The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารพึ่งตนเอง 2566

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ดิเรกฤทธิ์ ยุเหล็ก, 2023-09-12 20:28:43

เอกสารพึ่งตนเอง 2566

เอกสารพึ่งตนเอง 2566

ภาวะล่าเหยื่อ ภาวะล่าเหยื่อ (Predation) ● ผู้ล่าได้ประโยชน์ แต่เหยื˒อเป็นผู้เสียประโยชน์ ฝ่าย 1 ฝ่าย 2 อยู่ร่วมกัน + - แยกกัน 0 0


ภาวะพึ่งพา ภาวะพึ่งพา (Mutualism) ● ทั˕งสองฝ˓ายได้ประโยชน์ร่วมกัน และแยกกันอยู่ไม่ได้ เช่น ● ไลเคน (Lichen) เป็นสิ˒งมีชีวิตสองชนิด คือ รากับสาหร่าย พบตามเปลือก ต้นไม้ขนาดใหญ่ การอยู่ร่วมกันนี˕ทั˕งสาหร่ายและราต่างได้รับประโยชน์ กล่าว คือ สาหร่ายสร้างอาหารได้เอง แต่ต้องอาศัยความชื˕นจากรา ส่วนราก็ได้ อาศัยดูดอาหารที˒สาหร่ายสร้างขึ˕น ● จุลินทรีย์ในลําไส้สัตว์ ● โปรโตซัวในลําไส้ปลวก ฝ่าย 1 ฝ่าย 2 อยู่ร่วมกัน + + แยกกัน - -


ภาวะได้ประโยชน์ร่วมกัน ภาวะได้ประโยชน์ร่วมกัน (Proto-cooperation) ● สิ˒งมีชีวิต 2 ชนิดได้ประโยชน์ร่วมกันเมื˒อมาอยู่ด้วยกัน และสามารถแยก จากกันไปดํารงชีวิตตามปกติได้ ● เช่น นกเอี˕ยงและควาย ● ปูเสฉวนกับดอกไม้ทะเล ● แมลงกับดอกไม้ ● มดดํากับเพลี˕ยอ่อน ฝ่าย 1 ฝ่าย 2 อยู่ร่วมกัน + + แยกกัน 0 0


ภาวะอิงอาศัย ภาวะอิงอาศัย (เกื้อกูล) (Commensalism) ● ฝ˓ายหนึ˒งจะได้รับประโยชน์ อาจเป็น อาหาร ที˒หลบภัย สัญญาณเตือน จาก อีกฝ˓ายที˒ไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลย แต่ก็ไม่ได้เสียประโยชน์ ● เช่น ฉลามและเหาฉลาม โดยเหาฉลามจะคอยว่ายนํ˕าติดตามฉลามเพื˒ออาศัย กินเศษอาหารที˒ฉลามล่าโดยที˒ ฉลามไม่ได้ประโยชน์อะไรจากเหาฉลาม และก็ ไม่ได้เสียประโยชน์อะไรเช่นกัน ● ยีราฟกับม้าลาย โดยยีราฟจะเป็นเหมือนผู้ระวังภัย เพราะยีราฟมีคอที˒ยาว มาก จึงอาจเห็นผู้ล่าได้ไกลกว่า เมื˒อยีราฟตื˒นตกใจและวิ˒งหนี ก็จะเป็น สัญญาณให้ม้าลายรีบหนีได้ในทันที ● นกทํารังบนต้นไมั สัตว์เหล่านี˕ได้ที˒อยู่อาศัย หลบภัยจากศัตรูตามธรรมชาติ โดยต้นไม้ไม่ได้และไม่เสียประโยชน์อะไร ฝ่าย 1 ฝ่าย 2 อยู่ร่วมกัน + 0 แยกกัน - 0


ภาวะปรสิต ภาวะปรสิต (Parasitism) ● เป็นการอยู่ร่วมกันของสิ˒งมีชีวิตสองชนิดที˒ฝ˓ายหนึ˒งจะได้ประโยชน์ แต่อีกฝ˓าย (Host) จะเสียประโยชน์ หรือได้รับอันตราย ● เช่น กาฝากและต้นไม้กาฝากเป็นพืชที˒เมื˒อเกาะกับต้นไม้แล้ว จะแทง รากของตัวเองเจาะเข้าไปจนถึงท่อนํ˕าเลี˕ยงของต้นไม้ แย่งนํ˕าและ อาหารจากเจ้าของบ้าน จนต้นไม้ตายในที˒สุด ● เห็บและสุนัข เห็บจะคอยเกาะกินเลือดของสุนัขตลอดเวลา เห็บได้ ประโยชน์ แต่สุนัขเสียประโยชน์จากการอยู่ร่วมกัน ● พยาธิในคน พยาธิที˒อาศัยในลําไส้คน จะแย่งสารอาหารจากคน ทําให้ คนได้รับสารอาหารไม่เพียงพอจนอาจถึงตายได้ ฝ่าย 1 ฝ่าย 2 อยู่ร่วมกัน + - แยกกัน - 0


04 ห่วงโซ่อาหารและสายใยอาหาร


ผู้ผลิต (Producer) ● สิ˒งมีชีวิตที˒มีการสังเคราะห์อาหารขึ˕น มาเองได้เพราะมีคลอโรฟิลล์ ● สามารถสร้างอาหารได้เองโดยอาศัย แสงอาทิตย์ ซึ˒งจะผลิตนํ˕าตาลออกมา กักเก็บไว้ในส่วนต่าง ๆ ของพืช ● เช่น สาหร่าย พืชสีเขียว แบคทีเรีย บางชนิดที˒สังเคราะห์ด้วยแสงได้ ผู้บริโภค (Consumer) ● สิ˒งมีชีวิตที˒ไม่สามารถสร้างอาหารเองได้ ● กินพืช : เต่า กระต่าย วัว ควาย ● กินสัตว์ : เสือ สิงโต จระเข้ ● กินทั˕งพืชและสัตว์ เช่น คน สุนัข ● กินซากพืชซากสัตว์ : แร้ง แมลงวัน ไส้เดือนดิน ผู้ย่อยสลาย (Decomposer) ● มีหน้าที˒ย่อยสลายซากพืชซากสัตว์ ต่าง ๆ เช่น รา (Fungi) แบคทีเรีย (Bacteria) ● ปล่อยเอนไซม์ย่อยสารอินทรีย์ ● ช่วยหมุนเวียนสารในระบบนิเวศ ผู้ผลิต ผู้บริโภคลําดับที่ 1 ผู้บริโภคลําดับที่ 2 ผู้บริโภคลําดับที่ 3 ห่วงโซ่อาหาร (Food chain) ห่วงโซ่อาหาร ● การถ่ายทอดพลังงานของสิ˒งมีชีวิตเป็นทอด ๆ ● เป็นความสัมพันธ์ของสิ˒งมีชีวิตที˒มีการบริโภคต่อ ๆ กันจากผู้ผลิตสู่ผู้บริโภค ● ในห่วงโซ่อาหารประกอบไปด้วยทั˕งผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ย่อยสลาย


ผู้ผลิต ผู้บริโภคลําดับที่ 1 ผู้บริโภคลําดับที่ 2 ผู้บริโภคลําดับที่ 3 การเขียนห่วงโซ่อาหาร การเขียนห่วงโซ่อาหาร 1. จะเริ˒มจากการเขียนผู้ผลิตเป็นอันดับ 1 โดยเขียนทางด้านซ้าย ตามด้วยผู้บริโภคลําดับต่าง ๆ ไปเรื˒อย ๆ 2. และมีการเขียนลูกศรถ่ายทอดพลังงาน โดยหัวลูกศรจะชี˕ไปทางผู้บริโภค จากสิ˒งมีชีวิตหนึ˒งไปยังสิ˒งมีชีวิตหนึ˒ง 3. เช่น พืชเป็นผู้ผลิต ต่อมาหนูกินพืช หนูจึงเป็นผู้บริโภคอันดับ 1 และงูกินหนู งูจึงเป็นผู้บริโภคอันดับ 2 สิ˒งมีชีวิตเหล่านี˕จึงมีการถ่ายทอด พลังงานต่อกันไปเรื˒อย ๆ เป็นทอด ๆ


ห่วงโซ่อาหาร ห่วงโซ่อาหาร : พืช → ตั๊กแตน → กบ → งู → เหยี˒ยว → เห็ดรา ห่วงโซ่อาหาร : ข้าวโพด → ตั๊กแตน → กิ๊งก่า → งู


สายใยอาหาร (Food web) สายใยอาหาร ● ในระบบนิเวศมีห่วงโซ่อาหารหลายห่วงโซ่ สิ˒งมีชีวิตสามารถเลือกกินได้หลากหลาย ● สายใยอาหาร (Food web) เป็นการรวมห่วงโซ่อาหารหลายห่วงโซ่เข้าด้วยกัน (Complex food chain) โดยห่วงโซ่อาหารจะมีลักษณะเชื˒อมโยงกันเป็นใยแมงมุม และการถ่ายทอดระหว่างสิ˒งมีชีวิตเป็นไปได้หลายทาง ● ถ่ายทอดพลังงานแบบซับซ้อน ● เกิดสมดุลในระบบนิเวศ ถ่ายทอดพลังงาน ● ไปสู่ผู้กิน 10% ● สูญเสีย 90% ● หายใจ พลังงานความร้อนและขับถ่าย


สายใยอาหาร (Food web) สายใยอาหาร จากรูปสายใยอาหารนี˕ประกอบด้วย 8 ห่วงโซ่อาหาร ● พืช → หนู → กบ → งู → เหยี˒ยว ● พืช → หนู → นกฮุก ● พืช → หนู → แมวป˓า → สิงโต ● พืช → หนู → กระต่าย → แมวป˓า → สิงโต ● พืช → กระต่าย → แมวป˓า → สิงโต ● พืช → กระต่าย → สุนัขจิ˕งจอก → สิงโต ● พืช →แพะ → สุนัขจิ˕งจอก → สิงโต ● พืช → แพะ → สิงโต


6 ร่างกายมนุษย์


หัวข้อที่เราจะเรียนกันนะ ระบบหัวใจ 3 และระบบหมุนเวียนเลือด การเจริญเติบโตและวัย 1 อวัยวะ 2 6 ระบบหายใจ 4 ระบบย่อยอาหาร 5 ระบบขับถ่าย


การเจริญเติบโต 01 และวัย


การเจริญเติบโตและวัย 1. ด้านร่างกาย ● ส่วนสูงและนํ˕าหนักที˒เพิ˒มขึ˕น ● ขนาดอวัยวะใหญ่ขึ˕น ● เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว อายุ 15 ปี ● ชาย กล้ามเนื˕อเป็นมัด มีหนวดเครา เสียงห้าว ● ผู้หญิง สะโพกผาย หน้าอกใหญ่ขึ˕น เอวคอด 2. จิตใจและสติปัญญา ● ความคิด ● คําพูด ● ความสนใจ


ปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโตและวัย ปัจจัยที่มีผล 1. พันธุกรรม 2. สิ˒งแวดล้อม การเลี˕ยงดู 3. อาหาร 4. การเรียนรู้ 5. วุฒิภาวะ


การเจริญเติบโตและวัย วัยทารก (0-3 ปี) เจริญเติบโตเร็วมาก วัยก่อนเรียน (3-6ปี) วัยเรียน (7-12 ปี) ฟันนํ˕านมเริ˒มแทนที˒ด้วยฟันแท้ วัยรุ่น (13-20 ปี) เจริญเติบโตเร็วมากในช่วง 13-15 ปี วัยผู้ใหญ่ (21-60 ปี) วัยชรา (> 60 ปี) ร่างกายเริ˒มเสื˒อม


02 อวัยวะ


อวัยวะ แขน มือ ขา เท้า จมูก ตา ปาก หู หัว ฟัน ● เนื˕อเยื˒อที˒รวมกลุ่มกันเพื˒อทําหน้าที˒เฉพาะอย่าง อวัยวะภายนอก อวัยวะภายใน ปอด ตับ ลําไส้เล็ก ลําไส้ใหญ่ หัวใจ


ระบบอวัยวะ ระบบอวัยวะทําหน้าที่สัมพันธ์กัน ● เช่น ระบบทางเดินปัสสาวะ ไต ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ ทางเดินปัสสาวะ ● ระบบหัวใจและระบบไหลเวียนโลหิต ● ระบบย่อยอาหาร ● ระบบขับถ่ายของเสีย ● ระบบหายใจ


03 ระบบหัวใจและ ระบบไหลเวียนโลหิต


ระบบหัวใจ เอเทรียม ขวา (Right atrium) ห้องบนขวา รับเลือดที˒ใช้แล้ว เลือดดํา เวนทริเคิล ขวา (Right ventricle) ห้องล่างขวา รับเลือดจากห้องบนขวาแล้วไปฟอกที˒ปอด เอเทรียม ซ้าย (Left atrium) ห้องบนซ้าย รับเลือดที˒ฟอกแล้วจากปอด (เลือดแดง) เวนทริเคิล ซ้าย (Left ventricle) ห้องล่างซ้าย รับเลือดจากห้องบนซ้ายแล้วส่งไปเลี˕ยงร่างกาย Tricuspid valve ลิ˕นระหว่างหัวใจห้องบน และห้องล่าง Mitral valve ลิ˕นระหว่างหัวใจห้องบน และห้องล่าง Aortic valve ลิ˕นหลอดเลือดแดง Pulmonary valve ลิ˕นหลอดเลือดแดง Pulmonary vein หลอดเลือดดําปอด รับเลือดจากปอดเข้าสู่หัวใจ Pulmonary vein หลอดเลือดดําปอด รับเลือดจากปอดเข้าสู่หัวใจ หลอดเลือดพัลโมนารี อาร์เทอรี (Pulmonary artery) ลําเลียงเลือดจากหัวใจไปยังปอด หลอดเลือดแดงเอออร์ตา (Aorta) ซึ˒งลําเลียงเลือดจากหัวใจไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย หลอดเลือดดําเวนาคาวาส่วนบน (Superior vena cava) ซึ˒งลําเลียงเลือดจากส่วนบนของร่างกายกลับสู่หัวใจ


ระบบไหลเวียนโลหิต เอเทรียม ขวา (Right atrium) ห้องบนขวา รับเลือดที˒ใช้แล้ว เลือดดํา เวนทริเคิล ขวา (Right ventricle) ห้องล่างขวา รับเลือดจากห้องบนขวาแล้วไปฟอกที˒ปอด เอเทรียม ซ้าย (Left atrium) ห้องบนซ้าย รับเลือดที˒ฟอกแล้วจาก ปอด (เลือดแดง) เวนทริเคิล ซ้าย (Left ventricle) ห้องล่างซ้าย รับเลือดจากห้องบนซ้ายแล้วส่งไปเลี˕ยงร่างกาย หลอดเลือดฝอย บริเวณช่องท้องและขา Pulmonary vein หลอดเลือดดํา รับเลือดจากปอดเข้าสู่หัวใจ พัลโมนารี อาร์เทอรี (Pulmonary artery) ลําเลียงเลือดจากหัวใจไปยังปอด หลอดเลือดฝอยจากปอดซ้าย ซุพีเรียเวนาคาวา (Superior vena cava) เป็นหลอดเลือดดํา ซึ˒งลําเลียงเลือดจาก ส่วนบนของร่างกายกลับสู่หัวใจ หลอดเลือดฝอยจากปอดขวา อินพีเรียเวนาคาวา (Inferior vena cava) เป็นหลอดเลือดดํา ซึ˒งลําเลียงเลือดจากส่วนล่างของ ร่างกายกลับสู่หัวใจ หลอดเลือดฝอยจากส่วนหัว ไหล่ แขน พัลโมนารี อาร์เทอรี (Pulmonary artery) ลําเลียงเลือดจากหัวใจไปยังปอด Pulmonary vein หลอดเลือดดํา รับเลือดจากปอดเข้าสู่หัวใจ


หลอดเลือด หลอดเลือดแดง นําเลือดออกจากหัวใจ หลอดเลือดดํา นําเลือดเข้าหัวใจ หลอดเลือดฝอย เชื˒อมหลอดเลือดแดงกับดํา ขนาดเล็กและผนังบาง เส้นเลือดแดงเล็ก Arteriole เส้นเลือดดําเล็ก Venule


เลือด เซลล์เม็ดเลือดขาว (White blood cell) พลาสมา (Plasma) เส้นเลือด (ฺBlood vessel) เกล็ดเลือด (ฺPlatelets) เซลล์เม็ดเลือดแดง (ฺred blood cells) นํ˕าเลือด 55% (พลาสมา) เม็ดเลือดขาว สร้างภูมิคุ้มกัน จับกินเชื˕อโรค เกล็ดเลือด ช่วยการ แข็งตัวของเลือด เม็ดเลือด 45% เม็ดเลือดแดง ลําเลียงออกซิเจน


ความดัน ● ตัวบน ความดันเลือดขณะหัวใจบีบตัว ● ตัวล่าง ความดันเลือดขณะหัวใจคลายตัว


04 ระบบย่อยอาหาร


ปาก มีลิ˕นคลุกเคล้าอาหาร ฟันบดเคี˕ยว (ย่อยเชิงกล) นํ˕าลายมีอะไมเลสย่อยแป˖งเป็นนํ˕าตาลมอลโทส (ย่อยเชิงเคมี) หลอดอาหาร (Oesophagus) บีดรัดอาหารให้ลงกระเพาะ กระเพาะอาหาร (Stomach) กล้ามเนื˕อหดตัวและคลายตัวเป็นจังหวะ เพื˒อบีบรัดอาหารและคลุกเคล้าอาหารเข้า กับนํ˕าย่อยเพปซิน โปรตีนส่วนใหญ่จะถูก ย่อยที˒กระเพาะอาหารนี˕ ภายในกระเพาะ อาหารจะมีสภาพเป็นกรดเกลือสูง ลําใส้เล็ก (Small intestine) โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน จะถูกย่อยโดยนํ˕าย่อยจาก ลําไส้เล็กเอง นํ˕าดีที˒ตับผลิตเก็บไว้ในถุงนํ˕าดีเพื˒อใช้ย่อยไขมัน ให้แตกตัว นํ˕าย่อยจากตับอ่อน รวมทั˕งเอนไซม์จากจุนลินทรี ย์ที˒มีประโยชน์ในลําไส้เล็ก จากนั˕นอาหารที˒ถูกย่อยสมบูรณ์ แล้วก็จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดผ่านทางผนังของลําไส้ เล็ก ตับอ่อน สร้างนํ˕าย่อย ลําไส้ใหญ่ (Large Intestine, Colon) ไม่ย่อยแต่ดูดซึมนํ˕าและเกลือแร่ จํา กระเพาะดูดซึมยาและแอลกอฮอล์ ถุงนํ้าดีนํ˕าดีที˒ตับผลิตเก็บไว้ในถุงนํ˕าดี เพื˒อใช้ย่อยไขมันให้แตกตัว ระบบย่อยอาหาร (Digestive System) ประเภท ● ย่อยเชิงกล ทําให้ขนาดเล็กลง บด เคี˕ยว การบีบรัดของทางเดินอาหาร ● ย่อยเชิงเคมี ใช้เอนไซม์และเกิดปฏิกริยา เพื˒อการดูดซึม


05 ระบบขับถ่าย ของเสีย


ระบบขับถ่ายของเสีย ● กําจัดของเสียที˒เหลือจากกระบวนการย่อยและเผาพลาญพลังงาน มี 4 รูปแบบ ทางระบบทางเดิน ปัสสาวะ ทางผิวหนัง ทางลําไส้ใหญ่และ ทวารหนัก ทางปอด ❶ ❸ ❹ ❷


ทางลําไส้ใหญ่ ทวารหนัก ลําไส้ใหญ่ส่วนทอดขึ้นบน (Ascending colon) ลําไส้ใหญ่ส่วนขวาง (Transverse) ลําไส้ใหญ่ส่วนทอดลงล่าง (Descending) กระเปาะลําไส้ใหญ่ หรือ ซีกัม (Cecum) ลําไส้ใหญ่ ส่วนคด (Sigmoid colon) อุจาระ (Feces) ขับกากอาหารที˒เหลือจากการย่อยและดูดซึม ในรูปอุจาระ ไส้ติ่ง ลําไส้ใหญ่ ดูดซึมนํ˕าและเกลือแร่จากกากอาหาร ไคม์ (Chyme) อาหารที่ย่อยแล้ว (Ileocecal valve) ลิ้นลําไส้เล็กต่อลําไส้ใหญ่ ขับถ่ายของเสียทางลําไส้ใหญ่และทวารหนัก


ขับถ่ายของเสียทางปอด ถุงลม (Alviolus) : เป็นถุงบางๆ ถูกคลุมด้วยหลอดเลือดฝอย จึง เป็นบริเวณที˒มีการแลกเปลี˒ยนก๊าซเกิดขึ˕น ออกซิเจน (O2 ) คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2 ) เซลล์ เม็ดเลือด แดง O2 เข้า CO2 ออก เส้นเลือดฝอย ผนังถุงลม


ขับถ่ายของเสียทางผิวหนัง ● ของเสียในสถานะของเหลว อีกส่วนหนึ˒งถูกขับออกจากร่างกายในรูปของเหงื˒อ ซึ˒งผ่านทางผิวหนัง ● ผิวหนังนอกจากจะทําหน้าที˒กําจัดของเสียออกจากร่างกายในรูปของเหงื˒อแล้ว ยังมีส่วนระบายความร้อนให้แก่ร่างกายเพื˒อขับเหงื˒อออกสู่ภายนอก โดยปกติความร้อนที˒เสียไปทางผิวหนังจะมีปริมาณ 87.4 % ต่อมไขมัน เส้นเลือด รูขุมขน เนื้อเยื่อไขมัน หนังแท้ หนังกําพร้า ต่อมเหงื่อ เป็นท่อขดอยู่เป็นกลุ่ม ซึ˒งมีหลอดเลือดฝอยมาหล่อเลี˕ยงโดยรอบ โดยหลอดเลือดฝอยจะลําเลียงเอาของเสียออกจากร่างกายทางผิวหนัง ของเสียที˒ถูกลําเลียงมากับเลือด เมื˒อมาถึงบริเวณต่อมเหงื˒อ ของเสียจะแพร่ ออกจากหลอดเลือดฝอยเข้าสู่ท่อในต่อมเหงื˒อ จากนั˕นของเสียจะถูกลําเลียง ไปตามท่อ โดยจะเปิดอยู่บริเวณผิวหนังด้านบน เซลล์สร้างเม็ดสี ขน


ขับถ่ายของเสียทางระบบทางเดินปัสสาวะ กรวยไต ไตซ้าย ไตขวา ท่อไต กระเพาะ ปัสสาวะ เป็นทางผ่านของนํ้าปัสสาวะออกนอกร่งกาย ท่อปัสสาวะ หลอดเลือดดํา หลอดเลือดแดง เมดัลตา คอร์เทกซ์ ท่อไต ทางผ่านของปัสสาวะลงมายังกระเพาะปัสสาวะ กรวยไต เป็นทางผ่านของปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะ เป็นที˒เก็บปัสสาวะ เมื˒อปริมาณมากจะ ยืดหดตัว ทําให้รู้สึกปวดและขับปัสสาวะ ผ่านทางทางท่อปัสสาวะ


06 ระบบหายใจ


ระบบทางเดินหายใจ จมูก ทางเข้าออกของอากาศ มีขนจมูกช่วยกรองฝุ˓นและเชื˕อโรค ปรับอุณหภูมิของอากาศ มีหลอดเลือดฝอยจํานวนมาก กล่องเสียง เส้นเสียง ลมผ่านแล้วสั˒น เกิดเสียง หลอดลม เป็นทางผ่านไปยังปอด ปอด มี 2 ข้าง ถุงลมปอด มีหลอดเลือดฝอยมาเลี˕ยงจํานวนมาก ผนังบางชื˕น แลปเปลี˒ยนก๊าซออกซิเจนและ คาร์บอนไดออกไซด์ กระบังลม จมูก → คอหอย → หลอดลม → ขั้วปอด → ปอด → ถุงลม ปอดเป็นอวัยวะที่สําคัญที่สุดในระบบหายใจ ทําหน้าที่แลกเปลี่ยนแก๊ส โดยนําก๊าซออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย และขับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออก


กลไกการหายใจ เข้า-ออก หายใจเข้า หายใจออก (แบนราบ) กล้ามเนื้อ กระบังลมหดตัว กระดูกซี่โครงถูกดึงขึ้น กระดูกซี่โครง ถูกดึงลง (โค้งขึ้น) กล้ามเนื้อ กระบังลมคลายตัว ปอดหดตัว ปริมาตรของปอดลด ลง กล้ามเนื้อยึด กระดูกซี่โครง หดตัว กล้ามเนื้อยึด กระดูกซี่โครง คลายตัว ปอด ขยายออก ปริมาตรของปอดเพิ่มขึ้น กล้ามเนื้อหน้าท้อง คลายตัว ช่องท้อง ขยาย ความดันในช่องอกและ ปอดลดลง กล้ามเนื้อหน้าท้อง หดตัว ช่องท้อง แฟบ ความดันในช่องอก และปอดเพิ่มขึ้น


การถ่ายทอดลักษณะ ทางพันธุกรรม 7


ทดสอบ! ลองจับคู่แม่และลูกกันดูนะคะ


การถ่ายทอดลักษณะ ทางพันธุกรรม โดยมียีนเป็นหน่วยควบคุม ลักษณะทางพันธุกรรมของสิ˒งมีชีวิตสามารถถ่ายทอดจาก รุ่นหนึ˒ง → ไปยังอีกรุ่นหนึ˒ง ลักษณะทางพันธุกรรม เช่น สีผิว นัยน์ตา ลักษณะเส้นผม ลักยิ˕ม ติ˒งหู สันจมูก เป็นต้น


ลักษณะทางพันธุกรรม ผม หนังตา ตรง หยิก สองชั้น ชั้นเดียว ลักยิ้ม ติ่งหู ไม่มี มี มี ไม่มี


ลักษณะทางพันธุกรรม เชิงผมที่หน้าผาก การม้วน/ห่อลิ้น แหลม ตรง ม้วนลิ้น ห่อลิ้น นิ้วหัวแม่มือ สันจมูก กระดกได้ กระดกไม่ได้ สันจมูกโด่ง ไม่มีสันจมูก


1 Saturne est une géante gazeuse et possède plusieurs anneaux การแปรผันแบบไม่ต่อเนื˒อง 2 Malgré sa couleur rouge, Mars est en fait un endroit froid การแปรผันแบบต่อเนื˒อง การแปรผันทางพันธุกรรม ลักษณะทางพันธุกรรมของแต่ละคนที˒ได้รับการถ่ายทอดมาจากรุ่นบรรพบุรุษ (พ่อ แม่ ปู˓ ย่า ตา ยาย) ➠ไปสู่รุ่นลูกหลาน อาจมีลักษณะเหมือนหรือแตกต่างกัน ➠ ซึ˒งลักษณะแบบนี˕เรียกว่า การแปรผันทางพันธุกรรม เช่น รูปร่าง รูปหน้า สีผิว ลักษณะเส้นผม หนังตา ลักยิ˕ม ใบหู เป็นลักษณะทางพันธุกรรมที˒สามารถแบ่งแยกได้ชัดเจน เช่น มีลักยิ˕ม/ไม่มีลักยิ˕ม มีติ˒งหู/ไม่มีติ˒งหู หมู่เลือด ความสามารถในการห่อลิ˕น การถนัดมือซ้าย/มือขวา จํานวนชั˕นของหนังตา ขวัญเวียนขวา/ขวัญเวียนซ้าย กระดูกโคนนิ˕วหัวแม่มือกระดกไปมาได้/กระดกไปมาไม่ได้ เป็นลักษณะทางพันธุกรรม ที˒ไม่สามารถแบ่งแยกได้ชัดเจน มีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย ความแตกต่างของลักษณะจะ ปรากฏเป็นลําดับต่อเนื˒องกัน ทําให้ยากต่อการจัดหมวดหมู่และ อัตราส่วนจะแยกอย่างเด็ดขาดได้ยาก ซึ˒งเกิดจากอิทธิพลของ กรรมพันธุ์และสิ˒งแวดล้อมร่วมกัน มักถูกควบคุมโดยยีนหลายคู่ แปรผันได้ง่ายเมื˒อได้รับอิทธิพลจากสิ˒งแวดล้อม สามารถวัด ขนาดและปริมาณได้ เช่น สีผิวปกติของคน ความสูง นํ˕าหนัก โครงร่าง ระดับ สติปัญญา ฯลฯ ในสัตว์และพืช เช่น ขนาดของร่างกาย ผลผลิต ปริมาณการให้เนื˕อ นม และไข่ ฯลฯ


สารพันธุกรรม นิวเคลียส (Nucleus) Cell ภายในนิวเคลียสของเซลล์ประกอบด้วย➠โครโมโซม โครโมโซม จะคลายตัวเป็นเส้นบางยาว เรียกว่า ➠ โครมาทิน(Chromatin) โครโมโซม (Chromosome) โครมาทิน ที˒มีลักษณะเป็นสายยาวขดพันกัน ประกอบด้วยโปรตีนและดีเอ็นเอ(DNA) ซึ˒ง DNA ทําหน้าที˒เป็น➠ สารพันธุกรรม สาย DNA โปรตีน Nucleosome ประกอบด้วย DNA ที˒รวมอยู่กับโปรตีน ยีน (Gene) คือ ช่วงลําดับเบสของนิวคลีโอไทด์บนสายดี เอ็นเอ ซึ˒งควบคุมลักษณะแต่ละลักษณะของ สิ˒งมีชีวิตยีนอยู่เป็นคู่ Nucleotide DNA ➠เป็นสารพันธุกรรม ที˒ประกอบด้วยหน่วยย่อย ที˒เรียกว่า ➠นิวคลีโอไทด์ มีองค์ประกอบ 3 ส่วน ทําหน้าที˒เชื˒อม ต่อระหว่างนิว คลีโอไทด์ของ แต่ละหน่วยใน สายดีเอ็นเอ นํ˕าตาลเพนโทส เบสไนโตรเจน หมู่ฟอสเฟต Nucleotide คู่เบส Guanine Cytosine Adenine Thymine G C A T ประกอบด้วยพอลินิวคลีโอ ไทด์ 2 สายพันกันเป็น เกลียวคู่ เชื˒อมกันโดยเบส เบส A จะจับคู่กับเบส T เบส C จะจับคู่กับเบส G


สารพันธุกรรม Male Female โครโมโซมในเซลล์ร่างกายแต่ละเซลล์จะมีขนาดและรูปร่างที˒เหมือนกันเป็นคู่ ๆ เรียกว่า ฮอมอโลกัสโครโมโซม (homologous chromosome) ในมนุษย์มีจํานวน 46 โครโมโซม ➠ จึงมีฮอมอโลกัสโครโมโซมจํานวน 23 คู่ ไม่เกี˒ยวข้องกับเพศ 22 คู่ และมีเหมือนกันทั˕งใน เพศหญิงและเพศชาย➠ เรียกว่า ออโตโซม (autosome)หรือ โครโมโซมร่างกาย โครโมโซมเพศ 1 คู่ เพศหญิง โครโมโซมเพศจะเป็นโครโมโซม XX ส่วนในเพศชาย โครโมโซมเพศจะเป็น XY โครโมโซม 1 คู่ โครโมโซม 1 แท่ง


การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม การทดลองการผสมพันธุ์พืช ➠ ได้ทําการศึกษาการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจากการทดลองปลูกถั˒วลันเตา ➠ โดยมีลักษณะสําคัญของถั˒ว 7 ลักษณะ ได้แก่ สีของเมล็ด ลักษณะของเมล็ด สีของดอก สีของฝัก ลักษณะของฝัก ความสูงของลําต้น ตําแหน่งของดอก ผลการทดลอง ➠ พบว่าถั˒วลันเตาที˒เกิดจากการผสมพันธุ์กันในแต่ละครั˕งจะมีลักษณะบางอย่างปรากฏอยู่เสมอในรุ่นต่อ ๆ ไป ➠ ซึ˒งเป็นกฎเกณฑ์การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เรียกว่า กฎของเมนเดล ซึ˒งเป็นกฎที˒สําคัญอย่างยิ˒ง ทางพันธุศาสตร์ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม ➠ ต่อมาได้มีผลงานของนักวิทยาศาสตร์คนอื˒น ๆ ประกอบกับมีการปรับปรุงกล้องจุลทรรศน์ และเทคนิคต่าง ๆ ➠ ทําให้พบว่าภายในเซลล์ของสิ˒งมีชีวิตมีโครโมโซมเป็นโครงสร้างถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เกรกอร์ โยฮันน์ เมนเดล ➠ (Gregor Johann Mendel) ➠ เป็นบิดาแห่งวิชาพันธุศาสตร์ นักบวชชาวออสเตรีย


กฎของเมนเดล 1 Saturne est une géante gazeuse et possède plusieurs anneaux กฎการแยก 2 Malgré sa couleur rouge, Mars est en fait un endroit froid กฎการรวมกลุ่มอย่างอิสระ แอลลีลที˒อยู่เป็นคู่กันของยีนจะแยกออกจากกันระหว่างการ สร้างเซลล์สืบพันธ์ุ แอลลีลของยีนหนึ˒งที˒แยกกันจะรวมกลุ่มกับแอลลีลของยีนอื˒น ได้อย่างอิสระระหว่างการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ E e E e แอลลีน E ควบคุมลักษณะมีติ˒งหู แอลลีน e ควบคุมลักษณะไม่มีติ˒งหู Ee ee Ee มีติ˒งหู ee ไม่มีติ˒งหู ee ไม่มีติ˒งหู Ee มีติ˒งหู


การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม RR rr Rr Rr Rr Rr R R r r นักพันธุศาสตร์ใช้อักษรหรือสัญลักษณ์แทนยีนแต่ละยีน ➠ ใช้อักษรภาษาอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่ แทนยีนที˒ควบคุมลักษณะเด่น เช่น R แทนยีนที˒กําหนดลักษณะfดอกสีม่วง ซึ˒งเป็นลักษณะเด่น ➠ ใช้อักษรภาษาอังกฤษตัวพิมพ์เล็ก แทนยีนที˒ควบคุมลักษณะด้อย เช่น r แทนยีนที˒ควบคุมลักษณะดอกสีขาว ซึ˒งเป็นลักษณะด้อย ผลของการจับคู่ยีน มีดังนี˕ จีโนไทป์(Genotype) คือ การเรียกชื˒อคู่ ยีน รูปแบบของยีน เช่น RR , Rr , rr ฟีโนไทป์(Phenotype) คือ ลักษณะที˒ปรากฏซึ˒งเป็นการแสดงออก ของยีนการแปลผลจากจีโนไทป์ เช่น สูง เตี˕ย ม่วง ขาว Rr Rr RR Rr Rr rr R r R r พันธุ์แท้ ( Homozygous gene ) เช่น RR , rr ➠ เด่นแท้ ( Homozygous dominant ) เช่น RR ➠ ด้อยแท้ ( Homozygous recessive ) เช่น rr พันทาง ( Heterozygous gene หรือ ลูกผสม hybrid ) เช่น Rr พ่อแม่ F1 : ลูกรุ่นที˒ 1 F1 : ลูกรุ่นที˒ 1 F2 : ลูกรุ่นที˒ 2


ลักษณะยีนเด่น ยีนด้อย ยีนเด่น ยีนด้อย สูง ผมสีดํา ตาสองชั˕น ห่อลิ˕นได้ ผิวดํา ผมหยักศก มีลักยิ˕ม มีติ˒งหู เตี˕ย ผมทอง/ผมแดง ตาชั˕นเดียว ห่อลิ˕นไม่ได้ ผิวขาว ผมตรง ไม่มีลักยิ˕ม ไม่มีติ˒งหู


AA ต้นสูง พันธุ์แท้ (สัญลักษณ์เหมือนกัน) aa ต้นเตี˕ยพันธุ์แท้ (สัญลักษณ์เหมือนกัน) ➠ จีโนไทป์ ➠ ฟีโนไทป์ ต้นสูง พันธุ์ทาง AA ต้นสูง พันธุ์แท้ Aa ต้นสูง พันธุ์ทาง aa ต้นเตี˕ย พันธุ์แท้ ภาพ 1 ภาพ 2 พ่อ แม่ เซลล์สืบพันธุ์เพศผู้➠ ➠เซลล์ไข่ ผลของการผสมพันธุ์ระหว่างถั่วต้นสูงกับต้นเตี้ย F1 : ลูกรุ่นที่ 1 สูงหมดทุกต้น AA aa Aa Aa Aa Aa ลูกรุ่นที่ 1 เซลล์สืบพันธุ์เพศผู้➠ ➠เซลล์ไข่ Aa Aa AA Aa Aa aa ➠ จีโนไทป์ F2 : ลูกรุ่นที่ 2 ➠ ฟีโนไทป์ ต้นสูง : ต้นเตี˕ย 3 : 1 ผลของการผสมพันธุ์ระหว่างลูกรุ่นที่ 1 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม


Click to View FlipBook Version