The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การออกแบบและการผลิตสิ่งพิมพ์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ประทุมทอง ไตรรัตน์, 2023-06-06 00:42:01

การออกแบบและการผลิตสิ่งพิมพ์

การออกแบบและการผลิตสิ่งพิมพ์

Keywords: การออกแบบและการผลิตสิ่งพิมพ์

ผลิตงานพิมพ์การควบคุมระบบข้อมูลสีแบบ ICC Profiles โดยการตั้งค่าสี CMYK ซึ่งการทำไฟล์ข้อมูล แบบนี้สามารถครอบคลุมการตั้งค่าสีดำที่ต้องใช้พิมพ์ของงานการพิมพ์ 4 สี มีดังนี้ 1. การตั้งค่าการเชื่อมโยง สำหรับในโปรแกรม Adobe สามารถเชื่อมโยงการตั้งค่า จากโปรแกรม หนึ่งไปอีกโปรแกรมหนึ่ง เช่น จากโปรแกรม Adobe Photoshop และใช้ Adobe Bridge ในการเชื่อมค่า ต่างๆ ไปยัง Adobe Illustrator และ Adobe InDesign เป็นต้น 2. การตั้งค่าเป็นพื้นที่สำรองไว้ สามารถทำได้ในการใช้รูปแบบของระบบข้อมูลสีแบบ ICC Profiles โดยการกำหนดค่าของระบบสี RGB ในการแปลงค่าเป็นระบบสี CMYK เช่น การตั้งค่าเพื่อการ พิมพ์ออฟเซตจากมาตรฐานของแผ่นเทียบสีซึ่งการจัดการสีที่มีความสำคัญในการพิมพ์จัดทำ ข้อมูล เมื่อ ไปทำการพิมพ์จะได้สีของงานพิมพ์ตรงตามที่กำหนดไว้การทำไฟล์ข้อมูลเพื่อในการใช้งานให้เป็น มาตรฐานจากการที่ได้กำหนดค่าไว้ 3. การจัดทำด้วยการจัดการสี (Color Management Policies) โดยการตั้งค่าที่ไม่มีผลต่อภาพที่ ใช้ในรูปของระบบสี RGB การตั้งค่าพื้นฐานของโปรแกรมที่ใช้ในการออกแบบการแปลงไฟล์ข้อมูลด้วย โปรแกรมให้สามารถใช้ร่วมกันในการแปลงไฟล์ข้อมูลภาพจากระบบสีRGB ให้เป็นรูปแบบของระบบสี CMYK ได้และไม่กระทบกับค่าอื่นที่ใช้โปรแกรมที่แตกต่างหรือเครื่องต่างชนิด รุ่น และยี่ห้อกัน การปรู๊ฟ ด้วยวิธีนี้มีข้อกำจัดในเรื่องต่างๆ ที่ควรต้องระวังในการจัดทำไฟล์ข้อมูลสีแบบ ICC Profiles ที่ต้องระวังถึง ข้อจำกัดของเครื่องแต่ละรุ่น แต่ละชนิด และอุปกรณ์รวมถึงวัสดุที่ใช้พิมพ์ว่ามีข้อกำหนดอย่างไร การปรู๊ฟด้วยเครื่องพิมพ์ (Press Proofs) วิธีนี้มีความใกล้เคียงหรือเหมือนกับการพิมพ์จริงมาก ที่สุดแต่สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายและเวลา การปรู๊ฟลักษณะนี้มีการทำงานเหมือนกับการพิมพ์แต่ทำมาเพื่อ ตรวจปรู๊ฟเท่านั้น การปรู๊ฟอาจใช้เครื่องพิมพ์จริง แต่จำนวนที่พิมพ์ออกมาเป็นจำนวนเพื่อออกมาตรวจ เท่านั้น หรือใช้เครื่องปรู๊ฟที่ใช้เทคนิคการพิมพ์แบบเดียวกับเครื่องพิมพ์ เช่น เครื่องปรู๊ฟงานพิมพ์ออฟเซต การใช้แม่พิมพ์เดียวกันกับแม่พิมพ์ที่ใช้พิมพ์และวัสดุที่ใช้พิมพ์เป็นกระดาษหรือวัสดุอื่นๆ เป็นแบบ เดียวกันชนิดเดียวกันในการทำการพิมพ์


ภาพที่ 5.17 การปรู๊ฟด้วยเครื่องพิมพ์ ที่มา : https://www.col-print.co.uk/blog/the-purpose-of-proofs-and-proofing การปรู๊ฟ (Proofs) การปรู๊ฟเพื่อทำการตรวจความถูกต้องของการสะกดคำ การจัดวางภาพ สี และการจัดวางองค์ประกอบหน้า การเว้น เลขหน้า และรายละเอียดอื่นๆ ในหน้าสิ่งพิมพ์ ภาพที่ 5.18 การตรวจปรู๊ฟ ตัวอักษรและสี ที่มา : http://publication-services.com/article.php?id=35 https://www.123rf.com/photo_5887888_cmyk-scala-printer-materials.html การตรวจองค์ประกอบของการผลิตสิ่งพิมพ์ ในขั้นตอนการปรู๊ฟเพื่อทำการตรวจ ตัวอักษร สี รูปแบบและอื่นๆ ตามได้กล่าวมาเบื้องต้น การตรวจในเรื่องอื่นๆ ต้องตรวจสอบให้ครบถ้วนก่อนทำการ พิมพ์ได้แก่


- การตรวจดูขนาดของสิ่งพิมพ์ที่พิมพ์แล้วมีขนาดเท่าไร ส่วนที่เหลือหลังจากการตัดเจียนแล้วเป็น ขนาดของสิ่งพิมพ์ตามที่กำหนดไว้หรือไม่ - การตรวจดูความถูกต้องของหน้าหลังของสิ่งพิมพ์เมื่อพิมพ์แล้วต้องให้ขนาดของความกว้างของ หน้าสิ่งพิมพ์ที่ทำการจัดเรียงพิมพ์มีขนาดทับซ้อนกัน ดีหรือไม่อย่างไร การตรวจดูการจัดวางประกอบหน้า การกำหนดหน้าถูกต้องหรือไม่อย่างไร เป็นแบบกลับคนละกรอบหรือแบบกลับในตัว มีการจัดวางหน้าได้ ถูกต้องหรือไม่อย่างไร - การตรวจพื้นที่สำหรับการเข้าเล่มหรือการพับ การเข้าเล่มแบบใด เช่น แบบเย็บมุงหลังค่า เย็บ สัน หรือไสสันทากาว ต้องเว้นพื้นที่อย่างไร อยู่กับวิธีการเข้าเล่มและการพับ การตรวจการตัดเจียนที่มีต่อ การจัดวางภาพ ในกรณีที่ต้องการตัดตกภาพมีส่วนที่ถูกตัดออกไป แต่ภาพยังคงมีความสมบูรณ์ - การเว้นพื้นที่สำหรับการจับกระดาษเข้าเครื่องพิมพ์ (ที่เรียกว่าระยะของ Gripper) ต้องมีการ ตรวจหากไม่ได้เว้นไว้หรือเว้นไว้ไม่พอจะทำให้ตัวอักษรหรือภาพขาดหายไป และในการพิมพ์ปกจะต้องใช้ กระดาษที่มีขนาดใหญ่กว่าขนาดของหน้าสิ่งพิมพ์ซึ่งต้องรวมความกว้างของส่วนสัน หนังสือ และลักษณะ ของการใช้กระดาษปกต้องเป็นพื้นที่สองหน้าติดกัน ในการตรวจต้องนำความกว้างของพื้นที่พิมพ์ทั้งหมด รวมกันและให้มีพื้นที่เหลือสำหรับการจับกระดาษของ Gripper ในการพิมพ์ - การตรวจขอบด้านนอกทั้งทางด้านซ้ายและขวากับส่วนตรงกลาง และพื้นที่ที่ทำการเว้นไว้ให้มี ขนาดที่เท่ากัน เมื่อทำการพับและนำมาเข้าเล่มและทำการตัดเจียน - การตรวจความถูกต้องของสีแต่ระบบเมื่อนำมาเทียบเคียงกับการพิมพ์จริงในการปรู๊ฟหากไม่ได้ ใช้การปรู๊ฟด้วยเครื่องพิมพ์ การจัดวางหน้า ขั้นตอนการออกแบบในการจัดวางหน้าในการออกแบบสื่อต่างๆ เช่น สื่อสิ่งพิมพ์ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เว็บไซต์ ในการออกแบบสามารถนำไปใช้ในการจัดวางตามหลักการจัด องค์ประกอบ การจัดวางตามระบบตารางกริด การใช้ตัวอักษร ภาพและองค์ประกอบอื่นเพื่อออกแบบสื่อ ต่างๆ การจัดวางรูปแบบได้มีโปรแกรมสำเร็จในรูปแบบต่างๆ หรือแอพพลิเคชั่น ให้สามารถนำมาใช้ซึ่ง เป็นแบบให้ใช้ฟรีและแบบต้องเสียค่าใช้จ่าย โดยการนำเนื้อหาเข้าไปวางในรูปแบบที่ทำการจัดวางหน้าไว้ สามารถเลือกมางานได้ ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนองค์ประกอบต่างๆ ได้ เช่น ข้อความ ภาพ สี และอื่นๆ และ สามารถโหลดภาพและตัวอักษรเข้ามาใช้เพิ่มได้ สำหรับรูปแบบมีให้เลือกใช้ได้หลายแบบ เช่น Magazine Design Layout Magazine Design Template Art, Fashion Magazine Layout Design เป็นต้น


ภาพที่ 5.19 ตัวอย่างรูปแบบการจัดวางการออกแบบสิ่งพิมพ์และเว็บไซต์ ที่มา : http://www.designfreebies.org/design-templates/indesign-templates/freeexclusive-adobe-indesign-magazine-template/


ภาพที่ 5.20 ตัวอย่างรูปแบบการจัดวางการออกแบบเว็บไซต์ https://www.templatemonster.com/free-templates ตัวอย่างการออกแบบโดยการใช้แอพพลิเคชั่นเช่น Canva เป็นหนึ่งในแอพพลิเคชั่นที่มีในปัจจุบัน เพื่อใช้ในการออกแบบ จัดทำขึ้นโดย Melanie Perkins ในปี 2007 ซึ่งขณะกำลังศึกษาอยู่ที่ University of Western Australia โดย canva.com เป็น Web-base application เป็นเครื่องมือสำหรับการสร้าง งานออกแบบได้ง่าย ซึ่งมีขั้นตอนการใช้งานที่ง่าย มีการแสดงขั้นตอนแต่ละขั้นตอนในการใช้งานเพื่อให้ ผู้ใช้งานเข้าใจแต่ละขั้นตอน โดยสามารถติดตั้งได้ฟรีและแบบต้องจ่ายเงิน การใช้งานสามารถกำหนด ขนาดมีขนาดมาตรฐานและสามารถปรับเปลี่ยนขนาดได้ตามที่ต้องการ และมีรูปแบบหลากหลายรูปแบบ ในการใช้งานและที่มีรูปแบบให้เลือกใช้ ในการใช้งานก็เพียงเปลี่ยนภาพและข้อความลงไปในรูปแบบที่มีไว้ โดยการนำภาพและตัวอักษรเข้าไปแทนที่ในรูปแบบนั้น และสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ และมีรูปแบบ ที่จัดวางตามกฎของการออกแบบไว้เพื่อให้นำมาเป็นรูปแบบของการออกแบบได้ โดยทำการจัดวางตา มองค์ประกอบการออกแบบนั้นๆ ได้และในส่วนของภาพกราฟิก แบบตัวอักษร ภาพพื้นหลัง จะมีให้ เลือกใช้ได้และหากต้องการภาพอื่นๆ ก็สามารถโหลดภาพเข้ามาได้เช่นเดียวกับตัวอักษร รูปแบบสำหรับการออกแบบจะจัดแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ ดังนี้ - บล็อกและ eBook เช่น ปกอัลบั้ม แบนเนอร์ ปกหนังสือ Comic Strips infographics ปก นิตยสาร ภาพตัดปะ วอลล์เปเปอร์ Wattpad ปกคลุม - เอกสาร เช่น ใบรับรอง จดหมาย จดหมายข่าว การโปสเตอร์ โลโก้ การนำเสนอผลงาน เรซูเม่ - การศึกษา เช่น แผนการสอน รายงานประจำปี - งานเทศกาล เช่น การ์ด โปรแกรมกิจกรรม บัตรเชิญ - บันทึก เช่น สมุดบันทึก สตอรรี่บอร์ด บอร์ดแสดง ปฏิทิน - สื่อการตลาด เช่น โปร์ชัวร์ นามบัตร ใบปลิว บัตรของขวัญ ป้ายกำกับ เมนูอาหาร - โซเชียลมีเดีย เช่น หัวของอีเมล หน้าเพจ หน้า YouTube


สำหรับขั้นตอนการใช้งานสามารถสมัครผ่าน Canva.com โดยสมัครผ่าน email หรือ Facebook สามารถติดตั้งบนคอมพิวเตอร์ มือถือ และแทปเลต เป็น Web-base application ในส่วน ของเว็บนี้นอกจากจะมีรูปแบบให้ใช้งานยังมีบทความเนื้อหาอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการออกแบบ เช่น หลักการ ออกแบบที่นักออกแบบสามารถนำมาเป็นปรับใช้กับการออกแบบ การจัดวางหน้า สื่อต่างๆ ภาพที่ 5.21 ตัวอย่างรูปแบบการจัดวางการออกแบบสิ่งพิมพ์โดยการใช้แอพพลิเคชั่น ที่มา : https://www.canva.com/design สรุปการเตรียมการพิมพ์เป็นขั้นตอนในการการจัดวางหน้าสิ่งพิมพ์ โดยการนำข้อมูลที่ได้ออกแบบ มาทำในโปรแกรมการจัดวางหน้าเพื่อให้มีการเรียงหน้าของงานเป็นไปตามที่ได้กำหนดไว้ โดยจัดทำเป็น ไฟล์ข้อมูลเพื่อส่งไปในกระบวนการผลิตในขั้นตอนต่อไปในการผลิตสิ่งพิมพ์ ปัจจุบันได้มีTemplate ที่ สามารถนำมาใช้ในการจัดวางตั้งแต่การออกแบบ การจัดวางรูปหน้าทำการออกแบบที่สามารถเลือกใช้ที่มี ในอินเทอร์เน็ต ในการทำงานโดยการจัดวางข้อความและภาพตามรูปแบบแล้วยังสามารถปรับเปลี่ยนภาพ สี แบบตัวอักษร การจัดเรียงตัวอักษร และอื่นๆ ลงไปใน Template และยังมีภาพและกราฟิกต่างๆ ใน


การตกแต่งให้เลือกใช้แต่ข้อที่ควรระวังในการจัดวางหน้า การจัดเก็บข้อมูลในการส่งออก การจัดการสี ใน ขั้นตอนเตรียมการพิมพ์ซึ่งต้องมีการตรวจรายละเอียดต่างๆ เช่น เรื่องของตัวอักษรที่ไม่ขาดหายและ รูปแบบที่ใช้เป็นรูปแบบที่ไม่มีความผิดพลาดจากการสร้างงานของโปรแกรมที่อาจทำให้ภาพหรือตัวอักษร ขาดหาย และในเรื่องความละเอียดของภาพที่สอดคล้องกับระบบการพิมพ์และวัสดุที่ใช้ สี การเลือกสี การ กำหนดสี การจัดการสี เพื่อให้ได้รูปแบบการจัดวางที่ดีและมีการจัดการรูปแบบของไฟล์ข้อมูลในการส่งผล ออกที่ให้ความมั่นใจต่อประสิทธิภาพของงานได้


การเลือกใช้กระดาษ กระบวนการผลิตเป็นตัวกำหนดคุณภาพของกระดาษ - เยื่อที่ใช้ในการผลิต (Wood-Free Pulp and Wood Pule) - การเคลือบ (Coated) - ผิวหน้ากระดาษ (Matte/Silk or Glossy) - ความแข็งกระดาษ (Paper and Cardboard) - สีของกระดาษ (Color Paper) - ขนาดกระดาษ (Paper Format) - น้ำหนักของกระดาษ (Basis/Substance Weight) - ความหนาแน่นของกระดาษ (Surface Smoothness and Formation) - ความหนารวมของกระดาษ (Bulk) - ความสว่างและความขาวของกระดาษ (Brightness and Whiteness) - ความทึบแสง (Opacity) - แนวเกรนกระดาษ (Grain Direction) - ความคงทน (Dimensional Stability) - ความทนต่อแรงดึง (Strength) - ความคงทนต่อสภาพแวดล้อมหรืออายุการใช้งาน (Age-Resistant and Archival Paper) การเลือกใช้กระดาษ ปัจจัยในการเลือกระดาษมีผลต่อผู้ใช้ผลิตภัณฑ์และการผลิต - การสร้างความรู้สึกที่ดีต่อสินค้า - อายุในการใช้งานและการใช้งานของผลิตภัณฑ์ - ค่าใช้จ่ายและจำนวนการพิมพ์ - คุณภาพต่อการอ่านและคุณภาพของภาพพิมพ์ - เทคโนโลยีการพิมพ์ - การทำสำเร็จหรือการทำเล่มของสิ่งพิมพ์ - การขนส่งกับน้ำหนักกระดาษ


บทที่ 6 กระดาษ (Paper) วัสดุที่ใช้พิมพ์ส่วนใหญ่เป็นวัสดุประเภทกระดาษและมีวัสดุอื่นๆ และสิ่งพิมพ์เพื่อการสื่อสารและ การอ่านนิยมพิมพ์ลงบนกระดาษ ได้แก่ หนังสือ วารสาร นิตยสาร สำหรับการใช้กระดาษในการพิมพ์ ลักษณะอื่นเช่นการพิมพ์บรรจุภัณฑ์และการพิมพ์บนวัสดุอื่นๆ ซึ่งการพิมพ์บนผลิตภัณฑ์ บนบรรจุภัณฑ์ และชิ้นส่วนของผลิตภัณฑ์ที่ใช้วัสดุที่หลากหลายชนิดในการผลิต เช่นการพิมพ์ลวดลายบนผ้า การพิมพ์บน อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ดังนั้นการเลือกวัสดุในการใช้วัสดุที่ใช้พิมพ์นอกจะใช้งานตามความต้องการจะต้อง คำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ความเหมาะสม ราคา และการเลือกใช้วัสดุที่ผลิตจากกระบวนการผลิตที่ประหยัด พลังงานและสิ่งที่เกิดหลังจากการใช้ที่ทำให้ไม่เกิดเป็นขยะที่ย่อยสลายได้ยาก ซึ่งทำให้ส่งผลกระทบกับ สิ่งแวดล้อม ส่วนการเลือกใช้วัสดุในการผลิตบรรจุภัณฑ์ซึ่งควรต้องทราบถึงรายละเอียดที่สามารถใช้บรรจุ สินค้าภายในได้ดี และหากมีการส่งไปจำหน่ายในประเทศต่างๆ ว่ามีกฎหมายหรือข้อห้ามใดๆ ที่เกี่ยวกับ วัสดุที่ใช้ผลิตว่าสามารถนำเข้าไปได้หรือไม่อย่างไร ในกระบวนการออกแบบสิ่งพิมพ์ต้องได้ทราบข้อมูลต่างๆ ที่จะต้องนำมาใช้ในการกำหนดรูปแบบ ของงานผลิตสิ่งพิมพ์ ได้แก่ วัตถุประสงค์ ความต้องการของลูกค้า รายละเอียดของผู้ใช้ และข้อมูลที่ต่างๆ ที่สำคัญเพื่อให้ได้สามารถผลิตงานได้อย่างมีคุณภาพและลดความเสี่ยงของปัญหาในการผลิต เช่น ระบบ การพิมพ์ใดเหมาะกับวัสดุที่ใช้พิมพ์และหมึกพิมพ์ และรายละเอียดของวัสดุว่ามีรูปทรง ความหนา น้ำหนัก พื้นผิวและอื่นๆ ดังนั้นควรต้องมีข้อมูลที่ทำให้เข้าใจเรื่องเกี่ยวกับวัสดุที่มีความสัมพันธ์กับ กระบวนการพิมพ์ให้นำไปกำหนดและเลือกใช้ระบบการพิมพ์วัสดุได้อย่างมีประสิทธิภาพในการผลิต กระดาษ หมายถึง วัสดุเป็นแผ่นบางๆ โดยทำมาจากต้นไม้ จากฟางข้าว หญ้าหรือเศษผ้า เป็นต้น เพื่อการเขียนหรือพิมพ์หนังสือห่อของหรืออื่นๆ (พจนานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน) และความหมาย ด้านการผลิตกระดาษ คือ วัสดุที่มีลักษณะเป็นแผ่นเรียบราบบางประกอบด้วยเส้นใยและสารเติมแต่งให้ เป็นส่วนเพิ่มคุณสมบัติที่เหมาะกับการใช้งาน คุณสมบัติที่จำเป็นต่อคุณภาพของการพิมพ์ ซึ่งในการ ออกแบบควรมีความรู้และเข้าใจเกี่ยวกับกระดาษในการใช้เป็นวัสดุที่ใช้พิมพ์ การเลือกใช้กระดาษเพื่อผลิตสิ่งพิมพ์มีความเกี่ยวข้องกับการออกแบบสิ่งพิมพ์ เพื่อให้การเลือกใช้ กระดาษได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อการผลิตและการใช้งาน เช่น การเลือกกระดาษจากการเคลือบผิว แบ่ง ออกเป็นกระดาษเคลือบผิวและกระดาษไม่เคลือบผิว และการเคลือบยังมีวิธีการหลายวิธี การเลือกสีของ กระดาษในการผลิตกระดาษจากเยื่อที่ได้จากพืชต่างๆ การผลิตจะมีขั้นตอนการฟอกสีเยื่อเพื่อใช้ในการ ผลิตกระดาษให้มีความขาว แต่ในการผลิตกระดาษบางชนิดได้มีการเติมสีเพื่อให้กระดาษมีสีต่างๆ เช่น กระดาษมีโทนสีเหลืองอ่อน ที่เรียกว่า กระดาษถนอมสายตา (Green read) เพื่อใช้ผลิตงานที่ต้องใช้เวลา การอ่านมากให้สามารถอ่านได้สบายตามากขึ้น และเลือกกระดาษอย่างไรให้คุ้มค่ากับการพิมพ์เพราะว่า


สิ่งพิมพ์แต่ละชนิดมีอายุการใช้งานต่างกัน และหากต้องนำไปทำเป็นบรรจุภัณฑ์กระดาษ เมื่อทำการพิมพ์ และนำมาขึ้นรูปเป็นบรรจุภัณฑ์แล้วสามารถรองรับน้ำหนักและรักษาผลิตภัณฑ์ภายในได้ของบรรจุภัณฑ์ ชั้นใน และหากเป็นบรรจุภัณฑ์ชั้นนอกที่ใช้ในการขนส่งก็ควรต้องเหมาะกับการขนส่งที่ยังคงรักษา ผลิตภัณฑ์ภายในไม่ให้เกิดความเสียหายได้จากการขนส่ง กระดาษเป็นวัสดุสามารถย่อยสลายได้ง่ายและ ยังมีกระบวนการผลิตที่ง่ายกว่าการผลิตวัสดุพิมพ์อื่นๆ ที่ใช้ในการพิมพ์ได้ เช่น พลาสติก โลหะ เห็นได้ว่ามี จำนวนของการใช้กระดาษเพื่อการผลิตสิ่งพิมพ์จำนวนมาก การกำหนดรายละเอียดที่ต้องกำหนดตั้งแต่ ขั้นตอนการออกแบบ เช่น ความละเอียดของภาพ ขนาดตัวอักษร ความสามารถของผู้ใช้ต่อการมองเห็นที่ ต้องทำการกำหนด นอกจากความสวยงาม สบายตา เหมาะกับวัย และความต้องการของผู้ใช้ที่มีต่อการ ออกแบบสิ่งพิมพ์ การเลือกใช้กระดาษ สำหรับการเลือกกระดาษในผลิตสิ่งพิมพ์ โดยยึดหลักของการใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์หลัก และเพื่อความสวยงาม และยังต้องคำนึงถึงคุณภาพการพิมพ์ที่ต้องการ งบประมาณของการผลิตและอื่นๆ โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. การสร้างความรู้สึกที่ดีต่อสินค้า กระดาษเป็นส่วนหนึ่งที่เสริมผลิตภัณฑ์ได้ เช่น การทำสื่อ เพื่อการโฆษณาประเภทแผ่นพับหรือโปสเตอร์ หรือสิ่งพิมพ์ที่ใช้ในธุรกิจ เช่น นามบัตร กระดาษหัว จดหมาย การเลือกใช้กระดาษที่มีคุณภาพนับว่าเป็นส่วนเสริมให้คุณค่าของผลิตภัณฑ์เพิ่มคุณค่าตามไป ด้วยได้อย่างมากได้อีกทางหนึ่ง 2. อายุในการใช้งานและการใช้งานของผลิตภัณฑ์การเลือกกระดาษเพื่อการพิมพ์และนำไป เป็นผลิตภัณฑ์ต้องดูว่าสิ่งพิมพ์มีอายุในการใช้งานนานเท่าไร การเลือกกระดาษมีผลต่ออายุการใช้งาน เช่น สิ่งพิมพ์ หนังสือที่สามารถใช้งานได้เวลานานเนื่องจากเนื้อหาหรือภาพมีความสำคัญควรเลือกกระดาษที่ สามารถใช้งานได้นาน แต่หากเป็นสิ่งพิมพ์ที่มีอายุสั้นในการใช้งานก็ควรเลือกกระดาษที่ราคาไม่สูง เช่น ใบปลิวเพื่อแจกประกาศเกี่ยวกับการจัดงานเมื่อมีการจัดงานผ่านไป อายุของสิ่งพิมพ์ก็หมดไปแต่คำนึงถึง อายุการใช้งานเพียงอย่างเดียวไม่ได้กับสิ่งพิมพ์บางชนิดที่ต้องการใช้กระดาษในการสร้างความรู้สึกและ เสริมคุณค่า เช่น การ์ดงานแต่งงาน แผ่นพับโฆษณาสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่ต้องการความหรูหรา และอื่นๆ 3. ค่าใช้จ่ายและจำนวนการพิมพ์งบประมาณในการพิมพ์นับได้ว่าเป็นปัจจัยหนึ่งของสิ่งพิมพ์ที่ สามารถแข่งขันในรูปแบบของสิ่งพิมพ์เอง หรือสิ่งพิมพ์ที่เป็นงบโฆษณาสินค้าที่มีการแข่งขันกันด้วยราคา มากกว่าคุณภาพของกระดาษที่ใช้เพื่อใช้ในการโฆษณาเห็นได้ว่าราคาของสิ่งพิมพ์เป็นส่วนที่สำคัญที่ใช้ จำนวนมาก และกระดาษเป็นงบประมาณที่แปรผันไปตามจำนวนของสิ่งพิมพ์ที่มีจำนวนมากในการลด ค่าใช้จ่ายลดลง จากการเลือกกระดาษเป็นส่วนหนึ่งของการลดราคาลงได้ เห็นว่าการเลือกกระดาษด้วย การใช้ราคามาเป็นส่วนของการเลือกจึงมีความสำคัญต่อการแข่งขันของธุรกิจแต่ละประเภท หากเลือก คุณสมบัติหรือน้ำหนักของกระดาษลดลงทำให้มีผลต่อราคากระดาษที่ใช้พิมพ์ทำให้ราคาถูกลงได้เช่นกัน เป็นเหตุผลที่ดีกว่าการเลือกขนาดของสิ่งพิมพ์เล็กลงกว่าปกติ อาจทำให้การออกแบบหรือข้อความที่ ต้องการสื่อสารเล็กลงหรือขาดหายไป จึงควรต้องนำมาคำนึงในส่วนของการลดขนาดของสิ่งพิมพ์


4. คุณภาพต่อการอ่านและคุณภาพของภาพพิมพ์กระดาษเป็นวัสดุที่ใช้พิมพ์ที่มีผลต่อการอ่าน ความคมชัดของการปรากฏของตัวอักษร และภาพ ตามที่กล่าวมาเบื้องต้นพบว่ากระดาษมีลักษณะผิวหน้า แบบเคลือบและไม่เคลือบ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่มีผลกับภาพที่พิมพ์และสีของกระดาษมีผลกับการมองเห็น การผสมสีกระดาษให้มีสีเหลืองนวลอ่อนๆ นำมาใช้ในการพิมพ์สิ่งพิมพ์ที่มีข้อความตัวหนังสือจำนวนมาก ซึ่งทำให้การอ่านมีความสบายตามากกว่าการใช้กระดาษที่มีสีขาวมากๆ และหากมีการสะท้อนของผิวหน้า กระดาษซึ่งทำให้ปวดตาเวลาอ่านเป็นเวลานาน และกระดาษที่มีความทึบแสงสูงเหมาะกับการอ่าน มากกว่า เพราะไม่มีเงาของตัวอักษรด้านหลังปรากฏขึ้นมาด้านหน้ารบกวนการมองเห็น การเลือกใช้กระดาษเพื่อการผลิตดังกล่าวมาข้างต้น เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการใช้ งาน คุณภาพการผลิตสิ่งพิมพ์เป็นสิ่งสำคัญการเลือกใช้กระดาษเพื่อให้ได้คุณภาพการผลิตที่ดี ยังต้อง คำนึงองค์ประกอบของกระดาษในด้านสมบัติและคุณสมบัติของกระดาษ มาพิจารณาเพิ่มเพื่อเป็นข้อมูลใน การเลือกใช้กระดาษ ดังนี้ 1. เยื่อที่ใช้ในการผลิต (Wood-Free Pulp and Wood Pulp) ในส่วนของเยื่อกระดาษเป็นส่วน ที่ส่งผลต่อคุณภาพของกระดาษ และยังส่งผลต่อคุณภาพของภาพที่ปรากฏ ภาพที่ 6.1 เยื่อกระดาษ ที่มา : http://www.heinzel.com/en/products/pulp-paper-production/ 2. การเคลือบผิว (Coated) ในการผลิตกระดาษแบบเคลือบหรือไม่เคลือบ กระดาษเคลือบมีการ เคลือบในลักษณะแตกต่างกัน เช่น การเคลือบด้าน (Matte Coated) การเคลือบเงา (Glossy Coated) การเคลือบยังมีลักษณะความเงามันสูง เช่น กระดาษอาร์ตแก้ว และการเคลือบมันแบบกระดาษอาร์ต ทั่วไป การเคลือบด้าน การเคลือบ เพื่อเพิ่มคุณสมบัติในการพิมพ์ที่ต้องการรายละเอียดของภาพของเม็ด สกรีนที่มีความละเอียดสูง นิยมใช้ในการพิมพ์ภาพพิมพ์ 4 สี และงานพิมพ์เป็นงานพิมพ์ปกหนังสือ ปก นิตยสาร แผ่นพับ เป็นต้น


ภาพที่ 6.2 การยึดติดของหมึกพิมพ์บนกระดาษเคลือบผิวมีความเรียบ ส่วนกระดาษไม่เคลือบการยึดติด ของหมึกพิมพ์โดยการดูดซึมผ่านทำให้ไม่เรียบและเมื่อแสงตกกระทบมีการสะท้อนที่กระจาย ที่มา : https://blog.psprint.com 3. ผิวหน้ากระดาษ (Matte/Silk) โดยมีลักษณะแตกต่างกันออกไป เช่น แบบเรียบ แบบมีลาย การเลือกใช้ต้องดูให้เหมาะกับสิ่งพิมพ์ ภาพและวัตถุประสงค์ของการใช้งานและระบบการพิมพ์ของแต่ละ ระบบ ภาพที่ 6.3 ผิวหน้ากระดาษ ที่มา : https://www.bellevuefineart.com/paper-canvas-types/


4. ความของแข็งกระดาษ (Paper and Cardboard) ความแข็งของกระดาษมีความสัมพันธ์กับ น้ำหนักของกระดาษ กระดาษแข็งส่วนใหญ่มีน้ำหนักมากกว่า 80 แกรม กระดาษแข็งใช้กับการทำงาน ออกแบบหรือการทำเป็นกรอบรูป การทำกระดาษแข็งมีการนำกระดาษมาอัดทับกันเป็นชั้นและใช้ กระดาษชนิดเดียวกัน เพื่อเพิ่มความหนาและความแข็งเหมาะกับการเลือกใช้งานผลิตตามความต้องการ 5. สีของกระดาษ (Color Paper) การผลิตกระดาษมีการขจัดลิกนินออกจากเยื่อโดยการฟอก การฟอกมีการใช้สารเคมีที่นำมาฟอกเพื่อให้ได้เยื่อขาว หรือเติมสารเติมแต่งเพื่อให้ได้กระดาษที่มีสีหรือ การเคลือบผิว เช่น สีขาวอมฟ้า หรือสีเหลืองนวลที่ออกสีครีม ที่เรียก ว่ากระดาษถนอมสายตา เพื่อการ อ่านที่ดีขึ้นจากการลดการสะท้อนแสงโดยสีของกระดาษลงได้ ภาพที่ 6.4 ตัวอย่างสีของกระดาษ ที่มา : htp://www.artistsnetwork.com 6. ขนาดกระดาษ (Paper Format) การกำหนดขนาดของกระดาษนั้นถูกกำหนดขึ้นตาม มาตรฐานสากลของระบบ ISO เพื่อความสะดวกต่อการใช้งานและเป็นที่นิยมใช้กันทั่วไป โดยมีการแบ่ง ออกเป็น 3 ชุด คือ กระดาษ แบบชุด A, B, C กระดาษชุด A มีตั้งแต่ขนาด A0 (เท่ากับ 841 x 1189) มิลลิเมตร โดย ขนาดของ A0กับ A 1 มีขนาดต่างกันครึ่งหนึ่ง ภาพที่ 6.5 กระดาษมาตรฐาน “ชุด A, B, C International Standard Organization ที่มา: A Guide to Graphic Print Production


ตารางที่ 6.1 ขนาดของกระดาษมาตรฐานสากล ของระบบ ISO ที่มา: A Guide to Graphic Print Production กระดาษใช้ในการพิมพ์ต้องให้มีขนาดของสิ่งพิมพ์ที่ได้มาตามที่ได้กำหนดไว้ ในการผลิตกระดาษ ความกว้างและยาว ในการจำหน่ายตัดมากจากกระดาษที่ผลิตออกมาจากเครื่อง ซึ่งมีขนาดเพื่อการ จำหน่ายขนาดต่างๆ ได้แก่ ขนาดกว้าง 31 นิ้ว x ยาว 43 นิ้ว เมื่อนำตัดครึ่งเพื่อใช้กับเครื่องพิมพ์ที่เรียกว่า ทั่วไปว่า กระดาษขนาดตัดสอง คือขนาด 21.50 นิ้ว x 31 นิ้ว ในการพิมพ์เต็มขนาดเป็นงานพิมพ์ที่ใช้เป็น แผ่นโปสเตอร์ตามขนาดของกระดาษ และเมื่อนำมาพับได้ขนาดดังนี้ พับ 2 ครั้ง ได้ 8 หน้ายก คือ ขนาด 10.25" x 15" พับ 3 ครั้ง ได้ 16 หน้ายก คือ ขนาด 7.50" x 10.25" พับ 4 ครั้ง ได้ 32 หน้ายก คือ ขนาด 5" x 7.50”


ภาพที่ 6.6 การลงหน้าในการพิมพ์เมื่อนำมาพับ ที่มา : http://www.thailibrary.in.th/2014/08/24/paper/ สำหรับกระดาษที่มีขนาดกว้าง 24 นิ้ว และยาว 35 นิ้ว เป็นขนาดกระดาษนำมาตัดตามกระดาษ มาตรฐาน ซึ่งเหลือเศษของกระดาษไม่มากทำให้ไม่เปลืองงบประมาณ ซึ่งได้สิ่งพิมพ์ตามขนาดมาตรฐานใน ชุด A, B, C ในส่วนกระดาษที่ใช้กับการพิมพ์ระบบป้อนม้วน สำหรับเครื่องพิมพ์ชนิดป้อนม้วนสำหรับ การพิมพ์แบบต่อเนื่องที่นิยมใช้พิมพ์หนังสือพิมพ์ หนังสือหรือสิ่งพิมพ์ที่ความต้องการใช้งานจำนวนมาก โดยความกว้างของกระดาษม้วนมีขนาดพอดีกับความกว้างของโมเครื่องพิมพ์และพื้นที่พิมพ์ น้ำหนักของกระดาษ (Basis/Substance Weight) คือ น้ำหนักของกระดาษต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่ที่ เก็บในสภาวะอุณหภูมิและความชื้นตามการควบคุมตามมาตรฐาน การกำหนดน้ำหนักกระดาษเป็นกรัม ต่อตารางเมตรตามระบบสากลทั่วไป แต่บางประเทศจะมีการใช้หน่วยเป็นปอนด์ต่อตารางฟุตหรือปอนด์ ต่อ 3,000 ตารางฟุต และการกำหนดของมาตรฐาน ISO ให้คำว่า “แกรมเมจ” (Grammage) แทน น้ำหนักมาตรฐาน ภาพที่ 6.7 น้ำหนักของกระดาษ ที่มา : https://www.letterpresspaper.com/faq/ ความหยาบผิวและความเรียบผิวของกระดาษ (Surface Smoothness and Formation) กระดาษเป็นวัสดุที่ใช้พิมพ์ลักษณะของผิวหน้ากระดาษ มีลักษณะความหยาบผิว (Surface roughness) ซึ่งมีความหมายตรงกันข้ามกับความเรียบผิว (Surface smoothness) กระดาษที่มีความหยาบผิวมาก ย่อมมีความเรียบผิวน้อย ซึ่งเป็นค่าของความสัมพันธ์ระหว่างน้ำหนักของกระดาษกับความหนาแน่น และ


เยื่อที่ใช้ผลิตที่มีความหนาแน่นต่ำมีรูพรุนน้อยทำให้มีความหยาบผิวและกระดาษมีความหนาแน่นสูงมีรู พรุนน้อยจะมีความเรียบผิว การผลิตกระดาษเมื่อขึ้นแผ่นแล้วจะมีการนำกระดาษมาปรับแต่งผิวหน้าด้วย วิธีการต่างๆ เพื่อให้ได้ความเรียบผิวของกระดาษเพิ่มขึ้น ภาพที่ 6.8 ความหยาบผิวและความเรียบผิวของกระดาษ ที่มา: http://www.artistsnetwork.com/subject/other-subject/ ความหนารวมของกระดาษ (Bulk) คือความหนารวมของกระดาษที่นำมาเรียงซ้อนกัน เรียกว่า เรียงกันเป็นปึก ในการเลือกกระดาษมาใช้งานต้องควรคำนึงถึงความหนาของการเรียง หากใช้กระดาษที่มี ความหยาบของเยื่อทำให้ความหนามากกว่า แม้ว่าน้ำหนักกระดาษจะเท่ากันกับแต่ที่มีความเรียบของเยื่อ มากกว่า ดังนั้นการเลือกใช้กระดาษที่มีความหนารวมสูงมีผลต่อความหนาของเล่มหนังสือ ภาพที่ 6.9 ความหนารวมของกระดาษ ที่มา : http://www.dickblick.com/producto/richoson bulk watercolor-paper ความสว่างและความขาวของกระดาษ (Brightness and Whiteness) มีผลกับ การ สะท้อนแสง หากกระดาษมีความขาวหรือมีความสว่างมากเกิดการสะท้อนแสงได้ดีและหากมีความมัน ของพื้นผิวสะท้อนแสงได้ดีมากยิ่งขึ้น การผลิตมีขั้นตอนการใส่สารเพื่อฟอกสีของเยื่อในการผลิตกระดาษ เพื่อให้ได้กระดาษที่ขาวขึ้น และการใช้สารฟอกสีเยื่อยังทำให้เยื่อไม่มีความขาวพอกับความต้องการใช้งาน จะมีการเพิ่มสีพิเศษลงไปในเยื่อเพื่อให้ได้สีตามความต้องการในการใช้งาน เช่น การเติมสีขาวนวลเพื่อให้ เกิดความสบายตาในการอ่าน ความทึบแสง (Opacity) คือคุณสมบัติของกระดาษที่ยอมให้แสงผ่านทะลุ จำนวนแสงที่ผ่าน ทะลุขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของเยื่อและความหนาของกระดาษ แต่ความหนาอาจไม่ใช้ส่วนของการเพิ่มค่า


ความทึบแสงของกระดาษเสมอไป แต่ยังขึ้นกับคุณสมบัติของเยื่อในการผลิตกระดาษมีคุณภาพทำให้ค่า ทึบแสงของกระดาษสูงขึ้น การทึบแสงมีผลต่อการพิมพ์งานสองด้าน หากค่าความทึบแสงน้อยมีผลต่อการ มองเห็นสีในอีกด้านหนึ่ง ดังนั้นในการเลือกใช้กระดาษเพื่อการพิมพ์งานทั้งสองด้านควรต้องเลือกกระดาษ ที่มีคุณสมบัติความทึบแสงสูง เพื่อจะไม่ทำให้เกิดการมองทะลุไปอีกด้านของกระดาษเมื่อทำการพิมพ์ ภาพที่ 6.10 ความทึบแสง กระดาษถ้ามีความทึบแสงน้อยทำให้มองเห็นทะลุผ่านได้มาก ที่มา : https://www.library.cornell.edu/preservation/librarypreservation/mee/ preservation/paper.html แนวเกรนกระดาษ (Grain Direction) คือทิศทางของเส้นใยที่ใช้ในการผลิตกระดาษ คือมีอยู่ 2 ทิศทาง คือ แนวขนานเครื่อง (machine direction: MD) หรือ แนวเกรน (grain direction) และแนว ขวางเครื่อง (cross direction: CD) หรือแนวขวางเกรน เกิดจากขั้นตอนการผลิตกระดาษของการเรียงตัว กันในทิศทางของเส้นใยที่ไม่ได้เคลื่อน (directionality) เส้นใยส่วนมากมีการเรียงตัวขนานกันไปในทิศ ทางการสั่นของแผ่นกระดาษบนเครื่องผลิตกระดาษ ซึ่งแนวเส้นใยของกระดาษจึงอยู่ในแนวขนานเครื่อง หรือแนวเกรน ส่วนแนวของกระดาษที่ตั้งฉากกับแนวขนานเครื่อง แนวขวางเครื่องหรือแนวขวางเกรน จากการเรียงตัวของเส้นใยในกระดาษทั้งสองแนวมีความแตกต่างกัน ทำให้คุณสมบัติของกระดาษทั้งสอง แนวแตกต่างกันด้วย ทิศทางของแนวเกรนของกระดาษมีผลต่อการพับ หากรอยพับตามแนวเกรนสามารถ พับได้ง่ายกว่าแนวพับขวางเกรนของกระดาษ หากมีการพับในแนวขวางเกรนกระดาษอาจทำให้เกิดรอย แตกที่ไม่เป็นเส้นตรงได้และยังมีผลต่อการโค้งงอของกระดาษการยืดหดของกระดาษ เช่น การทำบรรจุ ภัณฑ์ที่มีการขึ้นรูปด้วยการพับ ต้องคำนึงถึงในส่วนของการพับให้เป็นตามแนวเกรนของกระดาษ เช่นเดียวกับแนวในการเข้าเครื่องพิมพ์ที่ส่งผลต่อการยืดหดของกระดาษในระหว่างการพิมพ์ในระบบที่ใช้ ความชื้น


ภาพที่ 6.11 ทิศทางตามเกรนและขวางเกรนกระดาษ ที่มา : https://www.library.cornell.edu/preservation/librarypreservation/mee/ preservation/paper.html ความคงทน (Dimensional Stability) เยื่อที่ใช้ในการผลิตกระดาษ มี 2 ลักษณะ คือ เยื่อใย สั้นและเยื่อใยยาว ในส่วนของเยื่อใยสั้นมีความแข็งแรงของเยื่อน้อยกว่าเยื่อใยยาว ในการผลิตกระดาษที่ ต้องการคุณภาพสูงต้องเลือกใช้เยื่อจากไม้เนื้อแข็งที่มีคุณสมบัติคงทนได้ดี เนื่องจากในระบบการพิมพ์ส่วน หนึ่งจะเป็นระบบที่ใช้หมึกพิมพ์ที่มีส่วนผสมเป็นน้ำหรือน้ำมัน และระบบการพิมพ์ที่ใช้ความร้อนหรือ ระบบที่ต้องใช้แรงดึงสูง ซึ่งการเลือกใช้กระดาษต้องสามารถทนได้กับสภาพของการพิมพ์และยังต้องทน จากสภาพของอากาศที่มีความชื้นที่ส่งผลต่อการยืดหดเพียงเล็กน้อยของกระดาษที่ใช้เยื่อใยยาวในการ ผลิต แต่กระดาษที่ผลิตจากเยื่อใยสั้นที่ได้จากพืชจำพวกเนื้ออ่อนมีการยืดหดเมื่อโดนความชื้นมากกว่า คุณสมบัติความคงทนของกระดาษ เรียกได้ว่ามีความคงทนต่อสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง เช่น การ ได้รับความชื้นในการพิมพ์หรือการทำเล่มจากการทากาว การได้รับแรงกด ความสามารถในการคงทนช่วย ลดปัญหาของการพิมพ์ที่ทำให้เกิดภาพเลื่อมกันได้หรือการยึดออกกระดาษจากการทากาวได้ดี ความทนต่อแรงดึง (Strength) ความแข็งแรงของกระดาษเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของกระดาษ สำหรับการพิมพ์ป้อนม้วนซึ่งมีแรงดึงของเครื่องพิมพ์ในระหว่างทำการพิมพ์ การเลือกกระดาษต้องมีความ แข็งแรงทนต่อแรงดึงสูง (Tensile Strength) มีความต้านทานต่อการฉีกขาดในขณะที่พิมพ์ และเมื่อทำ การพิมพ์แล้วนำไปผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์กระดาษที่ใช้ควรต้องมีความต้านทานต่อแรงฉีกขาดที่เหมาะกับ การนำไปใช้งาน ความคงทนต่อสภาพแวดล้อมหรืออายุการใช้งาน (Age-Resistant and Archival Paper) เป็นคุณสมบัติของกระดาษในการรักษาสีกระดาษไม่ให้เป็นสีเหลืองหรือซีดจาง และไม่กรอบ มีความ แข็งแรงทนต่อสภาพแวดล้อมในการใช้งานปกติได้ดี ในการผลิตกระดาษเพื่อให้ได้คุณสมบัติดังกล่าวขึ้นอยู่ กับชนิดของเยื่อ การกำหนดค่า pH ของกระดาษ การเติมแคลเซียมคาร์บอเนตเพื่อเพิ่มคุณสมบัติของ กระดาษหรือวิธีการผลิตที่ปราศจากเคมี คือ การผลิตเยื่อกระดาษแบบเชิงกลที่ทนต่อการพับได้ดีกว่าการ ผลิตเยื่อแบบใช้สารเคมี


เทคโนโลยีการพิมพ์ (Printing Technology) การเลือกกระดาษที่ใช้ในการพิมพ์ เทคโนโลยี การพิมพ์ แต่ละแบบมีความแตกต่างกัน เช่น ระบบการป้อนกระดาษ การถ่ายทอดหมึกพิมพ์ การเลือก กระดาษควรต้องมีความรู้เกี่ยวกับการพิมพ์ว่าระบบใดต้องใช้กระดาษคุณสมบัติอย่างไร เช่น การพิมพ์ ออฟเซตมีการใช้น้ำยาฟาวเทน ดังนั้นการเลือกกระดาษที่ใช้พิมพ์ควรทนต่อการยืดหด การพิมพ์ออฟเซต ป้อนม้วนกระดาษควรต้องมีความเหนียวทนต่อแรงดึงและมีความต้านทานต่อการฉีกขาด และการพิมพ์ที่ ต้องใช้หมึกพิมพ์ที่มีความหนืดสูงควรเลือกใช้กระดาษที่มีผิวหน้าที่เรียบ ในส่วนของระบบการพิมพ์ดิจิทัลมี ความแตกต่างของระบบ ชนิดหมึกพิมพ์ที่ใช้ เนื่องจากหมึกพิมพ์ดิจิทัลบางชนิดไม่เหมาะกับพิมพ์ลง กระดาษเคลือบผิว นอกจากคุณสมบัติของระบบการพิมพ์ที่มีต่อคุณภาพของงานพิมพ์การเลือกชนิด กระดาษที่ใช้ในการผลิตสิ่งพิมพ์ ซึ่งมีผลต่อการผลิตสิ่งพิมพ์ในการเลือกใช้ความละเอียดของเม็ดสกรีนที่ใช้ พิมพ์ดังตัวอย่างในตารางต่อไปนี้ ตารางที่ 6.2 ชนิดของกระดาษกับความละเอียดของสกรีนที่ใช้ ชนิดกระดาษ ความละเอียดของสกรีนที่ใช้ (Lpi) กระดาษปรู๊ฟ 65-100 กระดาษไม่เคลือบ 100-150 กระดาษเคลือบ (ขัดมัน) 150-175 กระดาษเคลือบด้าน 150-200 กระดาษเคลือบมัน 150-200 ที่มา: A Guide to Graphic Print Production การทำสำเร็จหรือการทำเล่มของสิ่งพิมพ์ (Finishing and Binding of the Printed Product) เมื่อพิมพ์สิ่งพิมพ์แล้วเสร็จถูกส่งมาในขั้นตอนการทำสำเร็จหรือการทำเล่ม และการพับต้อง คำนึงถึงกระดาษที่ใช้และแนวการพับควรเป็นแนวเดียวกันเกรนของกระดาษ และส่วนของการพับและมี การติดกาว ต้องดูให้ว ่าแนว ของกระดาษที่ติดกาว เป็นแนว ตามเกรน เช ่น การ ทำ บรรจุภัณฑ์บางครั้งเกิดปัญหาของการติดแล้วหลุดออกได้ง่าย เนื่องจากการพับเป็นแนวขวางเกรน ถ้าเป็น กระดาษเคลือบผิวทำให้กาวติดยากมากขึ้นหรืออาจไม่ติด ดังนั้นในการเคลือบผิวหน้ากระดาษหลังทำการ พิมพ์ควรเว้นในส่วนที่ต้องยึดติดด้วยกาว การพับกระดาษหลังจากการพิมพ์ความหนาของกระดาษเป็น ส่วนหนึ่งที่ทำให้การพับได้ดีหรือไม่ และหากเป็นงานที่ต้องมีการพับที่ต้องเปิดใช้บ่อยครั้งเช่นหนังสือปก อ่อน ควรเลือกใช้กระดาษที่มีความหนาไม่มากเกิน ซึ่งทำให้การพับได้ยากและสิ้นเปลืองงบประมาณค่า กระดาษเพิ่มขึ้นได้โดยไม่จำเป็น


การขนส่งกับน้ำหนักกระดาษ (Distribution and Weight) น้ำหนักของกระดาษมีความ สำคัญต่อการขนส่งในการจัดทำสิ่งพิมพ์ที่ต้องทำการจัดส่งผ่านระบบการขนส่งทางไปรษณีย์ ซึ่งมีผลต่อค่า ขนส่ง การเลือกใช้กระดาษควรต้องคำนึงถึงน้ำหนักของกระดาษ การเลือกน้ำหนักกระดาษลดลงอาจช่วย ให้ได้รับอัตราในการขนส่งลดลง และการเลือกใช้ขนาดมาตรฐานของสิ่งพิมพ์ทำให้เลือกขนาดซองที่มี จำหน่ายในขนาดมาตรฐาน การเลือกผลิตสิ่งพิมพ์ให้ได้ตามมาตรฐานของกระดาษทำให้ลดค่าใช้จ่าย และ ง่ายต่อการใช้สิ่งของอื่นๆ มาใช้ร่วมกับสิ่งพิมพ์ สรุปได้ว่าแม้ว่าในปัจจุบันมีการลดการผลิตสิ่งพิมพ์ในรูปแบบสื่อสิ่งพิมพ์ในการสื่อสารและ การนำเสนอ พบว่าสื่อสิ่งพิมพ์จำพวกอ่านเพื่อความบันเทิงได้มีการลดการผลิตลง เพราะได้มีสื่อดิจิทัลเข้า มาแทนที่ แต่ยังคงมีความจำเป็นในการใช้กระดาษเพื่อการผลิตสิ่งพิมพ์ เช่น บรรจุภัณฑ์ การโฆษณาที่เป็น ในรูปของแผ่นพับ โปสเตอร์ หนังสือ แม้มีหนังสือในรูปของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เข้ามาแทนที่ได้ แต่ส่วน ใหญ่เป็นหนังสือที่อ่านเพื่อความบันเทิงมากกว่าการอ่านเพื่องานวิชาการ และการผลิตบรรจุภัณฑ์ด้วย กระดาษช่วยลดลดจำนวนขยะที่ย่อยสลายได้ยาก แทนการใช้พลาสติกหรือโฟม แต่หากใช้กระดาษเป็น จำนวนมากก็ย่อมส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมเช่นกัน เนื่องจากการผลิตเยื่อใยยาวจะมาจากพืชยืนต้นเป็นส่วน ใหญ่ที่ต้องใช้เวลาในการปลูกเป็นเวลานาน การผลิตต้องใช้พลังงานและสารเคมีต่างๆ การลดจำนวนการ ใช้กระดาษซึ่งเป็นวิธีหนึ่ง และการลดการใช้เยื่อโดยการนำกระดาษที่ใช้แล้วกลับมาผลิตใหม่ เรียกว่า กระดาษรีไซเคิล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ช่วยลดจำนวนขยะและพลังงานในการผลิตและส่งผลดีต่อการ รักษาสภาพแวดล้อมของโลกได้ กระดาษกับสิ่งแวดล้อม ปริมาณการใช้กระดาษได้เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว จากการจำนวนของประชากรทั่วโลกมีการขยายตัว และจากการขยายตัวของเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นทำให้มีการใช้กระดาษเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 50 เป็นส่วนหนึ่ง ของปัญหาในระบบนิเวศที่เกิดจากการใช้ไม้เพื่อนำมาผลิตกระดาษ และยังส่งผลจากการผลิตที่ต้องใช้ พลังงาน และมีการทิ้งของเสียที่ทำให้เกิดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม จนกระทั่งมีการกำหนดค่าใช้จ่ายใน การเรียกเก็บจากผู้ผลิตในการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และทำให้อุณหภูมิของโลก สูงขึ้น ส่งผลและทำลายพันธุ์พืชและสัตว์ให้ลดลงหรือกระทั่งเกิดการสูญพันธุ์ลงได้ การผลิตหรือวิธีที่ทำให้ การใช้กระดาษลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมลงโดยวิธีการดังนี้ 1. การนำกลับมาผลิตใหม่ การนำกระดาษที่ใช้แล้วกลับมาผลิตใหม่ โดยใช้เป็นเยื่อที่ใช้ในการ ผลิตกระดาษอีกครั้ง การรีไซเคิลสามารถผลิตให้กระดาษมีคุณภาพที่ดีสำหรับการใช้งานใหม่ได้และเป็น ส่วนสำคัญของการทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น จากการลดการตัดต้นไม้เพราะต้นไม้สามารถดูดซับก๊าซก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ได้และสามารถลดปริมาณของขยะได้ 2. การผลิตกระดาษที่ไม่ใช้คลอรีน ในการผลิตขั้นตอนการฟอกเยื่อเพื่อให้เยื่อมีสีขาวในการใช้ พืชในการผลิตกระดาษซึ่งพืชจะมีลิกนิน คือ ส่วนที่มีความเหนียวที่ติดมากับเส้นใยเซลลูโลสที่ใช้ในการ ผลิตกระดาษ ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้สีกระดาษไม่ขาวหรืออาจมีสีคล้ำขึ้นอยู่กับจำนวนของลิกนิน ในการฟอก


เยื่อนิยมใช้คลอรีนเป็นตัวฟอกให้เยื่อมีสีขาว แต่คลอรีนมีผลที่ทำให้เกิดปัญหากับสิ่งแวดล้อม และยังส่งผล ต่อผู้ปฏิบัติงานและเมื่อนำไปทิ้งลงในน้ำก็จะมีการปนเปื้อนของสารลงไปในน้ำได้ 3. การเพิ่มทางเลือกของการใช้เยื่อ การผลิตเยื่อที่สามารถลดการใช้เยื่อโดยตรง จากการใช้เยื่อ เก่าโดยการรีไซเคิลหรือการใช้เยื่อที่จากพืชที่เหลือใช้จากผลผลิตอื่นๆ แทน เช่น การใช้ฟางข้าว ต้นกล้วย ต้นอ้อย และวัชพืช ฯลฯ ที่มีการใช้ส่วนอื่นเพื่อประโยชน์แล้วสามารถนำส่วนที่เหลือมาใช้ในการผลิตเยื่อ ทำให้ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมลงได้ ในการผลิตกระดาษเพื่องานหัตถกรรมมีการเลือกใช้เยื่อที่ หลากหลายที่มีในท้องถิ่น แต่หากกระบวนการผลิตใช้สารเคมีและไม่มีการกำจัดที่ดีพอส่งผลต่อ สิ่งแวดล้อมได้เช่นกัน ดังนั้นในการผลิตกระดาษควรคำนึงกระบวนการผลิตที่ไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม การจัดการกระดาษ กระดาษเป็นวัสดุที่มีการใช้เพื่อผลิตสิ่งพิมพ์จำนวนมาก แม้มีการใช้วัสดุอื่นๆ แต่กระดาษยังคง เป็นส่วนใหญ่ของการนำมาใช้เพื่อการผลิตสิ่งพิมพ์ การจัดการกระดาษเพื่อให้มีคุณภาพตั้งแต่โรงงานผลิต มายังโรงพิมพ์และการนำไปผลิตสิ่งพิมพ์ให้มีประสิทธิภาพต้องคำนึงถึงว่าในการผลิตกระดาษใช้เยื่อที่เป็น เซลลูโลส (Cellulose Fibers) เป็นส่วนใหญ่การจัดเก็บต้องดูเรื่องของความชื้นและอุณหภูมิที่มีผลต่อ กระดาษในการจัดเก็บ เพื่อไม่เกิดปัญหาและผลเสียต่อกระดาษและงานพิมพ์ ความชื้นกับกระดาษ ความชื้นมีผลต่อการยึดและหดตัวของกระดาษ เมื่อกระดาษโดนความชื้นมี การขยายตัวออกและเมื่อกระดาษแห้งตัวก็หดตัวลงในการยืดหดของกระดาษจากความชื้น จากการที่ กระดาษได้รับความชื้นไม่ทั่วเท่ากันทั้งแผ่น เมื่อแห้งตัวทำให้แห้งตัวไม่เท่ากันทำให้กระดาษโค้งตัว เนื่องจากการยืดหดที่ไม่เท่ากัน การจัดเก็บต้องระวังเรื่องความชื้นและเมื่อนำมาใช้งานอาจต้องมีการปรับ สภาพของกระดาษก่อนที่นำไปพิมพ์ เช่น การพิมพ์งาน 4 สี ด้วยระบบการพิมพ์ออฟเซตที่ไม่ได้มี เครื่องพิมพ์ที่สามารถพิมพ์ได้แบบ 4 สี โดยใช้เครื่องแบบ 1 หน่วยพิมพ์ หรือ 2 หน่วยพิมพ์ และการสัมผัส กับความชื้นในระหว่างทำการพิมพ์อาจทำให้กระดาษมีการยึดและหดตัว การพิมพ์บนกระดาษที่มีการยืด หดสูงจึงต้องมีการปรับสภาพกระดาษก่อนที่พิมพ์จริงหรือต้องทำการพิมพ์ให้เสร็จอย่างต่อเนื่องไม่ทิ้งให้ กระดาษที่สัมผัสความชื้นจากการพิมพ์แล้วหดตัวก่อนที่พิมพ์สีที่สองอาจทำให้ภาพที่พิมพ์ไม่ตรงฉาก การจัดเก็บกระดาษ เมื่อความชื้นมีผลต่อกระดาษ ในการจัดเก็บกระดาษควรมีการจัดเก็บในห้อง ที่อุณหภูมิไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือหากมีก็ควรมีน้อยที่สุด การวางกระดาษการจัดเก็บไม่ควรวางไว้ติดกับ พื้นเพราะพื้นมีความชื้น การวางกระดาษจึงควรมีแท่นไม้ที่มีรูเพื่อระบายอากาศออกได้ และการจัดเก็บ ควรไม่ให้โดนแสงแดดโดยตรงทำให้กระดาษเปลี่ยนสีและมีความกรอบแห้งได้และต้องไม่ให้มีความชื้นที่ ทำให้เกิดราขึ้นได้และการรักษาไม่ให้มีแมลงหรือสัตว์มากัดกินกระดาษให้เสียหาย การจัดเตรียมจำนวนกระดาษเพื่อการใช้งาน การผลิตกระดาษแต่ละครั้งใช้เยื่อที่ได้จากพืช ต่างๆ เพื่อนำมาผลิตแต่ละครั้งอาจได้กระดาษที่แตกต่างกัน หรืออาจไม่เพียงพอต่อการผลิต การสั่ง กระดาษเพื่อมาจัดเก็บต้องทราบถึงความต้องการการผลิตที่โรงพิมพ์รับงานผลิตให้สามารถผลิตได้ใน ระยะเวลาของการรับงานและหากมีการจัดเก็บไว้ไม่พอกับจำนวนของการรับงานซึ่งราคากระดาษอาจมี


การปรับขึ้นส่วนนี้ที่ส่งผลต่อรายรับของโรงพิมพ์ได้ เนื่องจากการรับงานได้กำหนดราคากับลูกค้าไปแล้ว ในการจัดเก็บกระดาษไว้เพื่อใช้งานได้อย่างเพียงพอ จึงมีความสำคัญต่อธุรกิจการผลิตสิ่งพิมพ์ การขนส่งกระดาษ การขนส่งกระดาษการป้องกันความชื้นและ อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงมากควร ระวังเพราะส่งผลต่อการยึดหดของกระดาษได้ การขนส่งรวมถึงการกระจายสินค้าไปยังผู้บริโภคหรือลูกค้า ที่ทำการสั่งผลิตส่วนนี้ต้องมีการคำนวณราคาเพิ่ม เพื่อการขนส่งส่วนหนึ่งต้องคำนึงถึงสินค้าที่ถึงผู้บริโภค ได้อย่างไม่มีการเสียหาย ดังที่กล่าวมาว่ากระดาษผลิตจากเยื่อที่โดนความชื้นแล้วมีผลเสียต่อกระดาษ การ ขนส่งควรมีการห่อหุ้มที่ดีไม่เกิดความเสียหายเกิดขึ้น ความคมชัดและความเหมาะสมในการใช้งาน การเลือกกระดาษต้องให้เหมาะกับวัตถุประสงค์ ของการใช้งานและประสิทธิภาพในการพิมพ์ เมื่อทำการพิมพ์จะไม่ติดขัดระหว่างการพิมพ์และเส้นใยของ กระดาษไม่แตกทำให้ได้ภาพหมึกพิมพ์ติดไม่ดีพอและรวมถึงภาพรวมทั้งหมดของสิ่งพิมพ์ด้วยที่ตอบสนอง ต่อการใช้งานได้เป็นอย่างดี คุณสมบัติการยึดติดหมึกพิมพ์ ขนาดกระดาษ การกำหนดตามวัตถุประสงค์ ของการใช้งาน สำหรับการพิมพ์ดิจิทัลการใช้กระดาษหรือขนาดวัสดุในการพิมพ์ได้กำหนดรายละเอียด ของเครื่องพิมพ์แต่ละรุ่นไว้เพื่อการเลือกใช้ที่เหมาะกับเครื่องพิมพ์และหมึกพิมพ์การพิมพ์ระบบดิจิทัลการ ถ่ายทอดหมึกพิมพ์มีลักษณะเป็นผงลงไปเกาะกับโมแม่พิมพ์แล้วถ่ายทอดลงมายังกระดาษที่ใช้ การ กำหนดขนาดกระดาษต้องให้ครอบคลุมบริเวณของโมแม่พิมพ์ที่ใช้เพื่อป้องกันการลงมาติดของหมึกพิมพ์ ในบริเวณที่ไม่มีกระดาษ วัสดุอื่นที่ใช้ในการพิมพ์วัสดุที่ใช้ในการพิมพ์ชนิดอื่นจะนำไปเป็นผลิตภัณฑ์มากกว่านำมาผลิต สิ่งพิมพ์เพื่อการสื่อสาร โดยการใช้ระบบการพิมพ์ที่แตกต่างกันออกไป แต่การออกแบบผลิตภัณฑ์มี ขั้นตอนที่เหมือนกับการออกแบบสิ่งพิมพ์และยังต้องพิจารณาบางกรณีเพิ่มขึ้น เช่น ต้องออกแบบให้มี ความสวยงาม ดึงดูดผู้ซื้อ และเพื่อเป็นส่วนประกอบของสินค้าหรือเพื่อรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ ได้แก่ การพิมพ์สกรีนที่สามารถพิมพ์ได้บนวัสดุที่หลายชนิด เช่นเดียวกับการพิมพ์แบบถ่ายโอนด้วยความร้อนที่ สามารถนำมาติดลงบนวัสดุได้หลายชนิด เช่น พลาสติกแบ่งออกเป็นชนิดต่างๆ ได้แก่ พลีเอทิลีน (Polyethylene) PE โพลีโพพีลีน (Polypropylene) PP โพลีเอทิลีน เทเรฟทาเลต (Polyethylene terephthalate) PET โพลีไวนิล คลอไรด์ (Polyvinyl chloride) PVC โพลีสไตรีน (Polystyrene) PS การเลือกต้องเลือกให้เหมาะกับการนำไปใช้และในส่วนของระบบการพิมพ์ก็ต้องเลือกให้เหมาะกับชนิดที่ นำมาพิมพ์และการพิมพ์ผ้าแบบผ้าม้วนหรือผ้าที่ตัดแล้วด้วยการพิมพ์สกรีน ส่วนวัสดุอื่น เช่น ไม้ หรือ โลหะที่พิมพ์บนผลิตภัณฑ์เพื่อการใช้งานที่อาจใช้การพิมพ์สกรีนและการพิมพ์แพด การออกแบบและการ ผลิตจึงใช้ความต้องการของเจ้าของผลิตภัณฑ์เป็นตัวกำหนดเช่นเดียวกับการเลือกวัสดุที่ใช้พิมพ์ จากการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลในระบบการพิมพ์ ทำให้ธุรกิจการพิมพ์การเติบโตในรูปแบบการ ใช้เครื่องพิมพ์ดิจิทัลเพิ่มขึ้น นับเป็นส่วนหนึ่งของความต้องการใช้กระดาษเพิ่มขึ้น การเลือกใช้กระดาษใน การพิมพ์ดิจิทัลต้องเลือกใช้ให้เหมาะกับเครื่องพิมพ์และหมึก และจากงานวิจัย Romano, 2004 ได้ คาดการณ์ว่าการเติบโตของการพิมพ์ดิจิทัลในสหรัฐเติมโตและขยายตัวถึง 42% โดยมองว่าการเติบโตของ


การพิมพ์ดิจิทัล คือ ความต้องการของสิ่งพิมพ์ที่มีผลต่ออุตสาหกรรมการผลิตกระดาษที่ต้องพัฒนา คุณภาพของกระดาษให้เหมาะกับเทคโนโลยีดิจิทัลแบบต่างๆ ตามกำหนดการใช้วัสดุที่ใช้พิมพ์ที่สามารถ ใช้ได้กับระบบการถ่ายทอดหมึกพิมพ์และชนิดของหมึกพิมพ์จึงได้มีการพัฒนาการผลิตกระดาษให้มี ความชื้นน้อยและทนความร้อนได้ดีเพื่อใช้กับระบบที่มีความร้อนในการทำให้หมึกยึดติด การผลิตกระดาษและวัสดุที่ใช้พิมพ์ นับได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีผล ต่อสภาพแวดล้อม คือ มีส่วนที่ทำให้เกิดขยะจากเศษวัสดุที่ใช้แล้ว การทำให้เกิดความสมดุลระหว่าง ทรัพยากรธรรมชาติกับความต้องการใช้ทรัพยากรธรรมชาติจึงเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากการพัฒนาสิ่งพิมพ์ให้ เป็นสื่ออิเล็กทรอนิกส์ใช้งานแทนเป็นส่วนหนึ่ง และในส่วนของการพัฒนาเพื่อหาวัสดุมาทดแทนหรือวัสดุ จากพืชอื่นๆ มาทดแทนพืชที่ใช้กันอย่างต่อเนื่องหรือการผลิตพลาสติกที่ย่อยสลายได้และใช้เวลาในการ ย่อยสลายน้อยลงซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการเลือกใช้วัสดุในการพิมพ์และในการผลิตบรรจุภัณฑ์ที่ สามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ การวิจัยการผลิตเยื่อที่ใช้ผลิตกระดาษจากเนื้อไม้กัญชง (Hemp) (ประทุมทอง ไตรรัตน์, 2549) ผลการวิจัย พบว่า เยื่อที่ได้จากเนื้อไม้ของต้นกัญชงสามารถนำมาเป็นเยื่อในการผลิตกระดาษและพิมพ์ ด้วยระบบการพิมพ์สกรีนได้ นอกจากนี้ได้มีการวิจัยการผลิตกระดาษจากพืชที่เหลือทิ้งในภาคเกษตร โดย การผลิตเยื่อแบบกระดาษหัตถกรรมและนำไปทดสอบการพิมพ์สกรีนและการพิมพ์พ่นหมึก พืชที่ใช้ในการ ผลิตเยื่อครั้งนี้จากพืช 3 ชนิด ได้แก่ต้นและก้านกุหลาบ ต้นกระถิน ต้นเฮลิโคเนีย ขั้นตอนการผลิต 1. การเตรียมเยื่อ - เยื่อจากต้นและก้านกุหลาบ กุหลาบที่นำมาทำเยื่อเป็นส่วนของต้นและก้านกุหลาบ โดยใช้ก้านกุหลาบในส่วนที่ตัดทิ้ง นำมา ตัดใบและหนามออกและตัดเป็นท่อนขนาด 5-8 ซม. แช่น้ำประมาณ 2 วัน เพื่อทำให้ต้นหรือก้านกุหลาบ ที่แข็งมีความนุ่ม นำไปล้างน้ำและนำไปต้ม - เยื่อจากต้นเฮลิโคเนีย นำต้นเฮลิโคเนียมาหั่นเป็นท่อนๆ ยาวประมาณ 3-5 นิ้ว ล้างน้ำทำความสะอาด แล้วนำไปสับ บดด้วยเครื่องสับและนำไปปั่นและกรองเพื่อนำไปต้มในหม้อต้ม - เยื่อจากต้นกระถิน นำต้นกระถิ่นในส่วนของลำต้นและส่วนที่เป็นก้านที่ตัดมาลอกส่วนเปลือกออกทิ้ง และนำไปตาก แดด ทำการไสด้วยกบไสไม้เพื่อให้ง่ายในการนำไปสับในเครื่องสับและแช่ด้วยโซดาไฟ (NaOH ; Sodium Hydroxide) และโซเดียมคาร์บอเนต (Na2CO3 ; Sodium Carbonate) ในกรณีต้องการให้เยื่อมีความขาว (ซึ่งใช้สารเคมีในการผลิต)


ก. ข. ค. ภาพที่ 6.12 ก. ต้นและก้านกุหลาบ ข. ต้นเฮลิโคเนีย ค. ต้นกระถิน 2. การต้มเยื่อ ด้วยหม้อแรงดันเพื่อให้ระยะเวลาการต้มน้อยและรักษาคุณภาพของเยื่อได้ 2.1 ใส่เยื่อและน้ำลงในหม้อต้มความดันอัตราส่วนเยื่อต่อน้ำ 1:10 2.2 ต้มเยือโดยใช้อุณหภูมิในการต้มเปื่อยที่ 120 องศาเซลเซียส ประมาณ 1-2 ชั่วโมง ภาพที่ 6.13 การต้มเยื่อและล้างเยื่อหลังจากการต้ม 3. การปั่นดีเยื่อ 3.1 ทำการปั้นเยื่อที่ได้จากการต้มด้วยหม้อต้มความดัน โดยใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที แล้วนำ เยื่อออกจากเครื่องปั่นเยื่อโดยการใช้ตะแกรงกรองน้ำแยกออกจากเยื่อ 3.2 เยื่อที่ผ่านการปั้นเยื่อแล้วเมื่อทำการเอาน้ำออกเยื่อมีลักษณะการจับตัวเป็นก้อน ใน การเก็บไว้ถ้าเป็นเยื่อเปียกควรเก็บไว้ในตู้เย็นเพื่อป้องกันการเกิดเชื้อรา ถ้าต้องการเก็บแห้งโดย การ นำไปตากให้แห้งสนิทเมื่อนำออกมาใช้ทำการต้มให้เปื่อยก่อนนำมาใช้ประมาณ 20-30 นาที ทำการขึ้น แผ่นด้วยเครื่องหรือการใช้มือแตะ


ภาพที่ 6.14 การกรองเยื่อและการเอาน้ำออกจากเยื่อเพื่อเก็บเยื่อไว้ใช้ 4. ขั้นตอนการทดสอบการพิมพ์ลงบนกระดาษ โดยการพิมพ์ด้วยระบบการพิมพ์สกรีน ภาพที่ 6.15 กระดาษที่ผลิตจากเยื่อต้นกระถิน สรุปผลการวิจัยกระดาษที่ใช้เยื่อจากพืชที่เหลือทิ้งในภาคการเกษตรและจากพืชอื่นๆ ได้แก่ ต้น และก้านกุหลาบ ต้นเฮลิโคเนีย และต้นกระถิน สามารถนำมาเป็นเยื่อในการผลิตกระดาษ และใน การทดสอบด้วยระบบการพิมพ์สกรีนและการพิมพ์แบบพ่นหมึกพิมพ์ พบว่ากระดาษจากเยื่อต้นกระถิน และก้านกุหลาบให้เยื่อที่มีคุณภาพและการพิมพ์ภาพพิมพ์ได้ดีกว่ากระดาษจากต้นเฮลิโคเนีย คือเพิ่ม ทางเลือกของการใช้เยื่อในการผลิตกระดาษ ซึ่งลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในการใช้เยื่อจากส่วนของพืชที่ เหลือทิ้งจากการใช้ต้นและก้านกุหลาบ ต้นเฮลิโคเนียและต้นกระถินในการผลิตกระดาษ


การเลือกวัสดุในการผลิตสิ่งพิมพ์ ควรคำนึงถึงประโยชน์ของการใช้งานความสวยงามของ สิ่งพิมพ์ ในการเลือกใช้วัสดุประสิทธิภาพของวัสดุเป็นสิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงถึง และในการเลือกใช้หากคำนึงถึงเรื่อง ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ เช่น การเลือกใช้วัสดุที่ย่อยสลายได้ เลือกวัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ ใหม่ได้หรือมีการพัฒนาทางเลือกของวัสดุทดแทน แม้ว่าในการบริโภคสิ่งพิมพ์มีการใช้สื่ออื่นเข้ามาแทน แต่ด้วยการเพิ่มจำนวนของประชากรทำให้ปริมาณการใช้สิ่งพิมพ์ยังมีปริมาณที่สูงและในส่วนของบรรจุ ภัณฑ์กระดาษเป็นส่วนหนึ่งของวัสดุที่นำมาผลิตบรรจุภัณฑ์และในการตกแต่งส่วนใหญ่พิมพ์บนบรรจุ ภัณฑ์ ดังนั้นการเลือกใช้วัสดุจึงมีความสำคัญต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมที่ทุกคนต้องมีส่วนรับผิดชอบร่วมกัน เพื่อให้สร้างความสมดุลของความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืนจากการไม่เลือกใช้หรือลดการใช้ ผลิตภัณฑ์ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม


การเลือกใช้ระบบการพิมพ์ ต้องทำการกำหนดก่อนการออกแบบ เพื่อได้นำมากำหนดการเลือกใช้ ขนาดตัวอักษร ความละเอียดของภาพและวัสดุที่ใช้พิมพ์ยังรวมถึงปัจจัยอื่นๆ ได้แก่ เวลาในการผลิต จำนวน ราคา ระบบการพิมพ์ มีดังนี้ - การพิมพ์ดิจิทัล (Digital Printing) - การพิมพ์ออฟเซต (Offset) - การพิมพ์กราวัวร์(Gravure) - การพิมพ์แพด (Pad) - การพิมพ์เลตเตอร์เพรส (Letterpress) - การพิมพ์ดรายออฟเซต (Dry Offset) - การพิมพ์เฟล็กโซกราฟี(Flexographic) - การพิมพ์สกรีน (Screen) การทำเล่มและการทำสำเร็จ (Finishing and Binding) การทำสำเร็จ เป็นส่วนหนึ่งของการตกแต่งสิ่งพิมพ์ เพื่อสร้างความแตกต่าง จุดเด่น เช่น การ เคลือบ มีหลายชนิดเพื่อตกแต่งสิ่งพิมพ์ - ป้องกันสิ่งพิมพ์ เพื่อสิ่งพิมพ์มีความทนทานต่อการขูดขีด สภาพแวดล้อม อากาศ ไขมัน แสงแดด หรือสารเคมีบางชนิดได้ - สามารถช่วยให้อายุการใช้งานของสิ่งพิมพ์เพิ่มขึ้นได้ - ตกแต่งผิวของสิ่งพิมพ์ให้มีความมันวาว เพิ่มความสว่างที่ทำให้มีความสวยงามเพิ่มขึ้น - ลดหรือเพิ่มการลื่นไหล - เพิ่มสมบัติการยึดติด การทำเล่ม เริ่มจากการพับให้ได้ตามขนาดและนำมาเก็บให้หน้าเรียงซ้อนกันให้เลขหน้าเรียงกัน ตามลำดับและนำไปเย็บเล่ม เย็บด้วยลวด ด้าย หรือการไสสันทากาว และนำไปเข้าปก แบบปกแข็งหรือ ปกอ่อน


บทที่ 7 การพิมพ์และการทำสำเร็จ (Printing and Finishing) การผลิตสิ่งพิมพ์เริ่มจากการแกะสลักด้วยหินหรือไม้ให้เป็นสัญลักษณ์ต่างๆ และนำหมึกมาทาลง และนำไปกดทับกับวัสดุที่ใช้พิมพ์ และในปัจจุบันได้มีพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อใช้ในการสื่อสาร ซึ่ง ใช้ในการเก็บข้อมูล ประมวลข้อมูล รวมถึงการใช้เพื่อการดูแล และได้นำมาใช้กับการจัดการธุรกิจทางด้าน การพิมพ์และด้านอื่นๆ และในการพัฒนาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเทคโ นโลยีดิจิทัลมาใช้ใน กระบวนการพิมพ์ขั้นตอนต่างๆ และมีระบบการพิมพ์ดิจิทัลที่สามารถผลิตงานได้รวดเร็วและง่ายในการ ผลิตงานพิมพ์ 4 สีและได้มีการพัฒนาระบบการพิมพ์ดิจิทัลที่สามารถผลิตงานพิมพ์ภาพที่คุณภาพสูงและ ยังสามารถพิมพ์ได้บนวัสดุหลายชนิด หลายขนาด แต่ยังคงมีข้อจำกัด เช่น ราคาต่อหน่วยของการผลิต เท่ากันแม้มีการพิมพ์จำนวนมาก ราคาต้นทุนไม่ได้ลดลงเหมือนกับระบบการพิมพ์ที่ใช้แม่พิมพ์ที่มีราคาสูง แต่สามารถพิมพ์งานได้จำนวนมากต่อการใช้แม่พิมพ์แต่ละครั้งและยังสามารถเก็บไว้ในการพิมพ์งานเพิ่มได้ อีกในครั้งต่อไป ระบบการพิมพ์แบ่งการเกิดภาพเป็นแบบใช้แรงกดหรือแบบสัมผัส และการพิมพ์ไม่ใช้แรงกด หรือการพิมพ์ไม่สัมผัส ระบบการพิมพ์แบบไม่สัมผัสเป็นระบบการพิมพ์ดิจิทัลนำเข้ามาใช้ในการผลิต สิ่งพิมพ์ที่ไม่ต้องการจำนวนมากที่ต้องการความรวดเร็ว ระบบการพิมพ์แบ่งตามลักษณะของแม่พิมพ์การเกิดภาพด้วยชนิดของแม่พิมพ์พื้นนูน พื้นลึก พื้น ราบและพื้นฉลุและการเกิดภาพแบบการถ่ายโอนเกิดภาพแบบไม่ใช้แรงกด แต่เทคนิค การเกิด ภาพขึ้นอยู่กับวิธีการถ่ายทอดหมึกพิมพ์ลงบนวัสดุและการทำให้หมึกพิมพ์ติดบนวัสดุด้วยการใช้แสงชนิด ต่างๆ ที่ใช้ตามคุณสมบัติการแห้งของหมึกพิมพ์ที่ใช้ ภาพที่ 7.1 การเกิดภาพระบบการพิมพ์แบบพื้นนูน พื้นลึก และพื้นราบ ที่มา : http://www.explainthatstuff.com/how-printing-works.html


การผลิตสิ่งพิมพ์ควรต้องคำนึงถึงวัตถุประสงค์ของการใช้งานของสิ่งพิมพ์การเลือกระบบในการ พิมพ์เพื่อใช้ในการผลิตต้องคำนึงสิ่งต่างๆ ดังนี้จำนวน เวลาของการผลิต รูปแบบ คุณภาพ ราคา วัสดุ นำมาพิจารณาเลือกระบบการพิมพ์ในการผลิตสิ่งพิมพ์ให้ได้คุณภาพตามความต้องการและราคาที่ เหมาะสม สำหรับการพิมพ์ลงบนตัวผลิตภัณฑ์ควรต้องเลือกระบบการพิมพ์ที่สามารถพิมพ์ได้บนรูปทรง ของผลิตภัณฑ์หรือการเลือกใช้หมึกพิมพ์ที่สามารถยึดติดบนผลิตภัณฑ์ได้ดี เนื่องจากการพิมพ์บน ผลิตภัณฑ์บางชนิดไม่สามารถแก้ไขได้เมื่อทำการพิมพ์ จากการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตสิ่งพิมพ์ที่มีความก้าวหน้าทำให้มีความสะดวกและรวดเร็วใน การผลิต และมีการใช้ระบบการพิมพ์ดิจิทัลในการผลิตสิ่งพิมพ์มากขึ้น แทนการใช้เครื่องถ่ายเอกสาร (สำเนา) เครื่องพิมพ์ขนาดเล็กในการทำเอกสารจำนวนไม่มาก ระบบการพิมพ์ดิจิทัลสามารถผลิตงานสีที่มี คุณภาพสูงได้ซึ่งสร้างภาพด้วยเป็นเครื่องที่ใช้ระบบหมึกพิมพ์เลเซอร์หรือระบบพ่นหมึกพิมพ์ และ สามารถผลิตงานได้อย่างรวดเร็วในรูปของสิ่งพิมพ์ที่พิมพ์ลงบนวัสดุ ระบบการพิมพ์ การพิมพ์ดิจิทัล (Digital Printing) มีการผลิตเครื่องพิมพ์ที่ใช้ในขนาดต่างๆ คุณภาพที่ หลากหลายและยังมีการพิมพ์จากการนำระบบดิจิทัลรวมในระบบการพิมพ์ออฟเซต เนื่องด้วยความ แตกต่างของระบบการพิมพ์ดิจิทัลที่มีหลายชนิด การเลือกใช้ควรคำนึงถึงคุณภาพของสิ่งพิมพ์ ราคา วัสดุที่ ใช้พิมพ์เวลาในการผลิต อายุ ของการใช้งานโดยมีระบบการพิมพ์ดังนี้ Xerography หรือ Xerographic เรียกทั่วๆ ไปว่า การถ่ายเอกสารหรือการทำสำเนาเป็นระบบ ที่ใช้หมึกพิมพ์แบบผง และใช้เทคนิคการพิมพ์แบบเลเซอร์ โดยมีลักษณะของเทคนิคของการทำงานมี ลักษณะการสร้างภาพที่แตกต่าง ด้วยเทคนิคการเตรียมผิวหน้าของโมที่ทำหน้าที่เหมือนกับแม่พิมพ์ (Photoconductor) สร้างภาพตามต้นฉบับด้วยแสงเลเซอร์หรือแสงไดโอด (Laser or Diodes) ผงหมึก พิมพ์ยึดเกาะติดในบริเวณที่เป็นภาพ ภาพที่ 7.2 ระบบการเกิดภาพ Xerographic ที่มา : https://www.slideshare.net/ffan/xerographyelectrophotography-the-technologyphotocopiers-laser-printer


หมึกพิมพ์ที่ใช้การถ่ายเอกสารหรือการทำสำเนาหมึกพิมพ์ที่ใช้ไม่ได้เป็นของเหลว แต่เป็นผงที่ ประกอบด้วยอนุภาคขนาดเล็ก เพราะหมึกพิมพ์ที่ใช้ในระบบนี้ไม่ได้เป็นของเหลวไม่สามารถดูดซึมลงใน วัสดุที่ใช้พิมพ์แต่ผงหมึกพิมพ์จะเกาะติดอยู่บนผิวหน้าวัสดุที่ใช้พิมพ์ ด้วยความร้อนจากแสงที่ใช้แต่ละ ชนิดของเครื่องพิมพ์ในการใช้ต้องให้มีความสัมพันธ์กับชนิดของผงหมึกพิมพ์ การเลือกใช้หมึกพิมพ์มักจะ ต้องใช้หมึกพิมพ์บริษัทที่ผลิตเครื่องพิมพ์เป็นผู้กำหนด เพื่อการดำเนินการทางธุรกิจเฉพาะการเลือกใช้วัสดุ เฉพาะเครื่องพิมพ์ หมึกพิมพ์ที่คงอยู่บนพื้นผิวตามขั้นตอนการพิมพ์ ซึ่งในการเตรียมไฟล์ไม่จำเป็นต้องใช้ การตั้งค่าหมึกพิมพ์แตกต่างกันสำหรับกระดาษเคลือบและไม่เคลือบผิว ในการทำไฟล์ในรูปแบบ ICC แบบ เดียวกันสามารถใช้ได้กับกระดาษทุกชนิด แต่ในการนำไปใช้งานไม่ควรทำการพับตรงกับที่หมึกพิมพ์ จำนวนมาก เพราะจะเกิดรอยแตกหรือหมึกพิมพ์หลุดออกตรงรอยพับเห็นถึงผิวของกระดาษได้ เช่นเดียวกับการเสียดสีมากทำให้หมึกพิมพ์หลุดออกหรือเกิดเป็นเงาได้ ในส่วนการออกแบบต้องคำนึงถึง การพับต้องหลีกเลี่ยงภาพตรงรอยพับ วัสดุที่ใช้พิมพ์เป็นกระดาษหรือวัสดุในการถ่ายเอกสารหรือการอัดสำเนา คุณสมบัติควรไม่มี ความชื้นและความเรียบเงามากเกินไปเพราะทำให้การยึดของหมึกพิมพ์ไม่ดีและต้องทนต่อความร้อนได้ดี วิธีการยึดติดของหมึกพิมพ์เกิดจากการใช้ความร้อนที่ทำให้ยึดติดบนผิวหน้าของกระดาษและการเลือก กระดาษที่ไม่ได้เคลือบผิวทำให้ไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น การพัฒนาเทคโนโลยีในการพิมพ์ระบบนี้ เพื่อลดความร้อนในการพิมพ์และผลิตผงหมึกพิมพ์ที่ใช้ ในการพิมพ์สำหรับกระดาษที่เคลือบผิวที่สามารถเลือกใช้ได้หลายชนิด ในการนำมาใช้ใน การ พิมพ์ระบบดังกล่าว และส่วนของความหนาของกระดาษที่สามารถพิมพ์ได้กับกระดาษที่มีความหนาของ กระดาษมากขึ้น ทำให้การเลือกใช้เครื่องพิมพ์ระบบ Xerography มาใช้กับการทำงานของสำนักงานที่ ต้องการใช้เอกสารจำนวนไม่มากและต้องการความรวดเร็ว เช่น ใช้ในการจัดประชุมการทำเป็นหนังสือ หรือเอกสารอื่นๆ ขององค์กรที่มีความต้องการใช้ในเวลาจำกัด และมีความแตกต่างของเนื้อหาและความถี่ ในการใช้งาน เนื่องจากความรวดเร็วและง่ายต่อการผลิต การออกแบบขึ้นอยู่กับความต้องการแต่ละ องค์กร การพิมพ์แบบพ่นหมึก (Inkjet) เป็นเทคโนโลยีการพิมพ์โดยการพ่นหมึกพิมพ์ที่เล็กๆ ลงบนผิว ของวัสดุในการสร้างภาพและตัวอักษร โดยการเคลื่อนย้ายหัวพ่นหมึกไปตามขนาดของภาพที่ทำ การพิมพ์ลงบนวัสดุที่ใช้พิมพ์ความเร็วของหัวพิมพ์อยู่กับความละเอียดที่กำหนด ในการออกแบบควรต้อง คำนึงถึงส่วนของการกำหนดความละเอียดของภาพ เพราะความเร็วของการพิมพ์และการใช้หมึกพิมพ์ ขึ้นอยู่กับความละเอียดที่กำหนด เครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึกมีเป็นเครื่องพิมพ์ใช้สำนักงานที่ใช้ในการพิมพ์ เอกสารต่างๆ เป็นเครื่องขนาดเล็ก และเครื่องพิมพ์ขนาดใหญ่สามารถพิมพ์ได้ขนาดหน้ากว้างของ เครื่องพิมพ์และสามารถพิมพ์ได้บนวัสดุหลายชนิด และสามารถทำงานได้ด้วยการใช้แบบความเร็วสูงมี จำนวนของหัวพ่นหมึกพิมพ์จำนวนมาก และมีการพัฒนาระบบเครื่องพิมพ์ออฟเซตที่เป็นในรูปแบบผสม ระหว่างการพิมพ์ออฟเซตและดิจิทัลชนิดป้อนม้วนและป้อนแผ่น สามารถพิมพ์ได้ขนาดกว้างเท่ากับหน้า


ของเครื่องพิมพ์ และในส่วนของความยาวสามารถพิมพ์ได้ยาวเท่าที่กำหนดได้เพราะในด้านยาวเป็นความ ยาวตามกำหนดได้เพราะความยาวขึ้นกับกระดาษม้วนที่ใช้ ภาพที่ 7.3 เครื่องพิมพ์พ่นหมึก ที่มา : https://www.facebook.com/tookinkjet/photos/d41d8cd9/2157249771229226/ ภาพที่ 7.4 การพิมพ์พ่นหมึก ที่มา : http://www.blindconcepts.com/digital-printing/ หมึกพิมพ์ที่ใช้สำหรับการเครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึกที่ใช้ทั่วไปในเครื่องพิมพ์แบบพ่น หมึกเป็นใน รูปสีย้อม 60-90 % และตัวทำละลายต่างๆ ที่อาจใช้ตัวทำละลายเป็น Polyethylene Glycol ลักษณะ การใช้การพ่นหมึกพิมพ์ด้วยหัวพ่นที่เล็ก อาจพบปัญหาการอุดตันของหมึกพิมพ์ที่หัวฉีดหากใช้สารละลาย ที่ไม่สามารถละลายหมึกพิมพ์ที่ใช้และที่แห้งเร็วเกินไป ในการใช้หมึกพิมพ์มีการใช้น้ำเป็นตัวทำละลายที่ ทำให้ปัญหาของการอุดตันลดลงได้ วัสดุที่ใช้พิมพ์ในระบบการพิมพ์แบบพ่นหมึกสามารถพิมพ์บนวัสดุหลายชนิดขึ้นอยู่กับการ เลือกใช้หมึกพิมพ์และหมึกพิมพ์บางชนิดที่สามารถพิมพ์ได้บนวัสดุหลายชนิด เครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก ส่วนใหญ่นำมาใช้สำหรับการปรู๊ฟดิจิทัลหรือการพิมพ์โปสเตอร์ขนาดใหญ่ ในส่วนของการทำปรู๊ฟใช้วัสดุ ชนิดเดียวกับที่นำไปทำการพิมพ์จริง ส่วนของหมึกพิมพ์ต้องใช้ที่มีคุณภาพใกล้เคียงเพราะทำปรู๊ฟเพื่อมา ตรวจงานก่อนที่ทำการพิมพ์ การเลือกใช้กระดาษหรือวัสดุหากไม่สามารถใช้ชนิดเดียวกันที่ต้องเลือกใช้ที่มี คุณภาพใกล้เคียงกันเช่น เดียวกับการเลือกใช้หมึกพิมพ์ หมึกพิมพ์ที่ใช้มีการแห้งตัวตามชนิดของหมึกพิมพ์ สามารถพิมพ์ได้บนวัสดุชนิดต่างๆ เช่น กระดาษ พลาสติก ผ้า โลหะ ฯลฯ วัสดุมักเป็นม้วนและมีการพิมพ์ บนกระดาษแข็งหรือกระดาษสำหรับการผลิตต้นแบบบรรจุภัณฑ์เครื่องพิมพ์มีลักษณะการป้อนแบบแผ่น


การพิมพ์แบบการถ่ายโอนความร้อน (Sublimation) การใช้เทคนิคของการระเหิดความร้อน คือ เทคโนโลยีดายซับลิเมชัน (Dye-Sublimation) โดยหมึกพิมพ์ถูกผ่านโดยการติดไว้กับแผ่นพลาสติกที่ มีลักษณะพิเศษหรือวัสดุอื่นๆ ที่ทำให้เกิดภาพและถ่ายทอดไปยังวัสดุที่ใช้พิมพ์ โดย การถ่ายโอนสาร สีที่พิมพ์ให้หลอมตัวไปเกาะบนวัสดุที่ใช้พิมพ์ผ่านการรีดด้วยความร้อนลงสู่วัสดุที่ใช้เพื่อถ่ายทอดภาพที่ พิมพ์ลงบนวัสดุ ภาพที่ 7.5 กระบวนการพิมพ์ระเหิดหรือการพิมพ์การถ่ายเทความร้อน วิธีการที่ใช้ในการพิมพ์ภาพดิจิทัลแล้วถ่ายโอนภาพลงในวัสดุด้วยความร้อน ภาพที่ 7.6 การเกิดภาพ การพิมพ์แบบการถ่ายโอนความร้อน ที่มา : https://wikiepedia.wordpress.com/2015/12/15/what-is-dye-sublimation-printing/ หมึกพิมพ์ใช้การพิมพ์แบบการถ่ายโอนความร้อนมีส่วนผสมเฉพาะที่เมื่อพิมพ์ต้นฉบับ ด้วยระบบ การพิมพ์แบบใดก็ได้ เช่น การพิมพ์ออฟเซต การพิมพ์ดิจิทัล การพิมพ์เฟล็กโซกราฟี่การพิมพ์สกรีน การ พิมพ์กราวัวร์และนำภาพต้นฉบับที่พิมพ์เป็นภาพกลับซ้ายขวา เมื่อนำไปถ่ายโอนลงวัสดุที่ใช้พิมพ์ หมึก พิมพ์ที่ใช้มีส่วนผสมพิเศษเฉพาะที่มีส่วนประกอบของสารให้สีย้อมและตัวทำละลายที่เข้ากับสีย้อมส่วน ของสารยึดติดมีคุณสมบัติในการติดบนวัสดุต่างๆ ได้ ที่ทำการพิมพ์ลงวัสดุที่ใช้พิมพ์และนำมาถ่ายโอนด้วย ความร้อน


วัสดุที่ใช้พิมพ์การพิมพ์ระบบถ่ายโอนมีวัสดุที่ใช้พิมพ์ คือ เป็นกระดาษที่มีการเคลือบ เฉพาะ การพิมพ์แบบถ่ายโอนและเหมาะกับหมึกพิมพ์แต่ละชนิด เมื่อทำการพิมพ์แล้วสามารถไปถ่ายโอนวัสดุ อื่นๆ ได้หลายชนิด เช่น ผ้า เซรามิก แก้ว ฯลฯ การพิมพ์ออฟเซต (Offset) การพิมพ์ออฟเซตเป็นระบบการพิมพ์ที่ใช้พิมพ์บนวัสดุแผ่น เรียบ เช่น กระดาษส่วนมากพิมพ์งานประเภทของหนังสือ แผ่นพับ การ์ด และการพิมพ์บนสังกะสีที่เป็นแบบ แผ่นเรียบ เครื่องพิมพ์ออฟเซตมีชนิดแบบป้อนแผ่นและชนิดแบบป้อนม้วนที่ใช้ในการผลิตสิ่งพิมพ์ที่ ต้องการจำนวนมากเหมาะกับการพิมพ์หนังสือพิมพ์ การพิมพ์ลิโธกราฟีใช้แม่พิมพ์พื้นราบ (Planographic Printingหรือ Lithograph) ใช้ตัวกลางในการถ่ายโอนภาพ เรียกว่า การพิมพ์ออฟเซต (Offset Lithography) แม่พิมพ์พื้นราบโดยการใช้หลักการของน้ำมันไม่รวมตัวกับน้ำ หลักการ คือ ส่วนของ แม่พิมพ์แยกส่วนที่เป็นภาพและไม่ใช้ภาพออกจากกัน และเมื่อเวลาทำการพิมพ์ส่วนที่เป็นภาพหมึกพิมพ์ เกาะบริเวณที่เป็นภาพ ในส่วนที่ไม่ใช้ภาพมีน้ำเกาะอยู่เมื่อทำการถ่ายทอดหมึกพิมพ์ลงผ้ายางและนำมา ถ่ายทอดลงสู่วัสดุที่ใช้พิมพ์ การพัฒนาเทคโนโลยีแบบคอมพิวเตอร์ทูเพลทการสร้างภาพบนแม่พิมพ์จาก คอมพิวเตอร์ลงสู่แม่พิมพ์ที่อยู่ในเครื่องพิมพ์ เพื่อทำการพิมพ์ซึ่งต่างจากเดิมที่การทำแม่พิมพ์ต้องมีการ ออกมาเป็นแผ่นฟิล์มที่เป็นภาพนำไปถ่ายทอดลงแม่พิมพ์ด้วยการฉายแสงและทำการสร้าง ภาพด้วยน้ำยา สร้างภาพ เห็นได้ว่ามีการใช้สารเคมีจากการถ่ายฟิล์มและการสร้างภาพแม่พิมพ์ ก่อนที่มีการพัฒนาสู่ คอมพิวเตอร์ทูเพลทได้มีการใช้คอมพิวเตอร์ทูฟิล์ม การพัฒนาการพิมพ์ออฟเซตแบบคอมพิวเตอร์ทูเพลท ทำให้ลดการใช้สารเคมีที่มีผลต่อสิ่งแวดล้อมและผู้ปฏิบัติงาน ภาพที่ 7.7 การพิมพ์ออฟเซต แม่พิมพ์เป็นพื้นราบแม่พิมพ์เกาะติดบริเวณภาพและส่วนที่ไม่ใช้ภาพเป็น น้ำยาฟาว์เทน และถ่ายทอดภาพลงโมผ้ายางและถ่ายทอดลงสู่วัสดุที่ใช้พิมพ์โดยการใช้แรงกด ที่มา : https://insiteprinting.wordpress.com/2011/07/25/revealed-the-mystery-of-theprinting-process/


หมึกพิมพ์หมึกพิมพ์ออฟเซตมีความหนืดและความเหนียวค่อนข้างสูง ความหนืดของหมึกพิมพ์มี ผลต่อคุณภาพงานพิมพ์ การเกิดภาพ คือ บริเวณที่เป็นภาพหมึกพิมพ์เกาะติดและถ่ายทอดลงสู่วัสดุส่วนที่ ไม่ใช้ภาพเป็นส่วนของน้ำยาเฟาว์เทน (Fountain Solution) ยึดเกาะ ซึ่งแม่พิมพ์มีความเรียบ หากความ เหนียวของหมึกพิมพ์น้อยทำให้เกาะติดบริเวณภาพได้ไม่ดีแต่หากน้ำยามากหรือน้อย การถ่ายทอดทำให้ ได้ภาพที่ขาดหายของเม็ดสกรีนและมีการบวมของเม็ดสกรีนได้ ดังนั้นการควบคุมความเหนียวของหมึก พิมพ์ออฟเซตขณะทำการพิมพ์ จึงมีความสำคัญต่อคุณภาพการพิมพ์มาก หมึกพิมพ์ออฟเซตมีหลายชนิด ให้เลือกใช้โดยเป็นชนิดที่ใช้ตัวทำละลายที่แตกต่างกันหรือการแห้งตัวที่แตกต่างกัน ได้แก่ หมึกพิมพ์ยูวี แห้งด้วยการอบด้วยแสงยูวี หมึกพิมพ์ที่แห้งด้วยคลื่นแสงอินฟราเรด การเลือกใช้หมึกพิมพ์ต้องเลือกจาก ชนิดและคุณภาพให้เหมาะสมกับวัสดุที่ใช้พิมพ์ วัสดุที่ใช้พิมพ์การพิมพ์ออฟเซตสามารถพิมพ์ได้บนกระดาษหลายชนิดและวัสดุอื่น คุณภาพ สำหรับการพิมพ์งานจำนวนมากเพราะการพิมพ์ออฟเซตมีค่าใช้จ่ายของแม่พิมพ์ คงที่การทำแม่พิมพ์เป็น เครื่องที่สามารถส่งผลออกได้จากคอมพิวเตอร์ที่ทำการออกแบบลงสู่แม่พิมพ์หรือมีเครื่องพิมพ์ที่สามารถ ถ่ายทอดลงแม่พิมพ์ที่ติดอยู่กับเครื่องพิมพ์ออฟเซตได้ทำให้มีความสะดวกในการปรับตั้งค่าก่อนพิมพ์ของ ขั้นตอนการใส่แม่พิมพ์ และยังสามารถพิมพ์ได้บนวัสดุอื่นๆ เช่น สังกะสีที่เป็นแผ่น การพิมพ์กราวัวร์ (Gravure) ลักษณะของแม่พิมพ์กราวัวร์เป็นบ่อเล็กๆ ของส่วนที่เป็นภาพและ ถ่ายทอดลงสู่วัสดุที่ใช้พิมพ์จากบ่อและมีใบปาดหมึกพิมพ์ก่อนที่ถ่ายเทลงสู่วัสดุที่พิมพ์ ในส่วนของการ ควบคุมคุณภาพอยู่ที่แรงกดและมุมปาดของใบปาดหมึกพิมพ์ต้องทำการปรับตามความหนาบางของวัสดุที่ ใช้พิมพ์ แม่พิมพ์เป็นโมรูปทรงกระบอกกลมที่วางเรียงกันตามสีที่พิมพ์และมีจำนวนสีตามที่ต้องการพิมพ์ที่ ทำจากโลหะที่เคลือบด้วยนิกเกิล ทองแดงและโครเมียม เหมาะกับการพิมพ์จำนวนมาก แต่ข้อจำกัดของ การพิมพ์กราวัวร์ไม่สามารถพิมพ์ขนาดตัวอักษรหรือภาพที่มีรายละเอียดมากและขนาดเล็กมาก ภาพที่ 7.8 ระบบการพิมพ์กราวัวร์ (Gravure) ที่มา : http://www.pdgosystem.com/preview_809/Learning Center.html


หมึกพิมพ์เป็นหมึกพิมพ์ที่มีความเหลวสามารถไหลลงไปในบ่อเล็กและถ่ายทอดลงสู่วัสดุพิมพ์ได้ หมึกพิมพ์ที่ใช้ต้องเลือกตามวัสดุที่ใช้พิมพ์และคุณสมบัติด้านการแห้งของหมึกพิมพ์หมึกพิมพ์มีสีสดใส วัสดุที่ใช้พิมพ์การพิมพ์กราวัวร์สามารถพิมพ์ได้วัสดุหลายชนิด เช่น ฟิล์ม พลาสติก ฟอยล์ และ กระดาษ ฯลฯ การพิมพ์กราวัวร์ส่วนมากใช้กับงานพิมพ์จำนวนมาก เนื่องจากแม่พิมพ์มีราคาสูงและ สามารถพิมพ์ได้บนวัสดุประเภทพลาสติก แผ่นฟิลม์ มีการนำมาพิมพ์งานประเภทบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อนตัว ที่ทำเป็นถุงสำหรับบรรจุสินค้าที่เป็นน้ำได้ดี การพิมพ์แพด (Pad) ลักษณะของการพิมพ์แพดเป็นระบบการพิมพ์ทางอ้อม (Indirect Printing) โดยการใช้ลูกแพด (Pad) ที่ทำจากยางซิลิโคลนหรือพอลิเมอร์เป็นตัวกลางในการถ่ายโอนหมึก พิมพ์ด้วยแรงกดลงบนแม่พิมพ์แข็งเพื่อนำหมึกพิมพ์จากแม่พิมพ์พื้นลึกบริเวณภาพเป็นร่องลึกอยู่ระดับต่ำ กว่าผิวแม่พิมพ์ที่เป็นบริเวณไร้ภาพแล้วไปกดพิมพ์บนผิววัสดุที่ใช้พิมพ์ ภาพที่ 7.9 การพิมพ์แพด (Pad) ในกระบวนการพิมพ์มี 6 ขั้นตอน 1.Home 2. Doctor out 3. Pick-up 4. Doctor in 5. Transfer 6. Return ที่มา : http://www.pagosystem.com/preview_809/Learning-Center.html


หมึกพิมพ์หมึกพิมพ์แพดเป็นหมึกพิมพ์ที่แห้งตัวโดยการระเหย มีการผสมสารที่เป็นตัวทำละลายมี คุณสมบัติแห้งตัวด้วยการระเหย และส่วนของหมึกพิมพ์แบบยูวีแห้งตัวด้วยแสงยูวี การพิมพ์แพดพิมพ์ลง วัสดุที่ขึ้นรูปเป็นชิ้น การเลือกใช้หมึกพิมพ์แห้งตัวได้ช้าหรือแห้งตัวโดยการอบ และหากเกิดข้อผิดพลาดใน การพิมพ์สามารถทำการเช็ดออกและทำการพิมพ์ใหม่ได้ วัสดุที่ใช้พิมพ์การพิมพ์แพดสามารถพิมพ์บนวัสดุได้หลายชนิด ในพื้นที่พิมพ์ไม่มาก ส่วนใหญ่ใน การพิมพ์ตราสัญลักษณ์หรือพิมพ์ลงบนผลิตภัณฑ์สำเร็จ เช่น ปากกา หน้าปัดนาฬิกา ของเล่น ชิ้นส่วน หรืออุปกรณ์ของผลิตภัณฑ์รถยนต์และอื่นๆ ซึ่งทำมาจากวัสดุต่างๆ เช่น พลาสติก โลหะ ฯลฯ การพิมพ์เลตเตอร์เพรส (Letterpress) จากการประดิษฐ์โดย Johannes Gutenberg ใช้ แม่พิมพ์พื้นนูนในส่วนที่เป็นภาพหรือตัวอักษร และการพิมพ์หมึกพิมพ์ใช้ลูกกลิ้งกลิ้งหมึกพิมพ์ลงมาติด บริเวณภาพพิมพ์ของแม่พิมพ์และทำการพิมพ์ลงวัสดุโดยตรงด้วยแรงกดทับลักษณะของแม่พิมพ์ภาพหรือ ตัวอักษรมีลักษณะเป็นตัวกลับซ้ายขวา ทำโดยการใช้ตัวเรียงพิมพ์หรือ แม่พิมพ์ทำจากโลหะหรือพอลิเมอร์ เมื่อทำการพิมพ์ปรากฏเป็นภาพและตัวอักษรที่อ่านได้ การพิมพ์เลตเตอร์เพรสมีขนาดของหน้าพิมพ์ที่มี ความกว้างไม่มากของเครื่องพิมพ์แบบเพลทเทน (Platen Press) แต่หากเป็นเครื่องพิมพ์แบบไซลินเดอร์ (Flatbed Cylinder Press) หรือแบบโรตารี่ (Rotary Press) ที่มีความกว้างของหน้าพิมพ์ได้มากกว่า และ มีการนำไปใช้ในงานการทำสำเร็จ เช่น งานอัดตัดตามแบบ (Die-Cut) งานปั้มฟอยล์ ปั๊มดุน ภาพที่ 7.10 ระบบการพิมพ์เลตเตอร์เพรส 3 แบบ คือ 1. แบบเพลทเทน 2. แบบไซลินเดอร์ 3. แบบโรตารี ที่มา : http://s-lane1114-dc.blogspot.com หมึกพิมพ์เป็นหมึกพิมพ์มีความหนืดและความเหนียวสูง ประกอบด้วยเนื้อสีมีลักษณะเหมือนกับ หมึกพิมพ์ออฟเซต มีการชดเชยของหมึกพิมพ์สีดำในการพิมพ์ 4 สี ลักษณะของการพิมพ์หมึกพิมพ์จะลง ไปยึดเกาะบริเวณผิวหน้าแม่พิมพ์ซึ่งอาจเป็นตัวอักษรแบบตัวเรียงจากตัวหล่อตะกั่ว หรือแม่พิมพ์จาก สังกะสีและพอลิเมอร์ การแห้งของหมึกพิมพ์โดยการดูดซึมหรือการแห้งตัวด้วยการระเหย ในการพิมพ์


งานด้วยเครื่องพิมพ์เลตเตอร์เพรสเวลาทำการพิมพ์แล้วจะมีการนำออกมาตากให้แห้งก่อน หรือใช้การพ่น แป้งที่มีอยู่ในเครื่องพิมพ์บางรุ่นในการช่วยให้หมึกพิมพ์แห้งตัวเร็วขึ้นเหมือนกับการพิมพ์ออฟเซต วัสดุที่ใช้พิมพ์การพิมพ์เลตเตอร์เพรสพิมพ์ในการเลือกวัสดุต้องยึดตามคุณสมบัติการแห้งตัว ของหมึกพิมพ์ที่ใช้พิมพ์เช่น เลือกใช้กระดาษที่สามารถดูดซึมได้ดีในการพิมพ์ด้วยหมึกที่ใช้การแห้งตัวด้วย การดูดซึม และวัสดุอื่นๆ ได้แก่ พลาสติกที่พิมพ์ด้วยหมึกยูวีซึ่งต้องอบด้วยแสงยูวี การพิมพ์ดรายออฟเซต (Dry Offset) การประยุกต์หลักการของระบบการพิมพ์ เลตเตอร์เพรสและออฟเซตเข้าด้วยกัน โดยใช้แม่พิมพ์พื้นนูนแบบการพิมพ์เลตเตอร์เพรสแต่ใช้ การ ถ่ายทอดหมึกพิมพ์ลงบนผ้ายางแบบการพิมพ์ออฟเซต แต่ในเครื่องพิมพ์ไม่มีระบบน้ำเข้ามาใช้ในการทำ การพิมพ์ เนื่องจากแม่พิมพ์ไม่ได้เป็นแม่พิมพ์แบบแผ่นเรียบที่ต้องใช้ระบบน้ำกันส่วนที่ไม่ใช่ภาพไม่ให้หมึก พิมพ์ลงไปเกาะ แต่เป็นแม่พิมพ์พื้นนูนคือส่วนเป็นภาพนูนสูงขึ้นทำมาจากพอลิเมอร์ ภาพที่ 7.11 การพิมพ์ดรายออฟเซต ที่มา : http://dryoffset.com/what-is-dry-offset หมึกพิมพ์ เป็นหมึกพิมพ์เหมือนหมึกพิมพ์เลตเตอร์เพรส ในการเลือกใช้หมึกพิมพ์ต้องให้มี คุณสมบัติที่สามารถยึดเกาะบนวัสดุที่ใช้พิมพ์ได้ วัสดุที่ใช้พิมพ์การพิมพ์แบบดรายออฟเซตนิยมไปใช้ในการพิมพ์กระดาษต่อเนื่องและการพิมพ์ บนบรรจุภัณฑ์ประเภทถ้วยและหลอด การพิมพ์เฟล็กโซกราฟี (Flexography) เป็นระบบการพิมพ์พื้นนูนแม่พิมพ์เป็นยางหรือพอลิ เมอร์ บริเวณที่เป็นภาพพิมพ์ซึ่งต้องการให้หมึกพิมพ์ติดเป็นส่วนที่นูนขึ้นมามีลักษณะคล้ายกับแม่พิมพ์เลต เตอร์เพรส หมึกพิมพ์เป็นหมึกพิมพ์เหลวควบคุมการจ่ายหมึกด้วยปริมาตรของลูกกลิ้ง แอนิลอกซ์ (Anilox roller) ใช้แรงกดในการพิมพ์น้อย เพราะหมึกพิมพ์เหลวและแม่พิมพ์มีความอ่อนตัว เล็กน้อย ระบบการพิมพ์มีลูกกลิ้งยางอยู่ในบ่อหมึกและพาหมึกพิมพ์มายังลูกกลิ้งแอนิลอกซ์ถ่ายทอดไปยัง แม่พิมพ์บริเวณที่ต้องการให้เป็นส่วนที่รับหมึกพิมพ์นูนขึ้นมา


ภาพที่ 7.12 การพิมพ์เฟล็กโซกราฟี ที่มา: https://www.researchgate.net/figure/269168356_fig10_ Flexographic-printingAnnilox-cylider-the-ink-solution-chamber-transfers หมึกพิมพ์การพิมพ์เฟล็กโซกราฟี หมึกพิมพ์แห้งโดยการระเหยของตัวทำละลาย หมึกพิมพ์มีการ ระเหยและต้องมีการถ่ายโอนอย่างรวดเร็วจากท่อหมึกพิมพ์ เพื่อไม่ให้แห้งในลูกกลิ้งแอนิลอกซ์ วัสดุที่ใช้พิมพ์การพิมพ์เฟล็กโซกราฟีเป็นระบบการพิมพ์ที่สามารถพิมพ์บนวัสดุที่ใช้พิมพ์ได้ หลายชนิด การพิมพ์เฟล็กโซกราฟมีข้อจำกัดของการใช้วัสดุน้อยที่สุด และสามารถพิมพ์กระดาษลูกฟูก แบบป้อนแผ่นที่มีขนาดของลอนกระดาษลูกฟูกและความหนาที่แตกต่างกันได้ และเครื่องพิมพ์ที่เป็นแบบ ป้อนม้วนสามารถพิมพ์พลาสติกม้วนได้เช่นกัน การพิมพ์สกรีน (Screen) เป็นระบบการพิมพ์ที่สามารถพิมพ์ลงวัสดุที่ใช้พิมพ์ได้หลายชนิด และ รูปทรงที่ผลิตได้ด้วยต้นทุนที่ไม่สูงด้วยหลักการการเกิดภาพจากแม่พิมพ์ที่ในส่วนที่เป็นภาพเป็นรูเพื่อให้ หมึกพิมพ์ผ่านลงไปได้ด้วยการใช้ยางปาดกดปาดหมึกพิมพ์ เดิมแม่พิมพ์สกรีนทำจากผ้าไหมนำมาขึงบน กรอบไม้หรือโลหะสี่เหลี่ยม ได้มีการพัฒนาผ้าที่ทอจากพอลิเอสเตอร์ที่มีความละเอียดของเบอร์ผ้าต่างๆ สามารถเลือกใช้ให้เหมาะกับวัสดุและหมึกพิมพ์ที่ใช้ในการพิมพ์ ภาพที่ 7.13 ภาพการพิมพ์สกรีน ที่มา : https://www.saxoprint.co.uk/blog/screen-printing-process/


หมึกพิมพ์เนื่องจากการพิมพ์สกรีนสามารถพิมพ์ได้บนวัสดุที่หลากหลายหมึกพิมพ์มีหลายชนิด เช่น หมึกพิมพ์สำหรับการพิมพ์ผ้า หมึกพิมพ์สำหรับการพิมพ์กระดาษหรือวัสดุอื่นๆ โดยเฉพาะและ ลักษณะของหมึกพิมพ์ยังมีชนิดที่เป็นสีจมหรือสีลอยและยังทำให้เป็นหมึกพิมพ์ที่มีความนูนหรือใส่ ส่วนผสมอื่นๆ เพื่อให้มีพื้นผิวที่แตกต่างกันได้อีก วัสดุที่ใช้พิมพ์สามารถพิมพ์ได้บนวัสดุได้หลายชนิดและในรูปทรงต่างๆ สามารถพิมพ์ได้ เช่น การพิมพ์แก้ว ขวด และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในส่วนการพิมพ์ผ้าสามารถพิมพ์ผ้าได้หลายชนิดและในรูปแบบ ของผ้าม้วน ผ้าชิ้น และเสื้อสำเร็จรูป สรุปปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อการพิมพ์และพัฒนาร่วมกับเครื่องพิมพ์ระบบเดิม การพิมพ์ดิจิทัลเป็นระบบการพิมพ์ที่ลดขั้นตอนการทำแม่พิมพ์ลงและเป็นระบบการพิมพ์ที่สามารถพิมพ์ งานได้ง่าย และรวดเร็วขึ้น และสามารถยังเข้าไปแทนที่การใช้ระบบการพิมพ์แบบเดิมในการผลิตงานเช่น การพิมพ์สกรีน จากการพัฒนาวัสดุและเครื่องที่ใช้ในการพิมพ์ให้มีความสะดวกในการผลิตไม่ว่าทำการ พิมพ์ในระบบใดหรือวิธีใด ในการออกแบบเป็นขั้นตอนแรกที่เชื่อมโยงกับงานที่ผลิตออกมาให้เป็นตามที่ได้ ออกแบบไว้ให้มีความสวยงามตรงตามวัตถุประสงค์และกลุ่มเป้าหมาย และในการเลือกใช้เทคโนโลยีการ พิมพ์ต้องสามารถผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่าต่อการใช้งานสิ่งพิมพ์ การทำเล่มและการทำสำเร็จ (Finishing and Binding) กระบวนการทำสำเร็จและการทำเล่มของกระบวนการผลิตสิ่งพิมพ์ในการออกแบบต้องมี ความสัมพันธ์กับการทำสำเร็จและการทำเล่มของสิ่งพิมพ์ที่ได้ถูกกำหนดไว้ ตั้งแต่ขั้นตอนของ การออกแบบซึ่งต้องนำมาพิจารณาในขั้นตอนการทำเล่มและทำสำเร็จต่างๆ เช่น ความหนาของกระดาษ ชนิดของกระดาษมีผลอย่างไรกับการตกแต่งสิ่งพิมพ์เพื่อการถูกกำหนดให้ตรงกับประเภทของสิ่งพิมพ์ใน การนำไปใช้ให้ตรงกับการไปใช้กับสินค้าประเภทใด การเลือกวิธีการเพื่อการตกแต่งสิ่งพิมพ์ในการ ออกแบบได้มีการกำหนดไว้ เช่น การเคลือบสิ่งพิมพ์แบบใด เคลือบส่วนใดบ้าง เพื่อวัตถุประสงค์อะไร เช่น การกันน้ำหรือป้องกันแสงแดด เป็นต้น การตกแต่งหมายถึงว่ามีการเพิ่มงบประมาณต่องานพิมพ์ที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นการเลือกต้องดูว่ามีวิธีการไหนตรงกับวัตถุประสงค์และประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากที่สุด การนำสิ่งพิมพ์ ไปเคลือบต้องดูว่าพิมพ์มาจากระบบการพิมพ์ใดและเป็นแบบม้วนหรือแบบแผ่น เพื่อที่ได้นำไปทำการ เคลือบต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ กระดาษที่พิมพ์งานจากผู้ผลิต (โรงพิมพ์) ต้องทำการตรวจก่อนที่นำไปทำการพับ เข้าเล่มหรือ ตกแต่ง เพราะหากไม่มีการตรวจก่อนในขั้นตอนการทำสำเร็จทำให้เกิดความเสียหายขึ้นได้ เช่น หากมี หน้าที่ว่างที่เกิดจากขั้นตอนการพิมพ์มีกระดาษซ้อนหรือไม่ หากไม่ตรวจมีหน้าว่างติดและทำให้เนื้อหาใน ส่วนนั้นขาดหายไปทำให้เกิดความเสียหายได้เช่นเดียวกับการพิมพ์ภาพพิมพ์ไม่มีความสมบูรณ์เมื่อนำไป ทำการเคลือบหรือตกแต่ง ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายและเวลาการแก้ไขงานเพิ่มขึ้น จึงควรมีการตรวจก่อน นำไปทำในขั้นตอนการทำสำเร็จ และส่วนของการพิมพ์มีส่วนของการเว้นเนื้อที่กระดาษในส่วนของการจับ ของกริ๊ปเปอร์ของเครื่อง (Gripper) และการพิมพ์ต้องตรวจให้แน่ใจว่ากระดาษทุกแผ่นเข้าฉากตรงกัน


และการนำมาเข้าเครื่องพับหรือทำการเคลือบด้วยเครื่องตัดต้องให้มั่นใจว่าได้เอาด้านฉากของสิ่งพิมพ์เข้า ด้านฉากเดียวกันกับฉากของการพิมพ์ ส่วนสำคัญก่อนทำการตกแต่งต้องตรวจให้แน่ชัดว่าหมึกพิมพ์ได้แห้ง ตัวอย่างสนิทแล้ว การใช้เครื่องอบแห้งต้องมีการปรับให้เหมาะกับวัสดุที่ใช้พิมพ์แต่ละชนิด เนื่องจากการ แห้งตัวของหมึกพิมพ์มีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้หมึกพิมพ์กับชนิดของวัสดุ การออกแบบสิ่งพิมพ์เป็นกระบวนการในกำหนดรายละเอียดของกระบวนการผลิตทุกขั้นตอน ตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมการพิมพ์ การพิมพ์และหลังการพิมพ์ การกำหนดรายละเอียดของการออกแบบมี ส่วนที่เกี่ยวข้องที่นักออกแบบต้องเข้าใจกระบวนการผลิต และข้อกำหนดที่เป็นส่วนประกอบในการ ออกแบบประกอบด้วยตัวอักษร ภาพ สี นำมาทำการจัดวาง ดังนั้นต้องมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับ ชนิดของการทำเล่มและการทำสำเร็จ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการผลิต ดังนี้ การตกแต่ง การตกแต่งผิวหน้าสิ่งพิมพ์ เพื่อให้มีความสวยงาม และการเคลือบแบบต่างๆ ยังให้ ความเงาวาว ให้ความสว่าง และเพิ่มความทนทานต่อการพับ การฉีกขาด และอื่นๆ ขึ้นอยู่กับชนิดของการ ตกแต่ง และนอกจากการเคลือบและยังมีการตัดเป็นรูป เรียกว่า ไดคัต (Die cut) การปั๊มนูน การเดินทอง และการตกแต่งสิ่งพิมพ์วิธีอื่นๆ ในการสร้างความสวยงาม จุดเด่นและความแตกต่าง โดยวิธีการต่างๆ การทำเล่ม เริ่มจากการพับและนำมาเรียงตามเลขหน้าให้เรียงกันและนำมาเข้าเล่มด้วย วิธีการ เข้าเล่มที่เหมาะกับขนาดตามความต้องการ แล้วนำไปตัดเจียนสามด้านให้ได้หนังสือตามขนาดหลังการตัด เจียน แต่การทำเล่มปกแข็งทำการตัดเนื่องในก่อนหลังจากทำเล่มและนำมาเข้าปก การทำเล่มมีการวิธี หลายรูปแบบในการเย็บเป็นเล่มโดยการใช้ลวด ด้าย กาว และการเข้าสันห่วงพลาสติกหรือเส้นลวดที่เป็น โลหะเพื่อการนำเนื้อหาที่พิมพ์แล้วมารวมเข้ากับปกเพื่อเป็นเล่ม การเคลือบ (Coating Method) การเคลือบผิวสิ่งพิมพ์การเคลือบสิ่งพิมพ์เพื่อป้องกันรอยขีด ข่วนและเพื่อตกแต่งให้ดูสวยงาม ซึ่งมีวิธีการเคลือบหลายวิธีและแต่วิธีมีลักษณะของสิ่งพิมพ์ให้มีความ แตกต่างกัน การเคลือบมีหลายวิธีและประโยชน์และวัตถุประสงค์ของใช้งานดังนี้ 1. ป้องกันสิ่งพิมพ์ เพื่อสิ่งพิมพ์มีความทนทานต่อการขูดขีด อากาศ ไขมัน แสงแดดหรือสารเคมี บางชนิดได้ ทำให้สิ่งพิมพ์มีอายุการใช้งานนานขึ้น 2. ตกแต่งผิวของสิ่งพิมพ์ให้มีความมันวาวเพิ่มความสว่างที่ทำให้มีความสวยงาม เพิ่มขึ้น 3. ลดหรือเพิ่มการลื่นไหลของสิ่งพิมพ์ 4. เพิ่มสมบัติการยึดติดของหมึกพิมพ์บนวัสดุพิมพ์ จากวิธีการเคลือบมีหลายวิธีในการเลือกใช้ต้องเลือกให้ตรงกับวัตถุประสงค์และความ ต้องการ ของลูกค้า โดยมีวิธีการเคลือบดังนี้ - เคลือบวานิชเงา เคลือบผิวกระดาษให้เงาด้วยวานิช ให้ความเงาไม่สูงมาก เพื่อป้องกันหมึกพิมพ์ และผิวกระดาษจากการเสียดสีให้เกิดความเงางาม - เคลือบวานิชด้าน เคลือบผิวกระดาษด้วยวานิชแบบหนึ่งทำให้ดูผิวด้าน ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ไม่ค่อยให้ ความแตกต่างจากวานิชธรรมดามากเท่าไร


- เคลือบขัดเงา การขัดเพื่อให้วัสดุเกิดความเงาเพิ่ม เหมาะสำหรับงานบรรจุภัณฑ์ เช่น กล่อง อาหาร กล่องยา กล่องของเล่นเด็ก กล่องเครื่องสำอาง แผงสินค้า ให้ความเงางามเพิ่มขึ้นและราคาไม่สูง เมื่อเทียบกับวิธีอื่น - เคลือบยูวี การเคลือบสิ่งพิมพ์โดยการใช้น้ำยาที่แห้งตัวได้ด้วยแสงอัตตร้าไวโอเลต ให้ ความเงา งามกับงานพิมพ์ การเคลือบประเภทใช้กับงานพิมพ์ต่างๆ เช่น ปกนิตยสาร แผ่นพับ ฉลาก โบว์ชัวร์ เป็น ต้น - เคลือบวอเตอร์เบส (Water Based) การเคลือบผิวกระดาษให้เงาด้วยวานิช กระดาษที่เคลือบ ด้วย Water Based มีความเงาไม่มากเท่ากับการเคลือบแบบอื่นๆ - เคลือบบลิสเตอร์แพ็ค (PVC/PET) การเคลือบผิวกระดาษด้วยน้ำยาชนิดหนึ่ง เพื่อให้สามารถติด กับพลาสติกที่ขึ้นรูปผลิตภัณฑ์ได้ - เคลือบเงาเฉพาะจุด (Spot UV) ในที่นี้หมายถึงเคลือบเงาเฉพาะจุด (Spot UV) ชนิดเงาใน เฉพาะบางบริเวณของงานพิมพ์ เช่น โลโก้ ตัวอักษรบางจุดหรือภาพที่ต้องการเน้น ซึ่งนิยมเคลือบพีวีซีด้าน ทั้งแผ่นก่อนการเคลือบยูวีเฉพาะจุดแบบมัน การเคลือบแบบสามารถสร้างลวดลายต่างๆ โดยใช้วัสดุที่ เฉพาะให้เกิดรายละเอียดที่แตกต่างอีกหลายชนิด เช่น ทราย กากเพชร มุก เรืองแสง ฯลฯ - ลามิเนต (Lamination) การเคลือบด้วยแผ่นฟิล์มบางๆ โดยใช้ความร้อนหรือกาว (Adhesive) ในการยึดแผ่นฟิล์มที่ใช้กับวัสดุที่พิมพ์ให้ติดกัน เพื่อให้เกิดความเงาและมีความทนเพิ่มขึ้น ลักษณะของ การเคลือบมีแบบการเคลือบพีวีซีเงาและด้าน ภาพที่ 7.14 การลามิเนตและเครื่องลามิเนต ที่มา https://totalnareklama.pl/co-to-jest-laminowanie-wydrukow/ - เคลือบพีวีซีเงา เคลือบผิวกระดาษด้วยฟิล์มพีวีซีที่มีผิวมันวาว ซึ่งทำให้กระดาษเคลือบแล้วมี ความคงทนให้ความเรียบและความเงามากกว่าการเคลือบแบบยูวีด้วย แต่ต้นทุนการผลิตสูงกว่า - เคลือบพีวีซีด้าน เคลือบผิวกระดาษด้วยฟิล์มพีวีซีที่มีผิวด้านคล้ายผิวของกระจกฝ้าแต่สามารถ มองผ่านทะลุถึงภาพพิมพ์ได้ ให้ผลลัพธ์ที่ดีและนิยมใช้กันมาก สามารถทำเคลือบเงาเฉพาะจุด (Spot UV) ควบคู่ไปได้


ภาพที่ 7.15 การเคลือบเฉพาะจุด ที่มา http://www.royalpress.co.th/?page_id=2552 การปั๊ม มีวิธีและลักษณะดังนี้ การปั๊มด้วยแผ่นฟอยล์(Foiling) คือ การนำแผ่นฟอยล์มาปั๊มติดบนวัสดุที่ใช้ ในลักษณะงาน ต่างๆ เช่น การทำปก การปั๊มการ์ด และงานอื่นๆ การใช้แผ่นฟอยล์ที่มีสีสันต่างๆ เช่น สีทอง สีเงิน และสี อื่นๆ ในการปั๊มโดยการใช้ความร้อนในการถ่ายโอนสีลงบนวัสดุ เรียกว่า Hot Stamp การทำให้สีที่เคลือบ อยู่บนแผ่นฟอยล์ถ่ายทอดลงไปสู่วัสดุที่ใช้สามารถปั๊มลงบนวัสดุได้หลายชนิด ได้แก่ กระดาษ ผ้า พลาสติก และอื่นๆ ปัจจุบันได้การพัฒนาเครื่องในทำการถ่ายทอดสีซึ่งมีลักษณะของงานเช่นเดียวกับการปั๊มด้วย แผ่นฟอยล์แต่ไม่ต้องผ่านแม่พิมพ์ที่ใช้ในการปั๊มแบบเดิมที่ทำจากแผ่นสังกะสีหรือตัวพิมพ์ แต่การ ถ่ายทอดโดยใช้ต้นแบบที่พิมพ์ด้วยเครื่องเลเซอร์ใช้เป็นแม่แบบในการถ่ายทอดสีตามแบบลงบนวัสดุโดย ลักษณะงานที่ปั๊มโดยวิธีดังกล่าวจะเหมือนกับการปั๊มแผ่นฟอยล์ด้วยการใช้แม่พิมพ์ เป็นเครื่องที่มีความ สะดวก รวดเร็ว และประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาการทำแม่พิมพ์ดังแสดงภาพที่ 7.17 ภาพที่ 7.16 การปั๊มด้วยแผ่นฟอยล์ ที่มา : http://www.companyfolders.com/blog/tutorial-create-a-realistic-emboss-debosseffect-in-photosho


ภาพที่ 7.17 เครื่องพิมพ์แผ่นฟอยล์จากต้นฉบับพริ้นเลเซอร์ https://www.tradeindia.com/fp1732816/Instant-Foil-Stamping-Machine.html การปั๊มหรือการปั๊มดุน (Embossing) เป็นลักษณะการปั๊มเพื่อให้เกิดรอย มีการปั๊มนูน (Embossing) และการปั๊มจม (Debossing) มีรายละเอียด ดังนี้ - ปั๊มนูน (Embossing) เป็นวิธีการขึ้นรูปกระดาษโดยการกดทับกระดาษให้นูนขึ้นได้รูปลักษณ์ ตามแบบของแม่พิมพ์ที่ใช้กดทับในการเพิ่มความสวยงามโดยให้กระดาษดูมีมิติมากขึ้น เช่น ปั๊มนูนโลโก้ นามบัตร ตัวหนังสือบนปกหนังสือ กระดาษหัวจดหมายและงานอื่นๆ ภาพที่ 7.18 ปั๊มนูน ที่มา : http://www.printedinchinaonline.com/Article/printing_options/26.html - ปั๊มจม (Debossing) การสร้างลวดลายบนปกสมุดหรือสิ่งพิมพ์ต่างๆ โดยการกดทับกระดาษให้ ลึกลงไปให้ได้รูปลักษณ์ตามแบบของแม่พิมพ์กดทับทำให้บางส่วนของงานพิมพ์มีลักษณะจมลงไป อาจเป็น รูปภาพหรือข้อความเพื่อเน้นบริเวณนั้นๆ ให้สวยงามและดูมีมิติมากขึ้น เช่น ปั๊มจมที่บริเวณโลโก้ใน นามบัตร ตัวหนังสือบนปกหนังสือ และงานอื่นๆ


ภาพที่ 7.19 งานปั้มจม ที่มา: http://www.noxcreative.com/business-cards-pack-punch/ วิธีการเคลือบการปั๊มเป็นส่วนของการเพิ่มรายละเอียดในสิ่งพิมพ์ที่ทำการพิมพ์มาแล้ว ให้สามารถ เพิ่มจุดสนใจความคงทน ความสวยงาม ขั้นตอนของการทำสำเร็จในกระบวนการของการผลิตสิ่งพิมพ์ซึ่ง นักออกแบบเองควรต้องเข้าใจถึงกระบวนการผลิตในขั้นตอนการทำสำเร็จ ในวิธีการเคลือบการปั๊มแต่ละ แบบในการออกแบบและการสร้างสรรค์ผลงานพิมพ์ การพับ การพับสิ่งพิมพ์เมื่อพับแล้วนำไปใช้งานได้ เช่น การพับแผ่นพับ เมื่อทำการพิมพ์แล้วทำ การตัดหรือไม่มีการตัด หากสิ่งพิมพ์ที่ต้องการมีขนาดและรูปแบบเหมือนกับกระดาษใช้พิมพ์ แต่หากมีการ พิมพ์บนกระดาษที่มีความกว้างยาวแตกต่างหรือมีจำนวนหน้าของการพิมพ์ที่สามารถลงพิมพ์ได้หลายแผ่น ในหนึ่งแผ่นใหญ่ ต้องการนำไปตัดเจียนให้ได้ขนาดตามต้องการแล้วจึงนำมาทำการพับ แต่ในการพิมพ์ หนังสือการลงหน้าและมีจำนวนของยกและนำมาทำการพับแล้วนำมาเรียงต่อกันในกระบวนการทำเล่ม การพับด้วยการใช้เครื่องพับหรือการพับด้วยมือขึ้นอยู่กับจำนวนและอุปกรณ์และเครื่องจักรของโรงพิมพ์ที่ ใช้ในการพับต้องให้ได้ฉากตรงกัน เมื่อนำไปเข้าเล่มทำให้มีความสวยงาม การพับเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์สิ่งพิมพ์ตามความต้องการ ควรพับตามทิศทางเส้นใยสำหรับกระดาษที่ มีความหนาหรือต้องทำรอยเพื่อการพับ หากพับขวางกับทิศทางเส้นใยกระดาษที่เส้นใยอาจแตกจากการ พับทำให้สิ่งพิมพ์ขาดความสวยงามได้ และการพับมีความสัมพันธ์ของความคงทนต่อทิศทางของเส้นใย และในด้านที่ต้องมีการปิดเปิดของสิ่งพิมพ์ที่รอยพับบ่อยครั้ง การพับต้องให้ไปในทิศทางของเส้นใยเพื่อ ความคงทนต่อการใช้งาน การพับต้องพับขนานกับมุมด้านขวาของกระดาษ ให้ขนานกันในการพับทุกครั้งที่พับ และทำมุม 90 องศากับการกระดาษที่พับโดยการพับตามทิศทางของเส้นใยหรือที่เรียกว่าตามแนวเกรนของกระดาษ วิธีนี้พับเพื่อทำเล่มการพับหนังสือยกต้องพับแล้วให้มีเลขหน้าเรียงกัน และเมื่อนำยกมาต่อเรียงได้เลขหน้า ครบตามที่กำหนดไว้ ส่วนใหญ่โดยการพับงานสิ่งพิมพ์ใช้เครื่องในการพับ และในเครื่องพิมพ์ดิจิทัลสามารถ ทำการเชื่อมต่อเครื่องพับกับเครื่องเย็บเล่มในการผลิตงานสิ่งพิมพ์


ภาพที่ 7.20 การพับหนังสือ 8 หน้า ที่มา : https://www.prepressure.com/finishing/how-to-fold-a-brochure ภาพที่ 7.21 การพับแผ่นพับ พับ 3 ที่มา : https://www.prepressure.com/finishing/how-to-fold-a-brochure การพับแผ่นพับทำการพับตามการออกแบบในการเปิดออกตามแบบสิ่งพิมพ์ที่ได้ทำการออกแบบ ไว้ว่าต้องการให้สิ่งพิมพ์ที่ผลิตออกมามีการพับในรูปแบบใด ดังตัวอย่างในการพับมีดังนี้ การพับครึ่งหรือการพับ 1 ครั้ง (Half Fold or Single fold) การพับครั้งเดียวและนิยมพับ ครึ่งหนึ่งของสิ่งพิมพ์ทำให้ได้ได้สิ่งพิมพ์มาเป็นแผ่นคู่เท่ากันโดยมีหน้ากระดาษ 4 หน้า แต่ในการพับครึ่ง หรือพับครั้งเดียวอาจไม่พับครึ่งก็ได้แต่การพับครั้งเดียวทำให้ได้สิ่งพิมพ์ออกมา 4 หน้า แต่ขนาดของหน้า ไม่เท่ากัน การออกแบบเพื่อสร้างความแตกต่างของสิ่งพิมพ์ด้วยการใช้เทคนิคของการทำสำเร็จด้วยการ พับ ภาพที่ 7.22 การพับครึ่งหรือการพับ 1 ครั้ง (Half Fold or Single fold) https://www.prepressure.com/finishing/how-to-fold-a-brochure


การพับสาม (Tri-fold) การพับ 3 พับ การพับสองครั้งในหนึ่งแผ่น และนิยมใช้กับกระดาษ ขนาด 8.5" x 11" เมื่อพับแล้ว 6 หน้า และหากใช้กระดาษขนาด A4 (ยาว = 297 มม.) ซึ่งมีการใช้งานใน ลักษณะนี้และเมื่อพับแล้วได้ความกว้างของแต่ละแผ่นที่ 98, 99, 100 มม. ภาพที่ 7.23 การพับสาม https://www.prepressure.com/finishing/how-to-fold-a-brochure การพับเป็นตัว Z (Z-fold) การพับแบบตัว Z พับสองครั้งสลับกันได้แผ่นพับออกมา 6 หน้า ภาพที่ 7.24 การพับเป็นตัว Z https://www.prepressure.com/finishing/how-to-fold-a-brochure การพับแบบหน้าต่างหรือประตู (Gate fold or Window fold) การพับ 2 ได้แผ่นพับ ออกมา 6 หน้า การพับใช้สองแผ่นขนาดเท่ากันให้มาชนกันเป็นลักษณะของการเปิดประตูหรือ หน้าต่าง ภาพที่ 7.25 การพับแบบหน้าต่างหรือประตู https://www.prepressure.com/finishing/how-to-fold-a-brochure การพับแบบประตูซ้อน (Double gate fold) การพับสามครั้งและได้หน้าสิ่งพิมพ์ออกมาเป็น 8 หน้า ส่วนของการพับให้ด้านหน้ามาชนและมีการพับตรงกลางเพื่อให้ด้านที่เปิดออกซ้อนเข้ามา ซึ่งต่างกับ การพับแบบหน้าต่างหรือประตูเป็นลักษณะของการเปิดตรงกลางและไม่ได้มีการพับซ้อนเข้าไปอีกครั้ง


ภาพที่ 7.26 การพับแบบประตูซ้อน ที่มา : https://www.prepressure.com/finishing/how-to-fold-a-brochure การพับแบบพับมุมหรือการพับแบบฝรั่งเศส (French Fold or Right Angle or Quarter Fold) พับครึ่งทั้งสองด้านของกระดาษ คือ พับครึ่งทางความกว้างและพับครึ่งทางด้านยาวเมื่อพับแล้วได้ 8 หน้า พับแบบหนังสือยกแต่พับเพียงสองครั้ง ภาพที่ 7.27การพับแบบพับมุมหรือการพับแบบฝรั่งเศส ที่มา : https://www.prepressure.com/finishing/how-to-fold-a-brochure รอยพับ (Creasing) น้ำหนักของกระดาษที่เกิน 150 กรัม/ตารางเมตรหรือกระดาษ และเคลือบ ผิว 200 กรัม/ตารางเมตร ในการเคลือบทำให้การพับมีความยากเพิ่มขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการพับที่ทำให้เกิด รอยแตก ควรต้องทำรอยสำหรับการพับเพื่อทำให้พับสะดวกและไม่เกิดรอยแตกสามารถพับตามทิศทาง ของรอยได้ง่าย การกดให้เกิดรอยโดยการใช้เหล็กกดลงบนกระดาษเพื่อให้เกิดรอยเหมาะกับการพับ กระดาษแข็งหรือมีความหนามาก ภาพที่ 7.28 การทำรอยพับ ที่มา : https://www.saxoprint.co.uk/blog/creasing-vs-grooving/


ภาพที่ 7.29 รอยพับ ที่มา: https://www.saxoprint.co.uk/blog/creasing-vs-grooving/ การตัด (Cutting) การตัดกระดาษตัดด้วยเครื่องตัดต้องใช้ใบมีดที่คมมากพอ หากความคมไม่ พอจะทำให้กระดาษบริเวณขอบๆ เกิดขุยหรือเป็นรอยไม่เรียบหากใบมีดตัดไม่เรียบ ในการใช้งานเครื่อง ตัดมีแรงกดในการกดทับในการตัด ต้องระวังไม่ให้กดทับมากจนเกิดเป็นรอยบนสิ่งพิมพ์ ใน การ ตรวจความพร้อมของเครื่องตัดก่อนทำการตัดต้องให้ความสำคัญต่อความสวยงาม ความถูกต้องของขนาด สิ่งพิมพ์ และต้องมั่นใจว่าสิ่งพิมพ์ที่นำเข้าเครื่องตัดต้องชิดฉากมีความตรงกันทุกแผ่นหรือทุกเล่ม ภาพที่ 7.30 การตัด ที่มา : http://www.printsolutions.uk.com/pages/Die-Cutting.html


ไดคัต (Die-cutting) คือการอัตตัดตามแบบ การตัดกระดาษด้วยวิธีการปั้มตัดให้ออก เป็น รูปร่างต่างๆ หรือการตัดขอบกระดาษให้มีรูปร่างต่างๆ ที่ไม่ใช้เส้นตรงที่เหมือนกับการตัดเจียนเล่มด้วย เครื่องตัดกระดาษ การไดคัตสามารถสร้างสิ่งพิมพ์ให้มีรูปแบบที่แตกต่าง สร้างความโดดเด่นอีกรูปแบบ หนึ่งของสิ่งพิมพ์ได้การปั๊มตัดในการทำไดคัตมีการทำแม่แบบเป็นเส้นใบมีดที่สามารถตัดให้กระดาษขาด ออกตามแม่แบบและในบางส่วนไม่ต้องให้ตัดขาดออกเลยทำเป็นเส้นประเพื่อให้สามารถฉีกขาดออกได้ง่าย การทำไดคัตพบมากในงานบรรจุภัณฑ์เพื่อขึ้นรูปโครงสร้างของบรรจุภัณฑ์กล่องกระดาษแข็ง การทำไดคัต เพื่อเป็นป๊อปอัพ ภาพที่ 7.31 ไดคัต ที่มา : http://www.technologystudent.com/despro2/devman2 การเจาะรู(Punching) ในการพิมพ์เอกสารบางชนิดเมื่อทำเสร็จแล้วนำมาทำการเข้าเล่มโดยการ เจาะรูหรือเจาะเพื่อนำไปใส่ในแฟ้มเอกสาร การเจาะรูเพื่อให้สามารถใส่ในแฟ้มเอกสารได้มี การ กำหนดมาตรฐานของการเจาะรู โดยใช้มาตรฐาน ISO 838 ภาพที่ 7.32 การเจาะรู ที่มา : https://www.cfsbinds.com/binding-equipment.html การเข้าเล่มและการเย็บ เมื่อทำการพิมพ์เสร็จในการทำเล่มจะมีการนำการพับหรือการจัดเรียง เพื่อทำเล่ม การทำเล่มสิ่งพิมพ์ คือ การนำเอางานพิมพ์มาเรียงซ้อนกันตามการจัดวางหน้าเป็นเล่ม หาก การพิมพ์ในขนาดกระดาษตามเครื่องพิมพ์ที่มีขนาดตามที่จัดวางหน้าไว้ต้องนำมาพับ การพับแยกกัน ออกเป็นยกหรือกนก (Signature) และนำแต่ละกนกมาเรียงกันจนครบเล่ม ในการเรียงแต่ละกนก และ


การเย็บแบบมุ่งหลังคา (คือ การเย็บตรงกลางแบบด้วยลวดการเรียงแบบเย็บมุงหลังคาต้องทำการซ้อนแต่ ละกนกซ้อนกันโดยกางออกและวางหน้าต่อกัน) และนำไปเย็บตรงกลางตามที่กำหนดไว้ แต่ถ้าการเย็บสัน ทำการเรียงซ้อนแต่ละกนกจนครบตามจำนวนหน้าของงานทั้งหมด วิธีการเย็บเล่มมีความแตกต่างกันใน การเย็บ เช่น การไสสัน ทากาว การเย็บด้ายที่เย็บแบบการเย็บบัญชี การเย็บกี่ หรือเจาะรูร้อยเชือก การ เย็บเล่มจากการนำสิ่งพิมพ์ที่พิมพ์เป็นแผ่นและนำมาซ้อนเรียงกันแล้วนำไปทำการเย็บเล่ม การเข้าเล่มสิ่งพิมพ์มีวิธีการต่างๆ ดังนี้ 1. การเย็บลวด (Metal Stitching) การเย็บเล่มโดยการใช้ลวดเย็บ โดยการใช้เครื่องสำหรับ การเย็บ ซึ่งอาจการใช้เครื่องเย็บแบบอัตโนมัติที่ใช้มอเตอร์เป็นตัวช่วยในการทำงานเหมาะสำหรับการเย็บ งานจำนวนมาก การเย็บจำนวนไม่มากมีเครื่องเย็บแบบใช้แรงเป็นตัวกดในการเย็บ ความหนาการเย็บได้ ขึ้นอยู่กับความยาวของลวดที่ใช้และความสามารถของเครื่องเย็บ และการใช้เครื่องเย็บอัตโนมัติสามารถตั้ง ค่าการเย็บได้ตามความหนาของลวดโดยปรับเปลี่ยนขนาดของลวดที่ใช้ในการเย็บให้มีความหนาสัมพันธ์ กับความหนาของเล่ม คือ ตัวเล่มมีความหนาควรต้องใช้ลวดที่มีขนาดใหญ่ในการเย็บ และถ้าหากมีความ หนาน้อยใช้ลวดที่มีความบางลง ซึ่งทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้ การเย็บลวดเย็บได้ทั้งแบบเย็บมุง หลังคาและการเย็บสัน ภาพที่ 7.33 เครื่องเย็บลวดและสิ่งพิมพ์ที่เย็บแบบมุงหลังคา ที่มา: http://www.formateditions.co.uk/services/knowledge/stitched-bindings/#1 2. การไสสันทากาว (Glue Binding) สำหรับวิธีการไสสันทากาวยึดติดเล่มด้วยกาว โดยการไส ส่วนสันหนังสือ กาวที่ใช้ส่วนใหญ่มีคุณสมบัติที่เป็นกาวสำหรับติดกระดาษ การเลือกใช้กาวควรต้องเลือก ให้เหมาะกับชนิดของกระดาษที่ใช้พิมพ์ ลักษณะการทำงานของเครื่องไสสันหนังสือโดยการไสส่วนเนื้อใน ด้านสันหนังสือและยึดติดด้วยกาวและติดปกกับเนื้อในของหนังสือของทำหนังสือปกอ่อน และเมื่อติดปก แล้วจึงนำไปตัดเจียน การตัดทำการตัดสามด้านของหนังสือเว้นด้านสันไว้เท่านั้น ในขั้นตอนการออกแบบ ปกหรือเนื้อหาต้องกำหนดว่าเมื่อตัดเจียนแล้วให้เหลือเนื้อที่ไว้อย่างไรหรือต้องการให้ภาพตัดตกหรือมีส่วน ต้องตัดออกไปแล้วภาพที่ใช้ชิดกับขอบของกระดาษตามที่กำหนดไว้ในการออกแบบ


Click to View FlipBook Version