แผนการจดั การเรียนรู้
แบบเนน้ แผนผงั มโนทัศน์ (Concept Bases Teaching)
กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
รายวชิ าชวี วทิ ยา 4 รหสั วชิ า ว30244 ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 2 เรอื่ ง ระบบประสาทและอวยั วะรบั ความรสู้ กึ
ผู้สอน
นางสาวนภศร เสรีกลุ
ตาแหน่ง ครู วทิ ยฐานะ ครชู านาญการ
โรงเรยี นโนนกลางวทิ ยาคม อาเภอพบิ ลู มงั สาหาร จงั หวดั อุบลราชธานี
องคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั อบุ ลราชธานี
คำนำ
แผนการจัดการเรยี นรู้แบบเน้นแผนผงั มโนทัศน์ (Concept Based Teaching) เร่ือง ระบบ
ประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก ผู้สอนจัดทาขึ้นเพื่อเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอน
ประกอบการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก
รายวิชาชีววิทยา 4 รหัสวิชา ว30244 ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 6 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2565 ท่ีเน้น
ผู้เรียนเป็นสาคัญ มีการวัดผลและประเมินผลท่ีหลากหลายตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัด
กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ซึ่งเป็นสิ่งสาคัญในการเตรียมการจัดการเรียนการสอน
และกระบวนการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน อีกท้ังเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนราย
ชั่วโมง
ดงั นั้น แผนการจัดการเรียนรู้แบบเน้นแผนผังมโนทัศน์ (Concept Based Teaching) เร่ือง
ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชา
รายวิชาชีววิทยา 4 รหัสวิชา ว30244 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ผู้จัดทาได้จัดทาไว้ท้ังหมด 7 แผนการ
จัดการเรยี นรู้ เวลา 14 ช่วั โมง
ผู้จัดทาขอขอบพระคุณ นางฉัตรสุดา สุยะลา นางพัชรี คูณทอง นางบุญล้อม แก้วดอน
นางสพุ รรณี ผวิ ศรี และนางสาวทัศน์วรรณ ขนั ทอง ท่ไี ดใ้ ห้ความอนุเคราะหเ์ ป็นผูเ้ ชี่ยวชาญในการ
ตรวจคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ รวมทั้งช้ีแนะแนวทางข้อบกพร่องต่าง ๆ ในคร้ังน้ี ผู้จัดทา
หวังอย่างยิ่งว่าแผนการจัดการเรียนรู้นี้คงให้ประโยชน์สาหรับครูผู้สอน รายวิชารายวิชาชีววิทยา
และครูผ้สู อนกลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีรายวิชาอนื่ ๆ รวมทง้ั ผู้ทส่ี นใจ
นภศร เสรกี ลุ
ข
คำรบั รองของผ้บู ริหำรสถำนศึกษำ
ข้าพเจ้า นางสาวพรพนธ์ แพทย์เพียร ผู้อานวยการโรงเรียนโนนกลางวิทยาคม
ขอรับรองว่าแผนการจัดการเรียนรู้แบบเน้นแผนผังมโนทัศน์ (Concept Based Teaching) เรื่อง
ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก รายวิชาชีววิทยา 4 รหัสวิชา ว30244 ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 6
ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2565 ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัด กลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ัน
พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ซึ่งเป็นแผนการจัดการเรียนรู้ตามแนว Backward Design เป็นผลท่ีเกิด
จากการศกึ ษาค้นคว้าด้วยความวิริยะ อตุ สาหะ มงุ่ มน่ั ตงั้ ใจทางาน หาแนวทางในการจัดกิจกรรมการ
เรยี นการสอนโดย นางสาวนภศร เสรกี ุล ตาแหนง่ ครู วทิ ยฐานะ ครูชานาญการ กล่มุ สาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนโรงเรียนโนนกลางวิทยาคม อาเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัด
อุบลราชธานี สานักการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด
อบุ ลราชธานี ซ่ึงเป็นผู้จดั ทาขึ้นเพื่อประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในรายวิชาชีววทิ ยา 4
รหัสวิชา ว30244 ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6 เร่ือง ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก โดยการจัด
กิจกรรมการเรียนรู้แบบเน้นแผนผังมโนทัศน์ (Concept Based Teaching) ประกอบชุดกิจกรรม
การเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ ซง่ึ ไดน้ ามาใชใ้ นกระบวนการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนจริง
(ลงช่อื )
(นางสาวพรพนธ์ แพทย์เพยี ร)
ผู้อานวยการโรงเรียนโนนกลางวิทยาคม
ค
คำชีแ้ จง
แผนการจัดการเรียนรู้แบบเน้นแผนผังมโนทัศน์ (Concept Based Teaching) เรื่อง
ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก รายวิชาชีววิทยา 4 รหัสวิชา ว30244 ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 6
สร้างขึ้นเพ่ือให้ครูนาไปใช้เป็นวิธีการในการจัดกระบวนการเรียนการสอนประกอบชุดกิจกรรมการ
เรียนรู้วิทยาศาสตร์ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยมุ่งเน้นให้นักเรียนได้ศึกษาและปฏิบัติ
กิจกรรม จากชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพ่ือสืบเสาะหาความรู้ การให้ความช่วยเหลือซึ่งกัน
และกนั และนักเรียนเกิดองคค์ วามรู้ สามารถนาความรู้มาเขียนเป็นแผนภาพได้ การนาความรู้จากการ
เรียนการสอนไปประโยชนใ์ นชวี ิตประจาวันได้ โดยครูจะทาหน้าที่เป็นผู้ใหค้ าแนะนานักเรียน ฉะนั้นครู
จะต้องให้นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ตามข้ันตอนอย่างเคร่งครัด จึงจะทาให้บังเกิดผลดีต่อการ
จดั กจิ กรรมการเรียนการสอน โดยมีแผนการจัดการเรียนรู้ปฐมนิเทศ เวลา 2 ช่ัวโมง เพื่อสร้างขอ้ ตกลง
และสร้างความเข้าใจในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน รวมท้ังวัดความรู้เดิมของนักเรียนก่อนจัด
กิจกรรมการเรียนการสอนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เร่ือง ระบบประสาทและอวยั วะรับ
ความรู้สึก แผนการจัดการเรียนรู้ตามเนื้อหา จานวน 7 แผน เวลา 14 ชั่วโมง และแผนการจัดการ
เรียนรู้ปัจฉิมนิเทศ เวลา 2 ช่ัวโมง เพ่ือวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนหลังจัดกิจกรรม
การเรยี นการสอนดว้ ยชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ รวมเวลาตลอดการใช้แผนการจัดการเรียนรู้
18 ชั่วโมง
แผนกำรจัดกำรเรยี นรู้
แบบเน้นแผนผังมโนทศั น์ (Concept Based Teaching)
รำยวิชำชีววิทยำ 4 รหสั วิชำ ว30244 ชั้นมัธยมศกึ ษำปีที่ 6
เรือ่ ง ระบบประสำทและอวยั วะรับควำมรู้สึก มีท้งั หมด 7 แผน เวลำเรียน 14 ชั่วโมง ดงั นี้
ที่ แผนกำรจดั กำรเรียนรู้ เรื่อง จำนวน
ช่วั โมง
1 แผนกำรจดั กำรเรียนรู้ ปฐมนิเทศ (ทดสอบกอ่ นเรียน)
2 แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 1 การรับรูแ้ ละการตอบสนองของสตั ว์ 2
3 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เซลลป์ ระสาท 2
4 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 การทางานของเซลลป์ ระสาท 2
5 แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 4 ศูนยค์ วบคุมระบบประสาท 2
2
ง
ท่ี แผนกำรจดั กำรเรียนรู้ เรื่อง จำนวน
ชวั่ โมง
6 แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 5 การทางานของระบบประสาท
7 แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 6 อวยั วะรับความรู้สึก (1) หู ตา 2
8 แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 7 อวัยวะรบั ความร้สู กึ (2) จมกู ล้นิ ผวิ หนัง 2
9 แผนกำรจัดกำรเรียนรู้ ปัจฉิมนิเทศ (ทดสอบหลังเรยี น) 2
2
รวมเวลำทงั้ หมด 18
จ
สารบญั
เรือ่ ง หน้า
คานา...................................................................................................................... ก
คารับรองของผบู้ ริหารสถานศึกษา.......................................................................... ข
คาชแ้ี จง.................................................................................................................. ค
สารบัญ................................................................................................................... จ
สารบญั ตาราง......................................................................................................... ช
สารบญั แผนภาพ.................................................................................................... ซ
กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาสาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560) 1
ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551……………………………. 2
2
- วทิ ยาศาสตร์พื้นฐาน………………………………………………………………………………… 3
- วิทยาศาสตร์เพม่ิ เติม………………………………………………………………………………... 3
สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้…………………………………………………………………………….. 3
สาระที่ 1 วิทยาศาสตรช์ วี ภาพ……………………………………………………………………. 4
สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ............................................................................ 4
สาระที่ 3 วิทยาศาสตรโ์ ลกและอวกาศ.................................................................. 4
สาระที่ 4 เทคโนโลยี……………………...................................................................... 7
คณุ ภาพผู้เรียนเมอ่ื จบช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 6................................................................... 9
วทิ ยาศาสตรเ์ พิ่มเตมิ ...................................................................................................... 9
เรยี นร้อู ะไรในวิทยาศาสตรเ์ พ่ิมเตมิ ................................................................................ 9
สาระวทิ ยาศาสตรเ์ พ่มิ เติม.............................................................................................. 10
สาระชีววิทยา......................................................................................................... 10
สาระเคมี................................................................................................................ 11
สาระฟสิ ิกส.์ ........................................................................................................... 12
สาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ........................................................................ 16
คุณภาพผูเ้ รียนเมือ่ เรยี นจบสาระวิทยาศาสตร์เพิ่มเตมิ ...................................................
สาระการเรียนรู้เพ่มิ เติม สาระชวี วิทยา..........................................................................
ฉ
สารบญั (ต่อ)
เร่ือง หน้า
วเิ คราะหค์ วามสมั พนั ธ์ของหน่วยการเรยี นรู้ สาระชวี วิทยา ผลการเรยี นรู้ สาระการ 32
เรียนรเู้ พ่ิมเตมิ กับเวลา.................................................................................................... 40
การสอนแบบแผนผังเนน้ มโนทศั น์ (Concept Based Teaching)................................ 42
คาอธบิ ายรายวชิ า........................................................................................................... 43
ผลการเรยี นรู้................................................................................................................ .. 45
โครงสรา้ งรายวิชา........................................................................................................... 54
การวเิ คราะหเ์ นื้อหากบั เวลาเรียน................................................................................... 60
69
แผนการจัดการเรยี นรปู้ ฐมนเิ ทศ............................................................................... 91
แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 1 การรบั รแู้ ละการตอบสนองของสตั ว์.............................. 113
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 2 เซลลป์ ระสาท................................................................ 137
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 การทางานของเซลล์ประสาท........................................ 162
แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 4 ศูนยค์ วบคุมระบบประสาท............................................ 187
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 5 การทางานของระบบประสาท....................................... 204
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 6 อวยั วะรับความรู้สกึ (1)................................................. 226
แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 7 อวัยวะรบั ความรสู้ ึก (2).................................................
แผนการจัดการเรยี นรปู้ จั ฉิมนิเทศ............................................................................
บรรณานกุ รม.......................................................................................................... 234
ภาคผนวก............................................................................................................... 237
ภาคผนวก ก แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น........................................ 238
ภาคผนวก ข แบบประเมนิ แผนการจดั การเรยี นรู้............................................... 252
ภาคผนวก ค รายชอื่ ผูเ้ ช่ียวชาญ.......................................................................... 259
ประวัติย่อผู้จดั ทา............................................................................................................... 261
ช
สารบญั ตาราง
ตารางที่ หน้า
1 ผลการเรยี นรู้และสาระการเรียนรู้เพม่ิ เตมิ ชีววทิ ยา (1) ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6… 16
2 ผลการเรยี นรู้และสาระการเรียนรู้เพิ่มเตมิ ชีววทิ ยา (4) ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6… 19
3 ผลการเรียนรู้และสาระการเรียนรเู้ พมิ่ เติม ชวี วทิ ยา (5) ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6… 27
4 วิเคราะห์ความสัมพนั ธข์ องหนว่ ยย่อย ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรเู้ พ่ิมเตมิ
กบั เวลา............................................................................................................... 33
5 การวเิ คราะห์เนื้อหากับเวลาเรยี น....................................................................... 54
6 แบบประเมนิ แผนการจัดการเรียนรู้แบบเน้นแผนผงั มโนทัศน์ (Concept
Based Teaching)………………………………………………………………………………….. 253
ซ
สารบญั แผนภาพ
แผนภาพที่ หน้า
1 สาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์พ้ืนฐาน (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. 2560)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พื้นฐาน พุทธศักราช 2551………… 2
1
กลุม่ สาระการเรยี นรู้วิทยาสาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. 2560)
ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551
บทนา
ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง
พ.ศ.2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 นี้ ได้กาหนดสาระการ
เรียนรู้ออกเป็น 4 สาระ ได้แก่ สาระท่ี 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ สาระท่ี 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ
สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ สาระท่ี 4 เทคโนโลยี มีสาระเพิ่มเติม 4 สาระ ได้แก่ สาระ
ชีววิทยา สาระเคมี สาระฟิสิกส์ สาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ ซึ่งองค์ประกอบของหลักสูตร
ท้ังในด้านเนื้อหา การจัดการเรียนการสอน และการวัดและประเมินผลการเรียนรู้นั้นมีความสาคัญ
อย่างย่ิงในการวางรากฐานการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของผู้เรียนในแต่ละระดับชั้น ให้มีความต่อเน่ือง
เชื่อมโยงกันต้ังแต่ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1 จนถึงช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 6 สาหรับกลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ ได้กาหนดตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง ท่ีผู้เรียนจาเป็นต้องเรียนเป็นพ้ืนฐาน
เพ่ือให้สามารถนาความรู้น้ีไปใช้ในการดารงชีวิตหรือศึกษาต่อในวิชาชีพท่ีต้องใช้วิทยาศาสตร์ได้
โดยจัดเรียงลาดับความยากง่ายของเน้ือหาแต่ละสาระในแต่ละระดับช้ันให้มีการเช่ือมโยงความรู้กับ
กระบวนการเรียนรู้ และการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีส่งเสริมให้ผเู้ รียนพัฒนาความคิด ท้ังความคิดเป็น
เหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์วิจารณ์ มีทักษะที่สาคัญทั้งทักษะกระบวนการ
ทางวิทยาศาสตร์และทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ ในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ด้วยกระบวนการ
สืบเสาะหาความรู้ สามารถแกป้ ัญหาอยา่ งเป็นระบบ สามารถตดั สินใจ โดยใช้ขอ้ มูลหลากหลายและ
ประจักษ์พยานทตี่ รวจสอบได้
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ตระหนักถึงความสาคัญ
ของการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ท่ีมุ่งหวังให้เกิดผลสัมฤทธ์ิต่อผู้เรียนมากที่สุด จึงได้จัดทาตัวช้ีวัด
และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐานพุทธศักราช 2551 ขึ้น เพื่อให้สถานศึกษา ครูผู้สอน
ตลอดจนหนว่ ยงานต่าง ๆ ได้ใช้เปน็ แนวทางในการพัฒนาหนงั สือเรยี น คูม่ ือครู สื่อประกอบการเรียน
การสอน ตลอดจนการวัดและประเมินผล โดยตัวช้ีวัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระ
การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน
พุทธศักราช 2551 ท่ีจัดทาข้ึนนี้ ได้ปรับปรุง เพื่อให้มีความสอดคล้องและเช่ือมโยงกันภายในสาระ
การเรียนรู้เดียวกันและระหว่างสาระการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ตลอดจน
การเชื่อมโยงเน้ือหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์กับคณิตศาสตร์ด้วย นอกจากนี้ยังได้ปรับปรุงเพื่อให้มี
2
ความทันสมัยต่อการเปลี่ยนแปลง และความเจริญก้าวหน้าของวิทยาการต่าง ๆ และทัดเทียมกับ
นานาชาติ กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์ สรุปเป็นแผนภาพได้ ดงั นี้
วทิ ยาศาสตร์พน้ื ฐาน
สาระที่ 2
วิทยาศาสตร์กายภาพ
มาตรฐาน ว 2.1 – ว 2.3
สาระที่ 1 กลมุ่ สาระการเรียนรู้ สาระที่ 3
วทิ ยาศาสตรช์ ีวภาพ วทิ ยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ
มาตรฐาน ว 1.1 – ว 1.3 มาตรฐาน ว 3.1 – ว 3.2
สาระที่ 4
เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว 4.1 – ว 4.2
แผนภาพที่ 1 สาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตรพ์ น้ื ฐาน
ที่มา : ตัวชวี้ ดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ (หน้า 2)
(ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551
สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธกิ าร
วทิ ยาศาสตร์เพม่ิ เตมิ
สาระชีววทิ ยา
สาระเคมี
สาระฟิสิกส์
สาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ
3
สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
สาระที่ 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ
มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนเิ วศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิง่ ไม่มชี วี ติ กับ
มาตรฐาน ว 1.2 สิ่งมีชีวิตและ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับส่ิงมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบ
มาตรฐาน ว 1.3 นิเวศ การถ่ายทอดพลังงาน การเปล่ียนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ
ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไข
ปัญหาสงิ่ แวดลอ้ มรวมทั้งนาความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์
เข้าใจสมบัติของส่ิงมีชีวิต หน่วยพ้ืนฐานของสิ่งมีชีวิต การลาเลียงสารเข้า
และออกจากเซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าท่ีของระบบตา่ ง ๆ
ของสัตว์และมนุษย์ที่ทางานสัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และ
หน้าท่ีของอวัยวะต่าง ๆ ของพืชที่ทางานสัมพันธ์กัน รวมท้ังนาความรู้ไปใช้
ประโยชน์
เข้าใจกระบวนการและความสาคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
สารพันธุกรรม การเปล่ียนแปลงทางพันธุกรรมที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิต
ความหลากหลายทางชีวภาพและวิวัฒนาการ ของสิ่งมีชีวิต รวมทั้งนา
ความรู้ไปใช้ประโยชน์
สาระท่ี 2 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ
มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพนั ธ์ของสมบัติของ
สสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติ
มาตรฐาน ว 2.2 ของการเปลี่ยนสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏกิ ิริยา
มาตรฐาน ว 2.3 เคมี
เข้าใจในธรรมชาติของแรงในชีวิตประจาวัน ผลของแรงท่ีกระทาต่อวัตถุ
ลกั ษณะการเคลอื่ นท่แี บบต่าง ๆ ของวัตถุ รวมท้ังนาความรูไ้ ปใช้ประโยชน์
เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวติ ประจาวนั ธรรมชาติ
ของคล่ืน ปรากฏการณ์ที่เก่ียวข้องกับเสียง แสง และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
รวมท้ังนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
4
สาระท่ี 3 วิทยาศาสตรโ์ ลกและอวกาศ
มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และววิ ัฒนาการของเอกภพ
มาตรฐาน ว 3.2 กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสรุ ิยะ รวมท้งั ปฏิสมั พันธภ์ ายในระบบสุรยิ ะท่ี
ส่งผลต่อส่ิงมีชวี ติ และการประยุกตใ์ ช้เทคโนโลยี
เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการ
เปลี่ยนแปลงภายในโลก และบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการ
เปล่ียนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิศาสตร์โลก รวมทั้งผลต่อสิ่งมีชีวิตและ
สิ่งแวดลอ้ ม
สาระที่ 4 เทคโนโลยี เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพ่ือการดารงชีวิตในสังคมที่มีการ
มาตรฐาน ว 4.1 เปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์
คณิตศาสตร์ และศาสตร์อื่น ๆ เพ่ือแก้ปัญหา หรือ พัฒนางานอย่างมี
มาตรฐาน ว 4.2 ความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้
เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมโดยคานึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สังคม
และสิ่งแวดล้อม
เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคานวณในการแก้ปัญหาท่ีพบในชีวิตจริงอย่างเป็น
ข้ันตอนและเป็นระบบใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการ
เรียนรู้ การทางาน และการแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ รู้เท่าทัน
และมีจริยธรรม
คุณภาพของผ้เู รียนเม่อื จบช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 6
1. เข้าใจการการลาเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์ กลไกการรักษาดุลยภาพของมนุษย์
ภูมิคุ้มกัน ในร่างกายของมนุษย์และความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน การถ่ายทอดลักษณะทาง
พันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม วิวัฒนาการท่ีทาให้เกิดความหลากหลายของส่ิงมีชีวิต
ความสาคัญและผลของเทคโนโลยที างดเี อ็นเอตอ่ มนษุ ย์ สิ่งมีชวี ติ และส่ิงแวดล้อม
2. เข้าใจความหลากหลายของไบโอมในเขตภูมิศาสตร์ต่าง ๆ ของโลก การเปล่ียนแปลง
แทนที่ในระบบนิเวศ ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม แนวทางในการ
อนุรกั ษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และการแก้ไขปัญหาส่ิงแวดลอ้ ม
5
3. เข้าใจชนิดของอนุภาคสาคัญท่ีเป็นส่วนประกอบในโครงสร้างอะตอม สมบัติบาง
ประการของธาตุ การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ ชนิดของแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาคและสมบัติ
ต่าง ๆ ของสารที่มีความสัมพันธ์กับแรงยึดเหน่ียว พันธะเคมี โครงสร้างและสมบัติของพอลิเมอร์
การเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี ปัจจัยท่มี ีผลตอ่ อตั ราการเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี และการเขยี นสมการเคมี
4. เข้าใจปริมาณท่ีเกี่ยวกับการเคล่ือนที่ ความสัมพันธ์ระหว่างแรง มวลและความเร่ง ผล
ของความเร่งที่มีต่อการเคลื่อนท่ีแบบต่าง ๆ ของวัตถุ แรงโน้มถ่วง แรงแม่เหล็ก ความสัมพันธ์
ระหว่างสนามแม่เหลก็ และกระแสไฟฟ้า และแรงภายในนวิ เคลยี ส
5. เข้าใจพลังงานนิวเคลียร์ ความสัมพันธ์ระหว่างมวลและพลังงาน การเปล่ียนพลังงาน
ทดแทน เป็นพลังงานไฟฟ้า เทคโนโลยีด้านพลังงาน การสะท้อน การหักเห การเล้ียวเบนและการรวม
คล่ืน การได้ยนิ ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกบั เสยี ง สีกบั การมองเห็นสี คล่นื แม่เหล็กไฟฟ้าและประโยชน์
ของคล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้
6. เข้าใจการแบ่งชั้นและสมบัติของโครงสร้างโลก สาเหตุ และรูปแบบการเคล่ือนที่ของ
แผ่นธรณีท่ีสัมพันธ์กับการเกิดลักษณะธรณีสัณฐาน สาเหตุ กระบวนการเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟ
ระเบิด สนึ ามิ ผลกระทบ แนวทาง การเฝ้าระวงั และการปฏบิ ตั ติ นใหป้ ลอดภัย
7. เข้าใจผลของแรงเน่อื งจากความแตกตา่ งของความกดอากาศ แรงคอริออลสิ ทีม่ ีต่อการ
หมนุ เวยี นของ อากาศ การหมุนเวียนของอากาศตามเขตละติจูดและผลที่มีต่อภูมอิ ากาศ ความสมั พนั ธ์
ของการหมุนเวยี นของอากาศและการหมนุ เวยี นของกระแสนา้ ผิวหน้าในมหาสมุทร และผลตอ่ ลักษณะ
ลมฟ้าอากาศ ส่ิงมีชีวิต และสิ่งแวดล้อม ปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเปล่ียนแปลงภูมิอากาศโลก และ
แนวปฏิบัติเพื่อลดกิจกรรมของมนุษย์ท่ีส่งผลต่อการเปล่ียนแปลงภูมิอากาศโลก รวมท้ังการแปล
ความหมายสัญลักษณ์ลมฟ้าอากาศท่ีสาคัญจากแผนที่อากาศ และข้อมูลสารสนเทศ
8. เข้าใจการกาเนิดและการเปลี่ยนแปลงพลังงาน สสาร ขนาด อุณหภูมิของเอกภพ
หลักฐานท่ีสนับสนุน ทฤษฎีบิกแบง ประเภทของกาแล็กซี โครงสร้างและองค์ประกอบของกาแล็กซี
ทางช้างเผือก กระบวนการเกิดและการสร้างพลังงาน ปัจจัยท่ีส่งผลต่อความส่องสว่างของดาวฤกษ์
และความสัมพันธ์ระหว่างความส่องสว่างกับโชติมาตรของดาวฤกษ์ ความสัมพันธ์ระหว่างสี อุณหภูมิ
ผิว และสเปกตรัมของดาวฤกษ์ วิวัฒนาการและ การเปลี่ยนแปลงสมบัติบางประการของดาวฤกษ์
กระบวนการเกิดระบบสุริยะ การแบ่งเขตบริวารของดวงอาทติ ย์ ลักษณะของดาวเคราะห์ท่ีเอื้อต่อการ
ดารงชีวิต การเกิดลมสุริยะ พายุสุริยะและผลท่ีมีต่อโลก รวมท้ังการสารวจอวกาศและการประยุกต์ใช้
เทคโนโลยอี วกาศ
9. ระบุปญั หา ต้ังคาถามที่จะสารวจตรวจสอบ โดยมีการกาหนดความสัมพันธ์ระหว่างตัว
แปรต่าง ๆ สืบค้นข้อมูลจากหลายแหล่ง ต้ังสมมติฐานท่ีเป็นไปได้หลายแนวทาง ตัดสินใจเลือก
ตรวจสอบสมมติฐานที่เป็นไปได้
6
10. ตั้งคาถามหรือกาหนดปัญหาที่อยู่บนพื้นฐานของความรู้และความเข้าใจทาง
วิทยาศาสตร์ ที่แสดง ให้เห็นถึงการใช้ความคิดระดับสูงท่ีสามารถสารวจตรวจสอบ หรือศึกษาค้นคว้า
ได้อย่างครอบคลุมและเช่ือถือได้ สร้างสมมติฐานท่ีมีทฤษฎีรองรับ หรือคาดการณ์ส่ิงท่ีจะพบเพ่ือ
นาไปสู่การสารวจตรวจสอบ ออกแบบวิธีการสารวจตรวจสอบตามสมมติฐานที่กาหนดไว้ได้อย่าง
เหมาะสม มีหลักฐานเชิงประจักษ์ เลือกวัสดุ อุปกรณ์ รวมท้ังวิธีการ ในการสารวจตรวจสอบอย่าง
ถกู ต้องทงั้ ในเชงิ ปริมาณและคุณภาพ และบนั ทึกผลการสารวจตรวจสอบอยา่ งเปน็ ระบบ
11. วิเคราะห์ แปลความหมายข้อมูล และประเมินความสอดคล้องของข้อสรุปเพื่อ
ตรวจสอบกับสมมติฐานท่ีต้ังไว้ ให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงวิธีการสารวจตรวจสอบ จัดกระทาข้อมูล
และนาเสนอข้อมลู ด้วยเทคนิควิธี ทเ่ี หมาะสม สื่อสารแนวคิด ความรู้จากผลการสารวจตรวจสอบ โดย
การพูด เขียน จัดแสดง หรือใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือให้ผู้อ่ืนเข้าใจโดยมีหลักฐานอ้างอิง หรือมี
ทฤษฎีรองรบั
12. แสดงถงึ ความสนใจ มุ่งมน่ั รับผิดชอบ รอบคอบ และซอื่ สตั ย์ ในการสืบเสาะหาความรู้
โดยใช้เครื่องมือและวิธีการที่ให้ได้ผลถูกต้อง เช่ือถือได้ มีเหตุผลและยอมรับได้ว่าความรู้ทาง
วทิ ยาศาสตร์อาจมกี ารเปลีย่ นแปลงได้
13. แสดงถึงความพอใจและเห็นคุณค่าในการค้นพบความรู้ พบคาตอบ หรือแก้ปัญหาได้
ทางานร่วมกับ ผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ แสดงความคิดเห็นโดยมีข้อมูลอ้างอิงและเหตุผลประกอบ
เกี่ยวกับผลของการพัฒนาและการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างมีคุณธรรมต่อสังคมและ
สิง่ แวดล้อม และยอมรบั ฟงั ความคิดเห็นของผอู้ นื่
14. เข้าใจความสัมพันธ์ของความรู้วิทยาศาสตร์ที่มีผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีประเภท
ต่าง ๆ และการพัฒนาเทคโนโลยีที่ส่งผลให้มีการคิดค้นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ท่ีก้าวหน้า ผลของ
เทคโนโลยตี อ่ ชวี ิต สงั คม และส่งิ แวดล้อม
15. ตระหนักถึงความสาคัญและเห็นคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ใช้ใน
ชีวิตประจาวัน ใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการดารงชีวิต และการ
ประกอบอาชีพ แสดงความชื่นชม ภูมิใจ ยกย่อง อ้างอิงผลงาน ชิ้นงานที่เป็นผลมาจากภูมิปัญญา
ท้องถ่ินและการพัฒนาเทคโนโลยีท่ีทันสมัย ศึกษา หาความรู้เพิ่มเติม ทาโครงงาน หรือสร้างช้ินงาน
ตามความสนใจ
16. แสดงความซาบซึ้ง ห่วงใย มีพฤติกรรมเก่ียวกับการใช้และรักษาทรัพยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อม อย่างรู้คุณค่า เสนอตัวเองร่วมมือปฏิบัติกับชุมชนในการป้องกัน ดูแลทรัพยากรธรรม
ชาติและสิง่ แวดลอ้ มของท้องถนิ่
17. วิเคราะห์แนวคิดหลักของเทคโนโลยี ได้แก่ ระบบทางเทคโนโลยีที่ซับซ้อน การ
เปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีกับศาสตร์อื่น โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์
7
หรือคณิตศาสตร์ วิเคราะห์ เปรียบเทียบ และตัดสินใจเพ่ือเลือกใช้เทคโนโลยี โดยคานึงถึงผลกระทบ
ต่อชีวิต สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ประยุกต์ใช้ความรู้ ทักษะ ทรัพยากรเพื่อออกแบบ สร้าง
หรือพัฒนาผลงานสาหรับแก้ปัญหาท่ีมีผลกระทบต่อสังคมโดยใช้กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม
ใช้ซอฟต์แวร์ช่วยในการออกแบบและนาเสนอผลงาน เลือกใช้วัสดุ อุปกรณ์ และเคร่ืองมือได้อย่าง
ถกู ต้อง เหมาะสม ปลอดภยั รวมท้งั คานงึ ถึงทรัพยส์ ินทางปัญญา
18. ใช้ความรู้ทางด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ สื่อดิจิทัล เทคโนโลยีสารสนเทศและการ
ส่อื สาร เพ่ือรวบรวมข้อมูลในชีวิตจรงิ จากแหล่งต่าง ๆ และความรู้จากศาสตร์อื่น มาประยุกต์ใช้ สร้าง
ความรู้ใหม่ เข้าใจ การเปล่ียนแปลงของเทคโนโลยีที่มีผลต่อการดาเนินชีวิต อาชีพ สังคม วัฒนธรรม
และใช้อย่างปลอดภัยมีจรยิ ธรรม
วทิ ยาศาสตร์เพมิ่ เติม
วิทยาศาสตร์เพิ่มเติมจัดทาขึ้นสาหรับผู้เรียนในระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนปลาย แผนการ
เรียนวิทยาศาสตร์ท่ีจาเป็นต้องเรียนเน้ือหาในสาระชีววิทยา เคมี ฟิสิกส์ และโลก ดาราศาสตร์
และอวกาศ ซึ่งเป็นพ้ืนฐานสาคัญและเพียงพอสาหรับการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ในด้าน
วทิ ยาศาสตร์เพ่อื ประกอบวิชาชพี ในสาขาท่ีใช้วิทยาศาสตร์เปน็ ฐาน เชน่ แพทย์ ทนั ตแพทย์ สัตวแพทย์
เทคโนโลยชี ีวภาพ เทคนิคการแพทย์ วศิ วกรรม สถาปัตยกรรม ฯลฯ โดยมีผลการเรยี นรู้ ที่ครอบคลุม
ด้านเนอื้ หา ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 รวมท้ังจิตวทิ ยาศาสตร์
ท่ผี ู้เรยี นจาเป็นต้องมวี ทิ ยาศาสตรเ์ พม่ิ เติมนี้ ได้มีการปรับปรุงเพื่อให้มีเน้ือหา ท่ีทัดเทียมกับนานาชาติ
เน้นกระบวนการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหา รวมท้ังเช่ือมโยงความรู้สู่การนาไปใช้ในชีวิตจริง
สรุปได้ดงั นี้
1. ลดความซ้าซอ้ นของเน้ือหาระหว่างตัวช้วี ดั ในรายวิชาพ้นื ฐานและผลการเรยี นรู้ รายวชิ า
เพิ่มเตมิ เพอื่ ใหผ้ ้เู รยี นได้มีเวลาสาหรบั การเรยี นรู้ และทาปฏบิ ัตกิ ารทางวิทยาศาสตร์เพ่ิมข้ึน
2. ลดความซ้าซ้อนของเนื้อหาระหว่างสาระชีววิทยา เคมี ฟิสิกส์ และโลก ดาราศาสตร์
และอวกาศ โดยมกี ารพิจารณาเนอ้ื หาท่มี ีความซ้าซอ้ นกนั แล้วจดั ให้เรียนทส่ี าระใดสาระหนึ่ง เช่น
- เร่ืองสารชีวโมเลกุล เดิมเรียนท้ังในสาระชีววิทยา และเคมี ได้พิจารณาแล้วจัดให้
เรยี นในสาระชีววิทยา
- เร่ืองปิโตรเลียม เดิมเรียนท้ังในสาระเคมี และโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ
ได้พจิ ารณาแล้วจดั ให้เรยี นในสาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ
8
- เร่ืองกฎของบอยล์ กฎของชาร์ล ไอโซโทปกัมมันตรังสี ได้พิจารณาแล้วจัดให้ เรียน
ในสาระเคมี และเรอ่ื งพลงั งานนวิ เคลียร์ จัดใหเ้ รยี นในสาระฟิสกิ ส์ เน่อื งจากเดิมเน้ือหาเหล่าน้ี ทับซอ้ น
กนั ในสาระเคมแี ละฟิสกิ ส์
- เรื่องการทดลองของทอมสัน และการทดลองของมิลลิแกน เดิมเรียนท้ังในสาระเคมี
และฟสิ ิกส์ ไดพ้ จิ ารณาแลว้ จดั ให้เรียนในสาระเคมี
3. ลดความซ้าซ้อนกันระหว่างระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น และระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย
เช่น
- เรื่องระบบนิเวศและส่ิงแวดล้อมในสาระชีววิทยา ได้ปรับให้สาระการเรียนรู้ เนื้อหา
และกิจกรรม มีความแตกตา่ งกนั ตามความเหมาะสมของระดับผู้เรยี น
- เร่อื งเทคโนโลยีอวกาศ การเกิดลม การเปลย่ี นแปลงอณุ หภมู ขิ องโลก พายุ และมรสุม
ได้มีการปรับให้สาระการเรียนรู้ เนื้อหา และกิจกรรมเรียนต่อเน่ืองกันจากระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
ไปสู่ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนปลาย เพอ่ื ไม่ให้ซ้อนทบั กัน
4. ลดทอนเน้ือหาทีย่ าก เพ่ือให้เหมาะสมกับกลมุ่ ของผู้เรยี นในระดบั มัธยมศกึ ษาตอนปลาย
5. มกี ารเพมิ่ เน้ือหาดา้ นตา่ ง ๆ ทม่ี คี วามทันสมัย สอดคล้องตอ่ การดารงชีวิต ใ น ปั จ จุ บั น
และอนาคตมากขึ้น เช่น เร่ืองเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ ที่มีต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมในสาระชีววิทยา
เร่ืองทักษะและความปลอดภัยในปฏิบัติการเคมี นวัตกรรมและการแก้ปัญหาท่ีเน้นการบูรณาการใน
สาระเคมีเร่ืองเทคโนโลยีด้านพลังงานและส่ิงแวดล้อม การส่ือสารด้วยสัญญาณดิจิทัลท่ีเหมาะสม
กับสังคมและเศรษฐกิจดิจิทัลในปัจจุบัน รวมท้ังเน้ือหาเก่ียวกับการค้นคว้าวิจัยด้านฟิสิกส์อนุภาค
เพอ่ื ความสอดคล้องกบั ความก้าวหน้าของวิชาฟสิ กิ ส์ในปัจจบุ ัน
วทิ ยาศาสตรเ์ พ่มิ เติมน้ี ถึงแม้ว่าสถานศึกษาสามารถจัดให้ผู้เรียนได้เรียนตามความ
เหมาะสมและตามจดุ เน้นของสถานศึกษา แต่ในแนวทางปฏบิ ัติสถานศึกษาควรจัดให้ผ้เู รียนได้เรียน
ทุกสาระเพื่อใหม้ คี วามรู้เพยี งพอในการนาไปใช้เพ่ือการศกึ ษาต่อ โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ เนื้อหาของวิชา
โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ ทสี่ ถานศกึ ษามักมองขา้ มความสาคัญของการเรียนสาระน้ี ซ่ึ ง เ ป็ น ก า ร
บูรณาการความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ ทั้งฟิสิกส์ เคมี และชีววิทยา รวมทั้งศาสตร์อื่น ๆ ท่ีเก่ียวข้อง
เพอื่ มาชว่ ยในการอธิบายและเขา้ ใจปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ ในธรรมชาติ ทั้งการเปลี่ยนแปลงบนผิวโลก
การเปลี่ยนแปลงภายในโลก และการเปลี่ยนแปลงทางลมฟ้าอากาศ ซึ่งกระบวนการเปล่ียนแปลง
ทงั้ หมดดงั กล่าวลว้ นสง่ ผลซึง่ กนั และกัน รวมท้ังสง่ิ มชี ีวิตดว้ ยและทสี่ าคัญคือ ความรู้ในวิชานี้ สามารถ
นาไปใช้ในการศึกษาต่อเพ่ือประกอบอาชีพในหลาย ๆ ด้าน เช่น อาชีพท่ีเกี่ยวกับวัสดุศาสตร์
การเดินเรือ การบิน การเกษตร การศึกษาประวัติศาสตร์ วิศวกร อุตสาหกรรมน้ามัน เหมือง
นักธรณีวิทยานักอุตุนิยมวิทยา นักดาราศาสตร์ นักบินอวกาศ ดังน้ันพื้นฐานความรู้ทางวิชาโลก ดารา
ศาสตร์ และอวกาศ จะช่วยเปิดโอกาสทางด้านอาชีพที่หลากหลายให้กับผู้เรียน เพราะในอนาคต
9
ข้างหน้า นอกจากมนุษย์จะตองมีความเข้าใจเก่ียวกับโลกท่ีตัวเองอาศัยอยู่แล้ว ยังต้องพัฒนาตนเอง
เพอื่ ศกึ ษาข้อมูลต่าง ๆ ที่อยู่นอกโลกเพอื่ นาขอ้ มลู เหลา่ น้นั กลับมาพฒั นาคุณภาพชวี ิตให้ดขี ึ้น
เรียนร้อู ะไรในวิทยาศาสตร์เพม่ิ เตมิ
วิทยาศาสตร์เพ่ิมเตมิ ผูเ้ รยี นจะไดเ้ รียนรสู้ าระสาคัญ ดังนี้
1. ชีววิทยา เรียนรู้เก่ียวกับ การศึกษาชีววิทยา สารท่ีเป็นองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต
เซลล์ของสิ่งมีชีวิต พันธุกรรมและการถ่ายทอด วิวัฒนาการ ความหลากหลายทางชีวภาพ โครงสร้าง
และการทางานของส่วนต่าง ๆ ในพืชดอก ระบบและการทางานในอวัยวะต่าง ๆ ของสัตว์และมนุษย์
และสงิ่ มีชีวติ และสง่ิ แวดลอ้ ม
2. เคมี เรียนรู้เกี่ยวกับ ปริมาณสาร องค์ประกอบและสมบัติของสาร การเปลี่ยนแปลง
ของสาร ทักษะและการแกป้ ัญหาทางเคมี
3. ฟิสิกส์ เรียนรู้เก่ียวกับ ธรรมชาติและการค้นพบทางฟิสิกส์ แรงและการเคลื่อนท่ี
และพลงั งาน
4. โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ เรียนรู้เกี่ยวกับ โลกและกระบวนการเปล่ียนแปลง
ทางธรณีวทิ ยา ขอ้ มลู ทางธรณวี ทิ ยาและการนาไปใชป้ ระโยชน์ การถ่ายโอนพลังงานความร้อนของโลก
การเปลี่ยนแปลงลักษณะลมฟ้าอากาศกับการดารงชวี ิตของมนุษย์ โลกในเอกภพ และดาราศาสตร์กับ
มนุษย์
สาระวทิ ยาศาสตร์เพม่ิ เติม
สาระชวี วิทยา
1. เขา้ ใจธรรมชาติของสงิ่ มีชีวิต การศึกษาชีววิทยาและวิธีการทางวิทยาศาสตร์ สารท่ีเป็น
องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต กล้องจุลทรรศน์ โครงสร้างและหน้าท่ีของเซลล์ การลาเลียงสารเข้า
และออกจากเซลล์ การแบง่ เซลล์ และการหายใจระดับเซลล์
2. เข้าใจการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม การถ่ายทอดยีนบนโครโมโซม สมบัติ
และหน้าท่ีของสารพันธุกรรม การเกิดมิวเทชัน เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ หลักฐาน ข้อมูลและแนวคิด
เกี่ยวกับวิวัฒนาการของส่ิงมีชีวิต ภาวะสมดุลของฮาร์ดี-ไวเบิร์ก การเกิดสปีชีส์ใหม่ ความหลากหลาย
ทางชีวภาพ กาเนิดใหม่ของสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายของส่ิงมีชีวิต และอนุกรมวิธาน รวมท้ังนา
ความรู้ไปใช้ประโยชน์
10
3. เข้าใจสว่ นประกอบของพืช การแลกเปลี่ยนแกส๊ และคายน้าของพืช การลาเลียงของพืช
การสังเคราะห์ด้วยแสง การสืบพันธ์ุของพืชดอกและการเจริญเติบโต และการตอบสนองของพืช
รวมท้ังนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
4. เข้าใจการย่อยอาหารของสัตว์และมนุษย์ รวมทั้งการหายใจและการแลกเปลี่ยนแก๊ส
การลาเลียงสารและการหมุนเวียนเลือด ภูมิคุม้ กันของรา่ งกาย การขบั ถ่าย การรบั รู้และการตอบสนอง
การเคล่ือนที่ การสืบพันธ์ุและการเจริญเติบโต ฮอร์โมนกับการรักษาดุลยภาพ และพฤติกรรมของสัตว์
รวมทัง้ นาความรไู้ ปใช้ประโยชน์
5. เข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับระบบนิเวศ กระบวนการถ่ายทอดพลังงานและการหมุนเวียนสาร
ในระบบนิเวศ ความหลากหลายของไบโอม การเปล่ียนแปลงแทนที่ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ
ประชากรและรูปแบบการเพ่ิมของประชากร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปัญหา
และผลกระทบทเี่ กิดจากการใชป้ ระโยชน์ และแนวทางการแกไ้ ขปัญหา
สาระเคมี
1. เข้าใจโครงสร้างอะตอม การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ สมบัติของธาตุ พันธะเคมี
และสมบัติของสาร แก๊สและสมบัติของแกส๊ ประเภทและสมบตั ิของสารประกอบอนิ ทรยี ์และพอลิเมอร์
รวมทง้ั การนาความรไู้ ปใช้ประโยชน์
2. เข้าใจการเขียนและการดุลสมการเคมี ปริมาณสัมพันธ์ในปฏิกิริยาเคมี อัตราการ
เกิดปฏิกิริยาเคมี สมดุลในปฏิกิริยาเคมี สมบัติและปฏิกิริยาของกรด–เบส ปฏิกิริยารีดอกซ์และเซลล์
เคมีไฟฟ้า รวมทง้ั การนาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์
3. เข้าใจหลักการทาปฏิบัติการเคมี การวัดปริมาณสาร หน่วยวัดและการเปลี่ยนหน่วย
การคานวณปริมาณของสาร ความเข้มข้นของสารละลาย รวมทั้งการบูรณาการความรู้และทักษะใน
การอธิบายปรากฏการณใ์ นชวี ติ ประจาวันและการแก้ปญั หาทางเคมี
สาระฟสิ กิ ส์
1. เข้าใจธรรมชาติทางฟิสิกส์ ปริมาณและกระบวนการวัด การเคล่ือนท่ีแนวตรง แรงและ
กฎการเคลื่อนท่ีของนิวตัน กฎความโน้มถ่วงสากล แรงเสียดทาน สมดุลกลของวัตถุ งานและกฎการ
อนุรักษ์พลังงานกล โมเมนตัมและกฎการอนุรักษ์โมเมนตัม การเคลื่อนที่แนวโค้ง รวมทั้งนาความรู้ไป
ใชป้ ระโยชน์
11
2. เข้าใจการเคล่ือนที่แบบฮาร์มอนิกส์อย่างง่าย ธรรมชาติของคลื่น เสียงและการได้ยิน
ปรากฏการณ์ที่เก่ียวข้องกับเสียง แสงและการเห็น ปรากฏการณ์ท่ีเกี่ยวข้องกับแสง รวมทั้งนาความรู้
ไปใชป้ ระโยชน์
3. เข้าใจแรงไฟฟ้าและกฎของคูลอมบ์ สนามไฟฟ้า ศักย์ไฟฟ้า ความจุไฟฟ้า กระแสไฟฟ้า
และ กฎของโอห์ม วงจรไฟฟ้ากระแสตรง พลังงานไฟฟ้าและกาลังไฟฟ้า การเปล่ียนพลังงานทดแทน
เป็นพลังงานไฟฟ้า สนามแม่เหล็ก แรงแม่เหล็กที่กระทากับประจุไฟฟ้า และกระแสไฟฟ้า
การเหน่ียวนาแม่เหล็กไฟฟ้าและกฎของฟาราเดย์ ไฟฟ้ากระแสสลับ คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า และการ
ส่อื สาร รวมทงั้ นาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์
4. เข้าใจความสัมพันธ์ของความร้อนกับการเปล่ียนอุณหภูมิและสถานะของสสาร สภาพ
ยืดหยุ่นของวัสดุ และมอดุลัสของยงั ความดันในของไหล แรงพยงุ และหลกั ของอาร์คมิ ีดสี ความตึงผิว
และแรงหนืดของของเหลว ของไหลอุดมคติ และสมการแบร์นูลลี กฎของแก๊ส ทฤษฎีจลน์ของ
แก๊ส อุดมคติและพลังงานในระบบ ทฤษฎีอะตอมของโบร์ ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก ทวิภาวะ
ของคลื่นและอนุภาค กัมมันตภาพรังสี แรงนิวเคลียร์ ปฏิกิริยานิวเคลียร์ พลังงานนิวเคลียร์ ฟิสิกส์
อนภุ าค รวมทัง้ นาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
สาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ
1. เข้าใจกระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในโลก ธรณีพิบัติภัยและผลต่อส่ิงมีชีวิต
และส่งิ แวดลอ้ ม การศกึ ษาลาดบั ชั้นหิน ทรพั ยากรธรณี แผนที่ และการนาไปใชป้ ระโยชน์
2. เข้าใจสมดุลพลังงานของโลก การหมุนเวียนของอากาศบนโลก การหมุนเวียนของน้าใน
มหาสมุทร การเกิดเมฆ การเปลี่ยนแปลงภูมอิ ากาศโลกและผลต่อสิ่งมีชีวิตและส่ิงแวดล้อม รวมทั้งการ
พยากรณ์อากาศ
3. เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิดและวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี
ดาวฤกษ์ และระบบสุริยะ ความสัมพันธ์ของดาราศาสตร์กับมนุษย์จากการศึกษาตาแหน่งดาวบนทรง
กลมฟา้ และปฏสิ มั พันธ์ภายในระบบสุรยิ ะ รวมทั้งการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศ
12
คุณภาพผูเ้ รยี นเม่อื เรียนจบสาระวิทยาศาสตรเ์ พมิ่ เติม
ผูเ้ รยี นที่เรียนครบทุกผลการเรียนรู้ มีคุณภาพดังนี้
1. เข้าใจวิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการค้นหาคาตอบเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต สารท่ีเป็น
องค์ประกอบของสิง่ มีชวี ติ และปฏิกิริยาเคมีภายในเซลล์ การใช้กล้องจุลทรรศน์ โครงสร้างและหน้าท่ี
ของเซลล์ การลาเลยี งสารเข้าและออกจากเซลล์ การแบง่ เซลล์ และการหายใจระดบั เซลล์
2. เข้าใจหลักการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของส่ิงมีชีวิต การถ่ายทอดยีนบน
ออโตโซมและโครโมโซมเพศ โครงสร้างและองค์ประกอบทางเคมีของดีเอ็นเอ การจาลองดีเอ็นเอ
กระบวนการสังเคราะห์โปรตีน การเกิดมิวเทชันในส่ิงมีชีวิต หลักการและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี
ทางดีเอ็นเอ หลักฐานและข้อมูลท่ีใช้ในการศึกษาวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต แนวคิดเก่ียวกับวัฒนาการ
ของสิ่งมีชีวิต เงื่อนไขของภาวะสมดุลของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก กระบวนการเกิดสปีชีส์ใหม่ของส่ิงมีชีวิต
ความหลากหลายทางชวี ภาพ กาเนิดของสง่ิ มีชวี ติ ลกั ษณะสาคัญของสิ่งมีชีวติ กลุม่ แบคทเี รีย โพรทสิ ต์
พืช ฟังไจ และสตั ว์ การจาแนกส่ิงมีชวี ติ ออกเป็นหมวดหมู่และวธิ ีการเขียน ชือ่ วทิ ยาศาสตร์
3. เข้าใจโครงสร้างและส่วนประกอบของพืชท้ังราก ลาต้น และใบ การแลกเปล่ียนแก๊ส
การคายน้า การลาเลียงน้าและธาตุอาหาร การลาเลียงอาหาร การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
กระบวนการสร้างเซลล์สืบพันธ์ุและการปฏิสนธิของพืชดอก การเกิดผลและเมล็ด บทบาทของสาร
ควบคมุ การเจริญเตบิ โตของพืชและการประยุกต์ใช้ และการตอบสนองของพชื
4. เข้าใจกลไกการรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต โครงสร้าง หน้าที่ และกระบวนการต่าง ๆ
ของสัตว์และมนุษย์ ได้แก่ การย่อยอาหาร การแลกเปลี่ยนแก๊ส การเคล่ือนที่ การกาจัดของเสียออก
จากร่างกายของสิ่งมีชีวิต ระบบหมุนเวียนเลือด ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของมนุษย์ การทางาน
ของระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก ระบบสืบพันธ์ุ การปฏิสนธิ การเจริญเติบโต ฮอร์โมน
และพฤตกิ รรมของสตั ว์
5. เข้าใจกระบวนการถ่ายทอดพลังงานและการหมุนเวียนสารในระบบนิเวศ ความ
หลากหลายของไบโอม การเปลี่ยนแปลงแทนที่แบบต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การเปล่ียนแปลง จานวน
ประชากรมนุษย์ในระดับท้องถ่ิน ระดับประเทศ และระดับโลก แนวทางการป้องกันและแก้ไข ปัญหา
ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม
6. เข้าใจการศึกษาโครงสร้างอะตอมของนกั วิทยาศาสตร์ การจดั เรียงอเิ ล็กตรอนในอะตอม
สมบัติบางประการของธาตุและการจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ พันธะเคมี สมบัติของสารท่ีมี
ความสมั พันธ์กับพันธะเคมี กฎต่าง ๆ ของแก๊ส และสมบัติของแก๊ส ประเภทและสมบัติของ
สารประกอบอนิ ทรยี แ์ ละประเภทและสมบัติของพอลิเมอร์
13
7. เข้าใจการเขียนและการดุลสมการเคมี การคานวณปริมาณสารต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องกับ
ปฏิกิริยาเคมี อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีและปัจจัยท่ีมีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี สมดุลใน
ปฏิกิริยาเคมีและปัจจัยท่ีมีผลต่อสมดุลเคมี ทฤษฎีกรด-เบส สมบัติและปฏิกิริยาของกรด-เบส
สารละลายบฟั เฟอร์ ปฏิกริ ยิ ารีดอกซ์ และเซลลเ์ คมไี ฟฟ้า
8. เข้าใจข้อปฏิบัติเบ้ืองต้นเก่ียวกับความปลอดภัยในการทาปฏิบัติการเคมี การเลือกใช้
อุปกรณ์หรือเคร่ืองมือในการทาปฏิบัติการ หน่วยวัดและการเปลี่ยนหน่วยวัดด้วยการใช้แฟกเตอร์
เปล่ียนหน่วย การคานวณเก่ียวกับมวลอะตอม มวลโมเลกุล และมวลสูตร ความสัมพันธ์ของโมล
จานวนอนภุ าค มวล และปริมาตรของแก๊สที่ STP การคานวณสตู รอย่างง่ายและสูตรโมเลกุลของสาร
ความเข้มข้นของสารละลาย การเตรียมสารละลาย และการบูรณาการความรู้และทักษะในการ
อธิบายปรากฏการณใ์ นชีวิตประจาวนั และการแกป้ ัญหาทางเคมี
9. เข้าใจธรรมชาติของฟิสิกส์ กระบวนการวัด ความสัมพันธ์ระหวา่ งปรมิ าณทเี่ ก่ียวขอ้ งกับ
การเคล่ือนท่ี การเคลอื่ นทใ่ี นแนวตรง แรงลพั ธ์ กฎการเคล่ือนที่ แรงเสียดทาน กฎความโน้มถ่วงสากล
สนามโน้มถ่วง งาน กฎการอนุรักษ์พลังงานกล สมดุลกลของวัตถุ เครื่องกลอย่างง่าย โมเมนตัมและ
การดล กฎการอนุรกั ษ์โมเมนตมั การชน และการเคลอ่ื นท่ใี นแนวโคง้
10. เข้าใจการเคลื่อนที่แบบคลื่น ปรากฏการณ์คลื่น การสะท้อน การหักเห การเลี้ยวเบน
และการแทรกสอด หลักการของฮอยเกนส์ การเคล่ือนที่ของคลื่นเสียง ปรากฏการณ์ที่เก่ียวข้องกับ
เสียง ความเข้มเสียงและระดับเสียง การได้ยิน ภาพท่ีเกิดจากกระจกเงาและเลนส์ ปรากฏการณ์ท่ี
เก่ยี วขอ้ งกับแสงและการมองเห็นแสงสี
11. เข้าใจสนามไฟฟา้ แรงไฟฟ้า กฎของคูลอมบ์ ศกั ย์ไฟฟ้า ตวั เกบ็ ประจุ ตัวต้านทาน
และกฎของโอหม์ พลังงานไฟฟ้า การเปลี่ยนพลังงานทดแทนเป็นพลังงานไฟฟ้า เทคโนโลยีด้าน
พลงั งาน สนามแม่เหล็ก ความสัมพันธ์ระหว่างสนามแม่เหล็กกับกระแสไฟฟ้า การเหนี่ยวนาแม่เหล็ก
ไฟฟ้า ไฟฟ้ากระแสสลบั คลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟา้ และประโยชนข์ องคล่ืนแม่เหล็กไฟฟา้
12. เข้าใจผลของความร้อนต่อสสาร สภาพยืดหยุ่น ความดันในของไหล แรงพยุง
ของไหลอุดมคติ ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส แนวคิดควอนตัมของพลังงาน ทฤษฎีอะตอมของโบร์
ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก ทวิภาวะของคล่ืนและอนุภาค การสลายของนิวเคลียสกัมมันตรังสี
กัมมันตภาพ ปฏิกิริยานิวเคลียร์ พลังงานนิวเคลียร์ ความสัมพันธ์ระหว่างมวลและพลังงาน
แรงภายในนวิ เคลยี ส และการค้นควา้ วิจยั ด้านฟิสกิ ส์อนุภาค
13. เข้าใจการแบ่งช้ันและสมบัติของโครงสร้างโลก สาเหตุ และรูปแบบการเคลื่อนท่ี
ของแผ่นธรณีท่ีสัมพันธ์กับการเกิดลักษณะธรณีสัณฐานและธรณีโครงสร้างแบบต่าง ๆ หลักฐานทาง
ธรณีวิทยาที่พบในปัจจุบันและการลาดับเหตุการณ์ทางธรณีวิทยาในอดีต สาเหตุ กระบวนการ
เกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด สึนามิ ผลกระทบ แนวทางการเฝา้ ระวัง และการปฏบิ ตั ิตนให้ปลอดภัย
14
สมบัติและการจาแนกชนิดของแร่ กระบวนการเกิดและการจาแนกชนิดหิน กระบวนการเกิดและการ
สารวจแหล่งปิโตรเลียมและถ่านหิน การแปลความหมายจากแผนท่ีภูมิประเทศและแผนที่ ธรณีวิทยา
และการนาข้อมลู ทางธรณีวิทยาไปใช้ประโยชน์
14. เข้าใจปัจจัยสาคัญที่มีผลต่อการรับและปลดปล่อยพลังงานจากดวงอาทิตย์
กระบวนการที่ทาให้เกดิ สมดลุ พลังงานของโลก ผลของแรงเนื่องจากความแตกตา่ งของความกดอากาศ
แรงคอริออลิส แรงสู่ศูนย์กลางและแรงเสียดทานที่มีต่อการหมุนเวียนของอากาศการหมุนเวียน
ของอากาศตามเขตละติจูด และผลท่มี ีต่อภูมอิ ากาศปัจจัยที่ทาให้เกิดการแบ่งช้ันนา้ และการหมุนเวียน
ของน้าในมหาสมุทร รูปแบบการหมุนเวียนของน้าในมหาสมุทร และผลของการหมุนเวียนของน้าใน
มหาสมุทรที่มีต่อลักษณะลมฟ้าอากาศ ส่ิงมีชีวิตและส่ิงแวดล้อม ความสัมพันธ์ระหว่างเสถียรภาพ
อากาศและการเกิดเมฆ การเกิดแนวปะทะอากาศแบบต่าง ๆ และลักษณะลมฟ้าอากาศที่เกี่ยวข้อง
ปัจจัยต่าง ๆ ท่ีมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก รวมทั้งการแปลความหมายสัญลักษณ์ ลม
ฟ้า อากาศ และการพยากรณ์ลกั ษณะลมฟ้าอากาศเบ้ืองต้น จากแผนท่อี ากาศและขอ้ มลู สารสนเทศ
15. เข้าใจการกาเนิดและการเปล่ียนแปลงพลังงาน สสาร ขนาดอุณหภูมิของเอกภพ
หลักฐานทสี่ นบั สนนุ ทฤษฎีบกิ แบง ประเภทของกาแล็กซี โครงสร้างและองค์ประกอบของกาแล็กซี
ทางช้างเผือก กระบวนการเกิดดาวฤกษ์ และการสร้างพลังงานของดาวฤกษ์ ปัจจัยที่ส่งผลต่อ
ความส่องสว่างของดาวฤกษ์ และความสัมพันธ์ระหว่างความส่องสว่างกับโชติมาตรของดาวฤกษ์
ความสัมพันธ์ระหว่างสี อุณหภูมิผิว และสเปกตรัมของดาวฤกษ์ วิธีการหาระยะทางของดาวฤกษ์
ด้วยหลักการแพรัลแลกซ์ วิวัฒนาการและการเปล่ียนแปลงสมบัติบางประการของดาวฤกษ์
กระบวนการเกิดระบบสุริยะ การแบ่งเขตบริวารของดวงอาทติ ย์ ลักษณะของดาวเคราะหท์ ่ีเอ้อื ต่อการ
ดารงชีวิตการโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ด้วยกฎเคพเลอร์ และกฎความโน้มถ่วงของนิวตัน
โครงสร้างของดวงอาทิตย์ การเกิดลมสุริยะ พายุสุริยะและผลที่มีต่อโลก การระบุพิกัดของดาว
ในระบบขอบฟ้าและระบบศูนย์สตู ร เส้นทางการข้ึนการตกของดวงอาทติ ย์และดาวฤกษ์ เวลา สุรยิ คติ
และการเปรียบเทียบเวลาของแต่ละเขตเวลาบนโลก การสารวจอวกาศและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี
อวกาศ
16. ระบุปัญหา ตั้งคาถามท่ีจะสารวจตรวจสอบ โดยมีการกาหนดความสัมพันธ์ระหว่าง
ตัวแปรต่าง ๆ สืบค้นข้อมูลจากหลายแหล่ง ตั้งสมมติฐานท่ีเป็นไปได้หลายแนวทาง ตัดสินใจเลือก
ตรวจสอบสมมติฐานท่ีเป็นไปได้
17. ตั้งคาถามหรือกาหนดปัญหาท่ีอยู่บนพื้นฐานของความรู้และความเข้าใจทาง
วทิ ยาศาสตร์ ทแี่ สดงให้เห็นถงึ การใช้ความคิดระดับสงู ท่ีสามารถสารวจตรวจสอบหรือศึกษาค้นคว้าได้
อย่างครอบคลุมและเช่ือถือได้ สร้างสมมติฐานที่มีทฤษฎีรองรับหรือคาดการณ์ส่ิงท่ีจะพบ เพื่อนาไปสู่
การสารวจตรวจสอบ ออกแบบวิธีการสารวจตรวจสอบตามสมมติฐานท่ีกาหนดไว้ได้อย่างเหมาะสม
15
มีหลักฐานเชิงประจักษ์ เลือกวัสดุ อุปกรณ์ รวมท้ังวิธีการในการสารวจตรวจสอบอย่างถูกต้อง ท้ังใน
เชิงปรมิ าณและคุณภาพ และบนั ทึกผลการสารวจตรวจสอบอยา่ งเปน็ ระบบ
18. วิเคราะห์ แปลความหมายข้อมูล และประเมินความสอดคล้องของข้อสรุป
เพ่ือตรวจสอบกับสมมติฐานที่ต้ังไว้ ให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงวิธีการสารวจตรวจสอบ จัดกระทา
ข้อมูลและนาเสนอข้อมูลด้วยเทคนิควิธีท่ีเหมาะสม ส่ือสารแนวคิด ความรู้ จากผลการสารวจ
ตรวจสอบโดยการพูด เขียน จัดแสดงหรือใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้ผู้อ่ืนเข้าใจ โดยมีหลักฐาน
อา้ งอิงหรอื มีทฤษฎีรองรับ
19. แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น รบั ผิดชอบ รอบคอบ และซื่อสัตย์ ในการสบื เสาะหาความรู้
โดยใช้เครื่องมือ และวิธีการที่ให้ได้ผลถูกต้องเช่ือถือได้มใ มีเหตุผลและยอมรับได้ว่าความรู้ทาง
วทิ ยาศาสตร์อาจมกี ารเปล่ยี นแปลงได้
20. แสดงถึงความพอใจและเห็นคุณค่าในการค้นพบความรู้ พบคาตอบ หรือแก้ปัญหาได้
ทางานรว่ มกับผ้อู ื่นอยา่ งสร้างสรรค์แสดงความคิดเห็นโดยมีข้อมูลอ้างอิงและเหตุผลประกอบเกี่ยวกับ
ผลของการพัฒนาและการใช้วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีอย่างมีคุณธรรมต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม
และยอมรบั ฟังความคดิ เหน็ ของผ้อู นื่
21. เข้าใจความสัมพันธ์ของความรู้วิทยาศาสตร์ท่ีมีผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีประเภท
ต่าง ๆ และการพัฒนาเทคโนโลยีที่ส่งผลให้มีการคิดค้นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้า ผลของ
เทคโนโลยีตอ่ ชวี ิต สงั คม และสง่ิ แวดลอ้ ม
22. ตระหนักถึงความสาคัญและเห็นคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ใช้ใน
ชีวิตประจาวัน ใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการดารงชีวิต และการ
ประกอบอาชีพ แสดงความชื่นชม ภูมิใจ ยกย่อง อ้างอิงผลงาน ช้ินงานที่เป็นผลมาจากภูมิปัญญา
ท้องถน่ิ และการพัฒนาเทคโนโลยีทท่ี ันสมยั ศกึ ษาหาความรเู้ พ่ิมเติมทาโครงงาน หรือสร้างช้ินงานตาม
ความสนใจ
23. แสดงความซาบซ้ึง ห่วงใย มีพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้และรักษาทรัพยากรธรรมชาติ
และส่ิงแวดล้อมอย่างรู้คุณค่า เสนอตัวเองร่วมมือปฏิบัติกับชุมชนในการป้องกัน ดูแลทรัพยากร
ธรรมชาติและส่งิ แวดลอ้ มของท้องถ่ิน
16
สาระการเรียนรู้เพิ่มเตมิ สาระชีววิทยา
สาระชวี วิทยา
1. เขา้ ใจการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธุกรรม การถา่ ยทอดยนี บนโครโมโซม สมบตั ิและหนา้ ที่
ของสารพันธุกรรม การเกิดมิวเทชัน เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ หลักฐาน ข้อมูล และแนวคิด
เกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ภาวะสมดุลของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก การเกิด สปีชีส์ใหม่
ความหลากหลายทางชีวภาพ กาเนิดของส่ิงมีชีวิต ความหลากหลายของส่ิงมีชีวิต
และอนกุ รมวิธาน รวมทงั้ นาความรูไ้ ปใช้ประโยชน์
ตารางท่ี 1 ผลการเรยี นรู้และสาระการเรยี นร้เู พ่ิมเติม ชีววิทยา (1) ชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 6
ชน้ั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรเู้ พิม่ เติม
ม.6 1. อภิปรายความสาคัญของ ความหลากหลายทางชีวภาพ ประกอบด้วยความ
คว า ม ห ล า กห ล า ย ท า ง หลากหลายทางพันธุกรรม ความหลากหลายของ
ชี ว ภ า พ แ ล ะ ค ว า ม สปชี สี ์ และความหลากหลายของระบบนเิ วศ
เชื่อมโยงระหว่างความ การ แป รผั นท าง พัน ธุกร รม ทา ให้ เกิ ดค ว า ม
หลากหลายทางพันธุกรรม หลากหลายทางพันธุกรรม ซ่ึงสิ่งมีชีวิตใดที่มีความ
ความหลากหลายของสปี หลากหลายทางพันธุกรรมมากยอ่ มทาให้มโี อกาสอยู่
ชีส์ และความหลากหลาย รอดเพ่มิ ขน้ึ และสืบทอดลกู หลานตอ่ ไปได้
ของระบบนิเวศ
สิ่งมีชีวิตที่ดารงชีวิตอยู่ในส่ิงแวดล้อมต่างๆ ได้ผ่าน
กระบวนการคัดเลือกโดยธรรมชาติหรือโดยมนุษย์
มาเป็นระยะเวลายาวนานหลายชั่วรุ่นซึ่งอาจเกิด
เป็นสปีชีส์ใหม่ ส่งผลให้เกิดความหลากหลายของ
สปชี ีส์
แหล่งท่ีอยู่อาศัยแต่ละแหล่งที่สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่น้ัน
จะมีองค์ประกอบของปัจจัยทางกายภาพและปัจจัย
ทา ง ชี ว ภ า พ ที่ แ ต กต่ า ง กั น ท า ใ ห้ เกิ ด ค ว า ม
หลากหลายของระบบนิเวศ
17
ช้ัน ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นร้เู พมิ่ เตมิ
2. อ ธิ บ า ย ก า ร เ กิ ด เ ซ ล ล์ จุดเร่ิมต้นของวิวัฒนาการของเซลล์เกิดจากโมเลกุล
เร่ิมแรกของสิ่งมีชีวิตและ ของสารอินทรีย์ โดยเซลล์รูปแบบแรกที่เกิดขึ้น คือ
วิวัฒนาการของส่ิงมีชีวิต เซลล์โพรคาริโอต และมีวิวัฒนาการขึ้นมาเป็นเซลล์
เซลลเ์ ดยี ว ยูคาริโอต และจากสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวเป็นสิ่งมีชีวิต
หลายเซลลท์ ่ีมีโครงสร้างแบบง่ายๆ จนกลายมาเป็น
สิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ที่มีโครงสร้างซับซ้อนมากข้ึน
ตามลาดบั
3. อธิบายลักษณะสาคัญ แบคทีเรียเป็นสิ่งมีชีวิตพวกโพรคาริโอต ผนังเซลล์มี
และยกตัวอย่างส่ิงมีชีวิต เพปทโิ ดไกลแคนเป็นองคป์ ระกอบสาคัญ แบคทีเรีย
กลุ่มแบคทีเรีย ส่ิงมีชีวิต ทั่วไปสร้างอาหารเองไม่ได้ ดารงชีวิตแบบผู้สลาย
กลุ่มโพรทิสต์ ส่ิงมีชีวิต สารอินทรีย์หรือแบบปรสิต แต่แบคทีเรียบางกลุ่ม
กลุ่มพืช สิ่งมีชีวิตกลุ่มฟัง เช่น ไซยาโนแบคทีเรีย สร้างอาหารเองได้จาก
ไจ และส่งิ มชี วี ิตกล่มุ สัตว์ กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง
โพรทิสต์เป็นสิ่งมีชีวิตพวกยูคาริโอต มีลักษณะ
หลากหลาย ท้ังท่ีเป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวหรือ
สิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ท่ียังไม่พัฒนาไปเป็นเนื้อเย่ือ
อาจมีหรือไมม่ ผี นงั เซลล์เปน็ ส่วนประกอบของเซลล์
ฟงั ไจเป็นส่งิ มีชีวติ พวกยูคาริโอต มที ัง้ ส่งิ มีชีวิตเซลล์
เดียวและหลายเซลล์ เซลล์ของฟังไจยังไม่พัฒนาไป
เป็นเนื้อเย่ือ ผนังเซลล์มีไคทินเป็นองค์ประกอบ
สาคัญ ฟังไจสร้างอาหารเองไม่ได้และดารงชีวิต
แบบผู้สลายสารอินทรียห์ รอื แบบปรสติ
สัตว์เป็นสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์พวกยูคาริโอต
ไม่สามารถสร้างอาหารเองได้ต้องได้รับอาหารจาก
ส่ิงมีชีวิตอ่ืน ส่วนใหญ่มีระบบย่อยอาหาร บางชนิด
อาจเป็นปรสิต สัตว์มีระยะเอ็มบริโอในการสืบพันธ์ุ
แบบอาศัยเพศ
สัตว์อาจแบ่งเป็นกลุ่มย่อยโดยพิจารณาลักษณะ
ต่าง ๆ คือ เนอ้ื เยอ่ื สมมาตร การเปล่ียนแปลงของบ
18
ช้ัน ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรูเ้ พิ่มเติม
4. อธิบาย และยกตัวอย่าง ลาสโทพอร์ การเจริญในระยะตัวอ่อน ทาให้อาจ
การจาแนกส่ิงมีชีวิตจาก แบง่ สัตว์เปน็ กลมุ่ ยอ่ ย เชน่ กล่มุ ฟองน้า กลุ่มไฮดรา
ห ม ว ด ห มู่ ใ ห ญ่ จ น ถึ ง กล่มุ หนอนตัวแบน กลุ่มหอยและหมกึ กลุ่มไส้เดอื น
หมวดหมู่ย่อย และวิธีการ ดิน กลุ่มหนอนตัวกลม กลุ่มสัตว์ที่มีขาเป็นปล้อง
เขียนชื่อวิทยาศาสตร์ใน กลุ่มดาวทะเลและปลิงทะเล และกลุ่มสัตว์ท่ีมีโนโท
ลาดบั ข้นั สปีชสี ์ คอร์ด
5. สร้างไดโคโทมัสคีย์ในการ การจาแนกสง่ิ มชี ีวิตออกเปน็ หมวดหมเู่ ปน็ ลาดับขั้น
ระบุสิ่งมีชีวิตหรือตัวอย่าง ต่างๆ เร่ิมจากหมวดหมู่ใหญ่แล้วแบ่งเป็นหมวดหมู่
ที่ ก า ห น ด อ อ ก เ ป็ น ย่อย มีดังนี้ คิงดอม ไฟลัม คลาส ออร์เดอร์ แฟมิลี
หมวดหมู่ จนี สั และสปีชีส์
ชื่อวิทยาศาสตร์ของสิ่งมีชีวิตในลาดับขั้น สปีชีส์ท่ี
ต้ังข้ึนตามระบบทวินามเพื่อใช้ในการระบุถึง
สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดให้มีความเข้าใจถูกต้องตรงกัน
ประกอบด้วย 2 ส่วน โดยส่วนแรกเปน็ ชือ่ สกุล ส่วน
หลังเป็นคาที่ระบุลักษณะพิเศษของสิ่งมีชีวิตชนิด
น้ัน หรือเป็นคาท่ีมีความหมายเฉพาะ โดยท้ัง 2
สว่ นน้ีตอ้ งเปน็ ภาษาละตนิ
ไดโคโทมัสคีย์เป็นเคร่ืองมือท่ีใช้เพ่ือระบุหมวดหมู่
ของส่ิงมีชีวิตลาดับข้ันต่าง ๆ โดยมีหลักเกณฑ์ใน
การนาลักษณะที่ต่างกันของสิ่งมีชีวิตมาพิจารณา
เป็นคู่
วิทเทเกอร์ เสนอแนวความคิดที่ว่าสิ่งมีชีวิตพวกยู
คาริโอตมีวิวัฒนาการมาจากสิ่งมีชีวิตพวกโพรคาริ
โ อ ต แ ล ะ จ า แ น ก ส่ิ ง มี ชี วิ ต เ ป็ น 5 คิ ง ด อ ม
ประกอบด้วย มอเนอรา โพรทิสตา พืช ฟังไจ
และสัตว์
โวสซ์ และคณะ จาแนกสิ่งมีชีวิตเป็น 3 โดเมน
ประกอบด้วยแบคทีเรีย อาร์เคีย และยูคารีอา
โดยแนวความคิดการจาแนกสิ่งมีชีวิตแต่ละโดเมน
19
ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรเู้ พมิ่ เตมิ
เ ป็ น ก ลุ่ ม ย่ อ ย จ ะ ใ ช้ ห ลั ก ท่ี ว่ า ส่ิ ง มี ชี วิ ต ใ น
กลุ่มเดียวกันมีสายวิวัฒนาการมาจากบรรพบุรุษ
ร่วมกนั
4. เข้าใจการย่อยอาหารของสัตว์และมนุษย์ การหายใจและการแลกเปลี่ยนแก๊ส การลาเลียงสาร
และการหมุนเวียนเลือด ภูมิคุ้มกันของร่างกาย การขับถ่าย การรับรู้และการตอบสนอง
การเคล่ือนที่ การสืบพันธ์ุและการเจริญเติบโต ฮอร์โมนกับการรักษาดุลยภาพ
และพฤติกรรมของสตั ว์ รวมทงั้ นาความรไู้ ปใช้ประโยชน์
ตารางท่ี 2 ผลการเรียนรู้และสาระการเรียนร้เู พิ่มเติม ชีววทิ ยา (4) ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 6
ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรูเ้ พ่ิมเตมิ
ม.6 1. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และ สัตว์ส่วนใหญ่มีระบบประสาททาให้สามารถรับรู้
เปรียบ เทียบโครงสร้าง และตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้ เช่น ไฮดรา มีร่างแห
แ ล ะ ห น้ า ที่ ข อ ง ร ะ บ บ ประสาท พลานาเรีย ไส้เดือนดิน กุ้ง หอย
ประสาทของไฮดรา พลา และแมลงมีปมประสาทและเส้นประสาท ส่วนสัตว์
นาเรีย ไสเ้ ดือนดิน กุ้ง หอย มีกระดูกสันหลัง มีสมอง ไขสันหลัง ปมประสาท
แมลง และสัตว์มีกระดูก และเสน้ ประสาท
สันหลงั หน่วยทางานของระบบประสาท คือ เซลล์ประสาท
2. อ ธิ บ า ย เ ก่ี ย ว กั บ ซ่ึงประกอบ ด้วยตัวเซลล์ และเส้นใยประสาทที่ทา
โครงสร้างและหน้าที่ของ
เซลลป์ ระสาท หน้าท่ีรับและส่งกระแสประสาท เรียกวา่ เดนไดรต์
และแอกซอน ตามลาดับ
3. อธิบายเก่ียวกับการ
เ ป ล่ี ย น แ ป ล ง ข อ ง เซลล์ประสาทจาแนกตามหน้าท่ี ได้เป็นเซลล์
ศักย์ไฟฟ้าท่ีเยื่อหุ้มเซลล์ ประสาทรับความรู้สึก เซลล์ประสาทสั่งการ
ของเซลล์ประสาท และ และเซลล์ประสาทประสานงาน
กลไกการถ่ายทอดกระแส
ประสาท เซลล์ประสาทจาแนกตามรูปร่างได้เป็นเซลล์
ประสาทข้ัวเดียว เซลล์ประสาทขั้วเดียวเทียม
เซลลป์ ระสาทสองข้วั และเซลลป์ ระสาทหลายขัว้
20
ช้ัน ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้เพิม่ เติม
2. อธิบาย และสรุปเกี่ยวกับ กระแสประสาทเกิดจากการเปล่ียนแปลงศักย์ไฟฟ้า
โ ค ร ง ส ร้ า ง ข อ ง ร ะ บ บ ที่เยื่อหุ้มเซลล์ของเดนไดรต์และแอกซอน ทาให้มี
ป ร ะ ส า ท ส่ ว น ก ล า ง แ ล ะ การถ่ายทอดกระแสประสาทจากเซลล์ประสาทไป
ระบบประสาทรอบนอก ยังเซลล์ประสาท หรอื เซลล์อืน่ ๆ ผ่านทางไซแนปส์
5. สืบค้นข้อมูล อธิบาย ระบบประสาทของมนุษย์แบ่งได้เป็น 2 ระบบ ตาม
โครงสร้างและหน้าที่ของ ตาแหน่งและโครงสร้าง คือ ระบบประสาท
ส่วนต่าง ๆ ในสมองส่วน ส่วนกลาง ได้แก่ สมองและไขสันหลัง และระบบ
ห น้ า ส ม อ ง ส่ ว น ก ล า ง ประสาทรอบนอก ได้แก่ เส้นประสาทสมองและ
สมองส่วนหลัง และไขสัน เส้นประสาทไขสันหลงั
หลัง
สมองแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ สมองส่วนหน้า
6. สืบค้นข้อมูล อธิบาย สมองส่วนกลาง และสมองส่วนหลัง สมองแต่ละ
เ ป รี ย บ เ ที ย บ แ ล ะ ส่วนจะควบคุมการทางานของร่างกายแตกต่างกัน
ยกตัวอย่างการทางานของ โดยมีเส้นประสาทท่ีแยกออกจากสมอง 12 คู่ ไปยัง
ระบบประสาท โซมาติก อวัยวะต่างๆ ซึ่งบางคู่ทาหน้าท่ี รับความรู้สึกเข้าสู่
และระบบประสาท สมอง หรือนาคาส่ังจากสมองไปยังหน่วยปฏิบัติงาน
อตั โนวตั ิ หรอื ทาหนา้ ท่ีทง้ั สองอย่าง
ไขสันหลังเป็นส่วนท่ีต่อจากสมองอยู่ภายในกระดูก
สันหลัง และ มีเส้นประสาทแยกออกจากไขสัน
หลังเป็นคู่ ซึ่งทาหน้าท่ีประมวลผลการตอบสนอง
โดยไขสันหลัง เช่น การเกิดรีเฟล็กซ์ชนิดต่าง ๆ
และการถา่ ยทอดกระแสประสาทระหว่างไขสันหลัง
กบั สมอง
เส้นประสาทไขสันหลังทุกคู่จะทาหน้าท่ีรับ
ความรู้สึกเข้าสู่ไขสันหลังและนาคาสั่งออกจากไข
สนั หลงั
21
ช้ัน ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้เพิม่ เติม
7. สืบค้นข้อมูล อธิบาย ระบบประสาทรอบนอกส่วนท่ีสง่ั การแบง่ เปน็ ระบบ
โครงสร้างและหน้าที่ของ ป ร ะ ส า ท โ ซ ม า ติ ก ซ่ึ ง ค ว บ คุ ม ก า ร ท า ง า น ข อ ง
ตา หู จมูก ล้ิน และผิวหนัง กล้ามเนื้อโครงร่าง และระบบประสาทอัตโนวัติซึ่ง
ของมนุษย์ ยกตัวอย่างโรค ควบคุมการทางานของกล้ามเน้ือหัวใจ กล้ามเนื้อ
ต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้อง และบอก เรียบ และต่อมตา่ งๆ
แนวทางในการดูแลป้องกัน
และรักษา ระบบประสาทอัตโนวัติแบ่งการทางานเป็น 2
ระบบ คือ ระบบประสาทซิมพาเทติกและระบบ
8. สังเกต และอธิบาย ประสาทพาราซิมพาเทติก ซึ่งส่วนใหญ่ทางาน
ก า ร ห า ต า แ ห น่ ง ข อ ง จุ ด ตรงกันข้ามเพื่อรักษาดุลยภาพของกระบวนการ
บอด โฟเวีย และความไว ต่าง ๆ ในร่างกาย
ในการรบั สัมผัสของผวิ หนัง
ตา หู จมูก ล้ิน และผิวหนัง เป็นอวัยวะรับ
ความรู้สึกทีร่ ับสิ่งเร้าท่ีแตกต่างกัน จึงมีความสาคัญ
ท่ีควรดูแล ป้องกัน และรักษาให้สามารถทางานได้
เปน็ ปกติ
ตาประกอบด้วย ชั้นสเคลอรา โครอยด์ และเรตินา
เลนส์ตาเปน็ เลนส์นูนอยถู่ ัดจากกระจกตา ทาหนา้ ท่ี
รวมแสงจากวัตถุไปท่ีเรตินา ซ่ึงประกอบด้วยเซลล์
รับแสง และเซลล์ประสาทที่นากระแสประสาทสู่
สมอง
หปู ระกอบด้วย 3 ส่วน คือ หูสว่ นนอก หูส่วนกลาง
และหูส่วนใน ภายในหูส่วนในมีคอเคลีย ซ่ึงทา
หน้าที่รับและเปล่ียนคลื่นเสียงเป็นกระแสประสาท
นอกจากนี้ยังมีเซมิเซอร์คิวลาร์แคเเนลทาหน้าท่ี
รับรู้เกยี่ วกบั การทรงตวั ของรา่ งกาย
จมูกมีเซลล์ประสาทรับกลิ่นอยู่ภายในเยื่อบุจมูกที่
เป็นตัวรับสารเคมีบางชนิดแล้วเกิดกระแสประสาท
ส่งไปยงั สมอง
ลิ้นทาหน้าท่ีรับรส โดยมีตุ่มรับรสกระจายอยู่ทั่ว
ผิวลิ้นด้านบนตุ่มรับรสมีเซลล์รับรสอยู่ภายใน
22
ช้ัน ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรเู้ พม่ิ เตมิ
9. สืบค้นข้อมูล อธิบาย เม่ือเซลล์รับรสถูกกระตุ้นด้วยสารเคมีจะกระตุ้น
และเปรียบ เทียบโครงสร้าง เดนไดรต์ของเซลล์ประสาทเกิดกระแสประสาท
แ ล ะ ห น้ า ที่ ข อ ง อ วั ย ว ะ ท่ี ส่งไปยังสมอง
เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนท่ี
ของแมงกะพรุน หมึกดาว ผิวหนังมีหน่วยรับสิ่งเร้าหลายชนิด เช่น หน่วยรับ
ทะเล ไส้เดือนดิน แมลง สัมผัส หน่วยรับแรงกด หน่วยรับความเจ็บปวด
ปลา และนก หนว่ ยรับอณุ หภมู ิ
สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวบางชนิดเคล่ือนท่ีโดยการไหล
ของไซโทพลาซึม บางชนิดใช้แฟลเจลลัมหรือซิเลีย
ในการเคลอ่ื นที่
สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เช่น แมงกะพรุน เคล่ือนท่ี
โดยอาศัยการหดตัวของเนื้อเยื่อบริเวณขอบกระด่ิง
และแรงดันน้า
หมึกเคลื่อนท่ีโดยอาศัยการหดตัวของกล้ามเน้ือ
บริเวณลาตัว ทาให้น้าภายในลาตัวพ่นออกมาทาง
ไซฟอน ส่วนดาวทะเลใช้ระบบท่อน้าในการ
เคลอื่ นท่ี
ไส้เดือนดินมีการเคล่ือนที่ โดยอาศัยการหดตัวและ
คลายตัวของกล้ามเน้ือวงและกล้ามเนื้อตามยาวซ่ึง
ทางานในสภาวะตรงกนั ขา้ ม
แมลงเคล่ือนท่ีโดยใช้ปีกหรือขา ซึ่งมีกล้ามเน้ือ
ภายในเปลือกห้มุ ทางานในสภาวะตรงกันขา้ ม
สัตว์มีกระดูกสันหลัง เช่น ปลา เคล่ือนท่ีโดยอาศัย
การหดตัวและคลายตวั ของกล้ามเน้ือท่ียึดติดอยู่กับ
กระดูกสันหลังทั้ง 2 ข้าง ทางานในสภาวะตรงกัน
ข้าม และมีครีบที่อยู่ในตาแหน่งต่าง ๆ ช่วยโบกพัด
ในการเคลื่อนท่ี ส่วนนกเคลื่อนที่โดยอาศัยการหด
ตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อกดปีกกับกล้ามเน้ือ
ยกปกี ซ่ึงทางานในสภาวะตรงกนั ข้าม
23
ช้ัน ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรเู้ พ่มิ เติม
10. สบื ค้นข้อมูล และอธิบาย มนุษย์เคล่ือนที่โดยอาศัยการทางานของกระดูก
โครงสร้างและหน้าท่ีของ และกลา้ มเน้ือซงึ่ ยึดกนั ด้วยเอน็ ยึดกระดูก
กระดูกและกล้ามเนื้อท่ี
เ ก่ี ย ว ข้ อ ง กั บ ก า ร บริเวณท่ีกระดูกตั้งแต่ 2 ชิ้นมาต่อกัน เรียกว่า
เ ค ลื่ อ น ไ ห ว แ ล ะ ก า ร ขอ้ ตอ่ และยึดกนั ดว้ ยเอน็ ยึดข้อ
เคล่อื นทขี่ องมนุษย์
กระดูกเป็นเนื้อเยื่อท่ีใช้ค้าจุนและทาหน้าที่ในการ
11. สังเกต และอธิบายการ เคล่ือนไหวของร่างกายแบ่งตามตาแหน่งได้เป็น
ทางานของข้อต่อชนิด กระดูกแกนและกระดูกรยางค์
ต่าง ๆ และการทางาน
ของกล้ามเนื้อโครงร่างท่ี กล้ามเน้ือในร่างกายมนุษย์แบ่งออกเป็นกล้ามเน้ือ
เ ก่ี ย ว ข้ อ ง กั บ ก า ร โครงร่าง กล้ามเนื้อหัวใจ และกล้ามเน้ือเรียบ
เ ค ลื่ อ น ไ ห ว แ ล ะ ก า ร กล้ามเนอื้ ทั้ง 3 ชนิด พบในตาแหน่งที่ต่างกนั และมี
เคลอื่ นทขี่ องมนุษย์ หน้าทแี่ ตกต่างกัน
12. สบื ค้นขอ้ มูล อธิบาย และ กล้ามเน้ือโครงร่างส่วนใหญ่ทางานร่วมกันเป็นคู่ ๆ
ยกตัวอย่างการสืบพันธุ์ ในสภาวะตรงกันข้าม
แ บ บ ไ ม่ อ า ศั ย เ พ ศ แ ล ะ
การสืบพันธ์ุแบบอาศัย การสืบพันธ์ุแบบไม่อาศัยเพศของสัตว์เป็นการ
เพศในสัตว์ สืบพันธ์ุท่ีไม่มีการรวมของเซลล์สืบพันธ์ุ เช่น การ
แตกหน่อและการงอกใหม่
13. สืบค้นข้อมูล อธิบาย
โครงสร้างและหน้าท่ีของ การสบื พนั ธุ์แบบอาศัยเพศของสัตว์เปน็ การสบื พันธ์ุ
อวัยวะในระบบสืบพันธุ์ ที่เกิดจากการรวมนิวเคลียสของเซลล์สืบพันธุ์ซ่ึงมี
เพศชายและระบบ ทั้งการปฏิสนธิภายนอกและการปฏิสนธิภายใน
สืบพนั ธ์เุ พศหญิง สัตว์บางชนิดมี 2 เพศในตัวเดียวกัน แต่การผสม
พนั ธุ์สว่ นใหญจ่ ะผสมข้ามตัว
14. อธบิ ายกระบวนการสรา้ ง
สเปิร์ม กระบวน การ การสืบพันธ์ุของมนุษย์มีกระบวนการสร้างสเปิร์ม
จากเซลล์สเปอร์มาโทโกเนียมภายในอัณฑะ และ
กระบวนการสร้างเซลล์ไข่จากเซลล์โอโอโกเนียม
ภายในรงั ไข่
อวัยวะสืบพันธุ์ของเพศชายประกอบด้วยอัณฑะทา
หน้าที่สร้างสเปิร์มและฮอร์โมนเพศชาย และมี
24
ช้ัน ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรเู้ พิ่มเติม
สร้างเซลล์ไข่ และการ โครงสร้างอื่น ๆ ท่ีทาหน้าที่ลาเลียงสเปิร์ม สรา้ งน้า
ปฏสิ นธิในมนุษย์ เลยี้ งสเปริ ์ม และสารหล่อลน่ื ท่อปัสสาวะ
15. อธิบายการเจริญเติบโต อัณฑะประกอบด้วยหลอดสร้างสเปิร์ม ซ่ึงภายในมี
ระยะเอ็มบริโอและระยะ เซลล์สเปอร์- มาโทโกเนียมที่เป็นเซลล์ต้ังต้นของ
หลังเอ็มบริโอของกบ ไก่ กระบวนการสรา้ งสเปริ ์ม
และมนุษย์
อวัยวะสืบพันธ์ุของเพศหญิงประกอบด้วยรังไข่ ท่อ
นาไข่ มดลูก และช่องคลอด รังไข่ทาหน้าที่สร้าง
เซลล์ไข่และฮอรโ์ มนเพศหญงิ
กระบวนการสร้างสเปิร์มเริ่มต้นจากสเปอร์มาโทโก
เนียมแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสได้สเปอร์มาโทโกเนียม
จานวนมาก ซึ่งต่อมาบางเซลล์พัฒนาเปน็ สเปอร์มา
โทไซต์ระยะแรก โดยสเปอร์มาโทไซต์ระยะแรกจะ
แบ่งเซลล์แบบไมโอซิส I ได้สเปอร์มาโทไซต์ระยะที่
สองซ่ึงจะแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส II ได้สเปอร์มาทิด
ตามลาดับ จากนั้นพัฒนาเป็นสเปิรม์
กระบวนการสร้างเซลล์ไข่เริ่มจากโอโอโกเนียมแบ่ง
เซลล์แบบไมโทซิสได้โอโอโกเนียมซึ่งจะพัฒนาเป็น
โอโอไซต์ระยะแรก แลว้ แบ่งเซลลแ์ บบไมโอซสิ I ได้
โอโอไซต์ระยะที่สองซึ่งจะเกิดการตกไข่ต่อไป เมื่อ
ได้รับการกระตุ้นจากสเปิร์ม โอโอไซต์ระยะท่ีสอง
จะแบง่ แบบไมโอซสิ II แลว้ พฒั นาเป็นเซลลไ์ ข่
การปฏิสนธิเกิดขึ้นภายในท่อนาไข่ได้ไซโกตซ่ึงจะ
เ จ ริ ญ เ ป็ น เ อ็ ม บ ริ โ อ แ ล ะ ไ ป ฝั ง ตั ว ท่ี ผ นั ง ม ด ลู ก
จนกระทง่ั ครบกาหนดคลอด
การเจริญเตบิ โตของสตั ว์ เช่น กบ ไก่ และสัตว์เลี้ยง
ลูกด้วยน้านม จะเริ่มต้นด้วยการแบ่งเซลล์ของ
ไซโกต การเกิดเน้ือเยื่อเอ็มบริโอ 3 ช้ัน คือ เอกโท
เดิร์ม เมโซเดิร์ม และเอนโดเดิร์ม การเกิดอวัยวะ
โดยมีการเพ่ิมจานวน ขยายขนาด และการ
25
ชนั้ ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรเู้ พม่ิ เตมิ
16. สืบค้นข้อมูล อธิบาย เปลี่ยนแปลงรูปร่างของเซลล์เพ่ือทาหน้าที่เฉพาะ
แ ล ะ เ ขี ย น แ ผ น ผั ง ส รุ ป อย่าง ซึ่งพัฒนาการของอวัยวะต่าง ๆ จะทาให้มี
หน้าที่ของฮอร์โมนจาก การเกดิ รปู ร่างท่แี น่นอนในสัตวแ์ ตล่ ะชนดิ
ต่อมไร้ท่อและเน้ือเย่ือท่ี
สร้างฮอร์โมน การเจริญเติบโตของมนุษย์จะมีข้ันตอนคล้ายกับ
การเจริญเติบโตของสัตว์เล้ียงลูกด้วยน้านมอ่ืน ๆ
โดยเอ็มบริโอจะฝังตัวท่ีผนังมดลูก และมีการ
แลกเปลย่ี นสารระหวา่ งแมก่ ับลกู ผา่ นทางรก
ฮอร์โมนเปน็ สารทค่ี วบคุมสมดุลต่าง ๆ ของรา่ งกาย
โดยผลติ จากต่อมไรท้ อ่ หรอื เนื้อเย่อื โดยต่อมไรท้ ่อน้ี
จะกระจายอย่ตู ามตาแหนง่ ต่างๆ ท่ัวรา่ งกาย
ต่อมไร้ท่อที่สร้างหรือหลั่งฮอร์โมน ไม่มีท่อในการ
ลาเลียงฮอร์โมนออกจากต่อมจึงถูกลาเลียงโดย
ระบบหมุนเวียนเลือดไปยังอวัยวะเป้าหมายที่
จาเพาะเจาะจง
ต่อมไพเนียลสร้ างเมลาโทนินซ่ึงยับยั้งการ
เจริญเติบโตของอวัยวะสืบพันธุ์ช่วงก่อนวัยเจริญ
พันธ์ุและตอบสนองต่อการเปล่ียนแปลงของแสงใน
รอบวัน
ต่อมใต้สมองส่วนหน้าสร้างและหลั่งโกรทฮอร์โมน
โพรแลกทิน ACTH TSH FSH LH เอนดอร์ฟิน
ซ่งึ ทาหน้าที่แตกตา่ งกัน
ต่อมใต้สมองส่วนหลังหลั่งฮอร์โมนซึ่งสร้างจาก
ไฮโพทาลามัส คือ ADH และออกซิโทซิน ซ่ึงทา
หน้าทแี่ ตกตา่ งกัน
ต่อมไทรอยด์สร้างไทรอกซินซึ่งควบคุมอัตราเม
แทบอลิซึมของร่างกาย และสร้างแคลซิโทนิน
ซ่ึงควบคุมระดับแคลเซียมในเลือดให้ปกติ
26
ช้ัน ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรเู้ พ่มิ เตมิ
17. สืบค้นข้อมูล อธิบาย ต่อมพาราไทรอยด์สร้างพาราทอร์โมนซ่ึงควบคุม
เ ป รี ย บ เ ที ย บ แ ล ะ ระดบั แคลเซียมในเลอื ดให้ปกติ
ยกตัวอย่างพฤติกรรมท่ี
เ ป็ น ม า แ ต่ ก า เ นิ ด แ ล ะ ตับอ่อนมีกลุ่มเซลล์ท่ีสร้างอินซูลินและกลูคากอน
พฤติกรรมท่ีเกิดจากการ ซึ่งควบคมุ ระดบั นา้ ตาลในเลอื ดใหป้ กติ
เรียนรู้ของสตั ว์
ต่อมหมวกไตส่วนนอกสร้างกลูโคคอร์ติคอยด์
18. สืบค้นข้อมูล อธิบาย มิเนราโลคอร์ติคอยด์ และฮอร์โมนเพศ ซ่ึงมีหน้าท่ี
แ ล ะ ย ก ตั ว อ ย่ า ง แตกต่างกัน ส่วนต่อมหมวกไตส่วนในสร้างเอพิ-
ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ร ะ ห ว่ า ง เนฟรนิ และนอรเ์ อพิเนฟรนิ ซึง่ มีหน้าที่เหมอื นกัน
อณั ฑะมกี ลุ่มเซลล์สรา้ งเทสโทสเทอโรน สว่ นรงั ไข่มี
กลุ่มเซลล์ท่ีสร้างอีสโทรเจน และโพรเจสเทอโรน
ซ่ึงมหี น้าทีแ่ ตกต่างกัน
เน้ือเยื่อบางบริเวณของอวัยวะ เช่น รก ไทมัส
กระเพาะอาหาร และลาไส้เล็ก สามารถสร้าง
ฮอรโ์ มนได้หลายชนดิ ซึ่งมหี นา้ ท่แี ตกตา่ งกัน
การควบคุมการหล่ังฮอร์โมนจากต่อมไร้ท่อ มีทั้ง
การควบคุมแบบป้อนกลับยับยั้ง และการควบคุม
แบบป้อนกลับกระตุ้น เพื่อรักษาดุลยภาพของ
ร่างกาย
ฟีโรโมนเป็นสารเคมีท่ีผลิตจากต่อมมีท่อของสัตว์
ซึง่ สง่ ผลตอ่ สตั ว์ ตัวอืน่ ท่ีเปน็ ชนดิ เดียวกัน
พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมมีผลต่อการแสดง
พฤติกรรม
พฤติกรรมที่เป็นมาแต่กาเนิดแบ่งออกได้เป็นหลาย
ชนิด เช่น โอเรียนเตชัน (แทกซิสและไคนีซิส)
รีเฟล็กซ์ และฟิกแอกชัน แพทเทริ ์น
พฤติกรรมท่ีเกิดจากการเรียนรู้ แบ่งได้เป็นแฮบบิชู
เอชัน การฝังใจ การเช่ือมโยง (การลองผิดลองถูก
และการมเี ง่ือนไข) และการใชเ้ หตผุ ล
27
ชน้ั ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเตมิ
พฤตกิ รรมกับวิวัฒนาการ ระดับการแสดงพฤติกรรมท่ีสัตว์แต่ละชนิด
ของระบบประสาท แ ส ด ง อ อ ก จ ะ แ ต ก ต่ า ง กั น ซ่ึ ง เ ป็ น ผ ล ม า จ า ก
19. สืบค้นข้อมูล อธิบาย ววิ ฒั นาการของระบบประสาทที่แตกต่างกัน
แ ล ะ ย ก ตั ว อ ย่ า ง ก า ร
ส่ือสารระหว่างสัตว์ที่ทา การสื่อสารเป็นพฤติกรรมทางสังคมแบบหน่ึงซ่ึงมี
ใหส้ ตั วแ์ สดงพฤติกรรม หลายวิธี เช่น การส่ือสารด้วยท่าทาง การสื่อสาร
ด้วยเสียง การส่ือสารด้วยสารเคมี และการส่ือสาร
ดว้ ยการสัมผสั
5. เข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับระบบนิเวศ กระบวนการถ่ายทอดพลังงานและการหมุนเวียนสารใน
ระบบนเิ วศ ความหลากหลายของไบโอม การเปล่ยี นแปลงแทนที่ของสิ่งมีชวี ิตในระบบนิเวศ
ประชากรและรูปแบบการเพิ่มของประชากร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปัญหา
และผลกระทบทเ่ี กิดจากการใชป้ ระโยชน์และแนวทางการแก้ไขปญั หา
ตารางที่ 3 ผลการเรียนรู้และสาระการเรียนรู้เพมิ่ เตมิ ชวี วิทยา (5) ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 6
ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรเู้ พม่ิ เตมิ
ม.6 1. วิเคราะห์ อธิบาย และ ระบบนิเวศจะดารงอยู่ได้ต้องมีกระบวนการต่าง ๆ
ยกตัวอย่างกระบวน การ เกิดขึ้น กระบวนการท่ีสาคัญ ได้แก่ การถ่ายทอด
ถ่ายทอดพลังงานในระบบ พลังงาน และการหมุนเวียนสาร การถ่ายทอด
นิเวศ พลังงานในระบบนิเวศสามารถแสดง ได้ด้วย
2. อธิบาย ยกตัวอย่างการ แผนภาพท่ีเรียกว่า โซ่อาหาร สายใยอาหาร
เกิดไบโอแมกนิฟิเคชัน และพรี ะมิด ทางนเิ วศวิทยา
และบอกแนวทางในการ พลังงานที่ถ่ายทอดไปในแต่ละลาดับขั้นการกิน
ลดการเกิดไบโอแมกนิฟิเค อาหารมีปริมาณที่ ไม่เท่ากัน พลังงานส่วนใหญ่จะ
ชนั สูญเสียไปในรูปความร้อนระหว่างการถา่ ยทอดจาก
3. สืบค้นข้อมูล และเขียน สิ่งมชี วี ติ หนึง่ ไปยงั ส่ิงมีชวี ติ อกี ชนดิ หนง่ึ
แผนภาพ เพื่ออธิบายวัฏ การถ่ายทอดพลงั งานในระบบนเิ วศบางครง้ั อาจทา
จักรไนโตรเจน วัฏจักร ให้มีสารพิษสะสมอยู่ในส่ิงมีชีวิตด้วย เรียกว่า การ
28
ช้ัน ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรเู้ พม่ิ เตมิ
ก า ม ะ ถั น แ ล ะ วั ฏ จั ก ร เกิดไบโอแมกนิฟิเคชัน ซ่ึงอาจมีระดับความเข้มข้น
ฟอสฟอรสั ของสารพิษมากขึ้นตามลาดับขัน้ ของการกนิ จนอาจ
กอ่ ใหเ้ กิดอันตรายตอ่ สง่ิ มชี ีวติ
สารตา่ งๆ ในระบบนิเวศมกี ารหมุนเวียนเกดิ ข้นึ ผ่าน
ทงั้ ในสิ่งมชี ีวิตและส่ิงไมม่ ีชีวิต กลับคืนสู่ระบบอยา่ ง
เปน็ วฏั จกั ร เช่น วฏั จกั รไนโตรเจน วัฏจักรกามะถัน
และวฏั จกั รฟอสฟอรสั
4. สืบค้นข้อมูล ยกตัวอย่าง ไบโอมคือระบบนิเวศขนาดใหญ่ที่กระจายอยู่ตาม
และอธิบายลักษณะของไบ เขตภูมิศาสตร์ต่างๆ บนโลก เช่น ไบโอมทุนดรา
โอมท่ีกระจายอยู่ตามเขต ไบโอมสะวันนา ไบโอมทะเลทราย โดยแต่ละไบโอม
ภูมศิ าสตรต์ า่ ง ๆ บนโลก จ ะ มี ลั ก ษ ณ ะ เ ฉ พ า ะ ข อ ง ปั จ จั ย ท า ง ก า ย ภ า พ
ชนิดของพืช และชนิดของสัตว์
5. สืบค้นข้อมูล ยกตัวอย่าง ระบบนเิ วศมีการเปลีย่ นแปลงได้ การเปลีย่ นแปลงท่ี
อธิบาย และเปรียบเทียบ เกิดข้ึนอย่างช้าๆ ทาให้ระบบนิเวศสามารถปรับ
การเปล่ียนแปลงแทนที่ สมดุลได้ แต่การเปล่ียนแปลงที่เกิดข้ึนอย่างรวดเร็ว
แบบปฐมภูมิ และการ อาจส่งผลกระทบต่อองค์ประกอบทางชีวภาพใน
เปล่ียนแปลงแทนที่แบบ ระบบนิเวศทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแทนท่ีของ
ทุตยิ ภมู ิ ส่งิ มชี ีวติ ข้นึ
การเปล่ียนแปลงแทนที่ทางนิเวศวิทยา มีทั้งการ
เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง แ ท น ที่ แ บ บ ป ฐ ม ภู มิ แ ล ะ ก า ร
เปล่ยี นแปลงแทนท่แี บบทตุ ิยภูมิ
6. สื บ ค้ น ข้ อ มู ล อ ธิ บ า ย ประชากรของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีลักษณะหลาย
ยก ตั ว อ ย่ า ง แ ล ะ ส รุ ป ประการที่เป็นลักษณะเฉพาะ เช่น ขนาดของ
เกี่ยวกับลักษณะเฉพาะ ประชากร ความหนาแน่นของประชากร การ
ข อ ง ป ร ะ ช า ก ร ข อ ง กระจายตัวของสมาชิกในประชากร โครงสร้าง
สง่ิ มชี วี ติ บางชนิด อายุของประชากร อัตราส่วนระหว่างเพศ อัตรา
การเกิดและอัตราการตาย การอพยพเข้า การ
อพยพออกของประชากร และการรอดชีวิตของ
สมาชิกท่ีมีอายุต่างกัน
29
ช้ัน ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรเู้ พม่ิ เติม
7. สื บ ค้ น ข้ อ มู ล อ ธิ บ า ย ประชากรของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีลักษณะหลาย
เ ป รี ย บ เ ที ย บ แ ล ะ ประการที่เป็นลักษณะเฉพาะ เช่น ขนาดของ
ยกตัวอย่างการเพิ่มของ ประชากร ความหนาแน่นของประชากร การ
ประชากรแบบเอ็กโพเนน กระจายตัวของสมาชิกในประชากร โครงสร้าง
เชียล และการเพ่ิมของ อายุของประชากร อัตราส่วนระหว่างเพศ อัตรา
ประชากรแบบลอจสิ ติก การเกิดและอัตราการตาย การอพยพเข้า การ
8. อธิบาย และยกตัวอย่าง อพยพออกของประชากร และการรอดชีวิตของ
ปัจจัยท่ีควบคุมการเติบโต สมาชิกที่มีอายุต่างกัน
ของประชากร ลักษณะเฉพาะของประชากรมีอิทธิพลต่อการ
เปลี่ย นแป ลงข นาด ของ ประ ช าก ร ซึ่งเป็น
กระบวนการท่ีเกิดขึ้นอยู่เสมอ
การเพิ่มประชากรแบบเอ็กโพเนนเชียลเป็นการ
เพิ่มจานวนประชากรอย่างรวดเร็วแบบทวีคูณ
การเพ่ิมประชากรแบบลอจิสติกเป็นการเพ่ิมจานวน
ป ร ะ ช า ก ร ที่ ข้ึ น อ ยู่ กั บ ส ภ า พ แ ว ด ล้ อ ม ห รื อ มี ตั ว
ต้านทานในสง่ิ แวดล้อมมาเก่ียวข้อง
การเติบโตของประชากรขึ้นกับปัจจัยต่างๆ
ซึ่งแบ่งได้เป็นปัจจัยที่ขึ้นกับความหนาแน่นของ
ประชากร และปัจจัยที่ไม่ขึ้นกับความหนาแน่น
ของประชากร
ประชากรมนุษย์มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว
แบบเอ็กโพเนนเชียลหลังจากการปฏิวัติทาง
อุตสาหกรรมเป็นต้นมา
9. วิเคราะห์ อภิปราย และ ปัญหาท่ีเกิดกับทรัพยากรน้า ส่วนใหญ่เกิดจากการ
สรุปปัญหาการขาดแคลน ปล่อยน้าที่ผ่านการใช้ประโยชน์จากกิจกรรมต่าง ๆ
น้า การเกิดมลพิษทางน้า ของมนุษย์และยังไม่ได้รับการบาบัดลงสู่แหล่งน้า
แ ล ะ ผ ล ก ร ะ ท บ ท่ี มี ต่ อ ทาให้เกดิ มลพิษทางนา้
ม นุ ษ ย์ แ ล ะ สิ่ ง แ ว ด ล้ อ ม
รวมท้ังเสนอแนวทางการ
30
ช้ัน ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรเู้ พ่ิมเตมิ
วางแผนการจัดการน้า การตรวจสอบคุณภาพน้านิยมใช้การหาค่าปริมาณ
และการแก้ไขปัญหา ออกซิเจนที่ละลายน้า และค่าปริมาณออกซิเจนที่
จลุ ินทรียใ์ นน้าใช้ในการย่อยสลายสารอินทรยี ์ในน้า
การจัดการทรัพยากรน้า เพ่ือให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ควรมีการวางแผนการใช้น้า การแก้ไขปัญหา
คุณภาพน้า รวมท้ังการปลูกจิตสานึกในการใช้น้า
อย่างถูกตอ้ ง
10. วิเคราะห์ อภิปราย การปนเป้ือนของสารเคมี ฝุ่นละออง และจุลินทรีย์
และสรุปปัญหามลพิษทาง ต่างๆ ทาให้เกิดมลพิษทางอากาศ ซึ่งเกิดได้ท้ังจาก
อากาศ และผลกระทบท่ีมี ธรรมชาตแิ ละจากการกระทาของมนษุ ย์
ต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม การเกิดมลพิษทางอากาศที่เกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ
รวมท้ังเสนอแนวทางการ เช่น การเกิดพายุ การเกิด ไฟปา่ และการเกิดแกส๊ พิษ
แก้ไขปญั หา จากการยอ่ ยสลายของจุลินทรยี ์
การเกิดมลพิษทางอากาศท่ีเกิดจากการกระทาของ
มนุษย์ เช่น การใช้เชื้อเพลงิ ฟอสซลิ ในรปู แบบต่างๆ
การจัดการทรัพยากรอากาศควรประกอบด้วยการ
กาหนดนโยบาย และวางแผนงานเพ่ือป้องกันและ
แก้ไข รวมท้ังการปลูกจิตสานึกในการดูแลรักษา
คณุ ภาพอากาศ
11. วิเคราะห์ อภิปราย มลพิษทางดินและปัญหาความเสื่อมโทรมของดิน
และสรุปปัญหาท่ีเกิดกับ ส่วนใหญ่มสี าเหตจุ ากการกระทาของมนษุ ย์
ท รั พ ย า ก ร ดิ น แ ล ะ การจัดการทรัพยากรดินเพ่ือให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ผลกระทบท่ีมีต่อมนุษย์ ควรมีการป้องกันและการแก้ปัญหาการเกิดมลพิษ
และส่ิงแวดล้อม รวมทั้ง และความเสื่อมโทรมของดิน รวมทั้งปลูกจิตสานึกใน
เสนอแนวทางการแก้ไข การใช้ดนิ อย่างถกู ต้อง
ปญั หา
31
ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้เพมิ่ เตมิ
12. วิเคราะห์ อภิปราย พืน้ ทป่ี า่ ไมท้ ล่ี ดลงอาจมสี าเหตมุ าจากธรรมชาติ เช่น
แ ล ะ ส รุ ป ปั ญ ห า ไฟป่า แผน่ ดินไหว ภเู ขาไฟระเบิด หรืออาจมสี าเหตุ
ผลกระทบท่ีเกิดจากการ มาจากการกระทาของมนุษย์ เช่น การตัดไม้ทาลาย
ทาลายป่าไม้ รวมทั้งเสนอ ป่า การบุกรุกพ้ืนที่ป่าเพ่ือครอบครองท่ีดิน การเผา
แนวทางในการป้องกัน ป่า การทาเหมอื งแร่
การทาลายป่าไม้และการ พื้นท่ีป่าไม้ท่ีลดลงทาให้ภูมิประเทศมีสภาพแห้งแล้ง
อนรุ กั ษ์ป่าไม้ เกิดอุทกภัย เกิดการพังทลายของดิน ตลอดจนการ
เพิ่มขึ้นของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ซ่ึงเป็นแก๊สเรือน
กระจกชนิดหนึ่ง นอกจากนี้ ทาให้สัตว์ป่าและพืช
พรรณธรรมชาตลิ ดจานวนหรือสูญพนั ธุ์ได้
การจัดการทรัพยากรป่าไม้ควรจัดการให้มีทรัพยากร
ป่าไม้คงอยู่ย่ังยืนหรือเพิ่มข้ึน เช่น การกาหนดพื้นท่ี
ป่าอนุรักษ์ ส่งเสริมการปลูกป่าป้องกันการบุกรุกป่า
การใช้ไม้อย่างมีคุณค่าและมีประสิทธิภาพ รวมถึงการ
ปลูกจติ สานกึ เร่อื งการอนรุ ักษป์ ่าไม้
13. วิเคราะห์ อภิปราย การลดจานวนลงของสัตว์ป่าเป็นผลเน่ืองมาจากการ
แ ล ะ ส รุ ป ปั ญ ห า กระทาของมนุษย์เป็นส่วนใหญ่ คือ การทาให้แหล่ง
ผลกระทบท่ีทาให้สัตว์ป่า ที่อยอู่ าศัยลดลงและการลา่ สัตว์ป่า
มี จ า น ว น ล ด ล ง แ ล ะ การจัดการทรัพยากรสตั วป์ ่าควรมีการดาเนนิ การให้
แนวทางในการอนุรักษ์ มีพื้นท่ีป่าไม้เพ่ือการอยู่อาศัยอย่างเพียงพอ รวมท้ัง
สัตวป์ า่ การไม่ทาร้ายสัตว์ป่าหรือทาให้สัตว์ป่าลดจานวนลง
รวมทัง้ การปลูกจิตสานกึ ใหช้ ว่ ยกันอนรุ ักษ์
ที่มา : สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ, ตวั ช้ีวัดและสาระ
การเรยี นรูแ้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตร
แกนกลางการศกึ ษาข้นั พืน้ ฐาน พ.ศ. 2551 (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพช์ มุ นมุ สหกรณ์การเกษตร
แหง่ ประเทศไทย, 2560)
32
วเิ คราะหค์ วามสัมพนั ธ์ของหน่วยการเรยี นรู้ สาระชีววิทยา ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้
เพ่ิมเติมกับเวลา
ผู้จัดทาศึกษา ค้นคว้า สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เพ่ิมเติม สาระชีววิทยา กลุ่มสาระการ
เรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช
2551 (กระทรวงศึกษาธิการ. 2560 : 135 – 168)
กาหนดหนว่ ยการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้เพิ่มเตมิ ชวี วทิ ยา ข้อ 1) เขา้ ใจการถา่ ยทอดลกั ษณะ
ทางพันธุกรรม การถ่ายทอดยีนบนโครโมโซม สมบัติและหน้าท่ีของสารพันธุกรรม การเกิดมิวเทชัน
เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ หลักฐาน ข้อมูล และแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของส่ิงมีชีวิต ภาวะสมดุล
ของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก การเกิดสปีชีส์ใหม่ ความหลากหลายทางชีวภาพ กาเนิดของส่ิงมีชีวิต
ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต และอนุกรมวิธาน รวมท้ังนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ ข้อ 4) เข้าใจการ
ย่อยอาหารของสัตว์และมนุษย์ การหายใจและการแลกเปลี่ยนแก๊ส การลาเลียงสารและการหมุนเวียน
เลือด ภูมิคุ้มกันของร่างกาย การขับถ่าย การรับรู้และการตอบสนอง การเคล่ือนที่ การสืบพันธุ์
และการเจริญเติบโต ฮอร์โมนกับการรักษาดุลยภาพและพฤติกรรมของสัตว์ รวมท้ังนาความรู้ไปใช้
ประโยชน์ และข้อ 5) เข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับระบบนิเวศ กระบวนการถ่ายทอดพลังงานและการ
หมุนเวียนสารในระบบนิเวศ ความหลากหลายของไบโอม การเปล่ียนแปลงแทนท่ีของส่ิงมีชีวิตใน
ระบบนเิ วศ ประชากรและรปู แบบการเพ่ิมของประชากร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ ม ปญั หา
และผลกระทบท่ีเกิดจากการใช้ประโยชน์และแนวทางการแก้ไขปัญหา กลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศกั ราช 2551 (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560) ที่จัดทาโดยสถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี กระทรวงศกึ ษาธิการ มีสาระการเรียนรู้ 5 หน่วยการเรยี นรู้ ประกอบดว้ ย
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 1 ระบบสบื พันธุแ์ ละการเจริญเติบโตของสัตว์ เวลา 12 ช่วั โมง
หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 2 ระบบประสาทและอวัยวะรับความรูส้ กึ เวลา 14 ชั่วโมง
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 3 ระบบต่อมไร้ท่อ เวลา 14 ชว่ั โมง
หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 4 การเคลอื่ นที่ของสิ่งมชี วี ิต เวลา 12 ชว่ั โมง
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 5 พฤตกิ รรมของสตั ว์ เวลา 8 ชว่ั โมง
ผจู้ ดั ทาเลือกหน่วยการเรยี นรู้ที่ 2 เร่อื ง ระบบประสาทและอวัยวะรับความรสู้ ึก เพอ่ื ใช้ในการ
จัดทาแผนการจัดการเรียนรู้แบบเน้นแผนผังมโนทัศน์ และชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
กลุ่มสาระการเรียนรู้ทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6 แล้วทาการวิเคราะห์เป็น
หน่วยย่อย วิเคราะห์ความสัมพันธ์ของหน่วยการเรียนรู้ย่อย ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม
กบั เวลา ดังตารางที่ 4
33
ตารางท่ี 4 วเิ คราะหค์ วามสัมพนั ธข์ องหน่วยย่อย ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้เพ่มิ เตมิ
กับเวลา
ลาดบั ชอื่ หน่วยการเรยี นรยู้ ่อย ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้เพ่มิ เตมิ เวลา
ท่ี (ชวั่ โมง)
1 การรบั รู้และการ 1. สืบค้นข้อมูล อธิบาย - สัต ว์ ส่ ว น ใ ห ญ่ มี ร ะ บ บ 2
ตอบสนองของสตั ว์ แ ล ะ เ ป รี ย บ เ ที ย บ ประสาททาให้สามารถ
โครงสรา้ งและหน้าท่ีของ รับรู้และตอบสนองต่อ
ร ะ บ บ ป ร ะ ส า ท ข อ ง ส่ิงเร้าได้ เช่น ไฮ ดรา
ไ ฮ ด ร า พ ล า น า เ รี ย มีร่างแหประสาท พลานา
ไส้เดือนดิน กุ้ง หอย เรีย ไส้เดือนดิน กุ้ง หอย
แมลง และสัตว์มีกระดูก และแมลงมีปมประสาท
สนั หลงั และเส้นประสาท ส่วน
สั ต ว์ มี ก ร ะ ดู ก สั น ห ลั ง มี
ส ม อ ง ไ ข สั น ห ลั ง
ปมประสาทและ
เส้นประสาท
2 เซลล์ประสาท 2. อธบิ ายเก่ยี วกบั - หน่วยทางานของระบบ 2
โครงสร้างและหนา้ ที่ของ ป ร ะ ส า ท คื อ เ ซ ล ล์
เซลล์ประสาท ประสาท ซ่ึงประกอบด้วย
ตั ว เ ซ ล ล์ แ ล ะ เ ส้ น ใ ย
ป ร ะ ส า ท ท่ี ท า ห น้ า ท่ี รั บ
และส่งกระแสประสาท
เรียกว่า เดนไดรต์และ
แอกซอน ตามลาดบั
- เซลล์ประสาทจาแนกตาม
ห น้ า ท่ี ไ ด้ เ ป็ น เ ซ ล ล์
ป ร ะ ส า ท รั บ ค ว า ม รู้ สึ ก
เซลล์ประสาทส่ังการและ
เ ซ ล ล์ ป ร ะ ส า ท
ประสานงาน
34
ตารางที่ 4 (ตอ่ )
ลาดับ ชอ่ื หน่วยการเรยี นร้ยู ่อย ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้เพิ่มเติม เวลา
ที่ (ช่วั โมง)
- เซลล์ประสาทจาแนกตาม
รู ป ร่ า ง ไ ด้ เ ป็ น เ ซ ล ล์
ประสาทข้ัวเดียว เซลล์
ป ร ะ ส า ท ข้ั ว เ ดี ย ว เ ที ย ม
เซลล์ประสาทสองข้ัว และ
เซลลป์ ระสาทหลายขัว้
3 การทางานของเซลล์ 2. อ ธิ บ า ย เ ก่ี ย ว กั บ - เซลล์ประสาทจาแนกตาม 2
ประสาท โครงสรา้ งและหน้าท่ีของ รู ป ร่ า ง ไ ด้ เ ป็ น เ ซ ล ล์
เซลลป์ ระสาท ประสาทขั้วเดียว เซลล์
3. อธิบายเก่ียวกับการ ประสาทข้ัวเดียวเทียม
เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง ข อ ง เซลล์ประสาทสองขั้ว และ
ศักย์ไฟฟ้าท่ีเย่ือหุ้มเซลล์ เซลล์ประสาทหลายข้ัว
ของเซลล์ประสาทและ - กระแสประสาทเกิดจาก
ก ล ไ ก ก า ร ถ่ า ย ท อ ด ก า ร เ ป ล่ี ย น แ ป ล ง
กระแสประสาท ศักย์ไฟฟ้าท่ีเยื่อหุ้มเซลล์
ข อ ง เ ด น ไ ด ร ต์ แ ล ะ แ อ ก
ซอน ทาให้มีการถ่ายทอด
กระแสประสาทจากเซลล์
ป ร ะ ส า ท ไ ป ยั ง เ ซ ล ล์
ประสาท หรือเซลล์อ่ืน ๆ
ผ่านทางไซแนปส์
- ระบบประสาทของมนุษย์
แบ่งได้เป็น 2 ระบบตาม
ตาแหน่งและโครงสร้าง
คื อ ร ะ บ บ ป ร ะ ส า ท
ส่วนกลาง ได้แก่ สมอง
และไขสนั หลงั
35
ตารางท่ี 4 (ตอ่ )
ลาดบั ช่อื หน่วยการเรียนรยู้ ่อย ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้เพม่ิ เติม เวลา
ที่ (ช่วั โมง)
และระบบประสาทรอบ
นอก ได้แก่ เส้นประสาท
สมองและเส้นประสาท
ไขสันหลัง
4 ศนู ย์ควบคมุ ระบบ 4. อธิบาย และสรุป - สมองแบ่งออกเป็น 3 สว่ น 2
ประสาท เก่ียวกับโครงสร้างของ คือ สมองส่วนหน้าสมอง
ระบบประสาทส่วนกลาง ส่วนกลาง และสมองส่วน
และระบบประสาทรอบ หลัง สมองแต่ละส่วนจะ
นอก ควบคุมการทางานของ
5. สื บ ค้ น ข้ อ มู ล ร่างกายแตกต่างกัน โดยมี
อธิบายโครงสร้างและ เส้นประสาทท่ีแยกออก
หน้าที่ของส่วนต่าง ๆ ใน จากสมอง 12 คู่ ไปยัง
สมองส่วนหน้า สมอง อวัยวะต่าง ๆ ซึ่งบางคู่ทา
ส่วนกลาง สมอง ส่วน หน้าที่รับความรู้สึกเข้าสู่
หลัง และ ไข สมอง หรือนาคาส่ังจาก
สนั หลัง ส ม อ ง ไ ป ยั ง ห น่ ว ย
ปฏิบัติงาน หรือทาหน้าที่
ทั้งสองอยา่ ง
- ไขสันหลังเป็นส่วนท่ีต่อ
จ า ก ส ม อ ง อ ยู่ ภ า ย ใ น
กระดูกสันหลัง และมี
เส้นประสาทแยกออกจาก
ไขสันหลังเป็นคู่ ซึ่งทา
ห น้ า ท่ี ป ร ะ ม ว ล ผ ล ก า ร
ตอบสนองโดยไขสันหลัง
เช่น การเกิดรีเฟล็กซ์ชนิด
ต่าง ๆ และการถ่ายทอด
36
ตารางที่ 4 (ต่อ)
ลาดบั ชอ่ื หน่วยการเรยี นรู้ย่อย ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้เพ่มิ เตมิ เวลา
ท่ี (ช่วั โมง)
กระแสประสาทระหวา่ ง
ไขสนั หลังกับสมอง
- เสน้ ประสาทไขสนั หลงั ทกุ
คจู่ ะทาหนา้ ที่รับ
ความรูส้ กึ เข้าสู่ไขสันหลัง
และนาคาส่ังออกจากไข
สันหลัง
5 การทางานของระบบ 6. สืบค้นข้อมูล อธิบาย - ระบบประสาทรอบนอก 2
ประสาท
เ ป รี ย บ เ ที ย บ แ ล ะ ส่ว นท่ีส่ังการแบ่งเป็น
ยกตัวอย่างการทางาน ระบบประสาทโซมาติกซ่ึง
ของระบบประสาทโซ ค ว บ คุ ม ก า ร ท า ง า น ข อ ง
มาตกิ และระบบประสาท กล้ามเนื้อโครงร่าง และ
อตั โนวตั ิ ระบบประสาทอัตโนวัติซ่ึง
ค ว บ คุ ม ก า ร ท า ง า น ข อ ง
กล้ามเนื้อหัวใจกล้ามเนื้อ
เรียบ และต่อมต่าง ๆ
- ระบบประสาทอัตโนวัติ
แบ่งการทางานเป็น 2
ระบบ คือ ระบบประสาท
ซิมพาเทติก และระบบ
ประสาทพาราซิมพาเทติก
ซ่ึงส่วนใหญ่ทางานตรงกัน
ข้ามเพ่ือรักษาดุลยภาพ
ของกระบวนการต่าง ๆ
ในร่างกาย
37
ตารางที่ 4 (ต่อ)
ลาดับ ช่ือหน่วยการเรยี นรู้ย่อย ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้เพิม่ เติม เวลา
ที่ (ช่วั โมง)
6 อวยั วะรับความรูส้ กึ (1) 7. สื บ ค้ น ข้ อ มู ล - ตา หู จมูก ลนิ้ และผวิ หนัง 2
ตา หู อธิบายโครงสร้างและ เป็นอวัยวะรับความรู้สึก
หน้าท่ีของ ตา หู จมูก ที่รับส่ิงเร้าท่ีแตกต่างกัน
ล้ิ น แ ล ะ ผิ ว ห นั ง จึงมีความสาคัญที่ควรดูแล
ของมนุษย์ ยกตัวอย่าง ป้ อ ง กั น แ ล ะ รั ก ษ า ใ ห้
โรค ต่าง ๆ ที่เก่ียวข้อง สามารถทางานไดเ้ ปน็ ปกติ
และบอกแนวทางในการ - ต า ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย
ดูแลป้องกนั และรักษา ช้ันสเคลอรา โครอยด์
8. สังเกต และอธิบาย และเรตินา เลนส์ตาเป็น
การหาตาแหน่งของจุด เลนส์นูนอยู่ถัดจากกระจก
บอด โฟเวีย และความไว ตาทาหน้าที่รวมแสงจาก
ใ น ก า ร รั บ สั ม ผั ส ข อ ง วั ต ถุ ไ ป ท่ี เ ร ติ น า
ผวิ หนัง
ซ่ึงประกอบด้วย เซลล์รับ
แสง และเซลล์ประสาทท่ี
นากระแสประสาทสสู่ มอง
- หูประกอบด้วย 3 ส่วน คือ
หสู ่วนนอก หูส่วนกลางและ
หูส่วนใน ภายในหูส่วนในมี
คอเคลีย ซึ่งทาหน้าท่ีรับ
และเปล่ียนคล่ืนเสียงเป็น
กระแสประสาท นอกจากน้ี
ยั ง มี เ ซ มิ เ ซ อ ร์ คิ ว ล า ร์ แ ค
เเนลทาหน้าที่รับรู้เกี่ยวกับ
การทรงตวั ของร่างกาย
38
ตารางที่ 4 (ต่อ)
ลาดับ ช่อื หน่วยการเรียนรู้ย่อย ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเตมิ เวลา
ที่ (ชั่วโมง)
7 อวัยวะรับความรู้สึก (2) 7. สื บ ค้ น ข้ อ มู ล - จมูกมีเซลล์ประสาทรับ 2
จมกู ลิ้น ผิวหนงั อธิบายโครงสร้างและ กล่ินอยู่ภายในเย่ือบุจมูกท่ี
หน้าที่ของ ตา หู จมูก เป็นตัวรับสารเคมีบางชนิด
ล้ิ น แ ล ะ ผิ ว ห นั ง แล้วเกิดกระแสประสาท
ของมนุษย์ ยกตัวอย่าง ส่งไปยังสมอง
โรค ต่าง ๆ ที่เก่ียวข้อง - ล้ินทาหน้าท่ีรับรส โดยมี
และบอกแนวทางในการ ตุ่มรับรสกระจายอยู่ทั่วผิว
ดแู ลปอ้ งกัน และรักษา ล้ินด้านบน ตุ่มรับรสมี
8. สังเกต และอธิบาย เซลล์รับรสอยู่ภายใน เม่ือ
ก า ร ห า ต า แ ห น่ ง ข อ ง เซลล์รับรสถูกกระตุ้นด้วย
จุดบอด โฟเวีย และ สารเคมีจะกระตุ้นเดน
ความไวในการรับสัมผัส ไดรต์ของเซลล์ประสาท
เกิดกระแสประสาทส่งไป
ของผวิ หนัง ยังสมอง
- ผิวหนัง มีหน่วยรับสิ่งเร้า
หลายชนิด เช่น หน่วยรับ
สัมผัส หน่วยรับแรงกด
ห น่ ว ย รั บ ค ว า ม เ จ็ บ ป ว ด
หนว่ ยรับอุณหภูมิ
รวมเวลาเรียน 14
ผู้จดั ทาได้ศึกษาคน้ คว้าการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้แบบเน้นแผนผังมโนทัศน์ (Concept
Based Teaching) ตามแนว Backward Design กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
สาระการเรียนรู้เพิม่ เตมิ สาระชีววทิ ยา รายวิชาชีววิทยา 5 รหสั วิชา ว30250 เรอ่ื ง ระบบประสาท
และอวัยวะรับความรู้สกึ ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 6 จานวน 7 แผน ดงั น้ี
แผนที่ 1 การรับรแู้ ละการตอบสนองของสตั ว์ เวลา 2 ชัว่ โมง
แผนที่ 2 เซลล์ประสาท เวลา 2 ชั่วโมง
แผนที่ 3 การทางานของเซลลป์ ระสาท เวลา 2 ชว่ั โมง
39
แผนท่ี 4 ศูนยค์ วบคมุ ระบบประสาท เวลา 2 ชั่วโมง
แผนที่ 5 การทางานของระบบประสาท เวลา 2 ชั่วโมง
แผนที่ 6 อวยั วะรบั ความรู้สกึ (1) หู ตา เวลา 2 ชัว่ โมง
แผนที่ 7 อวยั วะรับความรูส้ ึก (2) จมูก ลน้ิ ผิวหนัง เวลา 2 ชั่วโมง
โดยมีแผนการจัดการเรียนรู้ปฐมนิเทศ เวลา 2 ช่ัวโมง เพื่อสร้างข้อตกลงและสร้างความ
เข้าใจในการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอน รวมท้ังวัดความรู้เดิมของผู้เรียนก่อนจดั กจิ กรรมการเรียน
การสอนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เร่ือง ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก
แผนการจดั การเรียนรู้ตามเน้ือหา จานวน 7 แผน เวลา 14 ช่ัวโมง และแผนการจดั การเรยี นรปู้ ัจฉิม
นิเทศ เวลา 2 ช่ัวโมง เพ่ือวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของผู้เรียนหลังจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
ด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ที่จัดกิจกรรมการเรียนกาสอนแบบเน้นแผนผังมโนทัศน์
(Concept Based Teaching) รวมเวลาตลอดการใช้แผนการจัดการเรียนรู้ 18 ชัว่ โมง
40
การสอนแบบแผนผงั เน้นมโนทัศน์ (Concept Based Teaching)
ขั้นท่ี 1 ข้นั การใช้ความรู้เดิมเชอื่ มโยงความรู้ใหม่ (Prior Knowledge)
ผู้สอนเตรียมข้อมูลสำหรับให้ผู้เรียนฝึกหัดจำแนกผู้สอนเตรียมข้อมูล 2 ชุด ชุดหนึ่งเป็น
ตวั อย่ำงของมโนทัศน์ทต่ี ้องกำรสอนอีกชุดหนึ่งไม่ใช่ตัวอย่ำงของมโนทัศน์ที่ต้องกำรสอนในกำรเลือก
ตัวอย่ำงข้อมูล 2 ชุดข้ำงต้น ผู้สอนจะต้องเลือกหำตัวอย่ำงที่มีจำนวนมำกพอท่ีจะครอบคลุมลักษณะ
ของมโนทัศน์ท่ีต้องกำรนั้น ถ้ำมโนทัศน์ท่ีต้องกำรสอนเป็นเร่ืองยำกและซับซ้อนหรือเป็นนำมธรรม
อำจใช้วิธีกำรยกเป็นตัวอย่ำงเรื่องสั้น ๆ ท่ีผู้สอนแต่งขึ้นเองนำเสนอแก่ผู้เรียน ผู้สอนเตรียมส่ือกำร
สอนที่เหมำะสมจะใช้นำเสนอตัวอย่ำงมโนทัศน์เพื่อแสดงให้เห็นลักษณะต่ำง ๆ ของมโนทัศน์ที่
ต้องกำรสอนอยำ่ งชดั เจน
ขั้นท่ี 2 ขั้นรู้ (Knowing)
ผู้สอนอธิบำยกติกำในกำรเรียนให้ผู้เรียนรู้และเข้ำใจตรงกัน ผู้สอนช้ีแจงวิธีกำรเรียนรู้ให้
ผู้เรียนเข้ำใจก่อนเริ่มกิจกรรมโดยอำจสำธิตวิธีกำรและให้ผู้เรียนลองทำตำมท่ีผู้สอนบอกจนกระท่ัง
ผเู้ รยี นเกดิ ควำมเขำ้ ใจพอสมควร
ขั้นท่ี 3 ขัน้ เขา้ ใจ (Understanding)
ผู้สอนเสนอข้อมูลตัวอย่ำงของมโนทัศน์ท่ีต้องกำรสอน และข้อมูลที่ไม่ใช่ตัวอย่ำงของมโน
ทัศน์ที่ต้องกำรสอน กำรนำเสนอข้อมูลตัวอย่ำงน้ีทำได้หลำยแบบ แต่ละแบบมีจุดเด่น- จุดด้อย
ดังต่อไปนี้
1) นำเสนอข้อมูลที่เป็นตัวอย่ำงของส่ิงท่ีจะสอนทีละข้อมูลจนหมดทั้งชุด โดยบอกให้
ผู้เรียนรู้วำ่ เป็นตัวอย่ำงของสิ่งท่ีจะสอนแล้วตำมด้วยข้อมูลท่ีไม่ใช่ตัวอย่ำงของส่ิงที่จะสอนทีละข้อมูล
จนครบหมดทั้งชุดเช่นกัน โดยบอกให้ผู้เรียนรู้ว่ำข้อมูลชุดหลังน้ีไม่ใช่ส่ิงที่จะสอน ผู้เรียนจะต้อง
สังเกตตัวอย่ำงท้ัง 2 ชุด และคิดหำคุณสมบัติร่วมและคุณสมบัติที่แตกต่ำงกัน เทคนิควิธีน้ีสำมำรถ
ชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นสร้ำงมโนทศั น์ไดเ้ ร็วแต่ใช้กระบวนกำรคิดน้อย
2) เสนอข้อมูลท่ใี ช่และไม่ใช่ตัวอย่ำงของส่ิงท่ีจะสอนสลับกันไปจนครบ เทคนิควิธีนี้ช่วย
สร้ำงมโนทัศนไ์ ดช้ ำ้ กวำ่ เทคนคิ แรก แต่ได้ใช้กระบวนกำรคดิ มำกกวำ่
3) เสนอข้อมูลที่ใช่และไม่ใช่ตัวอย่ำงของสิ่งที่จะสอนอย่ำงละ 1 ข้อมูล แล้วเสนอข้อมูล
ที่เหลือทั้งหมดทีละข้อมูลโดยให้ผู้เรียนตอบว่ำข้อมูลแต่ละข้อมูลท่ีเหลือน้ันใช่หรือไม่ใช่ตัวอย่ำงท่ีจะ
สอน เม่ือผู้เรียนตอบ ผู้สอนจะเฉลยว่ำถูกหรือผิด วิธีนี้ผู้เรียนจะได้ใช้กระบวนกำรคิดในกำรทดสอบ
สมมตฐิ ำนของตนไปทลี ะขนั้ ตอน