สีกายพระนารายนน์ ั้น ตา่ งกนั ตามยุค คือในสตั ยยคุ เป็ นสีขาว
ในไตรดายุคเป็ นสีแดง ในทวาบรยุคเป็ นสีเหลือง ในกาลยี คุ เป็ นสีดาํ
(แตส่ ีดาํ ชา่ งคงจะเห็นวา่ มืดไม่งาม จงึ่ ยกั เยือ้ งแกไ้ ขเป็ นสีดอกตะแบก)
๒. พระลกั ษมี อีกนัยหนึ่งเรียกวา่ พระศรี (พระศรีกบั พระลกั ษมี
ไม่ใชเ่ ป็ น ๒ องค ์ เป็ นองคเ์ ดียวกนั เรียกนาม ๒ อย่าง ๆ) เป็ นพระ
อคั รมเหสีของพระนารายน์ “และเมื่อพระนารายนไ์ ดอ้ วตารลงมา
บงั เกิดในมนุษยโ์ ลกคราวใด พระลกั ษมีก็ไดโ้ ดยเสด็จทกุ ครงั้ เมื่อเป็ น
พระวามน พระลกั ษมีไดบ้ งั เกิดจากดอกบวั และมีนามปรากฏวา่ ปท
มา ฤๅ กมลา เมื่อพระองคเ์ ป็ นปรศรุ าม พระลกั ษมีเป็ นนางธรานี
เมื่อพระองคเ์ ป็ นพระราม พระลกั ษมีเป็ นนางสีดา เมื่อพระองคเ์ ป็ น
พระกฤษณ พระลกั ษมีเป็ นนางรกุ มินี ในปางอืน่ พระลกั ษมีก็ไดเ้ ป็ นผู ้
อปุ ฐากพระวษิ ณุนารถทกุ ครง้ั ถา้ แมพ้ ระองคท์ รงถือเอาเทวรปู พระ
ลกั ษมีก็คงมีเทวรปู ถา้ แมพ้ ระองคท์ รงถือเอามนุษรปู พระลกั ษมีก็คงมี
มนุษรปู คงจะใหพ้ ระองคข์ องเทวีเป็ นที่เหมาะกนั กบั พระรปู แหง่ พระ
วษิ ณุนารถเสมอไป” (กลา่ วตามคมั ภีรว์ ษิ ณุปราณะ)
ในเรือ่ งรามายณะ พาลกณั ฑม์ ีเลา่ ถึงเรื่องกาํ เนิดของพระลกั ษมี
ใจความวา่ เมื่อขณะที่เทพยเจา้ ทงั้ หลายกวนเกษียรสมุทรเพื่อทาํ นํา้
อมฤต ไดม้ ีดอกบวั หลวงผดุ ขนึ้ มาจากกลางทะเล ในดอกบวั นั้นมีนาง
อย่นู าง ๑ อนั งดงามหาที่ติมิได ้ จึงมีนามวา่ ลกั ษมี (แปลวา่ มีความถึง
177
พรอ้ ม ฤๅงามพรอ้ ม) และมีสิริอนั ประเสริฐ จงึ ไดน้ ามวา่ ศรี พอชนึ้
มาจากทะเลนํา้ นมนางก็ไดต้ รงเขา้ ไปยงั พระนารายน์ พระนารายนจ์ งึ่ ยก
ใหเ้ ป็ นพระมเหสีแตบ่ ดั น้ัน
ในรปู เขยี น พระลกั ษมีมีสีกายเป็ นทอง น่ังบนดอกบวั หลวง มี
พวงมาลาสวมคอ พวงมาลานีท้ ําดว้ ยดอกไมอ้ นั ไม่มีเวลารว่ งโรย ไดม้ า
แตเ่ กษียรสมุทร
นอกจากนามวา่ ลกั ษมีและศรี ยงั มีที่เรียกกนั อีกวา่ หริปรีย
(เป็ นที่รกั ใครแ่ หง่ พระหริ) ปัทมา (นางบวั หลวง) ปัทมาลยั (ผสู ้ ถิตใน
บวั หลวง) ชลธชิ า (เกิดแตท่ ะเล) โลกมาตะ (มารดาโลก) เป็ นตน้ (จง
ดเู รื่องพระสรสั วดีดว้ ย)
๓
๓. พระอศิ วร เป็ นพระเป็ นเจา้ องค ์ ๑ ในหมู่พระเป็ นเจา้ ทง้ั ๓
ไนศาสนาพราหมณถ์ ือวา่ เป็ นผลู ้ า้ งฤๅทาํ ลาย แตโ่ ดยเหตทุ ี่ในศาสนา
พราหมณถ์ ือวา่ สตั วไ์ ม่หายสญู เลย คงทอ่ งเที่ยวอยในวฏั สงสาร จึง่ ไม่
ถือวา่ พระอิศวรเป็ นผูผ้ ลาญอยา่ งเดียว ทงั้ เป็ นผสู ้ รา้ งขนึ้ ใหม่ดว้ ย
เพราะฉะนั้นนับวา่ เป็ นที่เปลี่ยนแปลงของเกา่ ใหเ้ ป็ นใหม่ดีขนึ้ และโดย
เหตนุ ีจ้ ึง่ มกั ปน ๆ กบั พระพรหมผูส้ รา้ งอยบู่ า้ ง
178
พระอิศวรมีนามกวา่ พนั นาม นามวา่ “อิศวร” นี้ เป็ นนามที่
พราหมณจ์ าํ พวก ๑ ใชเ้ รียก แปลวา่ “พระเป็ นเจา้ ” เทา่ นั้น แตใ่ ช ้
วา่ ““พระศิวะ” ฤๅ “พระสงั กร” ก็มี เดิมในคมั ภีรไ์ ตรเพทไม่มีพระ
อิศวร พวกพราหมณช์ นั้ หลงั ที่นับถือพระอิศวรจึง่ อา้ งวา่ พระอิศวรก็
คือ “รทุ ระ” ในคมั ภีรไ์ ตรเพทนั้นเอง นอกจากนามที่กลา่ วมาแลว้ ยงั
มีนามที่ใชอ้ ยอู่ ีกบ่อย ๆ คือ
(๑) “นิลกณั ฐ”์ คอนํา้ เงินตามเรือ่ งวา่ เมื่อพระเป็ นเจา้ ทงั้ หลาย
กวนมหาสมุทรทํานํา้ อมฤต พระรทุ ระไดด้ ื่มนํา้ เที่เหลือจากนํา้ อมฤต
นํา้ นีเ้ ป็ นพิษทาํ ใหค้ อเขยี วไป
(๒) “มหาเทวะ” ฤๅ “มหาเทพ”
(๓) “ภวะ”
(๔) “สามภ”ู ฤๅ “สยมภ”ู เกิดเอง
(๕) “หะระ” ผนู ้ ําไป
(๖) “มเหศวร” ฤๅ “ปรเมศวร” พระผูเ้ ป็ นใหญ่ยิ่ง
(๗) “จนั ทรเษกระ” ผมู ้ ีจนั ทรอ์ ย่บู นนลาต (ดเู รือ่ งพระจนั ทร)์
(๘) “ภเู ตศวร” ผเู ้ ป็ นใหญใ่ นหมู่ภตู
(๙) “มฤตญุ ชยั ” ผชู ้ าํ นะความตาย
(๑๐) “ศรีกณั ฐะ” คองาม
(๑๑) “สมรหร” สงั หารสมร คือกาม
(๑๒) “คงั คธร” ผูท้ รงไวซ้ งึ่ คงคา (ในเกษา-ดเู รือ่ งแม่พระคงคา)
179
(๑๓) “สถานุ” ตง้ั ม่นั
(๑๔) “คิรษิ ะ” เจา้ แหง่ ภเู ขา (จอมไกรลาศ)
(๑๕) “ทิคมั พร” มีอากาศเป็ นเครื่องปกปิ ด
(๑๖) “ภาควตั ” ผเู ้ ป็ นเจา้
(๑๗) “อิสาน” ผปู ้ กครอง
(๑๘) “มหากาล”
(๑๙) “ตรยมั พกะ” สามตา
(๒๐) “ปัญจานนะ” หา้ หนา้ (สาํ หรบั บชู าใหห้ ายไข)้
พระอิศวรสถิตบนเขาไกรลาศ ฤๅ ถา้ เสด็จลงมายงั มนุษยโ์ ลกก็
สถิต ณ เมืองพาราณสี โคผเู ้ ผือก เรียกวา่ อศุ ภุ ราชบา้ ง นันทิราช
บา้ งเป็ นพาหนะ
สีกายพระอิศวรเป็ นสีขาว คอสีนิล เกษาสีเจือแดงมุ่นอยา่ งฤๅษี
กรมีเป็ น ๒ บา้ ง ๔ บา้ ง ๕ บา้ ง ๑๐ บา้ ง พกั ตรมี ๑ โดยมาก
(นอกจากในปางที่เรียกนามวา่ ปัญจนะน้ันมี ๕ พกั ตร) มีเนตร ๓
เนตรกลางอยทู่ ี่กลางนลาตและตง้ั ขนึ้ ตรง ๆ เหมือนทรงขา้ วบิณฑ ์
หตั ถถ์ ือกรี ทรงหนังเสือ มีพระจนั ทรเ์ สีย้ วติดเหนือนลาต ทรงสงั วาล
เป็ นงู ๑ สาย ทรงประคาํ ทาํ ดว้ ยกระโหลกศีรษ์ ะมนุษย ์ ๑ สาย ธหุ
ร่าํ ๑ สาย บางทีเครือ่ งอาภรณท์ งั้ หลายก็ใชเ้ ป็ นงูลว้ น
180
๔. พระอมุ า มเหสีพระอิศวร มีนามตา่ ง ๆ ตามปางตา่ ง ๆ
หลายปางคือเชน่ นี้ คือ
(๑) “อมุ า” เป็ นบุตรีทกั ษะโอรสพระพรหมธาดา ในชน้ั ตน้ ทกั ษะ
ไม่สมคั รยกใหพ้ ระอิศวร แตพ่ ระพรหมขอใหจ้ งึ่ ตกลง ในปางนีม้ ีเรื่อง
วา่ ครง้ั หนึ่งทกั ษะไดม้ ีการสมโภชใหญ่ แตไ่ ม่อญั เชญิ พระอิศวรไป ณ
ที่น้ัน เพราะดถู กู วา่ เป็ นยาจกโสมม พระอมุ าเสียใจจงึ่ โดดเขา้ กอง
กณู ฑเ์ ผาตวั ตาย แลว้ ไดน้ ามวา่
(๒) “สตี” คือเป็ นหญิงที่ซอื่ ตรงดี ตอ่ มาหญิงที่เขา้ กองไฟขณะ
เผาศพสามี จงึ่ เรียกวา่ “สตี”
(๓) “ปรรวตี” ฤๅ “อมุ าไทมะวตี” เป็ นบุตรีทา้ วหิมวตั (คือเขา
หิมาลยั ) กบั นางเมนาบุตรีแหง่ เมรุ นี่คือเมื่อเผาตวั เป็ นสตีแลว้ มาเกิด
ใหม่
(๔) “เคารี” นีเ้ ป็ นปางเดียวกบั ปรรวตี ตามเรื่องวา่ สีกายดาํ พระ
อิศวรเยา้ เรื่องสีกาย พระปรรวตีจึง่ ออกไปอยูป่ ่ าและเขา้ ฌานอยู่จนพระ
พรหมประทานพรใหส้ ีกายกลายเป็ นทอง
ที่กลา่ วแลว้ ขา้ งบนนี้ พระอมุ าเป็ นเทวีแท ้ และเป็ นองคม์ เหสีพระ
อิศวร แตน่ อกจากนีย้ งั มีปางของพระอมุ า ซงึ่ ดเู หมือนจะเป็ นของที่มา
พ่วงเขา้ ภายหลงั เชน่ ทรุ คาและกาลีเป็ นตน้ ซงึ่ มีลกั ษณะผิดกบั พระอุ
มาบางทีมาก ๆ และไม่เกี่ยวแกเ่ รื่องรามายณะ จงึ่ มิไดก้ ลา่ วถึงในที่นี้
181
๕. พระคเณศร ์ ฤๅ วฆิ เนศร ์ เรียกวา่ โอรสของพระอิศวรและ
พระอมุ า (ปรรวตี) พราหมณน์ ับถือวา่ เป็ นเจา้ แห่งวิทยาการตา่ ง ๆ
เรือ่ งราวที่กลา่ วถึงกาํ เนิดของพระคเณศรม์ ีตา่ ง ๆ หลายอยา่ งและเรื่อง
ที่เลา่ วา่ เหตไุ รเศียรจึง่ เป็ นเศียรชา้ งก็มีตา่ ง ๆเหมือนกนั นอกจาก
คเณศร ์ เรียกวา่ “คณปติ” (คณบดี) ซงึ่ แปลความอย่างเดียวกนั ก็ได ้
“วนิ ัยกะ” (พินายของไทยเรา) ก็เรียก “เอกทนั ตะ” ก็เรียก เพราะมีงา
เดียว เดิมมี ๒ งาบริบรู ณ์ แตค่ รงั้ หนึ่งปรศรุ าม (รามสรู ) ขนึ้ ไปเฝ้ า
พระอิศวรที่เขาไกรลาศ พระอิศวรบรรทมหลบั อยู่ พระคเณศรจ์ ึง่ หา้ ม
มิใหเ้ ขา้ ไป ปรศรุ ามถือวา่ เป็ นคนโปรดจะเขา้ ไปใหไ้ ด ้ เกิดววิ าทกนั ถึง
รบกนั พระคเณศรจ์ บั ปรศรุ ามดว้ ยงวงป่ันขวา้ งไปจนปรศรุ ามสลบ
ครนั้ ฟื้นขนึ้ ปรศรุ ามจงึ่ จบั ขวานขวา้ งไป พระคเณศรเ์ ห็นขวานจาํ ไดว้ า่
เป็ นของพระอิศวรประทานจงึ ไม่ตอ่ สู ้ แตก่ ม้ ลงรบั ไวด้ ว้ ยงาขา้ งหนึ่ง งา
น้ันก็สะบนั้ ไปทนั ใด ฝ่ ายพระปรรวตีกริว้ ปรศรุ าม กาํ ลงั จะทรงแชง่ ก็
พอพระนารายนซ์ งึ่ เป็ นที่เคารพแหง่ ปรศรุ ามแปลงเป็ นกมุ ารมาวงิ วอน
ขอโทษ พระปรรวตีจึง่ ประทานโทษให ้ (เรื่องนีม้ าจากคมั ภรี พ์ รหมา
ไววรรตะปุราณะ วลิ สนั แปล)
รปู พระคเณศรท์ ี่มกั ทาํ มีเศียรเป็ นศีรษ์ ะชา้ ง โดยมากมี ๔ กร
แต่ ๖ กร ๘ กร ฤๅ ๒ กรก็ใช ้ กายอว้ นใหญ่ หนูเป็ นพาหนะ
182
๖. พระขนั ทกมุ าร เรียกตามสงั สกฤตวา่ “สกนั ทะ” ฤๅ “กรรติ
เกยะ” อีกนัยหนึ่งเรียกวา่ “พระอรชนุ ” เป็ นจอมพลแหง่ ทพั สวรรคต์ าม
คมั ภรี ป์ รุ าณะตา่ ง ๆ วา่ เป็ นโอรสพระอิศวรและพระปรรวตี ครนั้ วา่ จะ
นําเรื่องเหลา่ นีม้ าเลา่ ไวก้ ็จะฟ่ันเฝื่ อ จึง่ จาํ ตอ้ งงดไว ้
รปู ที่ทาํ โดยมาก กายเป็ นสีทอง บางทีมี ๖ เศียร ๑๒ กร
นกยงู เป็ นพาหนะ
๗. พระพรหมา เป็ นพระเป็ นเจา้ องค ์ ๑ ในหมู่พระเป็ นเจา้ ทง้ั
๓ ในศาสนาพราหมณ์ นับถือวา่ เป็ นผสู ้ รา้ งสรรพสิ่งทง้ั ปวง เป็ นสยมั
ภู คือเกิดขนึ้ เองอีก กาํ เนิดของพระพรหมนี้ ตามคมั ภรี ต์ า่ ง ๆ ขา้ ง
ศาสนาพราหมณม์ ีเรื่องเลา่ ไวต้ า่ ง ๆ กนั หลายอย่าง พระมนูุกลา่ ววา่
แรกบงั เกิดนั้นเป็ นไขฟ่ องใหญก่ อ่ น ไขแ่ ตกออกแลว้ จงึ่ เป็ นองคพ์ ระ
พรหม แตห่ นังสือมหาภารตะ และคมั ภีรป์ รุ าณะบางฉบบั วา่ พระ
พรหมาไดเ้ กิดขนึ้ ในดอกบวั หลวง ซงึ่ ผุดขนึ้ มาจากนาภีพระนารายน์
พรหมาปรุ าณะกลบั วา่ พระพรหมา ฤๅในที่นีเ้ รียกวา่ “อาปวะ” ไดแ้ บ่ง
พระองคเ์ ป็ น ๒ ภาค เป็ นชายภาค ๑ หญิงภาค ๑ และพระนา
รายนไ์ ดเ้ กิดมาแตภ่ าคทง้ั ๒ นี้ แลว้ พระนารายนจ์ งึ่ สรา้ งพระวิราช
ซงึ่ เป็ นผไู ้ ดเ้ ป็ นบิดาของมนุษยค์ นแรก แตใ่ นคมั ภีรน์ ีเ้ องมีฎีกาอธบิ าย
ไวว้ า่ ในชนั้ ตน้ พระนารายนไ์ ดส้ รา้ งพระอาปวะฤๅ วศิ ิษฎ ฤๅ วิราช
ขนึ้ โดยอาศยั กาํ ลงั พระพรหมา แลว้ พระวริ าชจึง่ สรา้ งพระมนูซงึ่ เป็ น
183
บิดาแห่งมนุษยท์ งั้ หลายอีกชน้ั ๑ ขอ้ ความที่นํามากลา่ วไวโ้ ดยสงั เขป
เชน่ นี้ ก็พอจะแสดงใหเ้ ห็นไดแ้ ลว้ วา่ การที่จะเลา่ เรือ่ งพระพรหมามิใช่
ง่ายนัก และพระพรหมากบั พระนารายนด์ แู ย่ง ๆ กนั เป็ นผสู ้ รา้ งอยู่
มิหนําซาํ้ พระอิศวรกบั พระพรหมาก็แกง่ แยง่ กนั อีก วา่ ใครสรา้ งใคร ใน
คมั ภรี ป์ ุราณะอนั ๑ กลา่ ววา่ แรกเริ่มเดิมทีกอ่ นที่จะมีโลกทง้ั หลาย
ขนึ้ มีแตม่ หากาล (คือพระอิศวร) อยู่องคเ์ ดียว พระมหากาลไดถ้ พู ระ
กรซา้ ยดว้ ยนิว้ พระหตั ถ ์ จนเกิดพองขนึ้ เป็ นรปู ไขม่ ีสีคลา้ ยทอง ไขน่ ี้
พระมหากาลไดต้ อ่ ยเป็ น ๒ ภาค ภาคบนทําเป็ นสวรรค ์ ภาคลา่ งเป็ น
แผ่นดิน ในกลางเป็ นพระพรหมา ซงึ่ พระมหากาลไดม้ อบธรุ ะใหเ้ ป็ น
ผสู ้ รา้ งตอ่ ไป ดงั นี้ แตข่ อ้ ที่วา่ พระพรหมาเป็ นผสู ้ รา้ งพระอิศวรนั้น คือ
สรา้ งพระรทุ ระขนึ้ จากหนา้ ผาก แตเ่ รื่องราวของพระพรหมามีอีก
มากมายเกินกวา่ ที่จะนํามาลงไวใ้ นที่นี้
พระพรหมาเป็ นพระเจา้ องค ์ ๑ ก็ดี แตม่ ีผบู ้ ชู านอ้ ยนัก ทว่ั ทง้ั
มชั ฌิมประเทศมีเทวสถานที่บูชาพระพรหมโดยเฉพาะอยแู่ ห่งเดียวที่
ตาํ บลปุษกะระ ในแขวงอาชมีรเท่าน้ัน พวกพราหมณน์ ิยมกนั วา่ พระ
พรหมาเป็ นผสู ้ รา้ งไดก้ ระทาํ กิจสาํ เร็จแลว้ จึง่ ไม่ตอ้ งมีสถานไวใ้ หม้ า
สถิต และบําบวงเฉพาะวนั เพ็ญมาฆมาสปี ละครงั้ เป็ นพืน้
นามพระพรหมาที่ใชอ้ ยู่อย่างมากนอกจากพรหมา คือ:-
(๑) “ธาตา” (ธาดา) ผสู ้ รา้ ง
(๒) “อาตมภ”ู เป็ นขนึ้ ดว้ ยตนเอง
184
(๓) “ประชาปติ” (ประชาบดี) เป็ นใหญ่ในประชา
(๔) “โลเกษ” เป็ นเจา้ โลก
(๕) “หิรณั ยครรภ” เกิดแตท่ อ้ ง (ไข)่ ทอง
(๖) “กมลาศน”์ น่ังบนดอกบวั หลวง
(๗) “สวิตฤปติ” ภศั ดาแห่งนางสวติ ฤ
(๘) “อทิกวิ” กระวที ี่ ๑
รปู พระพรหมา มีสีกายแดง สี่เศียร ทรงเครื่องขาว หตั ถ ์ ๑
ถือไมเ้ ทา้ อิกหตั ถ ์ ๑ ถือถาดสาํ หรบั อามิสพลี มีห่าน (ฤๅหงส)์ เป็ น
พาหนะ
๘. พระสรสั วดี (สะรสั วติ) เป็ นมเหสีพระพรหมธาดา พวก
พราหมณน์ ับถือวา่ เป็ นเจา้ ของปัญญาและวิทยาทงั้ หลาย เป็ นมารดา
แหง่ พระเวท และเป็ นผคู ้ ิดหนังสือเทวนาครี พระสรสั วดีนีพ้ ระพรหมา
ไดส้ รา้ งขนึ้ คือแบ่งภาคจากพระองค ์ (ดเู รื่องพระพรหมา) เพราะฉะนั้น
บางทีก็เรียกวา่ พรหมบตุ รี บางทีก็พระสรสั วดีเป็ นมเหสีพระนารายน์
ตามความนิยมของพวกพราหมณไ์ วษณวะนิกาย (คือพวกนับถือพระ
นารายน)์ มีเรื่องเลา่ วา่ เดิมพระนารายนม์ ีมเหสี ๓ องค ์ คือพระ
ลกั ษมี ๑ พระสรสั วดี ๑ พระคงคา ๑ แตไ่ ม่เป็ นที่ปรองดองกนั
185
พระนารายนจ์ ึง่ ยกพระสรสั วดีใหพ้ ระพรหม ยกพระคงคาใหพ้ ระอิศวร
คงไวแ้ ตพ่ ระลกั ษมี
พระสรสั วดีนับวา่ เป็ นเทพธดิ าแม่นํา้ ในมชั ฌิมประเทศมีลาํ นํา้
ชอื่ สรสั วดี (ซงึ่ ชาวอินเดียเด๋ียวนีเ้ รียกวา่ “สรู สตู ี”) ขา้ งประจิมทิศแห่ง
แม่นํา้ ยมนา ในคมั ภีรพ์ ระเวทกลา่ วถึงแม่นํา้ สรสั วดีมากกวา่ แม่นํา้ คง
คา จึง่ เขา้ ใจไดว้ า่ ในโบราณสมยั นับถือลาํ นํา้ นีม้ ากกวา่ แม่พระคงคา
ในคมั ภีรป์ รุ าณะตา่ ง ๆ มีนามมเหสีพระพรหมหลายนาม แตด่ ตู าม
ขอ้ ความในมตั สาปรุ าณะทาํ ใหเ้ ขา้ ใจวา่ องคเ์ ดียวมีหลายนาม คือพระ
พรหมไดแ้ บ่งภาคพระองคเ์ องออกเป็ นพระเทวอี งค ์ ๑ อนั มีนามปรากฏ
วา่ ศตรปู าบา้ ง สวติ ฤบา้ ง สรสั วดีบา้ ง พราหมณีบา้ ง ดงั นี้ แตม่ ี
เรื่องราวในสกนั ทะปุราณะเลา่ ถึงเรือ่ งพระวิตสฤมีความหึงหวงกบั พระคา
ยะตฤซงึ่ เป็ นชายาพระพรหมอีกองค ์ ๑ ในปัทมะปุราณะก็มีเรือ่ งคลา้ ย
ๆ กนั อีก แตใ่ นวราหะปรุ าณะกลา่ วถึงพระสรสั วดี เรียกนามวา่ คา
ยะตฤบา้ ง สรสั วดีบา้ ง มเหศวรี (ซงึ่ เป็ นนามของพระอมุ าอนั หนึ่ง)
บา้ ง สวิตฤบา้ ง แตโ่ ดยมากเรียกวา่ สรสั วดี
รปู พระสรสั วดีเป็ นหญิงสาว สีกายขาวนวล มี ๔ กร หตั ถ ์
เบือ้ งขวาถือดอกไม ้ บูชาพระพรหมหตั ถ ์ ๑ ถือคมั ภรี ใ์ บลานอีกหตั ถ ์
๑ หตั ถเ์ บือ้ งซา้ ยถือสายสรอ้ ยไขม่ ุก เรียกวา่ ศิวมาลาแทนประคาํ หตั ถ ์
๑ ถือกลองเรียกวา่ “ทมรรวะ” (ที่ไทยเราเรียกวา่ บณั เฑาะว)์ อีกหตั ถ ์
๑ แตท่ ี่ทําเป็ นถือพิณและน่ังบนดอกบวั หลวงก็มี
186
๙. พระอนิ ทร ์ ในคมั ภรี ไ์ ตรเพท ซงึ่ เป็ นมูลรากแห่งศาสนา
พราหมณน์ ้ัน พระอินทรเ์ ป็ นพระเจา้ ใหญ่ยิ่งกวา่ เทพยทง้ั หลาย นับวา่
เป็ นเจา้ แห่งฟ้ า เป็ นผูถ้ ือไวซ้ งึ่ อสนุ ีบาต และเป็ นผูบ้ นั ดาลใหฝ้ นตก
เพื่อบาํ รงุ พืชผลทงั ปวงในแผน่ ดิน ตอ่ มาภายหลงั เกิดมีพระเป็ นเจา้ ทงั้
๓ ขนึ้ พระอินทรจ์ ึง่ นับถือลดหย่อนลงมาเป็ นชนั้ รอง พระอินทรน์ ั้น
มิไดน้ ับวา่ เป็ นสยมั ภู คือมิไดเ้ กิดขนึ้ เอง มีบิดามารดา ที่วา่ เป็ นโอรส
แหง่ เทย๎ าส (ฟ้ า) กบั ปฤถวี (ดิน) และเป็ นเชษฐาแห่งอคั นีก็มี แต่
กลา่ วเป็ นอย่างอืน่ ก็มี เป็ นเจา้ ผคู ้ รองสวรรค ์ มีกาํ หนด ๑๐๐ ปี
สวรรค ์ ครน้ั เมื่อครบกาํ หนดแลว้ ก็ตอ้ งละทิพยสมบตั ิ มีเทวดาอืน่ ขนึ้
เสวยทิพยสมบตั ิแทน บางทีมนุษยท์ ี่ไดบ้ าํ เพ็ญตะบะฌานกลา้ พอ ก็
สามารถจะไดค้ รองสวรรคเ์ หมือนกนั
นามของพระอินทรม์ ีตา่ ง ๆ หลายอยา่ ง เหลือที่จะเก็บรวบรวม
มาใหห้ มดไดแ้ ตท่ ี่ใชอ้ ย่บู ่อย ๆ คือ
(๑) “อมรนิ ทร”์ เป็ นใหญใ่ นหมู่อมร
(๒) “เทวปติ” “เทวเทวะ” เป็ นใหญใ่ นหมู่เทวดา
(๓) “สรุ ปติ” (สรุ บดี สรุ บดินทร ์ สรุ นิ ทร ์ ฯลฯ) เป็ นใหญใ่ นหมู่
สรุ
(๔) “มเหนทร” ฤๅ “มหินทร” ใหญย่ ิ่ง
(๕) “สกั ระ” ฤๅ “สกั รินทร ์ ” ผมู ้ ีความสามารถยิ่ง
187
(๖) “วชั รี” ฤๅ “วชั รินทร”์ ผถู ้ ือเพชราวธุ
(๗) “สวรรคปติ” (สวรรคบดี) จอมสวรรค ์
(๘) “เมฆวาหน” ผทู ้ รงเมฆ
(๙) “วฤตระหา” ผสู ้ งั หารวฤตระ คือความแหง้ แลง้ในแผ่นดิน
(๑๐) “ทิวสั ปติ” เจา้ แห่งอากาศ
(๑๑) “วาสวะ” (วาสพ) เป็ นใหญ่ในหมู่วสเุ ทพทง้ั ๘ มีพระเพลิง
เป็ นตน้
(๑๒) “ศตกรตุ” ฤๅ “ศตมขะ” เจา้ แห่งการบวงสรวงมีกาํ หนดได ้
รอ้ ย (คือ พิธอี ศั วเมธ ๑๐๐ ครงั้ ซงึ่ เป็ นผลใหผ้ ทู ้ ี่กระทําไดเ้ ป็ นพระ
อินทร)์
(๑๓) “สหสั รากษะ” ฤๅ “สหสั นัย” พนั ตา
(๑๔) “ศจปี ติ” ภสั ดาแหง่ นางศจี
รปู พระอินทรบ์ างทีมี ๔ กร ๒ หตั ถถ์ ือหอก หตั ถท์ ี่ ๓ ถือเพ
ชราวธุ หตั ถท์ ี่ ๔ วา่ ง แตโ่ ดยมากมกั มีแต่ ๒ กร มีิตาทว่ั กาย
ทรงชา้ ง หตั ถข์ วาถือเพชราวธุ หตั ถซ์ า้ ยถือธนู
พาหนะมีชา้ งชอื่ ไอราวตั (ไอยราพต) ฤๅ เอราวณั ก็เรียก กบั มี
มา้ ขาวชอื่ อจุ ไฉหศระวสั มีรถคนั ๑ สารถีชอื่ มาตลี วิมานเรียกวา่
188
ไวชยนั ตะ (ไพชยนต ์ ) ฤๅ เวชยนั ต ์ มีสวนนันทนะอทุ ยาน นครที่
สถิตชอื่ อมรวดี ซงึ่ อยบู่ นเขาเมรุ
ตามหนังสือมหาภารตะกลา่ ววา่ เมือง (อมรวดี) นี้ มีวิมานอนั
งดงามเป็ นที่อยู่ของชาวเมือง ไม่มีนครใดที่จะงดงามเสมอเหมือนได ้
ในสวนมีตน้ ไมห้ ลายพรรณอนั เป็ นที่รม่ รืน่ บา้ งมีผลอนั มีโอชารสเลิศ
บา้ งมีดอกอนั สง่ กลิ่นหอมหวาน เหลา่ อปั สรอนั รปู งามอยา่ งยิ่งทาํ ให ้
เป็ นที่จาํ เริญเนตรชาวนคร ทงั้ มีผชู ้ าํ นาญในการขบั รอ้ งและสรรพ
ดรุ ิยางคห์ าที่เปรียบมิได ้ ตา่ งทําใหเ้ ป็ นที่เพลิดเพลินใจดว้ ยสาํ เนียงอนั
ไพเราะ นครนีพ้ ระวศิ กุ รรมเป็ นผูส้ รา้ ง วดั โดยรอบ ๘๐๐ โยชน์ สงู
๔๐ โยชน์ บรรดาเสาทาํ ดว้ ยเพชร ์ และวิมาน บลั ลงั ก ์ ทงั้
เครือ่ งประดบั ประดาทงั้ ปวง ลว้ นทําดว้ ยทองนพคณุ
๑๐. มเหสีพระอนิ ทร ์ มเหสีพระอินทรน์ ั้น ตรวจดตู ามหนังสือ
ตา่ ง ๆ วา่ มีองคเ์ ดียว และโดยมาก
เรียกวา่ “อินทราณี” ฤๅ “ศจี” แตม่ ีนามอีกหลายอย่าง โปรเฟสเซอร ์
โมเนียรว์ ิลเลียมสใ์ นหนังสือพจนานกรมองั กฤษสงั สกฤตไดก้ ลา่ วไวว้ า่
“มเหสี (ของพระอินทร)์ มีนามเรียกวา่ ศจี อินทราณี ศกั ราณี มโฆนิ
อินทรศกั ติ ปโุ ลมชา และเปาโลมี ” ดงั นี้ ในคมั ภรี ฤ์ คเวทมีกลา่ ววา่
“ตามบรรตดาสตรีทง้ั หลาย อินทราณีมีโชคดียิ่งกวา่ หญิงทงั้ สิน้
เพราะวา่ ภสั ดาของนางจะมิไดส้ ิน้ ชพี ลงดว้ ยชราภาพเลยในเบือ้ งหนา้ ”
189
ขอ้ นีม้ ิสเตอรว์ ลิ กินสอ์ ธบิ ายวา่ เพราะพระอินทรจ์ ะเปลีย่ นไปกี่องค ์ ๆ
นางอินทราณีก็คงยงั เป็ นอคั รมเหสีของผเู ้ ป็ นพระอินทรต์ อ่ ๆ ไป ใน
สวรรคค์ งจะตอ้ งมีผใู ้ ดผูห้ นึ่งเป็ นใหญ่ปกครองโลกสวรรค ์ และนาง
อินทราณี ขอเป็ นอคั รมเหสีของจอมสวรรคเ์ สมอ เพราะฉะนั้นจงึ่
นับวา่ ไม่มีเลยที่ภสั ดาของนางอินทราณีจะตอ้ งสิน้ ชพี ลงเพราะชราภาพ
โปรเฟสเซอรโ์ มเนียรว์ ลิ เลียมสก์ ลา่ ววา่ พระอาทิตยก์ บั พระ
อินทราณี มีโอรสองค ์ ๑ ชอื่ ชยนั ตะ แตม่ ิสเตอรว์ ิลกินสว์ า่ เทพบตุ ร
นีช้ อื่ จิตรคปุ ตะ และวา่ เกิดมาจากครรภน์ างโค เพราะพระอมุ าไดส้ าป
นางฟ้ าทว่ั ไปมิใหม้ ีบุตรได ้ นางอินทราณีบําเพ็ญกศุ ลกรรมตา่ ง ๆ
เพื่อขอพรใหม้ ีบตุ ร จงึ่ ไดจ้ ิตรคปุ ตะเทพบุตรมาสมประสงค ์ แตจ่ ะทรง
ครรภเ์ องมิได ้ จึง่ ใหน้ างโคทรงครรภแ์ ทน และเมื่อนางโคคลอดบุตรนั้น
นางอินทราณีก็รสู ้ ึกเจ็บเหมือนหนึ่งคลอดบตุ รเอง
๑๑. พระปรรชนั ย ์ อธบิ ายยากวา่ มีลกั ษณะและหนา้ ที่อย่างไร
ตามคาํ สรรเสริญก็มีตา่ ง ๆ วา่ เป็ นฝนบา้ ง เป็ นพายุบา้ ง เป็ นเมฆบา้ ง
เป็ นฟ้ ากมั ปนาทบา้ ง เพราะฉะนั้นดแู ย่ง ๆ หนา้ ที่กบั พระอินทรอ์ ยู่
ในรามายณะกลา่ วชดั วา่ มีตวั ต่างหากจากพระอินทร ์ แตก่ าํ เนิดเป็ น
อยา่ งไร รปู รา่ ง สีสรร เป็ นอยา่ งไร คน้ หาไม่พบ
190
๑๒. พระอาทิตย ์ เป็ นโอรสพระกสปประชาบดีกบั นางอทิติใน
คมั ภรี ฤ์ คเวท กลา่ วถึงพระอาทิตยว์ า่ เป็ นโอรสนางอทิติองค ์ ๑ และ
เรียกนามวา่ สรุ ิยะ วา่ เป็ นองคเ์ ดียวกบั พระอคั นีก็วา่ ในคมั ภรี ท์ ี่กลา่ ว
แลว้ น้ันมีวา่ นางอทิติมีโอรส ๘ องค ์ แตอ่ งค ์ ๑ พิการ นางจึง่ ทิง้ เสีย
พี่นอ้ งมีความสงสารจึง่ ชว่ ยแกไ้ ขใหห้ ายพิการ และใหน้ ามวา่ ววิ สั วตั
ตอ่ มากลา่ วพระอินทร ์ ๑ พระสรุ ยะ ๑ พระอคั คี ๑ รวม ๓ นีไ้ ด ้
บําเพ็ญตะบะตา่ ง ๆ มาก จนไดเ้ ป็ นใหญ่กวา่ เทพยเจา้ ทงั้ หลาย ตาม
ที่วา่ มาแลว้ วา่ พระอาทิตยเ์ ป็ นโอรสนางอทิตินั้น บางทีก็มีกลา่ ววา่ เป็ น
โอรสพระเทย๎ าส บางแห่งวา่ นางอษุ สั เป็ นมเหสีแหง่ สรุ ยะ แตบ่ างแห่งก็
วา่ เป็ นมารดา แตใ่ นคมั ภีรป์ รุ าณะโดยมากวา่ เป็ นโอรสพระกสปกบั
นางอทิติ ในวษิ ณุปราณะมีเรือ่ งเลา่ ถึงพระอาทิตยว์ า่ ไดน้ างสงั คนา
บตุ รีพระวิศกุ รรมเป็ นมเหสี มีเรือ่ งราวยืดยาว แตจ่ ะนํามาเลา่ ในทีนีก้ ็
จะฟ่ันเฝื อนัก จึง่ งดไว ้ (ดใู นเรื่องพระเสารด์ ว้ ย)
๔
นามของพระอาทิตย ์ ถา้ จะกลา่ วถึงในหมู่เทวดานพเคราะห ์
เรียกวา่ “ระว”ิ (ระพี) นอกจากนามที่ไดก้ ลา่ วมาแลว้ ขา้ งบนนี้ ยงั มีที่
เรียกอย่มู ากอีกคือ “ทินกร” “ทิวากร” “ภาสกร” “ประภากร”
“อาภากร” เป็ นตน้
ตามคมั ภรี ไ์ ตรเพทวา่ พระสรุ ยะน้ัน “เนตรทอง กรทอง ชวิ หา
ทอง ทรงรถเทียมมา้ เทา้ ด่างขาว ” ตามคมั ภีรป์ ุราณะบอกรปู พระ
อาทิตยว์ า่ สีกายแดงแก่ มี ๓ เนตร ๔ กร ถือดอกบวั เผื่อน ๒
191
หตั ถ ์ หตั ถท์ ี่เหลืออีก ๒ หตั ถน์ ั้น หตั ถ ์ ๑ ใหพ้ ร หตั ถ ์ ๑ กวกั ให ้
บชู า น่ังบนดอกบวั หลวงมีรศั มีเปลง่ ปลง่ั ทง้ั กาย มีสารถีคือพระอรณุ
๑๓. พระจนั ทร ์ ฤๅโสมเทพ - ในชน้ั ตน้ โสมเทพเป็ นเทวดา
องคห์ นึ่ง ซงึ่ มิใชพ่ ระจนั ทร ์ แตม่ าภายหลงั จึง่ กลายเป็ นพระจนั ทรไ์ ป
ดว้ ย ในฤคเวทวา่ พระโสมเป็ นเจา้ แห่งนํา้ โสม ซงึ่ นับถือกนั วา่ เป็ น
โอสถวิเศษ โสมเป็ นชอื่ ไมเ้ ถาชนิด ๑ เรียกชอื่ ตามภาษาละตินวา่
“อสั เคลป์ ิ อสั อซดิ ะ ” (Asclepias acida) มีใบนอ้ ย ดอกสีขาวเล็ก
ๆ อยปู่ ลาย ๆ เถา มียางขาว ๆ รสฝาด ชาวมชั ฌิมประเทศนับถือ
กนั มาก ในคมั ภรี ฤ์ คเวทกณั ฑท์ ี่ ๙ เต็มไปดว้ ยคาํ สรรเสริญตน้ โสม
และพระโสมเทพ ตามคมั ภีรเ์ วทนั้น กลา่ ววา่ พระโสมเทพไดบ้ ตุ รี ๓๓
องคข์ องพระประชาบดีเป็ นชายา แตพ่ ระโสมโปรดนางโรหินีมากกวา่
นางอืน่ ๆ นาง ๓๒ มีความหึงจึง่ กลบั ไปหาบิดา พระโสมวงิ วอน
ขอรบั คืนไปและรบั วา่ จะเลีย้ งดใู หเ้ สมอกนั แตแ่ ลว้ ลืมคาํ นีเ้ สีย พระ
ประชาบดีจงึ่ สาปพระโสมใหเ้ ป็ นโรคฝี ในทอ้ ง (เพราะเหตฉุ ะนี้
พระจนั ทรจ์ ึง่ ไดผ้ อมลงทกุ วนั จนดบั หายไป แลว้ จึง่ คอ่ ยเกิดขนึ้ ใหม่อีก
ซงึ่ มนุษยเ์ ห็นปรากฏอยเู่ ป็ นขา้ งขนึ้ ขา้ งแรมจนกาลบดั นี)้
ในวษิ ณุปราณะซงึ่ เป็ นหนังสือชน้ั ใหม่กวา่ ไตรเพท กลา่ ววา่ พระ
โสมเทพ (คือพระจนั ทร)์ เป็ นโอรสพระอตฤมุนีพรหมบตุ ร แตว่ า่ เกิด
มาจากมหาสมุทรเมื่อกวนนํา้ อมฤตก็วา่ กบั มีเรือ่ งตอ่ ไปวา่ พระจนั ทร ์
192
ไดก้ ระทาํ พิธรี าชสยุ ะมีบุญญาธกิ ารมาก เกิดกาํ เริบขนึ้ จงึ่ ไปลกั พานาง
ดารามเหสีพระพฤหสั บดีไป พระพฤหสั บดีจะพูดวา่ กลา่ วอยา่ งไร พระ
โสมเทพก็ไม่ฟัง พระพรหมวา่ กลา่ วก็ไม่ฟัง เทพฤๅษีทงั้ หลายไปวา่
กลา่ วก็ไม่ฟัง จนเกิดมีสงครามขนึ้ พระอินทรก์ บั เทวดาฝ่ าย ๑ พระ
โสมกบั อสรู อีกฝ่ าย ๑ จนนางดาราเองไดค้ วามเดือดรอ้ นรอ้ งขอบารมี
พระพรหมธาดาเป็ นที่พึ่ง พระพรหมธาดาจงึ่ บงั คบั ใหพ้ ระโสมคืนนาง
ดารา แตน่ างดารามีครรภอ์ ยแู่ ลว้ พระพฤหสั บดีจงึ่ สง่ั ใหบ้ ุตรคลอด
ออกมา บตุ รนีค้ ือพระพุธ ฝ่ ายพระพฤหสั บดี ครน้ั เมื่อนางดาราได ้
สารภาพแลว้ วา่ พระจนั ทรเ์ ป็ นบิดาแหง่ กมุ ารน้ัน ก็มีความพิโรธ จึง่
เผานางเสียจนเป็ นเถา้ (เพราะพระพฤหสั บดีนีว้ า่ เป็ นองคเ์ ดียวกบั พระ
อคั นี) แตพ่ ระพรหมไดช้ บุ นางขนึ้ ใหม่ และโดยเหตนุ างไดล้ า้ งบาปแลว้
ดว้ ยเพลิง พระพฤหสั บดีจงึ่ รบั ไวเ้ ป็ นมเหสีอย่างเดิม ฝ่ ายพระสมุทรมี
ความพิโรธพระโสมผูเ้ ป็ นโอรส จงึ่ ตดั รอนเสีย แตพ่ ระลกั ษมีผเู ้ ป็ น
ภคินีไดช้ ว่ ยวิงวอนขอหยอ่ นโทษบา้ ง พระสมุทรจงึ่ ยอมถอนคาํ สาปให ้
สว่ น ๑ แลว้ พระลกั ษมีไดช้ ว่ ยวงิ วอนพระอมุ า ขอใหพ้ ระโสมไดก้ ลบั
ขนึ้ ไปบนสวรรค ์ พระอมุ าทูลวงิ วอนพระอิศวร ๆ จงึ่ เอาพระจนั ทรต์ ิด
เหนือนลาตของพระองค ์ แลว้ เสด็จไปในสมาคมแห่งเทวดาทงั้ หลาย
พระพฤหสั บดีเห็นเชน่ น้ันก็มีความขนุ่ เคืองยิ่งนัก จนพระพรหมตอ้ ง
ไกลเ่ กลี่ยวา่ ใหพ้ ระจนั ทรอ์ ยู่เสียนอกสวรรค ์ แตใ่ หเ้ ป็ นเจา้ แห่งดาว
และพฤกษชาติทง้ั หลาย
รปู พระจนั ทรเ์ ป็ นมนุษย ์ สีกายขาว ๒ กร ทรงรถเทียมมา้ ขาว
193
๑๔. พระองั คาร “มงั คละ” ก็เรียก “ภมุ มะ” ก็เรียก ไม่ปรากฏ
วา่ กาํ เนิดเป็ นอย่างไร (คน้ ยงั ไม่พบ) มิสเตอรว์ ลิ กินสก์ ลา่ ววา่ เป็ น
เทวดาองคเ์ ดียวกบั พระขนั ทกมุ าร รปู เป็ นคน สีกายแดง ๔ กร
ภษู าอาภรณแ์ ดง ทรงแกะเป็ นพาหนะ
๑๕. พระพุฒ (ฤๅพุธ) โอรสพระจนั ทร ์ กบั นางดารา (ดใู น
เรือ่ งพระจนั ทร)์
๑๖. พระพฤหสั บดี เป็ นครแู หง่ เทวดาทงั้ หลาย ตามไตรเพทวา่
เป็ นองคเ์ ดียวกบั พระอคั นี แตม่ าภายหลงั จงึ่ นิยมกนั วา่ เป็ นฤๅษี โอรส
พระองั คีรสพรหมบุตร (ดใู นเรือ่ งพระจนั ทรด์ ว้ ย)
๑๗. พระศุกร ์ เป็ นโอรสพระภฤคมุ ุนีพรหมบตุ ร เป็ นครแู หง่
พวกแทตย ์ และวา่ เนตรบอดขา้ ง ๑ ที่เนตรบอดน้ัน มีเรือ่ งเลา่ วา่
เมื่อพระนารายนเ์ ป็ นพระวามนาวตาร ไปยงั ที่พิธกี ารของพลิราชจอม
แทตย ์ ศกุ รไดห้ า้ มพลิราชมิใหๆ้ สิ่งใดแกพ่ ระวามนาวตาร แตพ่ ลิราช
ไดล้ น่ั วาจาแลว้ วา่ จะยกแผน่ ดิน ๓ ยา่ งใหแ้ กพ่ ระวามนาวตาร จึงตก
ลงเป็ นจะใหแ้ ละเป็ นหนา้ ที่ของพระศกุ รผ์ เู ้ ป็ นปโรหิตของพลิราชที่จะ
อา่ นมนตแ์ ละเทนํา้ กรดใหห้ ลง่ั แตพ่ ระศกุ รท์ ราบแลว้ วา่ ถา้ แมใ้ หต้ าม
194
พระวามนาวตารขอก็แผน่ ดินก็คงจะตกไปเป็ นของพระวามนาวตาร
ทง้ั สิน้ จงึ่ หายตวั ลงไปสิงอยูใ่ นกลดนํา้ และกนั ไวม้ ิใหน้ ํา้ นั้นไหล
ออกมาได ้ ฝ่ ายพระวามนาวตารเล็งเห็นวา่ พระศกุ รล์ งไปกนั นํา้ ไว ้ จึง่
หยิบฟางหญา้ คาแยงลงไปในกรดถกู เนตรพระศกุ รเ์ จ็บปวดทนมิได ้ จึง่
ตอ้ งเปิ ดใหน้ ํา้ ไหล และเนตรพระศกุ รจ์ งึ่ บอดขา้ ง ๑ พระศกุ รน์ ีน้ ับถือ
กนั วา่ มีวทิ ยาขลงั สามารถจะชบุ คนตายใหฟ้ ื้นขนึ้ ได ้
สีกายเลื่อมประภสั สร ภษู าอาภรณส์ ีเชน่ กนั
๑๘. พระเสาร ์ วา่ เป็ นโอรสพระอาทิตยก์ บั นางฉายา ฤๅอีกนัย
หนึ่งวา่ เป็ นโอรสพระพลรามกบั นางเรวะดี ตามเรือ่ งที่วา่ เป็ นโอรสพระ
อาทิตยก์ บั นางฉายาน้ัน มีขอ้ ความกลา่ วไวใ้ นวษิ ณุปุราณะวา่ นาง
สงั คณา (ฤๅนัยหนึ่งเรียกวา่ สรณั ยา) บตุ รีพระวศิ กุ รรมเป็ นมเหสีพระ
สรุ ยะ อยู่ดว้ ยกนั จนมีเทพบุตร ๓ องค ์ แลว้ นางสรณั ยาทนรศั มีพระ
อาทิตยม์ ิได ้ จงึ่ จาํ ตอ้ งหลบหนีไป ใหน้ างฉายาอยแู่ ทน พระสรุ ยะก็ไม่
รสู ้ ึกอยู่หลายปี วา่ สบั ตวั กนั จนอย่มู าวนั ๑ นางฉายามีความโกรธ
พระยมผูเ้ ป็ นโอรสพระสรุ ยะกบั นางสงั คณา นางจงึ่ กลา่ ววาจาแชง่ พระ
ยม และผลก็มีแกพ่ ระยมตามคาํ แชง่ ตามธรรมดาคาํ แชง่ ของมารดา
จะมีผลอนั ใดแกบ่ ตุ รก็หามิได ้ เพราะฉะน้ันพระสรุ ยะจงึ่ ทราบไดว้ า่ นาง
ฉายามิใชม่ ารดาของพระยม
195
พวกพราหมณถ์ ือวา่ พระเสารเ์ ป็ นเทวดาเคราะหร์ า้ ย ดงั ปรากฏ
อยูใ่ นหนังสือพรหมาไววรรตะปรุ าณะ เลา่ เรือ่ งพระคเณศรว์ า่ เมื่อพระ
คเณศรป์ ระสตู ิแลว้ เทพยดาทงั้ หลายไดพ้ ากนั ไปเฝ้ าพระอิศวรกบั
พระปรรวดี และไดเ้ ขา้ ไปชมพระคเณศรเ์ รียงองคก์ นั พระเสารก์ ็ไปใน
ที่น้ันดว้ ยแตก่ ม้ หนา้ อยู่ ตาหาดพู ระกมุ ารไม่ พระปรรวดีตรสั ถามวา่
เหตไุ ฉนจงึ่ ไม่แลดพู ระกมุ าร พระเสารต์ อบวา่ วนั ๑ พระเสารก์ าํ ลงั
เขา้ ฌานราํ ลึกถึงคณุ พระนารายน์ มเหสีของพระเสารเ์ ขา้ มา พระ
เสารก์ ็หาไดป้ ราศรยั ฤๅสาํ แดงความชนื่ ชมโสมนัสอย่างใดไม่ นางมี
ความโกรธจึง่ สาบไวว้ า่ ถา้ พระเสารแ์ ลดผู ูใ้ ดใหผ้ ูน้ ้ันพินาศ ฝ่ าย
พระปรรวดีไดท้ ราบเรือ่ งแลว้ ก็ยงั ขนื วงิ วอนใหพ้ ระเสารด์ พู ระกมุ าร
พระเสารเ์ รียกพระธรรมราชา (พระยม) ใหเ้ ป็ นพยานวา่ ไดร้ บั อนุมตั ิ
แลว้ จงึ่ มองดพู ระคเณศร ์ ทนั ใดน้ันเศียรพระคเณศรก์ ็หลดุ จากกาย
ลอยไปยงั ไวกณู ฐแ์ ละเขา้ บรรจบกบั องคพ์ ระนารายน์ จนพระนารายน์
ตอ้ งขนึ้ ทรงครฑุ ไปยงั ลาํ นํา้ ปษุ ปะภทั ร ์ ตดั ศีรษ์ ะชา้ งที่นอนหลบั อยู่ริม
ลาํ นํา้ น้ันมาติดแทนเศียรพระคเณศรท์ ี่สญู ไป พระอิศวรกบั พระปรรวดี
มีความยินดีประทานพรตา่ งๆ แกบ่ รรดาเทวดาและฤๅษีชพี ราหมณท์ ี่
ไปเฝ้ า เวน้ แตพ่ ระเสารน์ ั้นพระปรรวดีไดแ้ ชง่ ใหข้ าเขยกตอ่ มา
รปู พระเสาร ์ สีกายดาํ มี ๔ กร ภษู าอาภรณด์ าํ และมิสเตอร ์
วิลกินสว์ า่ ทรงนกแรง้ เป็ นพาหนะ ตามตาํ ราโหรของไทยวา่ ทรงเสือ
196
๑๙. พระราหู วา่ เป็ นโอรสพระพฤหสั บดีกบั นางสิงหิกา ตาม
ความที่นิยมกนั วา่ พระราหอู มพระอาทิตยแ์ ละพระจนั ทรใ์ นเวลาอปุ
ราคานั้น มีเรือ่ งเลา่ มาวา่ เดิมพระราหเู ป็ นอสรู แตเ่ มื่อเวลากวนนํา้
อมฤตน้ัน ไดแ้ ปลงรปู เป็ นเทวดา พระอาทิตยก์ บั พระจนั ทรซ์ งึ่ น่ังอยู่
ดว้ ยกนั ไดท้ ูลทว้ งแกพ่ ระนารายนว์ า่ มีอสรู ตน ๑ ไดก้ ินนํา้ อมฤตแลว้
พระนารายนจ์ ึง่ ตดั เศียรอสรู น้ันเพื่อลงอาญา แตอ่ สรู นั้นไดน้ ํา้ อมฤต
แลว้ เพราะฉะนั้นทง้ั เศียรทงั้ กายก็มิไดต้ าย พระนารายนจ์ งึ่ ตงั้ นาม
ภาคเศียรวา่ ราหู ใหอ้ ยูท่ างที่ลบั แหง่ จนั ทรโคจร ตงั้ นามกายภาควา่
เกตุ ใหอ้ ยู่ทางที่แจง้ แหง่ จนั ทรโคจร กบั อนุญาตวา่ เพื่อแกแ้ คน้ ให ้
ราหมู ีเวลาไดเ้ ขา้ ใกลพ้ ระอาทิตยพ์ ระจนั ทรแ์ ละกระทําใหม้ วั มล
รา่ งกายซบู ผอมและดาํ ไป
รปู พระราหู สีกายดาํ มิสเตอรว์ ลิ กินสว์ า่ ขสี่ ิงหเ์ ป็ นพาหนะ แต่
ตาํ ราโหรไทยเราวา่ ขคี่ รฑุ
๒๐. พระเกตุ เป็ นภาคกายแห่งอสรู ราหูเมื่อถกู พระนารายนฟ์ ัน
เป็ น ๒ ภาค (ดใู นเรื่องพระราหู)
รปู พระเกตุ มิสเตอรว์ ิลกินสไ์ ม่กลา่ ววา่ เป็ นอย่างไร ตาํ ราโหร
ไทยวา่ กายสีทอง ทรงนาคเป็ นพาหนะ
197
๒๑. พระเพลิง (อคั นี) เป็ นที่นับถือของพวกพราหมณ์
โบราณมาก จึง่ มีเรื่องเลา่ ถึงมาก นัยหนึ่งวา่ เป็ นโอรสแห่งอากาศ
และปฤถวี นัยหนึ่งวา่ เป็ นโอรสพระพรหมาธริ าช และเรียกนามวา่ พระ
อภมิ าณี นัยหนึ่งวา่ เป็ นโอรสพระกสั ปกบั นางอทิติ จึง่ นับวา่ เป็ นอาทิต
ยะองค ์ ๑ นัยหนึ่ง (ในหนังสือชนั้ หลงั ) วา่ เป็ นโอรสพระองั คีรส ราชา
แห่งปิ ตรีทง้ั หลาย (คือบิดาของมนุษย)์ อีกนัยหนึ่งวา่ เป็ นองคเ์ ดียวกบั
พระพฤหสั บดี คาํ สรรเสริญบท ๑ ซงึ่ โปรเฟสเสอ้ รโ์ มเนียร ์ วิลเลียมส ์
ไดแ้ ปลลงไวใ้ นหนังสือชอื่ “อินเดียนวสิ ดอม” บอกลกั ษณะพระเพลิง
แจม่ แจง้ ดี มีใจความตามคาํ สรรเสริญนั้นวา่ “มีแสงสวา่ ง รศั มี ๗
แฉก มีรปู แปลกๆ น่าชม กายสีเป็ นทองคาํ มีเศียร ๓ เกษา
กระจา่ งโพลน และโอษฐท์ ง้ั ๓ มีคางและทนตอ์ นั รอ้ นจดั เสวยสรรพ
สิง่ ปวง บางทีพระองคก์ ็มีเขานับดว้ ยพนั ลว้ นรงุ่ โรจน์ มีเนตรนับดว้ ย
พนั อนั ฉายรศั มีกระจา่ งจา้ ทรงรถทองลอยละลิว่ เฉียดลม เทียมมา้ อนั
แดงจดั ”
รปู ที่เขยี นโดยมาก มกั มีสีกายแดง มีชงค ์ ๓ กร ๗ เนตร
ขนง และเกศาสีม่วงแก่ ทรงแกะผเู ้ ป็ นพาหนะ คลอ้ งสงั วาลธหุ ร่าํ อย่าง
พราหมณ์ และมีสงั วาลผลไมร้ อ้ ยกรองเป็ นพวง มีเปลวไฟออกมาจาก
โอษฐ ์ และมีรศั มีเป็ น ๗ แฉก ถือขวาน
นามพระเพลิงที่ใชเ้ รียกกนั ในมชั ฌิมประเทศ นอกจาก “อคั นี”
และ “อภมิ าณี” ที่กลา่ วแลว้ น้ันมี
198
(๑) “พราหมณัศปติ” เป็ นผใู ้ หญใ่ นหมู่พราหมณ์ (มุ่งวา่ กอง
กณู ฑ)์
(๒) “วาหนี” ผรู ้ บั เครือ่ งพลีกณู ฑ ์
(๓) “ธนัญชยั ” ผชู้ าํ นะทรพั ย ์
(๔) “ชวิ ลนะ” ผลู้ กุ สวา่ ง
(๕) “ธมู เกตุ” ผมู ้ ีควนั เป็ นที่กาํ หนด
(๖) “ฉาคะรถะ” ผทู้ รงแกะผู ้
(๗) “สปั ตะชวิ หา” ผมู้ ีชวิ หา ๗
๒๒. พระวรุณ (พิรุณ) เป็ นที่นับถือของชาวมชั ฌิมประเทศ
มาก ถือวา่ เป็ นเจา้ แห่งนํา้ ทง้ั หลาย เป็ นผูร้ กั ษาความสขุ สวสั ดีแหง่
มนุษยแ์ ละสตั วท์ ง้ั ปวง มีมเหสีนามวา่ วรณุ ี และพระสมุทร พระคงคา
เทวี ทง้ั ลาํ นํา้ สระและพุทงั้ หลาย เป็ นบริพาร
มีนามอีกวา่ “ประเจตสั ” (มีปัญญา) “ชละปติ” (เจา้ แห่งนํา้ ) “ยา
ทะปติ” (เจา้ แหง่ สตั วน์ ํา้ ) “อมั พุราช” (เจา้ แห่งนํา้ ทงั้ หลาย) “ปาศี” (ผู ้
ถือบ่วง)
199
รปู พระวรณุ สีกายขาว หตั ถข์ วาถือป่ วง ฤๅถือธนูศรก็มี ทรง
“มกระ” คือเหราเป็ นพาหนะ (ไทยเราวา่ ทรงนาค)
๒๓. พระอศั วิน เป็ นเทวดา ๒ องคแ์ ฝด เรียกนามรวมนาม
เดียววา่ อศั วิน หาเรื่องราวที่จะเลา่ ถึงใหแ้ จม่ แจง้ ยาก และจะกลา่ ว
ชดั เจนวา่ เป็ นเจา้ แหง่ อะไรก็ยาก เพราะมีคาํ อธบิ ายต่าง ๆ กนั หลาย
ประการนัก มิสเตอรม์ ิยวั ร ์ ( J. Muir D.C.L., LL.D.) ในหนังสือชอื่
“หนังสือสงั สกฤตฉบบั เดิม” (Original Sankskrit Texts) กลา่ วพระ
อศั วนิ “เป็ นผเู ้ ริ่มนําแสงสวา่ งมาในฟากฟ้ าเวลาเชา้ เป็ นผูเ้ รง่ เมฆที่บงั
แสงอรณุ ใหเ้ ลื่อนพน้ ไป และผนู ้ ําทางใหพ้ ระอาทิตยเ์ ดิน ” ในคาํ
สรรเสริญมีกลา่ ววา่ เป็ นโอรสพระสรุ ยะบา้ ง วา่ เป็ นโอรสแหง่ ฟ้ าบา้ ง วา่
เป็ นโอรสแห่งสมุทรบา้ ง
ที่วา่ เป็ นโอรสพระอาทิตยน์ ้ัน มีเรือ่ งเลา่ ในหนังสือวษิ ณุปราณะ
วา่ เมื่อครง้ั นางสรณั ยาไดห้ นีจากพระอาทิตยไ์ ปแลว้ นั้น (ดเู รือ่ งพระ
เสาร)์ นางไดอ้ อกไปอยปู่ ่ า พระอาทิตยเ์ ล็งทิพเนตรเห็นวา่ นางอยแู่ ห่งใด
แลว้ จงึ่ ตามออกไป พบนางกลายรปู เป็ นนางมา้ อยูใ่ นป่ า พระอาทิตยก์ ็
จาํ แลงเป็ นมา้ ผไู ้ ปอยดู่ ว้ ย จนเกิดพระอศั วินทง้ั คนู่ ีม้ า (และบางทีจะ
เป็ นดว้ ยเหตนุ ีเ้ อง กมุ ารทง้ั สองจงึ่ ไดน้ ามวา่ อศั วนิ คือมูลรากของนาม
มาจากอศั วะนั้นเอง)
200
พระอศั วนิ ทงั้ ๒ นีน้ ับถือกนั วา่ เป็ นแพทยพ์ ิเศษ สามารถ
เยียวยารกั ษาคนตาบอดใหแ้ ลเห็น คนขาเขยกใหข้ าตรง และพิการ
ตา่ งๆ ใหก้ ลบั เป็ นคนดีได ้
รปู นั้นทราบไดแ้ ตว่ า่ เป็ นอย่างมนุษย ์ และขมี่ า้ แขง็ นัดปราชญ ์
เยอรมนั ชอื่ โปรเฟสเสอ้ รโ์ คลดส์ ติคเกอร ( goldstiicker) แสดง
ความเห็นไวว้ า่ เดิมพระอศั วนิ นีเ้ ป็ นมนุษย ์ จึง่ มีเรือ่ งราวกลา่ วถึงวา่
ทอ่ งเที่ยวอยใู่ นมนุษยโ์ ลกเพื่อรกั ษาคนไขโ้ ดยมาก ตอ่ ๆ มาจึง่ ยก
ยอ่ งกนั ขนึ้ เป็ นเทวดา
๒๔. พระวายุ (พายุ) คือเจา้ ลม ตามคมั ภรี ไ์ ตรเพทไม่ปรากฏ
วา่ มีกาํ เนิดอยา่ งไร แตต่ ามหนังสือปรุ าณะกลา่ ววา่ เป็ นโอรสพระกสป
กบั นางอทิติ เพราะฉะน้ันนับวา่ เป็ นอาทิตยะองค ์ ๑ เหมือนกนั
นอกจากวายุ ยงั มีนามเรียกอีกวา่ “วาตะ” “ปวนะ” “มารตุ ”
“สปรรศนะ” “คนั ธวาห”
ลกั ษณะตามไตรเพท วา่ มีรปู รา่ งงดงามยิ่งนัก ทรงรถเทียมมา้ สี
แดงฤๅม่วงแดง มา้ น้ันโดยมากเทียมคเู่ ดียว แตบ่ างทีมีเทียมถึงเกา้ สิบ
เกา้ รอ้ ย ฤๅพนั ก็มี แลว้ แตก่ าํ ลงั ลมออ่ นฤๅแรง ในรปู เขยี นชน้ั หลงั
ๆ มีสีกายขาว ทรงมฤคเป็ นพาหนะ หตั ถถ์ ือธงสีขาวบา้ ง เขนงฤๅ
แตรสาํ หรบั เป่ าบา้ ง
201
๒๕. พระยม วา่ เป็ นโอรสพระสรุ ิยะกบั นางสรณั ยา อีกนัยหนึ่ง
ในฤคเวทวา่ เป็ นโอรสของคนธรรพ ์ ในชนั้ ตน้ ตามคมั ภรี ไ์ ตรเพท มิได ้
นับถือวา่ พระยมเป็ นเจา้ นรก เป็ นแตน่ ับถือวา่ เป็ นมนุษยค์ นแรกที่ไดถ้ ึง
แกค่ วามตาย และเป็ นผทู ้ ี่ไดด้ าํ เนินทางไปโลกที่อย่แู ห่งคนตายกอ่ น
ผูอ้ ืน่ จงึ่ เป็ นผนู ้ ําทางของผตู ้ ายทว่ั ไป ครนั้ เมื่อตายไปถึงสถานแห่งพระ
ยมแลว้ ก็ไดร้ บั ความสขุ จงึ่ นับถือวา่ เป็ นเจา้ แหง่ ผูต้ ายทง้ั หลาย แลว้
จึง่ กลายเป็ นนับวา่ พระยมคือตวั มฤตยู (ความตาย) นั้นเอง แตอ่ ยา่ งไร
ๆ ก็ดี คงถือวา่ การที่ไปถิ่นพระยมนั้นเป็ นอนั ไปสสู่ ถานอนั เปนสขุ
ครนั้ มาในชน้ั หลงั คือตามหนังสือปุราณะตา่ ง ๆ พระยมจึง่ มาเป็ น
ตลุ าการแห่งคนตายและเป็ นเจา้ นรก เชน่ ในปทมะปรุ าณะเป็ นตน้
กลา่ ววา่ พระยมเป็ นตลุ าการของผตู ้ าย และเป็ นเจา้ แหง่ ผตู ้ กนรก
บรรดาคนที่ตายไปแลว้ ตอ้ งไปเฉพาะพกั ตรพ์ ระยมเพื่อฟังขอ้ ความที่
พระจติ รคปุ ตะเทพบตุ รไดจ้ ารึกไวใ้ นเรื่องกศุ ลและอกศุ ลกรรมของตน
ๆ ผทู ้ ี่ไดท้ ําบุญพระยมก็สง่ ไปยงั สวรรค ์ ผทู ้ ี่ไดท้ ําบาปก็ไลไ่ ปลงนรก
เพื่อรบั ทณั ฑกรรมตอ่ ไป ตามวิษณุปุราณะมีกลา่ วไวว้ า่ บรรดาคนที่
ตายตอ้ งตกไปอยใู่ นเงือ้ มหตั ถพ์ ระยมทง้ั สิน้ และจะตอ้ งทนทกุ ขเ์วทนา
ตา่ ง ๆ เวน้ เสียแตผ่ ทู ้ ี่นับถือและบูชาพระวษิ ณุอยเู่ ป็ นนิตยเ์ ท่าน้ัน ”
และตามความนิยมของพวกพราหมณว์ า่ วญิ ญาณแห่งผตู ้ ายจะออก
จากรา่ งไปถึงถิ่นพระยมไดภ้ ายใน ๔ ชว่ั โมง ๔๐ นาที เพราะฉะนั้นจะ
เผาศพกอ่ นที่คนตายไปแลว้ เกินเวลาที่กาํ หนดน้ันไม่ได”้ (วิลกินส)์
นามพระยมมีที่เรียกกนั อยมู่ าก ๆ ยงั มีอยอู่ ีกดงั ตอ่ ไปนี้
202
(๑) “ธรรมราชา”
(๒) “ปิ ตฤปติ”เป็ นใหญ่ในหมู่บิดา (คือบรรพบรษุ )
(๓) “สมวรุ ติ” ผูต้ ดั สินเที่ยง
(๔) “สะมะนะ” ผสู ้ งบ
(๕) “กาละ” เวลา (ที่ใชพ้ ูดกนั อย่วู า่ พระกาลมาผลาญ)
(๖) “ทณั ฑะธร” ผถู้ ือไม้ (สาํ หรบั ลงอาญา)
(๗) “ศรทั ธะเทวะ” เจา้ แห่งการทําศพ
(๘) “ไววสั วตะ”เกิดแตพ่ ระวิวสั วตั (พระอาทิตย)์
(๙) “อนั ตะกะ” ผทู ้ าํ ใหถ้ ึงที่สดุ (แห่งชพี )
(๑๐) “มหิเษส” ผทู้ รงมหิงษ ์
ตามรปู เขยี น สีกายเขยี ว ภษู าแดง ทรงมงกฎุ และมาลาประดบั
เกษา ถือคทา ทรงกระบือเป็ นพาหนะ แตข่ า้ งไทยเราวา่ ทรงสิงหเ์ ป็ น
พาหนะ
๒๖. พระวิศกุ รรม ฤๅเรียกตามภาษาสงั สกฤตวา่ “วิศวกรรม”
และ ตว๎ สั ตฤ” ก็เรียก นับวา่ เป็ นศิลปี เอกในหมู่เทวดา
203
ในรปู ชาวมชั ฌิมประเทศ เขยี นพระวิศกุ รรมมีสีกายขาว มี ๓
เนตร ทรงชฎาและอาภรณท์ อง ถือคทา (ของไทยเราเป็ นสีเขยี วโพก
ผา้ )
๒๗. ทา้ วกเุ วร ฤๅทา้ วเวศวณั และพระไพรศพณก์ ็เรียก ทา้ ว
กเุ วรนีเ้ ป็ นพรหมพงศ ์ ดงั ปรากฏอยู่ในเรื่องราวที่เลา่ มา ที่มีเรื่องราว
ละเอียดอยู่ ๒ แหง่ คือ ในอตุ ตรกณั ฑแ์ ห่งรามายณะแห่ง ๑ ใน
มหาภารตะแหง่ ๑ เรื่องราวคลา้ ย ๆ กนั ที่ผิดกนั เป็ นขอ้ ใหญค่ ือ
ในรามายณะวา่ ทา้ วกเุ วรเป็ นนัดดาของพระปุลศั ตย๎ ะ แตใ่ นมหาภา
รตะวา่ เป็ นโอรสพระปลุ ศั ตย๎ ะ ในที่นีจ้ ะไดเ้ ลา่ เรือ่ งตามขอ้ ความที่มีมา
ในรามายณะ ดงั นี้
ในสตั ยย์ คุ ครงั้ ๑ พระปุลศั ตย๎ ะมุนีพรหมบุตรไดถ้ กู นางฟ้ าและ
นางมนุษยร์ บกวนใหเ้ ป็ นที่ราํ คาญดว้ ยการรอ้ งราํ ทําเพลงตา่ ง ๆ พระ
ปุลศั ตย๎ ะจงึ่ ประกาศแชง่ ไวว้ า่ ถา้ แมห้ ญิงใดไดม้ าใหแ้ ลเห็นอย่ใู กล ้
อาศรมของเธอแลว้ ใหห้ ญิงนั้นตอ้ งมีบตุ ร แตน่ างธดิ าของราชฤษี
ตริณะวนิ ทมุ ิไดท้ ราบประกาศนี้ จงึ่ ไดเ้ ดินไปทางที่หา้ ม ก็บงั เกิดมี
ครรภข์ นึ้ ตามคาํ แชง่ พระตริณะวินทไุ ดท้ ราบเหตเุ ชน่ น้ัน ก็ไปยงั พระ
ปุลศั ตย๎ ะยกธดิ าให ้ ตอ่ มานางจงึ่ คลอดบุตร อนั ไดน้ ามวา่ วิศรวสั (ฤๅ
อีกนัยหนึ่งเรียกวา่ เปาลศั ตย๎ นั คือ เกิดแตป่ ุลศั ตย๎ ะ) วิศรวสั ไดเ้ ลา่
เรียนวิทยาอาคมจนเป็ นมุนีเชน่ บิดา และไดน้ างธิดาแห่งพระภารทวาช
204
มุนีเป็ นชายา มีบุตรดว้ ยกนั นามวา่ กเุ วรฤๅไวศรวณั (เวสวณั คือ
เกิดแตว่ ิศรวสั ) พระกเุ วรไดบ้ ําเพ็ญตะบะอยหู่ ลายพนั ปี พระพรหม
ธาดาจงึ่ ทรงพระเมตตาประทานพรใหเ้ ป็ นเทวดาเจา้ แหง่ ทรพั ยท์ ง้ั หลาย
และใหเ้ ป็ นโลกบาลผู ้ ๑ ดว้ ย กบั ทง้ั ประทานบุษบกสาํ คญั อนั ๑ ซงึ่
จะใชข้ ลี่ อยไปไดท้ ุกแหง่ พระวิศรวสั จงึ่ แนะใหพ้ ระกเุ วรไปอยู่ ณ เมือง
ลงกา ซงึ่ พระวิศกุ รรมไดส้ รา้ งขนึ้ ใหพ้ วกรากษส แตซ่ งึ่ พวกรากษสได ้
ทิง้ เสียเพราะความเกรงพระนารายน์ ขณะน้ันมีพญารากษสตน ๑ ซงึ่
มีนามวา่ สมุ าลี อนั ไดถ้ กู ขบั ลงไปอยู่ ณ บาดาลน้ัน ไดข้ นึ้ มาเยี่ยม
แผน่ ดิน ไดเ้ ห็นทา้ วกเุ วรขบี่ ุษบกไปเยี่ยมพระบิดา สมุ าลีมีความริษยา
และอยากจะใครใ่ หพ้ วกรากษสไดก้ ลบั ไปอยู่ ณ กรงุ ลงกาตามเดิม จงึ่
ใชใ้ หน้ างไกกาสีผูเ้ ป็ นธดิ าขนึ้ ไปยว่ั ยวนพระวศิ รวสั มุนี ๆ ก็เป็ นที่
พอใจจงึ่ รบั นางไวเ้ ป็ นชายา มีโอรสธดิ าดว้ ยนางคือ ราพน์ ๑ กมุ
กรรณ ๑ สรู ปนขา ๑ วิภีษณะ (พิเภก) ๑ อยู่มานางไกกาสีมีความ
ริษยาทา้ วกเุ วร จึง่ ยุยงราพนใ์ หแ้ ขง่ พี่บา้ ง ราพนก์ บั อนุชาทง้ั ๓ จงึ่
พากนั ไปศึกษาในสาํ นักพระโคกรณมุนี (ที่เราเรียกวา่ พระโคบตุ ร) ได ้
เขา้ ฌานและบําเพ็ญทุกรกิริยาตา่ ง ๆ อยพู่ นั ปี จนพระพรหมธาดา
ทรงพระเมตตาประทานพรหลายประการ (ซงึ่ กลา่ วไวใ้ นตอนวา่ ดว้ ย
ทศกรรฐต์ า่ งหาก) แลว้ ราพนจ์ งึ่ ชงิ เอาลงกาและบษุ บกจากทา้ วกเุ วร
ตามขอ้ ความที่ไดม้ าเชน่ นี้ จึง่ ปรากฏวา่ ทา้ ว “กเุ ปรนั ” ในเรือ่ ง
รามเกียรติข์ องไทยเรา คือทา้ วกเุ วรนีเ้ อง
205
ขอ้ ที่วา่ กเุ วรเป็ นโลกบาลน้ัน ปรากฏตามรามายณะวา่
โลกบาลมี ๔ องค ์ คือพระอินทรอ์ ยู่ทิศบูรพา พระยมอยู่ทิศทกั ษิณ
พระวรณุ อยทู่ ิศปรศั จิม พระกเุ วรอยูท่ ิศอดุ ร แตบ่ างแหง่ วา่ โลกบาลมี
๘ องค ์ นอกที่รกั ษาทิศใหญอ่ นั กลา่ วแลว้ มีที่รกั ษาทิศเฉียงคือ พระ
อคั นีทิศตะวนั ออกเฉียงใต ้ พระสรุ ยะทิศตะวนั ตกเฉียงใต ้ พระโสม
ตะวนั ออกเฉียงเหนือ พระวายุตะวนั ตกเฉียงเหนือ
ทา้ วกเุ วรนั้นเป็ นใหญใ่ นหมู่ยกั ษท์ ง้ั หลาย เมืองน้ันตามมหาภา
รตะวา่ ชอื่ คนั ธมรรทนะ มีอทุ ยานอนั เป็ นที่สาํ ราญและงดงามยิ่งนัก
และมีกลา่ วถึงในรามายณะบอ่ ย ๆ พระภารทวาชมุนีเมื่อรบั พระราม
นางสีดา และพระลกั ษมณ์ ก็ไดก้ ลา่ ววา่ “ขอสวนแหง่ ทา้ วกเุ วร อนั
อยูห่ ่างไกลเหนือกรุ รุ ฐั นั้น จงมาบงั เกิดมีขนึ้ ณ ที่นี้ ขอผา้ และ
อาภรณอ์ ย่างดีจงเกิดมีมาแทนใบไม้ และนารีแทนผล ” ซงึ่ ปรากฏวา่ ใน
สวนน้ันมีตน้ นารีผล
นอกจากถกู แย่งเมืองลงกาและบษุ บก ทา้ วกเุ วรมิหนําซาํ้ ตอ้ งไป
รบั ใชท้ า้ วราพนอ์ ยู่คราว ๑ ในตาํ แหน่งขนุ คลงั แตไ่ ม่ใชต่ อ้ งไปรบั ใช ้
ผูเ้ ดียว เทวดาอื่นก็ตอ้ งไปรบั ใชอ้ ยู่ดว้ ย เชน่ พระอินทรต์ อ้ งไปรบั ใชเ้ ป็ น
ผรู้ อ้ ยกรองพวงมาลยั พระเพลิงตอ้ งไปเป็ นพ่อครวั พระอาทิตยต์ อ้ งไป
ใหแ้ สงสวา่ งในกลางวนั และพระจนั ทรใ์ นกลางคืนเป็ นตน้
รปู ทา้ วกเุ วร ชาวมชั ฌิมประเทศจะไดเ้ คยเขยี นฤๅป้ันไวอ้ ย่างไร
ยงั คน้ ไม่พบ แตใ่ นชนั้ หลงั ๆ นี้ ไม่มีใครเขยี นฤๅปั้นเสียอีกแลว้ แต่
206
ตามขอ้ ความปรากฏอยวู่ า่ เดิมเป็ นมนุษย ์ แลว้ พระพรหมยกขนึ้ เป็ น
เทวดามียกั ษเ์ ป็ นบริวาร ชา่ งไทยจงึ่ มกั เขยี นทา้ วกเุ วรเป็ นยกั ษ ์
๒๘. พระสมุทร เป็ นเจา้ แหง่ ทะเลทง้ั หลาย แตห่ าเรือ่ งราวที่
กลา่ วถึงกาํ เนิดไม่ได ้ มีแตเ่ รือ่ งเลา่ ในรามายณะ ถึงเรื่องแม่นํา้ คงคา
เกิดมาในมนุษยโลกอย่างไร และวา่ หลมุ ที่โอรสพระสคั ราชไดข้ ดุ น้ัน
คือหว้ งทะเล (ดใู นเรื่องแม่พระคงคา)
ในเรือ่ งรามายณะลงั กากณั ฑ ์ ตอนจองถนน มีบอกลกั ษณะและ
อาภรณข์ องพระสมุทรวา่ สีกายนํา้ เงินแกแ่ กมทอง ทรงสงั วาลประดบั
ดว้ ยแกว้ วิเศษตา่ ง ๆ ทรงมงกฎุ ประดบั ไขม่ ุกและแกว้ ทะเลหลาย
ประการ มีมาลยั ดอกไมส้ วรรคอ์ นั ไม่รจู ้ กั เหี่ยวแหง้
๒๙. แมพ่ ระคงคา ไดค้ วามตามพาลกณั ฑแ์ ห่งหนังสือรา
มายณะวา่ พระหิมาลยั มีมเหสีชอื่ นางเมนา บตุ รีแห่งพระเมรุ ทงั้ ๒
นีม้ ีบุตรี ๒ องค ์ คือพระคงคา ๑ พระอมุ า ๑ เทพยดาทง้ั หลายได ้
ขอพระคงคาไปไวเ้ พื่อลา้ งบาป ลาํ นํา้ คงคาจึง่ มีอยู่ในเทวโลก ตอ่ มามี
พระมหากษตั ริยอ์ งค ์ ๑ ทรงพระนามวา่ สคั รฤๅสาคร (ดเู รือ่ งพระสคั ร
ราชดว้ ย) ทา้ วสคั รราชนีไ้ ม่มีโอรสจึง่ กระทําการสกั การะดว้ ยการ
ทรมานพระองคต์ า่ ง ๆ ตอ่ หนา้ พระภฤคมุ ุนีชา้ นานจนพระภฤคมุ ี
207
ความเมตตาจึง่ ใหพ้ รใหม้ ีโอรส คือมเหสีองค ์ ๑ ใหม้ ีกมุ ารแตอ่ งค ์
เดียว แตอ่ ีกองค ์ ๑ ใหม้ ีกมุ าร ๖ หมื่นองค ์ การก็เป็ นไปตาม
พระภฤคไุ ดป้ ระสาทพรไว ้ โอรสที่เกิดมาแตน่ างเกศินีมเหสีขวาน้ัน มี
มาเฉพาะองคเ์ ดียว นามวา่ องั ศมุ าน นางสมุ ดีมเหสีซา้ ยมีโอรสหก
หมื่น แลว้ ทา้ วสคั รราชจะกระทาํ พิธอี ศั วเมธ แตพ่ ระอินทรล์ งมาลกั มา้
ตวั นั้นไปเสียกอ่ น ทา้ วสคั รราชจึง่ ตรสั ใชใ้ หพ้ ระโอรสหกหมื่นองคไ์ ป
เที่ยวตามหามา้ พระกมุ ารไดข้ ดุ แผ่นดินลงไปองคล์ ะโยชนจ์ นถึงกลาง
พิภพ ก็หาไดพ้ บมา้ นั้นไม่ ฝ่ ายพวกเทวดามีความตกใจจงึ่ ไปทลู
วงิ วอนพระพรหมาใหช้ ว่ ย พระพรหมาตรสั วา่ พระนารายนจ์ ะทรง
แปลงเป็ นกะปิ ลลงไปแกไ้ ขเหตรุ อ้ นของเทวดา พระนารายนเ์ ป็ นกะปิ ล
ลงไปยืนขวางทางพวกกมุ ารทงั้ หกหมื่น ครน้ั กมุ ารจะจบั วา่ เป็ นผูร้ า้ ย
ลกั มา้ พระกะปิ ลก็บนั ดาลใหบ้ งั เกิดไฟไปผลาญกมุ ารเป็ นเถา้ ไป ไม่มี
สิ่งไรจะทําใหก้ มุ ารเหลา่ นีจ้ ะพน้ ทุกขไ์ ดน้ อกจากที่กระแสแม่พระคงคา
จะมาลา้ งใหห้ มดมลทิน ทา้ วสคั รราชก็ดี และตอ่ มาพระองั ศมุ านก็ดี
จะพยายามปานใดก็ไม่สามารถจะใหพ้ ระคงคาไหลลงมาจากเทวโลกได ้
พระทิลิปะราชโอรสพระองั ศมุ านก็ไดพ้ ยายามอีก แตก่ ็ไม่สาํ เร็จอีก
จนถึงคราวพระภาคิรถั โอรสพระทิลิปะจึง่ สาํ เร็จตามประสงค ์ พระภาคิ
รถั ไม่มีโอรส จึง่ บําเพ็ญการทรมานองคต์ า่ ง ๆ จนพระพรหมาทรงพระ
เมตตา ตรสั วา่ จะขอพรอนั ใดจะประสาทให ้ พระภาคีรถั จึง่ ทูลขอให ้
พระคงคาลงมาลา้ งสาครกมุ ารทงั้ หกหมื่นใหห้ มดมลทิน จะไดข้ นึ้ ไป
สวรรคไ์ ด ้ กบั ขอโอรสองค ์ ๑ พระพรหมาก็ประสาทพระพรให ้ และ
ตรสั สาํ แดงอบุ ายใหว้ า่ ใหพ้ ระภาคิรถั ไปทูลวงิ วอนพระอิศวรใหช้ ว่ ย
208
เหนี่ยวรง้ั แม่พระคงคาไวบ้ า้ ง เพราะถา้ มิฉะน้ันนํา้ จะท่วมโลกมนุษย ์
หมด พระภาคิรถั ก็ตง้ั กระทํากิจบูชาพระอิศวรจนสมประสงค ์ ฝ่ ายพระ
คงคามีความพิโรธวา่ มนุษยบ์ งั อาจมาขอลงไป จงึ่ กลา่ ววา่ จะไหลลงไป
ใหท้ ่วมโลก พระอิศวรเขา้ รบั กระแสพระคงคาและรวบไวด้ ว้ ยพระเกษา
จนแม่พระคงคาคอ่ ยคลายพิโรธแลว้ กระแสคงคาจึง่ ตกลงในสระวนิ ทุ
อนั เป็ นที่เกิดแห่งสปั ตะมหานที นํา้ คงคาสายหนึ่งไดห้ ลง่ั ไหลตามพระ
ภาคิรถั ไป จนถึงมหาสมุทรและดาํ เนินลงไปในหลมุ ที่สาครกมุ ารทงั หก
หมื่นไดข้ ดุ ไวน้ ้ัน พอนํา้ พระคงคาตกตอ้ งกองเถา้ ลา้ งมลทิน สาคร
กมุ ารทงั้ หกหมื่นก็พน้ ทุกขก์ ลายเป็ นเทพบตุ รเหาะไปสเู่ ทวโลก และแม่
พระคงคาก็ยงั คงหลง่ั ไหลอยู่ในมนุษยโ์ ลกภาค ๑ จนตราบเท่าทกุ วนั นี้
เพราะเหตฉุ ะนีช้ าวมชั ฌิมประเทศจงึ่ นิยมกนั วา่ แมผ้ ูใ้ ดไดล้ งแชใ่ น
กระแสพระคงคาจะหมดมลทินสิน้ บาปได ้
รปู พระคงคาเขยี นสีกายสีนํา้ ไหล สีก่ ร กรขวาทงั้ ๒ ถือกอ้ น
ศิลา กรซา้ ยถือใบไมก้ ร ๑ ถือหมอ้ นา้ กร ๑ ทรงมจั ฉาเป็ นพาหนะ
หมายเหตุ - นอกจากแม่พระคงคา ยงั มีลาํ นํา้ อีกหลาย ซงึ่
กลา่ วถึงในเรือ่ งรามายณะ แตก่ ลา่ วถึงเป็ นลาํ นํา้ แท ้ ๆ มากกวา่ เป็ น
ตวั เป็ นตน จึง่ มิไดน้ ํามารวมไวใ้ นแผนกเทวดานี)้
๓๐. พระหิมาลยั ฤๅหิมพานและหิมวตั ก็เรียก ไม่มีเรื่องราว
ปรากฏในรามายณะวา่ กาํ เนิดมาอย่างไร มีแตก่ ลา่ ววา่ เป็ นบิดาพระคง
209
คากบั พระอมุ า และวา่ เป็ นราชาแหง่ ภเู ขาทงั้ หลายในมนุษยโลก มี
มเหสีชอื่ นางเมนา รปู พระหิมาลยั เป็ นอย่างไรก็ไม่ปรากฏชดั ชา่ งไทย
ใชเ้ ขยี นสีกายเป็ นสีบวั โรย.
210
211
212
213
214
215
216
217
218
219
220
221
222
223
224
225
226