ฤๅษีอลั ลกปั ปกะ
บรมครูแหง่ วิชาโหราศาสตร ์
เป็ นบรมครผู เู ้ ชยี่ วชาญในหราศาสตรอ์ ีกท่านหนึ่ง และมี
มนตรด์ ีดพิณที่สามารถบงั คบั ชา้ ง “หสั ดีกนั ต”์ ซงึ่ ไดถ้ า่ ยทอดใหก้ บั
พระเจา้ อเุ ทน แหง่ กรงุ โกสมั พี เมื่อสมยั พุทธกาล
ฤๅษีทะธิวา
เดิมเป็ นพ่อคา้ ที่ชอบเดินทางคา้ ขายไปยงั ทวปี ตา่ งๆ แลว้ เกิด
มรสมุ เรือแตก จึงเกาะขอนไมล้ อยไปติดเกาะแห่งหนึ่ง ไดข้ นึ้ ไปบนเกาะ
นั้น แตก่ ็ไม่เห็นหนทางที่จะกลบั ถิ่นกาํ เนิดเดิมไดเ้ ลย จงึ บาํ เพ็ญตน
เป็ นฤๅษีอยู่ในเกาะกลางทะเลนั้นเป็ นเวลานานแสนนาน จนกระทง่ั
บรรลฌุ านขน้ั ตน จากนั้นไดบ้ าํ เพ็ญตบะตอ่ ไป เพื่อหวงั สาํ เร็จฌานใน
ขนั้ สงู ขนึ้ ไป โดยหวงั จะไดก้ ลบั คืนถิ่นเดิมไม่วนั ใดก็วนั หนึ่ง
ดาบสสินีหน้ากวาง (สีดา)
ฤๅษีตนนีเ้ ป็ นเพศหญิง จาํ เดิมแตพ่ ระรามสงั หารทศกณั ฐ ์
แลว้ ก็รบั นางสีดามาอยู่ในอโยธยา นางอดลู ปี ศาจ เป็ นญาติกบั
ทศกณั ฐ ์ มีใจเจ็บแคน้ พระรามกบั นางสีดา ไดแ้ ปลงกายเป็ นนางงาม
เขา้ มาถวายตวั เป็ นขา้ งชว่ งใชน้ างสีดา แลว้ ก็หาอบุ ายใหน้ างวาดรปู
ทศกณั ฐ ์ จนกระทง่ั พระรามมาเห็นเขา้ ก็พิโรธ สง่ั ใหพ้ ระลกั ษณน์ ําเอา
นางสีดาไปประหาร แลว้ ควกั เอาดวงใจมาใหด้ ู พระลกั ษณฟ์ ันดว้ ย
พระขรรคบ์ งั เกิดเป็ นพวงดอกไมท้ ิพยค์ ลอ้ งคอนางสีดา พระลกั ษณจ์ งึ
77
ปลอ่ ยนางไป พระอินทรไ์ ดเ้ นรมิตเนือ้ ทรายมานอนตายใหพ้ ระลกั ษณ์
ควกั เอาดวงใจไปถวายพระราม แลว้ พระอินทรก์ ็ยงั แปลงกายเป็ น
มหิงสา (ควาย) ใหน้ างสีดาทรงขไี่ ป จนกระทง่ั ถึงอาศรมของฤๅษีวชั
มฤค (ฤๅษีวาลมีกิ) ฤๅษีทราบเรื่องแลว้ จงึ ใหน้ างสีดาถือเพศเป็ นดาบส
สินี โดยปลอมเป็ นฤๅษีหนา้ กวางเพื่อป้ องกนั ตนเองจากอนั ตราย
ฤๅษีมุสิก
มีวชิ าอาคมและตบะฌานแกก่ ลา้ เป็ นสหายของฤๅษีวาปรุ ะ
มุนี เป็ นผมู ้ ุ่งม่นั ในการสรา้ งบารมีธรรม จงึ ไดอ้ อกบวชเป็ นฤๅษีอยู่ใน
ป่ าหิมพานต ์
ฤๅษีสตั ยพรต
บางตาํ ราระบวุ า่ ท่านเป็ นกษตั ริย ์ จึงจดั เป็ นราชฤๅษี ปรากฏ
ในเรือ่ ง “มตั สยาวตาร” ที่มีผบู ้ อกฤๅษีสตั ยพรตวา่ อีก ๗ วนั นํา้ จะ
ทว่ มโลก พระวิษณุจะสง่ เรือลาํ ใหญ่มารบั ใหน้ ําสตั วไ์ ปอยา่ งละคู่
และนําพืชพรรณที่เป็ นยาขนึ้ เรือไปดว้ ย
ฤๅษีโคศกะ หรือ ฤๅษีกกแกว้
ผูบ้ ําเพ็ญอย่ทู ี่ป่ าแห่งเมืองสิขร ตามเคา้ โครงเรื่องรามเกียรติ ์ ผสาน
ตาํ นานพืน้ บา้ นของเมืองลพบุรี สยามประเทศ
78
ฤๅษีตุลสีทาส หรือ โคสวามี
ฤๅษีตุลสีทาส
เป็ นผเู ้ ขยี นเรือ่ ง “ศรีรามจริตมานสะ” เป็ นภาษาฮินดู
ฤๅษีครรคยมุนี
บุตรของฤๅษีองั คีรส
ฤๅษีกาลลาวสี ิกขี
พระผูอ้ ยใู่ นกาลอนั มืดมิด แตด่ าํ รงไวซ้ งึ่ แสงสวา่ งแห่งจติ และวิญญาณ
ฤๅษีมุนีภทั รเวช
ราชฤๅษีผคู้ วรคา่ แกก่ ารบูช
ฤๅษีมหาเทวะมุนี เวช
บรมครแู หง่ ยารกั ษาโรค
ฤๅษีสมิทธิ
บรมครแู หง่ วิชานวดแผนโบราณ ดดั ตน
ฤๅษีพยาธิประลยั
บรมครแู หง่ การแพทยแ์ ผนโบราณ
ฤๅษีวาลมีกิ หรือวชั มฤค
สวมชฎาดอกลาํ โพงสีอิฐแดง
79
ฤๅษีสนตั กมุ าร
คือฤๅษี ๔ ตน
ฤๅษีชมทคั นี
หนึ่งในฤๅษีเจ็ดตน, บิดาของปรศรุ าม
ฤๅษีวสิษฐ ์
หนึ่งในฤๅษีเจ็ดตน, ผเุ ้ ปลง่ วาจาอนั ควรแกว่ งศต์ ระกลู
ปโุ รหิตของทา้ วทศรถ และเป็ นบิดาของฤๅษีรามเทพมุนี
ฤๅษีพุทธชฏิล
บรมครแู หง่ วชิ าแรธ่ าตุ
ฤๅษีภรทั วาช
หนึ่ งในฤๅษีเจ็ดตน
ฤๅษีอตั ริ
หนึ่ งในฤๅษีเจ็ดตน
ฤๅษีวศิ วามิตร
หนึ่ งในฤๅษีเจ็ดตน
ฤๅษีอคสั ตยะ
หนึ่งในฤๅษีเจ็ดตน ตามคมั ภรี ไ์ ชมิณียะพราหมณะ
80
ฤๅษีหลีเ่ จง๋
เป็ น ๑ ใน ๘ อรหนั ตท์ ี่โดง่ ดงั ของจนี
พระฤๅษีตนนีเ้ ป็ นนักพรตชาวจนี ตอ่ มาไดส้ าํ เร็จเป็ นเซยี น (อรหนั ต)์
เป็ น ๑ ใน ๘ เซยี นที่โดง่ ดงั
ฤๅษีสุนาขยาติ (ฤๅษีหน้าสุนขั )
เป็ นศิษยข์ องฤๅษีนารอท
ฤๅษีหน้าแมว
เป็ นศิษยข์ องฤๅษีนารอท
ฤๅษีประตาภา (ฤๅษีหนา้ กวางอีกตนหนึ่ง)
ฤๅษีอตุ ริ (ฤๅษีหนา้ ลิง)
ฤๅษีสุติกษณะ (ในรามเกียรติเ์ รียก สทุ ศั น)์
ฤๅษีมาฆะ
ทีมา
จากหนงั สือ ตาํ นานพระฤๅษี บรมครูแหง่ ศาสตรว์ ิชา
โดย อาจารยท์ ศพล จงั พานิชยก์ ุล
81
ฤาษีเกศ เมืองหลวงโยคะโลก
เมืองฤาษีเกศ ตง้ั อยบู่ ริเวณเนินเขาหิมาลยั ทางตอนเหนือ
ของอินเดีย แมจ้ ะถกู ขนานนามวา่ เป็ น “เมืองหลวงโยคะของโลก” แต่
ที่นี่ยงั มีหลายสิ่งใหท้ าํ มากกวา่ ท่องคาถาตอ่ เนื่องวา่ “โอม ศานติ”8
พระฤาษีทิวาลยั เป็ นประธาน
วดั พระศรีรตั นมหาธาตุ เมืองสุพรรณฯ
ในปี พ.ศ. 1890 สมเด็จพระบรมราชาธบิ ดีที่1 ทรงมีศรทั ธา
ในพระบรมพุทธศาสนา ไดท้ รงอญั เชญิ พระมหาเถรปิ ยะทสั สีสารีบตุ ร
ใหเ้ ป็ นประธานฝ่ ายสงฆ ์ พระฤาษีทิวาลยั เป็ นประธาน ฝ่ ายฤาษี
รว่ มกนั สรา้ ง พระพุทธปฏมิ ากร เพื่อเป็ นการสืบศาสนา9
8 https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/750816
9 http://www.suphan.biz/WatPraSri.htm
82
พระภรตมุนี
เป็ นบรมครแู ห่งการนาฎศิลป์ ทงั้ หลาย เป็ นผูร้ จนา (แตง่ )
เป็ นผูจ้ ดจาํ ทา่ ราํ จากพระพรหม นําไปสอนโอรสทงั้ 100 คน เพื่อให ้
ไปเผยแพรย่ งั โลกมนุษย ์ จงึ ถือเป็ นบรมครแู ห่งการนาฎศิลป์ ทงั้ ปวง มี
การประดิษฐห์ วั โขนขนึ้ บูชากบั ใชค้ รอบศีรษะในพิธไี หวโ้ ขนครลู ะคร
ฤาษีผูส้ รา้ งกรุงอโยธยา มี 4 ตน
อจนคาวี - ฤาษี
ยุทธอกั ขระ - ฤาษี
ทะหะ - ฤาษี
ยาคะ - ฤาษี
ในการแสดงพระฤาษีทงั้ 4 ตน จะสวมชฎาดอกลาํ โพง เดิม
ในชมพูทวปี ณ ป่ าทวารวดี ฤาษีทงั้ 4 ตน บําเพ็ญพรตอยู่เป็ น
เวลาแสนปี เมื่อสรา้ งกรงุ ขนึ้ ใหม่ในบริเวณที่อยู่ของพระฤาษี จึงเอา
ชอื่ ฤาษีทงั้ 4 ตน และชอื่ ป่ ามาตงั้ เป็ นชอื่ กรงุ วา่ ทวารวดีศรีอโยธยา
มีทา้ วอโนมาตนั เป็ นปฐมกษตั ริย ์
ฤาษีที่ชบุ นางกาลอจั นา
โคดมหรือโคตม - ฤาษี
ฤาษีที่ทําพิธีหงุ ขา้ วทิพยใ์ นกรุงอโยธยามี 5 ตน
83
กไลโกฎ-ฤาษี
ลกั ษณะหวั โขน ทาํ เป็ นหวั ฤาษีหนา้ เนือ้ สวมเทริดฤาษียอด
บายศรี หวั โขนบางหวั จะทาํ เขาโผลข่ นึ้ มาอีกดว้ ย พระฤาษีกไลโกฎ
เป็ นบตุ รพระมุนี ชอื่
อิสีสิงค ์ บาํ เพ็ญพรตอย่ใู นป่ า ศาลวนั
เมืองพทั วิสยั แหง่ ทา้ วโรมพตั ตนั บิดาเคยสง่ั หา้ มมิใหแ้ ตะตอ้ ง
สตั วซ์ งึ่ มีเขาที่อก มีตบะเดชแกก่ ลา้ จนทาํ ใหฝ้ นแลง้ไปสามปี ทา้ ว
โรมพตั ตนั ใชใ้ หพ้ ระธดิ าชอื่ อรุณวดี ไปทาํ ลายตบะ ฝนก็ตกตอ้ ง
ทว่ั แผน่ ดิน เมื่อพระกไลโกฎเสียตบะ และยงั ติดใจในกามรสจึงเขา้ ไป
อยู่ในกรงุ พทั วิสยั กบั ชายา ตอ่ มา ทา้ วทศรถไปทาํ พิธีขอโอรส
พระกไลโกฎ ไดไ้ ปเป็ นประธานในการทําพิธี
84
ฤาษีพระอาจารย ์
ของทา้ วอูท่ องกบั ทา้ วเวชสุวรรณโณ
คาํ บอกเลา่ ของชาวพืน้ เมืองที่เกี่ยวกบั เมืองสงิ หแ์ ละปราสาท
เมืองสิงห ์ จงั หวดั กาญจนบรุ ี เทา่ ที่มีผสู ้ อบถามและจดบนั ทึกไว ้ มี
ใจความสาํ คญั มาเรียบเรียงไดด้ งั ตอ่ ไปนี้10
10 หนังสือ "เมืองสิงหแ์ ละปราสาทเมืองสิงห ์ จงั หวดั กาญจนบรุ ี"
หนังสือนําชมเนื่องในวโรกาส สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ เสด็จ
85
จาํ เดิมมีพระฤาษีตนหนึ่ง อาศยั อยู่ทีเ่ ขาสูงงิว้ ดาํ ดา้ น
ทิศเหนือของจงั หวดั นครศรีธรรมราช ฤาษีมีลกู ศิษยอ์ ยู่สองคน คือ
ทา้ วอูท่ องกบั ทา้ วเวชสุวรรณโณ ภายในบริเวณอาศรมที่หลงั เขา
สงู งิว้ ดาํ มีบ่อทอง บ่อเงิน และบ่อนํา้ กรด ซงึ่ พระฤาษีหา้ มลกู ศิษยท์ ง้ั
สองลงไปเลน่ บริเวณนั้น
อยู่มาวนั หนึ่ง พระฤาษีไม่อยู่ ทา้ วอทู่ องกบั ทา้ วเวชสวุ รรณ
โณจงึ หนีไปที่บอ่ ทง้ั สาม ทง้ั สองจึงเกิดความคิดอยากจะลงไปในบอ่
และตกลงกนั วา่ ถา้ ใครลงไปในบอ่ คนที่อยขู่ า้ งบนตอ้ งฉุดขนึ้ มา
ครน้ั ตกลงกนั เสร็จแลว้ ทา้ วอทู่ องจงึ ลงไปกอ่ นในบ่อเงิน บอ่ ทอง
บอ่ เงิน บ่อทอง จึงแหง้ หมด ทา้ วเวชสวุ รรณโณจงึ ฉุดทา้ วอทู่ องขนึ้ มา
คราวนีท้ า้ วเวชสวุ รรณโณจะตอ้ งลงไปบา้ ง ซงึ่ เหลือบอ่ นํา้ กรดเป็ นบอ่
สดุ ทา้ ย และทา้ วเวชสวุ รรณโณก็ยินยอมลงไปในบอ่ นํา้ กรดน้ัน
เมื่อทา้ วเวชสวุ รรณโณลงไปแทนที่นํา้ กรดจะแหง้ เหมือนบ่อเงิน บอ่ ทอง
กลบั ปรากฏวา่ รา่ งของทา้ วเวชสวุ รรณโณถกู นํา้ กรดกดั จนกรอ่ น
ละลาย ทา้ วอทู่ องเห็นดงั น้ันจึงไม่ยอมฉุดทา้ วเวชสวุ รรณโณขนึ้ มาจาก
บ่อนํา้ กรดน้ันและตนเองก็หลบหนีไป
เมื่อพระฤาษีกลบั มาที่พกั ไม่เห็นลกู ศิษยท์ ง้ั สอง จงึ ไปดทู ี่บ่อ
นํา้ ทง้ั สาม เห็นรา่ งของทา้ วเวชสวุ รรณโณถกู นํา้ กรดกดั กรอ่ นเหลือ
เพียงเล็กนอ้ ย จึงชว่ ยขนึ้ มาจากบอ่ นํา้ กรด แลว้ ชบุ ตวั ทา้ วเวชสวุ รรณ
โณขนึ้ มาใหม่ เมื่อทา้ วเวชสวุ รรณโณไดร้ บั การชบุ ตวั ขนึ้ มาใหม่ ก็
เคียดแคน้ ทา้ วอทู่ อง จึงคิดตามลา่ ลา้ งแคน้ ทา้ วอทู่ องใหจ้ งได ้
พระราชดาํ เนิน ทรงเปิ ดอทุ ยานประวตั ิศาสตรเ์ มืองสิงห ์ จงั หวดั กาญจนบรุ ี วนั
ศกุ รท์ ี่ 3 เมษายน 2530 กรมศิลปาก จดั พิมพ ์ เมื่อปี 2530หนา้ 53-54
86
ทา้ วอทู่ องผเู ้ ป็ นฝ่ ายหนีเดินทางกา้ วหนึ่งเทา่ กบั นกเขาเหินหนึ่งครง้ั
สว่ นทา้ วเวชสวุ รรณโณเป็ นฝ่ ายตามลา่ น้ัน เดินทางกา้ วหนึ่งเทา่ กบั
นกเขาเดินหนึ่งกา้ ว
ดงั น้ัน ทา้ วอทู่ องจงึ มีเวลาหนีไปไดไ้ กลและสามารถสรา้ งเมือง
ครอบครองได ้ แตท่ วา่ ทา้ วเวชสวุ รรณโณก็ไม่ละความพยายามที่จะ
ติดตามและมาทนั ทกุ ครง้ั ที่ทา้ วอทู่ องหยุดสรา้ งเมือง
ทา้ วอทู่ องซงึ่ มุ่งหนา้ มาทางทิศเหนือ มาสรา้ งเมืองครง้ั แรกที่สระ 4 มุม
แตส่ ามารถสรา้ งไดเ้ พียงสระเท่าน้ัน ยงั ไม่ทนั สรา้ งเมือง
ทา้ วเวช
สวุ รรณโณก็ตามมาทนั อีก ทา้ วอทู่ องจงึ ตอ้ งหนีตอ่ ไป มาถึงวงั เย็นแต่
สรา้ งเสร็จแคก่ ลอนประตู ทา้ วเวชสวุ รรณโณก็ตามมาทนั อีก
ทา้ วอทู่ องจึงตอ้ งหนีไปสรา้ งเมืองขนึ้ อีกเรียกวา่ เมืองครุฑ ทา้ วเวช
สวุ รรณโณก็ตามมาทนั อีก ทา้ วอทู่ องจงึ ตอ้ งหนีจากเมืองครฑุ มาสรา้ ง
เมืองสิงหแ์ ละสามารถสรา้ งไดส้ าํ เร็จ มีการสรา้ งกาํ แพงป้ องกนั อย่าง
แน่นหนาเพื่อป้ องกนั ทา้ วเวชสวุ รรณโณ และสรา้ งกําแพงดินลอ้ มรอบ
7 ชนั้ จึงสรา้ งกาํ แพงเมืองซงึ่
กาํ แพงเมือง
ดา้ นนอกกอ่ ดว้ ยศิลาแลง สรา้ งกาํ แพงแกว้ ลอ้ มรอบตวั ปราสาทอีก
ชนั้ หนึ่งยากที่ทา้ วเวชสวุ รรณโณจะตอ้ งเขา้ ไปขา้ งในได ้
ทา้ วอทู่ องไดจ้ ดั เวรยามคอยเฝ้ าอยา่ งแน่นหนา และปิ ดประตู
เมืองไม่ใหใ้ ครเขา้ ออกเมื่อทา้ วเวชสวุ รรณโณตามมาทนั แตไ่ ม่อาจจะ
เขา้ ไปภายในเมืองได ้ เพราะมีทง้ั กาํ แพงเมือง และทหารคอยเฝ้ าอยูอ่ ย่าง
แขง็ แรง จึงไดแ้ ปลงกายเป็ นลกู ววั เดินรอ้ งอยู่ที่หนา้ ประตเู มือง ทหารที่
เฝ้ าประตเู มืองเกิดความสงสยั วา่ เหตใุ ดลกู ววั ตวั นีจ้ งึ มาเดินรอ้ งอยหู่ นา้
ประตเู มือง ครน้ั คิดวา่ คงจะหลงแม่หรือฝูงววั มา แตก่ ็มองหาฝูงววั ไม่
พบ จึงนําความไปกราบทูลทา้ วอทู่ อง ทา้ วอทู่ องไม่ทราบวา่ ลกู ววั นีค้ ือ
ทา้ วเวชสวุ รรณโณซงึ่ แปลงตวั มา จงึ ใหน้ ําลกู ววั เขา้ มาเลีย้ งไวใ้ นเมือง
87
ทา้ วเวชสวุ รรณโณไดโ้ อกาสจึงจบั ทหารของทา้ วอทู่ องกินทีละ
คนเป็ นประจาํ ทกุ วนั จนเกือบหมด ทา้ วอทู่ องเกิดความสงสยั วา่ ลกู ววั ที่
นํามาเลีย้ งนีค้ งจะเป็ นใครไม่ไดน้ อกจากทา้ ว เวชสวุ รรณโณ จงึ คิดหนี
ออกจากเมืองทางดา้ นกาํ แพงขาดไปพรอ้ มทงั้ หีบและโซ่
เมื่อไปถึงวงั หีบทา้ วอทู่ องก็ลงไปในหีบที่นํามา เอาโซม่ ดั
หย่อนลงนํา้ แตท่ า้ วเวชสวุ รรณโณก็ตามมาทนั เทา้ ไปสะดดุ โซท่ ี่มดั หีบ
ไวจ้ ึงสาวโซข่ นึ้ มา เมื่อเปิ ดหีบดเู ห็นทา้ วอทู่ องอยใู่ นหีบน้ัน จึงจบั กิน
จนหายแคน้ 11
11
http://oknation.nationtv.tv/blog/surasakc/2008/11/21/entry-1
88
องคเ์ ทพมหาฤาษีนวโกฏิ
องคเ์ ทพมหาฤาษีนวโกฏิ หรือมหาฤาษีเกา้ หนา้ องคเ์ ทพ
มหาฤาษีนวโกฏิมีองคม์ หาฤาษีประกอบกนั ถึง เกา้ องค ์ แตล่ ะองคม์ ี
ความเชยี่ วชาญแตกตา่ งกนั ออกไป ดงั นี้
1.มหาฤาษีมหาพรหมคมั ภรี ภ์ าพ เป็ นองคท์ ี่อาวโุ สสงู สดุ ในหมู่ฤาษี
เป็ นผมู ้ ีปัญญาเฉียบแหลม และเป็ นองคท์ ี่รวบรวมตาํ รบั ตาํ ราวชิ าตา่ งๆ
ใว ้ เป็ นผบู ้ นั ดาลใหเ้ กิดปัญญาแกม่ นุษยช์ าติ
2.มหาฤาษีมหาเตโชนาคราช เป็ นองคร์ กั ษาสรรพสตั วใ์ นทอ้ งนํา้ ใต ้
บาดาล เป็ นผใู ้ หค้ วามอดุ มสมบูรณ์ ทรพั ยาหาร เกษตรกรรม กสิ
กรรม
3.มหาฤาษีมาลยั โกฏิ เป็ นฤาษีองคท์ ี่มีอายยุ ืนยาวมากเป็ นโกฏิปี เป็ น
ผบู้ นั ดาลใหม้ นุษยอ์ ายยุ ืนยาว มีสขุ ภาพแขง็ แรง มีลกู มีหลานสืบทอด
ตลอดไป
4.มหาฤาษีเอกภพ เป็ นองคท์ ี่บนั ดาลใหม้ ีความรกั ความเมตตา
มหาเสน่ห ์ เป็ นที่รกั ใครข่ องทุกคนที่ไดพ้ บเห็น ตลอดจนทง้ั สามภพ
คือ พรหมโลก มนุษยโ์ ลก และยมโลก รกั และเคารพทา่ นมาก
89
5.มหาฤาษีทศั มงคล เป็ นองคท์ ี่สรา้ งบารมีทงั้ 10 ทศั เป็ นผบู ้ นั ดาล
ใหเ้ สริมสรา้ งดวงชะตา บารมี แกม่ นุษย ์
6.มหาฤาษีตาไฟ เป็ นองคท์ ี่บาํ เพ็ญจนสาํ เร็จกสิณไฟ เป็ นผูบ้ นั ดาล
ใหก้ ารรกั ษาปกป้ องและบาํ บดั โรคภยั ไขเ้ จ็บตา่ งๆใหห้ ายไป
7.มหาฤาษีตาววั เป็ นองคท์ ี่บนั ดาลใหม้ ีโชคลาภ มีเงินมีทอง ความ
มง่ั คง่ั อดุ มสมบรู ณ์
8.มหาฤาษี นาลยั เป็ นองคท์ ี่ปกป้ อง ป้ องกนั ภตู ิผีปี ศาจ คณุ ไสย
เสนียดจญั ไร อาถรรพ ์ มนตด์ าํ ตา่ งๆ
9.มหาฤาษีนารอด เป็ นองคท์ ี่บนั ดาลใหเ้ กิดการแคลว้ คลาด หลดุ พน้
จากภยั พิบตั ิทงั้ ปวง ทงั้ ปื นผาหนา้ ไม ้ เดินทางแคลว้ คลาดจาก
อนั ตรายตา่ งๆนาๆ
90
โคธชาดก ฤาษีกินเหีย้ 12
ในสมยั หนึ่ง พระพุทธเจา้ ประทบั อยู่วดั เชตวนั เมืองสาวตั ถี
ทรงปรารภภิกษุผูห้ ลอกลวงรปู หนึ่ง ไดต้ รสั อดีตนิทานมาสาธกวา่ ...
กาลครง้ั หนึ่งนานมาแลว้ มีดาบสผมู ้ ีตบะกลา้ ตนหนึ่ง เป็ นที่
เคารพศรทั ธาของชาวบา้ น จงึ ไดส้ รา้ งศาลาไวใ้ หท้ ี่ชายป่ าแหง่ หนึ่งใกล ้
บา้ น ครงั้ นั้น พระโพธสิ ตั วไ์ ดเ้ กิดเป็ นเหีย้ ตวั หนึ่ง อาศยั อยทู่ ี่จอม
ปลวกแห่งหนึ่ง ใกลท้ ี่จงกรมของดาบสนั้น มนั จะไปหาดาบสวนั ละ
สามครง้ั เป็ นประจาํ ทุกวนั เพื่อฟังธรรม ไหวด้ าบสแลว้ จงึ กลบั ไปอยทู่ ี่
อยขู่ องตน
ตอ่ มาไม่นาน ดาบสนั้น ไดอ้ าํ ลาชาวบา้ นไปที่อื่น ไดม้ ี
ดาบสโกงตนหนึ่ง เขา้ มาอาศยั ในศาลานั้นแทน เหีย้ พระโพธสิ ตั วก์ ็คิด
วา่ แมท้ ่านผูน้ ีก้ ็ทรงศีลเหมือนกนั จึงไปหาดาบสนั้นเชน่ เดิม
อยู่มาวนั หนึ่ง ฝนไดต้ กมาในฤดแู ลง้ ฝูงแมลงเม่าไดพ้ ากนั
บินออกจากจอมปลวกเป็ นจาํ นวนมาก ฝูงเหีย้ ก็ไดอ้ อกมากินแมลง
เม่าเหลา่ นั้น พวกชาวบา้ นพากนั ออกมาจบั เหีย้ แลว้ ปรงุ เป็ นอาหาร
รสอรอ่ ยนํามาถวายดาบส ดาบสไดฉ้ ันเนือ้ นั้นแลว้ ติดใจในรส เมื่อ
ทราบวา่ เป็ นเนือ้ เหีย้ จึงคิดไดว้ า่
" มีเหีย้ ใหญ่ตวั หนึ่งมาหาเราเป็ นประจาํ เราจะฆ่ามนั กินเนือ้ "
12 หนังสือนิทานชาดก เลม่ ที่ ๑ โดย พระมหาสนุ ทร สนุ ฺทรธมฺ โม
91
จึงใหช้ าวบา้ นเอาเครือ่ งปรงุ มาไวใ้ ห ้ ไดน้ ่ังถือคอ้ นห่มคลมุ ผา้ อยทู่ ี่
ประตศู าลา
เย็นวนั น้ัน เหีย้ โพธสิ ตั ว ์ ไดไ้ ปหาดาบสตามปกติ ไดเ้ ห็นทา่ น่ังที่
แปลกของดาบส คิดวา่
" วนั นีด้ าบส น่ังทา่ ที่ไม่เหมือนวนั กอ่ น น่ังชาํ เลืองเราเป็ นประจาํ "
จึงไปยืนดอู ยใู่ ตท้ ิศทางลม ไดก้ ลิน่ เนือ้ เหีย้ จึงทราบวา่
" ดาบสโกงนี้ คงฉันเนือ้ เหีย้ ติดใจในรสแลว้ คราวนี้ หวงั จะตีเรา
เอาเนือ้ ไปแกงเป็ นอาหารแน่ๆ "
จึงไม่ยอมเขา้ ไปใกล ้ ถอยกลบั แลว้ วิง่ หนีไป
ฝ่ ายดาบสโกงทราบวา่ เหีย้ รตู ้ วั ไม่ยอมมาแลว้ จงึ ลกุ ขนึ้ ขวา้ งคอ้ น
ตามหลงั ไป คอ้ นไดถ้ กู เพียงหางเหีย้ เท่าน้ัน เหีย้ ไดห้ ลบเขา้ ไปในจอม
ปลวกอยา่ งรวดเร็ว โผลเ่ พียงศีรษะออกมาเท่านั้น กลา่ วติเตียนดาบส
ดว้ ยคาถานีว้ า่
" นี่เจา้ ผโู ้ ง่เขลา จะมีประโยชนอ์ ะไรแกเ่ จา้ ดว้ ยชฎาและการนุ่งห่ม
หนังเสอื เหลือง
ภายในของเจา้ แสนจะรกรงุ รงั เจา้ ดีแตข่ ดั สีภายนอกเทา่ นั้น "
นิทานเรื่องนีส้ อนใหร้ วู ้ า่
อาํ นาจของความอยาก ทาํ ใหค้ นลืมตวั 13
13 เรอื่ งที่ ๑๐ ในกกณั ฏกวรรค หนา้ ๖๐๗-๖๑๔ พระสตู รและอรรถกถาแปล ขุ
ททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่มที่ ๓ ภาคที่ ๒
92
ตาํ นานพระธาตศุ รีดอนคาํ 14
ในตาํ นานพระธาตศุ รีดอนคาํ (พงออ้ ) ซงึ่ อยู่ในทอ้ งที่
อาํ เภอลอง จงั หวดั แพร่ ไดก้ ลา่ วไวว้ า่ สมยั เมื่อพระพุทธเจา้ เสด็จ
ปรนิ ิพพานแลว้ มาถึงจลุ ศกั ราชได ้ ๙๖๑ (พ.ศ.๒๑๔๒) มีพระภิกษุ
รปู หนึ่งจากวดั ฟ่ อนสรอ้ ย (อาํ เภอเมือง) เชยี งใหม่ไดเ้ ดินทางมา
บิณฑบาตถึงแชฟ่ ้ า ทา่ ออ้ น และไดไ้ หวม้ หาธาตเุ จา้ ขวยปูพูทบั
แหลมลี่ จนถึงวดั ม่วงเลียง (ทงั้ หมดอยใู่ นเขตอาํ เภอลอง จงั หวดั แพร)่
ในขณะน้ันมีขนุ เฒ่าชอื่ วา่ หมื่นจา่ ลอง อยู่ที่บา้ นนาหลวง
ไดม้ าไหวพ้ ระภิกษุนั้น ซงึ่ ท่านไดว้ า่ พระธาตพุ ระเจา้ เมืองลองนีไ้ ม่ได ้
มี ๓ แห่งเท่าน้ัน แตย่ งั มีอีกแห่งหนึ่ง ชอื่ วา่ ดอนคาํ พงออ้ และ
กลา่ ววา่ ตอนที่ท่านยงั เป็ นหนุ่มน้ัน ไดร้ บั มอบหมายใหค้ น้ หนังสือ
ตาํ นานในหอพระแกว้ ซงึ่ ไดพ้ บวา่ ในตาํ นานดงั กลา่ วระบุดว้ ยวา่ เมื่อ
สุเทวฤาษีสรา้ งเมืองหริภุญชยั นนั้ มีฤาษี ๓ ตนมาชว่ ย คือ
กสั สปฤาษี อยู่เมืองพุกาม, พรหมเทวฤาษี อยูท่ ีเ่ ขางาม และ
สุกทนั ตฤาษี อยู่เมืองละโวเ้ มื่อสรา้ งเมืองเสร็จแลว้ สเุ ทวฤาษีก็วา่
อยากไดบ้ ุคคลที่เลื่อมใสในคณุ แกว้ ทง้ั สามมาเป็ นเจา้ เมือง จะเป็ นหญิง
หรือชายก็ได ้ สกุ ทนั ตฤาษีกลา่ ววา่ มีลกู พญาละโวผ้ ูห้ นึ่งชอื่ นางจาม
เทวี ซงึ่ มีคณุ สมบตั ิที่เหมาะสม เมื่อฤาษีทงั้ สีต่ กลงกนั ดงั น้ัน ฤาษีอีก
สามตนก็กลบั ยงั ที่อยู่ของตน สว่ นสเุ ทวฤาษีไดอ้ ธษิ ฐานและเขยี น
14
https://www.m.culture.go.th
93
หนังสือใสล่ าํ ไมไ้ ผ่ลอ่ งนํา้ ไปขอนางจามเทวมี าครองเมือง นางจามเทวี
ตอบตกลงและพญาละโวก้ บั ราชบุตรก็ทรงอนุญาต ในตอนนั้น นาง
จามเทวีก็ทรงพระครรภย์ งั ออ่ นอยู่ นางก็จดั แตง่ สิ่งตา่ ง ๆ และไดน้ ํา
คณะสงฆ ์ นักปราชญ ์ บุรษุ นิกายทง้ั หลายไปดว้ ยและไปขอเอาพระ
ธาตเุ จา้ จากพญาละโวไ้ ปดว้ ย
เมื่อเตรียมการพรอ้ มแลว้ นางจามเทวีและคณะก็เดินทางดว้ ย
เรือทางแม่นํา้ ยม เมื่อนั้น ในบริเวณอาํ เภอลองปัจจบุ นั ไดช้ อื่ วา่ เว
วาทภาสิต นางไดเ้ ห็นลาํ นํา้ แคบลงเรือ่ ย ๆ ก็คิดวา่ ผิดทางแลว้ แต่
นางก็อยากจะลองเดินทางไปดกู อ่ น ดงั น้ันในบริเวณดงั กลา่ วจึงชอื่
"เมืองลอง"
94
ฤๅษี
โดยพระธรรมกิตติวงศ1์ 5
อิสิปตนะ ในภาษาสนั สกฤตใชค้ าํ วา่ ฤาษีปัตตนะ
หมายความวา่ เป็ นที่อย่ขู องฤาษี หรือบางทีเรียกวา่ ฤาษีวาทนะ ป่ า
อนั เป็ นที่ตกลงแหง่ ฤาษี หรือป่ าที่ประชมุ แหง่ ฤาษี เพราะเหตทุ ี่พวก
ฤาษีทง้ั หลายในสมยั โบราณชอบมาพกั เพื่อหลีกเรน้ ตนใหอ้ ยใู่ น
สถานที่สงบ
พวกปัญจวคั คียก์ ็เชน่ เดียวกบั ฤาษีทงั้ หลาย หลงั จากที่พา
กนั หนีจากพระสิทธตั ถะที่อรุ เุ วลาเสนานิคมแลว้ ก็พากนั มาอยู่ที่นี่หรือ
อีกชอื่ หนึ่งวา่ มิคทายะ สนั สกฤตวา่ มฤคทายะ หรือมฤคทาวะ หรือ
สารงั คนาถ แปลวา่ เป็ นที่พึ่งแหง่ เนือ้ และกวาง เพราะป่ าในบริเวณนี้
เป็ นที่สงวนไวส้ าํ หรบั กวางของพระราชาในสมยั โบราณ ใชเ้ ป็ นเขต
อภยั ทาน จึงมีกวางไปรวมอยกู่ นั เป็ นจาํ นวนมาก ปัจจบุ นั เรียกบริเวณ
นีว้ า่ “สารนาถ"
ชอื่ ของนักบวชน้ันมีอยู่หลายคาํ แตล่ ะคาํ ก็มีความหมายที่
แตกตา่ งกนั ไป อินเดียโบราณมีนักบวชที่เรียกชอื่ ตา่ งๆ กนั แตท่ ี่
สาํ คญั ไดแ้ ก่ ฤษี ซงึ่ เป็ นชอื่ รวมที่สาํ คญั ที่สดุ แลว้ ยงั มีคาํ อื่นๆ อีก
คือคาํ วา่ สิทธา หรือนักสิทธิ ์ แปลวา่ ผูส้ าํ เร็จฌานสมาบตั ิ หมายถึง
ผูท้ รงคณุ ธรรมอย่างม่นั คง เป็ นผูท้ ําตบะไดถ้ ึงที่สดุ แลว้
คาํ วา่ ฤษี [รึ-] หรือ ฤๅษี [รอื -] พจนานุกรม ฉบบั ราช
15 https://www.komchadluek.net/news/lifestyle/181292
95
บณั ฑิตย สถาน พ.ศ.๒๕๔๒ ใหค้ าํ นิยามไวว้ า่ ฤษี หรือ ฤๅษี
หมายถึง นักบวชพวกหนึ่ง มีมากอ่ นพุทธกาล เป็ นผูท้ ี่สละบา้ นเรือน
ออกไปบาํ เพ็ญพรตแสวงหาความสงบ
คาํ วา่ โยคี แปลวา่ นักบวชผปู ้ ฏิบตั ิตามลทั ธโิ ยคะ
หมายถึงผูม้ ุ่งที่จะเขา้ ถึงเทพที่สงู สดุ หรือภาวะทางจิตที่สงู สดุ
คาํ วา่ มุนี พจนานุกรม ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ.
๒๕๔๒ นิยามวา่ หมายถึง นักปราชญ ์ ฤษี และพระสงฆ ์ วรรณคดี
สนั สกฤตหมายถึง ผูบ้ ําเพ็ญพรตโดยไม่ยอมพูดจาใดๆ ทงั้ สิน้ ถือ
ความเงียบเป็ นพรตปฏบิ ตั ิสงู สดุ (ศาสนาพุทธอาจเรียกพระพุทธเจา้ วา่
มุนี แตค่ วามหมายของมุนีทางศาสนาพุทธไม่เหมือนกบั ทางวรรณคดี
สนั สกฤต)
สว่ นคาํ วา่ ดาบส หมายถึง ผูบ้ ําเพ็ญตบะเพื่อเผากิเลส
มุ่งไปในทางทรมานกายและจติ เชน่ น่ังสมาธโิ ดยไม่ลกุ ขนึ้ เป็ น
เวลานาน ถา้ เป็ นเพศหญิงใชว้ า่ ดาบสินี และทา้ ยสดุ คือคาํ วา่ ชฎิล
ซงึ่ เป็ นคาํ เรียกนักพรตจาํ พวกหนึ่งที่มีผมมุ่นสงู เป็ นชฎา
พระธรรมกิตติวงศ ์ (ทองดี สรุ เตโช) ป.ธ.๙ ราช
บณั ฑิต และเจา้ อาวาสวดั ราชโอรสาราม ไดใ้ หค้ วามหมายของคาํ วา่
ฤษี หมายถึง ผแู ้ สวงหาคณุ มีฌาน เป็ นตน้ ผเู ้ ห็น ผแู ้ ตง่ พระเวท
ใชว้ า่ ฤาษี ก็มี
ฤษี ใชห้ มายถึงตนศกั ดิส์ ิทธ ์ ผูม้ ีพรสวรรค ์ เกี่ยวกบั
กาํ ลงั ภายใน ผูม้ ีตาทิพย ์ ไดแ้ กน่ ักบวชประเภทหนึ่งมีมากอ่ น
พุทธกาล โดยสละเหยา้ เรือนออกไปบวชบาํ เพ็ญพรตแสวงหาความ
สงบ ใชช้ วี ิตอยู่ตามป่ าตามเงือ้ มเขา เป็ นตน้ หรือปลกู อาศรมอยูเ่ ป็ น
หมู่คณะบําเพ็ญพรตอยูต่ ามลทั ธขิ องตน
ฤษี หรือ ฤๅษี มีชอื่ เรียกไปตา่ งๆ เชน่ นักพรต โยคี
มุนี ดาบส เป็ นตน้
96
ฤาษีในไทย16
พระวาสุเทพฤษี อยูท่ ี่เขาอฉุ ุจบรรพตหรือ ดอยสเุ ทพ จ.เชยี งใหม่
ในปัจจบุ นั ท่านเป็ นผสู ้ รา้ งพระธาตดุ อยสเุ ทพ สรา้ งพระรอด และ
สรา้ งเมืองลาํ พูน
อสีพรหมสิฤษี อยทู่ ี่ ภเู ขาสองยอด และสชั ชนาลยั ฤษี อยู่ที่ยอด
เขาสะดางคบ์ รรพต เขาหลวงในจงั หวดั สโุ ขทยั ในปัจจบุ นั
ฤษีผูส้ รา้ งและปลุกเสกพระซมุ้ กอ (ไม่ทราบนาม)
ฤษีพิราลยั ประธานการสรา้ งพระผงสพุ รรณ
สุกทนั ตฤษี อยทู่ ี่เขา ธรรมิกบรรพต เมืองละโว ้ ตาํ บลเขาสอคอน
อาํ เภอท่าวงุ ้ จงั หวดั ลพบุรีในปัจจบุ นั โดยท่านเป็ นอาจารยข์ อง
กษตั ริยถ์ ึงสามอาณาจกั รดว้ ยกนั คือ
1.พ่อขนุ รามคาํ แหง สโุ ขทยั
2. พ่อขนุ งาํ เมือง โยนก
3. พ่อขนุ เม็งรายมหาราช เชยี งใหม่
16 ฤาษี_พระอาจารยข์ องพระพุทธเจา้
https://web.facebook.com/133678677378444/posts/139544476791864/?_rdc
=1&_rdr
97
ฤาษีแปลวา่ ผูเ้ ห็น17
หมายถึง การแลเห็นดว้ ยความรพู ้ ิเศษอนั เกิดจากฌาน
สามารถแลเห็นอดีต ปัจจบุ นั และอนาคตได ้ ซงึ่ รวมเรียกวา่ "ตริ
กาลชญั "แปลวา่ ผูร้ กู ้ าลทง้ั สาม
ในหนังสือเมืองโบราณ ปี ที่ 5 ฉบบั ที่ 5 มิถนุ ายน - กรกฏาคม
2522 โดยคณุ ศกั ดิศ์ รี แยม้ นัดดา เลา่ เรือ่ งฤาษีเกีย่ วกบั การหยง่ั รไู ้ ว ้
วา่ (ในวรรณคดีสนั สกฤตมิไดก้ าํ หนดเวลาแน่นอนวา่ สามารถรไู ้ ปถึง
เหตกุ ารณใ์ นอดีตชา้ นานเพียงไร แตใ่ นวรรณคดีพระพุทธศาสนามี
ขอ้ เปรียบเทียบ กาํ ลงั ความรเู ้ รือ่ งในอดีตที่เรียกวา่ "ปุพเพนิวาสานุ
สติญาณ" ของฤาษี กบั ขององคส์ มเด็จสมั มาสมั พุทธเจา้ วา่ แตกตา่ ง
กนั กลา่ วคือ ฤาษีมีความรู ้ ระลึกอดีตชาติไดไ้ ม่เกิน 80 ชาติ แต่
องคส์ มเด็จสมั มาสมั พุทธเจา้ ทรงระลึกอดีตชาติไดม้ ากมายเป็ นจาํ นวน
ชาติอนั หาที่สดุ มิได ้ และดว้ ยคณุ ธรรมขอ้ นีอ้ งคส์ มเด็จสมั มาสมั พุทธ
เจา้ ทรงไดร้ บั การยกย่องวา่ เป็ นผูเ้ ลิศกวา่ ฤาษีทงั้ ปวง
ความหมายของฤาษีที่แปลวา่ "ผเู ้ ห็น" เป็ นที่เขา้ ใจกนั ในสมยั ที่เริ่มแตง่
คมั ภีรฤ์ คเวทเมื่อประมาณ 4,000 ปี มาแลว้ เพราะฤาษีโบราณเมื่อง
3,500 - 4,000 ปี มาแลว้ ไดช้ ว่ ยกนั แตง่ บทสวดสรรเสริญเทพเจา้ ขนึ้
ซงึ่ หมายถึงฤาษีผูฝ้ ึ กฝนตนจนบรรลอุ าํ นาจสมาธชิ น้ั สงู หรือญานส
มาบตั ิ มีความพิเศษเหนือกวา่ มนุษย ์ สามารถมองมิติที่มนุษยป์ ถุ ชุ นไม่
สามารถมองเห็นได ้ สามารถไดย้ ินเสียงอนั เป็ นทิพยจ์ ากมิติอื่นที่มนุษย ์
ไม่มีวนั ไดย้ ิน แตส่ ิ่งเหลา่ นีส้ าํ หรบั ฤาษีผูท้ รงอภิญญาสมาบตั ิแลว้
สามารถทาํ ได ้ เมื่อที่ฤาษีเขา้ สมาธสิ งู สดุ เพื่อติดตอ่ กบั พระเปนเจา้
ฤาษีเหลา่ นั้นย่อมบงั เกิดภาพนิมิตและเสียงอยางหนึ่งอยา่ งใดขนึ้ ตามที่
พระเป็ นเจา้ ปราถนาใหฤ้ าษีเหลา่ น้ันรบั รู ้ เมื่อเหลา่ ฤาษีรนุ่ แรกไดร้ บั
ภาพและขอ้ ความตา่ งๆ อนั เป็ นทิพยจ์ งึ ไดเ้ รียบเรียงแตง่ ขนึ้ เป็ นบทสวด
17 https://palungjit.org / marcbangkok
98
บทสรรเสริญเทพเจา้ ตางๆ สาระสาํ คญั อย่ตู รงที่ถอ้ ยคาํ เหลา่ น้ันมิได ้
เป็ นการคิดขนึ้ เองของฤาษี หากแตเ่ ป็ นถอ้ ยคาํ โดยตรงที่พระเป็ นเจา้
หรือ เทพเจา้ องคห์ นึ่งองคใ์ ดประทานใหม้ าทางญานสมาธิ ทกุ ถอ้ ยคาํ
ที่ออกจากปากของฤาษีก็ลว้ นแตเ่ ป็ นถอ้ ยคาํ แหง่ เทพเจา้
ในลกั ษณะดงั กลา่ วมานี้ เขา้ ใจไดว้ า่ พระเป็ นเจา้ หรือทวยเทพ
ทงั้ หลายนั้นอาศยั ฤาษีเป็ นสือ่ กลางสาํ หรบั ถา่ ยทอดบทสวดสรรเสริญ
และความรตู ้ า่ งๆ จากโลกทิพย ์ หรือ สรวงสวรรคม์ าสบู่ นโลกมนุษย ์
ของเรา
ทงั้ นีเ้ ป็ นไปเพื่อใหม้ วลมนุษญืทงั้ หลายไดเ้ ขา้ ใจอย่างแจม่ แจง้ วา่ ยงั มีมิติ
ที่สงู กวา่ และมีหนทางแหง่ การเขา้ สภู่ พภมู ิอนั ละอียดดว้ ยวิธกี ารตา่ งๆ
ทงั้ ยงั ใหม้ นุษยท์ งั้ หลายไดท้ ราบวา่ พระเป็ นเจา้ สงู สดุ ก็ดี ทวยเทพ
ทง้ั หลายก็ดี มีลกั ษณะรปู รา่ ง มีทิพยภาวะอยา่ งไร และมีอิทธฤิ ทธิ ์
มีคณูปการตอ่ จกั รวาล โลก มนุษย ์ ตลอดจนสรรสตั วท์ งั้ หลาย
อย่างไร ซงึ่ การแสดงสาระสาํ คญั เหลา่ นี้ ฤาษีคือผจู ้ ดจารและถา่ ยทอด
จนเป็ นมรดกทางวฒั นธรรมและประเพณีสืบมาจนถึงปัจจบุ นั
สาํ หรบั รายนามบางสว่ นของฤาษีรนุ่ แรกที่สมควรไดร้ บั การยกยอ่ งวา่
เป็ นมหาฤาษี เป็ นหมาครุ ขุ องโลก เป็ นผูท้ รงฌานสมาบตั ิชนั้ สงู จน
สามารถติดตอ่ กบั ทวยเทพไดโ้ ดยตรง เป็ นผูท้ ี่ไดร้ บั ความเคารพวา่ มี
จิต เขา้ ถึงพระเป็ นเจา้ คือ พระอิศวร และที่สาํ คญั คือ เป็ นผปู ้ ระพนั ธ ์
คาํ ภรี ฤ์ คเวทเป็ นที่ปรากฏสืบตอ่ มาในวรรณดดีสนั สกฤต ไดแ้ ก่
ฤาษีวศิษฐ,์ อคั สตยะ (อสั ติ) , กณั วะ, อตั ริ, องั คิรสั , อศุ นัสหรืออศุ นา
(พระศกุ ร)์ , กศุ ิกะ, เรภะ, กตุ สะ ฯลฯ สรปุ วา่ ฤาษีรนุ่ แรก เมื่อ
3,500 - 4,000 ปี น่ันคือ บรรดาฤาษีที่แตง่ คมั ภรี ฤ์ คเวทโดยการดล
บนั ดาลของเทพทงั้ หลาย
99
1.พรหมฤาษีหรือพรหมรรษี
หมายถึง ฤาษีที่สือบเชอื้ สายจากพรหม ถา้ ตีความหมายเชงิ
จติ วิญญาณจะหมายความวา่ เป็ นฤาษีที่เป็ นพรหมลงมาเกิดหรือเกิด
จากการแบ่งภาคของพรหมลงมาเกิดในเมืองมนุษย ์ หรือหมายถึง
พรหมฤาษีที่อย่ใู นแดนพรหมอนั เป็ นทิพย ์ จะปรากฏใหก้ บั ฤาษีใน
แดนมนุษยท์ ี่เขา้ ฌานสมาบตั ิไดเ้ ท่านั้น หรืออีกนัยหนึ่งคือ ฤาษีที่อยู่
ในวรรณะพราหมณ์ อนั ถือวา่ เป็ นวรรณะสงู สดุ และเป็ นผบู ้ าํ เพ็ญตบะ
อย่างยิ่งยวดเหนือฤาษีทงั้ หลาย ทงั้ นีผ้ เู ้ ขา้ ถึงความเป็ นพรหมได ้ ตอ้ ง
ไดญ้ านตง้ั แตป่ ฐมฌานเป็ นตน้ ไป และจะเป็ นพรหมชนั้ สงู แคไ่ หน ก็
ขนึ้ อยกู่ บั กาํ ลงั ของฌานสมาบตั ิของตนที่ทาํ ไว ้ ที่สาํ คญั คือ ยามเมื่อ
สิน้ ใจตอ้ งสิน้ ใจในฌานสมาบตั ิที่ตนทํา เมื่อสิน้ ใจจากโลกนีก้ ็ไปผุดเกิด
เป็ นพรหมฤาษีตามกาํ ลงั แหง่ ฌานที่ตนไดบ้ ําเพ็ญมา
ฤาษีในกลมุ่ แรกนี้ ที่ปรากฏรายนามในวรรณคดีภาพยแ์ ละ
ปุราณะ คือ อรรวาวสุ , อษั ฎาวกั ร, อตั ริ, เอารวล, ภทั รวาช, ภฤคุ,
จยวน, ศกุ , ทธจี , มทน, เทวศรรมนั , เคาตม(ไทยเรียกโคตม), ชาชลิลล
, กาศยป, กฤป, ลิขติ , โลมส, มงั กนก, มารกณั เฑย, นารท(ไทยเรียก
นารอท), ปลุ สั ตย, ฤจกี , ไวศมั ปายน (ผสู ้ วดมหาภารตะจบบริบูรณ์
เป็ นคนแรก), วศิษฐ,์ วิศวามิตร (เป็ นคนเดียวในโลกที่สามารถแปลง
วรรณะกษตั ริยเ์ ป็ นวรรณะพรหมณ์ ไดส้ าํ เร็จ โดยบาํ เพ็ญตบะอยา่ ง
สงู สดุ ในรามเกียรติพ์ ระราชนิพนธใ์ นรชั กาลที่ 1 เรียกวา่ ฤาษีสวา
มิตร) และคนสดุ ทา้ ยคือ ฤาษีวยาส ผูแ้ ตง่ กาพยย์ ิ่งใหญท่ ี่สดุ ในโลก
คือ กาพยม์ หาภารตะ ซงึ่ มีความยาวถึง
1 แสนโศก
สาํ หรบั เรือ่ งกาํ ลงั ฌานที่สามารถพาใหไ้ ปอบุ ตั ิเกิดเป็ นพรหม
หรือผูที่ไดใ้ นชวี ติ นีก้ ็เรียกวา่ เป็ นพรหมในรา่ งมนุษย ์ โดยลาํ ดบั ฌาน
ดงั ตอ่ ไปนีค้ ือ
ฌาน ชน้ั ตน้ เรียก ปฐมฌาน มีวิตกวจิ ารเป็ นอารมณ์
หมายถึงการคาํ นึงนึกถึงแตค่ าํ ภาวนาเทา่ น้ัน
100
ฌาน ชนั้ ที่สองเรียกวา่ ทุติยฌาน หมายถึงสภาวะจติ ที่ไดป้ ิ
ติจากความสงบเบือ้ งตน้ ปิ ตินีม้ ีอาการออกมาทางกายหลายประการ
แบง่ เป็ นหา้ อย่างหลกั แตส่ ามารถจาํ แนก แยกย่อยไดม้ ากมายหลาย
อาการ อาการทงั้ 5 ประการหลกั ๆ มีศพั ทเ์ ฉพาะเรียกวา่
พระปิ ติทง้ั 5ไดแ้ ก่
ขณิกาปิ ติ หมายถึง การเห็นนิมิตเป็ นแสงไฟแลบ คลา้ ยฟ้ าแลบ
ขทุ ทกาปิ ติหมายถึง ปิ ติที่มีอาการสะอืน้ รอ้ งไห ้
อเุ พ็งคาปิ ติ หมายถึงปิ ติที่มีอาการตวั สน่ั ไปมา
โอกกนั ติกาปิ ติ หมายถึง ปิ ติที่มีอาการตวั โยกโคลงไปมา
ผรณาปิ ติ หมายถึง ปิ ติที่มีอาการขนลกุ สะทา้ นไปทง่ั ทง้ั ตวั
ตติฌาน คือชนั้ ที่สาม ชน้ั นีผ้ ูท้ ี่เขา้ ถึงจะมีอาการสขุ ในสมาธอิ ิ่มเอิบ
อย่างบอกไม่ถกู สามารถผา่ นปิ ติในชนั้ ดงั กลา่ วเขา้ สคู่ วามสขุ อนั
ละเอียดออ่ นกวา่ เดิม
จตตุ ฌาน คือชน้ั ที่สี่ ชน้ั นีเ้ ป็ นฌานระดบั ลึกลมหายใจจะละเอียดจน
เหมือนวา่ หยดุ หายใจ อาการทางกายความรสู ้ ึกทางกายจะหายไป
2.เทพฤาษีหรือเทวรรษี
จดั วา่ เป็ นฤาษีที่มีฐานะสงู สดุ โยชาติกาํ เนิด กลา่ วคือ เป็ น
เทพมาแตก่ าํ เนิดแลว้ บําเพ็ญพรตถือเพศเป็ นฤาษี ภายหลงั เพื่อสรา้ ง
ตบะเดชะใหย้ ิ่งยวดขนึ้ ไป ฤาษีกลมุ่ นีม้ ีลกั ษณะพิเศษคือ เป็ นกลมุ่ โอ
ปาติกะ ผุดเกิดขนึ้ เป็ นเทพบนชนั้ ฟ้ า ในอีกนัยหนึ่งหมายถึง ฤาษีที่มี
คณุ ธรรมเขา้ สขู่ น้ั เทวะ ดว้ ยดาํ นาจศีลสมาธปิ ัญญาของตน
การบําเพ็ญพรตเพื่อใหเ้ กิดตบะเดชะยิ่งๆ ขนึ้ ไปน้ันถือวา่ เป็ น
เรื่องสาํ คญั เพราะแมแ้ ตพ่ ระเป็ นเจา้ เชน่ พระอิศวรหรือพระศิวะน้ันยงั มี
101
ปางที่เป็ นฤาษี ในขณะเดียวกนั คติของไศวะนิกายก็ถือวา่ พระศิวะ
เป็ นบรมโยคี ที่อย่เู หนือโยคีทง้ั หลาย เหลา่ ฤาษีโยคีทง้ั ปวงย่อมมุ่งจติ
ของตนไปที่พระศิวะ เพื่อความหลดุ พน้
เทพฤาษีหรือเทพเจา้ ผทู ้ รงเพศ มีจริยาวตั รเป็ นฤาษีองคท์ ี่เกา่ แก่
ที่สดุ ที่พบเป็ นหลกั ฐานนอกจากจะมีพระศิวะแลว้ ก็มีพระพฤหสั บดี
หรือพรหมณัสปติ ซงึ่ มีกลา่ วถึงในคมั ภีรฤ์ คเวทวา่ เป็ นผทู ้ รงไวซ้ งึ่ มนต ์
อนั ประเสริฐ และดาํ รงตาํ แหน่งเทวปโุ รหิตของทวยเทพทงั้ หลายคกู่ บั
พระอคั นี (เทพแหง่ ไฟ) แตเ่ มื่อมาสรู่ ะยะหลงั พระพฤหสั ไดก้ ลายมาเป็ น
เทพฤาษีอยา่ งสมูบรณ์ ในขณะที่พระอคั นียงั เป็ นเทวปโุ รหิตตามเดิม
นอจากพระพฤหสั ซงึ่ เป็ นเทพฤาษีที่มีชอื่ เสียงเป็ นที่เคารพ
มากที่สดุ พระองคห์ นึ่งแลว้ ยงั มีเทพฤาษีอีกพระองคห์ นึ่งที่ไดร้ บั ความ
เคารพไม่ดว้ ยไปกวา่ กนั เทา่ ไหรค่ ือ พระศกุ ร ์ หรือ อศุ นัศ หรืออีก
นามหนึ่งวา่ กวิ กลา่ ววา่ หลงั จากสมยั พระวเท พระพฤหสไดร้ บั การ
ยกยอ่ งวา่ เป็ นครุ เทพแหง่ ทวยเทพเทวาทงั้ หลายในชน้ั ฟ้ ในขณะที่พระ
ศกุ รไ์ ดร้ บั การยกย่องวา่ เป็ นครุ เุ ทพแหง่ บรรดาอสรู ยกั ษ ์ แทตย ์ และ
ทานพทง้ั หลาย อนั เป็ นฝ่ ายตรงขา้ มเป็ นคปู่ รปักษแ์ ห่งทวยเทพทง้ั ปวง
พระศกุ รม์ ีความสามารถพิเศษคือ เป็ นผุร้ มู ้ นตท์ ี่สามารถชบุ ชวี ิตผทู ้ ี่
ตายแลว้ ใหฟ้ ื้นขนึ้ มา มนตบ์ ทนีม้ ีชอื่ วา่ "สญั ชวี ินี" ในตาํ นานกลา่ ว
วา่ พระศกุ รใ์ ชม้ นตบ์ ทนีช้ บุ ชวี ติ อสรู ทง้ั ปวงใหก้ ลบั มีชวี ติ เพื่อสรู ้ บกบั
บรรดาเหลา่ เทพทง้ั หลาย กลายเป็ นสงครามไม่รจู ้ บ ดว้ ยเหตนุ ีพ้ ระ
ศกุ รจ์ ึงเป็ นครุ เุ ทพเป็ นเทพฤาษีที่บรรดา เทวเจา้ ทง้ั หลายใหค้ วามกรง
กลวั เป็ นที่สดุ พระองคห์ นึ่ง
3.ราชฤาษีหรือราชรรษี
หมายถึงพระราชาที่สละราชสมบตั ิออกบวชเป็ นฤาษ จะโดย
ชว่ั คราว หรือตลอดชวี ติ ก็ตาม เชน่ พระชนก (บิดาของสดี า) รวมถึง
พระราม พระลกั ษณ์ และพระวศิ วามิตร เป็ นตน้ ในตาํ นานของ
102
พระพุทธศาสนาตอนที่พระเวสสนั ดรออกบวชเป็ นฤาษีในเขาวงกตก็
ถกู จดั วา่ เป็ นราชฤาษีเชน่ กนั คาํ วา่ ราชฤาษีบางทีอาจใชเ้ ป็ นคาํ เรียก
พระเจา้ แผน่ ดินที่มีเดชานุภาพแมม้ ิไดอ้ อกบวชเป็ นฤาษีก็ไดอ้ ยา่ งเชน่
ทา้ วทษุ ยนั ต ์ กษตั ริยจ์ นั ทรวงศ ์ สงั เกตไดว้ า่ คาํ วา่ ราชฤาษีนีใ้ ชเ้ จาะจง
เกี่ยวกบั ฐานันดรของผูอ้ อกบวชมากกวา่ บรรลคุ ณุ ธรรมชน้ั สงู เหมือน
อยา่ งพรหมฤาษี และ เทพฤาษี ดงั กลา่ วมา
4.มหาฤาษีหรืมหรรษี
แปลหวา่ ฤาษีผูย้ ิ่งใหญ่ หมายถึงฤาษีโดยทว่ั ไปบาํ เพ็ญตละ
อยา่ งอกุ ฤษฏ ์ จนมีฤทธเิ ์ ดชเป็ นที่เกรงกลวั ของทวยเทพเทวาทงั้ หลาย
รวมไปถึเหลา่ อสรู อธบิ ายวา่ มหาฤาษีนีม้ ีความหมายกวา้ งขวางรวม
เอาฤาษีสามประเภทขา้ งตน้ ไวด้ ว้ ย หมายเอาวา่ เป็ นฤาษที่ไดฌ้ าน
สมาบตั ิชน้ั สงู มีอิทธอิ าํ นาจควบขคมุ ธาตทุ งั้ 4 เป็ นที่เคารพของเทพเท
วา หรือจะใชเ้ รียกฤาษีผูม้ ีชอื่ เสียงอนั ใดก็ไดเ้ ชน่ กนั ในวรรณคดีฤาษี
ที่ไดร้ บั การยกยอ่ งเป็ นระดบั มหาฤาษีน้ันมีมากมายหลายตนดว้ ย แตท่ ี่
มีชอื่ เสียงเป็ นที่รจู ้ กั กนั ดี ไดแ้ ก่ "ฤาษีวาลมีกิ" ผูแ้ ตง่ เรื่องรามายณะ
ฤาษีทรวุ าส ผโู ้ ทษะรา้ ยสาปแชง่ เทวดาใหพ้ ินาศ ฤาษีกบิลผมู ้ ีตาไฟ
และไดเ้ ผาผลาญเจา้ ชายศรุ ยวงศ ์ 6,000 องคใ์ หถ้ ึงกาลพินาศ
นอกเหนือจากนี้ พระภรตมุนี ก็ไดร้ บั การยกย่องวา่ เป็ นมหาฤาษี
เชน่ เดียวกนั โดยพระภรตมุนีเป็ นผมู ้ ีบทบาทสาํ คญั ในการรจนา
นาฏยศาสตร ์ โดยจดจาํ จากท่าราํ ของพระศิวะในปางนาฏราชที่แสดง
ไวท้ ี่ตาํ บลจทิ มั พรมั หรือติลไลในอินเดียภาคใต ้
5.บรมฤาษี(ปรมฤาษี)
หมายถึง ฤาษีที่ยิ่งกวา่ ฤาษีทงั้ ปวง คาํ นีใ้ ชร้ วมกบั ฤาษีใน
ลาํ ดบั ที่ 1-4 ดว้ ย มีความหมายกวา้ งๆ เชน่ เดียวกบั มหาฤาษี ใน
บางที่อาจแปลความหมายตา่ งไปวา่ บรมฤาษี มีศกั ดิต์ บะฌานแกก่ ลา้
กวา่ มหาฤาษีก็ได ้ อย่างไรก็ตาม คาํ นีม้ ิไดเ้ จาะจงวา่ จะเป็ นอยา่ งใด
103
อยา่ งหนึ่ง ดงั น้ันจึงละไวใ้ นฐานะที่เขา้ ใจวา่ "บรมฤาษี" คือฤาษีที่
สาํ เร็จญานชนั้ สงู เป็ นที่เคารพ กราบไหวข้ องเหลา่ ฤาษีทง้ั หลายรวมทง้ั
มนุษยแ์ ละเทวดา
6.ศรุตฤาษี
หมายถึงฤาษีที่แตง่ คมั ภีรพ์ ระเวทโดยทว่ั ไป
7.กาณฑฤาษี
หมายถึง ฤาษีที่แตง่ บทสวดบาทบทในคมั ภีรพ์ ระเวท
การแบง่ กลุ่มฤาษี
นอกจากมีการจดั อนั ดบั ชนั้ ของฤาษี ตามฌานสมาบตั ิที่
บรรลแุ ลว้ ยงั มีการจดั กลมุ่ ของฤาษีไวด้ ว้ ย ซงึ่ แบ่งออกเป็ นสองกลมุ่
ใหญๆ่ คือ
1.กลุม่ สตั ปฤาษี หรือ ฤาษีผูย้ ิ่งใหญ่ 7 ตน คมั ภีรศ์ ตปถพ
ราหมณะ ระบุชอื่ วา่ 1.โคตม 2.ภทั รวาช 3.วิศวามิตร 4.ชมทศั นี
5.วศิษฐ ์ 6.กศั ยปและ7.อตั ริ
ทง้ั นีเ้ ขา้ ใจวา่ ฤาษีผูเ้ ป็ นยอดแหง่ ฤาษีทงั้ ปวงน้ันในยุคแรกคงมี
มากซงึ่ ทงั้ หมดก็ควรไดร้ บั การยกย่องดว้ ยกนั ทง้ั น้ัน เพราะแกก่ ลา้
ทางญานสมาบตั ิ เป็ นผเู ้ ขา้ ถึงพระเป็ นเจา้ แลว้ โดยสมบรู ณ์ เป็ นครุ ุ
ของครุ ตุ า่ งตาํ ราตา่ งคนจดั อนั ดบั จึงมีการกลา่ วที่แตกตา่ งกนั ออกไป
เป็ นเรื่องธรรม และในความเป็ นจริงฤาษีที่เป็ นยอดก็คงมีมากกวา่ นีอ้ ีก
มากนักแตไ่ ม่ไดถ้ กู จดั อนั ดบั ไว ้ กลมุ่ สตั ปฤาษีนีก้ ็คือ ดาวจระเข ้ 7
ดวงบนทอ้ งฟ้ าน่ันเอง
2.กลุม่ ประชาบดี หมายถึงผเู ้ ป็ นใหญ่ในลกู หลานหรือผเู ้ ป็ นใหญแ่ ห่ง
104
เผา่ พนั ธุ ์ คือ ฤาษี 10 ตนที่เป็ นโอรสอนั เกิดจากใจของพระพรหม
โอรสที่เกิดจากใจนีม้ ีศพั ทเ์ ฉพาะเรียกวา่ "มนัสบตุ ร" กลมุ่ ฤาษีทงั้ 10
ตนนีจ้ งึ เสมือนผูท้ ี่เป็ นทิพย ์ เพราะเป็ นการเกิดจากใจพระหรหม หาได ้
เกิดจากครรภข์ องสตรีดงั ปุถชุ นทว่ั ไปไม่ เมื่อบงั เกิดขนึ้ มาเบือ้ งตน้ แลว้
ไดท้ ําหนา้ ที่ในการสรา้ งเผ่าพนั ธมุ ์ นุษย ์ ทวยเทพ อสรู นาค ครฑุ
ปิ ศาจ ทง้ั หลายใหบ้ งั เกิดมีเต็มพืน้ ที่แห่งจกั รวาล ตามแนวคิดของ
ศาสนา พราหมณฤ์ าษียงั เป็ นผูท้ าํ หนา้ ที่เป็ นผูใ้ หก้ าํ เนินสิง่ มีชวี ติ
ทง้ั หลาย อนั เป็ นการรบั หนา้ ที่โดยตรงจากพระพรหม
ในคมั ภรี ม์ นุสสมฤติมีขอ้ ความอา้ งถึงพระประชาบดีทง้ั 10
องคว์ า่ พระประชาบดีประกอบดว้ ย พระฤาษีมรีจิ , อตั ริ, ทกั ษะ, องั ค
รสั , ปุลสั ตยะ, ปุลหะ, กระต,ุ ภฤคุ, วศิษฐ ์ และนารท โดยทง้ั 10 น้ันล
วนเป็ นบตุ รของพระมนู และพระมนูผูนีไ้ ดร้ บั การยกย่องวา่ เป็ นมนุษย ์
คนแรกและเป็ นฤาษีผูใ้ หก้ าํ เนินสิง่ มีชวี ิตทง้ั หลาย แตอ่ ย่างไรก็ตาม
พระนารทเพทฤาษีน้ันเป็ นประชาบดี เพียงผูเ้ ดียวที่ไม่ไดใ้ หก้ าํ เนิดลกู
หลายแตก่ ็ไดร้ บั การยกยอ่ งใหเ้ ป็ นประชาบดี
ในบรรดาพระฤาษีประชาบดีที่ไดร้ บั การยกยอ่ งวา่ เป็ นบิดาผู ้
ยิ่งใหญนั้นและปรากฏเกียรติอยา่ งชดั แจง้ มีดว้ ยกนั 2 ตน คือ พระ
กศั ยปเทพบิดร และ พระทกั ษะ สาํ หรบั พระกศั ยปนั้นเป็ นผทู ้ าํ หนา้ ที่
สรา้ งทวยเทพเทวา มีฐานะเป็ นบิดาของพระอิทนร ์ และ พระนารายณ์
เป็ นบิดา ของเหลา่ อสรู งู นก และอื่นๆ อีกมาก ทง้ั ยงั ไดร้ บั การยก
ย่องวา่ เป็ น"เทพบิดร" อนั มีฐานะพิเศษกวา่ ประชาบดีทว่ั ไป
สว่ นพระทกั ษระน้ันเป็ นผูท้ ี่มีลกู สาวมากที่สดุ พระทกั ษระได ้
แตง่ งานกบั นางประสตู ิ และมีลกู สาวดว้ ยกนั ทงั้ หมด 60 คน ลกู สาว
10 คนแรกพระทกั ษะยกใหแ้ กพ่ ญายม ลกู สาวอีก 13 คนยกใหเ้ ป็ น
ภรรยาของพระกศั ยปเทพบิดร อีก 27 คนยกใหเ้ ป็ นภรรยาของ
พระจนั ทร ์ ที่เหลือก็ยกใหฤ้ าษีทา่ นตา่ งๆ ไป หนึ่งในลกู สาวของพระ
ทกั ษระ คือ พระนางสตี อนั เชอื่ วา่ คือพระนางอมุ าลงมาเกิด ลกู สาว
ผูน้ ีม้ ีความพอใจในพระศิวะ แตพ่ ระทกั ษะกลบั ไม่ชอบเพราะไม่รวู ้ า่ พระ
ศิวะผนู ้ ีแ้ ทจ้ ริงคือพระเป็ นเจา้ ที่สดุ นางสตีกลนั้ ใจตายเป็ นเหตใุ หพ้ ระ
105
ศิวะพิโรธ ถึงกบั ตดั คอ พระทกั ษะ แลว้ นําหวั แพะมาตอ่ ใหแ้ ทนเป็ น
การประจาน ถึงความ เขลา ของพระทกั ษะ ดว้ ยเหตนุ ีพ้ ระทกั ษะจึง
เป็ นฤาษีหนา้ แพะแตน่ ั้นมา
ความสําคญั ของฤาษี
เราสามารถสรปุ ความสาํ คญั ของฤาษีไดด้ งั นี้
1.เป็ นกวีรุ่นแรกของอินเดีย
อย่างเชน่ ท่านวาลมีกิ แปลวา่ ผมู ้ ีจอมปลวกเป็ นที่อาศยั
นับเป็ นมหากวผี ูแ้ ตง่ เรือ่ งรามายณะและ รามายณะนีก้ ็ถือวา่ เป็ นกาพย ์
เรือ่ งแรกของอินเดีย
2.เป็ นผูแ้ ตง่ ตาํ ราฟ้ อนรํา
คือพระภรตมุนี และเป็ นที่มาของการนับถือหวั โขนพ่อแก่ ที่
เราเห็นชาวนาฏศิลป์ และดารานักแสดงบชู ากนั อยู่ในทุกวนั นี้
3.เป็ นผูป้ ระสิทธิป์ ระสาทวิชาดนตรี
คือพระฤาษีนารท
4.เป็ นผูป้ ระสิทธิป์ ระสาทวิชาทางการแพทย ์
เพราะฤาษีย่อมเป็ นผรู ้ จู ้ กั ตวั ยาสมุนไพรและวิชารกั ษาโรคตา่ งๆและดติ
นีแ้ พทยแ์ ผนไทยก็รบั นับถือมานาน
5.เป็ นผูป้ ราบปรามความชว่ั รา้ ย
6.เป็ นผูส้ รา้ งบา้ นเมือง
ดงั เชน่ การสรา้ งเมืองอโยธยา หรือ อย่างตาํ นาน การสรา้ ง
เมืองลาํ พูดก็กลา่ ววา่ เป็ นการสรา้ งของฤาษีเชน่ กนั
106
คติความเชอื่ เรื่องของฤาษี
เนื่องจากฤาษีนั้นเป็ นนักบวชที่มีความเป็ นมายาวนาน ลทั ธิ
ฤาษีไดแ้ พรห่ ลายไปทวั โลก ไม่เฉพาะในแถบลมุ่ แม่นํา้ สินธเุ ทา่ น้ั น
เพราะอยา่ งในดินแดนปาเลสไตนเ์ องก็มีเรือ่ งทาํ นองฤาษีไว ้ อยา่ งเชน่
เรือ่ งของเชนตจ์ อหน์ ของยิวก็ถกู นับวา่ เป็ นฤาษีดว้ ยเชน่ กนั เพราะมีวตั ร
ปฏิบตั ิแบบอยูใ่ นป่ า กินจกั๊ จน่ั กบั นํา้ ผึง้ สนั โดษ ประพฤติพรหมจรรย ์
เป็ นตน้ หรืออย่างนักพรตในศาสนาคริสต ์ อยา่ งเชน่ นักบญุ ฟรานซสิ
ก็มีวตั รปฏิบตั ิอยา่ งฤาษีเชน่ กนั โดยมีวตั รประพฤติตนวา่ "จงอย่าเอา
อะไรไปใช ้ ตามทาง ไม่วา่ จะเป็ นไมเ้ ทา้ ยอ่ ม อาหาร ทรพั ยส์ ินเงิน
ทอง หรือเสือ้ ผา้ นอกจากนีย้ งั ประพฤติพรหมจรรย ์ ถอ่ มตวั เชอื่ ฟัง
และสมถะ" ในวตั รปฏิบตั ิที่เครง่ ครดั เชน่ นีย้ งั กอ่ ใหเ้ กิดปาฏหิ ารย ์ เลา่
กนั วา่ ทา่ นสามารถถอดจติ ไปปรากฏกายตามที่ตา่ งๆ สามารถเรียก
เหลา่ สตั วท์ งั้ หลายใหม้ าฟังธรรม มีอาํ นาจในการไลผ่ ี และรกั ษาโรค
ตา่ งๆสามารถแตะแผน่ หินใหก้ ลายเป็ นนํา้ พุ
นอกจานีว้ ฒั นธรรมเรื่องฤาษีและความเชอื่ ยงั มีการเผนแพร่
ไปแถบเอเชญี ตะวนั ออกคือธเิ บตและจีน มีการสนั นิษฐานวา่ เริ่มแรก
ของลทั ธเิ ตา๋ นน้ มาจากโยคี ในอินเดีย ที่เดินทางไปบําเพ็ยพรตบน
เทือกเขา ตอ่ มามีลกู ศิษยเ์ ป็ นชาวจีนไดย้ อมรบั บั ถือในเรื่องพลงั วิเศษ
เหนือปถุ ชุ น จนกระทง่ั มีการตง้ั เป็ นลทั ธเิ ต๋า สืบตอ่ มาในยคุ หลงั
คนจนี จงึ เรียก ฤาษี วา่ "เซยี น" ในหนังสือเรือ่ ง โป๊ ยเซยี น
ของ ส.พลายนอ้ ย อธบิ ายคาํ วา่ เซยี นดงั นีว้ า่ "เซยี นนั้นหมายถึงคน
แกแ่ ลว้ ไม่ตาย หรือผทู ้ ี่ฝึ กตนเองจนไม่รบั ประทานอาหารก็ไม่ตาย
เรียกวา่ เซยี น"
107
ทง้ั นีใ้ นบางแหง่ ยงั มีคาํ เทียบระหวา่ งฤาษีกบั เซยี นไวว้ า่ คนจีน
เรียก ฤาษีวา่ เซยี นเหย่ง หรือเซยี นเตา มีความหมายวา่ ผไู ้ ม่ตาย
แบ่งออกเป็ น..4..จาํ พวกคือ
1.เถียนเซยี น..เป็ นเทพฤาษีอาศยั อยู่รอบเขาพระสเุ มรุ
2.เซยี นเซยี น..เป็ นบรุ ษุ ฤาษีเรร่ อ่ นอยใู นอากาศ
3.เหย่งเซยี น..เป็ นนรกฤาษีอาศยั อยใู่ นหมู่คน
4.ตีเ้ ซยี น..เป็ นภมู ิฤาษีอาศยั อยตู่ ามถาํ้
5.กยุ ้ เซยี น..เป็ นเปรตฤาษีไม่มีที่อยูเ่ ป็ นหลกั แหลง่ ทาํ นองอสรู กาย
ความเชอื่ เรือ่ งเซยี นบางสว่ นพอ้ งกนั กบั เรือ่ งของฤาษี อยา่ งไร
ก็ตามเซยี นในประวตั ิศาสตรข์ องจีนไม่ไดม้ าจากนักบวชทงั้ หมด แตม่ า
จากบคุ คลที่มีชอื่ เสียง บางคนเป็ นนักปราชญ ์ บางคนเป็ นรฐั บุรษุ
แพทย ์ นักดนตรี และกวี อย่างไรก็ตาม บุคคลสาํ คญั เหลา่ นีเ้ ชอื่ วา่
เป็ นผผู ้ ่านการบาํ เพ็ยในลทั ธเิ ตา่ สาํ เร็จจิตจนมีอานุภาพเหนือปถุ ชุ น
เขา้ สคู่ วามเป็ นเซยี นอมตะไม่มีวนั ตาย เที่ยวโปรดสรรพสตั วท์ งั้ หลาย
บาํ เพ็ยจริยาวตั รดง่ั พระโพธสิ ตั ว ์
เรื่องของฤาษีนีแ้ มว้ า่ จะมีภายนอกแตกตา่ งกนั ไปบา้ งตาม
รปู ลกั ษณข์ องวฒั นธรรม แตเ่ รื่องของอดุ มการณ์ หลกั ประพฤติ
ปฏบิ ตั ิ หลกั ๆ น้ัน ก็ไม่แตกตง่ กนั เลยไม่วา่ ในภมู ิภาคใดๆ ทง้ั คติ
ความเชอื่ เกี่ยวกบั เรือ่ งฤาษีย่อมเป็ นรากแหง่ วฒั นธรรมทางจิต การ
ปฏิบตั ิจิตฝึ กฝนตนเองเพื่อความหลดุ พน้ มุ่งเอาคณุ งามความดี
เมตตา รพหมวหิ ารเป็ นหลกั ดงั นั้นคติเกีย่ วกบั ฤาษีจงึ เป็ นอีกคติ
ความเชอื่ หนึ่งที่สามารถทําใหส้ งั คมอยเู่ ย็นเป็ นสขุ ได ้
108
พระนารายณป์ ระทบั บลั ลงั คน์ าค
109
พระนารายบ์ นั ธมสินธุใ์ นกระเศยี รสมุทร
110
พระนรายนจ์ าํ สถานน่งั
พระปรเมศวร
111
พระนรายนท์ รงบาชปราบเอกทนั ท ์
พระอิศวรเหยียบองคกุ ะพรหม
พระนรายนจ์ บั ระบาํ
112
พระนรายนเ์ สดจ็ ไปเมืองจิตตรํมะลํา
พระนรายท์ รงขลุย่
พระนรายน์ นนทุกข
113
ภาพซา้ ยสุดไม่ทราบชอื่
พระนรายนจ์ าํ สถานยืน
พระนรายนเ์ สดจจะไปปราบนนทุกขพรหม
114
พระลศั มีคือองคศ์ ิดา
พระมเหศวาริย ์
พระอมุ าภคั วดี
115
พระนรายนท์ รงสิงหภาหน์
116
พระขนั ธกมุ ารทรงมยุรภาหน์
117
พระพรหมน์ ารถ พระพรหมธาดา พระพรหมนารถ
118
พระทระริงคม์ ดั อสุรสตั วบาพดว้ ยบว่ งเชอื กบาช
พระอินศวรทรา้ งมหาธนโู มลิดว้ ยลาํ ไมศ้ รีสุกขซงึ่ ศกุ
ขวฒั นดาบศถวายพระอิศวรผูเ้ ปนเจา้
119
พระทระริงคม์ ดั อสุรสตั วบาพดว้ ยบ่วงเชอื กบาช
พระเทวริงค ์ ยงั ไม่ทราบความเป็ นมา มีภาพของพระเทว
ริงคป์ รากฏบนบานหนา้ ตา่ งของพระอโุ บสถ วดั บวรสถาน
สทุ ธาวาส (วดั พระแกว้ วงั หนา้ ) และบานหนา้ ตา่ งวดั สทุ ศั นเทพว
ราราม ในหนังสือเทพฮินดผู ูพ้ ิทกั ษพ์ ทุ ธสถาน ของอรณุ ศกั ดิ ์
กิ่งมณี วา่ มีการคน้ พบภาพวาดกลุ กมุ ารในลงั กา ซงึ่ คลา้ ยคลึง
กบั ภาพพระเทวริงคม์ าก สนั นิษฐานวา่ พระเทวริงคอ์ าจเป็ นองค ์
เดียวกนั กบั กลุ กมุ าร กลุ กมุ าร ( කළු කුමාරයා ) เดิมเป็ น
เจา้ ชายของอาณาจกั รแคนดี ทรงถกู พระบิดาประหาร บา้ งวา่
พระองคท์ รงบําเพ็ญพรตจนเหาะได ้ วนั หนึ่งทรงเหาะไปเห็นเจา้
หญิงงามและเกิดหลงรกั จึงตกลงมาตายและกลายเป็ นปี ศาจที่
อาฆาตผูห้ ญิงทกุ คน จะมาสิงใหเ้ ป็ นบา้ หรือเจ็บไขต้ าย และมกั
ทาํ รา้ ยหญิงมีครรภด์ ว้ ย บางตาํ ราวา่ เป็ นตนเดียวกบั เททิมุณฑะ
(දැඩිමුණ්ඩ) เทพเจา้ ชน้ั รองของลงั กา หวั หนา้ ของพวกยกั ษ ์
และพณั ฑาร เป็ นเทพผูพ้ ิทกั ษพ์ ุทธสถาน แตภ่ าพที่ปรากฏมกั
แตง่ กายเป็ นเจา้ ชายถืออาวธุ ไม่ใชภ่ าพกินคน
120
พระอนิ ศวรทรา้ งมหาธนโู มลิดว้ ยลาํ ไมศ้ รีสุกข
ซงึ่ ศกุ ขวฒั นดาบศถวายพระอศิ วรผูเ้ ปนเจา้
ในนารายณส์ ิบปาง ฉบบั โรงพิมพห์ ลวงวา่ พระฤๅษี
สุขวฒั น บาํ เพ็ญพรตอยเู่ ขาพระสเุ มรุ (ฉบบั โรงพิมพว์ ชั รินทร ์
วา่ เชงิ เขาไกรลาส) มีตน้ ไมไ้ ผ่ตน้ หนึ่งสงู ครอบหลงั คาอาศรม
พระฤๅษีสขุ วฒั น จงึ เอาไมไ้ ผ่ลาํ น้ันมาถวายพระอิศวร พระ
อิศวรจงึ หกั ไมไ้ ผ่เป็ นสองทอ่ นทิง้ ลงมา ทอ่ นปลายเกิดเป็ นกระบี่
ชอื่ ชามภวู ราช ท่อนตน้ เกิดเป็ นยกั ษช์ อื่ อสรุ เวราํ ตน้ โคตรวงศ ์
ฝ่ ายมารดาของทศกณั ฐ ์ (ฉบบั โรงพิมพว์ ชั รินทรว์ า่ พระอศิ วรเอา
ไมไ้ ผ่มาทําธนู เมื่อนา้ วธนูหกั กลางคนั พระอิศวรเอาทิง้ เสีย
ทอ่ นเบือ้ งบนเกิดเป็ นวานรชอื่ นิเกสรหรือชามพวู ราช ทอ่ นเบือ้ ง
ตา่ํ เกิดเป็ นอสรู ชอื่ เวราํ พาย ตน้ โคตรวงศฝ์ ่ ายมารดาของ
ทศกณั ฐ ์ พระอิศวรทาํ นายวา่ ตอ่ ไปวานรกบั อสรู จะทาํ สงคราม
กนั วานรเกิดขา้ งหวั ธนูจะชนะอสรู ) ฤๅษีสขุ วฒั นเฝ้ าอยจู่ น
พลบค่าํ นางวานรินเทพอปั สรพนักงานประทีปหลงดว้ ยเพื่อนลืม
จดุ ประทีป พระอิศวรกริว้ สาปใหล้ งมาอย่ใู นถาํ้ เขาองั กาบ คอย
ท่าทหารพระนารายณ์ (รามเกียรติ ์ พระราชนิพนธใ์ นร.๑ วา่
นางวานรินทร)์ ไมไ้ ผ่นั้นจึงไดช้ อื่ วา่ ไมไ้ ผฤ่ ๅษีสุข (ไผ่สีสกุ )
121
พระวิสณุ
พระศิวา
พุทธาวตาลเพื่อจะถือเอาซงึ่ พระศิวะลึงคแ์ ตอ่ สูรตรีบุรํา
122
สิหว์ ะตาลปราบเหรนั ตยกั ษ ์
123
พระนรายนน์ นทุกข
พระนรายนเ์ ทพกรรม ์
124
พระเทพกรรมป์ ระสิทธิ ครูปะกาํ หมอชา้ ง
125
พระอนิ ทรเจา้ ฟ้ าทรงชา้ งคชเอราวรรณ
126