The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by makkawan.2509, 2021-05-19 00:23:39

ศพช.นครนายก HLM Nakhonyayok

HLM Nakhonyayok

2.2) ฐานเรยี นรู้ “คนรกั ษแ์ ม่ธรณี” 87
เนื้อหาการเรยี นร:ู้ การห่มดนิ

2.3) ฐานเรียนรู้ “คนมีน้ายา”
เนือ้ หาการเรยี นรู้: การท้าน้ายาอเนกประสงค์ สตู รสองคู่หู

2.4) ฐานเรียนรู้ “คนรักษน์ า้ ”
เนอ้ื หาการเรยี นรู้: การทา้ ลูกระเบิดจุลนิ ทรยี ์

2.5) ฐานเรยี นรู้ “หนงึ่ งานบา้ นพอเพยี ง”
เนื้อหาการเรยี นรู้: การท้าอาหารไก่แบบพอเพียง สตู รเปลยี่ นศัตรูมาเปน็ มติ ร

3. ระยะเวลา จา้ นวน ๖ ชว่ั โมง

4. วธิ ีการ/เทคนคิ
4.1) วิทยากรประจ้าฐานบรรยายเพ่ือให้มีความรู้ เกี่ยวกับฐานการเรียนรู้ ฝึกปฏิบัติและตอบข้อ

ซักถาม
4.2) วิทยากรมอบหมายใหผ้ ูเ้ ขา้ รบั การฝกึ อบรมลงมอื ฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง
4.3) ผเู้ ข้ารบั การฝึกอบรมสรุปผลกิจกรรมเปน็ รายกลมุ่

5. วัสด/ุ อุปกรณ์
5.1) วัสด/ุ อปุ กรณ์ ประจ้าฐานเรียนรู้
5.2) เอกสารองค์ความรใู้ นแต่ละฐานเรยี นรู้
5.3) บอร์ด, ปากกา, กระดาษฟลปิ ชาร์ท
5.4) อุปกรณข์ ยายเสียง, ไมคโ์ ครโฟน

6. ขั้นตอน/วิธีการ
6.1) วิทยากรแนะน้าตัวเอง เนื้อวิชา แผนผังจุดเรียนรู้ และแนะน้าวิทยากรประจ้าจุดเรียนรู้ทั้ง 5

ฐานเรียนรู้ และมอบโจทย์ ดังน้ี
1) ทา่ น ไดเ้ รยี นรู้อะไรจากการฝึกปฏิบัติ

2) ทา่ น จะน้าไปปรบั ใช/้ ประยกุ ตใ์ ช้ กบั ตนเอง ชุมชน และองคก์ ร อย่างไร

และให้แตล่ ะกลุ่มสี วิเคราะห์สิ่งท่ีไดจ้ ากการฝกึ ปฏิบตั ิ ตามโจทยท์ ่ไี ดร้ ับมอบหมายโดยมีเวลาน้าเสนอ
กลุ่มละ 10 นาที

6.2) วิทยากรอธิบายกติกาการฝึกปฏิบัติให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมทราบ คือ ผู้ใหญ่บ้านใส่รหัสสวัสดี
วิทยากร และกลุ่มสีให้กลุ่มสีน้าเสนอสโลแกน ท่าประจ้าบ้าน ก่อนเร่ิมเรียนนรู้ ณ ฐานเรียนรู้ทุกจุด และเมื่อ
เสรจ็ สิ้นกิจกรรมในแต่ละจุดให้ผู้ใหญ่บ้านใส่รหัสขอบคณุ วิทยากร

6.3) วทิ ยากรประจ้าฐานเรยี นรู้ น้าผูเ้ ขา้ รับการฝึกอบรมแต่ละกลมุ่ สี ไปท่ีฐานเรยี นรู้
6.4) วิทยากรประจ้าฐานเรียนรู้ อธิบายเน้ือหาความรู้และน้าผู้เข้ารับการฝึกอบรมลงมือฝึกปฏิบัติ
(ฐานเรียนรู้ละ 40 นาที)

1) ฐานเรยี นรู้ “คนรักษ์แม่ธรณี” เน้ือหาการเรยี นรู้: การทาปุ๋ยชวี ภาพ 88
ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ หมายถึง สารธรรมชาติที่ได้จากกระบวนการหมักบ่มวัตถุดิบจาก

ธรรมชาติต่าง ๆ ทั้งพืช และสัตว์จนสลายตัวสมบูรณ์เป็นฮิวมัส วิตามิน ฮอร์โมน และ สารธรรมชาติ
ต่าง ๆ ซึ่งเป็นท้ังอาหารของดิน ตัวเร่งการท้างานของสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ท่ีอาศัยอยู่ในดิน และอาศัยอยู่

ปลายรากของพืชท่สี ามารถสรา้ งธาตอุ าหารกวา่ ๙๓ ชนดิ ให้แกพ่ ืช
ปยุ๋ หมักแห้งอนิ ทรียช์ ีวภาพ (ชนดิ ผง) สูตรมูลสตั ว์

สว่ นประกอบ

- มูลสัตว์ ๑ กระสอบ
- แกลบ เศษใบไม้ หรือซังขา้ วโพด ๑ กระสอบ

- ข้ีเถา้ แกลบ ๑ กระสอบ
- รา้ อ่อน ๑ กระสอบ
- นา้ สะอาด ๑๐ ลติ ร (ถา้ วตั ถุดิบ แห้งมากก็สามารถเพมิ่ ปริมาณข้ึน)

- หวั เช้ือจุลินทรยี ์เข้มข้น ๑ ลติ ร
วิธีทา

๑) นา้ มูลสตั ว์ แกลบ ขีเ้ ถา้ แกลบ และร้าออ่ นมาผสมคลุกเคลา้ ใหเ้ ขา้ เป็นเนอ้ื
เดียวกนั

๒) ผสมน้ากับหัวเชื้อจุลินทรีย์เข้มข้นให้เข้ากัน รดลงบนกองวัสดุ และผสมให้เข้ากัน

จนมีความชื้นประมาณ ๓๕% โดยทดลองก้าดูจะเกาะกันเป็นก้อนได้แต่ไม่เหนียว และเมื่อ
ปล่อยทิ้งลงพ้ืนจากความสูงประมาณ ๑ เมตร ก้อนปยุ๋ จะแตกแต่ยงั มรี อยนิ้วมือเหลอื อยู่

3) คลุกเคล้าให้เขา้ กันดี ตกั ป๋ยุ ใส่กระสอบ และมดั ปากถงุ ใหแ้ นน่
๔) กองกระสอบปุ๋ยซ้อนกันเปน็ ชั้น ๆ และควรวางกระสอบแต่ละตั้งให้ห่างกนั เพ่ือให้
ความรอ้ นสามารถระบายออกไดท้ ง้ั ๔ ด้าน เพื่อไม่ต้องกลบั กระสอบทกุ วนั

๕) ท้ิงไว้ประมาณ ๕-๗ วัน ตรวจดูว่ามีกล่ินหอมและไม่มีไอร้อน ก็สามารถน้าไปใช้
งานและเก็บรักษาไวไ้ ด้นาน

ปุย๋ น้าหมักรสจืด ทาจากหน่อกล้วย (จลุ นิ ทรยี ์หนอ่ กล้วย) ซึง่ ช่วยเปน็ ปุ๋ยบา้ รงุ ดนิ ให้ดินมคี วามรว่ น
ซุย โปรง่ และท้าใหด้ ินไม่แขง็ และสามารถใชบ้ า้ บัดน้าเสียได้ด้วย

1.1) ส่วนประกอบ

- หน่อกลว้ ย เอาพรอ้ มราก เง้า ของหนอ่ กลว้ ย สูงไม่เกนิ 1 เมตร 3 กโิ ลกรัม
- กากน้าตาล 1 กโิ ลกรัม

1.2) วธิ ีทา
1) น้าหนอ่ กลว้ ยทไ่ี ด้มาหั่นเป็นแว่นบาง ๆ หรือบดให้ละเอียด จา้ นวน 3 กิโลกรัม
2) น้ามาคลุกกับกากน้าตาล จ้านวน 1 กิโลกรัม คลุกเคล้าให้เข้ากัน น้าใส่ถาด

หมักไว้ 7 วนั คนทกุ วนั เช้า- เยน็ พอถงึ 7 วัน ใสถ่ งั ปดิ ฝาให้สนิท
2) ฐานเรียนรู้ “คนรกั ษ์แม่ธรณี”

เน้ือหาการเรยี นรู้: การหม่ ดิน
การหม่ ดนิ ตามหลักกสกิ รรมธรรมชาติ โดยใช้ฟาง เศษหญา้ หรือใบไมท้ ่สี ามารถย่อยสลายได้
เองตามธรรมชาติห่มหรือคลุมลงบนหนา้ ดิน และใส่ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพลงไป เพื่อให้อาหารแก่ดิน ดิน

จะปลอ่ ยธาตุอาหารให้พืชโดยกระบวนการยอ่ ยสลายของจลุ นิ ทรีย์ เรียกหลกั การนวี้ า่ “เล้ยี งดิน ใหด้ นิ 89
เลยี้ งพชื ”

1) ห่มดินด้วยฟาง เศษหญ้า หรือใบไม้ รอบโคนต้นไม้ประเภทไม้ยืนต้นหรือพืชที่เราปลูก
หา่ งจากโคนตน้ ไม้หรอื พืชที่ปลกู 1 คบื หม่ หนา 1 คืบ ถงึ 1 ฟุต ตอ้ งท้าเปน็ วงเหมอื นโดนัท

2) โรยด้วยปุ๋ยคอก (มูลสัตว์) บาง ๆ และรดด้วยน้าหมักชีวภาพผสมน้าเจือจาง อัตราส่วน
1 : 100 - 200 หรอื เรียกขนั้ ตอนนว้ี ่า “แหง้ ชาม น้าชาม”

3) ฐานเรยี นรู้ “คนมนี า้ ยา” เนื้อหาการเรียนรู้: การทาน้ายาอเนกประสงค์ สตู รสองค่หู ู
ในการฝึกปฏิบัติในฐานคนมนี ้ายา วิทยากรบรรยายในความรู้เกี่ยวกับประโยชนข์ องการท้านา้ ยา

ใช้เอง วิธีการท้าน้ายาอเนกประสงค์ สูตรน้าหมักรสเปรี้ยว การท้าน้าหมักรสเปรี้ยว และวิธีการใช้
นา้ ยาใหเ้ กิดประสิทธิภาพ ใหผ้ ้เู ข้าอบรมฝึกปฏิบัติการทา้ น้ายาอเนกประสงค์ สูตรน้าหมักรสเปร้ียว มี
ข้ันตอนดังน้ี
นา้ ยาอเนกประสงคส์ ูตรสองคู่หู

1.1 วัสดุอปุ กรณ/์ วัตถุดิบ
1) มะกรดู
2) มะละกอ
3) เอน็ 70 (N70)
4) เกลือ
5) โซดา
6) นา้ เปลา่
7) หมอ้ ตม้ แบบมฝี าปดิ
8) ถัง (สา้ หรบั กวน)
9) ผา้ ขาวบาง
10) ไมพ้ าย
11) ถงั แก๊ส

1.2 วธิ ีทา
1) หั่นมะละกอดิบเป็นชิ้นเล็ก ๆ เอาเมล็ดออกให้หมด และน้าไปใส่หมอ้ ตม้ ที่ตม้ น้า

ไว้ 8 ลติ ร รวมกับมะกรูดอย่างละ 2 กิโลกรมั (มะกรดู ตม้ ท้งั ผล) ให้ต้มจนมะละกอและ
มะกรดู มสี นี า้ ตาล และน้าลดเหลือประมาณ 7 ลติ ร และปดิ แก๊ส

2) นา้ น้าทีต่ ม้ ไว้กรองไว้ด้วยผ้าขาวบาง และเกบ็ นา้ ต้มไว้ในภาชนะ
3) น้า N70 ใสใ่ นถงั พลาสติก และใส่เกลอื ตามลงไป ใชไ้ ม้พายกวนให้เป็นเนือ้
เดยี วกนั เตมิ โซดา และกวนต่ออีก
4) คอ่ ย ๆ เตมิ น้าที่ตม้ ไว้ ท้งั หมดลงในถัง และกวนใหเ้ ป็นเนอื้ เดียวกัน
5) ทิง้ ไว้ใหฟ้ องยบุ ลง และน้าไปบรรจขุ วด เพื่อเกบ็ ไว้ใชง้ าน

90

4) ฐานเรียนรู้ “คนรักษ์น้า” เนอื้ หาการเรียนรู้: การทาลูกระเบิดจลุ นิ ทรยี ์
ในการฝึกปฏิบัติในฐานเรียนรู้คนรักษ์น้า วิทยากรให้องค์ความรู้เก่ียวกับลูกระเบิดจุลินทรีย์ เป็น

ลูกระเบิดจุลินทรีย์ ซึ่งเป็นตัวช่วยบ้าบัดน้าเสียให้เป็นน้าใส เพราะ “น้า” เป็นปัจจัยที่ส้าคัญส้าหรับ
การด้ารงชีวติ ของสิง่ มชี วี ติ และย่อมเกิดความเดอื ดรอ้ นเมอ่ื เกิดสภาวะน้าเน่าเสียขนึ้ มา

วิธีการบ้าบัดง่าย ๆ ท้าได้โดยการน้าน้าหมักชีวภาพมาผสมกับส่วนผสมอ่ืน ๆ ป้ันเป็นลูกระเบิด
จลุ ินทรีย์ เมื่อโยนลงไปในน้าแลว้ จะช่วยบ้าบดั น้าทเ่ี น่าเสยี ใหใ้ สและไมส่ ่งกล่ินเหม็น เพ่มิ ออกซเิ จนใน
รวมทัง้ ไรน้า ซง่ึ เป็นอาหารธรรมชาตทิ ี่ส้าคญั ย่งิ ของสตั ว์น้าพวก ปู กุ้ง ปลา และหอยอีกดว้ ย
สตู รทาลูกระเบดิ จุลนิ ทรียอ์ ยา่ งงา่ ย

1) วัสดุ สว่ นผสม
1. ปุ๋ยอินทรีย์แบบแห้ง ถ้าหาไม่ได้ ใช้อินทรีย์วัตถุ เช่น ใบไม้แห้ง ฟาง หญ้า ชาน

อ้อย ขุยมะพร้าว 1 ส่วน
2. มูลสัตว์ เชน่ ไก่ แพะ ววั ควาย 1 สว่ น
3. ดินโคลนเลน ถ้าหาไม่ได้ ใช้ดินธรรมดาแทนได้ แต่ต้องเนื้อเหนียวหน่อย เพราะ

จะป้ันเป็นลกู งา่ ย 1 สว่ น
4. รา้ 1/2 ส่วน
5. ปุ๋ยน้าหมกั ชีวภาพ รสจดื หมักจากเศษอาหาร ผัก แยกเศษเนอ้ื สัตว์ออก ควรเปน็

รสจดื จะชว่ ยบา้ บัดน้าไดด้ ี ควรใชป้ ุ๋ยนา้ ท่ีหมักไว้แลว้ อย่างนอ้ ย 3 เดือน ถ้าหมกั ไม่ทันกใ็ ช้ปุ๋ย
นา้ หมักชีวภาพท่มี ีขายตามรา้ นค้าได้ ผสมน้าในอตั รา 1:1 สว่ น

2) วิธกี ารทา
1. ผสมส่วนผสมทั้งหมดคลุกให้เข้ากนั แลว้ รดดว้ ยปุย๋ น้าหมักชวี ภาพผสมน้า พอให้

สว่ นผสมช้ืน คลกุ ให้เขา้ กนั ลองหยิบสว่ นผสมมาบบี ดู พอให้มีนา้ ซึมๆ ออกมาตามง่ามนวิ้ ถอื
ว่าใชไ้ ด้ ไม่เละ หรอื เหลวเกนิ ไป

2. ปั้นเป็นลูกขนาดพอเหมาะหรือขนาดเท่าลูกเปตอง วางผึ่งไว้ในที่ร่มจนแห้ง น้า 91
วัสดุท่ีสามารถระบายอากาศได้คลุม ประมาณ 4-7 วัน (ห้ามโดดแดด โดนฝน) จึงสามารถ

น้าไปบ้าบดั น้าได้
3) วิธกี ารบาบัดน้าเสีย

1. โยนลูกระเบิด โดยใช้ในอัตราส่วน 5 กิโลกรัม ต่อ น้า 1 ล้านลิตร หรือ 25-50
กโิ ลกรัม ตอ่ พนื้ ท่ี 1 ไร่ หรอื 4 กอ้ น ต่อ 1 ลกู บาศก์เมตร ท้งั นีข้ ึ้นอย่กู บั สภาพน้าท่ีเนา่ เสีย

2. น้าน้าหมักชีวภาพ ราดบริเวณขอบบ่อหรือสระที่ต้องการบ้าบัดน้าเสีย และน้า

น้าหนักราดเป็นรูปเครื่องหมายคูณ บริเวณกลางบ่อหรือสระ ลูกระเบิดจะแตกภายใน
21 นาที บ้าบดั น้าจาก ล่าง ขึ้น บน และใส่ปยุ๋ นา้ ชีวภาพ จาบา้ บัดน้า จาก บน ลง ล่าง

5) ฐานเรียนรู้ “หน่ึงงาน บ้านพอเพียง เนื้อหาการเรียนรู้: การทาอาหารไก่แบบพอเพียง
สูตรเปล่ยี นศตั รูมาเป็นมติ ร

ในการฝึกปฏิบัติฐานเรยี นรู้หน่ึงงานบ้านพอเพียง ซึ่งเป็นฐานเรยี นรู้ทมี่ อี งค์ความรหู้ ลากหลาย ใน

การอบรมครงั้ วิทยากรได้ใหค้ วามรู้เกย่ี วกับการท้าอาหารไก่แบบพอเพียง โดยใหผ้ ้เู ข้าอบรมฝึกปฏิบัติ
มีส่วนผสมและวิธที ้า ดังน้ี

วตั ถุดิบ/อุปกรณ์
1) ผักตบชวา ไม่เอาราก
2) นา้ ตาลทราย

3) เกลอื
4) ถังสา้ หรบั หมกั

5) มดี
6) เขียง
วิธีการทา

1) แบ่งผกั ตบชวาออกเปน็ 4ส่วนๆละ12.5กโิ ลกรมั จะบรรจุไดเ้ ตม็ ถังขนาด50 ลิตร พอดี
2) จากนั้นใส่ผกั ตบชวาลงไปในถงั พลาสตกิ ชน้ั ล่างสดุ ประมาณ 12.5กิโลกรัมเหยียบกดลงไปใหแ้ น่น

3) โรยนา้ ตาลทรายชัน้ ละ 0.5 กิโลกรัม
4) โรยทับดว้ ยเกลืออีกประมาณ 1 ก้ามือ เสรจ็ ชัน้ ที่ 1
5) ท้าเหมอื นกันซ้าอีกจนครบ 4 ชนั้ จะเตม็ ถังพอดี

6) ปดิ ฝาถงั ให้สนิท ตั้งไวใ้ นที่รม่ หมกั นาน 21 วัน สามารถนา้ ไปใช้เลีย้ งสัตวไ์ ด้

92

เมื่อเสร็จสิ้นการเรียนรู้ทั้ง 5 ฐานเรียนรู้ ให้พร้อมกันท่ีห้องอบรม สรุปผลกิจกรรมเป็นรายกลุ่มและ
วทิ ยากรสรปุ เตมิ เต็ม

7. สรุปผลการเรียนรู้

7.1) ฐานเรยี นรู้ “คนรักษแ์ มธ่ รณี”
เนอ้ื หาการเรยี นรู้: การทาปยุ๋ ชวี ภาพ
ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ หมายถึง สารธรรมชาติท่ีได้จากกระบวนการหมักบ่มวัตถุดิบจาก

ธรรมชาติต่าง ๆ ท้ังพืช และสัตว์จนสลายตัวสมบูรณ์เป็นฮิวมัส วิตามิน ฮอร์โมน และ สารธรรมชาติ
ต่าง ๆ ซึ่งเป็นทั้งอาหารของดิน ตัวเร่งการท้างานของสิ่งมชี ีวิตเล็ก ๆ ท่ีอาศัยอยู่ในดิน และอาศัยอยู่
ปลายรากของพืชทส่ี ามารถสร้างธาตุอาหารกว่า ๙๓ ชนดิ ใหแ้ กพ่ ืช

น้าหมักสมุนไพร 7 รส เป็นสูตรที่รวมรสของสมุนไพรที่มี รสจืด ขม ฝาด เบื่อเมา เปร้ียว
หอมระเหย และ เผ็ดร้อน มีคุณสมบัติในการก้าจัดแมลงศัตรูพืชเข้าไว้ในสูตรเดียวกัน เพื่อเพิ่ม
ประสิทธิภาพในการป้องกันและก้าจัดแมลงศัตรูพืชผัก โดยการท้าน้าหมักสมุนไพร 7 รส
เป็นการเลือกเอาสมุนไพรรสต่าง ๆ มาท้าน้าหมักจุลินทรีย์ชีวภาพ ให้เกิดประโยชน์มากย่ิงข้ึนใน
การท้านาหรือเพาะกลา้ ขา้ ว

นา้ หมกั สมนุ ไพร 7 รส ประกอบด้วย
1) สมนุ ไพรรสจืด ได้แก่ ใบกล้วย ผกั บงุ้ รางจืด และพืชสมนุ ไพรท่มี รี สจืดทกุ ชนดิ
สรรพคุณ คือ เป็นปุ๋ยบ้ารุงดิน ให้ดินมีความร่วนซยุ โปร่ง และท้าให้ดินไม่แขง็ และสามารถ
ใชบ้ ้าบดั นา้ เสียได้ด้วย
2) น้าหมักสมุนไพรรสขม ได้แก่ ใบสะเดา บอระเพ็ด ใบขีเ้ หล็ก และพชื สมนุ ไพรทีม่ รี สขมทุก
ชนิด สรรพคณุ คอื สามารถฆา่ เชอ้ื แบคทเี รีย เพ่อื สรา้ งภูมคิ มุ้ กนั ให้กับพืช
3) สมนุ ไพรรสฝาด ได้แก่ ปลกี ล้วย เปลือกมงั คดุ เปลอื กฝร่ัง มะยมหวาน และพืชสมุนไพรท่ี
มรี สฝาดทกุ ชนดิ สรรพคณุ คือ ฆา่ เช้ือราในโรคพืชทุกชนิด

4) นา้ หมกั สมนุ ไพรรสเบือ่ เมา ไดแ้ ก่ หัวกลอย ใบเมล็ดสบ่ดู า้ ใบน้อยหนา่ และพชื สมนุ ไพรที่ 93
มรี สเบอ่ื เมาทกุ ชนดิ สรรพคุณ คอื ฆา่ เพล้ีย หนอน และ แมลง ในพชื ผกั ทุกชนดิ

5) น้าหมักสมุนไพรรสเปร้ียว ไดแ้ ก่ มะกรูด มะนาว กระเจย๊ี บ และพืชสมนุ ไพรท่ีมีรสเปร้ียว
ทุกชนิด สรรพคณุ คือ ไลแ่ มลงโดยเฉพาะ

6) น้าหมักสมนุ ไพรรสหอมระเหย ได้แก่ ตะไครห้ อม ใบกะเพรา ใบเตย และพืชสมุนไพรที่มี
รสหอมระเหยทกุ ชนดิ สรรพคุณ คอื เปล่ยี นกลนิ่ ของตน้ พืช เพ่ือปอ้ งกนั ไมใ่ ห้แมลงไป กัดกินท้าลาย

7) น้าหมักสมุนไพรรสเผ็ดร้อน ได้แก่ พริก ขิง ข่า และพืชสมุนไพรที่มีรสเผ็ดร้อนทุกชนิด
สรรพคณุ คอื ไล่แมลง และ ท้าให้แมลงแสบรอ้ น

7.2) ฐานเรียนรู้ “คนรกั ษ์แม่ธรณี”
เนอ้ื หาการเรียนรู้: การห่มดนิ
การห่มดนิ ตามหลกั กสิกรรมธรรมชาติ โดยใช้ฟาง เศษหญา้ หรอื ใบไมท้ ่สี ามารถย่อยสลายได้

เองตามธรรมชาติห่มหรอื คลุมลงบนหน้าดิน และใส่ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพลงไป เพ่ือให้อาหารแก่ดิน ดิน
จะปลอ่ ยธาตุอาหารให้พชื โดยกระบวนการย่อยสลายของจุลนิ ทรีย์ เรียกหลักการนี้วา่ “เล้ยี งดิน ใหด้ ิน
เลี้ยงพืช”

7.3) ฐานเรียนรู้ “คนมีน้ายา”
เนื้อหาการเรยี นรู้: การทานา้ ยาอเนกประสงค์
ในปัจจุบันรายจา่ ยสงู กวา่ รายรับ จงึ เริ่มประชมุ ปรกึ ษาหารือกันภายในหมู่บ้าน ค้นหาผู้มคี วามรู้

ด้านต่าง ๆ ในการทจี่ ะทา้ อย่างไรในการลดรายจา่ ยในครวั เรือนและท้าให้มีรายได้เพม่ิ ขน้ึ จงึ มีมตทิ ี่จะ
ท้าน้ายาอเนกประสงค์ใช้ในครัวเรอื นเพื่อลดรายจ่าย และสามารถเพ่ิมรายได้ให้กับครัวเรือน การลด
คา่ ใชจ้ า่ ยในครวั เรอื นในแตล่ ะเดือนครอบครวั ของเราจา่ ยเงนิ ไปเท่าไรในการซือ้ น้ายาซกั ผ้า นา้ ยาลา้ ง
จาน น้ายาล้างรถ หรือน้ายาท้าความสะอาดสารพัดล้าง แล้วสินค้าที่เราซื้อมาใช้นั้นดีจริงอย่างที่เขา
โฆษณาหรือเปลา่ ดงั นั้นเราจึงลองใชภ้ มู ปิ ญั ญาเพ่ือพง่ึ พาตนเอง มาท้าผลิตภณั ฑ์ดแี ละราคาถกู ใช้เอง

7.4) ฐานเรียนรู้ “คนรกั ษ์นา้ ”
เน้ือหาการเรียนรู:้ การทาลกู ระเบิดจลุ ินทรยี ์
ลูกระเบดิ จลุ ินทรีย์ ตัวช่วยบา้ บัดน้าเสียให้เป็นน้าใส เพราะ “น้า” เป็นปัจจยั ท่ีสา้ คัญส้าหรับ

การด้ารงชีวิตของสิ่งมีชีวิต และย่อมเกิดความเดือดร้อนเมื่อเกิดสภาวะน้าเน่าเสียข้ึนมา ซ่ึงจากการ
ทดลองของการใช้ลูกระเบิดจุลินทรีย์ตามหลักกสิกรรมธรรมชาติพบว่า สามารถเพิ่มค่า
DO (Dissolved Oxygen) หรือค่าออกซิเจนท่ีละลายในน้าจาก 3.5 ppm (หรือส่วนในล้านส่วน)
เป็น 6.5 ppm ในเวลา 22 นาที เป็นการเพ่ิมออกซิเจนให้กับน้า ซ่ึงออกซิเจนเป็นส่ิงที่จ้าเป็น
อย่างยิง่ สา้ หรับปลาหอยพชื และแอโรบกิ แบคทีเรยี (แบคทเ่ี รยี ที่ตอ้ งการออกซิเจน)

7.5) ฐานเรียนรู้ “หนงึ่ งาน บา้ นพอเพยี ง”
เนื้อหาการเรยี นรู้: การทาอาหารไกแ่ บบพอเพียง สตู รเปล่ยี นมาเปน็ มติ ร
การท้าอาหารสัตว์ นับเป็นปัจจัยส้าคัญย่ิงต่อการเลี้ยงสัตว์และเปน็ หนึ่งในต้นทุนท่ีส้าคัญ ซ่ึง

ในวันน้ี เกษตรกรเป็นจ้านวนมากต้องประสบกับภาวะราคาต้นทุนอาหารท่ีเพ่ิมขึ้น จากภาวการณ์ท่ี

เกดิ ข้นึ ได้ส่งผลกระทบเป็นอย่างมากตอ่ เกษตรกรผู้เล้ียงรายยอ่ ย ท่ีมจี ้านวนไมน่ ้อยท่ไี ม่ สามารถแบก 94
รบั ภาระต้นทุนค่าอาหารท่ีเพิ่มขึ้นได้ จนท้าให้ต้องเลิกอาชีพการเล้ียงสัตว์ไป ในช่วงระยะเวลาท่ีผ่าน
มา เพ่ือเป็นการแก้ไขปัญหาและท้าให้เกษตรกรสามารถเล้ียงสัตว์เพ่ือสร้างรายได้ต่อไปได้ จึงได้มี
การนา้ แนวคิดเก่ยี วกบั การใชว้ ัตถุดิบอาหารสตั ว์ในท้องถ่นิ มาผสมข้นึ เป็นอาหารใชเ้ อง ทดแทนการซ้ือ
อาหารสา้ เร็จรูป
8. รปู ภาพกจิ กรรม
8.1) ฐานเรยี นรู้ “คนรักษแ์ ม่ธรณี”เนอื้ หาการเรยี นรู:้ การทา้ ปยุ๋ ชวี ภาพ

8.2) ฐานเรยี นรู้ “คนรกั ษแ์ ม่ธรณี”เนอ้ื หาการเรียนร:ู้ การหม่ ดนิ

8.3) ฐานเรยี นรู้ “คนมีน้ายา”เนอ้ื หาการเรยี นรู้: การทา้ นา้ ยาอเนกประสงค์ สูตรสองคู่หู

8.4) ฐานเรียนรู้ “คนรกั ษ์น้า”เนื้อหาการเรยี นร:ู้ การท้าลูกระเบิดจุลนิ ทรีย์ 95

8.5) ฐานเรียนรู้ “หน่ึงงานบ้านพอเพียง”เน้ือหาการเรียนรู้: การท้าอาหารไก่แบบพอเพียง สูตร
เปล่ยี นศัตรูมาเป็นมิตร

8. หัวข้อวิชา ถอดบทเรียนผ่านส่ือ “แผ่นดินไทย” ตอน แผ่นดินวิกฤต และ “วิถีภูมิปัญญาไทยกับการ
พงึ่ ตนเองในภาวะวกิ ฤต”
วิทยากร นางประภา ปานนิตยกุล ผ้อู า้ นวยการศนู ย์ศกึ ษาและพฒั นาชมุ ชนนครนายก
1. วัตถปุ ระสงค์

๑.1) เพื่อใหผ้ ู้เรยี นไดส้ งั เคราะห์ความรทู้ ีไ่ ดร้ ับจากวิทยากรทีไ่ ด้มาบรรยายในแตล่ ะวิชา มาสงั เคราะห์
ความรู้ผ่านการถอดบทเรียนจากสื่อ

1.2) เพ่ือให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมตระหนักถึงความส้าคัญของการน้อมน้าหลักปรัชญาเศรษฐกิจ
พอเพียงไปประยุกตใ์ ช้ในการดา้ รงชวี ิต

1.3) เพื่อให้ผู้อบรมมีความรู้ความเข้าใจสถานการณ์โลกปัจจุบันกับการเปลี่ยนแปลงของดิน
ฟา้ อากาศ และตระหนักถงึ วกิ ฤตปญั หาด้านดิน นา้ ลม ไฟ โรคติดตอ่ ระบาดที่อาจเกดิ ข้นึ ในประเทศไทยและ
การป้องกนั ภัย
2. ประเดน็ เน้อื หา

2.1) การพึ่งพาตนเองในภาวะวิกฤต
2.2) การน้อมนา้ หลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี งไปประยกุ ตใ์ ช้ในการดา้ รงชีวิต
2.3) ภาวะวิกฤตสังคมโลก สังคมไทย ในปัจจบุ นั
2.4) หาทางออกวิกฤตด้วยศาสตรพ์ ระราชา

3. ระยะเวลา 96
จา้ นวน 2 ชัว่ โมง

4. วิธีการ/เทคนิค
4.1) ชมสื่อวีดที ัศน์
4.2) วิธีการแบ่งกลุ่ม ระดมสมอง รว่ มกันสังเคราะหอ์ งค์ความรู้
4.3) นา้ เสนอขอ้ มลู รายกลุ่มตามโจทย์ท่ไี ดร้ ับมอบหมาย
4.4) สรา้ งกระบวนการมีส่วนร่วมด้วยการถาม-ตอบ

5. วัสด/ุ อุปกรณ์
5.1) สื่อวีดีทัศน์ แผ่นดินไทย ตอน แผ่นดินวิกฤต และสื่อวีดีทัศน์ “พ่อเล่ียม บุตรจันทา” ปลดหน้ี

ด้วยศาสตร์พระราชา: คนรกั ษ์ปา่
5.2) เคร่อื งคอมพวิ เตอร์ เครื่องฉาย และจอภาพ
5.3) กระดาน กระดาษฟลปิ ชาร์ต ปากกา กระดาษกาว

6. ข้ันตอน/วิธีการ
6.1) วิทยากรแนะน้าตนเอง และช้ีแจงวัตถุประสงค์ของวิชา เกร่ินน้าก่อนเข้าสู่บทเรียนในประเด็น

สถานการณ์ของโลก ประเทศไทย
6.2) วิทยากรใหช้ มชมสื่อวีดที ศั น์ แผ่นดนิ ไทย ตอน แผ่นดนิ วิกฤต
6.3) วิทยากรมอบโจทย์ในการเรียนรู้ คือ ได้อะไรจากการชมสื่อวีดีทัศน์ ข้อคิด และมุมมองใน

การแกป้ ัญหาเชงิ บวก
6.4) กลุ่มสีแตล่ ะกลุ่มร่วมกนั ระดมสมองตามโจทย์ทไ่ี ด้รับ
6.5) แต่ละกลมุ่ สนี ้าเสนอ และแลกเปล่ียนเรยี นรู้
6.6) วทิ ยากรสรุปเติมเต็ม และสร้างกระบวนการเรียนรู้ด้วยการใช้วธิ ีการ ถาม-ตอบ และใหผ้ ูเ้ ข้ารับ

การฝกึ อบรมใหข้ อ้ เสนอแนะเพิ่มเติม
6.7) วิทยากร เกร่ินน้าในประเด็น สถานการณ์วิกฤตในปัจจุบันท่ีมนุษย์รวมถึงคนไทยก้าลังเผชิญ

การพ่ึงตนเองด้วยศาสตร์พระราชา และให้ชมส่ือวีดีทัศน์ของบุคคลตัวอย่างที่ฝ่าวิกฤตในชีวิตด้วยศาสตร์
พระราชา “พอ่ เล่ยี ม บุตรจันทา” ปลดหน้ดี ้วยศาสตรพ์ ระราชา: คนรักษป์ ่า

6.8) วิทยากรสร้างการมีส่วนร่วมแก่ผู้รับการฝึกอบรม โดยใช้วิธีการถาม-ตอบ เพื่อกระตุ้นให้เกิด
กระกวนการคดิ และกระตอื รอื รน้ ด้วยประเด็นค้าถาม “ไดข้ ้อคดิ /มุมมองอะไรบ้าง และจะทา้ อะไรตอ่ ไป”

7. สรปุ ผลการเรยี นรู้ 97

7.1) สรปุ ผลการเรียนรู้ ถอดบทเรียนผา่ นสื่อวีดที ัศน์ “แผ่นดนิ ไทย” ตอน แผน่ ดินวกิ ฤต จาก การ

สงั เคราะหค์ วามร้ขู องผเู้ ข้ารบั การฝกึ อบรม ทั้ง 5 กลุ่มสี สรปุ ได้ดังน้ี

ขอ้ คดิ ทไ่ี ด้รับจากการชมสอ่ื มมุ มองในการแกไ้ ขปัญหาเชิงบวก

1) เกิดภยั พิบตั ิทางธรรมชาติ 1) แก้ไขด้วยการพึ่งตนเอง สร้างภูมิคุ้มกัน ด้วย

2) ชาวบ้านไม่มีทที่ า้ กนิ แนวคิดของปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง

3) เกดิ การยา้ ยถ่ินฐาน 2) ปลกู ฝังจติ ส้านึกรักบา้ นเกิด รกั ษาสิ่งแวดล้อม

4) คนวา่ งงาน 3) สร้างความมั่นคงทางอาหาร และผลิตอาหารท่ี

5) ขาดแคลนอาหาร และแหลง่ อาหาร ปลอดภัย

6) การพัฒนาทางเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่าง 4) แสวงหาความรู้ สรา้ งภมู คิ ุ้มกันทางปัญญา

รวดเร็ว 5) หาเหตขุ องปญั หา และแก้ไขใหต้ รงจุด

7) ระบบทุนนิยมที่เข้ามามีอิทธิพลต่อระบบ

โครงสรา้ งทางสังคม

8) ความเหลื่อมทางสงั คม

7.2) สรุปผลการเรียนรู้ ถอดบทเรียนผ่านสื่อวีดีทัศน์ พ่อเล่ียม บุตรจันทา” ปลดหนี้ด้วยศาสตร์
พระราชา: คนรักษ์ป่า จากการสังเคราะห์ความรู้จากประเด็นค้าถาม “ได้ข้อคิด/มุมมองอะไรบ้าง และจะท้า
อะไรต่อไป” ของผู้เข้ารบั การฝึกอบรม ท้งั 5 กล่มุ สี สรปุ ได้ดังน้ี

ประเด็นท่ี 1 ได้ขอ้ และมมุ มองอะไรบ้าง
- การท้าบัญชีครัวเรือน เพื่อให้รู้จักตนเอง เพราะรู้ตัวเอง ก็จะทราบถึงปัญหา และสามารถ

แกไ้ ขปัญหาไดอ้ ยา่ งตรงจดุ
- การพง่ึ ตนเองดว้ ยการน้อมหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี งมาปรบั ใชก้ ารด้าเนินชวี ิต
- การวางแผนชีวติ ล่วงหนา้ เพ่อื สามารถพ่ึงตนเองไดใ้ นภาวะวกิ ฤต

ประเด็นท่ี 2 จะท้าอะไรตอ่
- นา้ องค์ความรู้การทา้ บญั ชีครวั เรอื นไปทา้ ในครอบครัว
- สง่ เสริมการใชช้ วี ิตด้วยศาสตร์พระราชาแกค่ นในชุมชน

8. รปู ภาพกจิ กรรม

9. หวั ข้อวิชา: ฝกึ ปฏิบัติ “จิตอาสาพัฒนาชมุ ชน เอาม้อื สามคั คีพฒั นาพน้ื ทต่ี ามหลกั ทฤษฎีใหม่” 98

วทิ ยากรหลกั นายเมธาพนั ธ์ นิลแกว้ นักทรัพยากรบคุ คลปฏิบัติการ

1) วัตถปุ ระสงค์
เพอ่ื ใหผ้ ู้เข้าอบรมเห็นถึงความสา้ คญั ของการแลกเปลย่ี นแรงงาน เอามื้อสามัคคี และเป็นการ

แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ในด้านการพัฒนาพ้ืนที่ตามหลักทฤษฎีใหม่ โดยประชาชนส่วนใหญ่มักรู้จั กในชื่อ
กิจกรรมการ “ลงแขก” หรือ เอาม้ือ “เอาแรง” ซึ่งเป็นวัฒนธรรมชุมชนที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาอย่างช้านาน
โดยในช่วงหลังมานี้นอกจากจะเป็นการแลกเปล่ียนในด้านแรงงานแล้วยังได้เน้นให้เกิดการสร้างความรู้ท่ี
เหมาะสมกับสภาพพนื้ ท่ี

2) ประเด็นเนอื้ หา
2.1 แนะนา้ วทิ ยากร
2.2 แนวทางการพัฒนาพ้นื ทต่ี ามหลักทฤษฎใี หม่
2.3 ขั้นตอนการตรวจแปลง 10 ขั้นตอน
2.4 การมอบหมายหนา้ ท่ีผู้เขา้ รับการอบรม และกรรมการตรวจแปลง
2.5 การวางแผนรว่ มกนั ทง้ั ในกลุ่มยอ่ ยและกลุ่มใหญ่
2.6 การลงมือปฏบิ ัตเิ อามื้อ
2.7 การตรวจแปลง
2.8 สรปุ การเรียนรู้

3) ระยะเวลา 7 ชวั่ โมง

4) วิธีการ/เทคนิค
4.1 สือ่ Power Point บรรยาย
4.2 แลกเปลี่ยนค้าถามกอ่ นลงมือปฏบิ ัติ
4.3 ลงมือปฏิบัตโิ ดยมคี รูพาท้าคอยแนะน้าในทุกๆ กลมุ่
4.4 คณะกรรมการตรวจแปลงด้าเนนิ การตรวจแปลงและให้คา้ แนะน้า
4.5 สรปุ ผลกจิ กรรม
4.6 ใหค้ ะแนนและมอบรางวัลกลุม่ ที่ไดค้ ะแนนมากทส่ี ดุ

5) วัสดุ / อปุ กรณ์
5.1 สือ่ Power Point /ไมโครโฟน/อปุ กรณป์ ระกอบจงั หวัด
5.2 อปุ กรณก์ ารเกษตร ไดแ้ ก่ จอบ เสียม พลว่ั คราด มดี อโี ต้ เล่ือย ฟาง ปุย๋ แหง้ ปยุ๋ น้า ลวด

คีม บุ้งกี๋ บวั รดนา้
5.3 ตน้ ไม้ทีใ่ ชป้ ลกู ปา่ 5 ระดับ
5.4 เครอ่ื งขยายเสียง โทรโขง่
5.5 นา้ ด่มื

5.6 ยาสามญั ประจา้ บ้าน 99

6) ข้ันตอน / วธิ กี าร

1. วทิ ยากรเร่มิ ตน้ โดยการแนะนา้ ตนเอง
2. วิทยากรให้ความรเู้ กย่ี วกบั การเอามือ้ สามัคคีและการพฒั นาพ้ืนที่ตามหลักทฤษฎใี หม่ โดย
ยดึ หลักกสกิ รรมธรรมชาติ ไดแ้ ก่

1) การจดั การกลุ่ม สา้ รวจพ้นื ที่ แบง่ หนา้ ที่ แบ่งคน ความสามัคคี
2) การเตรียมดิน ขุดรอ่ งน้า ฝาย
3) การปลกู ป่า 5 ระดบั
4) การปลูกแฝก อนุรักษด์ นิ และน้า
5) การปลกู ดอกไมเ้ พื่อบริหารแมลง
6) การห่มดิน
7) การเลย้ี งดินโดยการใส่ปุ๋ยอนิ ทรีย์ (แหง้ ชาม-นา้ ชาม)
8) การทอ่ งคาถาเล้ียงดิน 5 ภาษา

เลยี้ งดินใหด้ ินเลย้ี งพชื
ฟีด เดอะ ซอย แอนด์ เลท เดอะ ซอย ฟดี เดอะ แพลนท์
เจียม ได๋ ออย ได๋ เจยี ม ตะน้า
เล่ยี ง เทะ อดึ เทะ เล่ียง ละชวิ
เล้ยี งแมธ่ รณใี หแ้ มธ่ รณีเลย้ี งแมโ่ พสพ
9) ศิลปะ ความสวยงาม ความเรยี บร้อยของแปลง
10) การจดั เก็บอุปกรณ์ ล้างทา้ ความสะอาดจดั วางใหเ้ ปน็ ระเบียบ
3. วิทยากรขอตัวแทนผู้เข้ารับการอบรมของแต่ละกลุ่ม (5 กลุ่ม) เพื่อลงไปส้ารวจพ้ืนท่ีท่ีจะ
ด้าเนินงาน ซ่ึงทางคณะวิทยากรได้ก้าหนดขอบเขตของพื้นที่ไว้ (บริเวณด้านหลังเรือนวิทยากร ฐาน
เรียนรู้หน่ึงงานบ้านพอเพียง) และแบ่งเป็น 5 โซน ตามจ้านวนกลุ่มสีที่ได้แบ่งไว้ก่อนแล้ว โดยให้
ตัวแทนแตล่ ะกล่มุ จับสลากเพอื่ เลอื กวา่ กล่มุ ใดจะไดโ้ ซนใด
4. วทิ ยากรขอตัวแทนแต่ละกลุ่ม เพอื่ รว่ มเปน็ คณะกรรมการตรวจแปลง
5. ผูเ้ ขา้ รับการอบรมแตล่ ะกลมุ่ วางแผนการพัฒนาพ้ืนที่ โดยยดึ หลักกสกิ รรมธรรมชาติ
๖. ผู้เข้ารับการอบรมลงมือปฏบิ ตั งิ าน โดยมีครูพาทา้ ให้ค้าแนะนา้ ทุก ๆ กลมุ่
๗. ระหว่างลงมือปฏิบัติทางวิทยากรจะเปดิ เพลงท่ีเกยี่ วกบั หลกั กสกิ รรมธรรมชาติ และเพลง
สนุกสนานอนื่ ๆ เพ่ือใหก้ ารเอามอ้ื สามัคคมี ีความสนุกสนานเพลดิ เพลนิ
๘. คณะกรรมการตรวจแปลงด้าเนินการตรวจแปลงครงั้ ท่ี 1 โดยการตรวจแปลงครั้งน้ีเน้นท่ี
การให้คา้ แนะน้าตา่ ง ๆ มากกว่าการให้คะแนน
๙. เมอื่ คณะกรรมการดา้ เนนิ การตรวจแปลงเสรจ็ แลว้ ผู้เข้ารับการอบรมแต่ละกลมุ่ จะ
ด้าเนินการปรบั ปรงุ แกไ้ ขพ้ืนที่ ตามคา้ แนะนา้ ของคณะกรรมการ
๑๐. คณะกรรมการด้าเนินการตรวจแปลงครั้งท่ี 2 การตรวจแปลงคร้งั นีเ้ ปน็ การตรวจเพ่ือให้
คะแนน ผู้เขา้ รับการอบรมจะตอ้ งต้ังแถวบริเวณพื้นท่ีที่กลุม่ ตนเองรบั ผิดชอบ และกล่าวใสร่ หัสสวัสดี
คณะกรรมการเมอ่ื คณะกรรมการมาถงึ จากนนั้ จะต้องร่วมใจกันท่องคาถาเล้ยี งดนิ และหลังจากนนั้

ให้นา้ เสนอสง่ิ ที่กลุม่ ได้ดา้ เนนิ การใหค้ ณะกรรมการฟัง จากนัน้ เปน็ การซักถามจากคณะกรรมการ ใน 100
ระหวา่ งนคี้ ณะกรรมการจะบันทกึ คะแนนลงในแบบฟอร์ม โดยยึดหลกั 10 ข้นั ตอน

๑๑. เมื่อคณะกรรมการตรวจแปลงครบทั้ง 5 กลุ่มแล้ว จะดา้ เนนิ การรวมคะแนนและจะแจง้
ผลตอนท้ายชวั่ โมงการอบรมวิชาน้ี

1๒. เมื่อทุกกลุม่ ไดร้ บั การตรวจแปลงเสรจ็ แลว้ จะเป็นกิจกรรมสรปุ ผลการด้าเนินกิจกรรม
เอามื้อสามัคคี ได้วิทยากรจะมอบโจทย์และใหแ้ ต่ละกลุม่ ร่วมกนั คิดและสง่ ตวั แทนออกมาน้าเสนอ

1๓. วิทยากรประกาศผลกล่มุ ทไ่ี ดร้ ับคะแนนสงู ที่สุดของกิจกรรมนี้ และมรี างวัลใหก้ ลุ่มที่
ชนะเพ่อื เปน็ แรงจงู ใจในการนา้ กจิ กรรมนไ้ี ปปรบั ใชใ้ นพื้นที่ของตนเองต่อไป

สรปุ ผลการเรยี นรู้
จากการด้าเนินกิจกรรมพบว่า ผู้เข้ารับการอบรมส่วนใหญ่มีความสนใจ ให้การมีส่วนร่วมใน

กระบวนการเรียนรู้ เนื่องจากเป็นการลงมือปฏิบัติจริง ทุก ๆ กลุ่มจะต้องท้าผลงานให้ดีท่ีสุด เกิดภาวะ
ความเป็นผู้น้าของทุก ๆ กลุ่ม ผู้ท่ีมีความสามารถด้านการเกษตรจะคอยแนะน้าเพ่ือนๆ คนอ่ืนในกลุ่ม
มีการแบ่งหน้าที่กันท้าอย่างชัดเจน เช่น ผู้ชายท้างานท่ีหนัก ผู้หญิงคอยช่วยงานท่ีเบากว่าหรืองานท่ีต้องใช้
ความละเอียด เป็นต้น มีการพูดคุยช่วยกันแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนระหว่างด้าเนินงานทั้งในแต่ละกลุ่มและ
ระหว่างกลุ่ม เพื่อให้ภาพรวมของแปลงออกมาดีท่ีสุด ระหว่างด้าเนินกิจกรรมมีการช่วยเหลือซ่ึงกันและกัน
ผู้เข้าอบรมคนใดเหนื่อยก็พัก เม่ือหายเหน่ือยก็กลับมาช่วยกนั ต่อ หลายๆ คนน้าน้าและอาหารวา่ งไปบริการ
เพ่ือนๆ ในกลุ่ม ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งท่ีตอบวัตถุประสงค์ของวิชาเน่ืองจากต้องการให้น้ากระบวนการเอาม้ือ
สามัคคี หรือการลงแขก กลับมาใชใ้ นยคุ ปจั จบุ ันอีกครงั้ ดงั คา้ ทีก่ ล่าวไวว้ ่า “ท้าแบบคนจน”

ภาพถา่ ยกจิ กรรม

101

10. หัวข้อวิชา การออกแบบเชิงภูมิสังคมไทยตามหลักการพฒั นาภูมิสังคมอย่างยั่งยืนเพ่ือการพึ่งตนเอง 102
และรองรับภยั พบิ ัติ
วทิ ยากรหลัก

นายอดุลย์ วิเชียรชัย เครือข่ายโคก หนอง นา โมเดล จงั หวดั ปทุมธานี

1) วัตถปุ ระสงค์
เพอื่ ใหผ้ เู้ ข้ารบั การฝึกอบรม มีความรู้ความเขา้ ใจในการออกแบบพ้ืนทเ่ี ชงิ ภูมิสงั คมไทยตามหลักการ

พฒั นาภูมสิ ังคมอย่างยงั่ ยืนเพ่อื การพ่ึงตนเองและรองรับภัยพบิ ัติ “โคก หนอง นา โมเดล”

2) ประเด็นเนื้อหา
๑. สถานการณแ์ ละภาวะวกิ ฤตขิ องโลก ประเทศ ชมุ ชน (นา้ อาหาร พลังงาน)
1.1 ทรพั ยากรนา้
1.1.1) การใชป้ ระโยชนจ์ ากทรพั ยากรน้า
1.1.2) สถานการณ์ทางนา้
1.2 วกิ ฤตการณด์ ้านอาหาร
1.2.1) สถานการณข์ าดแคลนดา้ นอาหาร
1.3 วิกฤตการณด์ ้านพลังงาน
1.3.1) การขาดแคลนพลงั งาน
2. แนวทางการแกไ้ ขและรองรับภัยพบิ ตั ิด้วยการบริหารจัดการพื้นที่ “โคก หนอง นา”

3) ระยะเวลา ๓ ช่วั โมง

4) วธิ กี าร /เทคนิค
๑. วิทยากรบรรยายประกอบสื่อ Power point และส่อื วีดที ัศน์
2. บรรยาย
3. กระตุน้ ดว้ ยค้าถามและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
4. สรุปการเรยี นรู้

5) วัสดุ /อปุ กรณ์
1. ส่ือวีดีทัศน์
2. ส่ือนา้ เสนอด้วยโปรแกรม power point

6) ขน้ั ตอน /วิธกี าร
๑. วิทยากรเล่าสถานการณ์และวิกฤตของโลกและประเทศในปัจจุบัน (น้า อาหาร พลังงาน) พร้อม

ยกตวั อยา่ ง
2. วิทยากรบรรยายการออกแบบเชิงภูมสิ ังคมไทยตามหลักการพัฒนาภูมิสังคมอย่างยั่งยนื เพ่ือการ

พ่งึ ตนเองและรองรับภยั พบิ ตั ิ (การออกแบบพนื้ ทชี่ ีวิต)
3. วทิ ยากรยกตวั อยา่ งแบบจา้ ลองการจดั การพ้นื ที่กสกิ รรมประกอบ เพอ่ื ให้เห็นภาพชัดเจนยง่ิ ขึน้

4. วิทยากรบรรยายให้ความรเู้ ก่ียวกับแนวทางการแก้ไขและรองรบั ภัยพบิ ัติด้วยการบริหารจัดการ 103
พื้นที่การพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ “โคก หนอง นา โมเดล” พร้อมยกตัวอย่าง
ความสา้ เร็จ (พน้ื ทตี่ ้นแบบ)

5. ส่ือวีดีทัศน์ กรณีศึกษา “ความส้าเร็จของ “คนผู้เดินตามรอยศาสตร์พระราชา” : เจาะใจ” (ลุง
แสวง ผมู้ งั่ คง่ั )

สรุปเน้อื หาการเรียนรู้

วิทยากรผู้เชี่ยวชาญ เกร่ินน้าสถานการณ์โลกท่ีต้องเผชิญกับภัยพบิ ัติในหลากหลายรูปแบบและทาง
เดียวที่ประเทศไทยจะรอดพ้นจากภัยพิบัติเหล่านี้ได้คือ การน้อมน้าหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และ
หลักการทรงงาน พระราชด้ารัส “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ของในหลวงรัชกาลท่ี 9 มาประยุกต์ใช้ในวิถีชีวิต
พร้อมเชื่อมโยงถงึ สถานการณ์การท้าเศรษฐกิจพอเพียงท่ไี ม่ประสบความส้าเร็จทีผ่ ่านมา ไปไมถ่ งึ ไหนเพราะท้า
ไม่จริง ท้าเล่นๆ แม้ในมมุ มองภาควิชาการท่ีทา้ งานวิจัยเก่ยี วกับเศรษฐกิจพอเพียงมากกว่าแปดหมื่นเร่ือง ก็ยงั
ไม่สามารถน้าผลท่ีได้จากการวิจัยนัน้ มาปรบั ใช้และด้าเนินการในพ้ืนที่จริงได้ หน่วยงานภาครัฐจึงต้องน้อมน้า
หลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง ไปเป็นตัวชี้วัดหลักขององค์กร โดยเน้นหลัก 2 เงื่อนไข คือ การใช้ความรู้
บวกกบั คณุ ธรรม คอื การรู้รักสามัคคี ในท่ีนค้ี อื การเอามอื้ สามัคคี การร่วมแรงรว่ มใจกันปรับและพฒั นาพ้ืนท่ี
ให้สามารถเป็นแหล่งอาหารและเป็นศูนย์พ่ึงพิงได้เมื่อยามเกิดภัยพบิ ัติ อีกท้ังเป็นศูนย์เรียนรู้ในระดับพื้นทไี่ ด้
ดว้ ยหลักการทัง้ หมดน้เี ราจะสามารถอยู่รอดและพ่งึ ตนเองได้ จะเป็นทางรอดของประเทศไทย

วิทยากรกล่าวถึงบทบาทและภารกิจการด้าเนินงานของศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนท่ีจะต้อง
ขับเคลื่อนให้เป็นมหาวิทยาลัยศาสตร์พระราชา โดยยกตัวอย่างการด้าเนินงานของสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง
ภูมิพล King Bhumibol Institute of Sufficiency Economy (KBISE) ท่ีเน้นการขับเคลื่อนสืบสานศาสตร์
พระราชา ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่เป้าหมายความย่ังยืนของโลก และกรมการพัฒนาชุมชนต้อง
ต้ังเป้าหมายพื้นที่ต้นแบบในการน้อมน้าหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงให้ได้อย่างน้อยหมู่บ้านละ 15
แปลง อีกทั้งใช้กลไกการท้างานแบบเครือข่ายในการขยายผล จัดท้าบันทึกข้อตกลงร่วมมือ “การขับเคลื่อน
ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียงสู่เปา้ หมายความยง่ั ยืนโลก” โดยมเี ครอื ข่าย ดงั นี้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศ
ไทย,สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.),มูลนิธิสภาคริสตจักร,นาคารเพื่อ
การเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.),มหาวิทยาลยั แม่โจ้,มหาวทิ ยาลัยราชภฏั ราชนครินทร,์ มูลนิธิรักษ์ดิน
รักษน์ า้ ,มูลนิธิกสกิ รรมธรรมชาติ และบรษิ ัทเอามื้อสามัคคีวิสาหกิจเพ่ือสงั คม จา้ กดั ซงึ่ มีเป้าหมายร่วมกัน คือ
ความย่ังยืนของโลก เครือข่ายการขยายผลนั้นได้แก่ เครือข่ายระดับพ้ืนที่ ระดับลุ่มแม่น้า ระดับจังหวัด และ
ระดับประเทศ โดยเร่ิมจากพื้นที่จังหวดั ท่ีประสบปญั หาภัยแลง้ ซา้ ซาก เชน่ จงั หวดั กาญจนบุรี จังหวัดเชยี งราย
ได้ด้าเนินการส่งประชาชนในพน้ื ที่เขา้ รับความรูด้ ้วยการอบรมตามหลักสูตรของศูนย์กสิกรรมธรรมชาติ (มาบ
เอื้อง) จังหวัด ชลบุรี เน้นกลุ่มเป้าหมาย 4 กลุ่ม คือ 1. คน, 2.ความรู้, 3.เครือข่าย และ 4.ขยายผล ภายใต้
แนวคิดที่ว่าทุกคนมีความสามารถ มีสิทธิเป็นครูได้ ซ่ึงเป้าหมายท่ี 1 ด้านคนนั้น ให้เน้นผ่าน
กระบวนการพัฒนาคนผ่านศูนย์บ่มเพาะเบ็ดเสร็จ โดยมีองค์ประกอบคือ หลักสูตรท่ีเหมาะสม วิทยากรฐาน
เรียนรู้/วิทยากรกระบวนการ ทีมออกแบบพ้ืนที่ ทีมขับเคล่ือนพื้นที่ ทีมเก็บข้อมูล และทีมวิจัยร่วมชุมชน ป้า
หมายที่ 2 ด้านความรู้ เน้นด้านการเป็นศูนย์ข้อมูลและติดตามแบบบูรณาการ วิเคราะห์/สังเคราะห์ ตัวอย่าง
ความส้าเร็จสู่งานวิชาการ เช่ือมโยงความรู้สู่สากล โดยมีองค์กระกอบคือ หลักสูตรที่เหมาะสม วิทยากรฐาน
เรียนรู้/วิทยากรกระบวนการ ทีมออกแบบพื้นท่ี ทีมขับเคลื่อนพ้ืนท่ี ทีมเก็บข้อมูล และทีมวิจัยร่วมชุมชน
เป้าหมายท่ี 3 ด้านเครือข่าย เน้นกระบวนการสร้างเครือข่าย โดยมีองค์ประกอบคือ การบวนการสร้าง
เครอื ขา่ ย กระบวนการเชอ่ื มรอ้ ยกลไกการมีสว่ นรว่ ม กิจกรรมรณรงค์แลกเปลยี่ นเรยี นรู้

วิทยากรยกตัวอย่างกรณีศึกษา โคก หนอง นา โมเดล ซึ่งทฤษฎีดังกล่าวเป็นการแปลงปรัชญาของ 104
เศรษฐกิจพอเพียงให้เป็นรูปธรรม โดยมี 5 ข้ันตอน คือ

1.บันได 9 ข้นั สูเ่ ศรษฐกิจพอเพียง
2.ทฤษฎีใหมก่ วา่ 40 ทฤษฎี

3.วธิ ีปฏิบัตอิ ยา่ งเป็นขน้ั เปน็ ตอนกวา่ 4,741 โครงการ และ 47,000 เรอื่ ง
4.เทคนิค/นวตั กรรม ท่ีเปน็ เคลด็ วิชา เคลด็ ลบั บทเรียนจา้ นวนมาก
5.การบริหารแบบคนจนโดยยึดวลีว่า “ความขาดแคลนไม่เป็นปัญหาถ้ามีปัญญาถ้ามีปัญญาและ

ความอดทน”
ส้าหรับหลักการท้า โคก หนอง นา โมเดล หากมีพื้นที่ในการด้าเนินการ จ้านวน 1 ไร่ เรียกว่าเป็น

การลดรายจ่าย จ้านวนพ้ืนท่ี 3 ไร่ เรียกว่าพ่ึงตนเอง จ้านวนพ้ืนที่ 5 ไร่ เรียกว่าแก้จน จ้านวนพื้นที่ 10 ไร่
เรียกว่า พ้นเกษียณ และจ้านวนพื้นที่ 10 ไร่ เรียกว่า ศูนย์พ่ึงพิง หากใครเริ่มท้าก่อนก็จะรอดก่อน เพราะ
เป้าหมายของการทา้ โคก หนอง นา คอื การขดุ หนองนา้ ไวใ้ ห้สามารถมีนา้ ใชไ้ ด้ท้งั ปี ปลกู ไม้ยนื ตน้ ปลูกพืชผัก

ทา้ ประมง ทา้ ปศุสตั ว์ ซึง่ ในหลกั สูตรนี้ จะเน้นไปทกี่ ารบรหิ ารจัดการพน้ื ทขี่ นาดเลก็ ให้สามารถเก็บกักน้าฝนไว้
เป็นการช่วยแก้สถานการณ์ภัยแล้งรุนแรงหรือซ้าซาก ในขณะที่วิธีคิดการบริหารจัดการน้าแบบเก่าที่ต่างชาติ

คิดนั้นเป็นวิธีคิดท่ีจะกักเก็บน้าแต่ไม่สามารถน้าน้าไปใช้ประโยชน์ได้เท่าท่ีควร ประเทศไทยเราจึงคิดวิธีการ
บรหิ ารจดั การน้าในรูปแบบใหมท่ สี่ ามารถน้านา้ มาใช้ใหเ้ กิดประโยชน์ได้ จึงมโี ครงการเกดิ ขึน้ ดงั นี้

1.โครงการ โขง ชี มลู โดยใช้หลกั การแรงโน้มถ่วงของโลกในการแก้ปัญหาแม่นา้ โขงแหง้

2.โครงการผนั น้าเขา้ แม่นา้ สาละวนิ ไปยงั เข่อื นภูมพิ ล เพื่อแกป้ ัญหาภูเขาหัวโลน้ ในพืน้ ที่จงั หวัดน่าน
และเชียงราย

3.โครงการผนั น้าจากเขื่อนป่าสกั ไปยังเขือ่ นล้าตะคอง
4.โครงการผันนา้ จากเข่ือนศรีนครนิ ทร์ เพอ่ื แกป้ ัญหาการใช้สารเคมีที่เกนิ ปริมาณและท้าให้สารเคมี
ตกค้างในดนิ

5.โครงการอุโมงค์ผันน้าท่ีจงั หวดั เชียงใหม่ แต่มคี วามล่าช้าถึงรอ้ ยละ 85 กรมชลประทานจงึ เข้ามา
แก้ปัญหาด้วยการขุดโคก หนอง นา ให้กับพี่น้องประชาชน โดยใช้งบประมาณในการขุด จ้านวน 26,500

บาทตอ่ 1 ไร่ จงึ เปน็ ทม่ี าของ “ชมุ ชนกสกิ รรมวถิ ี” ซงึ่ การทา้ โคก หนอง นา นน้ั ถือเป็นการบรหิ ารจดั การใน
ดา้ น ดนิ น้า ปา่ คน ใหส้ ามารถพ่งึ พาอาศัยเก้ือกูลกนั ระหว่างคนกบั ธรรมชาติ เปน็ การปรบั สมดุลเพอ่ื คืนชีวิต
ให้กับธรรมชาติ และเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อต้ังรับกับสถานการณ์ท่ีไม่คาดคิดหรือภัยพิบัติในรูปแบบ

ต่าง ๆ ไม่เว้นแม้กระท่ังวิกฤตที่คนจะตกงานในอนาคต ให้มีพื้นท่ีท้ามาหากิน สามารถเลี้ยงตนเองและ
ครอบครวั ได้

หลกั การออกแบบพ้ืนท่ี ต้องคา้ นึงถงึ ศาสตรพ์ ระราชา (เกษตร 2 ขา) คอื การรวมกันระหวา่ งทฤษฎี
ใหม่กับการเกษตรเชิงเด่ียว ต้องวิเคราะห์พื้นที่ โดยเลือกพ้ืนที่ท่ีมีระดับพ้นจากการเกิดน้าท่วม มีวิธีปฏิบัติคือ
หาหรือปรบั ปรงุ แหล่งน้า ปรบั ปรุงคุณภาพของดนิ และเลือกกิจกรรมท่มี ีความเหมาะสมและฟืน้ ฟูสภาพดินโดย

ใช้การย่้าขี้ ห่มดิน(แห้งชาม น้าชาม) ปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง ท้าน้าหมักชีวภาพ มีการขุดลอก
หนองนา้ เดิมใหส้ ามารถรองรับน้าฝนได้ในปริมาณมาก ทา้ การขุดคลองไส้ไกเ่ พื่อให้สามารถควบคุมทิศทางการ

ไหลของนา้ และสามารถใชพ้ ้นื ทใี่ นการรองรับน้าฝน ถอื เปน็ การวางแผนให้คนสามารถอยูก่ บั นา้ ได้ ไม่ก่อปญั หา
ในพนื้ ทข่ี ้างเคียงเม่ือเกิดปญั หาน้าทว่ ม มีการท้าโคก ท้านาข้ันบันได และการยกหวั คันนาทองค้า ปรบั พน้ื ที่ให้
สามารถเปน็ แก้มลิง เปน็ ศนู ยพ์ ่งึ พงิ ในอนาคตได้

การท้าโคก หนอง นา น้ี หากด้าเนินการได้ร้อยละ 10 ของหมู่บ้าน จะสามารถเป็นแนวทางเป้น 105
ตน้ แบบในการขับเคล่อื นศาสตร์พระราชา โดยการใชท้ ฤษฎีใหมม่ าประยุกตใ์ นวถิ ีชีวิต วิทยากรฉายภาพพร้อม
ยกตัวอย่าง พ้ืนท่ีจังหวัดน่านและจังหวดั ทางภาคอีสานท่ีประสบความส้าเร็จในการด้าเนินงาน โคก หนอง นา
เพือ่ เป็นการกระจายและสรา้ งแรงบนั ดาลใจใหก้ ับผ้เู ขา้ ร่วมอบรมในการด้าเนนิ งานตอ่ ไป

วิทยากรเปิดโอกาสให้ผูเ้ ข้าอบรมไดซ้ กั ถามและแลกเปล่ียนความคิดเห็นในหวั ข้อวชิ านี้
โดยสรุป พบว่า ผู้เข้าอบรมส่วนใหญ่มีความสนใจ ต้ังใจ และมีส่วนร่วมในการเรียนรู้และการรบั ฟัง
การบรรยายด้วยความตั้งใจ การตอบค้าถาม การแสดงความคิดเหน็ อย่างสร้างสรรค์ และมีความรูค้ วามเข้าใจที่
ถกู ตอ้ งเก่ียวกับหลักการออกแบบเชิงภูมิสังคมไทยเพ่ือการพ่ึงตนเองและรองรับภยั พิบัติ อีกท้งั เกิดแรงบันดาล
ใจให้สามารถน้าแนวคิด โคก หนอง นา โมเดล ซง่ึ เปน็ หนึง่ ในทฤษฎีใหม่ เปน็ การน้อมน้าศาสตร์พระราชาและ
ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง ของในหลวงรัชกาลท่ี 9 ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นวิถีชีวติ สคู่ วามย่ังยนื ต่อไป

ภาพบรรยากาศการเรียนรู้ในรายวิชา

สรปุ ผลการเรยี นรู้
พบวา่ ผู้เขา้ อบรมส่วนใหญ่มีความสนใจ มีความตัง้ ใจในการเรียนรู้ในหัวข้อวิชาการออกแบบเชิงภูมิ

สังคมไทยตามหลกั การพัฒนาภูมิสังคมอย่างยง่ั ยืน เพอ่ื การพึ่งตนเอง และรองรับภัยพิบัติ เนื่องจากเนอ้ื หาของ
หัวข้อวิชาเป็นหลักการท่ีสามารถน้าไปขยายผลให้ความรู้กับประชาชนในพ้ืนที่การด้าเนนิ งานได้จรงิ อีกท้ังยัง
เปน็ ประโยชนก์ ับการพัฒนาและต่อยอดในพนื้ ท่กี ารด้าเนนิ งานของผู้อบรม

1๑. หวั ข้อวชิ า : ฝึกปฏบิ ัตกิ าร สร้างหุ่นจาลอง (กระบะทราย) การจัดการพื้นทต่ี ามหลักทฤษฎีใหม่ 106
ประยกุ ต์สู่ “โคก หนอง นา โมเดล” / นาเสนอผลงาน

วทิ ยากรหลกั
นายอดลุ ย์ วเิ ชียรชัย เครอื ขา่ ยโคก หนอง นา โมเดล จังหวดั ปทมุ ธานี

1) วตั ถุประสงค์
1.1 เพ่ือให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมมีความรู้ ความเข้าใจในการจัดการพื้นท่ีเชิงภูมิสังคมไทย

ตามหลกั การพัฒนาภูมิสงั คมอย่างยง่ั ยืน ตามหลักการออกแบบ “โคก หนองนา โมเดล”
1.2 เพือ่ ให้ผเู้ ข้าอบรมฝกึ ปฏบิ ัติ workshop ออกแบบพื้นท่ใี นรปู แบบ 2 มติ ิ และ 3 มิติ

2) ประเดน็ เน้ือหา
2.1 หลกั คดิ พ้ืนฐานการออกแบบตามหลกั ภมู ิสงั คม (Geosocial)
2.2 การคา้ นวณการจัดการน้าฝนในพน้ื ที่
2.3 แนวคิดการออกแบบและฝึกปฏิบัตกิ ารเขยี นแบบตามหลัก “โคก หนอง นา” เพือ่ การใช้
พ้ืนทใ่ี ห้เกดิ ประโยชน์สงู สดุ

3) ระยะเวลา 5 ชัว่ โมง

4) วธิ ีการ/เทคนคิ
4.1. วิทยากรบรรยายใหค้ วามรู้ โดยใชส้ ่อื Power Point ประกอบการบรรยาย
4.2. มอบหมายโจทยส์ ้าหรบั ฝึกปฏิบตั ิ workshop จัดทา้ ผลงานออกแบบพนื้ ที่ในกระบะไม้

และน้าเสนอผลงาน

5) วัสดุ / อุปกรณ์
1. สื่อ Power Point
2. คอมพิวเตอร์ เครือ่ งฉายโปรเจคเตอร์
3. กระดาษฟลปิ ชารต์ / ปากกาเคมี
4. กระบะไม้ / ดินปลกู บวั

6) ขน้ั ตอน / วธิ ีการ
วิทยากรบรรยายเก่ียวกับการค้านวณน้าเพ่ือการกักเก็บน้าฝนในการออกแบบพ้ืนท่ี โดยหลักการมี

ปัจจัยหลักที่ส้าคัญของการออกแบบพื้นท่ี ภูมิ คือ สภาพทางกายภาพ เช่น สภาพดิน น้า ลม ไฟ สังคม
วัฒนธรรม ความเช่ือ ภูมิปัญญาด้ังเดิมที่อยู่ในพื้นท่ีนั้น ซึ่งในการออกแบบจะให้ความส้าคัญกับ “สังคม”
มากกว่า “ภูมิ” คือต้องออกแบบตามสังคมและวัฒนธรรมของคนที่อยู่ แม้ว่าภูมิประเทศจะเหมือนกันก็ตาม
หาก สงั คมต่างกันการออกแบบกจ็ ะต่างกนั ออกไปมหี ลกั พิจารณา ดงั น้ี

1. ปรมิ าณน้าฝนท่ีตกเฉลี่ยในพนื้ ที่
2. ความสูงต่า้ ของพน้ื ท่แี ละทิศทางการไหลของน้าในแปลง

3. การวางองค์ประกอบของพนื้ ที่ 107
- ดิน การออกแบบพื้นท่ีควรค้านึงถึงสภาพปัญหาของดินและลักษณะของดิน ความอุ้มน้า

ของดิน ดินทราย ดินเหนียว เพ่ือวางแผนการขุดหนองน้าและการปรับปรุงดินให้เหมาะสม โดยใช้หลักการ
ฟนื้ ฟูดิน ไมเ่ ปลอื ยดนิ เตมิ ปุ๋ยอนิ ทรียแ์ บบแหง้ และน้า หลังการห่มดนิ ดว้ ยฟาง ใบไม้

- น้า การออกแบบพน้ื ท่ีควรค้านึงถึงทิศทางการไหลของน้าเขา้ และออกจากพืน้ ที่ ขุดหนองให้
มคี วามคดเค้ียวเพอ่ื เพมิ่ พ้นื ทเ่ี พาะปลกู พืชขอบริมหนอง และการท้าตะพกั น้า

- ลม การออกแบบพน้ื ท่คี วรค้านงึ ถงึ ทศิ ทางลม ลมในพ้นื ที่พัดเขา้ มาทางไหน ทงั้ ลมรอ้ นและ
ลมฝน ตามหลักของลมน้ัน ลมฝนจะพัดมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ และลมหนาวพัดมาทางทิศ
ตะวันออกเฉยี งเหนอื

วิทยากรมอบโจทย์ให้กับผู้เข้าอบรมเป็นกลุ่มสี โดยแบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม (สีน้าเงิน ชมพู แดง เหลือง
และสีเขียว) เพ่ือให้ออกแบบพ้ืนท่ีแบบ 2 มิติ ในกระดาษฟลิปชาร์ท แล้วน้าไปสร้างแบบจ้าลองในกระบะไม้
แบบ 3 มติ ิ ท้ังน้ีเมอื่ ออกแบบเรยี บรอ้ ยแลว้ ผู้เข้าอบรมจะตอ้ งนา้ เสนอผลงาน พรอ้ มอธบิ ายการคา้ นวณน้าดว้ ย
โดยวิทยากรจะเปน็ ผู้เติมเต็มให้กบั ผเู้ ข้าอบรมแตล่ ะกลมุ่

โจทย์ 108
กจิ กรรมท่กี ้าหนดในการออกแบบพื้นท่ี

ภาพกิจกรรมการสรา้ งหุ่นจาลอง

109

สรุปผลการเรยี นรู้
ผู้เข้าอบรมได้น้าความรู้พ้ืนฐานเก่ียวกับหลักการออกแบบพ้ืนท่ี “โคก หนอง นา โมเดล” มาฝึก

ปฏิบัติจริง ท้าให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น และเกิดการแลกเปล่ียนเรียนรู้ระหว่างผู้เข้าอบรมในการออกแบบ
เพื่อสรา้ งห่นุ จ้าลองในกระบะทราย ทา้ ให้บรรยากาศในกิจกรรมเปน็ ไปด้วยความสนุกสนาน เกดิ ความสามัคคี
ช่วยเหลอื แบง่ งานกันท้า เพือ่ ให้การสรา้ งแบบในกระบะทรายเปน็ ไปตามหลกั ของการออกแบบเพอื่ การจดั การ
พ้นื ท่ีให้ใช้ประโยชนไ์ ด้สูงสดุ

13. หวั ข้อวิชา : Team building ฝกึ ปฏิบัติการบริหารจดั การในภาวะวกิ ฤต “หาอยู่ หากนิ ” 110

วทิ ยากรหลัก นางสาวภัทธญิ า ติกจินา นกั ทรัพยากรบุคคล

1) วัตถปุ ระสงค์
1.1 เพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมเข้าใจการพ่ึงตนเองและการใช้ทรัพยากรท่ีมีอยู่อย่างจ้ากัดให้

เกิดประโยชนส์ งู สุดในการดา้ รงชวี ิต
1.2 เพื่อให้ผเู้ ขา้ รับการฝึกอบรมรจู้ กั การด้ารงชีวิตในภาวะวิกฤต/การประสบภัยพิบตั ิ
1.3 เพื่อใหผ้ เู้ ข้ารับการฝกึ อบรมรูจ้ ักการวางแผนการทา้ งานเป็นทมี ได้ฝกึ วินัยและคุณธรรม
1.4 การพ่งึ พาตนเอง และการใช้ทรพั ยากรธรรมชาติทมี่ อี ย่อู ยา่ งจ้ากัดใหเ้ กดิ ประโยชน์สงู สุด
1.5 เพอ่ื เสรมิ สร้างปฏสิ มั พันธ์ การท้างานเป็นทมี

2) ประเดน็ เนอ้ื หา
2.1 การท้ากิจกรรมแบบพึ่งตนเอง และใช้ทรัพยากรที่มีอย่างจ้ากัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ดา้ รงชีวติ ในภาวะวกิ ฤต/การประสบภยั พิบตั ิ,วางแผนการทา้ งานเป็นทีม ฝกึ วินยั และคณุ ธรรม
2.2 การดา้ รงชวี ิตในภาวะวิกฤต/การประสบภัยพบิ ตั ิ
2.3 รจู้ กั การวางแผนการท้างานเปน็ ทมี ไดฝ้ ึกวนิ ัยและคณุ ธรรม
2.4 ความหมาย/เป้าหมาย/รูปแบบ/ความสา้ คัญ Team Building
2.5 กติกาการท้ากจิ กรรม
2.6 สภาพพืน้ ที่ในการด้าเนนิ กิจกรรม
2.7 การสรปุ บทเรยี น

3) ระยะเวลา
2 ชั่วโมง

4) วธิ ีการ/เทคนคิ
4.1 ลกั ษณะการฝกึ อบรมแบบ work shop
4.2 ช้แี จงกฎกตกิ า
4.3 แบ่งกลมุ่
4.4 สรุปบทเรยี น

5) วัสดุ / อปุ กรณ์
1. อปุ กรณ์เครือ่ งครวั ทั้ง 5 กลมุ่
2. อุปกรณร์ ้องร้าท้าเพลง
3. เครื่องปรุงอาหาร เช่น น้าปลา กะปี พริก เกลือ และวตั ถดุ บิ ท้าอาหาร เช่น ไก่ หมู ปลา

ไขไ่ ก่
4. อปุ กรณ์รบั ประทานอาหาร เชน่ ถ้วย ช้อน จาน ใหเ้ พยี งพอทุกคน
5. ไมข้ ีด 5 กล่องๆ ละ 1 ก้าน

6. ถา่ นทา้ ครวั 111
7. ขา้ วสาร
8. อุปกรณ์ทา้ ความสะอาดเครอื่ งครวั เชน่ น้ายาลา้ งจาน ฟองน้า กะละมัง

6) ขั้นตอน / วิธกี าร

1. ทีมวิทยากรจดั เตรียมวสั ดุ อุปกรณ์ เคร่ืองครวั และวัตถดุ บิ ต่าง ๆ
2. วทิ ยากรช้แี จง กฎ กตกิ า พรอ้ มด้วยอธบิ ายแผนผังในการหาวัตถุดิบ (ช้ีแจงวา่ พน้ื ท่ไี หนอนุญาต
ตรงไหนไมอ่ นญุ าต)
3. มอบเช้ือเพลิง ในการจุดไฟใหก้ ับทกุ กล่มุ ๆ ละ 1 กลอ่ งๆ ละ 1 กา้ น (ไม้ขดี ๑ ก้านตอ่ ๑ กลุม่ )
4. มอบอุปกรณ์เคร่อื งครัว เพ่ือเปน็ อุปกรณใ์ นการประกอบอาหาร เชน่ ถว้ ย ชาม ชอ้ น กระทะ หม้อ
ฯลฯ
5. มอบวตั ถปุ ระกอบอาหาร ไดแ้ ก่ ข้าวสาร 1 กิโลกรัม ไข่ไก่ 5 ฟอง
6. หากผเู้ ข้าฝกึ อบรมต้องการเคร่ืองปรุงและวตั ถุดบิ เพิ่มเตมิ ให้ผู้เข้ารบั การฝึกอบรมแสดง
ความสามารถเพอื่ แลกวัตถุดบิ (กุศโลบาย: มีเงินกซ็ อ้ื ไม่ได้ ต้องนาความสามารถมาแลกเพื่อให้มาซง่ึ ของท่ี
เราต้องการ)
7. ลงมือประกอบอาหารร่วมกนั และหลังจากท้าอาหารเสร็จส้นิ ใหเ้ ก็บกวาด ท้าความสะอาด อุปกรณ์
และพื้นทีใ่ หเ้ รียบร้อย
8. เลือกตัวแทนแต่ละกลุ่มเป็นกรรมการ ตรวจให้คะแนนอาหาร (รสชาติ คุณภาพ ความเหมาะสม
การนา้ ทรัพยากร/วัตถุดิบมาใช้ประกอบอาหารอย่างค้มุ ค่า การอธบิ ายสรรพคุณของวัตถดุ ิบแต่ละอยา่ ง กล่มุ
ละ 5 นาที
9. รบั ประทานอาหารพร้อมกัน
10. วทิ ยากรสรปุ สงิ่ ทีไดจ้ ากการเรยี นร้สู ่ิงท่ไี ด้จากกิจกรรมนี้ ผ่านเวทีลอ้ มวงชวนคุย ในประเด็น
ค้าถาม ดงั ต่อไปน้ี

คาถามท่ี 1 : ทา่ นเหน็ อะไร ? จากการเข้าร่วมกิจกรรมนี้
ค้าตอบ : ผอู้ บรมไดเ้ รยี นรู้จกั การแบ่งปัน การแลกเปลี่ยน การรว่ มแรงรว่ มใจในการ
ท้างาน ความสามัคคี การชว่ ยเหลือซง่ึ กนั และกนั ในสถานการณ์ทีว่ กิ ฤต

: มีเงนิ ทองกซ็ ้ือของไม่ไดใ้ นยามวกิ ฤต
: เห็นถงึ ภาพการฉวยโอกาสของผูป้ ระกอบการ (ตลาด) การเป็นโจรลกั ขโมยของ
การกลนั่ แกลง้ จากวทิ ยากรเพอ่ื ใหเ้ หน็ ถึงความยากลา้ บาก ทา้ ใหต้ อ้ งปรับตวั ให้ทันกบั สถานการณ์ที่วิกฤต
: เกิดการค้นหาศกั ยภาพในการท้าอาหาร (แม่ครัวทม่ี ฝี มี อื /เมนูที่ถกู รังสรรค์ขนึ้
ใหม/่ เทคนคิ วธิ กี ารหงุ ขา้ วในรปู แบบใหม่)
คาถามที่ 2 : ทา่ นไดใ้ ชป้ ระโยชนจ์ ากพืน้ ท่ีในการเข้ารว่ มกิจกรรมน้ีอยา่ งไรบา้ ง?
ค้าตอบ : ผ้อู บรมสามารถใช้ประโยชนจ์ ากการหาอยู่หากินจากทรพั ยากรท่มี ใี นพืน้ ท่ี
ตน้ แบบของ ศพช.นครนายก ได้เปน็ อยา่ งดี ทา้ ให้ไดเ้ รียนร้ถู ึงการใชท้ รพั ยากรในพื้นท่ที ่ีมีอย่อู ยา่ งจ้ากดั ให้เกิด
ประสทิ ธภิ าพสงู สดุ
คาถามที่ 3 : ท่านได้อะไร ? จากการเขา้ ร่วมกิจกรรมนี้
ค้าตอบ : ผู้อบรมได้เรียนรู้ทักษะการเจรจาต่อรอง ได้เห็นมิตรภาพระหว่างกลุ่มสีที่มี
ความเอื้อเฟื้อเผ่ือแผ่กัน มีความเห็นอกเห็นใจซ่ึงกันและกัน ได้รับประสบการณ์ใหม่ท่ีไม่เคยได้ทดลองท้ามา
ก่อนผ่านกิจกรรม เช่น การแสดงความสามารถต่าง ๆ เพ่ือแลกกับวัตถุดิบในการปรุงอาหาร มีการยอมรบั ฟงั

ความคิดเหน็ ซง่ึ กันและกนั ในระหวา่ งดา้ เนินกิจกรรม ไดเ้ รยี นร้ถู งึ การบรหิ ารจดั การด้านทรัพยากรท่มี ีอยู่ให้เกิด 112
ประโยชนส์ งู สดุ ด้านทรัพยากรมนษุ ย์ (ใชค้ นให้เหมาะสมกับงานและตามความถนดั ) การบริหารจดั การทีมงาน
ผา่ นการทา้ งานเปน็ ทมี

คาถามท่ี 4 : ท่านมกี ารวางแผนหรอื บรหิ ารจัดการอยา่ งไร? เพอ่ื ให้ทันตามเวลาท่ีกาหนด
คา้ ตอบ : ผูอ้ บรมมีการแบ่งบทบาทหน้าที่กนั ท้าตามความถนัดและตามความสมัครใจของ
แตล่ ะบคุ คล เช่น มีทมี เก็บผกั มีทีมดาวเตน้ ดาวยวั่ ไปแสดงความสามารถเพอ่ื แลกวัตถุดบิ ในการประกอบ
อาหาร มแี มค่ รัว พ่อครวั มีผู้ช่วยประกอบอาหาร มผี ้นู า้ ที่คอยบญั ชาการใหก้ ิจกรรมส้าเร็จลุล่วงไปด้วยดี
คาถามท่ี 5 : ทา่ นประทบั ใจอะไร ? จากการเขา้ ร่วมกจิ กรรมนี้
คา้ ตอบ : ผู้อบรมมีความประทับใจในความรู้รักสามัคคี การช่วยกันวางแผนงาน ของ

สมาชกิ ภายในกล่มุ สี ได้เรยี นรปู้ ระสบการณ์ใหม่ ๆ ผ่านการทา้ อาหารจากเดมิ ทไ่ี มเ่ คยท้ามากอ่ น ประทับใจใน

การเป็นภาวะผ้นู ้าและภาวะผู้ตามทดี่ ีประทบั ใจในการไดร้ ่วมแลกเปล่ยี นเรยี นรู้ผา่ นการท้ากิจกรรม เช่น ไดเ้ หน็

ภาพผู้อบรมฝ่ายหญิงเป็นผู้หาวัตถุดิบ และเห็นผู้อบรมฝ่ายชายเป็นผู้ประกอบอาหาร ได้รับองค์ความรใู้ หม่ ๆ

เก่ียวกับการประกอบอาหาร (หากทุกคนชว่ ยกัน วิชาหรอื องค์ความร้จู ะเกิดข้นึ ทันที)

สรปุ บทเรียนของกิจกรรม

สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของโลกในด้านภัยธรรมชาติที่มีความรุนแรงขึ้นทุกวัน ท้าให้ได้

เรียนรู้ถึงการพ่ึงพาตนเองในยามวิกฤต ผ่านการจ้าลองสถานการณ์ดังกล่าว เราในฐานะกรมการพัฒนาชุมชน

จ้าเป็นต้องตระหนักในบทบาทหน้าท่ีในการเป็นศูนย์พ่ึงพิง มีการสร้างภูมิคุ้มกัน มีการสร้างความม่ันคง

ทางดา้ นอาหาร สรา้ งความรคู้ วามเข้าใจและสร้างการรบั ร้ทู ี่ดีให้กบั ประชาชน เพ่อื ให้สามารถปฏิบัติตนในการ

รองรับภัยพิบัติ พร้อมตั้งรับ ต้ังสติ มีการวางแผนที่ดีเพ่ือแก้ไขปัญหาในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด ซ่ึงอาจจะ

เกิดข้ึนได้ในอนาคต

สรุปผลการเรียนรู้

พบวา่ ผ้เู ข้าอบรมส่วนใหญ่มีความสนใจในกระบวนการของกิจกรรม บรรยากาศการทา้ กิจกรรม

เปน็ ไปด้วยความสนกุ สนาน ฝกึ การหาอยู่ หากนิ ให้ใช้ชวี ติ อยูไ่ ดใ้ นภาวะวกิ ฤตด้วยหลกั กสิกรรมธรรมชาติ หา

ส่งิ ทอ่ี ยรู่ อบตวั กนิ อยา่ งประหยัด พรอ้ มรับภัยพบิ ตั ทิ ่เี กิดขึ้น ทา้ ให้ผูเ้ ข้าอบรมเกิดความสามคั คีในหมู่คณะ รจู้ ัก
การแบ่งปันซ่ึงกันและกัน รู้จักการวางแผนการท้างานเป็นทีม ได้ฝึกวินัยและคุณธรรม รู้จักการพึ่งพาตนเอง

และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ที่มีอยู่อย่างจ้ากัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตลอดจนผู้เข้าอบรมได้น้าทักษะภมู ิ
ปัญญาไทยมาใชใ้ นกิจกรรม เช่น การหงุ ข้าวแบบวธิ ีเช็ดน้า แบบคนสมัยก่อนในชนบท ทา้ ใหผ้ ูเ้ ข้าอบรมเรียนรู้

ภูมิปัญญาการเอาตวั รอด ตลอดจนตระหนกั และเห็นความส้าคญั ของการมีแหลง่ อาหารอยใู่ นพื้นที่

113

14. การขับเคล่ือนศาสตรพ์ ระราชา กลไก 357

วทิ ยากรหลกั ผู้อา้ นวยการศนู ย์ศึกษาและพัฒนาชมุ ชนนครนายก
นางประภา ปานนิตยกลุ

1) วตั ถปุ ระสงค์
๑. เพื่อให้ผู้เข้ารับการประชุมได้รับทราบ ตระหนักรู้และเข้าใจความหมายที่แท้จริงของ

การขบั เคลอื่ นศาสตร์พระราชา ดว้ ยหลักกลไก ๓๕๗
๒. เพื่อให้ผู้เข้ารับการประชุมได้มองเห็นถึงการเช่ือมโยงการขับเคลื่อนศาสตรพ์ ระราชาด้วย

หลักกลไก ๓๕๗ กบั การขบั เคลื่อนงานกรมการพฒั นาชุมชน
2) ประเดน็ เนอื้ หา

๑. กลไกการขบั เคลื่อนศาสตร์พระราชา กลไก ๓๕๗
๒. ปรัชญา ๓ ระบบ
๓. ทฤษฎใี หมก่ ว่า ๔๐ ทฤษฎีตามศาสตรพ์ ระราชา
๔. แนวทางในการปฏบิ ัตใิ นการใช้ชวี ิต ในการทา้ งานตามศาสตรพ์ ระราชา
๕. นวัตกรรม เคลด็ วิชากวา่ ๔๘,๐๐๐ นวัตกรรม
๖. การบรหิ ารแบบคนจน การทา้ งานแบบคนจน

3) ระยะเวลา 114
จา้ นวน ๑ ชั่วโมง

4) เทคนคิ / วิธกี าร
๑. บรรยาย
๒. ตงั้ ค้าถามเพือ่ การแลกเปล่ียนประสบการณ์
๓. เติมเตม็ ให้ขอ้ คิด และขอ้ เสนอแนะ

5) วัสดุ/อุปกรณ์
- สื่อวีดีทัศน์
- บทความ
- กรณีศกึ ษา
- PPT
- คอมพวิ เตอร์ เครื่องฉาย และจอภาพ
- บอรด์ ,ปากกา

6) ข้ันตอน / วิธีการ
วทิ ยากรแนะน้าตวั และกล่าวถึงประเดน็ เน้อื หาของวิชา

เน้อื หาวิชากลไกการขบั เคลอื่ นสืบสานศาสตรพ์ ระราชากลไก 357 สรปุ ได้ ดงั น้ี
จากพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ

พระวชริ เกล้าเจ้าอยู่หัว ในหลวงรชั กาลท่ี 10 ในการสบื สานตอ่ ยอดศาสตร์พระราชา เพอ่ื สรา้ งความอยู่ดีมีสุข
แก่ประชาชน พระองค์ทรงเริ่มต้นด้วยการปลุกจิตอาสาท่ีมีอยู่ในใจของคนไทยทุกคน มาเป็นแรงขับเคล่ือน
ซึ่งการที่ทุกคนจะร่วมกันขับเคล่ือนสืบสานศาสตร์พระราชาเพ่ือให้บรรลุเป้าหมายความย่ังยืนน้ัน จะต้องมี
วิธีการคิดแบบองค์รวม ท้าอย่างเป็นระบบ ขับเคลื่อนการด้าเนินงานไปพร้อม ๆ กันอย่างเป็นแบบแผน
ไม่แตกแยกไปคนละทิศทาง

“สืบสานศาสตร์พระราชา” พระราชประสงคข์ องในหลวงรัชกาลที่ 10
“เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโย ชน์สุข
แหง่ อาณาราษฎรตลอดไป” พระปฐมบรมราชโองการของในหลวงรัชกาลที่ 10 วนั ท่ี 4 พฤษภาคม 2562
โดยความหมายของค้าว่า สืบสาน รักษา และตอ่ ยอด ในท่ีนีค้ ือ การสืบสานศาสตร์พระราชา
รกั ษาภูมปิ ญั ญาของบรรพบุรุษ และต่อยอดนวัตกรรมและเทคโนโลยีท่เี หมาะสมกับภมู ิสงั คม นัน่ เอง

จากที่ได้กล่าวมา ด้วยพระปรีชาสามารถและสายพระเนตรอันกว้างไกลของ 115
กษัตริย์นักบินพระองค์น้ี จึงทรงมีพระราชประสงค์ให้มีการฝึกจิตอาสา 904 หลักสูตรหลักประจ้า “เป็นเบ้า
เป็นแม่พิมพ์” ท่ีมีการประยุกต์แนวพระราชด้าริเกษตรทฤษฎีใหม่เพ่ือพึ่งพาตนเองและรองรับภัยพิบัติ
โดยมีระยะเวลาการฝึก 50 วัน มีผู้เข้ารับการฝึกรุ่นละประมาณ 500 คน ซึ่งการฝึกจิตอาสา 904
ใน 3 รุ่นแรก ได้ใช้พ้ืนที่ฝึกที่ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติมาบเอื้อง อ้าเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี มีการจ้าลอง
การใช้ชีวิตในโลกอนาคตซ่ึงมนุษยชาติอาจจะต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่แปรปรวน เกิดภัยพิบัติต่าง ๆ
ผู้เข้ารับการฝึกจึงต้องเรียนรู้การใช้ชีวิตให้พร้อมรับมือกับความเสี่ยงในโลกอนาคตเหล่านั้น เช่น ได้มี
การปรับพื้นที่ส้าหรับการด้ารงชีวิต มีการกักเก็บน้าฝนอย่างเป็นระบบ อาหารการกินที่ได้มาจากปลาที่เลี้ยง
และพืชพรรณธัญญาหารที่ปลูกเอง จึงท้าให้ไม่มีต้นทุนทางอาหาร ซ่ึงองค์ความรู้เหล่านี้เป็นส่ิงที่
ในหลวง รัชกาลท่ี 9 ทรงสอนพวกเรามาเป็นเวลาช้านานแลว้ เป็นภมู ปิ ญั ญาบรรพบุรษุ แตเ่ หตใุ ดเราจงึ ไม่เช่ือ
เราไมเ่ คยสนใจเพราะคนไทยไม่เชื่อคนไทยดว้ ยกันเอง

ในส่วนพื้นท่ีฝึกก็มีการ
ขยายเพิ่มขนึ้ เร่อื ย ๆ เชน่ กนั จาก 10 ไร่
เป็น 30 ไร่ 40 ไร่ จนปัจจุบันเป็นพื้นที่
เกือบ 200 ไร่ ผู้ที่เข้ารับการฝึกมีหลาย
ช่วงวัยที่มาจากต่างสาขาอาชีพ ทั้งทหาร
ระดับพลเอก นักเรียนนายร้อย พยาบาล
อธิการบดี คณบดี ข้าราชการ นิสิต
นกั ศึกษา ฯลฯ ทัง้ นี้ในหลวงรัชกาลที่ 10
ทรงมุ่งเนน้ ไปทกี่ ลุ่มเยาวชนเปน็ หลกั ทรง
เล็งเห็นว่าการท่ีจะสืบสานงานของพระ
ราชบิดาให้ยั่งยืนนับร้อยนบั พันปี จ้าเป็น
อยา่ งยงิ่ ทจ่ี ะตอ้ งวางรากฐานเข้าไปในระบบโครงสรา้ งของสงั คมโดยเฉพาะอย่างยงิ่ โครงสรา้ งทางการศกึ ษา

3 ระดบั 5 กลไก 7 ภาค’ี กญุ แจส้าคญั ของการขับเคลอ่ื นสบื สานศาสตรพ์ ระราชา
หลักการขับเคล่ือนสืบสานศาสตร์พระราชาให้ย่ังยืน ซ่ึงเป็นการพัฒนาที่มีประชาชน
เป็นแกนกลาง และภาคีอ่ืน ๆ ร่วมบูรณาการเพื่อเสริมกลไกเดิมของภาครัฐที่มีอยู่ เป็นการขับเคลื่อนในพ้ืนที่
3 ระดับ เป็นอย่างน้อย คือ ระดับชุมชนหรือลุ่มน้า ระดับจังหวัดหรือภูมิภาค และระดับชาติ ภายใต้
การมีส่วนร่วมของ 5 กลไก ที่จะช่วยหนุนเสริมงานขับเคลื่อนสืบสานศาสตร์พระราชา ประกอบด้วย
กลไกการประสานงานภาคีเครือข่าย กลไกแผนงานและยุทธศาสตร์เชิงบูรณาการ กลไกการติดตาม

และประเมนิ ผล กลไกการจดั การความรู้ อันเป็นองค์ความร้ทู ี่ได้จากการปฏิบตั ิทตี่ ้องนา้ มาจัดทา้ เป็นต้าราหรือ 116
คู่มือเฉพาะในแต่ละพื้นที่ และกลไกการส่ือสารสังคมให้รับรู้ ร่วมด้วย การบูรณาการของ 7 ภาคี คือ ภาครัฐ
ท่ีให้การสนับสนุนด้านงบประมาณ กฎหมาย รวมถึงเครื่องมือต่าง ๆ ภาควิชาการและสถาบันการศึกษา
ภาคศาสนา ภาคประชาชน ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคสื่อมวลชน

ระบบ 3-5-7 น้ี จะช่วยหนุนเสริมให้การขับเคลื่อนสืบสานศาสตร์พระราชาบรรลุ
เป้าหมายความย่ังยืนของโลกได้ทั้ง 17 ข้อ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว แม้ส่ิงที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ทรงปฏิบตั ิ
พระราชกรณียกิจมาตลอดระยะเวลา 70 ปีของการครองราชย์ จะท้าให้บรรลุเป้าหมายความยั่งยืนได้
เกือบครบทั้ง 17 ข้อแล้ว แต่พระองค์ทรงเน้นที่ข้อ 2 เป็นหลัก ในเรื่องการขจัดความอดอยากและสร้าง
ความม่ันคงทางอาหาร ซง่ึ ครงั้ หนึ่งเคยมีสอื่ ต่างชาติมาขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตสัมภาษณพ์ ระองค์
ว่าทรงก้าลังสู้รบกับระบบคอมมิวนิสต์อยู่หรือ พระองค์พระราชทานสัมภาษณ์กลับไปว่าทรงก้าลังสู้รบอย่กู บั
ความอดอยาก ความหิวโหยของประชาชนภายในชาติ

15. จัดทาและนาเสนอแผนปฏิบัติการ “ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจ
พอเพยี งสูก่ ารปฏบิ ตั ิ”

วทิ ยากรหลกั
นางประภา ปานนติ ยกลุ ตา้ แหน่ง ผ้อู า้ นวยการศูนย์ศกึ ษาและพัฒนาชุมชนนครนายก

1) วตั ถุประสงค์
เพื่อใหม้ ีแนวทางและเปา้ หมายในการขบั เคลอื่ นหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งท่ีสอดคลอ้ งกับ

บริบทพ้ืนที่

2) ประเด็นเนื้อหา
๑. ศาสตรพ์ ระราชา วิเคราะหบ์ รบิ ทพ้นื ท่ี
๒. ก้าหนดวธิ กี ารแก้ไขปัญหาในแต่ละพ้นื ท่ี
3. ก้าหนดยทุ ธวิธใี ชก้ ลยุทธใ์ นการสร้างการเรยี นรู้ ใชฐ้ านการเรียนรู้เป็นเคร่ืองมือ
4. ก้าหนดยุทธศาสตร์การขบั เคลอ่ื นปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงส่กู ารปฏบิ ตั ใิ นสถานที่จริง

3) ระยะเวลา
2 ชว่ั โมง

4) วธิ กี าร/เทคนิค
4.1 ฝึกปฏิบตั ิการจดั ท้ายุทธศาสตรอ์ ย่างงา่ ย
4.2 นา้ เสนอ และแลกเปลยี่ นเรียนรู้

5) วัสดุ / อุปกรณ์ 117
5.1 คอมพิวเตอร์จอภาพ และเครอ่ื งฉาย
5.2 คลิปวดิ โี อ
5.3 ฟลปิ ชาร์ท
5.4 ปากกาเคมี

6) ข้ันตอน / วธิ กี าร
1. วิทยากรบรรยายเรือ่ งการจัดทา้ “ยทุ ธศาสตร์การขบั เคล่อื นปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง

สูก่ ารปฏบิ ัติ”
2. วิทยากรให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมแบ่งกลุ่มฝึกปฏิบัติการจัดท้ายุทธศาสตร์อย่างง่าย โดย

แบง่ กลมุ่ ตามรายจังหวัด
3. ตวั แทนกลมุ่ นา้ เสนอยุทธศาสตร์การขับเคล่ือนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่การปฏิบัติ

และรบั ฟงั ขอ้ เสนอแนะจากวิทยากร แบ่งเป็น 4 กลุม่ ตามรายอ้าเภอของจังหวัดปราจีนบรุ ี ไดแ้ ก่ อา้ เภอเมือง
ปราจีนบุรี อ้าเภอบ้านสร้าง อ้าเภอประจันตคาม และอ้าเภอศรีมหาโพธิ ซึ่งมีการจัดท้าและเสนอแผน
ยุทธศาสตรก์ ารขบั เคลอ่ื นปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียงสกู่ ารปฏิบัติ ดังนี้

กลุ่มที่ 1 อา้ เภอเมืองปราจนี บรุ ี จังหวดั ปราจนี บุรี
ไดก้ ้าหนดแผนยทุ ธศาสตรก์ ารขบั เคลอื่ นระดับพื้นที่ อา้ เภอเมืองปราจนี บุรี จังหวัด

ปราจนี บุรี ชอ่ื ว่า “เมล็ดข้าวพนั ธด์ุ ี” โดยมยี ุทธวิธีและกจิ กรรมขบั เคลื่อนหลกั ดังน้ี
1) เมลด็ ข้าว: ครวั เรือนเป้าหมาย HLM อ้าเภอเมืองปราจนี บุรี จงั หวดั ปราจนี บรุ ี

พฒั นาตนเอง จากความรู้ที่ได้ น้าไปลงมือปฏิบัตจิ รงิ ในพ้ืนท่ตี นเอง ใหเ้ ป็นพน้ื ที่ตนแบบ โดยเริ่มจากพฒั นา
ตวั เองก่อน และขยายผลไปยงั ครอบครัวตวั เอง ชวนกันท้า

2) จมกู ข้าว : ผูผ้ ่านการฝึกอบรมฯ ทีเ่ ป็นครัวเรือนเป้าหมาย HLM อ้าเภอเมือง
ปราจนี บรุ ี จังหวัดปราจีนบรุ ี นา้ ความรู้ทีไ่ ด้ ประสบการณจ์ ากการลงมอื ทา้ จรงิ เผยแพร่ความรู้ใหก้ ับคนรอบ
ข้างในชุมชน เชน่ คนในชุมชน คนที่สนใจ

3) เปลือก (แกลบ) : สรา้ งการมสี ว่ นรว่ ม สรา้ งเครอื ขา่ ย ความสามคั คใี นพนื้ ท่ชี มุ ชน
โดยด้าเนินกิจกรรมทม่ี สี ว่ นร่วมกนั เชน่ การต้ังกลุม่ เครือขา่ ยพฒั นาพน้ื ท่ี HLM กจิ กรรมเอามือ้ สามัคคี และ
ประสาน 7 ภาคเี ครอื ขา่ ย ได้แก่ ภาครฐั ภาคเอกชน ภาคศาสนา ภาควชิ าการ ภาคประชาสังคม
ภาคประชาชน และภาคสอื่ มวลชน รว่ มพฒั นาแผนและขบั เคลอื่ นกจิ กรรมในพ้ืนท่ี รวมถึงการสร้างรายได้โดย
การน้าผลผลติ ในพนื้ ที่จา้ หน่าย และการพัฒนาการแปรรูปผลผลิตเพือ่ สรา้ งมูลคา่ เพ่มิ

4) ปลายขา้ ว : จัดเวทีถอดองค์ความร้กู ารดา้ เนนิ กิจกรรมในพนื้ ท่ี HLM ของอ้าเภอ
เมืองปราจนี บุรี และทา้ ความเขา้ ใจกระบวนการเรียนรู้ และเผยแพร่ประชาสมั พันธค์ วามร้แู ละกิจกรรมให้กบั
สือ่ มวลชนและประชาชนทัว่ ไปทส่ี นใจทางช่องทางตา่ ง ๆ

กล่มุ ที่ 2 อา้ เภอบา้ นสรา้ ง จังหวัดปราจนี บุรี
ไดก้ า้ หนดแผนยทุ ธศาสตร์การขบั เคล่ือนระดบั พน้ื ที่ อา้ เภอเมอื งบ้านสร้าง จงั หวดั

ปราจีนบุรี ช่ือว่า “สวนกระแสบ้านสรา้ ง” โดยมียุทธวธิ ีและกจิ กรรมขบั เคลอื่ นหลัก ดังนี้

1) การประชาสมั พันธ์: จดั ท้าข้อมูล สื่อประชาสมั พันธ์ ความรู้ กจิ กรรมท่ีด้าเนนิ การ 118
พัฒนาพ้นื ท่ตี น้ แบบของครวั เรือน HLM ไปยงั ผคู้ นท่ีเกีย่ วข้องในพื้นที่ ไดแ้ ก่ ผูน้ ้าชมุ ชน กลมุ่ องคก์ รต่าง ๆ วดั
โรงเรียน หนว่ ยงานภาครฐั ฯลฯ

๒) ตน้ แบบที่ประสบความส้าเร็จแล้ว : ตน้ แบบครัวเรอื น HLM ท่ีขบั เคลอื่ นโครงการ
สา้ เร็จสามารถเป็นตัวอยา่ งการเรยี นรู้ ให้ความรูป้ ระสบการณ์ เป็นครูพาท้า ใหก้ ับครวั เรอื นอ่ืน ๆ และ
ประชาชนท่ีสนใจ

๓) การติดตามผลการด้าเนินงาน : ตง้ั คณะท้างานเครอื ข่าย HLM ติดตามและ
ประเมนิ ผลการดา้ เนินงานการพฒั นาพน้ื ท่ตี ้นแบบฯ ทั้งกอ่ น ระหวา่ ง และหลังด้าเนินการ

๔) ส่งตอ่ ยุทธศาสตร์ “สวนกระแสบา้ นสรา้ ง” : สรา้ งเครอื ข่ายและขยายผลองค์
ความรู้ต่าง ๆ ในการพัฒนาพืน้ ทีต่ ้นแบบไปยังครัวเรอื นต่าง ๆ ในชุมชนตอ่ ไป

กลุ่มที่ 3 อา้ เภอประจันตคาม จงั หวดั ปราจีนบรุ ี
ไดก้ า้ หนดแผนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนระดับพน้ื ท่ี อ้าเภอประจันตคาม จงั หวัด

ปราจีนบรุ ี ชอ่ื ว่า “ขับเคลื่อนกสกิ รรมธรรมชาติ” โดยมียทุ ธวิธแี ละกิจกรรมขบั เคล่ือนหลกั ดังน้ี
1) กา้ หนดเปา้ หมายการขับเคลอื่ นงาน คือ เน้นการพัฒนาคน ระดบั ครวั เรือน และ

ชมุ ชน ให้มีความรูเ้ ร่อื งหลกั กสิกรรมธรรมชาตแิ ละการปลกู ผักไรส้ ารพษิ
2) การขับเคลอ่ื นแผนตามยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย 3 ยทุ ธวธิ ี ได้แก่
2.1) การวางแผนและขับเคลอื่ นกสกิ รรมธรรมชาติ
2.1.1) การปลกู ผักอนิ ทรีย์
- การเตรียมดนิ กา้ หนดพ้นื ท่ี
- จัดหาและรักษาเมลด็ พนั ธพุ์ ชื “อินทรีย์”
- ท้าป๋ยุ อนิ ทรีย์
- สร้างการมสี ่วนรว่ มปลูกผักอนิ ทรยี ์ในพืน้ ที่
2.1.2) การดแู ลเกษตรอนิ ทรยี ์
- ก้าหนดตารางการรดน้า
- ก้าหนดกจิ กรรมการใสป่ ยุ๋ บ้ารุงพืชและบ้ารงุ ดนิ
2.1.3) การเก็บเก่ยี วผลผลิตในแปลง
- ก้าหนดวนั ผลติ
- ก้าหนดวนั เกบ็ เก่ยี ว
- ลงมอื เกบ็ เกย่ี ว
2.2) การสร้างเครอื ขา่ ยและประสานงานภาคเี ครือขา่ ย
กจิ กรรมเอามื้อสามคั คี รว่ มกนั เครือขา่ ยในพืน้ ท่ีในการด้าเนินการพัฒนา

พ้ืนที่ตน้ แบบของ HLM มีกิจกรม ขุดคลองไส้ไก่ หลมุ ขนมครก ทา้ หัวคันนาทองค้า ท้าฝายชะลอน้า ปลกู ปา่ 5
ระดบั

2.3) การจัดการความรแู้ ละการส่ือสารสังคม

ประชาสัมพันธ์ให้แกค่ นทส่ี นใจ - จดบนั ทกึ องค์ความร้สู ว่ นบุคคลของครวั เรือน HLM และเผยแพร่ 119

- จดั ท้าสื่อและประชาสัมพนั ธ์ทางชอ่ งทางออนไลน์
- จัดท้าสอ่ื และประชาสัมพนั ธท์ างชอ่ งทางสื่อสารของชมุ ชน

กล่มุ ที่ 4 อ้าเภอศรมี หาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี
ไดก้ ้าหนดแผนยุทธศาสตรก์ ารขบั เคลอ่ื นระดับพ้นื ที่ อ้าเภอประจนั ตคาม จังหวดั

ปราจนี บุรี ชอ่ื วา่ “ทฤษฎปี ลาโลมา” โดยมียุทธวธิ ีและกิจกรรมขบั เคลือ่ นหลัก ดังนี้
1)ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ ทฤษฎีปลาโลมา คือ การปันผล หรือการจ่ายผลตอบแทน

แบบทันใจในขณะนั้น ใช้กับบุคลากรในองค์กร สมาชิก เปรียบเสมือนว่า ครัวเรือน HLM ที่ได้รับการอบรม
และจะต้องไปพัฒนาพ้นื ทตี่ น้ แบบของตนเอง มีความรู้ สามารถถา่ ยทอดความรไู้ ด้ และลงมอื ทา้ จรงิ เป็น “ครู
พาทา้ ” เป็นผูพ้ าประชาชนในพนื้ ท่ี ฝกึ ทา้ เกษตรกรรม ตามกสกิ รรมธรรมชาติ สิง่ ท่ีเราจะจ่ายเปน็ คา่ ตอบแทน
ให้ประชาชนท่มี า คือ ความร้ทู ่สี ามารถนา้ กลบั ไปบ้านใชไ้ ด้ ประยุกตใ์ ชใ้ นพนื้ ท่ีและการด้าเนินชีวิตแบบพ่ึงพา
ตนเองได้

๒) ยุทธวธิ ีในการขับเคล่ือนพน้ื ทีต่ น้ แบบ HLM มี 3 ยทุ ธวถิ ี ได้แก่
2.1) การบูรณาการแผนขบั เคล่ือนงาน: จัดเวทพี ูดคยุ ครวั เรือนเป้าหมาย HLM

และ 7 ภาคเี ครอื ขา่ ย เพ่อื วางแผนกิจกรรมดา้ เนินการพัฒนาพืน้ ทต่ี ้นแบบและพัฒนาชมุ ชนรว่ มกัน, แบ่งหน้าที่
ความรับผิดชอบตามความถนัดและความสามารถ, พัฒนาตนเองให้มีทักษะ ประสบการณ์ โดยการศึกษา
ความรู้และลงมือท้าจริง สร้างปราชญ์ชาวบ้านให้สามารถถ่ายทอดความรู้ให้กับคนในชุมชนได้, ก้าหนด
จดุ มงุ่ หมายและวตั ถปุ ระสงคก์ ารพัฒนาพนื้ ท่ีตามภูมิสังคมอย่างชัดเจน

๒.๒) สร้างเครือข่ายการด้าเนินงาน : ตง้ั เครือขา่ ยการด้าเนินงาน สมาชกิ HLM
ในพื้นท่ีท้างานเช่ือมโยงกนั มีส่วนร่วมในกิจกรรมการพฒั นาพนื้ ที่ กิจกรรมเอามื้อสามัคคี เป็นครูพาท้า และมี
คณะท้างานชุมชน ร่วมกันติดตามประเมินผลการด้าเนนิ งาน เพื่อปรับปรุง พัฒนาให้ดีข้ึน และขยายผลไปยัง
ครัวเรอื นอ่นื ๆ

๒.๓) จดั การความรแู้ ละนา้ ไปใช้ : มกี ารจดบันทกึ องค์ความรู้จากการปฏบิ ตั ิ
โดยครัวเรอื น HLM ครพู าท้า ปราชญช์ าวบา้ น และ 7 ภาคีเครือข่าย จัดเก็บเปน็ ความรู้ของพน้ื ทต่ี น้ แบบและ
ชมุ ชน และขยายผลให้กับผู้ทส่ี นใจ เพอ่ื การพฒั นาคนให้มีความรู้ ทกั ษะ ประสบการณ์ สามารถนาไปปฏิบตั ิ
และประยุกต์ใชใ้ นพน้ื ท่ขี องตนเองได้ รวมถึงเผยแพรป่ ระชาสมั พนั ธ์ผ่านชอ่ งทางส่ือต่าง ๆ

ภาพกจิ กรรม 120

สรุปผลการเรยี นรู้
ยทุ ธศาสตร์การขบั เคล่อื นปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่การปฏิบัติ คอื การก้าหนดเป้าหมายใน

การขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยที่ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาใหม่ในการพัฒนา
มนุษย์ ให้เปลี่ยน Mindset ใหม่ จากมุ่งแข่งขัน มาเป็นการมุ่งสร้างสรรค์ และแบ่งปัน หัวใจส้าคัญ คือ พระ
ราชด้ารัส “Our Loss is our Gain” ย่ิงให้ไป ย่ิงได้มา ดังนั้น การพัฒนาต้องเป็นไปเพื่อสร้างขบวนการ “จิต
อาสา” พร้อมน้าศาสตรพ์ ระราชาไปแกไ้ ขปญั หา ซึ่งการขบั เคล่ือนปรัชญาใหม่ ท่ีย่ังยืน คือ การก้าวไปดักหน้า
Technology 5.0 ต้องเอื้อต่อการบูรณาการและการสร้างสิ่งใหม่ในระบบโครงสร้าง ต้องมีภารกิจบ่มเพาะ
ศาสตร์พระราชาให้เขา้ ใจอยา่ งลกึ ซงึ้ ตอ้ งนา้ ศาสตร์พระราชาไปใช้ในการพฒั นาประเทศ ต้องมยี ทุ ธศาสตร์การ
ส่อื สาร มีการวัดผลใหมด่ ว้ ยการวดั ผลท่เี ปา้ หมาย

เม่ือก้าหนดยุทธศาสตร์หรือเป้าหมายแล้ว สิ่งต่อไปท่ีจะต้องก้าหนด คือ ยุทธวิธี คือ วิธีการ
ขบั เคล่ือนงาน โดยยทุ ธวิธีการดา้ เนนิ งาน โคก หนอง นา โมเดล มงุ่ เนน้ การสบื สานศาสตร์พระราชา รักษาภูมิ

ปัญญาท้องถิ่นและต่อยอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมท่ีเหมาะสมด้วยการฟื้นฟูทรัพยากรดิน น้า ป่า นิเวศ 121
วฒั นธรรม และภูมปิ ัญญาท้องถ่นิ เพ่ือมงุ่ สกู่ ารผลติ ใหม่ ระบบสหกรณ์ เขตเศรษฐกจิ พเิ ศษแบบพอเพยี ง และ
เชอ่ื มโยงธรุ กิจจากขั้นพื้นฐานสู่ขนั้ ก้าวหน้าเพือ่ ยกระดบั เศรษฐกิจฐานรากชมุ ชน

จากการฝึกปฏิบตั ิและน้าเสนอการจัดท้ายุทธศาสตร์การขับเคล่ือนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
สูก่ ารปฏบิ ตั ิ สรุปไดด้ งั นี้

ท่ี ยุทธวิธี
๑ การบูรณาการแผนขบั เคลอ่ื นงาน

1. การดา้ เนนิ งานยึดหลกั การท้างานตามศาสตรพ์ ระราขา ทง้ั ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ
2. วางแผนขับเคลอื่ นงานในพืน้ ทีร่ ่วมกนั มุง่ เปา้ หมายแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ สงั คม
และการเมือง
3. พัฒนาพน้ื ท่ตี ้นแบบ HLM เพือ่ พฒั นาคณุ ภาพชีวติ ประยกุ ตต์ ามหลกั ทฤษฎีใหม่
๒ การประสานงานภาคีเครือข่าย
1. ต้งั คณะท้างานเครอื ข่าย สมาชิก HLM ในพ้ืนท่จี งั หวดั ปราจนี บรุ ี เพื่อทา้ งานบเชือ่ มโยงกนั กับ
7 ภาคีเครือข่าย ได้แก่ ภาครัฐ ภาคศาสนา ภาคเอกชน ภาคส่ือสารมวลชน ภาควิชาการ ภาค
ประชาชน และภาคประชาสังคม
๒. สง่ เสรมิ ความสามคั คีและการมีสว่ นรว่ มของสมาชิก HLM ดว้ ยการทา้ กจิ กรรมเอามอ้ื สามัคคี
และเวทแี ลกเปลย่ี นความรูก้ ารดา้ เนนิ งานพฒั นาพนื้ ที่
3 การตดิ ตามและประเมินผล
1.ติดตามประเมนิ ผลกอ่ นด้าเนินการ
๒.ติดตามประเมินผลระหวา่ งดา้ เนนิ การ
๓.ตดิ ตามประเมินผลหลงั ดา้ เนนิ การ คัดเลอื กพื้นท่ีต้นแบบท่ีประสบความสา้ เร็จ เพื่อเปน็ พี่เล้ยี ง
หรือครูพาท้า ให้กบั ครัวเรือนอน่ื ๆ

4 การจดั การความร้แู ละการนาไปใช้ 122
1. มีการจดบันทึกองค์ความร้จู ากการปฏบิ ัติ
2. มีการจัดการความรู้ โดยสมาชกิ ครวั เรอื น HLM และ 7 ภาคเี ครือข่ายในพน้ื ท่ี
3. ถ่ายทอดองค์ความรู้และขยายผลไปยงั ครัวเรือนอื่นในชมุ ชน และประชาชนท่ีสนใจ

ดังนั้น จากการฝึกปฏิบัติและน้าเสนอยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่การ
ปฏบิ ัติ ท้าให้ผู้เขา้ รบั การอบรมฯ ได้ร่วมกันกา้ หนดยทุ ธศาสตรแ์ ละยุทธวธิ กี ารขับเคลอื่ นหลักปรชั ญาเศรษฐกิจ
พอเพียงที่เหมาะสมกับแต่ละบริบทพื้นท่ี จะส่งผลให้การขับเคล่ือนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสู่การปฏิบัติ
ประสบผลส้าเร็จได้ และได้วิเคราะห์จุดตายของโครงการพัฒนาพ้ืนที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลัก
ทฤษฎใี หม่ ประยกุ ตส์ ู่ “โคก หนอง นา โมเดล”เพื่อจะประโยชน์ต่อการก้าหนดแนวทางการด้าเนินโครงการได้

- รุ่นท่ี 3 –

1. วิชากิจกรรมกลุ่มสัมพันธแ์ ละปรบั ฐานการเรยี นรู้

วทิ ยากรหลกั นายเมธาพันธ์ นลิ แก้ว นักทรพั ยากรบุคคลปฏบิ ัตกิ าร

นางสาววชริ ญาณ์ แยม้ เย้ือน นักทรพั ยากรบุคคล

1) วตั ถปุ ระสงค์

เพ่อื ให้สามารถทา้ ความรจู้ ักกัน สานสัมพันธ์ท่ดี รี ะหวา่ งวิทยากรกบั ผ้อู บรม และผูอ้ บรมกบั

ผอู้ บรม พรอ้ มทัง้ สร้างบรรยากาศการเรยี นรู้ เตรยี มความพรอ้ มผูอ้ บรมก่อนเข้าสบู่ ทเรยี น

2) ประเดน็ เนื้อหา

2.1 แนะนา้ วทิ ยากร

2.2 สร้างความคนุ้ เคย

2.3 กา้ หนดกติกา/ถอดวางต้าแหน่ง/ก้าหนดอายใุ นการเรยี นรู/้ ปรบมือเชิงสญั ลกั ษณ์

(ปรบมือใส่รหัส)

2.4 แบ่งกลุม่ สี

2.5 มอบหมายหนา้ ที่

2.6 การรบั ผ้าสแี ละปฏิญาณตน

2.7 ความคาดหวงั

2.8 สรุปการเรยี นรู้

3) ระยะเวลา 1 ชัว่ โมง

4) วิธกี าร/เทคนิค

4.1 กจิ กรรมสมั พนั ธ์ (เพลงและเกมส)์

4.2 ส่อื Power Point บรรยาย

4.3 กระตุน้ ดว้ ยค้าถามและแลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ 123
4.4 สรปุ การเรยี นรู้
5) วัสดุ / อุปกรณ์
5.1 สื่อ Power Point /ไมโครโฟน/อุปกรณ์ประกอบจงั หวัด
5.2 ผ้าพันคอตามกลมุ่ สี (แดง นา้ เงิน ชมพู เขียว เหลอื ง)
5.3 บัตรคา้ /ปากกาเคมี
6) ขน้ั ตอน / วิธกี าร
1. วทิ ยากรจดั รปู แบบการนง่ั ของผเู้ ขา้ รับการอบรมเปน็ ตัว U
2. วิทยากรเริ่มตน้ โดยการแนะน้าตนเอง
3. เรม่ิ กจิ กรรมละลายพฤติกรรม โดยกิจกรรมการถอดหวั โขน พดู คยุ พบปะ สรา้ งบรรยากาศ
ให้เกดิ ความผ่อนคลาย สรา้ งความค้นุ เคย หลงั จากน้นั วทิ ยากรใหผ้ ู้เข้ารบั การฝกึ อบรมยกมือขวาขนึ้ พร้อม
กับจินตนาการวา่ ก้าลังถอดหวั โขน (ยศ/ต้าแหนง่ /อ่ืน ๆ) แล้วขว้างออกไปยังหม้อดนิ ท่ีวิทยากรถืออย่หู น้าเวที
เพอ่ื ให้เกดิ ความรู้สึกวา่ ทกุ คนมีความเทา่ เทียมกนั เกิดความเปน็ กันเองมากขึน้ จากน้นั วิทยากรจะสอบถามอายุ
ดา้ เนนิ การลดอายุผู้เขา้ ร่วมอบรมใหม้ ีอายุเทา่ กนั ทกุ คน เพ่อื ให้เหมาะสมกับการท้ากิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้
หลัก 3ค (คึกคัก คลอ่ งแคล่ว ครืน้ เครง)
4.วิทยากรสร้างสญั ลกั ษณ์ร่วมกันด้วยการปรบมือโดยมีค้าส่ังว่า

“ใส่รหัส... (คา้ สัง่ )
สาม สอง หนึง่ จากนัน้ ใหผ้ ู้เข้าอบรมปรบมอื หลงั ส้นิ ค้าสั่งเป็นจงั หวะ สาม สาม เจด็ ตอ่ ด้วย
(ค้าสั่ง........เช่น ใส่รหัส สวัสดี ให้ ปรบมือ 123 123 1234567 ตามด้วยคาว่า “สวัสดี”)
วทิ ยากรท้าการทดสอบโดยให้ผเู้ ขา้ อบรมทา้ ตามคา้ สั่งการใสร่ หสั

5. วทิ ยากรเขา้ สู่การสร้างบรรยากาศการมีส่วนรว่ มดว้ ยเพลง
เพลง ปรบมือ 5 ครง้ั

“ปรบมือ 5 ครั้ง (12345) ปรบให้ดังกวา่ น้ี (12345)
ปรบใหมอ่ กี ที (12345) ปรบให้ดีกว่าเดมิ (12345)”

และเพลง ปรบมือ ปรบั ปรบั ปรับ
ปรบมือดัง ปรับ ปรบั ปรับ
กระทืบเท้าดงั ปัง ปัง ปัง

ลุกข้ึนยืนแลว้ น่ัง ลุกขึ้นยืนแล้วนั่ง
กระทบื เท้าดงั ปัง ปงั ปงั

แลว้ ปรบมือดัง ปรับ ปรับ ปรบั
โดยวิทยากรออกคา้ ส่ังในรอบที่ ๑ ใหผ้ ู้อบรมท้าทา่ ทางตามบทเพลง เชน่ ออกค้าสง่ั
ปรบมอื ให้ผู้อบรมทา้ การปรบมือ ออกค้าสั่งกระทืบเทา้ ให้ผ้อู บรมกระทบื เทา้ ฯลฯ พร้อมท้าทา่ ประกอบไปจน
จบเน้ือเพลง ในรอบท่ี ๒ วิทยากรให้ผูอ้ บรมท้าทา่ ทางตามบทเพลงเช่นเดมิ แต่ในรอบน้ใี หท้ ้าทา่ ทางสลับกบั
เนอ้ื เพลง เชน่ ออกค้าสง่ั ปรบมือ ให้ผอู้ บรมทา้ การกระทบื เทา้ ออกค้าสง่ั กระทืบเทา้ ให้ผ้อู บรมปรบมอื ฯลฯ
พรอ้ มทา้ ทา่ ประกอบไปจนจบเนอ้ื เพลง จากนัน้ วทิ ยากรช่วยกนั ดวู า่ ผู้อบรมทา่ นใดท้าท่าทางผิดพลาด ท้าชา้
หรอื ท้าไม่ทันเพอื่ นใหอ้ อกมาแนะนา้ ตวั ด้านหน้าเวทีเพ่อื สร้างความรู้จกั กันในหมู่คณะ

124

6. วิทยากรให้ผเู้ ข้ารับการอบรมนบั 1-5 ทงั้ ฝั่งชายและหญงิ เพื่อแยกสมาชิกออกเปน็
5 กลุ่ม ซ่ึงแต่ละกลุ่มจะมีสมาชิกคละกันท้ังชายและหญิงในปริมาณท่ีใกล้เคียงกันทุกกลุ่ม จากน้ัน

วิทยากรให้แต่ละกลุม่ น่ังประจ้ากลมุ่ เพื่อให้สมาชกิ ท้าความรู้จกั กันในเบ้อื งต้น ส่มุ 1-2 กลุม่ ให้พูดช่ือ
สมาชิกในกลมุ่ เรียงล้าดับพรอ้ มกันทุกคน

7. วทิ ยากรให้เจา้ หน้าทีแ่ จกกระดาษฟลิบชาร์ตพร้อมปากกาเคมสี องหวั เพ่อื ใหแ้ ต่ละกลมุ่

ต้ังชื่อบ้าน สโลแกน พร้อมท่าประกอบ เพ่ือน้าไปใช้เริ่มต้นในการท้ากิจกรรมฐานเรียนรู้ทุกคร้ัง
จากนั้นให้แตล่ ะกลุม่ น้าเสนอชือ่ บา้ น สโลแกน พร้อมท่าประกอบ

8. วทิ ยากรน้าเข้าส่กู ระบวนการคัดเลือกผ้นู ้าบา้ น โดยใหท้ กุ คนยกมอื ชนู ้วิ ช้ีขึ้นด้านบน
วทิ ยากรใช้คา้ สัง่ ว่า “ใหช้ ไ้ี ปหาคนในกลมุ่ ตนเองที่คิดวา่ เหมาะสมจะเปน็ ผ้ใู หญ่บ้านของกลุ่ม หลงั จาก
นบั 1 - 2 - 3 ใหผ้ ู้ท่โี ดนเพ่ือนช้ีมากที่สุดไดร้ ับเลอื กเป็นผู้ใหญ่บ้านประจ้ากลุ่ม จากน้นั ให้ผ้ใู หญ่บ้าน

ทุกกลุ่มยนื ขนึ้ แลว้ เลือกผู้ช่วยฯ เลขาฯ น้องเล็ก ตา้ แหนง่ ละ 1 คน
9. วทิ ยากรท้าการอธบิ ายหนา้ ท่ีความรบั ผดิ ชอบ

ผใู้ หญ่บ้าน - เตรียมความพร้อมของบา้ นทุกกิจกรรม และก่อนเร่มิ เข้าสูว่ ิชาต่าง ๆ โดยถาม
จา้ นวนสมาชิกจากน้องเล็ก

ผู้ชว่ ยผใู้ หญบ่ ้าน - คอยชว่ ยเหลือสนบั สนนุ ผู้ใหญ่บา้ น และท้าหน้าท่แี ทนผู้ใหญบ่ า้ นกรณี

ผู้ใหญ่บา้ นตดิ ภารกจิ
เลขานกุ าร - คอยจดบันทกึ ทกุ กิจกรรม

นอ้ งเล็ก - ทุกครัง้ กอ่ นเข้าสกู่ ระบวนการตอ้ งคอยเชค็ ยอดสมาชิกเพ่อื แจง้ ใหผ้ ูใ้ หญ่บ้านทราบ
ก่อนเตรียมความพร้อม และสังเกตสมาชิกบ้าน กรณีเจ็บป่วย หาย โดยจะต้องร้จู ักสมาชิก และเบอร์
โทรศพั ท์ ทกุ คน

10. วทิ ยากรใหท้ ุกกลุม่ เข้าแถวตอนเรยี งตามกลุม่ โดยให้ผู้ใหญบ่ า้ นนงั่ หน้าสุดและให้น้อง
เล็กน่ังหลังสุด แล้วให้ผู้ใหญ่บ้านท่ัง 5 กลุ่ม พูดคุยปรึกษากันเพ่ือเลือกก้านัน (ผู้น้ารุ่น) จากน้ันให้

ก้านนั เลอื กสารวตั รก้านันจา้ นวน 1 คน
11. วทิ ยากรท้าการอธิบายหน้าท่ีความรับผิดชอบ
กา้ นัน - เตรียมความพรอ้ มลูกบา้ นท้งั หมดกอ่ นเข้าสู่วิชา หลังจากที่ผู้ใหญบ่ ้านเตรียมความ

พรอ้ มของลูกบ้านตัวเองแลว้ และน้ากล่าวใส่รหัสสวัสดี/ขอบคณุ วิทยากรประจา้ วชิ าหรือฐานเรยี นรู้
สารวตั รก้านนั - คอยชว่ ยเหลอื สนบั สนนุ กา้ นนั และทา้ หน้าท่แี ทนกา้ นนั ในกรณีท่ีกา้ นนั ตดิ

ภารกจิ
12. เข้าสู่กระบวนการรับผา้ สี โดยให้ทุกคนอยใู่ นความสงบ จากนั้น วทิ ยากรใหเ้ จา้ หน้าท่ี

เชิญกล่องสลาก เพอื่ ใหผ้ ใู้ หญ่บ้านจับสลากสีประจ้าบา้ น แลว้ ให้ผูใ้ หญ่บา้ นบอกลูกบ้านว่ากลุ่มตนเอง

ได้สีอะไร โดยไม่ส่งเสียงดัง วิทยากรน้าสู่กระบวนการรับผ้าสีโดยให้ผู้แทนของแต่ละกลุ่มสี
(ผู้ใหญ่บ้าน) เป็นผู้เข้ารับ จากนั้น วิทยากรเชิญเจ้าหนา้ ที่เชิญพานผ้าสี เพ่ือน้าไปวางไวห้ น้าพระบรม

ฉายาลักษณ์ของ ร.9 และ ร.10 ต่อจากน้ันเข้าสู่กระบวนการรับผ้าสี เมื่อผู้แทนรับผ้าสีแล้ว ให้
กลบั มานัง่ ท่ี และส่งตอ่ ผา้ สีใหล้ กู บา้ น โดยสง่

ต่อกัน ให้ลูกบ้านรับไว้คนละหน่งึ ผนื (ห้ามคล่ีผา้ ออก) เมอ่ื ผู้เขา้ อบรมไดร้ ับผ้าครบ วทิ ยากรให้น้าผ้า 125
วางไว้บนฝ่ามือขวา และวางมือไว้บนหน้าตักขวา แล้วหลับตาเพื่อร้าลึกถึงพระราชกรณียกิจของท้ังสอง
พระองค์ จากน้นั วทิ ยากรใหล้ ืมตา และนา้ กลา่ วค้าปฏิญาณตนตามวิทยากร

คาปฏิญาณตน
ขา้ พเจ้า จะต้ังในฝกึ อบรมศาสตรพ์ ระราชา
เพ่อื นาไปปรับใชใ้ นชีวิตประจาวนั ของข้าพเจา้
ครอบครัวของข้าพเจ้า ชุมชนของข้าพเจา้
ตลอดจนประเทศชาติ อยา่ งสุดความสามารถ

เมื่อกล่าวจบ วทิ ยากรแนะน้าพี่เล้ยี งกลุ่มสี และสอนวิธกี ารผกู ผ้าสี เมอ่ื ผูกเสรจ็ แลว้ วิทยากร
แนะนา้ ภารกจิ การดแู ลพื้นท่ีของแต่ละกลุม่ สี โดยใหด้ ูตามตารางภารกิจ และบอกกฎกตกิ าการเข้าหอ้ งอบรม
โดยการเขา้ หอ้ งอบรมทกุ คร้งั จะมีการเปิดเพลงคนื ชวี ติ ใหแ้ ผน่ ดนิ หลงั จบเพลง ผ้เู ข้ารบั การอบรมจะตอ้ งอยู่ใน
หอ้ งอบรมครบทุกคน และผใู้ หญบ่ า้ นตอ้ งเตรียมความพร้อมของลกู บ้าน

13. วิทยากรใหเ้ จา้ หนา้ ทแี่ จกกระดาษบัตรคา้ ให้ผเู้ ขา้ อบรมเขยี นความคาดหวังต่อโครงการ
อบรมในครงั้ นี้ จากน้นั เจา้ หน้าท่เี กบ็ รวบรวมเพ่ือน้ามาสรุป

14. วทิ ยากรมอบหมายภารกิจเวรประจ้าวนั ตามกลุ่มสี

สรุปผลการเรียนรู้
พบว่า ผู้เข้าอบรมส่วนใหญ่มีความต่ืนตัว มีความสนใจ ให้การมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้

เชน่ สามารถปฏบิ ัติตามกตกิ า ค้าส่ัง และการขอความรว่ มมอื จากวิทยากรได้เปน็ อยา่ งดี สามารถท้าความรู้จัก
กันระหว่างผู้อบรมกับวิทยากร และผู้อบรมกับผู้อบรม ภายในบรรยากาศที่สนุกสนานเป็นกันเอง ผู้อบรม
สามารถรู้จักการบริหารจัดการสมาชิกภายในกลุ่มสี รู้จักการแบ่งบทบาทหน้าท่ี มีการยอมรับและให้เกียรติ
ซ่ึงกันและกันผ่านการเลือกผู้น้ากลุ่มและมีภาวะผู้ตามที่ดี รู้จักการเคารพกฎกติกา ระเบียบวินัยในการอยู่
เรียนรู้ร่วมกันตลอดระยะเวลาท่ีเข้ารับการฝึกอบรม และวิทยากรสามารถใช้กระบวนการ Play & Learn
ท่ีมุ่งเนน้ การละเลน่ ไปดว้ ยสอดแทรกการเรียนรหู้ รือความรู้ไปด้วย ทา้ ให้ผู้อบรมสามารถมคี วามรู้ความเข้าใจใน
หลกั สูตรไดด้ ียงิ่ ขึน้ และเป็นการเตรียมความพรอ้ มผอู้ บรมเพ่ือเข้าสบู่ ทเรยี นของหลักสตู รตอ่ ไป

2. วิชา เรียนรูต้ าราบนผนื ดิน 126

วิทยากรหลัก

นางสุพรรษา แกว้ ขนุ ทด ต้าแหน่ง นกั ทรัพยากรบคุ คลปฏิบตั ิการ

1)วตั ถุประสงค์

1. เพือ่ ส้ารวจและศกึ ษาเรียนรตู้ ้าราจากผืนดินจากพืน้ ทีต่ ้นแบบ/พื้นที่ศนู ย์ศกึ ษาและพฒั นาชมุ ชน
2. เพอ่ื วิเคราะหแ์ ละน้าเสนอส่งิ ทส่ี ังเกตเห็น และส่งิ ทีไ่ ด้จากการลงพ้ืนทใ่ี นการเรยี นรู้
2) ประเด็น/ขอบเขตเนอื้ หา

๑. ศึกษา สา้ รวจพืน้ ที่
2. บันทกึ ผลการเรียนร้ตู ามประเด็นต่าง ๆ
3. แลกเปล่ียนเรยี นรเู้ พ่มิ เตมิ
3) ระยะเวลา 1 ช่ัวโมง

4) วธิ ีการ/เทคนคิ

1. ชแ้ี จงกฎกติกาและแบ่งกล่มุ
2. สรุปบทเรียน
5) วสั ดุ /อปุ กรณ์

1. โทรโขง่
2. ฐานเรียนรู้
6) ขั้นตอน /วธิ กี าร

1. วทิ ยากรแนะนา้ ตนเอง และชี้แจงวัตถุประสงค์ รายละเอยี ดตา่ ง ๆ รวมถงึ แผนผังฐานเรียนรู้
2. วิทยากรแบ่งทีมออกเป็น 2 ทีม พร้อมแนะน้าวิทยากรประจ้าทีมเพ่ือลงพ้ืนท่ีเรียนรู้ต้ารา
บนผนื ดนิ
3. วทิ ยากรมอบโจทย์การเรียนรู้ ดังนี้

(1) ท่านเห็นอะไร จากการส้ารวจ
(2) ทา่ นได้เรียนรอู้ ะไรจากการส้ารวจ
(3) ให้ท่านหยิบส่ิงของจากฐานเรียนรู้ท่ีได้รับมอบโจทย์มา 1 ชิ้น เพ่ือน้ามาเสนอให้กับผู้
เขา้ อบรม
4. วิทยากรประจ้าทีม น้าผเู้ ข้าอบรมลงพ้ืนทเ่ี รยี นรตู้ า้ ราบนผนื ดนิ ภายในพ้นื ท่ี ศพช.
5. หลงั จากเรยี นรู้พ้นื ที่ท้งั หมดแลว้ ให้แต่ละกลุ่มรวมตวั กันเพอื่ สรุปและคดั เลือกตวั แทนนา้ เสนอ
ตามโจทย์ทไ่ี ด้รบั มอบหมาย (1) (2) (3)
คาถามท่ี 1 : ท่านเห็นอะไร ? จากการสารวจ
คา้ ตอบ : สวนผลไม้ พืน้ ทโ่ี คก หนอง นา โมเดล การบ้ารุงดิน ธนาคารน้าใต้ดิน การ
เล้ียงไกไ่ ข่ การปลูกมะนาว แปลงผักกูด แปลง 30 ตารางวา
คาถามที่ 2 : ท่านไดเ้ รยี นรู้อะไรจากการสารวจ?
ค้าตอบ : การบรหิ ารจดั การในหลาย ๆ ด้าน เชน่ น้า ดนิ พืน้ ที่ เป็นต้น การหม่ ดินท้า
ให้ดนิ ดี สามารถปลกู พชื ได้ดี รักษาความชุม่ ชน้ื ในดนิ ธนาคารน้าใตด้ นิ ช่วยเก็บกักน้าไว้ใตด้ นิ เพ่ือใหค้ วาม
ชมุ่ ชนื้ กบั ตน้ ไมแ้ ละดิน การปลกู พชื ทห่ี ลากหลายท้าให้เราสามารถใช้ประโยชนใ์ นการบรโิ ภคได้จริง

คาถามท่ี 3 : ท่านหยบิ สิ่งของจากฐานเรียนรทู้ ีไ่ ด้รับมอบโจทย์มา 1 ช้นิ เพื่อนามาเสนอ 127
ให้กบั ผูเ้ ข้าอบรม? จากการเขา้ รว่ มกจิ กรรมน้ี

คา้ ตอบ : ผ้อู บรมหยิบฟางขา้ ว กอ้ นหิน หญ้าแฝก ผลหม่อน ดอกดาวกระจาย ผกั กูด
น้ามันสมุนไพร
สรปุ บทเรยี นของกจิ กรรม

สถานการณ์การเปล่ียนแปลงของโลกในด้านภัยธรรมชาติที่มีความรุนแรงข้ึนทุกวนั ท้าให้ได้

เรียนรถู้ ึงการพึ่งพาตนเองในยามวิกฤต ผา่ นการเรียนรู้ต้าราบนผนื ดินดงั กล่าว สามารถนา้ ไปเป็นแบบอย่างใน

การท้าแหล่งเรียนรู้ และตระหนกั ในบทบาทหน้าทีใ่ นการเปน็ ศนู ย์พงึ่ พิง มกี ารสร้างภูมคิ มุ้ กัน มกี ารสร้างความ

ม่ันคงทางด้านอาหาร สร้างความรู้ความเข้าใจและสร้างการรับรู้ท่ีดีใหก้ ับประชาชน เพื่อให้สามารถปฏิบัติตน

ในการรองรับภัยพิบัติ พร้อมต้ังรับ ต้ังสติ มีการวางแผนที่ดีเพื่อแก้ไขปัญหาในสถานการณ์ท่ีไม่คาดคิด ซึ่ง

อาจจะเกิดข้นึ ไดใ้ นอนาคต

สรปุ เน้อื หาการเรยี นรู้
พบว่า ผเู้ ข้าอบรมสว่ นใหญม่ ีความสนใจ ตัง้ ใจ และมีสว่ นรว่ มในการเรียนรูแ้ ละการรับฟังการ

บรรยายในแต่ละจุดด้วยความต้ังใจ การตอบค้าถาม การแสดงความคิดเหน็ อยา่ งสรา้ งสรรค์ และมคี วามร้คู วาม
เข้าใจท่ีถูกต้องเก่ียวกับการพึ่งตนเองและรองรับภัยพิบัติ อีกท้ังเกิดแรงบันดาลใจให้สามารถน้าแนวคิด โคก
หนอง นา โมเดล ซง่ึ เปน็ หนึง่ ในทฤษฎใี หม่ เปน็ การน้อมนา้ ศาสตรพ์ ระราชาและปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ไปประยกุ ต์ใชใ้ นวิถชี ีวติ สู่ความยง่ั ยนื ตอ่ ไป

3. วชิ า เขา้ ใจ เข้าถึง พฒั นา ศาสตร์พระราชากบั การพฒั นาท่ียั่งยนื 128
วทิ ยากรหลกั

นางสาวอรวีย์ แสงทอง ผู้ช่วยผูอ้ ้านวยการศูนย์ศกึ ษาและพัฒนาชมุ ชนนครนายก

1) วตั ถปุ ระสงค์
เพอ่ื ใหผ้ ูเ้ ข้ารบั การฝกึ อบรมเข้าใจศาสตรพ์ ระราชาและการพัฒนาทยี่ ง่ั ยนื

2) ประเด็น/ขอบเขตเนอื้ หา
1. หลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง
2. หลักการทรงงาน “เข้าใจ เข้าถึง พฒั นา” พระราชด้ารัสของ ร.9
3. บนั ได 9 ขน้ั สู่ความพอเพยี ง

3) ระยะเวลา 2 ชั่วโมง

4) วธิ กี าร/เทคนิค

วิทยากรบรรยายเพ่ือให้มีความรู้ ความเข้าใจ หลักหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง หลักการ
ทรงงาน และพระราชด้ารัส “เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา” ของในหลวง ร.๙ และเรียนรู้จากกรณีตัวอย่าง
“โคกหนองนา โมเดล” โดยใช้ส่อื สือ่ Power point และสือ่ วีดที ัศน์ประกอบการบรรยาย

5) วัสดุ /อปุ กรณ์
1. ส่ือนา้ เสนอด้วยโปรแกรม power point

6) ขน้ั ตอน /วธิ ีการ
๑. วทิ ยากรเกริน่ น้าถึงศาสตรพ์ ระราชา หลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
2. วิทยากรบรรยายศาสตรพ์ ระราชา และความส้าเรจ็ ของการน้าศาสตร์พระราชาไปปรบั ใช้

สรปุ เนื้อหาการเรยี นรู้
อาจารย์ยักษ"์ หรือ ดร.วิวัฒน์ ศัลยก้าธร (วิทยากร) ประธานสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง และประธาน

มูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ ผู้ก่อต้ังศูนย์กสิกรรมมาบเอ้ือง ศูนย์กสิกรรมท่ีมีวัตถุประสงค์หลักในการขับเคลื่อน
ศาสตร์ของพระราชา ท้ังเป็นหนึ่งคนส้าคัญผู้ขับเคลื่อนหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง วันน้ีมาเล่าให้ฟังถึง
ศาสตร์พระราชาและความมุ่งมั่นท่จี ะเดินตามรอยพระบาท

ศาสตร์ของพระราชา หลักการคือ การประยุกต์ด้วยหลักทฤษฎใี หม่ ได้แก่การออกแบบพ้ืนที่เพื่อการ
จัดการน้าและการฟืน้ ฟูระบบนเิ วศ การจัดการดินและจัดการป่า ปลูกป่า 3 อย่างประโยชน์ 4 อย่าง ภายใต้
หลักการโคกหนองนาโมเดล
1. หลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง

"ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" เป็นปรัชญาท่ีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลย-เดชบรม
นาถบพิตร ทรงช้ีถึงแนวทางการด้าเนินชีวิตของประชาชนในทุกระดับ ทั้งในระดับครอบครัว ชุมชน หรือ
ระดบั ประเทศ ในการปฏิบตั งิ านหรือบริหารพฒั นาประเทศใหด้ ้าเนนิ ไปด้วยความไม่ประมาท พระองคท์ รงท้า
ตัวอย่างให้คนไทยได้เห็นผ่านโครงการพระราชด้าริท่ีประสบความส้าเร็จกว่า 4,741 โครงการ มากกว่า
47,000 บทเรียน ทา้ ใหท้ ว่ั โลกให้การยอมรับและมอบรางวัลให้พระองค์ อาทิ รางวลั นักวิทยาศาสตร์ดินเพื่อ

มนุษยธรรม (IUSS Humanitarian Soil Scientist Award) และรางวัลความส้าเรจ็ สูงสุดดา้ นการพัฒนา 129

มนษุ ย์ (UNDP Human Development Lifetime Achievement Award) เปน็ ตน้
2. หลกั การทรงงาน “เข้าใจ เขา้ ถึง พัฒนา” พระราชดารสั ของ ร.9

หลักการ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ตามแนวพระราชด้าริ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล

อดุลยเดช เป็นหลักการส้าหรับการแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาส่ิงต่าง ๆ ท่ีสามารถประยุกต์ใช้ได้กับหลาย ๆ

ประเด็น

เขา้ ใจ : ท้าอะไรต้องเข้าใจปญั หา เข้าใจหนทางแกไ้ ข เข้าใจกระบวนการจัดการ และปรบั ความเข้าใจ
ระหว่างผ้ใู ห้ ผู้รับเสยี กอ่ น ให้เขา้ ใจซึ่งกันและกัน

เข้าถึง : เมื่อเข้าใจระหว่างกนั ทุกประการครบถ้วนแล้ว ต้องเข้าถึงการกระท้า สร้างความร่วมมือจาก
ผเู้ ก่ยี วขอ้ ง เข้าถึงเครอื่ งไม้เครื่องมือและวัสดุอุปกรณ์ และความสามัคครี ว่ มจติ รว่ มใจของผู้ปฏบิ ัติ รว่ มมอื รว่ ม
ไมก้ ันท้างาน

พัฒนา : เมื่อต่างฝ่ายต่างเข้าใจกันแล้ว เข้าถึงกันแล้ว การพัฒนาก็จะด้าเนินการไปอย่างยั่งยืน ไม่
ส่งผลกระทบที่ติดลบต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและการเมือง หากแต่น้าไปสู่ความสมดุล มั่นคง
และยง่ั ยนื

สรปุ ผลการเรียนรู้
พบว่า ผู้เข้าอบรมส่วนใหญ่มีความสนใจในการบรรยายจากวิทยากร มีส่วนร่วมในการแสดง

ความคดิ เห็น และต้งั ใจท่จี ะน้าความรทู้ ่ไี ดใ้ นการอบรมรายวิชาน้ี กลับไปปฏบิ ตั ิในครวั เรือน

4. วิชาการแปลงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สู่การปฏิบัตแิ บบเปน็ ขนั้ เปน็ ตอน 130
วิทยากรหลกั

นางประภา ปานนติ ยกลุ ผ้อู ้านวยการศูนยศ์ กึ ษาและพัฒนาชุมชนนครนายก

1)วตั ถปุ ระสงค์
เพอ่ื ใหผ้ ู้เข้าอบรมเข้าใจการแปลงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงทเี่ ป็นนามธรรมลงสรู่ ปู ธรรมการปฏบิ ตั ิ

แบบเปน็ ข้นั เปน็ ตอน

2) ประเดน็ /ขอบเขตเนอ้ื หา
๑. ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี งกบั การสร้างความยง่ั ยืน
2. ตวั อย่างการน้าปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปปรบั ใช้

3) ระยะเวลา 2 ชวั่ โมง

4) วธิ ีการ/เทคนิค

๑. วทิ ยากรบรรยายประกอบส่อื Power point และส่อื วดี ที ศั น์
2. บรรยาย
5) วสั ดุ /อุปกรณ์
สื่อนา้ เสนอดว้ ยโปรแกรม power point

6) ขัน้ ตอน /วธิ กี าร
๑. วิทยากรเกริ่นน้าการแปลงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงท่ีเป็นนามธรรมลงสู่รูปธรรมการปฏิบัติแบบ

เปน็ ขน้ั เป็นตอน
2. วิทยากรยกตัวอยา่ งพื้นทท่ี ี่นา้ หลกั เศรษฐกจิ ไปพอเพียงไปลงมือทา้

สรปุ เน้อื หาการเรียนรู้
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือ ปรัชญาใหม่ในการพัฒนามนุษย์ ให้เปล่ียน mindset ใหม่ จากมุ่ง

แขง่ ขันเป็นมุ่งสร้างสรรค์ แบ่งปนั หัวใจสา้ คัญ คอื พระราชด้ารัส “ Our Loss is Our Gain” ย่งิ ใหไ้ ป ยิ่งไดม้ า
ดังนัน้ การพฒั นาตอ้ งเป็นไปเพอ่ื สร้างขบวนการ “จติ อาสา” พรอ้ มน้าศาสตร์พระราชาเข้าแก้ไขปญั หาประเทศ
ทง้ั ในและนอกระบบราชการ
การขบั เคลอ่ื น “ปรัชญาใหม่” ท่ยี ั่งยืน
1. ต้องกา้ วไปดกั หน้า Technology 5.0
2. ต้องเออ้ื ตอ่ การบูรณาการและการสร้างส่ิงใหมใ่ นระดบั โครงสร้าง
3. ตอ้ งมีภารกิจบ่มเพาะให้เขา้ ใจศาสตรพ์ ระราชาอย่างลึกซงึ้ เข้าถึงปัญหาชาติ และพร้อมพฒั นา
4. ต้องมีการนา้ ศาสตรพ์ ระราชาแก้ปัญหาประเทศ และเผยแพร่ผลสา้ เรจ็ นัน้ ออกไป
5. ตอ้ งมียทุ ธศาสตรส์ ่อื สารทงั้ “เป้าหมาย” ไม่ยดึ วิธีการ ไม่วัดแค่ KPI แต่ยดึ แก่นของศาสตรพ์ ระราชา
6. ต้องเป็นกลไกหนุนให้เกิดการ ปฏิรปู ภาคปฏบิ ัติ เพื่อประโยชนส์ ุขแหง่ “มหาชนชาวสยาม”

การแปลงปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียงทเี่ ปน็ นามธรรมลงสู่รูปธรรมการปฏบิ ัตแิ บบเป็นขนั้ เปน็ ตอน 131

ความสัมพันธ์ของเศรษฐกิจ 3 แบบ 1) ระบบสังคมนิยม เน้นการกระจายรายได้ มุ่งเท่าเทียม ลดเหล่ือมล้า
“INCOME DISTRIBUTION” 2) ระบบทุนนิยม ต้องได้ก้าไรสูงสุด มุ่งตลาดน้าปรับประสิทธิภาพ และ
3) พอเพียง “ขาดทุนของเรา คือก้าไรของเรา ย่ิงให้ไป... ยิ่งได้มา ” มุ่งสร้างให้พอ เน้นการแบ่งปัน
พอเพยี งไมป่ ฏเิ สธทุนนิยมและสงั คมนิยม แต่ให้ทา้ พ้ืนฐานใหม้ น่ั คงเสยี ก่อน ดงั พระราชด้ารัสเน่ืองในโอกาสวัน
เฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดสุ ิตดาลัย วันที่ 4 ธนั วาคม 2534 ความว่า “...เราไม่เปน็ ประเทศร่า้ รวย เรามี
พอสมควร พออยู่ได้ แต่ไม่เป็นประเทศท่ีก้าวหน้าอย่างมาก เราไม่อยากเป็นประเทศท่ีก้าวหน้าอย่างมาก
เพราะถ้าเราเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมากก็จะมีแต่ถอยกลับ ประเทศเหล่านั้นท่ีเป็นประเทศอุตสาหกรรม
ก้าวหนา้ จะมแี ต่ถอยและถอยหลังอย่างน่ากลวั ...” ซงึ่ จะน้าไปสเู่ ป้าหมายการปฏิรูปประเทศ สร้างคนดีมีวินัย
ภมู ใิ จในชาติ สรา้ งความเช่ยี วชาญตามความถนัดของตนรบั ผิดชอบต่อครอบครัว ชุมชนสังคม และประเทศชาติ
เพื่อสร้างความย่ังยืน สังคมลดความเหล่ือมล้า เสมอภาค ปรองดอง ด้านการเมือง มั่นคง ขจัดคอรัปชั่น
โปร่งใส เปน็ ธรรม ด้านเศรษฐกจิ สรา้ งความพอเพยี ง เกดิ การแบง่ ปัน

จากองค์ความรู้ที่เกิดจากศาสตร์พระราชา น้ามาซ่ึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของปวงชนชาวไทย
เป็นทฤษฎีใหม่ที่เก่ียวกับการจัดการ ดิน น้า ป่า คน กว่า 40 ทฤษฎี เช่น โครงการหลวงพืชผักเมืองหนาว
ปลอดสารพิษ ฝายต้นน้าล้าธารฟ้ืนฟูอนุรักษ์ต้นน้า หน้าแฝกอนุรักษ์ดินและป่า การปลูกป่า 3 อย่าง ได้
ประโยชน์ 4 อย่าง เพ่ือรักษาระบบนิเวศ เป็นต้น ส้าหรับเกษตรทฤษฎีใหม่ (การจัดการน้าตามศาสตร์
พระราชาและภูมิปัญญาท้องถ่ิน) คือ แนวพระราชด้าริ การแบ่งสัดส่วนพ้ืนท่ีท้ากินเพื่อการพ่ึงพาตนเอง โดย
ก้าหนดอตั ราการใช้พ้ืนที่เปน็ 30 : 30 : 30 : 10 ไดแ้ ก่ สระนา้ ท้านา ปลูกพชื และท่อี ยู่ ตามลา้ ดบั จากน้นั
พัฒนาตามขั้นตอน 3S คือ 1) อยู่รอด Survival เกษตรทฤษฎีใหม่แบ่งสัดส่วนพื้นท่ีท้ากิน สร้างผลผลิตให้
สามารถพ่งึ ตนเองได้

2) พอเพียง Sufficiency การรวมพลังในชุมชนในลักษณะสหกรณ์ชว่ ยเหลือกนั ดา้ นต่าง ๆ
3) ยั่งยืน Sustainability ร่วมกันผลักดันใหเ้ กิดการลงทุนจากแหล่งเงินท้าให้เกษตรกรแข็งแรงไม่ถกู
กดราคา

จากสถานการณ์วิกฤตทางส่ิงแวดล้อม เช่น ปัญหาภัยแล้ง คงเป็นปัญหาที่ประเทศไทยกา้ ลังเผชญิ อยู่ 132
ในช่วงหนา้ แล้งของทุกปี ท้าให้คนไทยจะตอ้ งปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี งที่เป็นนามธรรมลงสู่รูปธรรมการปฏิบัติ
ในโครงการพัฒนาพ้ืนทีต่ ้นแบบการพัฒนาชีวิตประยกุ ตส์ ู่ โคก หนอง นาโมเดล

วิทยากรได้ยกตัวอย่าง เก่ียวกับการพัฒนาพื้นท่ี รูปแบบ โคก หนอง นาโมเดล เพ่ือน้าทฤษฏีหลัก
ปรชั ญาสู่การปฏบิ ัติอย่างจรงิ จัง

5. วิชา: ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง “ทฤษฎีบนั ได 9 ข้นั สคู่ วามพอเพียง” 133
วทิ ยากรหลัก

นายสนุ ทร แววมะบุตร ต้าแหนง่ เครอื ข่ายโคก หนอง นา โมเดล จงั หวัดพระนครศรีอยธุ ยา

1) วัตถปุ ระสงค์
เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในเกี่ยวกับทฤษฎีบันได 9 ขั้น การบริหารเป็นขั้นเป็นตอนน้าเศรษฐกิจ

พอเพียงมาปรบั ใช้ในชีวติ ประจา้ วนั และสามารถน้าไปปฏบิ ัตจิ นเป็นวิถชี ีวิต

2) ประเด็นเนอ้ื หา
1. หลักคิดของ “ทฤษฎบี นั ได 9 ขน้ั สู่ความพอเพยี ง”
2. ความหมายของระบอบเศรษฐกจิ แบบทนุ นิยม สังคมนิยมหรอื คอมมิวนิสต์ และเศรษฐกิจพอเพียง

3) ระยะเวลา

๓ ชัว่ โมง

4) เทคนคิ / วิธกี าร

1. สอ่ื Power Point บรรยาย
2. แลกเปลยี่ นความคดิ เห็น

5) วัสดุ / อปุ กรณ์
1. สอ่ื Power Point
2. กระดาษ / สมดุ / ปากกา
3. คอมพิวเตอร์ / เคร่ืองฉายโปรเจคเตอร์

6) ข้นั ตอน / วธิ ีการ
วิทยากรกล่าวแนะน้าตัวและมอบโจทย์ เพื่อประเมินความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ ระบอบของ

เศรษฐกจิ แบบทนุ นิยม สังคมนยิ มหรือคอมมวิ นสิ ต์ และเศรษฐกจิ พอเพียง โดยใหเ้ ขียนตามความเข้าใจแบบสั้น
และใหผ้ เู้ ขา้ อบรมน้าเสนอแลกเปล่ยี นเรียนรู้

โจทย์
1.1 จงเขยี นคา้ จัดกัดความของ “ระบอบทนุ นยิ ม”
1.2 จงเขียนคา้ จา้ กัดความของ “ระบอบสงั คมนิยมหรือคอมมวิ นสิ ต์”
1.3 จงเขยี นคา้ จ้ากดั ความของ “เศรษฐกจิ พอเพียง”

จากโจทย์ทว่ี ทิ ยากรมอบใหก้ ับผ้เู ข้าอบรมสามารถสรปุ ได้ ดังนี้
1. ระบอบทุนนิยม คือ เป็นระบบที่มีการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้การแข่งขันกันอย่างเสรี เป็น

ลกั ษณะของทนุ ใหญก่ ินทุนเลก็ ทุนเล็กล้มหายตายจากไปในอนาคต
2. ระบอบสังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์” คือ ระบบเศรษฐกิจท่ีว่าด้วยความเสมอภาค ทุนเป็นของ

ทุกคนและผลก้าไรต้องเฉลี่ยให้กับทุกคน ซ่ึงจะเป็นการบริหารจัดการโดยภาครัฐ ทั้งน้ี รัฐจะเป็นผู้จัดสรร
ผลประโยชนใ์ หก้ บั องค์กรและประชาชน

3. เศรษฐกจิ พอเพยี ง คอื เป็นหลักสมดุลของชีวติ ทุกอย่างไม่มากไปไม่นอ้ ยไป

วิทยากรบรรยายประกอบสือ่ Power Point สามารถสรปุ ใจความสา้ คัญได้ ดังนี้ 134

เม่ือประมาณ 300 กว่าปีท่ีผ่านมา Adam Smith ชาวอังกฤษ เป็นท่ีรู้จักในฐานะนักเศรษฐศาสตร์
ได้ใหใ้ ห้แนวคดิ ของ “ทุนนิยม” ว่ามนษุ ย์สามารถแขง่ ขันกันได้โดยเสรีโดยมีเป้าหมายเป็นเงินและวตั ถุเป็นหลัก

ท้าให้มนุษย์เข้าสู่การท้าลายธรรมชาติ ประกอบด้วย ท้าลายป่า ดิน น้า และอากาศ และเพื่อให้ได้ประโยชน์
สงู สุด มนุษยเ์ รมิ่ มีการเอาเปรยี บกนั และกนั มากข้นึ และเม่ือมนุษย์ยึดเงินและวตั ถเุ ป็นทตี่ ง้ั ท้าให้เกดิ การฉ้อโกง

ขาดความกตญั ญูร้คู ณุ
แนวคิดระบอบทุนนิยมนั้นเกิดข้ึนในประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2504 คือ ประเทศไทยมีแผนพัฒนา

เศรษฐกิจแห่งชาติฉบับท่ี 1 นายกรัฐมนตรีในสมัยน้ัน คือ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ก้าหนดค้าขวัญว่า
“งานคือเงิน เงินคืองานบันดาลสุข”การมีเงินมากจะท้าให้ชีวิตมีความสุข การมีเงินน้อยนั้นชีวิตไม่มีความสขุ

ซึ่งสิ่งทส่ี ะทอ้ นแผนพฒั นาเศรษฐกิจฉบับท่ี 1 ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี คือ เพลงผู้ใหญล่ ี

“พอศอสองพนั หา้ รอ้ ยส่ี ผใู้ หญ่ลตี กี ลองประชุม ชาวบา้ นต่างมาชุมนมุ มาประชุมที่บา้ นผใู้ หญล่ ี
ต่อไปนี้ผู้ใหญ่ลีจะขอกล่าว ถึงเรื่องราวท่ีได้ประชุมมา ทางการเขาส่ังมาว่า ทางการเขาสั่งมาว่า
ให้ชาวนาเล้ียงเป็ดและสุกร ฝ่ายตาสีหัวคลอน ถามว่าสุกรนั้นคืออะไร ผู้ใหญ่ลีลุกขึ้นตอบทันใด
สุกรนั้นไซร้ คือหมานอ้ ยธรรมดา หมานอ้ ย หมานอ้ ยธรรมดา หมานอ้ ย หมานอ้ ยธรรมดา”

เมื่อเรียงล้าดับเหตุการณ์ในยุคนั้นแล้วพบว่า ในยุคน้ันแล้วพบว่า ช่วงท่ีแต่งเพลงผู้ใหญ่ลี
ประเทศไทยก้าลังอยู่ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่ 1 ในยุคสมัยของ จอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชต์
ซึ่งเป็นยุคเผด็จการ โครงการพัฒนาต่าง ๆ รวมถึงการสื่อสารระหว่างนักการเมืองกับข้าราชการต่าง ๆ
จึงเป็นแบบ “ส่ังการจากบนลงล่าง” ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน อย่างครบทุกข้ั นตอน
ตั้งแต่รว่ มคิดวางแผน และรับผลประโยชน์

เม่ือประมาณ 100 กว่าปีที่ผ่านมา Karl Marx ชาวเยอรมัน เป็นที่ยอมรับว่า เป็นบิดาแห่งระบอบ

สังคมนิยม มองว่าทรัพย์สินเป็นของรัฐ และกิจการเป็นของรัฐ ไม่เอาความเจริญ เกิดการกระจายรายได้ ใน
หลวงรัชกาลท่ี 9 จึงเรียกว่าเป็นเศรษฐกิจของพวกคนหลังเขา ท้าให้ในปี พ.ศ. 2519 ในหลวงรัชกาลที่ 9

ได้รับส่ังเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงขึน้ โดยในยุคน้นั พบว่าไทยอยภู่ ายใต้อิทธิพลของชาตติ ะวนั ตก เช่น อนุญาตให้
สหรัฐอเมริกาต้ังฐานทัพในประเทศไทย สะท้อนให้เห็นว่าชาติตะวันตกมีอิทธิพลเหนอื ประเทศไทย เป็นอย่าง

มาก ในปีนั้นเองที่ในหลวงรัชกาลท่ี 9 ท่านทรงเปรียบเศรษฐกิจพอเพียงเป็นเสมือนบ้าน ควรมีเสาเข็ม

พึ่งตนเองเป็นพนื้ ฐาน เพราะฉะนั้นเศรษฐกิจพอเพียงตามหลักกสิกรรมธรรมชาติจึงเป็นการแปลงสาระส้าคญั
ของเศรษฐกิจพอเพียงเปน็ “ทฤษฎบี นั ได 9 ขน้ั สู่ความพอเพยี ง” สามารถสรุปได้ ดังนี้

บนั ไดขน้ั ที่ 1 – 4 เศรษฐกจิ พอเพียงขั้นพื้นฐาน

ขน้ั ท่ี 1 คอื พอกนิ ซ่ึงเป็นขัน้ พื้นฐานที่สดุ ของมนุษย์ คอื ความต้องการปัจจยั 4 และประการทีส่ ้าคัญ

ท่ีสุดของปัจจัย 4 คือ อาหาร โดยเห็นว่า แนวทางการแก้ปัญหาที่ย่ังยืน คือ การตอบค้าถามให้ได้ว่า “ท้า
อย่างไรจึงจะพอกิน” ซึ่งจะต้องให้ความส้าคัญกับอาหารเป็นหลัก เกษตรกรต้องอยู่ให้เป็นโดยไม่ใช้เงิน มี

อาหารพอมี พอกิน ดว้ ยการปลูกผกั ผลไม้ มกี ารเกบ็ ขา้ วไว้ใหพ้ อกนิ ทงั้ ปี
ขั้นท่ี 2 – 4 คือ พอใช้ พออยู่ พอร่มเย็น สามารถเกิดขึ้นได้พร้อมกัน โดยการ “ปลูกป่า 3 อย่าง

ประโยชน์4อย่างป่าอย่างจะให้ท้ังอาหารเคร่ืองนุ่งห่มสมุนไพรส้าหรับรักษาโรค ให้ไม้ส้าหรับท้าบ้านพักท่ีอยู่
อาศยั และให้ความร่มเยน็ กับบ้านและชุมชนและจะเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาความยากจนจาการท้าเกษตร
เชิงเด่ียว

ปญั หาความเสอ่ื มโทรมของทรัพยากร ปัญหาความขาดแคลนนา้ ภัยแล้ง ท้งั หมดลว้ นแก้ไขไดจ้ ากแนวคดิ ปา่ 3 135
อยา่ งประโยชน์ 4 อยา่ งขององคพ์ ระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัวฯ รชั กาลท่ี 9

บันไดขั้นที่ 5-9 คือ เศรษฐกจิ พอเพยี งขั้นกา้ วหนา้

ขั้นท่ี 5-6 บุญและทาน จากความเชื่อม่ันว่าสังคมไทยเป็นสังคมบุญ สังคมทาน ไม่เน้นการ
แลกเปล่ยี นทางการค้า แตเ่ นน้ การท้าบุญ ไม่เน้นการสะสมเป็นของส่วนตัว แต่เน้นการให้ทาน

ขั้นที่ 7 เก็บรักษา ข้ันต่อไปหลังจากสามารถพ่ึงตนเองได้ พอมี พอเหลือท้าบุญ ท้าทานแล้ว คือการ
รู้จักเก็บรักษา ซ่ึงเป็นการต้ังอยู่ในความไม่ประมาท และการรู้จักเก็บรักษา ยังเป็นการสร้างรากฐานของการ
เอาตัวรอดในเวลาเกิดวกิ ฤตการณ์

ขั้นที่ 8 ขาย เนื่องจากเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ใช่เศรษฐกิจการค้า แต่ก็ไม่ใช่เศรษฐกิจหลังเขา การค้า
ขายสามารถท้าได้ แต่ทา้ ภายใต้การรจู้ กั ตนเอง ร้จู ักพอประมาณ และทา้ ไปตามลา้ ดับ โดยของทขี่ าย คอื ของที่
เหลอื จากทกุ ขนั้ แล้วจงึ นา้ มาขาย เชน่ ท้านาอนิ ทรยี ์ ปลูกข้าวปลอดสารเคมี ไมท่ า้ ลายธรรมชาติ ได้ผลผลิตเก็บ
ไว้พอกิน เก็บไว้ท้าพันธ์ุ ท้าบุญ ท้าทาน แล้วจึงน้ามาขายด้วยความรูส้ ึกของการ “ให้” อยากที่จะให้ส่ิงดี ๆ ท่ี
เราปลกู เอง เผอื่ แผ่ใหก้ บั คนอนื่ ๆ ได้รับสงิ่ ดี ๆ น้ัน ๆ ดว้ ย

ข้ันที่ 9 เครือข่าย คือ การสร้างเครือข่ายเชอื่ มโยงท้ังประเทศ เพอื่ ขยายผลความ สา้ เรจ็ ตามแนวทาง
เศรษฐกิจพอเพียง สู่การปฏิวัติแนวคิด และวิถีการด้าเนินชีวิตของคนในสังคม ในชุมชน เพ่ือการแก้ปัญหา
วิกฤต 4 ประการ อันได้แก่ วิกฤตการณ์ส่ิงแวดล้อม ภัยธรรมชาติ วิกฤตการณ์โรคระบาดท้ังในคน สัตว์ พืช
วกิ ฤตเศรษฐกิจ ข้าวยากหมากแพงวิกฤตความขัดแยง้ ทางสงั คม

สรปุ ผลการเรยี นรู้
ผเู้ ขา้ อบรมสว่ นใหญ่ มคี วามเข้าใจเกยี่ วความเป็นมาของ “ทฤษฎีบันได 9 ข้ัน สู่ความพอเพียง” เพิ่ม

มากข้ึน และเข้าใจหลักคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สามารถน้าหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไป
ประยกุ ตก์ ับตนเอง และองค์กร ได้ และตระหนักถงึ การบรหิ ารจัดการเปน็ ขั้นเปน็ ตอนตามคา้ กล่าวท่วี ่า “เดนิ ที
ละก้าว กนิ ขา้ วละคา้ ” เนน้ แนวคิดการพ่ึงตนเองเปน็ หลกั

6. วิชาหลักกสิกรรมธรรมชาติ 136

วทิ ยากรหลกั นายสุนทร แววมะบตุ ร เครือขา่ ยโคก หนอง นา โมเดล จังหวดั พระนครศรอี ยุธยา

1) วัตถุประสงค์
1.1 เพือ่ ใหผ้ เู้ ข้ารบั การฝึกอบรมเข้าใจเกี่ยวกบั หลกั กสกิ รรมธรรมชาติ
1.2 ตระหนักการปลกู ใหเ้ กิดคุณคา่ บรู ณาการในพ้ืนท่ีทา้ กนิ เดมิ ใหม้ สี ภาพใกลเ้ คยี งกับปา่

2) ประเดน็ เนื้อหา
2.1 ความหมายของกสกิ รรม และเกษตรกรรม
2.2 แนวคิดของกสกิ รรมธรรมชาติ
2.3 ความเปน็ จริงแห่งปญั หาทนุ นิยม
2.4 หัวใจหลักกสิกรรมธรรมชาติ กับปา่ 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง

3) ระยะเวลา
1 ชว่ั โมง

4) วธิ ีการ/เทคนคิ
4.1. วทิ ยากรบรรยายให้ความรู้ โดยใชส้ ่อื Power Point ประกอบการบรรยาย
4.2. แลกเปลี่ยนความคิดเหน็

5) วสั ดุ / อุปกรณ์
1. สือ่ Power Point
2. คอมพวิ เตอร์ เคร่ืองฉายโปรเจคเตอร์

6) ขน้ั ตอน / วิธีการ
วิทยากรแนะน้าตัว แนะน้าส่ือประกอบการสอน โดยวิทยากรได้ให้ผู้เข้าอบรมตระหนักถึง

ความส้าคัญของการท้าตัวเป็นน้าไม่เต็มแก้ว สามารถเรียนรู้ส่ิงใหม่ ๆ ตามสถานการณ์โลกได้ตลอดเวลา
จากการบรรยายสามารถสรปุ ใจความสา้ คัญได้ ดังนี้

ความหมายของค้าว่า “กสิกรรม” และ “เกษตรกรรม”
ค้าว่า “กสิกรรม” กับค้าว่า “เกษตรกรรม” มีความหมายต่างกัน ค้าว่า“กสิกรรม” มาจากค้า
บาลีว่า กสิกมฺม (อ่านว่า กะ-สิ-กัม-มะ) ซึ่งหมายถึง การเพาะปลูก, การไถ ในภาษาไทยค้าว่า “กสิกรรม”
เขียนค้าวา่ กรรม ตามแบบสันสกฤต คอื ก ไก่ ร หนั ม มา้ หมายถึง การทา้ ไร่ไถนา ใชต้ รงกบั คา้ ภาษาอังกฤษ
ว่า farming (อ่านว่า ฟารม์ -ม่ิง)
ส่วนค้าว่า “เกษตรกรรม” มาจากค้าสันสกฤตว่า เกฺษตฺร (อ่านว่า กะ-เสด-ตระ) ซ่ึงหมายถึง นา
กับค้าว่า กมฺม (อ่านว่า กัม -มะ) ซ่ึงหมายถึงการกระท้า ค้าว่า เกษตรกรรม ใช้ตรงกับค้าภาษาอังกฤษว่า
agriculture (อา่ นวา่ อะ-กรฺ ี-คลั -เช่อร์) หมายถึง การใชป้ ระโยชน์จากท่ีดนิ เช่นการเพาะปลกู พืชตา่ ง ๆ การป่า
ไม้ รวมทงั้ การเล้ยี งสัตว์ และการประมงด้วย
กสิกรรม คอื การเพาะปลูก ไม่รวมถึงการเล้ียวสัตว์ การประมงหรือป่าไม้ โดยคา้ ว่า กสิ คอื การไถ
หว่าน จงึ หมายถงึ ผทู้ า้ การปลกู ขา้ ว พึ่งตนเอง พง่ึ ธรรมชาติ ไม่ธรรมลายเคารพนอบน้อมตอ่ ธรรมชาติ และเกิด
มติ ทิ างความเช่ือและจิตวิญญาณเป็นที่มาแหง่ วิถีวฒั นธรรมไทย เพราะสมยั ก่อนคนไทยจะเรียกดินว่า แม่ธรณี


Click to View FlipBook Version