เซลล์รูปกรวย (Cones) เป็นเซลล์รับแสงที่ทำหน้าที่ในการมองเห็นสีและแสงในที่สว่าง มี3 ประเภท แต่ละประเภทของและเซลล์รูปกรวยมีความไวต่อส่วนต่างๆ ของสเปกตรัมที่แตกต่างกัน ได้แก่ เซลล์รูปกรวยประเภทที่รับแสงสีแดง ประเภทรับแสงสีเขียว และประเภทรับแสงสีน้ำเงิน การผสาน กันของเซลล์รูปกรวยประเภทต่างๆ ทำให้สามารถเห็นแสงทุกสีในสเปกตรัม สีในภาพสีประกอบไปด้วยสีจำนวนมากมายหลายพันสี เวลานำภาพไปพิมพ์ไม่สามารถพิมพ์ได้ ครบทุกสี เนื่องจากหมึกพิมพ์มีสีจำนวนมากมายหลายพันสีที่เหมือนกันและแตกต่างกันกับภาพสีที่ นำมาใช้หรือไม่สามารถฉายภาพบนจอภาพด้วยการใช้แสงเป็นจำนวนมากมายหลายพันแสง การ ประมาณค่าสีเป็นพันสีในภาพโดยการใช้แม่สี 3 สี ที่ต้องใช้แม่สี 3 สี เพราะว่าเซลล์รูปกรวยของตามีความ ไวต่อสี 3 สี สีแดง (Red) สีเขียว (Green) และสีน้ำเงิน (Blue) เรียกว่า สี RGB เป็นสีหลักในการผสมสี ของแม่สีเติมเต็มหรือแม่สีบวก สีนับได้ว่าเป็นส่วนสำคัญในการออกแบบและยังเป็นส่วนหนึ่งของสีบนผลิตภัณฑ์ต่างๆ ตาม หลักการทฤษฎีสีที่เป็นพื้นฐานในการออกแบบ สีมีผลต่ออารมณ์ที่อาจช่วยโน้มน้าวจิตใจให้มีความรู้สึก การเลือกใช้สีมาจากวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่นที่มีการถ่ายทอดกันมา และส่งผลต่อความรู้สึกในการ มองเห็นสีได้ดังนั้นการเลือกสีในการออกแบบควรต้องรู้ถึงสีมีผลต่อวัฒนธรรม และความหมายของแต่ละ ท้องถิ่นเป็นอย่างไร ในการผลิตสิ่งพิมพ์การเลือกใช้สีต้องเข้าใจถึงว่าจะนำสิ่งพิมพ์นั้นไปใช้กับงานอะไร หรือใช้กับผลิตภัณฑ์อะไร การเลือกสีควรต้องคำนึงถึงความรู้สึกของผู้บริโภคมองเห็นแล้วเกิดความ ประทับใจ หรือสร้างแรงดึงดูดเพิ่มในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ สำหรับการจัดการสีซึ่งเป็นวิธีการหนึ่งของการ ถ่ายทอดสีไม่ให้เกิดความผิดเพี้ยนหรือเรียกได้ว่าให้มีความเพี้ยนสีน้อยที่สุด เช่น สีของเครื่องหมายการค้า ที่ต้องมีสีที่เหมือนกับสีของต้นฉบับที่มีความสำคัญต่อคุณภาพของงานพิมพ์ 1. สีแบบเติมเต็มหรือแม่สีบวก (Additive Color) เป็นแม่สีทางแสง (Light Color) ได้แก่ แม่สี 3 สี คือ สีแดง (Red) สีเขียว (Green) และสีน้ำเงิน (Blue) : (RGB) เมื่อนำมารวมกันเป็นสีขาว แต่เมื่อเกิด การสะท้อนทำให้มองเห็นเป็นสีรุ้ง ค้นพบโดย เซอร์ไอแซคนิวตัน (Sir Lsaac Newton) โดยการทดลองใช้ แท่งแก้วสามเหลี่ยม เรียกว่า ปริซึม (Prism) เมื่อแสงจากดวงอาทิตย์ส่องผ่านพบว่าแสงที่ตกกระทบ ปรากฏเป็นแถบสี 7 สี คือ สีม่วง สีคราม สีน้ำเงิน สีเขียว สีเหลือง สีแสด และสีแดง เรียกว่า สีรุ้ง
ภาพที่ 3.3 สีแบบเติมเต็มหรือแม่สีบวก ที่มา : http://www.gamonline.com 2. สีแบบหักลบหรือแม่สีลบ (Subtractive Color) เป็นแม่สีของสีวัตถุธาตุ (Pigment color) เป็นสีที่เกิดจากการผสมของเนื้อสี สำหรับใช้ในการวาดภาพ การพิมพ์ และสีของผลิตภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งแม่สี ลบมี3 สี ได้แก่ สีเหลือง (Yellow) สีม่วงแดง (Magenta) สีน้ำเงินเขียว (Cyan) เมื่อนำมารวมกันจำนวน ด้วยของสีเท่ากันจะเป็นสีดำ ภาพที่ 3.4 สีแบบหักลบหรือแม่สีลบ ที่มา: http://www.gamonline.com/catalog/colortheory/language.php
การผลิตสีมีผลกับการมองเห็น ซึ่งสีแบบเติมเต็มหรือแม่สีบวกให้ขอบเขตของสีกว้างกว่าและมี ความบริสุทธิ์มากกว่า และขึ้นอยู่กับจอภาพที่ใช้ในการแสดงผล แต่สีแบบหักลบหรือแม่สีลบขึ้นอยู่กับชนิด ของวัสดุที่ใช้ในการผลิตเป็นผงสี สารเติมแต่ง และสารยึดติด รวมถึงวัสดุที่ใช้พิมพ์นับเป็นปัจจัยของการ แสดงสีบนวัสดุพิมพ์และวัสดุของผลิตภัณฑ์ดังนั้นการเลือกใช้สีในการพิมพ์ต้องคำนึงถึงวัสดุที่ใช้ผลิต เนื่องจากปัจจัยของการผลิตสีแบบหักลบยังมีข้อจำกัดหลายประการ เช่น ผงสีสารเติมแต่งที่ใช้ในการผลิต หมึกพิมพ์ไม่มีคุณสมบัติการดูดกลืนมากพอ และคุณสมบัติของวัสดุที่ใช้พิมพ์หรือกระดาษมีคุณสมบัติการ สะท้อนแสงไม่ดีพอ ซึ่งมาจากปัจจัยต่างๆ ได้แก่ ความเรียบ ความมันวาว ความขาว ความสว่างที่มีผลต่อ การดูดกลืนการสะท้อนแสงของวัสดุ ด้วยสาเหตุดังกล่าวจึงมีความแตกต่างกันของการแสดงสีระหว่างสีบน จอโทรทัศน์ สีของฟิล์มสไลด์ สีของกระดาษขยายภาพสีและสีในงานสิ่งพิมพ์ที่ใช้ในวัสดุในการผลิต แตกต่างกัน เช่นเดียวกับคุณภาพของจอภาพที่มีความแตกต่างกันทำให้แสดงสีที่แตกต่างกัน การมองเห็นสีของภาพจากต้นฉบับในจอคอมพิวเตอร์และการเห็นสีบนวัสดุที่ใช้พิมพ์ ในการผลิต ย่อมมีความต้องการให้ได้สีของภาพต้นฉบับกับสีบนจอภาพและสีบนวัสดุพิมพ์ตรงกัน และ การออกแบบต้นฉบับ ภาพที่ใช้ ได้แก่ ภาพถ่าย ภาพวาด หรือการวาดด้วยโปรแกรมในคอมพิวเตอร์ การ นำมาใช้ควรจัดการสีหรือการปรับสีเพื่อให้ได้สีตรงตามที่ปรากฏบนคอมพิวเตอร์หรือเท่ากับเปอร์เซ็นต์ ของสีตามค่าที่กำหนด แต่ความเป็นจริงการให้ได้ค่าสีตรงตามที่ปรากฏบนคอมพิวเตอร์และตามที่กำหนด กลับเป็นสิ่งที่แทบไม่ได้เกิดขึ้น หากไม่มีการจัดการสีในการออกแบบสิ่งพิมพ์ที่เชื่อมโยงของการจัดการสี ตั้งแต่กระบวนการเตรียมการพิมพ์การพิมพ์ ซึ่งต้องการให้สีปรากฏบนสิ่งพิมพ์ได้ค่าตามกำหนดไว้ การผลิตงานพิมพ์ขั้นตอนการเตรียมการพิมพ์ต้องสามารถตอบคำถามเหล่านี้ ว่าต้องทำอย่างไร จึงจะได้ภาพที่มีสีเท่ากับสีที่ปรากฏในหน้าจอคอมพิวเตอร์ ควรมีการตั้งค่าและจัดการอุปกรณ์อย่างไร ควร วัดสีด้วยเครื่องมืออะไร นอกจากการมองด้วยตาเปล่า และการพิมพ์ภาพจากสี RGB มาเป็นสี CMYK การ วัดค่าสีจาก Pantone หรือ Color Guides การแก้ค่าสีเพี้ยน ICC (International Color Consortium) เพื่อทำให้การพิมพ์ภาพจากต้นทางมาสู่ปลายทางได้สีตามค่าที่กำหนดไว้
ภาพที่ 3.5 สีทางการพิมพ์ ที่มา : https://www.poprint.com.au/category/cmyk-printing/ การจัดการสี (Color Management) การจัดการสีเป็นพื้นฐานสำหรับการทำงานด้านการออกแบบงานกราฟิกของการผลิตสิ่งพิมพ์ การ เลือกสีที่สอดคล้องกันจากการมองเป็นสิ่งที่ยาก เพราะว่าตาของมนุษย์สามารถมองเห็นสีได้มากกว่าการ พิมพ์สีลงไปในกระดาษหรือวัสดุอื่นๆ จึงต้องมีความพยายามเพื่อถอดแบบพิมพ์ให้ได้สีมากที่สุด การ จัดการสีเป็นเรื่องที่เกี่ยวหลักการของแสงกับความสามารถในการมองเห็นสีของตามนุษย์ วิธีการนำสี ออกมาถ่ายทอดผ่านหน้าจอภาพและวัสดุที่ใช้พิมพ์ให้ได้ตรงกับการมองเห็นสีโดยมีองค์ประกอบเกี่ยวกับ การจัดการสี ได้แก่ องค์ประกอบของสีการผสมสีหรือการรวมตัวของสี (Color Mixing) รวมถึงการใช้สีใน งานสิ่งพิมพ์ และสิ่งที่ควรตระหนักเวลาของทำงานเกี่ยวกับสีและแสงในงานกราฟิกการผลิตสิ่งพิมพ์ ควร ศึกษาความรู้เกี่ยวกับการจัดการกับสีตามมาตรฐานในระบบการจัดการแบบ ICC (International Color Consortium) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการให้ได้สีที่ถูกต้องสำหรับงานพิมพ์ การทำสำเนา และการ ถ่ายทอดภาพทางจอภาพต่างๆ ให้สีตรงกับสีที่มีการจัดการสี
ภาพที่ 3.6 การจัดการสี ที่มา : http://www.sjphoto.com/color-management การผสมสีแบบบวก (Additive Color Mixing : RGB) การผสมสีแบบบวก คือ การใช้สี 3 สี สีแดง สีเขียว และสีน้ำเงิน เพื่อการผสมให้เกิดสีใหม่ขึ้น หากผสมแสงของทั้งสี 3 สี โดยให้มีความเข้มของแสงสูงที่สุดตาจะเห็นแสงเป็นสีขาว หากปิดไฟทั้งหมดตา จะเห็นเป็นสีดำ และการผสมสี 2 สีที่มีความเข้มแสงสูงที่สุดได้ผลลัพธ์ดังนี้ สีแดง (Red) + สีเขียว (Green) = สีเหลือง (Yellow) สีแดง (Red) + สีน้ำเงิน (Blue) = สีม่วงแดง (Magenta) สีเขียว (Green) + สีน้ำเงิน (Blue) = สีน้ำเงินเขียว (Cyan) ภาพที่ 3.7 การผสมสี ที่มา : https://www.pinterest.com/1945c/color-mixing
หน้าจอภาพแสดงภาพของระบบสี RGB ถูกสร้างขึ้นจากแหล่งกำเนิดแสงของสีแดง สีเขียว และ สีน้ำเงิน ด้วยจำนวนของพิกเซล (Pixels) จำนวนมากในการผสมแสงของสีแม่สี 3 สี 2 สี หรือมากกว่า 2 สี ขึ้นไปในปริมาณและความเข้มของแสงที่ต่างกัน หน้าจอภาพสามารถสร้างสีที่ตาของมนุษย์รับรู้ได้ มองเห็นเป็นสีต่างๆ การผสมสีแบบบวก มีการใช้อุปกรณ์แสดงสีโดยการใช้แสง เช่น จอคอมพิวเตอร์ จอทีวี จอ โปรเจคเตอร์หรือในอุปกรณ์ที่ใช้ในการจับแสง เช่น กล้องถ่ายภาพดิจิทัล เครื่องกราด อุปกรณ์เหล่านี้มี การจับแสงในการสร้างภาพจากจำนวนของพิกเซล จากแหล่งกำเนิดแสง 3 ส่วน คือ สีแดง สีเขียว และสี น้ำเงิน การผสมของสีจากแหล่งกำเนิดแสงของสีทั้ง 3 สี ทำให้พิกเซลมีสีต่างๆ สี RGB คือ รูปแบบการผสมสีแบบบวก (Additive Color Mixing) ในภาพดิจิทัลหรือสีหน้าจอ แสดงเป็นภาพ สีถูกกำหนดโดยค่าที่แสดงการผสมกันของแม่สีทั้ง 3 สี เช่น สีแดงที่มีความเข้มสูงที่สุด โดย มีค่าความเข้มเท่ากับ R-255, G-0, B-0 เมื่อสี 3 สีมีค่า 0 ของต้นกำเนิดแสงของสีทั้ง 3 สี พิกเซลจะ ปรากฏเป็นแสงสีดำ และเมื่อแม่สีทั้ง 3 สีมีค่าเท่ากับ 255 ของต้นกำเนิดแสงสีทั้ง 3 สี ที่ความเข้มของแสง พิกเซลจะปรากฏเป็นแสงสีขาว ระบบสี RGB เป็นสีที่สามารถแสดงค่าสีที่แตกต่างกันได้ถึง 16.7 ล้านเฉด สี ภาพที่ 3.8 พิกเซล ots_per_inch#media/File:DPl_and_PPI.png
การผสมสีแบบหักลบ (Subtractive Color Mixing) การพิมพ์ทำให้การเกิดสีจากการผสมของหมึกพิมพ์ 3 สี ได้แก่ สีน้ำเงินเขียว สีม่วงแดง และสี เหลือง การผสมสีแบบลบจากชั้นของหมึกพิมพ์สามารถกรองแสงขาวที่ตกกระทบลงบนพื้นผิวของวัสดุที่ใช้ พิมพ์และดูดกลืนสีอื่นทั้งหมดในสเปกตรัม แต่มีโทนสีที่ถูกผสมมีการสะท้อนสีของแสงถูกสะท้อนประเมิน ค่าด้วยความยาวคลื่นของแสงสีขาวที่มีการดูดกลืนหรือสะท้อนจากหมึกพิมพ์ สีน้ำเงินเขียว สีม่วงแดง และสีเหลืองของแต่ละสีที่มีการรับสี 2/3 ของสเปกตรัมของแสงสีขาวและกรองส่วน 1/3 ที่เหลือออก และ สีหมึกพิมพ์เกิดการสะท้อนและมีส่วนที่ถูกกรองประกอบด้วยสี 3 สี ซึ่งเซลรูปกรวยของตามนุษย์มีความไว ต่อการเห็นสี เช่น สีแดง สีเขียวและสีน้ำเงิน พื้นผิวของสีม่วงแดง ในการสะท้อนของแสงขาว ซึ่งมี ส่วนประกอบของสีแดงและสีน้ำเงิน ในขณะที่สีเขียวถูกดูดกลืนและแสงสีแดง สีน้ำเงินรวมกันเป็นสีม่วง แดง ในทางปฏิบัติหมึกพิมพ์สีดำนำมาใช้เพื่อเติมเต็มสี 3 สีจากสีน้ำเงินเขียว สีม่วงแดง และสีเหลือง จากสี CYMK ตามหลักการของการพิมพ์ 4 สี (Cyan, Magenta, Yellow, Black) พื้นผิวที่ไม่ถูกพิมพ์ สะท้อนสีของตัวมันเอง เช่น สะท้อนสีขาวหากพื้นผิวของวัสดุที่ใช้พิมพ์เป็นกระดาษสีขาว ในทางทฤษฎี การผสมสีของสีน้ำเงินเขียว สีม่วงแดง และสีเหลืองในปริมาณที่เท่ากันจะทำให้เกิดเป็นสีดำ แต่เนื่องจาก ปัจจัยในการผลิตหมึกพิมพ์ทำให้เมื่อรวมตัวกันไม่ได้เป็นสีดำ ในการผลิตงานจึงต้องใช้สีดำเพื่อการเพิ่ม ความเข้มของโทนที่ต้องการความดำเพิ่ม ระบบสี CMYK ผลลัพธ์ของสีนั้นถูกประเมินค่าด้วยเปอร์เซ็นต์ของหมึกพิมพ์สี CMYK เช่น สีแดง มีค่า C= 0% , M= 100%, Y=100%, K=0% และในบริเวณที่ไม่มีการพิมพ์ด้วยอะไรได้ เช่น สีขาวหรือสี ของกระดาษหรือวัสดุที่ใช้พิมพ์ ปริมาณสีที่ใช้พิมพ์ของหมึกพิมพ์กำหนดค่าตั้งแต่ 0 เปอร์เซ็นต์ (ไม่มีหมึก พิมพ์) ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ (มีสีครอบคลุมทั้งหมด) การครอบคลุมทั้งหมด โดยการใช้ค่าความถี่ของจอภาพ ในการสร้างค่าของสีทำการแปลงค่าจากค่าสีแบบ RGB เป็นค่าหมึกพิมพ์สี CMYK และไม่ควรทำการ เลือกใช้สีโดยการมองจากจอภาพ เพราะว่าเป็นสิ่งที่ยากในการรับรู้ถึงความสอดคล้องระหว่างจอภาพกับ งานพิมพ์ได้อย่างถูกต้อง ในการกำหนดค่าสีควรใช้แผ่นเทียบสี (Color Guide) ซึ่งเป็นตัวกำหนดค่าสี ตัวอย่างการพิมพ์สีลงบนวัสดุชนิดเดียวกับที่ใช้พิมพ์หรือใกล้เคียง การผลิตแผ่นเทียบสีโดยทั่วไปจะทำการ พิมพ์ลงบนกระดาษหลายชนิดและส่วนใหญ่โรงพิมพ์จะมีแผ่นเทียบสีเฉพาะเพื่อในการควบคุมคุณภาพของ โรงพิมพ์นั้นๆ การพิมพ์แผ่นเทียบสีแสดงสีในค่าสี CMYK หากต้องการเลือกสีในเฉด 4 สี สามารถเลือกใช้ แผ่นเทียบสีทั่วไป แต่เนื่องจากการพิมพ์มีปัจจัยหลายประการที่ส่งผลต่อสีของภาพในการพิมพ์ ได้แก่ กระดาษหรือวัสดุที่ใช้พิมพ์ เครื่องพิมพ์ หมึกพิมพ์และอื่นๆ ผลลัพธ์ของสีที่ออกมาอาจไม่มีความแม่นยำ หากต้องการความแม่นยำในการพิมพ์สีควรใช้แผ่นเทียบสีในการกำหนดค่าสี โดยเฉพาะโรงพิมพ์ควรต้อง กำหนดชนิดของสิ่งที่เป็นตัวแปรของการเกิดสีในการพิมพ์ให้เหมือนกันกับแผ่นที่ใช้เทียบสี
การใช้แผ่นเทียบสี (Color Guide) จากสาเหตุต่างๆ ดังนี้ 1. การพิมพ์ซ้อนทับกันโดยเท่ากันของสีน้ำเงินเขียว สีม่วงแดง และสีเหลือง ในทางทฤษฎีต้อง เป็นสีดำ แต่การผลิตการพิมพ์พบว่าเป็นสีเทาเข้มโดยไม่เป็นสีดำ เนื่องจากปัจจัยต่างๆ เกี่ยวกับการผลิตสี ที่ใช้พิมพ์และปัจจัยของการสะท้อนแสงของวัสดุ เช่น กระดาษไม่เคลือบผิวจะได้ค่าความดำในการพิมพ์ น้อยกว่ากระดาษเคลือบผิว และคุณภาพของหมึกพิมพ์ที่ไม่ได้ให้ความดำมากพอและไม่สามารถเกาะ ติดกันได้อย่างสมบูรณ์ คือ สาเหตุหนึ่งการรวมกันของ 3 สี คือ สีน้ำเงินเขียว สีม่วงแดง และสีเหลืองที่เป็น องค์ประกอบของสีดำในการพิมพ์เมื่อรวมตัวกันแล้วไม่ดำพอ 2. หมึกพิมพ์ไม่สามารถกรองส่วนที่สามของสีในสเปกตรัมได้ดีพอ และสีเทาที่เป็นกลางไม่ถูกรับรู้ เมื่อการพิมพ์สี CMYK จากการพิมพ์ทับกันที่ค่าสี50% ของสีแต่ละสีนำมาใช้ ผลลัพธ์เป็นสีน้ำตาลแดง ซึ่ง การชดเชยสีม่วงแดง และสีเหลืองถูกลดค่าให้ได้สีเทาเป็นกลาง สีเทา : C - 50%, M = 40%, Y = 40% ของแต่ละสี 3. การใช้หมึกพิมพ์สีดำ เพราะว่าสิ่งพิมพ์ส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยตัวอักษรที่ส่วนมากพิมพ์ด้วยสี ดำ ซึ่งในการทำงานง่ายกว่าการพิมพ์ตัวอักษรเป็นสีดำด้วยการผสมสี CMY ซึ่งทำให้การควบคุมขั้นตอน การพิมพ์ทำได้ยาก เพื่อให้มั่นใจว่าตัวอักษรเหล่านั้นอ่านออกได้ชัดเจนจึงใช้การพิมพ์ด้วยสีดำเท่านั้น ระบบสี CMYK ไม่ควรใช้การมองเห็นด้วยตาในการผสมกันของสี CMYK เนื่องจากระบบ สี CMYK มีโทนสีหลากหลาย และมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ได้แก่ หมึกพิมพ์ กระดาษ และ เครื่องพิมพ์ที่ใช้ เป็นต้น การวัดค่าของสีด้วยเครื่องวัดความเข้มหรือค่าความดำ (Densitometer) และ จากเหตุผลที่ว่าขอบเขตสี CMYK นั้นแคบกว่าขอบเขตสี RGB ซึ่งหมายความว่าต้องใช้ความระมัดระวังใน การแปลงสีจากสี RGB เป็นสี CMYK โดยการใช้การแยกสีแบบ 4 สี สำหรับผลลัพธ์ของสีที่เหมาะสมใน การพิมพ์ ภาพที่ 3.9 ระบบสี CMYK ที่มา : http://www.fujixerox.com/eng/company/technology/mechanism/s_top.html
การมองสีด้วยตา อาจได้ค่าสีที่หลอกตาเราได้ เมื่อสีถูกรับรู้ในแบบที่แตกต่างกันและขึ้นอยู่กับสีที่ นำวางไว้ข้างๆ อีกสีหนึ่ง ทำให้ความรู้สึกมองเห็นสีแตกต่างกับค่าสีที่กำหนด ปรากฏการณ์นี้ เรียกว่า ผลกระทบที่เกิดจากการตัดกันของสี (Contrast Effect) ภาพที่ 3.10 ผลกระทบที่เกิดจากการตัดกันของสี ที่มา : https://openlab.citytech.cuny.edu สถานการณ์ที่สีสองสีดูเหมือนกันในแสงบางแสงและดูต่างกันในแสงอีกแสง เช่น พื้นผิวถูกรับด้วย สีแดงเมื่อถูกส่องแสงด้วยแสงสีขาว อาจรับเป็นสีส้มเมื่อถูกส่องด้วยแสงสีเหลือง จากเหตุผลดังกล่าว นำมาใช้ในการดูภาพให้ได้มาตรฐานในการตัดสินภาพถ่าย หรือการวัดเพื่อหามาตรฐานของภาพถ่ายและ ภาพพิมพ์ต่างๆ โดยการใช้สีของแสงที่อุณหภูมิสีที่เป็นกลางที่ 5,000 เคลวิน (kelvin) ซึ่งมีค่าสัมพันธ์กับ ค่ากลางจากแสงธรรมชาติ และหากอุณหภูมิสีที่สูงกว่าได้แสงสีน้ำเงินในขณะที่อุณหภูมิสีต่ำกว่าได้แสงสี เหลือง และใช้เป็นแสงสำหรับการดูภาพในการตรวจปรู๊ฟภาพพิมพ์ต่างๆ ด้วยระบบการพิมพ์หรือภาพที่ใช้ กับเครื่องพิมพ์ส่งผลออกหรือพริ้นเตอร์ (Printer) โดยมีวิธีการมากมายสำหรับการสร้างแสงที่เป็นกลาง สำหรับการมองภาพโปร่งแสง เช่น ฟิล์ม Slides ฟิล์ม Negatives หรือการมองภาพทึบแสง เช่น สิ่งพิมพ์ ในการตรวจปรู๊ฟ ซึ่งต้องใช้แสงจากโต๊ะหรือโคมไฟที่มีอุณหภูมิสีที่ถูกต้องในการดูภาพเหล่านั้น
การตรวจและการจัดการสีมีวิธีการและปัจจัย ดังนี้ แผ่นเทียบสี (Color Guide) เป็นแผ่นที่กำหนดสีเพื่อใช้เทียบสีโดยมีบริษัทผลิต ที่นิยมใช้ได้แก่ Pantone และ HKS การ เลือกใช้สีต่างๆ ในงานการออกแบบสามารถเลือกได้ในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เนื่องจากหากมองจาก จอภาพอาจทำให้เกิดการหลอกของสีได้และจอภาพที่แสดงสียังมีความแตกต่างกันในการแสดงสีดังนั้น ควรใช้การเลือกจากแผ่นเทียบสีที่ผลิตออกมาและมีค่าบ่งบอกว่าต้องไปกำหนดค่าสีในคอมพิวเตอร์ของแต่ ละสีอย่างละเท่าไร เพราะการเลือกสีพิเศษต้องเลือกโดยการใช้แผ่นเทียบสีเฉพาะสีพิเศษ (Spot Color) ต้องใช้เมื่อต้องการสีบางสีพิเศษผลิตในการใช้การพิมพ์งาน 4 สี ทั่วๆ ไป หรือการกำหนดค่าโดยไม่ได้เกิด จากการมองจากจอภาพที่ขาดความเที่ยงตรงของการมองเห็นสี ภาพที่ 3.11 รูปแบบสี RGB, CMYK, Spot ที่มา : http://www.iwizprint.com/guides/colors การผลิตภาพทางการพิมพ์โดยทั่วไป ภาพพิมพ์จะเกิดจากการใช้หมึกพิมพ์แม่สี C M Y และ K ใน การผลิตสีภาพพิมพ์ซึ่งมีข้อจำกัด คือ ไม่สามารถผลิตโทนสีบางสีได้ตามต้องการ และไม่สามารถผลิตสี อื่นๆ จากหมึกพิมพ์สีเดียวได้ จึงทำให้มีการพัฒนาระบบสีพิเศษขึ้นมา เพื่อความเหมาะสมสำหรับงาน พิมพ์ได้แก่ Pantone และ HKS คือ ระบบสีพิเศษดังกล่าวมีการพัฒนาขึ้นมาและมีระบบ Pantone Matching System, PMS ใช้ในการอธิบายสีต่างๆ เพื่อสร้างความเข้าใจมากขึ้น ใน การสื่อสารกันระหว่าง ผู้ใช้งานสีพิเศษ ระบบสีพิเศษนี้ได้รับความนิยมใช้ในงานตามต้องการสีเฉพาะ ได้แก่ สำหรับงาน ออกแบบโลโก้ของบริษัทหรือสีสัญลักษณ์ของบริษัท เพื่อให้เกิดความถูกต้องในการสื่อสารเรื่องลักษณะ ของสีขององค์กร และระบบสีพิเศษมีใช้มากในงานผลิตสิ่งพิมพ์บรรจุภัณฑ์ที่มีตราสินค้า
Pantone เริ่มใช้ในปี 1963 Pantone และในปี 2001 แพนโทนได้มีการแปลงระบบสีของพวก เขาโดยใช้พื้นฐานของสีจอแสดงผล ซึ่งเรียกว่า RGB โมเดล ประกอบด้วยสีแดง เขียว น้ำเงิน ผสมกัน เพื่อให้เกิดสีที่แตกต่าง สีแพนโทนอธิบายโดยใช้ตัวเลขและการนำมาใช้งานทุกเฉดสีในระบบสีพิเศษมาจาก การผสมสีจากแม่สีดังกล่าวสีต่างๆ มีการตั้งชื่อตามตัวเลขของระบบทำให้มีความสะดวกในการเลือกเฉดสี ที่มีให้เลือกใช้และมีการผลิตตัวอย่างสีพิเศษจาก Pantone ลงบนกระดาษที่แตกต่างกันหรือบนวัสดุที่ แตกต่างกัน เพื่อทำให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกใช้สีพิเศษได้อย่างถูกต้องตามความต้องการ โดยสามารถเห็นสี จริงๆ บนพื้นผิวแบบต่างๆ ได้และ Pantone เป็นมาตรฐานในการเลือกสีในงานต่างๆ เช่น แฟชั่น พลาสติก งานพิมพ์ ศิลปะ ก่อสร้าง สถาปัตยกรรม ฯลฯ Pantone ใช้การผสมสีที่แตกต่างกันไปและสามารถทำให้เห็นได้ชัดเจนกว่า เช่น สี เหลืองอ่อน ในรูปแบบของ Pantone จริงๆ แล้วเป็นสีเหลืองอ่อนที่ไม่ต้องหลอกสายตาด้วยค่าเปอร์เซ็นต์ของจอภาพ เหมือนรูปแบบของสี CMYK เวลาเปลี่ยน Pantone เป็นสีแบบสี CMYK ต้องระวังว่าไม่สามารถสร้างสี ทั้งหมดขึ้นมาใหม่ได้จากรูปแบบของ Pantone เช่น เวลาพิมพ์งานโฆษณาที่มีตราสินค้าในหนังสือด้วย การพิมพ์ 4 สี แต่การกำหนดในสี Pantone การคาดการณ์ว่าสีที่กำหนดตาม Pantone จะเป็นอย่างไร เวลาพิมพ์ 4 สี ในการเลือกใช้ Pantone ต้องเลือกใช้แบบ Pantone to CMYK guides ที่ประกอบไป ด้วยสีใน Pantone โดยหมึกพิมพ์แบบ 4 สี เป็นตัวอย่างที่เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน สีบางสียังคง เหมือนกันแต่สีบางสีอาจต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง เช่น สีน้ำเงิน สีเขียว สีส้ม ฯลฯ จากการใช้หมึกพิมพ์คนละ ยี่ห้อหรือพิมพ์ลงบนวัสดุที่ใช้พิมพ์ต่างกัน ภาพที่ 3.12 Pantone color guides ที่มา : https://www.pantone.com/what-is-extended-gamut
HKS คือ ระบบสีที่ใช้ในการเทียบสี นิยมในประเทศเยอรมัน ระบบสี HKS การเลือกใช้สี 88 สี เป็นหลักกับเฉดสี (Shade) 39 เฉดสี(Shade) รวมทั้งหมด 3,250 สี ในการพิมพ์เพื่อใช้งาน ซึ่งเหมือนกัน ระบบสี Pantone มีการพิมพ์ลงบนกระดาษเคลือบผิวและไม่เคลือบผิว และสีแต่ละสีมีเลขเรียงกันไป ภาพที่ 3.13 HKS color chart ที่มา: https://www.saxoprint.co.uk/blog/spot-colour-printing/ ปัญหาของการพิมพ์สีที่ไม่ตรงกันระหว่างหน้าจอภาพกับงานพิมพ์มีความยากแค่ไหนในการสร้าง สีขึ้นมาเพื่อให้ตรงและให้ความเหมือนกันของค่าสีระหว่างหน้าจอภาพและงานพิมพ์ทำไมถึงดูต่างจาก หน้าจอภาพทำให้การทดสอบสีมีแถบสีไม่ตรงกับสีของงานพิมพ์จากสาเหตุต่างๆ ดังนี้คือ 1. พื้นฐานความแตกต่างของส่วนของเครื่องพิมพ์ที่พิมพ์ด้วยรูปแบบสีของหมึกพิมพ์แบบสี CMYK และในส่วนของจอภาพใช้ระบบสี RGB กับแหล่งกำเนิดแสงที่ไม่สามารถรับค่าของสีของหมึกพิมพ์ด้วยแสง ที่ใช้และเนื่องจากสาเหตุที่ไม่สามารถได้สีที่คล้ายคลึงกันระหว่างสี 2 ระบบ 2. ความแตกต่างกันระหว่างอุปกรณ์ 2 อย่าง ซึ่งใช้ระบบสีเดียวกัน เช่น ความแตกต่างกันของ การใช้เครื่องพิมพ์ เช่น แบบเลเซอร์ (Laser) กับแบบพ่นหมึก (Inkjet) เครื่องพิมพ์ทั้ง 2 แบบใช้ระบบสี CMYK เหมือนกัน แต่เครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์ใช้สีพิมพ์เป็นแบบผงหมึกที่ใช้ความร้อนในการยึดติดลงบน กระดาษหรือวัสดุที่ใช้พิมพ์ แต่เครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึกใช้สีพิมพ์เป็นแบบหมึกพิมพ์แบบน้ำซึ่งพ่นหมึก พิมพ์ลงกระดาษเป็นความแตกต่างระหว่างระบบการพิมพ์ เทคนิค การพิมพ์และหมึกพิมพ์ที่ต่างกัน กระดาษหรือวัสดุแตกต่างกันจะส่งผลกระทบต่อการทำสีให้แตกต่างกันออกไปเช่นกัน
3. ความแตกต่างระหว่างชิ้นส่วนของอุปกรณ์ที่เหมือนกันแต่คุณภาพต่างกัน ได้แก่ จอภาพที่ แตกต่างกันระหว่างหน้าจอภาพหรือเครื่องพิมพ์ชนิดเดียวกัน แต่มีความแตกต่างกันของคุณภาพ หรือ เครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์เหมือนกันแต่คุณภาพต่างกันให้ผลการพิมพ์สีแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น ในร้านขาย อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เห็นว่าภาพในจอโทรทัศน์สีแต่ละจอนั้นมีสีที่แตกต่างกัน แม้ว่าฉายภาพเดียวกัน ซึ่ง ประกอบไปด้วยค่าสีที่เหมือนกัน คือ สีแดง สีเขียว สีน้ำเงิน บนจอภาพที่แตกต่างกันทำให้เห็นสีภาพที่ ปรากฏต่างกัน ซึ่งทำให้ยากในการแสดงผลที่เหมือนกันของสี RGB กับสี CMYK จากการใช้อุปกรณ์ที่ ต่างกันการแสดงผลอาจมีความแตกต่างกัน เพราะการแสดงผลยังขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่ใช้ ดังนั้นการจัดการ สีจึงมีความสำคัญเพราะการจัดการสีสามารถแสดงผลโดยไม่ขึ้นอยู่กับความแตกต่างของอุปกรณ์ในการใช้ ภาพที่ 3.14 Tristimulus ที่มา: http://paulhertz.net/factory/ignotus-editions/color-workflow/ CIE เป็นวิธีระบุสีโดยที่ไม่ต้องขึ้นอยู่กับอุปกรณ์สร้างโดย CIE (Comission Internationale d'Eclairage หรือ International Commission on Illumination) จากการทดลองเกี่ยวกับการรับรู้สี ของมนุษย์ในปี 1930 จากการรับรู้ของมนุษย์ที่แตกต่างกัน ในการจัดระบบสีแบบมาตรฐานโดยอาศัย ค่าเฉลี่ยของการรับรู้สี โดยการรับรู้เรื่องสีของมนุษย์สามารถด้วยการตอบสนองใน 3 เส้นโค้ง ซึ่งเรียกว่า ค่าไตรสติมูรัส (Tristimulus) สามารถใช้ระบุสีได้อย่างชัดเจน CIELAB และ CIEXYZ เป็นรูปแบบหนึ่งในรูปแบบ CIE ทั้ง 2 แบบนี้อ้างอิงจากการรับรู้ของมนุษย์ CIELAB และ CIEXYZ ใช้หลักค่าที่แตกต่างกัน 3 ค่า และสีในรูปแบบ CIELAB กำหนดโดยการตั้งค่าเป็น L, A และ B ในรูปแบบ CIEXYZ ตั้งค่าเป็น X, Y, Z ในรูปแบบ CIELAB การเคลื่อนที่ของพื้นที่สี เกี่ยวข้อง กับการเปลี่ยนของสี (ในรูปแบบของความยาวคลื่น) ในพื้นที่สีที่เกิดการเคลื่อนที่ เช่น เมื่อเคลื่อนย้าย ระหว่าง 2 สิ่ง หรือ 2 สี ในช่วงสเปกตรัมสีน้ำเงินของพื้นที่สีช่วงของสีที่เปลี่ยนมีค่าเท่ากับการเคลื่อนที่ใน
แต่ละครั้ง และหากการเคลื่อนที่เหมือนกันเกิดขึ้นนอกเหนือจากค่าที่เปลี่ยนแปลงอยู่ในรูปแบบ CIELAB ตารับรู้ค่าที่เปลี่ยนแปลงเท่ากัน เพราะว่ารูปแบบได้อ้างอิงจากการรับรู้ของสายตาของมนุษย์ ความแตกต่างที่เห็นได้ระหว่างสี 2 สี เรียกว่า Delta E การเปลี่ยนแปลงสีโดยอ้างอิงจากความ ยาวคลื่นระหว่างพื้นที่หนึ่งในพื้นที่สีไม่จำเป็นว่ามีค่าที่ตรงกับ Delta E เหมือนกับค่าที่เปลี่ยนในความยาว คลื่นในอีกพื้นที่ของพื้นที่สี หาก Delta E มีค่าน้อยกว่า 1 ค่า ไม่สามารถรับรู้ถึงความแตกต่างของค่าใน รูปแบบ CIELAB ในรูปแบบที่ใช้ในงานกราฟิกที่มีความต้องการใช้เครื่องมือที่ไม่ต้องอ้างอิงจากรูปแบบสี เพราะรูปแบบ CIELAB เป็นสีถูกอ้างอิงจากการรับรู้ของตาของมนุษย์ ภาพที่ 3.15 Delta E ที่มา : http://paulhertz.net/factory/ignotus-editions/color-workflow
มาตรฐานสี สี RGB ในรูปของพิกเซล แม่สี คือ สีแดง สีเขียวและสีน้ำเงิน รวมในรูปของสัญญาณในช่อง เท่ากัน เช่น ในช่องสีแดงออกมาเป็นสีแดง แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นสีแดงอะไร สีที่ดูต่างกับสีที่ หน้าจอภาพ และสีแตกต่างกันหากใช้เครื่องพิมพ์และหมึกพิมพ์ที่แตกต่างกัน และไม่สามารถบอกได้ว่า แบบไหนคือ อันถูกต้องของสี RGB เป็นวิธีในการใช้ความรู้สึกในการอธิบายสีหรือจากการดูด้วยตาของการ ดูสี สี RGB เป็นระบบสีของจอภาพ เครื่องกราด และกล้องถ่ายภาพดิจิทัลที่ใช้ในการผลิตสีแบบ CIELAB ทำให้สามารถอธิบายสีและรูปภาพดิจิทัลได้อย่างเป็นอย่างดี ดังนั้นค่าสี RGB ต้องมีการจัด มาตรฐานในรูปแบบ CIELAB มาตรฐานสี RGB คือ ลักษณะของความเข้มแสงที่ปรากฏให้เห็นเป็นสี Color Match เป็นรูปแบบ หนึ่งในการใช้กำหนดค่าสี RGB ในโปรแกรม Adobe และอื่นๆ โดยค่ามาตรฐานเหล่านี้ที่มีต้นกำเนิดที่ แตกต่างกันในการใช้ เช่น งานพิมพ์ วิดีโอ ภาพยนตร์ ทีวีและจอภาพ ซึ่งมีลักษณะเฉพาะและสามารถ ปรับใช้ได้กับหลายของอุปกรณ์ในการถ่ายทอดสี มาตรฐานสี RGB การเลือกใช้ที่ถูกต้องควรเลือกตามงานที่ต้องการบ่งบอกถึงความแตกต่างของ มาตรฐานสีแต่ละสีคือ สีมาตรฐาน สีแดง สีเขียว สีน้ำเงิน ซึ่งมีค่าแตกต่างกันและทำให้เกิดสีที่แตกต่างกัน ในฐานข้อมูลสี RGB หมายความว่าค่าสี RGB ที่เหมือนกันทำให้เกิดสีที่แตกต่างกัน ในฐานข้อมูลสี RGB ที่ ต่างกันเหมือนกับการใช้หน่วยวัดที่ต่างกันในการวัดอุณหภูมิที่ 20 องศาเซลเซียส และ 20 องศาฟาเรน ไฮต์ แสดงค่าเท่ากันแต่ไม่ได้เป็นอุณหภูมิเดียวกันแต่แสดงตัวเลขเท่ากัน ภาพที่ 3.16 ภาพเครื่องวัดสี ที่มา: http://www.dhgate.com/product/hot-sales-portable-colorimeter-colormeter/389704194.html
สี RGB ในโปรแกรม Photoshop มีความแตกต่างจากของสี RGB ใน CIELAB หากเปลี่ยนแปลง สี RGB จากฐานข้อมูลสีหนึ่งไปอีกแบบค่าสี RGB ทำการแปลงจากรูปแบบเก่าเป็นรูปแบบใหม่ ซึ่ง เหมือนกับการเปลี่ยนค่าอุณหภูมิจากฟาเรนไฮต์เป็นเซลเซียส คือ อุณหภูมิจริงๆ ยัง คงอยู่มีเพียงแต่ตัว เลขที่เปลี่ยนไปเนื่องจากว่าฐานข้อมูลสี RGB มีระยะสีที่แตกต่างกัน สามารถแปลงสีบางสีจากฐานข้อมูลสี RGB แบบหนึ่งไปเป็นอีกแบบจากความต่างของฐานข้อมูลสี RGB ที่สีเหลื่อมกัน หมายความว่า สีต่างๆ อยู่ ในฐานข้อมูลสี RGB ไหนก็ได้และไม่มีปัญหาใดๆ เมื่อแปลงค่าสีเหล่านั้น แต่ว่าสีบางสีอาจไม่ได้อยู่ใน บริเวณที่เหลื่อมกันและไม่สามารถแปลงจากฐานข้อมูลสี RGB แบบหนึ่งเป็นอีกแบบหนึ่งได้ เช่น สีบางสีใน โปรแกรม Adobe สี RGB อยู่นอกขอบเขตสีของ sRGB สีจาก Adobe RGB จึงไม่สามารถแปลงค่าสีใน sRGB ได้ หากต้องการระบุสีเหล่านั้น สีต้องถูกเปลี่ยนเป็นอีกสีหนึ่งในฐานข้อมูลสี RGB อีกแบบแทนด้วย การแปลงสี ส่วนใหญ่ฐานข้อมูลสี RGB มีขอบเขตสีที่แคบกว่าการมองของตามนุษย์และแสดงในรูปแบบ CIELAB ปัจจัยการกำหนดความแตกต่างของฐานข้อมูลสีRGB อธิบายได้ดังนี้ ขอบเขตของฐานข้อมูลสี RGB การทำฐานข้อมูลสีแบบ RGB มีความแตกต่างจากรูปแบบอื่นคือ ขอบเขตสีรูปแบบสี RGB มีขอบเขตสีที่กว้างกว่าและมีความอิ่มตัวของสีมากกว่า สิ่งที่ควบคุมขอบเขตสี RGB คือ ความอิ่มตัวของช่องสีแดง สีเขียว และสีน้ำเงิน สำหรับฐานข้อมูลสีRGB นั้นมีขอบเขตสีกว้างถึง 256 เฉดสีในแต่ละช่องของสีแดง สีเขียว และสี น้ำเงิน (RGB) โดยมีสีประมาณ 16.7 ล้านสี และขอบเขตมีความห่างระหว่างสีมากกว่าขอบเขตสีของภาพ ที่มีความอิ่มตัวมากในสี RGB ที่มีขอบเขตสีกว้างอาจเกิดปัญหาขึ้นได้ เมื่อถูกแปลงเป็นสี CMYK ซึ่งมี ขอบเขตสีที่แคบกว่า หากใช้สี RGB ในขอบเขตสีที่แคบที่มีความใกล้กับขอบเขตของสี CMYK ที่ทำให้เกิด การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในการผลิตงานพิมพ์ เนื่องจากการทำงานส่วนใหญ่ใช้รูปแบบสี RGB standard ที่มีความขอบเขตสีที่แคบไม่สามารถครอบคลุมช่วงสี CMYK ได้ ทางเลือกที่เหมาะสำหรับการผลิตภาพใน การพิมพ์ คือ การใช้ฐานข้อมูลสี RGB ที่มีสีความกว้างของขอบเขตสีแคบกว่าแต่กว้างครอบคลุมขอบเขตสี CMYK รูปแบบการทำฐานข้อมูลสีของรูปแบบสีแบบสี RGB ทำได้หลากหลายรูปแบบ และฐานข้อมูลสี RGB สีทุกสีที่อยู่ในขอบเขตสี RGB เพื่อวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1. เพื่อให้มีความต่างในความสว่างที่เท่ากันระหว่างสี 2. เพื่อให้มีสีเพิ่มมากขึ้นและความต่างที่น้อยลงระหว่างสีในพื้นที่ที่สว่างกว่า หากตาสามารถตอบสนองได้มากกว่า ค่าแกมม่าที่ 1.0 คือ ค่าของสีเป็นเส้นตรงสีทั้งหมดมี ระยะห่างเท่ากัน ส่วนในเรื่องของความสว่างส่วนใหญ่ค่าแกมม่าอยู่ที่ 1.8 - 2.2 ในมาตรฐานสี RGB การ ตอบสนองของตาได้ถูกประเมินค่าและมากกว่า 16.7 ล้าน อยู่ในช่วงสีสว่าง โดยการอ้างอิงจากการมอง
ของตาในการแยกค่าสี RGB ใช้ได้ดีที่สุดและสามารถควบคุมคุณภาพได้จัดเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะใน ฐานข้อมูลสีRGB ที่มีขอบเขตสีที่กว้าง จุดสีขาวของฐานข้อมูลสีRGB เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้มาตรฐานสีRGB แตกต่างกัน คือ อุณหภูมิสีของจุดสีขาว ฐานข้อมูลสีบางสีมีสีขาวที่ขาวที่สุด (R = 255, G = 255, B = 255) ที่ 5,000 เคล วิน (จุดสีขาวของ D50) ในขณะฐานข้อมูลสีอื่นใช้ 5,400 เคลวิน (จุดสีขาวของ E) 6500 เคลวิน หรือ 6,744 เคลวิน ซึ่งมีความเป็นสีน้ำเงินเล็กน้อยและการใช้สีขาวไหนก็ควรใช้สีนั้น ภาพที่ 3.17 ค่าแกมม่า ที่มา: https://en.wikipedia.org/ File:HSL_color_solid dblcone chroma_gray png ค่าของสีที่เป็นค่า Hue เป็นค่าสีแท้ที่ยังไม่มีสีอื่นลงไปปนในสีนั้นๆ Value คือ ความขาวหรือ ความสว่างของสี Chroma คือ ค่าที่แสดงความบริสุทธิ์ของค่าสี การปรับค่าสี ทำได้ด้วยวิธีการใส่ Tint ด้วยการใส่สีขาวลงไปในสี Shade คือการเพิ่มหรือผสมสีดำเข้าไปในสี Tone การใส่สีเทาลงไปให้มีโทนที่ ลดหลั่นกันซึ่งการเกิดค่าสีที่แตกต่างกันเป็นจำนวนมากจากค่าสีแท้ ภาพที่ 2.18 แสดงวิธีการปรับสีด้วย การใส่ Tint, Shade, Tone ที่มา : https://99designs.com/blog/tips/15-descriptive-design-words-you-should-know/
Adobe RGB มีความกว้างกว่าขอบเขตสี Color Match RGB และเป็นฐานข้อมูลสีRGB ที่ถูกใช้ มากที่สุดในงานผลิตกราฟิก ฐานข้อมูลสีนี้เคยถูกเรียกว่า SMPTE-240M หากมีภาพที่อยู่ในค่า SMPTE240M ต้องใช้ Adobe RGB (1998) Adobe RG (1998) มีขอบเขตสีที่กว้าง และหน้าจอภาพบางหน้าจอ ที่สามารถฉายสีทั้งหมดได้ที่ค่าแกม่า 2.2 จุดสีขาว : D65 ECI RGB เป็นมาตรฐานสี RGB ใหม่ซึ่งถูกพัฒนาโดย European Color Initiative (ECI) และมี ฐานข้อมูลสีใกล้เคียงกับ Adobe RGB (1998) ค่าแกมม่า : 1.8 จุดสีขาว : D50 ภาพที่ 3.19 ECI RGB ที่มา : http://designafro.de/2012/10/erste-schritte-furs-color-management sRGB เป็นมาตรฐานสีที่ได้รับการสนับสนุนจาก Hewlett-Packard และ Microsoft และยึดหลัก มาตรฐาน HDTV Hewlet-Packard และ Microsoft ในการใช้ฐานข้อมูลสี sRGB เป็นมาตรฐานสำหรับ การไหลแบบ Non PostScript Based และสำหรับเว็บเบราว์เซอร์ของขอบเขตสี sRGB มาจากช่วงสีที่ หน้าจอคอมพิวเตอร์สามารถแสดงผลออกมา ซึ่งเป็นข้อจำกัดของฐานข้อมูลสีที่แคบกว่าฐานข้อมูลสีRGB ส่วนใหญ่ที่ถูกใช้ในงานกราฟิกและเหมาะสมกับการพิมพ์แบบใช้กับเครื่องส่งผลออก เพราะว่ามีสีอีกมาก ในฐานข้อมูลสี CMYK ที่อยู่ด้านนอกฐานข้อมูลสี sRGB ที่ค่าแกมม่า 1.8 จุดสีขาว : D65
ภาพที่ 3.20 sRGB ที่มา : https://dot-color.com/tag/srgb/ Apple RGB เป็นมาตรฐานสีRGB สําหรับ Adobe Photoshop และ Adobe Illustrator ขอบเขตสีไม่กว้างไปกว่าขอบเขตสีsRGB มากเท่าไหร่ และไม่ค่อยเหมาะสมกับการใช้ในงานกราฟิก ค่า แกมม่า : 1.8 จุดสีขาว: D65 Color Match RGB อ้างอิงจากฐานข้อมูลสีRGB ของหน้าจอภาพของ Radius Press View หน้าจอภาพของ Radius ใช้ในงานกราฟิก เพราะว่าขอบเขตสีที่แคบ แต่ไม่ค่อยเหมาะสมกับการใช้ของ งานกราฟิก ค่าแกมม่า : 1.8 จุดสีขาว : D50 Wide Gamut RGB มีขอบเขตสีที่กว้าง ซึ่งมีสีที่ไม่สามารถแสดงผลบนหน้าจอภาพปกติและ งานพิมพ์ได้ 13 เปอร์เซ็นต์ของสีแบบ Wide Gamut RGB อยู่นอกส่วนที่มองเห็นได้เหมือนกันกับ Adobe RGB (1998) wide gamut RGB ที่ทำให้เกิดปัญหาในการแปลงสีจากสี RGB เป็นสี CMYK เพราะว่ามีสี มากมาย ค่าแกมม่า : 2.2 จุดสีขาว : D50 Monitor RGB หรือ Simplified Monitor RGB คือเครื่องมือที่ใช้การตั้งค่าหน้าจอ ในการแสดง ค่ามาตรฐานสีRGB ส่วนใหญ่ใช้ในงานที่ไม่ได้ทำมาตรฐานสีแบบ ICC CIE RGB เป็นรูปแบบสี RGB เป็นระบบเก่าซึ่งมีใช้ใน Adobe Photoshop ใช้ในกรณีที่ต้องการ เปิดรูปเก่าที่มี CIE RGB และมีขอบเขตสีที่กว้างกว่า CIELAB ค่าแกมม่า 2.2 จุดสีขาว : E NTSC เป็นฐานข้อมูลสีเก่าที่ใช้สำหรับวิดีโอ ซึ่งมีใน Adobe Photoshop ในกรณีที่ต้องเปิดรูป เก่าของ NTSC ที่มีขอบเขตสีที่กว้าง NTSC เป็นมาตรฐานของอเมริกาในการถ่ายทอดโทรทัศน์ ค่า แกมม่า : 2.2 จุดสีขาว : C PAL/SECAM เป็นมาตรฐานสำหรับฐานข้อมูลสีRGB ที่ใช้สำหรับการถ่ายทอดโทรทัศน์ในยุโรป ซึ่งมีขอบเขตสีที่สั้น ค่าแกมม่า : 2.2 จุดสีขาว : D65
ภาพที่ 3.21 Apple RGB ที่มา : http://support-th.canon-asia.com/contents/TH/TH/8200044700.html ระบบการจัดการสี การแปลงค่าสีจากอุปกรณ์หนึ่งไปอีกอุปกรณ์หนึ่ง เช่น จากเครื่องกราดที่ค่าสีหนึ่งไปยังอุปกรณ์ที่ แตกต่างกันของเครื่องพริ้นหรือเครื่องส่งผลออก ในการถอดสีของเครื่องพริ้นเครื่องส่งผลออกที่สอดคล้อง กับเครื่องกราดจะทำการจัดการสีเพื่อให้มีความสอดคล้องและเหมือนกันเป็นเรื่องที่ยาก แต่ระบบจัดการสี ช่วยคำนวณค่าสีในการถอดแบบสีเดิมให้เหมือนกันมากที่สุด เหตุผลหลักสำหรับการทำระบบจัดการสีโดยเหตุผลต่างๆ ดังนี้คือ เหตุผลแรกเพื่อให้แน่ใจว่า อุปกรณ์ที่ต่างกัน เช่น เครื่องพริ้นหรือเครื่องส่งผลออก เครื่องกราด หน้าจอภาพ และเครื่องพิมพ์สามารถ ทำให้การถอดสีได้อย่างแม่นยำ เหตุผลข้อที่สองเพื่อสามารถทำให้การแปลงรูปภาพมีความแม่นยำระหว่าง ระบบสีและฐานข้อมูลสีที่มีขอบเขตสีที่แตกต่างกัน เช่น Adobe RGB (1998) ใช้สี CMYK หรือ จาก Adobe RGB (1998) เป็นสีในฐานข้อมูลสีsRGB เหตุผลข้อที่สามเพื่อให้สามารถแสดงผลก่อนการพิมพ์ งานได้บนเครื่องพริ้นหรือเครื่องส่งผลออกและหน้าจอภาพได้อย่างถูกต้อง The International Color Consortium (ICC) ได้สร้างมาตรฐานสำหรับการจัดการสีเนื่องจาก ข้อจำกัดในการทำงานของระบบจัดการสีเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งเป็นผลของการร่วมมือกัน ระหว่างผู้ผลิตโปรแกรมและฮาร์ดแวร์ จากอุตสาหกรรมการผลิตงานเกี่ยวกับงานกราฟิกที่แสดงผลบน หน้าจอภาพและงานพิมพ์บนวัสดุ ระบบ ICC ทำการศึกษาโดยการอ้างอิงจาก 3 องค์ประกอบที่แตกต่างกัน องค์ประกอบแรก คือ Deice Independent Color Space CIELAB ซึ่งเป็นวิธีการเดียวที่สามารถระบุสีได้อย่างแม่นยำ เรียกว่า RCS, Reference Color Space หรือ PCs, Profile Connection Space องค์ประกอบที่สอง คือ ระบบ
ICC Profiles ซึ่งเป็นตารางตรวจแก้ที่อธิบายถึงลักษณะพิเศษและข้อบกพร่องของอุปกรณ์ต่างๆ เช่น หน้าจอภาพ เครื่องกราด เครื่องส่งผลออก เครื่องพิมพ์ที่อธิบายถึงการถอดสีต่างๆ ของอุปกรณ์ที่มีความ แตกต่างของค่าที่กำหนด องค์ประกอบสุดท้าย คือ โปรแกรมที่ใช้สามารถตั้งค่าด้วยระบบการจัดการสี ICC Profiles ตามเกณฑ์การตั้งค่าของระบบจัดการสี (CMS: Color Management System) ซึ่งคำนวณค่า การแปลงสีระหว่างฐานข้อมูลสีที่แตกต่างกันโดยใช้ค่าในระบบข้อมูลสีแบบ ICC Profiles การใช้ระบบจัดการสีจากองค์ประกอบทั้ง 3 ที่กล่าวมานั้น เพื่อผลต่อผลลัพธ์สุดท้ายในการผลิต งานแม้ว่าใช้อุปกรณ์ที่มีความแตกต่าง เช่น การกราดภาพดัวยการใช้ระบบจัดการสีตามระบบข้อมูลสีแบบ ICC Profiles ในการชดเชยข้อบกพร่องของเครื่องกราด และค่าสีที่ควรอยู่ในฐานข้อมูลสีซึ่งต้องไม่ขึ้นอยู่ กับอุปกรณ์ที่ใช้ที่แตกต่างกัน CIELAB เป็นสิ่งสำคัญของระบบข้อมูลสีICC Profiles เพราะว่าเป็นระบบสีที่ไม่ขึ้นกับอุปกรณ์ แสดงค่าที่ปรากฏของสีมากกว่าที่แสดงค่าของอุปกรณ์ควรใช้สีเท่าไหร่ สี RGB และสี CMYK ซึ่งไม่ เหมือนกับรูปแบบ CIELAB เป็นระบบที่ขึ้นกับอุปกรณ์ ซึ่งเปอร์เซ็นต์ของสี CMYK หรือค่าของสี RGB มี ความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ในการถอดสีนั้นๆ เช่น ภาพสีแสดงสีที่แตกต่างกันบนโทรทัศน์แม้ว่า โทรทัศน์เหล่านั้นฉายภาพเดียวกัน ซึ่งมีค่าสีเหมือนกันแต่แตกต่างที่จอแสดงภาพ และเหมือนกับงานพิมพ์ ที่มีความแตกต่างของสีที่พิมพ์บนกระดาษหรือวัสดุที่ใช้พิมพ์แตกต่างกัน CIELAB การจำลองสีให้มีความเหมือนกับการรับรู้ของตาและมีความแม่นยำในระบบข้อมูลสีแบบ ICC Profiles ซึ่งใช้ระบบ CIELAB เป็นตัวอ้างอิงในการแปลงสีจากระบบหนึ่งเป็นอีกระบบหนึ่งในการผลิต ภาพ CIELAB ไม่ได้มาแทนสี RGB หรือสี CMYK แต่ทำให้การแปลงสีมีความแม่นยำระหว่างระบบสี ต่างๆ เช่น โทรทัศน์เมื่อใช้ระบบจัดการสีในทุกเครื่องที่มีความแตกต่างกันในการรับสีและโปรแกรมที่ให้ สัญญาณเป็นสีรูปแบบ CIELAB และค่าสี CIELAB ถูกแปลงค่าที่แตกต่างออกไป และอุปกรณ์ที่ใช้สามารถ ชดเชยข้อบกพร่องต่างๆ ในแต่ละอุปกรณ์ซึ่งทำให้เห็นสีเหมือนกันทุกเครื่องได้ การทำงานของ ICC Profile การจัดการข้อมูลด้วยการจัดทำระบบข้อมูลสีเพื่อแก้ปัญหาของ อุปกรณ์ ICC Profile ทำให้แสดงผลลัพธ์ก่อนการพิมพ์หรือบนจอภาพได้แม่นยำ ในขณะสีที่แสดงบน จอคอมพิวเตอร์อาจไม่ใช่สิ่งที่ต้องการให้แสดงจริง เช่น สีส้มอาจดูแดงไปเล็กน้อยบนหน้าจอภาพ ในการ ชดเชยค่าสีส้มเพื่อทำให้มีความเป็นสีเหลืองมากขึ้น ICC Profile เป็นระบบข้อมูลสีเพื่อใช้ในการเปรียบเทียบการผลิตสีของอุปกรณ์กับตารางสีก่อน ทำการพิมพ์โดยอ้างอิงจากรูปแบบ CIELAB ของความแตกต่างของค่าสี 2 ค่า คือพื้นฐานของ Profile การ กำหนดข้อมูลเพื่อการชดเชยสีหรือวิธีการทำให้ค่าสีเท่ากันกับตารางสี และสีที่ไม่มีค่าอยู่ในตารางสีจะถูก คำนวณและแทรกลงไปในระบบจัดการสีโดยการใช้สี 2 สีหรือมากกว่าและที่มีความคล้ายคลึงกันในค่าสี นั้น
ภาพที่ 3.22 การทํางานของ ICC profile ที่มา : http://support-th.canon-asia.com/contents/TH/TH/8200094400.html ขั้นตอนการทำ ICC Profile 1. การนำเข้าไฟล์ข้อมูลภาพ โดยการนําเข้าจากกล้องดิจิทัลหรือการนําเข้าจากเครื่องกราด 2. การจัดทำระบบข้อมูลสีICC Profile สำหรับจอภาพ 3. แสดงผลทางจอภาพของไฟล์ข้อมูลที่มีการจัดทำระบบข้อมูลสีICC Profile 4. การจัดทำระบบข้อมูลสีICC Profile สำหรับเครื่องพิมพ์ 5. การพิมพ์ผลออกโดยการใช้ไฟล์ข้อมูลที่มีการจัดการรูปแบบไฟล์แบบ ICC Profile โปรแกรมสำหรับจัดทำระบบข้อมูลสี ICC Profile ในอุปกรณ์โดยเฉพาะ เช่น Profile maker จาก Gretag Macbath, Colortune จาก Afga, Printopen และ Scanopen จาก Heidelberg และ Color Kit Profiler Suit จาก Fuji ผลิตภัณฑ์บางประเภท เช่น หน้าจอภาพของ Barco และจอภาพของ Radius และเครื่องพริ้นสีหรือเครื่องส่งผลออกบางชนิดหรือบางยี่ห้อมีโปรแกรมของเครื่องใน การ จัดการไฟล์ระบบข้อมูลสีICC Profiles ระบบข้อมูลสี ICC Profiles มีลักษณะแบ่งออกได้ 2 ประเภท คือ 1. แบบใช้กับอุปกรณ์นำเข้า (Input Profiles) ไว้ใช้สำหรับอุปกรณ์ที่อ่านภาพ เช่น เครื่องกราด และกล้องดิจิทัลที่ใช้กับการนำเข้าข้อมูลเพื่อนำไปจัดการสี
2. แบบใช้กับอุปกรณ์ส่งผลออก (Output Profiles) ไว้ใช้สำหรับอุปกรณ์ในการส่งผลออกหรือ แสดงผล เช่น จอภาพ เครื่องฉาย เครื่องพริ้นหรือเครื่องส่งผลออก และเครื่องพิมพ์ การสร้าง Input Profile และการสร้าง Output Profile การสร้าง Input Profile กับอุปกรณ์นำเข้าสำหรับอุปกรณ์ต้องมีโปรแกรมและตารางมาตรฐานสี ที่มีสีจากการอ้างอิงจากแหล่งต่างๆ โปรแกรมที่สร้าง Profile ที่มีค่าอ้างอิงที่แม่นยำใน CIELAB สำหรับสี แต่ละสีในตารางสีที่พิมพ์หรือสแกนลงบนวัสดุต่างๆ ผลลัพธ์ค่าสีแบบสี RGB ซึ่งเปรียบเทียบกับค่าอ้างอิง ในรูปแบบ CIELAB ผลคือตารางเปรียบเทียบสีที่อยู่ในระบบข้อมูลสีICC Profile เช่น การสร้าง Profile สำหรับเครื่องกราดสามารถสแกนตารางสีลงบนกระดาษอัดภาพหรือฟิล์มเพื่อใช้ในการทำแม่พิมพ์ ตาราง สีถูกเปรียบเทียบกับค่าอ้างอิงตามลำดับ สำหรับเครื่องกราด 2 เครื่องที่ต่างกันโดยปกติที่ได้ค่าสี RGB 2 ค่าที่แตกต่างกัน สำหรับสีจากระบบข้อมูลสีจากการอ้างอิงเดียวกัน อาจเป็นเพราะว่าการใช้ต้นกำเนิดแสง การกรองสีและเลนส์ที่แตกต่างกัน ค่าสี RGB สามารถแปลงเป็นค่า CIELAB ในครั้งเดียวกันได้โดยการใช้ ค่า CIELAB ในแต่ละไฟล์ของระบบข้อมูลสีICC Profiles ของเครื่องกราดทำให้เครื่องกราดทั้ง 2 เครื่องมี ผลลัพธ์เดียวกัน เครื่องกราด มีตารางสีสำหรับกระดาษที่เป็นต้นฉบับทึบแสงและฟิล์มแบบโปร่งใส จากผู้ผลิต เช่น Afga, Kodak และ Fuji เพื่อใช้กับฟิล์มและกระดาษที่มีความแตกต่าง ซึ่งทำให้เกิดผลลัพธ์ของภาพบน ฟิล์มหรือกระดาษที่แตกต่างเวลาการสแกนภาพที่ถูกถ่ายด้วยฟิล์มโปร่งใสของ Fuji ที่ต้องใช้ Profile ที่ พัฒนาจากตารางสีบนฟิล์มโปรงใสของ Fuji เพื่อค่าชดเชยสีให้ได้ออกมาแม่นยำ ในทางปฏิบัติควรจัดทำ ระบบข้อมูลสีICC Profiles สำหรับเครื่องกราดหนึ่งเครื่องในการเลือกใช้สีจากระบบข้อมูลสีICC Profile ที่ถูกต้องเช่นเดียวกับการนำผลเข้าจากอุปกรณ์ที่เป็นภาพดิจิทัล ควรต้องมีการจัดทำเพื่อให้การนำผลเข้า ด้วยไฟล์ข้อมูลมีค่าสีเหมาะกับการนำไปใช้แต่ละชนิดของอุปกรณ์นำเข้าภาพดิจิทัล การกำหนดตารางสีให้เป็นค่ามาตรฐานของ ISO IT8 (ISO 12641) ได้มีโปรแกรมและการใช้ ตารางซึ่งอ้างอิงจากตารางสีที่ประกอบไปด้วยแหล่งอ้างอิงจาก 252 สีกับสีทุติยภูมิและสีตติยภูมิและเฉด สีเทา ตารางสีจากผู้ผลิตที่แตกต่างกันและไม่เหมือนกันเพราะว่าผู้ผลิตแต่ละแห่งต่างใช้แหล่งสีของตนเอง ในการอ้างอิง ซึ่งนอกเหนือไปจากตารางสีที่ผู้ผลิตได้บ่งบอกถึงจุดอ่อนของอุปกรณ์ได้กำหนดไว้ การสร้าง Output Profile สำหรับอุปกรณ์ส่งผลออกสำหรับเครื่องพริ้นหรือเครื่องส่งผลออกและ เครื่องพิมพ์ มีการจัดทำไฟล์ข้อมูลสำหรับอุปกรณ์การส่งผลออก (Output) เช่น เครื่องพริ้นหรือเครื่องส่ง ผลออก และเครื่องพิมพ์ ทำการสร้างโดยการแสดงข้อมูลหรือพิมพ์ตารางสีมาตรฐาน (ISO 12640) ซึ่งไม่ เหมือนกันกับตารางสีของการนำเข้าข้อมูล (Input Profile) ที่เป็นฟิล์มสไลด์หรือการทำสำเนา ตารางสี เครื่องพริ้นหรือเครื่องส่งผลออกและเครื่องพิมพ์ประกอบไปด้วยแหล่งอ้างอิงภาพดิจิทัล มีค่าสีประมาณ 928 สี ซึ่งได้มาจากแหล่งไฟล์ข้อมูลแบบไฟล์ดิจิทัลที่เป็นค่าสี CMYK ตารางสีถูกพิมพ์ออกมาคือผลลัพธ์
ทำการวัดค่าสีด้วยเครื่องวัดความเข้มแสงและการวัดสีใน CIELAB และนำมาเทียบกับค่าอ้างอิงสี CMYK เก็บอยู่ในระบบการจัดการเป็นไฟล์ข้อมูลสีICC Profile เหมือนกับเครื่องกราด 2 เครื่องที่ต่างกัน เครื่องส่งผลออก เครื่องพิมพ์ที่ไม่เหมือนกันสามารถให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันออกไปเวลาพิมพ์สีเดียวกัน ใน กรณีของเครื่องพริ้นหรือเครื่องส่งผลออกเครื่องพิมพ์มีค่า CIELAB ที่ต่างกันไปสำหรับสีที่เหมือนกัน เนื่องจากกระดาษวัสดุที่ใช้พิมพ์ หมึกพิมพ์ เทคนิคและระบบการพิมพ์และอื่นๆ การใช้ไฟล์ข้อมูลแบบการจัดการด้วยการจัดทำระบบข้อมูลสีICC Profile ที่แตกต่างกันไปแต่ละ เครื่องพริ้นหรือเครื่องส่งผลออก และเครื่องพิมพ์ ด้วยโปรแกรมที่แก้ไขสีที่มีค่าสี CMYK ต่างกัน เพื่อให้ผล ที่ออกมามีค่า CIELAB เท่ากันในทางทฤษฎีสำหรับเครื่องพริ้น เครื่องส่งผลออกและเครื่องพิมพ์ 2 เครื่อง การแสดงผลลัพธ์ที่เหมือนกัน ถึงแม้ว่ามีค่าที่แตกต่างกันซึ่งเหมือนกับชนิดที่แตกต่างกันของฟิล์มหรือชนิด ของกระดาษอัดภาพที่ให้ผลที่แตกต่างกันของอุปกรณ์ ผลลัพธ์สุดท้ายของเครื่องพริ้นหรือเครื่องส่งผลออก และเครื่องพิมพ์ต้องมีผลมาจากประเภทของกระดาษที่ใช้ หมายถึงการจัดทำไฟล์ข้อมูลสีICC Profiles ต้องคำนึงไปถึงประเภทของกระดาษที่ใช้ควรมีการจัดทำระบบข้อมูลสีICC Profile สำหรับประเภทของ กระดาษที่ใช้ในการพิมพ์ โรงพิมพ์ส่วนใหญ่มีการจัดทำระบบข้อมูลสีICC Profile สำหรับชนิดของ กระดาษเคลือบผิวและกระดาษชนิดไม่เคลือบผิว และการพิมพ์งานคุณภาพสูงที่มีการใช้กระดาษเฉพาะ ต้องมีการทดสอบกับกระดาษที่ใช้ในการพิมพ์ควรมีการจัดทำระบบข้อมูลสีICC profile สำหรับการ ทดสอบเฉพาะกระดาษพิเศษ การสร้าง Output Profile สำหรับหน้าจอภาพ การจัดทำไฟล์ข้อมูลต้องเริ่มจากสีอ้างอิง ซึ่ง เป็นค่าสี RGB และการอ้างอิงแสดงผลบนหน้าจอภาพและการใช้เครื่องตรวจวัดสีด้วยการวัด ค่าสีจาก จอภาพในค่า CIELAB ผลลัพธ์นำมาเทียบกับค่าอ้างอิงสี RGB และเก็บไว้ในไฟล์ข้อมูลสีICC Profile หน้าจอภาพ 2 จอที่แตกต่างกันสามารถให้ค่า CIELAB ที่ให้ค่าที่แตกต่างกันจากการอ้างอิงสี RGB ที่ เหมือนกัน ซึ่งเกิดจากความต่างของการผลิตวัสดุที่ใช้และเทคนิคที่ต่างกัน ไฟล์ข้อมูลสีแบบ ICC Profile มีลักษณะเฉพาะสำหรับหน้าจอภาพที่ช่วยทำให้ค่าสี RGB ถูกต้อง และมีผลลัพธ์เหมือนกันกับค่า CIELAB หน้าจอภาพ 2 จอ ที่แตกต่างกันควรแสดงผลลัพธ์ สุดท้ายที่ เหมือนกันจากการจัดทำระบบข้อมูลสีICC profile เพื่อใช้ในการผลิต การสร้างไฟล์ข้อมูล (Profile) แบบมาตรฐานและไฟล์ข้อมูลแบบเฉพาะ ในการผลิตของผู้ผลิตบางรายมีการจัดทำไฟล์ข้อมูลแบบ ICC Profiles เพื่อให้สามารถใช้ได้กับ อุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องกราด เครื่องพริ้นหรือเครื่องส่งผลออก โดยกำหนด Profiles สำหรับผลิตการ ผลิตงานแต่ละงาน ในการสร้าง Profiles สำหรับอุปกรณ์ เฉพาะในสภาพแวดล้อมที่จำกัด เช่น บริษัทอาจ มีเพียงแค่หน้าจอภาพที่เป็นแบบเดียวกันชนิดเดียวกันทำการสร้าง Profiles สำหรับจอภาพเพื่อที่ให้ได้ ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุดในการผลิตงาน
สำหรับเครื่องพิมพ์ออฟเซตมีมาตรฐานระบบข้อมูลสีICC Profiles ที่สร้างขึ้นโดย ECI (European Colour Initiative) และ Gretag Macbeth ที่อ้างอิงจาก มาตรฐาน ISO 12647-2 สำหรับ การควบคุมการปฏิบัติของการพิมพ์ออฟเซตที่มี Profiles สำหรับวัสดุประเภทต่างๆ ของกระดาษ และ Profiles เหล่านั้นถูกปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่เสมอเมื่อมีวัสดุที่ใช้ในการพิมพ์ชนิดใหม่ การผลิตงานโฆษณาควรมีการจัดทำ Profile มาตรฐาน เพื่อนำไปใช้กับการพิมพ์ทุกครั้ง เนื่องจาก การพิมพ์งานโฆษณาส่วนใหญ่มีสีของสัญลักษณ์ ตราสินค้า โลโก้ ที่ต้องแสดงสีที่เหมือนกันทุกครั้งในการ ผลิต ดังนั้นในการผลิตสิ่งพิมพ์ในการโฆษณาควรจัดทำระบบข้อมูลสีICC Profile เฉพาะเพื่อการนำไปใช้ ในการผลิตที่อาจจะผลิตหลายแห่ง เช่น การโฆษณาในหนังสือพิมพ์หลายฉบับที่สามารถใช้ข้อมูลในระบบ สีเดียวกันไปทำการผลิต การผลิตงานโรงพิมพ์แต่ละแห่งที่ผลิตงานที่มีสีของสินค้าที่ต้องการแสดงที่ เหมือนกัน ควรจัดทำระบบข้อมูลสีICC Profile ของตราสัญลักษณ์ให้เป็นมาตรฐานที่สามารถนำไปพิมพ์ ได้หลายแห่งที่อาจมีความต่างของอุปกรณ์ในการผลิต การทำให้จัดทำระบบข้อมูลสีICC Profile ให้ได้มาตรฐานเพื่อการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โรงพิมพ์ควรมีการปรับการทำงานให้สอดคล้องกับระบบข้อมูลสีแบบ ICC Profile ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ เครื่องพิมพ์ทั้งหมดที่ทำงานด้วยกันได้ การสร้างระบบจัดการสีที่มีประสิทธิภาพในการทำงาน การสร้างระบบจัดการสีให้มี ประสิทธิภาพ ควรต้องจัดหาอุปกรณ์และโปรแกรมให้เหมาะสมกับการแปลงค่าสีระหว่างอุปกรณ์ที่ต่างกัน โดยใช้การจัดการในรูปแบบระบบข้อมูลสีICC Profiles และที่สำคัญอีกสิ่งหนึ่ง คือ การติดตั้งอุปกรณ์ต้อง ทำการติดตั้งและใช้อย่างถูกต้องตลอดของกระบวนการผลิตงานกราฟิกหรือการผลิตงานพิมพ์ เพื่อให้ได้ ค่าที่เสถียรจากการเทียบมาตรฐานการสร้างลักษณะเฉพาะในการผลิตงานกราฟิกและงานพิมพ์ การควบคุมสีต้องทำให้มีค่าที่เสถียรและเทียบกับมาตรฐานของอุปกรณ์ในการทำงานทั้งระบบ หมายถึง การใช้งานของอุปกรณ์เพื่อให้ผลลัพธ์เหมือนกันทุกครั้ง ทำให้การควบคุมสีมีค่าที่เสถียรและมี มาตรฐานการสร้างไฟล์ข้อมูลสีICC Profiles หรือระบบจัดการสีจะไม่มีความหมายหากไม่สามารถ คาดการณ์ผลลัพธ์ได้ จากการจัดการไฟล์ข้อมูลสีแบบ ICC Profile ในการแสดงผลบางส่วนของอุปกรณ์ ภายใต้เงื่อนไขบางอย่าง และเงื่อนไขเหล่านั้นไม่มีผลอีกต่อไปทำให้ไฟล์ข้อมูลสีที่จัดทำแบบ ICC Profile ไม่สามารถใช้งานได้ และหากระบบข้อมูลสี ICC Profiles อันใดอันหนึ่งไม่สามารถใช้งานได้กับระบบ จัดการสีและไม่สามารถทำงานกับอุปกรณ์ทุกๆ อย่าง เช่น เครื่องกราด เครื่องพริ้น เครื่องส่งผลออก หน้าจอภาพ และเครื่องพิมพ์ที่ต้องมีผลลัพธ์แบบเดียวกันไม่ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เพื่อให้ระบบ จัดการมีการทำงานเหมือนกันทุกครั้ง ดังนั้นการทำระบบข้อมูลสี ICC Profiles ต้องคำนึงถึงสิ่งต่างๆ ต่อไปนี้ การทำให้มีความเสถียรของการจัดการสีการจัดการเกี่ยวกับการทำไฟล์ข้อมูลให้มั่นใจว่าสีที่ทำ การพิมพ์เกิดผลลัพธ์เดียวกัน แต่หากเกิดผลลัพธ์ที่ไม่ตรงอาจเกิดขึ้นได้ เนื่องมาจากสาเหตุของความ ผิดพลาดของเครื่องจักรหรือสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลง เช่น ความชื้น อุณหภูมิ ความเสถียรของ
สภาพแวดล้อมอุปกรณ์และวัสดุในการผลิตงานพิมพ์ที่มีความสำคัญ หากต้องการผลลัพธ์ที่เชื่อถือได้โดย ตลอดการทำงาน ควรต้องทำการสร้างไฟล์ข้อมูลให้มีความเสถียรแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงค่าใดๆ เกิดขึ้น ซึ่งต้องดำเนินการปรับค่าเพื่อไม่เกิดความเสียหายต่อการผลิตได้หรือหากเกิดขึ้นควรเป็นค่าที่น้อยที่สุด เท่าที่สามารถปรับแก้ไขได้ การเทียบมาตรฐานของสี การปรับอุปกรณ์โดยการประเมินค่าเพื่อให้อุปกรณ์ทุกอย่างทำงาน สอดคล้องและประสานกันได้อย่างมีความเสถียร เช่น ต้องการตั้งค่าความเข้มของสีน้ำเงินเขียว 40 เปอร์เซ็นต์ในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และค่าของสีน้ำเงินเขียวที่ส่งออกจะต้องเป็น 40 เปอร์เซ็นต์ในการ ส่งออกไปยังเครื่องต่างๆ เช่น เครื่องพริ้นหรือเครื่องส่งผลออก เครื่องอิมเมจเซตเตอร์และเครื่องพิมพ์ ดังนั้นการใช้อุปกรณ์ที่แตกต่างกันที่มีโปรแกรมต่างกันควรมีการเทียบมาตรฐานทุกอุปกรณ์ในการใช้งาน การผลิตงานพิมพ์ การสร้างลักษณะเฉพาะของการจัดทำระบบข้อมูลสีICC Profile การสร้างลักษณะเฉพาะใน การสร้างไฟล์ข้อมูลสีแบบ ICC Profile สำหรับอุปกรณ์ซึ่งต้องทำการเทียบมาตรฐานสีในสภาพแวดล้อม วัสดุ และสภาวะที่ไม่เปลี่ยนแปลงก่อนในการสร้างลักษณะเฉพาะของไฟล์ข้อมูลสีให้พิมพ์ออกมาที่ แสดงผลตามตารางสี การเทียบสีและการวัดผลลัพธ์ของงานเป็นอย่างไร ในการใช้งานบนอุปกรณ์ต่างๆ ไฟล์ข้อมูลสีแบบ ICC Profile เพื่อใช้อธิบายถึงลักษณะของอุปกรณ์และข้อบกพร่องรวมถึงการทำให้ สามารถชดเชยข้อผิดพลาดได้แต่ละอุปกรณ์ที่ได้มีการจัดทำข้อมูลเก็บไว้ ระบบจัดการสีในทางปฏิบัติเป็นวิธีการที่ทำระบบข้อมูลสี ICC Profiles ของอุปกรณ์ทุกอย่างที่ มีความเกี่ยวข้อง เช่น หน้าจอภาพ กล้องถ่ายภาพดิจิทัล เครื่องกราด เครื่องพริ้นหรือเครื่องส่งผลออก และเครื่องพิมพ์ ให้มีความเสถียรและให้ผลลัพธ์ที่เหมือนกันทุกครั้งที่ใช้โดยต้องมีการติดตั้งที่ถูกต้องก่อน ทำการเทียบมาตรฐานและสร้างไฟล์ข้อมูลสีICC Profile ของอุปกรณ์ต่างๆ ให้สามารถทำงานผลิตกราฟิก และงานพิมพ์ และให้มีความถูกต้องในการแปลงค่าสีจากระบบหนึ่งไปอีกระบบหนึ่งตามการจัดทำ ไฟล์ข้อมูลสีแบบ ICC Profile เพื่อใช้ในผลิตงานให้ได้ตามมาตรฐานข้อมูลสีที่ได้จัดทำไว้ในระบบข้อมูลสี การทำให้สีถูกต้องในงานพิมพ์การทำงานกับภาพถ่ายดิจิทัล การนำเข้าภาพด้วยเครื่องกราดใน โหมดสี RGB ด้วยการใช้ขอบเขตสี RGB ที่ระบุในรูปแบบ CIELAB ค่าสี RGB ของกล้องถ่ายภาพดิจิทัล การแปลงค่าโดยการจัดการไฟล์ข้อมูลสีแบบ ICC Profile ต้องทำการชดเชยและกำหนดเกณฑ์การจัดการ สีสำหรับค่า CIELAB ในการแปลงเป็นระบบสี RGB การเลือกเก็บภาพไว้ใน Adobe RGB สีของรูปภาพ ควรสอดคล้องกับความเป็นจริงมากที่สุดในขอบเขตสีที่ระบุในรูปแบบ CIELAB ในการทำงานภาพถูกเก็บ ในรูปแบบที่สามารถเลือกใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งต้องเป็นรูปแบบที่สนับสนุนการจัดทำระบบข้อมูลสี ICC Profiles
การจัดการสีของหน้าจอภาพ ในการดูภาพที่แสดงผลบนหน้าจอภาพ ต้องคำนึงถึงวิธีการฉาย ภาพ คุณภาพ ประสิทธิภาพโดยนำมาพิจารณาอ้างอิงด้วยการจัดทำระบบข้อมูลสีแบบ ICC Profile ของ หน้าจอภาพตามคุณภาพว่ามีประสิทธิภาพอย่างไร ซึ่งในการทำเพื่อชดเชยสีของภาพให้แสดงผลได้อย่าง ถูกต้อง การจัดการสีสำหรับเครื่องพริ้นสีหรือเครื่องส่งผลออก การจัดทำระบบข้อมูลสี ICC Profile สำหรับเครื่องพริ้นสีหรือเครื่องส่งผลออกภาพสี สำหรับภาพที่มีการแปลงสีจากสี RGB เป็นสี CMYK ใน การพิมพ์ เพื่อที่ได้เห็นข้อบกพร่องของเครื่องพริ้นหรือเครื่องส่งผลออก ส่วนใหญ่การแปลงสีที่เกิดขึ้นใน เวลาพริ้นหรือการส่งผลออกด้วยเครื่องพิมพ์หรืออื่นๆ การแปลงค่าสีสามารถทำได้ในโปรแกรม Photoshop การจัดการสีสำหรับการพิมพ์การจัดการสีเพื่อให้สีในการพิมพ์เหมือนกับต้นฉบับ โดยการ จัดการด้วยการใช้ในรูปแบบของ ICC Profile ในการแปลงสีเป็นสี CMYK สำหรับเครื่องพิมพ์ การจำลอง การพิมพ์ของงานสิ่งพิมพ์ส่วนใหญ่มีขอบเขตสีที่แคบกว่าหน้าจอภาพและภาพต้นฉบับ ในโหมดสี RGB แม้แต่เครื่องพริ้นหรือเครื่องส่งผลออกสามารถผลิตสีที่มีความอิ่มตัวและความทึบแสงได้มากกว่าการเทียบ มาตรฐานของระบบ โดยอ้างอิงจากงานพิมพ์ที่คล้ายคลึงกันกับการจำลองที่ไม่เหมือนกับการพิมพ์ แต่ว่ามี ความง่ายกว่าและสามารถนำมาพริ้นด้วยเครื่องพริ้นเพื่อใช้งานได้เช่นกัน วิธีการเทียบมาตรฐานสีด้วยวิธีการจำลอง การตรวจสอบการจัดการสีโดยการดูสีผ่านหน้าจอภาพ ด้วยเครื่องวัดสีและการตั้งค่าอุปกรณ์ให้สอดคล้องกับสิ่งที่เห็น สามารถทำได้จากโปรแกรม Photoshop, InDesign และ Acrobat หลักการ คือ การปรับตั้งค่าด้วยโปรแกรมในการปรับหน้าจอภาพ เพื่อให้สี หน้าจอแสดงผลได้เหมือนกับสีในงานพิมพ์ เป็นวิธีที่ให้ความแม่นยำมากขึ้นคือการนำงานพิมพ์สุดท้ายมา ปรับกับอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้เพื่อให้มีค่าที่ออกมาสอดคล้องกัน และในการจัดทำควรทำการรวมไฟล์ข้อมูล ทั้ง 2 ไฟล์ข้อมูลที่ได้จากการจำลองที่ดีของงานพิมพ์สุดท้ายกับหน้าจอภาพ หากต้องการจำลองผลลัพธ์ การพิมพ์ในเครื่องพริ้นสีหรือเครื่องส่งผลออกต้องทำการรวมไฟล์ข้อมูลที่ทำการจัดการสีของเครื่องพริ้น และไฟล์ข้อมูลในการส่งผลออกของเครื่องแต่ละเครื่อง การจำลองหน้าจอภาพหรือเครื่องพริ้นสีหรือ เครื่องส่งผลออกเป็นสีที่แสดงการจำลองที่มีขอบเขตสีกว้างกว่าสีของสิ่งพิมพ์ที่ได้จากการเทียบมาตรฐานสี โดยการจำลองการเทียบสี การแปลงค่าสี การแปลงค่าสีในระบบหนึ่งหรืออีกรูปแบบโดยจะถูกนำคำนวณขึ้นมาใหม่ เพื่อให้ เข้ากับข้อมูลสีใหม่ที่ได้ซึ่งต้องมีการแปลงค่าสีและการแปลงค่าสีสามารถทำได้หลายวิธีและมีปัจจัยหลาย ปัจจัยที่ส่งผลต่อกระบวนการการแปลงค่าสีทั้งหมด โดยการแปลงในรูปแบบ CIELAB ซึ่งเป็นระบบสีที่ แน่นอน เมื่อทำการสร้างไฟล์ข้อมูลสีด้วย ICC profile ต้องอ้างอิงกับค่าสีที่อ้างอิงได้จากไฟล์ข้อมูล และ ต้องทำการเทียบค่าว่าอุปกรณ์มีการถอดสีอย่างไร เมื่อเทียบกับค่าจากตารางสีก่อนพิมพ์ (อ้างอิงจาก CIELAB) ซึ่งต้องบอกว่าค่าของสีคืออะไร ความแตกต่างของค่าสี 2 ค่า คือ ระบบของไฟล์ข้อมูลสีที่ทำการ
จัดการและส่วนที่สร้างข้อมูลอ้างอิงจากการชดเชยสี คือ การได้ค่าสีที่เท่ากันเหมือนกับค่าสีที่อ้างอิงใน ตารางสี สีที่มีค่าอ้างอิงไม่อยู่ในตารางสีที่ถูกคำนวณ และแทรกโดยเกณฑ์การจัดการสีโดยใช้สีอ้างอิง 2 สี หรือมากกว่าที่มีความใกล้เคียงกับสีที่กำหนดค่าในการแปลงสี เกณฑ์การจัดการสีเป็นโปรแกรมที่สามารถคำนวณค่าการแปลงสีระหว่างอุปกรณ์ที่ใช้ การ จัดการระบบข้อมูลสีแบบ ICC profiles คือ เกณฑ์การจัดการสีโดยโปรแกรมที่ใช้ร่วมกับอุปกรณ์อื่นได้ เป็นอย่างดี และมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการที่ใช้ในคอมพิวเตอร์ของ Apple และถูกใช้กับของ Windows ซึ่งผู้ผลิตในบางส่วนมีโปรแกรมการจัดการสีเป็นเฉพาะโปรแกรมทุกโปรแกรมที่ใช้แปลงค่าสีหรือแก้ไขสี โดยการใช้การจัดการสี สำหรับการแปลงค่าสีสำหรับเครื่องกราด การใช้โปรแกรมสำหรับแต่งภาพ และ การแปลงค่าสีเป็นสี CMYK การจัดการสีตรงกับการแปลงสีอย่างไร มีปัจจัยดังนี้ - สีซึ่งเป็นกลาง (เทา) ควรคงค่าสีเดิมเมื่อแปลงค่าสี - ความทึบของสีควรมีความทึบสูงที่สุดเท่าที่สูงได้เมื่อแปลงค่าสี - ในการแปลงค่าสี อุปกรณ์ต้องสามารถแสดงสีทุกสีได้ หมายความว่า สีทุกสีควรอยู่ในระบบ ข้อมูลสีและขอบเขตสีของอุปกรณ์บางส่วนของขอบเขตสีที่ยากในการแปลงค่าสีและอาจทำให้เกิดปัญหา - สีสว่างอาจดูแบนหรือกลืนไปด้วยกัน การกำหนดค่าของสีในการจัดการสีควรต้องสร้างขอบเขต ที่กว้าง ซึ่งปัญหานี้มักเกิดกับสีโทนเข้ม - สีอิ่มตัวทำให้เกิดปัญหาในการจัดการสี สีพวกนี้อยู่นอกขอบเขตสีของอุปกรณ์ ซึ่งต้องถูกแปลง ค่าสีไปในฐานข้อมูลสีและขอบเขตสีของอุปกรณ์เพื่อที่ให้ถอดสีได้ แต่กระบวนการจัดการแบบนี้อาจทำให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงค่าสีอาจเปลี่ยนสีอื่นๆ ในข้อมูลสีและขอบเขตสีด้วย - สีที่เคยสร้างขอบเขตของฐานข้อมูลสีของอุปกรณ์และมีพื้นที่ใหญ่สามารถเกิดความแตกต่างใน การแปลงค่าสีได้ วิธีการจัดการสีในการแปลงค่าสี - การแปลงค่าสีแบบการรับรู้สี (Perceptual Conversion) - การแปลงค่าสีแบบสมบูรณ์ (Absolute Conversion) - การแปลงค่าสีแบบเทียบเคียง (Relative Conversion) - การแปลงค่าสีแบบอิ่มตัว (Saturated Conversion)
การแปลงค่าสีแบบการรับรู้ในการแปลงค่าสีแบบการรับรู้ส่วนใหญ่ใช้การแปลงค่าสีจาก ภาพถ่าย ภาพที่ถูกแปลงค่าสีโดยใช้ระยะห่างในฐานสี delta E ซึ่งคงอยู่ในขอบเขตสี และนอกขอบเขตสี แต่ละอุปกรณ์ที่ต้องสามารถย้ายเข้ามาอยู่ในช่วงของอุปกรณ์ได้และสีที่อยู่ระหว่างฐานข้อมูลสีที่ย้ายเข้ามา ได้เช่นกันเพื่อที่รักษาระยะความแตกต่างระหว่างสีและตาของมนุษย์ที่ตอบสนองต่อความต่างของสี ใน การที่สีถูกมองด้วยกันมากกว่าหนึ่งสีกับการที่ถูกมองสีเดียวๆ เช่น สามารถจับผิดข้อแตกต่างระหว่างสีอยู่ ข้างกันแต่เวลาอยู่แยกกันไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นสีเดียวกันหรือไม่ การแปลงค่าสีแบบการรับรู้คงความ แตกต่างเล็กน้อยของสีจึงเป็นวิธีการที่เหมาะสำหรับการแปลงค่าสีของภาพถ่าย การแปลงค่าสีแบบสมบูรณ์ในการแปลงค่าสีแบบสมบูรณ์ส่วนใหญ่ใช้โดยการจำลอง การ พิมพ์ด้วยการปรู๊ฟ โดยพิมพ์ด้วยเครื่องเลเซอร์สีข้างนอกของฐานข้อมูลสีระบบปรู๊ฟด้วยวิธี การพริ้นถูกย้ายเข้ามาข้างใน และสีที่อยู่ในฐานข้อมูลสีอยู่แล้วจะไม่มีการเปลี่ยนของสีในฐานข้อมูล แต่ะ บริเวณขอบภาพอาจหายไป วิธีนี้เหมาะสำหรับงานที่ต้องการถอดสีให้ได้เหมือนเดิมมากที่สุด การแปลงค่าสีแบบเทียบเคียง ในการแปลงค่าสีแบบการรับรู้สามารถทําให้ภาพสูญเสียความทึบ และความอิ่มตัวสีได้ จากการแปลงค่าสีแบบเทียบเคียงสามารถให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าระยะห่างสัมพัทธ์ delta E ของสีที่อยู่นอกฐานข้อมูลสีของอุปกรณ์คงอยู่หลังจากสีเหล่าที่ถูกย้ายเข้ามาข้างในฐานข้อมูลสีและสี เดิมจะถูกแปลงค่าสีเป็นสีที่ใกล้เคียงกับค่าสีเดิม โดยการคงความสว่างของสีได้ ระยะห่างสัมพันธ์กัน ระหว่างสี 2 สี ในฐานข้อมูลสีแปลงค่าและสี 2 สี ที่ให้ค่าสีเดียวกันได้วิธีนี้ไม่ควรใช้กับค่าสีที่มีความ แตกต่างกันมากในช่วงสีระหว่างฐานสี 2 สีในการแปลงค่าสี การแปลงค่าสีแบบอิ่มตัว การทำงานกับภาพกราฟิกเชิงวัตถุวิธีที่เหมาะในการแปลงค่าสีควรใช้ การแปลงค่าสีแบบอิ่มตัว ซึ่งวิธีนี้ช่วยในการแปลงค่าสีให้สีมีความอิ่มตัวมากที่สุด ระยะห่างสัมพันธ์ ระหว่างสี delta E เปลี่ยนค่าสีโดยที่ความอิ่มตัวยังเหมือนเดิมทำให้พิกเซลแต่ละพิกเซลยังคงค่าความ อิ่มตัวสีไว้ถึงแม้ว่าสีเดิมอยู่นอกฐานข้อมูลสีของอุปกรณ์ที่ใช้ ปัญหากับการจัดการสีการจัดการสีอาจมีปัญหาเกิดขึ้นได้ในการจัดการสีเมื่อมีการใช้อุปกรณ์ที่ ไม่สามารถให้ผลที่มีความเสถียร และปัญหาอาจเกิดขึ้นจากความไม่เสถียรของการจัดการสีตามมาตรฐาน ICC Profiles แม้ว่ากระบวนการคงตัวแต่อุปกรณ์ที่ให้ผลมีความแตกต่างกันในเวลาที่ต่างกัน แม้ว่า อุปกรณ์ที่ใช้ใหม่แค่ไหนแต่อุปกรณ์ที่ใช้ควรได้รับการดูแลและเทียบมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจเกิด ความผิดพลาดและความแปรผันเล็กน้อยที่ตาไม่สามารถมองเห็นได้และสาเหตุหลักของปัญหา คือ เครื่องพิมพ์เป็นอุปกรณ์ที่ยากในการรักษาความคงตัวของผลของการพิมพ์เพราะในการพิมพ์ต้องมีการ ควบคุมเกี่ยวกับปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ อุณหภูมิ ความชื้น วัสดุที่ใช้ ความเร็ว เป็นต้น แม้ว่าการจัดการไฟล์ข้อมูลแบบ ICC Profiles เป็นมาตรฐาน แต่การใช้โปรแกรมต่างกันในการ จัดการไฟล์ข้อมูลที่แตกต่างกันให้ผลที่แตกต่างกัน แม้ว่าปฏิบัติตามข้อมูลเฉพาะ ICC Profiles ปัญหา เหล่านี้เป็นผลมาจากว่าไฟล์ข้อมูลเฉพาะของ ICC Profiles ไม่มีความแม่นยำเพียงพอและมาตรฐานของ
การจัดการสีที่พัฒนาโดยหลายหน่วยงาน และจากองค์กรที่แตกต่างกัน จึงไม่สามารถจัดการให้เป็น มาตรฐานเดียวกันได้เพื่อที่ให้ได้ผลลัพธ์เพียงพอใจสำหรับผลิตภัณฑ์ในการผลิตสิ่งพิมพ์ การจัดการสีในรูปแบบของ SWOP SWOP เกิดขึ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมการพิมพ์ และโฆษณา ในประเทศสหรัฐอเมริกา ในปีพ.ศ. 2518 เพื่อแก้ปัญหาการพิมพ์ของสีที่ไม่ตรงกับไฟล์ข้อมูลที่ได้จัดทำขึ้นในคอมพิวเตอร์ การเตรียมไฟล์ข้อมูลในรูปแบบของไฟล์ดิจิทัลที่ใช้การออกแบบเว็บไซต์ที่สร้างขึ้นเป็นรูป แบบ ของไฟล์ดิจิทัล สำหรับการตรวจพิสูจน์ (ตรวจปรู้ฟด้านสี) การจัดการรูปแบบของ SWOP เป็น การจัด ไฟล์ข้อมูลดิจิทัลในเรื่องของสีที่ใช้ในงานของการออกแบบส่งผลไปยังเครื่องพิมพ์ และจอภาพที่เป็นงาน เว็บไซต์หรือประเภทงานหนังสือหรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์และงานภาพยนตร์ ใช้การดูภาพโดยใช้แสงสว่างที่ 5000 เคลวินที่ (D50) ตามมาตรฐาน 3664: 2000 ตามข้อกำหนดการดูภาพกราฟิกและการถ่ายภาพ เช่น ที่ระบุไว้ใน ISO 3664 และมีข้อยกเว้นในการทำงานพิมพ์ที่ต้องเพิ่มการทำสีดำ (K) แต่ไม่ได้รวมถึงสีของ ตัวอักษร และการพิสูจน์อักษร เรื่องการสะกดคำ และเส้นของตัวอักษรที่มีขนาดบางหรือหนาการกำหนด ที่มีขนาดเท่ากันในตัวอักษรไม่นิยมใช้โทนในตัวอักษรเท่าไร เพื่อการอ่านที่ง่ายต่อการมองเห็น เนื่องจากมี น้ำหนักเบาและขนาดตัวเล็กจึงควรกำหนดเป็นสีเดียว และเมื่อมีการใช้ซ้ำควรใช้สีเดียวกัน เช่นการ กำหนดสีของหัวข้อความต่างๆ เพื่อการสร้างความเข้าใจเพิ่มขึ้น ในการกำหนดขนาดของเส้นตามกฎ 1-2 เรื่องการใช้ จุด เส้นที่มีขนาดไม่น้อยกว่า 0.007 นิ้ว ในการกำหนดสีที่ตัวอักษรการกำหนดสีเองไม่น้อย กว่า 70 เปอร์เซ็นต์ เพื่อลดการแสดงผลในการนำไปพิมพ์ที่เกิดเป็นตัวอักษรที่เกิดจากการผสมสีที่ไม่ได้ เกิดจากการใช้สีหนึ่งสีใด และการมีสีรอบข้างที่ทำให้ตัวอักษรอ่านยาก ในการพิมพ์ขนาดตัวที่เล็ก เช่นการ เจาะขาวบนพื้นสีต่างๆ ในจอภาพแสดงผลที่มีความชัดมากกว่าเมื่อนำไปทำการส่งผลออกบนวัสดุที่ทำให้ เกิดภาพ “Image Trapping” ในการกำหนดค่าของตัวอักษรไม่น้อยกว่า 0.04 นิ้ว และเมื่อทำการพิมพ์ แบบ Overprinted สีพื้นหลังควรไม่เกิน 30% ในสีใดสีหนึ่งและไม่ควรเกิน 90% ทั้งสี 4 รวมกันเพื่อความ ชัดเจนและในส่วนที่เป็นภาพในกรณีการใช้ Trapping ต้องไม่ให้เกิดการเลื่อมกัน (Overlap) ของสีภาพ ลายเส้นหรือภาพโทนต่อเนื่องที่มีสีลดหลั่นกัน การทับซ้อนของสีควรอยู่ที่ประมาณ 0.02 - 0.40 นิ้ว และ ควรระวังการจางหายของขอบเส้นที่มีการสร้างจากการผสมกันหลายสี ในการทำเพื่อให้เกิดเป็นสีควรมี การเพิ่มสีดำลงไปหรือการกำหนดการใช้สีดำเพื่อให้เป็นสีดำจากการใช้สีเดียวของสีดำ ในการจัดการไฟล์ ดิจิทัลต้องคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้ เช่น การเลือกใช้ ขนาดของสกรีน คือ การกำหนดขนาดของเม็ดสกรีนการ กำหนดรูปแบบของเม็ดสกรีน ซึ่งไม่ได้เป็นในรูปแบบสกรีนต่อเส้นหรือต่อนิ้ว เช่น 133 หรือ 150 เส้นต่อ นิ้ว (52 หรือ 60 เส้นต่อเซนติเมตร) ในการเลือกใช้ความละเอียด สำหรับภาพขาวดำแบบลายเส้น และใน ส่วนของภาพสีที่มีการผสมสีด้วยเม็ดสกรีน การกำหนดมุมของเม็ดสกรีนควรต้องมีการกำหนดความห่าง ของสีอื่นไม่น้อยกว่า 30 องศา แต่กำหนดความห่างของสีเหลืองเป็น 15 องศา ไม่ว่าจะนำสีใดมาวางข้างสี เหลืองก็ตาม
ภาพที่ 3.23 องศาสกรีน ที่มา : http://www.swop.org/specification/swop_edx_specs ในส่วนของการจัดการสีต้องมีการทำ Gray Balance เพื่อให้เกิดความสมดุลที่เป็นสีเทาโดย การ นำเข้าข้อมูลด้วยการใช้ GCR ในการเพิ่มสีดำที่ช่วยในส่วนของ Under Color Addition (UCA) ลดลงการ แปลงไฟล์ข้อมูลเป็นในรูปของสี CMYK โดยใช้รูปแบบไฟล์ข้อมูลแบบ TIFF หรือ PDF โดย การกำหนด มาตรฐานมีการวัดค่าของสิ่งพิมพ์ให้เป็นไปตามค่ามาตรฐานที่กำหนด และในการส่งผล ออกส่งออกไปใน การพิมพ์ ด้วยระบบการพิมพ์แบบใดต้องใช้การจัดการตามมาตรฐานของระบบ การพิมพ์นั้น ตั้งแต่การ ทำแม่พิมพ์ การพิมพ์การควบคุมโดยใช้แถบความคุม (Color Bars) ของ SWOP ในการควบคุม ซึ่งในการ จัดทำมาตรฐานใดมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ได้สีที่ตรงกับสีใน การออกแบบหรือวัสดุที่ใช้พิมพ์ได้ตรง กับความต้องการ ภาพที่ 3.24 แถบความควบคุม (Color Bars) ของ SWOP ที่มา : http://www.swop.org/specification/Swop_edx_specs สรุปได้ว่า การจัดการสีมีความสำคัญต่อการผลิตงานสิ่งพิมพ์ที่ต้องการคุณภาพของสีให้ได้สีตรง ตามต้นฉบับ เนื่องจากการใช้วัสดุ อุปกรณ์ มีหลายชนิดการเลือกใช้อาจต่างชนิดและต่างคุณภาพ การ จัดการสีที่รูปแบบให้เลือกใช้การทำงานควรต้องทำครบทุกอุปกรณ์ที่ใช้ในกระบวนการผลิตสิ่งพิมพ์นั้นๆ และต้องคำนึงปัจจัยที่มีผลต่อการผลิตภาพสีในการพิมพ์ ได้แก่ วัสดุที่ใช้พิมพ์ คุณภาพของเครื่อง ชนิดของ เครื่อง ชนิดของหมึกพิมพ์หากมีการเปลี่ยนแปลงวัสดุที่แตกต่างกันออกไปผลที่ได้จากการจัดการสีจะต้อง ได้ค่าที่ไม่แตกต่างกัน
ตัวพิมพ์ (Type) ตัวอักษรมีการออกแบบที่มีรูปแบบต่างๆ ให้เลือกใช้ในการนำมาใช้ เรียงพิมพ์เป็นต้นฉบับ ซึ่งมีการพัฒนาจากตัวพิมพ์ไม้มาเป็นตัวพิมพ์โดยการหล่อจากตะกั่ว และปัจจุบันคือตัวพิมพ์ที่สร้างขึ้นจากใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการออกแบบให้มีรูปแบบ ต่างๆ ฟอนต์ (Font) ประกอบด้วยตัวอักขระ ตัวเลขเครื่องหมาย สัญลักษณ์ต่างๆ โดยมีการ ออกแบบรูปแบบต่างๆ สามารถเลือกใช้งานได้ตามความต้องการ ภาพ (Image) การสร้างภาพโดยการถ่ายภาพ การวาดซึ่งเป็นการวาดลงกระดาษหรือ การวาดด้วยการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์โดยมีหลักการเลือกใช้ภาพในการผลิตสิ่งพิมพ์ดังนี้ - สามารถสื่อความหมายได้ - คุณภาพของภาพเพียงพอกับการใช้งาน - ความสวยงามมีองค์ประกอบของภาพและการจัดวางเหมาะกับการออกแบบ การใช้ภาพประกอบสิ่งพิมพ์ - เพื่อสร้างและเสริมสร้างความเข้าใจ ภาพที่มองแล้วสามารถสร้างความเข้าใจให้กับ ผู้อ่านเพิ่มขึ้น และสร้างความคิดหรือความสุขได้ - เพื่อเป็นหลักฐานอ้างอิง ในการอ้างอิง บุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ได้ - เพื่อตกแต่งหน้าสิ่งพิมพ์ การใส่ภาพประกอบนั้น นอกจากการสื่อสารเพื่อสร้างความ เข้าใจ เพิ่มความสวยงาม และใช้เพื่อการพักสายตาจากการอ่านมาดูภาพ
บทที่ 4 ตัวอักษรและภาพ (Text and Image) การผลิตสิ่งพิมพ์ตัวอักษรและภาพจัดได้ว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ เพื่อใช้ในการสื่อสาร การ สื่อสารผ่านตัวอักษรและภาพสามารถถ่ายทอดความคิด ความรู้เพื่อสร้างความเข้าใจได้เป็นอย่างดี ในการ ใช้ภาพเพื่อการสื่อสารมีการใช้มาก่อนและพัฒนามากลายเป็นตัวอักษรเพื่อใช้ในการสื่อสาร และจากความ ต้องการสื่อสารเพิ่มมากขึ้น ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีดิจิทัลในการสร้าง ตัวอักษรและภาพ ซึ่งมีความสะดวกสบายในงานออกแบบและผลิตสิ่งพิมพ์ วิวัฒนาการการใช้ตัวอักษรที่แกะสลักจากไม้ ดิน หินและเข้าสู่การใช้ตัวเรียงแบบตัวตะกั่ว เรียกว่า การเรียงพิมพ์แบบตัวร้อน ต้องใช้ความร้อนในการหลอมโลหะออกมาเป็นตัวอักษรและมาจัดเรียง เพื่อใช้เป็นแม่พิมพ์ในการผลิตสิ่งพิมพ์หรือมีการหล่อแบบเรียงเป็นข้อความตามต้นฉบับเพื่อทำการพิมพ์ และต่อมาได้มีการคิดค้นการเรียงพิมพ์ด้วยแสงด้วยคอมพิวเตอร์ซึ่งยังมีขั้นตอนการผลิตที่ยุ่งยากอยู่ คือ เริ่มจากการเรียงพิมพ์ด้วยเครื่องเรียงพิมพ์ด้วยแสงผ่านแผ่นฟิล์มต้นแบบและฉายแสงลงไปยังกระดาษไว แสงนำไปสร้างภาพด้วยน้ำยานำมาทำการจัดวางเป็นแบบแต่ละหน้า และต้องนำไปถ่ายลงเป็นฟิล์มและ นำมาทำการจัดวางหน้า เพื่อนำไปใช้ในการทำแม่พิมพ์ ซึ่งการทำงานค่อนข้างใช้เวลามากในขั้นตอน ดังกล่าว และเมื่อได้มีการพัฒนาของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และโปรแกรมต่างๆ เพื่อใช้ในการออกแบบ สามารถส่งผลออกไปเป็นฟิล์ม แม่พิมพ์หรือออกเป็นสิ่งพิมพ์ได้ด้วยการใช้ระบบการพิมพ์ดิจิทัลมีการ พัฒนาที่ลดขั้นตอนการทำงาน ลดการใช้น้ำยาในกระบวนการออกแบบและเตรียมการพิมพ์ได้ ตัวพิมพ์จากการเรียงด้วยตัวพิมพ์ด้วยตัวหล่อด้วยโลหะ การเรียงพิมพ์ด้วยแสงและมาสู่ ยุค ของการเรียงพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์ ก. ข. ค. ภาพที่ 4.1 (ก) ตัวหล่อจากโลหะ (ข) เครื่องเรียงพิมพ์ด้วยแสง (ค) ตัวพิมพ์/ตัวอักษรจากคอมพิวเตอร์ ที่มา : http://www.professionalreports.co.uk/a-journey-in-typesetting-and-technology/ การเรียงพิมพ์ได้ใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ โดยมีโปรแกรมและแบบตัวอักษรให้เลือกใช้ หลาย รูปแบบ การเลือกใช้ต้องให้มีความถูกต้องและมีคุณภาพ จึงควรศึกษาถึงคุณสมบัติของตัวอักษรที่ทำให้
การเลือกใช้ได้อย่างถูกต้อง ได้แก่ รูปแบบของตัวอักษร ขนาดของตัวอักษร และลักษณะของตัวอักษร โดย มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ การจัดวางและการออกแบบ รูปแบบ แบบอักษร (Typography, Typefaces and Fonts) การจัดวางตัวอักษรและการออกแบบ (Typography) ในการผลิตสิ่งพิมพ์ต้องคำนึงถึงการเลือก รูปแบบของอักษร แบบของอักษร ใช้เป็นองค์ประกอบในการออกแบบ และอาจมีองค์ประกอบอื่นๆ เช่น ภาพประกอบ ภาพกราฟิก สัญลักษณ์ การเลือกใช้ตัวอักษรควรคำนึงถึงลักษณะที่บ่งบอกและสื่อ ความหมายได้ เพราะตัวอักษรจัดว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญในงานออกแบบสิ่งพิมพ์ และในการใช้งานมี การจัดเก็บเป็นไฟล์ดิจิทัลที่ติดตั้งในคอมพิวเตอร์สามารถนำมาใช้งานได้กับโปรแกรมต่างๆ โดยการ เชื่อมโยงไฟล์ข้อมูลที่บันทึกรูปแบบตัวอักษรแบบต่างๆ กับโปรแกรมที่ใช้ในการจัดวางและออกแบบ เพื่อ การผลิตงานสิ่งพิมพ์ ซึ่งมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้ตัวอักษรกับงานเรียงพิมพ์ ดังนี้ ปัจจัยที่เกี่ยวกับตัวอักษร 1. แบบตัวอักษร (Typeface) และรูปแบบตัวอักษร (Font) สองคำนี้มีความหมายใกล้เคียง กันมากของ คำว่า รูปแบบกับแบบ แบบตัวอักษร (Typeface) หมายถึง การออกแบบตัวอักษรให้มี ลักษณะรูปแบบเป็นแบบใด และมีการตั้งชื่อเรียกแต่ละแบบ การตั้งชื่ออาจใช้ชื่อของนักออกแบบที่ ออกแบบและจัดทำขึ้นหรือตามลักษณะที่ใช้ในการออกแบบและอื่นๆ เช่น Cordia New, Times New Roman, TH Sarabun New ฯลฯ รูปแบบอักษรมีให้เลือกใช้ได้หลายรูปแบบ โดยสรุป Typeface คือ ชุดรูปแบบตัวอักษรที่มีการออกแบบให้มีลักษณะของความกว้าง ความหนา ลักษณะของเส้นและการ นำมาต่อกันเป็นรูปตามลักษณะตัวอักษร ตัวเลข สัญลักษณ์ต่างๆ ในหนึ่งแบบมีครบทุกตัวอักษร ตัวเลข และสัญลักษณ์และสัญลักษณ์อื่นที่มีความจำเป็นและความต้องการในการใช้งานบ่อยๆ รูปแบบตัวอักษร (Font) คือลักษณะของตัวอักษรที่สามารถกำหนดให้มีความแตกต่างจาก รูปแบบที่ได้ออกแบบไว้ในแต่ละแบบ เช่น การเลือกแบบ Cordia New แต่กำหนดเพิ่มจากรูปแบบ ตัวอักษรแบบปกติให้เป็น ตัวหนา ตัวเอน หรือแบบอื่นๆ ที่มีคำสั่งในโปรแกรมสามารถกำหนดแบบได้ สอง คำนี้มีการนำมาใช้รวมเรียกกันทั่วไปว่า ฟอนต์ (Font) คือ ลักษณะรูปแบบของตัวอักษร 2. การเลือกแบบตัวอักษรเพื่อใช้ในการออกแบบสิ่งพิมพ์รูปแบบและแบบตัวอักษรมีให้เลือก อย่างมาก เนื่องจากการจัดทำและการออกแบบสามารถทำได้ในคอมพิวเตอร์และจัดเก็บเป็นไฟล์ข้อมูลที่ สามารถดาวน์โหลดนำมาติดตั้งไว้ให้ใช้งานได้ง่ายและสะดวก ดังนั้นการเลือกแบบไม่ควรใช้วิธีการเลือก จากหน้าจอคอมพิวเตอร์เพราะแบบตัวอักษรมีจำนวนมาก ควรทำการติดตั้งเฉพาะตัวอักษรที่ใช้หรือที่ใช้ บ่อย ไม่ควรติดตั้งเกินความจำเป็นเพราะการติดตั้งต้องใช้หน่วยความจำในคอมพิวเตอร์และเสียเวลาใน การค้นหา ระบบปฏิบัติการ Mac OS และ Windows สร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนแบบตัวอักษรได้มากและ รวดเร็วเพียงดับเบิลคลิกที่ชื่อไฟล์ข้อมูลของตัวอักษรใน Windows หน้าต่างเปิดขึ้นพร้อมกับตัวอย่างแบบ อักษรสำหรับการพิมพ์ ใน Mac OS มีหน้าต่างเปิดตัวอักษรเช่นกัน การเลือกแบบตัวอักษรสามารถเลือก ไฟล์แบบตัวอักษรที่ต้องการใช้ตามชื่อตัวอักษรแต่ละแบบที่ได้ทำการโหลดมาติดตั้งในคอมพิวเตอร์
3. การกำหนดและเลือกแบบตัวอักษร การออกแบบสิ่งพิมพ์สำหรับการเลือกรูปแบบ ตัวอักษร ควรต้องมีความสอดคล้องกันกับความหมายของเนื้อหาหรือสอดคล้องกับการต้องการสื่อสาร และใน ขั้นตอนของการกำหนดตัวอักษรหรือเครื่องหมายต่างๆ ที่มีความซ้ำกัน เพื่อการประหยัดเวลาการ ปฏิบัติงานควรตั้งค่าให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน และสามารถปรับเปลี่ยนไปได้อย่างรวดเร็วจากการตั้งค่า และการเปลี่ยนแปลงจะถูกดำเนินการโดยอัตโนมัติตามฟังก์ชั่น (Function) เป็นโปรแกรมย่อย (Subprogram) ทำหน้าที่กำหนดค่าแล้วส่งกลับไปที่โปรแกรมหลัก (Main Program) มีลักษณะการส่ง แบบที่ละคำสั่งหรือคำสั่งหลายๆ คำสั่ง 4. วิธีการติดตั้งแบบตัวอักษรในไฟล์ฟอนต์ (Font) สามารถติดตั้งได้ในระบบปฏิบัติการของ โปรแกรมจัดการแบบอักษรของคอมพิวเตอร์เพื่อเปิดใช้งานไฟล์ตัวอักษรในคอมพิวเตอร์ โดยการจัดวาง ไว้ในโฟลเดอร์ (Folder) คือ กล่องเก็บแฟ้มข้อมูลเฉพาะบนฮาร์ดดิสก์ สำหรับ Windows การจัดเก็บ ตัวอักษรไว้เป็นโฟลเดอร์ และยังสามารถเพิ่มแบบตัวอักษรผ่านทางแผงควบคุมของ Windows ได้โดย อัตโนมัติในการคัดลอกไฟล์ฟอนต์ สำหรับระบบปฏิบัติการ Mac OS มีโฟลเดอร์ในการจัดเก็บ เปรียบเสมือนเป็นห้องสมุดในการจัดเก็บไฟล์ข้อมูลได้จำนวนมาก และการนำแบบตัวอักษรใส่ในโฟลเดอร์ เก็บแฟ้มข้อมูล เมื่อมีการใช้ตัวอักษรก็สามารถใช้ได้โดยการเลือกออกมาจากโฟลเดอร์สามารถใช้ได้ทุก โฟลเดอร์ที่ติดตั้งในคอมพิวเตอร์ สำหรับโปรแกรมกราฟิกของ Adobe มีการติดตั้งโฟลเดอร์ตัวอักษรใช้ได้ เฉพาะในโปรแกรม Adobe ดังนั้นการใช้โปรแกรมจัดการแบบตัวอักษรวางไฟล์แบบตัวอักษร ควรเลือก การจัดวางเฉพาะที่มีการใช้เป็นประจำไม่ควรติดตั้งแบบตัวอักษรจำนวนมาก เนื่องจากต้องใช้พื้นที่ในการ จัดเก็บและยังต้องใช้เวลาเลือกหาในการใช้งานที่ทำให้สิ้นเปลืองเวลาโดยไม่จำเป็น 5. การเปิดใช้งานแบบอักษรที่ไม่ต้องติดตั้ง ระบบปฏิบัติการ Mac OS สามารถสร้างการ เลือกใช้แบบตัวอักษรเฉพาะและสามารถเปิดใช้งานไฟล์แบบตัวอักษรที่ต้องการใช้ชั่วคราว ใน ระบบปฏิบัติการ Windows และ Mac OS สามารถใช้โปรแกรมเพื่อจัดเป็นแฟ้มข้อมูลที่ไม่จำเป็น ต้อง ติดตั้งลงไปในฮาร์ดดิสก์ของเครื่องคอมพิวเตอร์และสามารถเรียกมาใช้ได้โดยอัตโนมัติกับแบบตัวอักษรที่ ไม่ได้ใช้เป็นประจำที่ไม่ต้องจัดเก็บให้เปลืองเนื้อที่ในฮาร์ดดิสก์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ 6. การพิมพ์ตัวอักษรหรือสัญลักษณ์พิเศษ ในแป้นพิมพ์ปกติประกอบด้วยตัวอักษร อักขระทั่วๆ ไป แต่การพิมพ์มีใช้สัญลักษณ์อื่นๆ ที่ต้องใช้งานนอกเหนือจากที่อยู่บนแป้นพิมพ์แล้ว มีตัวอักษร อักขระ หรือสัญลักษณ์พิเศษที่ซ่อนอยู่ไม่ได้แสดงไว้บนแป้นพิมพ์สำหรับการใช้สัญลักษณ์ในการพิมพ์ที่ไม่ได้แสดง แสดงไว้บนแป้นคีย์บอร์ด ในการทำงานโดยกด Alt + ตัวอักษร ในการทำงานแบบการใช้คีย์ลัดและการ พิมพ์ตัวสัญลักษณ์อื่นๆ ที่นอกเหนือจากแป้นพิมพ์และโปรแกรม Adobe InDesign มีฟังก์ชั่นพิเศษ เช่นเดียวกันกับโปรแกรม Microsoft Word ซึ่งมีฟังก์ชั่นคล้ายกันสำหรับการพิมพ์ตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ พิเศษในการใช้งาน 7. การจัดการแบบตัวอักษร เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้สำหรับงานจัดหน้าสิ่งพิมพ์ ในการใช้แบบ ตัวอักษรควรติดตั้งเฉพาะที่มีการใช้งานบ่อยๆ เพื่อลดการใช้พื้นที่ในการจัดเก็บ แต่หากมีจำนวนมากของ แบบตัวอักษรที่ใช้ควรทำการเรียงเป็นชุดในการติดตั้ง เวลาใช้งานสามารถเรียกใช้ได้ง่ายและไม่เกิดความ สับสนในการทำงานร่วมกันของตัวอักษรที่หลายแบบในโฟลเดอร์เดียวกัน
8. การสร้างและแก้ไขแบบตัวอักษร ตัวอักษรมีลิขสิทธิ์กับแบบแจกให้ใช้ฟรีแบบ OpenType ในการใช้งานการออกแบบสามารถสร้างแบบตัวอักษรขึ้นมา เพื่อการใช้งานที่ต้องการความพิเศษสร้าง แตกต่าง สามารถทำได้ด้วยการใช้โปรแกรมการวาดภาพหรือทำการวาดและนำมาสแกนเข้าไปทำการวาด ในโปรแกรม Adobe Illustrator เพื่อนำไปสร้างเป็นแบบตัวอักษร โดยใช้โปรแกรม เช่น FontLab Studio Fontographer ในการสร้างตัวอักษร 9. ช่องระยะห่างของตัวอักษรหรือตาราง ระยะห่างตัวอักษร (Kerning) ในแบบตัวอักษร (Font) ทุกแบบซึ่งมีความห่างของตัวอักษรระหว่างสองตัวเมื่อนำมารวมกัน เรียกว่า ช่องไฟ และ การออกแบบสิ่งพิมพ์ หากต้องการปรับระยะห่างของช่องไฟในโปรแกรม QuarkXPress และ Adobe InDesign สามารถปรับช่องไฟระยะห่างของตัวอักษรให้กว้างหรือแคบลงได้ 10. Hinting สำหรับงานพิมพ์ที่ดีกว่า การพิมพ์ตัวอักษรขนาดเล็กบนเครื่องพิมพ์ที่มีความ ละเอียดต่ำ เช่น เครื่องพิมพ์เลเซอร์ให้ชิ้นส่วนเล็กๆ ของตัวอักษรบางครั้งก็เป็นสิ่งยากในการพิมพ์ได้เส้น ของตัวอักษรครบและชัดเจนเพียงพอ บางครั้งการกำหนดเส้นตัวอักษรอาจเป็นเพียง 1.5 DPI แต่ ความสามารถของเครื่องพิมพ์ไม่สามารถทำได้ หากดูด้วยสายตาผ่านจอภาพอาจมองไม่เห็น และเมื่อส่งผล ออกมาออกมาว่าได้หรือไม่อย่างไร และในการส่งผลครั้งแรกอาจทำให้เส้นตัวอักษรเล็กลงได้ร้อยละ 50 แต่ในการพิมพ์ครั้งที่สองเส้นอาจหนาขึ้นร้อยละ 50 ซึ่งขึ้นอยู่กับการใช้เครื่องพิมพ์ผลออก ลักษณะและรูปแบบของตัวอักษร รูปแบบตัวอักษรที่มีใช้อยู่ในคอมพิวเตอร์และมักเกิดปัญหาในกรณีแบบที่ใหม่กว่าอุปกรณ์ ในการ ใช้งานในบางครั้ง โดยในรูปแบบตัวอักษรปกติมี 3 รูปแบบ คือ TrueType, PostScript และ OpenType - OpenType ได้รับการพัฒนาร่วมกันโดย Adobe และ Microsoft รูปแบบนี้มีข้อดีหลาย ประการ เช่น เป็นไฟล์ข้อมูลการใช้รูปแบบอักษรแบบเดียวกันระหว่าง Mac OS และ Windows นอกจากนี้แบบอักษรที่ถูกสร้างขึ้นจากไฟล์ข้อมูลรูปแบบเดียวกันโดยใช้ภาษาโพสคริปต์ และสามารถเก็บ แบบตัวอักษรได้จำนวนมากเพราะว่าแบบอักษร OpenType ถูกสร้างขึ้นจากมาตรฐานที่เรียกว่า Unicode ใช้ 16 บิต (Bits) ในการบันทึกตัวอักษรแต่ละแบบในการบรรจุแบบตัวอักษรแต่ละแบบได้ ประมาณ 65,000 ตัวอักษรที่มีความแตกต่างกัน ซึ่งหมายความว่าทุกรูปแบบชนิดสามารถเก็บรวบรวมไว้ ในไฟล์เดียวกันของรูปแบบตัวอักษรต่างๆ กันได้ - PostScript มีการพัฒนามาหลายรุ่น รูปแบบไฟล์ที่แตกต่างกันสำหรับ Mac OS และ Windows ใน Windows แบบอักษรเป็นไฟล์ที่ลงท้าย PFB (เครื่องพิมพ์ตัวอักษร Binary) และตัวอักษรที่ หน้าจอมี PFM Printer (ตัวอักษร) ที่ถูกบันทึกไว้ในรูปแบบพิกเซล - TrueType แบบตัวอักษรที่พัฒนาขึ้นโดยบริษัท Apple สามารถใช้ได้ทั้งระบบปฏิบัติการ Mac OS และ Windows มีความแตกต่างของรูปแบบในแต่ละรุ่น
ความหมายและปัจจัยเกี่ยวกับการเรียงพิมพ์ตัวอักษร การออกแบบสิ่งพิมพ์หรือสื่อสำหรับการอ่านการใช้รูปแบบตัวอักษรในการออกแบบตัวอักษรหรือ การเลือกใช้ เพื่อการใช้งานที่ให้ง่ายต่อการอ่าน และการแสดงออกร่วมในความหมายที่ต้องการ นับได้ว่า เป็นส่วนหนึ่งของการเสริมต่อการใช้งาน ตัวอักษร (Text) หมายถึง ตัวอักขระ ตัวเลข เครื่องหมาย สัญลักษณ์ต่างๆ ที่คิดขึ้นมาเพื่อ ใช้ เป็นสัญลักษณ์การสื่อสารและนำมารวมกันแล้วได้คำที่มีความหมายเพื่อใช้ในการสื่อสาร ตัวพิมพ์ (Type) หมายถึง การนำตัวอักษรมาทำการออกแบบเพื่อให้มีรูปแบบต่างๆ เพื่อการใช้ งานเรียงพิมพ์เป็นต้นฉบับในการพิมพ์การพัฒนาการเรียงพิมพ์จากตัวพิมพ์ที่หล่อด้วยการใช้ตะกั่วเป็น ส่วนผสมหลักที่ใช้ส่งผลเสียต่อผู้ปฏิบัติงาน และได้มีการพัฒนามาใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ในการสร้าง ตัวอักษร ตัวพิมพ์ที่ทำขึ้นจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เรียกว่า ฟอนต์ (Font) มีรายละเอียดตามตัวอักษรที่ ประกอบด้วย ตัวอักษรที่เป็นตัวอักขระ ตัวเลข เครื่องหมาย สัญลักษณ์ต่างๆ และนำมาทำการออกแบบ ให้มีลักษณะต่างๆ มีจำนวนรูปแบบหลายรูปแบบให้เลือกใช้งานได้และกำหนดขนาดต่างๆ ได้หลายขนาด ภาพที่ 4.2 การออกแบบตัวอักษร ที่มา : https://99designs.com/blog/tips/15-descriptive-design-words-you-should-know/ การเรียงพิมพ์การทำงานบนคอมพิวเตอร์ด้วยโปรแกรมต่างๆ สามารถนำมาใช้เพื่อการพิมพ์ ตัวอักษร การจัดวางรูปแบบของตัวอักษรในการออกแบบสิ่งพิมพ์ซึ่งมีรูปแบบตัวอักษรให้เลือกใช้เป็น จำนวนมาก การเลือกใช้ควรเลือกใช้ตามวัตถุประสงค์และหลักการออกแบบ เช่น สามารถอ่านได้ง่ายและ ควรเลือกรูปแบบตัวอักษรที่สื่อความหมายได้ดีเพื่อนำมาใช้เป็นองค์ประกอบของหน้าสิ่งพิมพ์ การ ออกแบบสิ่งพิมพ์บางครั้งใช้ตัวอักษรเป็นหลักของการออกแบบ หรืออาจไม่ใช้ก็ได้ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ ของสิ่งพิมพ์ การเน้นหากเป็นสิ่งพิมพ์ที่ใช้ตัวอักษรเป็นหลัก เช่น สื่อสิ่งพิมพ์เพื่อการโฆษณา การออกแบบ สามารถเลือกแบบตัวอักษรในการสร้างจุดเด่นตรงส่วนที่ต้องการ โดยการใช้ขนาด สี หรือรูปแบบของ ตัวอักษรได้เช่นกัน การใช้ตัวอักษรควรเลือกใช้ตัวอักษรลักษณะที่มีความสัมพันธ์กับความหมายของ เนื้อหาที่ต้องการสื่อ หรือการเลือกใช้รูปแบบตัวอักษรเพื่อสร้างสัญลักษณ์ของหน่วยงานหรือองค์กร แต่ หากออกแบบสิ่งพิมพ์เพื่อการอ่านควรใช้ตัวอักษรโดยยึดหลักของการอ่านง่ายและความสามารถของผู้อ่าน เป็นลำดับแรก เช่น วัยเด็กควรเลือกรูปแบบที่เรียบง่ายและขนาดใหญ่มากพอต่อการมองเห็น
การออกแบบสิ่งพิมพ์เรื่องของตัวอักษรเป็นหลักของงานการผลิตสิ่งพิมพ์ซึ่งการนำตัวอักษรและ ภาพมาจัดวางเป็นงานสิ่งพิมพ์ การจัดเรียงตัวอักษรในการออกแบบสิ่งพิมพ์ต้องคำนึงถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับ ตัวอักษร คือ ระยะห่างระหว่างตัวอักษร ระยะบรรทัด ระยะของกลุ่มคำ มีรายละเอียดดังนี้ Kerning คือ ระยะช่องไฟของตัวอักษรแต่ละตัว ในการออกแบบตัวอักษรต้องมีช่องห่างระหว่าง ตัวอักษร เพราะเมื่อนำมาจัดเรียงเป็นคำแล้วทำให้มีระยะห่างที่สามารถอ่านได้ง่ายและสวยงาม Leading คือ ระยะระหว่างบรรทัด โดยการวัดจากหัวตัวอักษรบนถึงส่วนล่างของตัวอักษรอีก แถวหนึ่งบรรทัดลงมา การกำหนดสามารถเลือกให้แคบลงหรือกว้างเพิ่มขึ้นได้ แต่การเลือกควรระวังเรื่อง ความสามารถของการอ่านและการมองเห็น หากแคบมากทำให้ตัวอักษรไปซ้อนทับกันได้ Tracking คือ ระยะห่างระหว่างตัวอักษรทั้งบรรทัดในการเรียงพิมพ์การใช้คำสั่งนี้เพื่อให้มีการ บีบหรือขยายตัวอักษรทั้งบรรทัด หากมีการบีบตัวอักษรมากทำให้ตัวอักษรมีลักษณะของความกว้างของ ตัวอักษรมีความแคบผิดขนาดมากไปจะทำอ่านได้ยาก ภาพที่ 4.3 ระยะห่างระหว่างตัวอักษร ระยะระหว่างบรรทัด ระหว่างกลุ่มคำ ที่มา : https://99designs.com/blog/tips/15-descriptive-design-words-you-should-know/
ตัวอักษรภาษาอังกฤษและตัวอักษรภาษาไทย การจัดกลุ่มรูปแบบตัวอักษรภาษาอังกฤษ แบ่งออกได้ดังนี้คือ ตัวอักษรแบบมีเชิง (Serif) เป็นตัวอักษรที่มีเส้นยื่นออกจากปลายของตัวอักษรในแนวราบ ลักษณะการยื่นของเชิงแตกต่างกันออกไปในแต่ละแบบ นิยมใช้กับงานพิมพ์หนังสือวิชาการ ตัวอักษรแบบ มีเชิงมีการออกแบบไว้ในรูปแบบต่างๆ ภาพที่ 4.4 รูปแบบตัวอักษร ที่มา : https://99designs.com/blog/tips/15-descriptive-design-words-you-should-know/ แบบโรมัน (Roman Old Styles) เป็นตัวอักษรที่มีเส้นยื่นออกจากปลายของตัวอักษรใน แนวราบ ลักษณะการยื่นของเชิงมีโค้งเป็นมุมมน และมีความหนา-บางของเส้นตลอดตัวอักษรไม่เท่ากัน ส่วนที่ยื่นออกจากเชิง (Serif) มีลักษณะโค้งเป็นมุมแหลมและมีความหนา-บางของเส้นตลอดตัวอักษรไม่ เท่ากันมีความแตกต่างกันมาก เส้นบางเล็กกว่าเส้นหนามาก ภาพที่ 4.5 ตัวอักษรแบบโรมัน ที่มา : http://www.suggest-keywords.com/ZWxpem
ภาพที่ 4.6 ตัวอักษรแบบมีเชิง ที่มา: htgps://josielouisemat.wordpress.com/about/lecture-notes แบบโมเดิร์น (Modern) เป็นตัวอักษรที่มีเส้นยื่นออกจากปลายของตัวอักษรในแนวราบ ลักษณะการยื่นของเชิงไม่เป็นมุม และมีความหนา-บางของเส้นตลอดตัวอักษรไม่เท่ากันมีความแตกต่าง กันที่ชัดเจนแบบโมเดิร์นเป็นกลุ่มที่มีการออกแบบหลายรูปแบบแต่เป็นแบบที่มีเชิงซึ่งจัดไว้ในกลุ่มนี้ ภาพที่ 4.7 ตัวอักษรแบบโมเดิร์น ที่มา : https://www.urbanfonts.com/fonts/modern-fonts.htm แบบเชิงเหลี่ยม (Slad Serif หรือ Square Serif) เป็นตัวอักษรที่มีเส้นยื่นออกจากปลายของ ตัวอักษรในแนวราบ ลักษณะการยื่นของเชิงเป็นมุมหรือไม่เป็นมุมและส่วนของเชิงหนาเท่ากันเป็นรูป สี่เหลี่ยมส่วนของความหนา-บาง ของเส้นตลอดตัวอักษรไม่เท่ากันหรือเท่ากัน
ภาพที่ 4.8 ตัวอักษรแบบเชิงเหลี่ยม ที่มา : https://www.shutterstock.com/th/search/stencil ตัวอักษรแบบไม่มีเชิง (Sans Serif) เป็นตัวอักษรที่มีความหนา-บางของเส้นตลอดทั้ง ตัวอักษร ที่เท่ากันและไม่มีเส้นยื่นที่ปลายฐานของตัวอักษร ภาพที่ 4.9 ตัวอักษรแบบไม่มีเชิง ที่มา : https://www.sitepoint.com/the-sans-serif-typeface/
ตัวอักษรแบบตัวเขียน (Script) แบบตัวคัดลายมือ (Text Letter) แบบกราฟิก (Graphic) มีการเรียกที่แตกต่างกัน แต่ลักษณะของตัวอักษรเป็นตัวอักษรที่มีลักษณะเหมือนกับ การเขียนด้วย ลายมือมีขนาดเส้นหนา-บางไม่เท่ากัน มีการเอียงเหมือนตัวเขียนและส่วนของหางตัวอักษรเชื่อมติดกันใช้ กับงานออกแบบที่ต้องการเน้นแสดงถึงความแตกต่าง และสร้างจุดเด่นใน การออกแบบ ภาพที่ 4.10 ตัวอักษรแบบตัวเขียน ที่มา : http://www.fonts101.com/fonts/view/Script19638/Excalibur_Script ตัวอักษรประดิษฐ์ (Display หรือ Decorative) เป็นตัวอักษรที่มีการออกแบบเพื่อให้แสดงถึง ลักษณะที่ตรงตามความต้องการในการสร้างสรรค์งานของนักออกแบบ เพื่อสร้างความแตกต่างหรือสร้าง จุดเน้น ได้แก่ ตัวอักษรที่ใช้มีลักษณะเป็นตัวการ์ตูน หรือการใช้ลักษณะอื่นมาออกแบบเพื่อให้สื่อถึง อารมณ์ต่างๆ ได้ ภาพที่ 4.11 ตัวอักษรแบบประดิษฐ์ ที่มา : http:/font.cadsondemak.com/foundry/wallpaper3
การจัดกลุ่มรูปแบบตัวอักษรภาษาไทยโดยใช้หลักการแบ่งแบบเดียวกับภาษาอังกฤษ สามารถ แบ่งออกได้ดังนี้คือ ตัวอักษรแบบมีหัว มีลักษณะมีหัวตัวอักษรเป็นวงกลมหรือลักษณะอื่นมีเส้นความ หนา-บางของ ตัวอักษรตลอดทั้งตัวมีหัวแบบที่เท่ากันและไม่เท่ากัน ภาพที่ 4.12 ตัวอักษรแบบมีหัว ตัวอักษรแบบไม่มีหัว มีลักษณะมีหัวตัวอักษรที่ไม่มีหัวมีเส้นความหนา-บางของตัว อักษรตลอด ทั้งตัวมีหัวแบบที่เท่ากันและไม่เท่ากัน ภาพที่ 4.13 ตัวอักษรแบบไม่มีหัว ตัวอักษรแบบตัวเขียน (Script) แบบตัวคัดลายมือ (Text Letter) แบบกราฟิก (Graphic) มีการเรียกที่แตกต่างกัน แต่ลักษณะของตัวอักษรเป็นตัวอักษรที่มีลักษณะเหมือนกับการเขียนด้วยลายมือ มีขนาดเส้นหนา-บาง ไม่เท่ากันมีการเอียงเหมือนตัวเขียนและส่วนของหางตัวอักษรเชื่อมติดกันใช้กับงาน ออกแบบที่ต้องการเน้นแสดงถึงความแตกต่าง การสร้างจุดเด่นในการออกแบบ
ภาพที่ 4.14 ตัวอักษรแบบตัวเขียน ตัวอักษรประดิษฐ์ (Display หรือ Decorative) เป็นตัวอักษรที่มีการออกแบบเพื่อให้แสดงถึง ลักษณะที่ตรงตามความต้องการในการสร้างสรรค์งานของนักออกแบบ เพื่อสร้างความแตกต่างหรือสร้าง จุดเน้น ได้แก่ ตัวอักษรที่ใช้มีลักษณะเป็นตัวการ์ตูน หรือการใช้ลักษณะอื่นมาออกแบบเพื่อให้สื่อถึง อารมณ์ต่างๆ ได้ ภาพที่ 4.15 ตัวอักษรประดิษฐ์ หน่วยของตัวอักษร การวัดความสูงของตัวอักษรที่ใช้กันคือ พอยท์ (Point) โดย 72 พอยท์มี ขนาดเท่ากับ 1 นิ้ว และ 6 พอยท์เท่ากับ 1 ไพก้า (Pica) ตัวอักษรภาษาไทย ประกอบด้วย - พยัญชนะภาษาไทยมีรูปแบบของตัวพยัญชนะส่วนใหญ่เสมอบรรทัด ดังนี้ ก ข ค ต ฆ ง จ ฉ ช ซ ฌ ฑ ฒ ณ ด ต ถ ท ธ น บ พ ภ ม ย ร ล ว ษ ห อ และมีหาง ล่างและหางบนของพยัญชนะบางตัว ดังนี้ ญ ฎ ฏ ฐ ป ฝ ฤ ฤ ศ ส ฬ ฮ - ตัวเลขไทยมีลักษณะเสมอบรรทัดและมีส่วนหางบน ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๐
- สระมีรูปแบบที่เสมอบรรทัดมีหางบนและหางล่างและการใช้วางไว้ข้างล่างและข้างบน ข้างหน้าของตัวพยัญชนะ ได้แก่ เป็นต้น - วรรณยุกต์เป็นส่วนที่อยู่ด้านบนเท่านั้นๆ - เครื่องหมาย เช่น % @ $ & ฯลฯ โดยมาจากภาษาอื่นๆ และการนำมาใช้ร่วมกับ ภาษาไทย ดังนั้นการเลือกใช้เครื่องหมายควรมีการใช้อย่างถูกต้อง ตัวอักษรภาษาอังกฤษ ประกอบด้วย - พยัญชนะสระสำหรับภาษาอังกฤษมีการใช้ตัวพยัญชนะเป็นสระแต่ในตัวอักษรมีแบบ ตัวพิมพ์ใหญ่และตัวพิมพ์เล็กแบ่งออกเป็นแบบตัวเสมอบรรทัด และแบบมีหางล่าง และหางบนสำหรับ ตัวพิมพ์เล็ก - ตัวเลขภาษาอังกฤษใช้ตัวเลขอาราบิคเป็นรูปแบบเสมอบรรทัด และในการใช้ตัวเลข อาจมีการใช้เลขโรมันซึ่งมีรูปแบบเสมอบรรทัดเช่นเดียวกัน - เครื่องหมายสำหรับในภาษาอังกฤษมีการใช้เครื่องหมายหลายรูปแบบและมี ความสำคัญ เพื่อการเขียนหรือพิมพ์ข้อความ มีข้อกำหนดของการใช้ควรมีความรู้ เรื่องการเลือกใช้ เครื่องหมายในการจัดพิมพ์อย่างถูกต้องหลักการใช้ ส่วนประกอบของตัวอักษร (Font Anatomy) มีการกำหนดมาตรฐานของตัวอักษรในการผลิต งานสิ่งพิมพ์ ขนาดและรูปแบบที่สามารถอ่านได้ง่าย ตามมาตรฐาน The International Standard Organization (ISO) โครงสร้างในแต่ละตัวของตัวอักษรมีความแตกต่างกัน แต่โดยรวมมีดังนี้ โครงสร้างภาษาอังกฤษ ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้ - เส้นลำตัว (Stem) เส้นหลักของตัวอักษร - แขน (Arm) เส้นที่แยกออกจากลำตัวด้านบน - ขา (Leg) เส้นที่แยกออกจากลำตัวด้านล่าง - ปลายแหลมด้านบน (Apex) ส่วนแหลมด้านบนเกิดจากเส้นเฉียงมาชนกันด้านบน - ปลายแหลมด้านล่าง (Vertex) ส่วนแหลมด้านล่างเกิดจากเส้นเฉียงมาชนด้านล่าง - เชิง (Serif) เส้นที่ยื่นออกจากปลายขาของตัวอักษร - เส้นหางบน (Ascender) เส้นลำตัวที่ยืนข้างบนเส้นหางล่าง (Descender) เส้นลำตัวที่ ยื่นข้างล่าง
- แอ่ง (Counter) ที่ว่างในตัวอักษร - เส้นขวาง (Cross Bar) เส้นขวางในแนวนอน - เส้นฐาน (Baseline) เส้นฐานของตัวอักษร - ม ี เ ด ี ย น (Median) เส้นสมมติความสูงของตัวพิมพ์ - ความสูงของตัวอักษร (X-Height) เส้นความสูงของตัวพิมพ์เล็กจากเส้นฐานถึงมีเดียน - เส้นสมมติความสูงของพิมพ์ใหญ่ (Cap Height) - ความสูงของหางด้านบน (Ascender Height) - ความสูงของหางด้านล่าง (Descender Height) ภาพที่ 4.16 โครงสร้างตัวอักษรภาษาอังกฤษ ที่มา : http://arti3319.blogspot.com/2011/07/blog-post.html โครงสร้างภาษาไทย ประกอบด้วยเส้นลักษณะต่างๆ ดังนี้ - เส้นดิ่ง เส้นที่ลากจากด้านบนมาตั้งฉากลงตามแนวดิ่ง - เส้นตั้ง เส้นที่ลากจากด้านล่างตั้งฉากขึ้นไปตามแนวดิ่ง - เส้นเดี่ยว เส้นในแนวดิ่งที่มีเพียงเส้นเดียว - เส้นหน้า เส้นแนวดิ่งที่อยู่ใกล้เส้นชานหน้า - เส้นหลัง เส้นแนวดิ่งที่อยู่ใกล้เส้นชานหลัง
- เส้นกลาง เส้นที่อยู่ในแนวดิ่งตรงกลางระหว่างเส้นชานหน้ากับเส้นชานหลัง - เส้นบน เส้นในแนวระดับที่อยู่ด้านบนสุดของลำตัวอักษร - เส้นล่าง เส้นในแนวระดับที่อยู่ด้านล่างสุดของลำตัวอักษร - เส้นทแยง เส้นที่ลากจากด้านล่างเฉียงขึ้นไปทางเส้นชานหน้าหรือเส้นชานหลัง - เส้นซ้อน เส้นโค้งที่มีลักษณะคล้ายเส้นคว่ำ 2 เส้นซ้อนกันโดยเชื่อมจากเส้นหลังหรือ เส้นเดียว - หัวตัวอักษรภาษาไทยมีหัวที่มีลักษณะเป็นหัวกลม โปร่ง รูปแบบตัวอักษรในการใช้งาน ทั่วไป - หางตัวอักษร ส่วนที่ยื่นออกไปจากตัวอักษร - งอย ส่วนที่หักมุมด้านบนของตัวอักษร - ไส้ ส่วนที่แทรกอยู่ในตัวอักษร ภาพที่ 4.17 โครงสร้างตัวอักษรภาษาไทย ที่มา : http://tathanapan.blogspot.com/p/4.html
สกุลของตัวอักษร (Family of Type) จากการใช้การเรียงพิมพ์ในคอมพิวเตอร์มีรูปแบบต่อ ตัวอักษร 1 ชุด โดยมีรูปแบบ ดังนี้ 1. ตัวปกติ (Normal) ตัวอักษรที่เหมาะสำหรับการใช้พิมพ์ส่วนของเนื้อหา ใช้พิมพ์ข้อความ จำนวนมากเมื่อทำการพิมพ์ด้วยตัวอักษรแบบตัวปกติทำให้อ่านง่ายและสามารถประหยัดหมึกพิมพ์ในการ พิมพ์ได้ 2. ตัวหนา (Bold) ตัวอักษรที่มีเส้นหนากว่าแบบปกติ นิยมใช้สำหรับการเน้นหรือหัวเรื่อง 3. ตัวบาง (Light) ตัวอักษรที่มีเส้นบางกว่าตัวอักษรแบบปกติ นิยมใช้สำหรับงานออกแบบหรือ การเน้นที่ต้องการต้องใช้การสังเกตในการดูเพิ่มขึ้น 4. ตัวเอียง (Italic) ตัวอักษรที่เอียงไปทางด้ายซ้าย นิยมใช้สำหรับการเน้นและงานบทกลอน 5. ตัวแคบ (Condensed) ตัวอักษรที่มีความกว้างแคบกว่าตัวอักษรปกติใช้ในการออกแบบ 6. ตัวกว้าง (Extended) ตัวอักษรที่มีการดึงให้ยึดในแนวนอนเพื่อทำให้ตัวอักษรมีความกว้าง กว่าตัวปกติ เหมาะสำหรับงานออกแบบการเน้น การออกแบบสิ่งพิมพ์ที่ใช้ตัวอักษรเป็นหลัก โดยมีความหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อการสื่อสารในการออกแบบ สิ่งพิมพ์ ซึ่งในการกำหนดคำสั่งเพื่อใหมีความเข้าใจไปในทางเดียวกัน - รูปแบบตัวพิมพ์ (Typeface) การกำหนดรูปแบบที่ต้องการใช้และสามารถเลือกให้เป็นตัวพิมพ์ แบบธรรมดา ตัวหนา ตัวเอน ตัวหนาได้ - ขนาดตัวพิมพ์ (Point size) การกำหนดขนาดของตัวพิมพ์โดยสามารถเลือกขนาดได้มีหน่วยวัด เป็น พอยท์ (Point) - ความกว้างของพิมพ์ของตัวพิมพ์ (Width) การกำหนดความกว้างของตัวพิมพ์ให้มีความแคบหรือ กว้างกว่าตัวพิมพ์แบบปกติ - น้ำหนักตัวพิมพ์ (Weight) การกำหนดความเข้มโดยการเลือกใช้ขนาดของตัวพิมพ์ให้หนาหรือ บางกว่าตัวแบบธรรมดา - ระยะบรรทัด (Leading) การกำหนดระยะบรรทัดโดยการวัดจากฐานตัวพิมพ์ลงมา ในการพิมพ์ ด้วยคอมพิวเตอร์สามารถเลือกระยะบรรทัดได้ ซึ่งจะมีการกำหนดระยะบรรทัดที่เครื่องกำหนดให้ เป็นระยะที่ใช้ทั่วไปและสามารถเลือกกำหนดระยะบรรทัดได้เองโดยการใส่ตัวเลขตามต้องการ - แนวบรรทัด (Line) การเรียงตัวพิมพ์แต่ละคำให้เป็นประโยคและเหมาะกับการอ่านที่อยู่ในแต่ละ บรรทัดของความกว้างแต่ละหน้าสิ่งพิมพ์ หรือความกว้างของคอลัมน์
- การปรับระยะบรรทัด (Alignment) การกำหนดแนวบรรทัดแต่ละบรรทัดให้มีความเหมือน กัน ในการจัดวางในการเรียงพิมพ์ โดยมีลักษณะดังนี้ แบบเรียงชิดซ้าย (Flus Left) แบบเรียงชิดขวา (Flus Right) แบบเรียงอยู่กลาง (Flus Centre) แบบปรับเต็มแนว (Justification) - สดมภ์ (Column) การแบ่งหน้าสิ่งพิมพ์ออกเพื่อการจัดเรียงตามขนาดความกว้างของคอลัมน์ ใน การแบ่งจำนวนคอลัมน์ต้องคำนึงถึงความกว้างของหน้ากระดาษ การแบ่งอาจใช้การแบ่งตาม ตารางกริดเพื่อใช้ในการจัดเรียงได้ - ประจักษ์ภาพ (Legibility) เป็นคุณสมบัติของตัวพิมพ์ที่นำมาจัดเรียงกันเป็นคำและรวมเป็น ประโยคมีผลต่อการรับรู้ต่อการอ่าน ประจักษ์ภาพที่ดีก็จะมีผลต่อการอ่านที่ดี การเลือกใช้ตัวพิมพ์ที่ปรากฏหน้าสิ่งพิมพ์ การเลือกรูปแบบและบุคลิกแตกต่างกันต้อง คำนึงถึง บทบาทหน้าที่ที่ถูกกำหนดขึ้น แต่ละหน้าที่การเลือกใช้ตัวพิมพ์มีความแตกต่างกันไป ดังนี้ 1. หัวเรื่องต้องเลือกตัวพิมพ์ที่มีความโดดเด่น เพราะมีหน้าที่ดึงดูดความสนใจเป็นอันดับแรกและ นอกจากรูปแบบแล้ว ขนาด สีสันที่ใช้เป็นส่วนที่ทำให้มีความเด่นชัดเพิ่มมากขึ้น 2. ชื่อเรื่องเป็นส่วนรองลงมาจากหัวเรื่องและต้องดูเด่นมากกว่าเนื้อเรื่อง เพื่อให้มีความชัดเจน และการแบ่งเนื้อเรื่องออกตามหัวข้อต่างๆ ตามชื่อเรื่อง การเน้นอาจใช้ขนาดที่ใหญ่กว่าหรือมีการเน้นให้ เป็นตัวหนา ตัวเอียงหรือการใช้สี 3. เนื้อหาส่วนนี้มีความยาวของเนื้อเรื่อง การเลือกต้องใช้รูปแบบที่อ่านง่าย และขนาดต้องเหมาะ กับอายุของผู้อ่านและส่วนการพิมพ์ภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ เพื่อให้ได้ขนาดที่สวยงามอาจมีการลด ขนาดของตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่ให้เล็กกว่าภาษาไทยประมาณ 2 พอยท์ (Point) การออกแบบเนื้อเรื่องการเลือกรูปแบบตัวพิมพ์สำหรับการออกแบบแล้วการจัดวางนั้น ควรคำนึง ตั้งแต่ความกว้างของหน้าสิ่งพิมพ์ ในการจัดทำสิ่งพิมพ์และการจัดแบ่งหน้าสิ่งพิมพ์ การเลือกรูปแบบ ขนาด ระยะบรรทัด การจัดแนวบรรทัด ต้องคำนึงถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้อง อายุของผู้อ่าน ชนิดของสิ่งพิมพ์ การใช้งานและเมื่อได้ข้อมูลเพื่อมากำหนดแนวทางในการออกแบบว่าควรเลือกรูปแบบใดในการจัดเรียง คือ การจัดเรียงชิดซ้าย ขวา ตรงกลาง
การออกแบบตัวอักษร การออกแบบตัวอักษรสามารถทำได้ด้วยการวาดแบบในคอมพิวเตอร์และนำเข้าไปทำแบบ ตัวอักษร (Font) ครบทั้งหมดหรือออกแบบเฉพาะคำที่ใช้ เช่น การออกแบบตราสัญลักษณ์ (Logo) หรือ ชื่อหนังสือเพื่อให้การสร้างจุดเด่นเพิ่มจากการใช้รูปแบบตัวอักษร การออกแบบตัวอักษรในการทําต้นแบบ ของรูปแบบตัวอักษร ซึ่งเป็นแบบประดิษฐ์หรือเป็นแบบที่นำมาใช้ได้ทั่วๆ ไป ในการออกแบบตัวอักษร ควรยึดหลักของโครงสร้างเดิมของตัวอักษร และหากต้องการปรับเปลี่ยนเรื่องของสัดส่วนนอกจากรูปแบบ ในการออกแบบ เรื่ององค์ประกอบอื่นต้องคงไว้เพื่อความถูกต้องของลักษณะตัวอักษรตัวแต่ละตัว ตาม โครงสร้างของตัวอักษร และรายเอียดสำคัญที่ใช้ในการออกแบบตัวอักษร ดังนี้ สัดส่วนและโครงสร้างของตัวอักษร ส่วนของโครงสร้างตัวอักษรต้องมีครบตามข้อกำหนดเพราะ การสื่อสารผ่านตัวอักษรตัวอักษรเป็นสัญลักษณ์ที่ถูกกำหนดขึ้น เพื่อให้มีความเข้าใจตรงกันว่าเรียกว่า อะไร และเมื่อนำมารวมกันเป็นคำมีความหมายของคำนั้นๆ ส่วนของโครงสร้างตัวอักษรจึงมีความจำเป็น ต่อการออกแบบ แต่เรื่องของสัดส่วนหากมีการปรับเปลี่ยนต้องคงสัดส่วนที่จำเป็นไว้ เช่น ความสูงของสระ ที่ต้องมีความสูงกว่าตัวอักษร เช่น สระ โ ไ ใ หากกการกำหนดสัดส่วนความสูงตัวอักษร ความสูงของสระ ซึ่งต้องคำนึงถึงรูปแบบและสัดส่วนที่ มีความจำเป็น เช่นเดียวกับความกว้างของตัวอักษร เช่น ตัว ข กับ บ หากไม่ได้กำหนดสัดส่วนของ ตัวอักษรแต่ละตัวอย่างแน่นอนรูปแบบที่ออกแบบ เมื่อทำการออกแบบแล้วอาจเกิดความสับสนว่าคือตัว อะไร การกำหนดต้องกำหนดให้ได้สัดส่วน การออกแบบตัวอักษรประดิษฐ์ที่มีความกว้างมากกว่าปกติทุก ตัวมีสัดส่วนของความกว้างตามที่กำหนดเท่ากันทุกตัว และได้มีการออกแบบตัวอักษรเฉพาะของแต่ละ องค์กรมาใช้งานเพื่อการสื่อสารที่เสริมสร้างอัตลักษณ์ขององค์กรต่างๆ ผ่านลักษณะตัวอักษรที่ได้สร้างขึ้น การออกแบบตัวอักษรจึงควรต้องได้ทำความเข้าใจสิ่งต่อไปนี้ - สัดส่วนของตัวอักษร - โครงสร้างของตัวอักษร - ขนาดของตัวอักษร - พื้นที่ว่างภายในและรอบตัวอักษร - ลักษณะของเส้นอักษร - หัวของตัวอักษร - ลักษณะของเชิง - ช่องไฟ