The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by makkawan.2509, 2021-05-19 00:23:39

ศพช.นครนายก HLM Nakhonyayok

HLM Nakhonyayok

คำนำ

กรมการพัฒนาชุมชน ร่วมกับมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร
ลาดกระบัง และภาคีเครือข่ายภาคส่วนต่าง ๆ ทั้ง 7 ภาคี ได้น้อมนาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงลงสู่
การปฏบิ ัติอยา่ งเป็นขั้นตอน ตามกลไกการขับเคลอ่ื นสืบสานศาสตรพ์ ระราชาเพ่อื การปฏริ ปู ประเทศ โดยใช้หมู่บ้าน
เป็นฐานของการพัฒนา มุ่งสร้างภูมิคุ้มกันให้ทุกครัวเรือน และพัฒนาคนให้มีความรู้และปรับตัวให้สามารถ
ดาเนินชีวิตอย่างมีความสุข มีอาชีพ สร้างรายได้ ท่ามกลางวิกฤตโลกท่ีมีการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็ว
กรมการพัฒนาชุมชนจึงได้ดาเนินโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่
ประยุกต์สู่ “โคก หนอง นา โมเดล” จานวน 7 กิจกรรม ดังนี้ (1) ฝึกอบรมเพิ่มทักษะระยะสั้นการพัฒนา
กสิกรรมสู่ระบบเศรษฐกิจพอเพียงรูปแบบ “โคก หนอง นา โมเดล” (2) สร้างพื้นที่เรียนรู้ชุมชนต้นแบบการ
พัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตาบล Community Lab Model for quality of life: CLM และพัฒนาพื้นท่ี
ครัวเรอื นตน้ แบบการพฒั นาคุณภาพชีวติ ระดับครวั เรอื น Household Lab Model for quality of life: HLM
(3) สร้างงานสร้างรายได้ให้แก่ เกษตรกร บัณฑิตจบใหม่ กลุ่มแรงงานท่ีอพยพกลับท้องถ่ินและชุมชน
(4) กระตุ้นการบริโภคภาคครัวเรอื นและเอกชนผ่านกจิ กรรมการพัฒนาและสนับสนนุ พื้นที่ครัวเรือนต้นแบบ
การพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับครัวเรือน (5) บูรณาการร่วมพัฒนาพื้นท่ีระดับตาบล (6) พัฒนาการสร้าง
มาตรฐานผลผลติ การแปรรปู และการตลาดตามมาตรฐานอนิ ทรียว์ ถิ ไี ทย (7) สรา้ งระบบโปรแกรมและระบบ

ฐานขอ้ มูลพัฒนาระบบดจิ ติ อลรองรับ Local Economy และมอบหมายใหส้ ถาบันการพัฒนาชุมชนดาเนินการ
กิจกรรมที่ 1 ฝึกอบรมเพิ่มทักษะระยะส้ันการพฒั นา กสิกรรมสู่ระบบเศรษฐกิจพอเพียงรูปแบบ “โคก หนอง
นา โมเดล”เพื่อสรา้ งความรูค้ วามเข้าใจศาสตร์พระราชาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและการสร้าง
ความเข้าใจพืน้ ฐานในการปรบั เปล่ียนวถิ ชี วี ิตให้สามารถพ่งึ ตนเองได้ตามหลักกสกิ รรมธรรมชาติ

สถาบัน การพัฒ น าชุม ชน ไ ด้ม อบ หม าย ศูน ย์ ศึกษ า และ พัฒ น าชุ ม ชน น คร น ายก จั ดกา รฝึ ก อ บ ร ม
ในหลกั สตู รฝึกอบรมเพิ่มทักษะระยะสั้นการพัฒนา กสกิ รรมสรู่ ะบบเศรษฐกิจพอเพยี งรปู แบบ “โคก หนอง นา
โมเดล” บัดน้ีได้ดาเนินการเรียบร้อยแล้ว และได้จัดทาเอกสารรายงานผลการฝึกอบรมโครงการพัฒนาพื้นท่ี
ตน้ แบบการพฒั นาคณุ ภาพชีวติ ตามหลกั ทฤษฎีใหม่ประยกุ ต์สู่ “โคก หนอง นา โมเดล” กจิ กรรมท่ี 1 ฝกึ อบรม
เพ่ิมทักษะระยะสั้นการพัฒนากสิกรรมสู่ระบบเศรษฐกิจพอเพียงรูปแบบ “โคก หนอง นา โมเดล”
กลุ่มเป้าหมาย ครัวเรือนต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับครัวเรือน Household Lab Model for
quality of life: HLM รุ่น HLM 1-3 และผู้รับจ้างในโครงการฯ จานวน 249 คน ซ่ึงดาเนินการในระหว่าง
วันที่ 6 - 10 ธันวาคม 2563 วันที่ 8 - 12 กุมภาพันธ์ 2564 และวันท่ี 15-19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564
ตามลาดบั ณ ศูนยศ์ ึกษาและพัฒนาชุมชนนครนายก ซ่งึ รายงายผลการดาเนินโครงการฯ เล่มนีม้ วี ตั ถุประสงค์
เพ่อื ใหผ้ ู้เกี่ยวขอ้ งได้รบั ทราบผลการดาเนนิ งาน เพ่อื พฒั นาการฝกึ อบรมในหลกั สตู รต่อไป และให้ผทู้ ่สี นใจได้ใช้
ประโยชน์ในการฝึกอบรมเพิ่มทกั ษะระยะสัน้ การพฒั นากสิกรรมสรู่ ะบบเศรษฐกิจพอเพียงรูปแบบ “โคก หนอง
นา โมเดล” ในการพฒั นาต่อยอดงานต่อไป

ศูนยศ์ ึกษาและพฒั นาชมุ ชนนครนายก

เมษายน 2564

สารบัญ หนา้

คานา 1
สารบัญ 9
บทสรุปผู้บริหาร 11
ส่วนท่ี 1 โครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคณุ ภาพชีวิตตามหลกั ทฤษฎีใหม่ประยุกต์ 11
สู่ “โคก หนอง นา โมเดล” กิจกรรมท่ี 1 ฝึกอบรมเพ่มิ ทักษะระยะส้ันการพัฒนากสิกรรมสู่ 15
ระบบเศรษฐกจิ พอเพยี งรูปแบบ “โคก หนอง นา โมเดล” 17
สว่ นที่ 2 สรุปผลการฝกึ อบรมรายวชิ า 19
21
สรุปผลการฝึกอบรมรายวิชา รุน่ ที่ 1 24
(1) หัวข้อวิชา กิจกรรมกล่มุ สัมพนั ธ์ 26
(2) หัวข้อวิชา เรียนรูต้ าราบนผืนดนิ 29
(3) หวั ข้อวิชา “เข้าใจ เข้าถงึ พัฒนา” ศาสตร์พระราชากับการพัฒนาท่ยี ่ังยนื 41
(4) หัวขอ้ วิชา ถอดบทเรยี นผ่านสือ่ “แผน่ ดนิ ไทย ตอน แผน่ ดนิ วิกฤต” 42
(5) หวั ขอ้ วิชา การแปลงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง สกู่ ารปฏบิ ตั ิแบบเป็นขั้นเปน็ ตอน
(6) หวั ข้อวิชา ปรชั ญาของเศษฐกิจพอเพียง “ทฤษฎบี นั ได 9 ขน้ั สู่ความพอเพยี ง” 46
(7) หัวขอ้ วชิ า หลักกสิกรรมธรรมชาติ
(8) หวั ขอ้ วิชา ฝกึ ปฏิบตั ิฐานเรียนรู้ 49
(9) หวั ขอ้ วชิ า สุขภาพพง่ึ ตน พฒั นา 3 ขุมพลัง “พลังกาย พลังใจ พลังปัญญา”
(10) หัวข้อวิชา จติ อาสาพฒั นาชุมชน “เอามือ้ สามัคคี” พฒั นาพ้ืนที่ตามหลกั ทฤษฎใี หม่ 52
(11) หัวข้อวิชา การออกแบบเชิงภูมิสังคมไทยตามหลักการพัฒนาภูมิสังคมอย่างยั่งยนื 56
เพ่อื การพึ่งตนเองและรองรบั ภยั พบิ ตั ิ 58
(12) หัวข้อวิชา ฝึกปฏิบัติการ สร้างหุ่นจาลอง(กระบะทราย) การจัดการพ้ืนท่ีตามหลกั 59
ทฤษฎใี หม่ ประยุกตส์ ู่ โคก หนอง นา โมเดล 61
(13) หัวข้อวิชา Team Building ฝึกปฏิบัติการบริหารจัดการ ในภาวะวิกฤต “หาอยู่ 69
หากนิ ” 69
(14) ถอดบทเรียนผา่ นสอ่ื “วถิ ีภมู ปิ ญั ญาไทยกับการพ่งึ ตนเองในภาวะวกิ ฤติ” 72
(15) หวั ขอ้ วชิ า กตญั ญูตอ่ สถานทพี่ ฒั นาจติ ใจ ทาบุญตักบาตร 74
(16) หัวขอ้ วิชา การขบั เคลื่อนสืบสานศาสตร์พระราชา กลไก 357 76
(17) หัวข้อวชิ า ยุทธศาสตร์การขับเคล่ือนปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งสกู่ ารปฏิบัติ 79
สรปุ ผลการฝกึ อบรมรายวชิ า รนุ่ ท่ี 2
(1) หัวข้อวชิ า กจิ กรรมกลมุ่ สัมพันธ์
(2) หัวขอ้ วชิ า เรยี นรตู้ าราบนผืนดิน
(3) หัวขอ้ วิชา “เข้าใจ เขา้ ถึง พัฒนา” ศาสตรพ์ ระราชากบั การพฒั นาที่ยง่ั ยืน
(5) หวั ขอ้ วิชา การแปลงปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง สูก่ ารปฏิบัตแิ บบเปน็ ข้นั เป็นตอน
(6) หัวข้อวชิ า ปรชั ญาของเศษฐกิจพอเพียง “ทฤษฎบี นั ได 9 ขั้นสคู่ วามพอเพยี ง”

สารบัญ หนา้
83
(7) หัวข้อวชิ า หลกั กสิกรรมธรรมชาติ 86
(8) หัวขอ้ วชิ า ฝึกปฏิบตั ฐิ านเรียนรู้ 95
(9) หัวข้อวิชา ถอดบทเรยี นผ่านสอื่ “แผน่ ดินไทย ตอน แผ่นดินวกิ ฤต”ถอดบทเรียนผ่าน
ส่ือ “วิถภี มู ิปญั ญาไทยกบั การพึง่ ตนเองในภาวะวกิ ฤติ” 98
(10) หวั ข้อวชิ า จิตอาสาพฒั นาชุมชน “เอาม้ือสามคั คี” พัฒนาพ้นื ทต่ี ามหลักทฤษฎใี หม่
(11) หัวข้อวิชา การออกแบบเชิงภูมิสังคมไทยตามหลักการพัฒนาภูมิสังคมอย่างย่ังยืน 102
เพอื่ การพงึ่ ตนเองและรองรับภยั พิบัติ
(12) หัวข้อวิชา ฝึกปฏิบัติการ สร้างหุ่นจาลอง(กระบะทราย) การจัดการพ้ืนท่ีตามหลัก 106
ทฤษฎใี หม่ ประยกุ ต์สู่ โคก หนอง นา โมเดล
(13) หัวข้อวิชา Team Building ฝึกปฏิบัติการบริหารจัดการ ในภาวะวิกฤต “หาอยู่ 110
หากนิ ”
(14) หัวขอ้ วชิ า กตัญญตู อ่ สถานท่ีพฒั นาจติ ใจ ทาบุญตักบาตร 113
(15) หัวขอ้ วชิ า การขับเคล่อื นสบื สานศาสตรพ์ ระราชา กลไก 357 116
(16) หัวข้อวชิ า ยทุ ธศาสตร์การขับเคลื่อนปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี งสกู่ ารปฏบิ ัติ 122
สรุปผลการฝกึ อบรมรายวชิ า รนุ่ ที่ 3 122
(1) หวั ข้อวชิ า กิจกรรมกลุ่มสมั พันธ์ 126
(2) หัวข้อวชิ า เรียนรตู้ าราบนผืนดิน 128
(3) หวั ข้อวชิ า “เข้าใจ เข้าถึง พฒั นา” ศาสตร์พระราชากับการพฒั นาทีย่ ั่งยืน 130
(5) หัวข้อวชิ า การแปลงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง สกู่ ารปฏบิ ัตแิ บบเป็นขนั้ เป็นตอน 133
(6) หัวข้อวชิ า ปรัชญาของเศษฐกจิ พอเพียง “ทฤษฎีบันได 9 ขน้ั ส่คู วามพอเพยี ง” 136
(7) หวั ขอ้ วิชา หลักกสกิ รรมธรรมชาติ 139
(8) หัวขอ้ วชิ า ฝึกปฏิบัตฐิ านเรียนรู้ 148
(9) หัวข้อวชิ า ถอดบทเรียนผา่ นสือ่ “แผ่นดินไทย ตอน แผ่นดินวิกฤต”ถอดบทเรยี นผ่าน
ส่ือ “วิถภี มู ปิ ญั ญาไทยกบั การพง่ึ ตนเองในภาวะวกิ ฤติ” 150
(10) หวั ข้อวชิ า จิตอาสาพัฒนาชมุ ชน “เอามือ้ สามัคคี” พฒั นาพน้ื ทตี่ ามหลกั ทฤษฎีใหม่
(11) หัวข้อวิชา การออกแบบเชิงภูมิสังคมไทยตามหลักการพัฒนาภูมิสังคมอย่างย่งั ยืน 153
เพอ่ื การพง่ึ ตนเองและรองรับภยั พบิ ัติ
(12) หัวข้อวิชา ฝึกปฏิบัติการ สร้างหุ่นจาลอง(กระบะทราย) การจัดการพ้ืนที่ตามหลัก 157
ทฤษฎีใหม่ ประยกุ ต์สู่ โคก หนอง นา โมเดล
(13) หัวข้อวิชา Team Building ฝึกปฏิบัติการบริหารจัดการ ในภาวะวิกฤต “หาอยู่ 161
หากนิ ” 164
(14) หวั ข้อวิชา การขับเคลอื่ นสบื สานศาสตรพ์ ระราชา กลไก 357 167
(15) หวั ขอ้ วชิ า ยุทธศาสตร์การขับเคลอ่ื นปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งสู่การปฏบิ ตั ิ

สารบัญ หนา้

สว่ นท่ี 3 ผลประเมินโครงการ 172
ผลการประเมินโครงการ รุ่นที่ 1 173
ผลการประเมินโครงการ รนุ่ ท่ี 2 179
ผลการประเมินโครงการ รนุ่ ท่ี 3 185

ภาคผนวก
ภาพกิจกรรมรุน่ ที่ 1-3
รายช่ือผู้เข้ารับการฝึกอบรมรุ่นที่ 1-3
ตารางการฝกึ อบรม HLM

สรปุ ผบู้ ริหาร

กรมการพัฒนาชุมชน ร่วมกับมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร
ลาดกระบัง และภาคีเครือข่ายภาคส่วนต่าง ๆ ท้ัง 7 ภาคี ได้น้อมนาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงลงสู่การ
ปฏิบัติอย่างเป็นข้ันตอน ตามกลไกการขับเคลื่อนสืบสานศาสตร์พระราชาเพื่อการปฏิรูปประเทศ โดยใช้หมู่บ้าน
เป็นฐานของการพัฒนา มุ่งสร้างภูมิคุ้มกันให้ทุกครัวเรือน และพัฒนาคนให้มีความรู้และปรับตัวให้สามารถ
ดาเนนิ ชีวิตอยา่ งมคี วามสขุ มอี าชพี สร้างรายได้ ท่ามกลางวิกฤตโลกที่มกี ารเปลยี่ นแปลงอยา่ งรวดเร็ว กรมการ
พัฒนาชุมชนจึงได้ดาเนินโครงการพัฒนาพ้ืนท่ีต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่
“โคก หนอง นา โมเดล”

สถาบันการพัฒนาชุมชน โดยศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนนครนายก ดาเนินงานตามโครงการพฒั นา
พื้นท่ีต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ “โคก หนอง นา โมเดล” กิจกรรมท่ี 1
ฝึกอบรมเพ่ิมทักษะระยะสั้นการพัฒนากสิกรรมสู่ระบบเศรษฐกิจพอเพียง รูปแบบ โคก หนอง นา โมเดล
มีวัตถุประสงค์ เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายสามารถเป็นแกนนาขับเคลื่อนการน้อมนาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ
พอเพียงและทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่การปฏิบัติในรูปแบบ “โคก หนอง นา โมเดล” ในพื้นท่ีเป้าหมายได้

ซ่ึงกลุ่มเป้าหมายประกอบด้วย กลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วย ครัวเรือนพ้ืนท่ีเรียนรู้ชุมชนต้นแบบการพัฒนา

คุณภาพชีวิต (HLM) ระดับครัวเรือน Household Lab Model for quality of life: HLM และผู้รับจ้างใน
โครงการฯ รุ่น HLM 1-3 จานวนทั้งหมด 249 คน ซ่ึงดาเนินการในระหว่าง วันที่ 6 - 10 ธันวาคม 2563
วันที่ 8 - 12 กุมภาพันธ์ 2564 และวันท่ี 15-19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 ตามลาดับ ณ ศูนย์ศึกษาและ
พฒั นาชุมชนนครนายก

HLM รุ่นที่ 1 กลุ่มเปา้ หมายประกอบด้วยครัวเรอื นพน้ื ทเ่ี รยี นรู้ชุมชนตน้ แบบการพัฒนาคณุ ภาพ

ชีวิตระดับครัวเรือน (HLM) และผู้รับจ้างงานในโครงการ (นักพัฒนาพื้นที่ต้นแบบฯ หรือ นพต.)
จานวน 126 คน ในพ้ืนที่ปราจีนบุรี ดาเนินการระหว่างวันที่ 6-10 ธันวาคม 2563 ณ ศูนย์ศึกษาและ
พัฒนาชุมชนนครนายก ตาบลสารกิ า อาเภอเมอื ง จงั หวดั นครนายก

ขอบเขตเนอ้ื หาหลักสตู ร
การฝึกอบรมกิจกรรมที่ 1 ฝึกอบรมเพิ่มทักษะระยะส้ันการพัฒนากสิกรรมสู่ระบบเศรษฐกิจพอเพยี ง

รูปแบบ โคก หนอง นา โมเดล มีวตั ถปุ ระสงค์ เพื่อใหก้ ล่มุ เป้าหมายสามารถเป็นแกนนาขับเคลอื่ นการน้อมนา
หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่การปฏิบัติในรูปแบบ “โคก หนอง นา โมเดล”
ในพ้ืนท่ีเป้าหมายได้ โดยมีขอบเขตเนื้อหาหลักสูตร ประกอบด้วย 1) ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและ
หลักสิกรรมธรรมชาติ 2) เข้าใจ เข้าถึง พัฒนาศาสตร์พระราชา กับการพัฒนาที่ย่ังยืน “SEP To SDGs”
และ3) การออกแบบเชิงภูมิสังคมไทยตามหลักภูมิสังคมไทยตามหลักการพัฒนาภูมิสังคมอย่างย่ังยืน
เพอ่ื การพงึ่ ตนเองและรองรบั ภยั พิบัติ โดยมีรายวชิ าดังนี้

(1) หัวขอ้ วชิ า กจิ กรรมกลุม่ สัมพนั ธ์
(2) หวั ขอ้ วิชา เรยี นรตู้ าราบนผืนดนิ

(3) หัวขอ้ วชิ า “เข้าใจ เข้าถงึ พัฒนา” ศาสตรพ์ ระราชากับการพัฒนาทยี่ ั่งยืน
(4) หัวขอ้ วชิ า ถอดบทเรยี นผ่านสือ่ “แผน่ ดนิ ไทย ตอน แผน่ ดนิ วกิ ฤต”
(5) หัวขอ้ วชิ า การแปลงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สกู่ ารปฏิบตั แิ บบเป็นข้ันเปน็ ตอน
(6) หวั ข้อวิชา ปรัชญาของเศษฐกจิ พอเพยี ง “ทฤษฎีบนั ได 9 ขั้นสคู่ วามพอเพยี ง”
(7) หัวขอ้ วิชา หลกั กสกิ รรมธรรมชาติ
(8) หัวขอ้ วชิ า ฝึกปฏิบตั ฐิ านเรียนรู้
(9) หัวขอ้ วชิ า สุขภาพพึง่ ตน พัฒนา 3 ขมุ พลัง “พลังกาย พลังใจ พลงั ปัญญา”
(10) หัวข้อวชิ า จิตอาสาพัฒนาชมุ ชน “เอามอ้ื สามคั คี” พัฒนาพื้นทต่ี ามหลกั ทฤษฎใี หม่
(11) หัวข้อวิชา การออกแบบเชิงภูมิสังคมไทยตามหลักการพัฒนาภูมิสังคมอย่างยั่งยืนเพ่ือก าร
พึ่งตนเองและรองรับภัยพบิ ตั ิ
(12) หัวข้อวิชา ฝึกปฏิบัติการ สร้างหุ่นจาลอง(กระบะทราย) การจัดการพ้ืนที่ตามหลักทฤษฎีใหม่
ประยกุ ต์สู่ โคก หนอง นา โมเดล
(13) หวั ข้อวชิ า Team Building ฝกึ ปฏิบัตกิ ารบรหิ ารจัดการ ในภาวะวิกฤต “หาอยู่ หากนิ ”
(14) ถอดบทเรียนผ่านสื่อ “วถิ ภี ูมปิ ญั ญาไทยกบั การพึ่งตนเองในภาวะวิกฤติ”
(15) หวั ข้อวิชา กตญั ญตู ่อสถานท่พี ฒั นาจิตใจ ทาบญุ ตักบาตร
(16) หวั ขอ้ วิชา การขบั เคลื่อนสบื สานศาสตร์พระราชา กลไก 357
(17) หวั ข้อวชิ า ยุทธศาสตร์การขับเคลอ่ื นปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียงส่กู ารปฏบิ ตั ิ
(18) หวั ข้อวชิ า ในหลวง ในดวงใจ
กิจกรรมเสรมิ หลักสูตร
1) มอบนโยบาย โดย นายสุทธพิ งษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชมุ ชน
2) ปฐมนิเทศกอ่ นเขา้ รับการฝกึ อบรม
3) กจิ กรรมเคารพธงชาติ
4) กิจกรรมทาบุญตกั บาตร
5) กจิ กรรมมอบประกาศนียบัตร
6) กิจกรรมถา่ ยภาพรว่ มกัน
7) เวรประจาวัน

งบประมาณท่ไี ด้รับจัดสรร
ครัวเรือนพ้ืนท่ีเรียนรู้ชุมชนต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิต (HLM) ระดับครัวเรือน และผู้รับจ้าง

ในโครงการฯ จานวน 2 รุ่น งบประมาณท้ังสิ้น จานวน 1,599,630 บาท (หนึ่งล้านห้าแสนเก้าหมนื่ เกา้ พัน
หกร้อยสามสิบบาทถ้วน) โดยกาหนดดาเนินโครงการฯ รุ่นที่ 1 จานวน 126 คน งบประมาณทั้งส้ิน
จานวน 737,886 บาท (เจ็ดแสนสามหมื่นเจ็ดพันแปดร้อยแปดสิบหกบาทถ้วน)

ผลการประเมินการฝกึ อบรม
หลังการส้ินสุดการฝึกอบรม ได้ประเมินโครงการฯ โดยใช้แบบประเมินผลภาพรวมโครงการ ผลการ

ประเมนิ สรุปได้ดังน้ี

1) ข้อมลู ทัว่ ไปของผตู้ อบแบบประเมนิ
จากกลุ่มเป้าหมาย ครัวเรือนพ้ืนท่ีต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิต จานวน 78 คน และผู้เข้าร่วม
โครงการจ้างงานสร้างรายได้ จานวน 48 คน ในพื้นท่ีอาเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก ท้ังส้ิน
126 คน จานวน 126 คน มีผู้ตอบแบบประเมินจานวน 126 คน คิดเป็นร้อยละ 100 ของกลุ่มเป้าหมาย
จากผลการประเมินข้อมูลทั่วไปของผ้ตู อบแบบประเมนิ โครงการฯ มีรายละเอยี ดดังน้ี

1) เพศ เพศหญิง จานวน 58 คน คิดเป็นร้อยละ 46.03 และเพศชาย จานวน 68 คน
คิดเป็นรอ้ ยละ 53.97

2) อายุ กล่มุ เปา้ หมายส่วนใหญ่ มอี ายุตา่ กว่า 30 ปี คดิ เปน็ ร้อยละ 22.22
3) การศึกษา กลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ มีระดับการศึกษาอยู่ในระดับต่ากว่าปริญญาตรี
คดิ เป็นร้อยละ 58.73 ระดบั ปริญญาตรี
2) ความคิดเห็นต่อโครงการฝึกอบรมหลกั สตู ร

2.1) การบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการ
จากผลการประเมินโดยส่วนใหญ่ของผู้ตอบแบบประเมิน พบว่า การบรรลุวัตถุประสงค์ของ
โครงการฯ อยใู่ นระดบั มาก โดยมีค่าเฉลยี่ คอื 4.4
2.2) ประโยชนข์ องหวั ข้อวชิ าตอ่ การนาความรูไ้ ปปรบั ใช้ในการปฏบิ ตั งิ าน
จากผลการประเมินโดยส่วนใหญข่ องผู้ตอบแบบประเมิน พบว่า ผู้ตอบแบบประเมินผล
โครงการ จานวน 126 คน ได้รับประโยชน์ของหัวข้อวิชาต่อการนาความรู้ไปปรับใช้ใน
การปฏิบัตงิ าน อยรู่ ะดับมาก โดยวิชาปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียง "ทฤษฎบี ันได 9 ขั้นสู่ความพอเพียง"
อยู่ในระดบั มากทส่ี ดุ ค่าเฉลยี่ คะแนน คอื 4.55
2.3) ความพงึ พอใจต่อภาพรวมโครงการ
จากผลการประเมนิ โดยส่วนใหญ่ของผตู้ อบแบบประเมิน พบว่า ผู้ตอบแบบประเมินส่วน
ใหญค่ ิดวา่ การบรกิ ารทงั้ 5 ด้าน ไดแ้ ก่ (1) ด้านกระบวนการขั้นตอนการใหบ้ รกิ าร (2) ด้านวทิ ยากร
(3) ดา้ นเจ้าหนา้ ท่ีผู้ใหบ้ รกิ าร/ผู้ประสานงาน (4) ด้านการอานวยความสะดวก และ (5) ด้านคุณภาพ
การให้บริการอย่ใู นระดบั มากท่ีสดุ คา่ คะแนนเฉลี่ยโดยรวมท้งั หมด 5 ด้าน คือ 4.51
(1) ความพึงพอใจต่อภาพรวมของโครงการ: ด้านกระบวนการขั้นตอนการให้บริการ
ความพงึ พอใจต่อภาพรวมของโครงการ ด้านกระบวนการขั้นตอนการให้บริการ อยู่ใน
ระดับมาก คา่ คะแนนเฉลี่ยรวม 4.29
(2) ความพึงพอใจต่อภาพรวมของโครงการ: ด้านวิทยากร
ความพึงพอใจตอ่ ภาพรวมของโครงการ ด้านวิทยากร อยู่ในระดับมากที่สุด ค่าคะแนนเฉล่ยี
รวม 4.59
(3) ความพึงพอใจต่อภาพรวมของโครงการ: ด้านเจา้ หน้าท่ีผูใ้ หบ้ ริการ/ผู้ประสานงาน
ความพึงพอใจตอ่ ภาพรวมของโครงการ ด้านเจ้าหน้าท่ีผู้ให้บริการ/ผู้ประสานงาน อยู่ใน
ระดับมากทส่ี ุด ค่าคะแนนเฉลย่ี รวม 4.57

(4) ความพึงพอใจต่อภาพรวมของโครงการ: ดา้ นการอานวยความสะดวก

ความพึงพอใจต่อภาพรวมของโครงการ ด้านการอานวยความสะดวก อยู่ในระดับมากท่ีสุด

ค่าคะแนนเฉลย่ี รวม 4.56

(4) ความพึงพอใจต่อภาพรวมของโครงการ: ดา้ นคณุ ภาพการให้บริการ

ความพึงพอใจต่อภาพรวมของโครงการ ด้านคุณภาพการให้บริการ อยู่ในระดับมากท่ีสุด

ค่าคะแนนเฉลยี่ รวม 4.54

ข้อเสนอแนะ

สงิ่ ที่ควรเสนอแนะนาไปพัฒนาการจัดโครงการ/กจิ กรรมครงั้ ตอ่ ไป
1) ดา้ นเนื้อหาหลกั สตู รและกจิ กรรมหลกั สูตรในการฝกึ อบรม
- มีเน้อื หากระชับ ชัดเจน เพื่อนาไปสกู่ ารปฏิบัตจิ ริงได้ และเปน็ หลักสตู รระยะสั้น
ถือว่าได้รับความรคู้ รบถ้วนในเวลา
- เนอ้ื หาและทฤษฎมี คี วามเยอะเกนิ ไป ควรเป็นความเขา้ ใจเบอื้ งต้น เน้นฝึกปฏิบัติ
ลดเวลา ชว่ งเช้าดึก เพราะมคี วามออ่ นลา้ ของคนอบรม
- ควรมีครัวเรอื นทีม่ ปี ระสบการณ์การทาโคกหนองมา มาบรรยายประสบการณท์ ี่ได้
ลงมือปฏิบัติจรงิ ในพื้นท่ี
- ควรมเี อกสารประกอบการสอนในแต่ละรายวิชาให้ผเู้ ข้าอบรม
- ควรมีหลักสตู รใหมๆ่ เพม่ิ เติม เช่น หลกั สูตรเพาะปลูก หลักสูตรการทาเคร่อื งใช้
อุปโภคในครวั เรอื น
2) ดา้ นวิทยากรและเจา้ หน้าทโ่ี ครงการ
- วทิ ยากรมอี งคค์ วามรู้ ความเขา้ ใจในเรื่องท่บี รรยาย ตอบขอ้ สงสัยไดอ้ ย่างดี
- วทิ ยากร อธิบายเข้าใจง่าย น่าติดตาม
- เจา้ หนา้ ที่ให้ความรู้ ให้คาแนะนาตา่ ง ๆ ดีมาก และเป็นกนั เองดี
- เจ้าหนา้ ท่ีโครงการ ใหก้ ารสนับสนุนเปน็ อย่างดี สุภาพ นา่ รกั มคี วามเอาใจใส่
3) อาคารสถานที่ ห้องพกั ห้องอบรม โรงอาหาร
- ที่พกั ผชู้ ายน่าจะแยกหอ้ ง ไมน่ อนรวมกนั ด้วยสถานการณโ์ ควดิ -19
- สถานท่ี ห้องพกั หอ้ งอบรม โรงอาหาร สะอาดและเหมาะสม
- เจ้าหน้าทด่ี ูแลหอ้ งพกั ควรดแู ลเอาใจใส่และยม้ิ แยม้ มากกว่าน้ี
- หอ้ งน้าบางหอ้ งอปุ กรณช์ ารุด ควรซ่อมแซม ควรให้อยู่ชนั้ เดยี วกับห้องประชมุ
- ควรจะออกไปดูงานนอกสถานที่
- ท่ีพกั สะอาด แต่ทร่ี ะบายนา้ ไมค่ อ่ ยไหลสะดวก
4) อปุ กรณโ์ สตทัศนูปกรณ์
- อุปกรณโ์ สตทัศนปู กรณ์ครบครัน เหมาะสม และทันสมัย
- สอ่ื วีดีโอที่ใช้ฝกึ อบรม ชดั เจนดี เข้าใจงา่ ย ภาพชัด เสียงชดั ทาใหเ้ ข้าใจมากข้นึ
- จอแสดงผล คนที่นั่งไกลมองไมช่ ัด
5) อาหาร/อาหารวา่ งและเคร่ืองดม่ื
- อาหาร อาหารว่างและเครอ่ื งด่มื สะอาด และอร่อย
- มีอาหารเพยี งพอ ถูกสุขลักษณะ

HLM รนุ่ ท่ี 2 กลุม่ เปา้ หมายประกอบด้วยครวั เรือนพนื้ ทเี่ รียนรูช้ ุมชนต้นแบบการพัฒนาคุณภาพ

ชีวิตระดับครัวเรือน (HLM) และผู้รับจ้างงานในโครงการ (นักพัฒนาพน้ื ที่ต้นแบบฯ หรือ นพต.) จานวน
๖0 คน ในพื้นที่ปราจีนบุรี ดาเนินการระหว่างวันที่ 8 - 12 กุมภาพันธ์ 2564 ณ ศูนย์ศึกษาและพัฒนา
ชุมชนนครนายก ตาบลสารกิ า อาเภอเมือง จังหวัดนครนายก

ขอบเขตเนือ้ หาหลักสูตร ประกอบดว้ ย
1) ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และหลักสิกรรมธรรมชาติ
2) เข้าใจ เขา้ ถงึ พฒั นาศาสตร์พระราชา กับการพฒั นาท่ียงั่ ยืน “SEP To SDGs”
3) การออกแบบเชิงภูมิสังคมไทยตามหลกั ภูมิสงั คมไทยตามหลักการพฒั นาภูมิสงั คมอย่างย่งั ยืน เพอื่

การพึ่งตนเองและรองรับภยั พิบัติ
โดยมีรายวชิ าดังนี้
- กระบวนการความคาดหวงั /กลุ่มสัมพนั ธ์/ฝากตาแหนง่ อายุ รับผ้าสี เลือกผนู้ า
- เรียนรู้ตาราผืนดิน
- เขา้ ใจ เขา้ ถงึ พัฒนา ศาสตร์พระราชากับการพฒั นาทย่ี งั่ ยืน
- การแปลงปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี งสู่การปฏบิ ัติแบบเป็นขน้ั เปน็ ตอน
- ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง “ทฤษฎี บันได 9 ขัน้ ส่คู วามพอเพยี ง
- หลักกสิกรรมธรรมชาติ
- ทัศนศึกษาตัวอย่างความสาเรจ็ การพัฒนาพนื้ ทตี่ น้ แบบการพฒั นาคณุ ภาพชีวติ ตามหลัก

ทฤษฎใี หม่ ประยุกตส์ ู่ โคก หนอง นา โมเดล
- ฝึกปฏบิ ัตฐิ านเรียนรู้
- ถอดบทเรยี นผา่ นสือ่ “วถิ ภี ูมิปัญญาไทยกับการพง่ึ ตนเอง ในภาวะวกิ ฤติ”
- “สุขภาพพ่ึงตน พัฒนา 3 ขุมพลงั ” พลงั กาย พลงั ใจ พลงั ปัญญา
- ฝกึ ปฏบิ ตั ิ “จิตอาสาพัฒนาชมุ ชน เอามื้อสามัคคี พฒั นาพื้นที่ตามหลกั ทฤษฎใี หม่”
- การออกแบบเชิงภูมิสังคมไทยตามหลักการพัฒนาภูมิสังคมอย่างยั่งยืน เพื่อการพ่ึงตนเอง

และรองรับภยั พบิ ตั ิ
- พื้นฐานการออกแบบเพ่อื การจดั การพ้ืนทีต่ ามหลักทฤษฎใี หม่ ประยกุ ตส์ ู่ โคกหนองนาโมเดล
- ฝึกปฏบิ ัตกิ าร สร้างหุ่นจาลอง(กระบะทราย) การจดั การพน้ื ทีต่ ามหลกั ทฤษฎีใหม่ ประยุกต์

สู่ โคก หนอง นา โมเดล
- TeamBuilding ฝึกปฏิบตั กิ ารบริหารจัดการ ในภาวะวิกฤตหาอยู่ หากินและสรปุ บทเรียน
- กตญั ญูต่อสถานทพ่ี ัฒนาจิตใจ ทาบุญตักบาตร
- การขบั เคลือ่ นสืบสานศาสตรพ์ ระราชา กลไก 357
- จัดทาแผนปฏบิ ตั กิ าร “ยทุ ธศาสตร์การขบั เคล่ือนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสกู่ ารปฏิบัติ”

กิจกรรมหลักสูตร ประกอบด้วย
1) ปฐมนเิ ทศก่อนเขา้ รบั การฝึกอบรม
2) กิจกรรมกล่มุ สมั พนั ธ์
3) กจิ กรรมพัฒนา 3 ขุมพลงั

4) กิจกรรมเคารพธงชาติ
5) กจิ กรรมทาบุญตักบาตร
6) กจิ กรรมมอบประกาศนียบตั ร
7) กจิ กรรมถา่ ยภาพรว่ มกนั
หลังการสิ้นสุดการฝึกอบรม ได้ประเมินโครงการฯ โดยใช้แบบประเมินผลภาพรวมโครงการ ผลการประเมิน
สรปุ ได้ ดงั นี้
1. กลุ่มเปา้ หมาย
ผตู้ อบแบบประเมนิ โครงการ จานวน 6๐ คน หมายเหตุ ผ่านการฝกึ อบรมครบทัง้ หมด 6๐ คน

จากกลุ่มเป้าหมาย ครัวเรือนพื้นท่ีเรียนรู้ชุมชนต้นแบบการพัฒนาคุณภาพระดับครัวเรือน
(HLM) และผู้รับจ้างงานในโครงการ (นักพัฒนาพ้ืนท่ีต้นแบบฯ หรือ นพต.) ในพื้นท่ีจังหวัดปราจีนบุรี
ดาเนินการระหวา่ งวันท่ี ๘-๑๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. 256๔ มีผู้ตอบแบบประเมินจานวน ท้ังส้ิน 6๐ คน คิดเป็น
ร้อยละ 100 ของกลุ่มเป้าหมาย จากผลการประเมินข้อมูลท่ัวไปของผู้ตอบแบบประเมินโครงการ ฯ
มีรายละเอียดดงั น้ี

1) เพศ เพศชาย จานวน 34 คน คิดเป็นร้อยละ 56.67 และเพศหญิง จานวน 26 คน
คิดเป็นรอ้ ยละ 43.33

2) อายุ กลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ อายุ 40-49 ปี คิดเป็นร้อยละ 28.33 และมีอายุต่ากวา่
30 ปี คิดเปน็ รอ้ ยละ 23.33 และรองลงมา มีอายุ 30 - 39 ปี คิดเป็นร้อยละ 18.33 และมีอายุ 50-59
ปี คดิ เปน็ รอ้ ยละ 20.00 และมีอายุ 60 ปีข้นึ ไป คดิ เป็นร้อยละ 10.00 ตามลาดับ

3) การศึกษา กลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ มีระดับการศึกษาอยู่ในระดับต่ากว่าปริญญาตรี
คิดเป็นร้อยละ 70.00 ระดับปริญญาตรี คิดเป็นร้อยละ 28.33 ระดับปริญญาโท คิดเป็นร้อยละ 1.67
ตามลาดับ

2. ความพึงพอใจตอ่ โครงการ
จากผลการประเมินโดยส่วนใหญข่ องผู้ตอบแบบประเมินคิดเห็นวา่ มีความพึงพอใจต่อโครงการอยใู่ น
ระดับ มากทสี่ ดุ คา่ คะแนนเฉล่ยี คอื 4.๖๖ และเมอ่ื พิจารณารายดา้ นสามารถสรุปได้ ดงั น้ี
1) กระบวนการขั้นตอนการให้บริการ อยู่ในระดับมากท่ีสุด มีค่าเฉล่ีย 4.๕๒ และเมื่อพิจารณาราย
ข้อ พบว่า การจัดลาดับข้ันตอนของการจัดกิจกรรม และความเหมาะสมของช่วงเวลา อยู่ในระดับมากที่สุด
ค่าคะแนนเฉล่ีย ๔.๗๓ และ ๔.๖๓ ตามลาดับ ส่วนความเหมาะสมของสถานที่ อยู่ในระดับมาก ค่าคะแนน
เฉลีย่ 4.๔๐
2) วิทยากร อยู่ในระดับมากท่ีสุด มีค่าเฉลี่ย 4.๗๖ และเม่ือพิจารณารายข้อ พบว่า การสร้าง
บรรยากาศการเรียนรู้ ความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ และการเปิดโอกาสให้ซกั ถามแสดงความคิดเห็น
อย่ใู นระดบั มากทีส่ ุด คา่ คะแนนเฉลี่ย ๔.๗๘, ๔.๗๗ และ ๔.๗๕ ตามลาดบั
3) ด้านเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ/ผู้ประสานงาน (หน่วยงานจัดฝึกอบรม) อยู่ในระดับมากท่ีสุด
มีค่าเฉลี่ย 4.๖๕ และเม่ือพิจารณารายข้อ พบว่า การแต่งกาย ความสุภาพ และการตอบคาถาม อยู่ในระดับ
มากท่ีสุด มีคา่ เฉลีย่ 4.๗๗ 4.๗๕ และ 4.๗๐ ตามลาดับ

4) การอานวยความสะดวก (หน่วยงานจัดฝึกอบรม) อยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.๗๑ และ
เม่ือพจิ ารณารายข้อ พบวา่ เจา้ หนา้ ทส่ี นบั สนนุ โสตทัศนปู กรณ์ และอาหาร เคร่อื งดื่มและสถานท่ี อยูใ่ นระดับ
มากที่สุด ค่าคะแนนเฉล่ีย 4.๘๐, 4.๖๗ และ 4.๕๗ ตามลาดบั

5) คุณภาพการให้บริการ อยู่ในระดับมากท่ีสุด มีค่าเฉล่ีย 4.๗๔ และเม่ือพิจารณารายข้อ พบว่า
การได้รับความรู้ แนวคิด ทักษะและประสบการณ์ใหม่ๆ จากโครงการ ส่ิงที่ได้รับจากโครงการตรงตามความ
คาดหวงั และประโยชน์ที่ได้รบั อยู่ในระดับมากท่ีสุด คา่ คะแนนเฉล่ยี 4.69, 4.65 และ 4.62 ตามลาดบั

3) ขอ้ เสนอแนะเนื้อหาหลกั สูตร
จากผลการประเมนิ สามารถสรปุ ได้ ดังนี้
๑) ไดร้ บั ความร้เู รือ่ งหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง ศาสตร์พระราชา ทฤษฎีใหม่ และโคกหนอง
นา โมเดล ได้ชัดเจนมากขึ้น
๒) บทเรยี นทกุ วชิ า การทากิจกรรมตา่ ง ๆ ทง้ั ภาคทฤษฎี และปฏบิ ตั ิ มีความเหมาะสม สามารถนาไป
ปฏบิ ตั ไิ ด้จริงในพื้นท่ไี ด้
๓) กจิ กรรมหลักสตู รมีกระบวนการเป็นขั้นตอนทีด่ มี าก
๔) วทิ ยากรถ่ายทอดองค์ความรู้ในแตล่ ะรายวชิ ามีประโยชน์ สามารถนาไปปรบั ใช้ในการดาเนินชวี ติ
จรงิ ได้ มโี อกาสในฐานผรู้ บั การอบรม จะถา่ ยทอดความรูท้ ี่ได้ ใหก้ ับบคุ คลทั่วไปต่อไป

HLM รุน่ ท่ี 3 กลมุ่ เป้าหมายประกอบดว้ ยครัวเรือนพนื้ ที่เรยี นรชู้ มุ ชนตน้ แบบการพัฒนาคณุ ภาพ

ชีวติ ระดับครัวเรอื น (HLM) และผู้รบั จ้างงานในโครงการ (นักพัฒนาพ้ืนท่ีต้นแบบฯ หรอื นพต.) จานวน ๖
3 คน ในพื้นทจ่ี งั หวดั ๔ จังหวดั ได้แก่ นครนายก ปราจนี บุรี นนทบุรี และปทุมธานี ดาเนินการระหว่าง
วันท่ี 1๕-1๙ กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 256๔

ขอบเขตเนื้อหาหลักสูตร ประกอบด้วย
1) ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง และหลักสิกรรมธรรมชาติ
2) เข้าใจ เข้าถึง พัฒนาศาสตรพ์ ระราชา กับการพฒั นาที่ย่ังยนื “SEP To SDGs”
3) การออกแบบเชิงภูมิสงั คมไทยตามหลักภูมิสงั คมไทยตามหลักการพฒั นาภูมิสงั คมอย่างยงั่ ยืน เพ่ือ

การพง่ึ ตนเองและรองรับภัยพบิ ตั ิ
โดยมีรายวชิ าดงั น้ี
- กระบวนการความคาดหวงั /กลุ่มสัมพันธ/์ ฝากตาแหน่ง อายุ รบั ผา้ สี เลอื กผนู้ า
- เรยี นรู้ตาราผนื ดิน
- เข้าใจ เขา้ ถงึ พัฒนา ศาสตรพ์ ระราชากับการพัฒนาท่ีย่ังยนื
- การแปลงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี งสู่การปฏิบตั แิ บบเป็นข้นั เปน็ ตอน
- ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง “ทฤษฎี บันได 9 ข้นั สคู่ วามพอเพยี ง
- หลักกสิกรรมธรรมชาติ
- ทัศนศกึ ษาตวั อยา่ งความสาเรจ็ การพฒั นาพนื้ ที่ต้นแบบการพฒั นาคณุ ภาพชีวิตตามหลักทฤษฎใี หม่

ประยกุ ตส์ ู่ โคก หนอง นา โมเดล

- ฝึกปฏบิ ัตฐิ านเรียนรู้
- ถอดบทเรียนผา่ นสือ่ “วิถภี ูมปิ ัญญาไทยกบั การพงึ่ ตนเอง ในภาวะวกิ ฤติ”
- “สุขภาพพง่ึ ตน พฒั นา 3 ขมุ พลัง” พลงั กาย พลังใจ พลังปญั ญา
- ฝกึ ปฏบิ ัติ “จิตอาสาพัฒนาชมุ ชน เอามอื้ สามัคคี พฒั นาพื้นทต่ี ามหลกั ทฤษฎีใหม่”
- การออกแบบเชงิ ภมู ิสงั คมไทยตามหลักการพฒั นาภมู ิสังคมอย่างยั่งยืน เพื่อการพ่ึงตนเองและรองรับ
ภัยพิบัติ
- พ้ืนฐานการออกแบบเพ่ือการจัดการพนื้ ท่ตี ามหลกั ทฤษฎใี หม่ ประยุกต์สู่ โคก หนอง นา โมเดล
- ฝึกปฏิบัติการ สร้างหุ่นจาลอง(กระบะทราย) การจัดการพื้นที่ตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ โคก
หนอง นา โมเดล
- Team Building ฝึกปฏบิ ตั ิการบรหิ ารจดั การ ในภาวะวกิ ฤต หาอยู่ หากิน และสรุปบทเรียน
- กตญั ญูตอ่ สถานท่พี ัฒนาจติ ใจ ทาบญุ ตักบาตร
- การขบั เคลอ่ื นสบื สานศาสตรพ์ ระราชา กลไก 357
- จดั ทาแผนปฏบิ ตั กิ าร “ยทุ ธศาสตรก์ ารขบั เคล่อื นปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียงสูก่ ารปฏิบตั ิ”
กิจกรรมหลักสูตร ประกอบดว้ ย
1) ปฐมนิเทศก่อนเข้ารับการฝึกอบรม
2) กจิ กรรมกลุ่มสมั พันธ์
3) กจิ กรรมพัฒนา 3 ขุมพลัง
4) กจิ กรรมเคารพธงชาติ
5) กจิ กรรมทาบุญตักบาตร
6) กจิ กรรมมอบประกาศนยี บัตร
7) กจิ กรรมถา่ ยภาพร่วมกนั
หลังการส้ินสุดการฝึกอบรม ได้ประเมินโครงการฯ โดยใช้แบบประเมินผลภาพรวมโครงการ ผลการ
ประเมินสรุปได้ ดงั นี้
1. กลุ่มเปา้ หมาย
ผู้ตอบแบบประเมนิ โครงการ จานวน 63 คน หมายเหตุ ผ่านการฝกึ อบรมครบท้งั หมด 63 คน

จากกลุ่มเป้าหมาย ครัวเรือนพ้ืนที่เรียนรู้ชุมชนต้นแบบการพัฒนาคุณภาพระดับครัวเรือน
(HLM) และผู้รับจ้างงานในโครงการ (นักพัฒนาพ้ืนที่ต้นแบบฯ หรือ นพต.) ในพื้นท่ีจังหวัด ๔ จังหวัด ได้แก่
นครนายก ปราจีนบุรี นนทบุรี และปทุมธานี ดาเนินการระหว่างวนั ท่ี 1๕-1๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. 256๔ มี
ผตู้ อบแบบประเมนิ จานวน ทั้งสน้ิ 63 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 100 ของกลมุ่ เป้าหมาย จากผลการประเมนิ ข้อมูล
ท่วั ไปของผูต้ อบแบบประเมนิ โครงการฯ มรี ายละเอียดดังนี้

1) เพศ เพศชาย จานวน 32 คน คิดเป็นร้อยละ 50.79 และเพศหญิง จานวน 31 คน
คดิ เป็นรอ้ ยละ 79.21

2) อายุ กลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ มีอายุต่ากว่า 30 ปี คิดเป็นร้อยละ 25.40 และมีอายุ
30 - 39 ปี คิดเป็นร้อยละ 22.22 และมีอายุ 60 ปีขึ้นไป คิดเป็นร้อยละ 20.63 และมีอายุ 40-49 ปี
คิดเป็นรอ้ ยละ 15.87 รองลงมา มีอายุ 50-59 ปี คิดเป็นรอ้ ยละ 15.87 ตามลาดับ

3) การศึกษา กลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ มีระดับการศึกษาอยู่ในระดับต่ากว่าปริญญาตรี
คิดเป็นร้อยละ 63.49 ระดับปริญญาตรี คิดเป็นร้อยละ 33.33 ระดับปริญญาโท คิดเป็นร้อยละ
3.17 ตามลาดบั

2. ความพึงพอใจต่อโครงการ
จากผลการประเมินโดยส่วนใหญ่ของผู้ตอบแบบประเมินคิดเห็นว่ามีความพึงพอใจต่อโครงการอยู่ใน
ระดบั มากท่สี ดุ ค่าคะแนนเฉลย่ี คือ 4.๗2 และเมอื่ พจิ ารณารายด้านสามารถสรุปได้ ดังน้ี
1) ด้านเจ้าหน้าท่ีผู้ให้บริการ/ผู้ประสานงาน (หน่วยงานจัดฝึกอบรม) อยู่ในระดับมากที่สุด มี
คา่ เฉล่ยี 4.๘๐ และเม่ือพิจารณารายขอ้ พบวา่ การแต่งกาย การตอบคาถาม และความสุภาพ อย่ใู นระดับ
มากท่สี ุด มคี ่าเฉลี่ย 4.๘๔, 4.๘๓ และ 4.๗๖ ตามลาดับ
2) วทิ ยากร อยู่ในระดับมากท่สี ุด มีค่าเฉลยี่ 4.๗๕ และเมื่อพิจารณารายขอ้ พบวา่ การเปิดโอกาสให้
ซกั ถามแสดงความคดิ เห็น การสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ อยู่ในระดบั มากที่สุด และความสามารถในการ
ถา่ ยทอดความรู้ ค่าคะแนนเฉลยี่ ๔.๗๘, ๔.๗๖ และ ๔.๗๕ ตามลาดบั
3) การอานวยความสะดวก (หน่วยงานจัดฝึกอบรม) อยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉล่ีย 4.64 และ
เมือ่ พิจารณารายขอ้ พบว่า เจ้าหน้าทส่ี นบั สนุน โสตทัศนูปกรณ์ และอาหาร เครอื่ งดื่มและสถานที่ อย่ใู นระดบั
มากท่สี ุด คา่ คะแนนเฉลีย่ 4.๘๖, 4.๗๖ และ 4.๗๓ ตามลาดับ
4) คุณภาพการให้บรกิ าร อย่ใู นระดบั มากท่สี ุด มีค่าเฉล่ยี 4.๗๔ และเม่อื พิจารณารายข้อ พบวา่ การ
ได้รับความรู้ แนวคิด ทักษะและประสบการณ์ใหม่ๆ จากโครงการ สิ่งท่ีได้รับจากโครงการตรงตามความ
คาดหวงั และประโยชนท์ ไ่ี ด้รับ อยูใ่ นระดับมากทีส่ ดุ ค่าคะแนนเฉลย่ี 4.69, 4.65 และ 4.62 ตามลาดับ
5) กระบวนการข้ันตอนการใหบ้ ริการ อยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉล่ีย 4.๕๙ และเมื่อพิจารณาราย
ขอ้ พบว่า การจัดลาดับขั้นตอนของการจัดกิจกรรม และความเหมาะสมของช่วงเวลา อยู่ในระดับมากที่สุด
ค่าคะแนนเฉล่ีย ๔.๗๕ และ ๔.๖๘ ตามลาดับ ส่วนความเหมาะสมของสถานที่ อยู่ในระดับมาก ค่าคะแนน
เฉล่ยี 4.๔๘
3. ข้อเสนอแนะเนอื้ หาหลักสตู ร
จากผลการประเมนิ สามารถสรปุ ได้ ดังนี้
1) เน้อื หาหลกั สตู รทกุ รายวชิ าสามารถนาไปประยกุ ต์ใชไ้ ดจ้ ริงและปฏิบตั งิ านในพ้ืนทีไ่ ด้
2) ผู้เข้าอบรมเห็นด้วยกับกิจกรรมฝึกปฏิบัติ สอดคล้องกับวัตถุประสงค์โครงการฯ ซ่ึงสามารถนา
ความรไู้ ปต่อยอด เผยแพร่ในพ้นื ท่ีได้ แต่ควรเพ่ิมเวลาฝกึ ปฏบิ ัตใิ หม้ ากกว่าน้ี
3) เน้ือหาโดยรวมถูกต้อง และเข้าใจง่าย หลักสูตรดีแล้ว แต่ต้องการให้ปรับเวลาจากที่เร่ิมตั้งแต่
๐๕.๐๐ น. เปน็ สายกวา่ น้เี ล็กนอ้ ย
4) ควรเพ่มิ เวลาให้วิชาฝึกปฏิบัตฐิ านเรยี นรูใ้ หม้ ากกวา่ นี้
5) ควรมีเอกสารประกอบในทุกรายวิชา

สว่ นที่ 1 1

โครงการพฒั นาพื้นทีต่ น้ แบบการพฒั นาคณุ ภาพชวี ิตตามหลกั ทฤษฎใี หม่
ประยกุ ต์สู่ “โคก หนอง นา โมเดล”

กจิ กรรมที่ 1 ฝึกอบรมเพม่ิ ทักษะระยะสั้นการพัฒนากสิกรรมสูร่ ะบบเศรษฐกจิ พอเพยี ง
รูปแบบ “โคก หนอง นา โมเดล”

1) ความเป็นมาโครงการ

สถานการณ์ของประเทศไทยในปัจจุบันต้องเผชิญกับผลกระทบจากวิกฤตการแพร่ระบาดของ

โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซ่ึงส่งผลกระทบไปถึงวกิ ฤตทางด้านเศรษฐกิจ ด้านการสาธารณสุข

ด้านการคมนาคมและอื่น ๆ ส่งผลให้เกิดวิกฤตทางสังคมขนาดหนกั ไปทั่วท้ังโลก จากรายงานของ McKinsey

& Company (March 26, 2020) จะส่งผลให้โลกมีผลผลิต (Productivity) ลดลงถึง 30% น่ันหมายถึง

โลกจะขาดอาหารและเศรษฐกิจจะมีการเติบโตลดลง - 1.5% ของ World GDP อีกทั้งวิกฤตด้าน

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ท้ังเร่ืองภัยแล้งและน้าท่วมท่ีคาดว่าจะมีความรุนแรงข้ึนทั้งในเชิงความผัน

ผวน ความถี่ และขอบเขตทีก่ ว้างมากขึ้น ซ่ึงจะสรา้ งความเสยี หายตอ่ ชีวิตและโครงสร้างพ้ืนฐานทีจ่ ้าเปน็ ท้าให้

เศรษฐกิจฐานราก (Local Economy) ของประเทศเกิดความเสียหาย เพ่ิมปัญหาความยากจน และ

ความเหลอ่ื มล้าทางสังคม ตลอดจนระบบการผลิตทางการเกษตรที่มีความสมั พนั ธ์ต่อเน่อื งกับความมั่นคงด้าน

อาหารและน้า ขณะท่ีระบบนิเวศต่าง ๆ มีแนวโน้มเส่ือมโทรมลง และมีแนวโน้มที่จะสูญเสียความสามารถ

ในการรองรับความตอ้ งการมนุษยไ์ ดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ

ทางออกของประเทศไทยในการรอดพ้นวิกฤตและเกิดการพัฒนาท่ียั่งยืน ได้ถูกก้าหนดไว้ในยุทธศาสตร์

ชาติ พ.ศ. 2561 – 2580 และนโยบายรัฐบาลท่ีจะสืบสาน รักษา ต่อยอด และพัฒนาประเทศตาม

หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช

บรมนาถบพิตร กระทรวงมหาดไทยมอบหมายให้กรมการพัฒนาชุมชน น้อมน้าหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ

พอเพียงมาเป็นหลัก ในการส่งเสริมกระบวนการเรยี นรู้และการมีส่วนร่วมของประชาชน เน้นประชาชนเปน็

ศูนยก์ ลาง โดยการพฒั นาคนใหพ้ งึ่ ตนเอง มีความเปน็ เจา้ ของและบริหารจัดการโดยชุมชน พฒั นาหมบู่ ้านหรือ

ชุมชน ให้มีวิถีชีวิตเศรษฐกิจพอเพียงและเป็นสังคม “อยู่เย็น เป็นสุข” ทั้งนี้ กรมการพัฒนาชุมชน ร่วมกับ

มูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และภาคีเครือข่ายภาคส่วน

ต่าง ๆ ทั้ง 7 ภาคี ได้น้อมน้าหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงลงสู่การปฏิบัติอย่างเป็นขั้นตอน ตามกลไก

การขับเคลื่อนสืบสานศาสตร์พระราชาเพื่อการปฏิรูปประเทศ โดยใช้หมู่บ้านเป็นฐานของการพัฒนา มุ่งสร้าง

ภูมิคมุ้ กันใหท้ กุ ครวั เรือน และพัฒนาคนให้มีความรู้และปรับตัวให้สามารถด้าเนินชีวิตอย่างมีความสุข มีอาชีพ

สร้างรายได้ ท่ามกลางวิกฤตโลกท่ีมีการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็ว ด้วยการจัดท้าโครงการท่ีประยุกต์การใช้

ศาสตร์พระราชาและน้อมน้าเอาแนวคิดและทฤษฎีการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชด้าริกว่า 40 ทฤษฎี ที่

ทรงพระราชทานไว้ให้ในการแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจ สังคม และส่ิงแวดล้อมมาประยุกต์กับแนวคิด

การพฒั นาพนื้ ทีแ่ ละการออกแบบเชิงภูมิสังคมไทยเพื่อการพึ่งตนเองและรองรบั ภัยพบิ ตั ิ ในรูปแบบ “โคก

หนอง นา โมเดล” สร้างการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้เหมาะสมกับหมูบ่ ้านในภูมิสังคมต่าง ๆ ผ่าน

การท้างานในรูปแบบการจ้างงานและการร่วมกนั ลงแรงด้วยการสนับสนุนวสั ดุพ้ืนฐานและงบประมาณ และ

บูรณาการการท้างานจากภาคีภาคส่วนต่าง ๆ เพ่ือสร้างงานสร้างรายได้ให้กับครัวเรือนและชุมชนท่ีเข้าร่วม 2
โครงการในระดับพื้นฐาน ด้าเนินการสร้าง (1) พื้นที่เรียนรู้ชุมชนต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิต
(Community Lab Model for quality of life : (CLM) ระดับต้าบล จ้านวน 337 ต้าบล แยกเป็น ขนาด
พ้ืนที่ 10 ไร่ จ้านวน 23 พื้นที่ และพื้นที่ 15 ไร่ จ้านวน 314 พ้ืนที่ รวมพื้นท่ีไม่น้อยกว่า 4,940 ไร่ และให้
การสนับสนุนเพื่อพัฒนา (2) พ้ืนท่ีครัวเรือนต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิต (Household Lab Model for
quality of life : HLM) ระดับครัวเรือน จ้านวนทั้งสิ้น 24,842 ครัวเรือน ขนาดพื้นที่ไม่เกิน 3 ไร่ต่อ
ครวั เรือน รวมพ้ืนทไี่ ม่เกนิ 54,676 ไร่ และ (3) บูรณาการร่วมพัฒนาพ้นื ท่รี ะดับต้าบล เพ่อื การบริหารจัดการ
น้าขั้นพ้ืนฐานที่เหมาะสมกับภูมิสังคมตามแนวพระราชด้าริ 10 วิธี เช่ือมโยงกับพื้นที่ปฏิบัติการโครงการฯ
จากน้ันพฒั นาสู่ระดับกา้ วหน้า โดยการด้าเนินการส่งเสรมิ การสร้างมาตรฐานผลผลติ การแปรรปู และการตลาด
ตามมาตรฐานอินทรีย์วิถีไทย และยกระดับชุมชนท้ัง 337 ต้าบล ให้สามารถ (1) แก้ไขวิกฤตด้านเศรษฐกิจ
สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศ (2) เสริมสร้างความสามัคคีและสร้างเสริมสุขภาพให้แข็งแรงผ่านการท้า
กิจกรรมพัฒนาพ้ืนท่ีร่วมกัน (3) สร้างระบบเกษตรกรรมย่ังยืนที่ผลิตอาหารปลอดภัยจากสารเคมีและผลิต
สมุนไพรต่าง ๆ เพอ่ื ยกระดับอาหารให้เปน็ ยาทส่ี ามารถสร้างเสริมภูมิต้านทานโรคตา่ ง ๆ อกี ท้ังยัง (4) เพ่มิ การ
จัดการให้กกั เก็บนา้ ฝนท่ีตกในพ้นื ท่ีไดเ้ พียงพอต่อการเพาะปลกู และการด้ารงชีวติ ช่วยแก้ปญั หาภัยแลง้ และน้า
ทว่ ม (5) เพิ่มพื้นทปี่ ่าทชี่ ว่ ยฟอกอากาศที่บริสุทธิแ์ ละช่วยกกั เกบ็ คาร์บอนในช้นั บรรยากาศลดปญั หาฝุ่นละออง
ขนาดเล็ก PM 2.5 (6) เก็บรักษาและฟ้ืนฟหู น้าดินด้วยการเก็บตะกอนดินในพ้ืนท่ี ช่วยสร้างความสมดุลของ
ระบบนิเวศใน ดนิ น้า และป่า (7) เพ่มิ ความหลากหลายใหก้ บั พนั ธุกรรมของสง่ิ มชี ีวิตทัง้ พืชและสตั ว์ ทสี่ า้ คัญยงั
ช่วยชุมชนได้ ทั้งนี้ การด้าเนินการพัฒนาสู่ระดับกา้ วหน้าในระยะที่ 2 มีแผนด้าเนินการส่งเสริมในระดับชุมชนให้
รวมตวั กันจัดตงั้ กลุ่มเป็นกลุ่มอาชีพเพื่อสร้างวิสาหกิจชุมชนซ่งึ จะสง่ ผลใหเ้ กิดการสร้างความมน่ั คงทางเศรษฐกิจ
และสนับสนนุ กระบวนการผลิต ดว้ ยการส่งเสรมิ และสนับสนุนใหว้ ิสาหกิจชุมชนสามารถพฒั นายกระดับมุ่งไป
สู่การจดั ตัง้ บริษทั วิสาหกจิ เพอื่ สงั คมในระดบั ตา้ บล เพ่ือพัฒนาศกั ยภาพการเพมิ่ ผลผลิตตา่ ง ๆ ที่ไดจ้ ากในพน้ื ที่
ด้าเนินการ เพิ่มมูลค่าด้วยการแปรรูปขยายตลาดการท่องเที่ยวชุมชน ฯลฯ และสร้างงานวิจัยชุมชนเพื่อ
ยกระดับผลิตภัณฑ์หรือค้นหาอัตลักษณ์ของชุมชนการสร้างนวัตกรรมที่เหมาะสมกับภูมิสังคมของชุมชน
สร้างการจัดการความรู้ในมิติการพึง่ ตนเองดา้ นครู คลัง ช่าง หมอ ของชมุ ชน รว่ มกบั สถาบันการศึกษาในพื้นที่
ชุมชนทั่วประเทศ ให้ได้ผลการด้าเนินงานที่สามารถน้าไปต่อยอดให้กับวิสาหกิจชุมชนในด้านการพัฒนา
การท่องเที่ยวชุมชน การเพ่ิมมูลค่าผลผลิตและยกระดับเศรษฐกิจฐานรากของชุมชน รวมท้ังสร้างการส่ือสาร
สังคมให้เกิดกระบวนการเรียนรู้และการมีส่วนร่วมในระดับชุมชนระดับต้าบล ระดับอ้าเภอ ระดับจังหวัด
ระดับประเทศ และระดับนานาชาติ เรื่อง การน้อมน้าหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency
Economy Philosophy: SEP) ในรูปแบบการท้างานตามศาสตร์พระราชาสู่การปฏิบัติจนเป็นวิถีชีวิตของ
ประชาชนให้บรรลุตามเป้าหมายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs)
(SEP for SDGs) ในรปู แบบและวิธีการต่าง ๆ ท่ีเข้าถงึ คนได้ ทกุ ระดบั และทุกวยั ผา่ นการดา้ เนินงานโครงการ
ในทุกพื้นท่ีเพื่อส่ือสารวิธีการแก้ไขวิกฤตตามแนวทางปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้วยการสร้า งตัวอย่าง
ความส้าเร็จที่เริ่มต้นจากการพัฒนาคนให้โลกได้รับรู้อย่างแพร่หลาย ซึ่งการขับเคลื่อนตามกระบวนการ
ท้ัง 2 ระยะจะเปน็ การ (8) เตรียมความพร้อมให้ชุมชน มีความสามารถในการพ่งึ ตนเองในเรือ่ งของน้า อาหาร
และพลังงานทดแทนสร้างภูมิคุ้มกันชุมชนต่อสภาพปัจจุบันท่ีโลกก้าลังเผชิญกับวิกฤตความเปล่ียนแปลงของ

สภาพภูมิอากาศและภยั พบิ ัติธรรมชาติอย่างรุนแรง วิกฤตทางด้านโรคระบาดวิกฤตทางด้านความอดอยาก และ 3
วกิ ฤตความขดั แยง้ ของสงครามเศรษฐกิจหรือสงครามรูปแบบต่าง ๆ ในอนาคต

2) วตั ถุประสงค์
2.1 เพ่ือส่งเสริมการเรียนรู้การน้อมน้าหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงประยุกต์สู่การปฏิบัติ

ในรูปแบบ โคก หนอง นา โมเดล
2.2 เพื่อพัฒนาพ้ืนที่เรียนรู้ชุมชนต้นแบบ “โคก หนอง นา โมเดล” ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ

พอเพียง ระดบั ต้าบล และระดับครัวเรือน
2.3 เพ่ือให้กลุ่มเป้าหมายมีความรู้ความเข้าใจเศรษฐกิจพอเพียง รูปแบบ โคก หนอง นา โมเดล

และพัฒนากลุ่มเป้าหมายสามารถเป็นแกนน้าพัฒนาขับเคล่ือนการน้อมนา้ หลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
และทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่การปฏิบัติในรูปแบบ โคก หนอง นา โมเดลในพื้นที่เป้าหมาย และสามารถเป็นครู
กระบวนการอครกู สิกรรม ครูประจา้ ฐานเรยี นรู้การพึง่ พาตนเอง และครุพาท้า เพือ่ ขบั เคลอ่ื นงานและเช่ือมโยง
เครือข่ายในพน้ื ทีท่ ัง้ 7 ภาคี

3) กลมุ่ เปา้ หมาย
รุ่นที่ 1 กลุ่มเป้าหมายประกอบด้วยครวั เรือนพื้นท่ีเรียนรู้ชุมชนต้นแบบการพฒั นาคุณภาพชีวติ ระดบั

ครัวเรือน (HLM) และผู้รับจ้างงานในโครงการ (นักพัฒนาพื้นท่ีต้นแบบฯ หรือ นพต.) จ้านวน 126 คน
ในพื้นที่จังหวดั นครนายก

รุ่นท่ี 2 กลุ่มเป้าหมายประกอบด้วยครัวเรือนพื้นท่ีเรียนรู้ชุมชนต้นแบบการพฒั นาคุณภาพชีวติ ระดับ
ครวั เรือน (HLM) และผรู้ ับจา้ งงานในโครงการ (นักพัฒนาพืน้ ทตี่ น้ แบบฯ หรอื นพต.) จา้ นวน ๖0 คน ในพื้นที่
จงั หวดั ปราจนี บุรี

รุ่นที่ 3 กลุ่มเป้าหมายประกอบด้วยครัวเรือนพ้ืนท่ีเรียนรู้ชุมชนต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดบั
ครวั เรอื น (HLM) และผู้รับจา้ งงานในโครงการ (นกั พัฒนาพน้ื ท่ตี ้นแบบฯ หรือ นพต.) จา้ นวน ๖3 คน ในพน้ื ที่
จังหวัด 4 จงั หวดั ได้แก่ นครนายก ปราจนี บุรี นนทบุรี และปทมุ ธานี

4) กระบวนการเรยี นรู้

กระบวนการเรนี รูเ้ น้นการฝกึ ปฏบิ ัติ workshop และเนน้ การบูรณาการยดึ ผู้เรียนเปน็ ศูนยก์ ลาง
1) บรรยายและใช้สอื่ น้าเสนอประกอบการฝกึ อบรม
2) แบง่ กลุ่มฝกึ ปฏบิ ัติ workshop และสรุปเตมิ เตม็ โดยวิทยากร
3) ใช้ส่ือการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นการเรียนรู้เพื่อให้เห็นภาพความเป็นจรงิ และสร้าง

แรงบนั ดาลใจ
4) กิจกรรมฝึกปฏิบตั ิฐานเรียนรู้ ตามบรบิ ทของพื้นที่

5) เนอื้ หาหลักสตู ร
การฝึกอบรมกิจกรรมท่ี 1 ฝึกอบรมเพิ่มทักษะระยะสั้นการพัฒนากสิกรรมสู่ระบบเศรษฐกิจพอเพียง

รูปแบบ โคก หนอง นา โมเดล มีวัตถปุ ระสงค์ เพ่อื ใหก้ ล่มุ เป้าหมายสามารถเป็นแกนน้าขับเคลอ่ื นการน้อมน้า
หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่การปฏิบัติในรูปแบบ “โคก หนอง นา โมเดล”

ในพ้ืนท่ีเป้าหมายได้ โดยมีขอบเขตเน้ือหาหลักสูตร ประกอบด้วย (1) ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและ 4
หลักสิกรรมธรรมชาติ (2) เข้าใจ เข้าถึง พัฒนาศาสตร์พระราชา กับการพัฒนาที่ยั่งยืน “SEP To SDGs”
และ (3) การออกแบบเชิงภูมิสังคมไทยตามหลักภูมิสังคมไทยตามหลักการพัฒนาภูมิสังคมอย่างยั่งยืน
เพื่อการพึ่งตนเองและรองรับภัยพิบตั ิ โดยมีรายวชิ าดังน้ี

(1) หัวข้อวชิ า กิจกรรมกลมุ่ สมั พนั ธ์
(2) หัวขอ้ วิชา เรยี นรตู้ ้าราบนผืนดิน
(3) หวั ขอ้ วชิ า “เขา้ ใจ เขาถงึ พฒั นา” ศาสตร์พระราชากับการพัฒนาที่ยั่งยนื
(4) หัวข้อวิชา ถอดบทเรียนผ่านสอ่ื “แผน่ ดินไทย ตอน แผ่นดนิ วิกฤต”
(5) หวั ข้อวชิ า การแปลงปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง สู่การปฏิบัติแบบเปน็ ขั้นเป็นตอน
(6) หวั ขอ้ วิชา ปรชั ญาของเศษฐกิจพอเพยี ง “ทฤษฎบี นั ได 9 ขน้ั สูค่ วามพอเพยี ง”
(7) หัวข้อวชิ า หลกั กสกิ รรมธรรมชาติ
(8) หัวขอ้ วชิ า ฝึกปฏบิ ัตฐิ านเรยี นรู้
(9) หัวขอ้ วิชา สุขภาพพ่งึ ตน พัฒนา 3 ขุมพลงั “พลงั กาย พลงั ใจ พลังปัญญา”
(10) หัวขอ้ วิชา จิตอาสาพัฒนาชุมชน “เอาม้อื สามคั คี” พัฒนาพน้ื ที่ตามหลกั ทฤษฎีใหม่
(11) หัวข้อวิชา การออกแบบเชิงภูมิสังคมไทยตามหลักการพัฒนาภูมิสังคมอย่างย่ังยืนเพ่ือ
การพึ่งตนเองและรองรับภัยพิบัติ
(12) หัวข้อวิชา ฝึกปฏิบัติการ สร้างหุ่นจ้าลอง(กระบะทราย) การจัดการพ้ืนที่ตามหลักทฤษฎีใหม่
ประยกุ ต์สู่ โคก หนอง นา โมเดล
(13) หัวข้อวชิ า Team Building ฝึกปฏิบัติการบริหารจัดการ ในภาวะวิกฤต “หาอยู่ หากิน”
(14) ถอดบทเรยี นผ่านสื่อ “วถิ ภี ูมิปัญญาไทยกบั การพ่งึ ตนเองในภาวะวิกฤติ”
(15) หัวข้อวชิ า กตัญญูตอ่ สถานท่พี ัฒนาจติ ใจ ท้าบญุ ตักบาตร
(16) หวั ข้อวิชา การขับเคล่อื นสบื สานศาสตรพ์ ระราชา กลไก 357
(17) หัวข้อวชิ า ยุทธศาสตรก์ ารขบั เคลือ่ นปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียงสูก่ ารปฏบิ ัติ
6) กจิ กรรมเสรมิ หลกั สตู ร
1) มอบนโยบาย โดย นายสทุ ธิพงษ์ จลุ เจริญ อธิบดกี รมการพฒั นาชมุ ชน
2) ปฐมนเิ ทศกอ่ นเขา้ รับการฝกึ อบรม
3) กิจกรรมเคารพธงชาติ
4) กจิ กรรมทา้ บุญตกั บาตร
5) กิจกรรมมอบประกาศนียบตั ร
6) กจิ กรรมถ่ายภาพร่วมกนั
7) เวรประจ้าวนั
7) ระยะเวลาดาเนนิ การ
ครัวเรือนพ้ืนท่ีเรียนรู้ชุมชนต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิต (HLM) ระดับครัวเรือน และผู้รับจ้าง
ในโครงการฯจา้ นวน 3 รนุ่ โดยก้าหนดด้าเนินโครงการฯ

- ร่นุ ท่ี 1 ระหวา่ งวนั ที่ 6 - 10 ธันวาคม พ.ศ. 2563

- รุน่ ที่ 2 ด้าเนนิ การระหวา่ งวันท่ี 8 - 12 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564 5
- รุ่นท่ี 3 ดา้ เนินการระหว่างวันที่ 15-19 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564

8) สถานท่ดี าเนินการ
ณ ศนู ยศ์ ึกษาและพฒั นาชุมชนนครนายก ตา้ บลสารกิ า อ้าเภอเมอื ง จงั หวัดนครนายก

9) งบประมาณ
ร่นุ ที่ 1 งบประมาณท่ีใช้ไปเปน็ เงนิ จา้ นวน 737,886 บาท (เจ็ดแสนสามหมืน่ เจ็ดพันแปดรอ้ ยแปด

สิบหกบาทถ้วน)

รุ่นที่ 2 งบประมาณทใี่ ช้ไปเป็นเงนิ 461,530 บาท (ส่แี สนหกหมน่ื หน่ึงพนั ห้ารอ้ ยสามสิบบาทถ้วน)

รุ่นที่ 3 งบประมาณทใ่ี ช้ไปเปน็ เงิน 461,530 บาท (ส่แี สนหกหมื่นหน่งึ พันห้ารอ้ ยสามสิบบาทถ้วน)

10) ผลที่คาดว่าจะไดร้ ับ
กลุม่ เปา้ หมายสามารถเป็นแกนนา้ ขับเคล่อื นการนอ้ มน้าหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี งและทฤษฎี

ใหม่ประยกุ ตส์ ู่การปฏิบัติในรปู แบบ โคก หนอง นา โมเดลในพน้ื ท่ีเปา้ หมายได้

11) ตวั ช้ีวดั กิจกรรม
กลุ่มเป้าหมายได้รับการพัฒนาตามหลักสูตรการพัฒนากสิกรรมสู่ระบบเศรษฐกิจพอเพียง รูปแบบ

โคก หนอง นา โมเดล

12) รายช่ือทีมวทิ ยากรกระบวนการ ตา้ แหน่ง ผอู้ า้ นวยการศนู ย์ศกึ ษาและพฒั นาชุมชนนครนายก
(1) นางประภา ปานนติ ยกุล ตา้ แหนง่ นักทรพั ยากรบคุ คลชา้ นาญการ
(2) นางสาวอรวีย์ แสงทอง ต้าแหนง่ นกั วิชาการพฒั นาชมุ ชนชา้ นาญการ
(3) นายศุภกติ ต์ รอบรู้ ต้าแหน่ง นกั ทรัพยากรบุคคลปฏิบตั ิการ
(4) นางสุพรรษา แกว้ ขุนทด ตา้ แหน่ง นกั ทรัพยากรบคุ คลปฏิบัติการ
(5) นายเมธาพนั ธ์ นิลแกว้ ต้าแหนง่ นกั วชิ าการพฒั นาชุมชนปฏบิ ัติการ
(6) นางสาวพิมพณ์ ดา ไมตรีเวช ตา้ แหน่ง นักทรัพยากรบคุ คล
(7) นางสาววชิรญาณ์ แย้มเยื้อน ตา้ แหนง่ นักทรัพยากรบุคคล
(8) นางสาวสฑุ ามาศ อัมรินทร์ ต้าแหนง่ นกั ทรพั ยากรบุคคล
(9) นางสาวภัทธญิ า ตกิ จนิ า ทป่ี รกึ ษาพัฒนาการจังหวดั พระนครศรอี ยุธยา
(9) นายปราโมทย์ กิจปลมื้ ผนู้ ้าต้นแบบการพัฒนาคณุ ภาพชวี ติ ฯ จงั หวัดปทมุ ธานี
(10) นายอดลุ ย์ วิเชียรชัย ผูน้ ้าต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวติ ฯ จงั หวัดพระนครศรอี ยธุ ยา
(11) นายสุนทร แววมะบตุ ร ผ้นู ้าต้นแบบการพัฒนาคณุ ภาพชวี ติ ฯ จงั หวดั พระนครศรอี ยุธยา
(12) นายวารนิ ทร์ ช่างทอง

13) รายชือ่ ผู้รบั ผิดชอบประจารายวชิ า 6

- รุน่ ท่ี 1 -

(1) หัวขอ้ วิชา กจิ กรรมกลุ่มสัมพันธ์
ผู้รับผดิ ชอบ นายเมธาพนั ธ์ นิลแก้ว และ นางสาววชริ ญาณ์ แยม้ เยื้อน

(2) หวั ข้อวชิ า เรยี นรู้ต้าราบนผืนดิน
ผู้รับผดิ ชอบ นางสพุ รรษา แก้วขนุ ทด และ นายปราโมทย์ กจิ ปล้ืม

(3) หวั ข้อวิชา “เขา้ ใจ เข้าถึง พฒั นา” ศาสตร์พระราชากบั การพฒั นาท่ียง่ั ยนื
ผรู้ ับผิดชอบ นางสาวอรวีย์ แสงทอง

(4) หวั ข้อวิชา ถอดบทเรยี นผ่านส่ือ “แผ่นดนิ ไทย ตอน แผน่ ดินวกิ ฤต”
ผู้รบั ผิดชอบ นางสาวอรวยี ์ แสงทอง

(5) หวั ขอ้ วิชา การแปลงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง สกู่ ารปฏบิ ตั แิ บบเปน็ ข้ันเป็นตอน
ผ้รู บั ผดิ ชอบ นางประภา ปานนติ ยกลุ

(6) หัวขอ้ วิชา ปรชั ญาของเศษฐกิจพอเพียง “ทฤษฎบี นั ได 9 ขัน้ สู่ความพอเพยี ง”
ผรู้ ับผดิ ชอบ นางประภา ปานนิตยกลุ

(7) หวั ข้อวชิ า หลักกสิกรรมธรรมชาติ
ผู้รบั ผดิ ชอบ นายปราโมทย์ กจิ ปลื้ม

(8) หัวข้อวิชา ฝกึ ปฏิบตั ิฐานเรียนรู้
ผรู้ บั ผิดชอบ นางสาวพิมพ์ณดา ไมตรีเวช

(9) หัวข้อวชิ า สขุ ภาพพึ่งตน พฒั นา 3 ขุมพลัง “พลังกาย พลังใจ พลังปญั ญา”
ผู้รับผดิ ชอบ นางสาวภทั ธิญา ตกิ จนิ า

(10) หัวข้อวชิ า จิตอาสาพฒั นาชมุ ชน “เอามือ้ สามัคคี” พัฒนาพื้นท่ีตามหลักทฤษฎใี หม่
ผู้รับผิดชอบ นายเมธาพนั ธ์ นลิ แกว้

(11) หัวข้อวิชา การออกแบบเชิงภูมิสังคมไทยตามหลักการพัฒนาภูมิสังคมอย่างย่ังยืนเพื่ อ
การพง่ึ ตนเองและรองรบั ภัยพบิ ตั ิ

ผรู้ บั ผดิ ชอบ นายอดุลย์ วเิ ชยี รชยั
(12) หัวข้อวิชา ฝึกปฏิบัติการ สร้างหุ่นจ้าลอง(กระบะทราย) การจัดการพ้ืนท่ีตามหลักทฤษฎีใหม่
ประยุกต์สู่ โคก หนอง นา โมเดล

ผูร้ บั ผิดชอบ นายอดลุ ย์ วิเชยี รชัย และ นางสุพรรษา แก้วขนุ ทด
(13) หัวขอ้ วิชา Team Building ฝึกปฏิบัตกิ ารบรหิ ารจัดการ ในภาวะวกิ ฤต “หาอยู่ หากิน”

ผรู้ ับผดิ ชอบ นางสาวภทั ธิญา ตกิ จนิ า
(14) ถอดบทเรยี นผา่ นสอ่ื “วิถภี มู ิปญั ญาไทยกับการพ่งึ ตนเองในภาวะวิกฤติ”

ผู้รบั ผดิ ชอบ นายศุภกิตต์ รอบรู้
(15) หัวข้อวิชา กตัญญตู ่อสถานทพ่ี ฒั นาจิตใจ ท้าบุญตักบาตร

ผรู้ บั ผดิ ชอบ นายเมธาพันธ์ นิลแกว้

(16) หัวขอ้ วิชา การขบั เคลอื่ นสบื สานศาสตรพ์ ระราชา กลไก 357 7
ผูร้ ับผดิ ชอบ นางประภา ปานนิตยกุล

(17) หัวขอ้ วิชา ยุทธศาสตรก์ ารขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสูก่ ารปฏบิ ตั ิ
ผูร้ ับผดิ ชอบ นางประภา ปานนิตยกลุ

(18) หวั ข้อวชิ า ในหลวง ในดวงใจ
ผู้รบั ผิดชอบ นางสาวอรวยี ์ แสงทอง

- รุ่นท่ี 2 และ รนุ่ ท่ี 3 -

(1) หวั ขอ้ วชิ า กิจกรรม กลุ่มสมั พนั ธ์ แบ่งกลุ่ม มอบภารกิจ
ผู้รับผิดชอบ นายเมธาพันธ์ นลิ แกว้
นางสาววชริ ญาณ์ แย้มเย้อื น
และวิทยากรประจ้ากลุม่ สี

(2) หวั ข้อวิชาเรยี นรูต้ ้าราบนผนื ดนิ : กจิ กรรมเดนิ ชมพื้นที่
ผรู้ บั ผดิ ชอบ นางสพุ รรษา แกว้ ขุนทด
และวิทยากรประจ้ากลุ่มสี

(3) หวั ข้อวชิ า เข้าใจ เข้าถงึ พฒั นา ศาสตรพ์ ระราชากบั การพฒั นาท่ยี ง่ั ยนื
ผู้รับผดิ ชอบ นางสาวอรวีย์ แสงทอง

(4) หวั ข้อวชิ าการแปลงปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียงสูก่ ารปฏบิ ัติแบบเป็นขนั้ เปน็ ตอน
ผรู้ ับผิดชอบ นางประภา ปานนิตยกุล

(5) หัวข้อวชิ าปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง “ทฤษฎี บนั ได 9 ข้ันสู่ความพอเพยี ง
ผู้รับผดิ ชอบ นายสนุ ทร แววมะบตุ ร

(6) หวั ขอ้ วิชา “หลักกสกิ รรมธรรมชาติ”
ผู้รบั ผดิ ชอบ นายสนุ ทร แววมะบตุ ร

(7) หัวขอ้ วิชา ฝึกปฏบิ ตั ิฐานเรียนรู้
ผรู้ บั ผิดชอบ นางสาวพิมพ์ณดา ไมตรเี วช และวทิ ยากรประจา้ กลมุ่ สี

(8) หวั ข้อวิชาถอดบทเรียนผา่ นส่ือ“วิถภี มู ิปัญญาไทยกับการพง่ึ ตนเองในภาวะวิกฤติ”
ผ้รู บั ผิดชอบ นางประภา ปานนติ ยกุล

(9) หวั ขอ้ วิชาสขุ ภาพพึ่งตน “พัฒนา 3 ขุมพลัง” พลงั กาย พลังใจ พลังปญั ญา
ผ้รู ับผดิ ชอบ นางสาวภทั ธญิ า ตกิ จนิ า

(10) หัวขอ้ วชิ าฝึกปฏิบัติ “จิตอาสาพฒั นาชมุ ชน เอามอื้ สามคั คี พัฒนาพน้ื ที่ตามหลักทฤษฎีใหม่”
ผรู้ ับผดิ ชอบ นายเมธาพนั ธ์ นิลแกว้ และวิทยากรประจา้ กลุ่มสี

(11) หัวข้อวิชาการออกแบบเชิงภูมิสังคมไทยตามหลักการพัฒนาภูมิสังคมอย่างย่ังยืน เพ่ือการ
พ่งึ ตนเอง และรองรับภัยพบิ ัติ

ผรู้ ับผิดชอบ นายอดุลย์ วิเชยี รชยั

(1๒) หัวข้อวิชาฝึกปฏิบัติการ สร้างหุ่นจ้าลอง(กระบะทราย) การจัดการพื้นท่ีตามหลักทฤษฎีใหม่ 8
ประยกุ ต์สู่ โคก หนอง นา โมเดล

ผูร้ ับผิดชอบ นายอดุลย์ วเิ ชยี รชัย
(13) หัวข้อวิชา Team Building ฝึกปฏบิ ัตกิ ารบริหารจดั การในภาวะวิกฤต หาอยู่ หากิน

ผู้รบั ผดิ ชอบ นางสาวภทั ธญิ า ติกจินา และวิทยากรประจ้ากลุ่มสี
(14) หวั ข้อวิชา การขับเคลือ่ นสืบสานศาสตรพ์ ระราชา กลไก 357

ผรู้ บั ผดิ ชอบ นางประภา ปานนติ ยกุล
(15) หัวข้อวิชา จัดท้าแผนปฏบิ ตั กิ าร “ยุทธศาสตรก์ ารขับเคล่ือนปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี งสู่การ
ปฏิบัติ”/นา้ เสนอแผนยุทธศาสตร์

ผ้รู บั ผดิ ชอบ นางประภา ปานนิตยกุล

(16) หัวข้อวชิ าสขุ ภาพพ่ึงตน “พฒั นา 3 ขุมพลัง” พลงั กาย พลังใจ พลงั ปัญญา
ผู้รบั ผดิ ชอบ นางสาวภัทธิญา ติกจนิ า

(17) หวั ขอ้ กจิ กรรมกตญั ญตู อ่ สถานท่พี ฒั นาจิตใจ ท้าบญุ ตกั บาตร
ผรู้ ับผดิ ชอบ นายเมธาพันธ์ นิลแกว้ และวิทยากรประจา้ กลุ่มสี

ส่วนท่ี 2 9

สรุปผลการฝกึ อบรมรายวิชา
โครงการพัฒนาพืน้ ท่ีต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ “โคก หนอง นา
โมเดล” กิจกรรมท่ี 1 ฝกึ อบรมเพ่ิมทกั ษะระยะสั้นการพัฒนากสิกรรมสู่ระบบเศรษฐกิจพอเพียง รปู แบบ โคก
หนอง นาโมเดล มีวตั ถุประสงค์เพอ่ื ใหก้ ลุ่มเป้าหมายมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจเศรษฐกจิ พอเพยี ง รปู แบบ โคก หนอง
นา โมเดล และพัฒนากลุ่มเป้าหมายสามารถเป็นแกนน้าพัฒนาขับเคล่ือนการน้อมน้าหลักปรัชญา
ของเศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่การปฏิบัติในรูปแบบ โคก หนอง นา โมเดลในพื้นที่เป้าหมาย
และสามารถเป็นครูกระบวนการอครูกสิกรรม ครูประจ้าฐานเรียนรู้การ พ่ึงพาตนเอง และครูพาท้า
เพอ่ื ขบั เคลื่อนงานและเช่ือมโยงเครอื ข่ายในพ้นื ท่ีทงั้ 7 ภาคี รวมทง้ั สง่ เสริมการเรียนรู้การน้อมน้าหลักปรัชญา
ของเศรษฐกิจพอเพียงประยุกต์สู่การปฏบิ ัติ ในรปู แบบ โคก หนอง นา โมเดล และเพื่อพฒั นาพ้ืนทีเ่ รียนรชู้ ุมชน
ต้นแบบ “โคก หนอง นา โมเดล” ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ระดับต้าบล และระดับครัวเรือน
อกี ด้วย โดยมีรายวิชาดงั นี้

รายวชิ า
(1) หัวข้อวิชา กิจกรรมกลุม่ สมั พนั ธ์
(2) หวั ข้อวิชา เรยี นรตู้ ้าราบนผืนดนิ
(3) หัวขอ้ วิชา “เข้าใจ เขา้ ถึง พฒั นา” ศาสตรพ์ ระราชากบั การพฒั นาที่ย่ังยืน
(4) หวั ข้อวิชา ถอดบทเรยี นผา่ นส่อื “แผ่นดินไทย ตอน แผน่ ดินวิกฤต”
(5) หัวขอ้ วชิ า การแปลงปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียง สกู่ ารปฏิบัตแิ บบเป็นขั้นเปน็ ตอน
(6) หวั ขอ้ วิชา ปรชั ญาของเศษฐกิจพอเพียง “ทฤษฎีบนั ได 9 ขนั้ สูค่ วามพอเพียง”
(7) หวั ข้อวชิ า หลักกสิกรรมธรรมชาติ
(8) หัวข้อวชิ า ฝึกปฏิบัตฐิ านเรยี นรู้
(9) หัวขอ้ วชิ า สุขภาพพึง่ ตน พฒั นา 3 ขมุ พลัง “พลงั กาย พลงั ใจ พลังปัญญา”
(10) หวั ข้อวชิ า จติ อาสาพฒั นาชมุ ชน “เอามื้อสามัคคี” พัฒนาพื้นทต่ี ามหลักทฤษฎใี หม่
(11) หัวข้อวิชา การออกแบบเชิงภูมิสังคมไทยตามหลักการพัฒนาภูมิสังคมอย่างยั่งยืนเพื่อการ

พึง่ ตนเองและรองรับภยั พบิ ตั ิ
(12) หัวข้อวิชา ฝึกปฏิบัติการ สร้างหุ่นจ้าลอง(กระบะทราย) การจัดการพ้ืนท่ีตามหลักทฤษฎีใหม่

ประยกุ ตส์ ู่ โคก หนอง นา โมเดล
(13) หัวข้อวชิ า Team Building ฝึกปฏบิ ัติการบรหิ ารจัดการ ในภาวะวิกฤต “หาอยู่ หากิน”
(14) ถอดบทเรียนผา่ นสอ่ื “วถิ ภี ูมิปญั ญาไทยกับการพ่ึงตนเองในภาวะวิกฤติ”
(15) หัวขอ้ วชิ า กตญั ญูตอ่ สถานทีพ่ ฒั นาจติ ใจ ท้าบญุ ตกั บาตร
(16) หัวข้อวิชา การขับเคลือ่ นสืบสานศาสตรพ์ ระราชา กลไก 357
(17) หวั ขอ้ วชิ า ยุทธศาสตรก์ ารขับเคล่ือนปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งสู่การปฏิบัติ
(18) หวั ข้อวิชา ในหลวง ในดวงใจ

กจิ กรรมเสริมหลกั สตู ร 10
1) มอบนโยบาย โดย นายสุทธพิ งษ์ จลุ เจรญิ อธิบดีกรมการพฒั นาชมุ ชน
2) ปฐมนเิ ทศกอ่ นเข้ารบั การฝกึ อบรม
3) กจิ กรรมเคารพธงชาติ
4) กิจกรรมท้าบุญตกั บาตร
5) กจิ กรรมมอบประกาศนียบัตร
6) กิจกรรมถา่ ยภาพร่วมกัน
7) เวรประจ้าวัน

- ร่นุ ท่ี 1 - 11

1. วชิ ากจิ กรรมกลุ่มสมั พันธ์และปรบั ฐานการเรยี นรู้

1) วิทยากรและผรู้ บั ผดิ ชอบวชิ า

นายเมธาพนั ธ์ นิลแกว้ นักทรพั ยากรบุคคลปฏิบัตกิ าร

นางสาววชริ ญาณ์ แย้มเยื้อน นักทรัพยากรบุคคล

2) วตั ถุประสงค์

เพอ่ื ให้สามารถท้าความร้จู กั กนั สานสัมพันธท์ ดี่ ีระหว่างวทิ ยากรกับผอู้ บรม และผอู้ บรมกบั

ผอู้ บรม พร้อมทงั้ สรา้ งบรรยากาศการเรยี นรู้ เตรียมความพร้อมผ้อู บรมกอ่ นเขา้ สู่บทเรียน

3) ประเด็น/ขอบเขตเน้ือหา

3.1) แนะน้าวทิ ยากร และสรา้ งความคนุ้ เคย

3.2) ก้าหนดกติกา/ถอดวางต้าแหนง่ /ก้าหนดอายุในการเรียนร/ู้ ปรบมือเชิงสัญลักษณ์ (ปรบมือใส่รหัส)

3.3) แบง่ กลมุ่ สี

3.4) มอบหมายหนา้ ท่ี

3.5) การรับผา้ สีและปฏิญาณตน

3.6) ความคาดหวัง

3.7) สรปุ การเรียนรู้

4) ระยะเวลา

ระยะเวลารวม 1 ช่วั โมง 40 นาที

5) เทคนิคและวธิ ีการ

5.1) กิจกรรมสัมพนั ธ์ (เพลงและเกมส)์

5.2) ส่อื Power Point บรรยาย

5.3) กระตุ้นด้วยคา้ ถามและแลกเปลย่ี นความคดิ เห็น

5.4) สรุปการเรยี นรู้

6) วสั ดุ / อุปกรณ์

6.1) สื่อ Power Point /ไมโครโฟน/อุปกรณ์ประกอบจงั หวดั

6.2) ผา้ พันคอตามกลุ่มสี 5 สี

6.3) บตั รค้า/ปากกาเคมี

7) ขัน้ ตอนและวิธีการดาเนินการ

7.1) วิทยากรจัดรปู แบบการนงั่ ของผู้เขา้ รับการอบรมเปน็ ตัว U

7.2) วิทยากรเริ่มตน้ โดยการแนะนา้ ตนเอง

7.3) เริ่มกิจกรรมละลายพฤติกรรม โดยกิจกรรมการถอดหัวโขน พูดคุยพบปะ สร้างบรรยากาศให้เกิด

ความผ่อนคลาย สร้างความคุ้นเคย หลังจากน้ันวิทยากรให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมยกมือขวาข้ึน พร้อมกับ

จินตนาการว่าก้าลังถอดหัวโขน (ยศ/ต้าแหน่ง/อ่ืน ๆ) แล้วโยนออกไปยังหม้อดินท่ีวิทยากรถืออยู่หน้าเวที

เพ่ือให้เกิดความรู้สึกว่าทุกคนมีความเท่าเทียมกัน เกิดความเป็นกันเองมากขึ้น จากน้ันวิทยากรจะสอบถาม

อายุ ด้าเนินการลดอายุผู้เข้าร่วมอบรมให้มีอายุเท่ากันทุกคน เพื่อให้เหมาะสมกับการท้ากิจกรรมการเรยี นรู้ 12
โดยใชห้ ลัก 3ค (คึกคกั คลอ่ งแคลว่ ครื้นเครง)

7.4) วิทยากรสรา้ งสัญลักษณร์ ว่ มกนั ด้วยการปรบมือโดยมคี า้ สั่งวา่
“ใส่รหัส... (ค้าส่ัง) สาม สอง หน่ึง จากน้ันให้ผู้เข้าอบรมปรบมือหลังส้ินค้าส่ังเป็นจังหวะ สาม สาม

เจ็ด ต่อด้วย (ค้าสั่ง........เช่น ใส่รหัส สวัสดี ให้ ปรบมือ 123 123 1234567 ตามด้วยคาว่า “สวัสดี”)
วิทยากรทา้ การทดสอบโดยให้ผู้เขา้ อบรมท้าตามค้าส่งั การใส่รหสั

7.5) วทิ ยากรเขา้ สู่การสรา้ งบรรยากาศการมสี ว่ นร่วมด้วยเพลง
เพลง ปรบมือ 5 คร้งั

“ปรบมือ 5 คร้งั (12345) ปรบให้ดังกวา่ น้ี (12345)
ปรบใหม่อีกที (12345) ปรบให้ดกี ว่าเดิม (12345)”

และเพลง ปรบมือ ปรับ ปรบั ปรบั
ปรบมือดงั ปรบั ปรับ ปรับ
กระทบื เท้าดงั ปงั ปงั ปงั

ลกุ ขึน้ ยนื แลว้ นง่ั ลุกขึ้นยนื แล้วนัง่
กระทืบเท้าดัง ปัง ปัง ปัง

แลว้ ปรบมือดัง ปรับ ปรบั ปรบั
โดยวิทยากรออกค้าส่งั ในรอบที่ ๑ ให้ผูอ้ บรมท้าทา่ ทางตามบทเพลง เชน่ ออกค้าสั่งปรบมือ ให้ผู้อบรม
ท้าการปรบมือ ออกค้าส่ังกระทืบเท้าให้ผู้อบรมกระทืบเท้า ฯลฯ พร้อมท้าท่าประกอบไปจนจบเนื้อเพลง ใน
รอบท่ี ๒ วิทยากรให้ผู้อบรมท้าท่าทางตามบทเพลงเช่นเดิม แต่ในรอบน้ีให้ท้าท่าทางสลับกับเน้ือเพลง เช่น
ออกค้าสั่งปรบมือ ให้ผู้อบรมท้าการกระทืบเท้า ออกค้าสั่งกระทืบเท้าให้ผู้อบรมปรบมือ ฯลฯ พร้อมท้าท่า
ประกอบไปจนจบเนือ้ เพลง จากนน้ั วิทยากรชว่ ยกนั ดูว่าผอู้ บรมทา่ นใดท้าท่าทางผิดพลาด ท้าชา้ หรอื ทา้ ไม่ทัน
เพ่ือนใหอ้ อกมาแนะน้าตัวด้านหน้าเวทีเพ่ือสรา้ งความร้จู ักกนั ในหมูค่ ณะ
7.6) วิทยากรให้ผู้เข้ารับการอบรมนบั 1-5 ทั้งฝั่งชายและหญิง เพื่อแยกสมาชิกออกเป็น 5 กลุ่ม ซ่ึงแต่
ละกลุ่มจะมีสมาชิกคละกันท้ังชายและหญงิ ในปริมาณที่ใกล้เคียงกันทุกกลุ่ม จากนั้นวิทยากรให้แต่ละกล่มุ น่งั
ประจ้ากลุ่มเพ่ือให้สมาชิกท้าความรจู้ ักกันในเบ้ืองต้น สุ่ม 1-2 กลุ่มให้พูดชื่อสมาชิกในกลุ่มเรียงล้าดับพรอ้ ม
กนั ทุกคน
7.7) วิทยากรให้เจ้าหนา้ ที่แจกกระดาษฟลิบชารต์ พร้อมปากกาเคมีสองหัว เพื่อให้แต่ละกลุ่มต้ังชอื่ บ้าน
สโลแกน พร้อมท่าประกอบ เพื่อน้าไปใช้เริ่มต้นในการท้ากิจกรรมฐานเรียนรู้ทุกครั้ง จากนั้นให้แต่ละกลุ่ม
นา้ เสนอช่ือบา้ น สโลแกน พรอ้ มทา่ ประกอบ
7.8) วิทยากรน้าเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกผู้น้าบ้าน โดยให้ทุกคนยกมือชูน้ิวชี้ขึ้นด้านบน วิทยากรใช้
ค้าสั่งว่า “ให้ชี้ไปหาคนในกลุ่มตนเองท่ีคิดว่าเหมาะสมจะเป็นผู้ใหญ่บ้านของกลุ่ม หลังจากนับ 1 - 2 - 3
ใหผ้ ู้ทโ่ี ดนเพ่ือนชีม้ ากทีส่ ุดไดร้ ับเลือกเปน็ ผใู้ หญบ่ ้านประจ้ากลุ่ม จากนั้นใหผ้ ใู้ หญ่บา้ นทุกกลมุ่ ยืนขึน้ แลว้ เลือก
ผ้ชู ่วยฯ เลขาฯ นอ้ งเลก็ ตา้ แหนง่ ละ 1 คน
7.9) วิทยากรทา้ การอธบิ ายหน้าท่ีความรบั ผดิ ชอบ

ผ้ใู หญ่บ้าน - เตรยี มความพร้อมของบา้ นทุกกจิ กรรม และก่อนเริ่มเข้าส่วู ิชาตา่ ง ๆ โดยถาม
จ้านวนสมาชิกจากน้องเล็ก

ผชู้ ่วยผใู้ หญ่บ้าน - คอยชว่ ยเหลอื สนับสนุนผใู้ หญบ่ ้าน และทา้ หนา้ ทแ่ี ทนผใู้ หญ่บา้ นกรณี 13
ผู้ใหญ่บา้ นติดภารกิจ

เลขานกุ าร - คอยจดบนั ทึกทกุ กิจกรรม
นอ้ งเลก็ - ทกุ ครั้งก่อนเขา้ ส่กู ระบวนการตอ้ งคอยเช็คยอดสมาชกิ เพอ่ื แจง้ ให้ผ้ใู หญบ่ ้านทราบ
ก่อนเตรียมความพร้อม และสงั เกตสมาชกิ บ้าน กรณีเจบ็ ป่วย หาย โดยจะตอ้ งรู้จักสมาชิก และเบอร์โทรศพั ท์
ทุกคน
7.10) วิทยากรให้ทุกกลุ่มเข้าแถวตอนเรียงตามกลุ่ม โดยให้ผู้ใหญ่บ้านนั่งหน้าสุดและให้น้องเล็กนั่ง
หลงั สุด แล้วใหผ้ ้ใู หญ่บ้านทงั่ 5 กล่มุ พดู คยุ ปรกึ ษากันเพื่อเลือกกา้ นัน (ผนู้ ้ารุ่น) จากนัน้ ใหก้ า้ นันเลอื กสารวัตร
ก้านันจา้ นวน 1 คน
7.11) วิทยากรทา้ การอธบิ ายหนา้ ทีค่ วามรับผดิ ชอบ
ก้านัน - เตรียมความพร้อมลูกบ้านทั้งหมดก่อนเข้าสู่วิชา หลังจากที่ผู้ใหญ่บ้านเตรียม
ความพรอ้ มของลูกบา้ นตวั เองแลว้ และนา้ กลา่ วใส่รหัสสวสั ดี/ขอบคุณวทิ ยากรประจา้ วชิ าหรือฐานเรียนรู้
สารวัตรก้านนั - คอยช่วยเหลอื สนับสนนุ กา้ นัน และทา้ หน้าท่แี ทนกา้ นนั ในกรณที กี่ า้ นันติด
ภารกจิ
7.12) เข้าสู่กระบวนการรับผ้าสี โดยให้ทุกคนอยู่ในความสงบ จากน้ัน วิทยากรให้เจ้าหน้าท่ีเชิญกล่อง
สลาก เพือ่ ใหผ้ ้ใู หญ่บา้ นจับสลากสีประจ้าบ้าน แล้วให้ผใู้ หญ่บา้ นบอกลูกบ้านว่ากลมุ่ ตนเองได้สอี ะไร โดยไมส่ ่ง
เสียงดัง วิทยากรน้าสู่กระบวนการรับผ้าสีโดยให้ผู้แทนของแต่ละกลุ่มสี (ผู้ใหญ่บ้าน) เป็นผู้เข้ารับ จากน้ัน
วทิ ยากรเชญิ เจา้ หนา้ ท่ีเชญิ พานผ้าสี เพอื่ น้าไปวางไว้หนา้ พระบรมฉายาลกั ษณ์ของ ร.9 และ ร.10 ต่อจากน้ัน
เข้าสู่กระบวนการรับผ้าสี เมื่อผู้แทนรับผ้าสีแล้ว ให้กลับมาน่ังที่ และส่งต่อผ้าสีให้ลูกบ้าน โดยส่งต่อกัน
ให้ลูกบา้ นรับไวค้ นละหน่ึงผนื (ห้ามคลผี่ ้าออก) เมือ่ ผูเ้ ข้าอบรมได้รับผ้าครบ วิทยากรใหน้ า้ ผ้าวางไว้บนฝ่ามอื ขวา
และวางมือไวบ้ นหน้าตกั ขวา แลว้ หลับตาเพอื่ รา้ ลกึ ถึงพระราชกรณยี กจิ ของท้ังสองพระองค์ จากน้ันวทิ ยากรให้
ลืมตา และนา้ กล่าวคา้ ปฏิญาณตนตามวิทยากร

คาปฏิญาณตน
ข้าพเจ้า จะตง้ั ในฝึกอบรมศาสตร์พระราชา
เพอ่ื นาไปปรบั ใชใ้ นชีวติ ประจาวันของข้าพเจา้
ครอบครัวของข้าพเจา้ ชุมชนของข้าพเจา้
ตลอดจนประเทศชาติ อยา่ งสดุ ความสามารถ
เมอ่ื กล่าวจบ วทิ ยากรแนะน้าพี่เลย้ี งกลมุ่ สี และสอนวธิ กี ารผูกผ้าสี เม่ือผูกเสรจ็ แล้ว วิทยากร
แนะน้าภารกิจการดแู ลพน้ื ทขี่ องแต่ละกลมุ่ สี โดยให้ดตู ามตารางภารกิจ และบอกกฎกตกิ าการเข้าห้องอบรม
โดยการเข้าหอ้ งอบรมทกุ คร้ัง จะมีการเปดิ เพลงคนื ชวี ิตใหแ้ ผน่ ดนิ หลงั จบเพลง ผู้เขา้ รบั การอบรมจะตอ้ งอยู่ใน
ห้องอบรมครบทุกคน และผู้ใหญบ่ ้านต้องเตรยี มความพร้อมของลกู บ้าน
6.13) วิทยากรให้เจ้าหน้าที่แจกกระดาษบัตรค้า ให้ผู้เข้าอบรมเขียนความคาดหวังต่อโครงการอบรม
ในคร้งั น้ี จากน้นั เจา้ หน้าทเ่ี ก็บรวบรวมเพอื่ นา้ มาสรปุ

8) สรุปผลการเรียนรู้ 14

- รุ่นที่ 1 -

ผู้เข้าอบรมส่วนใหญ่มีความตื่นตัว มีความสนใจ ให้การมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ เช่น สามารถ
ปฏิบัติตามกติกา ค้าส่ัง และการขอความร่วมมอื จากวิทยากรไดเ้ ปน็ อย่างดี สามารถทา้ ความรู้จักกนั ระหว่างผู้
อบรมกับวิทยากร และผู้อบรมกับผู้อบรม ภายในบรรยากาศท่ีสนุกสนานเป็นกันเอง ผู้อบรมสามารถรู้จักการ
บริหารจัดการสมาชิกภายในกลุ่มสี รู้จักการแบ่งบทบาทหน้าที่ มีการยอมรับและให้เกียรติซ่ึงกันและกันผ่าน
การเลือกผู้น้ากลุ่มและมีภาวะผู้ตามท่ีดี รู้จักการเคารพกฎกติกา ระเบียบวินัยในการอยู่เรียนรู้ร่วมกันตลอด
ระยะเวลาที่เข้ารับการฝึกอบรม และวิทยากรสามารถใช้กระบวนการ Play & Learn ที่มุ่งเน้นการละเล่นไป
ด้วยสอดแทรกการเรียนรู้หรือความรู้ไปด้วย ทา้ ใหผ้ อู้ บรมสามารถมีความรู้ความเข้าใจในหลักสูตรได้ดียิ่งขึ้น
และเป็นการเตรยี มความพร้อมผ้อู บรมเพ่ือเข้าสูบ่ ทเรียนของหลกั สตู รตอ่ ไป
9) ภาพกจิ กรรม

.

2. วิชา เรียนรู้ตาราบนผนื ดนิ 15
1) วิทยากรและผรู้ ับผิดชอบวิชา

นางสุพรรษา แกว้ ขุนทด ต้าแหน่ง นักทรัพยากรบุคคลปฏิบตั ิการ
นายปราโมทย์ กิจปลม้ื วิทยากรเครอื ขา่ ยกสกิ รรมธรรมชาติ
2) วัตถปุ ระสงค์
2.1) เพ่ือสา้ รวจและศกึ ษาเรียนรตู้ า้ ราจากผืนดินจากพื้นที่ตน้ แบบ/พนื้ ที่ศนู ยศ์ ึกษาและพัฒนาชุมชน
2.2) เพ่อื วิเคราะห์และนา้ เสนอส่ิงทีส่ ังเกตเหน็ และส่งิ ทีไ่ ดจ้ ากการลงพ้นื ทใี่ นการเรียนรู้
3) ประเดน็ /ขอบเขตเนอื้ หา
3.1) ศกึ ษา ส้ารวจพืน้ ท่ี
3.2) บนั ทึกผลการเรียนรู้ตามประเดน็ ต่าง ๆ
3.3) แลกเปลยี่ นเรียนร้เู พ่มิ เติม
4) ระยะเวลา

ระยะเวลารวม 1 ชั่วโมง

5) วธิ ีการ/เทคนิค
4.1) ชีแ้ จงกฎกติกาและแบง่ กลมุ่
4.2) สรุปบทเรียน

6) วัสดุ /อุปกรณ์
6.1) โทรโขง่
6.2) ส่ือวดิ ีทศั น์ ประกอบการบรรยาย
6.3) สอ่ื PowerPoint
6.4) ปากกาเคมี
6.5) กระดาษฟลิปชารท์
6.6) ฐานเรียนรู้ และพ้นื ท่ีบริเวณศนู ย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนนครนายก

7) ข้ันตอนและวธิ ีการดาเนินการ
7.1) วิทยากรแนะนา้ ตนเอง และชแ้ี จงวตั ถุประสงค์ รายละเอยี ดตา่ ง ๆ รวมถึงแผนผงั ฐานเรยี นรู้
7.2) วทิ ยากรแบ่งทมี ออกเปน็ 2 ทมี พรอ้ มแนะน้าวิทยากรประจ้าทมี เพือ่ ลงพ้นื ที่เรยี นรูต้ า้ ราบนผืนดิน
7.3) วิทยากรมอบโจทยก์ ารเรยี นรู้ ดังน้ี
(1) ท่านเหน็ อะไร จากการส้ารวจ
(2) ทา่ นได้เรียนร้อู ะไรจากการสา้ รวจ
(3) ใหท้ า่ นหยิบส่งิ ของจากฐานเรียนรู้ทีไ่ ดร้ ับมอบโจทย์มา 1 ชน้ิ เพอื่ นา้ มาเสนอใหก้ ับผู้เข้าอบรม
7.4) วิทยากรประจา้ ทีม น้าผเู้ ข้าอบรมลงพื้นทเี่ รยี นรูต้ า้ ราบนผืนดนิ ภายในพนื้ ท่ี ศพช.
7.5) หลังจากเรียนรู้พื้นที่ท้ังหมดแล้ว ให้แต่ละกลุ่มรวมตัวกันเพื่อสรุปและคัดเลือกตัวแทนน้าเสนอตาม

โจทยท์ ไ่ี ด้รับมอบหมาย (1) (2) (3)
คาถามที่ 1 : ท่านเห็นอะไร ? จากการสารวจ
ค้าตอบ: ผูเ้ ข้าอบรมไดเ้ ห็นการใช้แนวทางการใช้ทรัพยากรให้เกดิ ประโยชน์การพ่ึงตนเองและแนวทาง

ในการเปน็ ศูนย์พง่ึ พิงในสถานการณ์วิกฤต และการบรหิ ารการจัดการพน้ื ท่ใี นแต่ละบริบทของศนู ย์ฯ

คาถามท่ี 2 : ทา่ นไดเ้ รียนรอู้ ะไรจากการสารวจ? 16
ค้าตอบ: ผเู้ ขา้ อบรมเรียนร้ถู ึงการใชท้ รัพยากรในพื้นที่ท่ีมีอยู่ให้เกิดประโยชน์สงู สุด การปรับพ้นื ที่ตาม
บริบท ตามสภาพของส่ิงแวดล้อม เป็นพ้ืนท่ี ๆ สามารถพ่ึงตนเองได้ เป็นแหล่งอาหารที่สามารถรองรับวิกฤต
หรือภัยพิบัติ
คาถามท่ี 3 : ท่านหยิบส่ิงของจากฐานเรียนรู้ท่ีได้รับมอบโจทย์มา 1 ชิ้น เพ่ือนามาเสนอให้กบั ผู้
เข้าอบรม? จากการเขา้ รว่ มกจิ กรรมน้ี
ค้าตอบ: ผูอ้ บรมหยบิ ฟาง ผกั สวนครวั หิน ดอกดาวกระจาย
บทเรียนของกจิ กรรม
สถานการณ์การเปลีย่ นแปลงของโลกในด้านภยั ธรรมชาติทีม่ ีความรนุ แรงข้ึนทกุ วัน ท้าใหไ้ ดเ้ รียนรู้ถึง
การพึ่งพาตนเองในยามวิกฤต ผ่านการเรียนรู้ต้าราบนผืนดินดังกล่าว สามารถน้าไปเป็นแบบอย่างในการท้า
แหล่งเรียนรู้ และตระหนักในบทบาทหน้าที่ในการเปน็ ศูนย์พ่ึงพงิ มีการสร้างภูมคิ ุ้มกนั มีการสร้างความมน่ั คง
ทางดา้ นอาหาร สรา้ งความรคู้ วามเข้าใจและสร้างการรบั รทู้ ่ีดีให้กับประชาชน เพอ่ื ใหส้ ามารถปฏิบัติตนในการ
รองรับภัยพิบัติ พร้อมต้ังรับ ต้ังสติ มีการวางแผนที่ดีเพ่ือแก้ไขปัญหาในสถานการณ์ท่ีไม่คาดคิดซึ่งอาจจะ
เกดิ ขึน้ ได้ในอนาคต

8) สรปุ เนือ้ หาการเรียนรู้
ผเู้ ขา้ อบรมส่วนใหญม่ คี วามสนใจ ตง้ั ใจ และมีส่วนรว่ มในการเรียนรู้และการรับฟังการบรรยายในแต่

ละจุดด้วยความต้ังใจ การตอบค้าถาม การแสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ และมีความรู้ความเข้าใจท่ี
ถูกต้องเกี่ยวกบั การพง่ึ ตนเองและรองรบั ภัยพิบัติ อีกทัง้ เกดิ แรงบนั ดาลใจให้สามารถน้าแนวคิด โคก หนอง นา
โมเดล ซึ่งเป็นหน่ึงในทฤษฎีใหม่ เป็นการน้อมน้าศาสตร์พระราชาและปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของ
ในหลวงรชั กาลท่ี 9 ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นวถิ ีชีวิตสู่ความย่ังยนื ต่อไป

9) ภาพกิจกรรม

3. “เขา้ ใจ เข้าถึง พัฒนา” ศาสตรพ์ ระราชกบั การพัฒนาท่ียง่ั ยนื 17
1) วทิ ยากรและผู้รับผิดชอบวชิ า

นางสาวอรวยี ์ แสงทอง นักทรพั ยากรบคุ คลช้านาญการ

2) วัตถุประสงค์
เพอ่ื ให้ผู้เข้ารบั การฝึกอบรมเข้าใจศาสตร์พระราชาและการพฒั นาทย่ี ่ังยนื

3) ประเด็น/ขอบเขตเนอ้ื หา
3.1) หลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
3.2) หลกั การทรงงาน “เข้าใจ เข้าถงึ พฒั นา” พระราชด้ารัสของ ร.9

4) ระยะเวลา
ระยะเวลารวม 2 ชั่วโมง

5) วิธกี าร/เทคนิค
วิทยากร บรรยายเพ่ือให้มีความรู้ ความเข้าใจ หลักหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง การทรงงานและ

พระราชด้ารัส “เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา” ของในหลวง ร.๙ และเรียนรู้จากกรณีตัวอย่าง “โคก หนอง นา
โมเดล”

6) วัสดุ/อปุ กรณ์
สอ่ื Power point และส่อื วดิ ีทัศน์ประกอบการบรรยาย

7) ข้นั ตอนและวธิ ีการดาเนินการ
7.1) วทิ ยากรแนะนา้ ตัว และเกรน่ิ นา้ เนือ้ ที่บรรยาย
7.2) วทิ ยากรใชส้ ่ือวิดที ัศนเ์ พือ่ น้าเข้าสบู่ ทเรียน
7.3) วิทยากร บรรยายเพ่ือให้มีความรู้ ความเข้าใจ หลักหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง การทรงงาน

และพระราชด้ารัส “เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา” ของในหลวง ร.๙ และเรียนรู้จากกรณี ตัวอย่าง “โคก หนอง
นา โมเดล”

7.4) วิทยากรมอบหมายให้แต่ละกลมุ่ สรปุ บทเรยี นจากการฟงั บรรยาย

8) สรปุ เนอ้ื หาการเรยี นรู้
"อาจารย์ยักษ์" หรือ ดร.วิวัฒน์ ศัลยก้าธร (วิทยากร) ประธานสถาบันเศรษฐกิจพอเพยี งและประธาน

มูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ ผู้ก่อต้ังศูนย์กสิกรรมมาบเอื้อง ศูนย์กสิกรรมที่มีวัตถุประสงค์หลักในการขับเคล่ือน
ศาสตร์ของพระราชา ทั้งเป็นหน่ึงคนส้าคัญผู้ขับเคลื่อนหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง วันนี้มาเล่าให้ฟังถึง
ศาสตรพ์ ระราชาและความม่งุ ม่นั ท่ีจะเดนิ ตามรอยพระบาท

ศาสตร์ของพระราชา หลักการคือ การประยกุ ตด์ ้วยหลักทฤษฎใี หม่ ได้แก่การออกแบบพื้นที่เพอ่ื การ
จัดการน้าและการฟนื้ ฟูระบบนิเวศ การจัดการดินและจดั การป่า ปลูกป่า 3 อย่างประโยชน์ 4 อย่าง ภายใต้
หลกั การโคกหนองนาโมเดล

1. หลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง 18
"ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลย-เดชบรม
นาถบพิตร ทรงช้ีถึงแนวทางการด้าเนินชีวิตของประชาชนในทุกระดับ ท้ังในระดับครอบครัว ชุมชน หรือ
ระดับประเทศ ในการปฏิบัติงานหรือบริหารพฒั นาประเทศให้ด้าเนินไปด้วยความไม่ประมาท พระองค์ทรงท้า
ตัวอย่างให้คนไทยได้เห็นผ่านโครงการพระราชด้าริที่ประสบความส้าเร็จกว่า 4,741 โครงการ มากกว่า
47,000 บทเรียน ท้าใหท้ ัว่ โลกใหก้ ารยอมรับและมอบรางวัลให้พระองค์ อาทิ รางวลั นกั วทิ ยาศาสตร์ดินเพื่อ
มนุษยธรรม (IUSS Humanitarian Soil Scientist Award) และรางวัลความส้าเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์
(UNDP Human Development Lifetime Achievement Award) เป็นต้น
2. หลกั การทรงงาน “เขา้ ใจ เขา้ ถงึ พฒั นา” พระราชดารสั ของ ร.9
หลักการ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ตามแนวพระราชด้าริ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอ
ดุลยเดช เปน็ หลกั การสา้ หรบั การแกไ้ ขปญั หาหรอื พฒั นาสิง่ ต่าง ๆ ท่ีสามารถประยุกตใ์ ชไ้ ดก้ บั หลาย ๆ ประเดน็

เข้าใจ : ท้าอะไรต้องเข้าใจปัญหา เข้าใจหนทางแก้ไข เข้าใจกระบวนการจัดการ และปรับ
ความเข้าใจระหว่างผ้ใู ห้ ผู้รับเสียก่อน ให้เข้าใจซงึ่ กนั และกัน

เข้าถึง : เมื่อเข้าใจระหว่างกันทุกประการครบถ้วนแล้ว ต้องเข้าถึงการกระท้า
สร้างความรว่ มมอื จากผเู้ กี่ยวข้อง เขา้ ถงึ เคร่ืองไม้เครื่องมือและวสั ดุอปุ กรณ์ และความสามัคคีร่วมจิต
ร่วมใจของผูป้ ฏบิ ัติ รว่ มมือรว่ มไมก้ นั ทา้ งาน

พัฒนา : เมื่อต่างฝ่ายต่างเข้าใจกันแล้ว เข้าถึงกันแล้ว การพัฒนาก็จะด้าเนินการไปอย่าง
ยั่งยืน ไม่ส่งผลกระทบท่ีติดลบต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม ส่ิงแวดล้อมและการเมือง หากแต่น้าไปสู่
ความสมดลุ มน่ั คง และยั่งยืน

9) ภาพกจิ กรรม

4. วชิ า ถอดบทเรยี นผา่ นสอื่ “แผน่ ดนิ ไทย ตอน แผ่นดนิ วกิ ฤต” 19
1) วทิ ยากรและผู้รบั ผดิ ชอบวิชา

นางสาวอรวยี ์ แสงทอง นักทรัพยากรบคุ คลช้านาญการ
2) วัตถปุ ระสงค์

2.1) เพื่อให้ผู้เรียนได้สังเคราะห์ความรู้ท่ีได้รับจากวิทยากรที่ได้มาบรรยายในแต่ละวิชา มาสังเคราะห์
ความรผู้ า่ นการถอดบทเรยี นจากสื่อ

2.2) เพื่อให้ผู้อบรมมีความรู้ความเข้าใจสถานการณ์โลกปัจจุบันกับการเปล่ียนแปลงของดิน ฟ้า อากาศ
และตระหนกั ถงึ วกิ ฤตปญั หาด้านดนิ นา้ ลม ไฟ โรคติดตอ่ ระบาดทอี่ าจเกิดขึ้นในประเทศไทยและการป้องกัน
ภัย

2.3) เพอ่ื ให้ผู้เข้ารับการฝกึ อบรมตระหนักถึงความส้าคัญของการนอ้ มน้าหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไป
ประยุกตใ์ ช้ในการดา้ รงชีวิต
3) ประเดน็ /ขอบเขตเนอื้ หา

3.1) ภาวะวกิ ฤตสังคมโลก สังคมไทย
3.2) ถ้าเข้าสู่ภาวะวกิ ฤต จะอยรู่ อดได้อยา่ งไร
3.3) ทางออกของวกิ ฤต ดนิ น้า ปา่ คน ดว้ ยโคก หนอง นา โมเดล
4) ระยะเวลา
ระยะเวลารวมจา้ นวน 2 ชว่ั โมง
5) เทคนคิ และวิธีการ
5.1) แบง่ กลุม่ มอบหมายงาน
5.2) นา้ เสนอขอ้ มูลรายกล่มุ องคค์ วามรูท้ ี่ได้รับ /แนวคดิ ทีไ่ ด้ชมคลิปจากการบรรยาย
5.3) รวบรวมองคค์ วามรู้ ข้อเสนอแนะ ค้าแนะน้าจากวทิ ยากรมาสรุปรายละเอียด
5.4) ชมสื่อวิดีทัศน์
5.5) ถอดบทเรยี นจากสอื่ ในประเด็น ไดข้ อ้ คิด/มุมมองอะไรบ้าง และจะท้าอะไรตอ่ ไป
5.6) น้าเสนอ/แลกเปล่ียนเรยี นรู้
6) วสั ด/ุ อปุกรณ์
6.1) ส่ือวิดีทศั น์ “แผ่นดนิ วิกฤติ”
6.2) เครือ่ งคอมพิวเตอร์ เครื่องฉาย และจอภาพ
6.3) บอร์ด กระดาษฟลิปชาร์ท ปากกา
7) ขัน้ ตอนและวธิ ีดา้ เนินการ
7.1) วิทยากรแนะน้าตนเอง และชี้แจงวัตถุประสงค์ของวิชา เกร่ินน้าก่อนเข้าสู่บทเรียนในประเด็น
สถานการณ์ของโลก ประเทศไทย
7.2) วิทยากรใหช้ มชมสือ่ วิดที ศั น์ แผ่นดนิ ไทย ตอน แผ่นดนิ วิกฤต
7.3) วิทยากรมอบโจทย์ในการเรียนรู้ คือ สิ่งท่ีได้เรียนรู้จากการชมส่ือวีดีทัศน์ ข้อคิด และมุมมองในการ
แก้ไขปัญหาเชิงบวก
7.4) กลมุ่ สแี ต่ละกล่มุ ร่วมกันระดมสมองตามโจทย์ที่ไดร้ บั

7.5) แตล่ ะกลมุ่ สีนา้ เสนอ และแลกเปลย่ี นเรียนรู้ 20
7.6) วิทยากรสรุปเติมเต็ม และสร้างกระบวนการเรียนรู้ด้วยการใช้วิธกี าร ถาม-ตอบ และให้ผู้เข้ารับการ
ฝกึ อบรมใหข้ ้อเสนอแนะเพิม่ เตมิ

8) สรุปผลการเรียนรู้
สรุปผลการเรียนรู้ ถอดบทเรยี นผา่ นส่ือวดิ ที ัศน์ “แผ่นดนิ ไทย” ตอน แผน่ ดนิ วิกฤต จากการสงั เคราะห์

ความรขู้ องผเู้ ข้ารับการฝกึ อบรม ทั้ง 5 กลุม่ สี สรุปได้ดงั นี้
ข้อคิดทไ่ี ดร้ ับจากการชมสอื่
1) วิกฤตสิ่งแวดล้อม ภัยธรรมชาติ ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ ดิน นา้ ป่าไม้
2) วิกฤตสังคม โครงสรา้ งทางสังคมส่งผลให้เกิดความเหล่อื มลา้ ทางสงั คม
3) วิกฤตการเมือง ปญั หาทางการเมอื ง นกั การเมืองมักมองเปน็ เกมสท์ างการเมือง เล่นพรรค
เล่นพวก มือใครยาวสาวได้สาวเอา แต่มักเป็นไปแบบเช้าชามเย็นชาม นักการเมืองส่วนมากมัดทุจริต
และกอบโกยผลประโยชน์
4) วิกฤตเศรษฐกจิ ระบบทุนนิยม ท้าลายคน ทา้ ลายภมู ิปัญญา ท้าลายส่งิ แวดล้อม
มมุ มองในการแก้ไขปญั หาเชิงบวก
1) การน้อมนา้ หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใชใ้ นการด้ารงชวี ิต
2) หาความรู้ สรา้ งปญั ญา
3) การน้าทฤษฎบี นั ได 9 ขัน้ สู่ความพอเพียง มาเปน็ กรอบแนวทางในการด้าเนนิ ชีวติ
4) สรา้ งภมู ิคุ้มกันเพื่อการพ่ึงพาตนเอง
5) การท้าโคก หนอง นา
6) น้าวิถีภมู ิปัญญาในการทา้ เกษตรแบบไทยกลบั มาใช้

9) ภาพกิจกรรม

5. วชิ า การแปลงปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี งสูก่ ารปฏิบตั แิ บบเปน็ ขั้นเปน็ ตอน 21
1) วิทยากรและผู้รับผิดชอบวิชา

นางประภา ปานนิตยกลุ ผูอ้ า้ นวยการศูนยศ์ ึกษาและพฒั นาชมุ ชนนครนายก
2) วตั ถุประสงค์

เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในเกี่ยวกับทฤษฎีบันได 9 ขั้น การบริหารเป็นขั้นเป็นตอนน้าเศรษฐกิจ -
พอเพยี ง มาปรับใช้ในชวี ิตประจ้าวนั และสามารถน้าไปปฏิบัติจนเป็นวถิ ชี ีวติ
3) ประเด็น/ขอบเขตเนอ้ื หา

3.1) ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียงกับการสรา้ งความย่ังยืน
3.2) ตวั อย่างการน้าปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี งไปปรับใช้
4) ระยะเวลา
ระยะเวลารวม 2 ช่วั โมง
5) เทคนิคและวธิ ีการ
5.1) วิทยากรบรรยายประกอบสื่อ Power point และสอ่ื วิดิทศั น์
5.2) บรรยาย
6) วสั ดุ /อปุ กรณ์
สอื่ นา้ เสนอดว้ ยโปรแกรม power point
7) ขั้นตอนและวธิ ีการดาเนนิ การ
7.1) วทิ ยากรเกรนิ่ นา้ การแปลงปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี งที่เป็นนามธรรมลงสู่รปู ธรรมการปฏิบัตแิ บบเป็น
ขนั้ เป็นตอน
7.2) วทิ ยากรมอบโจทย์ ให้ผเู้ ข้าอบรมเขยี นค้าจ้ากัดความของคา้ ว่า เกษตรทฤษฎีใหม่ และ ค้าว่า
เศรษฐกจิ พอเพยี ง และสุม่ ผ้นู ้าเสนอ
8) สรปุ เน้อื หาการเรยี นรู้

เศรษฐกิจพอเพียง มุ่งให้คนสามารถพ่ึงพาตนเองได้ เป็นการด้าเนนิ ชีวติ แบบทางสายกลาง โดยตั้งอยู่
บนหลักส้าคัญสามประการคือ ความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการมีภูมิคุ้มกันที่ดี ความพอประมาณ
คือ การพอประมาณในการใช้จ่าย หารายได้ด้วยความสุจริต ไม่ฟุ่มเฟือยจนเกินตัว ความมีเหตุผล คือ
การจะท้าอะไรก็แล้วแต่ต้องมีการตัดสินใจที่ดี คิดอย่างรอบครอบ การมีภูมิคุ้มกันที่ดี คือ การเตรียมตัวให้
พร้อมในการตั้งรับกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดข้ึน ถ้าเป็นในปัจจุบัน คือ วิกฤตโรคระบาด Covid – 19
ซ่ึงเราจะต้องด้ารงอยู่ใหไ้ ดใ้ นสถานการณ์วกิ ฤตที่เกิดข้ึน จะเห็นไดว้ ่าแนวคดิ ของเศรษฐกจิ พอเพียงเปน็ แนวคิด
ทต่ี ัง้ อยบู่ นความไมป่ ระมาท เปน็ การพ่ึงพาตนเองให้ไดม้ ากทส่ี ุด และเผ่อื แผ่ไปถึงสงั คมดว้ ย

ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือ ปรัชญาใหม่ในการพัฒนามนุษย์ ให้เปล่ียน mindset ใหม่
จากมุ่งแข่งขันเป็นมุ่งสร้างสรรค์ แบ่งปัน หัวใจส้าคัญ คือ พระราชด้ารัส “ Our Loss is Our Gain” ย่ิงให้ไป
ย่งิ ไดม้ า ดังน้นั การพัฒนาต้องเป็นไปเพอ่ื สรา้ งขบวนการ “จติ อาสา” พร้อมน้าศาสตรพ์ ระราชาเขา้ แก้ไขปัญหา
ประเทศทั้งในและนอกระบบราชการ

การแปลงปรัชญาลงสู่การปฏิบัตินั้น อาจารย์ยักษ์สอนเสมอว่ามี 3 ระดับ และทุกการกระท้าของคน 22
มปี รัชญาอย่เู บ้อื งหลงั ภายใต้ปรชั ญาซ่ึงเป็นร่มใหญน่ ั้น สามารถแปลงลงสู่การปฏบิ ัตไิ ด้โดยระดับท่ีหนง่ึ แปลง
ลงสู่ทฤษฎีร่มใหญ่ รองลงมาคือ เริมจบั ตอ้ งได้ และทฤษฎีระดับทีส่ ามารถจบั ต้องและน้าไปปฏิบตั ิได้
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จึงถูกแปลงลงสู่การปฏิบัติ เป็นเกษตรทฤษฎีใหม่ แปลงเป็นโคกหนองนา โมเดล
ให้เข้าใจง่าย คือการจัดการดิน และน้าให้เพียงพอส้าหรับเกษตรกร แปลงลงสู่ทฤษฎีบันได ๙ ขั้นสู่ความ
พอเพียง เพื่อสร้างความพออยู่ พอกิน พอใช้ พอร่มเย็น (คืนอากาศให้กับโลก) ด้วยเครื่องมือส้าคัญคือ ป่า 3
อย่างประโยชน์ 4 อย่าง และศาสตร์ว่าด้วยการฟื้นฟูดิน ห่มดิน ให้ปุ๋ยหมักอินทรีย์ชีวภาพน้าและแห้ง (แห้ง
ชามน้าชาม) เพ่ือคนื จุลนิ ทรียใ์ หก้ บั ดิน ท้าให้ดินกลบั สูร่ ะบบนเิ วศของดินท่ีสมบรู ณ์อีกครัง้ จึงมีคาถา "เล้ยี งดิน
ให้ดินเลี้ยงพืช" ศาสตร์ของการจัดการน้า ด้วย "อธรรมปราบอธรรม" การบ้าบัดน้าด้วยธรรมชาติสู้ธรรมชาติ
การท้าระเบิดจุลินทรีย์ การปลูกพืชน้าบ้าบัด ฯลฯ (ซึ่งถูกถ่ายทอดผ่านฐานเรียนรู้ต่าง ๆ อย่างน้อย ๙ ฐาน
เรยี นรู้ ในการอบรม) แนวทางการฟ้นื ฟเู หล่านี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั ได้ท้าให้ดแู ลว้ เป็นทฤษฎีใหม่กว่า
4,000 ทฤษฎี รอเพียงคนไทย เห็นความส้าคัญและตระหนักในสิ่งที่พระองค์ท่านพระราชทานไวใ้ ห้ แล้วเข้า
มาศึกษาเรียนรู้ และน้าไปปฏิบัติ น้าไปลงมือท้า เพ่ือสร้างทางรอดให้กับตนเองและโลก พอประมาณ มีเหตุ
มีภูมิคุ้มกัน จึงเป็นผลของการลงมือท้าตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ท่ีส้าคัญคือ 2 เง่ือนไข คือ "ความรู้"
และ "คณุ ธรรม"
ความรู้ท่ีส้าคัญ คือความรู้ที่พระราชาลงมือท้าไว้ให้ดู เพ่ือให้เราศึกษาและน้าไปท้าตาม แตกต่างได้ตามภูมิ
สังคม คุณธรรมท่ีส้าคัญ ในโลกแห่งความโลภ และมุ่งเงินตรานี้จึงเป็น "การให้" ให้ด้วยความเช่ือมั่นว่า
"Our Loss is Our Gain" ยิ่งให้ไป ยิ่งได้มา และศรัทธาอ่ย่างจริงแท้ว่า "ทานน้ันมีฤทธิ์จริง" และเม่ือโลกเย็น
และเป็นสุขด้วยการให้ น่ันจึงเป็นทางรอดของโลก ในมิติของจิตใจ ส่วนการลงมือท้าการฟ้ืนฟูดิน น้า ป่า การ
สรา้ งอาหารให้มนั่ คงเพียงพอ เป็นทางรอดในมติ ทิ างกายภาพ และทรพั ยากร ท้ังหมดนี้เร่ิมที่ "ใจ" ...ถา้ ไม่พอก็
ทา้ ใหพ้ อ คนท่มี เี กนิ พอกต็ อ้ ง "รูจ้ กั พอ" "แคค่ า้ ว่า พอ กพ็ อแล้ว"

ความสัมพันธ์ของเศรษฐกิจ 3 แบบ 1) ระบบสังคมนิยม เน้นการกระจายรายได้ มุ่งเท่าเทียม ลด
เหล่ือมล้า“INCOME DISTRIBUTION” 2) ระบบทุนนิยม ต้องได้ก้าไรสูงสุด มุ่งตลาดน้าปรับประสิทธิภาพ
และ 3) พอเพียง “ขาดทุนของเรา คือก้าไรของเรา ยิ่งให้ไป... ยิ่งได้มา ” มุ่งสร้างให้พอ เน้นการแบ่งปัน
พอเพยี งไม่ปฏเิ สธทุนนิยมและสงั คมนิยม แต่ใหท้ ้าพื้นฐานให้ม่นั คงเสียกอ่ น ดังพระราชด้ารัสเนอื่ งในโอกาสวัน
เฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิตดาลัย วันท่ี 4 ธันวาคม 2534 ความว่า “...เราไม่เป็นประเทศร่้ารวย
เรามีพอสมควร พออยู่ได้ แต่ไม่เป็นประเทสที่ก้าวหน้าอยา่ งมาก เราไม่อยากเป็นประเทศทก่ี ้าวหน้าอยา่ งมาก
เพราะถ้าเราเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมากก็จะมีแต่ถอยกลับ ประเทศเหล่าน้ันที่เป็นประเทศอุตสาหกรรม
กา้ วหนา้ จะมแี ต่ถอยและถอยหลังอย่างน่ากลวั ...” ซึ่งจะน้าไปสเู่ ป้าหมายการปฏริ ูปประเทศ สรา้ งคนดีมีวินัย
ภมู ใิ จในชาติ สรา้ งความเชย่ี วชาญตามความถนดั ของตนรับผดิ ชอบต่อครอบครัว ชมุ ชนสงั คม และประเทศชาติ
เพ่อื สร้างความยง่ั ยืน สังคมลดความเหลื่อมลา้ เสมอภาค ปรองดอง ดา้ นการเมอื ง ม่นั คง ขจดั คอรัปชั่น โปรง่ ใส
เป็นธรรม ด้านเศรษฐกจิ สร้างความพอเพยี ง เกิดการแบ่งปัน

จากองค์ความรู้ท่ีเกิดจากศาสตร์พระราชา น้ามาซึ่งการพัฒนาคุณภาพชีวิตของปวงชนชาวไทย
เป็นทฤษฎีใหม่ท่ีเก่ียวกับการจัดการ ดิน น้า ป่า คน กว่า 40 ทฤษฎี เช่น โครงการหลวงพืชผักเมืองหน าว
ปลอดสารพิษ ฝายต้นน้าล้าธารฟื้นฟูอนุรักษ์ต้นน้า หน้าแฝกอนุรักษ์ดินและป่า การปลูกป่า 3 อย่าง

ได้ประโยชน์ 4 อย่าง เพื่อรักษาระบบนิเวศ เป็นต้น ส้าหรับเกษตรทฤษฎีใหม่ (การจัดการน้าตามศาสตร์ 23
พระราชาและภูมิปัญญาท้องถ่ิน) คือ แนวพระราชด้าริ การแบ่งสัดส่วนพ้ืนท่ีท้ากินเพื่อการพ่ึงพาตนเอง โดย
ก้าหนดอัตราการใชพ้ ื้นทเ่ี ป็น 30 : 30 : 30 : 10 ได้แก่ สระน้า ท้านา ปลกู พชื และทอ่ี ยู่ ตามล้าดบั จากนั้น
พัฒนาตามขน้ั ตอน 3S คือ

1) อยู่รอด Survival เกษตรทฤษฎีใหม่แบ่งสดั ส่วนพ้นื ที่ทา้ กนิ สรา้ งผลผลติ ใหส้ ามารถพึ่งตนเองได้
2) พอเพียง Sufficiency การรวมพลังในชุมชนในลกั ษณะสหกรณ์ช่วยเหลือกันดา้ นตา่ ง ๆ
3) ย่ังยืน Sustainability ร่วมกันผลักดันให้เกิดการลงทุนจากแหล่งเงินท้าให้เกษตรกรแข็งแรงไม่ถูก
กดราคา
จากสถานการณ์วกิ ฤตทางสิ่งแวดล้อม เช่น ปัญหาภัยแล้ง คงเป็นปัญหาท่ีประเทศไทยกา้ ลังเผชญิ อยู่
ในชว่ งหน้าแล้งของทกุ ปี ทา้ ใหค้ นไทยจะต้องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่เป็นนามธรรมลงสรู่ ูปธรรมการปฏิบัติ
ในโครงการพัฒนาพน้ื ที่ต้นแบบการพฒั นาชีวติ ประยุกตส์ ู่ โคก หนอง นาโมเดล
สรุปผลการเรยี นรู้
ผู้เข้าอบรมมีความเข้าใจในหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่การปฏิบตั ิมากขน้ึ และไดต้ ระหนักถึง
ความส้าคัญของโครงการฯในพระราชด้าริต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึน รวมถึงการเข้าใจในบริบทของ เกษตรทฤษฎีใหม่
และการขับเคลอ่ื นหลักปรัชญา ไปใชใ้ นชีวติ ประจา้ วันด้วย

9) ภาพกิจกรรม

6. วิชา ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง “ทฤษฎบี ันได 9 ข้ัน สคู่ วามพอเพยี ง” 24
1) วทิ ยากรและผู้รับผิดชอบวิชา

นางประภา ปานนติ ยกลุ ผูอ้ ้านวยการศูนยศ์ ึกษาและพฒั นาชมุ ชนนครนายก
2) วัตถุประสงค์

เพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมมีความรู้ ความเข้าใจหลักคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ทฤษฎีใหม่
การบริหารจัดการตามข้ันตอนเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ในชีวิตประจ้าวัน และสามารถน้าไปปฏิบัติจนเปน็
วิถีชีวติ
3) ประเดน็ /ขอบเขตเนอื้ หา

3.1) หลักคิด “ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง”
3.2) การประยุกต์ใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในระดับบคุ คล กล่มุ องคก์ ร ชุมชน และสงั คม
3.3) พระราชดา้ ริ “ทฤษฎใี หม”่ การบรหิ ารจัดการตามขนั้ ตอน

ทฤษฎใี หม่ขั้นที่หนึง่ : อยู่รอด แบ่งสดั สว่ นพนื้ ที่ สร้างผลผลิต ครัวเรอื นสามารถพงึ่ ตนเองได้
ทฤษฎีขั้นท่สี อง : พอเพยี ง ชุมชนรวมกลุม่ พ่ึงตนเอง
ทฤษฎีข้ันทสี่ าม : ยั่งยืน การบริหารจดั การ สรา้ งมูลคา่ เพ่มิ พัฒนาการตลาด
3.4) เศรษฐกจิ พอเพยี งความเขม้ แข็งที่เป็นรปู ธรรมตามวิถีวัฒนธรรม ภมู ิปัญญา และภมู ิสงั คม
4) ระยะเวลา
ระยะเวลารวม 2 ชั่วโมง
5) เทคนิคและวธิ กี าร
5.1) วิทยากรบรรยายเน้ือหา
5.2) วิทยากรเปิดส่ือวิดีทัศน์
5.3) วิทยากรมอบหมายงาน โดยให้ผูเ้ ขา้ อบรมแบ่งกลมุ่ พร้อมน้าเสนอในแตล่ ะประเด็นเนอ้ื หา
6) วัสดุ /อุปกรณ์
6.1) สือ่ วิดีทัศน์
6.2) บทความ
6.3) กรณศี ึกษา
6.4) PPT
6.5) คอมพวิ เตอร์ เคร่ืองฉาย และจอภาพ
6.6) บอรด์ ,ปากกา
7) ขนั้ ตอนและวธิ กี ารดาเนินการ
7.1) วทิ ยากรแนะน้าตัว สรา้ งความพรอ้ มหรือกระตุ้นผูร้ บั การฝึกอบรม พรอ้ มแนะนา้ เนอ้ื หาวิชาเบอื้ งต้น
7.2) วิทยากรบรรยายเนือ้ หา ดงั น้ี
- หลกั คดิ “ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง”
- การประยุกต์ใช้หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียงในระดบั บุคคล กลุ่ม องค์กร ชุมชน และสังคม
- พระราชด้าริ “ทฤษฎใี หม”่ การบรหิ ารจัดการตามขัน้ ตอน

ทฤษฎีใหมข่ ้นั ที่ 1 อยู่รอด แบง่ สัดส่วนพ้นื ท่ี สร้างผลผลิตครว้ั เรอื น สามารถพ่งึ ตนเองได้ 25
ทฤษฎใี หม่ข้นั ที่ 2 พอเพยี ง ชุมชนรวมกลุ่ม พงึ่ ตนเองได้
ทฤษฎีใหมข่ ้ันที่ 3 ย่งั ยนื การบรหิ ารจดั การ สรา้ งมลู คา่ เพม่ิ พฒั นาการตลาด
- เศรษฐกิจพอเพียงความเข้มแข็งท่ีเปน็ รูปธรรมตามวิถีวัฒนธรรม ภูมิปญั ญา และภมู ิสังคม
7.4) วิทยากรเปดิ ส่ือวิดีทัศน์ เนื้อหาเกีย่ วขอ้ งกบั “ทฤษฎบี ันได 9 ขนั้ สู่ความพอเพยี ง”
7.3) วิทยากรน้าเสนอกรณีศกึ ษาเพอื่ ช่วยให้ผู้เขา้ รับการฝึกอบรมสามารถเชือ่ มโยงสถานการณจ์ ริงกับ
ทฤษฎีได้และน้าไปสู่การปฏิบัติได้จริง

8) สรุปเนื้อหาการเรียนรู้
ในหลวงรชั กาลที่ 9 ท่านทรงเปรียบเศรษฐกิจพอเพียงเปน็ เสมือนบ้าน ควรมเี สาเขม็ พง่ึ ตนเองเป็นพ้ืนฐาน

เพราะฉะนั้นเศรษฐกจิ พอเพียงตามหลักกสิกรรมธรรมชาติจึงเป็นการแปลงสาระส้าคัญของเศรษฐกิจพอเพียง
เป็น “ทฤษฎีบันได 9 ขัน้ ส่คู วามพอเพยี ง” สามารถสรปุ ได้ ดังน้ี

บันไดข้ันที่ 1 – 4 เศรษฐกิจพอเพียงขั้นพนื้ ฐาน

ขนั้ ที่ 1 คือ พอกิน ซึ่งเปน็ ขน้ั พืน้ ฐานที่สดุ ของมนษุ ย์ คอื ความตอ้ งการปจั จยั 4 และประการทีส่ ้าคัญ
ทีส่ ดุ ของปจั จัย 4 คือ อาหาร โดยเห็นวา่ แนวทางการแก้ปญั หาทีย่ ่ังยืน คือ การตอบคถามใหไ้ ดว้ ่า “ทา้ อยา่ งไร
จึงจะพอกิน” ซึ่งจะต้องให้ความส้าคัญกับอาหารเป็นหลัก เกษตรกรต้องอยู่ให้เป็นโดยไม่ใช้เงิน มีอาหารพอมี
พอกนิ ด้วยการปลกู ผัก ผลไม้ มีการเก็บข้าวไวใ้ หพ้ อกนิ ท้งั ปี

ขั้นท่ี 2 – 4 คือ พอใช้ พออยู่ พอร่มเย็น สามารถเกิดข้ึนได้พร้อมกัน โดยการ “ปลูกป่า 3 อย่าง
ประโยชน์4อย่างป่าอย่างจะให้ทั้งอาหารเครื่องนุ่งห่มสมุนไพรส้าหรับรักษาโรคให้ไม้ส้าหรับท้าบ้ านพักที่อยู่
อาศยั และให้ความร่มเย็นกบั บ้านและชมุ ชนและจะเปน็ แนวทางในการแกป้ ัญหาความยากจนจาการทา้ เกษตร
เชงิ เด่ยี วปัญหาความเสอ่ื มโทรมของทรพั ยากรปัญหาความขาดแคลนนา้ ภัยแลง้ ทง้ั หมดลว้ นแกไ้ ขได้จากแนวคิด
ป่า 3 อยา่ งประโยชน์ 4 อยา่ งขององคพ์ ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัวฯ รัชกาลท่ี 9

บนั ไดขั้นท่ี 5-9 คือ เศรษฐกจิ พอเพียงข้นั ก้าวหน้า
ข้ันที่ 5-6 บุญและทาน จากความเช่ือม่ันว่าสังคมไทยเป็นสังคมบุญ สังคมทาน ไม่เน้น
การแลกเปลี่ยนทางการค้า แต่เน้นการท้าบญุ ไมเ่ นน้ การสะสมเปน็ ของสว่ นตัว แต่เนน้ การให้ทาน
ขั้นที่ 7 เก็บรักษา ขั้นต่อไปหลังจากสามารถพ่ึงตนเองได้ พอมี พอเหลือท้าบุญ ท้าทานแล้ว
คือ การรู้จักเก็บรักษา ซ่ึงเป็นการตั้งอยู่ในความไม่ประมาท และการรู้จักเก็บรักษา ยังเป็นการสร้างรากฐาน
ของการเอาตัวรอดในเวลาเกดิ วกิ ฤตการณ์
ข้ันที่ 8 ขาย เนื่องจากเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ใช่เศรษฐกิจการค้า แต่ก็ไม่ใช่เศรษฐกิจหลังเขา การค้า
ขายสามารถทา้ ได้ แตท่ า้ ภายใต้การรู้จกั ตนเอง รจู้ กั พอประมาณ และท้าไปตามล้าดับ โดยของท่ขี าย คอื ของที่
เหลือจากทกุ ขน้ั แลว้ จึงน้ามาขาย เชน่ ทา้ นาอนิ ทรีย์ ปลกู ขา้ วปลอดสารเคมี ไม่ทา้ ลายธรรมชาติ ได้ผลผลติ เก็บ
ไว้พอกิน เก็บไว้ท้าพันธุ์ ท้าบุญ ท้าทาน แล้วจึงน้ามาขายด้วยความรู้สึกของการ “ให้” อยากท่ีจะให้ส่ิงดี ๆ
ทีเ่ ราปลกู เอง เผอ่ื แผ่ใหก้ บั คนอ่ืน ๆ ได้รับสิ่งดี ๆ นน้ั ๆ ด้วย
ขัน้ ท่ี 9 เครือข่าย คอื การสรา้ งเครอื ข่ายเชือ่ มโยงทง้ั ประเทศ เพอ่ื ขยายผลความ สา้ เร็จตามแนวทาง
เศรษฐกิจพอเพียง สู่การปฏิวัติแนวคิด และวิถีการด้าเนินชีวิตของคนในสังคม ในชุมชน เพื่อการแก้ปัญหา

วิกฤต 4 ประการ อันได้แก่ วิกฤตการณ์สิ่งแวดล้อม ภัยธรรมชาติ วิกฤตการณ์โรคระบาดทั้งในคน สัตว์ พืช 26
วกิ ฤตเศรษฐกจิ ขา้ วยากหมากแพงวิกฤตความขัดแยง้ ทางสังคม

ผู้เข้าอบรมสว่ นใหญ่ มีความเข้าใจเกยี่ วความเป็นมาของ “ทฤษฎีบนั ได 9 ขัน้ สู่ความพอเพียง” เพม่ิ
มากข้ึน และเข้าใจหลักคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สามารถน้าหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไป
ประยุกตก์ ับตนเอง และองค์กร ได้ และตระหนกั ถึงการบรหิ ารจัดการเป็นขน้ั เปน็ ตอนตามค้ากล่าวท่วี ่า “เดนิ ที
ละกา้ ว กินข้าวละคา้ ” เน้นแนวคิดการพงึ่ ตนเองเปน็ หลัก
9) ภาพกจิ กรรม

7. วชิ า หลักกสิกรรมธรรมชาติ
1) วิทยากรและผู้รบั ผดิ ชอบวชิ า

นายปราโมทย์ กิจปลื้ม
2) วตั ถุประสงค์

2.1) เพอื่ ใหผ้ รู้ ับการฝึกอบรมรู้ถึงประโยชน์ของการปลูกต้นไม้ตามแนวคิด ป่า ๓ อย่าง ประโยชน์ ๔ อยา่ ง
2.2) จัดรปู แบบการปลกู ใหเ้ กิดคณุ คา่ และบูรณาการในพน้ื ทที่ า้ กนิ เดิมใหม้ สี ภาพใกลเ้ คยี งกับป่า
2.3) สรา้ งมูลค่าต้นไมท้ ่ปี ลกู ทา้ ใหเ้ ป็นทรพั ย์ เพ่อื ออมทรัพย์และใชแ้ ก้ปญั หาความยากจน
3) ประเดน็ /ขอบเขตเนอื้ หา
3.1) แนวคดิ ความเป็นจริงแหง่ ปญั หาภัยทุนนิยม
3.2) แนวคิด ปัญหาต่าง ๆ ของเกษตรกรท่ีประสบอยู่
3.3) แนวทาง วธิ กี ารใชก้ ระบวนการจดั การดนิ , น้า, ปา่ และครวั เรอื นตามแนวปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี ง
เพ่อื ชมุ ชนคนอย่กู บั ป่า
3.4) ศกึ ษาในแนวคดิ และแนวทางวิถีแห่งสงั คมไทย
3.5) แนวคดิ ฐานการเรยี นรู้ ดิน,น้า,ปา่ และครัวเรอื นเพ่อื สรา้ งความพอเพียงม่ันคง มงั่ คัง่ ย่งั ยืน
3.6) หวั ใจหลักกสกิ รรมธรรมชาติ กับ ป่า ๓ อยา่ ง ประโยชน์ ๔ อย่าง

4) ระยะเวลา 27
ระยะเวลารวม 1 ชว่ั โมง

5) เทคนคิ และวธิ กี าร
5.1) วิทยากรบรรยายให้ความรู้ โดยใช้สื่อ Power Point ประกอบการบรรยาย
5.2) แลกเปลย่ี นความคิดเหน็

6) วัสดุ /อุปกรณ์
6.1) ส่ือ Power Point
6.2) คอมพวิ เตอร์ เครอ่ื งฉายโปรเจคเตอร์

7) ขน้ั ตอนและวิธีดาเนนิ การ
7.1) วิทยากรแนะนา้ ตวั สรา้ งความพร้อมหรอื กระตนุ้ ผรู้ ับการฝึกอบรม พร้อมแนะนา้ เน้อื หาวิชาเบื้องตน้
7.2) วิทยากรเปิดสื่อวิดีทัศน์ในการเข้าสู่บทเรยี น “แนวพระราชด้ารัสในหลวง ร.9” และ “หลักกสิกรรม

ธรรมชาติ”
7.3) วทิ ยากรสรุปบทเรียนจากวดิ ที ัศน์
7.4) วิทยากรบรรยายเน้อื หาหลกั กสกิ รรมธรรมชาติตามขอบเขตเนอื้ หา

8) สรุปเนือ้ หาการเรยี นรู้
จากการบรรยายสามารถสรุปใจความสา้ คญั ได้ ดังนี้
ความหมายของค้าว่า “กสิกรรม” และ “เกษตรกรรม” ค้าว่า “กสิกรรม” กับค้าว่า

“เกษตรกรรม” มีความหมายต่างกัน ค้าว่า“กสิกรรม” มาจากค้าบาลีว่า กสิกมฺม (อ่านว่า กะ-สิ-กัม-มะ) ซึ่ง
หมายถึง การเพาะปลูก, การไถ ในภาษาไทยค้าวา่ “กสิกรรม” เขียนคา้ วา่ กรรม ตามแบบสนั สกฤต คือ ก ไก่
ร หัน ม ม้า หมายถึง การท้าไร่ไถนา ใช้ตรงกับค้าภาษาอังกฤษว่า farming (อ่านว่า ฟาร์ม-ม่ิง) ส่วนค้าว่า
“เกษตรกรรม” มาจากค้าสันสกฤตว่า เกฺษตฺร (อ่านว่า กะ-เสด-ตระ) ซ่ึงหมายถึง นา กับค้าว่า กรฺม (อ่านว่า
กัม -มะ) ซงึ่ หมายถงึ การกระทา้ ค้าวา่ เกษตรกรรม ใช้ตรงกบั คา้ ภาษาอังกฤษว่า agriculture (อา่ นวา่ อะ-กรฺ ี-
คัล-เชอ่ ร์) หมายถงึ การใชป้ ระโยชน์จากท่ีดนิ เชน่ การเพาะปลูกพืชต่าง ๆ การปา่ ไม้ รวมท้ังการเล้ียงสตั ว์ และ
การประมงดว้ ย

กสิกรรม คือ การเพาะปลูก เล้ียงสัตว์ ไม่รวมถึงการประมงหรือป่าไม้ โดยค้าว่า กสิ คือ การไถ
หวา่ น จึงหมายถึงผทู้ า้ การปลกู ขา้ ว พ่งึ ตนเอง พึง่ ธรรมชาติ ไมธ่ รรมลายเคารพนอบนอ้ มตอ่ ธรรมชาติ และเกิด
มิตทิ างความเช่ือและจิตวญิ ญาณเป็นท่ีมาแหง่ วิถีวัฒนธรรมไทย เพราะสมัยก่อนคนไทยจะเรียกดนิ ว่า แมธ่ รณี
เรยี กน้าว่าแม่คงคา เรียกฝนว่าพระพิรณุ เรยี กขา้ ววา่ แมโ่ พสพ และตน้ ไม้น้ันก็เชือ่ วา่ มรี ุกขะเทวดาเฝ้าอาศัยอยู่
รวมถึงวัฒนธรรมเกยี่ วกับการเพาะปลกู ในสมยั กอ่ นท่ีมกี ารทา้ พิธขี วัญควาย เพราะควายมพี ระคณุ ตอ่ ชาวนา

เกษตร มาจากศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Agriculture เป็นแนวคิดตะวันตกแบบทุนนิยม เน้นความ
ร่้ารวยและผลประโยชน์สงู สุด น้าไปส่กู ารท้าลายน้า ดิน และทรพั ยากรธรรมชาติท้ังหมด ส่วนเกษตรสมัยใหม่
น้ัน ท้าแบบผูกขาดครบวงจร ดังค้ากล่าวที่ว่า “เกษตรนายทุนครบวงจร เกษตรกรครบวงจน” เป็นการท้า
เกษตรเชิงเดย่ี ว มกี ารดดั แปลงพนั ธกุ รรมพืชและสัตว์ ใช้เทคโนโลยแี ละเครอื่ งจักรในการผลิต เกษตรกรหันมา
ใชส้ ารเคม/ี ปยุ๋ / ยาฆ่าแมลง และฮอร์โมนตา่ ง ๆ ในภาคการเกษตร ทา้ แบบครบวงจรเพ่ือสร้างระบบผูกขาด

ใช้กลไกตลาดเป็นตัวควบคุมราคา และท้ายท่ีสุดเปลี่ยนการผลิตเป็นเกษตรอุตสาหกรรม เช่น บริษัท CP 28
ค้นควา้ การผลิตไก่แบบไมม่ ีขน เน้นการใช้เทคโนโลยีเพอ่ื การผลิตและเนน้ ผลกา้ ไรสงู สดุ

ปัจจัยท่ีท้าให้เกิดทุกข์ของแผ่นดินในระบบการศึกษา เศรษฐกิจการเมือง พิจารณาได้จากบันได
3 ขั้น ของลัทธกิ ารลา่ อาณานิคมสมยั ใหม่ ข้นั ท่ี 1 ครอบงา คือ ระบบการศึกษาท่ีแยกส่วนปลูกฝังอุดมการณ์
ทุนนิยม โดยระบบการศึกษาที่ล้มเหลว น้าสู่ระบบราชการท้าให้บูรณาการกันไม่ได้ ขั้นที่ 2 ควบคุม
คือ ระบอบประชาธิปไตยแบบผู้แทนผูกขาดรัฐสภาที่ขาดคุณธรรมการเลือกต้ัง และการซอ้ื เสียงเพื่อได้อ้านาจ
บริหาร และนิติบัญญัติ รวมถึงการสรา้ งเศรษฐกิจแบบผูกขาด ขั้นท่ี 3 ยึดครอง คือ ยึดครองที่ดินเกษตรโดย
ธนาคาร หรือภาคอุตสาหกรรม โดยแหล่งน้าผิวดินท่ีเสื่อมโทรมมากคือ แม่น้า เจ้าพระยาและท่าจีนตอนลา่ ง
สะแกกรัง ลพบุรี เพชรบุรีตอนล่าง และล้าตะคอง ตอนล่าง ซึ่งมีความหนาแน่นของประชากร และกิจกรรม
ทางเศรษฐกจิ

ท้ังนี้ผลกระทบจากการท้าเกษตรกรรมแบบทุนนิยม จะส่งผลผลกระทบข้างเคียงต่อเกษตรกร/
ผบู้ ริโภค ได้แก่

1. ผลกระทบต่อเกษตรกร สารพษิ สะสมในตวั เกษตรกร(80%) สขุ ภาพอ่อนแอเส่ียงต่อการเป็น
โรคร้ายแรง สุดท้ายหมดตวั จากการปว่ ยไข้

2. ผลกระทบต่อผ้บู ริโภค คือ บริโภคอาหารมีสารพษิ และฮอร์โมนตกคา้ งเสย่ี งตอ่ โรคร้ายแรงอายุ
สัน้ ตายก่อนวยั อนั ควร สารตกคา้ งทพี่ บมากที่สุด ในกะหลา้่ ปลี กะหล้า่ ปลสี ีม่วง กะหล้า่ ดอก คะน้า ถัว่ ฝกั ยาว
พริก ถั่วลันเตา สลัดแก้ว ผักกาดฮ่องเต้ บล็อกโคลี่ ผลไม้ที่มีสารตกค้างมากท่ีสุด ได้แก่ องุ่น ส้ม สตรอเบอรี่
แคนตาลูป และแตงโม ตามล้าดับ สว่ นสารพิษตกค้างในอาหาร ผกั 4 อันดับทม่ี ีสารตกคา้ งมากท่ีสุด ได้แก่ 1)
ถ่ัวฝกั ยาว เกินค่าความปลอดภัย 2-10 เท่า2) ผกั ชีเกินคา่ ความปลอดภัย 30-100 เท่า 3) พรกิ จินดา เกนิ
ค่าความปลอดภัย 121 เทา่ และ 4) คะน้า เกนิ ค่าความปลอดภัย 202 เท่า

3. ผลกระทบด้านภูมิปัญญาและวิถีท้องถ่ิน ท้าลายระบบการพึ่งพาตนเองของเกษตรกรปุ๋ย/
เมล็ดพันธุพ์ ืช/พนั ธ์ุสัตว์ ท้าลายภูมปิ ัญญาท้องถิน่ สมนุ ไพรวิถกี ารเพาะปลกู พืชการเล้ยี งสตั ว์

จากผลกระทบของการท้าเกษตรในระบบทุนนิยม แนวคิดหลักกสิกรรมจึงต้องมีคาถาเล้ียงดิน
เพอ่ื ระลกึ ถงึ การท้าเกษตร

ยทุ ธศาสตร์ของกสิกรรมธรรมชาติ คอื “ดิน” ดนิ ดคี ือดินมชี วี ิต “เราเชอ่ื วา่ ดินมีชวี ติ ” เรามาชว่ ยกัน 29
“คืนชวี ติ ใหแ้ ผน่ ดนิ ” ตามพระราชดา้ รขิ องในหลวง รัชกาลท่ี 9 ทว่ี า่ จะทา้ ให้ดนิ ดี อย่าปอกเปลอื กเปลอื ยดนิ
ให้หม่ ดิน บ้ารุงดนิ ดว้ ยแหง้ ชาม (ป๋ยุ หมกั ) น้าชาม (ปยุ๋ น้าหมัก) และลักษณะการปลูกพชื ตามหลักกสิกรรม
ธรรมชาติ ควรปลกู ดอกไม้ลอ่ แมลง เรยี กว่า การหลอกลอ่ สมุนไพรไลแ่ มลง(เปล่ยี นกล่นิ พชื ) ปลูกดอกไม้หลาก
สี ดงึ ดูด ตัวห้า ตัวเบยี น กบั ดกั แมลง ไฟลอ่ แมลง ส่วนการบริหารจดั การนา้ ตามศาสตร์พระราชา ใชแ้ นวคดิ
“จากภูผา...สมู่ หานที” ดังภาพ

9) ภาพกจิ กรรม

8) ฝกึ ปฏิบตั ิฐานเรยี นรู้
1) วิทยากรและผรู้ ับผิดชอบวชิ า

นางสาวพิมพณ์ ดา ไมตรเี วช นกั วิชาการพฒั นาชมุ ชนปฏบิ ตั กิ าร และวทิ ยากรประจ้าฐานเรียนรู้
2) วตั ถปุ ระสงค์

๑.1) เพ่ือให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมรู้และเข้าใจถึงการนอ้ มนา้ หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้
ในชีวติ ประจา้ วนั และสามารถปฏบิ ัติจนเปน็ วิถีชีวติ

1.2) เพ่ือผเู้ ขา้ อบรมมที ักษะ ความรู้ในแตล่ ะฐานการเรียนรู้และน้าไปปฏบิ ตั ไิ ด้
1.3) สามารถน้าความรู้และเทคนิคในฐานต่าง ๆ ไปประยุกต์ใช้เป็นอาชีพเสริมในครัวเรือน เพื่อให้เกิด
รายไดแ้ ละพึง่ พาตนเองได้

3) ประเดน็ /ขอบเขตเน้ือหา 30

(1) ฐานเรียนรู้ “คนรกั ษ์แม่ธรณี” เนอ้ื หาการเรยี นรู้: การห่มดิน
(2) ฐานเรียนรู้ “คนรกั ษแ์ มธ่ รณี” เน้ือหาการเรียนรู้: การทา้ ปยุ๋ ชีวภาพ
(3) ฐานเรยี นรู้ “คนรักษส์ ุขภาพ” เนอื้ หาการเรยี นรู้: การสเปรยก์ ันยุง
(4) ฐานเรยี นรู้ “คนมนี า้ ยา” เนื้อหาการเรียนรู้: การทา้ น้ายาอเนกประสงค์
(5) ฐานเรยี นรู้ “เสวยี นไม้ไผ่” เนอ้ื หาการเรียนรู้: การท้าเสวยี นจากไมไ้ ผ่และการทา้ เสวยี นยังชพี
(6) ฐานเรียนรู้ “คนรักษน์ า้ ” เนอ้ื หาการเรียนร้:ู การทา้ ฝายชะลอน้า
(7) ฐานเรยี นรู้ “คนรักษ์น้า” เนื้อหาการเรยี นรู:้ การท้าลูกระเบดิ จุลินทรยี ์ง
(8) ฐานเรียนรู้ “หนึง่ งาน บ้านพอเพยี ง” เน้อื หาการเรยี นรู้: การทา้ อาหารไก่แบบพอเพยี ง
(9) ฐานเรียนรู้ “คนรักษป์ า่ ” เนอื้ หากรเรยี นรู้: การขยายพนั ธพ์ุ ืช
4) ระยะเวลา

ระยะเวลารวม 6 ชัว่ โมง

5) เทคนคิ และวิธีการ

5.1) วิทยากรประจ้าฐานบรรยายเพื่อให้มคี วามรู้ เกีย่ วกับฐานการเรียนรู้ ฝึกปฏบิ ัติและตอบขอ้ ซักถาม

5.2) วิทยากรมอบหมายให้ผู้เขา้ รับการฝกึ อบรมลงมอื ฝึกปฏิบัติดว้ ยตนเอง

5.3) ผูเ้ ขา้ รับการฝกึ อบรมสรปุ ผลกจิ กรรมเปน็ รายกลมุ่

6) วสั ดุ / อปุ กรณ์

6.1) วสั ด/ุ อุปกรณ์ ประจา้ ฐานเรยี นรู้

6.2) เอกสารองค์ความรูใ้ นแตล่ ะฐานเรียนรู้

6.3) บอร์ด, ปากกา, กระดาษฟลปิ ชาร์ท

6.4) อปุ กรณ์ขยายเสียง, ไมคโ์ ครโฟน

7) ขั้นตอนและวธิ ีการดาเนนิ การ

7.1) วิทยากรแนะน้าตัวเอง เน้ือวิชา แผนผังจุดเรียนรู้ และแนะน้าวิทยากรประจ้าจุดเรียนรู้ทั้ง 9 ฐาน
เรยี นรู้ และมอบโจทย์ ดังน้ี

1) ทา่ น ไดเ้ รียนร้อู ะไรจากการฝึกปฏบิ ัติ
2) ท่าน จะน้าไปปรับใช้/ประยุกต์ใช้ กับตนเอง ชุมชน และองค์กร อย่างไรและให้แต่ละกลุ่มสี
วิเคราะหส์ งิ่ ท่ไี ดจ้ ากการฝกึ ปฏบิ ัติ ตามโจทย์ทไ่ี ดร้ ับมอบหมายโดยมเี วลาน้าเสนอกลมุ่ ละ 10 นาที
7.2) วิทยากรอธิบายกติกาการฝึกปฏิบัติให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมทราบ คือ ผู้ใหญ่บ้านใส่รหัสสวัสดี
วิทยากร และกลุ่มสีให้กลุ่มสีน้าเสนอสโลแกน ท่าประจ้าบ้าน ก่อนเร่ิมเรียนนรู้ ณ ฐานเรียนรู้ทุกจุด และเมื่อ
เสร็จสน้ิ กจิ กรรมในแต่ละจุดให้ผูใ้ หญบ่ ้านใสร่ หสั ขอบคณุ วิทยากร
7.3) วิทยากรประจ้าฐานเรยี นรู้ นา้ ผ้เู ข้ารับการฝึกอบรมแตล่ ะกลุ่มสี ไปที่ฐานเรยี นรู้
7.4) วิทยากรประจ้าฐานเรียนรู้ อธิบายเนื้อหาความรู้และน้าผู้เข้ารับการฝึกอบรมลงมือฝึกปฏิบัติ
(ฐานเรียนรู้ละ 20 นาท)ี

1) ฐานเรยี นรู้ “คนรกั ษ์แมธ่ รณี” เนื้อหาการเรยี นรู้: การห่มดนิ 31
การห่มดนิ ตามหลักกสกิ รรมธรรมชาติ โดยใช้ฟาง เศษหญ้า หรอื ใบไม้ท่สี ามารถย่อยสลายได้

เองตามธรรมชาติห่มหรือคลุมลงบนหน้าดิน และใส่ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพลงไป เพ่ือให้อาหารแก่ดิน ดิน
จะปลอ่ ยธาตุอาหารใหพ้ ชื โดยกระบวนการย่อยสลายของจลุ ินทรยี ์ เรียกหลักการน้ีว่า “เลี้ยงดิน ใหด้ นิ
เลีย้ งพืช”

1) ห่มดินด้วยฟาง เศษหญ้า หรือใบไม้ รอบโคนต้นไม้ประเภทไม้ยืนต้นหรือพืชที่เราปลูก
หา่ งจากโคนตน้ ไม้หรอื พืชที่ปลกู 1 คืบ หม่ หนา 1 คบื ถึง 1 ฟตุ ตอ้ งท้าเปน็ วงเหมอื นโดนทั

2) โรยด้วยปุ๋ยคอก (มูลสัตว์) บาง ๆ และรดด้วยน้าหมักชีวภาพผสมน้าเจือจาง อัตราส่วน
1 : 100 - 200 หรือเรยี กข้นั ตอนนีว้ ่า “แห้งชาม นา้ ชาม”

2) ฐานเรยี นรู้ “คนรกั ษ์แมธ่ รณี” เนอ้ื หาการเรียนรู้: การทาปุ๋ยชวี ภาพ
ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ หมายถึง สารธรรมชาติที่ได้จากกระบวนการหมักบ่มวัตถุดิบจาก

ธรรมชาติต่าง ๆ ทั้งพืช และสัตว์จนสลายตัวสมบูรณ์เป็นฮิวมัส วิตามิน ฮอร์โมน และ สารธรรมชาติ
ต่าง ๆ ซึ่งเป็นท้ังอาหารของดิน ตัวเร่งการท้างานของสิ่งมชี ีวิตเล็ก ๆ ที่อาศัยอยู่ในดิน และอาศัยอยู่
ปลายรากของพืชที่สามารถสรา้ งธาตอุ าหารกวา่ ๙๓ ชนิด ใหแ้ ก่พืช
ปยุ๋ หมักแห้งอนิ ทรียช์ วี ภาพ (ชนดิ ผง) สูตรมูลสัตว์

สว่ นประกอบ
- มลู สตั ว์ ๑ กระสอบ
- แกลบ เศษใบไม้ หรือซังข้าวโพด ๑ กระสอบ
- ขเี้ ถ้าแกลบ ๑ กระสอบ
- ร้าอ่อน ๑ กระสอบ
- นา้ สะอาด ๑๐ ลิตร (ถา้ วตั ถุดิบ แหง้ มากกส็ ามารถเพิม่ ปริมาณขน้ึ )
- หัวเชอ้ื จุลนิ ทรียเ์ ข้มขน้ ๑ ลติ ร

วิธีทา
๑) นา้ มลู สตั ว์ แกลบ ขเี้ ถา้ แกลบ และร้าออ่ นมาผสมคลุกเคลา้ ให้เข้าเปน็ เนอื้

เดยี วกัน
๒) ผสมน้ากับหัวเชื้อจุลินทรีย์เข้มข้นให้เข้ากัน รดลงบนกองวัสดุ และผสมให้เข้ากัน

จนมีความช้ืนประมาณ ๓๕% โดยทดลองก้าดูจะเกาะกันเป็นก้อนได้แต่ไม่เหนียว และเมื่อ
ปล่อยท้งิ ลงพน้ื จากความสงู ประมาณ ๑ เมตร กอ้ นป๋ยุ จะแตกแต่ยังมรี อยนว้ิ มอื เหลืออยู่

3) คลุกเคล้าให้เขา้ กนั ดี ตักปยุ๋ ใสก่ ระสอบ และมัดปากถุงให้แน่น
๔) กองกระสอบปุ๋ยซ้อนกันเป็นช้ันๆ และควรวางกระสอบแต่ละตั้งให้ห่างกัน เพ่ือให้
ความรอ้ นสามารถระบายออกไดท้ ้ัง ๔ ดา้ น เพื่อไม่ต้องกลบั กระสอบทกุ วัน
๕) ทิ้งไว้ประมาณ ๕-๗ วัน ตรวจดูว่ามีกลิ่นหอมและไม่มีไอร้อน ก็สามารถน้าไปใช้
งานและเก็บรักษาไว้ได้นาน
ป๋ยุ นา้ หมักรสจืดจากหน่อกล้วย (จลุ ินทรยี ์หนอ่ กลว้ ย)
สว่ นประกอบ
1) หน่อกล้วย เอาพร้อมราก เงา้ ของหนอ่ กลว้ ย สูงไม่เกิน 1 เมตร 3 กโิ ลกรัม
2) กากน้าตาล 1 กโิ ลกรัม

วิธที า 32
1) น้าหน่อกลว้ ยท่ีได้มาหน่ั เป็นแวน่ บางๆ ตา้ หรอื บดใหล้ ะเอียด จา้ นวน 3 กิโลกรัม
2) น้ามาคลุกกับกาก่น้าตาล จ้านวน 1 กิโลกรัม คลุกเคล้าให้เข้ากัน น้าใส่ถาด

หมกั ไว้ 7 วนั คนทุกวันเชา้ - เย็น พอถงึ 7 วนั ใสถ่ ังปดิ ฝาให้สนทิ - เก็บไดน้ าน

3) ฐานเรียนรู้ “คนรกั ษส์ ุขภาพ” เนอ้ื หาการเรยี นรู้: สเปรยก์ ันยุง
ฐานเรียนรู้คนรักษ์สุขภาพพบว่าในช่วงฤดูฝนมีการแพร่ระบาดของโรคไข้เลือดออก ผู้ป่วยโรค

ไข้เลือดออกมแี นวโนม้ ของผปู้ ว่ ยเพิ่มข้ึนเร่อื ย ๆ สา้ หรับโรคไขเ้ ลอื ดออกมยี ุงลายเปน็ พาหะนา้ อาการของโรคนี้
มีความคล้ายคลงึ กบั โรคไข้หวัดในช่วงแรก จึงทา้ ใหเ้ ข้าใจคลาดเคลือ่ นไดว้ ่าเป็นเพียงโรคไข้หวดั และถ้าไม่ได้รบั
การรักษาท่ีถูกต้อง โดยเฉพาะในระยะที่มีเลือดออก (ระยะช็อก) ก็อาจส่งผลให้เกิดการเสียชีวติ ได้ และวิธีท่ีดี
ท่สี ุดในการควบคุมการระบาดของโรคไข้เลอื ดออก คอื การปอ้ งกันไมใ่ ห้ยงุ กดั จงึ นา้ สมุนไพรพ้นื บา้ น หางา่ ยใช้
สะดวก เป็นที่รู้จักของคนในชุมชน มีสารส้าคัญช่วยไล่ยุง ป้องกันการเกิดโรคไข้เลือดออกได้ เช่น ตะไคร้
หอม ซึ่งจะแตกต่างจากตะไครบ้ ้าน คือ ตะไคร้หอมมลี ้าต้นจะเรียวยาว มีสีแดงอมม่วง ใบยาวกว่าตะไครแ้ ละ
น่ิมกว่าตะไคร้บ้าน และมีกล่ินท่ีฉุนกว่า ซึ่งไม่นิยมน้ามาท้ากับข้าว ตะไคร้หอม มีสารส้าคัญเป็นน้ามันหอม
ระเหย ซ่ึงมีประสิทธิภาพในการไล่ยุงและแมลงอ่ืน ๆ มาทา้ ท้าเป็นสเปรยต์ ะไครห้ อมกันยุง เพือ่ แจกจา่ ยให้กับ
เจ้าหน้าที่ศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนนครนายก ใช้ในช่วงฤดูฝน เพ่ือป้องกันความเสี่ยงในการเป็นโรค
ไขเ้ ลือดออก ในการฝึกปฏบิ ัติในฐานคนรักษ์สุขภาพ วทิ ยากรบรรยายในความรเู้ กี่ยวกับสมุนไพร และวธิ กี ารท้า
สเปรยก์ นั ยุงจากสมนุ ไพรไทย และใหผ้ ูเ้ ขา้ อบรมฝกึ ปฏบิ ัติ มีขั้นตอนดังน้ี

1. หั่นตะไครห้ อม (เอาเฉพาะล้าต้น) เป็นท่อนไมบ่ างหรอื หนาเกนิ ไป ประมาณ 200 กรัม

2. หนั่ ผิวมะกรดู แบบไม่ติดเนอื้ สีขาวมากนกั ประมาณ 200 กรัม
3. นา้ เอทิลอแลกอฮอร์ 95 % ปริมาณ 600 มลิ ลิลิตร เทใสโ่ หลแก้วขนาดความจุ 2 ลิตรท่ีเตรียมไว้

4. นา้ ตะไคร้หอมและผวิ มะกรูดทห่ี นั่ ไว้ ใส่ในโหลแกว้
5. ใส่การบรู และกานพลลู งไป ปิดฝาให้แนน่ หมกั ทิ้งไว้ 5 – 7 วัน แล้วน้ามากรองดว้ ยผ้าขาวบาง

เอาแตน่ ้า (สว่ นกากใหเ้ อาไปฝ่งั ดนิ เพอื่ ย่อยสลายเป็นปยุ๋ ตอ่ ไป) และบรรจุลงในขวดสเปรย์ที่เตรียมไว้ พร้อม
นา้ ไปใช้งานได้

4) ฐานเรียนรู้ “คนมนี า้ ยา” เนอ้ื หาการเรยี นรู้: การทานา้ ยาอเนกประสงค์
ในการฝึกปฏิบัติในฐานคนมีน้ายา วิทยากรบรรยายในความรู้เกี่ยวกบั ประโยชนข์ องการท้าน้ายา

ใช้เอง วธิ กี ารท้าน้ายาอเนกประสงค์ และวิธกี ารใช้น้ายาใหเ้ กิดประสิทธภิ าพ ใหผ้ เู้ ขา้ อบรมฝึกปฏบิ ัติ มขี ัน้ ตอน
ดงั นี้

1. น้ายาเอนกประสงค์สองคหู่ ู
1.1 วสั ดอุ ปุ กรณ์/วตั ถุดบิ
1) มะกรูด
2) มะละกอ
3) เอน็ 70 (N70)
4) เกลอื
5) โซดา
6) น้าเปล่า

7) หม้อต้มแบบมีฝาปดิ 33
8) ถัง (ส้าหรบั กวน)
9) ผา้ ขาวบาง
10) ไมพ้ าย
11) ถงั แกส๊
1.2 วธิ ที า
1) หั่นมะละกอดิบเป็นช้ินเล็ก ๆ เอาเมล็ดออกให้หมด และน้าไปใส่หมอ้ ตม้ ท่ีต้มน้า
ไว้ 8 ลติ ร รวมกับมะกรูดอยา่ งละ 2 กโิ ลกรมั (มะกรูดต้มทง้ั ผล) ให้ต้มจนมะละกอและ
มะกรดู มสี นี า้ ตาล และน้าลดเหลือประมาณ 7 ลิตร และปิดแกส๊
2) นา้ นา้ ทตี่ ้มไว้กรองไว้ดว้ ยผ้าขาวบาง และเกบ็ น้าตม้ ไว้ในภาชนะ
3) นา้ N70 ใสใ่ นถงั พลาสติก และใสเ่ กลือตามลงไป ใชไ้ ม้พายกวนให้เปน็ เนื้อ
เดียวกนั เตมิ โซดา และกวนตอ่ อีก
4) คอ่ ย ๆ เตมิ น้าที่ตม้ ไว้ ท้ังหมดลงในถัง และกวนใหเ้ ปน็ เน้ือเดยี วกนั
5) ทงิ้ ไวใ้ หฟ้ องยบุ ลง และน้าไปบรรจุขวด เพอ่ื เกบ็ ไว้ใช้งาน

5) ฐานเรยี นรู้ “เสวียนไมไ้ ผ่” เนื้อหาการเรยี นรู้: การทาเสวยี นจากไม้ไผ่และการทาเสวยี นยงั ชีพ
5.1 ประเดน็ เน้อื หา

1) ความเป็นมาของเสวยี นไมไ้ ผ่
2) วธิ กี าร/ข้นั ตอน/เทคนคิ การท้าเสวยี นไม้ไผ่

3) ประโยชนจ์ ากการท้าเสวียนไม้ไผ่
4) การสรุปกจิ กรรม

5.2 วัสดุ / อุปกรณ์

1) ไมไ้ ผล่ วกหรือไมไ้ ผ่ซาง ความยาวประมาณ ๑ เมตร
2) ไม้ไผ่ซางผ่าเปน็ เส้นยาว

3) ลวด
4) คมี

5) มดี พร้า
6) คอ้ น

7) เล่ือย
8) โทรโข่ง

9) สื่อการเรยี นรกู้ ารท้าเสวียนไมไ้ ผ่

5.3 ขั้นตอน / วธิ ีการ ทาเสวียนไม้ไผ่
ครูพาท้าเข้าสู่การแนะน้าฐานการเรียนรู้เสวียนไม้ไผ่ด้วยการแนะน้าตัว และน้าเข้าสู่

บทเรียนด้วยการซักถามผู้อบรมว่า ท่านใดเคยมีประสบการณ์/เคยรู้จักการท้าเสวียนไม้ไผ่
มาก่อนหรือไม่? จากนั้นครูพาท้าอธิบายถึงความเป็นมาและความส้าคัญของการท้าเสวียน

ไม้ไผ่ กล่าวคือ “เสวียน” เป็นส่ิงประดิษฐ์ท่ีเกิดจากภูมิปัญญาของชาวบ้าน ซึ่งเคยมีการใช้
กันมาตง้ั แต่บรรพบุรุษ อาจมีการขาดหายไปในบางช่วงบา้ งจนระยะหลังมีปญั หาหมอกควัน

เกดิ ข้ึนมากชาวบ้านจงึ หนั กลบั มาใช้ภมู ิปัญญาทอ้ งถ่นิ ที่ถา่ ยทอดมาตัง้ แต่บรรพบรุ ษุ การท้า 34
เสวียน เปน็ การ น้าเอาไม้ไผ่มาสานรอบโคนต้นไม้เพื่อใช้เก็บขยะใบไม้ให้ใบไม้เศษไม้ย่อย
สลายตามธรรมชาติ เปน็ การลดฝุ่นละอองจากการเผาเศษใบไม้ เสวียนไม้ไผ่ นับว่าเป็น
ประโยชน์ต่อการจัดการขยะอินทรีย์ พวกใบไม้ เศษกิ่งไม้ และถือเป็นการช่วยอนุรักษ์
สง่ิ แวดล้อม
5.4 ครูพาทาการอธิบายและการสาธิตการทาเสวยี นไมไ้ ผ่ ดังน้ี
1. ตัดไม้ไผ่ลวกหรือไม่ไผ่ซ่าง ความยาวประมาณ 1 เมตร เพ่ือใช้เป็นเสาหลัก ปักลงดิน
ตัดแต่งสว่ นที่จะปกั ลงดินใหแ้ หลมหรอื เป็นล่ิมเพือ่ งา่ ยตอ่ การตอกลงดนิ
2. ตอกเสาหลักลงดนิ ให้เหลอื สว่ นท่ีพ้นดนิ ประมาณ 60 เซนตเิ มตร ระยะห่างระหว่างหลัก
ประมาณ 30 เซนติเมตร กรณีต้นไม้ใหญ่จะใช้ประมาณ 13-15 หลกั
3. ผ่าไมไ้ ผซ่ างให้เป็นเส้นยาวแลว้ นา้ มาสานขัดไปมารอบเสาหลกั ท่ตี อกไว้รอบโคนตน้ ไม้
4. ครูพาทา้ ให้ผูอ้ บรมลงมอื ปฏบิ ตั ิการท้าเสวียนไมไ้ ผ่ จา้ นวน ๑ วง
5. ครูพาทา้ ตรวจผลงานการทา้ เสวียนไม้ไผ่ พรอ้ มให้คา้ แนะนา้ เพิ่มเติม
5.5 ครพู าทาสรปุ บทเรยี นจากการทาเสวียนไม้ไผ่ โดยกลา่ วถึงเทคนิคการทาเสวียนไม้ไผ่
และประโยชน์จากการทาเสวยี นไมไ้ ผ่ ดังนี้
เทคนิคท่ี 1.การค้านวณขนาดความกว้างของเสวียน ควรจะวัดขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง
ประมาณ 2-3 เมตร ตามขนาดที่ต้องการ โดยส่วนใหญ่จะนิยมใช้เสาจ้านวนเลขคู่ เช่น
6,8,10,12 เปน็ ตน้ เพอื่ ง่ายต่อการสานไมไ้ ผแ่ ละเปน็ ลวดลายที่สวยงาม
เทคนิคที่ 2.ก่อนจะท้าการตอ่ ไม้ไผ่ ควรวดั ไม้ไผแ่ ตล่ ะเส้นใหม้ ขี นาดที่เท่ากนั และทา้ การสาน
ทีละเสน้ ตอ่ ขึ้นไปเปน็ วงทลี ะ ๑ วง (ลักษณะเหมอื นการซอ้ นหว่ งยาง)
เทคนิคที่ 3.การมัดไม้ไผ่ดว้ ยลวดควรมัดจากทางด้านนอกโดยใหป้ ลายลวดหันเข้าด้านในเพื่อ
ป้องกันไม่ให้ความแหลมคมของปลายลวดจะท่ิมแทงหรือเกีย่ วขาเมอ่ื เวลาเดนิ ผา่ น
ในส่วนของประโยชน์จากการท้าเสวียนไม้ไผ่ คือ ลดการใช้ปุ๋ย ลดขยะ ลดปัญหามลพิษ
ลดปัญหาหมอกควัน สร้างสภาพแวดล้อมที่ดีให้กับชุมชน สามารถปลูกพืชผักสวนครัวเสริมใส่
เสวียนไมไ้ ผ่ได้ (ในทนี่ ี่จะเรยี กว่า เสวียนยังชพี ) ซง่ึ วิธีการท้าไมย่ ากเพยี งแค่มีไม้ไผ่ กส็ ามารถสร้าง
เสวยี นรกั ษโ์ ลกได้ตามขนาดท่ตี ้องการ

6) ฐานเรียนรู้ “คนรักษน์ า้ ” เนอื้ หาการเรยี นรู้: การทาฝายชะลอน้า
ในการฝึกปฏิบัติในฐานคนรักษ์น้า วิทยากรท้าอธิบายประโยชน์ สาธิตการท้าฝายชะลอ และให้ผู้

เข้าอบรมลงมอื ปฏบิ ัตดิ ้วยตนเอง ข้นั ตอนดังนี้
1) สา้ รวจและเลือกพน้ื ท่ีท้าฝายชะลอน้า (ฝายแมว้ ) บรเิ วณท่เี หมาะสมในคลองไส้ไก่
2) จดั หาไมไ้ ผ่ ให้มขี นาดความสูงพอดีกับความสูงของคลองไส้ไก่
3) เหลาปลายไมไ้ ผใ่ ห้มีความแหลม ส้าหรับปักลงดินเพือ่ ยึดดินใหฝ้ ายมีความแขง็ แรง
4) ใช้ค้อนตอกไม้ไผ่ลงดินเพ่ือท้าก้าแพงฝาย โดยตอกยึดให้ลึกลงในดินประมาณ

0.30- 0.50 เมตร ท้าเป็นด้านหน้าฝาย และด้านหลังฝาย และเว้นระยะห่างของหลักไม้ไผ่ ให้มี
ระยะห่างระหวา่ งกนั ประมาณ 20 ซม.

5) ใช้ล้าไม้ไผ่ตัดตามความกว้างของคลองไส้ไก่ โดยวางขวางแนวนอนกน้ั ด้านในของหลกั ไม้ 35
ไผด่ ้านหนา้ ฝายและหลงั ฝาย

6) เตมิ หินให้เต็มฝาย โดยใสห่ ินทมี่ ขี นาดเท่าๆ กนั เพอ่ื ให้ช่องวา่ งน้อยท่ีสุดเพอื่ การชะลอน้า
7) เลอ่ื ยไม้ไผใ่ ห้มีความสงู เท่ากันเสมอแนวคลองไส้ไก่เพือ่ ความสวยงาม

7) ฐานเรยี นรู้ “คนรักษน์ า้ ” เนอื้ หาการเรยี นร:ู้ การทาลกู ระเบิดจลุ นิ ทรีย์
ในการฝกึ ปฏิบัตใิ นฐานเรียนรูค้ นรักษน์ ้า วิทยากรให้องค์ความรู้เกยี่ วกบั ลกู ระเบิดจุลินทรีย์ เป็นลูก

ระเบิดจลุ นิ ทรีย์ ซงึ่ เปน็ ตวั ช่วยบา้ บัดน้าเสียให้เป็นน้าใส เพราะ “น้า” เป็นปัจจยั ท่ีส้าคญั ส้าหรับการด้ารงชีวิต
ของสิ่งมชี ีวิต และยอ่ มเกิดความเดอื ดรอ้ นเมอื่ เกดิ สภาวะนา้ เน่าเสียขึน้ มา

วิธีการบ้าบัดง่าย ๆ ท้าได้โดยการน้าน้าหมักชีวภาพมาผสมกับส่วนผสมอื่น ๆ ปั้นเป็นลูกระเบิด
จลุ ินทรีย์ เมอื่ โยนลงไปในนา้ แลว้ จะชว่ ยบา้ บดั น้าที่เน่าเสียให้ใสและไม่สง่ กล่ินเหมน็ เพ่ิมออกซิเจนในแหล่งน้า
ชว่ ยให้เกดิ แบคทีเรียท่ีสร้างสรรคน์ อ้ี ย่างทวีคณู สง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ สัตว์หน้าเลน เชน่ ไสเ้ ดือนแมลงในน้า รวมท้ังไร

นา้ ซ่งึ เปน็ อาหารธรรมชาตทิ สี่ ้าคญั ยิ่งของสตั ว์น้าพวก ปู กุ้ง ปลา และหอยอกี ด้วย

สูตรทาลกู ระเบิดจลุ นิ ทรยี อ์ ยา่ งงา่ ย

วสั ดุ สว่ นผสม

1. ปุ๋ยอินทรยี แ์ บบแหง้ ถ้าหาไม่ได้ ใชอ้ ินทรยี ์วตั ถุ เชน่ ใบไมแ้ หง้ ฟางหญ้าชานอ้อย ขุยมะพร้าว1สว่ น
2. มูลสตั ว์ เช่น ไก่ แพะ ววั ควาย 1 สว่ น
3. ดนิ โคลนเลน ถ้าหาไม่ได้ ใช้ดินธรรมดาแทนได้ แตต่ ้องเนอ้ื เหนียวหนอ่ ยเพราะจะป้นั เปน็ ลกู งา่ ย1สว่ น
4. รา้ 1/2 สว่ น
5. ปุ๋ยน้าหมักชีวภาพ รสจืด หมักจากเศษอาหาร ผัก แยกเศษเน้ือสัตว์ออก ควรเป็นรสจืดจะช่วย
บ้าบัดน้าได้ดี ควรใช้ปุ๋ยน้าท่ีหมักไว้แล้วอย่างน้อย 3 เดือน ถ้าหมักไม่ทันก็ใช้ปุ๋ยน้าหมักชีวภาพที่มีขายตาม
รา้ นค้าได้ ผสมน้าในอัตรา 1:1 ส่วน
วธิ ีการทา
1. ผสมสว่ นผสมทัง้ หมดคลุกให้เข้ากัน แล้วรดด้วยปยุ๋ น้าหมักชวี ภาพผสมน้า พอให้ส่วนผสมชืน้ คลุก
ใหเ้ ขา้ กนั ลองหยบิ ส่วนผสมมาบบี ดู พอใหม้ ีน้าซมึ ๆ ออกมาตามง่ามนิ้ว ถอื วา่ ใช้ได้ ไม่เละ หรอื เหลวเกนิ ไป
2. ป้ันเป็นลูกขนาดพอเหมาะหรือขนาดเท่าลูกเปตอง วางผึ่งไว้ในที่ร่มจนแห้ง น้าวัสดุท่ีสามารถ
ระบายอากาศได้คลมุ ประมาณ 4-7 วัน (หา้ มโดดแดด โดนฝน) จงึ สามารถน้าไปบา้ บดั น้าได้
วธิ ีการบาบดั นา้ เสยี
1. โยนลูกระเบิด โดยใชใ้ นอตั ราส่วน 5 กโิ ลกรมั ตอ่ นา้ 1 ลา้ นลิตร หรือ 25-50 กิโลกรัม ตอ่ พนื้ ท่ี
1 ไร่ หรอื 4 กอ้ น ตอ่ 1 ลกู บาศกเ์ มตร ทงั้ น้ีขน้ึ อย่กู ับสภาพน้าที่เนา่ เสีย
2. น้าน้าหมักชีวภาพ ราดบริเวณขอบบ่อหรือสระท่ีต้องการบ้าบัดน้าเสีย และน้าน้าหนักราดเปน็ รปู
เครื่องหมายคูณ บริเวณกลางบ่อหรือสระ ลูกระเบิดจะแตกภายใน 21 นาที บ้าบัดน้าจาก ลา่ ง ขึน้ บน และ
ใสป่ ุ๋ยน้าชวี ภาพ จาบา้ บดั นา้ จาก บน ลง ล่าง
ข้อแนะนา
1. ไม่เหมาะกบั การใชใ้ นพนื้ ท่ีน้าไหล เพราะกอ้ นจลุ นิ ทรยี จ์ ะไหลไปกับน้า

2. ไม่เหมาะกบั น้าเสียทีเ่ กิดจากสารเคมี 36
3. ถ้าใช้ในปรมิ าณมากเกนิ ไปอาจท้าใหน้ ้าเสียได้
4. ลูกระเบิดจุลินทรีย์ที่ใช้ได้ จะต้องเป็นลูกร่ะเบิดจุลินทรีย์ที่เป็น ไม่ใช่ลูกที่ตาย วิธีสังเกตอย่างง่าย
คือ จะมีเชอ้ื ราเปน็ ใยสีขาวฟๆู
8) ฐานเรียนรู้ “คนรักษ์นา้ ” เน้ือหาการเรียนรู้: ธนาคารน้าใต้ดนิ

ในการฝึกปฏิบัติในฐานเรียนรู้คนรกั ษ์นา้ วิทยากรให้องค์ความรู้เก่ียวกับธนาคารน้าใต้ดินทั้งแบบ
ปิดและแบบเปิด โดยในการฝึกปฏิบัติ วิทยากรให้ผู้เข้าอบรมได้ลงมือท้าธนาคารน้าใต้ดินแบบปิด ใช้หลักการ
ขดุ บ่อเพื่อส่งน้าไปเก็บไว้ที่ชน้ั น้าบาดาล ขนาดและความลกึ ของบ่อขึน้ อยู่กบั สภาพ และชน้ั ดินของแต่ละพ้ืนท่ี
โดยมขี ้นั ตอนดังนี้

1) ขดุ บอ่ ใหล้ ึกถงึ ชนั้ หินอ้มุ นา้ จากน้นั ใสย่ างรถยนตเ์ พื่อปอ้ งกนั ขอบบ่อพังทลาย
2) จากนน้ั ใสว่ ัสดทุ ่หี าไดใ้ นพ้ืนท่ี เช่นขวดน้า (ใส่น้า 1 ใน 3 สว่ น), ทอ่ นไม้ หรือเศษปนู ให้เต็มชอ่ งวา่ ง
ดา้ นนอกยางรถยนต์
3) น้าท่อ PVC มาวางตรงกลางบ่อเพื่อเป็นช่องระบายอากาศ น้าวัสดุชนิดเดียวกับที่ใส่ช่องว่างด้าน
นอกมาเติมใสช่ ่องวา่ งดา้ นในใหเ้ ต็ม คลุมดว้ ยผา้ ไนลอ่ น แล้วทับด้วยกอ้ นหนิ และตามดว้ ยหินละเอียดอีกที เพ่ือ
เป็นตัวกรองให้เศษดิน หรือขยะไม่ให้เข้าไปอุดตันในบ่อเมื่อฝนตกลงมาน้าจะไหลสู่ช้ันใต้ดินโดยตรง ผ่าน
ธนาคารน้าใตด้ นิ ระบบปิดท่ีท้าขน้ึ มา

9) ฐานเรียนรู้ “คนรักษป์ ่า” เนือ้ หากรเรยี นรู้: การขยายพันธุ์พชื
ในการฝึกปฏิบัติในฐานคนรักษ์ป่า วิทยากรได้ถ่ายองค์ความรู้เกี่ยวกับการขยายพันธุ์พืช ได้แก่

ตอนก่ิง เสยี บยอด ติดตา ปกั ช้า และมอบหมายใหผ้ ู้เข้าอบรมได้ฝกึ ปฏิบตั กิ ารตอนก่ิง มีขัน้ ตอนดังนี้
อุปกรณท์ ี่ใช้ในการตอนกงิ่
1) มดี ขยายพันธ์หุ รอื คตั เตอร์ (Cutter) หรือมดี ติดตาตอ่ กิง่
2) ถุงพลาสติกขนาด 2x4 นวิ้ หรือ 3x5 น้ิว
3) วสั ดุหุม้ กง่ิ ตอน เชน่ กาบมะพร้าว ถา่ นแกลบหรอื ขุยมะพรา้ ว
4) เชอื กมดั วัสดหุ ุ้มกิ่งตอน เช่น เชอื กฟาง
5) ฮอร์โมนเรง่ ราก
วิธกี ารตอนก่ิง
1) เลือกกงิ่ ท่ีมอี ายไุ ม่เกนิ 1 ปี หรอื อยู่ในวัยหนุ่มสาว ซ่งึ จะออกรากไดด้ กี ว่ากิ่งที่มีอายุมาก
และควรเปน็ กงิ่ กระโดงหรือกง่ิ น้าค้าง ทีส่ มบรู ณ์ ปราศจากโรคและแมลง
2) คว่ันเปลือกกิ่ง ความยาวของรอยแผล ประมาณเส้นรอบวงของกิ่ง ทั้งด้านบนและล่าง
ของก่ิง แลว้ ลอกเอาเปลือกออกและขูดเยอ่ื เจริญท่ีเป็นเมือกลืน่ ๆ รอบกิ่งออกให้หมด


Click to View FlipBook Version