยเครื่องพิมพ์ระบบดิจิทัลลงวัสดุที่ใช้พิมพ์เพื่อเป็นสิ่งพิมพ์ ดังนั้นนักออกแบบและผู้ที่ทำงานด้านเตรียมการพิมพ์ควรมีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์และโปรแกรมต่างๆ ในขั้นตอนการเตรียมการพิมพ์เพื่อเพิ่มศักยภาพในการปฏิบัติงานด้านการผลิตสิ่งพิมพ์เพิ่มขึ้น ภาพที่ 5.1 กระบวนการเตรียมการพิมพ์ ที่มา : http://parksonsgraphics.com/pg/index.php/key-departments/prepress.html ขั้นตอนการเตรียมการพิมพ์เป็นส่วนหน้าของกระบวนการผลิตสิ่งพิมพ์ โดยเริ่มจากการนำ ไฟล์ข้อมูลออกแบบมาจัดวางหน้าตามแบบร่าง ตามที่ได้กำหนดไว้ในการแม่พิมพ์ซึ่งต้องส่งไฟล์ข้อมูลไป ตรวจความถูกต้องก่อนทำแม่พิมพ์หรือทำการพิมพ์ ในขั้นตอนนี้มีรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดวางหน้า รวมถึงการจัดไฟล์ข้อมูลให้สามารถเข้ากับการใช้งานของแต่ละเครื่องที่ใช้ตามรายละเอียดของงาน ได้แก่ เครื่องทำแม่พิมพ์ เครื่องพิมพ์ผลออก เครื่องพิมพ์การเลือกใช้ให้คุณภาพผลิตรายละเอียดได้อย่างไร และ เครื่องพิมพ์ใดที่จะได้งานตรงกับงานที่ต้องการผลิต ความสามารถของเครื่องที่ผลิตได้และปัจจัยอื่นๆ ที่ เกี่ยวข้องกับขั้นตอนการจัดวางหน้าสิ่งพิมพ์ที่ส่งผลต่อคุณภาพและความถูกต้องของการทำงาน ดังนั้นใน ขั้นตอนของการจัดวางหน้าจะต้องมีความรอบคอบมีความถูกต้อง เพราะเป็นขั้นตอนที่สำคัญต่องานพิมพ์ หากการจัดการไม่ดีพออาจเกิดปัญหาได้ จึงต้องคำนึงถึงรายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การจัดทำ


ไฟล์ข้อมูลที่เหมาะกับการพิมพ์ผลออก การแปลงไฟล์ข้อมูลด้วยภาษาที่ใช้ในการจัดภาพและตัวอักษรที่ ใช้ในการออกแบบเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดที่จะทำให้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายเพิ่ม การจัดวางหน้าสิ่งพิมพ์ (layout) ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่นำมาประยุกต์ใช้งานร่วมกันระหว่างคอมพิวเตอร์ PC กับ MAC ใช้สำหรับการจัดวางหน้าสิ่งพิมพ์ การเตรียมต้นฉบับ การเทียบสี การจัดการสีและขั้นตอนการ ทำสำเร็จต้องทำอะไร อย่างไร ตำแหน่งใด เช่น การเคลือบเฉพาะจุด การพับ การเข้าเล่ม ในขั้นตอนการ จัดวางหน้าสิ่งพิมพ์ต้องมีความเข้าใจถึงหลักการต่างๆ และยังรวมถึงการจัดวางหน้าให้แบบหน้าคู่ หน้า เดียว หรือการจัดแบบตรงกลางหน้า โดยการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ให้เป็นไปตามรูปแบบที่กำหนดไว้ เพื่อนำไปส่งผลออกเป็นแม่พิมพ์ ฟิล์ม หรือพิมพ์ลงวัสดุที่ใช้พิมพ์การผลิตสิ่งพิมพ์ในการออกแบบให้ได้ รูปแบบน่าสนใจ และในการจัดวางหน้าสิ่งพิมพ์ต้องคำนึงถึงกระบวนการผลิตว่าการส่งข้อมูลออกใน รูปแบบใด และมีอะไรต้องทำการกำหนดรายละเอียดต่างๆ ที่มีความสำคัญต่อการผลิต ซึ่งการกำหนดงาน ที่เชื่อมต่อจนถึงขั้นตอนการทำสำเร็จเพื่อให้ได้ผลงานที่มีคุณภาพตามความต้องการ ภาพที่ 5.2 การจัดวางหน้าสิ่งพิมพ์ ที่มา : https://helpx.adobe.com/indesign/using/printing-booklets.html ภาพที่ 5.3 การจัดวางหน้าสิ่งพิมพ์ ที่มา : https://helpx.adobe.com/indesign/using/printing-booklets.html


ขั้นตอนการจัดวางหน้าสิ่งพิมพ์ต้องทำการตรวจความถูกต้องของต้นฉบับในเรื่องต่างๆ เช่น สี ของโลโก้สีของภาพประกอบ ความถูกต้องและครบถ้วนของเนื้อหาและภาพ หากมีการแก้ไขจะต้อง ดำเนินการแก้ไขก่อนนำมาจัดวางหน้า การดูสีของภาพ รายละเอียดของภาพและการตรวจพิสูจน์อักษร และสีอีกครั้งเพื่อความถูกต้องและแน่ใจในรายละเอียดก่อนนำไปจัดวาง โดยใช้โปรแกรมการจัดวางหน้า สิ่งพิมพ์เมื่อทำการจัดวางหน้าครบแล้วก็ทำการปรู๊ฟและตรวจสอบอีกครั้งก่อนที่จะนำไปผลิตในขั้นตอน ต่อไป ซึ่งการตรวจความถูกต้องในการตรวจพิสูจน์อักษร การแก้สี การเลือกใช้โปรแกรมและเครื่องมือใน การจัดวางหน้าสิ่งพิมพ์ ตามกระบวนการเตรียมการพิมพ์ มีรายละเอียดดังนี้ การเตรียมเอกสารก่อนนำมาเพื่อทำการจัดวางหน้าสิ่งพิมพ์สำหรับการผลิตสิ่งพิมพ์ซึ่งต้องใช้ ความละเอียดรอบคอบและความถูกต้องการสะกดคำ การเคาะวรรค การจบประโยคต่างๆ มีความสำคัญ ไม่น้อยกว่าการจัดวางหน้าสิ่งพิมพ์ให้สวยงามและน่าสนใจ เพราะหากมีการผิดพลาดเกิดขึ้นย่อมส่งผลต่อ ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นและเสียเวลาในการแก้ไข ซึ่งอาจทำให้ได้งานล่าช้าไม่ทันต่อการใช้งาน หรือหากต้องเร่ง การผลิตในส่วนต่างๆ ที่เชื่อมต่อจากการจัดวางหน้าสิ่งพิมพ์อาจทำให้ได้ผลงานที่ไม่น่าพอใจเท่าที่ควร ดังนั้นการออกแบบสิ่งพิมพ์ซึ่งการทำงานด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์เช่นเดียวกับการจัดวางหน้าสิ่งพิมพ์ บางครั้งในขั้นตอนการจัดวางหน้าสิ่งพิมพ์เป็นส่วนที่การออกแบบและการจัดวางหน้าสิ่งพิมพ์เป็นงานเดียว ในหน่วยงานการผลิตที่ไม่มีการแบ่งหน่วยงานออกมาหรือมีกำลังคนในการผลิตงานไม่มาก และในธุรกิจ การพิมพ์ขนาดเล็กที่ใช้เครื่องพิมพ์ดิจิทัล เครื่องพิมพ์เลเซอร์ เครื่องพิมพ์พ่นหมึก เป็นต้น รายละเอียดและปัจจัยที่เกี่ยวข้องที่ใช้ในการผลิตงานการวางหน้าสิ่งพิมพ์ มีดังนี้ 1. โปรแกรมที่ใช้ในการจัดวางหน้าสิ่งพิมพ์โปรแกรมที่นิยมใช้ในการจัดวางหน้าสิ่งพิมพ์ ได้แก่ Adobe InDesign, QuarkXPress, Adobe PageMaker, Adobe FrameMaker, and Adobe Illustrator ซึ่งเป็นโปรแกรมที่สามารถจัดการการออกแบบการนำเข้าเนื้อหาและรูปภาพ การปรับสี การ จัดวางหน้า การจัดวางเนื้อหา จัดการไฟล์ข้อมูลเพื่อการส่งออก และใช้ภาษาโพสคริปต์สำหรับการผลิต งานพิมพ์กราฟิก ส่วนของโปรแกรมที่มีโครงร่างเรียบง่ายและไม่ค่อยได้ถูกใช้ในงานกราฟิกและการจัดวาง หน้าสิ่งพิมพ์มากนัก ได้แก่ โปรแกรม Microsoft Publisher และ Corel Ventura เป็นต้น สำหรับโปรแกรม Microsoft Word, Corel WordPerfect, Microsoft PowerPoint และ Microsoft Excel ไม่ได้อยู่ในฐานของภาษาโพสคริปต์และไม่สามารถจัดทำข้อมูลในรูปแบบของ การทำงานพิมพ์ 4 สี หรือการกำหนดสีพิเศษ และรวมถึงเรื่องของรูปแบบตัวอักษรที่ไม่สามารถแจ้งเตือน ได้ในกรณีไม่มีฟอนต์ที่เลือกใช้และการเลือกฟอนต์จากโปรแกรมอื่น มักจะมีการถูกแทนที่ในส่วนนี้ด้วย สัญลักษณ์อื่น และโปรแกรมไม่สามารถรองรับรูปภาพงานกราฟิกบางชนิดได้และถูกแทนที่เช่นเดียวกับ กรณีของการเลือกฟอนต์ของตัวอักษร ซึ่งจะเปลี่ยนไปโดยอัตโนมัติทำให้ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะ ออกมาเป็นอย่างไร นับเป็นปัจจัยที่ทำให้โปรแกรมเหล่านี้ไม่เหมาะกับการผลิตงานสิ่งพิมพ์ในธุรกิจและ อุตสาหกรรมการพิมพ์แต่ไม่ได้หมายความโปรแกรมเหล่านี้ไม่มีประโยชน์ แต่เหมาะกับการใช้จัดทำ เอกสารทั่วไปและงานอื่นๆ


2. การเตรียมการโครงร่างในการจัดวางหน้าสิ่งพิมพ์การสร้างข้อมูลของโครงร่างรูปแบบ หน้ากระดาษ ขนาดกระดาษ ต้องถูกกำหนดจำนวนหน้าและประเภทของกระดาษด้วย เนื่องจากมีผลกับ ความกว้างของสันหนังสือจากความหนาของกระดาษที่ใช้พิมพ์การกำหนดค่าสีและปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อ กระบวนการผลิต เช่น การวางภาพระหว่างกระดาษ 2 หน้า ให้ภาพมีการเชื่อมต่อกันไม่มีความเหลื่อม ของภาพ การจัดวางหน้ากระดาษสำหรับโครงร่างในการเลือกใช้สีและจำนวนสีที่ใช้ 1 สี 2 สี 4 สี หรือสี เฉพาะสำหรับการผลิตสิ่งพิมพ์บางอย่าง ต้องรู้ว่าหน้ากระดาษถูกวางไว้อย่างไร ต้องพริ้นออกมาตรวจ ความถูกต้องของข้อมูลแล้วต้องตรวจการจัดวางหน้า การจัดเรียงหน้าสีและอื่นๆ ว่าควรมีรูปแบบหรือ ความถูกต้องอย่างไรนั้นเป็นส่วนหนึ่ง และต้องสามารถนำมากำหนดในการทำแม่พิมพ์ที่จะลดจำนวน แม่พิมพ์ เช่น ภาพพิมพ์ 4 สีที่จะนำมาจัดวางเป็นแม่พิมพ์เดียวกัน และเมื่อทำการพิมพ์เมื่อนำไปทำการ จัดเรียงเล่มก็นำไปแทรกในเล่ม การเตรียมการโครงร่างในการจัดวางหน้าสิ่งพิมพ์มีความสำคัญต้อง ตรวจสอบให้ดีก่อนที่นำไปทำการพิมพ์ หากมีข้อผิดพลาดแล้วจะทำให้เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มและเสียเวลา และ หากส่งงานไม่ทันอาจถูกปรับได้ หรืออาจถึงขั้นที่ลูกค้าไม่ไว้วางใจในการส่งงานมาผลิตอีก 3. การสร้างรูปแบบหรือโครงร่าง สำหรับโครงสร้างพื้นฐานการกำหนดรูปแบบหรือโครงร่างเป็น สิ่งที่จำเป็นที่ทำให้การผลิตงานได้รวดเร็วและมีความถูกต้องตามรูปแบบที่ถูกกำหนดไว้ในการสร้าง รูปแบบหรือโครงร่าง (Template) อาจมีหน้าที่พิเศษที่สามารถสร้างหน้าพิเศษได้ โดยการกำหนดขอบ หน้ากระดาษหัวกระดาษเพิ่มเติมในการออกแบบการสร้างรูปแบบของหน้าสิ่งพิมพ์ และการกำหนด รูปแบบสำหรับข้อความตัวอักษรควรต้องมีการจัดวางรูปแบบ การกำหนด ขนาด รูปแบบและแบบ ตัวอักษรรวมทั้งการย่อหน้าให้เป็นรูปแบบมาตรฐานของการออกแบบและการจัดวางหน้าสิ่งพิมพ์สำหรับ งานสิ่งพิมพ์ การตั้งค่าในการย่อหน้าหรือรูปแบบของตัวอักษรสามารถเก็บไว้ได้ในรูปแบบของย่อหน้าหรือ รูปแบบอักษรสามารถนำไปใช้ได้กับเนื้อหาอื่นๆ ได้ง่าย หากมีการเปลี่ยนรูปแบบของอักษรหรือย่อหน้า เนื้อหาทั้งหมดของรูปแบบที่เกิดจากการรวมของค่าสีต่างๆ การใช้งานที่ต้องการให้เปลี่ยนไปทั้งหมด สามารถทำได้โดยการทำให้สีเป็นวัตถุ (ภาพที่สร้างเป็นวัตถุ และเปลี่ยนตามการย่อหน้าหรือรูปแบบอักษร สำหรับเนื้อหาต่างๆ ของโปรแกรม Adobe InDesign มีรูปแบบสำหรับวัตถุการตั้งค่าสำหรับแบบการจัด วางกรอบ เช่น เส้นของกรอบ ความโปร่งแสง แสงเงาและขอบ ซึ่งเก็บอยู่ในรูปแบบที่สามารถนำมาใช้ได้ กับแบบอื่นๆ ได้ และสามารถเปลี่ยนแปลงได้เหมือนกับการเปลี่ยนรูปแบบย่อหน้า 4. การจัดเก็บข้อมูลไว้ในรูปของห้องสมุดภาพหรือไฟล์ข้อมูล เช่น กรอบภาพ หรือกราฟิก สำหรับใส่ส่วนต่างๆ เวลาใช้งานสามารถนำออกมาใช้ได้ โปรแกรม Adobe InDesign มี Pull-Outs หรือ Snippets มีลักษณะการทำงานคล้ายกับการเก็บภาพเป็นห้องสมุดในการเก็บไฟล์ข้อมูลแยกเป็นแต่ละ ไฟล์ในคอมพิวเตอร์และสามารถนำออกมาใช้โดยตรงในหน้ากระดาษในขณะกำลังทำงาน 5. การตั้งค่าการเลือกอัตโนมัติการตั้งค่าการเลือกอัตโนมัติสำหรับโปรแกรมโครงร่างทำให้ได้ ตัวอักษร พื้นฐาน กรอบ และรูปแบบของย่อหน้า อักษร ตัวอย่างสี วัตถุ และอื่นๆ ถูกเก็บไว้ในตัวเลือก อัตโนมัติ โปรแกรม Adobe InDesign การตั้งค่าการเลือกอัตโนมัติสำหรับอุปกรณ์ เมนูสี และการวาง ตำแหน่งบนหน้าจอภาพสามารถเก็บเป็นพื้นที่ใช้งานได้ และโปรแกรม Adobe InDesign สามารถเก็บการ


ตั้งค่า PDF และเครื่องพริ้นหรือเครื่องพิมพ์ในการส่งผลออกซึ่งช่วยการจัดการไฟล์ข้อมูลแบบ PDF และ งานพิมพ์ให้ง่ายขึ้น ต้นฉบับในรูปของข้อความ ข้อความเป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบในงานสิ่งพิมพ์ซึ่งต้องมีความถูกต้องของการสะกดคำและ การใช้ภาษา จึงมีความสำคัญในการตรวจและทำการแก้ไขให้ถูกต้องก่อนทำการพิมพ์การนำข้อความมา ทำการจัดวางในโปรแกรมจัดหน้าสิ่งพิมพ์ ข้อความต้องได้รับการตรวจเนื้อหา การตรวจพิสูจน์อักษร และ ควรมีการอนุมัติจากผู้รับผิดชอบหรือเจ้าของงานก่อนที่จะนำไปใช้จัดวางลงใน โปรแกรมสำหรับการจัด วางหน้าและข้อความต้องสามารถแปลงได้ในโปรแกรมที่ใช้ในการจัดหน้า ใน รูปแบบไฟล์ข้อมูลให้สามารถ เปลี่ยนแปลงและแก้ไขได้ จัดเก็บให้อยู่ในรูปแบบไฟล์ข้อมูลที่ปลอดภัย และยังสามารถนำไปใช้กับ โปรแกรมอื่นๆ หากต้องการนำไปใช้ในงานอื่นๆ โปรแกรมที่เหมาะสมกับโปรแกรมประมวลผลคำ (Microsoft Word) เป็นโปรแกรม ประมวลผลคำที่มีความนิยมใช้กันและมีการใช้โปรแกรมอื่นๆ บ้าง เช่น WordPerfect จาก Corel ใช้ กับ คอมพิวเตอร์ Windows แต่ AppleWorks (หรือที่เคยมีชื่อว่า ClarisWorks) ใช้ในคอมพิวเตอร์ Macintosh สำหรับการใช้โปรแกรมประมวลผลคำ OpenOffices (www.openoffice.org) ซึ่งไม่เสีย ค่าบริการมีโปรแกรมสำหรับ Mac OS Windows และระบบอื่นๆ สามารถทำงานได้กับไฟล์ข้อมูลของ โปรแกรมที่ใช้ในการทำงานได้และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการทำงาน รูปแบบไฟล์ข้อมูล (File Formats) ต้องเป็นชนิดต้องเหมาะกับข้อความ การจัดเก็บ ข้อความ จัดเก็บในรูปแบบไฟล์ข้อมูลในโปรแกรมที่ใช้แต่ละโปรแกรมในการจัดเก็บ เช่น ประมวลผลคำและรูปแบบ ไฟล์แบบเปิด เช่น RTF หรือ ASCII รูปแบบไฟล์เปิดสามารถทำงานได้กับเฉพาะโปรแกรมหรือคอมพิวเตอร์ ที่ถูกออกแบบให้ทำงานด้วยได้อย่างสมบูรณ์ สามารถหลีกเลี่ยงปัญหาของการเกิดเป็นตัวอักษรแปลกๆ การแปลงจากโปรแกรมหรือแพลตฟอร์ม และรองรับระบบปฏิบัติการเดียวกันหรือต่างกัน Platforms คือ การทำงานร่วมกันของระบบปฏิบัติการระหว่างฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ ซึ่งอยู่ในระบบปฏิบัติการ หรือในแอพพลิเคชั่น รูปแบบไฟล์ข้อความมีความเฉพาะของแต่ละโปรแกรม ไฟล์ข้อความของแต่ละโปรแกรมอาจมี ความเฉพาะกัน เช่น ไฟล์ข้อมูลของ Microsoft Word Files มีการทำงานและความละเอียดของโปรแกรม ในรุ่นเก่า อาจมีปัญหาเกิดขึ้นได้บางครั้งเวลาไฟล์ข้อมูลเหล่านั้นถูกแปลงไปใช้ในระบบปฏิบัติการที่ต่างกัน และรุ่นที่ต่างกันของโปรแกรมประมวลผลคำ หากมีความใหม่มากเท่าไหร่ของไฟล์ข้อมูลที่มากจาก โปรแกรมประมวลคำที่ใหม่กว่า การนำไปใช้งานมีความเสี่ยงที่อาจไม่สามารถรองรับไฟล์ข้อมูลในการใช้ โปรแกรมรุ่นเก่ากว่าได้ ไฟล์ข้อมูลที่มาจากรุ่นที่เก่ากว่าส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะมีปัญหา และสามารถเปิดกับ โปรแกรม Word อื่นๆ และสามารถทำงานใช้รวมไปในโครงร่างต่างๆ เช่น ตาราง และหมายเหตุด้านล่าง ตัวอย่าง คือ ตาราง จากโปรแกรม Microsoft Excel สามารถนำเข้าไปในโปรแกรม InDesign ได้ - รูปแบบไฟล์ข้อมูลแบบ ASCII (American Standard Code for Information and Interchange) เป็นรูปแบบมาตรฐานของข้อมูลดิจิทัลกำหนดโดยประเทศสหรัฐอเมริกาที่สามารถ บันทึก


ข้อมูลได้เป็นตัวอักษรได้ 7 บิต โดยมีตัวอักษรรวมกันในหนึ่งข้อความได้ถึง 128 ตัว และการจัด เก็บ ตัวอักษรที่เป็นตัวพิมพ์ใหญ่และตัวพิมพ์เล็กและสัญลักษณ์ได้ถึง 8 บิต (bits) ซึ่งสามารถจัดเก็บ ได้ ตัวอักษรที่มีความแตกต่างกันได้ถึง 256 ตัวอักษร รูปแบบไฟล์ข้อมูลแบบ RTF (Rich Text Format) เป็นรูปแบบเปิดทั่วไปพร้อมกับ ข้อความที่ มีรหัสสำหรับรูปแบบอักษรและตัวอักษรแบบเรียบง่าย RTF ถูกสร้างขึ้นเพื่อความสะดวกในการ เคลื่อนย้ายของไฟล์ข้อความระหว่างโปรแกรมที่แตกต่างกัน ในการจัดเก็บข้อมูลการพิมพ์รูปแบบ RTF ยัง สามารถเก็บรายละเอียด เช่น วรรค ชื่อ และรูปแบบตัวอักษร ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความเชื่อมโยง ระหว่างเอกสารต้นฉบับและเอกสารรูปแบบในการแปลงข้อมูล การจัดวางข้อความ การออกแบบในการจัดวางข้อความ คือ การนำข้อความลงมาจัดวางในหน้ากระดาษ โดยมีการ กำหนดรูปแบบของการจัดวางข้อความ อาจใช้ตามหลักการออกแบบหรือการจัดวางข้อความตามระบบก ริด การนำตัวอักษรมาจัดวางลงโดยใช้โปรแกรม Adobe InDesign เมื่อทำการจัดวข้อความต้องตรวจดูว่า มีส่วนใดหายไปหรือไม่อย่างไร เพราะการประมวลคำเกิดจากการใช้โปรแกรมที่ต่างกันทำให้เกิดปัญหาขึ้น ได้ ดังนั้นในการจัดทำรูปแบบไฟล์ควรทำการบันทึกรูปแบบของไฟล์ข้อมูลแบบ RTF ก่อนจะนำมาวางลง ในโปรแกรม Adobe InDesign การจัดวางข้อความที่ได้จัดทำรูปแบบ RTF ทำให้การเว้นวรรค การย่อ หน้าหรือมีการวางไว้ในลักษณะพิเศษ เมื่อนำมาวางในโปรแกรมการจัดวางหน้า ยังคงเหมือนกับไฟล์ข้อมูล แบบเดิม แต่มีความแตกต่างกันในการนำมาจัดวางในโปรแกรมที่ต่างกัน เช่น โปรแกรม Adobe InDesign หรือ QuarkXPress เป็นรูปของ XML (XML format) ข้อความนำมาจัดวางมีรูปแบบต่างๆ ดังนี้ 1. การเขียนต้นฉบับด้วยลายมือ การเขียนด้วยลายมือยังมีนักเขียน นักวิชาการบางรายใช้วิธีการ เขียนอยู่ ซึ่งในการผลิตงานก็ต้องนำมาทำการพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์ และข้อดีของใช้คอมพิวเตอร์ในการ พิมพ์ต้นฉบับผู้เขียนสามารถทำการเว้นวรรค ดูการสะกดคำจากโปรแกรมหรือทำการจัดรูปแบบใน โปรแกรมที่ใช้สำหรับการพิมพ์ นอกจากการพิมพ์แล้วผู้เขียนสามารถใช้แอพพลิเคชั่นในการพิมพ์ด้วยการ ใช้เสียงพูดที่สามารถแปลงเสียงเป็นตัวอักษร และนำไฟล์ตัวอักษรมาจัดวางลงในโปรแกรมในการออกแบบ เช่น Adobe InDesign QuarkXProcs ซึ่งจะคงการเว้นวรรคและรูปแบบตามที่กำหนดการตั้งค่าไว้ โดย การประมวลผลเป็นไปโดยอัตโนมัติที่มาจากโปรแกรม Microsoft Word หรือรูปแบบ RTF การกำหนด รูปแบบการย่อหน้าถูกกำหนดตามบรรทัดแรกและย่อหน้าแรกได้ โดยไม่ต้องมากำหนดทุกหน้าการทำงาน ของโปรแกรม Adobe InDesign ทำโดยอัตโนมัติตามที่ได้ตั้งค่าไว้การจัดรูปแบบย่อหน้าด้วยวิธีการใช้ (Control + คลิกใน Mac OS โดยไม่ต้องดับเบิลคลิกเมาส์) ตัวอย่างเช่นเลือกใช้> HEADING> วิธีนี้ช่วย ให้พิมพ์ได้อย่างรวดเร็วมากตามรูปแบบที่ได้กำหนดไว้ 2. การใส่รหัสข้อความหรือโครงสร้างในการออกแบบ โปรแกรม QuarkXPress และ Adobe InDesign มีคำสั่งเพื่อการจัดการการทำเครื่องหมายข้อความ เรียกว่า ข้อความในการแท็ก (Tagged Manuscript Text) เป็นข้อความที่ต้องการจัดทำขึ้นอยู่กับส่วนหนึ่งของข้อความแต่ละข้อความในการส่ง พร้อมกับการใส่รหัสของข้อความ ตามรูปแบบและจำนวนของเอกสารที่มีรูปแบบของวรรคหรือรูปแบบ


ตัวอักษรที่นำไปใช้ในข้อความและถูกบันทึกไว้ในรูปแบบ ASCII ในโปรแกรมที่ใช้ เช่น QuarkXPress หรือ Adobe InDesign 3. การใช้ต้นฉบับในรูปแบบ XML (Extensible Markup Language) การใส่รหัสในส่วน ข้อความที่แตกต่างกันตาม เช่น คำอธิบายภาพ องค์ประกอบข้อความข้อมูลที่ใช้ในการออกแบบสิ่งพิมพ์ สำหรับข้อความในรูปแบบ XML สามารถนำไปใช้ได้กับโปรแกรม Adobe InDesign และ QuarkXPress และสามารถนำไปใช้ในการออกแบบในงานอื่นๆ ได้ เช่น เว็บไซต์ หน้าจอโทรศัพท์มือถือ ซึ่งการนำเข้า ไฟล์ XML ขององค์ประกอบข้อความแต่ละข้อความสามารถเชื่อมโยงกับรูปแบบต่างๆ เช่น ย่อหน้า เว้น วรรค ในการเชื่อมโยงข้อความโดยการทำเครื่องหมายและติดตั้งได้โดยอัตโนมัติของการทำงานในรูปแบบ XML เหมาะกับโครงสร้างที่กำหนดและถูกใช้ซ้ำบ่อยๆ 4. การเชื่อมเค้าโครงข้อความกับฐานข้อมูล การจัดการข้อความในการจัดรูปแบบเค้าโครง จำนวนมากในการจัดเก็บเป็นฐานข้อมูล และการเชื่อมโยงรูปแบบเค้าโครงโดยระหว่างโปรแกรมการจัด วางรูปแบบกับฐานข้อมูลในการใช้งาน ซึ่งทำให้ลดเวลาการทำงานซ้ำๆ ลงได้ เป็นวิธีการทำงานที่เหมาะ กับงานการผลิตที่มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในการผลิตบ่อยๆ เช่น การพิมพ์แคคตาล็อกที่ต้องการ เปลี่ยนแปลงข้อมูลเค้าโครงการจัดวางที่มีความแตกต่างกันหลายแบบ สามารถทำการเชื่อมโยงและ สามารถนำข้อมูลที่ได้ออกแบบมาใช้ในการทำงานได้ในครั้งต่อไปในการผลิตสิ่งพิมพ์ 5. การแก้ไขข้อความในการจัดหน้าสิ่งพิมพ์ข้อความที่จัดเก็บเป็นภาพของอักษร และทำการ บันทึกเป็นไฟล์ PDF การตรวจสามารถทำได้ในการจัดวางหน้าสิ่งพิมพ์ ด้วยโปรแกรม Adobe InDesign ที่ใช้การจัดวางหน้าสิ่งพิมพ์ เมื่อไฟล์ข้อความที่มีการติดตั้ง โปรแกรม Adobe InDesign การเชื่อมโยงไป ยังแฟ้มข้อมูลสามารถแก้ไขได้ ข้อผิดพลาดของแบบอักษร ข้อผิดพลาดทั่วไปและปัญหาที่พบบ่อยเกี่ยวกับตัวอักษร ได้แก่ แบบอักษรที่หายไปหรือมี หมายเลขประจำตัวอักษรชนกับของแบบอักษรแบบอื่น 1. แบบอักษรที่ขาดหายไป การจัดทำไฟล์ข้อมูลในโปรแกรม QuarkXPress หรือ Adobe InDesign การบันทึกไฟล์ข้อมูลควรเป็นในรูปแบบไฟล์ข้อมูลแบบ PDF ต้องมีการตรวจก่อนนำไปทำการ พิมพ์เพื่อความถูกต้องอีกครั้ง และการเชื่อมโยงไปยังตัวอักษรในการจัดวางข้อความให้ตรวจก่อน หาก พบว่ามีตัวอักษรที่ไม่สามารถแสดงผลได้บนจอคอมพิวเตอร์ อาจเกิดจากการที่ไม่ได้มีการเปิดใช้แบบ ตัวอักษรที่เลือกมาทำการออกแบบ 2. รูปแบบอักษรที่แตกต่างกับชื่อของรูปแบบตัวอักษร รูปแบบตัวอักษรที่มีอยู่หลายรูปแบบ หลายรุ่น ในการเลือกใช้แต่ละรูปแบบเพื่อให้เป็นแบบเดียวกัน ต้องมีการตรวจให้แน่ชัดว่าเป็นรูปแบบ เดียวกันและรุ่นเดียวกับที่ใช้หรือไม่ หากมีการนำมาใช้ผิดแบบกันในขั้นตอนเรียงเป็นข้อความ จะทำให้ เกิดปัญหาของการจัดช่องไฟได้ การออกแบบสิ่งพิมพ์ภาพประกอบลักษณะของภาพและข้อผิดพลาดในการทำงานรายละเอียด ดังนี้


1) ภาพเชิงวัตถุการบันทึกไว้ในรูปแบบไฟล์ที่ใช้ในการสร้างภาพ เช่น โปรแกรม Adobe Illustrator หรือ Macromedia Freehand Adobe InDesign หรือในรูปแบบไฟล์ PDF 2) ภาพพิกเซล เป็นภาพด้วยกล้องถ่ายภาพดิจิทัล หรือจากการใช้เครื่องกราดบันทึกภาพ ซึ่งมี รูปแบบมาตรฐาน เช่น TIFF, EPS, PSD หรือ PDF การนำภาพมาใช้งานต้องทราบถึงว่าภาพที่ใช้เป็น รูปแบบของภาพแบบสี RGB หรือ สี CMYK เพื่อเป็นข้อมูลที่ในการแปลงค่าสีจากโหมดใดไปสู่โหมดใด เมื่อนำไปทำการพิมพ์ในการแปลงสามารถปรับขนาดเม็ดสกรีนตามความต้องการ ซึ่งต้องคำนึงถึงระบบ พิมพ์และวัสดุที่ใช้พิมพ์ในการปรับภาพให้อยู่ในโหมดสี CMYK จากภาพในโหมดสี RGB ในการพิมพ์ในรูป PDF ไฟล์โดยการรวมสี CMYK และภาพสี RGB ในรูปแบบภาพสีอย่างต่อเนื่องในระหว่างการจัดการไฟล์ PDF ของภาพสี CMYK ในโปรแกรม Adobe InDesign สามารถตรวจสอบได้ด้วยคำสั่งที่มีไว้ได้ติดตั้งอยู่ ในสี CMYK หรือโหมดสี RGB โดยการเลือกภาพและการตรวจภาพสีและยังสามารถตรวจดูรายละเอียดใน ระบบข้อมูลสีแบบ ICC ได้ในไฟล์ภาพเพื่อช่วยให้มั่นใจว่าภาพสี CMYK ที่ใช้พิมพ์จะถูกปรับค่าตาม เครื่องพิมพ์ที่ใช้และเป็นภาพที่มีค่าสีอยู่ในโหมดสี CMYK หรือโหมดสี RGB ในข้อมูลการเชื่อมโยงสำหรับ แต่ละภาพหรือทำไฟล์> Preflight InDesign สามารถช่วยเตือนและป้องกันความผิดพลาดของภาพสี RGB ที่อาจเกิดขึ้นได้ 3) ขนาดและความละเอียดของภาพ การกำหนดขนาดและความละเอียดต้องให้สัมพันธ์กับระบบ การพิมพ์และวัสดุที่ใช้พิมพ์ ในการกำหนดขนาดต้องคำนึกถึงว่าเมื่อกำหนดขนาดภาพและรายละเอียด ควรเป็นค่าตามที่กำหนด หากภาพมีขนาดที่เล็กและมีความละเอียดน้อย การจัดการหรือการจัดเก็บที่ใช้ พื้นที่น้อย ในทางกลับกันภาพที่มีขนาดใหญ่ใช้พื้นที่และความละเอียดมาก แต่หากภาพใหญ่โดยการขยาย แต่มีความละเอียดน้อยทำให้ภาพไม่มีความคมชัดพอกับการใช้งาน ก่อนการเริ่มต้นทำต้นฉบับภาพและตัดสินใจเลือกขนาดภาพ การใช้ภาพถูกนำมาใช้ใน ระหว่าง การแก้ไขและปรับภาพ ความละเอียดของภาพเป็นสองเท่าของความละเอียดที่แสดงบนหน้าจอ และหาก ไม่แน่ใจถึงความละเอียดของหน้าจอ ควรจัดการภาพให้มีความละเอียดไม่น้อยกว่า 300 PPI ซึ่งเพียงพอ กับงานทุกประเภทของการพิมพ์และหน้าจอภาพ บางครั้งการกำหนดความละเอียดสูงโดยไม่จำเป็นซึ่งอาจ มีการปรับความละเอียดของภาพลดลง ซึ่งประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บและความเร็วในการส่งข้อมูลได้ การจัดการภาพ การทำการจัดวางหน้าสิ่งพิมพ์การนำภาพวางลงในโครงร่างของหน้า หากภาพที่ใช้มีความ ละเอียดต่ำสามารถทำการปรับเปลี่ยนความละเอียดของภาพให้สูงขึ้นได้ด้วยการปรับแต่งด้วยโปรแกรม ปรับแต่งภาพ และการปรับแต่งโดยการเชื่อมโยงของโปรแกรมในการทำงานที่มีไฟล์ข้อมูลชื่อภาพที่ติดตั้ง ไว้ในคอมพิวเตอร์ที่ใช้เพื่อการปรับแต่งในการปรับค่าในการส่งผลออก ซึ่งการปรับแต่งโดยการตั้งชื่อภาพ ต้องตรงกันกับภาพที่ต้องการปรับเปลี่ยนความละเอียดการเชื่อมโยงที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ โดยเชื่อมโยง ไปยังโปรแกรมที่ไฟล์ภาพที่มีอยู่ การเชื่อมโยงภาพบ่อยครั้งเมื่อส่งไปยังลูกค้ามีการแก้ไขเพิ่มเติมในการ ทำงานต้องเชื่อมโยงภาพอย่างถูกต้อง โดยการเชื่อมโยงภาพสามารถทำได้ด้วยโปรแกรม Adobe


InDesign กับโปรแกรมอื่นๆ เช่น ภาพใน QuarkXPress และ Adobe Pagemaker สามารถแก้ไขและ เชื่อมโยงภาพได้ และแก้ไขภาพโดยตรงในโปรแกรม Photoshop ได้เช่นกัน การจัดการภาพมีลักษณะดังนี้ คือ 1. จัดวางภาพลงโครงร่างของหน้าสิ่งพิมพ์โดยตรง ในการทำแบบนี้มีข้อเสียคือไม่สามารถแก้ไข ภาพได้แต่ลดความซ้ำซ้อนของการทำงานลงได้ 2. การลดและขยายขนาดของภาพ การลดหรือขยายภาพต้องทำเท่าที่จำเป็นและไม่ส่งผลเสียต่อ การปรากฏภาพนั้นๆ ที่มีความชัดเจนเพียงพอต่อการมองเห็นในการใช้งาน 3. การตรวจดูความละเอียดของภาพ ความละเอียดที่สูงหรือต่ำเป็นข้อมูลที่สำคัญเพราะว่าการ เลือกภาพมาใช้ หากไม่ตรวจดูความละเอียดของภาพก่อนและเมื่อนำไปทำการส่งผลออกอาจเกิดปัญหา ขึ้นได้เนื่องจากความละเอียดอาจไม่เพียงพอต่อการใช้งาน ดังนั้นควรมีการตรวจเช็คเพื่อความแน่ใจก่อนที่ นำมาใช้งาน 4. ความละเอียดของระบบการพิมพ์และเครื่องพิมพ์สามารถทำได้และวัสดุใช้พิมพ์ การกำหนดความละเอียดของภาพต้องคำนึงถึงสองปัจจัยนี้ ซึ่งมีผลต่อการความละเอียดของภาพที่พิมพ์ ออกมาบนสิ่งพิมพ์ หากกำหนดความละเอียดสูงเกินกว่าเครื่องจะผลิตได้ความละเอียดของภาพก็จะไม่ได้มี ความละเอียดเท่ากับที่กำหนดเช่นเดียวกับวัสดุที่ใช้พิมพ์ที่สามารถรองรับความละเอียดของภาพได้มาก หรือน้อยอย่างไร การกำหนดความละเอียดต้องไม่ให้เกินความสามารถของเครื่องในการส่งผลออก การจัดการสีในขั้นตอนการจัดวางหน้า ขั้นตอนการจัดวางหน้าสิ่งพิมพ์ ในการเลือกใช้สี การกำหนดสี เลือกใช้คู่สีอะไร หรือมีสีพิเศษ หรือการพิมพ์ 4 สี โดยใช้การกำหนดจาก Pantone โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. การเลือกสีจากแผ่นตัวอย่างสีที่ใช้พิมพ์แผ่นเทียบสี การเลือกสีจากแผ่นตัวอย่างสีใน การ พิมพ์เพื่อลดความผิดพลาดเมื่อทำการพิมพ์ เพราะว่าการกำหนดค่าสีโดยดูจากค่าสีที่พิมพ์บนวัสดุที่ใช้ พิมพ์ชนิดเดียวกัน ซึ่งการกำหนดค่าสีตามปัจจัยที่มีความเหมือนกันกับการพิมพ์งานผลิต 2. การกำหนดค่าสีเพิ่มจากการพิมพ์ 4 สีโดยไม่ต้องแยกมาพิมพ์เป็นสีที่ 5 และ 6 สี ทำให้ลด ค่าใช้จ่ายในการพิมพ์ลงได้ 3. การปรับค่าสี เพื่อให้การพิมพ์ 4 สี ในจุดที่ต้องการค่าของสีเพิ่มขึ้นหรือลดลงให้ได้ค่าสีตามที่ ต้องการ 4. การปรับค่าสี โดยเทียบค่าสีจาก Pantone ทำให้ได้ค่าสีที่เพิ่มจากการกำหนดในการพิมพ์ 4 สี โดยเลือกค่าสีในโปรแกรมที่ตั้งค่าในรูปแบบของแผ่นเทียบสี Pantone 5. การบันทึกค่าสีจากการผสมสีในการทำงาน ควรมีการบันทึกค่าสีที่ผสมและต้องการนำไปใช้ สามารถเลือกมาใช้งานซ้ำโดยไม่ต้องไปกำหนดค่าซ้ำอีก 6. การกำหนดจุดสำหรับการเคลือบเงา การเคลือบเฉพาะจุด ต้องกำหนดค่าไว้ในส่วนของการ เคลือบเงาเพื่อความสะดวกในขั้นตอนการเคลือบ 7. การจัดการสีด้วยรูปแบบระบบข้อมูลสีแบบ ICC Profile เพื่อ - การแสดงผลของหน้าจอภาพได้อย่างถูกต้อง


- เก็บข้อมูลและรายละเอียดของเครื่องพิมพ์ที่ใช้ได้อย่างครบถ้วน – สามารถตรวจงานพิมพ์เสมือนการจำลองงานพิมพ์ได้บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ข้อควรระวังการจัดการสีในขั้นตอนการจัดวางหน้า อาจมีความผิดพลาดดังนี้ 1. การลบจุดสีที่ไม่ต้องการในการลบสีกับสีใกล้เคียงกัน ในการสร้างการเลือกสีที่แตกต่างนั้นทำ ได้ง่าย แต่ในการลบนั้นอาจเกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้ เนื่องจากสีมีความใกล้เคียงกันมาก ในการลบส่วนที่ ใกล้เคียงกันที่ต้องใช้ความละเอียดและต้องตรวจสอบให้ดีก่อนที่ส่งไปทำการพิมพ์ เช่น ในโปรแกรม Adobe InDesign หากได้กำหนดสีเก็บไว้ในแต่ละกล่องสีที่สามารถทำการลบได้จากการเลือกสีให้ตรงตาม กล่องสีที่ทำไว้ แต่ถ้าหากส่งไฟล์ข้อมูลแบบ PDF พร้อมที่พิมพ์ไปยังโรงพิมพ์ที่สามารถใช้ Adobe Acrobat Professional ตรวจสอบขั้นตอนสีที่มีอยู่ในเอกสาร โดยการเลือกขั้นสูง> OUTPUT PREVIEW> แยกไฟล์ PDF ที่ส่งออกโดยตรงจาก Adobe InDesign เพียงกำหนดจุดสีที่นำมาใช้รวมอยู่ในไฟล์ข้อมูล เดียวกัน 2. สีในส่วนที่ไม่ได้พิมพ์ 4 สีต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าทุกจุดของสีที่ต้องทำการแยกสี คือ การ แยกสีโดยการเลือกเฉดสีแทนการกำหนดแบบการพิมพ์ 4 สี 3. การตั้งชื่อสีต้องตั้งชื่อสีที่เหมือนกันเฉพาะสีที่เหมือนกันเท่านั้น หากมีความผิดพลาดใน การตั้งชื่อสีเกิดขึ้น เมื่อทำการลบสีออกจะทำให้มีการลบสีอื่นออกไปด้วย เนื่องจากการตั้งชื่อเหมือนกันแต่ สีเป็นอีกสี 4. การควบคุมความหนาของหมึกพิมพ์จากการกำหนดค่าสี เมื่อไปทำการพิมพ์ค่าสีที่ทับซ้อนกันมี ความสูงสุดเช่นที่ 100 + 100 + 100 + 100 = 400 เปอร์เซ็นต์ ต้องให้สอดคล้องกับวัสดุที่ใช้พิมพ์ว่า สามารถรับหมึกพิมพ์ได้เท่าไร นอกจากการกำหนดสีแล้วเรื่องการจัดวางภาพนับได้ว่าเป็นส่วนสำคัญ โดยผู้จัดวางหน้าสิ่งพิมพ์ ต้องมีความละเอียดรอบคอบในการทำงาน ดังนี้ 1. การจัดวางภาพบริเวณขอบกระดาษต้องดูว่าต้องการให้ภาพห่างจากกระดาษเท่าไรและ ต้องการให้ตัดตกหรือไม่ การวางภาพบริเวณขอบกระดาษที่เกินออกไปจากแนวของตัวอักษรจากกำหนด ไว้เพื่อให้ขนาดภาพยื่นออกไป แต่ต้องระวังว่าไม่เกินออกไปมากจนเมื่อทำการตัดเจียนเล่มแล้วบริเวณ ขอบภาพพิมพ์มีพื้นที่เหลือมากพอในการทำเล่มสิ่งพิมพ์ 2. การวางภาพต่อเนื่องสองหน้าสิ่งพิมพ์ ในการวางภาพแบบนี้ต้องระวังให้ภาพต่อเนื่องกันเมื่อมี การพับหรือการเข้าเล่ม หากเกิดความผิดพลาดในการพิมพ์ภาพอาจไม่ต่อเนื่องได้ 3. ความหนาของหมึกพิมพ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดการทำงาน การกำหนดค่าสีในการจัดหน้าต้อง ตรวจสอบทุกหน้าให้มีความเหมือนกัน การกำหนดค่าเท่ากัน เช่น แถบหัวเรื่อง เป็นต้น 4. ค่าของสีดำมากเกินในการพิมพ์ค่าของสีดำที่ถูกกำหนดเอามารวมกับการพิมพ์ 4 สี ใน การกำหนดค่าสีดำต้องให้ไม่ครอบคลุมสีอื่นที่ไม่ต้องการสีดำมากเกิน 5. การพิมพ์ข้อความบนพื้นสกรีน การเลือกใช้สีควรเลือกใช้สีที่มีความแตกต่างกัน ทำให้สามารถ มองเห็นได้ชัดและความเข้มของเม็ดสกรีนที่ใช้ต้องไม่ไปทับตัวอักษร ควรมีการเว้นเช่นเดียวกับการเจาะ ขาวบนพื้นทึบ


6. การพิมพ์ภาพโปร่งใสในการพิมพ์ภาพทับซ้อนของหมึกพิมพ์ถึงมีความโปร่งใส แต่เมื่อพิมพ์ ตัวอักษรทับลง ขั้นตอนนี้ต้องดูคู่สีและสีใดพิมพ์ก่อนสีไหนพิมพ์หลัง เพื่อไม่ให้เกิดเป็นภาพที่มีการทับซ้อน ความดำลงจากจำนวนของพิกเซลที่มีความละเอียดสูงทำให้ผลของภาพนั้นเหมือนกัน แต่ไม่เกิดความต่าง เรียกว่าเกิด Drop Shadow 7. การย้ายข้อมูลระหว่างระบบปฏิบัติการ Mac OS และ Windows บางครั้งอาจมีความจำเป็น ในการถ่ายโอนเอกสารจากแพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปอีกตัวหนึ่ง เช่น จาก Mac OS เป็น Windows โปรแกรมที่สามารถย้ายไฟล์ทั่วไปได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ ระหว่างระบบปฏิบัติการ Mac OS และ Windows เป็น Adobe InDesign, Illustrator, Photoshop, และ Acrobat เช่นเดียวกับ โปรแกรม Microsoft Word และ Excel QuarkXPress และ Microsoft Power Point ในการโอนย้าย ข้อมูลค่อนข้างไม่มีปัญหาระหว่างแพลตฟอร์มที่แตกต่างกันในรุ่นเดียวกันของไฟล์ภาพในแบบต่างๆ เช่น JPEG, TIFF, EPS, PDF, PSD, GIF, PNF และอื่นๆ ที่เหมือนกันโดยทั่วไปสามารถใช้งานได้โดยไม่มีปัญหา ใดๆ ทั้งสองแพลตฟอร์ม สิ่งที่ทำให้เกิดปัญหาแม้ในขณะที่โปรแกรมเหล่านี้และประเภทไฟล์ที่ถูกนำมาใช้ เป็นแบบอักษรในเอกสาร PostScript และแบบอักษร TrueType แตกต่างกันระหว่างระบบปฏิบัติการ Mac OS และ Windows และเมื่อมีการเปลี่ยนแพลตฟอร์มนี้คือ ปัญหาของการแบ่งบรรทัดและการแบ่ง หน้า วิธีที่หลีกเลี่ยงปัญหานี้โดยการใช้แบบอักษร Open Type 8. การย้ายระหว่างโปรแกรมที่แตกต่างกัน อาจเกิดปัญหาขึ้นเมื่อแปลงไฟล์ข้อมูลจากโปรแกรม หนึ่งไปยังอีกโปรแกรมหนึ่ง ในการเปิดไฟล์ข้อมูลเก่าในโปรแกรมรุ่นใหม่ฟังก์ชั่นบางอย่างอาจหายไปหรือ เกิดปัญหาอื่นๆ ได้ การตรวจพิสูจน์อักษร การตรวจข้อความตัวอักษรและรูปแบบ เรียกว่า การบรรณาธิการในงานผลิตสิ่งพิมพ์ซึ่งทำหน้าที่ ในการตรวจข้อความ ตัวอักษร และรูปแบบการพิมพ์ต้นฉบับหรือเค้าโครงหน้าสิ่งพิมพ์ซึ่งควรทำเป็นไฟล์ PDF และสามารถใช้โปรแกรม Adobe Acrobat โดยการเลือกฟังก์ชั่นสำหรับการตรวจข้อความ รูปแบบ ภาษาและการสะกดคำก่อนที่ใส่ลงไปในรูปแบบ เพื่อทำการออกแบบและจัดวางประกอบหน้า การตรวจ สามารถดำเนินการได้ดังนี้ 1. การตรวจพิสูจน์อักษรบนกระดาษ การตรวจโดยใช้สัญลักษณ์ในการสื่อถึงการแก้ไขตาม สัญลักษณ์ของการพิสูจน์อักษร ซึ่งต้องมีความชัดเจน เข้าใจตรงกัน และควรปฏิบัติตามอนุสัญญา มาตรฐาน (มาตรฐานสากล ISO 5776) ซึ่งการกำหนดสัญลักษณ์การตรวจพิสูจน์ที่เป็นสากลในการสร้าง ความเข้าใจที่ตรงกัน เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดและลดความซับซ้อนของการสื่อสารเกี่ยวกับการกำหนด สัญลักษณ์เพื่อนำกลับไปแก้ไขให้ถูกต้องตามการตรวจพิสูจน์อักษร การเลือกมาตรฐานสำหรับสัญลักษณ์ การพิสูจน์อักษรที่แตกต่างกันเนื่องจากการใช้ภาษาที่ต่างกัน ซึ่งทำให้มีการกำหนดสัญลักษณ์แตกต่างกัน หรืออาจต้องมีการปรับ เพื่อให้สอดคล้องในวิธีที่ใช้สัญลักษณ์การพิสูจน์อักษรของแต่ละประเทศ


2. การตรวจพิสูจน์อักษรด้วยรูปแบบไฟล์ PDF และ Acrobat ใน Adobe Acrobat มีเครื่องมือ หลายอย่าง สำหรับการตรวจและการจัดการแก้ไขข้อความและรูปแบบโดยตรงของไฟล์ข้อมูลแบบ PDF การใช้เครื่องมือโน้ตในการทำสัญลักษณ์ในการตรวจพิสูจน์อักษรได้ ภาพที่ 5.4 เครื่องหมายการตรวจพิสูจน์อักษร ที่มา : http://urban-gals-go-feral.blogspot.com/2013/02/proofreaders-marks.html


การตรวจในกระบวนการออกแบบเริ่มจากการตรวจตัวอักษร ข้อความการจัดวางหน้าแล้วในการ ตรวจที่ต้องดำเนินการก่อนทำการพิมพ์ โดยการพิมพ์ออกมาหรือพริ้นออกมาเพื่อทำการตรวจ โดยขั้นตอน การตรวจการผลิตสิ่งพิมพ์มีความต่อเนื่องกันจนถึงขั้นตอนการพิมพ์และการจัดเก็บข้อมูลเพื่อนำมาใช้อีก ดังนี้ 1. การตรวจด้วยงานพิมพ์ ตรวจทุกอย่างให้เหมือนกับงานพิมพ์เป็นวิธีหนึ่งที่ใช้ในการตรวจงาน ก่อนนำไปทำการพิมพ์ ในการตรวจปรู๊ฟเทคนิคและรูปแบบที่ใช้ส่วนใหญ่คือการใช้เครื่องพิมพ์เลเซอร์ใน การตรวจสี เนื่องจากเครื่องพิมพ์เลเซอร์ทั่วไป สามารถจำลองสีของเครื่องพิมพ์ได้ค่อนข้างดี หากติดตั้ง อย่างถูกต้องและการจัดการสีสำหรับงานพิมพ์ที่ถูกต้อง 2. การตรวจการพิมพ์สี การตรวจสีพิมพ์รูปแบบที่เหมาะสมวิธีง่ายที่สุดในโปรแกรม Adobe InDesign โดยการใช้ไฟล์ฟังก์ชั่น> Preflight ในไฟล์ PDF ที่เปิดใน Adobe Acrobat และตรวจสอบโดย การเลือกขั้นสูง> OUTPUT PREVIEW> ที่แยกเนื้อหาที่เป็นสีดำ สามารถดูตัวอย่าง Overprinting บน จอภาพโดยการเลือกดู> PREVIEW พิมพ์ทับ และโปรแกรมมีการแสดงภาพบนจอและการพิมพ์สีอื่นๆ ผ่านสีดำและทำให้เข้มเกิด Overprinting ขึ้น 3. การตรวจการจัดวางหน้า ตรวจสอบดูว่าการจัดวางตรงตามการกำหนดการเรียงของเลขหน้า สิ่งพิมพ์ การพับ การทับซ้อนตามการกำหนดของสิ่งพิมพ์ 4. การจัดส่งไฟล์ข้อมูลงานพิมพ์ เมื่อทำการตรวจครบทุกขั้นตอนแล้ว ในการจัดส่งงานพิมพ์เป็น อีกขั้นตอนหนึ่ง ซึ่งอาจทำในสถานที่เดียวกันหรือทำต่างสถานที่ การจัดส่งไฟล์ข้อมูลโดยทำการส่ง ไฟล์ข้อมูลผ่านทางอินเทอร์เน็ตโดยทั่วไปควรบีบอัดไฟล์ข้อมูลทั้งหมด การบีบอัดไฟล์ข้อมูลแบบ ZIP ซึ่ง ทำได้ทั้งบนระบบปฏิบัติการ Mac OS และ Windows ควรบีบอัดไฟล์ข้อมูลทั้งหมดให้เป็นไฟล์ข้อมูลเดียว ในการส่งไฟล์ข้อมูลผ่านทางอีเมล์ (E-mail) มีข้อจำกัดเรื่องขนาดของไฟล์ข้อมูล ซึ่งการจัดส่งต้องส่งผ่าน อีเมล์ในรูปแบบให้สามารถส่งไฟล์ได้เพียงพอกับขนาดไฟล์ข้อมูลสำหรับการส่ง ในการแก้ไขเพิ่มเติมเป็นสิ่ง สำคัญการทำเครื่องหมายให้เห็นได้ชัดเจน เพื่อหาได้ง่ายในการแก้ไข เช่นเดียวกับการจัดเก็บไฟล์ข้อมูล ควรมีการจัดเก็บที่สามารถค้นหาได้ง่ายในการใช้งาน 5. การจัดเก็บเอกสารรูปภาพและแบบอักษร เมื่อส่งเอกสารรูปแบบไปยังเครื่องพิมพ์ การจัดเก็บเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกครั้งที่รวบรวมมีความถูกต้องและครบถ้วนของการจัดเก็บ การ รวบรวมไฟล์ข้อมูลทั้งหมดอยู่ในเอกสารรวมถึงภาพประกอบและแบบอักษร การทำงานในโปรแกรม Quark XPress, Adobe InDesign และ Adobe Pagemaker มีฟังก์ชั่นสำหรับการบันทึกเอกสารในการ จัดเก็บรวบรวมวัตถุทั้งหมดที่เกี่ยวข้องในโฟลเดอร์การทำงานร่วมกับเซิร์ฟเวอร์ เพื่อการจัดเก็บและบันทึก ไว้บนเซิร์ฟเวอร์และการทำงานร่วมกับในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เมื่อต้องการใช้งานก็เรียกข้อมูลผ่าน เครือข่ายในการนำออกมาใช้ และการเก็บไฟล์ข้อมูลในคอมพิวเตอร์ให้เป็นรูปแบบของโฟลเดอร์ เพื่อช่วย ให้การค้นหาการเรียกไฟล์ข้อมูลมาใช้ได้ง่ายสำหรับในกรณีไม่ได้จัดเก็บบนเซิร์ฟเวอร์


ภาษาโพสคริปต์ (PostScript) เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการแสดงลักษณะของหน้าสิ่งพิมพ์ ในการจัดวางหน้าและสิ่งที่ ต้องการให้ปรากฏ ได้ทำการพัฒนาโดยบริษัท Adobe เพื่อแปลงข้อมูลโดยสามารถใช้กับโปรแกรมต่างๆ เช่น QuarkXPress InDesign Microsoft Word ไปยังเครื่องพิมพ์ดิจิทัล เครื่องอิมเมจเซ็ตเตอร์ และ เครื่องพิมพ์ระบบเลเซอร์หรือแบบพ่นหมึกพิมพ์ โดยเฉพาะรูปแบบตัวอักษร ภาษาโพสคริปต์ สามารถย่อ ขยายได้โดยมีการนำมาใช้กับเครื่องแสดงผลทางการพิมพ์ที่ให้ความละเอียดของภาพได้ดี มีการพัฒนา ภาษาโพสคริปต์ สำหรับภาษา PLC (Printer Command Language) เป็นภาษาที่คิดค้นขึ้นโดยบริษัท Hewlett Packard ที่ใช้กับงานพิมพ์ประเภทงานพิมพ์แบบตั้งโต๊ะ (Desktop Publishing) มากกว่า รูปแบบข้อมูลแบบไฟล์ PDF ขั้นตอนการเตรียมการพิมพ์เป็นขั้นตอนการทำงานต่อจากการออกแบบ โดยทำงานบน คอมพิวเตอร์ด้วยโปรแกรมสำหรับการจัดหน้าวางสิ่งพิมพ์สำหรับนำไปทำแม่พิมพ์หรือพิมพ์ ในการทำงาน ขั้นตอนนี้ มีส่วนที่เกี่ยวข้องดังนี้ การจัดการรูปแบบไฟล์ PDF การทำไฟล์รูปแบบ PDF ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อลดความเสี่ยง ของปัญหาทางเทคนิคการจัดส่งข้อมูลที่ได้จัดทำไว้ การส่งผลออกของข้อมูลในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้เป็นไป ตามมาตรฐาน เช่น ตามมาตรฐาน ISO ของแฟ้มข้อมูล การผลิตสิ่งพิมพ์ได้มีการ พัฒนาการจัดการ แฟ้มข้อมูลในรูปแบบไฟล์ PDF ตามมาตรฐานการผลิตสิ่งพิมพ์ การตั้งค่าของไฟล์ PDF มีการตั้งค่า เช่นเดียวกับการตั้งค่าไฟล์ของการจัดทำหนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถสร้างขึ้นได้โดยตรงจากโปรแกรม ในการจัดรูปแบบเป็นไฟล์ PDF สำหรับการพิมพ์ต้องมีการควบคุมคุณภาพตามมาตรฐานของการผลิต สิ่งพิมพ์ในการส่งข้อมูลให้แสดงผลโดยการใช้เครื่องพิมพ์และให้ได้รายละเอียดครบตามที่กำหนด เช่น การ รวมภาพแต่ละชั้น การส่งข้อมูล การตั้งค่า ความโปร่งใส การเลือกใช้การจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบของ ไฟล์ข้อมูลแบบ PDF สามารถเลือกรูปแบบของไฟล์ข้อมูลให้เหมาะกับการพิมพ์ เช่น การพิมพ์ภาพสีที่มี การกำหนดสีตามแผ่นเทียบสี และการแปลงสีเป็นสี CMYK ที่เปลี่ยนค่าสีจากสีแบบสี RGB เป็นสี CMYK ให้เป็นไปตามมาตรฐานการพิมพ์ สำหรับการควบคุมผลออกไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตั้งค่าของรูปแบบ ไฟล์ข้อมูลเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับคุณภาพเครื่องพิมพ์ ความสามารถของเครื่องพิมพ์ในการเก็บรายละเอียด ของภาพพิมพ์ได้ในบริเวณที่เป็นเม็ดสกรีน เช่น ส่วนบริเวณที่มีความขาวของภาพที่มีเม็ดสกรีนมีความ ละเอียดมาก หรือจำนวนน้อยอาจขาดหายไปหรือส่วนที่เป็นสีดำมีจำนวนของเม็ดสกรีนออกมาครบหรือไม่ ครบ ซึ่งต้องให้ครบและตรงกับไฟล์ข้อมูลที่แสดงบนหน้าจอ การจัดทำรูปแบบไฟล์โดยการใช้โปรแกรม Adobe Acrobat สามารถจัดการข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากการส่งผลออกได้ในการแก้ไขไฟล์ข้อมูล PDF ในรูปแบบของไฟล์ข้อมูล หากมีการแก้ไขสามารถแก้ไขได้ แต่การแก้ไขไฟล์ข้อมูลชนิดนี้ไม่ควรทำการ แก้ไขหรือมีการแก้ไขควรมีเพียงเล็กน้อย แต่บางครั้งมีความจำเป็นในการแก้ไขข้อความสามารถทำได้ด้วย โปรแกรม Adobe Acrobat โดยไปเลือกที่เครื่องมือเพื่อการแก้ไขที่ Touch up Text การแก้ไขตัวอักษร ที่สามารถเพิ่มข้อความ หรือลดข้อความออกได้ (ยกเว้นการแก้ไขชนิดไฟล์บน E-Book เพราะการแสดงผล บนหน้าจอมีความกว้างที่แตกต่าง หากมีการแก้ไขควรปรับข้อความให้เชื่อมโยงกันในการแสดงผล) หรือ


การแก้ไขภาพที่ Object และ Cropping การจัดทำไฟล์ข้อมูล PDF สามารถทำให้เป็นรูปแบบไฟล์ข้อมูล สามารถเปลี่ยนย้าย ลบหรือคัดลอกข้อมูลได้อัตโนมัติและสามารถเปิดภาพแก้ไขได้โดยตรงด้วยโปรแกรม Adobe Photoshop และสามารถตั้งค่าอัตโนมัติเพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงได้ทั้งตัวอักษรและภาพและ สามารถดูสีของภาพจากสี RGB และการแปลงสีของภาพเป็นสี CMYK การจัดทำรูปแบบความละเอียดของภาพ ให้ได้ตามมาตรฐานการผลิตสิ่งพิมพ์การจัดทำใน ขั้นตอนการออกแบบด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์และเมื่อนำไปแสดงผลขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการใช้ งานอุปกรณ์การแสดงผลที่มีคุณภาพที่แตกต่างกัน และในคุณภาพเดียวกันที่มีหลากหลายประเภท การ จัดทำเพื่อให้ได้ผลตามความต้องการ การออกแบบสิ่งพิมพ์เพื่อให้ได้ตามมาตรฐานของการผลิต การ จัดรูปแบบนี้มีความจำเป็นเพื่อให้สามารถส่งผลออกได้ตามมาตรฐาน เรียกว่า JDF: Job Definition Format การจัดการข้อมูลให้สามารถใช้ได้กับเครื่องหลายแบบที่มีรูปแบบความละเอียดตามกำหนดเป็น อัตโนมัติซึ่งมีการเพิ่มขึ้นและลดลงตามการกำหนดมาจากไฟล์ข้อมูลสามารถนำไปใช้กับเครื่องพิมพ์ที่ แตกต่างกันได้ การปรับค่าในการพิมพ์เป็นเทคนิคที่ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ของการปรับค่าของความละเอียดของ ภาพที่ปรากฏบนวัสดุที่ใช้พิมพ์ซึ่งทำให้ภาพพิมพ์ในระบบดิจิทัลที่มีการปรับค่าที่แตกต่างกันทำการปรับ ค่าให้เป็นภาพที่เหมาะกับการพิมพ์ตามความต้องการของความละเอียดของภาพพิมพ์ให้คงมีค่าสีที่เท่ากัน ทุกแผ่นในการพิมพ์ แต่การมองเห็นสีขึ้นอยู่กับสีของกระดาษหรือวัสดุที่ใช้พิมพ์ หากมีความแตกต่างกัน ของสีกระดาษความละเอียดของภาพไม่มีความแตกต่างกัน การปรับค่าตามวัสดุที่ใช้พิมพ์เมื่อทำการออกแบบงานแล้วหน้าสิ่งพิมพ์ที่ออกแบบ ส่วนใหญ่ ประกอบไปด้วยตัวอักษรและภาพ แต่อาจมีเฉพาะภาพหรือตัวอักษรอาจเป็นได้ การพิมพ์มีวัตถุประสงค์ที่ หลากหลายกันไป เช่น เพื่อการโฆษณา เพื่อการอ่าน เมื่อมาทำการพิมพ์ต้องทำ การปรับแต่งไปตาม ระบบการพิมพ์ที่นำไปทำการพิมพ์ในแต่ละระบบและที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ วัสดุที่ใช้พิมพ์นับว่าเป็นสิ่ง สำคัญเป็นข้อมูลของการปรับแต่งค่าความละเอียดของภาพ เช่น การพิมพ์ภาพในหนังสือพิมพ์ทั่วไปที่ไม่ ต้องการรายละเอียดสูง แต่ภาพสิ่งพิมพ์ประเภทหนังสือแฟชั่นหรือหนังสือเพื่อการท่องเที่ยวมีความ ต้องการคุณภาพและรายละเอียดของภาพที่สูงและสวยงาม และมีความละเอียดมากพอกับการมองเห็นได้ และมีความคมชัด การปรับแต่งภาพดิจิทัลต้องปรับให้เหมาะสมกับวัสดุและระบบการพิมพ์เพราะการ ปรับแต่งภาพดิจิทัลมีการปรับแต่งที่แตกต่างกันตามวัตถุประสงค์ของการใช้งานได้ตามการกำหนด รายละเอียดและการกำหนดรูปแบบของไฟล์ข้อมูล และการพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ระบบดิจิทัลหรือเครื่อง ถ่ายเอกสาร ต้องคำนึงถึงปัจจัยที่มีผลต่อการปรับแต่งภาพดิจิทัลขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ได้แก่ ระบบการ พิมพ์คุณภาพเครื่องพิมพ์หมึกพิมพ์และวัสดุที่ใช้พิมพ์


การปรับค่าความละเอียดและสีตามระบบการพิมพ์ที่ใช้ ระบบการพิมพ์แต่ละระบบมีการใช้แม่พิมพ์หรือระบบการถ่ายทอดหมึก และหมึกพิมพ์ที่ใช้ แตกต่างกัน และสามารถให้รายละเอียดของภาพในการพิมพ์มีความแตกต่างกัน เนื่องจากความสามารถ ในการถ่ายทอดความละเอียดของภาพได้แตกต่างกัน เช่นเดียวกับหมึกพิมพ์แต่ละชนิดมีขอบเขตของสีที่ แตกต่างกัน แม่พิมพ์แต่ละชนิดสามารถถ่ายทอดหมึกพิมพ์ได้แตกต่างกัน ในการเลือกหมึกพิมพ์ที่ใช้ต้อง ขึ้นอยู่กับชนิดของแม่พิมพ์และวัสดุที่ใช้พิมพ์ กระดาษหรือวัสดุที่ใช้พิมพ์มีสีที่หลากหลายและคุณสมบัติ ของกระดาษยังแตกต่างกัน เช่น กระดาษเคลือบผิว หรือกระดาษไม่เคลือบผิวมีความสามารถรับการ ถ่ายทอดภาพจากการพิมพ์ได้แตกต่างกัน จากสาเหตุต่างๆ ในการเตรียมการพิมพ์จึงต้องมีการจัดการ ความละเอียดของภาพและรูปแบบของไฟล์ข้อมูลต่างๆ ดังนี้ 1. Color Standards มาตรฐานสี เป็นขั้นตอนการแปลงภาพจากสี RGB เป็นสี CMYK การ แปลงภาพนั้น ต้องคำนึงถึงสีที่พิมพ์ว่าการกำหนดค่าสีมาตรฐานในการพิมพ์ 4 สี คือ สีน้ำเงินเขียว สีม่วง แดง สีเหลือง และสีดำ (การใช้ Key ไม่ใช้ Black ที่ทำสับสนกับ Blue) ในสหรัฐอเมริกาใช้ SWOP (ที่ใช้ กับการพิมพ์ Offset) ซึ่งต่างกันกับทางประเทศในยุโรปที่เป็นมาตรฐานของยุโรป การกำหนดมาตรฐาน ของสีขึ้นกับชนิดของกระดาษและระบบการพิมพ์ ดังนั้นในการเลือกใช้มาตรฐานสีแบบใดควรต้องคำนึงถึง ระบบการพิมพ์ ชนิดของวัสดุที่ใช้พิมพ์และการแปลงค่าสี เทคโนโลยีสามารถแปลงให้มีจำนวนสีพิเศษเป็น มากกว่า 4 สีอาจเป็น 6 สี หรือ 8 สี ในการแยกสีโดยมีการบวกสีเขียวหรือสีส้ม แต่การพิมพ์สีเพิ่มต้องให้ ขอบเขตสีที่แสดงกว้างขึ้น ภาพที่ 5.5 มาตรฐานสีแบบ SWOP, Eurostandard ที่มา : http://minixpress.ru/termin/swop_set.php 2. Gray Balance การปรับค่าสมดุลสีเทา การกำหนดคุณสมบัติของหมึกพิมพ์ 3 สี สีน้ำเงิน เขียว สีม่วงแดง สีเหลือง เมื่อนำมาพิมพ์ได้สีในส่วนที่เป็นสีดำออกเป็นสีเทา ดังนั้นการพิมพ์จึงพิมพ์สีดำ เพื่อให้ภาพมีส่วนที่เป็นสีดำมีค่าความดำตามค่าที่กำหนด หมึกพิมพ์มีลักษณะโปร่งใส การกำหนดค่าสีของ การออกแบบต้องทำการกำหนดค่าสีเพื่อชดเชยค่าสีให้เป็นไปตามสีของธรรมชาติ เช่น สีของน้ำทะเลกับ ท้องฟ้าที่มีค่าของสีดำที่แตกต่างกัน การชดเชยสีจึงมีความจำเป็น เพื่อให้ได้ภาพออกมาเหมือนสีธรรมชาติ หรือใกล้เคียงมากที่สุด


ภาพที่ 5.6 การปรับค่าสมดุลสีเทา ที่มา : http://www.aceperipherals.com/brands/graphtec/csx510-09 3. UCR and Maximum Ink Coverage การออกแบบการกำหนดค่าสีโดยภาพรวมของความ สวยงามของภาพกับค่าที่ต้องคำนึงถึง คือ เมื่อนำมาทำการพิมพ์แล้วไม่ต้องใช้ความอิ่มสีมากเกินไปและ ความหนาของสีมาก การแปลงค่าสีจากภาพสี RGB จึงต้องกำหนดค่า UCR ให้เป็นค่าที่สามารถพิมพ์ได้ ด้วยการใช้ค่าอิ่มสีต่ำและความหนาของสีน้อยแต่คุณภาพของงานพิมพ์ยังเป็นตามมาตรฐานและความ งามตามความต้องการใช้งานนั้นๆ สามารถทำให้ประหยัดหมึกพิมพ์และประหยัดเวลาในการแห้งตัวของ หมึกพิมพ์ด้วย ภาพที่ 5.7 UCR and Maximum Ink Coverage ในการออกแบบการกำหนดค่าสี ที่มา : http://www.aeridiermeala.ch/encyclopedia/ucrunder-color replacement-2/


4. GCR (Gray Component Replacement) and UCA (Under color Addition) การแปลงข้อมูลเป็นสี C M Y ให้มีความสมดุลของสีเทาเป็นกลาง เมื่อรวมตัวกันและทำการชดเชยด้วยสี ดำ โดยองค์ประกอบของสีเทา ประกอบด้วยสี C M Y ด้วยเปอร์เซ็นต์ที่เท่ากัน และชดเชยด้วยสีดำไป เท่ากับเปอร์เซ็นต์ของสีทั้ง 3 สีซึ่งเป็นวิธีการชดเชยสีดำ และในการชดเชยแบบ GCR ซึ่งการชดเชยโดย การกำหนดค่าสีที่ไม่เท่ากันของแต่ละสีในบริเวณนั้นๆ การชดเชยสีดำโดยการลดสีอื่นลงไม่ให้มีความหนา ของหมึกพิมพ์มากเกินไป และประหยัดเวลาในการแห้งตัวของหมึกพิมพ์และประหยัดค่าใช้จ่ายเนื่องจากสี ดำมีราคาถูกกว่าสีอื่นๆ ที่ใช้พิมพ์และยังเพิ่มความหนาแน่นในภาพที่ต้องการสีดำมากขึ้นด้วยและให้ค่า ความเป็นกลางระหว่างสีมากขึ้นด้วย ภาพที่ 5.8 การทํา GCR ที่มา : https:/luminous-landscape.com/print-to-press/


5. Dot Gain การพิมพ์เกิดจากจุดของเม็ดสกรีน และด้วยปัญหาที่เกิดจากการพิมพ์ด้วยระบบ การพิมพ์หรือการทำแม่พิมพ์ทำให้เม็ดสกรีนขาดหายไป หรือมีขนาดเม็ดสกรีนใหญ่เกินไปต่างจากการ กำหนดในการออกแบบ เมื่อทำแม่พิมพ์หรือพิมพ์ต้องกำหนดค่าของ Dot Gain ซึ่งให้ภาพพิมพ์มีคุณภาพ มีความคมชัดของเม็ดสกรีน ไม่มีความเบลอด้วยการชดเชยค่าของเม็ดสกรีนก่อนนำไปทำแม่พิมพ์เพื่อใช้ ในการพิมพ์ตามระบบของแม่พิมพ์หรือพิมพ์ด้วยระบบพิมพ์ดิจิทัล ภาพที่ 5.9 Dot Gain ที่มา : http://the-print-guide.blogspot.com/print 6. Sharpen the image ภาพในคอมพิวเตอร์ปกติมีความคมชัดไม่มาก และความคมชัดของ ภาพไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของจากมองเห็นบนจอคอมพิวเตอร์เนื่องจากความคมชัดของภาพที่มองจาก จอกับความคมชัดที่ไปปรากฏบนงานพิมพ์มีความแตกต่างกัน ความคมชัดของภาพจึงมีความสำคัญในการ จัดความละเอียดภาพดิจิทัลให้มีความคมชัดเพียงพอเมื่อนำไปทำการพิมพ์ จึงต้องทำการปรับความคมชัด ก่อนนำไปใช้ในการจัดวางหน้าสิ่งพิมพ์ เพื่อให้ได้คุณภาพตามความต้องการและต้องคำนึงถึงระบบการ พิมพ์และวัสดุที่ใช้พิมพ์ตามความต้องการของงานที่ผลิต ภาพที่ 5.10 Sharpen the image ที่มา: https://www.digitalphotomentor.com 7. Knocking Out, Trapping, and Overprinting การพิมพ์ตัวอักษรบนพื้นสีต้องมี การ คำนวณพื้นที่เพื่อการทับซ้อน เพราะหมึกพิมพ์มีคุณสมบัติความโปร่งใสในการพิมพ์ภาพบริเวณที่ต้องการ ให้เห็นเป็นสีใดต้องทำการเว้นสีพื้นไว้เช่น การพิมพ์สีเหลืองบนพื้นสีดำต้องทำการเว้นในส่วนของสีดำไว้ ให้เป็นสีขาวของกระดาษที่ใช้พิมพ์เพื่อที่ให้ได้ภาพสีเหลืองตามความต้องการให้เป็นสีเหลืองเพียงสีเดียวลง


ไปในช่องสีขาว และให้เกิดความพอดีและไม่ยากต่อการพิมพ์ต้องมีการเผื่อของตัวอักษรออกไปในพื้นและ ให้ทับซ้อนกัน และส่วนนั้นกลายเป็นสีเดียวกับสีพื้น จึงต้องทำ Knocking Out, Trapping, and Overprinting เนื่องจากการพิมพ์แล้วให้ตรงฉากพอดีนับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก ไฟล์สามารถทำได้แต่ การพิมพ์อาจไม่ได้ถ้าพิมพ์เหลื่อม จึงต้องมีการแก้ไขด้วยเทคนิคต่างๆ เพื่อให้ภาพที่พิมพ์ออกมาแล้วไม่มี การเหลื่อมหรือมีขอบขาวระหว่างสีพื้นกับสีของวัตถุ ภาพที่ 5.11 Knocking Out, Trapping, and Overprinting ที่มา : http://intazone.co.uk/avoid/?p=53 ภาพที่ 5.12 Printed no Overprint and Bad registration ที่มา : https://www.prepressure.com/design/optimize_design/2 http://www.adsell.com/trapping101.html (ก) Overprint การพิมพ์สีของตัวอักษรทับซ้อนลงบนสีพื้น


(ข) ภาพพิมพ์เหลื่อม (ค) Knockouts and Overprint (ง) Knockouts and Overprint (ค) และ (ง) การแก้การพิมพ์ภาพเหลื่อมโดยการทำให้ขอบภาพตัวอักษรทับซ้อนสีพื้น และการพิมพ์ตัวอักษรทับซ้อนขอบภาพสีพื้น ภาพที่ 5.13 Overprints vs. Knockouts ที่มา : http://www.adsell.com/trapping101.html การตรวจหรือการปรู๊ฟก่อนทำการพิมพ์ การตรวจข้อความ การจัดวางหน้า และสีของงานต้นฉบับจากการออกแบบนับเป็นเรื่อง ความสำคัญของกระบวนการงานก่อนพิมพ์ หากมีการผิดพลาดและไม่ได้แก้ไขก่อนไปทำการพิมพ์ย่อม เกิดความเสียหายขึ้น ดังนั้นการตรวจคุณภาพของไฟล์ข้อมูลในการออกแบบ และจัดวางหน้า ในขั้นตอน ก่อนจะทำการส่งออกไปทำแม่พิมพ์หรือพิมพ์ ต้องตรวจสอบให้แน่ชัด เรื่องความถูกต้องในเรื่องการสะกด คำ การจัดวางหน้า สี ภาพประกอบ และอื่นๆ สำหรับการตรวจมีวิธีการหลายวิธี ได้แก่ การตรวจบน หน้าจอคอมพิวเตอร์ การตรวจโดยการพริ้นด้วยเครื่องพิมพ์เลเซอร์ด้วยการใช้เครื่องปรู๊ฟที่มีหลายระบบ ในการใช้งาน และการพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์สำหรับวิธีการใช้เครื่องพิมพ์ในการปรู๊ฟเป็นวิธีที่เสียเวลาและ ค่าใช้จ่ายมากกว่าการปรู๊ฟแบบดิจิทัลและอื่นๆ แต่การปรู๊ฟที่แสดงผลได้เหมือนการผลิตจริงในการพิมพ์ งาน ในส่วนการปรู๊ฟด้วยระบบดิจิทัลโดยจัดทำไฟล์ข้อมูลในรูปแบบ PDF สำหรับการเลือกวิธีการปรู๊ฟ ขึ้นอยู่กับว่าให้ครอบคลุมในส่วนใด ซึ่งมีข้อดีและข้อเสียของแต่ละวิธีการและค่าใช้จ่าย การตรวจเป็น หน้าที่ของโรงพิมพ์ซึ่งต้องประสานกับลูกค้าถึงความต้องการและความถูกต้องของงานออกแบบสิ่งพิมพ์ ก่อนนำไปผลิตในขั้นตอนต่อไป ความรับผิดชอบการตรวจปรู๊ฟเป็นความรับผิดชอบร่วมกันระหว่างผู้พิมพ์และลูกค้า ใน การตรวจที่ผู้รับงานพิมพ์ต้องประสานงานกับลูกค้า เพื่อทำการตรวจเนื้อหารูปแบบและสีให้ถูกต้อง โดย โรงพิมพ์เป็นผู้รับผิดชอบการดำเนินงาน เทคนิคการผลิต และต้องให้มั่นใจว่างานพิมพ์ตรงกับความ ต้องการของลูกค้า สำหรับการเลือกวัสดุพิมพ์หรือกระดาษในการพิมพ์ลูกค้าเป็นผู้กำหนด แต่โรงพิมพ์ควร


มีการแนะนำความถูกต้องให้กับลูกค้า เพื่อให้แน่ใจว่าการใช้กระดาษหรือวัสดุดังกล่าวส่งผลต่องานพิมพ์ ตามที่ลูกค้าต้องการหรือไม่อย่างไร รูปแบบการปรู๊ฟ มีวิธีการต่างๆ ดังนี้ การปรู๊ฟบนหน้าจอภาพ (Proofing the Screen) การตรวจความถูกต้อง ข้อความ และภาพ บนหน้าจอภาพ ซึ่งการตรวจรูปแบบของข้อมูลในรูปแบบไฟล์ PDF จัดเป็น วิธีการตรวจที่เสียค่าใช้จ่ายไม่ มากและรวดเร็ว และการตรวจสีต้องใช้เครื่องมือและทำการวัดค่าสีอย่างรอบคอบเนื่องจากหน้าจอภาพ การเกิดสีด้วยระบบสี RGB สำหรับการพิมพ์การเกิดสี ด้วยระบบสี CMYK ในการมองจากหน้าจอภาพ ไม่ได้ค่าที่ถูกต้อง ดังนั้นควรมีการจัดการสีและทำการปรับหน้าจอภาพด้วยการทำรูปแบบมาตรฐานตาม ระบบ ICC (International Color Consortium) แต่ในการตรวจข้อความและการจัดวางหน้าไม่มีปัญหา จากการตรวจด้วยการดูจากหน้าจอภาพ และในส่วนการตรวจตัวอักษรสามารถใช้โปรแกรมการตรวจ คำผิดเป็นวิธีที่ดีและง่ายในการตรวจการสะกดคำในการเรียงพิมพ์เพื่อนำมาใช้ในการออกแบบสิ่งพิมพ์ ภาพที่ 5.14 การปรู๊ฟบนหน้าจอ ที่มา : https://www.lynda.com/Acrobat-tutorials/importance-contractproofs/495278/551594-4.html การปรู๊ฟด้วยเครื่องพริ้นเลเซอร์ (Laser Printer Out) การตรวจด้วยการพิมพ์ออกมาโดยใช้ เครื่องพิมพ์เลเซอร์ซึ่งสามารถตรวจข้อความ ตำแหน่งของการจัดวางภาพ และการจัดวางหน้าและในการ ตรวจโดยการนำมาเทียบกับแบบร่างต้นฉบับ และการตรวจสีต้องคำนึงถึงวัสดุที่ใช้พริ้น ซึ่งควรเป็นวัสดุ ชนิดเดียวกับที่ใช้ในการพิมพ์หรือใกล้เคียงกัน การทำไฟล์ในการตรวจปรู๊ฟด้วยวิธีนี้ควรต้องทำการจัดการ สีและการกำหนดค่าสีให้ได้ค่าตรงกับงานเมื่อทำการพิมพ์ หากมีการใช้วัสดุที่ใช้พิมพ์ เช่น ชนิดของ กระดาษที่แตกต่างกับที่ใช้พริ้นและใช้พิมพ์ ต้องให้แน่ใจว่าเมื่อใช้เครื่องวัดสีแล้วค่าสีที่ได้จะตรงกับสีที่ทำ การพิมพ์บนวัสดุพิมพ์ที่ใช้จริง วิธีการปรู๊ฟแบบนี้เป็นวิธีที่ประหยัดเวลา ค่าใช้จ่าย และสามารถตรวจได้ ละเอียดไม่แตกต่างกับการปรู๊ฟด้วยวิธีการพิมพ์จากแม่พิมพ์จริงมากนัก และหากมีการจัดการสีที่ดีแล้วก็ ทำให้สีตรงกับที่ต้องการในงานพิมพ์


ภาพที่ 5.15 การปรู๊ฟด้วยเครื่องพริ้นเลเซอร์ ที่มา : https://slideplayer.com/slide/1677434/ การจัดทำเอกสารควบคุมเพื่อการตรวจปรู๊ฟ (Preflight Software : Technical Controls) การตรวจไฟล์ข้อมูลก่อนที่นำไปทำการพิมพ์ ขั้นตอนการตรวจนี้มีความสำคัญต่อกระบวนผลิตสิ่งพิมพ์ เพราะสามารถตรวจความถูกต้องได้จากไฟล์ข้อมูลและมีความละเอียดในการตรวจ การจัดทำเอกสาร ควบคุมสามารถใช้ไฟล์แบบ PDF ในโปรแกรมที่ใช้การออกแบบสิ่งพิมพ์ เช่น InDesign, QuarkXPress สำหรับการตรวจข้อผิดพลาดโดยการใช้โปรแกรม Preflight ซึ่งเป็นโปรแกรมการตรวจไฟล์ข้อมูลงานก่อน ทำการพิมพ์ที่ง่ายและมีความรวดเร็ว การปรู๊ฟด้วยฟิล์ม (Film Contact Proofs) การปรู๊ฟด้วยการพิมพ์งานพิมพ์ 4 สีที่มีข้อจำกัด คือต้องใช้ฟิล์มและเครื่องพริ้นปรู๊ฟเฉพาะ และทำการตรวจวัดค่าสีบนแผ่นฟิล์มที่ใช้พริ้นงานตามการ ออกแบบ และนำข้อมูลไปทำการปรับค่าสีในงานออกแบบให้ตรงกับค่าสีที่กำหนด ปัจจุบันไม่ค่อยใช้การ ปรู๊ฟด้วยฟิล์มเนื่องจากการประมาณค่าของสีขึ้นกับเครื่องฟิล์มและโปรแกรมของแต่ละบริษัท ซึ่งมีความ ยุ่งยากและมีราคาสูงกว่าการปรู๊ฟด้วยเครื่องพิมพ์เลเซอร์ ภาพที่ 5.16 การตรวจปรู๊ฟด้วยฟิล์ม ที่มา : http://www.efi.com/products/inkjet-printing-and-proofing การควบคุมการแปลงไฟล์ข้อมูลด้วยระบบข้อมูลสีแบบ ICC Profiles การจัดการข้อมูลเพื่อการ แปลงสีจากระบบสี RGB ให้เป็นระบบสี CMYK โดยใช้โปรแกรม Adobe Photoshop ในการเปลี่ยน โหมดสี และสามารถบันทึกลงในโปรแกรม InDesign เพื่อให้ได้เป็นไฟล์ข้อมูลที่เป็นสีระบบสี CMYK การ


Click to View FlipBook Version