ประวตั ิพระฤๅษี
ฤๅษีเมื่อปฏบิ ตั ิแลว้ ย่อมไดอ้ ภิญญา ๕ ประการ (ไม่เท่ากบั
พระอรหนั ตซ์ งึ่ มีขอ้ ที่ ๖. อาสวกั ขยญาณ – การทาํ อาสวะกิเลสใหส้ ิน้
ไป ซงึ่ กระทาํ ไดย้ ากกวา่ )
อิทธวิ ธิ ี – แสดงฤทธไิ ์ ด ้
ทิพพโสตญาณ – มีหทู ิพย ์
เจโตปริยญาณ – กาํ หนดรใู ้ จผูอ้ ืน่ ได ้
ปพุ เพนิวาสานุสติญาณ – ระลึกชาติได ้
ทิพจกั ขญุ าณ – มีตาทิพย ์
ฤๅษีมีภรรยาได ้
เนื่องจากฤๅษีมีหลายชนั้ จงึ มีขอ้ บญั ญตั ิสาํ หรบั ฤๅษีเช่ น
ฤๅษีชน้ั พรหมหา้ มมีภรรยาฤๅษีชนั้ เทพ องคป์ ฐมหา้ มมีภรรยาแตอ่ งค ์
ถดั ลงมามีภรรยาไดร้ าชฤๅษี, นรฤๅษี มีภรรยาได ้
ดงั นั้นจึงอยา่ เขา้ ใจผิดวา่ ฤๅษีมีภรรยาไม่ได ้ เนื่องจากมี
หา้ มเฉพาะฤๅษีชน้ั พรหม และชนั้ เทพที่เป็ นองคแ์ รกเท่านั้น ฤๅษีแม ้
จะบาํ เพ็ญพรต แตก่ ็มิใชพ่ ระสงฆใ์ นพุทธศาสนา วตั รปฏบิ ตั ิและการ
ถือศีลก็ตา่ งกนั มาก จึงไม่มีขอ้ หา้ มเรือ่ งมีครอบครวั
ตวั อยา่ งฤๅษีที่มีภรรยา
ฤๅษีโคตรมะ มีภรรยาคือ นางอหลยา (กาลอจั นา) มี
บตุ รชาย เป็ นปุโรหิตของทา้ วชนกใน
27
รามเกียรติค์ ือพระสตานันทมุนี
ฤาษีอตั ริ มีภรรยาคือนางอนะสยู า
ฤๅษีชมทคั นี มีภรรยาคือนางเรณุกา
ฤๅษีพฤหสั บดี มี ภรรยาคือนางตารา
ฤๅษีโทรณะ หรือโทรณาจารย ์ มีภรรยา มีบุตรชายชอื่ อศั วตั
ถามา
ฤาษีวยาสะ มีภรรยาคือ นางอมั พิกาและนาง
อมั พาลิกา มี บุตรชายชอื่ ปาณฑุ, ธฤ
ตราษฎร ์ และ วิทูร ฯลฯ
ฤๅษีเพชรฉลูกณั ฑ ์
(ตีมูรติอวตาร, ภาคหนึ่งของพระนารายณ)์
บรมครผู ปู ้ ระสิทธคิ ์ วามเจริญรงุ่ เรืองและมน่ั คง,บรมครแู หง่ ไสยเวทวทิ ยา
ลกั ษณะ มี ๓ แบบดงั นี้
ปางวิษณุกรรม (คติครชู า่ ง)
มีหนา้ สีเขยี ว ทรงมงกฎุ นํา้ เตา้ ทรงถือเครือ่ งมือชา่ ง เชน่ ลกู ดิง่ ฯลฯ
ปางเทวกรรมประสิทธิ์ (คติครชู า่ ง)
มีลกั ษณะน่ังพนมมือ อยใู่ นวงเชอื กนาคบาศเป็ นรปู เลข 8 (เลขอา
รบิก)
28
ปางเพชรฉลูกณั ฑ ์
(คติไสยศาสตร)์ นอกจากอวตารวมกนั ของพระตรีมูรติที่มีนารายณ์
เป็ นองคป์ ระธานแลว้ บางคติยงั ระบุวา่ เป็ นการอวตารหลอมรวม ๘
มหาฤๅษีเขา้ ดว้ ยกนั คือ ฤๅษีนารายณ์ , ฤๅษีตาไฟ (ศิวะ) , ฤๅษี
พรหมปรเมศ, ฤๅษีนารอท, ฤาษีวสิษฐ,์ ฤๅษีกาลลาวสี ิกข,ี ฤๅษีมุนี
ภทั รเวช และฤๅษีมหาเทวะมุนีเวช บงั เกิดเป็ นฤๅษีมีพนั กร
ลกั ษณะเศียร
๓ ชน้ั ชนั้ ลา่ งและชนั้ กลางเหมือนกนั คือมี ๓ หนา้ (บางแหง่ อาจ
สรา้ งเป็ น ๔ หนา้ ก็ได)้ ปากแสยะ มีเขยี้ ว และที่ยอดดา้ นบน เป็ น
ยอดฤๅษีอีก ๑ หนา้
ทงั้ ๓ แบบเรียกรวมๆ วา่ ฤๅษีเพชรฉลกู ณั ฑ ์ คือผูป้ ระสิทธปิ ์ ระสาท
ความมน่ั คงและเจริญรงุ่ เรือง เป็ นบรมครใู หญ่ของการเรียนเวทมนตร ์
การกลา่ วโองการเชญิ ครทู ุกสาํ นักมกั เอือ้ นเอย่ นามของฤๅษีเพชรฉลู
กณั ฑอ์ ยูเ่ สมอ ท่านเป็ นอีกผูห้ นึ่งทีมีฤทธาศกั ดานุภาพมาก และมี
บารมีสงู สง่ เพียบพรอ้ มไปดว้ ยเมตตาธรรมเป็ นที่รกั ของมวลมนุษยท์ ว่ั ไป
ท่านเป็ นภาคหนึ่งของพระนารายณ์ รวมกบั บารมีแหง่ พระศิวะและพระ
พรหมธาดา บําเพ็ญตบะจนธาตธุ รรมเกิดการแตกอณูออกมาเป็ นรปู
และนามของพระเพชรฉลกู ณั ฑใ์ นมิติตา่ งๆ ซงึ่ ลว้ นกาํ เนิดมาจากตน้
ธาตตุ น้ ธรรมเดียวกนั พระเพชรฉลกู ณั ฑเ์ ป็ นแรงครตู ามความเชอื่ ของ
โบราณาจารย ์ เป็ นญาณบารมีของอคั นีธาตทุ ี่รอ้ นแรง ทรงตบะเดชะ
และอาํ นาจ เป็ นมหาปราบ และเป็ นผสู ้ รา้ งสถาปัตย ์ การกาํ หนดรปู
29
แห่งฤๅษีเพชรฉลกู ณั ฑเ์ สมอเถร (การเยือ้ งยา่ งกาย) เป็ นนิมิตหมาย
แห่งความมน่ั คงและเจริญรงุ่ เรือง เพื่อความเป็ นสิริมงคลของผูบ้ ูชา
ในคติไสยเวท นับถือกนั วา่ เป็ นตรีมูรติปางหนึ่ง ที่มีพระ
นารายณเ์ ป็ นประธาน มีพระพกั ตรแ์ ละพระกรนับพนั สามารถอาํ นวย
ความสาํ เร็จไดอ้ ยา่ งน่าอศั จรรย ์ มียนั ตท์ ี่เรียกวา่ หวั ใจเพชรฉลกู ณั ฑ ์,
นะเพชรฉลกู ณั ฑ,์ ยนั ตต์ รีนิสิงเห – เพชรฉลกู ณั ฑถ์ อดรปู , ยนั ตล์ ง
พิสมรเพชรฉลกู ณั ฑ ์ ฯลฯ ไดร้ บั ความนิยมในตาํ รบั พิชยั สงครามของ
ไทยและกมั พูชา
ในคติดา้ นการชา่ งทกุ ชนิด นิยมเรยี กวา่ พระวษิ ณุกรรม (เพชรฉลู
กรรม)
ฤๅษีพระพิราพ
พระศิวะอวตารภาคปราบมาร
ลกั ษณะเศียรครู หนา้ ยกั ษ ์ ปากแสยะ หนา้ สีม่วงแก่ ตา
ฤๅษีพระพิราพ จระเข ้ ศีรษะโลน้ เสน้ ผมและลาํ ตวั เป็ นวง
ลายทกั ษิณาวรรต สวมมงกฎุ ยอดเดินหน
(เรียกวา่ พระพิราพทรงเครื่อง)
นิยมเรียกสนั้ ๆ วา่ พระพิราพ คือพระศิวะ
อวตารในภาคดหุ รือภาคปราบมาร คาํ วา่
พระพิราพ มาจากคาํ วา่ ไภรพะ , ไภระวะ,
ไภราพ เป็ นเทพเจา้ แหง่ ความตาย นับถือ
กนั มานานนับพนั ปี ทงั้ ในอินเดีย , ทิเบต,
30
เนปาล ตา่ งก็มีเทวรปู ทา่ นประดิษฐานไว ้
ถือเป็ นบรมครสู งู สดุ ทางนาฏศิลป์ (พระพิ
ราพนี้ เป็ นคนละตนกบั ยกั ษว์ ริ าธ พิราพ
ป่ าในเรื่องรามเกียรติ ์ ซงึ่ มีนิสยั เกเร ยกั ษ ์
วริ าธเป็ นเทวอสรู อยบู่ นสวรรคช์ น้ั ดาวดึงส ์
ลกั ลอบรกั กบั นางฟ้ าตนหนึ่ง จึงถกู ทา้ ว
เวสสวุ ณั สาปใหเ้ ป็ นยกั ษป์ ่ าชอื่ วิราธ
(แปวา่ ผกู ้ ระทําผิด แตม่ ีฤทธมิ ์ าก) ซงึ่ คน
สว่ นใหญม่ กั เขา้ ใจผิดวา่ เป็ นตนเดียวกนั
ยกั ษว์ ิราธมีหนา้ ที่เพียงเฝ้ าสวนมะม่วง
เท่านั้น) สว่ นฤาษีพิราพ ก็คือ พระไภระ
วะ ท่านประทบั ในป่ าชา้ เป็ นเทพเจา้ แห่ง
ความตาย เทพเจา้ แหง่ การกาํ จดั ภตู ผี
ปี ศาจ อวมงคล เสนียดจญั ไรทงั้ หลายให ้
สิน้ ไป ดว้ ยเหตนุ ีจ้ ึงเกิดคติการนับถือ
พระพิราพหรือพระไภระวะมานานนับพนั ปี
โดยเชอื่ วา่ พระองคจ์ ะชว่ ยปกป้ องคมุ ้ ครอง
ขจดั โรคภยั ไขเ้ จ็บ อาถรรพร์ า้ ยและภตู ผี
ปี ศาจ
ในวงการนาฏศิลป์ ของไทยเชอื่ กนั วา่ เป็ นครูที่แรง มกั จะมี
อาถรรพเ์ กิดขนึ้ ถา้ หากวา่ มีการลบหลู่ หรือถา้ ไม่ใหค้ วามเคารพอยา่ ง
จริงจงั ก็จะเกิดสิ่งไม่ดีแกผ่ อู ้ ยใู่ นวงการนาฏศิลป์ -โขน-ละคร แตจ่ ะให ้
คณุ แรงแกผ่ ูน้ ับถืออยา่ งจริงจงั เชน่ กนั จึงเป็ นที่เคารพยาํ เกรงเสมอมา
แตโ่ บราณ ในวงการนาฏศิลป์ ดรุ ยิ าคศิลป์ ถือวา่ พระพิราพหรือ
ฤๅษีพระพิราพทรงฤทธิอ์ าํ นาจสูงสุด ดงั ปรากฏในพิธกี ารไหว ้
คร-ู ครอบครดู นตรีและนาฏศิลป์ ไทยอยูเ่ นืองๆ ในบางพิธกี รรมที่ไม่ได ้
จดั ใหใ้ หญโ่ ตหรือมีเศียรครคู รบทงั้ หมด ก็มีการอนโุ ลมโดยนับถือ
31
พระพิราพเป็ นครสู งู สดุ ในฐานะเป็ นตวั แทนของพระศิวะ อาจตงั้ เศียร
พระพิราพคกู่ บั พระภรตมุนี (บรมครทู างโขน-ละครอีกตนหนึ่ง) ตงั้ ไว ้
สกั การบชู าคกู่ นั ...ในการแสดงโขน ละคร นาฏศิลป์ ตา่ งๆ จงึ ตอ้ งจดั
มณฑลพิธแี ละอญั เชญิ เศียรพระพิราพและพรภรตฤๅษีตง้ั คกู่ นั ไวบ้ นที่
บูชาเสมอ ดงั ปรากฏเป็ นหลกั ฐานที่มีบนั ทึกในพระตาํ ราครอบโขน
ละครฉบบั หลวงตงั้ แตค่ รงั้ รชั กาลที่ ๔ สืบมาถึงปัจจบุ นั ครผู ปู ้ ระกอบ
พิธจี ะทําการอา่ นโองการเชญิ องคพ์ ระพิราพมารบั เครื่องสงั เวย ปี่
พาทยจ์ ะเลน่ เพลงประจาํ องคท์ า่ น เสมือนวา่ ทา่ นไดเ้ ยือ้ งกรายเขา้ มา
ในมณฑลพิธี ครผู อู ้ า่ นโองการจะทาํ การ ครอบเทริดโนรา, เศียร
พระฤๅษีภรตมุนี และเศียรฤๅษีพระพิราพ เป็ นลาํ ดบั สดุ ทา้ ยแก่
ผูเ้ ขา้ รว่ มพิธี ซงึ่ ถือวา่ เป็ นลาํ ดบั ที่สาํ คญั มาก เป็ นเครือ่ งยืนยนั ถึง
ความสาํ คญั ของครอู สรู ฤๅษีตนนีไ้ ดเ้ ป็ นอยา่ งดี
ฤๅษีนารอท (นารทะ)
บรมครแู หง่ พระเวทมนตราและเป็ นอาจารยแ์ ห่งฤๅษีทงั้ ปวง, ผู ้
ประดิษพิณขนึ้ เป็ นครงั้ แรกในโลก ลกั ษณะเศียรครู หนา้ ฤๅษีสีกลีบ
ดอกบวั หรือสีเนือ้ สวมเทริดฤๅษี ยอดบายศรีลายหนังเสือ
นารทมุนี ผชู ้ อบอทุ านนามแห่งพระผเู ้ ป็ นเจา้ วา่ “นารา้ ย
นารายณ”์ อยู่เป็ นประจาํ เชอื่ กนั วา่ เป็ นผูแ้ สดงองคธ์ รรมของพระ
พรหมธาดา หรือพระผูเ้ ป็ นเจา้ ใหม้ นุษยผ์ ูอ้ ื่นรบั รู ้ จึงถือวา่ เป็ นผูส้ อน
ศาสนา เป็ นผูใ้ กลช้ ดิ พระผเู ้ ป็ นเจา้ มากที่สดุ จึงอาจนําคาํ อธษิ ฐาน
ไปสพู่ ระผเู้ ป็ นเจา้ ไดร้ วดเร็ว
ตามคตินิยมของไทย นับถือกนั วา่ ..เป็ นครใู หญฝ่ ่ ายฤๅษี
และเป็ นอาจารยแ์ ห่งฤๅษีทงั้ ปวง ตาํ นานฤๅษีนารอทหรือนารทะ เป็ น
32
ฤๅษีชนั้ พรหมที่มีฤทธอิ ์ าํ นาจมาก เป็ นหนึ่งในปชาบดี (หรือพระ
ผสู้ รา้ ง) ๑ ในฤๅษี ๗ ตนที่พราหมณใ์ หค้ วามเคารพสงู สดุ ) แม้
ตาํ นานทศชาติก็กลา่ วถึงพระโพธสิ ตั วท์ ี่เสวยชาติเป็ นพรหมฤๅษี มี
ชอื่ วา่ นารอท ท่านเป็ นบตุ รของมหาฤๅษีกศั ยปเทพบิดร บา้ งก็วา่
เป็ นโอรสของพระพรหมธาดา เป็ นผรู ้ อบรใู ้ นอดีต ปัจจบุ นั อนาคต
(เรียกวา่ ตรีกาลชญา คือผรู ้ กู ้ าลทง้ั สามโลก)
พราหมณใ์ หค้ วามเคารพยกยอ่ งฤๅษีนารอทวา่ เป็ นยอดแหง่
ฤๅษี เป็ นเลิศดว้ ยคณุ ธรรมและความสามารถตา่ งๆ เป็ น
ผูเ้ ชยี่ วชาญในพระเวทรวมไปถงึ การดนตรี เป็ นผปู ้ ระดิษฐพ์ ิณ
หรือวณี าขนึ้ เป็ นครงั้ แรก เกง่ ดา้ นกฎหมายพระธรรมศาสตร ์ และยงั
เป็ นผูร้ อบรใู ้ นมนตราทง้ั ปวง ผูศ้ ึกษาวิทยาคมจงึ นิยมบชู าฤาษีนารอท
โดยเคารพวา่ เป็ นบรมครผู อู ้ ย่เู หนือมนตราทง้ั ปวง หากไดเ้ คารพบูชา
ทา่ นเชอื่ วา่ การเลา่ เรียนวทิ ยาคมยิ่งประสิทธิ ์ นอกจากนีท้ า่ นยงั เป็ น
หมอยาที่มีคาถาอาคมขลงั เกง่ ในทางรกั ษาโรคภยั ไขเ้ จ็บ และเป็ น
อาจารยร์ ดนํา้ มนตท์ ี่เชยี่ วชาญ
ฤๅษีภรตมุนี
ผูร้ จนาคมั ภีรน์ าฏยาศาสตร ์ ๑๐๘ ทา่ รําของพระศิวะ
ฤๅษีภรตมุนี เป็ นฤๅษีผแู ้ ตง่ ตาํ ราฟ้ อนราํ ตามคมั ภีรน์ าฏย
ศาสตร ์ เป็ นครผู ูร้ วบรวมท่าราํ ของพระศิวะทงั้ ๑๐๘ เป็ นประโยชนแ์ ก่
การศึกษาดา้ นการฟ้ อนราํ ในอินเดียและประเทศตา่ งๆ ในภาคพืน้
เอเชยี อาคเนย ์ ซงึ่ มีประวตั ิตามตาํ นานโบราณดงั นี้
ตาํ นานการฟ้ อนราํ ของอนิ เดีย ตามที่ปรากฏในโกยิ่ลปุราณะ
ฉบบั อินเดีย ไดก้ ลา่ วไวว้ า่ ในกาลหนึ่ง ฤาษีกลมุ่ หนึ่งที่ตงั้ อาศรม
33
บาํ เพ็ญพรตอยกู่ บั ภรรยาในป่ าตาระคา ฤๅษีพวกนีป้ ระพฤติผิดใน
กาม มกั ยุง่ เกี่ยวกบั ผูอ้ ืน่ ซงึ่ มิใชค่ คู่ รองของตน อนั เป็ นการฝ่ าฝื นเทว
บญั ญตั ิ รอ้ นถึงพระศิวะตอ้ งชวนพระนารายณล์ งมาปราบ จนฤๅษีสิน้
ทิฐิ ยอมรบั ผิดแลว้ ก็ทูลขอขมาโทษ และสญั ญาวา่ จะปฏิบตั ิตนอย่าง
เครง่ ครดั ตอ่ ไป
ในกาลตอ่ มา พระศิวะมีพระประสงคจ์ ะแสดงการฟ้ อนราํ ให ้
ปรากฏเป็ นแบบฉบบั พระอิศวรจงึ ทรงฟ้ อนราํ พระภรตมุนีทรงบนั ทึก
ท่าฟ้ อนราํ ของพระอิศวรไวท้ กุ กระบวนท่า เพื่อเป็ นตาํ ราการฟ้ อนราํ แก่
มนุษยส์ ืบไป
ฤๅษีตาไฟ พระเนตรมุนีศวร
ผูท้ รงอิทธิฤทธิแ์ รงกลา้ ในจกั รวาล, บรมครูแหง่ ญาณสมั ผสั
ทิพยจกั ขญุ าณ
ฤๅษีตาไฟ พระฤๅษีผูม้ ีอาํ นาจทิพยป์ ระดจุ เนตรที่สาม เชอื่
กนั วา่ เป็ นพระศิวะอวตาร มี ๓ เนตร (ตรีเนตร) ตาที่ ๓ จะพาด
ขวางอย่กู ลางหนา้ ผาก ทรงอาํ นาจและอิทธฤิ ทธมิ ์ ากมาย ทา่ นจะ
หลบั สนิทอยู่ในฌานตลอดเวลา ถา้ หากวา่ เผยอเปลือกตาที่ ๓ นั้น
ขนึ้ มาเมื่อไหร่ จะมีเปลวไฟพุ่งออกจากดวงตาน้ัน สิง่ ที่อยตู่ รงหนา้ ของ
ท่านจะตอ้ งมอดไหมเ้ ป็ นเถา้ ถา่ นไปในที่สดุ สว่ นใหญ่จะใชส้ าํ หรบั
ทําลายลา้ งมาร นอกจากนีย้ งั มีพระเวททางดา้ นคงกระพนั แคลว้
คลาด มหาอดุ และมหาปราบ
ทา่ นมีนิสยั ดแุ ละพูดเสียงดงั แตจ่ ิตใจดี ชอบชว่ ยเหลือคนตก
ทกุ ขไ์ ดย้ าก สามารถดลบนั ดาลเรือ่ งสดุ วิสยั ใหเ้ ป็ นไปไดอ้ ยา่ ง
34
เหลือเชอื่ เสมอ นับถือกนั วา่ เป็ นบรมครแู ห่งญาณสมั ผสั เป็ นผมู ้ ี
ญาณหยง่ั รอู ้ นั ลึกซงึ้ จงึ เป็ นที่เคารพบูชาของเหลา่ พราหมณ์
โหราจารย ์ ผรู ้ า่ํ เรียนพระเวท และผูส้ ื่อจติ ญาณขององคเ์ ทพยิ่งนัก
มีเรือ่ งราวปรากฏในรามยณะ เมื่อมีเจา้ ชายกลมุ่ หนึ่งตะโกน
ดา่ ฤๅษี ฤๅษีลืมตาที่สามขนึ้ มีไฟพุ่งออกมาเผาผลาญกลมุ่ เจา้ ชาย
กลายเป็ นเถา้ ถา่ นไปในบดั ดล
การบูชาฤๅษีตาไฟ นิยมนํานํา้ สะอาด ๑ แกว้ ตงั้ บชู าไว ้
ดา้ นหนา้ รปู ป้ันของท่านเสมอเพื่อแกเ้ คล็ดในการบชู าวา่ ใหบ้ งั เกิด
ความรม่ เย็น (เพราะเนตรท่านเป็ นธาตไุ ฟ) โดยถือวา่ รปู ทา่ นเป็ นแกว้
สารพดั นึก อาํ นวยโชคใหส้ าํ เร็จดงั ใจปรารถนา ทา่ นไดผ้ กู ตาํ รายนั ต ์
พระฤๅษีตาไฟขนึ้ โดยบอกอปุ เทห่ ว์ า่ “ใครมีไวไ้ ม่อบั จนเลย”
ฤๅษีกไลยโกฏิ ผูบ้ นั ดาลให้
ผูค้ น้ พบพนั ธุข์ า้ วสาลี ผูใ้ หก้ าํ เนิดเหล็กไหล
มนุษยม์ ีอายุยืนยาวและมีสุขภาพแขง็ แรง
ฤๅษีกไลยโกฏิ บาํ เพ็ญตบะฌานสรา้ งบารมีอยใู่ นป่ ามาเป็ น
เวลายาวนาน เพื่อหวงั สาํ เร็จทิพยญาณบารมี ทรงมีฤทธอิ ์ าํ นาจ
มหาศาลดจุ ดวงตะวนั นับพนั ดวง เมื่อไดบ้ วงสรวงบชู าท่านแลว้ ทา่ น
ย่อมชว่ ยเหลือใหพ้ น้ ความทุกขย์ ากเสมอ เป็ นผใู ้ หก้ าํ เนิดเหล็กไหล
ดว้ ยอภิญญาฤทธิ ์ เป็ นที่เสาะแสวงหากนั ในหมู่ชาวโลก ท่านมีอายุยืน
ยาวเป็ นโกฏิปี สามารถบนั ดาลใหม้ นุษยม์ ีอายยุ ืนยาว มีสขุ ภาพ
แขง็ แรง มีลกู หลานสืบสกลุ
35
อีกประการหนึ่ง ในระหวา่ งที่มวลมนุษยก์ าํ ลงั เดือดรอ้ นเรื่อง
อาหารการกินขาดแคลน ทําใหท้ ่านห่วงใยมนุษยเ์ หลา่ นั้น ดว้ ย
ฤทธาภินิหารและบุญญาธกิ ารจงึ ทําใหท้ ่านคน้ พบเมล็ดพนั ธุข์ า้ วสาลี
สาํ หรบั เป็ นอาหารของมนุษย ์ นับไดว้ า่ พระฤๅษีไลยโกฏมิ ีพระคณุ ตอ่
มวลมนุษยเ์ ป็ นอยา่ งมาก
ฤๅษีไลยโกฏิยงั เป็ น ๑ ในฤๅษี ๕ ตน ผทู ้ าํ พิธปี ระทานบุตร
ใหท้ า้ วทศรถไดม้ ีบตุ รสืบสกลุ โดยหุงขา้ วทิพยใ์ ห ้ ๓ มเหสีทรงเสวย
ไดแ้ ก่ นางเกาสรุ ยิ า , นางไกยเกษี และนางสมุ ทรชาหลงั จากน้ันก็ได ้
บุตรขนึ้ มาจริงๆ คือหลงั จากเสร็จพิธไี ดไ้ ม่นาน นางกากยายกั ษก์ ็นํา
ขา้ วทิพยเ์ อาไปใหน้ างมณโฑกิน นางจึงใหก้ าํ เนิดบตุ รสาวที่รปู โฉม
งดงามกวา่ หญิงใดในสามโลก คือนางสีดา นางสีดา กค็ ือฤาษีหน้า
กวางเพศหญิง ส่วนฤๅษีหน้ากวางเพศชาย คือ ฤาษีกไลย
โกฏิ
ฤๅษีอศิ วร มุนีภพ
เชอื่ กนั วา่ เป็ นอวตารปางหนึ่งของพระศิวะ ฤๅษีอิศวรเป็ นผู ้
ทรงคณุ บารมีอนั ยิ่งใหญ่ มุ่งแตบ่ ําเพ็ญตบะฌาน มุ่งทาํ ลายลา้ งอธรรม
ใหพ้ ินาศสิน้ เป็ นจอมมุนีของเหลา่ ฤๅษีทง้ั ปวงในนามของพระมุนีภพ
พระสวามีของพระนางสตี (ธดิ าของพระทกั ษะปชาบดี) แตท่ า่ นถกู
พ่อตาตาํ หนิวา่ แตง่ กายเหมือนคนวิกลจรติ ไวผ้ มเผา้ และหนวดเครา
ยาวรงุ รงั สวมใสผ่ า้ บงั สกุ ลุ หรือหนังสตั ว ์ นําเอาหวั กะโหลกคนมาเป็ น
สรอ้ ยสงั วาล ทาตวั ดว้ ยขเี้ ถา้ หรือผงวิภตู ิและชอบคบกบั พวกภตู ปี ศาจ
พระสตีจงึ นอ้ ยในที่พระบิดาวา่ กลา่ วพระสวามี จึงทําลายชวี ิต
ของตนเองดว้ ยการกระโดดลงไปในกองไฟที่ใชใ้ นการทําพิธี ดว้ ย
36
ความรกั ที่มีตอ่ พระนาง พระมุนีภพจึงโกรธพ่อตา ไดก้ ระทําเทวฤทธิ ์
แบ่งภาคออกจากพระโอษฐ ์ เป็ นพระวีรภทั ร ไปทาํ ลายลา้ งพิธยี ญั ญ
กรรมของพระทกั ษะ ทรงแผลงศรวีรภทั รถกู เหลา่ เทวดาลม้ ตายเป็ น
จาํ นวนมาก ศีรษะของพระทกั ษะขาดกระเด็นและถกู โยนเขา้ กองไฟ
ตอ่ มาพระมุนีภพไดต้ ดั หวั แพะตอ่ ใหก้ บั พระทกั ษะ จากนั้นจงึ
เดินทางไปยงั ป่ าหิมพานต ์ เพื่อบําเพ็ญธรรมสรา้ งบารมีตอ่ ไป
พระฤๅษีนารายณ์
.. เมื่อพระวิษณุนารายณป์ ระทานพรใหพ้ ระฤๅษี ที่ปฏบิ ตั ิจน
สาํ เร็จดว้ ยอาํ นาจแหง่ ทิพยฌานก็ดลบนั ดาลใหฤ้ ๅษีนารายณม์ ี ๔ กร
หรือ ๘ กร ทรงเครือ่ งเทพอาวธุ ตรี , จกั ร. สงั ข.์ คทา หรือดอกบวั
เป็ นตน้
ฤๅษีนาเรศ
น้องชายฤๅษีนารอท บรมครูแหง่ วิชาชบุ ตวั
กลบั รา้ ยกลายเป็ นดี
ฤๅษีนาเรศมีความสนั โดษ ชอบบาํ เพ็ญพรตอยูใ่ นป่ าเขาอนั
หา่ งไกลจากผคู ้ น ท่านเกง่ ในพระเวทมนตรา มีคาถาอาคมขลงั
ศกั ดิส์ ิทธิ ์ วิชาเฉพาะของท่านคือวิชา “ชบุ ตวั ” สามารถพลิกดวง
ชะตาจากรา้ ยใหก้ ลายเป็ นดีได ้ ชบุ ชวี ติจากความตกตา่ํ ใหส้ งู สง่ ขนึ้ ได ้
ทําสิ่งที่ไม่น่าเชอื่ วา่ จะเป็ นไปได ้ ใหเ้ ป็ นไปไดด้ ว้ ยอิทธบิ ญุ ฤทธขิ ์ องทา่ น
37
ทา่ นสามารถบนั ดาลไดท้ ง้ั นั้นหากเป็ นการชว่ ยเหลือมนุษยโ์ ลกและ
สรรพสตั วท์ ี่ตกทกุ ขไ์ ดย้ าก
ฤๅษีพระประคนธรรพ ์
พระประคนธรรพ ์ ปร + คนธรรพ ์ แปลวา่ ผเู ้ ป็ นใหญ่เหนือ
คนธรรพ ์ เป็ นยอดของคนธรรพท์ งั้ หลาย รา่ งกายมีรอยขดเป็ นวง
ทกั ษิณาวรรตรอบตวั เป็ น บรมครูแหง่ วิชาดนตรีปี่ พาทย ์ หรือ
เทพเจา้ แหง่ การดนตรี ดีดสีตีเป่ าและขบั รอ้ ง ฤๅษีพระ
ประคนธรรพท์ า่ นยงั มอบวชิ าคีตการของทา่ น ถา่ ยทอดใหก้ บั มนุษย ์
โลกเอาไวใ้ ชบ้ รรเลงบูชาเทพเจา้ และกลอ่ มเกลาจิตใจมนุษยใ์ หส้ นุ ทรีย ์
ในวงการศิลปะดนตรีมีความเคารพนับถือท่านมาก ในงาน
ไหวค้ รู – ครอบครู ดา้ นนาฏศิลป์ และดนตรีปี่ พาทยต์ า่ งๆ มกั จะมี
เศียรค์ รฤู ๅษีพระประคนธรรพ ์ สถิตเป็ นมิ่งขวญั ใหเ้ คารพสกั การะกนั
สืบมา
ฤๅษีปัญจสิงขร
บรมครูแหง่ วิชาดนตรีเครื่องสายมโหรี
ตามตาํ นานกลา่ ววา่ ท่าน เคยเกิดเป็ นมนุษย ์ เป็ นเด็กเลีย้ งโค
มีใจเลื่อมใสในทางกศุ ล ไดส้ รา้ งสิง่ ที่เป็ นสาธารณประโยชนไ์ วม้ าก
เมื่อตายจากโลกนีไ้ ดบ้ งั เกิดเป็ นเทพบุตรในชนั้ จาตมุ หาราชกิ มีชอื่ วา่
“ปัญจสิงขรคนธรรพเ์ ทพบุตร” เป็ นนักดีดพิณฝี มือเอกบนสวรรค ์
38
และขบั ลาํ นําเป็ นเลิศ จนเป็ นที่โปรดปรานของ พระสมณโคดมพุทธ
เจา้ ถึงกบั ทรงอนุญาตใหเ้ ขา้ เฝ้ าไดท้ กุ เวลา
ในวงการศิลปะดนตรีมีความเคารพนับถือทา่ นมาก ในงาน
ไหวค้ รู – ครอบครู ดา้ นนาฏศิลป์ และดนตรีปี่ พาทยต์ า่ งๆ มกั จะมี
เศียรครฤู ๅษีปัญจสิงขรสถิตเป็ นมิ่งขวญั ใหเ้ คารพสกั การะตลอดมา
ฤๅษีพรหมปรเมศ
บรมครูแหง่ พระเวทมนตราทุกแขนง
ฤๅษีพรหมปรเมศ เป็ นพรหมฤๅษีที่มีมเหศกั ดิ ์ มีฤทธานุ
ภาพยิ่งใหญ่อีกตนหนึ่ง เป็ นที่เคารพและยาํ เกรงของบรรดาพระพรหม
พรหมฤๅษี ทวยเทพ นางอปั สร ตลอดจนมนุษย ์ ครฑา พญานาค
คนธรรพ ์ วทิ ยธร กินนร แทตย ์ และอสรู ฤๅษีพรหมปรเมศทา่ นมี
นิสยั ดแุ ละวาจาเสียงดงั แตก่ ็แฝงไวด้ ว้ ยความเมตตา อบชว่ ยเหลือผู ้
ตกทุกขไ์ ดย้ าก มี ๔ พกั ตร ์ (ตรงกบั ทิศทง้ั ๔) และมี ๘ กร พระ
พกั ตรม์ ีสีเขยี ว วรกายสงู ใหญ่ มวยผมบนพระเศียรขมวดมุ่นขนึ้ ไป
เป็ นรปู ชฎา และเป็ นโพรงรอดตลอดตรงกลางเชน่ เดียวกบั ชฎาของ
ฤๅษีทว่ั ไป ท่านมีพระเวทมนตราอนั แกก่ ลา้ สามารถเสกหรือสรา้ ง
อะไรก็ไดต้ ามตอ้ งการ นับวา่ ท่านเป็ นผมู ้ ีคณุ กบั มนุษยเ์ ป็ นอนั มาก
39
ฤๅษีพรหมบุตร
คือเศียรพ่อแกเ่ ศียรแรกของโลก
เป็ นบุตรแห่งพระพรหมปรเมศกบั นางพรหมนารี (นาง
พรหมนารีถกู พระศิวะจาํ กดั ใหอ้ ยแู่ ตบ่ นพืน้ ดิน) ฤๅษีพรหมบตุ รได ้
บําเพ็ญฌานจนมีฤทธมิ ์ าก ไดต้ ามหาบิดาจนพบอยู่บนพรหมโลก
แตบ่ ิดาไดไ้ ลต่ นลงไป ฤๅษีพรหมบตุ รจึงลืมตวั ตอ่ สกู ้ บั ฤๅษีพรหม
ปรเมศผเู้ ป็ นบิดา ทวยเทพจึงทลู เชญิ พระนารายณเ์ สด็จมาปราบ โ ดย
ใชจ้ กั รตดั ศีรษะออกจากรา่ งกาย แตก่ ็ยงั ไม่ตาย พระศิวะจึงใชพ้ ระ
เพลิงจากเนตรที่สามเขา้ แผดเผารา่ งกลายเป็ นจนุ ไป เพื่อไม่ใหม้ าตอ่
กบั ศีรษะไดอ้ ีก แมเ้ หลือแคศ่ ีรษะฤๅษีพรหมบุตรก็ยงั ไม่ตาย เพราะมี
ฤทธอิ ์ าํ นาจฌาน สดุ ทา้ ยสาํ นึกผิด พระศิวะจึงมีบญั ชาลงโทษ โดย
ใหไ้ ปทาํ หนา้ ที่ชว่ ยเหลือสรรพสตั ว ์ ที่เดือดรอ้ นใหห้ ลดุ พน้ จากความ
ทกุ ข ์ มิใหย้ งุ่ เกี่ยวกบั พรหมโลกอีก โดยใหก้ ลบั ไปอยูป่ ่ าหิมพานต ์
ตามเดิม
ท่านไดช้ ว่ ยเหลือผคู ้ นจน ไดร้ บั ความเคารพนับถือกนั ทว่ั ไป
จึงบงั เกิดคตินิยม สรา้ งเป็ นเศียรฤๅษีขนึ้ มาเพื่อรําลึกถงึ ฤๅษี
พรหมบุตร เพราะเหตวุ า่ เศียรฤๅษีพรหมบตุ รทรงอานุภาพความ
ศกั ดิส์ ิทธิ ์ สามารถป้ องกนั อปุ ัทวนั ตรายและอปั มงคลทง้ั หลายได ้ ทงั้
อาํ นวยโชคลาภและความสาํ เร็จใหเ้ กิดขนึ้ กบั ผบู ้ ชู าไดอ้ ยา่ งน่าอศั จรรย ์
40
ฤๅษีโคตรบุตร
อาจารยข์ องทศกณั ฐ ์ ผูช้ าํ นาญพระเวทมนตราทุกแขนง
ฤๅษีโคตรบตุ ร ฤๅษีที่อิทธฤิ ทธแิ ์ ละบารมีสงู สง่ เป็ นพระ
อาจารยข์ องทศกณั ฐแ์ ละเหลา่ ยกั ษใ์ นรามเกียรติ ์ เป็ นวงคพ์ รหมอีก
ตนหนึ่งซงึ่ ไดล้ งมาบําเพ็ญตบะสรา้ งบารมีอย่ใู นโลกมนุษย ์ ทศกณั ฐไ์ ด ้
ร่าํ เรียนวชิ าจากฤๅษีโคตรบุตรจนเกง่ กลา้ สามารถ ชาํ นาญทงั้ มนตรา
คาถาอาคม สามารถกาํ บงั กาย หายตวั ได ้ ยอ่ ตวั ใหเ้ ล็กหรือใหญ่ขนึ้
ได ้ จะเนรมิตกายเป็ นอะไรก็ไดท้ ง้ั น้ัน ฤๅษีโคตรบุตรยงั มีวชิ ายิงธนูที่
ฉมงั และมนตรามหาเสน่หอ์ นั เป็ นที่เสน่หา ของเหลา่ อปั สรหรือนาง
สวรรคอ์ ีกดว้ ย เพียงเอย่ นามฤๅษีโคตรบตุ ร ก็อาจทําใหน้ างอปั สร
นางฟ้ า เทพธดิ า กินรี แวะเวยี นเขา้ มารกั มาชอบ อย่ไู ม่ขาดสาย
ทศกณั ฐ ์ ขอใหอ้ าจารย ์ (ฤๅษีโคตรบุตร) ชว่ ยถอดดวงใจให ้
ทศกณั ฐร์ บแพพ้ าลีถึงสองครงั้ สกู ้ บั อรชนุ ก็แพ้ จึงไปปรึกษาพระ
อาจารยใ์ หช้ ว่ ยถอดดวงจิตออกจากกาย พอไปถึงก็กม้ ลงกราบแลว้
พูดวา่ “พระอาจารยไ์ ดส้ อนศิลปศาสตรใ์ หข้ า้ ฯมากมายทง้ั พระเวท
พระมนตว์ ทิ ยา ลว้ นมีศกั ดาเกรียงไกร แตส่ ใู ้ ครไม่ได ้ ไปสกู ้ บั พระ
อรชนุ ก็ถกู จบั มดั สกู ้ บั พาลีก็แพ้ ขอพระอาจารยไ์ ดโ้ ปรดชว่ ยหาทาง
คิดอา่ นอย่าใหข้ า้ ฯตาย”
พระอาจารยก์ ็ตงั้ พิธกี รรมถอดจิตให ้ ใครถา้ ไม่ใชอ่ งคร์ าม
แลว้ จะฆ่าอย่างไรก็ไม่ตาย เพราะถอดดวงจติ ไปอยู่นอกกายเสียแลว้
ดงั นี้
41
ฤๅษีตาววั
เดิมท่านเป็ นพระสงฆต์ าบอดทงั้ สองขา้ ง แตช่ อบการเลน่ แร่
แปรธาตุ จนสามารถทาํ ปรอทเหลวใหแ้ ขง็ ไดด้ ว้ ยเวทมนตร ์ คราวหนึ่ง
ทา่ นไปถาน (สว้ ม) แลว้ เผอิญทาํ ปรอทสาํ เร็จตก จะหยิบเอาก็ไม่ได ้
ดว้ ยตามองไม่เห็น จงึ เงียบไม่บอกใคร เลยแกลง้ บอกศิษยใ์ หไ้ ปหาที่
ถานวา่ หากเห็นแสงเรืองๆเป็ นสิ่งใดก็ใหเ้ ก็บมาให ้ ในที่สดุ ก็ไดป้ รอท
คืนมา ทา่ นจึงลา้ งใหส้ ะอาดแลว้ ใสล่ ในโถนํา้ ผึง้ เพื่อเอาไวฉ้ ันเป็ นยา
ไม่ไดน้ ําติดตวั อีกเลย
ตอ่ มาทา่ นราํ พึงวา่ เราจะมวั มาน่ังตาบอดไปไย มีของดีวิเศษ
คือปรอทสาํ เร็จอยู่กบั ตวั จะกลวั อะไร คิดดงั นี้ จงึ ใหศ้ ิษยไ์ ปหาศพคน
ตายใหม่ๆ เพื่อควกั เอาลกู ตา แตศ่ ิษยห์ าไม่ได ้ พบววั นอนตายอย่จู งึ
ควกั ลกู ตาววั มาแทน ท่านจงึ นําปรอทแชน่ ํา้ ผึง้ มาคลึงที่ตา ไดค้ วกั ตา
ที่บอดออกไป เอาตาววั ใสแ่ ทน ใชป้ รอทคลึงที่หนังตา ดว้ ยฤทธขิ ์ อง
ปรอทสาํ เร็จในไม่ชา้ ตาที่บอดก็เห็นดีดงั เดิม ทา่ นน้ันจึงลาสิกขาจาก
ความเป็ นพระ มาถือบวชเป็ นฤๅษี จึงถกู เรียกวา่ ฤๅษีตาววั มาตงั้ แต่
บดั นั้น
ฤๅษีนนทิ หรือ ฤๅษีหน้าววั
ทา่ น เป็ นฤๅษีชน้ั เทพ ในภาคสวรรคเ์ ป็ นเทวดาที่มีรปู งาม
ทําหนา้ ที่เป็ นนักดนตรีประจาํ องคพ์ ระศิวะ หนา้ ที่อีกอย่างหนึ่งคือ เป็ น
พาหนะใหพ้ ระศิวะยามเมื่อจะเสด็จไปยงั ที่ตา่ งๆ โดยแปลงกายเป็ นโค
เผือกใหพ้ ระองคป์ ระทบั
42
ฤๅษีนนทิเป็ นผูเ้ ชยี่ วชาญในเรือ่ งดนตรี ขบั รอ้ ง ฟ้ อนรํา
โดยเฉพาะเรื่องการตีกลองทุกชนิด มีความเชยี่ วชาญเป็ นอนั
มาก มีศิลปะในการพูดเจรจาไดน้ ่าฟัง เป็ นที่เชอื่ ถือและยกยอ่ ง มี
เสน่หใ์ นตวั เป็ นที่รกั ใครข่ องเพศหญิงและบุคคลทว่ั ไป
ฤๅษีปู่เจา้ สมิงไพร
บรมครูแหง่ วิชามหาเสน่ห ์
ป่ เู จา้ สมิงไพร บา้ งก็เรียก ป่ เู จา้ สมิงพราย ปรากฏใน
วรรณคดีเรือ่ งลิลิตพระลอ อนั มีเนือ้ หาเกีย่ วพนั กบั สารตั ถะแหง่ ความ
รกั ความเสน่หาอาลยั ของหนึ่งชาย สองหญิง จนเกิดเป็ น
โศกนาฏกรรมความรกั วรรณคดีกลา่ วถึงนามแหง่ ป่ เู จา้ สมิงไพรใน
ฐานะอาจารยข์ องพระเพื่อนพระแพง เมื่อครง้ั ที่มีการทําเสน่หใ์ สพ่ ระลอ
บรมครปู ่ ูเจา้ สมิงไพรตนนี้ เชอื่ วา่ เป็ นหนึ่งในสามฤๅษีเทพเจา้ ผู ้
ปกปักรกั ษาป่ าเขาลําเนาไพรของไทย ประกอบไปดว้ ย ปู่เจา้
สมิงไพร, ปู่เจา้ เขาเขยี ว, และปู่เจา้ สมิงคา ตามเทวบญั ชาของ
พระอินทร ์
ท่านเคยประลองเวทมนตรก์ บั พราหมณข์ องเมืองพระลอ ป่ ู
เจา้ สมิงไพรไดใ้ ชม้ หามนตรา ปลกุ เรียกบริวารภตู พรายในปาขนึ้ มา
เพื่อสรา้ งกองทพั ไปทําลายพยนตอ์ าถรรพพ์ ราหมณ์ นอกจากนีย้ งั เสก
ภตู พรายลงในไกป่ ่ าเพื่อลวงใหพ้ ระลอเสด็จตามไก่ ไปพบกบั พระเพื่อน
พระแพง จนพบรกั กนั ในที่สดุ
การทําเสน่หเ์ ลห่ ก์ ล ผใู ้ ชว้ ชิ าดงั กลา่ วมกั จะมีการกลา่ วอา้ ง
นามของป่ ูเจา้ สมิงไพรเป็ นปฐม เพื่อดลบนั ดาลใหส้ าํ เร็จผลในกิจที่
กระทาํ เพื่อเพิ่มพลงั ทางไสยเวท เพราะทา่ นจะชว่ ยแผ่บารมีใหพ้ ราย
43
เหลา่ นั้นมีตบะบารมีแกก่ ลา้ ขนึ้ ทง้ั ยงั ป้ องกนั มิใหต้ อ้ งธรณีสารหรือ
ของเขา้ ตวั ไดเ้ ป็ นอยา่ งดี ในมติครบู าอาจารยท์ างไสยศาสตรไ์ ดก้ ลา่ ว
วา่ ทา่ นเป็ นบรมครดู า้ นการทําเสน่ห ์ เรียกจติ ฝังรปู ฝังรอย ทาํ หนุ่
เผ่าเทียน รวมไปถึงมายาศาสตรใ์ นการเรียกภตู ผีมาใชง้ าน
อานิสงสก์ ารบชู าป่ เู จา้ สมิงไพร มกั จะใหค้ ณุ ทางเมตตา มหา
เสน่ห ์ มหานิยม น่าคบคา้ สมาคม คณุ ทางดา้ นโชคลาภ ป้ องกนั
ภยนั ตรายตา่ งๆ เดินทางไม่มีอบุ ตั ิเหตุ ภตู ผีปี ศาจ สมั ภเวสีตา่ งเกรง
กลวั ในตบะแหง่ บรมครทู า่ นนีย้ ิ่งนัก
ฤๅษีเจา้ เขาเขยี ว หรือ ทา้ พนสั บดี
บิดาของนางกวกั
ฤๅษีป่ เู จา้ เขาเขยี วมีตาํ แหน่งเป็ นพระพนัสบดี คือ เจา้ แห่ง
ป่ าเขาลาํ เนาไพร ครงั้ นั้นมีสหายที่เป็ นอสรู ตนหนึ่ง ชอื่ “ทา้ อณุ า
ราช” ถกู พระรามแผลงศรทีทาํ จากตน้ กก ไปถกู ทรวงอกแลว้ รา่ งไป
ตรึงอยู่กบั เขาพระสเุ มรุ แลว้ ถกู สาปวา่ “ตราบเมื่อบตุ รของทา้ วอณุ า
ราชทอใยบวั เป็ นจีวรเพื่อถวายแดพ่ ระศรีอาริยเมตไตรย ที่จะเสด็จมา
ตรสั รใู ้ นภายภาคหนา้ จึงจะพน้ คาํ สาปได”้
ทา้ วอณุ าราช หรือทา้ วกกขนาก และนางประจนั ต ์ ธดิ าสาว จึงตอ้ ง
คอยปฏิบตั ิพระบิดา และพยายาม ทอจีวรดว้ ยใยบวั เพือ่ ใหเ้ สร็จทนั
ถวายพระศรีอาริยเมตไตรย แตฐ่ านะความเป็ นอยู่ของนางก็ลาํ บาก
มาก ป่ เู จา้ เขาเขยี วเกิดความสงสาร จึงสง่ นางกวกั บุตรสาวมาอยู่เป็ น
เพื่อน ดว้ ยบุญฤทธขิ ์ องนางกวกั จงึ บนั ดาลใหพ้ ่อคา้ วานิชและผูค้ นเกิด
ความเมตตา พากนั เอาทรพั ยส์ ินเงินทองและเครือ่ งอปุ บริโภคมาให ้
นางประจนั ตเ์ ป็ นอนั มาก ทําใหช้ วี ติ ความเป็ นอยขู่ องนางดียิ่งขนึ้
กวา่ เดิมมาก
44
ฤๅษีพระพฤหสั บดี หรือ ฤๅษีองั คีรส
บรมครูแหง่ สรรพศาสตร ์ อาจารยข์ องเหลา่ ทวยเทพ
ฤๅษีพระพฤหสั บดี หรือฤๅษีองั คีรส เกิดจากพระศิวะไดร้ า่ ย
พระเวทใหฤ้ ๅษี ๑๙ ตนป่ นเป็ นเถา้ ธลุ ี แลว้ ห่อดว้ ยผา้ สีแกว้ ไพฑูรย ์
ประพรมดว้ ยนํา้ อมฤต บงั เกิดเป็ นเทวราชฤๅษี มีสีกายดง่ั แกว้ ไพฑูรย ์
มีวิมานบุษราคมั ทรงกวางทองเป็ นพาหนะ มีหนา้ ที่รกั ษาเขาพระสเุ มรุ
ดา้ นทิศตะวนั ตก เฉลียวฉลาด พูดจาไพเราะสภุ าพ เป็ นบรมครแู หง่
สรรพวชิ าความรทู ้ งั้ มวล รวมถึงเป็ นอาจารยข์ องปวงเทพเทวาทงั้ หลาย
จึงใหถ้ ือวา่ วนั พฤหสั บดีเป็ นวนั ครู ในอินเดียจงึ นิยมไหวค้ รใู นวนั
พฤหสั บดีมาแต่โบราณ สืบทอดมาจนถึงปัจจบุ นั
ฤๅษีพระศุกร ์ หรือ ฤๅษีอศุ นศั
อาจารยข์ องพระราหู พระจนั ทร ์ และเหล่าอสูร
ในตาํ นานกาํ เนิดเทพนพเคราะห ์ พระศกุ รเ์ กิดจากพระศิวะ
ไดร้ า่ ยพระเวทใหโ้ ค ๒๑ ตวั ป่ นเป็ นเถา้ ธลุ ี แลว้ เนรมิตใหก้ ลายเป็ น
ฤๅษีพระศกุ ร ์ จึงมีกาํ ลงั ๒๑ มีสีกายเป็ นสีประภสั สร (สีดวงอาทิตย ์
แรกขนึ้ ) คลอ้ งประคาํ ถือไมเ้ ทา้ ทรงโคเป็ นพาหนะ สถิตอยู่ในวิมาน
ทอง ทําหนา้ ที่เป็ นปโุ รหิตของทา้ วพลี และดแู ลเขาพระสเุ มรฝุ ่ังทิศ
เหนือ จดั เป็ นเทพเจา้ แห่งโลกยี สขุ (ความรกั ความงาม และ
สนั ติภาพ) และเป็ นครขู องเหลา่ อสรู
สว่ นตาํ นานฤๅษีรอ้ ยแปดระบุวา่ ฤๅษีพระศกุ รจ์ ดั อยูใ่ นชน้ั
เทพฤๅษี เป็ นบุตรของฤๅษีภฤคุ ๑ ใน ๗ มหาสตั ตฤๅษีผูย้ ิ่งใหญ่
กบั นางชยาติ จงึ มีศกั ดิเ์ ป็ นหลานองฤๅษีทกั ษะปชาบดี จดั เป็ นหน่อ
เนือ้ เชอื้ ไขพระฤๅษีอย่างแทจ้ ริงผหู ้ นึ่ง
45
ฤๅษีพระศกุ รเ์ ชยี่ วชาญในพระเวทมนตราหลายแขนง อาทิ
มนตช์ บุ ชวี ติ , มนตท์ าํ ลายศตั รู, มนตบ์ นั ดาลใหด้ วงชะตาตกต่าํ ทงั้
การผูกพระเวท การแกพ้ ระเวท และการกนั พระเวทครบถว้ นทง้ั สาม
ประการ ฤๅษีพระศกุ รม์ ีศิษยย์ ิ่งใหญ่ระดบั เทพเจา้ ดาวเคราะหช์ น้ั สงู
คือ พระราหู, โสมเทพ (พระจนั ทร)์ ฯลฯ
ฤๅษีวาลมีกิ
ผูร้ จนาคมั ภีรร์ ามายณะ
พระฤๅษีวาลมีกิเป็ นผมู ้ ีเมตตาธรรมสงู และมีอายุยืน เป็ นผไู ้ ม่
มีความเศรา้ หมองและปราศจากโรคภยั เป็ นผแู ้ ตง่ มหากาพยร์ ามยณะ
หรือรามเกียรติอ์ นั ลือลน่ั ไปทงั้ โลก) ท่านเคยพบกบั ฤาษีวยาสะ (ผเู ้ ลา่
เรื่องราวใหพ้ ระคเณศเขยี นคมั ภีรม์ หาภารตะ) เมื่อพบกนั แลว้ ตา่ งก็ไต่
ถามถึงหนังสือคมั ภรี ข์ องกนั และกนั
46
ฤๅษีวยาสะ
ผูแ้ ตง่ และผูเ้ ลา่ เรื่องราวใหพ้ ระคเณศเขยี นคมั ภีรม์ หาภารตะ
ฤๅษียาสะมีความสามารถบนั ดาลให ้ ผอู ้ ืน่ มีทิพจกั ขญุ าณ
หรือมีญาณหยง่ั รไู ้ ดต้ ามที่ทา่ นตอ้ งการทุกเวลา ท่านเป็ นผขู ้ อรอ้ งให ้
พระคเณศเขยี นคมั ภรี ม์ หาภารตะจากคาํ บอกเลา่ ของตน ซงึ่ พระ
คเณศไดแ้ นะใหฤ้ ๅษีวยาสะเลา่ เรื่องไปจนจบ อย่าเพิ่งหยดุ ฤๅษีวยาสะ
จึงบอกพระคเณศวา่ ถา้ ไม่เขา้ ใจถอ้ ยคาํ ใดแลว้ ก็อย่าเพิ่งเขยี นเลย
จนกวา่ จะเขา้ ใจแลว้ คอ่ ยเขยี น ดว้ ยเหตผุ ลนีท้ ําใหพ้ ระคเณศมีเวลา
หยดุ พกั เพราะบางวรรคบางตอนฤๅษีก็ใชถ้ อ้ ยคาํ สงู สง่ ทําใหพ้ ระ
คเณศตอ้ งใชป้ ัญญาไตรต่ รองอยา่ งถีถ่ ว้ นและเขยี นออกมาไดอ้ ย่าง
ลึกซงึ้ คมคาย
ฤๅษียาสะ เป็ นบตุ รของนางสตั ยวดี กบั ฤๅษีปราศร เกิดตรง
บริเวณเกาะกลางแม่นํา้ ยมุนา มีชอื่ เดิมวา่ กฤษณะทไวปายณะ
(แปลวา่ ผูม้ ีผิวคลาํ้ ที่เกิดบนเกาะ) ตอ่ มาเปลี่ยนเป็ นวยาสะ แลว้ ออก
บวชเป็ นฤๅษี ตามแบบอย่างบิดา ไปอยใู่ นป่ าแถบเทือกเขาหิมาลยั
ตอ่ มาผเู ้ ป็ นมารดาไดใ้ หไ้ ปทํานิโยคะ กบั มเหสีม่ายสองคนของวิจติ รวี
รยะ (นอ้ งชายตา่ งบิดา) จึงตอ้ งหลบั นอนกบั มเหสีม่ายและนางกาํ นัล
อีก ๑ คน จนมีโอรส คือ ทา้ วธฤตราษฎร ์ ทา้ วปาณฑุ และทา้ ว
วิทูร ตอ่ มาโอรสของทา้ วธฤตราษฎรแ์ ละทา้ วปาณฑุแย่งชงิ ราชบลั ลงั ก ์
กนั จึงกอ่ สงครามขนึ้ โดยมีคนลม้ ตายนับลา้ นคน ฤๅษีเกิดความ
โศกเศรา้ จึงตอ้ งการบอกเลา่ เรื่องราวของบุตรหลานที่ประหตั ประหาร
กนั เอง จงึ กลายเป็ นนที่มาของคมั ภีรม์ หาภารตะ ซงึ่ ตลอดทง้ั คมั ภีรจ์ ะ
เป็ นการเลา่ เรือ่ งราวและสรรเสริญคณุ ของพระกฤษณะ
47
ฤๅษีคเณศวร
ผูร้ จนาคมั ภีรม์ หาภารตะตามคาํ บอกของฤๅษีวยาสะ
ฤๅษีคเณศวร เป็ นโอรสของพระศิวะและพระอมุ า มีพลงั
อาํ นาจในการขจดั อปุ สรรคทง้ั หลาย เป็ นผบู ้ นั ดาลความสาํ เร็จทุก
ประการ หากจะกระทาํ พิธกี รรมใดๆ ตอ้ งสกั การะฤๅษีคเณศวรกอ่ น
พิธกี รรมน้ันจึงจะประสิทธแิ ์ ละสาํ เร็จราบรืน่ เป็ นผูม้ ีปัญญาญาณสงู
เท่าเทียมกบั ฤๅษีวยาสะ
คติความเชอื่ เรือ่ งพระคเณศมีการปริวรรตเปลี่ยนแปลงอยา่ ง
รวดเร็ว จากเทพเจา้ แหง่ การขนัดอปุ สรรค มาเป็ นเทพเจา้ ผปู ้ ระทาน
ความสาํ เร็จ นอกจากนีย้ งั เป็ นเทพเจา้ แห่งศิลปะวทิ ยาการทกุ แขนง
โดยเฉพาะดา้ นอกั ษรศาสตรแ์ ละไสยศาสตร ์ เรือ่ งราวของท่าน
เกี่ยวขอ้ งกบั ทางโลกมากมายจึงเป็ นที่รจู ้ กั อยา่ งกวา้ ง เชน่ ในทวีป
เอเชยี ตา่ งรจู ้ กั ท่านเป็ นอยา่ งดี โดยเฉพาะเอเชยี ใต ้ เอเชยี อาคเนย ์
และเอเชยี ตะวนั ออก
ฤๅษีโคตรมะ หรือ เคาตม โคดม
ผูม้ ีวาจาเป็ นประกาศิต
เดิมเป็ นกษตั ริยป์ กครองเมืองสาเกต มีนามวา่ ทา้ วโคตรมะ
ไดส้ ละราชสมบตั ิออกมาบวชเป็ นฤๅษี บําเพ็ญตบะสรา้ งบารมีอยู่
อาศรมกลางป่ า เป็ นผรู ้ ภู ้ าษาสตั ว ์ มีอยูค่ รงั้ หนึ่งนกกระจาบสองผวั เมีย
ซงึ่ อาศยั ทาํ รงั อยู่ที่เคราของฤๅษี ไดพ้ ูดวา่ ฤๅษีไม่มีโอรสหรือธดิ าที่จะ
สืบราชสมบตั ิตอ่ ไปได ้ ถือวา่ เสียหายตอ่ บา้ นเมือง ถือวา่ เป็ นบาปอย่าง
48
หนึ่ง เมื่อฤๅษีไดฟ้ ังและพิจารณาดแู ลว้ ก็เห็นเป็ นจริงตามที่นกกระจาบ
พูด จงึ ประกอบพิธบี ริกรรมหนา้ กองไฟ บงั เกิดเป็ นอิสตรีผเู ้ ลอโฉม
ขนึ้ มาคนหนึ่ง ไดต้ ง้ั ชอื่ ใหว้ า่ “นางกาลอจั นา” ฤๅษีโคตรมะก็
บาํ เพ็ญฌานพรอ้ มครองคกู่ บั นางกาลอจั นาภายในอาศรม และตอ่ มา
นางไดต้ ง้ั ครรภแ์ ละคลอดธดิ าออกมานามวา่ สวาหะ
บางตาํ ราก็เขยี นแตกตา่ งออกไป เชน่ ระบุวา่ ฤๅษีมีภรรยาที่
พระพรหมประทานมาให ้ ชอื่ วา่ “อหลยา” ซงึ่ ตอ่ มาเป็ นชกู ้ บั พระ
อินทร ์ ฤๅษีโคตมะสาปภรรยาใหเ้ ป็ นเถา้ ถา่ น และบอกวา่ จะพน้ คาํ
สาปก็ตอ่ เมื่อนางไดพ้ บกบั พระรามแลว้ จากนั้นฤๅษีก็ขนึ้ ไปยงั พรหม
โลก เมื่อพระรามเสด็จลงมา นางก็พน้ คาํ สาปกลบั มาบริสทุ ธเิ ์ หมือน
ดงั เดิม ฤๅษีโคตรมะจึงกลบั มารบั นางไปพรหมโลก และมีบตุ รชอื่
ฤๅษีสธุ ามนั ตนั (ศตานันทะ) เป็ นปโุ รหิตของทา้ วชนก
พระฤๅษีตนนีม้ ีวาจาเป็ นประกาศิต (วาจาสิทธ)ิ ์ สามารถสาป
ใครใหเ้ ป็ นสิง่ ใดก็ไดต้ ามวาจาของท่าน ดงั นั้นอยา่ ประมาทพลาดพลงั้
ไปลบหลทู่ า่ นเด็ดขาด
ฤๅษีกาลสิทธิ์ หรือ ฤๅษีหน้าเสือ
เป็ นสหายกบั ฤๅษีหนา้ กวาง บําเพ็ญตบะอยูใ่ นสาํ นักฤาษีว
สิษฐด์ ว้ ยกนั ภายหลงั ทง้ั สองสหายไดแ้ ยกตวั ออกมาบําเพ็ญตบะในป่ า
บริเวณเขาไกรลาส พอนานไปก็ไดฌ้ านฤทธแิ ์ กก่ ลา้ ทงั้ สองตน
สามารถรา่ ยเวทมนตรแ์ ปลงใบหนา้ ตนเองเป็ นเสือและกวางได ้ โดยตา่ ง
49
ฝ่ ายตา่ งฝากนํา้ มนต ์ (สาํ หรบั ถอดถอนเพื่อคืนใบหนา้ กลบั เป็ นมนุษย ์
ดงั เดิม) ใหก้ บั อีกฝ่ ายหนึ่งไว ้
แตม่ ีบคุ คลที่สาม คือ ฤๅษีอตุ ริเขา้ มาชวนคยุ จนกระทง่ั
ฤๅษีหนา้ เสือและฤๅษีหนา้ กวางลืมเรือ่ งที่จะคืนใบหนา้ กลบั มา และยงั
ถกู ฤๅษีอตุ ริแกลง้ เทนํา้ มนตท์ ิง้ ไป ดว้ ยความอาถรรพข์ องเวทมนตรท์ ี่
ตนบริกรรมไว ้ ทงั้ สองจงึ หมดโอกาสที่จะกลบั มามีใบหนา้ เหมือนดงั เดิม
จงึ ตอ้ งกลายเป็ น ฤๅษี หนา้ เสือและฤๅษีหนา้ กวางตง้ั แตบ่ ดั นั้นเป็ นตน้
มา ซงึ่ ทง้ั สองก็ไดจ้ บั มือกนั ชาํ ระแคน้ โดยสาปฤๅษีอตุ ริใหม้ ีใบหนา้ เป็ น
ลิงแทน
ฤๅษีหิมวตั หรือ ฤๅษีหน้าเสืออกี ตนหนึ่ง
ฤๅษีหิมวตั หรือฤๅษีหิมพานต ์ เป็ นพระบิดาของพระอุ
มาเทวี ชายาของพระศิวะ ท่านจงึ เป็ นพ่อตาของพระศิวะในอีกชาติ
ภพหนึ่ง (นอกเหนือจาก พระทกั ษะปชาบดี บิดาของนางสตี) ฤๅษี
หิมวตั ทา่ นเกง่ กาจในการทาํ ศึกสงคราม เชยี่ วชาญในการปราบปราม
อริราชศตั รแู ละการปกครองอาณาประชาราษฎรร์ วมทงั้ บริวารไพรพ่ ล
ของท่าน
ในภาคนีม้ ีรปู รา่ งเป็ นมนุษย ์ นุ่งหม่ หนังเสือโครง่ สีเหลือง
ศีรษะเป็ นเสือโครง่ สวมประคาํ ทําจากเมล็ดรทุ รกั ษะ
ฤๅษีทกั ษะปชาบดี (ฤๅษีหนา้ แพะ)
50
ผูเ้ ป็ นพ่อตาของเหลา่ ทวยเทพและฤๅษี
พระทกั ษะปชาบดี เป็ น ๑ ใน ๑๐ ปชาบดี
ตามคมั ภรี ม์ านวธรรมศาสตร ์ ที่เรียกวา่ ฤาษีหนา้ แพะเกิด
จากสาเหตทุ ี่พระมุนีภพ อดีตชาติของพระศิวะ ไดท้ าํ การตดั แพะเอา
มาตอ่ ให ้ จงึ เรียกกนั มาตงั้ แตบ่ ดั นั้น
พระทกั ษะปชาบดีมีธดิ ามากถึง ๖๔ นาง (ในจาํ นวนนี้ ๑๓
นาง ยกใหเ้ ป็ นชายาของพระยม , ๑๓ นาง ยกใหเ้ ป็ นชายาของฤๅษี
กศั ยปะ, อีก ๑๑ นาง เป็ นชายาของฤๅษีตนอื่นๆ ดงั นี้
นางขยาติ (เลื่องลือ) เป็ นชายาของ ฤๅษีภฤคุ
พระสตี (จริง) เป็ นชายาของ ฤๅษีมุนีภพ (พระศิวะ)
นางสภตู ิ (ม่นั เหมาะ) เป็ นชายาของ ฤๅษีมรีจิ
นางสมฤดี (สติ) เป็ นชายาของ ฤๅษีองั คีรส
นางปรีติ (อิม่ ใจ) เป็ นชายาของ ฤๅษีปุลสั ตยะ
นางกษมา (อดทน) เป็ นชายาของ ฤๅษีปลุ หะ
นางสนั ติ (สงบ) เป็ นชายาของ ฤๅษีกรตุ
นางอนะสยู า (กรณุ า) เป็ นชายาของ ฤาษีอตั ริ
นางอรู ชา (ปิ ติ) เป็ นชายาของ ฤาษีวสิษฐ ์
นางสวาหา (บชู า) เป็ นชายาของ ฤาษีวหนิ
นางสวธา (พลี) เป็ นชายาของ ฤาษีปิ ตฤ
ที่เหลืออีก ๒๗ นาง ไดย้ กใหเ้ ป็ นชายาของพระจนั ทร ์
ทงั้ หมด และยงั เป็ นดาวนักษตั รดว้ ย ทวยเทพและฤๅษีที่กลา่ วมาตา่ งก็
มีอิทธฤิ ทธแิ ์ ละอาํ นาจบารมีสงู ลว้ นแลว้ แตเ่ ป็ นบุตรเขยของพระ
ทกั ษะปชาบดีหมดทง้ั สิน้
51
ฤๅษีอลั ไลยะกะ หรือ ฤๅษีหน้ามา้
บรมครูมา้ ผูป้ ระทานมา้ ใหช้ าวโลก
ฤๅษีหนา้ มา้ หรือฤๅษีอลั ไลยะกะ ท่านเป็ นฤๅษีที่ผูป้ ระกอบ
พิธเี วทวทิ ยาอาถรรพใ์ หค้ วามสาํ คญั และเคารพนับถือมากอีกตนหนึ่ง
จดั อยใู่ นกลมุ่ ฤๅษีที่ทรงคณุ กบั มวลมนุษย ์ เวลาที่มีการสาธยายมนต ์
อญั เชญิ เทพหรือบชู าครู ก็มกั มีการเอย่ นามของทา่ นดว้ ย โดยเฉพาะ
ผูม้ ีหนา้ ที่เกี่ยวขอ้ งกบั มา้ ตา่ งนับถือวา่ พระฤๅษีอลั ไลยะกะเป็ นบรมครู
มา้ ผปู ้ ระทานมา้ ใหก้ บั โลก เพื่อใหม้ นุษยไ์ วม้ ีไดใ้ ชส้ อย เป็ นครผู ู ้
ถา่ ยทอดพิธอี ศั วกรรมหรือพิธกี ารจบั มา้ และการควบคมุ มา้ ที่ถกู ตอ้ ง
ใหก้ บั มนุษยโ์ ลก
ฤๅษีปรศรุ าม
ภาคหนึ่งของพระนารายณ,์ คนโปรดของพระศิวะ
พระนารายณอ์ วตารมาเป็ นฤๅษีปรศรุ าม (กึง่ เทพกึง่ ฤๅษี)
เพื่อปราบผูก้ ระทําผิดศีลธรรม โดยปกติจะบําเพ็ญฌานอยู่ ณ
เทือกเขาหิมาลยั ท่านเป็ นคนเถรตรง ถือวา่ ภารกิจหนา้ ที่เหนือสิ่งอื่น
ใด จะปฏบิ ตั ิหนา้ ที่ตามที่ไดร้ บั มอบหมายจนกวา่ จะสาํ เร็จ อยใู่ นฐานะ
บริวารที่พระศิวะทรงโปรด ถึงขนาดประทานขวานมาใหเ้ ป็ นอาวธุ
ประจาํ กายวนั หนึ่งจะเขา้ เฝ้ าพระศิวะ แตพ่ ระคเณศไม่ยอมใหเ้ ขา้ เกิด
การตอ่ สกู ้ นั ครงั้ แรกปรศรุ ามสไู ้ ม่ได ้ ตอ่ มาพระคเณศเห็นอาวธุ ของ
พระบิดาจงึ ไม่คิดจะสู ้ กม้ เศียรเพื่อรบั ขวานจนเสียงาไปขา้ งหนึ่ง
52
พระมหาฤๅษีโพธิสตั ว ์
อดีตชาติของพระสมณโคดม
สมยั พระนารทะพุทธเจา้ พระองคท์ รงประกาศพระสจั ธรรม
ใหแ้ กเ่ หลา่ สรรพสตั วท์ ง้ั หลายไดห้ ลดุ พน้ จากความทกุ ขไ์ ดม้ ากมาย
ในกาลครง้ั นั้นพระโพธสิ ตั วเ์ กิดเป็ นมนุษย ์ และไดอ้ อกบวชเป็ นพระ
มหาฤๅษีในป่ าใหญ่ บําเพ็ญพรตจนสาํ เร็จอภิญญา ๕ ประการ
วนั หนึ่ง พระพุทธองคแ์ ละพระอริยสงฆ ์ พรอ้ มทง้ั เหลา่ อบุ าสก
อบุ าสิกามากมาย พากนั มาที่ใกลอ้ าศรมของพระมหาฤๅษี ในคราว
นั้น พระมหาฤๅษีโพธสิ ตั วผ์ ูท้ รงอภญิ ญาไดม้ องเห็นเหตกุ ารณ์ ก็มี
ความปี ติยินดีเลื่อมใส จึงเนรมิตอาศรมมากมายใหม้ ีจาํ นวนเพียงพอ
กบั พระพุทธองคแ์ ละเหลา่ พระสาวก แลว้ ถวายใหน้ ่ังเป็ นที่เรียบรอ้ ย
คราน้ันพระพุทธองคท์ รงแสดงธรรมแกพ่ ระสาวกและพระมหา
ฤๅษี ทําใหพ้ ระมหาฤๅษีมีความปี ติยินดีเป็ นที่สดุ วนั รงุ่ ขนึ้ จงึ เหาะไป
ยงั อตุ ตรทวปี เพื่อนําเอาภตั ตาหารมาถวายพระพุทธองคแ์ ละพระ
สาวก กระทาํ อยา่ งน้ันอยเู่ ป็ นเวลา ๗ วนั วนั สดุ ทา้ ยสกั การะดว้ ยไม้
แกน่ จนั ทรแ์ ดงอนั สงู คา่ พระพุทธองคท์ รงอนโุ มทนาแลว้ ตรสั พยากรณ์
วา่
ในอนาคตอีก ๑ อสงไขย กบั อีกเศษแสนมหากปั พระมหา
ฤๅษีผูม้ ีอานุภาพนีจ้ ะไดต้ รสั รเู ้ ป็ นพระพุทธเจา้ อีกองคห์ นึ่ง มีนามวา่
“พระศรีศากยมุนีโคตมพุทธเจา้ ” (พระสมณโคดม) จึงเป็ นเครื่องบง่
บอกวา่ พระสมณโคดมหรือพระพุทธเจา้ ของพวกเราในยคุ ปัจจบุ นั นี้
เคยเสวยชาติเป็ นพระฤๅษีมากอ่ น (ดงั นั้นมนุษยโ์ ลกหรือคนไทยจงึ ไม่
ควรลบหลดู่ หู มิ่นฤๅษีทงั้ ปวงบนโลกนี)้
53
ฤๅษีโพธิสตั ว ์
พระโพธิสตั วผ์ ูบ้ ําเพ็ญเป็ นฤๅษี
ในสมยั หนึ่ง พระพุทธเจา้ ประทบั อยู่วดั ตโปทาราม เมือง
ราชคฤห ์ ทรงปรารภถึงพระสมิทธเิ ถระ ผถู ้ กู นางเทพธดิ าชกั ชวนให ้
เสพกาม ไดต้ รสั อดีตนิทานมาสาธกวา่ กาลครง้ั หนึ่งนานมาแลว้ พระ
โพธสิ ตั วเ์ กิดเป็ นฤๅษี บาํ เพ็ญเพียรฌานสมาบตั ิอย่ใู กลส้ ระนํา้ ในป่ า
หิมพานต ์ วนั หนึ่งท่านไดบ้ าํ เพ็ญเพียรตลอดทง้ั คืน พอสวา่ งแลว้ จึงไป
อาบนํา้ ในสระ เสร็จแลว้ ไดม้ ายืนตากแดดอยู่ ในขณะนั้นมีเทพธดิ า
นางหนึ่งมองเห็นรปู โฉมความงดงามของรา่ งกายท่าน แลว้ เกิดความ
กาํ หนัดขนึ้ จงึ พูดเชญิ ชวนวา่ “ใหท้ ่านเสพกามเสียกอ่ นแลว้ จึงออก
บวชจะไม่ดีกวา่ หรือ ทา่ นอย่าไดป้ ลอ่ ยใหว้ ยั และเวลาเสพกามลว่ งเลย
ไปเสีย ขอเชญิ ทา่ นมาเสพกามเถิด”
ฤๅษีโพธสิ ตั วไ์ ดฟ้ ังเชน่ นั้นจึงกลา่ วตอบเป็ นคาถาวา่
“เราไม่รูเ้ วลาตายของตนเลย เวลาตายยงั ปกปิ ดอยู่ หา
ปรากฏไม่ เพราะเหตนุ น้ั เราจึงไมบ่ ริโภคกาม มาเทีย่ ว
ภิกขาจารอยู่ ขอเวลาบําเพญ็ สมณธรรมอยา่ ล่วงเลยเราไป
เสีย บุคคลแมเ้ ป็ นอธิบณั ฑิต กไ็ ม่รูถ้ ึงฐานะ ๕ อยา่ ง อนั ไม่
มีนิมิตในโลกนี้ คือ.. ชวี ิต ๑ พยาธิ ๑ เวลา ๑ ทีต่ าย ๑ ที่
ไป ๑”
เทพธดิ าไดฟ้ ังคาํ พูดนั้นจงึ เกิดความละอายใจ ก็หายรา่ งไป
จากที่ตรงนั้นทนั ที
54
ฤๅษีชวี กโกมารภจั จ ์
แพทยป์ ระจาํ พระพทุ ธองค ์
มุนีผเู ้ ชยี่ วชาญในดา้ นวชิ าการแพทย ์ และสมุนไพรในสมยั
พุทธกาล เป็ นแพทยห์ ลวงประจาํ องคพ์ ระเจา้ พิมพิสารแหง่ แควน้ มคธ
ตอ่ มาพระเจา้ พิมพพิสาร ไดถ้ วายใหเ้ ป็ นแพทยป์ ระจาํ พระองคข์ อง
พระพุทธเจา้ ดว้ ย เชยี่ วชาญในการรกั ษาโรคหลากหลายแขนง ท่าน
ไดศ้ ึกษามาจากฤๅษีอาเตรยะที่สาํ นักตกั ศิลา แตค่ นไทยสว่ นใหญ่จะ
รจู ้ กั ฤๅษีอาเตรยะในนาม “มหาเถรตาํ แย” มากกวา่ นามนีม้ ีปรากฏ
ในตาํ ราแพทยแ์ ผนไทย ที่เรียกวา่ “คมั ภีรป์ ฐมจินดา”
ชวี กโกมารภจั จเ์ ป็ นบุตรของนางสาลวดี หญิงโสเภณีในเมือง
ราชคฤห ์ ธรรมดาหญิงโสเภณีจะไม่เลีย้ งบุตรชาย เพราะสืบสาย
อาชพี ไม่ได ้ จงึ ใหส้ าวใชน้ ําใสก่ ระดง้ไปวางไวท้ ี่กองขยะ บา่ ยวนั น้ัน
อภยั ราชกมุ าร โอรสของพระเจา้ พิมพิสารเสด็จประพาสผา่ นมาทาง
นั้น เห็นฝูงนกการมุ ลอ้ มทารกอยู่ ตรสั สง่ั ใหน้ ายสารถีนําไปมอบใหแ้ ม่
นมเลีย้ งดภู ายในวงั แลว้ ตงั้ ชอื่ ใหว้ า่ ขวี ก มาจากคาํ วา่ ชวี ติ (รอด
ชวี ติ มาได)้
เมื่อเจริญวยั ขนึ้ มาจึงไดป้ ระทานนามเพิ่มเติมวา่ โกมารภจั จ ์
แปลวา่ เป็ นบุตรบญุ ธรรมของพระราชกมุ าร ทรงชบุ เลีย้ งประดจุ โอรส
แทๆ้ ของพระองค ์ แมพ้ ระเจา้ พิมพิสารก็ทรงโปรดปรานดว้ ยเชน่ กนั
กาลตอ่ มาชวี กไดห้ นีออกจากวงั เดินทางไปกบั กองเกวียนพ่อคา้ จนถึง
เมืองตกั ศิลา ฝากตวั เป็ นศิษยก์ บั อาจารยท์ ิศาปาโมกข ์ คือ พระฤๅษี
อาเตรยะ (รคาพฤาษตริญญา) ผเู ้ ป็ นเจา้ สาํ นัก
ท่าน เรียนไดเ้ ร็วกวา่ ศิษยค์ นอื่น แมจ้ บหลกั สตู รแลว้ ก็ยงั มี
ความสงสยั ในความรขู ้ องตนเองวา่ อาจจะไม่สมบรู ณ์ จงึ เขา้ ไปปรกึ ษา
55
อาจารย ์ ซงึ่ อาจารยไ์ ดส้ ง่ั ใหเ้ ขาออกไปหาพืชที่เห็นวา่ ใชท้ าํ ยามิไดม้ า
ใหอ้ าจารย ์ เขาใชเ้ วลาคน้ หาจนทว่ั ก็ไม่พบพืชที่ใชท้ ํายาไม่ไดส้ กั
อย่างเดียว (เพราะความที่ตนรลู ้ ึกซงึ้ วา่ พืชทุกชนิดใชท้ าํ ยาไดห้ มด)
จงึ กลวั อาจารยจ์ ะตาํ หนิ เมื่อแจง้ แกท่ า่ นแลว้ พระอาจารยก์ ลบั ยิม้
อยา่ งพอใจ และกลา่ ววา่ เธอเรียนจบแลว้ มีความสามารถออกไปรกั ษา
คนไขไ้ ดอ้ ยา่ งแน่นอน
ชวี กโกมารภจั จม์ ีอธั ยาศยั ดี เคารพเชอื่ ฟังอาจารย ์ มีความ
กตญั ญู มีศีลธรรม สขุ มุ เยือกเย็น สภุ าพเรียบรอ้ ย ไม่พลาดพลง้ั
อีกทง้ั เชาวป์ ัญญาก็ดีเยี่ยม จึงเป็ นที่รกั ของอาจารย ์ ไดเ้ มตตาสอน
วิชาแพทยพ์ ิเศษใหอ้ ีกแขนงหนึ่ง คือวิชาประสมและปรงุ ยาขนานเอก
พรอ้ มทงั้ วธิ กี ารรกั ษาโรคใหด้ ว้ ย ยาขนานนีว้ เิ ศษมาก สามารถรกั ษา
โรคไดท้ กุ ชนิด
หมอชวี กโกมารภจั จท์ ําประโยชนแ์ กพ่ ระพุทธศาสนา แก่
กษตั ริย ์ และประชาชนทว่ั ไปเป็ นอเนกประการ ทา่ นเป็ นอบุ าสกผูเ้ ป็ น
อริยบคุ คลชนั้ พระโสดาบนั พระบรมศาสดาไดย้ กยอ่ งทา่ นในตาํ แหน่ง
เอตทคคะเป็ นผูเ้ ลิศกวา่ อบุ าสิกาทง้ั หลายในฝ่ ายเลื่อมใสในบคุ คล
อานิสงสก์ ารบูชาป่ ฤู ๅษีชวี กโกมารภจั จ ประทานพรใหม้ ี
สขุ ภาพรา่ งกายแขง็ แรง ปราศจากโรคภยั หรือขอพรเพื่อใหช้ ว่ ยปัด
เป่ า บรรเทาหรือรกั ษาโรคภยั ไขเ้ จ็บ
56
ฤๅษีสุทนั ตะ หรือ สุกกทนั ต ์
ผูส้ รา้ งเมืองหริภุญไชยร่วมกบั ฤๅษีวาสุเทพ
ฤๅษีสทุ นั ตะเดินทางมาจากประเทศอินเดียเขา้ สแู่ ควน้ สิบสอง
ปันนา มารว่ มสรา้ งหริภญุ ไชยนครรว่ มกบั ฤๅษีวาสเุ ทพ หริภญุ ไชยมี
สมั พนั ธท์ ี่ดีกบั อาณาจกั รละโว ้ คือพระธดิ าของกษตั ริยล์ ะโวไ้ ดม้ า
ครองราชยท์ ี่นครหริภญุ ไชย มีพระนามวา่ พระนางจามเทวี
ฤๅษีสทุ นั ตะไดต้ งั้ ตกั ศิลาขนึ้ ที่เขาสมอคอน เพื่อเป็ นสาํ นัก
ศึกษาวิทยาการตา่ งๆ แกร่ าชนิกลู หรือหน่อเนือ้ เชอื้ กษตั ริยใ์ นสมยั น้ัน
ตามบนั ทึกในพงศาวดารมีหลกั ฐานวา่ พ่อขนุ รามคาํ แหงมหาราช
ขณะเมื่อมีพระชนั ษา ๑๒ ปี ทรงเคยมาศึกษาศิลปวทิ ยาการที่ตกั
ศิลาแห่งนี้ โดยมีฤๅษีสทุ นั ตะเป็ นพระอาจารย ์
ทา้ วหิรญั พนาสูร อสูรฤๅษี
เรื่องราวของทา้ วหิรญั พนาสรู ปรากฏขนึ้ ในแผ่นดิน
พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยู่หวั คาํ วา่ “หิรญั พนาสรู ”
แปลวา่ เทพาสูรผูเ้ ป็ นใหญ่แหง่ ป่ า ในปี ๒๔๔๙ ขณะยงั ทรงพระ
อิสริยยศเป็ นสมเด็จพระบรมโอรสาธริ าชฯ ทรงเสด็จประพาสมณฑล
พายพั ซงึ่ เสน้ ทางในสมยั นั้นเต็มไปดว้ ยป่ าเขา ภยนั ตรายและโรคภยั
ไขเ้ จ็บ ขณะเมื่อทรงจะออกจากอตุ รดิตถ ์ ขา้ ราชบริพาลที่ตามเสด็จ
รสู ้ ึกหวน่ั วิตกตอ่ ภยนั ตราย พระองคจ์ ึงทรงมีพระราชดาํ รสั วา่ คงจะมี
ทง้ั เทวดาและปี ศาจฤาอสรู อนั เป็ นสมั มาทิฏฐคิ อยติดตามป้ องกนั
57
ภยนั ตรายทง้ั ปวงมิใหม้ ากลาํ้ กลายพระอง๕และบริวารผตู ้ ามเสด็จได ้
อย่าใหผ้ ูห้ นึ่งผใู ้ ดมีความวิตกไปเลย
ในตอนกลางคืน ปรากฏมีขา้ ราชบริพารชน้ั ผใู ้ หญ่ท่านหนึ่ง
เกิดนิมิตฝันเห็นบุรษุ ผหู ้ นึ่ง รปู รา่ งสงู ใหญ่ล่าํ สนั บอกนามวา่ คือ
“ทา้ วหิรญั ” เป็ นอสรู แห่งป่ า เป็ นผตู ้ ง้ั อยใู่ นสมั มาปฏิบตั ิ จะคอยดแู ล
ปกป้ ององคพ์ ระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั และขา้ ราชบริพารในขณะ
เดินทาง จึงทรงโปรดฯ ใหต้ ง้ั เครือ่ งสงั เวยในป่ าริมพลบั พลาน้ัน และ
เมื่อทรงเสวยก็จะแบง่ พระกระยาหารไปตง้ั เป็ นเครือ่ งเซน่ เสมอ ปรากฏ
วา่ การเสด็จพระราชดาํ เนินหวั เมืองพายพั ครงั้ น้ัน ขบวนเสด็จ
ปราศจากภยนั ตราย และปลอดภยั จากไขป้ ่ าตา่ งๆ อยา่ งน่าอศั จรรย ์
ดงั นั้น การเสด็จประพาสในคราวตอ่ มา ขา้ ราชบริพารจึงทาํ
พิธอี ญั เชญิ ทา้ วหิรญั พนาสรู ที่ปรากฏในนิมิตตามเสด็จไปดว้ ยทกุ ครงั้
และมีผูค้ นมากมายพบเห็นบุรษุ โบราณรปู รา่ งสงู ใหญ่ น่ังบา้ ง ยืนบา้ ง
ตามขบวนเสด็จไปดว้ ย จนขา่ วคราวร่าํ ลือถึงขา้ หลวงมณฑล
เทศาภบิ าลตตา่ งๆ ทําใหผ้ ูค้ นเลื่อมใสทา้ วหิรญั พนาสรู มาแตค่ รงั้ นั้น
และโปรดใหห้ ลอ่ รปู ท่านทา้ วประดิษฐานไวป้ ระจาํ พระราชวงั พญาไท
รปู ปั้นทา้ วหิรญั พนาสรู จึงกลายเป็ นสิง่ ศกั ดิส์ ิทธทิ ์ ี่ผูค้ นเคารพกราบไหว ้
สืบมา
แมห้ ลวงปู่โง่น โสรโย แห่งวดั พระบาทเขารวก
พระผูอ้ ยู่เหนือโลก กย็ งั เคยพบทา้ วหิรญั พนาสูรมาแลว้
โดยครงั้ นนั้ มาในรูปของพรานป่ า ผูร้ บั อาสาดูแลหลวงปู่
โง่นขณะเดินทางไปยงั ภาคเหนือ
58
ฤๅษีพูพูออ่ ง
พระอาจารยข์ องพระเจา้ บุเรงนอง
ฤๅษีพูพูออ่ งเป็ นชาวพม่า กลา่ วกนั วา่ ทา่ นเป็ นพระอาจรยต์ น
หนึ่งของพระเจา้ บเุ รงนอง จอมกษตั ริยข์ องพม่า ในสมยั น้ันทา่ น ฤาษี
พูพูออ่ งไดส้ ําแดงฤทธานุภาพเหาะขนึ้ ไปนมสั การพระมหา
เจดียช์ เวดากอง ใหป้ ระชาชนชาวพม่าไดเ้ ห็นเป็ นขวญั ตาจนกระทง่ั
พระเจา้ บุเรงนองบงั เกิดพระราชศรทั ธาถวายพระองคเ์ ป็ นศิษย ์ และพระ
เจา้ บุเรงนองไดท้ รงสรา้ งพระเครื่องรปู พระมหามยั มุนี ดา้ นหลงั เป็ นรปู
ฤๅษีพูพูออ่ งกาํ ลงั เหาะอยูบ่ นอากาศ แลว้ นํามาใหฤ้ ๅษีพูพูออ่ งปลกุ
เสก เพื่อนําไปแจกทหารที่ไปราชการสงคราม สว่ นหนึ่งไดน้ ําไปบรรจุ
ไวใ้ นถาํ้ แหง่ หนึ่งในเขตประเทศพม่า
ตอ่ มาไดม้ ีชาวบา้ นไปพบกรพุ ระนีเ้ ขา้ จึงมาบอกใหห้ ลวงพ่อ
อตุ ตมะทราบเรือ่ ง เนื่องจากหลวงพ่ออตุ ตมะไดบ้ อกใหค้ นชว่ ยคน้ หา
มานานแลว้ หลวงพ่ออตุ ตมะจึงนําพระเครื่องที่ สรา้ งโดยพระเจา้ บเุ รง
นอง และปลกุ เสกโดยฤๅษีพูพูออ่ งแจกจา่ ยแกศ่ ิษยานุศิษย ์ จึงเป็ น
ที่มาของ “พระยอดขนุ พลบุเรงนอง” ที่ทรงอิทธคิ ณุ สงู สง่ เป็ นที่
เสาะแสวงหาของนักสะสมนิยมพระเครื่องทว่ั ไปในเวลานี้ แตก่ ็มีนอ้ ย
คนนักที่จะไดค้ รอบครอง
ในปัจจบุ นั ยงั มีหลายทา่ นเชอื่ วา่ ฤๅษีพูพูออ่ งยงั มีชวี ิตยืนยาว
เป็ นอมตะดว้ ยอภิญญาฤทธิ ์ อยใู่ นป่ าแถบชายแดนพม่า ยงั เรน้ กาย
ถา่ ยทอดวิชา และคอยปกปักรกั ษาวา่ นยาและปกป้ องคมุ ้ ครองเหลา่
ศิษยเ์ สมอมา
59
ตาํ นานฤๅษีโภคทรพั ย ์ ๕ พระองค7์
ในสมยั อดีตกาล พระเจา้ จกั พรรดิทลั หเนมิ เมื่อจกั แกว้ อนั
เป็ นทิพยถ์ อยเคลือ่ นไป พระองคจ์ ึงทรงผนวชเป็ นฤๅษี พรอ้ มดว้ ย
บริวารเป็ นอนั มาก เมื่อผนวชแลว้ มีพระนามวา่
พระราชฤๅษี
จกั รพรรดิทลั หเนมิ พระราชฤๅษีจกั รพรรดิเคยฟังธรรมของ
พระกสั สปสมั มาสมั พุทธเจา้ ตอ่ มาเมื่อผนวชเป็ นราชฤๅษีแลว้ ทรง
สาํ เร็จอนาคามีมรรคทานาคามีผล เมื่อสิน้ ชพี แลว้ อบุ ตั ิอยูใ่ นสธุ า
วาสพรหมโลก
พระราชโอรสองคใ์ หญข่ องพระเจา้ จกั รพรรดิทลั หเนมิ
อาํ มาตยแ์ ละมหาอาํ มาตยท์ รงถือเพศเป็ นฤๅษี ขณะพระราชา
ประพฤติจกั กวตั ติวตั ร และคณะอาํ มาตยป์ ระพฤติธรรมเป็ นประโยชน์
ในปัจจบุ นั และประโยชนใ์ นภายหนา้ พระราชาและคณะอาํ มาตยท์ ง้ั
๔ ประพฤติธรรมได ้ ๓ วนั สรีระที่เคยทรวดทรงดี ก็กลบั กลายเป็ น
สรีระที่อว้ นพีสมลกั ษณะเจา้ แห่งโภคทรพั ย ์ พระราชโอรสองคใ์ หญข่ อง
พระเจา้ จกั รพรรดิทลั หเนมิเป็ นพระฤๅษีนามวา่ พระฤๅษีธรรมราชาบดี
อาํ มาตยท์ ง้ั ๔ บวชเป็ นฤๅษี มีนามดงั นี้ อาํ มาตยค์ ลงั ทอง
มีนามวา่ พระฤๅษีคลงั ทอง อาํ มาตยค์ ลงั แกว้ แหวนบวชเป็ นฤๅษี
นามวา่ พระฤๅษีคลงั แกว้ แหวน (พระฤๅษีโภคทรพั ย)์ อาํ มาตยค์ ลงั
ธญั ญาหารบวชเป็ นฤๅษีนามวา่ พระฤๅษีธญั ญาหาร (พระฤๅษี
7ของพระครสู งั ฆรกั ษว์ ีระ ฐานวีโร วดั ราชสิทธาราม
60
โพสพ) อาํ มาตยค์ ลงั สินคา้ บวชเป็ นฤๅษีนามวา่ พระฤๅษีคฤหบดี
ฤๅษีทงั้ ๕ ตนไดฟ้ ังธรรมจาก พระราชฤาจกั รพรรดิทลั หเนมิ
พระฤๅษีทงั้ ๕ เป็ นที่นับถือของคนทว่ั ไป ผูค้ นทง้ั หลายไปฟัง
ธรรมจากพระฤๅษีทงั้ ๕ ตนนีท้ ุกวนั ๑๕ คา่ํ ในจกั กวตั ติวตั รธรรม
ธรรมที่เป็ นประโยชนใ์ นปัจจบุ นั ธรรมที่เป็ นประโยชนใ์ นภายหนา้
ธรรมที่ทําใหท้ รพั ยไ์ หลเขา้ ธรรมที่ทาํ ใหท้ รพั ยไ์ หลออก เหตแุ หลง่
ความเสื่อม เหตแุ หง่ ความเจริญ บคุ คลทง้ั หลายไดฟ้ ังธรรมจากพระ
ฤๅษีทง้ั ๕ ตนแลว้ ย่อมมีแตค่ วามเจริญ ในกาลภายหลงั พระฤๅษีทง้ั
๕ ตน ไดส้ าํ เร็จอานาคามีมรรคอานาคามีผล
ฤๅษีพรหมนิ มิต
บรมครูแหง่ นิมิตฝัน บอกเหตลุ ่วงหน้า
ทา่ น เป็ นเทพเจา้ แหง่ ความฝันทง้ั ปวง ไดเ้ นรมิตกายลงไป
เขา้ ฝันบอกเหตลุ ว่ งหนา้ ทงั้ หลายใหก้ บั มนุษย ์ ความฝันเมื่อครงั้ อดีต
กาลจงึ มกั จะเป็ นจริงเสมอ
ครง้ั หนึ่งมีมานพผหู ้ นึ่งไดเ้ ลีย้ งนกขนุ ทองเอาไว ้ วนั หนึ่งมานพ
ไดฝ้ ันไปวา่ มีโจรมาปลน้ บา้ นและไดส้ งั หารตนเองเสียชวี ติ จงึ เกิดความ
กลดั กลมุ ้ ใจ ไดเ้ ลา่ ใหน้ กขนุ ทองที่เลีย้ งไวฟ้ ัง นกขนุ ทองจงึ บินขนึ้ ไป
พรหมโลก เพื่อใหฤ้ ๅษีพรหมนิมิตทําการชว่ ยเหลือ ฤๅษีพรหมนิมิต
จึงพูดวา่ ดว้ ยประกาศิตของขา้ นับแตบ่ ดั นีเ้ ป็ นตน้ ไปความฝันทงั้ หลาย
จงไม่เป็ นจริงอีกตอ่ ไป
มานพนั้นจงึ รอดพน้ จากโจรภยั นับแตน่ ้ันมาความฝันจงึ
กลายเป็ นเรื่องจริงตลอดมา ดว้ ยความกตญั ญู มานพไดซ้ อื้ สรอ้ ยคอ
ทองคาํ มาคลอ้ งใหน้ กขนุ ทองเพื่อเป็ นรางวลั ดงั น้ันนกขนุ ทองทกุ ตวั
61
จะตอ้ งมีสรอ้ ยสีเหลืองที่คอ น่ันก็คือสรอ้ ยทองที่ติดตวั นกขนุ ทองมา
จนถึงทุกวนั นี้ ฤๅษีนีจ้ ึงไดร้ บั นามจากพระศิวะวา่ ฤๅษีพรหมนิมิต
ฤๅษีพรหมจลุ ี
บิดาของทา้ วพรหมทตั
ทา่ น เป็ นพระบิดาของทา้ วพรหมทตั ผยู ้ ิ่งใหญ่แห่งนคร
กามปิ ลย ์ ทา้ วพรหมทตั เป็ นมานัสบุตร ซงึ่ เกิดขนึ้ ดว้ ยใจของพระจลุ ี
พรหมฤๅษี ทา้ วพรหมทตั ไดถ้ อดถอนคาํ สาปของพระพายที่สาปให ้
ราชธดิ าสาวทง้ั ๑๗๗ นางของ ฤๅษีกศุ นาภ ที่กลายเป็ นหลงั คอ่ ม
ทงั้ หมด ใหก้ ลบั กลายเป็ นราชธดิ าผมู ้ ีรปู โฉมงดงามเหมือนดงั เดิม
ฤๅษีพรหมจกั ร
พรหมฤๅษีที่ยิ่งใหญ่อีกตนหนึ่ง มีเมตตาธรรมตอ่ สรรพสตั ว ์
ทว่ั ไป คอยคาํ้ จนุ โลกใหม้ ีความรม่ เย็นเป็ นสขุ
ฤๅษีพรหมประสิทธิ ์
ฤๅษีผชู ้ าญพระเวทมนตรานานัปการ เป็ นผูป้ ระสิทธปิ ์ ระสาท
ใหก้ บั มนุษย ์ เทวดา คนธรรพ ์ วทิ ยาธร อสรู รากษส ฯลฯ จงึ
ไดร้ บั นามจากพระศิวะวา่ พรหมประสิทธิ ์
62
ฤๅษีพรหมโลก
พรหมฤๅษีที่มีบารมีสงู มีอิทธฤิ ทธมิ ์ ากมาย เป็ นฤๅษี
บําเพ็ญตบะบารมีอยา่ งแน่วแน่อยใู่ นโลกมนุษย ์ แลว้ บรรลฌุ านชน้ั สงู
เมื่อดบั ขนั ธจ์ ากโลกมนุษยแ์ ลว้ ไดไ้ ปบงั เกิดอยบู่ นพรหมโลก
ฤๅษีพรหมมินทร ์
ถือสนั โดษและเครง่ ครดั ในการบําเพ็ญฌาน เป็ นพี่ชายแทๆ้
ของฤๅษีพรหมปรเมศ
ฤๅษีชนกจกั รวรรดิ
ราชบิดาบุญธรรมของนางสีดา
ทา่ น เป็ นกษตั ริยแ์ หง่ เมืองมิถิลา ไดส้ ละราชสมบตั ิออกมา
บําเพ็ญเป็ นฤๅษีอยใู่ นป่ า วนั หนึ่งเมื่อออกจากฌานแลว้ ลงไปสรงนํา้ ใน
บึง เห็นดอกบวั ใหญล่ อยนํา้ มา ก็มีความสงสยั จึงเก็บขน้ั มาจากนํา้
เห็นผอบแกว้ อยู่ในดอกบวั เมื่อเขา้ ฌานดจู ึงเห็นเด็กหญิงที่มีบญุ ญา
บารมีอยใู่ นผอบนั้น ฤๅษีจงึ ประทานนามใหว้ า่ สีดา แลว้ ก็กลบั เขา้ ไป
ครองราชยท์ ี่เมืองมิถิลาตามเดิม โดยสถาปนาสีดาเป็ นราชธดิ าบุญ
ธรรม
63
ฤๅษีไชมินี
บรมครูผูร้ อบรูธ้ รรมและรูภ้ าษาวิหคทุกชนิด
พระฤๅษีตนนีม้ ีความรอบรใู ้ นธรรม และมกั จะนํามาแสดงเป็ น
ปจุ ฉา-วสิ ชั นา เพื่อใหม้ นุษยโ์ ลกรธู ้ รรมและนําไปปฏิบตั ิได ้ มี
ความสามารถพิเศษคือ รภู ้ าษาวิหคทกุ ชนิด สามารถพูดคยุ กบั วหิ ค
ไดต้ ลอดเวลา
ฤๅษีมารกณั เฑยะ
ผูร้ จนาคมั ภีรม์ ารกณั เฑยะปุราณะ
อีกนามหนึ่งคือ มารกณั ไฑย เป็ นผแู ้ ตง่ คมั ภีรม์ ารกณั เฑ
ยะปรุ าณะ ที่เริ่มตน้ ดว้ ยเรื่องราวของวิหคแสนรทู ้ ี่รจู ้ กั ผิดชอบชว่ั ดี
เมื่อมีคาํ ปุจฉา วสิ ชั นาของฤๅษี วิหคแสนรกู ้ ็ไดม้ าตอบปัญหาขอ้ ธรรม
ของฤๅษี ฤๅษีมารกณั เฑยะเห็นวา่ มีประโยชนม์ าก จงึ ไดจ้ ดจาํ ขอ้
ธรรมตา่ งๆ มาบนั ทึกเรียบเรียง แสดงไวเ้ ป็ นคมั ภีรแ์ ละนิทานอนั เป็ น
กรณีศึกษาใหก้ บั ชนรนุ่ หลงั สืบมา
ฤๅษีหิมพานต ์ หรือหิมวตั
บิดาของพระอมุ าเทวี
คือ พระหิมวตั พ่อตาของพระศิวะ มีชายาชอื่ เมนะกา มี
พระธดิ าชอื่ พระคงคา และพระอมุ า เป็ นผูม้ ีบารมีมาก มีเมตตา
ธรรมสงู ชอบชว่ ยเหลือเกือ้ กลู ผอู ้ ืน่ ที่ทุกขร์ อ้ น บาํ เพ็ญฌานอยใู่ นป่ า
หิมพานต ์ เทือกเขาหิมาลยั
64
ฤๅษีทุรวาส
ผูส้ าปพระอินทรใ์ หเ้ สือ่ มฤทธิ์
มีอิทธฤิ ทธแิ ์ ละมีวาจาสิทธิ ์ ขณะเขา้ ไปในป่ าหิมพานตเ์ พื่อ
หาผลไม ้ ไดพ้ บเทพธดิ าที่สวยงาม นางไดน้ ําพวงมาลยั ดอกไมส้ วรรค ์
ถวายแดฤ่ ๅษี เป็ นการบชู า ดอกไมส้ วรรคส์ ง่ กลิ่นหอมอบอวล ทาํ ให ้
มีฤๅษีลืมตวั เที่ยวรอ้ งเพลงและรา่ ยอย่างสนุกสนาน บงั เอิญพระอินทร ์
ทรงชา้ งผา่ นมา ฤๅษีจึงไดถ้ วายดอกไมน้ ั้นใหก้ บั พระอินทร ์ พระอินทร ์
รบั แลว้ นํามาวางไวบ้ นหวั ชา้ งเอราวณั เมื่อชา้ งเอราวณั ไดก้ ลิน่ ดอกไม ้
สวรรคแ์ ลว้ ก็เกิดอาการคลมุ ้ คลง่ั ใชง้ วงจบั พวงดอกไมน้ ้ันมาเหยียยจน
แหลก
ฤๅษีทุรวาสเห็นแลว้ ก็โกรธ เขา้ ใจวา่ พระอินทรห์ ยามหมิ่น
ตน จึงสาปใหพ้ ระอินทรแ์ ละเทวดาบนชนั้ ดาวดึงสเ์ สื่อมถอยฤทธา
บารมี เมื่อใดที่สรู ้ บกบั พวกอสรู ทงั้ พระอินทรแ์ ละเทวดาก็จะตอ้ งพ่าย
แพท้ ุกครง้ั ไป ทง้ั พระอินทรแ์ ละเทวดาก็ตกใจ ขอโทษฤๅษีเป็ นการใหญ่
ฤาษีไม่ยกโทษใหแ้ ลว้ ก็เหาะจากไป นับแตน่ ั้นมาพระอินทรแ์ ละเทวดาจงึ
ไม่มีฤทธมิ ์ ากเหมือนดงั แตก่ อ่ น เมื่อรบกบั อสรู ทุกครงั้ ก็พ่ายแพต้ ลอด
ตอ่ มาพระนารายณจ์ ึงคิดแกไ้ ขใหม้ ีการกวนนํา้ อมฤตขนึ้ เพื่อฟื้นกาํ ลงั
ของพระอินทรแ์ ละเหลา่ เทวด
ฤๅษีสุขวฒั น์
ผูค้ นพบไผส่ ีสุก
สวมชฎาดอกลาํ โพงสีอิฐแดง บาํ เพ็ญตบะอยทู่ ี่เชงิ เขา
ไกรลาส จนกระทง่ั มีตน้ ไผ่เกิดขนึ้ และโตเร็ว มีความสงู เทียมเท่าเขา
65
ไกรลาส ฤๅษีสขุ วฒั นจ์ ึงรีบตดั ตน้ ไผ่น้ันแลว้ รีบนําไปถวายพระศิวะ
โดยเชอื่ วา่ เป็ นของศกั ดิส์ ิทธิ ์ พระศิวะทรงพอพระทยั นําลาํ ไผ่นั้นมา
ทาํ เป็ นคนั ศร แลว้ พระองคก์ ็ทรงแผลงศรดว้ ยกาํ ลงั ของพระองค ์ คนั ศร
นั้นไดห้ กั เป็ นสองทอ่ น จงึ ตกพระทยั แลว้ หยิบปลายคนั ศรขวา้ งลงไปยงั
ผืนโลก ก็บงั เกิดเป็ นลิงชอื่ นิลเกสร หรือชามพูวราช ขนึ้ มา
ตอ่ จากน้ันก็ยกโคนคนั ศรขา้ งลงไปยงั แผ่นดินอีกครง้ั บงั เกิดเป็ น
พญาเวรมั ภอ์ สรู
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน วานรและอสรู ที่เกิดขนึ้ จากคนั ศรของ
พระศิวะ ตา่ งก็เขา้ เฝ้ าและบงั เอิญพบกนั โดยมิไดน้ ัดหมาย พระศิวะ
ทรงพยากรณว์ า่ ตอ่ ไปวานรกบั อสรู จะสรู ้ บกนั โดยฝ่ ายวานรจะเป็ น
ฝ่ ายมีชยั เพราะเกิดจากคนั ศรทอ่ นปลาย สว่ นอสรู จะตอ้ งพ่ายแพ้
เพราะเกิดจากโคนคนั ศรน่ันเอง สวนไมไ้ ผท่ ี่ฤาษีนํามาถวายน้ัน
ตอ่ มาก็มีการเรียกชอื่ ตน้ ไผช่ นิดน้ันวา่ ไผฤ่ าษีสขุ หรือไผ่สีสขุ
(สีสกุ ) เพื่อเป็ นที่ระลึกถึงฤๅษีสขุ วฒั นส์ ืบมา
ฤๅษีเทวราชมุนี
ผูร้ บั มอบศรจากพระศิวะ
ทา่ นเป็ นตน้ ราชวงศข์ องนครมิถิลา กาลครงั้ หนึ่งเหลา่ เทวดา
ทงั้ หลายตา่ งสงสยั กนั วา่ ระหวา่ งพระศิวะและพระนารายณใ์ ครจะมี
ฤทธมิ ์ ากกวา่ กนั จงึ ขอรอ้ งใหท้ ง้ั สองพระองคม์ าประลองฤทธกิ ์ นั พระ
ศิวะทรงแผลงศรของพระองคอ์ อกไป แตห่ าทําอะไรพระนารายณไ์ ดไ้ ม่
พระนารายณต์ วาดคาํ เดียวเท่านั้น ลกู ศรนั้นก็ออ่ นปวกเปี ยกลงไป
เหลา่ เทวดาจึงยกใหพ้ ระนารายณเ์ ป็ นผมู ้ ีฤทธาบารมีมาก พระศิวะก็
ทรงนอ้ ยพระทยั ประทานศรนั้นใหก้ บั ฤๅษีเทวราชมุนีมาตง้ั แตบ่ ดั นั้น
66
กอ่ นจะตกทอดมายงั ทา้ วชนกในที่สดุ (สว่ นศรพระนารายณ์ พระราม
ไดใ้ ชป้ ราบมาร ตอ่ มาไดโ้ กง่ คนั ศรจนหกั ศรนารายณน์ ั้นไดป้ ระทาน
ใหฤ้ ๅษีฤจิกะ, ฤๅษีชมทคั นี (ปิ ดาของปรศรุ าม) จนกระทง่ั ตกมาถึง
ปรศรุ าม)
ฤๅษีรามเทพมุนี
ของฤๅษีวสิษฐ ์
ฤๅษีผูม้ ีเวทมนตรเ์ ขม้ ขลงั มากตนหนึ่ง เมื่อครง้ั ที่ทา้ วทศรถ
กระทําพิธอี ศั วเมธ (ปลอ่ ยมา้ อปุ การ บชู ายนั ตด์ ว้ ยมา้ ) เพื่อขอมี
พระโอรส (ขอมีบุตร) ก็ไดเ้ ชญิ ฤๅษีวสิษฐม์ าเป็ นปโุ รหิต และเชญิ
ฤๅษีรามเทพมุนีมาเป็ นผูช้ ว่ ยปุโรหิตในพิธคี รง้ั น้ัน แลว้ ในที่สดุ ก็สาํ เร็จ
ผล พระนารายณไ์ ดอ้ วตารลงมาเป็ นพระราม โดยเกิดมาเป็ นโอรส
ของทา้ วทศรถ
ฤๅษีองั คต หรือ องั คตะ
อาจารยข์ องพาลี, ฤๅษีผูม้ ีอายุยืนยาวมาตง้ั แตก่ ฤดายุค
ฤๅษีองั คตเป็ นผูบ้ าํ เพ็ญตบะธรรมไดเ้ ชยี่ วชาญ เชยี่ ชาญ
มนตรามหาเวท เป็ นอาจารยข์ องพาลี กษตั ริยเ์ มืองขดี ขนิ ทา่ นมี
หนา้ ที่เก็บรกั ษาเกราะทิพยไ์ วใ้ หพ้ พระรามตามคาํ สง่ั ของพระศิวะ เพื่อ
เป็ นเครือ่ งป้ องกนั ตวั พระรามในการปราบปรามยกั ษต์ รีบรุ มั ครงั้ หนึ่ง
ทศกณั ฐไ์ ดท้ ลู ขอนางมณโฑ พระศิวะก็ประทานให ้ ทศกณั ฐจ์ งึ อมุ ้ นาง
มณโฑเหาะขา้ มตวั พาลี จงึ ถกู พาลีขวา้ งดว้ ยพระขรรคแ์ ลว้ ชงิ เอานาง
มณโฑไปอย่ดู ว้ ย ทศกณั ฐจ์ งึ ไปหาฤๅษีองั คต ขอรอ้ งใหช้ ว่ ยเกลีย้
กลอ่ มใหพ้ าลียอมคืนนางมณโฑมา แตช่ ว่ งน้ันนางมณโฑตง้ั ครรภไ์ ด ้
67
๗ เดือน ฤๅษีจึงใชค้ าถาสะเดาะเอาบตุ รในทอ้ งของนางมณโฑออกไป
ฝากไวใ้ นทอ้ งแพะ แลว้ สง่ นางมณโฑคืนทศกณั ฐไ์ ป เมื่อครบกาํ หนด
ฤๅษีไดน้ ําทารกนั้นออกมา มีรปู รา่ งเป็ นลิงและกายสีเขยี วเหมือนพาลี
มีฤทธเิ ์ ดชมาก ฤๅษีจึงตงั้ ชอื่ ใหค้ ลา้ ยกบั ตนเองวา่ องคต
มีตาํ นานเลา่ วา่ กาลครงั้ หนึ่งมีทวยเทพ ดาบส และนักพรต พากนั
ไปเฝ้ าพระศวะ เพื่อทลู ถามถึงกาํ เนิดแหง่ อญั มณีนวรตั น์ หรือรตั น
ชาติทงั้ ๙ ประการ วา่ มีความเป็ นมาอย่างไร พระศิวะแนะใหไ้ ปถาม
ฤๅษีองั คต ผมู้ ีอายุยืนยาวมาแตก่ ฤดายคุ ฤๅษีองั คตจงึ เลา่ ใหฟ้ ังวา่
ในกาลกอ่ น ทวยเทพ ดาบส และนักพรต ประสงคจ์ ะใหเ้ กิดรตั น
ชาติทงั้ ๙ ประการ จึงขอใหม้ เหศกั ดิอ์ งคห์ นึ่งนามวา่ มหาพลาสรู
สรา้ งรตั นชาติขนึ้ มหาพลาสรู จงึ บําเพ็ญตบะอดอาหาร ๗ วนั ก็
สิน้ ชวี ิต เหลา่ ทวยเทพ ดาบส นักพรตจึงทาํ การพลีบชู ารา่ งน้ันเป็ น
เวลา ๗ วนั รา่ งของมหาพลาสรู ก็แปรเปลีย่ นเป็ นแกว้ ๙ ประการ
สืบมาถึงทุกวนั นี้
ฤๅษีสิงหล
ท่านชอบบาํ เพ็ญตบะอยู่ที่ป่ าดงดิบแหง่ เทือกเขาหิมาลยั ถือ
สนั โดษ ไม่ยินดียินรา้ ยในเรือ่ งภายนอก
68
ฤๅษีกศยปมุนี
หนึ่งในฤๅษีเจ็ดตน ตามคมั ภรี พ์ ฤหทารณั ยกะอปุ นิษทั
สาํ หรบั พระฤๅษีองคน์ ีก้ ็มีอิทธฤิ ทธแิ ์ ละบารมีสงู ไดร้ บั เกียรติจากทา่ น
ทา้ วทศรถเชญิ ใหท้ า่ นมารว่ มกระทาํ พิธอี ศั วเมธใน ครง้ั น้ันดว้ ยอีกตน
หนึ่ ง
ฤๅษีคิชฌกูฎ
บรมครู หมอยาอีกตนหนึ่ ง
เดิมเป็ นพวกแทตย ์ หรือทานพ สืบเชอื้ สายมาจากพระกศั ย
ปะเทพบิดร (กศั ยปมุนี) บาํ เพ็ญอยู่ในป่ าลึกบนเขาคิชฌกฎู ใกลก้ บั
ป่ าหิมพานต ์ ท่านมีนิสยั ดุ เสียงดงั แตจ่ ติ ใจดี ถา้ หากวา่ โกรธแลว้ จะ
มีนัยนต์ าแดงก่าํ เป็ นหมอยาที่เกง่ ในทางสมุนไพรและคาถาอาคมมาก
ทา่ นหนึ่ง
ฤๅษีสิงขร
ฤๅษีสิงขรท่านเครง่ ครดั ในการบําเพ็ญฌานบารมีอยใู่ นยป่ า
ทึบที่ไม่คอ่ ยมีเทวดาหรือมนุษยเ์ ขา้ ไปรบกวน
69
ฤๅษีนาวนั
ผูส้ ถิตอยู่ ณ ดงพญาเยน็ สยามประเทศ
เป็ นฤๅษีที่มีเมตตาธรรม บาํ เพ็ญตบะบารมีอย่ใู นป่ าดง
พญาไฟ ที่เต็มไปดว้ ยสตั วป์ ่ านานาชนิด ทงั้ ผีโป่ ง ผีป่ า ไขป้ ่ า ลว้ น
แตอ่ นั ตรายทง้ั สิน้ แตฤ่ ๅษีนาวนั ท่านก็มิไดเ้ กรงกลวั แตป่ ระการใด
ยงั คงบําเพ็ญตอ่ ไปดว้ ยความมุ่งมน่ั กาลตอ่ มาดงพญาไฟก็ถกู เปลย่ น
ชอื่ มาเป็ นดงพญาเย็น
ฤๅษีไพรวนั
เป็ นฤๅษีผมู ้ ีเมตตาธรรมสงู ชอบชว่ ยเหลือมนุษยห์ รือสตั ว ์
ท่านจาํ ศีลภาวนาอยทู่ ี่ป่ าหิมพานต ์
ฤๅษีโกมุท
มีกาํ เนิดมาจากเกสรของดอกบวั ที่ผุดขนึ้ จากแม่นํา้ คงคา มี
บญุ บารมีสงู ทง้ั เวทมนตก์ ็เชยี่ วชาญ สถิตอยู่ในป่ าหิมพานต ์
ฤๅษีสตั ตบงกช
จาํ ศีลอยู่ในอาศรมชายป่ าหิมพานต ์ ดา้ นเชงิ เขาสตั ตบงกช
จงึ ไดช้ อื่ วา่ ฤๅษีสตั ตบงกช สาํ เร็จเป็ นผูว้ ิเศษ สามารถเขา้ ฌานและ
อดอาหารไดน้ านเป็ นปี ๆ จนกระทง่ั หนวดถึงเขา่ เคราถึงนม ผมถึง
70
เทา้ ท่านมีพระเวทคาถาอาคมอนั เขม้ ขลงั มีอิทธฤิ ทธแิ ์ ละปาฏิหาริย ์
มากมาย
ฤๅษีอคสั ตยะ
หนึ่งในฤๅษีเจ็ดตน ตามคมั ภรี ไ์ ชมินียพราหมณะ เป็ นฤๅษี
เกา่ แก่ มีมาแตค่ รงั้ ไตรดายุค เป็ นฤๅษีชนั้ พรหมผหู ้ นึ่ง จะตอ้ งบาํ เพ็ญ
ตบะจนกวา่ พระนารายณจ์ ะอวตารลงมาเป็ นพระรามแลว้ เดินทางมาถึง
อาศรมนั้น จงึ จะกลบั ขนึ้ ไปสถิตในชนั้ พรหมโลกได ้
ฤๅษีคาวินท ์
เป็ นฤๅษีที่ชรามาก วนั หนึ่ง วานรนิลราช บริวาร
ของพระรามเขา้ มาถึงอาศรม ในขณะที่ฤๅษีกาํ ลงั เขา้ ฌานอยู่ ดว้ ย
ความซกุ ซนของวานร มองเห็นไมเ้ ทา้ ของฤๅษีวางอยู่ ก็คิดจะแกลง้
ฤๅษี ไดข้ โมยไมเ้ ทา้ ไปซอ่ นไว ้ เมื่อฤๅษีออกจากฌานแลว้ ก็หาไมเ้ ทา้
ไม่พบ จึงโกรธนิลราชแลว้ สาปไปวา่ ไม่วา่ นิลราชจะทิง้ อะไรลงไปใน
นํา้ ก็ขอใหข้ องสิ่งนั้นจมอยู่กบั ที่ จนกวา่ จะไดร้ บั อาสาทาํ งานใหก้ บั
พระราม โดยนํากอ้ นหินไปถมทะเลแตเ่ พียงผเู ้ ดียวจงึ จะพน้ คาํ สาป
71
ฤๅษีโควนิ ท ์
ผูป้ กป้ องคุม้ ครองท่าวไกยเกษ
ทา่ นบําเพ็ญฌานอยใู่ นป่ าแห่งเมืองไกยเกษ ตอ่ มาไดม้ ี
ทา้ วคนธรรพ ์ ราชาแหง่ เมืองดิสศรีลิน มีพระโอรสชอื่ วิรฬุ พทั รา
องคน์ ีไ้ ดเ้ ดินทางมาจนถึงป่ าแห่งเมืองไกยเกษ แลว้ พาลเขา้ ตีเมืองไกย
เกษเสียเลย ทา้ วไกยเกษสไู ้ ม่ได ้ จาํ ใจตอ้ งทิง้ เมืองหนีไปอยกู่ บั พระ
ฤาษีโควินท ์ ซงึ่ พระฤๅษีโควินทไ์ ดแ้ ผบ่ ารมีปกป้ องคมุ ้ ครองอนั ตราย
ใหก้ บั ทา้ วไกยเกษ จงึ เป็ นผมู ้ ีพระคณุ ต่อทา้ วไกยเกษเป็ นอนั มาก
ตราบจนกระทง่ั ทา้ วไกยเกษกลบั ไปครองราชยต์ ามเดิม
ฤๅษีศรภงั ค ์
ฤๅษีผูส้ ละชวี ิตเขา้ กองไฟ
พระฤๅษีศรภงั คบ์ ําเพ็ญพรตอย่ใู นป่ าฑณั ฑกะ จนสาํ เร็จ
มรรคผลเกือบจะไดไ้ ปพรหมโลกอยู่แลว้ แตก่ ารจะไปพรหมโลกได ้
ตอ้ งรอใหด้ บั ขนั ธจ์ ากโลกนีเ้ สียกอ่ น ฤๅษีศรภงั คไ์ ม่รอเวลาใหส้ ิน้
อายุขยั ไปตามธรรมชาติ กลบั เดินเขา้ กองไฟเผาตวั เองจนตายไป ซงึ่
ในชมพูทวปี สมยั กอ่ นน้ัน เขายกย่องสรรเสริญกนั เป็ นหนักหนา แต่
ในทางพุทธศาสนาการฆ่าตวั ตายถือวา่ เป็ นบาปหนัก ไม่ควรกระทาํ
อยา่ งยิ่ง
72
ฤๅษีอจนคาวี ฤๅษียุทธกั ขระ ฤๅษีทะหะ ฤๅษียาคะ
ฤๅษี ๔ ตนผูร้ ่วมสรา้ งกรุงอโยธยา
ฤๅษีทงั้ ๔ ตนสวมชฎาดอกลาํ โพง เป็ นฤๅษี ๔ ตนในเรือ่ ง
รามเกียรติ ์ ที่รว่ มมือกนั สรา้ งกรงุ อโยธยา เดิมทา่ นทงั้ สีอ่ าศยั อยู่ในป่ า
ทวารวดี ดินแดนชมพูทวปี ไดบ้ ําเพ็ญพรตมานานนับแสนปี ตอ่ มา
เมื่อมีการสรา้ งเมืองตรงอาศรมของฤๅษีทง้ั สี่ พระราชาคือทา้ วอโนมา
ตนั จงึ ไดน้ ําเอาชอื่ ป่ าและนามของฤๅษีมาผสมปนเปกนั จนกลายเป็ น
“ทวารวดีศรีอยธุ ยา” ในเวลาตอ่ มา
ฤๅษีโรมสิงห,์ ฤาษีวตนั ตะ, ฤๅษีวชริ ะ, ฤๅษีวิสุทธิ
ฤๅษี ๔ ตนผูช้ บุ ชวี ิตนางมณโฑ
ตาํ นานกลา่ ววา่ นางพญานาคไดส้ มสกู่ บั งูดิน ฤๅษีทง้ั สีต่ น
เห็นเขา้ จงึ ใชไ้ มเ้ คาะหลงั เพื่อเตือนนางพญานาค นางเกิดความโมโห
และอบั อายระคนกนั ดว้ ยเกรงบิดาพญานาคจะลว่ งรคู ้ วามลบั จงึ แอบ
ไปคายพิษไวใ้ นอา่ งนํา้ นมที่นางแพะมาบีบนํา้ นมใส่ สาํ หรบั ถวายแก่
ฤๅษี ขณะน้ันนางกบเห็นเหตกุ ารณโ์ ดยตลอด นางเคยไดร้ บั แบง่
นํา้ นมจากฤๅษีทงั้ สีต่ น คิดตอบแทนพระคณุ แห่งฤๅษี จงึ ยอมกระโดด
ลงไปในอา่ งนํา้ นมเพื่อรบั พิษของนางพญานาค จนกระทง่ั สิน้ ใจตาย
เหลา่ ฤๅษีกลบั มาเห็นนางกบตายก็สงสาร กระทําการชบุ ชวี ิตใหด้ ว้ ย
เวทมนตร ์ นางกบเมื่อฟื้นคืนชพี แลว้ จงึ เลา่ ความจริงทงั้ หมดใหฟ้ ัง
เหลา่ ฤๅษีเห็นความกตญั ญูของนางกบ จงึ ทําพิธเี นรมิตใหน้ างกบ
กลายรา่ งเป็ นมนุษยเ์ พศหญิง มีความงดงามน่าเอ็นดู มีชอื่ วา่ นาง
มณโฑ แลว้ พานางไปถวายตวั เป็ นบริวารของพระอมุ าเทวี ตอ่ มาก็ได ้
เป็ นชายาของทศกณั ฐ ์
73
พระอาฬารดาบสกาลามโคตร
พระอาจารยข์ องสมเดจ็ พระสมั มาสมั พุทธเจา้
ละสงั ขารจากโลกมนุษย ์ ขนึ้ ไปเสวยสขุ อยูบ่ นชนั้ พรหมโลก
เมื่อสมเด็จพระสมั มาสมั พุทธเจา้ ไดต้ รสั รู ้ แลว้ ก็ทรงดาํ ริที่จะไปแสดง
ธรรมตอ่ อาฬารดาบสนี้ ซงึ่ เป็ นอาจารยผ์ สู ้ ง่ั สอนพระองคม์ ากอ่ น
นับวา่ เป็ นผมู ้ ีพระคณุ อนั ยิ่งใหญ่ ทา่ นอาฬารดาบสเป็ นผทู ้ ี่มีความรู ้ มี
ปัญญา มีความสามารถที่จะรไู ้ ดเ้ ร็วกวา่ ผูอ้ ืน่ ดว้ ยเหตนุ ีจ้ งึ คิดที่จะทรง
แสดงธรรมโปรด เพื่อที่จะใหส้ าํ เร็จเป็ นพระอรหนั ต ์ แตเ่ มื่อ
พระพุทธเจา้ ทรงเล็งทิพยญ์ านดู ก็รวู ้ า่ ทา่ นพระอาฬารดาบสไดล้ ะ
สงั ขารไปเสียกอ่ นหนา้ ที่พระองคจ์ ะไดต้ รสั รเู ้ พียง ๗ วนั เท่าน้ัน อาฬา
รดาบสไดข้ นึ้ ไปบงั เกิดเป็ นอรปู พรหมอยู่ในชนั้ ที่ ๑๙ จงึ ตอ้ งเสวยทิพย ์
อยู่ในอรปู พรหมตอ่ ไปถึงแปดหมื่นมหากปั ป์
ฤๅษีสุเมธ
อาจารยข์ องไมยราพณใ์ นเรื่องรามเกยี รติ์
ฤๅษีสเุ มธ บาํ เพ็ญพรตอยู่ที่เชงิ เขาป่ าหิมพานต ์ เชยี่ วชาญ
ในพระเวทลอ่ งหนหายตวั ผูกจติ สะกดทพั เรียกลมเรียกฝนได ้ จน
ไมยราพณย์ งั ตอ้ งมาร่าํ เรียนพระเวทกบั ทา่ น ฤๅษีสเุ มธตนนีเ้ ป็ นผทู ้ าํ
พิธถี อดดวงใจไมยราพณไ์ ปเก็บไวบ้ นยอดเขาตรีกฏู เพื่อจะไดอ้ ย่ยู งคง
กระพนั มีอายุยืนนาน
74
ฤๅษีสมมิตร เจา้ สํานกั ฤๅษีที่โดง่ ดงั
ไดบ้ ําเพ็ญภาวนาอยูใ่ นป่ าจนมีชอื่ เสียงเลือ่ งลือ กลายเป็ น
สาํ นักใหญ่ที่มีผูส้ นใจและฝากตวั เป็ นศิษยม์ ากมาย
ฤๅษีสตุ ะ ศิษยเ์ อกของฤาษีวยาสะ
ผชู้ าํ นาญการอา่ นบทโศลกและแตกฉานคมั ภีรป์ ุราณะ ผิว
กายขาว รา่ งกายทาดว้ ยขเี้ ถา้ ไวห้ นวดเครายาวเสมออก ผมสีดาํ
ยาวเกลา้ เป็ นมุ่นมวย หนวดเคราสีดาํ สวมอาภรณส์ ีสม้ คลอ้ งปะคาํ
เม็ดรทุ รกั ษะ เป็ นนรฤๅษี ศิษยเ์ อกของมหาฤๅษีวยาสะ หนึ่งในคณะ
อาจารยแ์ หง่ ฤๅษีชน้ั ฟ้ าและชนั้ ดิน ฤาษีสตุ ะเชยี่ วชาญในการขบั อา่ น
บทโศลก และแตกฉานเชยี่ วชาญในปรุ าณะทงั้ ๒๗ ปรุ าณะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศิวปุราณะ
ฤๅษีกษิโรธ บิดาของพระลกั ษมีเทวี
ฤๅษีกษิโรธมีเศียรเป็ นพญานาค ผิวกายสีขาวนวล สวม
อาภรณแ์ ละเครือ่ งประดบั สีขาว คลอ้ งประคาํ ไขม่ ุกสีขาว เป็ นฤๅษีใน
ชน้ั เทพ เป็ นบิดาของพระลกั ษมีเทวี ชายาของพระนารายณ์ เป็ น
บรมครแู ห่งความอดุ มสมบูรณ์ ความม่งั คง่ั รา่ํ รวยดว้ ยทรพั ยส์ มบตั ิอนั
มากมาย ซงึ่ ธดิ าของทา่ นก็ไดช้ อื่ วา่ เป็ นเทวีแห่งความม่งั คง่ั ดว้ ย
เชน่ กนั
75
ฤๅษีศิลาทะ บิดาของฤๅษีนนทิ
ฤๅษีศิลาทะมีรปู รา่ งสงู ใหญ่และแขง็ แรง ผิวแดง หนวดเครา
ดกดาํ คลอ้ งประคาํ เม็ดรทุ รกั ษะ สวมอาภรณส์ ีเหลือหรือสม้ ไวผ้ ม
ยาวสีดอกเลา แลว้ มุ่นขมวดเป็ นมวยผม จดั เป็ นนรฤๅษี เป็ นบิดา
ของฤๅษีนนทิ หรืออีกนามหนึ่ง พระนันทิเกศวร หวั หนา้ คณะปติเท
วาของพระศิวะ ฤๅษีศิลาทะไดร้ บั การยอมรบั วา่ มีบุตรอนั ยอดเยี่ยมและ
ยิ่งใหญ่ เป็ นอภิชาตบุตรที่หาผูเ้ สมอเหมือนมิได ้
ฤๅษีภฤคุ ผูเ้ ชยี่ วชาญในคมั ภีรไ์ ตรเพท
เป็ นหนึ่งในสิบปชาดี อย่ใู นลาํ ดบั ที่ ๙ เจนจบไตรเพท ชอบ
ท่องเที่ยวแสวงหาความรอู ้ ยูใ่ นสากลจกั รวาลอยเู่ ป็ นนิจ ขอ้ ผิดพลาด
เพียงประการเดียวของฤๅษีภฤคกุ ็คือ ตอนไปเที่ยวยงั นาคพิภพหรือ
เมืองบาดาล เกิดไปชอบแทตยส์ าว ที่มีใบหนา้ สวยงามและมีคคู่ รองอยู่
แลว้ จึงไดล้ กั พาตวั ไป ตอ่ มาแทตยห์ นุ่มไดม้ าตามตวั คคู่ รองคืน โดย
อาศยั ไหวว้ านพระอคั นีใหช้ ว่ ยตามจนพบ
ฤๅษีปุลสั ตยะ หรือ เปาลสั ตยนั , ทา้ วจตรุ พกั ตร ์
บิดาของทา้ วลสั เตียนในเรื่องรามเกียรติ์
ในรามารยณะบอกวา่ ฤๅษีปุลสั ตยะเป็ น ๑ ในฤๅษี ๗ ตน
และเป็ นฤๅษีชน้ั พรหม มีอีกนามวา่ ทา้ วจตรุ พกั ตร ์ ผคู ้ รองนครลงกา
องคท์ ี่ ๑ มีชายาชอื่ นางมลิกา มีบุตชอื่ “วศิ รวะ” หรือ “ทา้ วลสั
เตียน”
76