The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by makkawan.2509, 2021-05-19 00:23:39

ศพช.นครนายก HLM Nakhonyayok

HLM Nakhonyayok

3) น้าตุ้มตอน (ขุยมะพร้าวเก่าที่แช่น้าจนอิ่มตัว แล้วบีบน้าออกพอหมาดๆ อัดลงใน 37
ถุงพลาสตกิ แล้วผกู ปากถุงใหแ้ นน่ ) มาผา่ ตามความยาวแลว้ น้าไปห้มุ รอยแผลของก่ิงตอน มดั ด้วยเชอื ก
ทงั้ บนและลา่ งรอยแผลที่ควนั่

4) เม่ือกิ่งตอนงอกรากซึ่งจะเกิดตรงบริเวณรอยควั่นด้านบน และรากเริ่มแก่เป็นสีเหลือง
หรือมสี ีนา้ ตาล ปลายรากมสี ีขาวและมีจา้ นวนรากมากพอ จงึ ตัดกงิ่ ตอนไปชา้ หรือปลกู ได้

5) ตดั กิ่งตอนไปชา้ ในภาชนะ ในกระถางหรอื ถงุ พลาสติก เพื่อรอการปลกู ตอ่ ไป
เมื่อเสร็จส้ินการเรียนรู้ทั้ง 9 ฐานเรียนรู้ ให้พร้อมกันท่ีห้องอบรม สรุปผลกิจกรรมเป็นรายกลุ่มและ
วิทยากรสรุปเตมิ เตม็
8) สรุปผลการเรียนรู้

8.1) ฐานเรยี นรู้ “คนรกั ษแ์ มธ่ รณี”
เน้ือหาการเรยี นร:ู้ การห่มดนิ
การห่มดินตามหลักกสิกรรมธรรมชาติ โดยใช้ฟาง เศษหญ้า หรือใบไม้ท่ีสามารถย่อยสลายได้

เองตามธรรมชาติห่มหรือคลุมลงบนหนา้ ดิน และใส่ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพลงไป เพื่อให้อาหารแก่ดิน ดิน
จะปลอ่ ยธาตุอาหารให้พชื โดยกระบวนการยอ่ ยสลายของจุลินทรีย์ เรยี กหลกั การน้วี า่ “เล้ยี งดิน ใหด้ ิน
เลยี้ งพืช”
8.2) ฐานเรยี นรู้ “คนรักษแ์ ม่ธรณี”

เนอื้ หาการเรียนรู้: การทาป๋ยุ ชวี ภาพ
ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ หมายถึง สารธรรมชาติที่ได้จากกระบวนการหมักบ่มวัตถุดิบจาก
ธรรมชาติต่าง ๆ ท้ังพืช และสัตว์จนสลายตัวสมบูรณ์เป็นฮิวมัส วิตามิน ฮอร์โมน และ สารธรรมชาติ
ต่าง ๆ ซ่ึงเป็นท้ังอาหารของดิน ตัวเร่งการท้างานของส่ิงมชี ีวิตเล็ก ๆ ท่ีอาศัยอยู่ในดิน และอาศัยอยู่
ปลายรากของพชื ท่ีสามารถสรา้ งธาตอุ าหารกวา่ ๙๓ ชนดิ ใหแ้ ก่พืช
8.3) ฐานเรียนรู้ “คนรักษส์ ุขภาพ”
เนอ้ื หาการเรยี นรู้: สเปรยก์ ันยุง
สมุนไพรท่ีคนส่วนใหญ่จะคิดว่าเป็นพืช และจะต้องน้ามาเป็นยาเพื่อรักษาโรคยามเจ็บไข้ได้ป่วย
แต่ในความเปน็ จรงิ แลว้ เราใช้สมุนไพรทั้งพืช สตั ว์ และแรธ่ าตุ พืชใชเ้ ปน็ อาหาร เป็นยา เปน็ เครื่องใช้
ส่วนสัตว์เปน็ ท้ังอาหาร และบางสว่ นของสตั ว์บางชนิดนา้ มาท้าเป็นยาได้ แร่ธาตุเชน่ เดียวกันหมอแผน
โบราณมักจะนา้ ทงั้ พชื สตั วแ์ ละแร่ธาตุมาทา้ เปน็ ยาต้ารบั สมนุ ไพรทีเ่ ปน็ พชื ทนี่ า้ มาใชใ้ นชีวิตประจ้าวัน
ในแง่ของอาหาร ยา และเครอ่ื งใชใ้ นบ้าน ซงึ่ บางคร้ังพชื ผักทก่ี ินอยู่ทกุ วนั เราอาจจะไม่รู้มวี ่าสรรพคุณ
รักษาโรคได้
8.4) ฐานเรียนรู้ “คนมีนา้ ยา”
เนือ้ หาการเรียนรู้: การทาน้ายาอเนกประสงค์
ในปัจจบุ ันรายจ่ายสูงกว่ารายรับ จึงเริ่มประชมุ ปรกึ ษาหารือกันภายในหมู่บ้าน ค้นหาผมู้ คี วามรู้
ด้านต่าง ๆ ในการทจี่ ะทา้ อย่างไรในการลดรายจ่ายในครัวเรือนและท้าใหม้ รี ายไดเ้ พม่ิ ข้นึ จึงมีมตทิ ี่จะ
ท้าน้ายาอเนกประสงค์ใช้ในครวั เรอื นเพื่อลดรายจ่าย และสามารถเพิ่มรายได้ให้กบั ครัวเรือน การลด
คา่ ใชจ้ า่ ยในครวั เรอื นในแต่ละเดือนครอบครวั ของเราจา่ ยเงนิ ไปเทา่ ไรในการซอื้ น้ายาซกั ผา้ น้ายาลา้ ง
จาน น้ายาล้างรถ หรือน้ายาท้าความสะอาดสารพัดล้าง แล้วสินค้าท่ีเราซ้ือมาใช้นั้นดีจริงอย่างที่เขา
โฆษณาหรือเปลา่ ดังนัน้ เราจงึ ลองใช้ภมู ปิ ญั ญาเพอ่ื พ่ึงพาตนเอง มาท้าผลิตภัณฑ์ดแี ละราคาถูกใช้เอง

7.5) ฐานเรยี นรู้ “เสวียนไม้ไผ่” 38
เนือ้ หาการเรยี นรู้: การทาเสวียนจากไม้ไผ่และการทาเสวียนยังชีพ

เสวียน เปน็ สิ่งประดษิ ฐ์ท่ีเกิดจากภมู ิปัญญาของชาวบ้าน ซึ่งเคยมกี ารใชก้ ันมา ตัง้ แต่บรรพบุรุษ
อาจมีการขาดหายไปในบางช่วง จนระยะหลังมีปัญหาหมอกควนั เกิดข้ึนมาก ชาวบ้านจึงหันกลับมา

ใชภ้ มู ปิ ญั ญาท้องถิน่ ทีถ่ ่ายทอดมาตั้งแตบ่ รรพบรุ ุษ การทา้ เสวียน เปน็ การน้าเอาไม้ไผ่มาสานรอบโคน
ต้นไม้เพ่ือใชเ้ กบ็ ขยะใบไม้ ใหใ้ บไม้เศษไมย้ อ่ ยสลายตามธรรมชาตลิ ดฝนุ่ ละอองจากการเผาใบไม้เศษ
8.6) ฐานเรยี นรู้ “คนรักษน์ า้ ”

เนอื้ หาการเรียนรู้: การทาฝายชะลอน้า
หลักการหน่ึงในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ คือ การท้าฝายชะลอน้า หรือฝายชะลอ

ความชุ่มชื้นซึ่งหมายถึง สิ่งก่อสร้างท่ีขวางทางกั้นล้าน้าขนาดเล็กในบรเิ วณต้นน้า หรือพื้นที่ที่มีความ
ลาดชันสูง เพื่อให้นา้ ที่ไหลมาแรงสามารถที่จะชะลอการไหลช้าลงและเก็บกักตะกอน เพื่อไม่ให้
ลงไปสูบ่ ริเวณลุม่ น้าตอนล่าง

ฝายชะลอน้า หรอื Check Dam คอื สิ่งก่อสร้าง ท่ีท้าขน้ึ เพ่อื ขวางหรือก้นั ทางน้า โดยปกติมักจะ
กั้นล้าหว้ ย ลา้ ธารขนาดเล็กในบริเวณทเ่ี ปน็ ต้นน้า หรอื พน้ื ทท่ี มี่ คี วามลาดชนั สูงให้สามารถกักตะกอน

อยู่ได้ และหากเป็นช่องที่น้าไหลแรงก็สามารถช่วยในการชะลอการไหลของน้าให้ช้าลงด้วย
เพ่ือการกักเกบ็ ตะกอนเอาไวไ้ มใ่ หไ้ ปทับถมล้าน้าตอนล่าง อันเปน็ เปน็ วิธกี ารอนรุ กั ษ์ดินและแหลง่ น้า
8.7) ฐานเรยี นรู้ “คนรักษน์ า้ ”

เน้อื หาการเรียนรู้: การทาลกู ระเบิดจุลินทรีย์
ลูกระเบิดจลุ ินทรีย์ ตวั ชว่ ยบ้าบดั นา้ เสียให้เป็นน้าใส เพราะ “น้า” เป็นปัจจยั ทส่ี า้ คัญส้าหรับ

การด้ารงชีวิตของส่ิงมีชีวิต และย่อมเกิดความเดือดร้อนเมื่อเกิดสภาวะน้าเน่าเสียขึ้นมา ซ่ึงจากการ
ทดลองของเครือข่ายกสิกรรมธรรมชาติพบว่า สามารถเพ่ิมค่า DO (Dissolved Oxygen) หรือค่า
ออกซเิ จนที่ละลายในนา้ จาก 3.5 ppm (หรือสว่ นในลา้ นสว่ น) เปน็ 6.5 ppm ในเวลา 22 นาที เปน็

การเพิ่มออกซิเจนให้กับน้า ซึ่งออกซิเจนเป็นสิ่งท่ีจ้าเป็นอย่างย่ิงส้าหรับปลาหอยพืช และแอโรบิก
แบคทีเรีย (แบคท่ีเรียท่ีต้องการออกซิเจน) ถ้าหากค่า DO ในน้าต้่ากว่า 3 ppm จะท้าให้ส่ิงมีชีวิตใน

น้าอยู่ในภาวะถูกกดดัน ถ้าค่า DO ต้่ากว่า 2 ppm หรือ 1 ppm ปลาจะไม่สามารถด้ารงชีวิตอยู่ได้
เน่ืองจากปลาจะด้ารงชีวิตและท้ากิจกรรมต่าง ๆ ตามปกติ ได้ที่ค่า DO 5-6 ppm ซ่ึงเป็นสิ่งจ้าเป็น
มากส้าหรับอตุ สาหกรรมการเพาะเลยี้ งสัตวน์ ้าและพืชนา้ ซึ่งการเพิม่ ออกซิเจนในแหลง่ น้า ชว่ ยใหเ้ กิด

แบคทีเรยี ทส่ี ร้างสรรคน์ ้ีอย่างทวีคูณ สง่ เสรมิ ให้เกดิ สัตว์หนา้ เลน เชน่ ไส้เดอื นแมลงในน้า รวมท้ังไรนา้
ซ่ึงเปน็ อาหารธรรมชาตทิ ส่ี า้ คญั ยิง่ ของสตั ว์น้าพวก ปู กงุ้ ปลา และหอยอกี ดว้ ย

8.8) ฐานเรยี นรู้ “คนรกั ษน์ ้า”
เนื้อหาการเรยี นรู้: ธนาคารน้าใตด้ ิน
ธนาคารน้าใต้ดิน คือ การทเี่ ราขดุ หลุมลักษณะกน้ ครก เพ่ือจัดกักเกบ็ น้าฝนที่ตกลงมาในช่วง

ฤดูฝนไว้สู่ใต้ดิน ตั้งระดับใต้ดินถึงความลึกของหลุมที่ขุด เพ่ือให้น้ากระจายออกในแนวระนาบ (เปิด
อากาศใหผ้ วิ ดิน) เพราะหากเราไม่จดั เก็บนา้ ลงสู่ใตด้ นิ แล้วปล่อยใหน้ ้าฝนไหลทงิ้ ตามผิวดิน เม่ือนา้ ฝน

ทีไ่ หลทงิ้ เหล่านี้ไปรวมตวั กันเยอะก็จะเป็นสาเหตุของปัญหาน้าทว่ มขังดังเชน่ ในปัจจบุ ัน และหลุมนี้ยัง
เป็นการรักษาความชุ่มชื้นให้ช้ันผิวดิน จากดินที่แห้งแข็งก็จะนุ่มชุ่มช้ืน ท้าให้ต้นไม้ในบริเวณท่ีท้า
ธนาคารนา้ ใต้ดนิ จะอุดมสมบรู ณไ์ มแ่ ห้งแลง้ เปรียบเสมือนเราเปลย่ี นพื้นทก่ี นั ดารให้เป็นที่ชุ่มผืนใหญ่

หรือกระถางตน้ ไมแ้ บบแกม้ ลงิ ขนาดใหญ่ หากพวกเราร่วมมอื กนั ท้าทุกบา้ น กจ็ ะคืนความอุดมสมบรู ณ์

ให้ผืนป่า และรักษาแหล่งนา้ ใหย้ ังคงมีน้าเพยี งพอส้าหรบั ฤดูแล้ง ท้าให้สัตว์ป่ามีน้าด่ืม ไม่ตัดออกจาก 39
ป่ามารบกวนชุมชน อกี ทงั้ ยังเปน็ การลดปญั หาเรอื่ งไฟป่าไปด้วย

8.9) ฐานเรียนรู้ “คนรักษ์ป่า”
เนือ้ หากรเรียนรู้: การขยายพนั ธุพ์ ืช

การขยายพนั ธพุ์ ชื จัดวา่ มคี วามสา้ คัญในการปลกู พชื เพราะข้นั ตอนแรกของการเพาะปลกู ต้อง
มีต้นกล้าพืชเสียก่อน การเลือกวิธีการขยายพันธุ์พืชท่ีเหมาะสมจะท้าให้สามารถผลิตต้นกล้าได้ตาม
ปริมาณและคุณภาพท่ีต้องการ ซ่ึงเป็นผลไปถึงคุณภาพหรือปริมาณของผลผลิตของพืชน้ัน ๆ

นอกจากน้กี ารขยายพนั ธ์ุพชื ยังมคี วามสา้ คัญในดา้ นการอนรุ ักษ์พนั ธ์พุ ืชทหี่ ายากหรือใกลจ้ ะสญู พันธ์ุ

9) ภาพกจิ กรรม

ฐานเรียนรู้ “คนรักษแ์ ม่ธรณี” เนอ้ื หาการเรยี นรู้: การห่มดนิ

ฐานเรียนรู้ “คนรกั ษ์แม่ธรณี” เน้ือหาการเรยี นรู้: การท้าป๋ยุ ชวี ภาพ

ฐานเรยี นรู้ “คนรกั ษส์ ขุ ภาพ” เน้อื หาการเรียนรู้: การสเปรย์กนั ยงุ

ฐานเรยี นรู้ “คนมนี ้ายา” เนือ้ หาการเรียนรู้: การท้าน้ายาอเนกประสงค์ 40
ฐานเรยี นรู้ “เสวยี นไมไ้ ผ่” เน้ือหาการเรยี นรู้: การท้าเสวยี นจากไมไ้ ผ่และการทา้ เสวียนยงั ชพี

ฐานเรียนรู้ “คนรกั ษ์น้า” เน้ือหาการเรยี นร:ู้ การท้าฝายชะลอน้า
ฐานเรยี นรู้ “คนรกั ษน์ ้า” เนือ้ หาการเรียนร:ู้ ลกู ระเบิดจุลินทรีย์
ฐานเรียนรู้ “คนรักษ์น้า” เน้ือหาการเรียนร:ู้ ธนาคารน้าใต้ดิน

ฐานเรียนรู้ “คนรักษ์ป่า” เนือ้ หากรเรยี นรู้: การขยายพนั ธ์ุพชื 41

9. สขุ ภาพพึง่ ตน พัฒนา 3 ขมุ พลงั “พลังกาย พลงั ใจ พลงั ปัญญา”
1) วิทยากรและผู้รบั ผดิ ชอบวชิ า

นางสาวภัทธญิ า ตกิ จินา นกั ทรพั ยากรบคุ คล และวทิ ยากรประจา้ กลมุ่

2) วัตถุประสงค์
2.1) เพอ่ื ให้ผเู้ ข้ารับการฝึกอบรมไดย้ ืดเสน้ ยืดสาย ออกกา้ ลังกาย กอ่ นการฝกึ อบรม
๒.2) เพอื่ พัฒนาพลังกาย พลงั ใจ และพลังปญั ญา
2.3) เพ่อื ศกึ ษาแนวคิดและทฤษฎวี ่าดว้ ยการสรา้ งคุณคา่ ในการด้าเนนิ ชวี ติ

3) ประเดน็ /ขอบเขตเนือ้ หา
3.1) การพัฒนาพลังกาย การพัฒนาพลังใจ การพัฒนาพลังปัญญา
3.2) แนวคิดการพัฒนาเพือ่ พึ่งตนเองของเกษตรกร
3.3) การปรบั เปล่ยี นชีวิตตามสถานการณ์

4) ระยะเวลา
ระยะเวลารวม 3 ช่วั โมง

5) เทคนคิ และวิธกี าร
5.1) วิทยากรบรรยายเนื้อหา
5.2) วิทยากรเปิดสอ่ื วดิ ที ศั น์
5.3) วทิ ยากรมอบหมายงาน โดยให้ผูเ้ ข้าอบรมแบ่งกลมุ่ พรอ้ มนา้ เสนอในแตล่ ะประเดน็ เนอื้ หา

6) วัสดุ /อุปกรณ์
6.1) คอมพิวเตอร์
6.2) โปรเจ็คเตอร์
6.3) สื่อวดิ ีทศั น์
6.4) PPT

7) ขน้ั ตอนและวิธกี ารดาเนินการ
7.1) วิทยากรแนะนา้ ตัวและกจิ กรรม
7.2) วิทยากรน้ากระบวนการสรา้ งพลังกาย โดยการออกก้าลังกายด้วย T26 และบริหารกายแบบจังหวะ

ไทย สร้างพลังปัญญาดว้ ยการน้าเสนอบทเรียนจากเมือ่ วนั วาน สรา้ งพลงั ใจดว้ ยการให้ผเู้ ข้าอบรมออกมาพูดถึง

บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ แรงผลักดันของชีวิต และวิทยากรได้มาถ่ายทอดบทเรียน ประสบการณ์การ 42
การทา้ งาน ประสบการณก์ ารท้าโคก หนอง นา โมเดล

7.3) วิทยากรมาสรุปเตมิ เต็มบทเรียนของวันท่ี 1 โดยเทคนิค Mind map
8) สรปุ เนอ้ื หาการเรยี นรู้

8.1) พลงั กาย ผเู้ ข้าอบรมได้ออกกา้ ลังกายก่อนเข้ารบั การฝึกอบรมในทุกวนั ท้าให้ร่างกายพร้อมส้าหรับท้า
กจิ กรรมตลิดทั้งวัน

8.2) พลังใจ ผู้เข้าอบรมได้มาถ่ายความคิด ทัศนะคติ รับพลังความคิดเชิงบวกในการท้างาน และแนวคิด
ใหม่ ๆ ในการดา้ เนนิ ชวี ิต

8.3) พลังปัญญา ผู้เข้าอบรมได้ทบทวนองค์ความรู้ท่ีเรียนรู้เม่ือวันวาน เป็นการทบทวน และสรุปองค์
ความรูร้ ่วมกัน
9) ภาพกิจกรรม

10. วชิ า จติ อาสาพฒั นาชุมชน “เอาม้ือสามัคค”ี พัฒนาพน้ื ท่ีตามหลักทฤษฎใี หม่
1) วทิ ยากรและผรู้ บั ผดิ ชอบวชิ า

นายเมธาพันธ์ นลิ แกว้ นกั ทรพั ยากรบุคคลปฏบิ ัติการ และวทิ ยากรประจ้ากลุ่มสี
2) วตั ถปุ ระสงค์

เพื่อให้เกิดการแลกเปล่ียนแรงงาน เอาม้ือสามัคคี และเป็นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในด้านการพัฒนา
พน้ื ท่ตี ามหลักทฤษฎีใหม่ โดยประชาชนสว่ นใหญ่มกั ร้จู กั ในช่อื กจิ กรรมการ “ลงแขก” หรอื “เอาแรง” ซง่ึ เป็น
วัฒนธรรมชุมชนที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาอย่างช้านาน โดยในช่วงหลังมานี้นอกจากจะเป็นการแลกเปลี่ยนใน
ด้านแรกงงานแลว้ ยังได้เนน้ ใหเ้ กดิ การสรา้ งความรู้ที่เหมาะสมกับสภาพพน้ื ที่

3) ประเด็น/ขอบเขตเนอ้ื หา 43
การทา้ กิจกรรมร่วมแรง รว่ มใจ รว่ มพลังกนั ในการประยกุ ตใ์ ช้หลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งการพัฒนา

พนื้ ทีต่ ามหลกั ทฤษฎใี หม่
4) ระยะเวลา

ระยะเวลารวม 7 ชัว่ โมง
5) เทคนคิ และวธิ กี าร

5.1) สื่อ Power Point บรรยาย
5.2) แลกเปลี่ยนคา้ ถามกอ่ นลงมอื ปฏบิ ตั ิ
5.3) ลงมอื ปฏิบัตโิ ดยมคี รพู าท้าคอยแนะนา้ ในทุก ๆ กลุ่ม
5.4) คณะกรรมการตรวจแปลงด้าเนนิ การตรวจแปลงและให้คา้ แนะน้า
5.5) สรุปผลกิจกรรม
5.6) ใหค้ ะแนนและมอบรางวัลกลุ่มที่ไดค้ ะแนนมากทีส่ ุด
6) วัสดุ /อปุ กรณ์
6.1) สื่อ Power Point /ไมโครโฟน/อุปกรณป์ ระกอบจังหวัด
6.2) อุปกรณ์การเกษตร ได้แก่ จอบ เสียม พล่ัว คราด มีดอีโต้ เล่ือย ฟาง ปุ๋ยแห้ง ปุ๋ยน้า ลวด คีม บุ้งก๋ี
บวั รดนา้
6.3) ตน้ ไม้ท่ีใชป้ ลูกป่า 5 ระดบั
6.4) เครอื่ งขยายเสยี ง โทรโข่ง
6.5) น้าดม่ื
6.6) ยาสามญั ประจ้าบา้ น
7) ข้ันตอนและวิธีการดาเนินการ
7.1) วทิ ยากรเร่ิมตน้ โดยการแนะนา้ ตนเอง
7.2) วิทยากรให้ความรเู้ กยี่ วกบั การเอามอ้ื สามคั คแี ละการพัฒนาพ้ืนท่ีตามหลกั ทฤษฎใี หม่ โดยยดึ หลัก
กสิกรรมธรรมชาติ ได้แก่

(1) การจัดการกลมุ่ สา้ รวจพน้ื ที่ แบง่ หน้าที่ แบ่งคน ความสามัคคี
(2) การเตรยี มดิน ขุดรอ่ งน้า ฝาย
(3) การปลูกป่า 5 ระดบั
(4) การปลูกแฝก อนรุ กั ษด์ นิ และน้า
(5) การปลกู ดอกไมเ้ พอื่ บรหิ ารแมลง
(6) การห่มดนิ
(7) การเลีย้ งดินโดยการใส่ปุ๋ยอนิ ทรีย์ (แห้งชาม-นา้ ชาม)
(8) การท่องคาถาเล้ยี งดิน 5 ภาษา

เลยี้ งดนิ ใหด้ ินเล้ยี งพชื
ฟีด เดอะ ซอย แอนด์ เลท เดอะ ซอย ฟดี เดอะ แพลนท์
เจียม ได๋ ออย ได๋ เจยี ม ตะนา้

เลีย่ ง เทะ อดึ เทะ เลี่ยง ละชวิ 44
เล้ยี งแม่ธรณีให้แมธ่ รณเี ล้ยี งแมโ่ พสพ

(9) ศิลปะ ความสวยงาม ความเรยี บร้อยของแปลง
(10) การจดั เกบ็ อุปกรณ์ ล้างท้าความสะอาดจัดวางให้เป็นระเบียบ
7.3) วิทยากรขอตัวแทนผูเ้ ข้ารับการอบรมของแตล่ ะกลุ่ม (5 กลุ่ม) เพื่อลงไปส้ารวจพืน้ ทท่ี ่ีจะด้าเนินงาน
ซง่ึ ทางคณะวทิ ยากรไดก้ ้าหนดขอบเขตของพ้นื ทไ่ี ว้ (บรเิ วณด้านขา้ งโรงอาหารใหมต่ ิดกับหนองนา้ ) และแบ่งเปน็ 5
โซน ตามจา้ นวนกลุม่ สที ่ไี ด้แบ่งไวก้ ่อนแล้ว โดยให้ตวั แทนแต่ละกลุม่ จับสลากเพื่อเลือกว่ากลมุ่ ใดจะได้โซนใด
7.4) วิทยากรขอตวั แทนแตล่ ะกล่มุ เพ่อื ร่วมเปน็ คณะกรรมการตรวจแปลง
7.5) ผูเ้ ข้ารบั การอบรมแต่ละกลุ่มวางแผนการพัฒนาพน้ื ท่ี โดยยดึ หลกั กสิกรรมธรรมชาติ
7.6) ผูเ้ ขา้ รับการอบรมลงมือปฏบิ ัตงิ าน โดยมคี รูพาท้าให้ค้าแนะนา้ ทกุ ๆ กลุ่ม
7.7) ระหวา่ งลงมือปฏบิ ตั ทิ างวทิ ยากรจะเปิดเพลงท่ีเกีย่ วกับหลกั กสกิ รรมธรรมชาติ และเพลงสนุกสนาน
อื่น ๆ เพือ่ ให้การเอามือ้ สามคั คีมีความสนุกสนานเพลิดเพลนิ
7.8) คณะกรรมการตรวจแปลงด้าเนินการตรวจแปลงครั้งท่ี 1 โดยการตรวจแปลงครั้งนี้เน้นที่การให้
คา้ แนะนา้ ตา่ ง ๆ มากกวา่ การให้คะแนน
7.9) เม่ือคณะกรรมการด้าเนินการตรวจแปลงเสร็จแล้ว ผู้เข้ารับการอบรมแต่ละกลุ่มจะด้าเนินการ
ปรับปรุงแกไ้ ขพน้ื ที่ ตามคา้ แนะนา้ ของคณะกรรมการ
7.10) คณะกรรมการด้าเนินการตรวจแปลงคร้ังท่ี 2 การตรวจแปลงคร้ังนี้เป็นการตรวจเพ่ือให้คะแนน
ผู้เขา้ รบั การอบรมจะตอ้ งต้งั แถวบริเวณพนื้ ที่ท่ีกลุ่มตนเองรบั ผิดชอบ และกลา่ วใส่รหสั สวัสดีคณะกรรมการเม่ือ
คณะกรรมการมาถึง จากนั้นจะต้องร่วมใจกันท่องคาถาเล้ียงดิน และหลังจากน้ันให้น้าเสนอส่ิงที่กลุ่ม
ได้ด้าเนินการให้คณะกรรมการฟัง จากน้ันเป็นการซักถามจากคณะกรรมการ ในระหว่างนี้คณะกรรมการ
จะบนั ทึกคะแนนลงในแบบฟอรม์ โดยยดึ หลกั 10 ขน้ั ตอน
7.11) เมื่อคณะกรรมการตรวจแปลงครบทั้ง 5 กลุ่มแล้ว จะด้าเนินการรวมคะแนนและจะแจ้งผล
ตอนท้ายช่ัวโมงการอบรมวิชานี้
7.12) เม่ือทุกกลุ่มได้รับการตรวจแปลงเสร็จแล้ว จะเป็นกิจกรรมสรุปผลการด้าเนินกิจกรรมเอาม้ื อ
สามคั คี ได้วทิ ยากรจะมอบโจทยแ์ ละใหแ้ ตล่ ะกลุ่มรว่ มกันคดิ และส่งตวั แทนออกมาน้าเสนอ
7.13) วิทยากรประกาศผลกลุ่มทไ่ี ดร้ ับคะแนนสูงทีส่ ุดของกิจกรรมนี้ และมีรางวลั ให้กลุ่มท่ีชนะเพื่อเป็น
แรงจงู ใจในการนา้ กิจกรรมน้ไี ปปรบั ใชใ้ นพ้ืนทขี่ องตนเองตอ่ ไป

8) สรปุ เน้ือหาการเรียนรู้ 45
จากการด้าเนินกิจกรรมพบว่า ผู้เข้ารับการอบรมส่วนใหญ่มีความสนใจ ให้การมีส่วนร่วมในกระบวนการ

เรียนรู้ เนื่องจากเป็นการลงมือปฏิบัติจริง ทุก ๆ กลุ่มจะต้องท้าผลงานให้ดีที่สุด เกิดภาวะความเป็นผู้น้าของ
ทกุ ๆ กลุม่ ผ้ทู ี่มีความสามารถดา้ นการเกษตรจะคอยแนะน้าเพ่อื นๆ คนอ่นื ในกลุ่ม มกี ารแบง่ หนา้ ท่ีกันทา้ อยา่ ง
ชัดเจน เช่น ผู้ชายท้างานที่หนัก ผู้หญิงคอยช่วยงานท่ีเบากว่าหรืองานท่ีต้องใช้ความละเอียด เป็นต้น
มีการพูดคุยช่วยกันแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างด้าเนินงานทั้งในแต่ละกลุ่มและระหว่างกลุ่มเพ่ือให้
ภาพรวมของแปลงออกมาดีที่สุด ระหวา่ งดา้ เนินกจิ กรรมมีการชว่ ยเหลือซ่งึ กนั และกนั ผู้เขา้ อบรมคนใดเหน่ือย
ก็พัก เม่ือหายเหนื่อยก็กลับมาช่วยกันต่อ หลายๆ คนน้าน้าและอาหารว่างไปบริการเพ่ือนๆ ในกลุ่ม
ซึ่งสิ่งเหล่าน้ีเป็นส่ิงท่ีตอบวัตถปุ ระสงค์ของวิชาเนอื่ งจากต้องการให้น้ากระบวนการเอามื้อสามคั คี หรือการลง
แขก กลับมาใช้ในยุคปัจจุบนั อกี คร้ัง ดังค้าทก่ี ลา่ วไวว้ ่า “ทา้ แบบคนจน”

9) ภาพกจิ กรรม

11. วชิ า การออกแบบเชงิ ภมู ิสังคมไทยตามหลักการพฒั นาภูมิสงั คมอย่างย่งั ยนื เพ่อื การพ่ึงตนเองและ 46
รองรบั ภัยพิบัติ

1) วทิ ยากรและผูร้ บั ผดิ ชอบวชิ า

นายอดลุ ย์ วิเชียรชยั ผ้นู ้าต้นแบบการพฒั นาคณุ ภาพชวี ิตฯ จังหวัดปทุมธานี

นางสุพรรษา แก้วขุนทด นกั ทรัพยากรบคุ คลปฏบิ ัติการ

2) วตั ถุประสงค์
เพ่อื ใหผ้ ูเ้ ขา้ รับการฝกึ อบรม มีความรคู้ วามเข้าใจในการออกแบบพ้นื ท่ีเชงิ ภูมิสงั คมไทยตามหลักการพัฒนา

ภมู สิ งั คมอยา่ งยั่งยนื เพือ่ การพ่ึงตนเองและรองรับภัยพิบตั ิ “โคก หนอง นา โมเดล”

3) ประเด็น/ขอบเขตเนอื้ หา

3.1) สถานการณแ์ ละภาวะวกิ ฤติของโลก ประเทศ ชมุ ชน (นา้ อาหาร พลงั งาน)
(1) ทรัพยากรนา้
- การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรน้า
- สถานการณท์ างน้า
(2) วกิ ฤตการณ์ดา้ นอาหาร
- สถานการณ์การขาดแคลนดา้ นอาหาร
(3) วิกฤตการณ์ดา้ นพลังงาน
- การขาดแคลนพลังงาน

3.2) แนวทางการแก้ไขและรองรบั ภยั พบิ ัตดิ ้วยการบริหารจดั การพ้ืนที่ “โคก หนอง นา”
3.3) กรณีศึกษาความส้าเร็จ “โคก หนอง นา โมเดล”

4) ระยะเวลา
ระยะเวลารวม 3 ชว่ั โมง

5) เทคนิคและวธิ กี าร
5.1) วทิ ยากรบรรยายประกอบส่อื Power point และสอื่ วิดิทศั น์

5.2) บรรยาย

5.3) กระต้นุ ด้วยค้าถามและแลกเปล่ยี นความคิดเหน็
5.4) สรุปการเรยี นรู้

6) วสั ดุ /อปุ กรณ์
1. สือ่ วิดที ัศน์

2. สอ่ื น้าเสนอด้วยโปรแกรม power point
7) ขั้นตอนและวิธีการดาเนนิ การ

7.1) วิทยากรเล่าสถานการณ์และวิกฤตของโลกและประเทศในปัจจุบัน (น้า อาหาร พลังงาน) พร้อม
ยกตัวอยา่ ง

7.2) วิทยากรบรรยายการออกแบบเชิงภูมิสังคมไทยตามหลักการพัฒนาภูมิสังคมอย่างย่ังยืนเพ่ือการ
พ่งึ ตนเองและรองรับภัยพบิ ตั ิ (การออกแบบพนื้ ท่ีชวี ติ )

7.3) วทิ ยากรยกตวั อย่างแบบจา้ ลองการจัดการพนื้ ทีก่ สิกรรมประกอบ เพือ่ ให้เหน็ ภาพชัดเจนยิ่งข้ึน 47
7.4) วิทยากรบรรยายให้ความรูเ้ กยี่ วกับแนวทางการแก้ไขและรองรับภัยพบิ ัตดิ ้วยการบริหารจัดการพ้นื ที่

การพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษีใหม่ ประยุกต์สู่ “โคก หนอง นา โมเดล” พร้อมยกตัวอย่างความส้าเรจ็
(พ้ืนทตี่ ้นแบบ)

7.5) ส่ือวิดีทัศน์ กรณีศึกษา “ความส้าเร็จของ “คนผู้เดินตามรอยศาสตรพ์ ระราชา” : เจาะใจ” (ลุงแสวง
ผมู้ ั่งคั่ง)

8) สรุปเน้อื หาการเรียนรู้

วิทยากรผู้เชี่ยวชาญ เกร่ินน้าสถานการณ์โลกที่ต้องเผชิญกับภัยพิบัติในหลากหลายรูปแบบและ

ทางเดียวที่ประเทศไทยจะรอดพ้นจากภัยพิบัติเหล่านี้ได้คือ การน้อมน้าหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

และหลักการทรงงาน พระราชดา้ รสั “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ของในหลวงรชั กาลท่ี 9 มาประยุกต์ใชใ้ นวิถีชีวิต

พร้อมเชื่อมโยงถงึ สถานการณก์ ารท้าเศรษฐกิจพอเพยี งท่ไี ม่ประสบความส้าเร็จทีผ่ ่านมา ไปไมถ่ ึงไหนเพราะท้า

ไมจ่ รงิ ทา้ เล่นๆ แม้ในมมุ มองภาควิชาการท่ีท้างานวิจัยเกย่ี วกบั เศรษฐกิจพอเพยี งมากกว่าแปดหม่ืนเรื่อง กย็ ัง

ไม่สามารถน้าผลที่ได้จากการวจิ ัยนั้นมาปรบั ใช้และด้าเนินการในพ้นื ท่ีจริงได้ หน่วยงานภาครฐั จึงต้องน้อมน้า

หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ไปเป็นตัวชี้วัดหลักขององค์กร โดยเน้นหลัก 2 เงื่อนไข คือ การใช้ความรู้

บวกกบั คณุ ธรรม คือ การร้รู กั สามัคคี ในทน่ี ีค้ ือ การเอาม้ือสามคั คี การรว่ มแรงร่วมใจกนั ปรับและพัฒนาพื้นที่

ให้สามารถเป็นแหล่งอาหารและเป็นศูนย์พึ่งพิงได้เมื่อยามเกิดภัยพิบัติ อีกท้ังเป็นศูนย์เรียนรู้ในระดับพื้นทีไ่ ด้

ด้วยหลักการทั้งหมดนเี้ ราจะสามารถอยู่รอดและพ่ึงตนเองได้ จะเปน็ ทางรอดของประเทศไทย

วิทยากรกล่าวถึงบทบาทและภารกิจการด้าเนินงานของศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนท่ีจะต้อง

ขับเคลื่อนให้เป็นมหาวิทยาลัยศาสตร์พระราชา โดยยกตัวอย่างการด้าเนินงานของสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง

ภูมิพล King Bhumibol Institute of Sufficiency Economy (KBISE) ที่เน้นการขับเคลื่อนสืบสานศาสตร์

พระราชา ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่เป้าหมายความย่ังยืนของโลก และกรมการพัฒนาชุมชนต้อง

ต้ังเป้าหมายพ้ืนท่ีต้นแบบในการน้อมน้าหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงให้ได้อย่างน้อยหมู่บ้านละ

15 แปลง อกี ทงั้ ใช้กลไกการท้างานแบบเครอื ขา่ ยในการขยายผล จดั ทา้ บันทกึ ข้อตกลงร่วมมอื “การ

ขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่เป้าหมายความยั่งยืนโลก” โดยมีเครือข่าย ดังนี้ การไฟฟ้าฝ่ายผลติ

แห่งประเทศไทย,สถาบนั เทคโนโลยพี ระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.),มูลนิธิสภาคริสตจกั ร,นาคาร

เพ่อื การเกษตรและสหกรณก์ ารเกษตร (ธกส.),มหาวทิ ยาลัยแม่โจ,้ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครนิ ทร,์ มูลนิธิรักษ์

ดิน รักษณ์น้า,มูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ และบริษัทเอามื้อสามัคคีวิสาหกิจเพื่อสังคม จ้ากัด ซ่ึงมีเป้าหมาย

ร่วมกัน คือ ความยั่งยืนของโลก เครือข่ายการขยายผลน้ันได้แก่ เครือข่ายระดับพื้นที่ ระดับลุ่มแม่น้า ระดับ

จังหวัด และระดับประเทศ โดยเร่ิมจากพ้ืนที่จังหวัดท่ีประสบปัญหาภัยแล้งซ้าซาก เช่น จังหวัดกาญจนบุรี

จังหวดั เชียงราย ไดด้ ้าเนนิ การสง่ ประชาชนในพื้นท่เี ข้ารบั ความรู้ด้วยการอบรมตามหลกั สูตรของศูนย์กสิกรรม

ธรรมชาติ (มาบเอื้อง) จังหวัด ชลบุรี เน้นกลุ่มเป้าหมาย 4 กลุ่ม คือ 1. คน, 2.ความรู้, 3.

เครือข่าย และ 4.ขยายผล ภายใต้แนวคิดท่ีว่าทุกคนมีความสามารถ มีสิทธิเป็นครูได้ ซ่ึงเป้าหมายท่ี 1

ด้านคนนั้น ให้เน้นผ่านกระบวนการพัฒนาคนผ่านศูนย์บ่มเพาะเบ็ดเสร็จ โดยมีองค์ประกอบคือ หลักสูตรท่ี

เหมาะสม วทิ ยากรฐานเรียนรู้/วทิ ยากรกระบวนการ ทีมออกแบบพื้นท่ี ทีมขบั เคล่อื นพ้นื ที่ ทมี เก็บข้อมลู และ

ทมี วิจัยร่วมชมุ ชน ป้าหมายที่ 2 ด้านความรู้ เนน้ ด้านการเปน็ ศนู ย์ข้อมูลและติดตามแบบบูรณาการ วิเคราะห์

/สังเคราะห์ ตัวอย่างความส้าเร็จสู่งานวิชาการ เชื่อมโยงความรู้สู่สากล โดยมีองค์กระกอบคือ หลักสูตรที่

เหมาะสม วิทยากรฐานเรียนรู/้ วทิ ยากรกระบวนการ ทีมออกแบบพ้นื ท่ี ทีมขับเคลื่อนพ้นื ท่ี ทีมเก็บขอ้ มูล และ

ทีมวิจัยร่วมชุมชน เป้าหมายท่ี 3 ด้านเครือข่าย เน้นกระบวนการสร้างเครือข่าย โดยมีองค์ประก อบ คือ 48
การบวนการสรา้ งเครือข่าย กระบวนการเช่ือมร้อยกลไกการมีส่วนร่วม กิจกรรมรณรงค์แลกเปลีย่ นเรียนรู้

วิทยากรยกตัวอย่างกรณีศึกษา โคก หนอง นา โมเดล ซึ่งทฤษฎีดังกล่าวเป็นการแปลงปรัชญา
ของเศรษฐกจิ พอเพยี งใหเ้ ป็นรปู ธรรม โดยมี 5 ขั้นตอน คือ

1. บันได 9 ข้ันสเู่ ศรษฐกจิ พอเพียง
2. ทฤษฎีใหม่กว่า 40 ทฤษฎี
3. วิธีปฏิบัติอยา่ งเป็นขนั้ เป็นตอนกวา่ 4,741 โครงการ และ 47,000 เร่อื ง

4. เทคนิค/นวัตกรรม ที่เปน็ เคล็ดวชิ า เคลด็ ลับ บทเรยี นจ้านวนมาก
5. การบริหารแบบคนจนโดยยึดวลีว่า “ความขาดแคลนไม่เป็นปัญหาถ้ามีปัญญาถ้ามีปัญญาและ

ความอดทน”
ส้าหรับหลักการท้า โคก หนอง นา โมเดล หากมีพ้ืนท่ีในการด้าเนินการ จ้านวน 1 ไร่ เรียกว่าเป็น

การลดรายจ่าย จ้านวนพื้นที่ 3 ไร่ เรียกว่าพ่ึงตนเอง จ้านวนพื้นที่ 5 ไร่ เรียกว่าแก้จน จ้านวนพื้นที่ 10 ไร่

เรียกว่า พ้นเกษียณ และจ้านวนพื้นที่ 10 ไร่ เรียกว่า ศูนย์พ่ึงพิง หากใครเร่ิมท้าก่อนก็จะรอดก่อน เพราะ
เปา้ หมายของการท้า โคก หนอง นา คอื การขุดหนองนา้ ไวใ้ หส้ ามารถมีน้าใช้ได้ท้งั ปี ปลกู ไม้ยนื ต้น ปลูกพชื ผัก

ทา้ ประมง ทา้ ปศสุ ัตว์ ซงึ่ ในหลักสูตรน้ี จะเนน้ ไปทก่ี ารบริหารจัดการพ้ืนทขี่ นาดเล็กให้สามารถเก็บกกั น้าฝนไว้
เป็นการช่วยแก้สถานการณ์ภัยแล้งรุนแรงหรือซ้าซาก ในขณะท่ีวิธีคิดการบรหิ ารจัดการน้าแบบเก่าท่ีต่างชาติ
คิดน้ันเป็นวิธีคิดที่จะกักเก็บน้าแต่ไม่สามารถน้าน้าไปใช้ประโยชน์ได้เท่าที่ควร ประเทศไทยเราจึงคิดวิธีการ

บรหิ ารจดั การนา้ ในรูปแบบใหม่ที่สามารถนา้ น้ามาใช้ให้เกดิ ประโยชน์ได้ จึงมโี ครงการเกิดขึ้นดังน้ี
1. โครงการ โขง ชี มูล โดยใชห้ ลกั การแรวโน้มถว่ งของโลกในการแก้ปัญหาแม่นา้ โขงแหง้

2. โครงการผนั น้าเขา้ แม่นา้ สาละวนิ ไปยังเขือ่ นภูมพิ ล เพ่ือแกป้ ัญหาภูเขาหวั โล้นในพ้นื ที่จังหวัดน่าน
และเชียงราย

3. โครงการผนั นา้ จากเข่ือนป่าสกั ไปยงั เขอ่ื นล้าตะคอง

4. โครงการผนั น้าจากเขอื่ นศรีนครินทร์ เพื่อแกป้ ญั หาการใชส้ ารเคมีทีเ่ กนิ ปริมาณและทา้ ให้สารเคมี
ตกค้างในดนิ

5. โครงการอโุ มงค์ผนั น้าทจี่ งั หวัดเชยี งใหม่ แตม่ ีความล่าช้าถงึ ร้อยละ 85 กรมชลประทานจึงเข้ามา
แก้ปัญหาด้วยการขุดโคก หนอง นา ให้กับพ่ีน้องประชาชน โดยใช้งบประมาณในการขุด จ้านวน 26,500
บาทตอ่ 1 ไร่ จงึ เปน็ ทม่ี าของ “ชมุ ชนกสิกรรมวถิ ี” ซึง่ การทา้ โคก หนอง นา นั้น ถือเป็นการบรหิ ารจัดการใน

ดา้ น ดิน น้า ปา่ คน ให้สามารถพึ่งพาอาศัยเก้ือกูลกนั ระหวา่ งคนกบั ธรรมชาติ เป็นการปรับสมดุลเพื่อคืนชีวิต
ให้กับธรรมชาติ และเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อตั้งรับกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดหรือภัยพิบัติใน

รูปแบบต่าง ๆ ไมเ่ วน้ แมก้ ระทั่งวิกฤตท่ีคนจะตกงานในอนาคต ใหม้ ีพน้ื ท่ที ้ามาหากนิ สามารถเล้ียงตนเองและ
ครอบครวั ได้

หลักการออกแบบพ้นื ที่ ต้องค้านึงถึงศาสตรพ์ ระราชา (เกษตร 2 ขา) คือ การรวมกันระหว่างทฤษฎี

ใหม่กับการเกษตรเชิงเดี่ยว ต้องวิเคราะห์พ้ืนที่ โดยเลือกพ้ืนท่ีที่มีระดับพน้ จากการเกิดนา้ ท่วม มีวิธีปฏิบัติคอื
หาหรือปรับปรุงแหล่งน้า ปรับปรงุ คุณภาพของดนิ และเลอื กกิจกรรมทม่ี ีความเหมาะสมและฟ้นื ฟูสภาพดินโดย

ใช้การย่้าข้ี ห่มดิน(แห้งชาม น้าชาม) ปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง ท้าน้าหมักชีวภาพ มีการขุดลอก
หนองน้าเดิมให้สามารถรองรับน้าฝนได้ในปริมาณมาก ท้าการขุดคลองไส้ไก่เพ่ือให้สามารถควบคุมทิศทาง
การไหลของน้า และสามารถใช้พ้ืนท่ีในการรองรับน้าฝน ถือเป็นการวางแผนให้คนสามารถอยู่กับน้า ได้

ไม่ก่อปัญหาในพนื้ ที่ข้างเคียงเม่ือเกิดปัญหาน้าท่วม มีการท้าโคก ท้านาข้ันบันได และการยกหัวคันนาทองค้า

ปรับพน้ื ท่ีใหส้ ามารถเป็นแก้มลงิ เป็นศนู ย์พง่ึ พิงในอนาคตได้ การท้าโคก หนอง นา น้ี หากด้าเนินการไดร้ อ้ ยละ 49
10 ของหมู่บ้าน จะสามารถเป็นแนวทางเป้นต้นแบบในการขับเคลื่อนศาสตร์พระราชา โดยการใช้ทฤษฎีใหม่
มาประยุกตใ์ นวิถีชีวิต วิทยากรฉายภาพพรอ้ มยกตัวอย่าง พ้ืนทีจ่ งั หวัดนา่ นและจังหวัดทางภาคอีสานท่ีประสบ
ความสา้ เร็จในการด้าเนินงาน โคก หนอง นา เพื่อเปน็ การกระจายและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผ้เู ข้ารว่ มอบรม
ในการดา้ เนินงานต่อไป
9) ภาพกิจกรรม

12. ฝึกปฏิบัติการสร้างหุ่นจาลอง (กระบะทราย) การจัดการพ้ืนท่ีตามหลักทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่ โคก
หนอง นา โมเดล
1) วทิ ยากรและผ้รู บั ผดิ ชอบวิชา

นายอดลุ ย์ วิเชยี รชัย ผ้นู ้าตน้ แบบการพฒั นาคุณภาพชวี ติ ฯ จังหวัดปทุมธานี
นางสุพรรษา แก้วขนุ ทด นักทรัพยากรบุคคลปฏบิ ัตกิ าร
2) วัตถุประสงค์
2.1) เพ่ือให้ผู้เข้าอบรม มีความรู้ ความเข้าใจในการออกแบบพืน้ ท่ีเชิงภูมิสังคมไทย ตามหลักการพัฒนา
ภมู สิ ังคมอยา่ งยัง่ ยนื เพอ่ื การพ่งึ พาตนเองและรองรับภยั พบิ ตั ิ “โคก หนอง นา โมเดล”
2.2) เพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมมีความรู้ ความเข้าใจในการจัดการพื้นที่เชิงภูมิสังคมไทยตามหลักการ
พัฒนาภูมสิ ังคมอยา่ งยัง่ ยืน ตามหลักการออกแบบ “โคก หนองนา โมเดล”
2.3) เพื่อให้ผูเ้ ขา้ อบรมฝกึ ปฏิบตั ิ workshop ออกแบบพ้ืนที่ในรูปแบบ 2 มติ ิ และ 3 มิติ
3) ประเด็น/ขอบเขตเนอ้ื หา
3.1) หลักคิดพ้นื ฐานการออกแบบตามหลกั ภูมสิ ังคม (Geosocial)
3.2) การค้านวณการจัดการนา้ ฝนในพ้นื ที่
3.3) แนวคดิ การออกแบบและฝึกปฏิบัติการเขยี นแบบตามหลกั “โคก หนอง นา” เพอ่ื การใช้พ้ืนทใ่ี ห้เกดิ
ประโยชน์สูงสุด
4) ระยะเวลา
ระระเวลารวม 6 ช่ัวโมง

5) เทคนคิ และวธิ ีการ 50
5.1) วิทยากรบรรยายใหค้ วามรู้ โดยใชส้ ื่อ Power Point ประกอบการบรรยาย
5.2) มอบหมายโจทย์สา้ หรับฝึกปฏิบัติ workshop จัดท้าผลงานออกแบบพ้นื ท่ีในกระบะไม้ และน้าเสนอ

ผลงาน

6) วสั ดุ /อุปกรณ์
6.1) สื่อ Power Point
6.2) คอมพวิ เตอร์ เครื่องฉายโปรเจคเตอร์
6.3) กระดาษฟลปิ ชารต์ / ปากกาเคมี
6.4) กระบะไม้ / ดินปลกู บวั

7) ข้ันตอนและวิธีการดาเนินการ
วิทยากรบรรยายเกี่ยวกับการค้านวณน้าเพ่ือการกักเก็บน้าฝนในการออกแบบพื้นท่ี โดยหลักการมีปัจจัย

หลักท่ีส้าคัญของการออกแบบพ้ืนท่ี ภูมิ คือ สภาพทางกายภาพ เช่น สภาพดิน น้า ลม ไฟ สังคม วัฒนธรรม
ความเชื่อ ภูมิปัญญาด้ังเดิมท่อี ยู่ในพน้ื ท่ีน้นั ซึ่งในการออกแบบจะใหค้ วามส้าคัญกบั “สังคม” มากกว่า “ภมู ิ”
คอื ต้องออกแบบตามสงั คมและวัฒนธรรมของคนทอี่ ยู่ แม้วา่ ภูมิประเทศจะเหมือนกันกต็ าม หาก สังคมต่างกัน
การออกแบบก็จะตา่ งกนั ออกไปมหี ลกั พจิ ารณา ดงั นี้

1. ปริมาณน้าฝนทีต่ กเฉลย่ี ในพืน้ ที่
2. ความสงู ตา้่ ของพนื้ ที่และทศิ ทางการไหลของน้าในแปลง
3. การวางองค์ประกอบของพนื้ ท่ี

- ดิน การออกแบบพื้นท่ีควรค้านึงถึงสภาพปัญหาของดินและลักษณะของดิน ความอุ้มน้า
ของดิน ดินทราย ดินเหนียว เพื่อวางแผนการขุดหนองน้าและการปรับปรุงดินให้เหมาะสม โดยใช้หลักการ
ฟ้นื ฟูดิน ไม่เปลอื ยดิน เตมิ ปุ๋ยอินทรีย์แบบแหง้ และน้า หลังการห่มดนิ ด้วยฟาง ใบไม้

- น้า การออกแบบพนื้ ท่คี วรคา้ นึงถงึ ทศิ ทางการไหลของน้าเข้าและออกจากพน้ื ท่ี ขดุ หนองให้
มีความคดเคี้ยวเพอื่ เพิ่มพื้นท่เี พาะปลูกพืชขอบรมิ หนอง และการท้าตะพักน้า

- ลม การออกแบบพ้นื ท่คี วรคา้ นึงถึง ทศิ ทางลม ลมในพื้นที่พัดเข้ามาทางไหน ทั้งลมร้อนและ
ลมฝน ตามหลักของลมนั้น ลมฝนจะพัดมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ และลมหนาวพัดมาทางทิศ
ตะวันออกเฉียงเหนือ

วิทยากรมอบโจทย์ให้กับผู้เข้าอบรมเป็นกลุ่มสี โดยแบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม (สีน้าเงิน ชมพู แดง เหลือง 51
และสีเขียว) เพ่ือให้ออกแบบพื้นที่แบบ 2 มิติ ในกระดาษฟลิปชาร์ท แล้วน้าไปสร้างแบบจ้าลองในกระบะไม้
แบบ 3 มติ ิ ทัง้ นเ้ี มือ่ ออกแบบเรียบร้อยแลว้ ผ้เู ขา้ อบรมจะตอ้ งนา้ เสนอผลงาน พรอ้ มอธิบายการค้านวณน้าด้วย
โดยวทิ ยากรจะเป็นผเู้ ติมเตม็ ใหก้ ับผเู้ ข้าอบรมแตล่ ะกล่มุ
โจทย์

กจิ กรรมทก่ี าหนดในการออกแบบพน้ื ที่

8) สรุปเนื้อหาการเรียนรู้ 52
ผเู้ ขา้ อบรมได้นา้ ความรู้พ้นื ฐานเกีย่ วกับหลักการออกแบบพ้ืนที่ “โคก หนอง นา โมเดล” มาฝึกปฏิบัติ

จริง ท้าให้เกิดความเข้าใจมากขนึ้ และเกดิ การแลกเปลีย่ นเรยี นรรู้ ะหวา่ งผู้เขา้ อบรมในการออกแบบ เพ่อื สร้าง
หุ่นจ้าลองในกระบะทราย ท้าให้บรรยากาศในกิจกรรมเป็นไปดว้ ยความสนกุ สนาน เกดิ ความสามคั คีช่วยเหลอื
แบง่ งานกันทา้ เพื่อให้การสรา้ งแบบในกระบะทรายเป็นไปตามหลักของการออกแบบเพื่อการจัดการพืน้ ที่ใหใ้ ช้
ประโยชน์ไดส้ ูงสุด
9) ภาพกจิ กรรม

13. วิชา Team Building ฝกึ ปฏิบัตกิ ารบรหิ ารจดั การในภาวะวิกฤต “หาอยู่ หากนิ ”
1) วทิ ยากรและผู้รบั ผิดชอบวิชา

นางสาวภัทธิญา ตกิ จนิ า นกั ทรพั ยากรบุคคล
2) วตั ถปุ ระสงค์

2.1) เพ่ือให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมเข้าใจการพ่ึงตนเองและการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจ้ากัดให้เกิด
ประโยชนส์ งู สุดในการด้ารงชวี ิต

2.2) เพ่อื ให้ผูเ้ ขา้ รบั การฝกึ อบรมรจู้ กั การด้ารงชวี ติ ในภาวะวกิ ฤต/การประสบภยั พบิ ตั ิ
2.3) เพอ่ื ให้ผู้เข้ารบั การฝึกอบรมรู้จักการวางแผนการท้างานเปน็ ทมี ไดฝ้ กึ วนิ ยั และคุณธรรม
2.4) การพงึ่ พาตนเอง และการใชท้ รัพยากรธรรมชาตทิ ่มี อี ยอู่ ยา่ งจ้ากดั ใหเ้ กิดประโยชนส์ งู สุด
2.5) เพอื่ เสรมิ สรา้ งปฏสิ มั พันธ์ การทา้ งานเป็นทมี

3) ประเดน็ /ขอบเขตเนอื้ หา 53

3.1) การท้ากิจกรรมแบบพง่ึ ตนเอง และใช้ทรพั ยากรทมี่ ีอยา่ งจ้ากัดใหเ้ กิดประโยชนส์ ูงสดุ ดา้ รงชวี ิตใน
ภาวะวิกฤต/การประสบภยั พิบตั ิ,วางแผนการทา้ งานเปน็ ทมี ฝึกวินัยและคุณธรรม

3.2) การดา้ รงชีวิตในภาวะวกิ ฤต/การประสบภัยพิบตั ิ
3.3) ร้จู ักการวางแผนการท้างานเป็นทีม ได้ฝึกวนิ ยั และคุณธรรม

3.4) ความหมาย/เป้าหมาย/รปู แบบ/ความส้าคญั Team Building
3.5) กตกิ าการทา้ กิจกรรม

3.6) สภาพพ้นื ท่ีในการด้าเนินกจิ กรรม
3.5) การสรปุ บทเรยี น

4) ระยะเวลา

ระยะเวลารวม 5 ช่วั โมง
5) เทคนคิ และวธิ กี าร

5.1) ลกั ษณะการฝกึ อบรมแบบ work shop
5.2) ชแ้ี จงกฎกติกา

5.3) แบง่ กลุม่
5.4) สรปุ บทเรยี น

6) วสั ดุ /อปุ กรณ์
6.1) อุปกรณ์เครอ่ื งครัวท้ัง 5 กลุ่ม

6.2) อปุ กรณร์ ้องร้าท้าเพลง

6.3) เครอ่ื งปรงุ อาหาร เชน่ น้าปลา กะปี พริก เกลือ และวัตถุดิบท้าอาหาร เชน่ ไก่ หมู ปลา ไขไ่ ก่
6.4) อปุ กรณร์ ับประทานอาหาร เช่น ถ้วย ช้อน จาน ใหเ้ พียงพอทกุ คน

6.5) ไมข้ ดี 5 กลอ่ งๆ ละ 1 ก้าน
6.6) ถา่ นท้าครวั

6.7) ข้าวสาร
6.8) อปุ กรณ์ท้าความสะอาดเคร่ืองครัว เช่น น้ายาลา้ งจาน ฟองน้า กะละมัง

6.9) ขน้ั ตอนและวิธกี ารด้าเนนิ การ
7) ข้ันตอนและวิธกี ารดาเนินการ

7.1) ทีมวิทยากรจัดเตรียมวสั ดุ อปุ กรณ์ เครื่องครวั และวัตถุดบิ ตา่ ง ๆ
7.2) วิทยากรช้ีแจง กฎ กตกิ า พร้อมดว้ ยอธิบายแผนผังในการหาวตั ถุดิบ (ชแี้ จงว่าพ้ืนทไ่ี หนอนุญาต
ตรงไหนไม่อนญุ าต)
7.3) มอบเชื้อเพลงิ ในการจดุ ไฟให้กบั ทุกกลุ่มๆ ละ 1 กลอ่ งๆ ละ 1 กา้ น (ไมข้ ีด ๑ กา้ นต่อ ๑ กลุ่ม)
7.4) มอบอปุ กรณ์เครือ่ งครวั เพ่ือเปน็ อุปกรณใ์ นการประกอบอาหาร เช่น ถว้ ย ชอ้ น กระทะ หมอ้ ฯลฯ
7.5) มอบวตั ถปุ ระกอบอาหาร ไดแ้ ก่ ขา้ วสาร 1 กิโลกรัม ไข่ไก่ 5 ฟอง
7.6) หากผู้เข้าฝกึ อบรมต้องการเคร่อื งปรุงและวตั ถุดบิ เพ่ิมเตมิ ใหผ้ เู้ ข้ารบั การฝึกอบรมแสดง
ความสามารถเพอ่ื แลกวัตถุดบิ (กศุ โลบาย: มีเงินกซ็ อ้ื ไม่ได้ ต้องนาความสามารถมาแลกเพ่อื ใหม้ าซงึ่ ของที่
เราตอ้ งการ)

7.7) ลงมอื ประกอบอาหารรว่ มกนั และหลังจากทา้ อาหารเสรจ้ ส้ินให้เก็บกวาด ทา้ ความสะอาด อปุ กรณ์ 54
และพ้นื ทีใ่ ห้เรยี บรอ้ ย

7.8) เลอื กตวั แทนแตล่ ะกล่มุ เปน็ กรรมการ ตรวจให้คะแนนอาหาร (รสชาติ คณุ ภาพ ความเหมาะสม การ
นา้ ทรัพยากร/วตั ถดุ ิบมาใชป้ ระกอบอาหารอย่างคมุ้ คา่ การอธบิ ายสรรพคุณของวัตถุดิบแตล่ ะอย่าง กลมุ่ ละ 5
นาที

7.9) รบั ประทานอาหารพรอ้ มกัน
7.10) วทิ ยากรสรปุ สง่ิ ทีไดจ้ ากการเรียนรสู้ ง่ิ ที่ได้จากกจิ กรรมนี้ ผ่านเวทีลอ้ มวงชวนคยุ ในประเดน็ ค้าถาม
ดงั ต่อไปนี้

คาถามท่ี 1 : ท่านเห็นอะไร จากการเข้าร่วมกิจกรรมนี้
คาตอบ: 1. ผอู้ บรมได้เรยี นรู้จักความสามัคคี การร่วมแรงร่วมใจในการท้างาน การเออื้ เฟอ้ื เผื่อแผ่ซึ่ง
กนั และกันในสถานการณ์ท่วี ิกฤต

2. การฉวยโอกาสของผู้ประกอบการ (ตลาด) การเปน็ โจรลกั ขโมยของ การกลัน่
แกลง้ จากวิทยากรเพอ่ื ให้เหน็ ถงึ ความยากลา้ บาก ท้าให้ตอ้ งปรับตัวให้ทนั กับสถานการณท์ ี่วกิ ฤต

3. เงินไมส่ ามารถซื้อของได้ในยามวิกฤต
4. พ้ืนทแี่ สดงถึงศกั ยภาพของสมาชกิ กลุ่ม
คาถามท่ี 2 : ท่านไดใ้ ช้ประโยชนจ์ ากพน้ื ทใ่ี นการเข้ารว่ มกิจกรรมนี้อย่างไรบ้าง
คาตอบ: 1. ผอู้ บรมสามารถใช้ประโยชนจ์ ากพื้นที่ของศูนยศ์ ึกษาและพฒั นาชุมชนได้ทั้งหมด เชน่
พืชผักในพื้นที่ 30 ตารางวา ฐานการเรียนร้เู สวยี นยงั ชพี ฐานเรยี นรูห้ นงึ่ งานล้านพอเพียง เป็นตน้
2. ท้าให้ไดเ้ รยี นรูถ้ ึงการใชท้ รัพยากรท่ีมีอยู่อยา่ งจา้ กดั ให้เกิดประสิทธภิ าพสูงสุด
3. การสรา้ งความมั่นคงทางอาหารดว้ ยการจดั การพื้นทใี่ หม้ ปี ระสทิ ธิภาพมากท่ีสดุ
คาถามท่ี 3 : ท่านไดอ้ ะไร จากการเขา้ ร่วมกิจกรรมน้ี
คาตอบ: 1. ผู้อบรมได้รับประสบการณ์ใหมท่ ี่ไม่เคยได้ทดลองท้ามาก่อนผา่ นกจิ กรรม เชน่
การแสดงความสามารถต่าง ๆ เพอ่ื แลกกบั วตั ถดุ บิ ในการปรุงอาหาร ได้เรียนรู้ทักษะการเจรจาตอ่ รอง
2. ได้เห็นมิตรภาพระหว่างกลุ่มสีที่มีความเอ้ือเฟื้อเผื่อแผ่กัน มีความเห็นอกเห็นใจ
ซ่งึ กันและกนั มีการยอมรบั ฟงั ความคดิ เหน็ ซึ่งกนั และกันในระหว่างด้าเนินกิจกรรม
3. ไดเ้ รียนรู้ถึงการบริหารจัดการด้านทรพั ยากรท่ีมอี ยู่ใหเ้ กดิ ประโยชน์สูงสดุ
4. ใช้คนให้เหมาะสมกับงานและตามความถนัด การบริหารจัดการทีมงานผ่านการท้างาน
เปน็ ทีม
คาถามท่ี 4 : ท่านมีการวางแผนหรือบรหิ ารจัดการอยา่ งไร เพือ่ ใหท้ นั ตามเวลาท่กี าหนด
คาตอบ: การแบ่งบทบาทหน้าที่กันท้าตามความสมัครใจและตามความถนัดของแต่ละบุคคล เช่น
มพี ่อครัว แมค่ รัว มีผู้ชว่ ยประกอบอาหาร มีทีมเก็บผัก มีทมี ดาวเต้นดาวยั่วไปแสดงความสามารถเพ่ือ
แลกวตั ถดุ ิบในการประกอบอาหาร มีผนู้ า้ ทคี่ อยบญั ชาการให้กิจกรรมสา้ เรจ็ ลุลว่ งไปด้วยดี
คาถามที่ 5 : ทา่ นประทับใจอะไร จากการเขา้ ร่วมกจิ กรรมนี้
คาตอบ: มคี วามประทับใจในการได้ร่วมแลกเปล่ียนเรียนรู้ผา่ นการทา้ กจิ กรรม เชน่ ไดเ้ ห็นภาพผู้

อบรมฝา่ ยหญิงเป็นผู้หาวตั ถุดิบ และเห็นผอู้ บรมฝา่ ยชายเป็นผู้ประกอบอาหาร ไดร้ บั องคค์ วามรู้ใหม่

เก่ยี วกบั การประกอบอาหาร (หากทุกคนช่วยกนั วชิ าหรือองคค์ วามร้จู ะเกิดขึ้นทนั ที) ประทับใจใน

ความร้รู ักสามัคคี การชว่ ยกันวางแผนงาน ของสมาชิกภายในกลุม่ สี ได้เรยี นรปู้ ระสบการณ์ใหม่ ๆ

ผ่านการทา้ อาหารจากเดิมที่ไมเ่ คยทา้ มาก่อน ประทบั ใจในการเปน็ ภาวะผนู้ ้าและภาวะผตู้ ามที่ดี

8) สรุปเน้อื หาการเรียนรู้ 55
สรปุ บทเรยี นของกิจกรรม
สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของโลกในด้านภัยธรรมชาติท่ีมีความรุนแรงข้ึนทุกวัน ท้าให้ได้

เรียนรู้ถึงการพ่งึ พาตนเองในยามวกิ ฤต ผ่านการจ้าลองสถานการณ์ดังกล่าว เราในฐานะกรมการพัฒนาชุมชน
จ้าเป็นต้องตระหนักในบทบาทหน้าท่ีในการเป็นศูนย์พึ่งพิง มีการสร้างภูมิคุ้มกัน มีการสร้างความมั่นคง
ทางดา้ นอาหาร สรา้ งความรู้ความเข้าใจและสร้างการรบั รู้ที่ดีให้กับประชาชน เพอ่ื ใหส้ ามารถปฏิบัติตนในการ
รองรับภัยพิบัติ พร้อมต้ังรับ ตั้งสติ มีการวางแผนท่ีดีเพ่ือแก้ไขปัญหาในสถานการณ์ท่ีไม่คาดคิด ซ่ึงอาจจะ
เกิดข้นึ ได้ในอนาคต

สรุปผลการเรียนรู้
พบวา่ ผู้เขา้ อบรมส่วนใหญ่มีความสนใจในกระบวนการของกิจกรรม บรรยากาศการท้ากิจกรรม
เปน็ ไปด้วยความสนุกสนาน ฝึกการหาอยู่ หากนิ ใหใ้ ช้ชวี ิตอยูไ่ ด้ในภาวะวกิ ฤตดว้ ยหลกั กสิกรรมธรรมชาติ หา
สงิ่ ท่ีอยู่รอบตัว กนิ อย่างประหยัด พร้อมรับภัยพิบตั ทิ ีเ่ กดิ ขึ้น ทา้ ใหผ้ ้เู ขา้ อบรมเกดิ ความสามคั คีในหมู่คณะ ร้จู กั
การแบ่งปันซ่ึงกันและกัน รู้จักการวางแผนการท้างานเป็นทีม ได้ฝึกวินัยและคุณธรรม รู้จักการพึ่งพาตนเอง
และการใช้ทรพั ยากรธรรมชาติ ท่ีมีอยู่อย่างจ้ากัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตลอดจนผู้เข้าอบรมได้นา้ ทักษะภมู ิ
ปญั ญาไทยมาใชใ้ นกิจกรรม เชน่ การหงุ ขา้ วแบบวธิ เี ช็ดน้า แบบคนสมัยกอ่ นในชนบท ท้าใหผ้ เู้ ข้าอบรมเรียนรู้
ภมู ิปญั ญาการเอาตวั รอด ตลอดจนตระหนักและเหน็ ความสา้ คัญของการมแี หล่งอาหารอยู่ในพื้นท่ี

9) ภาพกิจกรรม

14. วชิ า ถอดบทเรยี นผา่ นส่ือ “วถิ ีภมู ิปญั ญาไทยกบั การพงึ่ ตนเองในภาวะวิกฤต” 56

1) วทิ ยากรและผู้รับผิดชอบวชิ า

นายศภุ กิตต์ รอบรู้ นกั วชิ าการพัฒนาชมุ ชนชา้ นาญการ

2) วัตถุประสงค์

2.1) เพ่ือให้ผู้เรียนได้สังเคราะห์ความรู้ที่ได้รับจากวิทยากรที่ได้มาบรรยายในแต่ละวิชา มาสังเคราะห์

ความรู้ผา่ นการถอดบทเรยี นจากส่อื

2.2) เพื่อใหผ้ ้เู ข้ารบั การฝึกอบรมตระหนกั ถึงความส้าคัญของการนอ้ มนา้ หลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไป

ประยุกตใ์ ช้ในการด้ารงชวี ติ

2.3) เพอื่ สร้างแรงบันดาลใจสู่การเปลีย่ นแนวคดิ ตามวิถภี ูมปิ ญั ญาไทยกับการพง่ึ ตนเอง

3) ประเด็น/ขอบเขตเนอ้ื หา
3.1) การพงึ่ พาตนเองในภาวะวิกฤต
3.2) การนอ้ มนา้ หลกั ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียงไปประยกุ ต์ใช้ในการดา้ รงชวี ติ
3.3) การน้าวิธีภูมิปัญญาไทยมาปรบั ใช้กบั การพึ่งตนเองในการด้ารงชวี ติ

4) ระยะเวลา
ระยะเวลารวม 2 ชัว่ โมง

5) เทคนิคและวธิ กี าร
5.1) ชมส่ือวิดที ัศน์
5.2) วธิ ีการแบ่งกลมุ่ ระดมสมอง รว่ มกนั สงั เคราะหอ์ งคค์ วามรู้
5.3) นา้ เสนอข้อมูลรายกลุ่มตามโจทยท์ ีไ่ ดร้ บั มอบหมาย
5.4) สร้างกระบวนการมสี ่วนร่วมด้วยการถาม-ตอบ

6) วัสดุ /อปุ กรณ์
6.1) สอ่ื วิดีทัศน์ “พอ่ เลย่ี ม บตุ รจันทา” ปลดหนด้ี ว้ ยศาสตรพ์ ระราชา: คนรกั ษ์ป่า
6.2) เคร่ืองคอมพิวเตอร์ เครอ่ื งฉาย และจอภาพ
6.3) กระดาน กระดาษฟลปิ ชารต์ ปากกา กระดาษกาว
6.4) Post-it

7) ขัน้ ตอนและวธิ ีการดาเนินการ
6.1) วิทยากร เกร่ินน้าในประเด็น สถานการณ์วิกฤตในปัจจุบันที่มนุษย์รวมถึงคนไทยก้าลังเผชิญ

การพึ่งตนเองด้วยศาสตร์พระราชา และให้ชมสื่อวิดีทัศน์ของบุคคลตัวอย่างท่ีฝ่าวิกฤตในชีวิตด้วยศาสตร์
พระราชา “พ่อเล่ียม บตุ รจันทา” ปลดหนีด้ ว้ ยศาสตร์พระราชา: คนรกั ษ์ปา่

6.2) วิทยากรสร้างการมีส่วนร่วมแก่ผู้รับการฝึกอบรม โดยใช้วิธีการถาม-ตอบ เพ่ือกระตุ้นให้เกิด
กระกวนการคดิ และกระตือรือร้น ดว้ ยประเดน็ คา้ ถาม “ไดข้ ้อคิด/มุมมองอะไรบา้ ง และจะทา้ อะไรต่อไป”

6.3) วทิ ยากรแจกกระดาษเพ่อื ให้ผู้เข้าอบรมทุกคนได้แสดงความคิดโดยให้เขยี นตอบ ตามประเด็นค้าถาม 57
“ได้ข้อคิด/มุมมองอะไรบ้าง และจะท้าอะไรต่อไป” และน้ากระดาษค้าตอบมาแปะท่ีบอร์ดเพื่อสังเคราะห์
องคค์ วามรู้ร่วมกนั

8) สรุปเน้อื หาการเรยี นรู้
สรุปผลการเรียนรู้ ถอดบทเรียนผ่านส่ือวดิ ีทัศน์ พ่อเล่ียม บุตรจันทา” ปลดหน้ีด้วยศาสตร์พระราชา: คนรักษ์
ป่า จากการสังเคราะห์ความรู้จากประเด็นค้าถาม “ได้ข้อคิด/มุมมองอะไรบ้าง และจะน้าไปปรับใช้อย่างไร”
ของผเู้ ข้ารับการฝกึ อบรม ท้งั 5 กลุม่ สี สรุปได้ดังนี้

ประเดน็ ท่ี 1 ได้ขอ้ และมุมมองอะไรบา้ ง
- การท้าบัญชีครัวเรือน เพ่ือให้รู้จักตนเอง เพราะรู้ตัวเอง ก็จะทราบถึงปัญหา และสามารถ

แก้ไขปญั หาไดอ้ ย่างตรงจดุ
- การวางแผนชวี ิตลว่ งหน้า เพือ่ สามารถพ่งึ ตนเองไดใ้ นภาวะวกิ ฤต
- การปลกู ปา่ 3 อยา่ ง ประโยชน์ 4 อย่าง เพอ่ื ให้ พอกนิ พออยู่ พอใช้ และพอร่มเยน็
- การปฏบิ ัติตนตามทฤษฎีบนั ได 9 ขนั้ สู่ความพอเพียง

ประเดน็ ท่ี 2 นาไปปรับใช้อย่างไร
- ลดการพ่งึ พาปจั จยั ภายนอก หันมาพง่ึ ตนเอง
- ส่งเสริมการใช้ชีวิตดว้ ยศาสตร์พระราชาแกค่ นในชมุ ชน
- เป็นแบบอย่างความส้าเร็จในการน้อมหลักปรัชญของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ใน

การดา้ รงชวี ติ

9) รูปภาพกจิ กรรม

15) วชิ า “กตัญญูตอ่ สถานที่ พฒั นาจติ ใจ ทาบญุ ตกั บาตร” 58

1) วิทยากรและผ้รู ับผดิ ชอบวชิ า
นายเมธาพันธ์ นลิ แกว้ นักทรัพยากรบคุ คลปฏบิ ัติการ

2) วตั ถุประสงค์
เพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรม ได้ฝึกวินัยและคุณธรรม กตัญญูต่อสถานท่ี รู้คุณของท่ีอยู่อาศัย รู้คุณของ

การศึกษาวิชาความรู้ทีท่ ้าให้เราเขา้ สภู่ าวะมีวิชาความรู้ รคู้ ณุ ทงั้ ทปี่ ระกอบอาชีพการงาน

3) ประเด็น/ขอบเขตเนอื้ หา
การท้ากจิ กรรมแบบพ่งึ ตนเอง และใช้ทรัพยากรท่ีมอี ย่างจา้ กดั ใหเ้ กิดประโยชน์สงู สดุ ด้ารงชีวติ ในภาวะ

วกิ ฤติ/การประสบภยั พบิ ัติ วางแผนการทา้ งานเป็นทมี ฝึกวินยั และคณุ ธรรม

4) ระยะเวลา
ระยะเวลารวม 3 ชั่วโมง

5) เทคนิคและวิธกี าร
แบ่งกล่มุ และลงมือปฏบิ ัติ

6) วสั ดุ /อปุ กรณ์
6.1) อุปกรณท์ ้าความสะอาด
6.2) อาหารส้าหรบั พระภิกษุสงฆ์
6.3) ชดุ ตักบาตร

7) ขน้ั ตอนและวิธกี ารดาเนินการ
7.1) วิทยากรช้ีแจงกระบวนการและวัตถปุ ระสงค์ของกิจกรรม
7.2) ทีมวทิ ยากรและผเู้ ขา้ รบั การฝกึ อบรมร่วมกนั จัดสถานท่แี ละท้าความสะอาดพนื้ ทท่ี ้าบญุ ตักบาตร
7.3) ทมี วทิ ยากรและผ้เู ข้ารับการฝึกอบรมรว่ มกันทา้ บุญตักบาตรและฟังเทศน์
7.4) ทุกคนรว่ มกนั เกบ็ สถานที่
7.5) แบ่งกลุ่มทา้ ความสะอาดบริเวณถนนหนา้ ศูนยฯ์ และอาคารอ้านวยการ
7.6) ช่วยกนั เก็บอุปกรณแ์ ละสถานทใ่ี ห้เรยี บรอ้ ย

8) สรุปเนือ้ หาการเรียนรู้
เขา้ รับการฝกึ อบรมรู้จักการวางแผนการทา้ งานเปน็ ทมี ไดฝ้ ึกวินยั และคณุ ธรรม กตญั ญตู ่อสถานที่ รคู้ ณุ ของ

ท่ีอยู่อาศัย รู้คุณของการศึกษาวิชาความรู้ท่ีทา้ ให้เราเข้าสู่ภาวะมีวชิ าความรู้ รู้คุณท้ังที่ประกอบอาชีพการงาน
และสืบสานมรดกวฒั นธรรม และการท้าบุญตักบาตรเพ่มิ ความเปน็ สริ มิ งคลแก่ชวี ติ

9) ภาพกิจกรรม

16) วชิ า การขับเคลื่อนสืบสานศาสตร์พระราชากลไก 357 59

1) วทิ ยากรและผรู้ บั ผิดชอบวิชา
นางประภา ปานนติ ยกุล ต้าแหน่ง ผู้อ้านวยการศูนยศ์ ึกษาและพฒั นาชมุ ชนนครนายก

2) วัตถุประสงค์
2.1) เพอ่ื ให้ผเู้ ขา้ รบั การอบรมได้รับทราบ ตระหนักรแู้ ละเขา้ ใจความหมายท่ีแทจ้ รงิ ของการขบั เคล่ือน

ศาสตรพ์ ระราชาดว้ ยหลกั กลไก 357
2.2) เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมได้มองเห็นถึงการเช่ือมโยงการขับเคล่ือนศาสตร์พระราชาด้วยหลัก

กลไก 357 กบั การขบั เคลอ่ื นงานกรมการพฒั นาชมุ ชน

3) ประเดน็ /ขอบเขตเนอ้ื หา
3.1) กลไกการขบั เคลือ่ นศาสตรพ์ ระราชา กลไก 357
3.2) ปรัชญา 3 ระบบ
3.3) ทฤษฎใี หมก่ วา่ 40 ทฤษฎีตามศาสตร์พระราชา
3.4) แนวทางในการปฏบิ ัติในการใช้ชวี ิตในการท้างานตามศาสตร์พระราชา
3.5) นวตั กรรม เคล็ดวิชากว่า 48,000 นวัตกรรม
3.6) การบรหิ ารแบบคนจน การท้างานแบบคนจน

4) ระยะเวลา
ระยะเวลารวม 1 ชวั่ โมง

5) เทคนิคและวธิ กี าร
5.1) บรรยายประกอบส่ือ Power Point
5.2) ตั้งค้าถามเพ่ือการแลกเปลยี่ นประสบการณ์
5.3) เติมเตม็ ใหข้ ้อคิด และขอ้ เสนอแนะ

6) วสั ดุ /อุปกรณ์
6.1) สื่อ Power Point
6.2) คอมพิวเตอร์ เครื่องฉาย และจอภาพ

7) ขั้นตอนและวธิ ีการดาเนนิ การ
7.1) การน้าเข้าสู่เน้ือหาการขับเคลื่อนสืบสานศาสตร์พระราชาสู่การปฏิรูปประเทศ โดยอัญเชิญพระราช

ด้ารัสของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และ
พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรรามาธบิ ดีศรสี ินทรมหาวชริ าลงกรณ พระวชิรเกลา้ เจ้าอยู่หวั

7.2) การบรรยายเก่ยี วกับหลกั กลไก 357

8) สรุปเนื้อหาการเรยี นรู้
การขับเคลื่อนสืบสานศาสตร์พระราชาเพ่ือการปฏริ ูปประเทศ โดยอัญเชิญพระราชด้ารัสของพระบาทสมเด็จ
พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมพิ ลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพติ ร เก่ียวกบั การน้าปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียง
มาใชใ้ นการพฒั นาประเทศ ความวา่

“..ถ้าท้าโครงการอะไรที่ให้สอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศ ก็จะสามารถสร้างความเจริญให้กับ 60
เขตที่ใหญ่ขึ้นได้ เขตที่ใหญ่ลงท้ายก็จะแผ่ท่ัวประเทศได้ แต่เพื่อการนี้จะต้องมีความร่วมมืออยา่ งดรี ะหวา่ งกนั
ทกุ ฝ่าย ท้ังนกั วิชาการ และนกั ปกครอง ดงั น้ี ถึงบอกว่าเศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่ สองส่งิ นีจ้ ะท้าความ
เจรญิ แกป่ ระเทศได้ แต่ตอ้ งมีความเพยี ร ตอ้ งอดทน ต้องไมใ่ จรอ้ น ต้องไมพ่ ูดมาก ตอ้ งไม่ทะเลาะกนั ถา้ ท้าได้
โดยเขา้ ใจกัน เช่ือว่าทุกคนจะมคี วามพอใจได้”

พระราชดารัสเนื่องในวนั เฉลิมพระชนมพรรษา วันศุกร์ ท่ี 4 ธนั วาคม 2540

“การพัฒนาประเทศจา้ เป็นต้องท้าตามลา้ ดับข้ัน ต้องสร้างพ้ืนฐาน คือ ความ
พอมีพอกิน พอใช้ ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบ้ืองต้นก่อน โดยใช้วิธีการและใช้อุปกรณ์ที่
ประหยัด แต่ถูกต้องตามหลักวิชา เมื่อได้พื้นฐานม่ันคงพร้อมพอควรและปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อย

สร้างเสริมความเจริญและฐานะเศรษฐกิจชั้นท่ีสูงข้ึนโดยล้าดับต่อไป ”
พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยขอนแก่น

วันท่ี 18 กรกฎาคม2517

“...เราไม่เป็นประเทศร้า่ รวย เรามีพอสมควร พออยู่ได้ แต่ไม่เป็นประเทศที่
ก้าวหน้าอย่างมาก เราไม่อยากจะเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก เพราะถ้าเราเป็นประเทศ
ก้าวหน้าอย่างมากก็จะมีแต่ถอยกลับ ประเทศเหล่าน้ันท่ีเป็นประเทศอุตสาหกรรมก้าวหน้า จะ
มีแต่ถอยหลังและถอยหลังอย่างน่ากลัว แต่ถ้าเรามีการบริหารแบบเรียกว่าแบบคนจน แบบท่ี

ไม่ติดกับตา้ รามากเกินไป ท้าอย่างมีสามัคคีน่ีแหละคือเมตตากัน จะอยู่ได้ตลอดไป... ”
พระราชดารัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย
วันท่ี ๔ ธันวาคม ๒๕๓๔

และอัญเชิญพระราชด้ารสั ของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธบิ ดีศรสี นิ ทรมหาวชริ าลงกรณ
พระวชิรเกลา้ เจา้ อยู่หวั ความวา่

“..ขอให้พร และขอพระบารมีแห่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรง
คุ้มครอง ได้ทรงชี้แนะ และปกปักษ์รักษาพวกท่าน เพราะว่าตลอดระยะเวลา 70 ปี ได้ทรงมีพระมหา
กรุณาธิคุณ ได้ทรงปฏิบัติมามาก และหลายอย่างได้พระราชทานพระราชด้าริ และพระราชทานแนวทางไว้ ก็
ขอฝากใหท้ ่านได้ศกึ ษาพระราชด้าริ ศึกษาวเิ คราะห์ พระราชปณิธานและศึกษาพระราชกรณียกิจต่างๆ ท่ีทรง
ปฏิบตั มิ าอันนจ้ี ะเปน็ สิ่งทที่ า้ ให้เป็นสิริมงคลและเปน็ ยิ่งกับพระที่คุ้มครองพวกเรา การปฏิบัตติ ามหรือการระลึก
ถึงพระมหากรุณาธิคุณ ระลึกถึงพระราชด้าริหรือพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิ
พลอดลุ ยเดช นี้จะเปน็ พระ เปน็ แสงสวา่ ง ทคี่ ้มุ ครองหรือแนะนา้ พวกเราตอ่ ไป"

พระราชดารัสพระราชทานเนอื่ งในวโรกาสให้
พล.อ.ประยุทธ์ จนั ทรโ์ อชา นาคณะรฐั มนตรีที่ทรงพระกรุณาโปรกเกล้า
โปรดกระหม่อมแตง่ ต้ังใหม่ จานวน 12 คน เขา้ เฝา้ ทูลละอองธลุ พี ระบาท ถวาย

สตั ยป์ ฏญิ ญาณกอ่ นเข้ารับหน้าท่ี
ณ พระท่ีนัง่ อมั พรสถานพระราชวังดุสิต วันที่ 19 ธนั วาคม 2559

“..ขอให้ค้านึงถึงพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพติ ร 61
ทา่ นรบั สั่งไว้มากมาย ทา่ นทรงปฏบิ ตั ิไวม้ ากมาย ทา่ นไปศกึ ษาพระราชกรณยี กิจ พระราชปณธิ านของพระองค์
ท่าน ก็คงจะเป็นส่ิงที่เป็นแนวทางท่ีดีของประเทศชาติเพ่ือจะสืบสานต่อจากพระราชปณิธานจากพระองค์
แนใ่ จวา่ ประชาชนเขากต็ ้องการแบบนั้น ก็ขอให้โชคดีทกุ คน..”

พระราชดารัสพระราชทานเนือ่ งในวโรกาสให้
พล.อ.ประยทุ ธ์ จันทร์โอชา นาคณะรฐั มนตรีท่ีทรงพระกรุณาโปรกเกล้า
โปรดกระหมอ่ มแตง่ ตั้งใหม่ จานวน 18 คน เข้าเฝา้ ทลู ละอองธุลพี ระบาท ถวาย

สัตย์ปฏญิ ญาณก่อนเข้ารบั หน้าท่ี
ณ พระทน่ี ั่งอมั พรสถานพระราชวังดสุ ิต วันที่ 30 พฤศจกิ ายน2560

การขับเคลื่อนงานสืบสานศาสตร์พระราชาเพอ่ื การปฏิรปู ประเทศต้องอาศัยหลักกลไก
(กลไก357) ประกอบด้วย

3 ระดับได้แก่ ระดับพ้ืนที่/ชุมชนระดับจังหวัด ระดับประเทศ
5 กลไกได้แก่ การประสานงานภาคีเครือข่าย

ก า ร บู ร ณ า ก า ร แ ผ น ง า น แ ล ะ ยุ ท ธ ศ า ส ต ร์
การติดตามประเมินผล
การจัดการความรู้
การส่ือสารทางสังคม
7 ภาคีได้แก่ ภาครัฐ ภาคศาสนา ภาคเอกชน ภาคส่ือสารมวลชน
ภาควิชาการ ภาคประชาชน และภาคประชาสังคม

ผลจากการเรียนรู้ พบว่า ผู้เข้ารับการฝึกอบรมมีความตระหนักรู้และเข้าใจความหมายท่ีแท้จริงของ
การขบั เคลื่อนศาสตรพ์ ระราชาดว้ ยหลักกลไก 357 และเหน็ ความเช่อื มโยงการขบั เคลอื่ นศาสตร์พระราชาด้วย
หลกั กลไก 357 กบั การขบั เคลื่อนงานกรมการพัฒนาชมุ ชน

17) วิชา จัดทาและนาเสนอแผนปฏิบัติการ “ยุทธศาสตร์การขับเคล่ือนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่
การปฏบิ ตั ิ”

1) วทิ ยากรและผรู้ บั ผดิ ชอบวชิ า
นางประภา ปานนติ ยกลุ ตา้ แหน่ง ผอู้ ้านวยการศูนย์ศกึ ษาและพฒั นาชุมชนนครนายก

2) วตั ถปุ ระสงค์
เพอื่ ให้มแี นวทางและเป้าหมายในการขบั เคลื่อนหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งทสี่ อดคลอ้ งกบั บริบทพื้นที่

3) ประเด็น/ขอบเขตเนอื้ หา
3.1) ศาสตรพ์ ระราชา วิเคราะหบ์ ริบทพื้นที่
3.2) กา้ หนดวธิ กี ารแกไ้ ขปญั หาในแตล่ ะพื้นท่ี
3.3) ก้าหนดยุทธวิธใี ชก้ ลยทุ ธ์ในการสร้างการเรียนรู้ ใชฐ้ านการเรียนรู้เป็นเคร่ืองมอื
3.4) ก้าหนดยทุ ธศาสตรก์ ารขบั เคล่ือนปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียงสู่การปฏิบตั ิในสถานที่จริง

4) ระยะเวลา 62

ระยะเวลารวม 2 ชั่วโมง

5) เทคนคิ และวิธกี าร

5.1) ฝกึ ปฏิบัตกิ ารจัดท้ายุทธศาสตร์อยา่ งงา่ ย

5.2) น้าเสนอ และแลกเปลย่ี นเรยี นรู้

6) วสั ดุ /อุปกรณ์

6.1) คอมพวิ เตอร์จอภาพ และเคร่ืองฉาย

6.2) คลิปวิดโี อ

6.3) ฟลปิ ชาร์ท

6.4) ปากกาเคมี

7) ขน้ั ตอนและวธิ ีการดาเนนิ การ

7.1) วิทยากรบรรยายเรื่องการจัดท้า “ยุทธศาสตร์การขับเคล่ือนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่การ

ปฏิบตั ิ”

7.2) วิทยากรให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมแบ่งกลุ่มฝึกปฏิบัติการจัดท้ายุทธศาสตร์อย่างง่าย โดยแบ่งกลุ่มตาม

รายจงั หวดั

7.3) ตัวแทนกลุ่มน้าเสนอยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี งสู่การปฏิบัติ และรับฟงั

ข้อเสนอแนะจากวทิ ยากร แบ่งเป็น 5 กลุ่ม ในพ้ืนที่ 12 ต้าบล ของอ้าเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก

ซง่ึ มีการจัดทา้ และเสนอแผนยุทธศาสตรก์ ารขบั เคลื่อนปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียงส่กู ารปฏิบตั ิ ดังนี้

กลุ่มที่ 1 ประกอบด้วย 4 ต้าบล ของอ้าเภอเมือง จังหวัดนครนายก ได้แก่ ตา้ บลสารกิ า ต้าบลหนิ ตั้ง

ต้าบลศรนี าวา และตา้ บลบ้านใหญ่

ยทุ ธศาสตร์ “1 หม่บู า้ น 1 ครอบครัวต้นแบบจงั หวดั นครนายก”

1.ใคร ครวั เรือนตน้ แบบการพฒั นาคณุ ภาพชีวิต (HLM) ในพน้ื ที่ และนกั พฒั นาพน้ื ทีต่ ้นแบบฯ

ตา้ บลสาริกา ต้าบลหนิ ต้ัง ตา้ บลศรนี าวา และต้าบลบ้านใหญ่

2.ทา้ อะไร พฒั นาพืน้ ที่ตน้ แบบตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยกุ ต์สู่ “โคก หนอง นา โมเดล”

ครัวเรอื นตน้ แบบการพฒั นาคณุ ภาพชวี ิต (HLM) ในพนื้ ทต่ี า้ บลสาริกา ตา้ บลหินตงั้ ต้าบลศรนี าวา

และต้าบลบ้านใหญ่

3.ท้าท่ีไหน แปลงพ้นื ท่ีของครวั เรอื นตน้ แบบการพัฒนาคณุ ภาพชีวติ (HLM) ในพ้ืนท่ี ตา้ บลสาริกา ตา้ บลหิน

ตง้ั ตา้ บลศรีนาวา และต้าบลบา้ นใหญ่

4.ทา้ อย่างไร 1) ทา้ ตามศาสตร์พระราชา หลกั ทฤษฎีใหม่ หลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง หลกั กสิกรรม

ธรรมชาติ ทฤษฎีบนั ได 9 ข้ันสู่ความพอเพยี ง

3) พฒั นาพ้ืนทต่ี ้นตามแบบภูมสิ ังคมของพน้ื ท่ตี นเอง

4) กิจกรรมเอาม้ือสามัคคี

5) ต้งั กลุม่ เครอื ข่ายดา้ เนินงานในพน้ื ที่ เช่น ช่องทางไลน์

6) จัดการความรู้ทไี่ ด้ และเผยแพรผ่ ลงาน

5.ทา้ กบั ใคร 1) ครอบครัวต้นแบบในต้าบล

2) ประชาชนที่สนใจ

3) 7 ภาคีเครอื ขา่ ย ไดแ้ ก่ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคศาสนา ภาควชิ าการ ภาคประชาสังคม ภาค 63

ประชาชน และภาคสือ่ มวลชน

6.ท้าไมตอ้ งทา้ น้อมนา้ ศาสตรพ์ ระราชา เพ่ือพงึ่ พาตนเอง ใหไ้ ปสู่ความม่ันคง ม่งั คง่ั ยง่ั ยนื

7.ทา้ แล้วได้อะไร เพ่ือความเปน็ อยทู่ ่ดี ีขนึ้ เพ่มิ รายได้ ลดรายจ่าย

ยุทธวธิ ี 1.การประสานงานภาคีเครอื ขา่ ย : ตง้ั กลุม่ เครอื ข่าย ชอ่ งทางประสานงานระหวา่ งกนั

“ต้นกล้าที่ 2.บรู ณาการแผนงานและยทุ ธศาสตร์ : ก้าหนดแผนการขับเคลื่อนรว่ มกนั

แขง็ แกรง่ ” 3.การติดตามและประเมินผล : ติดตามและประเมนิ ผลการด้าเนนิ งานโครงการ กอ่ น ระหว่าง

และหลงั ดา้ เนนิ การ

4.การจดั การความรู้ : จัดเวทีถอดองค์ความรูท้ ีไ่ ด้ขับเคลื่อนกิจกรรม

5.การสือ่ สารสงั คม : จัดท้าสอื่ ประชาสมั พนั ธ์ เผยแพรผ่ ลงานกิจกรรมทดี่ า้ เนนิ การ

กลุ่มที่ 2ประกอบด้วย3 ตา้ บลของอา้ เภอเมืองจังหวัดนครนายกได้แก่ ตา้ บลดงละครตา้ บลดอนยอ

ยทุ ธศาสตร์ “ความรคู้ คู่ ุณธรรม”

1.ใคร ครัวเรือนต้นแบบการพฒั นาคณุ ภาพชีวิต (HLM) ในพ้นื ท่ี และนกั พัฒนาพื้นที่ตน้ แบบฯ

2.ท้าอะไร 1.ตั้งคณะท้างานขับเคลือ่ นในระดับพื้นท่ี

2.วางแผนการขับเคล่อื นงาน

3.พัฒนาพนื้ ทตี่ น้ แบบฯ ระดับ HLM และถา่ ยทอดความรใู้ ห้ครัวเรอื นอ่นื

4.สร้างเครอื ขา่ ย และเผยแพร่ประชาสัมพันธก์ ิจกรรม

3.ทา้ ท่ไี หน แปลงพ้ืนท่ีของครวั เรอื นตน้ แบบการพฒั นาคณุ ภาพชีวติ (HLM) ในพื้นที่

4.ทา้ อย่างไร 1) ทา้ ตามศาสตรพ์ ระราชา เชน่ ปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อยา่ ง, ปลกู ปา่ 5 ระดับ

2) ดา้ เนินการตามหลักกสกิ รรมธรรมชาติ

3) พฒั นาพื้นทตี่ น้ แบบตามหลกั การออกแบบภมู ิสงั คม, กจิ กรรมเอามือ้ สามคั คี

4) ต้ังกลุ่มเครือขา่ ยดา้ เนินงานในพ้นื ที่ เช่น ชอ่ งทางไลน์

5) จัดการความรู้ทไ่ี ด้ และเผยแพรผ่ ลงาน

5.ท้ากบั ใคร 7 ภาคเี ครอื ข่าย ได้แก่ ภาครฐั ภาคเอกชน ภาคศาสนา ภาควชิ าการ ภาคประชาสงั คม ภาค

ประชาชน และภาคสือ่ มวลชน

6.ทา้ ไมตอ้ งทา้ -แกไ้ ขปัญหาความแห้งแล้ง ความยากจน

-สรา้ งรากฐานให้คนในชมุ ชนมคี วามเขม้ แข็ง สามารถพ่งึ ตนเองได้

7.ท้าแล้วไดอ้ ะไร สรา้ งงานสรา้ งรายได้ ได้ภูมคิ มุ้ กนั ทดี่ ี เพื่อให้เกดิ ความสุข และความย่ังยนื

ยุทธวธิ ี 1.การประสานงานภาคเี ครือข่าย : ตง้ั กลมุ่ เครอื ข่าย ชอ่ งทางประสานงานระหวา่ งกัน

“ดอกไมล้ ่อ 2.บูรณาการแผนงานและยุทธศาสตร์ : ก้าหนดแผนการขบั เคลอ่ื นร่วมกัน

แมลง” 3.การติดตามและประเมนิ ผล : ติดตามและประเมนิ ผลการดา้ เนนิ งานโครงการ กอ่ น ระหวา่ ง

และหลังดา้ เนนิ การ

4.การจัดการความรู้ : จัดเวทถี อดองค์ความร้ทู ไ่ี ด้ขบั เคล่ือนกจิ กรรม

5.การส่อื สารสังคม : จดั ท้าสอื่ ประชาสัมพนั ธ์ เผยแพร่ผลงานกจิ กรรมทดี่ า้ เนนิ การ

กล่มุ ท่ี 3 ประกอบดว้ ย 3 ต้าบล ของอา้ เภอเมือง จงั หวัดนครนายก ไดแ้ ก่ ตา้ บลเขาพระ 64

ตา้ บลทา่ ช้าง และตา้ บลพรหมณี

ยทุ ธศาสตร์ “ดาวกระจาย”

1.ใคร ครัวเรอื นตน้ แบบการพัฒนาคุณภาพชีวติ (HLM) ในพ้ืนท่ี และนักพฒั นาพื้นที่ตน้ แบบฯ

ต้าบลเขาพระ ต้าบลท่าชา้ ง และต้าบลพรหมณี

2.ท้าอะไร 1.ประสานงานสมาชิก HLM ต้าบลเขาพระ ตา้ บลทา่ ชา้ ง และตา้ บลพรหมณี

2.วางแผนการขับเคลอื่ นงาน ความพรอ้ มและการลงมือปฏบิ ัติ โคก หนอง นา โมเดล

3.พัฒนาพน้ื ทีต่ น้ แบบฯ ระดับครวั เรือน ทง้ั 3 ต้าบล

4.สรา้ งเครอื ขา่ ย ผ่านกิจกรรมเอามือ้ สามัคคี

5.สอ่ื สาร เผยแพร่ประชาสัมพนั ธก์ จิ กรรม

3.ท้าที่ไหน แปลงพน้ื ที่ของครวั เรือนต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิต (HLM) ในพ้ืนท่ี ต้าบลเขาพระ

ตา้ บลท่าช้าง และต้าบลพรหมณี

4.ท้าอย่างไร 1) สอื่ สารระหว่างสมาชิก มกี ารวางแผนการทา้ งานเชื่อมโยงกันระหว่าง 3 ตา้ บล

2) ส้ารวจ เก็บขอ้ มลู พ้นื ท่ี ของสมาชิก HLM

3) ปรับรูปแบบแปลงพ้ืนท่ี HLM, กิจกรรมเอามอ้ื สามคั คี

4) ตั้งกลมุ่ ไลนข์ องสมาชิก HLM

5) ด้าเนินการตดิ ตามประเมนิ ผลการขบั เคลอ่ื นงานของสมาชิก HLM

6) จัดการความรู้ที่ได้ และเผยแพรผ่ ลงาน ผ่านทาง Line วิทยุชุมชน Facebook

5.ทา้ กับใคร 1) สมาชิกในกลุ่ม ครวั เรือนต้นแบบการพฒั นาคุณภาพชวี ิต (HLM) ต้าบลเขาพระ ต้าบลท่าช้าง

และต้าบลพรหมณี

2) 7 ภาคีเครือขา่ ย ได้แก่ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคศาสนา ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม ภาค

ประชาชน และภาคส่ือมวลชน

6.ท้าไมตอ้ งทา้ -เพอื่ สรา้ งเครือขา่ ยการทา้ งานร่วมกันในพ้นื ที่ HLM

-สร้างตวั อยา่ ง Model ท่สี ้าเรจ็ พรอ้ มในการเปน็ แหล่งเรียนรู้ในชมุ ชน

-ฝกึ ปฏบิ ตั ิ เพ่ิมทกั ษะ ความช้านาญ ด้านการเกษตร ปราชญ์ชุมชน

7.ท้าแลว้ ไดอ้ ะไร ได้เครือข่ายท่ตี ่อเนือ่ ง มคี วามรกั ความสามัคคีตอ่ กันในครอบครัวและชมุ ชน

ยุทธวิธี 1.การประสานงานภาคเี ครอื ขา่ ย : ต้ังกลุ่มเครือข่ายประสานงานระหวา่ งกนั

“กระจาย 2.บูรณาการแผนงานและยุทธศาสตร์ : ก้าหนดแผนการขับเคล่อื นรว่ มกันระหวา่ ง 3 ต้าบล

เครือขา่ ย 3.การตดิ ตามและประเมินผล : ติดตามและประเมนิ ผลการด้าเนนิ งาน กอ่ น ระหว่าง และหลัง

เช่ือมโยงกัน) ดา้ เนนิ การ

4.การจดั การความรู้ : จัดเวทถี อดองคค์ วามร้ทู ี่ได้ขับเคลื่อนกิจกรรม

5.การส่ือสารสงั คม : จัดทา้ ส่ือประชาสมั พนั ธ์ เผยแพรผ่ ลงานกจิ กรรมท่ดี ้าเนินการ

กลุ่มที่ 4 ตา้ บลท่าทราย อา้ เภอเมอื ง จังหวัดนครนายก 65

ยุทธศาสตร์ “ปราบความจน”

1.ใคร ครัวเรอื นต้นแบบการพัฒนาคณุ ภาพชีวิต (HLM) ในพ้นื ที่ และนักพัฒนาพ้นื ทีต่ น้ แบบฯ ทไ่ี ด้เข้า

ร่วมโครงการ

2.ท้าอะไร 1. วางแผนงานในพนื้ ท่ี

2. พฒั นาพืน้ ทีต่ น้ แบบฯ ระดับ HLM ตามหลกั ทฤษฎีใหม่

3. ถา่ ยทอดความรู้

4. น้าผลผลติ ท่ไี ด้จากพ้นื ท่มี าแปรรปู และนา้ ส่ตู ลาด

5.สรา้ งเครอื ข่ายในพนื้ ที่

3.ท้าทไ่ี หน แปลงพ้นื ท่ีของครัวเรือนตน้ แบบการพฒั นาคุณภาพชวี ิต (HLM) ในพน้ื ที่

4.ทา้ อย่างไร 1) จัดตั้งกลมุ่ เครือข่ายครัวเรอื นต้นแบบ HLM

2) พฒั นาพนื้ ท่ตี ้นแบบฯ

3) ปลูกป่า 3 อยา่ ง ประโยชน์ 4 อย่าง, กิจกรรมเอามือ้ สามัคคี

4) วางแผนน้าผลผลิตท่ีได้มาแปรรูป และจดั การด้านการตลาด

5) ตัง้ กล่มุ เครือข่ายดา้ เนินงานในพืน้ ที่ เช่น ช่องทางไลน์

5) จัดการความรู้ท่ีได้ และเผยแพรผ่ ลงาน

5.ท้ากบั ใคร 1) คนในชุมชน

2) 7 ภาคีเครือขา่ ย ได้แก่ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคศาสนา ภาควิชาการ ภาคประชาสงั คม ภาค

ประชาชน และภาคสื่อมวลชน

6.ทา้ ไมตอ้ งทา้ -เพอื่ สรา้ งความเปน็ อย่ทู ี่ดขี องครัวเรอื น สามารถพึง่ พาตนเองได้

-สรา้ งรากฐานให้คนในชุมชนมีความเขม้ แข็ง

7.ทา้ แล้วได้อะไร ครอบครัวมคี วามสุข ชมุ ชนมคี วามม่ันคง และเขม้ แข็ง

ยทุ ธวิธี 1.การประสานงานภาคเี ครอื ขา่ ย : ตั้งกลมุ่ เครือข่าย คณะท้างานแตล่ ะระดบั

“ชวี ิตแมงมุม” 2.บรู ณาการแผนงานและยทุ ธศาสตร์ : ก้าหนดแผนตามแนวทางโครงการ

3.การติดตามและประเมินผล : ติดตามและประเมินผลการด้าเนนิ งานโครงการ

4.การจัดการความรู้ : ถอดองค์ความรทู้ ่ไี ด้จากงานทที่ ้า

5.การส่ือสารสงั คม : จัดทา้ ส่ือประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ผลงานกิจกรรมท่ดี า้ เนนิ การ

กลุ่มท่ี 5 ประกอบด้วย 2 ต้าบล ของอ้าเภอเมอื ง จังหวดั นครนายก ไดแ้ ก่ ตา้ บลวงั กระโจม และ

ต้าบลศรีจุฬา

ยทุ ธศาสตร์ “สังหารต้นเปรีย้ ว”

1.ใคร ครัวเรือนตน้ แบบการพฒั นาคุณภาพชีวิต (HLM) ในพ้ืนที่ ท่ีไดเ้ ข้ารว่ มโครงการ ตา้ บลวังกระโจม

และต้าบลศรีจฬุ า

2.ทา้ อะไร 1. พฒั นาพนื้ ทต่ี น้ แบบฯ ระดับ HLM

3. ถา่ ยทอดความรู้ ตามหลกั กสิกรรมธรรมชาติ หลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง

4. น้าผลผลติ ทไ่ี ด้จากพน้ื ทีม่ าแปรรปู และนา้ สตู่ ลาด

5.สร้างเครอื ข่ายในพืน้ ที่

3.ท้าทีไ่ หน แปลงพื้นท่ีครวั เรือนตน้ แบบการพฒั นาคุณภาพชวี ติ (HLM) ต้าบลวงั กระโจม และตา้ บลศรีจฬุ า 66
4.ทา้ อย่างไร 1) จดั ต้งั กลุ่มเครอื ขา่ ยครวั เรอื นต้นแบบ HLM

2) พัฒนาพ้นื ทีต่ ้นแบบฯ โดยเนน้ ตามภมู สิ ังคมของพ้ืนท่ี HLM ในการแกป้ ัญหาดินและนา้ โดยน้า
หลกั ทฤษฎีใหมม่ าประยุกตใ์ ช้
3) สร้างเครอื ขา่ ยในชมุ ชน เชญิ ชวนคนที่สนใจมารว่ มกิจกรรมเอาม้อื สามัคคี
4) จัดการความรู้ในพ้นื ที่
5) เผยแพร่งานกิจกรรมทางชอ่ งทางตา่ งๆ
5.ทา้ กบั ใคร 1) ผนู้ า้ ชุมชนในพืน้ ท่ี
2) ประชาชนท่เี กี่ยวข้อง
3) 7 ภาคีเครอื ข่าย ไดแ้ ก่ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคศาสนา ภาควชิ าการ ภาคประชาสงั คม ภาค
ประชาชน และภาคสือ่ มวลชน
6.ทา้ ไมตอ้ งท้า -เพอ่ื แกป้ ัญหาดนิ และน้า
-มีผลผลติ ทเ่ี พยี งพอในการดา้ รงชพี และสร้างรายได้
7.ท้าแล้วได้อะไร สามารถพ่งึ พาตนเองได้ ชุมชนมคี วามมัน่ คง มง่ั ค่ัง ย่ังยนื
ยุทธวิธี 1.การประสานงานภาคเี ครอื ข่าย : สรา้ งเครือขา่ ยสมาชกิ HLM ในพ้ืนที่
“เขา เรา ฟ้าดนิ 2.บรู ณาการแผนงานและยุทธศาสตร์ : ท้าแผนเชื่อมโยงกันในพน้ื ท่ี
สถานการณ์ 3.การตดิ ตามและประเมนิ ผล : ตดิ ตามและประเมินผลการด้าเนินงานโครงการ
เพมิ่ พูนความรู้ 4.การจัดการความรู้ : บนั ทึกองค์ความรทู้ ี่ไดจ้ ากการด้าเนนิ งาน
เพือ่ ความยง่ั ยืน” 5.การสือ่ สารสงั คม : เผยแพร่ผลงานกจิ กรรมทดี่ า้ เนินการ ผ่านช่องทางสื่อสารต่างๆ

8) สรปุ ผลการเรยี นรู้
ยุทธศาสตร์การขับเคลอ่ื นปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งสู่การปฏบิ ตั ิ คือ การก้าหนดเป้าหมายใน

การขับเคล่ือนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยท่ีปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาใหม่ในการพัฒนา
มนุษย์ ให้เปลี่ยน Mindset ใหม่ จากมุ่งแข่งขัน มาเป็นการมุ่งสร้างสรรค์ และแบ่งปัน หัวใจส้าคัญ คือ
พระราชด้ารัส “Our Loss is our Gain” ย่ิงให้ไป ยิ่งได้มา ดังนั้น การพัฒนาต้องเป็นไปเพื่อสร้างขบวนการ
“จติ อาสา” พรอ้ มนา้ ศาสตร์พระราชาไปแก้ไขปญั หา ซึง่ การขับเคลื่อนปรัชญาใหม่ ทย่ี ัง่ ยืน คอื การกา้ วไปดัก
หน้า Technology 5.0 ต้องเอื้อต่อการบูรณาการและการสร้างส่ิงใหม่ในระบบโครงสร้าง ต้องมีภารกิจบ่ม
เพาะศาสตร์พระราชาให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง ต้องน้าศาสตร์พระราชาไปใช้ในการพัฒนาประเทศ ต้องมี
ยุทธศาสตร์การส่อื สาร มีการวัดผลใหมด่ ้วยการวัดผลทเี่ ป้าหมาย

เม่ือก้าหนดยุทธศาสตร์หรือเป้าหมายแล้ว ส่ิงต่อไปที่จะต้องก้าหนด คือ ยุทธวิธี คือ วิธีการ
ขับเคลอ่ื นงาน โดยยทุ ธวิธีการดา้ เนนิ งาน โคก หนอง นา โมเดล มุง่ เน้นการสืบสานศาสตร์พระราชา รกั ษาภูมิ
ปัญญาท้องถ่ินและต่อยอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมท่ีเหมาะสมด้วยการฟื้นฟูทรัพยากรดิน น้า ป่า นิเวศ
วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น เพ่ือมุ่งสู่การผลิตใหม่ ระบบสหกรณ์ เขตเศรษฐกิจพิเศษแบบพอเพียง
และเช่ือมโยงธุรกิจจากข้นั พื้นฐานสู่ขั้นก้าวหนา้ เพอ่ื ยกระดบั เศรษฐกิจฐานรากชมุ ชน

67

จากการฝกึ ปฏบิ ัตแิ ละนา้ เสนอการจัดท้ายุทธศาสตร์การขับเคล่ือนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

ส่กู ารปฏบิ ตั ิ สรุปไดด้ ังนี้

ท่ี ยุทธวธิ ี
1 การประสานงานภาคีเครือข่าย

1. จัดต้ังเครือข่ายการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่การปฏิบัติ ต้ังแต่ระดับชุมชน
ต้าบล อา้ เภอ และจังหวดั
2. มุ่งเน้นการมีส่วนร่วม 7 ภาคีเครือข่าย ได้แก่ ภาครัฐ ภาคศาสนา ภาคเอกชน ภาค
ส่อื สารมวลชน ภาควชิ าการ ภาคประชาชน และภาคประชาสงั คม
ท่ี ยุทธวธิ ี
3. จัดกจิ กรรมเอามื้อสามคั คี ระดับตา้ บล อา้ เภอ และจงั หวัด
2 การบูรณาการแผนงานและยทุ ธศาสตร์
1. การดา้ เนินงานยึดหลักการทา้ งานตามศาสตร์พระราขา ท้งั ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบตั ิ
2. เป้าหมายเป็นการแก้ไขปัญหาสง่ิ แวดล้อม เศรษฐกจิ สงั คม และการเมอื ง
3. การพัฒนาคณุ ภาพชวี ิตประยกุ ต์ตามหลกั ทฤษฎใี หม่
4. การพัฒนาและยกระดับสู่การทอ่ งเท่ียวมุง่ สู่ความมั่นคง มง่ั ค่ัง และย่ังยืน
5. มุ่งแก้ไขปญั หาความยากจน
3 การตดิ ตามและประเมนิ ผล
1. ติดตามประเมินผลโดยตงั้ คณะทา้ งานติดตามในพนื้ ท่ี
4 การจัดการความรู้
1. มีการจดบนั ทกึ องคค์ วามรจู้ ากการปฏิบัติ
2. มีการจดั การความรู้ โดยสมาชกิ HLM
3. ทมี วทิ ยากร (นักพฒั นาพ้ืนที่ต้นแบบ) และปราชญช์ มุ ชน ท้าหน้าที่จดั การความรู้
5 การส่ือสารสังคม
1. มกี ารสร้างการรับรูผ้ า่ นช่องทาง Youtube, Facebookและส่ือทอ้ งถิ่น

2. จดั งานอเี วนทต์ ่าง ๆ เพ่อื ประชาสมั พนั ธ์ผลการดา้ เนนิ งาน 68
3. ผู้น้าชมุ ชนมบี ทบาทส้าคัญในการสรา้ งการรับรสู้ สู่ าธารณชน
4. ประชาสัมพันธโ์ ดยใช้เครอื ขา่ ยประชาสมั พันธ์จงั หวดั
5.ถา่ ยทอดความรู้สเู่ ครอื ข่าย โดยผา่ นกิจกรรมฐานเรยี นรแู้ ละเอาม้อื สามคั คี
6. สร้างภาพลกั ษณใ์ ห้น่าสนใจ และทา้ ใหเ้ ป็นท่รี ู้จัก

ดังน้ัน จากการฝึกปฏิบัติและน้าเสนอยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่การ
ปฏบิ ัติ ทา้ ให้ผู้เข้ารบั การอบรมฯ ได้ร่วมกนั กา้ หนดยุทธศาสตร์และยุทธวธิ กี ารขับเคล่ือนหลกั ปรชั ญาเศรษฐกิจ
พอเพยี งท่เี หมาะสมกับแต่ละบริบทพ้ืนที่ครอบคลุม ทัง้ 5 ยทุ ธวธิ ีทจ่ี ะสง่ ผลใหก้ ารขับเคลื่อนปรัชญาเศรษฐกิจ
พอเพียงสู่การปฏิบัติประสบผลส้าเร็จได้ และได้วิเคราะห์จุดตายของโครงการพัฒนาพ้ืนที่ต้นแบบการพัฒนา
คุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ “โคก หนอง นา โมเดล”เพ่ือจะประโยชน์ต่อการก้าหนดแนว
ทางการดา้ เนินโครงการต่อไป

9) ภาพกจิ กรรม

- รนุ่ ท่ี 2 – 69

1. วชิ ากิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์และปรบั ฐานการเรยี นรู้

วทิ ยากรหลัก นายเมธาพันธ์ นลิ แก้ว นักทรพั ยากรบุคคลปฏิบัติการ

นางสาววชิรญาณ์ แย้มเย้ือน นักทรัพยากรบคุ คล

1) วัตถุประสงค์

เพือ่ ใหส้ ามารถท้าความรู้จักกนั สานสมั พนั ธท์ ่ดี ีระหวา่ งวิทยากรกับผอู้ บรม และผอู้ บรมกบั

ผู้อบรม พรอ้ มทั้งสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ เตรียมความพรอ้ มผู้อบรมก่อนเข้าสบู่ ทเรยี น

2) ประเดน็ เนอื้ หา

2.1 แนะน้าวิทยากร

2.2 สรา้ งความคุ้นเคย

2.3 ก้าหนดกติกา/ถอดวางตา้ แหนง่ /กา้ หนดอายใุ นการเรยี นรู้/ปรบมือเชิงสญั ลักษณ์

(ปรบมือใสร่ หสั )

2.4 แบง่ กลมุ่ สี

2.5 มอบหมายหน้าที่

2.6 การรับผา้ สีและปฏิญาณตน

2.7 ความคาดหวงั

2.8 สรปุ การเรียนรู้

3) ระยะเวลา 1 ชว่ั โมง

4) วิธีการ/เทคนิค

4.1 กิจกรรมสมั พันธ์ (เพลงและเกมส)์

4.2 สื่อ Power Point บรรยาย

4.3 กระตุน้ ดว้ ยคา้ ถามและแลกเปลีย่ นความคดิ เหน็

4.4 สรปุ การเรยี นรู้

5) วัสดุ / อุปกรณ์

5.1 สื่อ Power Point /ไมโครโฟน/อุปกรณป์ ระกอบจังหวัด

5.2 ผ้าพันคอตามกล่มุ สี (แดง น้าเงนิ ชมพู เขียว เหลือง)

5.3 บตั รค้า/ปากกาเคมี

6) ข้ันตอน / วธิ ีการ

1. วทิ ยากรจดั รปู แบบการนัง่ ของผเู้ ข้ารบั การอบรมเป็นตวั U

2. วิทยากรเรม่ิ ตน้ โดยการแนะน้าตนเอง

3. เรมิ่ กิจกรรมละลายพฤตกิ รรม โดยกิจกรรมการถอดหวั โขน พูดคุยพบปะ สรา้ งบรรยากาศ

ใหเ้ กิดความผ่อนคลาย สรา้ งความคุน้ เคย หลงั จากน้นั วิทยากรให้ผู้เข้ารบั การฝึกอบรมยกมือขวาขึน้ พรอ้ ม

กบั จนิ ตนาการว่าก้าลงั ถอดหัวโขน (ยศ/ตา้ แหนง่ /อืน่ ๆ) แล้วขว้างออกไปยังหมอ้ ดนิ ท่วี ทิ ยากรถืออยหู่ นา้ เวที

เพ่อื ให้เกิดความรู้สึกว่าทกุ คนมีความเท่าเทียมกนั เกดิ ความเป็นกันเองมากขึ้น จากนั้นวิทยากรจะสอบถามอายุ

ดา้ เนินการลดอายผุ ู้เข้าร่วมอบรมใหม้ อี ายุเท่ากันทกุ คน เพื่อให้เหมาะสมกบั การท้ากิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้ 70
หลกั 3ค (คึกคัก คล่องแคลว่ ครนื้ เครง)

4.วิทยากรสร้างสญั ลักษณ์รว่ มกนั ดว้ ยการปรบมอื โดยมีคา้ สัง่ ว่า
“ใส่รหัส... (ค้าสง่ั )

สาม สอง หนึง่ จากนนั้ ใหผ้ ู้เข้าอบรมปรบมือหลงั สนิ้ ค้าส่งั เปน็ จังหวะ สาม สาม เจ็ด ตอ่ ด้วย
(ค้าสั่ง........เช่น ใส่รหัส สวัสดี ให้ ปรบมือ 123 123 1234567 ตามด้วยคาว่า “สวัสดี”)
วิทยากรทา้ การทดสอบโดยใหผ้ ู้เขา้ อบรมท้าตามค้าสั่งการใสร่ หสั

5. วิทยากรเขา้ สู่การสรา้ งบรรยากาศการมสี ว่ นร่วมดว้ ยเพลง
เพลง ปรบมอื 5 ครัง้

“ปรบมือ 5 ครงั้ (12345) ปรบใหด้ ังกว่าน้ี (12345)
ปรบใหม่อกี ที (12345) ปรบให้ดีกวา่ เดิม (12345)”

และเพลง ปรบมือ ปรับ ปรบั ปรบั
ปรบมือดงั ปรับ ปรับ ปรับ
กระทบื เทา้ ดงั ปงั ปัง ปงั

ลกุ ขึน้ ยืนแล้วน่งั ลกุ ขึ้นยนื แล้วนัง่
กระทบื เทา้ ดงั ปงั ปัง ปงั

แล้วปรบมอื ดงั ปรบั ปรับ ปรบั
โดยวทิ ยากรออกค้าส่ังในรอบท่ี ๑ ใหผ้ อู้ บรมทา้ ท่าทางตามบทเพลง เช่น ออกค้าสั่งปรบมือ ให้ผู้อบรม
ท้าการปรบมือ ออกค้าส่ังกระทืบเท้าให้ผู้อบรมกระทืบเท้า ฯลฯ พร้อมท้าท่าประกอบไปจนจบเนื้อเพลง ใน
รอบท่ี ๒ วิทยากรให้ผู้อบรมท้าท่าทางตามบทเพลงเช่นเดิม แต่ในรอบนี้ให้ท้าท่าทางสลับกับเน้ือเพลง เช่น
ออกค้าส่ังปรบมือ ให้ผู้อบรมท้าการกระทืบเท้า ออกค้าสั่งกระทืบเท้าให้ผู้อบรมปรบมือ ฯลฯ พร้อมท้าท่า
ประกอบไปจนจบเน้อื เพลง จากนั้นวิทยากรช่วยกันดวู ่าผู้อบรมทา่ นใดท้าท่าทางผิดพลาด ท้าช้า หรือท้าไม่ทัน
เพ่ือนให้ออกมาแนะนา้ ตัวดา้ นหน้าเวทีเพ่อื สรา้ งความร้จู ักกันในหมคู่ ณะ

6. วิทยากรใหผ้ เู้ ขา้ รับการอบรมนบั 1-5 ท้ังฝ่ังชายและหญงิ เพ่ือแยกสมาชิกออกเป็น
5 กลุ่ม ซึ่งแต่ละกลุ่มจะมีสมาชิกคละกันท้ังชายและหญิงในปริมาณท่ีใกล้เคียงกันทุกกลุ่ม จากน้ัน
วทิ ยากรให้แตล่ ะกล่มุ นั่งประจ้ากลุม่ เพื่อให้สมาชกิ ท้าความรู้จกั กันในเบื้องต้น สุม่ 1-2 กล่มุ ให้พูดชื่อ
สมาชกิ ในกลุ่มเรยี งลา้ ดบั พร้อมกนั ทกุ คน

7. วิทยากรให้เจา้ หน้าทีแ่ จกกระดาษฟลบิ ชาร์ตพร้อมปากกาเคมีสองหวั เพอื่ ให้แตล่ ะกลมุ่
ตั้งช่ือบ้าน สโลแกน พร้อมท่าประกอบ เพื่อน้าไปใช้เร่ิมต้นในการท้ากิจกรรมฐานเรียนรู้ทุกครั้ง
จากนัน้ ให้แตล่ ะกลมุ่ น้าเสนอชือ่ บ้าน สโลแกน พร้อมท่าประกอบ

8. วิทยากรนา้ เข้าสู่กระบวนการคัดเลือกผูน้ า้ บ้าน โดยให้ทกุ คนยกมอื ชูนิ้วช้ขี ึน้ ด้านบน
วิทยากรใช้คา้ ส่ังว่า “ให้ชไี้ ปหาคนในกลมุ่ ตนเองที่คิดวา่ เหมาะสมจะเป็นผใู้ หญ่บ้านของกลุ่ม หลงั จาก
นับ 1 - 2 - 3 ใหผ้ ้ทู ่โี ดนเพ่ือนชมี้ ากที่สุดไดร้ ับเลือกเปน็ ผ้ใู หญ่บา้ นประจ้ากลมุ่ จากนนั้ ให้ผ้ใู หญ่บ้าน
ทกุ กลุม่ ยืนขนึ้ แล้วเลือกผู้ช่วยฯ เลขาฯ น้องเล็ก ตา้ แหนง่ ละ 1 คน

9. วิทยากรท้าการอธิบายหน้าทคี่ วามรบั ผดิ ชอบ
ผ้ใู หญบ่ า้ น - เตรยี มความพรอ้ มของบ้านทกุ กจิ กรรม และก่อนเริม่ เข้าสวู่ ิชาต่าง ๆ โดยถาม

จ้านวนสมาชิกจากนอ้ งเลก็ 71
ผู้ช่วยผูใ้ หญ่บา้ น - คอยช่วยเหลือสนบั สนนุ ผใู้ หญ่บา้ น และท้าหน้าท่ีแทนผู้ใหญบ่ า้ นกรณี

ผใู้ หญ่บา้ นติดภารกิจ
เลขานุการ - คอยจดบนั ทกึ ทุกกจิ กรรม
นอ้ งเล็ก - ทกุ ครง้ั กอ่ นเขา้ สูก่ ระบวนการตอ้ งคอยเชค็ ยอดสมาชิกเพ่อื แจง้ ให้ผูใ้ หญบ่ า้ นทราบ

ก่อนเตรียมความพร้อม และสังเกตสมาชิกบ้าน กรณีเจ็บป่วย หาย โดยจะต้องรู้จักสมาชิก และเบอร์
โทรศัพท์ทกุ คน

10. วิทยากรให้ทุกกลุ่มเขา้ แถวตอนเรยี งตามกล่มุ โดยใหผ้ ู้ใหญบ่ า้ นนงั่ หนา้ สดุ และใหน้ อ้ ง
เล็กน่ังหลังสุด แล้วให้ผู้ใหญ่บ้านท่ัง 5 กลุ่ม พูดคุยปรึกษากันเพื่อเลือกก้านัน (ผู้น้ารุ่น) จากน้ันให้
ก้านันเลอื กสารวัตรก้านนั จ้านวน 1 คน

11. วทิ ยากรท้าการอธิบายหน้าทคี่ วามรับผิดชอบ
ก้านนั - เตรียมความพร้อมลูกบ้านท้งั หมดก่อนเข้าส่วู ชิ า หลงั จากท่ผี ูใ้ หญ่บ้านเตรียมความ
พรอ้ มของลูกบ้านตวั เองแลว้ และนา้ กล่าวใส่รหสั สวัสด/ี ขอบคณุ วิทยากรประจ้าวิชาหรอื ฐานเรียนรู้
สารวตั รก้านนั - คอยช่วยเหลือสนบั สนุนกา้ นัน และทา้ หน้าทีแ่ ทนก้านนั ในกรณที ก่ี า้ นนั ตดิ
ภารกจิ
12. เข้าสู่กระบวนการรบั ผา้ สี โดยใหท้ กุ คนอยใู่ นความสงบ จากนน้ั วิทยากรให้เจา้ หนา้ ที่
เชิญกลอ่ งสลาก เพื่อให้ผใู้ หญ่บ้านจับสลากสปี ระจ้าบา้ น แล้วใหผ้ ู้ใหญ่บา้ นบอกลูกบ้านว่ากลุม่ ตนเอง
ได้สีอะไร โดยไม่ส่งเสียงดัง วิทยากรน้าสู่กระบวนการรับผ้าสีโดยให้ผู้แทน ของแต่ละกลุ่มสี
(ผู้ใหญ่บ้าน) เป็นผู้เข้ารับ จากน้ัน วิทยากรเชิญเจ้าหนา้ ที่เชิญพานผ้าสี เพ่ือน้าไปวางไวห้ นา้ พระบรม
ฉายาลักษณ์ของ ร.9 และ ร.10 ต่อจากน้ันเข้าสู่กระบวนการรับผ้าสี เม่ือผู้แทนรับผ้าสีแล้ว ให้
กลับมาน่ังท่ี และส่งต่อผ้าสีให้ลูกบ้าน โดยส่งต่อกัน ให้ลูกบ้านรับไว้คนละหน่ึงผืน(ห้ามคล่ีผ้าออก)
เมื่อผู้เข้าอบรมได้รับผ้าครบ วิทยากรให้น้าผ้าวางไว้บนฝ่ามือขวา และวางมือไว้บนหน้าตักขวา
แล้วหลับตาเพ่อื รา้ ลกึ ถงึ พระราชกรณยี กิจของทั้งสองพระองค์ จากนัน้ วทิ ยากรใหล้ ืมตา และนา้ กลา่ ว
คา้ ปฏญิ าณตนตามวิทยากร

คาปฏญิ าณตน
ขา้ พเจา้ จะตง้ั ในฝึกอบรมศาสตร์พระราชา
เพอ่ื นาไปปรบั ใชใ้ นชวี ติ ประจาวันของข้าพเจา้
ครอบครวั ของข้าพเจ้า ชุมชนของขา้ พเจา้
ตลอดจนประเทศชาติ อย่างสดุ ความสามารถ

เมอื่ กล่าวจบ วทิ ยากรแนะนา้ พีเ่ ลีย้ งกลุ่มสี และสอนวิธกี ารผกู ผ้าสี เมอ่ื ผกู เสรจ็ แลว้ วิทยากร
แนะนา้ ภารกิจการดูแลพ้ืนทข่ี องแต่ละกลุ่มสี โดยให้ดูตามตารางภารกิจ และบอกกฎกติกาการเข้าหอ้ งอบรม
โดยการเข้าหอ้ งอบรมทกุ ครง้ั จะมีการเปิดเพลงคืนชีวติ ใหแ้ ผ่นดนิ หลังจบเพลง ผู้เขา้ รับการอบรมจะตอ้ งอยู่ใน
ห้องอบรมครบทกุ คน และผู้ใหญบ่ ้านต้องเตรียมความพร้อมของลูกบ้าน

13. วิทยากรให้เจา้ หนา้ ทแ่ี จกกระดาษบตั รค้า ใหผ้ เู้ ขา้ อบรมเขียนความคาดหวงั ต่อโครงการ
อบรมในครง้ั นี้ จากนน้ั เจ้าหน้าทเี่ ก็บรวบรวมเพอ่ื นา้ มาสรปุ

14. วิทยากรมอบหมายภารกิจเวรประจา้ วันตามกลุ่มสี

สรปุ ผลการเรียนรู้ 72
พบว่า ผู้เข้าอบรมส่วนใหญ่มีความต่ืนตัว มีความสนใจ ให้การมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้

เช่น สามารถปฏบิ ัติตามกติกา ค้าส่ัง และการขอความรว่ มมอื จากวทิ ยากรได้เปน็ อยา่ งดี สามารถท้าความรู้จัก
กันระหว่างผู้อบรมกับวิทยากร และผู้อบรมกับผู้อบรม ภายในบรรยากาศท่ีสนุกสนานเป็นกันเอง ผู้อบรม
สามารถรู้จักการบริหารจัดการสมาชิกภายในกลุ่มสี รู้จักการแบ่งบทบาทหน้าที่ มีการยอมรับและให้เกียรติ
ซึ่งกันและกันผ่านการเลือกผู้น้ากลุ่มและมีภาวะผู้ตามท่ีดี รู้จักการเคารพกฎกติกา ระเบียบวินัยในการอยู่
เรียนรู้ร่วมกันตลอดระยะเวลาท่ีเข้ารับการฝึกอบรม และวิทยากรสามารถใช้กระบวนการ Play & Learn
ท่ีมุ่งเน้นการละเลน่ ไปดว้ ยสอดแทรกการเรียนร้หู รือความรู้ไปดว้ ย ท้าใหผ้ ้อู บรมสามารถมีความรคู้ วามเข้าใจใน
หลกั สตู รไดด้ ยี ่ิงข้ึนและเปน็ การเตรยี มความพรอ้ มผู้อบรมเพื่อเข้าสบู่ ทเรียนของหลกั สูตรตอ่ ไป

2. วิชา เรียนร้ตู าราบนผืนดนิ
วทิ ยากรหลัก

นางสุพรรษา แก้วขุนทด ต้าแหน่ง นักทรัพยากรบุคคลปฏบิ ัตกิ าร
1)วตั ถปุ ระสงค์

1. เพ่อื สา้ รวจและศกึ ษาเรยี นรตู้ า้ ราจากผืนดนิ จากพืน้ ที่ต้นแบบ/พื้นทศ่ี นู ยศ์ กึ ษาและพัฒนาชมุ ชน
2. เพ่อื วิเคราะห์และน้าเสนอสิง่ ท่สี งั เกตเหน็ และสิ่งท่ไี ดจ้ ากการลงพ้ืนทใี่ นการเรยี นรู้
2) ประเดน็ /ขอบเขตเนอ้ื หา
๑. ศึกษา สา้ รวจพืน้ ท่ี
2. บันทกึ ผลการเรยี นรตู้ ามประเดน็ ต่าง ๆ
3. แลกเปล่ียนเรียนรู้เพ่มิ เตมิ
3) ระยะเวลา 1 ชัว่ โมง

4) วธิ กี าร/เทคนคิ 73

1. ชีแ้ จงกฎกติกาและแบ่งกลมุ่
2. สรปุ บทเรียน
5) วสั ดุ /อุปกรณ์

1. โทรโข่ง
2. ฐานเรยี นรู้
6) ข้นั ตอน /วิธีการ

1. วิทยากรแนะนา้ ตนเอง และช้แี จงวตั ถุประสงค์ รายละเอียดต่าง ๆ รวมถึงแผนผงั ฐานเรียนรู้
2. วิทยากรแบ่งทีมออกเป็น 2 ทีม พร้อมแนะน้าวิทยากรประจ้าทีมเพื่อลงพื้นท่ีเรียนรู้ต้ารา
บนผนื ดิน
3. วทิ ยากรมอบโจทย์การเรียนรู้ ดงั นี้

(1) ท่านเหน็ อะไร จากการส้ารวจ
(2) ท่านได้เรียนรู้อะไรจากการสา้ รวจ
(3) ให้ท่านหยิบส่ิงของจากฐานเรียนรู้ท่ีได้รับมอบโจทย์มา 1 ชิ้น เพื่อน้ามาเสนอให้กับผู้
เข้าอบรม
4. วทิ ยากรประจา้ ทมี นา้ ผเู้ ข้าอบรมลงพ้ืนท่ีเรียนรู้ตา้ ราบนผนื ดินภายในพนื้ ท่ี ศพช.นครนายก
5. หลงั จากเรยี นรู้พน้ื ที่ท้ังหมดแล้ว ใหแ้ ตล่ ะกลุ่มรวมตัวกนั เพ่อื สรุปและคัดเลือกตวั แทนน้าเสนอ
ตามโจทยท์ ่ไี ดร้ บั มอบหมาย (1) (2) (3)

คาถามที่ 1 : ทา่ นเห็นอะไร ? จากการสารวจ
คา้ ตอบ : ความร่มรืน่ ความอุดมสมบูรณข์ องพน้ื ท่ี ศพช.นครนายก พนื้ ท่ีโคก หนอง นา
โมเดล การเล้ยี งไก่ไข่ สวนผัก สวนผลไม้ การดูแลบ้ารุงดินการคลมุ ดนิ ด้วยฟาง ธนาคารน้าใตด้ นิ การปลกู
มะนาว การขุดคลองไสไ้ ก่ การทา้ ฝาย แปลงผักกดู แปลง 30 ตารางวา เสวียนกักเก็บใบไม้แหง้ เสวียนยังชีพ
คาถามท่ี 2 : ท่านได้เรียนรอู้ ะไรจากการสารวจ?
ค้าตอบ : การดแู ลปรับปรุงดนิ การหม่ ดินท้าให้ดนิ ดี “เล้ยี งดินให้ดนิ เลย้ี งพืช” ธนาคาร
นา้ ใต้ดนิ ช่วยเกบ็ กักน้าไวใ้ ตด้ นิ การบรหิ ารจดั การพ้นื ที่ ดิน น้า ป่า สามารถปลกู พืชได้ดี รักษาความชุ่มชนื้ ใน
ดิน เพอื่ ใหค้ วามชุม่ ชื้นกบั ตน้ ไมแ้ ละดนิ การปลูกพืชที่หลากหลายท้าให้เราสามารถใช้ประโยชน์ในการบริโภค
ไดจ้ รงิ การออกแบบพ้ืนท่ีเชงิ ภมู สิ ังคม ขุดคลองไส้ไก่ หลมุ ขนมครก การทา้ ฝายชะลอน้า เพ่อื การกักเกบ็ น้า
และกระจายความชมุ่ ชืน้ ให้กับดิน การปลกู ปา่ 5 ระดบั บริเวณหวั คันนาทองค้า เป็นตน้
คาถามท่ี 3 : ทา่ นหยบิ ส่งิ ของจากฐานเรยี นรู้ท่ีได้รบั มอบโจทย์มา 1 ชน้ิ เพื่อนามาเสนอ
ให้กับผู้เขา้ อบรม? จากการเข้าร่วมกิจกรรมน้ี
คา้ ตอบ : ผอู้ บรมหยบิ หญ้าแฝก ฟางขา้ ว ผลหม่อน ดอกดาวกระจาย ผักกูด น้าหมกั
ชีวภาพจากหนอ่ กล้วย
สรปุ บทเรียนของกิจกรรม

สถานการณ์การเปล่ียนแปลงของโลกในด้านภัยธรรมชาติที่มีความรุนแรงขึ้นทุกวัน ท้าให้ได้

เรยี นรถู้ ึงการพึง่ พาตนเองในยามวิกฤต ผา่ นการเรียนรู้ต้าราบนผืนดินดงั กล่าว สามารถน้าไปเป็นแบบอย่างใน

การทา้ แหล่งเรยี นรู้ และตระหนกั ในบทบาทหน้าทใี่ นการเป็นศูนยพ์ ่งึ พงิ มีการสรา้ งภมู คิ มุ้ กนั มีการสร้างความ

ม่ันคงทางด้านอาหาร สร้างความรู้ความเข้าใจและสร้างการรับรู้ที่ดีให้กับประชาชน เพ่ือให้สามารถปฏิบัติตน

ในการรองรับภัยพิบัติ พร้อมต้ังรับ ตั้งสติ มีการวางแผนท่ีดีเพื่อแก้ไขปัญหาในสถานการณ์ท่ีไม่คาดคิด ซ่ึง 74
อาจจะเกดิ ขนึ้ ไดใ้ นอนาคต
สรปุ เนื้อหาการเรยี นรู้

พบว่า ผู้เขา้ อบรมสว่ นใหญม่ คี วามสนใจ ตงั้ ใจ และมสี ่วนรว่ มในการเรยี นรแู้ ละการรบั ฟังการ
บรรยายในแตล่ ะจุดดว้ ยความตั้งใจ การตอบค้าถาม การแสดงความคดิ เห็นอยา่ งสรา้ งสรรค์ และมีความรคู้ วาม
เข้าใจท่ีถูกต้องเกี่ยวกับการพ่ึงตนเองและรองรับภัยพิบัติ อีกทั้งเกิดแรงบันดาลใจให้สามารถน้าแนวคิด โคก
หนอง นา โมเดล ซ่ึงเปน็ หนงึ่ ในทฤษฎีใหม่ เป็นการน้อมนา้ ศาสตรพ์ ระราชาและปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง
ของในหลวงรชั กาลท่ี 9 ไปประยุกต์ใช้ในวถิ ีชวี ิตสคู่ วามยง่ั ยืนตอ่ ไป

3. วชิ า เข้าใจ เขา้ ถงึ พฒั นา ศาสตรพ์ ระราชากับการพัฒนาทย่ี ง่ั ยนื
วิทยากรหลัก

นางสาวอรวยี ์ แสงทอง ผู้ชว่ ยผอู้ ้านวยการศูนยศ์ ึกษาและพฒั นาชุมชนนครนายก
1) วัตถุประสงค์

เพือ่ ให้ผูเ้ ข้ารับการฝกึ อบรมเข้าใจศาสตรพ์ ระราชาและการพฒั นาท่ยี ่ังยนื
2) ประเด็น/ขอบเขตเนอื้ หา

1. หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
2. หลักการทรงงาน “เขา้ ใจ เขา้ ถึง พัฒนา” พระราชด้ารัสของ ร.9
3. บันได 9 ข้นั สู่ความพอเพยี ง
3) ระยะเวลา 2 ชั่วโมง
4) วิธีการ/เทคนคิ

วิทยากรบรรยายเพื่อให้มีความรู้ ความเข้าใจ หลักหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง หลักการ 75
ทรงงาน และพระราชด้ารัส “เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา” ของในหลวง ร.๙ และเรียนรู้จากกรณีตัวอย่าง
“โคกหนองนา โมเดล” โดยใชส้ ่อื สื่อ Power point และส่อื วดี ีทัศน์ประกอบการบรรยาย

5) วัสดุ /อปุ กรณ์
1. สือ่ น้าเสนอด้วยโปรแกรม power point

6) ขน้ั ตอน /วธิ กี าร
๑. วทิ ยากรเกรน่ิ น้าถึงศาสตรพ์ ระราชา หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
2. วทิ ยากรบรรยายศาสตรพ์ ระราชา และความสา้ เรจ็ ของการนา้ ศาสตรพ์ ระราชาไปปรับใช้

สรปุ เน้อื หาการเรยี นรู้
อาจารย์ยักษ์" หรือ ดร.วิวัฒน์ ศัลยก้าธร (วิทยากร) ประธานสถาบันเศรษฐกิจพอเพยี ง และประธาน

มูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ ผู้ก่อตั้งศูนย์กสิกรรมมาบเอื้อง ศูนย์กสิกรรมท่ีมีวัตถุประสงค์หลักในการขับเคลื่อน
ศาสตร์ของพระราชา ท้ังเป็นหน่ึงคนส้าคัญผู้ขับเคลื่อนหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง วันน้ีมาเล่าให้ฟังถึง
ศาสตรพ์ ระราชาและความมุ่งมนั่ ท่ีจะเดินตามรอยพระบาท

ศาสตร์ของพระราชา หลักการคือ การประยกุ ต์ด้วยหลักทฤษฎีใหม่ ได้แก่การออกแบบพ้ืนท่ีเพือ่ การ
จัดการน้าและการฟื้นฟูระบบนเิ วศ การจัดการดินและจัดการป่า ปลูกป่า 3 อย่างประโยชน์ 4 อย่าง ภายใต้
หลกั การโคกหนองนาโมเดล
1. หลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

"ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" เป็นปรัชญาท่ีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลย-เดชบรม
นาถบพิตร ทรงช้ีถึงแนวทางการด้าเนินชีวิตของประชาชนในทุกระดับ ทั้งในระดับครอบครัว ชุมชน หรือ
ระดบั ประเทศ ในการปฏบิ ตั งิ านหรือบริหารพฒั นาประเทศใหด้ ้าเนินไปด้วยความไม่ประมาท พระองคท์ รงท้า
ตัวอย่างให้คนไทยได้เห็นผ่านโครงการพระราชด้าริท่ีประสบความส้าเร็จกว่า 4,741 โครงการ มากกว่า
47,000 บทเรยี น ทา้ ให้ท่ัวโลกใหก้ ารยอมรับและมอบรางวัลให้พระองค์ อาทิ รางวัลนักวิทยาศาสตรด์ ินเพื่อ
มนุษยธรรม (IUSS Humanitarian Soil Scientist Award) และรางวัลความส้าเร็จสงู สดุ ดา้ นการพัฒนา
มนษุ ย์ (UNDP Human Development Lifetime Achievement Award) เป็นตน้
2. หลักการทรงงาน “เข้าใจ เข้าถงึ พฒั นา” พระราชดารัสของ ร.9

หลักการ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ตามแนวพระราชด้าริ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล
อดุลยเดช เป็นหลักการส้าหรับการแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาส่ิงต่าง ๆ ที่สามารถประยุกต์ใช้ได้กับหลาย ๆ
ประเดน็

เขา้ ใจ : ทา้ อะไรตอ้ งเขา้ ใจปญั หา เข้าใจหนทางแกไ้ ข เข้าใจกระบวนการจดั การ และปรับความเข้าใจ
ระหว่างผู้ให้ ผรู้ ับเสียกอ่ น ให้เขา้ ใจซ่ึงกันและกัน

เข้าถึง : เมื่อเข้าใจระหว่างกนั ทุกประการครบถ้วนแล้ว ต้องเข้าถึงการกระท้า สร้างความร่วมมือจาก
ผเู้ กีย่ วขอ้ ง เข้าถงึ เครือ่ งไม้เครื่องมือและวัสดุอุปกรณ์ และความสามัคคีร่วมจติ ร่วมใจของผู้ปฏิบัติ รว่ มมือรว่ ม
ไมก้ ันทา้ งาน

พัฒนา : เม่ือต่างฝ่ายต่างเข้าใจกันแล้ว เข้าถึงกันแล้ว การพัฒนาก็จะด้าเนินการไปอย่างย่ังยืน ไม่ 76
ส่งผลกระทบท่ีติดลบต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและการเมือง หากแต่น้าไปสู่ความสมดุล ม่ันคง
และย่ังยนื
สรุปผลการเรยี นรู้

พบว่า ผู้เข้าอบรมส่วนใหญ่มีความสนใจในการบรรยายจากวิทยากร มีส่วนร่วมในการแสดง
ความคดิ เหน็ และตั้งใจท่ีจะน้าความรทู้ ไ่ี ดใ้ นการอบรมรายวชิ านี้ กลบั ไปปฏบิ ัติในครวั เรอื น

4. วชิ าการแปลงปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี ง สู่การปฏบิ ัตแิ บบเปน็ ขน้ั เปน็ ตอน
วทิ ยากรหลัก

นางประภา ปานนิตยกลุ ผู้อา้ นวยการศนู ยศ์ กึ ษาและพฒั นาชุมชนนครนายก
1)วตั ถปุ ระสงค์

เพอื่ ให้ผูเ้ ข้าอบรมเขา้ ใจการแปลงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี งท่ีเปน็ นามธรรมลงสูร่ ปู ธรรมการปฏบิ ตั ิ
แบบเปน็ ขนั้ เปน็ ตอน
2) ประเดน็ /ขอบเขตเนอ้ื หา

๑. ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียงกบั การสร้างความยงั่ ยืน
2. ตวั อยา่ งการนา้ ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี งไปปรบั ใช้

3) ระยะเวลา 2 ช่วั โมง 77

4) วิธีการ/เทคนิค

๑. วิทยากรบรรยายประกอบสือ่ Power point และสอ่ื วีดที ศั น์
2. บรรยาย
5) วสั ดุ /อปุ กรณ์
สอื่ น้าเสนอด้วยโปรแกรม power point

6) ขน้ั ตอน /วิธกี าร
๑. วิทยากรเกร่ินน้าการแปลงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงท่ีเป็นนามธรรมลงสู่รูปธรรมการปฏิบัติแบบ

เป็นขั้นเป็นตอน
2. วิทยากรยกตวั อยา่ งพน้ื ที่ทนี่ า้ หลกั เศรษฐกจิ ไปพอเพยี งไปลงมอื ทา้

สรุปเนื้อหาการเรยี นรู้
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือ ปรัชญาใหม่ในการพัฒนามนุษย์ ให้เปล่ียน mindset ใหม่ จากมุ่ง

แข่งขันเป็นมงุ่ สรา้ งสรรค์ แบง่ ปัน หวั ใจสา้ คัญ คือ พระราชดา้ รัส “ Our Loss is Our Gain” ย่งิ ให้ไป ยิ่งได้มา
ดงั นั้นการพัฒนาต้องเป็นไปเพ่ือสรา้ งขบวนการ “จติ อาสา” พร้อมน้าศาสตร์พระราชาเข้าแก้ไขปญั หาประเทศ
ทงั้ ในและนอกระบบราชการ
การขับเคล่ือน “ปรชั ญาใหม่” ที่ยงั่ ยนื
1. ต้องกา้ วไปดักหน้า Technology 5.0
2. ตอ้ งเอือ้ ต่อการบรู ณาการและการสร้างสิ่งใหม่ในระดบั โครงสรา้ ง
3. ตอ้ งมีภารกจิ บม่ เพาะใหเ้ ขา้ ใจศาสตรพ์ ระราชาอยา่ งลกึ ซึ้ง เขา้ ถงึ ปัญหาชาติ และพรอ้ มพัฒนา
4. ตอ้ งมกี ารน้าศาสตร์พระราชาแกป้ ญั หาประเทศ และเผยแพรผ่ ลส้าเรจ็ นนั้ ออกไป
5. ตอ้ งมียทุ ธศาสตรส์ ือ่ สารท้งั “เปา้ หมาย” ไมย่ ึดวิธกี าร ไมว่ ดั แค่ KPI แต่ยึดแกน่ ของศาสตรพ์ ระราชา
6. ตอ้ งเป็นกลไกหนนุ ให้เกิดการ ปฏิรปู ภาคปฏิบัติ เพอื่ ประโยชน์สุขแห่ง “มหาชนชาวสยาม”
การแปลงปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียงทเี่ ปน็ นามธรรมลงสู่รูปธรรมการปฏิบัติแบบเป็นขนั้ เปน็ ตอน

ความสัมพันธ์ของเศรษฐกิจ 3 แบบ 1) ระบบสังคมนิยม เน้นการกระจายรายได้ มุ่งเท่าเทียม ลดเหลื่อมล้า 78
“INCOME DISTRIBUTION” 2) ระบบทุนนิยม ต้องได้ก้าไรสูงสุด มุ่งตลาดน้าปรับประสิทธิภาพ และ
3) พอเพียง “ขาดทุนของเรา คือก้าไรของเรา ย่ิงให้ไป... ยิ่งได้มา ” มุ่งสร้างให้พอ เน้นการแบ่งปัน
พอเพียงไมป่ ฏเิ สธทุนนิยมและสงั คมนิยม แต่ใหท้ า้ พื้นฐานให้มัน่ คงเสยี ก่อน ดังพระราชด้ารสั เน่อื งในโอกาสวัน
เฉลมิ พระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิตดาลัย วันที่ 4 ธนั วาคม 2534 ความว่า “...เราไม่เป็นประเทศรา่้ รวย เรามี
พอสมควร พออยู่ได้ แต่ไม่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก เราไม่อยากเป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก
เพราะถ้าเราเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมากก็จะมีแต่ถอยกลับ ประเทศเหล่าน้ันท่ีเป็นประเทศอุตสาหกรรม
ก้าวหนา้ จะมีแต่ถอยและถอยหลงั อย่างน่ากลวั ...” ซ่งึ จะนา้ ไปส่เู ป้าหมายการปฏิรูปประเทศ สร้างคนดีมีวินัย
ภูมใิ จในชาติ สร้างความเชี่ยวชาญตามความถนัดของตนรับผิดชอบต่อครอบครัว ชุมชนสังคม และประเทศชาติ
เพ่ือสร้างความยั่งยืน สังคมลดความเหล่ือมล้า เสมอภาค ปรองดอง ด้านการเมือง ม่ันคง ขจัดคอรัปชั่น
โปร่งใส เป็นธรรม ดา้ นเศรษฐกจิ สรา้ งความพอเพียง เกิดการแบง่ ปนั

จากองค์ความรู้ที่เกิดจากศาสตร์พระราชา น้ามาซึ่งการพัฒนาคุณภาพชีวิตของปวงชนชาวไทย
เป็นทฤษฎีใหม่ท่ีเกี่ยวกับการจัดการ ดิน น้า ป่า คน กว่า 40 ทฤษฎี เช่น โครงการหลวงพืชผักเมืองหนาว
ปลอดสารพิษ ฝายต้นน้าล้าธารฟ้ืนฟูอนุรักษ์ต้นน้า หน้าแฝกอนุรักษ์ดินและป่า การปลูกป่า 3 อย่าง ได้
ประโยชน์ 4 อย่าง เพ่ือรักษาระบบนิเวศ เป็นต้น ส้าหรับเกษตรทฤษฎีใหม่ (การจัดการน้าตามศาสตร์
พระราชาและภูมิปัญญาท้องถ่ิน) คือ แนวพระราชด้าริ การแบ่งสัดส่วนพื้นที่ท้ากินเพื่อการพึ่งพาตนเอง โดย
ก้าหนดอัตราการใช้พื้นที่เป็น 30 : 30 : 30 : 10 ไดแ้ ก่ สระนา้ ทา้ นา ปลูกพชื และท่อี ยู่ ตามล้าดบั จากน้นั
พัฒนาตามขั้นตอน 3S คือ 1) อยู่รอด Survival เกษตรทฤษฎีใหม่แบ่งสัดส่วนพื้นที่ท้ากิน สร้างผลผลิตให้
สามารถพึง่ ตนเองได้

2) พอเพยี ง Sufficiency การรวมพลงั ในชมุ ชนในลกั ษณะสหกรณช์ ่วยเหลอื กันด้านตา่ ง ๆ
3) ยั่งยืน Sustainability ร่วมกันผลักดันใหเ้ กิดการลงทุนจากแหล่งเงินท้าให้เกษตรกรแข็งแรงไม่ถกู
กดราคา
จากสถานการณ์วกิ ฤตทางส่ิงแวดล้อม เช่น ปัญหาภัยแล้ง คงเป็นปัญหาที่ประเทศไทยก้าลังเผชิญอยู่
ในชว่ งหนา้ แล้งของทุกปี ทา้ ใหค้ นไทยจะตอ้ งปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่เป็นนามธรรมลงสรู่ ูปธรรมการปฏิบัติ
ในโครงการพัฒนาพืน้ ท่ตี ้นแบบการพัฒนาชวี ิตประยกุ ตส์ ู่ โคก หนอง นาโมเดล

79

วิทยากรได้ยกตัวอย่าง เกี่ยวกับการพัฒนาพ้ืนท่ี รูปแบบ โคก หนอง นาโมเดล เพ่ือน้าทฤษฏีหลัก
ปรชั ญาสู่การปฏบิ ตั ิอยา่ งจรงิ จงั

5. วิชา : ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง “ทฤษฎีบนั ได 9 ขน้ั สู่ความพอเพียง”
วิทยากรหลัก

นายสนุ ทร แววมะบุตร ตา้ แหน่ง เครือข่ายโคก หนอง นา โมเดล จังหวดั พระนครศรีอยธุ ยา
1) วตั ถุประสงค์

เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในเก่ียวกับทฤษฎบี นั ได 9 ขนั้ การบริหารเป็นขั้นเป็นตอนนา้ เศรษฐกจิ
พอเพียงมาปรบั ใชใ้ นชีวิตประจา้ วนั และสามารถนา้ ไปปฏบิ ตั ิจนเปน็ วถิ ชี วี ติ

2) ประเด็นเนอื้ หา 80
1. หลกั คดิ ของ “ทฤษฎีบันได 9 ขั้น สู่ความพอเพียง”
2. ความหมายของระบอบเศรษฐกิจ แบบทุนนยิ ม สังคมนิยมหรือคอมมิวนสิ ต์ และเศรษฐกิจพอเพียง

3) ระยะเวลา

๓ ช่วั โมง

4) เทคนคิ / วิธีการ
1. สอ่ื Power Point บรรยาย
2. แลกเปลย่ี นความคิดเหน็

5) วสั ดุ / อุปกรณ์
1. ส่อื Power Point
2. กระดาษ / สมุด / ปากกา
3. คอมพวิ เตอร์ / เคร่ืองฉายโปรเจคเตอร์

6) ขน้ั ตอน / วิธีการ
วิทยากรกล่าวแนะน้าตัวและมอบโจทย์ เพ่ือประเมินความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ ระบอบของ

เศรษฐกจิ แบบทุนนิยม สังคมนยิ มหรือคอมมวิ นิสต์ และเศรษฐกิจพอเพียง โดยใหเ้ ขยี นตามความเข้าใจแบบส้ัน
และใหผ้ เู้ ขา้ อบรมน้าเสนอแลกเปลี่ยนเรยี นรู้

โจทย์
1.1 จงเขยี นค้าจัดกัดความของ “ระบอบทุนนยิ ม”
1.2 จงเขียนคา้ จา้ กดั ความของ “ระบอบสงั คมนิยมหรอื คอมมวิ นสิ ต์”
1.3 จงเขยี นค้าจา้ กดั ความของ “เศรษฐกิจพอเพียง”

จากโจทย์ที่วทิ ยากรมอบใหก้ ับผ้เู ขา้ อบรมสามารถสรุปได้ ดังน้ี
1. ระบอบทุนนิยม คือ เป็นระบบท่ีมีการขับเคล่ือนเศรษฐกิจภายใต้การแข่งขันกันอย่างเสรี

เปน็ ลกั ษณะของทนุ ใหญก่ ินทุนเลก็ ทุนเลก็ ล้มหายตายจากไปในอนาคต
2. ระบอบสังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์” คือ ระบบเศรษฐกิจที่ว่าด้วยความเสมอภาค ทุนเป็นของ

ทุกคนและผลก้าไรต้องเฉลี่ยให้กับทุกคน ซ่ึงจะเป็นการบริหารจัดการโดยภาครัฐ ทั้งนี้ รัฐจะเป็นผู้จัดสรร
ผลประโยชน์ใหก้ ับองคก์ รและประชาชน

3. เศรษฐกิจพอเพียง คอื เป็นหลกั สมดลุ ของชีวติ ทกุ อย่างไมม่ ากไปไม่น้อยไป
วทิ ยากรบรรยายประกอบสอ่ื Power Point สามารถสรุปใจความส้าคัญได้ ดงั นี้

เม่ือประมาณ 300 กว่าปีที่ผ่านมา Adam Smith ชาวอังกฤษ เป็นที่รู้จักในฐานะนักเศรษฐศาสตร์
ได้ใหใ้ ห้แนวคดิ ของ “ทุนนยิ ม” ว่ามนษุ ย์สามารถแขง่ ขันกนั ได้โดยเสรีโดยมีเปา้ หมายเปน็ เงนิ และวัตถุเป็นหลัก
ท้าให้มนุษย์เข้าสู่การท้าลายธรรมชาติ ประกอบด้วย ท้าลายป่า ดิน น้า และอากาศ และเพื่อให้ได้ประโยชน์
สงู สุด มนุษย์เรมิ่ มีการเอาเปรยี บกันและกันมากขน้ึ และเม่ือมนุษยย์ ดึ เงินและวตั ถเุ ปน็ ทตี่ ้งั ทา้ ให้เกดิ การฉ้อโกง
ขาดความกตัญญรู ูค้ ุณ

แนวคิดระบอบทุนนิยมนั้นเกิดขึ้นในประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2504 คือ ประเทศไทยมีแผนพัฒนา 81
เศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่ 1 นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น คือ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ก้าหนดค้าขวัญว่า
“งานคือเงิน เงินคืองานบันดาลสุข”การมีเงินมากจะท้าให้ชีวิตมีความสุข การมีเงินน้อยนั้นชีวิตไม่มีความสขุ
ซึง่ สิง่ ทส่ี ะทอ้ นแผนพฒั นาเศรษฐกจิ ฉบบั ท่ี 1 ได้เปน็ อย่างดี คอื เพลงผใู้ หญ่ลี

“พอศอสองพันหา้ ร้อยสี่ ผ้ใู หญล่ ตี ีกลองประชุม ชาวบ้านตา่ งมาชมุ นุม มาประชมุ ทบี่ ้านผู้ใหญ่ลี
ต่อไปน้ีผู้ใหญ่ลีจะขอกล่าว ถึงเรื่องราวที่ได้ประชุมมา ทางการเขาสั่งมาว่า ทางการเขาส่ังมาว่า
ให้ชาวนาเลี้ยงเป็ดและสุกร ฝ่ายตาสีหัวคลอน ถามว่าสุกรน้ันคืออะไร ผู้ใหญ่ลีลุกขึ้นตอบทันใด
สุกรน้ันไซร้ คอื หมานอ้ ยธรรมดา หมานอ้ ย หมานอ้ ยธรรมดา หมาน้อย หมานอ้ ยธรรมดา”

เมื่อเรียงล้าดับเหตุการณ์ในยุคน้ันแล้วพบว่า ในยุคน้ันแล้วพบว่า ช่วงที่แต่งเพลงผู้ใหญ่ลี
ประเทศไทยก้าลังอยู่ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่ 1 ในยุคสมัยของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
ซึ่งเป็นยุคเผด็จการ โครงการพัฒนาต่าง ๆ รวมถึงการสื่อสารระหว่างนักการเมืองกับข้าราชการต่าง ๆ
จึงเป็นแบบ “ส่ังการจากบนลงล่าง” ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน อย่างครบทุกขั้นตอน
ตั้งแต่รว่ มคิดวางแผน และรับผลประโยชน์

เม่ือประมาณ 100 กว่าปีที่ผ่านมา Karl Marx ชาวเยอรมัน เป็นท่ียอมรับว่า เป็นบิดาแห่งระบอบ
สังคมนิยม มองว่าทรัพย์สินเป็นของรัฐ และกิจการเป็นของรัฐ ไม่เอาความเจริญ เกิดการกระจายรายได้ ใน
หลวงรัชกาลที่ 9 จึงเรียกว่าเป็นเศรษฐกิจของพวกคนหลังเขา ท้าให้ในปี พ.ศ. 2519 ในหลวงรัชกาลที่ 9
ไดร้ บั ส่ังเรอื่ งเศรษฐกิจพอเพียงข้ึน โดยในยุคนัน้ พบว่าไทยอยภู่ ายใต้อิทธิพลของชาติตะวนั ตก เชน่ อนุญาตให้
สหรัฐอเมริกาตั้งฐานทัพในประเทศไทย สะท้อนให้เห็นว่าชาติตะวนั ตกมีอิทธพิ ลเหนือประเทศไทย เป็นอย่าง
มาก ในปีนั้นเองที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านทรงเปรียบเศรษฐกิจพอเพียงเป็นเสมือนบ้าน ควรมีเสาเข็ม
พ่ึงตนเองเป็นพืน้ ฐาน เพราะฉะนน้ั เศรษฐกิจพอเพียงตามหลักกสิกรรมธรรมชาติจึงเป็นการแปลงสาระส้าคญั
ของเศรษฐกิจพอเพยี งเปน็ “ทฤษฎีบนั ได 9 ขั้น สูค่ วามพอเพียง” สามารถสรุปได้ ดังน้ี

บนั ไดขั้นที่ 1 – 4 เศรษฐกจิ พอเพียงขนั้ พ้ืนฐาน

ขน้ั ที่ 1 คือ พอกิน ซ่งึ เป็นขัน้ พ้ืนฐานท่สี ุดของมนุษย์ คือ ความต้องการปัจจัย 4 และประการทส่ี ้าคัญ
ท่ีสุดของปัจจัย 4 คือ อาหาร โดยเห็นว่า แนวทางการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน คือ การตอบค้าถามให้ได้ว่า “ท้า
อย่างไรจึงจะพอกิน” ซึ่งจะต้องให้ความส้าคัญกับอาหารเป็นหลัก เกษตรกรต้องอยู่ให้เป็นโดยไม่ใช้เงิน มี
อาหารพอมี พอกนิ ด้วยการปลูกผกั ผลไม้ มีการเก็บขา้ วไวใ้ หพ้ อกนิ ท้ังปี

ขั้นท่ี 2 – 4 คือ พอใช้ พออยู่ พอร่มเย็น สามารถเกิดขึ้นได้พร้อมกัน โดยการ “ปลูกป่า 3 อย่าง
ประโยชน์4อย่างป่าอย่างจะให้ท้ังอาหารเครื่องนุ่งห่มสมุนไพรส้าหรับรักษาโรค ให้ไม้ส้าหรับท้าบ้านพักที่อยู่
อาศยั และให้ความร่มเยน็ กบั บ้านและชุมชนและจะเป็นแนวทางในการแกป้ ัญหาความยากจนจาการท้าเกษตร
เชิงเดยี่ ว
ปัญหาความเส่ือมโทรมของทรัพยากร ปญั หาความขาดแคลนน้า ภยั แล้ง ท้งั หมดลว้ นแกไ้ ขได้จากแนวคิดปา่ 3
อยา่ งประโยชน์ 4 อยา่ งขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู วั ฯ รัชกาลที่ 9

บันไดขั้นท่ี 5-9 คอื เศรษฐกิจพอเพยี งข้ันกา้ วหนา้

ขั้นที่ 5-6 บุญและทาน จากความเช่ือม่ันว่าสังคมไทยเป็นสังคมบุญ สังคมทาน ไม่เน้นการ
แลกเปลี่ยนทางการคา้ แต่เน้นการทา้ บุญ ไมเ่ นน้ การสะสมเป็นของส่วนตัว แต่เนน้ การให้ทาน

ขั้นท่ี 7 เก็บรักษา ขั้นต่อไปหลังจากสามารถพึ่งตนเองได้ พอมี พอเหลือท้าบุญ ท้าทานแล้ว คือการ 82
รู้จักเก็บรักษา ซ่ึงเป็นการต้ังอยู่ในความไม่ประมาท และการรู้จักเก็บรักษา ยังเป็นการสร้างรากฐานของการ
เอาตวั รอดในเวลาเกดิ วกิ ฤตการณ์

ข้ันท่ี 8 ขาย เนื่องจากเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ใช่เศรษฐกิจการค้า แต่ก็ไม่ใช่เศรษฐกิจหลังเขา การค้า
ขายสามารถท้าได้ แต่ท้าภายใตก้ ารรจู้ ักตนเอง รจู้ กั พอประมาณ และท้าไปตามลา้ ดบั โดยของทีข่ าย คือ ของท่ี
เหลือจากทกุ ขัน้ แล้วจงึ นา้ มาขาย เช่น ท้านาอนิ ทรีย์ ปลกู ข้าวปลอดสารเคมี ไม่ทา้ ลายธรรมชาติ ได้ผลผลติ เก็บ
ไว้พอกิน เก็บไว้ท้าพนั ธุ์ ท้าบุญ ท้าทาน แล้วจึงน้ามาขายด้วยความรูส้ ึกของการ “ให้” อยากที่จะให้ส่ิงดี ๆ ที่
เราปลกู เอง เผ่อื แผใ่ ห้กับคนอนื่ ๆ ไดร้ ับสิ่งดี ๆ นั้น ๆ ดว้ ย

ข้นั ที่ 9 เครือขา่ ย คือ การสรา้ งเครอื ข่ายเช่อื มโยงทั้งประเทศ เพ่อื ขยายผลความ สา้ เร็จตามแนวทาง
เศรษฐกิจพอเพียง สู่การปฏิวัติแนวคิด และวิถีการด้าเนินชีวิตของคนในสังคม ในชุมชน เพ่ือการแก้ปัญหา
วิกฤต 4 ประการ อันได้แก่ วิกฤตการณ์ส่ิงแวดล้อม ภัยธรรมชาติ วิกฤตการณ์โรคระบาดทั้งในคน สัตว์ พืช
วิกฤตเศรษฐกจิ ขา้ วยากหมากแพงวกิ ฤตความขัดแยง้ ทางสังคม

สรุปผลการเรยี นรู้
ผู้เข้าอบรมส่วนใหญ่ มีความเข้าใจเกี่ยวความเป็นมาของ “ทฤษฎีบันได 9 ข้ัน สู่ความพอเพียง”

เพม่ิ มากข้ึน และเขา้ ใจหลักคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง สามารถน้าหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไป
ประยุกต์กับตนเอง และองค์กร ได้ และตระหนักถึงการบริหารจัดการเป็นขั้นเป็นตอนตามค้ากล่าวที่ว่า
“เดินทีละก้าว กินข้าวละค้า” เนน้ แนวคดิ การพงึ่ ตนเองเปน็ หลกั

6. วิชาหลักกสิกรรมธรรมชาติ 83

วทิ ยากรหลกั นายสุนทร แววมะบตุ ร เครือขา่ ยโคก หนอง นา โมเดล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

1) วัตถุประสงค์
1.1 เพือ่ ใหผ้ เู้ ข้ารบั การฝึกอบรมเข้าใจเกยี่ วกบั หลกั กสิกรรมธรรมชาติ
1.2 ตระหนักการปลกู ใหเ้ กิดคุณคา่ บรู ณาการในพ้ืนท่ีทา้ กินเดิมให้มสี ภาพใกลเ้ คยี งกบั ปา่

2) ประเดน็ เนื้อหา
2.1 ความหมายของกสกิ รรม และเกษตรกรรม
2.2 แนวคิดของกสกิ รรมธรรมชาติ
2.3 ความเปน็ จริงแห่งปญั หาทนุ นิยม
2.4 หัวใจหลักกสิกรรมธรรมชาติ กับปา่ 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อยา่ ง

3) ระยะเวลา
1 ชว่ั โมง

4) วธิ ีการ/เทคนคิ
4.1. วทิ ยากรบรรยายให้ความรู้ โดยใชส้ ่อื Power Point ประกอบการบรรยาย
4.2. แลกเปลี่ยนความคิดเหน็

5) วสั ดุ / อุปกรณ์
1. สือ่ Power Point
2. คอมพวิ เตอร์ เคร่ืองฉายโปรเจคเตอร์

6) ขน้ั ตอน / วิธีการ
วิทยากรแนะน้าตัว แนะน้าส่ือประกอบการสอน โดยวิทยากรได้ให้ผู้เข้าอบรมตระหนักถึง

ความส้าคัญของการท้าตัวเป็นน้าไม่เต็มแก้ว สามารถเรียนรู้ส่ิงใหม่ ๆ ตามสถานการณ์โลกได้ตลอดเวลา
จากการบรรยายสามารถสรปุ ใจความสา้ คัญได้ ดังนี้

ความหมายของค้าว่า “กสิกรรม” และ “เกษตรกรรม”
ค้าว่า “กสิกรรม” กับค้าว่า “เกษตรกรรม” มีความหมายต่างกัน ค้าว่า“กสิกรรม” มาจากค้า
บาลีว่า กสิกมฺม (อ่านว่า กะ-สิ-กัม-มะ) ซึ่งหมายถึง การเพาะปลูก, การไถ ในภาษาไทยค้าว่า “กสิกรรม”
เขียนค้าวา่ กรรม ตามแบบสันสกฤต คอื ก ไก่ ร หัน ม ม้า หมายถึง การท้าไรไ่ ถนา ใช้ตรงกับค้าภาษาอังกฤษ
ว่า farming (อ่านว่า ฟารม์ -ม่ิง)
ส่วนค้าว่า “เกษตรกรรม” มาจากค้าสันสกฤตว่า เกฺษตฺร (อ่านว่า กะ-เสด-ตระ) ซ่ึงหมายถึง นา
กับค้าว่า กมฺม (อ่านว่า กัม -มะ) ซ่ึงหมายถึงการกระท้า ค้าว่า เกษตรกรรม ใช้ตรงกับค้าภาษาอังกฤษว่า
agriculture (อา่ นวา่ อะ-กรฺ ี-คลั -เช่อร์) หมายถึง การใชป้ ระโยชน์จากท่ีดิน เชน่ การเพาะปลกู พืชต่าง ๆ การป่า
ไม้ รวมทงั้ การเล้ยี งสัตว์ และการประมงด้วย
กสิกรรม คอื การเพาะปลูก ไม่รวมถึงการเล้ียวสัตว์ การประมงหรอื ป่าไม้ โดยค้าวา่ กสิ คอื การไถ
หว่าน จงึ หมายถงึ ผทู้ า้ การปลกู ขา้ ว พึ่งตนเอง พง่ึ ธรรมชาติ ไม่ธรรมลายเคารพนอบน้อมตอ่ ธรรมชาติ และเกิด
มติ ทิ างความเช่ือและจิตวิญญาณเป็นที่มาแหง่ วิถีวฒั นธรรมไทย เพราะสมยั ก่อนคนไทยจะเรียกดินว่า แมธ่ รณี

เรียกน้าวา่ แม่คงคา เรียกฝนว่าพระพิรุณ เรยี กขา้ วว่า แมโ่ พสพ และตน้ ไมน้ ้ันก็เชอ่ื ว่ามีรกุ ขะเทวดาเฝา้ อาศยั อยู่ 84
รวมถึงวฒั นธรรมเกยี่ วกบั การเพาะปลกู ในสมยั กอ่ นทม่ี กี ารทา้ พิธขี วัญควาย เพราะควายมพี ระคณุ ต่อชาวนา

เกษตร มาจากศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Agriculture เป็นแนวคิดตะวันตกแบบทุนนิยม เน้นความ
รา้่ รวยและผลประโยชน์สูงสดุ นา้ ไปสกู่ ารท้าลายน้า ดิน และทรพั ยากรธรรมชาติทง้ั หมด สว่ นเกษตรสมัยใหม่
นั้น ท้าแบบผูกขาดครบวงจร ดังค้ากล่าวที่ว่า “เกษตรนายทุนครบวงจร เกษตรกรครบวงจน” เป็นการท้า
เกษตรเชิงเด่ียว มกี ารดดั แปลงพนั ธุกรรมพชื และสัตว์ ใช้เทคโนโลยีและเครื่องจักรในการผลิต เกษตรกรหันมา
ใชส้ ารเคมี/ ปุย๋ / ยาฆา่ แมลง และฮอร์โมนตา่ ง ๆ ในภาคการเกษตร ท้าแบบครบวงจรเพื่อสร้างระบบผูกขาด
ใช้กลไกตลาดเป็นตัวควบคุมราคา และท้ายท่ีสุดเปลี่ยนการผลิตเป็นเกษตรอุตสาหกรรม เช่น บริษัท CP
คน้ คว้าการผลติ ไกแ่ บบไมม่ ีขน เนน้ การใช้เทคโนโลยเี พ่ือการผลติ และเนน้ ผลก้าไรสงู สุด

ปัจจัยที่ท้าให้เกิดทุกข์ของแผ่นดินในระบบการศึกษา เศรษฐกิจการเมือง พิจารณาได้จากบันได
3 ข้นั ของลทั ธกิ ารล่าอาณานิคมสมยั ใหม่ ขน้ั ที่ 1 ครอบงา คือ ระบบการศกึ ษาท่ีแยกส่วนปลูกฝงั อุดมการณ์
ทุนนิยม โดยระบบการศึกษาที่ล้มเหลว น้าสู่ระบบราชการท้าให้บูรณาการกันไม่ได้ ขั้นท่ี 2 ควบคุม คือ
ระบอบประชาธิปไตยแบบผู้แทนผูกขาดรัฐสภาท่ีขาดคุณธรรมการเลือกตั้ง และการซ้ือเสียงเพื่อได้อ้านาจ
บริหาร และนิติบัญญัติ รวมถึงการสรา้ งเศรษฐกิจแบบผูกขาด ข้ันที่ 3 ยึดครอง คือ ยึดครองที่ดินเกษตรโดย
ธนาคาร หรอื ภาคอุตสาหกรรม

จากการขยายตัวของประชากรและเศรษฐกิจส่งผลใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดนิ
ไปสู่พื้นที่เกษตรอุตสาหกรรม และท่ีอยู่อาศัยมากข้ึน ส่งผลให้คุณภาพแหล่งน้าผิวดินเส่ือมโทรมลงปี 2551
คุณภาพนา้ แหลง่ น้าผิวดนิ ดังน้ี

22 % อย่ใู นเกณฑ์ดี
54 % อยู่ในเกณฑพ์ อใช้
24 % เส่ือมโทรม
0 % เสอ่ื มโทรมมาก
โดยแหล่งน้าผิวดินที่เสื่อมโทรมมากคือ แม่น้า เจ้าพระยาและท่าจีนตอนล่าง สะแกกรัง ลพบุรี เพชรบุรี
ตอนล่าง และลา้ ตะคอง ตอนล่าง ซ่ึงมคี วามหนาแนน่ ของประชากร และกจิ กรรมทางเศรษฐกิจ
ทั้งน้ีผลกระทบจากการท้าเกษตรกรรมแบบทุนนิยม จะส่งผลผลกระทบข้างเคียงต่อเกษตรกร/
ผบู้ ริโภค ไดแ้ ก่
1. ผลกระทบต่อเกษตรกร สารพษิ สะสมในตวั เกษตรกร(80%) สุขภาพออ่ นแอเส่ียงต่อการเป็น
โรครา้ ยแรง สุดทา้ ยหมดตวั จากการปว่ ยไข้
2. ผลกระทบตอ่ ผู้บริโภค คือ บรโิ ภคอาหารมสี ารพิษและฮอร์โมนตกค้างเสีย่ งตอ่ โรคร้ายแรงอายุ
สัน้ ตายกอ่ นวยั อันควร สารตกค้างทพ่ี บมากที่สุด ในกะหล่า้ ปลี กะหล้่าปลสี ีมว่ ง กะหล่้าดอก คะน้า ถัว่ ฝักยาว
พรกิ ถวั่ ลนั เตา สลัดแกว้ ผกั กาดฮอ่ งเต้ บลอ็ กโคล่ี ผลไมท้ มี่ ีสารตกค้างมากทส่ี ุด ไดแ้ ก่ องุ่น ส้ม สตรอวเบอร่ี
แคนตาลูป และแตงโม ตามล้าดบั ส่วนสารพษิ ตกคา้ งในอาหาร ผัก 4 อนั ดับท่ีมีสารตกค้างมากที่สดุ ไดแ้ ก่ 1)
ถัว่ ฝกั ยาว เกนิ ค่าความปลอดภัย 2-10 เท่า2) ผักชีเกินคา่ ความปลอดภยั 30-100 เท่า 3) พริกจนิ ดา เกนิ
คา่ ความปลอดภัย 121 เทา่ และ 4) คะนา้ เกินคา่ ความปลอดภัย 202 เท่า

3. ผลกระทบด้านภูมิปัญญาและวิถีท้องถ่ิน ท้าลายระบบการพึ่งพาตนเองของเกษตรกรปุ๋ย/ 85
เมล็ดพนั ธุ์พชื /พนั ธ์ุสัตว์ ทา้ ลายภมู ิปญั ญาท้องถ่ิน สมุนไพรวิถีการเพาะปลูกพชื การเล้ยี งสตั ว์

จากผลกระทบของการท้าเกษตรในระบบทุนนิยม แนวคิดหลักกสิกรรมจึงต้องมีคาถาเล้ียงดิน
เพื่อระลกึ ถงึ การทา้ เกษตร

ยุทธศาสตรข์ องกสกิ รรมธรรมชาติ คือ “ดนิ ” ดินดีคอื ดนิ มชี วี ิต “เราเชื่อวา่ ดินมชี ีวติ ” เรามาช่วยกัน
“คืนชีวติ ให้แผ่นดนิ ” ตามพระราชด้าริของในหลวง รชั กาลที่ 9 ท่วี า่ จะท้าให้ดนิ ดี อย่าปอกเปลอื กเปลือยดนิ
ให้ห่มดนิ บา้ รงุ ดนิ ด้วยแห้งชาม (ปุ๋ยหมกั ) น้าชาม (ปุ๋ยน้าหมกั ) และลกั ษณะการปลกู พชื ตามหลักกสกิ รรม
ธรรมชาติ ควรปลูกดอกไมล้ ่อแมลง เรยี กว่า การหลอกล่อ สมนุ ไพรไลแ่ มลง(เปลีย่ นกล่ินพืช) ปลูกดอกไม้หลาก
สี ดงึ ดดู ตัวห้า ตัวเบียน กับดกั แมลง ไฟลอ่ แมลง สว่ นการบรหิ ารจดั การน้าตามศาสตรพ์ ระราชา ใช้แนวคิด
“จากภผู า...สู่มหานที” ดงั ภาพ

สมนุ ไพร เจด็ รส ทใี่ ช้ในการเกษตรตามหลักกสิกรรม สรุปได้ ดังนี้ 86

1. น้าหมักสมนุ ไพรรสจดื ได้แก่ ใบกล้วย ผักบ้งุ รางจดื และพชื สมนุ ไพรท่มี ีรสจืดทกุ ชนิด สรรพคณุ จะเป็นปุ๋ย
บ้ารงุ ดิน ใหด้ ินมคี วามรว่ นซยุ โปร่ง และท้าให้ดนิ ไม่แขง็ และใชบ้ ้าบัดนา้ เสยี ได้
2. นา้ หมกั สมุนไพรรสขม ไดแ้ ก่ ใบสะเดา บอระเพด็ ใบข้ีเหล็ก และพืชสมนุ ไพรทม่ี ีรสขมทุกชนดิ สรรพคุณ
สามารถฆ่าเชอ้ื แบคทเี รีย เพอ่ื สรา้ งภมู ิคุ้มกนั ให้กบั พชื
3. น้าหมกั สมุนไพรรสฝาด ไดแ้ ก่ ปลีกลว้ ย เปลอื กมังคุด เปลือกฝรงั่ มะยมหวาน และพชื สมุนไพรที่มีรสฝาด
ทกุ ชนิด สรรพคณุ ฆ่าเชือ้ ราในโรคพชื ทกุ ชนดิ
4 . น้าหมกั สมนุ ไพรรสเบือ่ เมา ไดแ้ ก่ หัวกลอย ใบเมลด็ สบ่ดู ้า ใบนอ้ ยหนา่ และพืชสมุนไพรท่มี ีรสเบือ่ เมาทกุ
ชนิด สรรพคณุ ฆา่ เพล้ีย หนอน และ แมลง ในพชื ผกั ทุกชนดิ
5.น้า หมักสมนุ ไพรรสเปรีย้ ว วตั ถุดบิ ได้แก่ มะกรดู มะนาว กระเจ๊ียบ และพืชสมนุ ไพรท่ีมีรสเปรี้ยวทุกชนดิ
สรรพคุณ ไล่แมลงโดยเฉพาะ
6. น้าหมกั สมุนไพรรสหอมระเหย วตั ถุดิบ ได้แก่ ตะไคร้หอม ใบกะเพรา ใบเตย และพืชสมนุ ไพรมรี สหอม
ระเหยทกุ ชนิด สรรพคุณ จะเปน็ นา้ หมักทีเ่ ปล่ียนกล่ินของต้นพืช เพ่อื ปอ้ งกันไมใ่ ห้แมลงไปกัดกินทา้ ลาย
7. นา้ หมักสมนุ ไพรรสเผ็ดร้อน วตั ถุดบิ ได้แก่ พริก ขิง ข่า และพืชสมนุ ไพรท่ีมีรสเผด็ ร้อนทกุ ชนิด

สรุปผลการเรียนรู้
พบวา่ ผเู้ ข้าอบรมสว่ นใหญ่มีความสนใจในเนอ้ื หาของการบรรยาย เนอื่ งจากบางเรือ่ งเปน็ ความรู้

ใหม่ของผู้เข้าอบรม ท้าให้ผู้เข้าอบรมมีส่วนร่วมในการเรียน บรรยากาศในห้องเรียนจึงเป็นเวที ของการ
แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ท้าให้ผู้เข้าอบรมมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้นเก่ียวกับปัญหาของทุนนิยมน้าไปสู่แนวคิด
กสิกรรมธรรมชาติ และเข้าใจ เหน็ คณุ คา่ ของการท้าเกษตรกรรมตามหลักกสิกรรม ทัง้ นี้ ผู้เขา้ อบรมสามารถน้า
ความรจู้ ากการฟังบรรยายของวิทยากรไปเผยแพรใ่ ห้กบั องค์กรของตนเอง

7. หัวข้อวชิ า ฝกึ ปฏบิ ตั ิ “ฐานการเรยี นรู้” 5 ฐานเรียนรู้
วิทยากร นางสาวพิมพ์ณดา ไมตรีเวช นักวิชาการพัฒนาชุมชนปฏิบัติการ และวิทยากรประจ้าฐานเรียนรู้
จ้านวน 10 คน

1. วัตถปุ ระสงค์
๑.1) เพอื่ ใหผ้ ้เู ขา้ รบั การฝึกอบรมรูแ้ ละเข้าใจถึงการนอ้ มน้าหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งมาปรับ

ใช้ในชวี ติ ประจา้ วนั และสามารถปฏิบตั ิจนเป็นวถิ ชี ีวิต
1.2) เพอื่ ผเู้ ขา้ อบรมมีทกั ษะ ความรูใ้ นแต่ละฐานการเรียนร้แู ละน้าไปปฏิบัติได้
1.3) สามารถน้าความรู้และเทคนิคในฐานต่าง ๆ ไปประยุกต์ใช้เป็นอาชีพเสริมในครัวเรือน เพื่อให้

เกดิ รายได้และพง่ึ พาตนเองได้

2. ประเดน็ เนื้อหา
2.1) ฐานเรยี นรู้ “คนรกั ษแ์ มธ่ รณี”
เน้อื หาการเรยี นร้:ู การท้าปุ๋ยชีวภาพ


Click to View FlipBook Version