The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือเรียนวิชาทักษะการเรียนรู้ ม.ปลาย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ebookchon, 2020-05-27 02:51:41

หนังสือเรียนวิชาทักษะการเรียนรู้ ม.ปลาย (ทร31001)

หนังสือเรียนวิชาทักษะการเรียนรู้ ม.ปลาย

Keywords: ทร31001,ทักษะการเรียนรู้

~ 151 ~

ส่วนที 1 “หวั ปลา” หมายถงึ “Knowledge Vision” KV คือเป้ าหลายของการจดั การความรู้ ผใู้ ช้
ตอ้ งรู้ว่าจะจดั การความรู้เพือบรรลุเป้ าหมายอะไร เกียวขอ้ งหรือสอดคลอ้ งกบั วิสยั ทศั น์พนั ธกิจ และ
ยทุ ธศาสตร์ขององคก์ รอยา่ งใด เช่น จดั การความรู้เพอื เพมิ ประสิทธิภาพของงาน จดั การความรู้เพือพฒั นา
ทกั ษะชีวิตดา้ นยาเสพติด จดั การความรู้เพือพฒั นาทกั ษะชีวิตดา้ นสิงแวดลอ้ ม จดั การความรู้เพือพฒั นา
ทกั ษะชีวิตดา้ นชีวิตและทรัพยส์ ิน จดั การความรู้เพอื ฟื นฟขู นบธรรมเนียม ประเพณี ดงั เดิมของคนในชุมชน
เป็ นตน้

ส่วนที 2 “ตวั ปลา” หมายถงึ “Knowledge Sharing” หรือ KS เป็นการแลกเปลียนเรียนรู้ หรือ
การแบ่งปันความรู้ทีฝังลึกในตวั คนผปู้ ฏิบตั ิ เนน้ การแลกเปลียนวิธีการทาํ งานทีประสบผลสาํ เร็จ ไม่เน้น
ทีปัญหา เครืองมือในการแลกเปลียนเรียนรู้มีหลากหลายแบบ อาทิ การเล่าเรือง การสนทนาเชิงลึก
การชืนชมหรือการสนทนาเชิงบวก เพือนช่วยเพือน การทบทวนการปฏิบตั ิงาน การถอดบทเรียน
การถอดองคค์ วามรู้

ส่วนที 3 “หางปลา” หมายถึง “Knowledge Assets” หรือ KA เป็ นขุมความรู้ทีไดจ้ าก
การแลกเปลียนความรู้ มีเครืองมือในการจดั เก็บความรู้ทีมีชีวิตไม่หยงุดนคิ ือ นอกจากจดั เก็บความรู้
แลว้ ยงั ง่ายในการนาํ ความรู้ออกมาใชจ้ ริง ง่ายในการนาํ ความรู้ออกมาต่อยอด และง่ายในการปรับขอ้ มูล
ไม่ใหล้ า้ สมยั ส่วนนีจึงไม่ใช่ส่วนทีมีหนา้ ทีเก็บขอ้ มลู ไวเ้ ฉย ๆ ไม่ใช่หอ้ งสมุดสาํ หรับเก็บสะสม ขอ้ มลู ที
นาํ ไปใชจ้ ริงไดย้ าก ดงั นัน เทคโนโลยกี ารสือสารและสารสนเทศ จึงเป็ นเครืองมือจดั เก็บความรู้อนั ทรง
พลงั ยงิ ในกระบวนการจดั การความรู้

ตวั อย่างการจดั การความรู้เรือง “พฒั นากล่มุ วสิ าหกจิ ชุมชน ในรูปแบบปลาทู

~ 152 ~

โมเดลปลาตะเพยี น

จากโมเดล “ปลาทู” ตวั เดียวมาสู่โมเดล “ปลาตะเพียน” ทีเป็ นฝงู โดยเปรียบแม่ปลา “ปลาตวั ใหญ่” ได้
กบั วสิ ยั ทศั น์ พนั ธกิจ ขององค์กรใหญ่ ในขณะทีปลาตวั เล็กหลาย ๆ ตวั เปรียบไดก้ บั เป้ าหมายของการ
จดั การความรู้ทีตอ้ งไปตอบสนองเป้ าหมายใหญ่ขององคก์ ร จึงเป็นปลงาฝทงู เั หมอื น “โมบายปลาตะเพียน”
ของเล่นเด็กไทยสมยั โบราณทีผใู้ หญ่สานเอาไวแ้ ขวนเหนือเปลเด็ก เป็ นฝงู ปลาทีหนั หนา้ ไปในทิศทาง
เดียวกนั และมคี วามเพียรพยายามทีจะวา่ ยไปในกระแสนาํ ทีเปลยี นแปลงอยตู่ ลอดเวลา

ปลาใหญ่อาจเปรียบเหมือนการพฒั นาอาชีพตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในชุมชนซึง
การพฒั นาอาชีพดงั กล่าว ตอ้ งมีการแกป้ ัญหาและพฒั นาร่วมกนั ไปทงั ระบบเกิดกลุ่มต่าง ๆ ขึนในชุมชน
เพือการเรียนรู้ร่วมกนั ทงั การทาํ บญั ชีครัวเรือน การทาํ เกษตรอินทรีย์ การทาํ ปุ๋ ยหมกั กายรงเลปี ลา
การเลยี งกบ หากการแกป้ ัญหาทีปลาตวั เล็กประสบผลสาํ เร็จ จะส่งผลให้ปลาใหญ่หรือ เป้ าหมายในระดบั
ชุมชนประสบผลสาํ เร็จดว้ ยเช่นนคนือั ปลาวา่ ยไปขา้ งหนา้ อยา่ งพร้อมเพรียงกนั

ทีสาํ คญั ปลาแต่ละตวั ไม่จาํ เป็ นตอ้ งมีรูปร่างและขนาดเหมือนกนั เพราะการจดั การความรู้ของ
แต่ละเรือง มีสภาพของความยากง่ายในการแกป้ ัญหาทีแตกต่างกนั รูปแบบของการจดั การความรู้ของ
แต่ละหน่วยยอ่ ยจึงสามารถสร้างสรรค์ ปรับใหเ้ ขา้ กบั แต่ละทีไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ปลาบางตวั อาจมีทอ้ งใหญ่
เพราะอาจมีส่วนของการแลกเปลียนเรียนรู้มาก บางตวั อาจเป็นปลาทีหางใหญ่ เด่นในเรืองของการจดั ระบบ
คลงั ความรู้เพือใชใ้ นการปฏิบตั ิมา แต่ทุกตวั ตอ้ งมีหวั และตาทีมองเห็น เป้ าหมายทีจะไปอยา่ งชดั เจน

~ 153 ~

การจดั การความรู้ไดใ้ หค้ วามสาํ คญั กบั การเรียนรู้ทีเกิดจากการปฏิบตั ิจริง เป็ นการเรียนรู้ในทุก
ขนั ตอนของการทาํ งาน เช่นก่อนเริมงานจะตอ้ งมีการศึกษาทาํ ความเขา้ ใจในสิงทีกาํ ลงั จะทาํ จะเป็ นการ
เรียนรู้ดว้ ยตวั เองหรืออาศยั ความช่วยเหลือจากเพือนร่วมงาน มีการศึกษาวิธีการและเทคนิคต่าง ๆ ทีใช้
ไดผ้ ลพร้อมทงั คน้ หาเหตุผลดว้ ยวา่ เป็นเพราะอะไร และจะสามารถนงาํทสีไิ ดเ้ รียนรู้นันมาใชง้ านทีกาํ ลงั จะ
ทาํ นีไดอ้ ยา่ งไร ในระหว่างทีทาํ งานอย่เู ช่นกนั จะตอ้ งมีการทบทวนการทาํ งาน อย่ตู ลอดเวลา เรียกไดว้ ่า
เป็นการเรียนรู้ทีไดจ้ ากการทบทวนกิจกรรมย่อยในทุก ๆนตขอั น หมนั ตรวจสอบอยเู่ สมอว่าจุดมุ่งหมาย
ของงานทีทาํ อย่นู ีคืออะไร กาํ ลงั เดินไปถกู ทางหรือไม่ เพราะเหตุใด ปัญหาคืออะไร จะตอ้ งทาํ อะไร
ใหแ้ ตกต่างไปจากเดิมหรือไม่ และนอกจากนนั เมอื เสร็นจกสาิ รทาํ งานหรือเมอื จบโครงการ ก็จะตอ้ งมีการ
ทบทวนสิงต่าง ๆ ทีไดม้ าแลว้ ว่ามีอะไรบา้ งทีทาํ ไดด้ ี มีอะไรบา้ งทีตอ้ งปรับปรุงแกไ้ ขหรือรับไวเ้ ป็ น
บทเรียน ซึงการเรียนรู้ตามรูปแบบปลาทูนี ถือเป็ นหัวใจสําคญั ของกระบวนการเรียนรู้ทีเป็ นวงจร
อยสู่ ่วนกลางของรูปแบบการจดั การความรู้นนั เอง

~ 154 ~

2. กระบวนการจดั การความรู้
กระบวนการจดั การความรู้ เป็นกระบวนการแบบหนึงทีจะช่วยให้องค์กรเขา้ ถนึงตขอั น ทีทาํ ให้

เกิดการจดั การความรู้ หรือพฒั นาการของความรู้ทีจะเกิดขึนภายในองคก์ ร มีขนั ตอน 7 ขนั ตอน ดงั นี
1. การบ่งชีความรู้ เป็นการพจิ ารณาวา่ เป้ าหมายการทาํ งานของเราคืออะไร และเพือใหบ้ รรลุ

เป้ าหมายเราจาํ ตอ้ งรู้อะไร ขณะนีเรามีความรู้อะไร อยใู่ นรูปแบบใด อยกู่ บั ใคร
2. การสร้างและแสวงหาความรู้ เป็ นการจดั บรรยากาศและวฒั นธรรมการทาํ งานของคน

ในองคก์ รเพือเอือใหค้ นมีความกระตือรือร้นในการแลกเปลียนความรู้ซึงกนั และกนั ซึงจะก่อใหเ้ กิดการ
สร้างความรู้ใหม่เพือใชใ้ นการพฒั นาอยตู่ ลอดเวลา

3. การจดั การความรู้ให้เป็ นระบบ เป็ นการจดั ทาํ สารบญั และจดั เก็บความรู้ประเภทต่าง ๆ
เพอื ใหก้ ารเก็บรวบรวมและการคน้ หาความรู้ นาํ มาใชไ้ ดง้ ่ายและรวดเร็ว

4. การประมวลและกลนั กรองความรู้ เป็ นการประมวลความรู้ใหอ้ ย่ใู นรูปเอกสาร หรือ
รูปแบบอืน ๆ ทีมีมาตรฐาน ปรับปรุงเนือหาใหส้ มบรู ณ์ ใชภ้ าษาทีเขา้ ใจง่ายและใชไ้ ดง้ ่าย

5. การเขา้ ถึงความรู้ เป็ นการเผยแพร่ความรู้เพือใหผ้ อู้ ืนไดใ้ ชป้ ระโยชน์ เขา้ ถึงความรู้ไดง้ ่าย
และสะดวก เช่นใชเ้ ทคโนโลยี เว็บบอร์ด หรือบอร์ดประชาสมั พนั ธ์ เป็นตน้

6. การแบ่งปันแลกเปลียนความรู้ ทาํ ให้หลายวิธีการ หากเป็ นความรู้เด่นชดั อาจจดั ทาํ เป็ น
เอกสาร ฐานความรู้ทีใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ หากเป็ นความรู้ฝังลึกทีอย่ใู นตวั คน อาจจดั ทาํ เป็ นระบบ
แลกเปลยี นความรู้เป็นทีมขา้ มสายงาน ชุมชนแห่งการเรียนรู้ พยงีเลสีอนงาน การสบั เปลยี นงาน การยมื ตวั
เวทีแลกเปลยี นเรียนรู้ เป็นตน้

7. การเรียนรู้ การเรียนรู้ของบุคคลจะทาํ ให้เกิดความรู้ใหม่ ๆ ขึนมากมาย ซึงจะไปเพิมพนู
องคค์ วามรู้ขององคก์ รทีมีอย่แู ลว้ ใหม้ ากขึนเรือย ๆ ความรู้เหล่านีจะถกู นาํ ไปใชเ้ พือสร้างความรู้ใหม่ ๆ
เป็นวงจรทีไนมสส่ ุดิ เรียกว่าเป็น “วงจรแห่งการเรียนรู้

~ 155 ~

ตวั อย่างของการะบวนการจดั การความรู้
“วสิ าหกจิ ชุมชน” บ้านทุ่งรวงทอง

1. การบ่งชีความรู้
หมบู่ า้ นทุ่งรวงทองเป็นหมบู่ า้ นหนึงทีอยใู่ นอาํ เภอจุน จงั หวดั พะเยา จากการทีหน่วยงานต่าง ๆ

ไดไ้ ปส่งเสริมใหเ้ กิดกลุ่มต่าง ๆ ขึนในชุมชน และเห็นความสาํ คญั ของการรวมตวั กนั เพือเกกลู ื คนใน
ชุมชนใหม้ กี ารพึงพาอาศยั ซึงกนั และกนั จึงมีเป้ าหมายจะพฒั นาหม่บู า้ นใหเ้ ป็นวิสาหกิจชุมชน จึงตอ้ งมกี าร
บ่งชีความรู้ทีจาํ เป็ นทีจะพฒั นาหม่บู ้านให้เป็ นวิสาหกิจชุมชนนคือหนาั ขอ้ มูลชุมชนในประเทศไทย
มีลกั ษณะเป็ นวิสาหกิจชุมชน และเมือศึกษาขอ้ มลู แลว้ ทาํ ใหร้ ู้ว่าความรู้เรืองวิสาหกิจ ชุมชนอย่ทู ีไหน
นนั คืออยทู่ ีเจา้ หนา้ ทีหน่วยงานราชการทีมาส่งเสริม และอยใู่ นชุมชนทีมีการทาํ วิสาหกิจชุมชนแลว้ ประสบ
ผลสาํ เร็จ
2. การสร้างและแสวงหาความรู้

จากการศึกษาหาขอ้ มลู แลว้ ว่า หมู่บา้ นทีทาํ เรืองวิสาหกิจชุมชนประสบผลสําเร็จอย่ทู ีไหน
ไดป้ ระสานหน่วยงานราชการ และจดั ทาํ เวทีแลกเปลยี นเรียนรู้เพือเตรียมการในการไปศึกษาดูงาน เมือไป
ศกึ ษาดงู านไดแ้ ลกเปลียนเรียนรู้ ทาํ ใหไ้ ดร้ ับความรู้เพิมมากขึน เขา้ ใจรูปแบบ กระบวนการ ของการทาํ
วิสาหกิจชุมชน และแยกกนั เรียนรู้เฉพาะกลุ่ม เพือนาํ ความรู้ทีไดร้ ับมาปรับใชใ้ นการทาํ วิสาหกิจชุมชน
ในหมบู่ า้ นของตนเอง เมอื กลบั มาแลว้ มีการทาํ เวทีหลายครัง ทงั เวทีใหญ่ทีคนทงั หมู่บา้ นและหน่วยงาน
หลายหน่วยงานมาใหค้ าํ ปรึกษาชุมชนร่วมกนั คิด วางแผน และตดั สินใจ รวมทงั มีเวทีย่อยเฉพาะกลุ่ม
จากการแลกเปลียนเรียนรู้ผ่านเวทีชาวบา้ นหลายครัง ทาํ ให้ชุมชนเกิดการพฒั นาในหลายดา้ น เช่น
ความสมั พนั ธข์ องคนในชุมชน การมสี ่วนร่วม ทงั ร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมดาํ เนินการ ร่วมประเมินผล
และร่วมรับผลประโยชนท์ ีเกิดขึนในชุมชน
3. การจดั การความรู้ให้เป็ นระบบ

การทาํ หมู่บา้ นใหเ้ ป็ นวิสาหกิจชุมชน เป็ นความรู้ใหม่ของคนในชุมชน ชาวบา้ นไดเ้ รียนรู้
ไปพร้อม ๆ กนั มีการแลกเปลียนเรียนรู้กนั อย่างเป็ นทางการและไม่เป็ นทางการ โดยมีส่วนราชการและ
องคก์ รเอกชนต่าง ๆ ร่วมกนั หนุนเสริมการทาํ งานอย่างบูรณาการ และจากการถอดบทเรียนหลายครัง
ชาวบา้ นมีความรู้เพิมมากขึนและบนั ทึกความรู้อย่างเป็ นระบนบคนือั มีความรู้เฉพาะกลุ่ม ส่วนใหญ่
จะบนั ทึกในรูปเอกสาร และมกี ารทาํ วิจยั จากบุคคลภายนอก
4. การประมวลและกลนั กรองความรู้

มีการจดั ทาํ ขอ้ มลู ซึงมาจากการถอดบทเรียน และการจดั ทาํ เป็ นเอกสารเผยแพร่เฉพาะกลุ่ม
เป็ นแหล่งเรียนรู้ให้กบั นกั ศึกษา กศน. และนกั เรียนในระบบโรงเรียน รวงมมทีนั าํ ขอ้ มูลมาวิเคราะห์
เพอื จดั ทาํ เป็นหลกั สูตรทอ้นงขถอิ ง กศน. อาํ เภอจุน จงั หวดั พะเยา

~ 156 ~

5. การเข้าถงึ ความรู้
นอกจากการมีขอ้ มูลในชุมชนแลว้ หน่วยงานต่าง ๆ โดยเฉพาะองค์การบริหารส่วนตาํ บล

ไดจ้ ัดทาํ ข้อมูลเพือให้คนเข้าถึงความรู้ไดง้ ่าย ได้นาํ ข้อมลู ใส่อินเตอร์เน็ต และในแต่ละตาํ บลจะมี
อินเตอร์เน็ตตาํ บลให้บริการ ทาํ ให้คนภายนอกเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย และมีการเขา้ ถึงความรู้จากการ
แลกเปลียนเรียนร่วมกนั จากการมาศึกษาดงู านของคนภายนอก
6. การแบ่งปันแลกเปลยี นความรู้

ในการดาํ เนินงานกลุ่ม ชุมชน ไดม้ ีการแลกเปลียนเรียนรู้กนั ในหลายรูปแบบ ทงั การไปศึกษา
ดงู านการศึกษาเป็นการส่วนตวั การรวมกลุ่มในลกั ษณะชุมชนนกั ปฏบิ ตั ิ (CoP) ทีแลกเปลียน เรียนร่วมกนั
ทงั เป็ นทางการและไม่เป็ นทางการ ทาํ ให้กลุ่มไดร้ ับความนรู้มากแขลึะบางกลุ่มเจอปัญหาอุปสรรค
โดยเฉพาะเรืองการบริหารจดั การกลุ่ม ทาํ ใหก้ ลุ่มตอ้ งมาทบทวนร่วมกนั ใหม่ สร้างความเขา้ ใจร่วมกนั
และเรียนรู้เรืองการบริหารจดั การจากกลุ่มอืนเพมิ เติม ทาํ ใหก้ ลุ่มสามารถดาํ รงอยไู่ ดโ้ ดยไมล่ ่มสลาย

7. การเรียนรู้
กลุม่ ไดเ้ รียนรู้หลายอยา่ งจากการดาํ เนินการวิสาหกิจชุมชน การทีกลุม่ มีการพฒั นาขึน นนั แสดงว่า

กลุ่มมีความรู้มากขึนจากการลงมอื ปฏิบตั ิและแลกเปลยี นเรียนรู้ร่วมกนั การพฒั นา นอกจากความรู้ทีเพมิ ขึน
ซึงเป็ นการยกระดบั ความรู้ของคนในชุมชนแลว้ ยงั เป็ นการพฒั นาความคิด ของคนในชุมชน ชุมชนมี
ความคิดทีเปลียนไปจากเดิม มีการทาํ กิจกรรมเพือเรียนรู้ร่วมกนั บ่อยขึน มีความคิดในการพึงพาตนเอง
และเกิดกลมุ่ ต่าง ๆ ขึนในชุมชน โดยการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน





~ 157 ~

กจิ กรรม

1. รูปแบบของการจดั การความรู้มอี ะไรบา้ ง และมีลกั ษณะอยา่ งไร
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
2. กระบวนการจดั การความรู้มกี ีขนั ตอน อะไรบา้ ง
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................

3. ใหผ้ เู้ รียนยกตวั อยา่ งกลมุ่ หรือชุมชนทีมีการจดั การความรูป้ ระสบผลสาํ เร็จ และอธิบายดว้ ยว่า
สาํ เร็จอยา่ งไร เพราะอะไร

..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................

~ 158 ~

เรืองที 3 : การรวมกล่มุ เพอื ต่อยอดองค์ความรู้

1. บุคคลและเครืองมอื ทเี กยี วข้องกบั การจดั การความรู้

บุคคลทเี กยี วข้องกบั การจดั การความรู้
ในการจดั การความรู้ดว้ ยวิธีการรวมกลุ่มปฏิบตั ิการเพือต่อยอดความรู้ การแลกเปลียนเรียนรู้

เพอื ดึงความรู้ทีฝังลึกในตวั บุคคลออกมาแลว้ สกดั เป็นขมุ ความรู้ หรือองคค์ วามรู้เพือใชใ้ นการปฏบิ ตั ิงานนั
จะตอ้ งมีบุคคลทีส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลียนเรียนรู้ ในบรรยากาศของการมีใจในการแบ่งปันความรู้
รวมทงั ผทู้ ีทาํ หนา้ ทีกระตุน้ ใหค้ นอยากทีจะแลกเปลยี นเรียนรู้ซึงกนั และกนั บุคคล ทีสาํ คญั และเกียวขอ้ งกบั
การจดั การความรู้ มีดงั ต่อไปนี

“คุณเออื ” ชือเต็มคือคณุ “เออื ระบบ” เป็นผนู้ าํ ระดบั สูงขององคก์ ร หนา้ ทีสาํ คญั คือ
1) ทาํ ใหก้ ารจดั การความรู้ เป็นส่วนหนึงของการปฏิบตั ิงานตามปกติขององคก์ ร
2) เปิ ดโอกาสใหท้ ุกคนในองคก์ รเป็น “ผนู้ าํ ” ในการพฒั นาวธิ ีการทาํ งานทีตนรับผดิ ชอบ

และนาํ ประสบการณ์มาแลกเปลียนเรียนรู้กบั เพือนร่วมงาน สร้างวฒั นธรรมการเออื อาทร
และแบ่งปันความรู้
3) หากศุ โลบายทาํ ใหค้ วามสาํ เร็จของการใชเ้ ครืองมอื การจดั การความรู้มีการนาํ ไปใชม้ านกขึ
“คุณอาํ นวย” หรือผอู้ าํ นวยความสะดวกในการจดั การความรู้ เป็ นผกู้ ระตุ้นส่งเสริมใหเ้ กิด
การแลกเปลียนเรียนรู้ และอาํ นวยความสะดวกต่อการแลกเปลียนเรียนรู้ นาํ คนมาแลกเปลยี นประสบการณ์
การทาํ งานร่วมกนั ช่วยใหค้ นเหล่านันสือสารกนั ให้เกิดความเขา้ ใจ เห็นความสามารถของกนั และกนั
เป็ นผูเ้ ชือมโยงคนหรือหน่วยงานเข้ามาหากัน โดยเฉพาะอย่างงเชยือิ มระหว่างคนทีมีความรู้หรื อ
ประสบการณ์กบั ผตู้ อ้ งการเรียนรู้ และนาํ ความรู้นันไปใชป้ ระโยชน์ คุณอาํ นวยตอ้ งมีทกั ษะทีสาํ คญั
คือทกั ษะการสือสารกบั คนทีแตกต่างหลากหลาย รวมทงั ตอ้ งเห็นคุณค่าของความแตกต่างหลากหลาย
และรู้จักประสานความแตกต่างเหล่านันให้มีคุณค่าในทางปฏิบตั ิ ผลักดันให้เกิดการพัฒนางาน
และติดตามประเมินผลการดาํ เนินงาน คน้ หาความสาํ เร็จ หรือการเปลยี นแปลงทีตอ้ งการ
“คุณกจิ ” คือเจา้ หนา้ ทีผปู้ ฏิบตั ิงาน คนทาํ งานทีรับผิดชอบตามหนา้ ทีของตนในองค์กร ถือเป็ น
ผจู้ ดั การความรู้ตวั จริงเพราะเป็ นผดู้ าํ เนินกิจกรรมการจดั การความรู้ มีประมาณร้อยละ 90 ของงหทมั ด
เป็ นผรู้ ่วมกนั กาํ หนดเป้ าหมายการใชก้ ารจดั การความรู้ของกลุ่มตน เป็ นผคู้ น้ หาและแลกเปลียนเรียนรู้
ภายในกลมุ่ และดาํ เนินการเสาะหาและดดู ซบั ความรู้จากภายนอกเพือนาํ มาประยุกต์ ใชใ้ หบ้ รรลุเป้ าหมาย
ร่วมทีกาํ หนดไว้ เป็นผดู้ าํ เนินการจดบนั ทึกและจดั เก็บความรู้ใหห้ มุนเวียนต่อยอดความรู้ไปไมร่ ู้จบ
“คุณลขิ ิต” คือคนทีทาํ หนา้ ทจี ดบนั ทึกกิจกรรมจดั การความรู้ต่าง ๆ เพือจดั ทาํ เป็นคลงั ความรู้
ขององคก์ ร

~ 159 ~

ในการจดั การความรู้ทีอย่ใู นคน โดยการแลกเปลียนเรียนรู้ร่วมกนั จากการเล่าเรืองสู่กนั ฟัง
บุคคลทีส่งเสริมสนบั สนุนให้มีการรวมตวั กันเพือเล่าเรืองคือผูน้ ําสูงสุด หรือทีเรียกว่า “คุณเอือ”
เมือ รวมตวั กนั แลว้ แต่ละคนไดเ้ ล่าเรืองทีประสบผลสาํ เร็จจากการปฏิบตั ิของตนเองออกมาใหเ้ พือนฟัง
คนทีเล่าเรืองแต่ละเรืองนันเรียกว่า “คุณกิจ” และในระหว่างทีเล่าจะมีการซกั ถามความรู้ เพือให้เห็น
แนวทางของการปฏิบตั ิ เทคนิค เคล็ดลบั ในการทาํ งานให้ประสบผลสาํ เร็จ ผทู้ ีทาํ หเรนีย้ากทวีน่าี
“คุณอาํ นวย” และในขณะทีเล่าเรืองจะมีผูค้ อยจดบนั ทึก โดยเฉพาะเคล็ดลบั วิธีการทาํ งานให้
ประสบผลสาํ เร็จนคนือั “คุณลิขิต” ซึงก็หมายถึง คนทีคอยจดบนั ทนึกเนอัง เมือทุกคนเล่าจบ ไดฟ้ ัง
เรืองราว วิธีการทาํ งานให้ประสบผลสาํ เร็จแลว้ ทุกคนช่วยกนั สรุป ความรู้ทีไดจ้ ากการสรุปเนรียี กว่า
“แก่นความรู้” นนั เอง

เครืองมอื ทีเกยี วข้องกบั การจดั การความรู้
การจดั การความรู้ หวั ใจสาํ คญั คือการจดั การความรู้ทีอยใู่ นตวั คน เครืองมือทีเกียวขอ้ งกบั การ

จดั การความรู้เพอื การแลกเปลยี นเรียนรู้จึงมีหลากหลายรูปแบบ ดงั นี
1. การประชุม (สมั มนา ปฏบิ ตั ิการ) ทงั ทีเป็นทางการและไมเ่ ป็นทางการ เป็ นการแลกเปลียน

เรียนรู้ร่วมกนั หน่วยงานองคก์ รต่าง ๆ มีการใชเ้ ครืองมอื การจดั การความรู้ในรูปแบบนีกนั มาก โดยเฉพาะ
กลุม่ งานราชการ

2. การไปศึกษาดูงาน นนั คือแลกเปลยี นเรียนรู้จากการไปศกึ ษาดงู าน มีการซกั ถาม หรือ จดั ทาํ
เวทีแสดงความคิดเห็นในระหว่างไปศกึ ษาดงู าน ก็ถือเป็นการแลกเปลียนความรู้ร่วมกนั คือความรู้ขยายจาก
คนไปสู่คน

3. การเล่าเรือง (Storytelling) เป็ นการร่วมกลุ่มกันของผปู้ ฏิบตั ิงานทีมีลกั ษณะคลา้ ยกนั
ประมาณ 8-10 คน แลกเปลียนเรียนรู้โดยการเล่าเรืองสู่กนั ฟัง การเล่าเรืองผฟู้ ังจะตอ้ งนงั ฟังอยา่ งมีสมาธิ
หรือฟังอยา่ งลึกซึงจะทาํ ใหเ้ ขา้ ใจในบริบทหรือสภาพความเป็ นไปของเรืองทีเล่า เมือแต่ละคนเล่าจบ จะมี
การสกดั ความรู้ทีเป็นเทคนิค วธิ ีการทีใหง้ านประสบผลสาํ เร็จออกมา งานทีทาํ จนประสบผลสาํ เร็จเรียกว่า
best practice หรือการปฏิบตั ิงานทีเลิศ ซึงแต่ละคนอาจมีวิธีการทีแตกต่างกนั ความรู้ทีไดถ้ ือเป็ นการ
ยกระดบั ความรู้ให้กบั คนทียงั ไม่เคยปฏิบตั ิ และสามารถนาํ ความรู้ทีไดร้ ับประยกุ ตใ์ ชเ้ พือพฒั นางานของ
ตนเองได้

4. ชุมชนนกั ปฏิบตั ิ (Community of Practice : CoPS) เป็นการรวมตวั กนั ของคนทีสนใจ เรือง
เดียวกัน รวมตัวกันเพือแลกเปลียนเรี ยนรู้ทงั เป็ นทางการและไม่เป็ นทางการ ผ่านการสือสาร
หลาย ๆ ช่องทาง อาจรวมตวั กนั ในลกั ษณะของการประชุม สมั มนา และแลกเปลียนความรู้กนั หรือ
การรวมตัวในรูปแบบอืน เช่น การตงั เป็ นชมรม หรือใชเ้ ทคโนโลยีในการแลกเปลียนความรู้กนั
ใน ลกั ษณะของเว็บบล็อก ซึงสามารถแลกเปลียนเรียนรู้กนั ไดท้ ุกที ทุกเวลา และประหยดั ค่าใชจ้ ่ายอีกดว้ ย
การแลกเปลียนเรียนรู้จะทาํ ใหเ้ กิดการพฒั นาความรู้ และต่อยอดความรู้

~ 160 ~

5. การสอนงาน หมายถึงการถ่ายทอดความรู้หรือบอกวิธีการทาํ งาน การช่วยเหลือ
ใหค้ าํ แนะนาํ ใหก้ าํ ลงั ใจแก่เพอื นร่วมงาน รวมทงั การสร้างบรรยากาศเพือถ่ายทอดและแลกเปลียนความรู้
จากคนทีรู้มาก ไปสู่คนทีรู้นอ้ ยในเรืองนนั ๆ

6. เพือนช่วยเพือน (Peer Assist) หมายถึง การเชิญทีมอืนมาแบ่งปันประสบการณ์ดี ๆ
ทีเรียกวา่ best practice มาแนะนาํ มาสอน มาบอกต่อ หรือมาเล่าใหเ้ ราฟัง เพือเราจะไดน้ าํ ไปประยุกต์ใช้
ในองคก์ รของเราได้ และเปรียบเทียบเป็นระยะ เพอื ยกระดบั ความรู้และพฒั นางานใหงด้ขียึนิ ต่อไป

7. การทบทวนก่อนการปฏิบตั ิงาน (Before Action Review : BAR) เป็ นการทบทวน
การทาํ งานก่อนการปฏิบตั ิงาน เพือดคู วามพร้อมก่อนเริมการอบรม ใหค้ วามรู้ หรือทาํ กิจกรรมอืน ๆ โดย
การเชิญคณะทาํ งานมาประชุมเพือตรวจสอบความพร้อม แต่ละฝ่ ายนาํ เสนอถึงความพร้อมของตนเอง
ตามบทบาทหนา้ ทีทีไดร้ ับการทบทวนก่อนการปฏิบัติงานจึงเป็ นการป้ องกันความผิดพลาดทีจะเกนิดขึ
ก่อนการทาํ งานนนั เอง

8. การทบทวนขณะปฏิบตั ิงาน (During Action Review : DAR) เป็ นการทบทวนในระหว่าง
ทีทาํ งาน หรือจดั อบรม โดยการสงั เกตและนาํ ผลจากการสังเกตมาปรึกษาหารือและแกป้ ัญหาในขณะ
ทาํ งานร่วมกนั ทาํ ใหล้ ดปัญหา หรืออปุ สรรคในระหวา่ งการทาํ งานได้

9. การทบทวนหลงั การปฏิบตั ิงาน (After Action Review : AAR) เป็ นการติดตามผล หรือ
ทบทวนการทาํ งานของผเู้ ขา้ ร่วมกิจกรรม หรือคณะทาํ งานหลงั เลิกกิจกรรมแลว้ โดยการนังทบทวน สิงที
ไดป้ ฏิบตั ิไปร่วมกนั ผา่ นการเขียนและการพดู ดว้ ยการตอบคาํ ถามง่าย ๆ ว่า คาดหวงั อะไรจากการทาํ
กิจกรรมนี ไดต้ ามทีคาดหวงั หรือไม่ ไดเ้ พราะอะไร ไมไ่ ดเ้ พราะอะไร และจะทาํ อยา่ งไรต่อไป

10. การจดั ทาํ ดชั นีผรู้ ู้ คือการรวบรวมผทู้ ีเชียวชาญ เก่งเฉพาะเรือง หรือภูมิปัญญา มารวบรวม
จดั เก็บไวอ้ ยา่ งเป็ นระงบรูบปแทบบั ทีเป็ นเอกสาร สืออิเล็กทรอนิกส์ เพือใหค้ นไดเ้ ขา้ ถึง แหล่งเรียนรู้
ไดง้ ่าย และนาํ ไปสู่กิจกรรมการแลกเปลียนรู้ต่อไป

เครืองมือในการแลกเปลียนเรียนรู้นีเป็ นเพียงส่วนหนึงของเครืองมืออีกหลายชนิดทีนาํ ไปใช้
การจดั การความรู้ เครืองมือทีมีผนู้ าํ มาใชม้ ากในการแลกเปลียนเรียนรู้ในระดบั ตนเองและระดบั กลุ่ม
คือการแลกเปลียนเรียนรู้โดยเทคนิคการเล่าเรือง การเล่าเรืองการแลกเปลียนเรียนรู้จากวิธีการทาํ งาน
ของคนอนื ทีประสบผลสาํ เร็จ หรือทีเรียกว่า best practice เป็นการเรียนรู้ทานงลคดัือเอนาัเทคนิค วิธีการ
ทาํ งานทีคนอืนทาํ แลว้ ประสบผลสาํ เร็จมาเป็ นบทเรียน และนําวิธนีกมาารปนรั ะยุกต์ใชก้ บั ตนเอง
เกิดวิธีการปฏิบตั ิใหม่ทีดีขึนกว่าเดิม เป็ นวงจรเรือยไปไนมส่ ุดิ การแลกเปลียนเรียนรู้จากการเล่าเรือง
มีลกั ษณะดงั นี

~ 161 ~

การเล่าเรือง
การเล่าเรือง หรือ Storytelling เป็นเครืองมอื อยา่ งง่ายในการจดั การความรู้ ซึงมีวธิ ีการ ไม่ยงุ่ ยาก

ซบั ซอ้ น สามารถใชไ้ ดก้ บั ทุกกลุ่มเป้ าหมาย เป็ นการเล่าประสบการณ์ในการทาํ งานของแต่ละคนว่า
มวี ธิ ีการทาํ อยา่ งไรจึงจะประสบผลสาํ เร็จ

กจิ กรรมเล่าเรอื ง ต้องทาํ อย่างไรบ้าง
กิจกรรมจดั การความรู้ โดยใชเ้ ทคนิคการเล่าเรือง ประกอบดว้ ยกิจกรรมต่าง ๆ ดงั นี
1. ใหค้ ุณกิจ (สมาชิกทุกคน) เขียนเรืองเลา่ ประสบการณ์ความสาํ เร็จในการทาํ งานของ
ตนเองเพือใหค้ วามรู้ฝังลกึ ในตวั (Tacit Knowledge) ปรากฏออกมาเป็นความรู้ชดั แจง้
(Explicit Knowledge)
2. เลา่ เรืองความสาํ เร็จของตนเอง ใหส้ มาชิกในกลมุ่ ยอ่ ย ฟัง
3. คุณกิจ (สมาชิก) ในกล่มุ ช่วยกนั สกดั ขมุ ความรู้ จากเรืองเลา่ เขียนบนกระดาษ
ฟลิปชาร์ต
4. ช่วยกนั สรุปขมุ ความรู้ทีสกดั ไดจ้ ากเรือง ซึงมีจาํ นวนหลายขอ้ ใหก้ ลายเป็นแก่นความรู้
ซึงเป็นหวั ใจทีทาํ ใหง้ านประสบผลสาํ เร็จ
5. ใหแ้ ต่ละกลุ่ม คดั เลอื กเรืองเลา่ ทีดีทีสุด เพือนาํ เสนอในทีประชุมใหญ่
6. รวมเรืองเล่าของทุกคน จดั ทาํ เป็นเอกสารคลงั ความรู้ขององคก์ ร หรือเผยแพร่ผา่ น
ทางเว็บไซต์ เพือแบ่งปัน แลกเปลยี นความรู้ และนาํ มาใชป้ ระโยชน์ในการทาํ งาน

ขุมความรู้ คอื วธิ ีการแก้ปัญหา หรือพฒั นางาน
แก่นความรู้ คอื บทสรุปของขุมความรู้ (เรืองนสี อนให้รู้ว่า)

~ 162 ~

ตวั อย่างเรืองเล่า ...ประสบการณ์ความสําเร็จ

เรือง “อดีตเด็กหลงผดิ สู่ผ้นู ําความคดิ เยาวชน
..อรรพผล บุญเลียง..

“ตอนเด็ก ๆ ชีวิตผลนีก็แบบสุด ๆ เหมือนกนั นะ อย่างตอนมธั ยมตน้ ผมเคยโดนคดี ธนบตั ร
ปลอม พอมาช่วงมธั ยมปลายก็มาโดนคดีคา้ อาวธุ สงคราม ซึงตอนจนะั ว่าไปจริง ๆ มนั ไม่ใช่ ของผมนะ
แต่เป็นของเพอื น ๆ ทีมาอยกู่ บั เรามากกว่า ก็จะมปี ื นเอ็ม 16 สองกระบอก ปื น 11 มม. สองกระบอก มีลกู
กระบอกส่องวิถี 56 นดั ส่วนคดียาเสพติดทีโดน ผมจะมียาบา้ ในครอบครอง 800 เม็ด แลว้ ก็กญั ชา
2 กิโลกรัม

ชีวิตผมมันก็อยู่ในวงกามรานตี ลอด การจะเข้าไปสัมผสั กับสิงเหล่านีมนั ก็เลยไม่ใช่
เรืองแปลกอะไร แลว้ ตอนนีโดนจบั ก็เป็ นการตกกระไดพลอยโจนมากกว่า เพราะนตเอป็นนั นช่วงทีผม
หนั หลงั ใหก้ บั ทุกอยา่ ง แลว้ ก็นจขาึ กบา้ นทีสุราษฎร์ธานีมาเรียนรามคาํ แหง วนั หนึงคิดถึงบา้ นและเพือน ๆ
ก็ เลยกลบั ไปเยยี มเพอื น ตาํ รวจก็มาล็อคตวั พาเขา้ ไปบา้ นทนั ที ผมเจอขอ้ หาคดีสูญกญั ชาและถกู คุมประพฤติ
3 ปี

บางครังเคยเจอเหตุการณ์หนั หลงั ชนกนั กบั เพือน 2 คน แลว้ มีคนลอ้ มรุมกระทืบกว่า 20 คน
ส่วนหนึงอาจจะดว้ ยผมเป็นคนมีเพอื นเยอะ พอใครมาขอความช่วยเหลอื ผมก็ช่วย พอใครเกิดเรืองนอะไรขึ
ก็ตอ้ งเขา้ ไปช่วยทุกที แต่อยา่ งทีบอกครับ ผมก็มขี ีดจาํ กดั การช่วยเหลือของผมอยู่ มี 2 ขอ้ ทีผมจะไม่เขา้ ไป
ช่วย นันคือการไปหาเรืองคนอืนก่อน แลว้ ก็ตอ้ งไม่ใช่เรืองผหู้ ญิง เพราะถา้ เป็ น 2 กผรมณจีนะี ไม่
ช่วยเหลอื อยา่ งเด็ดขาด

อยหู่ ่างบา้ นอยหู่ ่างครอบครัว เบืองหลงั ผมจะเป็ นแบตบลนอี ด แต่พอเขา้ บา้ นปุ๊ บ ผมก็จะ
กลายเป็นลกู ชายทีน่ารัก เป็ นหลานทีเรียบร้อยในสายตายา่ ไปในทนั ที เพราะอะไรเหรอครับ ก็เพราะผม
มีรางวลั เยาวชนดีเด่นแห่งชาติ ประจาํ ปี 2544 การันตีไงครับ ผมเป็ นคนเรียนเก่ง เคยเป็ นตวั แทนของ
โรงเรียนไปประกวดโครงงานวทิ ยาศาสตร์ไดท้ ี 1 ของประเทศ ก่อนจะไปแข่งระดบั นานาชาติ ทีประเทศ
มาเลเซีย ผลก็คือไดร้ ับรางวลั ชนะเลศิ ดา้ งนแสวิดลอ้ มกลบั มาครับ

กระทงั ช่วงทีถกู คุมความประพฤตินันละครับ ครอบครัวถึงรู้ถึงพฤติกรรมผมทงั หมด แต่เมือ
ทุกอยา่ งมนั มาถงึ ทุกคนก็ตอ้ งยอมรับ ซึงในใจส่วนลึกตอนผนมั แคร์ความรู้สึกของยา่ มาก ผมรักยา่ มาก
เพราะท่านเลยี งผมมาตงั 12 ปี ผมไมอ่ ยากใหท้ ่านเสียใจ แต่เมอื เรืองมนั แกไ้ ขไมไ่ ดเ้ สียแลว้ สิงทีผมจะทาํ ได้
คือการปรับปรุงตวั ใหม่ เพอื สร้างความเชือมนั ใหท้ ุกคน ใหค้ ุณยา่ กลบั มาอกี ครัง

ผมตดั สินใจเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพือมาเรียนทีมหาวิทยาลยั รามคาํ แหงอย่างทีตังใจเอาไว้
โดยเลือกคณะรัฐศาสตร์ เอกการเมอื งการปกครอง ผมอยากพสิ ูจนต์ วั เองใหท้ ุกคนเห็นงจทะหั าเงินเรียนเอง
โดยไม่ขอทางบา้ น

~ 163 ~

ผมใชเ้ วลาเรียนปริญญาตรีทีมหาวิทยาลยั รามคาํ แหง 3 ปี จบ ทีสาํ คญั คะแนนเฉียดฉิวว่าจะได้
เกียรตินิยมอนั ดบั 1 ดว้ ยนะครับ บางคนอาจสงสยั ว่า เป็นไปไดย้ งั ไง เรียนไปดว้ ยทาํ งานไปดว้ ย ทีสาํ คญั
การทาํ งานของผม คือการหาเงินมาไดด้ ว้ ยความสุจริต 100 % ครับ

งานสุจริตทีผมทาํ ทีแรกก็คือทีบริษทั ซีพี ผมทาํ ในส่วนงานประสานกิจการสัมพนั ธ์ แลว้ ก็ทาํ
ออร์แกไนซ์ ซึงรายไดจ้ ะอย่ทู ีวนั ละ 200 บาท เรียกไดว้ ่าตอนนนั ใครใชใ้ ห้ทาํ อะไรผมทาํ หมด ขอแต่ว่า
อย่าใหผ้ มทาํ ผดิ กฎหมาย ซึงผมทาํ งานไดป้ ระมาณ 3 เดือน ก็มีกานรเขงิึนให้ผมเป็ นวนั ละ 500 บาท
มนั ทาํ ใหผ้ มดีใจมาก เพราะการไดท้ าํ งานทีนีก็เหมือนเป็ นการเปิ ดโลกทศั น์หลายอยา่ งทางความคิดใหผ้ ม
ไดก้ า้ วมาถงึ ทุกวนั นี

หลายคนอาจจะสงสยั วา่ แลว้ คดีควบคุมความประพฤติทีติดตวั ผมไมม่ ผี ลกบั สงั คม ภายนอกเหรอ
สาํ หรับผมไม่มีครับ เพราะความผดิ มนั ไม่ไดต้ ิดไวท้ ีหนา้ ผาก มนั ไม่ไดโ้ ชวใ์ ห้คนอืนเห็น ในเมือมีคน
ใหโ้ อกาสผมทาํ งาน และทุกคนก็ใหก้ ารตอ้ นรับผม ผมงกใ็จทาํ ตงาั นอยา่ งถึงทีสุด ไม่มีใครมานังพดู พล่าม
ถึงอดีตทีผา่ นมาของผม ทุกคนดูทีการทาํ งานการปฏิบตั ิตวั ในวนั นีของผมมากกวา่

และจุดเปลียนทีสาํ คญั ในชีวิตผมก็คอื ช่วงทีเกิดเหตุสินามิครับ ตอนผนมั เป็นตวั แทนของ บริษทั
ลงไปดูพนื ทีบา้ นนาํ เค็ม จงั หวดั พงั งา ดว้ ยสภาพทีเห็นในนตมอนั นเปน็ั นสภาวะความสูญเสีย ยากจะบรรยาย
จริง ๆ บา้ นเรือน ทรัพยส์ ิน ชีวิต รวมไปถึงการสูญเสียดา้ นจิตใจยากทีจะเยยี วยา มนั เป็ นความรู้สึกทีบอก
ไม่ถูกจริง ๆ ยงิ ผมเห็นสภาพเด็ก ๆ ทีตอ้ งสูญเสียพ่อแม่ไม่เหลือใคร มนั สะทอ้ นถงึงขกอน้งหบวัึ ใจ
เลยทีเดียว

ผมลงพนื ทีสาํ รวจไดพ้ กั หนึง ก็มงาคนิดั กบั เพอื นวา่ ใกลถ้ งึ วนั เด็กแลว้ ก็น่าจะมกี ารจดั งานวนั เด็ก
ใหเ้ ด็ก ๆ ไดส้ นุกสนานกนั จานกเนราั ก็มอเรอิ กไปประกาศทวั พืนทีว่าจะมีการแจกของ มีการจดั กิจกรรม
วนั เด็ก ซึงตอนผนมั กบั เพอื นเราควกั ตงั คข์ องตวั เองเพือไปซือของขวญั มาใหเ้ ด็ก ๆ กว่า 70-80 คน

หลงั จากกลบั ช่วยสึนามิ ผมก็เดินทางกลบั เขา้ กรุงเทพฯ มาทาํ งานเหมอื นเดิม แต่ทิศทาง ความคิด
เริมเปลียน ผมอยากทาํ งาน อยากทาํ กิจกรรมในทางสร้างสรรค์สังคม ผมไม่อยากทิง ความรู้สึกว่าอยาก
ช่วยเหลือเด็ก ๆ นอ้ ง ๆ เยาวชน ดีทีการไปทาํ กิจกรรมทีบา้ านเคน็ํ มผมไดเ้ พือน 2 คน ซึงอดุ มการณ์ตรงกนั
มีไอเดียตรงกนั จนมาตงั กลุม่ Y-ACT ซึงเราจะทาํ กิจกรรมเกียวกบั เด็ก และเยาวชน

กล่มุ ของเราจะทาํ หน้าทีอบรมนอ้ ง ๆ ทวั ประเทศในเรืองต่าง ๆ อย่างเช่น กิจกรรมสร้างสรรค์
จิตสาธารณะ การพฒั นาโครงการ ทกั ษะผนู้ าํ รณรงคเ์ รืองเหลา่ บุหรี เอดส์ รวมไปถึงการอบรม ในส่วน
ของหน่วยงานต่าง ๆ ในทีสุดผมลาออกจากงานประจาํ มาทาํ งานนีเต็มตวั ผมมีความสุขกบั การทาํ งาน
ทุกวนั นีมาก”

“คนเราทุกคนลว้ นยอ่ มเคยทาํ ผดิ กนั ทงั นนั ไม่มใี ครทีไมเ่ คยทาํ ไม่ผดิ อยทู่ ีวา่ เมือเราทาํ ผดิ แลว้ เรา
จะใชเ้ วลานานแคไ่ หนในการสาํ นึกผดิ และหนั หลบั มาใชบ้ ทเรียนทีผา่ นมา กา้ วมาอยกู่ บั ปัจจุบนั และอนาคต
ทีดีกว่าเดิมได้ เท่านีทีเคยทาํ ผดิ พลาดมาก็จะถกู ลบเลอื นหายไปดว้ ย คุณค่าแห่งความดีทีจะพิสูจน์ว่าความดี
ยอ่ มชนะความชวั เสมอ”

~ 164 ~

2. ชุมชนนักปฏบิ ตั หิ รือชุมชนแห่งการเรียนรู้ (CoPs)
ในชุมชนมีปัญหาซบั ซอ้ น ทีคนในชุมชนตอ้ งร่วมกนั แกไ้ ข การจดั การความรู้จึงเป็ นเรืองที

ทุกคนตอ้ งใหค้ วามร่วมมอื และใหข้ อ้ เสนอแนะในเชิงสร้างสรรค์ การรวมกลุ่มเพือแกป้ ัญหาหรือร่วมมือ
กนั พฒั นาโดยการแลกเปลียนเรียนรู้ร่วมกนั เรียกวา่ ชุมชนนกั ปฏิบตั ิ บุคคลในกลุ่มจึงตอ้ งมีเจตคติทีดีใน
การแบ่งปันความรู้ นาํ ความรู้ทีมีอยพู่ ฒั นากลุม่ จากการลงมอื ปฏิบตั ิ และเคารพในความคิดเห็นของผอู้ นื

ชุมชนนกั ปฏิบัตคิ อื อะไร
ชุมชนนักปฏิบตั ิคือคนกลุ่มเล็ก ๆ ซึงทาํ งานดว้ ยกนั มาระยะหนึง มีเป้ าหมายร่วมกนั และ

ตอ้ งการทีจะแบ่งปันแลกเปลียนความรู้ ประสบการณ์จากการทาํ งานร่วมกนั กลุ่มดงั กล่าวมกั จะไม่ได้
เกิดจากการจดั ตงั โดยองค์กร หรือชุมชน เป็ นกลุ่มทีเกิดจากความตอ้ งการแกป้ ัญหา พฒั นาตนเอง
เป็ นความพยายามทีจะทาํ ใหค้ วามฝันของตนเองบรรลุผลสาํ เร็จ กลุ่มนทไีเกมิด่มขีอึ าํ นาจใด ๆ ไม่มี
การกาํ หนดไวใ้ นแผนภูมิโครงสร้างองคก์ ร ชุมชน เป้ าหมายของการเรียนรู้ของคนมีหลายอยา่ ง ดงั นนั
ชุมชนนักปฏิบตั ิจึงมิไดม้ ีเพียงกลุ่มเดียว แต่เกิดขึนเป็ นจาํ นวนมากงนทีอั ยทู่ ีประเด็นอเหนาื ทีตอ้ งการ
จะเรียนรู้ร่วมกนั นนั เอง และคนคนหนึงอาจจะเป็นสมาชิกในหลายชุมชนก็ได้

ชุมชนนกั ปฏบิ ัตมิ คี วามสําคญั อย่างไร
ชุมชนนกั ปฏบิ ตั ิเกิดจากลุ่มทีมีเครือข่ายความสมั พนั ธ์ทีไม่เป็ นทางการมารวมกนั เกิดจากความ

ใกลช้ ิด ความพอใจจากการมีปฏิสมั พนั ธร์ ่วมกนั การรวมตวั กนั ในลกั ษณะทีไม่เป็ นทางการ จอะตเอ่อื การ
เรียนรู้ และการสร้างความรู้ใหม่ ๆ มากกว่าการรวมตวั กนั เป็นทางการ มจี ุดเนน้ คือ ตอ้ งการเรียนรู้ร่วมกนั
จากประสบการณ์การทาํ งานเป็ นหลกั การทาํ งานในเชิงปฏิบตั ิ หรือจากปัญหา ในชีวิตประจาํ วนั หรือ
เรียนรู้เครืองมือใหม่ ๆ เพือนาํ มาใชใ้ นการพฒั นางาน หรือวิธีการทาํ งานทีไดผ้ ล และไม่ไดผ้ ล การมี
ปฏิสมั พนั ธ์ระหว่างบุคคล ทาํ ใหเ้ กิดการถ่ายทอดแลกเปลียนความรู้ฝังลึก สร้างความรู้ และความเขา้ ใจ
ไดม้ ากกว่าการเรียนรู้จากหนังสือ หรือการฝึ กอบรมตามปกติ เครือข่ายทีไม่เป็ นทางการ ในเวทีชุมชน
นกั ปฏิบตั ิซึงมีสมาชิกจากต่างหน่วยงาน ต่างชุมชน จะช่วยให้องคก์ ร หรือชุมชนประสบความสาํ เร็จ
ไดด้ ีกวา่ การสือสารตามโครงสร้างทีเป็นทางการ

ชุมชนนกั ปฏบิ ัตเิ กดิ ขนึ ได้อย่างไร
การรวมกลุ่มปฏิบตั ิการ หรือการก่อตวั ขึนเป็ นชุมชนนกั ปฏิบตั ิได้ ลว้ นเป็ นเรืองทีเกียวกบั คน

คนตอ้ งมี 3 สิงต่อไปนีเป็นอเงบตื น้ คือ
1. ต้องมเี วลา คือมีเวลาทีจะมาแลกเปลียนเรียนรู้ มาร่วมคิด ร่วมทาํ ร่วมแกป้ ัญหา ช่วยกนั

พฒั นางาน หรือสร้างสรรคส์ ิงใหม่ ๆ ให้เกิดขึน หากคนทีมารวมกลุ่มไม่มีเวลา หรือไม่จดั สรรเวลาไว้
เพอื การนีก็ไม่มที างทีจะรวมกลมุ่ ปฏบิ ตั ิการได้

~ 165 ~

2. ต้องมีเวทีหรือพืนที การมีเวทีหรือพืนทีคือการจัดหาหรือกาํ หนดสถานทีทีจะใชใ้ นการ
พบกลุ่ม การชุมชน พบปะพดู คุยสนทนาแลกเปลียนความคิด แลกเปลียนประสบการณ์ตามทีกลุ่ม ได้
ช่วยกนั กาํ หนดขึน เวทีดงั กล่าวอาจมีหลายรูปแบบ เช่นการจดั ประชุม การจดั สมั มนา การจดั เวที
ประชาคม เวทีขา้ งบา้ น การจดั เป็นมุมกาแฟ มุมอ่านหนงั สือ เป็นตน้

การจดั ใหม้ เี วทีหรือพนื ทีดงั กล่าว เป็ นการทาํ ใหค้ นไดม้ ีโอกาสแลกเปลียนเรียนรู้ในบรรยากาศ
สบาย ๆ เปิ ดโอกาสใหค้ นทีสนใจเรืองคลา้ ย ๆ กนั หรือคนทีทาํ งานดา้ นเดียวกนั มีโอกาส จบั กลุ่มปรึกษา
หารือกนั ไดโ้ ดยสะดวก ตามความสมคั รใจ ในภาษาองั กฤษเรียกการชุมนุมลกั ษณะ นีว่า Community of
Practices หรือเรียกยอ่ ว่า CoPs ในภาษาไทยเรียก ชุมชนนกั ปฏิบตั ิ

ชุมชนนกั ปฏบิ ตั ิเป็นคาํ ทีใชก้ นั โดวยไทปั และมีคาํ อืน ๆ ทีมีความหมายเดียวกนั นี เช่น ชุมชน
แห่งการเรียนรู้ ชุมชนปฏิบตั ิการ หรือเรียกคาํ ยอ่ ในภาษาองั กฤษว่า CoPs ก็เป็นทีเขา้ ใจกนั

3. ต้องมไี มตรี คนตอ้ งมีไมตรีต่อกนั เมือมาพบปะกนั การมีไมตรีเป็ นเรืองของใจ การามใีนจํ
ต่อกนั มีใจใหก้ นั และกนั เป็ นใจทีเปิ ดกวา้ ง รับฟังความคิดเห็นของผอู้ ืน พร้องมใหรับม่สๆิ ไม่ยดึ ติด
อยกู่ บั สิงเดิม ๆ มีความเอืออาทร พร้อมทีจะช่วยเหลอื เกือกลู ซึงกนั และกนั

การรวมกลุ่มปฏิบตั ิการ จะดาํ เนินไปไดด้ ว้ ยดี บรรลุตามเป้ าหมายทีตงั ใจ จะตอ้ งมีเวลา เวที
ไมตรี เป็ นองค์ประกอบทีช่วยสร้างบรรยากาศทีเปิ ดกวา้ ง แลอะเออาํ ื นวยต่อการแสดงความคิดเห็น
ทีหลากหลายในกลมุ่ จะทาํ ใหไ้ ดม้ มุ มองทีกวา้ งขวางยงิ ขึน

รูปแบบของเวทีชุมชนนักปฏบิ ตั ิ
การแลกเปลียนเรียนรู้ผ่านเวทีชุมชนนักปฏิบตั ิมีหลากหลายรูปแบบ เช่นการมารวมกลุ่มกนั

เพือแลกเปลียนความรู้ระหว่างกนั ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การประชุม การสัมมนา การจดั เวทีประชาคม
เวทีขา้ งบา้ น การจดั เป็ นมุมกาแฟ มุมอ่านหนงั สือ แต่ในปัจจุบนั มีการใชเ้ ทคโนโลยีมาใชใ้ นการสือสาร
ทาํ ให้เกิดการแลกเปลียนเรียนรู้ร่วมกนั ผ่านทางอินเตอร์เน็ต ดนงั รนูปั แบบของการแลกเปลียนเรียนรู้
ทีเรียกว่า “เวทีชุมชนนกั ปฏิบตั ิ” จึงมี 2 รูปแบบ ดงั นี

1. เวทีจริง เป็ นการรวมตวั กนั เป็ นกลุ่มหรือชุมชน และมาแลกเปลียนเรียนรู้ร่วมกนั ดว้ ยการ
เห็นหนา้ กนั พดู คุย แลกเปลียนความคิดเห็งแบนบทเปั็นทางการและไม่เป็ นทางการ แต่การ แลกเปลียน
ในลกั ษณะนีจะมขี อ้ จาํ กดั ในเรืองค่าใชจ้ ่ายในการเดินทางมาพบกนั แต่สามารถแลกเปลียน เรียนรู้ร่วมกนั
ไดใ้ นเชิงลกึ

~ 166 ~

2. เวทีเสมือน เป็ นการรวมตัวกันเชือมเป็ นเครือข่ายเพือแลกเปลียนเรียนรู้ร่วมกนั ผ่านทาง
อินเตอร์เน็ต ซึงในปัจจุบนั มกี ารใชอ้ นิ เตอร์เน็ตในการสือสารหรือคน้ ควา้ ขอ้ มลู กนั อยา่ งแพร่หงลใานย ทั
ประเทศและต่างประเทศ การแลกเปลยี นเรียนรู้ในลกั ษณะนีเป็นการแลกเปลียนเรียนรู้แบบไม่เป็ นทางการ
มีปฏิสมั พนั ธ์กนั ผ่านทางออนไลน์ จะเห็นหนา้ กนั หรือไม่เห็นหน้ากนั ก็ได้ และจะมีความรู้สึกเหมือน
อยใู่ กลก้ นั จึงเรียกว่า เวทีเสมือน นันคือเสมือนอยใู่ กลก้ นั นนั เอง การแลกเปลียน เรียนรู้จะใชว้ ิธีการ
บนั ทึกผ่านเว็บบล็อกซึงเหมือนสมุดบนั ทึกเล่มหนึงทีอย่ใู นอินเตอร์เน็ต สามารถบนั ทึกเพือแลกเปลียน
เรียนรู้และส่งขอ้ มลู หากนั ไดท้ ุกที ทุกเวลา และประหยดั ค่าใชจ้ ่ายเนืองจากไม่ตอ้ งเดินทางมาพบกนั

ชุมชนแห่งการเรียนรู้
ชุมชนแห่งการเรียนรู้ คือการทีคนในชุมชนเขา้ ร่วมในกระบวนการเรียนรู้ พร้อมทีจะเป็ นผใู้ ห้

ความรู้และรับความรู้ จากการแบ่งปันความรู้ทงั ในตนเองและความรู้ในเอกสารให้แก่กนั และกนั ชุมชน
แห่งการเรียนรู้จึงมที งั ระบบบุคคลและระดบั กลุม่ เชือมโยงกนั เป็นเครือข่ายเพือเรียนรู้ร่วมกนั

การส่งเสริมใหช้ ุมชนเป็ นชุมชนแห่งการเรียนรู้จึงตอ้ มงทเรีติ วั บุคคล เริมตน้ จากการทาํ ความ
เขา้ ใจ สร้างความตระหนกั ให้กบั คนในชุมชนเป็ นบุคคลแห่งการเรียนรู้ เห็นความสาํ คญั ของการ มีนิสัย

~ 167 ~

ใฝ่ เรียนรู้ ส่งเสริมใหเ้ กิดการเรียนรู้จากกิจกรรมทีรัฐบาลหรือองค์การชุมชนจดั ให้ จากการพบปะ พดู คุย
แลกเปลียนเรียนรู้ร่วมกนั อยา่ งสมาํ เสมอ จนเกิดเป็ นความเคยชินและเห็นประโยชน์จากความรู้ทีไดร้ ับ
เพมิ ขึน

การสร้างนิสัยใฝ่ เรียนรู้ของบุคคล คือการให้ประชาชนในชุมชนไดร้ ับบริการต่าง ๆ ทีสนใจ
อย่างต่อเนืองสมาํ เสมอ กระตุน้ ให้เกิดความอยากรู้อยากเห็นเป็ นอนั ดับแรก เกิดความตระหนักถึง
ความสาํ คญั ของการศึกษาหาความรู้ เกิดการเรียนรู้อยา่ งต่อเนือง เป็ นผนู้ าํ ในการพฒั นาดา้ นต่าง ๆงกทาัร
เรียนรู้จากหนงั สือ เรียนรู้เพอื พฒั นาอาชีพและการพฒั นาคุณภาพชีวิต

ดังนัน บุคคลถือเป็ นส่วนหนึงของชุมชนหรือสังคม การส่งเสริมบุคคลเป็ นผใู้ ฝ่ เรียนรู้
ยอ่ มส่งผลใหช้ ุมชนเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ดว้ ย การส่งเสริมใหช้ ุมชนมสี ่วนร่วมในการแลกเปลยี น เรียนรู้
ร่วมกนั อย่างสมาํ เสมอ ทังเป็ นทางการและไม่เป็ นทางการ จะทาํ ใหเ้ กิดการหมุนเกลียวของความรู้
หากบุคคลในชุมชนเกิดความคุ้นเคยและเห็นความสาํ คัญของการเรียนรู้อยู่เสมอ จะเป็ นกา้ วต่อไป
ของการพฒั นาชุมชนและสงั คมใหเ้ ป็นสงั คมแห่งการเรียนรู้

ตวั ชีวดั ระดับกล่มุ
1. มีเวทีชุมชนแลกเปลยี นเรียนรู้ในหลายระดบั
2. มีกล่มุ องคก์ ร เครือข่ายทีมีการเรียนรู้ร่วมกนั อยา่ งต่อเนือง
3. มชี ุดความรู้ องคค์ วามรู้ ภมู ปิ ัญญา ทีปรากฏเด่นชดั และเป็นประสบการณ์เรียนรู้ของ
ชุมชน ถกู บนั ทึกและจดั เก็บไวใ้ นรูปแบบต่าง ๆ

4. การจดั ทาํ สารสนเทศเผยแพร่ความรู้

สารสนเทศ
คือขอ้ มลู ต่าง ๆ ทีผา่ นการกลนั กรองและประมวลผลแลว้ บวกกบั ประสบการณ์ ความเชียวชาญ

ทีสะสมมาแรมปี มีการจดั เก็บหรือบนั ทึกไว้ พร้อมในการนาํ มาใชง้ าน

การจดั ทาํ สารสนเทศ
ในการจดั การความรู้ จะมีการรวบรวมและสร้างองค์ความรู้ทีเกิดจากการปฏิบตั ิขึนมากมาย

การจดั ทาํ การสนเทศจึงเป็ นการสร้างช่องทางใหค้ นทีตอ้ งการใชค้ วามรู้สามารถเขา้ ถึงองค์ความรู้ได้ และ
ก่อใหเ้ กิดการแบ่งปันความรู้ร่วมกนั อยา่ งเป็นระบบ ในการจดั เก็บเพอื ใหค้ น้ หา ความรู้คือไนดง้อ่างยคขก์ ึ ร
ตอ้ งกาํ หนดสิงสาํ คญั ทีจะเก็บไวเ้ ป็นองคค์ วามรู้ และตอ้ งพิจารณาถงึ วธิ ีการในการเก็บรักษา และนาํ มาใช้
ใหเ้ กิดประโยชนต์ ามตอ้ งการ องคก์ รตอ้ งเก็บรักษงาทสีอิ งคก์ ร เรียกว่าเป็นความรู้ไวใ้ หด้ ีทีสุด

~ 168 ~

การจดั ทาํ สารสนเทศ ควรจดั ทาํ อยา่ งเป็นระบบ และควรเป็นระบบทีสามารถคน้ หาและ ส่งมอบ
ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งและรวดเร็ว ทนั เวลาและเหมาะสมกบั ความตอ้ งการ และจดั ให้มีการจาํ แนกรายการต่าง ๆ
ทีอยบู่ นพืนฐานตามความจาํ เป็ นในการเรียนรู้ องคก์ รตอ้ งพิจารณาถึงความแตกต่าง ของกลุ่มคนในการ
คน้ คืนความรู้ องคก์ รตอ้ งหาวิธีการให้พนกั งานทราบถึงช่องทางการคน้ หาความรู้ เช่นการทาํ สมุดจดั เก็บ
รายชือ และทกั ษะของผเู้ ชียวชาญ เครือข่ายการทาํ งานตามลาํ ดบั ชนั การประชุม การฝึ กอบรม เป็ นตน้
สิงเหล่านีจะนาํ ไปสู่การถ่ายทอดความรู้ในองคก์ ร

วตั ถุประสงค์การจดั ทาํ สารสนเทศ
1. เพอื ใหม้ รี ะบบการจดั เก็บขอ้ มลู และองคค์ วามรู้ อยา่ งเป็นหมวดหมู่ และเหมาะสมต่อการใช้

งาน และสามารถคน้ หาไดต้ ลอดเวลา สะดวก ง่าย และรวดเร็ว
2. เพอื ใหเ้ กิดระบบการสือสาร การแลกเปลียน แบ่งปัน และถ่ายทอดองคค์ วามรู้ระหว่างกนั

ผา่ นสือต่าง ๆ อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ
3. เพือใหเ้ กิดการเขา้ ถึงและเชือมโยงองค์ความรู้ ระหว่างหน่วยงานทงั ภายในและภายนอก

อยา่ งเป็นระบบ สะดวกและรวดเร็ว
4. เพือรวบรวม และจดั เก็บความรู้จากผมู้ ีประสบการณ์ รวมถึงผเู้ ชียวชาญในรูปแบบต่าง ๆ

ใหเ้ ป็นรูปธรรม เพอื ใหท้ ุกคนสามารถเขา้ ถงึ ความรู้และพฒั นาตนเองใหเ้ ป็นผรู้ ู้ได้
5. เพอื นาํ เทคโนโลยสี ารสนเทศ มาใชเ้ ป็ นเครืองมือในการถ่ายทอดระหว่างความรู้ฝังลึก กบั

ความรู้ชดั แจง้ ทีสามารถเปลยี นสถานะระหว่างกนั ตลอดเวลา ทาํ ใหเ้ กิดความรู้ใหม่ ๆ

การเผยแพร่ความรู้
เป็นการนาํ ความรู้ทีไดร้ ับมาถา่ ยทอดใหบ้ ุคลากรในองค์กรไดร้ ับทราบ และให้มีความรู้เพียงพอ

ต่อการปฏิบตั ิงาน การเผยแพร่ความรู้จึงเป็ นองคป์ ระกอบหนึงของการจดั การความรู้ การเผยแพร่ความรู้
มีการปฏิบตั ิกนั มานานแลว้ สามารถทาํ ให้หลายทางคือ การเขียนบนั ทึก รายงาน การฝึ กอบรม
การประชุม การสมั มนา จดั ทาํ เป็นบทเรียงนใทนัรูปแบบของหนงั สือ บทความ วดิ ิทศั น์ การอภิปรายของ
เพือนร่วมงานในระหวา่ งการปฏบิ ตั ิงาน การอบรมพนกั งานใหม่อยา่ งเป็นทางการ หอ้ งสมุด การฝึ กอบรม
อาชีพและการเป็ นพยงีเลี การแลกเปลียนเรียนรู้ในรูปแบบอืน ๆ เช่น ชุมชนนักปฏิบตั ิ เรืองเล่า
แห่งความสาํ เร็จ การสมั ภาษณ์ การสอบถาม เป็ นตน้ การถ่ายทอดหรือ เผยแพร่ความรู้ มีการพฒั นา
รูปแบบโดยอาศยั เทคโนโลยีเพือการสือสาร และเทคโนโลยีมีการกระจายไปอย่างกวา้ งขวาง ทาํ ให้
กระบวนการถา่ ยทอดความรู้ผา่ นเทคโนโลยโี ดยเฉพาะอินเตอร์เน็ตไดร้ ับความนิยมอยา่ งแพร่หลายมานกขึ

การเผยแพร่ความรู้และการใชป้ ระโยชน์มีความจาํ เป็ นสาํ หรับองค์กร เนืองจากองค์กรจะเรียนรู้
ไดด้ ีขึนเมอื มีความรู้ มกี ารกระจายและถ่ายทอดไปอยา่ งรวดเร็ว และเหมาะสวมททงั ั องค์กร การเคลือนที
ของสารสนเทศและความรู้ระหวา่ งบุคคลหนึงไปอกี บุคคลหนึงนนั จึงเป็นไปไดโ้ ดงยใตจั และไมต่ งั ใจ

~ 169 ~

 กจิ กรรม

1. หากผเู้ รียนเป็น “คุณอาํ นวย” ผเู้ รียนมีวธิ ีกระตุน้ ใหเ้ พือนเลา่ เรืองในเชิงลกึ เพือแลกเปลยี นเรียนรู้
ร่วมกนั ไดด้ ว้ ยวิธีใด

..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................

2. ความรู้ทีจาํ เป็นในการแกป้ ัญหาหรือพฒั นาตวั ผเู้ รียนคืออะไร และขอบข่ายความนรมู้นีอั ะไรบา้ ง
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................

3. การจดั ทาํ สารสนเทศเพือเผยแพร่ความรู้ ผเู้ รียนคิดว่าวธิ ีใดเผยแพร่ไดด้ ีทีสุด เพราะเหตุใด
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................

~ 170 ~

เรืองที 4 : การฝึ กทกั ษะกระบวนการจดั การความรู้

1. กระบวนการจดั การความรู้ด้วยตนเอง

การจดั การความรู้ด้วยตนเอง
การจดั การความรู้ดว้ ยตนเอง จะทาํ ใหผ้ เู้ รียนเรียนรู้หลกั การอนั แทจ้ ริงในการพฒั นาตนเอง และ

จูงใจตนเองใหก้ า้ วไปสู่การพฒั นาคุณภาพชีวิตและคุณภาพในการทาํ งาน เป็นผมู้ ีสมั ฤผทลธสิ ูงสุด โดยการ
นาํ องค์ความรู้ทีเป็ นประโยชน์ไปประยุกตใ์ ชใ้ นชีวิตจริง และการทาํ งานไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ และ
สามารถปรับตวั ทนั ต่อโลกยคุ โลกาภิวตั น์ มีโอกาสแลกเปลยี นเรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตและ ประสบการณ์
การทาํ งานร่วมกนั มีทศั นคติทีดีต่อชีวิตตนเองและผอู้ ืน มีความกระตือรือร้นและเสริมสร้างทศั นคติทีดี
ต่อการทาํ งาน นาํ ไปสู่การเห็นคุณค่าของการอยรู่ ่วมกนั แบบพงึ พาอาศยั กนั ช่วอยกเกลู ื เรียนรู้ซึงกนั และกนั
ก่อใหเ้ กิดการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ ในลกั ษณะของทีมทีมปี ระสิทธิภาพ

การจดั การความรู้เป็นเรืองมทตีเรน้ิ ทีคน เพราะความรู้เป็งนทสีเกิ ิดมาจากคน มาจากกระบวนการ
เรียนรู้การคิดของคน คนจึงมีบทบาททงั ในแง่ของผสู้ ร้างความรู้และเป็ นผทู้ ีใชค้ วามรู้ ซึงถา้ จะมองภาพ
กวา้ งออกไปเป็นครอบครัว ชุมชน หรือแมแ้ ต่ในหน่วยงาน ก็จะเห็งคนรอไบดคว้ ่ารทัวั ชุมชน หน่วยงาน
ลว้ นประกอบขึนมากจากคนหลาย ๆ คน ดงั นนั หากระดบั ปัจเจกบุคคลมีความสามารถในการจดั การความรู้
ยอ่ มส่งผลต่อความสามารถในการจดั การความรู้ของกล่มุ ดว้ ย

วธิ ีการเรียนรู้ทีเหมาะสมเพือใหเ้ กิดการจดั การความรู้ดว้ ยตนเอง คือใหผ้ เู้ รียนไดเ้ ริมกระบวนการ
เรียนรู้ตงั แต่การคิด คิดแลว้ ลงมือปฏิบตั ิ และเมือปฏิบตั ิแลว้ จะเกิดความรู้จากการปฏิบตั ิ ซึงผปู้ ฏิบตั ิ
จะจดจาํ ทงั ส่วนทีเป็นความรู้ฝังลึกและความรู้ทีเปิ ดเผย มกี ารบนั ทึกความรู้ในระหว่างเรียนรู้ กิจกรรมหรือ
โครงการลงในสมุดบนั ทึก ความรู้ปฏิบตั ิทีบนั ทึกไวใ้ นรูปแบบต่าง ๆ จะเป็นประโยชน์ สาํ หรับตนเองและ
ผอู้ ืนในการนาํ ไปปฏิบตั ิแกไ้ ขปัญหาทีชุมชนประสบอย่ใู ห้บรรลุเป้ าหมาย และขนั สุดทา้ ย ให้ผเู้ รียนได้
พฒั นาปรับปรุงสิงทีกาํ ลงั เรียนรู้อยตู่ ลอดเวลา ยอ้ นดูว่าในกระบวนการเรียนรู้นัน มีความบกพร่อง
ในขนั ตอนใด ก็ลงมอื พฒั นาตรงจนุดในหั ด้ ี

ทักษะการเรียนรู้ เพอื จดั การความรู้ในตนเอง
ผเู้ รียนจะตอ้ งพฒั นาตนเอง ใหม้ ีความสามารถและทกั ษะในการจดั การความรู้ดว้ ยตนเอง ให้มี

ความรู้ทีสูงขึน ซึงสามารถฝึกทกั ษะเพอื การเรียนรู้ไดด้ งั นี
ฝึ กสังเกต ใช้สายตาและหูเป็ นเครื องมือ การสังเกตจะช่วยให้เขา้ ใจในเหตุการณ์หรื อ

ปรากฏการณ์นนั ๆ

~ 171 ~

ฝึ กการนําเสนอ การเรียนรู้จะกวา้ งขึนไดอ้ ย่างไร หากรู้อย่คู นเดียว ตอ้ งนาํ ความรู้ไปสู่การ
แลกเปลียนเรียนรู้กบั คนอืน การนาํ เสนอให้คนอืนรับทราบ จะทาํ ให้เกิดการแลกเปลียนความรู้กนั
อยา่ งกวา้ งขวาง

ฝึ กตังคําถาม คาํ ถามจะเป็ นเครืองมืออยา่ งหนึงในการเขา้ ถึงความรู้ได้ เป็ นงคกาํ าถราตมั
ใหต้ นเองตอบ หรือจะใหใ้ ครตอบก็ได้ ทาํ ให้ไดข้ ยายขอบข่ายความคิด ความรู้ ทาํ ใหร้ ู้สึก และรู้กวา้ ง
ยงิ ขึนไปอีก อนั เนืองมาจากการทีไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ ในคาํ ถามทีสงสัยนนั คาํ ถามควรจะถามว่า ทาํ ไม
อยา่ งไร ซึงคาํ ถามระดบั สูง

แสวงหาคําตอบ ต้องรู้ว่าความรู้หรือคาํ ตอบทีตอ้ งการนันมีแหล่งข้อมูลให้ค้นควา้ ได้จาก
ทีไหนบา้ ง เป็นความรู้ทีอยใู่ นหอ้ งสมุด ในอนิ เตอร์เน็ต หรือเป็นความรู้ทีอย่ใู นตวั คน ทีตอ้ งไปสัมภาษณ์
ไปสกดั ความรู้ออกมา เป็นตน้

ฝึ กบูรณาการเชือมโยงความรู้ เนืองจากความรู้เรืองหนึงเรืองใดไม่มีพรมแดนกนั ความรู้นนั
สัมพนั ธเ์ ชือมโยงกนั ไปหมด จึงจาํ เป็ นตอ้ งรู้ความเป็ นองค์รวมของนเรๆืองนอยั า่ งยกตวั อย่างปุ๋ ยหมกั
ไม่เฉพาะแต่มีความรู้เรืองวิธีทาํ เท่านัน แต่เชือมโยงการกาํ หนดราคาไวเ้ พือจะขาย โยงไปทีวิธีใช้ ถา้ จะ
นาํ ไปใชเ้ อง หรือแนะนาํ ใหผ้ อู้ ืนใช้ โยงไปถึงบรรจุภณั ฑว์ ่าจะบรรจุกระสอบแบบไหน ทุกอยา่ งบูรณาการ
กนั หมด

ฝึ กบันทึก จะบนั ทึกแบบจดลงสมุด หรือเป็ นภาพ หรือใชเ้ ครืองมือบนั ทึกใด ๆ ก็ได้ ตอ้ ง
บนั ทึกไว้ บนั ทึกไวป้ รากฏร่องรอยหลกั ฐานของการคิดการปฏิบตั ิ เพือการเขา้ ถึงและการเรียนรู้ของ
บุคคลอืนดว้ ย

การฝึ กเขียน เขียนรายการของตนเองให้เป็ นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของตนเองและผูอ้ ืน
งานเขียนหรือขอ้ เขียนดงั กล่าวจะกระจายไปเพือแลกเปลียนเรียนรู้กบั ผคู้ นในสงั คมทีมาอ่านงานเขียน

ขันตอนการจดั การความรู้ด้วยตนเอง
ในการเรียนรู้เพอื จดั การความรูใ้ นตวั เอง นอกจากวเิ คราะห์ตนเองเพอื กาํ หนดองคค์ วามรู้ ทีจาํ เป็ น

ในการพฒั นาตนเองแลว้ นัน การแลกเปลียนเรียนรู้เพือให้ไดม้ าซึงความรู้ เป็ นวิธีการคน้ หา และเขา้ ถึง
ความรู้ทีง่ายเป็นการเรียนรู้ทางลดั นคนือั ดูว่าทีอืนทาํ อย่างไร เลียนแบบ best practice และทาํ ให้ดีกว่า
เมอื ปฏบิ ตั ิแลว้ เกิดความสาํ เร็จแมเ้ พียงเล็กนอ้ ยก็ถือว่าเป็ น best pracนticeกรใะนบขวณนะกนารั เรียนรู้
เพือพฒั นาตนเองสามารถดาํ เนินการตามขนั ตอนต่าง ๆ ได้ ดงั นี

~ 172 ~

1. ขันการบ่งชีความรู้ ผเู้ รียนวิเคราะห์ตนเอง เพือรู้จุดอ่อน จุดแข็งของตนเอง กาํ หนด
เป้ าหมายในชีวิต กาํ หนดแนวทางเดินไปสู่จุดหมาย และรู้ว่าความรู้ทีจะแกป้ ัญหาและพฒั นาตนเอง
คืออะไร

2. ขันสร้างและแสวงหาความรู้ ผเู้ รียนจะตอ้ งตระหนกั และเห็นความสาํ คญั ของการแสวงหา
ความรู้ เขา้ ถึงความรู้ทีตอ้ งการดว้ ยวิธีการทีหลากหลาย แหล่งเรียนรู้ทีใชใ้ นการแสวงหาความรู้ ไดแ้ ก่
การใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ การแสวงหาความรู้จากผเู้ ชียวชาญ ภูมปิ ัญญาทอ้ งถนิ และเพือน โดยยอมรับ
ในความรู้ความสามารถซึงกนั และกนั และตอ้ งใชท้ กั ษะต่าง ๆ เพือใชใ้ นการสร้างความรู้ เช่นฝึ กสังเกต
ฝึกการนาํ เสนอ ฝึกการตงั คาํ ถาม ฝึ กการแสวงหาคาํ ตอบ ฝึ กบูรณาการเชือมโยงความรู้ ฝึ กบนั ทึก และ
ฝึ กการเขียน

3. การจัดการความรู้ให้เป็ นระบบ จดั ทาํ สารบญั จดั เก็บความรู้ประเภทต่าง ๆ ทีจาํ เป็ น ตอ้ งรู้
และนาํ ไปใชเ้ พือการพฒั นาตนเอง การจดั การความรู้ใหเ้ ป็ นระบบจะทาํ ให้เก็บรวบรวม คน้ หา และนาํ มา
ใชไ้ ดง้ ่าย รวดเร็ว

4. ขันการประมวลและกลนั กรองความรู้ ความรู้ทีจาํ เป็ นอาจตอ้ งมีการคน้ ควา้ และ แสวงหา
เพมิ เติม เพือใหค้ วามรู้มีความทนั สมยั นาํ ไปปฏิบตั ิไดจ้ ริง

5. การเข้าถึงความรู้ เมือมีความรู้จากการปฏิบตั ิแลว้ มีการเก็บความรู้ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น
สมุดบนั ทึกความรู้ แฟ้ มสะสมงาน วารสาร หรือใชเ้ ทคโนโลยใี นการจดั เก็บรูปแบบเว็บไซต์ วิดีทศั น์
แถบบนั ทึกเสียง และคอมพิวเตอร์ เพอื ใหต้ นเองและผอู้ ืนเขา้ ถึงไดง้ ่ายอยา่ งเป็นระบบ

6. ขันการแบ่งปันแลกเปลยี นความรู้ ผเู้ รียนตอ้ งเขา้ ร่วมกิจกรรมแลกเปลียนความรู้กบั เพือน ๆ
หรือชุมชน เพือเรียนรู้ร่วมกนั อาจเป็ นลกั ษณะของการสมั มนา เวทีเรืองเล่าแห่งความสาํ เร็จ การศึกษา
ดงู าน หรือแลกเปลยี นเรียนรู้ผา่ นทางอนิ เทอร์เน็ต เป็นตน้

7. ขันการเรียนรู้ ผเู้ รียนจะตอ้ งนาํ เสนอความรู้ในโอกาสต่าง ๆ เช่นการจดั นิทรรศการ การพบ
กลุ่มการเขา้ ค่าย หรือการประชุมสัมมา รวมทงั มีการเผยแพร่ความรู้ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น วารสาร
เว็บไซต์ จดหมายข่าว เป็นตน้

ความสําเร็จของการจดั การความรู้ด้วยตนเอง
1. ผเู้ รียนเกิดการเรียนรู้ตามแผนพฒั นาตนเองทีไดก้ าํ หนดไว้
2. ผเู้ รียนตระหนกั ถึงความรับผดิ ชอบในการพฒั นาตนเองเพอื เรียนรู้วิชาต่าง ๆ อยา่ งเขา้ ใจ
และนาํ มาใชป้ ระโยชน์ในชีวติ ประจาํ วนั ได้
3. ผเู้ รียนมีความรู้ทีทนั สมยั เหมาะสมกบั สถานการณ์ปัจจุบนั สามารถปรับตวั ใหอ้ ยใู่ น
สงั คมได้

~ 173 ~

ตวั อย่างการจดั การความรู้ของ “เอก 009”
คุณคงเคยไดย้ นิ คนพดู วา่ “ไมม่ ีเวลา” นีเป็นคาํ พดู ทีแปลกมาก เป็ นคาํ พูดทีบอกถึง ความหมาย

ในตวั ของมนั เอง โดยไม่ตอ้ งการคาํ อธิบายใด ๆ สาํ หรับเวลาแลว้ คนทีไม่มีเวลาแลว้ คนทีไม่มีเวลาคือ
คนตาย ดงั นนั ถา้ คุณยงั หายใจ แสดงว่าเวลายงั เดินอยู่ แต่ไม่ตอ้ งเร่งรีบเสียจนมากเกินไป และควรรู้ว่า
ตอนไหนควรรีบ และถา้ รีบแลว้ ก็ตอ้ งทาํ ใหด้ ี เพราะเวลาทีคนเราทาํ อะไรเร็ว ๆ มกั จะมากบั ความลวก
ซึงจะตอ้ งใชเ้ วลาในการเขา้ แกไ้ ขปัญหา ผมวิเคราะห์ดูตนเอง จึงพบว่าทาํ ไม 1 วนั ผมจึงมีเวลาเพียง
นอ้ ยนิด ปัญหาหลกั ๆ คือผมเสียเวลาไปกบั การนอนตืนสาย เล่มเกม ดูทีวี เล่นเน็ต แลเกะีขยจี นันเอง
ดงั นนั ผมจึงคิดวา่ วิธีแกอ้ ยทู่ ีตวั เราเอง ผมจึงรู้วา่ เราควรทาํ ในสิงทีตรงกนั ขา้ ม นนั คือ

1. ผมตืนเช้า ตอนแรก ๆ อาจจะยากนิดหนึง เริมจากนอนก่อน 4 ทุ่มทุกวนั ร่างกาย
จะตืนเอง 05.00 น. และเราก็ไม่นอนสปั หงก แต่ใหต้ ืนเลย หรือถา้ เราไม่มีแรงใจ หรือไม่รู้ว่า ตืนมาแลว้
จะทาํ อะไรดี ใหเ้ ราสาํ รวจเน็ตว่ามีกิจกรรมอะไรดี ๆ ทีเราไปร่วมตอนเชา้ ได้ และนัดกลุ่ม ผทู้ ีจะทาํ
กิจกรรมในตอนเชา้ ทาํ ใหเ้ รามแี รงจูงใจในการตืนนอนเชา้ กิจกรรมทีผมทาํ เป็ นประจาํ คือนจปกั รยาน
หรืออาจไปวิงตอนเชา้ เพอื หากลุ่มเพือนใหม่ ๆ กล่มุ เพือนใหม่ ๆ คงน่าจะไม่ใช่รุ่นเดียวกนั แต่เป็ นผใู้ หญ่
ทีเราจะสามารถคุยและแลกเปลียนประสบการณ์การทาํ งาน แลว้ เราก็จะได้ความรู้ อะไรอีกเยอะ
เปรียบเหมือนการเรียนรู้ทีไม่หยดุ นิง ยงิ รู้จกั คนมากขึน เราก็จะไดป้ ระสบการณ์ต่าง ๆ จากคนทีรู้จกั
มากมาย ว่าเคา้ เคยเป็ นอะไร ทาํ อะไรมา บางงคครนั ทีเราอยากไปร่วมกิจกรรมดว้ ย อาจจะสร้างความ
เปลียนแปลงในชีวิตเราได้ เช่นเคา้ อาจจะกาํ ลงั ตามหาคนทีมีความสามารถบางอยา่ ง แลว้ บงั เอิญไดม้ าเจอ
กนั ตอนออกกาํ ลงั กาย ซึงผมเองก็ไดป้ ระโยชน์จากตรเยงนอะี มาก ซึงการทีเราไดท้ ีปรึกษาแบบความเป็ น
เพอื น ทาํ ใหม้ คี วามจริงใจ และไดร้ ับคาํ ปรึกษาฟรี เรืองบางอย่าง เราคน้ หาจากเอกสาร จากอินเตอร์เน็ต
ไม่เจอ แต่กลบั ไปเจอเอาง่าย ๆ ตอนออกกาํ ลงั กาย นนั เพราะเราไดเ้ จอผคู้ นมากมายทีพร้อมจะเป็ นมิตร
และแลกเปลียนประสบการณ์กนั นาํ พาซึงโอกาสอนั มากมายชกั นาํ เราไปสู่อนาคตทีดี และเราตอ้ งพาตวั เรา
ไปออกไปหามนั ก่อน

2. เลกิ เล่นเกม เกมไม่ว่าจะเป็ น offline หรือ online ก็ไม่ต่างกนั อาการติดเกมผมก็เคยเป็ น
วนั ๆ นงั คุยแต่เรืองเกม ซือหนงั สือเกม การ์ตูน จดจ่อแต่เรืองเกม ผมสรุปออกมาว่าเกม เป็ นกิจกรรม
ทีสินเปลอื งเวลามาก ๆ และประโยชน์ทีไดช้ ่างนอ้ ยนิดจนไม่คมุ้ ค่าทีจะไปเสียเวลาเลน่ อาการติดเกมเหมือน
ติดยาเสพติด อยากเล่น ตืนมาก็เล่น กินเสร็จเล่นต่อ หมดแรงก็นอน ตืนมาก็ เล่นอีก ชีวิตแทบไม่ไดท้ าํ
อะไรเลย การเลกิ เลน่ เกมของผมโดยการทาํ งานให้มากขึนจนไม่มีเวลาเล่นเกม และยงิ ทาํ งานมากก็งไยดิ ้
เงินมาก ผมจึงไมม่ เี วลาหนั หลงั กลบั ไปเล่นเกมอกี มุง่ มนั ทาํ งาน โลกจริง ๆ หาเงินจริง ๆ ไม่ใช่เงินในเกม
หาเพือนจริง ๆ ทีคุยกนั แบบเห็นหนา้ เห็นตา ทาํ อะไรทีมนั เป็นจริง สมั ผสั ได้ ไมใ่ ช่โลกจอมปลอมทีเด็ก ๆ
หลงใหล และถอนตวั ไม่ขึน นอกจากการทาํ งานคือการออกกาํ ลงั กาย และไดไ้ ปเทียวดว้ ยกนั นันคือ
การปันจกั รยานทางไกล เพราะเราตอ้ งซอ้ มปันเพือไปออกทริปทางไกล ตอนทีผมเลิกเล่นเกม เป็ นช่วงที
ผมไม่รู้สึกตวั วา่ ผมเลกิ เลน่ แต่ผมมารู้สึกตวั อีกครัง ก็ตอนทีผมไม่คิดจะกลบั ไปเลน่ มนั อีกแลว้ เพราะการที

~ 174 ~

ผมไดอ้ อกไปพบปะพดู คุยกบั กลมุ่ เพอื นใหม่ ๆ คนจริง ๆ ไดท้ าํ กิจกรรมในโลกแห่งความเป็ นจริงร่วมกนั
มนั ดีกวา่ โลกของเกมเยอะเลย และผมคิดวา่ ถา้ เด็ก ๆ ทุกคนถา้ ไดม้ ีโอกาสไปทาํ กิจกรรมทีสนุกสนานกบั
เพือนต่างวยั ก็น่าจะช่วยให้ห่างเหินจาก โลกของเกมได้ และคน้ พบตวั เองว่ายงั มีกิจกรรมอีกเยอะแยะ
ทีดีกว่าการนงั เลน่ เกม

3. ดูทีวี การติดทีวี หรือละคร หรือเกมโชวช์ ่วงดึก เมือก่อนผมก็ติดแบบตอ้ งดูใหไ้ ด้
แต่ ปัจจุบนั ผมก็แทบไม่ไดด้ ูทีวีเลย 1 อาทิตยด์ ูไม่เกิน 3วโชมั ง เพราะกิจกรรมอืน ๆ นอกบา้ นและ
การทาํ งานทีเราใส่ใจ เราใส่ความรับผดิ ชอบในงาน กลบั ถึงบา้ นมีแรงเหลือ การดูทีวี เช่นข่าว ก็อาจจะ
ติดตามเฉพาะช่วงสรุปข่าว และข่าวไหนทีเจาะลึกหรือสนใจเป็นพิเศษ ผมก็จมะเคตน้ิมเจพาิก Internet

4. การเล่นเน็ต มีหลายเว็บไซตท์ ีให้ความรู้ทีดี การหาความรมู้เพติมใหก้ บั ตนเอง ผ่านเน็ต
มีเว็บบอร์ดอีกมากมายทีมีความรู้ใหเ้ ราเขา้ ไปขุด ดกั จบั เอามาใช้ เพียงแต่เราตอ้ งรู้จกั จาํ กดั เวลาในการ
เล่นเน็ต และเลือกอ่านทีมีสาระ และมีประโยชน์กบั เราจริง ๆงทสีผิ มหาความรู้จากเน็ตอย่ตู ลอด คือ
การศึกษาภาษาองั กฤษ โดยการฟังเพลงทีเราชอบ เราแปลไม่ออกเราก็หาคาํ แปลในเน็ต และฝึกร้องไปดว้ ย
การแปลเพลงต่าง ๆ และการฝึกร้องเพลง ช่วยพฒั นาทกั ษะดา้ นภาษาไดด้ ีเยยี ม ผมคิดว่าเป็ นบทเรียนทีดี
สิงทีผมไมท่ าํ ในการเล่นเน็ต คือ เลกิ เปิ ดเว็บทีเกียวกบั เกม การ์ตนู ทุกชนิด เลิกดูดวง เลิกอ่านข่าวซุบซิบ
นินทา

5. ความขเี กยี จ สิงนีมนั ฝังตวั อยใู่ นมนุษยท์ ุกตวั ตนทีอบั จน แร้นแคน้ เฝ้ าคิด ภาวนา ถึงแต่
ความสุขสบาย ความรํารวย แต่กลบั ไม่ลงมืออะไรเลย เฝ้ าแต่ขอเงิน หรือหวงั จะทาํ นอ้ ยแต่ไดเ้ ยอะ
ทาํ เร็ว ๆ ลวก ๆ แต่ไร้ซึงคุณภาพ ควาเมกีขยจี เมือก่อนผมก็เมกีขยจี นะ จนผมคิดว่า ทาํ ไมตอ้ งทาํ โน่น
ทาํ นีดว้ ย เราก็อย่แู บบสกปรก ๆ ของเราไป ตวั เรารับได้ คนอืนจะรู้สึกยงั ไงก็ช่าง ไม่ไดอ้ ย่กู บั เรานี
ก็ปล่อยให้ทีอยอู่ าศยั สกปรกรุงรัง และเมือผมทเราิํ งานจริงจงั เริมใชช้ ีวิตในโลกแห่ง ความเป็ นจริง
เริมพบเจอผคู้ นมากขึนโดยเฉพาะคนทีประสบความสาํ เร็จในชีวติ ง ๆสิ หนึงทีเคา้ เหล่านนั มีเหมอื นกนั ก็คือ
ความสะอาด คนทีหาเงินไดเ้ ยอะ ๆ จะใชเ้ วลาส่วนหนึงของชีวิตเพอื รักษา ความสะอาดพืนทีรอบ ๆ ตวั เอง
โดยคนเหลา่ นนั จะไม่ชอบความสกปรก ความไม่เป็นระเบียบ แต่ถา้ ตอ้ งใหเ้ ขาอย่กู บั คนสกปรก หรือไม่มี
ระเบียบ เคา้ จะยอมรับไม่ได้ หากเราจะทาํ งานกบั เขา เราก็ต้องทาํ ตัวเองให้สะอาด เป็ นระเบียบ
การปฏบิ ตั ิตวั ง่าย ๆ ถา้ หากขีเกียจ ก็กาํ จดั ความสกปรกออกไป แบ่งเวลาวนั ละ 30 นาที หรืออาจจมะเริ
จากวนั ละ 10 นาทีก่อน โดยตงั ใจวา่ เวลา 10 นาทีนี จะเป็ นเวลาทีพิเศษทีสุดในชีวิตของเราทุกวนั คือ
เราจะทาํ ใหบ้ า้ นเราสะอาด เริมจาก 1 หอ้ งนาํ ก่อน (ดเู หมือนว่าจะง่ายและเห็นผลเร็วาย) าเขทดั นหํ อ้ งนาํ
แลว้ ขดั ๆ ภายใน 10 นาที เราก็จะรู้วา่ ง่ายมาก ทาํ ทุกวนั ยงั ไดเ้ ลย เมือขดั หอ้ างแนลํว้ ก็เก็บกวาดบมา้ น เริ
จากการจาํ กดั พืนทีก่อน เช่น 10 นาทีต่อไปนี เราจะเก็บโต๊ะทาํ งาน ซึงเมอื ทาํ จริง ๆ แลว้ จะเกิน 10 นาที
แต่ผมก็มกั จะเก็บต่อจนเสร็จ แต่ปัญหาสาํ คญั มขตอน้ งเขกา้ สรเู่กริารเป็นคนรักสะอาด คือเราตอ้ งรู้จกั การ
จดั การ ตอ้ งมีเครืองมอื เช่น เพมิ ชนั วางของ ซือถงั ขยะมาไวใ้ ช้ ถา้ อยากเก็บของก็หากลอ่ ง หรือลงั มาใส่

~ 175 ~

อยา่ ปล่อยเวลาใหผ้ า่ นไปกบั กิจกรรมเดิม ๆ เช่นเล่มเกม ดูทีวี เล่นเน็ต Chat ดูดวง เมือ อะไร ๆ รอบตวั
สะอาดขึนมา จิตใจเราก็จะแจ่มใส และสมองปลอดโปร่ง มีกะจิตกะใจทาํ งานให้ไดม้ านกขงึานทีออกมา
ก็เปี ยมไปดว้ ยคุณภาพ คุม้ กบั เวลาทีเสียไป ทีผมพดู มาเพนรี าะผมทาํ ได้ มากกวา่ 500,000 บาทต่อเดือน

2. การสรุปองค์ความรู้และการจดั ทําสารสนเทศการจดั การความรู้ด้วยตนเอง
การสรุปองค์ความรู้

การจดั การความรู้ เรามุ่งหา “ความสําเร็จ” มาแลกเปลียนเรียนรู้ เรามุ่งหาความสาํ เร็จ
ในจุดเล็ก ๆ จุดนอ้ ยต่างจุดกนั นาํ มาแลกเปลยี นเรียนรู้ เพือใหเ้ กิดการขยายผลไปสู่ความสาํ เร็จทนีใหญ่ขึ

องคค์ วามรู้เป็นความรู้จากการปฏิบตั ิ เรียกวา่ “ปัญญา” กระบวนการเรียนรู้เปิ ดโอกาสให้ ผเู้ รียน
เป็นผสู้ ร้างความรู้ดว้ ยตนเอง สงั เกงตทสีติ นอยากรู้ ลงมือปฏิบตั ิจริง คน้ ควา้ และแสวงหาความรู้ เพิมจน
คน้ พบความจริง สร้างสรรคเ์ กิดเป็นองคค์ วามรู้และเกิดประสบการณ์ใหม่ การเรียนรู้แบบจนะสี ่งเสริมให้
ผเู้ รียนไดพ้ ฒั นาความสามารถในการคิด สู่การปฏิบตั ิ และเกิด “ปัญญา” หรือองคค์ วามรู้เฉพาะของตนเอง

องค์ความรู้มีอย่อู ย่างมากมาย การปฏิบตั ิงานจนประสบผลสาํ เร็จ รวงมกทาัรแกป้ ัญหาต่าง ๆ
ทีเกิดขึนในระหว่างการทาํ งานทีส่งผลใหง้ านสาํ เร็จลุล่วงตามเป้ าประสงค์ ถือว่าเป็ นองค์ความรนู้ทีเกิดขึ
ทงั สิน และเป็นองคค์ วามรู้ทีมคี ่าต่อการเรียนงรสู้ทินั

การสรุปองคค์ วามรู้มีความสาํ คญั ต่อกระบวนการจดั การความรู้เป็ นอย่างงยิ เพราะการสรุป
องค์ความรู้จะเป็ นการต่อยอดความรู้ให้กบั ตนเองและผอู้ ืน หากบุคคลอืนตอ้ งการความช่วยเหลือ
ในการแกป้ ัญหาบางเรือง เราจะใชค้ วามรู้ทีมีอย่ชู ่วยเหลือเพือนไดอ้ ยา่ งไร และเมือเราจะเริมตน้ ทาํ อะไร
เรารู้บา้ งไหมว่ามีใครทาํ เรืองนีมาบา้ ง อย่ทู ีไหนในชุมชนของเรา เพือทีเราจะทาํ งานใหส้ าํ เร็จไดง้ ่านยขึ
และไมท่ าํ ผดิ ซาํ ซอ้ น การดาํ เนินการจดั การองคค์ วามรู้ อาจตอ้ งดาํ เนินการตามขนั ตอนต่าง ๆ ดงั นี

1. การกาํ หนดความรู้หลกั ทีจาํ เป็นหรือสาํ คญั ต่องาน หรือกิจกรรมของกล่มุ หรือองคก์ ร
2. การเสาะหาความรู้ทีตอ้ งการ
3. การปรับปรุง ดดั แปลง หรือสร้างความรู้บางส่วนใหเ้ หมาะต่อการใชง้ านของตน
4. การประยกุ ตใ์ ชค้ วามรู้ในกิจกรรมงานของตน
5. การนาํ ประสบการณ์จากการทาํ งาน และการประยกุ ตใ์ ชค้ วามรู้มาแลกเปลยี นเรียนรู้

และสกดั ขุมความรู้ ออกมาบนั ทึกไว้
6. การจดั บนั ทึก “ขมุ ความรู้” และ “แก่นความรู้” สาํ หรับไวใ้ ชง้ าน และปรับปรุงเป็นชุด

ความรู้ทีครบถว้ น ลมุ่ ลึก และเชือมโยงมากขึน เหมาะต่อการใชง้ านมากขึน

~ 176 ~

การจดั การความรู้เพือให้เกิดองคค์ วามรู้ทีตอ้ งการ เริมจากการกาํ หนด “เป้ าหมายของงาน”
นนั คือ การบรรลุผลสมั ฤทธิ ในการดาํ เนินการตามทีกาํ หนดไว้ คือ

1. การตอบสนอง คือการสนองตอบความตอ้ งการของทุกคนทีเกียวขอ้ ง
2. การมีนวตั กรรม คือ 1) นวตั กรรมในการทาํ งาน 2) นวตั กรรมทางผลงาน
3. ขีดความสามารถ คือการมีสมรรถนะทีเกิดจากการเรียนรู้ของตนเอง
4. ประสิทธิภาพ คือองคค์ วามรู้ หรือคลงั ความรู้

การจดั ทําสารสนเทศการจดั การความรู้ด้วยตนเอง
การจัดการความรู้ด้วยตนเอง องค์ความรู้ก็ยงั อยู่ในสมองคนในรูปของประสบการณ์

จากการทาํ งานทีประสบผลสาํ เร็นจนเรั าตอ้ งมีการถอดองคค์ วามรู้ซึงอาจไหลเวยี นองคค์ วามรู้จาก คนสู่คน
หรือจากคนมาจดั ทาํ เป็นสารสนเทศในรูปแบบต่าง ๆ เพือใหค้ นเขา้ ถึงความรู้ไดง้ ่ายและนาํ ไปสู่การปฏิบตั ิ
ไดโ้ ดยการนาํ ความรู้ทีไดม้ าจดั เก็บเป็นหมวดหม่ขู องความรแู้ หกลาง่รคชวี ามรู้ การสร้าง เครืองมือในการ
เขา้ ถึงความรู้ การกรองความรู้ การเชือมโยงความรู้ การจดั ระบบองค์ความรู้ยงั หมายรวมถึงการทาํ ให้
ความรู้ละเอยี ดชดั เจนขึน องค์ความรู้อาจจดั เก็บไวใ้ นรูปแบบต่าง ๆ เช่น บนั ทึกความรู้ แฟ้ มสะสมงาน
เอกสารจากการถอดบทเรียน แผน่ ซีดี เว็บไซต์ เว็บบล็อก เป็นตน้

3. กระบวนการจดั การความรู้ด้วยการรวมกล่มุ ปฏิบัตกิ าร

กระบวนการจดั การความรู้ด้วยกล่มุ ปฏิบัตกิ าร
ในยคุ ของการเปลยี นแปลงทีรวดเร็นวนปั ัญหาจะมีความซบั ซอ้ นมากขึน เราจาํ เป็ นตอ้ งมีความรู้

ทีหลากหลาย ความรู้ส่วนหนึงอยใู่ นรูปของเอกสาร ตาํ รา หรืออยใู่ นรูปของสืออิเล็กทรอนิกส์ เช่น เทป
วิดีโอ แต่ความรู้ทีมีอยมู่ ากทีสุดคืออยใู่ นสมองคน ในรูปแบบของประสบการณ์ ความจาํ การทาํ งานที
ประสบผลสาํ เร็จ การดาํ รงชีวิตอยใู่ นสงั คมปัจจุบนั จาํ เป็ นตอ้ งใชค้ วามรู้อยา่ งหลากหลาย นาํ ความรู้หลาย
วิชามาเชือมโยง บรู ณาการใหเ้ กิดการคิด วิเคราะห์ สร้างความรู้ใหม่จากการแก้ ปัญหาและพฒั นาตนเอง
ความรู้บางอย่างเกิดขึนจากการรวมกลุ่มเพือแกป้ ัญหา หรือพฒั นาในระดบั กลุ่ม องคก์ ร หรือชุมชน
ดงั นนั จึงตอ้ งมกี ารรวมกลมุ่ เพือจดั การความรู้ร่วมกนั

~ 177 ~

ปัจจยั ทที าํ ให้การจดั การความรู้ด้วยการรวมกล่มุ ปฏิบตั กิ ารประสบผลสําเร็จ
1. วฒั นธรรมและพฤตกิ รรมของคนในกลุ่ม คนในกลุ่มตอ้ งมีเจตคติทีดีในการแบ่งปันความรู้

ซึงกนั และกนั มคี วามไวเ้ นือเชือใจกนั ใหเ้ กียรติกนั และเคารพความคิดเห็นของคนในกลุม่ ทุกคน
2. ผู้นํากลุ่ม ตอ้ งมองว่าคนทุกคนมีคุณค่า มีความรู้จากประสบการณ์ ผนู้ าํ กลุ่มตอ้ งเป็ น

ตน้ แบบในการแบ่งปันความรู้ กาํ หนดเป้ าหมายของการจดั การความรู้ในกลุ่มใหช้ ดั เจน หาวธิ ีการ ใหค้ นใน
กลุ่มนําเรืองทีตนรู้ออกมาเล่าสู่กนั ฟัง การให้เกียรติกบั ทุกคนจะทาํ ให้ทุกคนกลา้ แสดงออก ในทาง
สร้างสรรค์

3. เทคโนโลยี ความรู้ทีเกิดจากการรวมกลุ่มปฏิบตั ิการเพือถอดองคค์ วามรู้ ปัจจุบนั มีการใช้
เทคโนโลยมี าใชเ้ พือการจดั เก็บ เผยแพร่ความรู้กนั อยา่ งกวา้ งขวาง จดั เก็บในรูปของเอกสารใน เว็บไซต์
วิดีโอ VCD หรือจดหมายข่าว เป็นตน้

4. การนาํ ไปใช้ การตดิ ตามประเมนิ ผล จะช่วยใหท้ ราบว่า ความรู้ทีไดจ้ ากการรวมกลุ่มปฏิบตั ิ
มีการนาํ ไปใชห้ รือไม่ การติดตามผลอาจใชว้ ิธีการสงั เกต สัมภาษณ์ หรือถอดบทเรียนผเู้ กียวขอ้ ง
ประเมินผลจากการเปลียนแปลงทีเกิดขึนในกลุ่ม เช่นการเปลียนแปลงทางดา้ นความคิด ของคนในกลุ่ม
พฤติกรรมของคนในกลุ่ม ความสัมพนั ธ์ ความเป็ นชุมชนทีรวมตวั กนั เพือแลกเปลียน ความรู้กัน
อยา่ งสมาํ เสมอ รวมทงั การพฒั นาดา้ นอนื ๆ ทีส่งผลใหก้ ล่มุ เจริญเติบโตขึนดว้ ย

กระบวนการจดั การความรู้ด้วยกล่มุ ปฏิบัตกิ าร มขี ันตอนดังนี
1. การบ่งชีความรู้ สาํ รวจปัญหา วิเคราะห์ปัญหาภายในกลุ่ม แยกปัญหาเป็ นขอ้ ๆ

เรียง ตามลาํ ดบั ความสาํ คญั กาํ หนดความรู้ทีตอ้ งใชใ้ นการแกป้ ัญหา ความรู้นันอาจอยใู่ นรูปของเอกสาร
หรืออยทู่ ีตวั บุคคลผทู้ ีเคยปฏบิ ตั ิในเรืองนนั และสาํ เร็จมาแลว้

2. การสร้ างและแสวงหาความรู้ เมือกําหนดองค์ความรู้ทีจําเป็ นในการแก้ปัญหาหรื อ
พฒั นาแลว้ ทาํ การสาํ รวจและแสวงหาความรู้ทีตอ้ งการจากหลาย ๆ แหลง่

3. การจัดการความรู้ให้เป็ นระบบ นาํ ขอ้ มูลทีไดจ้ ากการแสวงหาความรู้ มาจดั ให้เป็ นระบบ
เพอื แยกเป็นหมวดหมู่ เพอื ใหง้ ่ายต่อการวิเคราะห์และตดั สินใจในการนาํ ไปใช้

4. การประมวลและกลนั กรองความรู้ ในยคุ ทีสงั คมเปลยี นแปลงไปอยา่ งรวดเร็ว และมีการนาํ
เทคโนโลยมี าใชเ้ พือการเรียนรู้และการบริหารจดั การมากขึน ความรู้บางอยา่ งอาจลา้ สมยั ใชแ้ กป้ ัญหา
ไมไ่ ดใ้ นสมยั นี ตอ้ งมกี ารประมวลและกลนั กรองความรู้ก่อนนาํ มาใช้ ความรู้ทีผ่านการปฏิบตั ิจนประสบ
ผลสาํ เร็จมาแลว้ ถือเป็ นความรู้ทีสาํ คญั เนืองจากมีบทเรียนจากการปฏิบตั ิ และหากเป็ นความรู้ตามทีเรา
ตอ้ งการก็สามารถนาํ มาประยกุ ตใ์ ชใ้ นกลมุ่ ได้

5. การเข้าถึงความรู้ สมาชิกในกลุ่มทุกคนควรจะเขา้ ถึงความรู้ไดท้ ุกคน เนืองจากทุกคน
มีความสาํ คญั ในการแกป้ ัญหา พฒั นา รวมทงั เป็นผสู้ ร้างพลงั ใหก้ บั กลุ่ม การแกป้ ัญหาไม่ได้ หมายความว่า
ผนู้ าํ กลุม่ คนเดียวสามารถแกป้ ัญหาไดห้ มด ทุกคนควรมีส่วนร่วมในการแกป้ ัญหา ความรู้ทีจาํ เป็ นในการ

~ 178 ~

แกป้ ัญหาหรือพฒั นากล่มุ ตอ้ งมกี ารจดั การใหท้ ุกคนสามารถเขา้ ถึงความรู้ ไดง้ ่าย หากเป็ นกลุ่มปฏิบตั ิการ
การเขา้ ถึงความรู้ไดง้ ่าย คือการแลกเปลยี นเรียนรู้ในตวั คน การศกึ ษาดูงานกลุ่มอืน การศึกษาหาความรู้จาก
เว็บไซต์ หรือการนาํ เอกสารมาใหส้ มาชิกไดอ้ ่าน

6. การแบ่งปันแลกเปลียนความรู้ ความรู้ส่วนใหญ่จะอยู่ในสมองคนซึงเป็ นผูป้ ฏิบัติ
ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็ นความรู้ทีชดั แจ้ง ในรูปของเอกสาร หรือสืออืน ๆ ทีจบั ต้องได้
การแลกเปลียนเรียนรู้จึงมีความสาํ คญั อย่างมากในการดึงความรู้ทีอย่ใู นตวั คนออกมา เป็ นการต่อยอด
ความรู้ให้แก่กนั และกนั การแลกเปลียนแบ่งปันความรู้ร่วมกนั ทาํ ไดห้ ลายวิธี เช่นการประชุม สัมมนา
การศกึ ษาดูงาน การเป็นพยงเี ลสีอนงาน หรือการรวมกลมุ่ ชุมชนนกั ปฏบิ ตั ิเฉพาะเรืองทีสนใจ

7. การเรียนรู้ สมาชิกในกลุ่มเกิดการเรียนรู้ร่วมกนั การไดแ้ ลกเปลียนประสบการณ์ก็ถือเป็ นการ
เรียนรู้ นนั คือเกิดความเขา้ ใจและมแี นวคิดในการนาํ ไปปรับใช้ หากมกี ารนาํ ไปใชโ้ ดยการปฏิบตั ิจะส่งผล
ใหผ้ ปู้ ฏิบตั ิเกิดการเรียนรู้มากยิงขึน เพราะในระหว่างการปฏิบตั ิจะมีปัญหาเขา้ มาให้ แกไ้ ขเป็ นระยะ ๆ
การทาํ ไปแกป้ ัญหาไป เป็ นการเรียนรู้ทีดี และเมือปฏิบตั ิจนเกิดผลสาํ เร็จ อาจเป็ นผลสาํ เร็จทีไม่ใหญ่โต
สาํ เร็จในทขีหั นึง หรือขนั ทีสอง ก็ถือเป็ นผลสาํ เร็จจาการปฏิบตั ิทีเป็ นเลิศ หรือ best practice ของผู้
ปฏบิ ตั ินนั เอง

4. การสรุปองค์ความรู้และการจดั การทาํ สารสนเทศการจดั การความรู้ด้วยการรวมกล่มุ ปฏบิ ตั กิ าร

การรวมกล่มุ ปฏิบัตกิ าร
ในการปฏิบตั ิงานแต่ละครัง กลมุ่ จะตอ้ งมีการสรุปองค์ความรู้เพือจดั ทาํ เป็ นสารสนเทศ เผยแพร่

ความรู้ใหก้ บั สมาชิกกลมุ่ และกลุม่ อืน ๆ ทีสนใจในการเรียนรู้ และเมือมีการดาํ เนินการจดั หา หรือสร้าง
ความรู้ใหม่จากการพฒั นาขึนมา ตอ้ งมีการกาํ หนดสิงสาํ คญั ทีจะเก็บไวเ้ ป็นองคค์ วามรู้ และตอ้ งพิจารณาถึง
วิธีการในการเก็บรักษาและนาํ มาใชใ้ หเ้ กิดประโยชนต์ ามความตอ้ งการ ซึงกลุ่ม ตอ้ งจดั เก็บองคค์ วามรู้ไวใ้ ห้
ดีทีสุด ไม่ว่าจะเป็ นขอ้ มูลข่าวสารสนเทศ การวิจยั การพฒั นา โดยตอ้ ง คาํ นึงถึงโครงสร้างและสถานที
หรือฐานของการจดั เก็บ ตอ้ งสามารถคน้ หาและส่งมอบใหอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง มีการจาํ แนกหมวดหม่ขู องความรู้
ไวอ้ ยา่ งชดั เจน

การสรุปองค์ความรู้ด้วยการรวมกล่มุ ปฏบิ ัตกิ าร
การจดั การความรู้กลุ่มปฏิบตั ิการ เป็ นการจดั การความรู้ของกลุ่มทีรวมตวั กนั มีจุดมุ่งหมาย

ของการทาํ งานร่วมกนั ใหป้ ระสบผลสาํ เร็จ ซึงมกี ลมุ่ ปฏิบตั ิการ หรือทีเรียกว่า “ชุมชนนกั ปฏิบตั ิ” เกนิดขึ
อยา่ งมากมาย เช่น กลมุ่ ฮกั เมืองน่าน กลมุ่ เลยี งหมู กลุม่ เลยี งกบ กลุม่ เกษตรอินทรีย์ กลุ่ม สจั จะออมทรัพย์
หรือกลมุ่ อาชีพต่าง ๆ ในชุมชน กลมุ่ เหลา่ นีพร้อมทีจะเรียนรู้และแลกเปลยี น ประสบการณ์ซึงกนั และกนั

~ 179 ~

องคค์ วามรู้จึงเป็นความรู้และปัญญาทีแตกต่างกนั ไปตามสภาพและบริบทของชุมชน การสร้าง
องคค์ วามรู้หรือชุดความรู้ของกล่มุ ไดแ้ ลว้ จะทาํ ใหส้ มาชิกกล่มุ มีองคค์ วามรู้หรือชุดความรู้ ไวเ้ ป็นเครืองมือ
ในการพฒั นางาน และแลกเปลียนเรียนรู้กบั คนอืน หรือกลุ่มอืนอย่างภาคภูมิใจ เป็ นการต่อยอดความรู้
และการทาํ งานของตนต่อไปอยา่ งไม่มีทีสินสุด อยา่ งทีเรียกกว่าเกิดการเรียนรู้ และพฒั นากลุ่มอย่างต่อเนือง
ตลอดชีวิต

ในการสรุปองคค์ วามรู้ของกลมุ่ กลุ่มจะตอ้ งมีการถอดองคค์ วามรู้ทีเกิดจากการปฏิบตั ิ การถอด
องคค์ วามรู้จึงมีลกั ษณะของการไหลเวียนความรู้ จากคนสู่คน และจากคนสู่กระดาษ นันคือ การนาํ
องคค์ วามรู้มาบนั ทึกไวใ้ นกระดาษ หรือคอมพิวเตอร์ เพือเผยแพร่ให้กบั คนทีสนใจไดศ้ ึกษาและพฒั นา
ความรู้ต่อไป ปัจจยั ทีส่งผลสาํ เร็จต่อการรวมกลุ่มปฏบิ ตั ิการ คือ

1. การสร้างบรรยากาศของการทาํ งานร่วมกนั กลุม่ มีความเป็นกนั เอง
2. ความไวว้ างใจซึงกนั และกนั เป็ นหัวใจสาํ คญั ของการทาํ งานเป็ นทีม สมาชิกทุกคน
ควรไวว้ างใจกนั ซือสตั ยต์ ่อกนั สือสารกนั อยา่ งเปิ ดเผย ไมม่ ีลบั ลมคมใน
3. การมอบหมายงานอยา่ งชดั เจน สมาชิกทุกคนเขา้ ใจวตั ถุประสงค์ เป้ าหมาย และ
ยอมรับภารกิจหลกั ของทีมงาน
4. การกาํ หนดบทบาทใหก้ บั สมาชิกทุกคน สมาชิกแต่ละคนเขา้ ใจและปฏิบตั ิตามบทบาท
ของตนเอง และเรียนรู้เขา้ ใจในบทบาทของผอู้ ืนในกลุ่ม ทุกบทบาทมคี วามสาํ คญั รวมทงั บทบาทในการช่วย
รักษาความเป็นกลมุ่ ในหคม้ งั เช่น การประนีประนอม การอาํ นวยความสะดวก การใหก้ าํ ลงั ใจ เป็นตน้
5. วธิ ีการทาํ งาน สิงสาํ คญั ทีควรพจิ ารณา คือ

1) การสือความ การทาํ งานเป็นกล่มุ ตอ้ งอาศยั บรรยากาศ การสือความทีชดั เจน
เหมาะสม ซึงจะทาํ ใหท้ ุกคนกลา้ เปิ ดใจ แลกเปลียนความคิดเห็น และแลกเปลียนเรียนรู้ซึงกนั และกนั
จนเกิดความเขา้ ใจ และนาํ ไปสู่การทาํ งานทีมีประสิทธิภาพ

2) การตดั สินใจ การทาํ งานเป็นกลุ่มตอ้ งใชค้ วามรู้การตดั สินใจร่วมกนั เมือเปิ ดโอกาส
ให้สมาชิกในกลุ่มแสดงความคิดเห็น และร่วมตดั สินใจแลว้ สมาชิกย่อมเกิดความผกู พนั ทีจะทาํ ใงหท้สี ิ
ตนเองไดม้ ีส่วนร่วมตงั แต่ตน้

3) ภาวะผนู้ าํ คือบุคคลทีไดร้ ับการยอมรับจากผอู้ นื การทาํ งานเป็ นกลุ่มควรส่งเสริมให้
สมาชิกในกลมุ่ ทุกคนไดม้ โี อกาสแสดงความเป็นผนู้ าํ เพอื ใหท้ ุกคนเกิดความรู้สึกวา่ ไดร้ ับการยอมรับ จะได้
รู้สึกว่าการทาํ งานร่วมกนั เป็นกลนมุ่ มนีคั วามหมาย ปรารถนาทีจะทาํ อกี

4) การกาํ หนดกติกาหรือกฎเกณฑต์ ่าง ๆ ทีจะเออื ต่อการทาํ งานร่วมกนั ใหบ้ รรลุ
เป้ าหมาย ควรเปิ ดโอกาสใหส้ มาชิกไดม้ สี ่วนร่วมในการกาํ หนดกติกา หรือกฎเกณฑท์ ีจะนํามาใช้ร่วมกนั

~ 180 ~

6. การมีส่วนร่วมในการประเมินผลการทาํ งานของกลุ่ม ควรมีการประเมินผลการทาํ งาน
เป็นระยะในรูปแบงบไทมัเ่ ป็นทางการและเป็นทางการ โดยสมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมในการประเมินผลงาน
ทาํ ใหส้ มาชิกไดร้ ับทราบความกา้ วหนา้ ของงาน ปัญหาอปุ สรรคทีเกิดขึน รวมทงั พฒั นากระบวนการทาํ งาน
หรือการปรับปรุงแกไ้ ขร่วมกนั ซึงในทีสุดสมาชิกจะไดท้ ราบว่าผลงานบรรลุเป้ าหมาย และมีคุณภาพ
มากนอ้ ยเพยี งใด

ตวั อย่าง การถอดองค์ความรู้ชุมชนอนิ ทรีย์บ้านยางยวน

บริบทชุมชนบา้ นยางยวน หม่ทู ี 5 ตาํ บลดอนตรอ อาํ เภอเฉลมิ พระเกียรติ จงั หวดั นครศรีธรรมราช
เป็นทพีรื าบลุ่มแบบลกู คลืน ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทาํ นาเป็ นหลกั อาชีพรองลงมาคือ
การเลียงสตั ว์ เช่นเลียงโค เป็ ด ไก่ เป็ นรายไดเ้ สริม และมีการปลกู ผกั ไวเ้ พือบริโภคเอง จากสภาพ
ความเปลยี นแปลงในสงั คมยคุ ปัจจุบนั ทาํ ใหค้ นในบา้ นยางยวนตอ้ งปรับเปลียนวถิ ีชีวิต มาพงึ ตนเองมากขึน
แกนนาํ ชุมชน ซึงเป็ นผนู้ าํ ธรรมชาติเขา้ มามีบทบาทพลิกผนั วิถีชีวิตชุมชนใหนด้ ีขึ การประสบปัญหา
จากภาวะเศรษฐกิจทาํ ใหก้ ารลงทุนในการประกอบการทาํ นาสูงขึน ทงั ในเรืองของค่านาํ มนั ค่าปุ๋ ย ค่ายา
ปราบศตั รูพืช ซึงมีผลกบั เกษตรกร ส่วนหนึงทีมองเห็นไดช้ ดั คือ การเจ็บไขไ้ ดป้ ่ วยของคนในชุมชน
บา้ นยางยวนมีกลุ่มองคก์ รต่าง ๆ เกิดขึนมากมายสาํ หรับการใชแ้ กป้ ัญหาต่าง ๆ ของสมาชิกในชุมชน
ซึงเนน้ ทีการประกอบอาชีพ และคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน ซึงมีแกนนาํ ชุมชนอยา่ งกลุ่มแกนนาํ ทีเขา้
ร่วมเวทีเสวนาและทีมงานเขา้ มามบี ทบาทในการรวบรวมประชาชนในพืนทีมาร่วมคิดร่วมทาํ กิจกรรมต่าง ๆ
ทีเป็ นประโยชน์อย่างมหาศาลใหก้ บั คนในบา้ นยางยวน หม่ทู ี 5 ตาํ บลดอนตรอ อาํ เภอเฉลิมพระเกียรติ
จงั หวดั นครศรีธรรมราช

กระบวนการแผนชุมชนพงึ ตนเองบ้านยางยวน
กลุ่มแกนนาํ ทีเขา้ ร่วมเวทีเสวนา เลา่ ว่าการจดั ทาํ แผนชุมชนของบา้ นยางยวนนนั เริมทีการจดั เก็บ

ขอ้ มลู บญั ชีครัวเรือนของหม่บู า้ น แลว้ นาํ ขอ้ มลู นนั มาร่วมวิเคราะหเ์ พือนาํ ขอ้ มลู ทีไดม้ าใชใ้ นการจดั ทาํ แผน
ชุมชน สิงทีปรากฏคือเรืองของค่าใชจ้ ่ายของคนในชุมชนส่วนใหญ่เกิดจากการประกอบอาชีพ และหนีสิน
ส่วนใหญ่ก็เกนิดจขาึ กการประกอบอาชีพดว้ ยเช่นกนั เพราะบางครังในการทาํ นาตอ้ งใชต้ น้ ทุนสูงเมอื เจอกบั
ปัญหาภยั ธรรมชาติ นาล่มทาํ ใหเ้ ป็ นเหปน็ี นสิน จากขอ้ มูลทีได้ ก็นาํ มาจดั ทาํ เป็ นแผนชุมชน ซึงจะเน้นที
เรืองของแผนการทาํ เกษตร ซึงมีผลโดยตรงกบั การประกอบอาชีพของคนในชุมชน สิงทีตอ้ งทาํ ก็คือการทาํ
นาแบบอินทรีย์ เพือลดตน้ ทุนการผลิต ในเรืองของปุ๋ ย มีราคาแพง โดยตอ้ งการทีจะขยายการทาํ นาแบบ
อินทรียท์ งั หมู่บา้ น จากแผนการทาํ เกษตรของชุมชน ทาํ ใหเ้ กิดกลุ่มองค์กรต่าง ๆ ในชุมชนเกียวกบั การ
ประกอบอาชีพทาํ นามากมาย

~ 181 ~

นอกเหนือจากการทาํ แผนเรืองการทาํ นาแบบอินทรียแ์ ลว้ บา้ นยางยวนไดม้ ีการทาํ เรืองของการ
ปลกู ผกั ปลอดสารพิษ ปลกู กินเองในชุมชนก่อนทีจะขายสู่ตลาดนอกชุมชน โดยเนน้ การปลกู ทุกอย่างทีกิน
และกินทุกอยา่ งทีปลูก ในการนีไดม้ ีพืนทีสาํ หรับใชเ้ ป็ นแปลงผกั รวมของ ชุมชน โดยใชป้ ุ๋ ยอินทรีย์
ทาํ ขึนเองใชใ้ นแปลงผกั

กลุ่มแกนนําทีเขา้ ร่วมเวทีเสวนาบอกกบั ทีมงานว่า ในการจดั ทาํ เวทีประชาคมจัดทาํ แผน
ของหมบู่ า้ น ไดร้ ับความร่วมมอื จากองคก์ ารบริหารส่วนตาํ บลซึงเขา้ มาสนบั สนุนและหน่วยงานต่าง ๆ ทีเขา้
มาหนุนเสริมเพือบูรณาการแผนเขา้ กบั การทาํ งานของหน่วยงาน ทงั พฒั นาชุมชน เกษตร กศน. และ
สาธารณสุข

กล่มุ แกนนาํ ทีเขา้ ร่วมเวทีเสวนา และผใู้ ห้ขอ้ มูลไดพ้ ดู ถึงเรืองสุขภาพชุมชน บอกว่าการทีจะให้
คนในชุมชนมีสุขภาพทีดีตอ้ งเริมทีการกิน และขา้ วซึงเป็ นอาหารหลกั ตอ้ งเป็ นขา้ วทีปลอดภยั ต่อคน
ในชุมชน เพราะฉะนันชุมชนตอ้ งผลิตขา้ วเองจึงจะไดข้ า้ วมีคุณภาพ และขา้ วทีมีคุณภาพนัน จะเป็ นผลดี
ต่อตนเอง และลูกหลานของคนในชุมชน โดยจะเนน้ ใหค้ นในชุมชนปลกู ขา้ วสาํ หรับบริโภคเองไวห้ นึง
แปลงโดยทาํ นาแบบอนิ ทรีย์

เมือมีแผนพฒั นาในเรืองเกษตรอินทรีย์ หมู่บา้ นก็ตอ้ งหาความรู้ในเรืองนโีดยไดส้ ่งแกนนาํ
เขา้ อบรมหาความรู้จากทีต่าง ๆ เช่นเรืองการทาํ นาชีวภาพ การทาํ ปุ๋ ยหมกั การทาาํหนมํ กั ชีวภาพ และ
การแลกเปลียนเรียนรู้เพือนาํ มาปรับใชก้ บั กลุ่มไดเ้ หมาะสม

กล่มุ องค์กรบ้านยางยวน
เรืองของกลุ่มและองคก์ รในบา้ นยางยวนเป็ นเรืองทีโดดเด่น เพราะการจงดั นตันั สอดคลอ้ งกบั

วถิ ชี ีวติ และสามารถแกป้ ัญหาของคนในชุมชนไดเ้ ป็นอยา่ งดี เช่น
ศนู ยข์ า้ วบา้ นยางยวน เป็ นองค์กรของชุมชนมีกองทุนให้กูย้ มื เพือการผลิตขา้ ว โดยเฉพาะเน้น

เรืองการทาํ ขา้ วอินทรีย์ โดยจ่ายเป็ นเมล็ดพนั ธุใ์ หก้ บั สมาชิกและเมือสมาชิกขายผลผลิตก็นาํ เงินค่าเมล็ด
พนั ธุม์ าคืน เพือทีศนู ยข์ า้ วจะไดน้ าํ มาซือเมล็ดพนั ธุม์ าไวใ้ นศนู ยข์ า้ วต่อไป นอกจากใหก้ ูย้ ืมเมล็ดพนั ธุ์แลว้
ศนู ยข์ า้ วก็รับขายขา้ วใหก้ บั สมาชิกอกี ดว้ ย จากการมีศนู ยข์ า้ วทาํ ใหป้ ระชาชนเปลยี นจากการทาํ นาปี มาเป็ น
การทาํ นาปรัง ซึงสามารถทาํ ไดถ้ ึง 3 ครังต่อปี

นอกจากมีศูนยข์ า้ วของหม่บู า้ นแลว้ บา้ งยางยวนยงั มีโรงสีขา้ วของชุมชนอีกดว้ ย ซึงเป็ น
อีกกิจกรรมหนึงทีตอบสนองคนในชุมชนไดด้ ี เพราะโรงสีรับสีขา้ ว 3 ประเภท คือขา้ วกลอ้ ง ขา้ วซอ้ มมือ
และขา้ วขาว และมีการรับสีขา้ วจากภายนอกชุมชนอีกดว้ ย ซึงโรงสีจะมีผลกาํ ไรก็นาํ มาปันกาํ ไรให้กบั
สมาชิก โดยกาํ หนดวา่ สมาชิกของโรงสีเป็นสมาชิกทุกคนทีอยใู่ นหม่บู า้ น บริหารโดยศนู ยข์ า้ วบา้ นยางยวน
ทุกคนในหม่บู า้ นสามารถมาใชบ้ ริการได้

~ 182 ~

บา้ นยางยวนมีกลุ่มองค์กรการเงินทีหลากหลาย ทุกกลุ่มเกิดขึนในหม่บู า้ น จะมีองค์กรการเงิน
ของกลุ่มตามมา กลุ่มแกนนาํ ทีเขา้ ร่วมเวทีเสวนาบอกว่า เป็ นการสร้างนิสยั ให้รักการอ่าน และเป็ นทุน
สาํ หรับการประกอบอาชีพของคนในชุมชน การจดั ตงั กลุ่มกองทุนต่าง ๆ นันมีทงั ทีหมู่บา้ น จดั ตงั เอง
ตามมติของประชาชนและกลุ่มองคก์ รทีหน่วยงานภาครัฐมาหนุนเสริมให้มีการจดั ตงั เพือแกป้ ัญหาให้กบั
ประชาชนกล่มุ กองทุนต่าง ๆ ไดแ้ ก่ กองทุนขา้ ว กองทุนอาหารและโภชนาการ กองทุนเลียงสตั ว์ กองทุน
ปลกู ผกั กองทุนเลียงโคยุทธศาสตร์ กองทุนมะลิ กองทุนพฒั นาอาชีพสตรี กองทุนปุ๋ ยหมกั กองทุน
แผนแมบ่ ทชุมชน กองทุนสวสั ดิการสาธารณสุขสจั จะ วนั ละ 1 บาท ออมทรัพยต์ น้ แบบและกองทุนหมบู่ า้ น

การเกิดกลมุ่ องคก์ รการเงินเพือตอบสนองความตอ้ งการของชุมชนนนั เป็นการเรียนรู้ใน เรืองของ
การประหยดั อดออม บางคนเป็ นสมาชิกในทุกกองทุน และบางคนก็เลือกทีจะเป็ นสมาชิก กองทุนต่าง ๆ
ทีสอดคลอ้ งกบั วิถีการดาํ เนินชีวิตของตนเองและครอบครัว ซึงนับไดว้ ่ากลุ่มองค์กร การเงินบา้ นยางยวน
ตอบสนองคนในชุมชนไดท้ ุกอาชีพ

กล่มุ แกนนาํ ทีเขา้ ร่วมเวทีเสวนา และสมาชิกบอกว่า ทุกกลุม่ มคี วามโปร่งใสตรวจสอบได้ เพราะ
ความไวเ้ นือเชือใจซึงกนั และกนั และการทาํ หลกั ฐานการเงินบญั ชีทีชดั เจน หากขาดความโปร่งใสคิดว่า
คงอยไู่ ม่ได้ และจะขาดซึงความรักและสามคั คีไม่สามารถทีจะทาํ กิจกรรมใด ๆ ไดเ้ ลย ทุกกลุ่มมีกิจกรรม
ทีเชือมโยงกนั เป็นลกู โซ่ พงึ พาซึงกนั และกนั

การดาํ เนินการกล่มุ ขา้ วอนิ ทรียน์ นั เชือมโยงกบั กลุม่ ปุ๋ ยหมกั เชือมโยงกบั กลยมุ่ งเลโีค เชือมโยง
กบั ศนู ยข์ า้ ว เชือมโยงกบั โรงสีชุมชน เรียกว่าทุกกิจกรรมเชือมโยงกนั หมดอยา่ งลงตวั

การสืบทอดภูมปิ ัญญา
การปฏิสัมพนั ธ์กนั ในระหว่างชุมชน การร่วมกิจกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะกองทุนการเงินต่าง ๆ

ของชุมชน ไดถ้ า่ ยทอดจากรุ่นสู่รุ่นดว้ ยวธิ ีการปฏบิ ตั ิร่วมกนั ในเรืองของภมู ิปัญญาทอ้ งถนิ ทีมี อยใู่ นชุมชน
ก็มีการถ่ายทอดสู่ลูกหลานก็ดว้ ยวิธีการสอนกับแบบตัวต่อตัวตามแต่ผูเ้ รี ยนจะสนใจ ไม่ว่าจะเป็ น
ดา้ นหัตถกรรม การทาํ เครืองมือเครืองใช้ ทีใชใ้ นการทาํ มาหากินของคนในชุมชน หรือแมแ้ ต่เรือง
หมอพนื บา้ น หมอสมุนไพร ก็ไดถ้ ่ายทอดสู่คนรุ่นหลงั จากรุ่นสู่รุ่นไม่มนีทสี ุดิ แมไ้ ม่ไดถ้ ่ายทอดเป็ น
ลายลกั ษณ์อกั ษร แต่ก็ยงั มเี หลอื อยใู่ นชุมชนบา้ นยางยวน

ความสัมพนั ธ์กบั หน่วยงานภาครัฐ
ประชาชนในบา้ นยางยวนมีปฏิสมั พนั ธก์ บั หน่วยงานภาครัฐค่อนขา้ งดี สงั เกตไดจ้ ากการเกิดกลุ่ม

องค์กรต่าง ๆ ในชุมชน ซึงส่วนใหญ่จะมีหน่วยงานภาครัฐคอยหนุนเสริมในเรืองต่าง ๆ ซึงทางชุมชน
ไม่ปฏิเสธในการทีจะรับสิงดี ๆ ทีทาํ ให้เกิดการพฒั นาในชุมชนบา้ นยางยวน เช่น กลุ่มพฒั นาอาชีพสตรี
โรงสีชุมชน กลุ่มออมทรัพย์ กลุ่มเลียงโคยทุ ธศาสตร์ กองทุนแผนแม่บทชุมชน สวสั ดิการสาธารณสุข
หรือแมแ้ ต่กองทุนหม่บู า้ น และการทีหม่บู า้ นไม่ปฏิเสธหน่วยงานภาครัฐทีลงไปหนุนเสริม ผเู้ ขา้ ร่วมเวที

~ 183 ~

บอกว่า ทีบา้ นยางยวนนันหน่วยงานภาครัฐไดล้ งมาอยา่ งต่อเนือง คอยติดตามใหค้ าํ แนะนาํ ช่วยเหลือ
ทุกโครงการจะไดร้ ับคาํ แนะนาํ จากเจา้ หนา้ ทีของหน่วยงานทีมาปฏิบตั ิงานในพืนฐาน นาํ ความรู้ต่าง ๆ มาให้
อยเู่ สมอมไิ ดข้ าด เรียกไดว้ า่ ลงมาคลุกคลีอยใู่ นหม่บู า้ นก็ว่าได้

สิงทอี ยากให้มใี นหม่บู ้านยางยวน
กลมุ่ แกนนาํ ทีเขา้ ร่วมเวทีเสวนา บอกว่า อยากใหค้ นในบา้ นยางยวนหนั มาทาํ ขา้ วอนิ ทรีย์ กินขา้ ว

อนิ ทรีย์ เพราะจะทาํ ใหส้ ุขภาพของคนในชุมชนดีขึน ทุกอยา่ งทีทาํ สิงทีดี ๆ คนในชุมชนตอ้ งไดร้ ับสิงนัน
ก่อนทีคนทีอยนู่ อกชุมชน มีขา้ วอินทรีย์ มีผกั ปลอดสารพิษ มีปลาจากธรรมชาติ ปลอดสารเคมี คนใน
ชุมชนต้องได้กินก่อนทีจะส่งขายโรงพยาบาล เพราะหากไม่เริมกินทีชุมชนแต่ไปกินทีโรงพยาบาล
ก็เหมอื นกบั ไม่ไดด้ ูแลสุขภาพของคนในชุมชน

สารสนเทศการจดั การความรู้ด้วยการรวมกล่มุ ปฏบิ ตั กิ าร
สารสนเทศการจดั การความรู้ดว้ ยการรวมกลุ่มปฏิบัติการ หมายถึงการรวบรวมข้อมลู ทีเป็ น

ประโยชน์ต่อการพฒั นางาน พฒั นาคน หรือพฒั นากลุ่ม ซึงอาจจดั ทาํ เป็ นเอกสารคลงั ความรู้ ของกลุ่ม
หรือเผยแพร่ผา่ นทางเว็บไซต์ เพือแบ่งปันแลกเปลียนความรู้ และนาํ มาใชป้ ระโยชน์ในการทาํ งาน

ตวั อย่างของสารสนเทศจากการรวมกล่มุ ปฏบิ ตั กิ าร ได้แก่
1. บนั ทึกเรืองเล่า เป็ นเอกสารทีรวบรวมเรืองเล่าทีแสดงให้เห็นถึงวิธีการทาํ งานให้ประสบ
ผลสาํ เร็จ อาจแยกเป็นเรือง ๆ เพือใหผ้ ทู้ ีสนใจเฉพาะเรืองไดศ้ กึ ษา
2. บนั ทึกการถอดบทเรียนหรือการถอดองคค์ วามรู้ เป็นการทบทวน สรุปผลการทาํ งานทีจดั ทาํ
เป็ นเอกสาร อาจจดั ทาํ เป็ นบนั ทึกระหว่างการทาํ งาน และหลงั จากทาํ งานเสร็จแลว้ เพือให้เห็นวิธีการ
แกป้ ัญหาในระหวา่ งการทาํ งาน และผลสาํ เร็จจากการทาํ งาน
3. วีซีดีเรืองสนั เป็นการจดั ทาํ ฐานขอ้ มูลความรู้ทีสอดคลอ้ งกบั สังคมปัจจุบนั ทีมีการใชเ้ ครือง
อเิ ล็กทรอนิกสอ์ ยา่ งแพร่หลาย การทาํ วีซีดีเป็ นนเรืเอปง็สั นการเผยแพร่ให้บุคคลไดเ้ รียนรู้ และนาํ ไปใช้
ในการแกป้ ัญหา หรือพฒั นางานในโอกาสต่อไป
4. คู่มอื การปฏบิ ตั ิงาน การจดั การความรู้ทีประสบผลสาํ เร็จจะทาํ ใหเ้ ห็นแนวทางของการทาํ งาน
ทีชดั เจน การจดั ทาํ เป็ นคู่มือเพือการปฏิบตั ิงาน จะทาํ ให้งานมีมาตรฐาน และผเู้ กียวขอ้ งสามารถนาํ ไป
พฒั นางานได้
5. อินเตอร์เน็ต ปัจจุบนั มีการใชอ้ ินเตอร์เน็ตกนั อย่างแพร่หลาย และมีการสือสารแลกเปลียน
ความรู้ผา่ นทางอินเตอร์เน็ตในเว็บไซตต์ ่าง ๆ มีการบนั ทึกคงวใานมรูป้ทแั บบของเว็บบล็อก เว็บบอร์ด
และรูปแบบอนื ๆ อนิ เตอร์เน็ตจึงเป็นแหลง่ เก็บขอ้ มลู จาํ นวนมากในปัจจุบนั เพราะคนสามารถเขา้ ถึงขอ้ มูล
ไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว ทุกที ทุกเวลา

~ 184 ~

 กจิ กรรม

1. การจดั การความรูด้ ว้ ยตนเองตอ้ งอาศยั ทกั ษะอะไรบา้ ง และผเู้ รียนมีวธิ ีการจดั การความรู้ดว้ ย
ตนเองอยา่ งไร ยกตวั อยา่ ง

..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................

2. องคค์ วามรู้ทีผเู้ รียนไดร้ ับจากการจดั การความรู้ดว้ ยตนเองคืออะไร (แยกเป็นขอ้ ๆ)
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................

~ 185 ~

3. ให้ผเู้ รี ยนเขียนเรื องเล่าแห่งความสาํ เร็จ และรวมกลุ่มกับเพือนทีมีเรื องเล่าลกั ษณะคลา้ ยกัน
ผลดั กนั เล่าเรือง สกดั ความรู้จากเรืองเลา่ ของเพือน ตามแบบฟอร์มนี

แบบฟอร์มการบนั ทึกขุมความรู้จากเรืองเล่า

ชือเรือง .........................................................................................................................................................
ชือผเู้ ลา่ .........................................................................................................................................................
1 เนือเรืองยอ่
.........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
2. การบนั ทึกขมุ ความรูจ้ ากเรืองเล่า

2.1 ปัญหา .........................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................

2.2 วิธีแกป้ ัญหา (ขุมความรู)้ ..................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................

~ 186 ~

2.3 ผลทีเกิดขึน ............................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................

2.4 ความรู้สึกของผเู้ ลา่ / ผเู้ ล่าไดเ้ รียนรู้อะไรบา้ ง จากการทาํ งานนี
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
3. แก่นความรู้
.........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................

~ 187 ~

4. ใหผ้ เู้ รียนจบั กลมุ่ 3-5 คน ไปถอดองคค์ วามรู้แหล่งเรียนรู้ในชุมชน และนาํ มาสรุปเป็นองคค์ วามรู้ โดย
เรียบเรียงเขียนเป็นเรียงความ คลา้ ยตวั อยา่ ง “การถอดองคค์ วามรู้ชุมชนอนิ ทรียบ์ า้ นยางยวน”

สรุปองค์ความรู้กล่มุ ..................................................................................................................................
ทีอย่แู หล่งเรียนรู้ ..................................................................................................................................
ชือผ้ถู อดองค์ความรู้ 1. ............................................................................................................................

2. ............................................................................................................................
3. ............................................................................................................................
4. ............................................................................................................................
5 ............................................................................................................................

ประเดน็ การถอดองค์ความรู้
1. สภาพบริบทแหลง่ เรียนรู้
2. กระบวนบริหารจดั การแหล่งเรียนรู้
3. การสืบทอดภมู ิปัญญา
4. ปัญหาอปุ สรรค และแนวทางการพฒั นาแหล่งเรียนรู้

~ 188 ~

แบบทดสอบหลงั เรียน
แบบทดสอบเรืองการจดั การความรู้

คาํ ชีแจง จงกากบาท x เลือกขอ้ ทีท่านคิดว่าถกู ตอ้ งทีสุด

1. การจดั การความรู้เรียกสนั ๆ ว่าอะไร
ก. MK
ข. KM
ค. LO
ง. QA

2. เป้ าหมายของการจดั การความรู้คืออะไร
ก. พฒั นาคน
ข. พฒั นางาน
ค. พฒั นาองคก์ ร
ง. ถกู ทุกขอ้

3. ขอ้ ใดถกู ตอ้ งมากทีสุด
ก. การจดั การความรู้หากไมท่ าํ จะไม่รู้
ข. การจดั การความรู้ คือการจดั การความรู้ของผเู้ ชียวชาญ
ค. การจดั การความรู้ ถือเป็นเป้ าหมายของการทาํ งาน
ง. การจดั การความรู้ คือการจดั การความรู้ทีมใี นเอกสาร ตาํ รา มาจดั ใหเ้ ป็นระบบ

. ขนั สูงสุดของการเรียนรูค้ ืออะไร
ก. ปัญญา
ข. สารสนเทศ
ค. ขอ้ มลู
ง. ความรู้

~ 189 ~

5. ชุมชนนกั ปฏิบตั ิ (CoP) คืออะไร
ก. การจดั การความรู้
ข. เป้ าหมายของการจดั การความรู้
ค. วิธีการหนึงของการจดั การความรู้
ง. แนวปฏบิ ตั ิของการจดั การความรู้

6. รูปแบบของการจดั การความรู้ตามโมเดลปลาทู ส่วน “ทอ้ งปลา” หมายถงึ อะไร
ก. การกาํ หนดเป้ าหมาย
ข. การแลกเปลียนเรียนรู้
ค. การจดั เก็บเป็นคลงั ความรู้
ง. ความรู้ทีชดั แจง้

7. ผทู้ ีทาํ หนา้ ทีกระตนุ้ ใหเ้ กิดการแลกเปลยี นเรียนรู้คือใคร
ก. คุณเออื
ข. คุณอาํ นวย
ค. คุณกิจ
ง. คุณลขิ ิต

8. สารสนเทศเพือเผยแพร่ความรู้ในปัจจุบนั มีอะไรบา้ ง
ก. เอกสาร
ข. วีซีดี
ค. เว็บไซต์
ง. ถกู ทุกขอ้

9. การจดั การความรูด้ ว้ ยตนเองกบั ชุมชนแห่งการเรียนรู้มีความเกียวขอ้ งกนั หรือไม่ อยา่ งไร
ก. เกียวขอ้ งกนั เพราะการจดั การความรู้ในบุคคลหลาย ๆ คน รวมกนั เป็นชุมชน
เรียกวา่ เป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้
ข. เกียวขอ้ งกนั เพราะการจดั การความรู้ใหก้ บั ตนเองก็เหมอื นกบั จดั การความรู้
ใหช้ ุมชนดว้ ย
ค. ไมเ่ กียวขอ้ งกนั เพราะจดั การความรู้ดว้ ยตนเองเป็นปัจเจกบุคคล ส่วนชุมชน
แห่งการเรี ยนรู้เป็ นเรื องของชุมชน
ง. ไม่เกียวขอ้ งกนั เพราะชุมชนแห่งการเรียนรู้เป็นการเรียนรูเ้ ฉพาะกลุ่ม

~ 190 ~

แบบประเมนิ ตนเองหลงั เรียน

บทสะท้อนทีได้จากการเรียนรู้
1. สิงทีท่านประทบั ใจในการเรียนรู้รายวชิ าการจดั การความรู้

..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................

2. ปัญหา / อปุ สรรคทีพบในการเรียนรู้รายวชิ าการจดั การความรู้
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................

3. ขอ้ เสนอแนะเพมิ เติม
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................

~ 191 ~

บทที

คดิ เป็ น

สาระสําคญั
ทบทวนทําความเขา้ ใจกับความเชือพืนฐานของคนคิดเป็ นทางการศึกษาผูใ้ หญ่และ

การเชือมโยงไปสู่การเรียนรู้เรืองของการคิดเป็ น ปรัชญาคิดเป็ น การคิดแกป้ ัญหาแบบคนคิดเป็ น ศึกษา
วิเคราะห์ถึงลกั ษณะของข้อมูล การคิดเป็ นและกระบวนการวิเคราะห์ สังเคราะห์ ข้อมูลการคิดเป็ น
ทงั ประการ คือ ขอ้ มลู ทางวชิ าการ ขอ้ มลู เกียวกบั ตนเอง และขอ้ มลู ทางสภาวะแวดลอ้ มทางสงั คม โดยเนน้
ทีขอ้ มลู ดา้ นคุณธรรมจริยธรรม ซึงเป็นจุดเนน้ สาํ คญั ของการคิด การตดั สินใจ แกป้ ัญหาของคนคิดเป็น

ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั
. อธิบายถึงความเชือนพฐื านทางการศึกษาผใู้ หญ่ของคนคิดเป็ น และการเชือมโยงไปสู่

การเรียนรู้เรืองการคิดเป็น ปรัชญาคิดเป็น การคิดแกป้ ัญหา อยา่ งเป็นระบบ แบบคนคิดเป็นได้
. วิเคราะห์จาํ แนกลกั ษณะของขอ้ มูลการคิดเป็งนทัดา้ น ทีนํามาใชป้ ระกอบการคิด

และการตดั สินใจ ทงั ขอ้ มูลดา้ นวิชาการ ขอ้ มูลเกียวกับตนเอง ขอ้ มูลเกียวกบั สงั คมและสภาวะแวดลอ้ ม
โดยเนน้ ทีขอ้ มลู ดา้ นคุณธรรมจริยธรรมทีเกียวขอ้ งกบั บุคคล ครอบครัว และชุมชน ทีเป็ นจุดเนน้ สาํ คญั ของ
คนคิดเป็ นได้

. ฝึกปฏิบตั ิการคิดการแกป้ ัญหาอยา่ งเป็นระบบ การคิดเป็งจานกกทรั ณีตวั อยา่ งและหรือ
สถานการณ์จริงในชุมชน โดยนําขอ้ มูลด้านคุณธรรมจริยธรรม ซึงเป็ นส่วนหนึงของข้อมูลทางสังคม
และสภาวะแวดลอ้ มมาประกอบการคิดการพฒั นาได้

ขอบข่ายเนือหา
. ความเชือนพฐื านทางการศึกษาผใู้ หญ่กบั กระบวนการคิดเป็ น การเชือมโยงสู่ปรัชญา

คิดเป็น และการคิดการตดั สินใจแกป้ ัญหาอยา่ งเป็นระบบแบบคนคิดเป็น
. ระบบขอ้ มูล การจาํ แนกลกั ษณะของขอ้ มูล การเก็บขอ้ มูล การวิเคราะห์ สังเคราะห์

ขอ้ มูลทงั ดา้ นวิชาการ ดา้ นตนเอง และสังคมสภาวะแวดลอ้ ม โดยเน้นไปทีขอ้ มลู ดา้ นคุณธรรมจริยธรรม
ทีเกียวขอ้ งกบั บุคคล ครอบครัวและชุมชน เพือนาํ มาใชป้ ระกอบการตดั สินใจแกป้ ัญหาตามแบบอยา่ งของ
คนคิดเป็ น

. กรณีตวั อยา่ ง และสถานการณ์จริงในการฝึกปฏบิ ตั ิเพือการคิด การแกป้ ัญหาแบบคนคิดเป็น

~ 192 ~

ข้อแนะนําการจดั การเรียนรู้
1. คิดเป็น เป็นวชิ าทีเนน้ ใหผ้ เู้ รียนไดเ้ รียนรู้ดว้ ยการคิด การวเิ คราะห์ และแสวงหาคาํ ตอบดว้ ยการ

ใชก้ ระบวนการทีหลากหลายเปิ ดกวา้ ง เป็ นอิสระมากกว่าการเรียนรู้ทีเนน้ อเหนาื ใหท้ ่องจาํ หรือมีคาํ ตอบ
สาํ เร็จรูปใหโ้ ดยผเู้ รียนไมต่ อ้ งคิด ไม่ตอ้ งวิเคราะห์เหตุและผลเสียก่อน

2. ขอแนะนาํ วา่ กระบวนการเรียนรู้ในระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลายนัน ผเู้ รียนส่วนใหญ่ผ่านการ
เรียนมาจากหลกั สูตร กศน. ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ มาก่อน คุน้ เคยกบั กระบวนการกลุ่ม การสานเสวนา
หรือการอภิปรายถกแถลงมาก่อน พอจะใชก้ ารอธิบายเสริมการอภิปรายไดบ้ า้ ง แต่ถึงกระนันก็ควรจะใช้
กระบวนการกลุ่ม การอภิปราย เพือให้เป็ นการฝึ กทกั ษะการคิดการวิเคราะห์ขอ้ มลู อยเู่ ป็ นประจาํ จนเกิด
เป็นนิสยั สามารถนาํ กระบวนการดงั กล่าไวปนปี ระยกุ ตใ์ ชก้ บั การเรียนรู้ในรายวชิ าอนื ๆ ในลกั ษณะเดียวกนั
ไดด้ ว้ ย ในเวลาเดียวกันก็จะเป็ นการช่วยเพือน ๆ ผเู้ รียนบางคนทียงั ไม่เคยมีประสบการณ์ในการคิดการ
วิเคราะห์มาก่อนไดเ้ รียนรู้ดว้ ยความเขา้ ใจดียงิ ขึน

3. เนืองจากเป็ นวิชาทีประสงค์จะให้ผูเ้ รี ยนได้ฝึ กการคิดการวิเคราะห์ เพือแสวงหาคําตอบ
ดว้ ยตนเองมากกว่าท่องจาํ เพือหาความรู้แบบเดิม ครูและผูเ้ รียนจึงควรจะตอ้ งปฏิบัติตามกระบวนการที
แนะนาํ โดยไมข่ า้ มขนั ตอนจะช่วยใหก้ ารเรียนรู้เกิดขึนอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ

~ 193 ~

เรืองที
ทบทวนความเชือพนื ฐานทางการศึกษาผ้ใู หญ่ของคนคดิ เป็ น

และการเชอื มโยงไปสู่ปรัชญาคดิ เป็ น
การแก้ปัญหาอย่างเป็ นระบบของคนคดิ เป็ น

ในชีวติ ประจาํ วนั ทุกคนตอ้ งเคยพบกบั ปัญหาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็ นปัญหาการเรียน การงาน
การเงิน หรื อแม้แต่การเล่นกีฬาหรื อปัญหาอืน ๆ เช่น ปัญหาขัดแยง้ ของเด็ก หรื อปัญหาการแต่งตัว
ไปงานต่าง ๆ เป็ นตน้ เมือเกิดปัญหาก็เกิดทุกข์ แต่ละคนก็จะมีวิธีแกไ้ ขปัญหา หรือแกท้ ุกข์ดว้ ยวิธีการที
แตกต่างกนั ไป ซึงแต่ละคน แต่ละวิธีการอาจเหมือนหรือต่างกนั และอาจใหผ้ ลลพั ธท์ ีเหมือนกนั หรือต่างกนั
ก็ไดงน้ ทีขั ึนอยู่กบั พืนฐานความเชือ ความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ของบุคคลนนั หรืออาจจะ
ขึนอยกู่ บั ทฤษฎีและหลกั การของความเชือทีต่างกนั เหล่านนั

“คิดเป็น” เป็นกระบวนการคิดและตดั สินใจแกป้ ัญหาวิธีหนึงของคนทาํ งาน กศน.ทีท่าน
อาจารย์ ดร.โกวิท วรพิพฒั น์ อดีตอธิบดีกรมการศึกษานอกโรงเรียนและอดีตปลดั กระทรวงศึกษาธิการ
ไดน้ าํ เสนอไวเ้ ป็ นทิศทางและหลกั การสาํ คญั ในการดาํ เนินงานโครงการการศึกษาผใู้ หญ่และการศึกษา
นอกโรงเรียนในสมยั นัน และใชเ้ ป็ นปัญหาส่องนาํ ทางในการจดั การศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม
อธั ยาศยั ในระยะต่อมาดว้ ย

“คิดเป็นง”อตยั่บู นความเชือพืนฐานทางการศึกษาผใู้ หญ่ทีเป็ นหลกั ความจริงของมนุษย์
ทีวา่ คนเรามคี วามหลากหลายแตกต่างกนั แต่ทุกคนตอ้ งการความสุขเป็ นเป้ าหมายสูงสุด คน กศน.เชือว่า
ปัญหาหรือความทุกข์เป็ นเรืองธรรมชาติทีเกนิดไขดึ ก้ ็สามารถแกไ้ ขได้ ความทุกข์หรือปัญหาเป็ง นสิ
ทีเกิดขึนกบั คนมากนอ้ ย หนกั เบา ต่างกนั ออกไป เมือเกิดปัญหาหรือความทุกข์คนเราก็ตอ้ งพยายามหาทาง
แกป้ ัญหาหรือคลีคลายความทุกขใ์ หห้ มดไปใหค้ วามสุขกลบั คืนมา ความสุขของมนุษยจ์ ะเกิดขึนไดต้ ่อเมือ
มนุษยก์ ับสภาวะแวดลอ้ มทีเป็ นวิถีชีวิตของตนสามารถปรับตวั กบั สภาวะแวดลอ้ มให้กลมกลืนกนั ไดน้ ี
มนุษยต์ อ้ งรู้จกั แสวงหาขอ้ มลู ทีหลากหลายและเพียงพออย่างน้อย ดา้ นดว้ ยกนั คือ ขอ้ มูลดา้ นวิชาการ
ขอ้ มลู เกียวกบั ตนเอง และขอ้ มลู เกียวกบั สภาวะแวดลอ้ มทางสงั คม ชุมชน นาํ มาวิเคราะห์ศึกษารายละเอียด
อยา่ งรอบคอบและสงั เคราะห์เพอื หาทางเลือกทีดีทีสุดนาํ มาใชแ้ กป้ ัญหา

ความเชือพนื ฐานของคนคดิ เป็ นหรือความเชือพนื ฐานทางการศึกษาผ้ใู หญ่คอื อะไร
เพอื ใหผ้ เู้ รียนมคี วามเขา้ ใจและเขา้ ถึง “คิดเป็น” ไดอ้ ยา่ งลงึกแซลึะชดั เจน ผเู้ รียนทีเคยเรียน

เรือง “คิดเป็น” มาก่อนในระดบั ประถมศึกษาหรือระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ ขอใหข้ า้ มไปอ่านต่อและร่วม
กิจกรรมกระบวนการ ตงั แต่ เรืองที ของบทนีเป็นตน้ ไป

~ 194 ~

สําหรับผู้เรี ยนทียงั ไม่เคยเรี ยนเรื อง “คิดเป็ น” มาก่อนในระดับประถมศึกษาและ
มธั ยมศึกษาตอนตน้ ขอใหร้ ่วมกนั ทาํ ความเขา้ ใจเรืองความเชือพนื ฐานของคนคิดเป็ นหรือความเชนือฐพาื น
ทางการศึกษาผใู้ หญ่เสียก่อน ทงั นีเพราะกระบวนการ “คิดเป็น” เนน้ การทาํ ความเขา้ ใจดว้ ยกระบวนการคิด
และสร้างความเขา้ ใจดว้ ยตนเองเป็ นหลกั ให้ใช้กรณีตัวอย่างในแบบเรียนคิดเป็ น ระดับประถมศึกษา
เป็นเอกสารประกอบการสนทนาและร่วมสรุปแนวคิดดงั ต่อไปนี

ความเชือพนื ฐานทางการศึกษาผ้ใู หญ่ ปฐมบทของปรัชญา “คดิ เป็ น”
ครังหนึง ดร.โกวิท วรพิพฒั น์ อดีตปลดั กระทรวงศึกษาธิการ ซึงเคยเป็ นอธิบดีกรมการ
ศึกษานอกโรงเรี ยนมาก่อนเคยเล่าให้ฟังว่ามีเพือนฝรังถามท่านว่า ทาํ ไมคนไทยบางคนจนก็จน
อยกู่ ระต๊อบเก่า ๆ ทาํ งานก็หนกั หาเชา้ กินคาํ แต่เมือกลบั บา้ นยงั มงแี เกป่ใาจขนล่ยุั ตงั วงสนทนา สนุกสนาน
เฮฮากบั เพอื นบา้ นหรือโขกหมากรุกกบั เพือน ไดอ้ ยา่ งเบิกบานใจ ตกเย็นงกก็ินขนา้ วั คลุกนาํ พริก คลุกนาํ ปลา
กบั ลูกเมียอยา่ งมีความสุขได้ ท่านอาจารยต์ อบไปว่า เพราะเขาคิดเป็ น เขาจึงมีความสุข มีความพอเพียง
ไม่ทุกข์ ไม่เดือดร้อนทุรนทุรายเหมือนคนอืน ๆ เท่านันแหละ คาํ ถามก็ตามมาเป็ นหางว่าว เช่น ก็เจา้
“คิดเป็น” มนั คืออะไร อยทู่ ีไหน หนา้ ตาเป็นอยา่ งไร หาไดอ้ ยา่ งไร หายากไหม ทาํ อยา่ งไรจึงจะคิดเป็ น ตอ้ ง
ไปเรี ยนจากพระอาจารยท์ ิศาปาโมกข์หรื อเปล่า ค่าเรี ยนแพงไหม มีค่ายกครูไหม ใครเป็ นครูอาจารย์
หรือศาสดา ฯลฯ ดูเหมือนว่า “คิดเป็ น” ของท่านอาจารยจ์ ะเป็ นคาํ ไทยง่าย ๆ ธรรมดา ๆ แต่ก็อาอกจะลึกลํ
ชวนใหใ้ ฝ่ หาคาํ ตอบยงิ นกั

“ คดิ เป็ น” คอื อะไรใครรู้บ้าง
มที ศิ ทางมาจากไหนใครเคยเหน็
จะเรียนรําทาํ อย่างไรให้คดิ เป็ น
ไม่ล้อเล่นใครตอบได้ ขอบใจเอย

~ 195 ~

ประมาณปี พ.ศ. เป็นตน้ มา ท่านอาจารย์ ดร.โกวิท วรพิพฒั น์ และคณะไดน้ าํ แนวคิด
เรือง “คิดเป็ น” มาเป็ นเป้ าหมายสาํ คญั ในการจดั การศึกษาผใู้ หญ่หลายโครงการ เช่น โครงการการศึกษา
ผใู้ หญ่แบบเบ็ดเสร็จ โครงการรณรงคเ์ พือการรู้หนงั สือแห่งชาติ โครงการการศึกษาประชาชนและการศึกษา
ผใู้ หญ่ขนั ต่อเนืองเป็ นต้น*ต่อมาท่านยา้ ยไปเป็ นอธิบวดิชีกากรามร ท่านก็นาํ คิดเป็ นไปเป็ นแนวทางจัด
การศึกษาสาํ หรับเด็กในโรงเรียนจนเป็ นทียอมรับนมเพากือขใึห้การทาํ ความเขา้ ใจกบั การคิดเป็ นง่านยขึ
พอทีจะใหค้ นทีจะมามีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนการสอนตามโครงการดังกล่าวเขา้ ใจและสามารถ
ดาํ เนินกิจกรรมการเรียนรู้ใหส้ อดคลอ้ งกบั หลกั การ “คิดเป็ น” ได้ จึงมีการนาํ เสนอแนวคิดเรือง ความเชือ
พนื ฐานทางการศกึ ษาผใู้ หญ่ขึนเป็นงคแรัก โดยใชก้ ระบวนการคิดเป็ น ในการทาํ ความเขา้ ใจกบั ความเชือ
พนื ฐานทางการศึกษาผใู้ หญ่ใหก้ บั ผทู้ ีจะจดั กระบวนการเรียนการสอนตามโครงการดงั กลา่ วในรูปแบบของ
การฝึ กอบรม** ดว้ ยการฝึ กอบรมผรู้ ่วมโครงการการศึกษาผใู้ หญ่แบบเบ็ดเสร็จ และโครงการการศึกษา
ผูใ้ หญ่ขันต่อเนืองระดับ - - เป็ นทีรู้จักฮือฮากันมากในสมนัยนผูเั้ ข้ารับการอบรมยงั คงรําลึกถึง
และนาํ มาใชป้ ระโยชนจ์ นทุกวนั นี

เราจะมาทาํ ความรู้จกั กบั ความเชือพนื ฐานทางการศกึ ษาผใู้ หญ่ทีเป็นปฐมบทของการคิดเป็นกนั บา้ งดีไหม

การเรียนรู้เรืองความเชือพืนฐานทางการศึกษาผใู้ หญ่ให้เข้าใจไดด้ ีผเู้ รียนตอ้ งทาํ ความเขา้ ใจดว้ ยการร่วม
กิจกรรม การคิดวิเคราะห์เรืองราวต่าง ๆ เป็นเขปั็ นตอนตามลาํ ดับ และสรุปความคิดเป็นเป็นขั นตอน
ตามไปด้วย โดยไม่ตอ้ งกงั วลว่าคาํ ตอบหรือความคิดทีได้จะผิดหรือถูกเพียงใด เพราะจะไม่มีคาํ ตอบใด
ถกู ทงั หมด และไม่มีคาํ ตอบใดผดิ ทงั หมด เมือไดร้ ่วมกิจกรรมครบตามกาํ หนดแลว้ ผเู้ รียนจะร่วมกนั สรุป
แนวคิดเรือง ความเชือพนื ฐานทางการศึกษาผใู้ หญ่ได้ ดว้ ยตนเอง

ต่อไปนีเราจะมาเรียนรู้เรืองความเชือพนื ฐานทางการศกึ ษาผใู้ หญ่ เพือนาํ ไปสู่การสร้างความเขา้ ใจ
เรืองการคิดเป็นร่วมกมนั ดเรว้ิ ยการร่วมกจิ กรรมตา่ ง ๆ เป็นนเขป็ั นตอนไงปแตั่กิจกรรมที - โดยจะมีครู
ร่วมกิจกรรมดว้ ย

* นบั เป็นวิธีการทางการศกึ ษาทีสมยั ใหม่มากยงั ไม่มีหน่วยงานไหนเคยทาํ มาก่อน
** ทีให้วิทยากรทีเป็ นผจู้ ดั อบรมและผเู้ ขา้ รับการอบรมมีส่วนเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กนั ดว้ ย กระบวนการ
อภิปรายถกแถลงในรูปกระบวนการกลุ่มมกี ารวเิ คราะหก์ รณีตวั อยา่ งหลายเรือง ทีกาํ หนดขึน นาํ เหตุผล และ
ขอ้ คิดเห็นของกลุ่มมาสรุปสงั เคราะห์ออกมาเป็นควานมฐเชานือพทืางการศกึ ษาผใู้ หญ่ (สมยั นนั ) หรือ กศน.
(สมยั ต่อมา) ผลสรุปของการอภิปรายถกแถลงไม่ว่าจะเป็ นกลุ่มไหนก็จะไดอ้ อกมาเป็ นทิศทางเดียวกนั
เพราะเป็นสจั ธรรมทีเป็นความจริงในชีวติ

~ 196 ~

กจิ กรรมที
ครูและผูเ้ รี ยนนังสบายๆ อยู่กันเป็ นกลุ่ม ครูแจกใบงานที ทีเป็ นกรณีตวั อย่างเรื อง

“หลายชีวติ ” ใหผ้ เู้ รียนทุกคน ครูอธิบายใหผ้ เู้ รียนทราบวา่ ครูจะอ่านกรณีตวั อยา่ งให้ฟัง เทียวชา้ ๆ ใครที
พออา่ นไดบ้ า้ งก็อา่ นตามไปดว้ ย ใครทีอ่านยงั ไม่คล่องก็ฟังครูอา่ นและคิดตามไปดว้ ย เมอื ครูอา่ นจบแลว้ ก็จะ
พดู คุยกบั ผเู้ รียนเชิงทบทวนถึงเนือหาในกรณีตวั อยา่ งเรือง “หลายชีวิต” เพือจะใหแ้ น่ใจวา่ ผเู้ รียนทุกคนเขา้ ใจ
เนือหาของกรณีตวั อย่างตรงกนั จากนันครูจึงอ่านประเด็น ซึงเป็ นคาํ ถามปลายเปิ ด (คาํ ถามทีไม่มีคาํ ตอบ
สาํ เร็จรูป) ทีกาํ กบั มากบั กรณีตวั อยา่ งใหผ้ เู้ รียนฟัง

ใบงานที
กรณตี วั อย่าง เรือง “หลายชีวติ ”

หลายชีวติ

พระมหาสมชยั เป็ นพระนักเทศน์ มีประสบการณ์การเทศน์มหาชาติกณั ฑม์ ทั รีทีมีชือเสียงเป็ นที
แพร่หลายในหลายทีหลายภาคของไทย วดั หลายแห่งตอ้ งจองท่านไปเทศน์ใหง้ านของวดั นัน ๆ เพราะญาติ
โยมขอร้อง และพระนกั เทศนท์ งั หลายก็นิยมเทศน์ร่วมกบั ท่านมหาสมชงยัใตจัไวว้ ่าอยากเดินทางไปเทศน์
ทีวดั ไทยในอเมริกาสกั ครังในชีวติ เพราะไมเ่ คยไปต่างประเทศเลย

เจ๊เกียว เป็ นนกั นธุรนกาํ ิจมชีกั ิจการหลายอย่างในความดูแล เช่น กิจการเสือผา้ สาํ เร็จรูป กิจการ
จาํ หน่ายสินคา้ โอท็อป กิจการส่งออกสินคา้ อาหารกระป๋ อง กิจการจาํ หน่ายสินคา้ ทางอนิ เทอร์เน็ต แต่เจ๊เกียว
ไม่มลี กู สืบสกลุ เลย ตงั ความหวงั ไวว้ ่าขอมีลกู สกั คน แต่ก็ไมเ่ คยสมหวงั เลย

ลุงแป้ น เป็ นเกษตรกรอาวุโส อายุเกิน ปี แลว้ แต่ยงั แข็งแรง มีฐานะดี ชอบทาํ งานทุกอย่าง
ไม่อยนู่ ิง ทาํ งานส่วนตวั งานสงั คม งานช่วยเหลอื คนอืน และงานบาํ รุงศาสนา ลุงแป้ นแอบมีความหวงั ลึก ๆ
อยากไดป้ ริญญากิตติมศกั ดิ จากมหาวิทยาลยั ราชภฏั สกั แห่งเพือเก็บไวเ้ ป็ นความภูมิใจของตนเอง และ
วงศต์ ระกูลเด็กหญิงนวลเพ็ญ เป็ นเด็กหญิงจน ๆ ต่างจงั หวดั ห่างไกล ไม่เคยเห็นกรุงเทพ ไม่เคยเขา้ เมือ
ไมเ่ คยออกจากหมบู่ า้ นไปไกล ๆ เลย ด.ญ. นวลเพ็ญคิดวา่ ถา้ มีโอกาสไปเทียวกรุงเทพสกั งครงัจะดีใจและมี
ความสุขมากทีสุด

ทิดแหวง บวชเป็ นเณงรแตตั ่เล็ก เมืออายุครบบวชก็บวชเป็งสนึกพอรอะกเมพาิ ช่วยพ่อทาํ นา
ทิดแหวงตงั ความหวงั ไวว้ า่ เขาอยากแต่งงานกบั หญิงสาวสวย รํารวยสกั คน จะไดม้ ีชีวิตทีสุขสบาย ไม่ตอ้ ง
ทาํ งานหนกั เหมือนทีเป็นอยใู่ นปัจจุบนั

~ 197 ~

ประเด็น กรณีตวั อยา่ งเรือง “หลายชีวิต” บอกอะไรบา้ งเกียวกบั ชีวติ มนุษย์

ครูแบ่งกลมุ่ ผเู้ รียนออกเป็น - กลุ่มยอ่ ย ให้ผเู้ รียนเลือกประธานกลุ่มและเลขานุการกลุ่มเพือเป็ น
ผนู้ าํ อภิปรายและผจู้ ดบนั ทึกผลการอภิปรายของกลุม่ และนาํ ผลการอภิปรายของกลมุ่ เสนอต่อทีประชุมใหญ่
จากนันให้ผเู้ รียนแต่ละกลุ่มอภิปรายถกแถลงเพือหาคาํ ตอบตามประเด็นทีกาํ หนดให้ ครูติดตามสังเกต
เหตุผลของกลมุ่ หากขอ้ มลู ยงั ไมเ่ พียงพอ ครูอาจชีแนะใหอ้ ภิปรายเพิมเติม ในส่วนของขอ้ มูลทียงั ขาดอยไู่ ด้
เลขานุ การกลุ่มบันทึกผลการพิจารณาหาคําตอบตามประเด็นทีกําหนด ให้เป็ นคํานตอๆบสั
ไดใ้ จความเท่านนั และนาํ คาํ ตอบนนั ไปรายงานในทีประชุมกล่มุ ใหญ่**

ในการประชุมกลุ่มใหญ่ ผูแ้ ทนกลุ่มย่อยนาํ เสนอรายงาน ครูบนั ทึกข้อคิดเห็นของกลุ่มย่อยไวท้ ี
กระดาษปรู๊ ฟ ซึงเตรียมจดั ไวก้ ่อนแลว้ เมือทุกกลุ่มรายงานแลว้ ครูนาํ อภิปรายในกลุ่มใหญ่ถึงคาํ ตอบ
ของกลุ่ม ซึงจะหลอมรวมบูรณาการคาํ ตอบของกลุ่มย่อยออกมาเป็ นคาํ ตอบประเด็นอภิปรายของกรณี
ตวั อยา่ ง “หลายชีวติ ” ของกลมุ่ ใหญ่ จากนนั ครูนาํ สรุปคาํ ตอบทีไดเ้ ป็นขอ้ เขียนทีสมบรู นณ์ขแึละนาํ คาํ ตอบ
นนั บนั ทึกในกระดาษปรู๊ ฟติดไวใ้ หเ้ ห็นชดั เจน

ตวั อยา่ งขอ้ สรุปของกรณีตวั อย่าง เรือง ตวั อยา่ ง
“หลายชีวิต” ปรากฏดงั ในกรอบดา้ น ขอ้ สรุปผลการอภิปรายจากกรณีตวั อยา่ งเรือง
ขวามอื ตวั อยา่ ง ขอ้ สรุปนีอาจใกลเ้ คียง “หลายชีวติ ”
กบั ขอ้ สรุปของท่านกไ็ ด้ --------------

คนแต่ละคนมีความแตกต่างกนั มีวิถีการดาํ เนินชีวิต
ทีไม่เหมอื นกนั แต่ทุกคนมีความตอ้ งการทีคลา้ ยกนั คือ
ตอ้ งการประสบความสาํ เร็จ ซึงถา้ บรรลุตามต้องการ
ของตน คนนนั กจ็ ะมคี วามสุข

กรณีตวั อยา่ งเรือง “หลายชีวิต” เริมเปิ ดตวั ออกมาเป็นเรืองแรก ผเู้ รียนจะตอ้ งติดตามต่อไป
ดว้ ยการทาํ กิจกรรมที ที ที ถึงที ตามลาํ ดบั จึงจะพบคาํ ตอบว่า “ความเชือพนื ฐานทางการศกึ ษาผใู้ หญ่
คืออะไรแน่ และจะเป็นปฐมบทของ “การคิดเป็น”อยา่ งไร พกั สกั ครู่ก่อนนะ

** หากมผี เู้ รียนไม่มากนกั ครูอาจไมต่ อ้ งแบ่งกลุ่มยอ่ ย ใหผ้ เู้ รียนทุกคนร่วมอภิปรายถกแถลง หรือสนทนา
แลกเปลยี นความคิดกนั ในกลมุ่ ใหญ่เลย โดยมปี ระธานหรือหวั หนา้ กลุ่มเป็นผนู้ าํ และมเี ลขานุการกลมุ่ ใหญ่
เป็นผบู้ นั ทึก (ครูอาจเป็นผชู้ ่วยบนั ทึกได)้

~ 198 ~

กิจกรรมที
ครูและผเู้ รียนนงั สบาย ๆ อยกู่ นั เป็นกล่มุ ครูแจกใบงานที ทีเป็นกรณีตวั อยา่ ง เรือง

“แป๊ ะฮง” ครูดาํ เนินกิจกรรมเช่นเดียวกบั การดาํ เนินงานในกิจกรรมที

ใบงานที
กรณตี วั อย่างเรือง แป๊ ะฮง

แปแ๊ ะปฮ๊ ะงฮง

ท่านขุนพิชิตพลพา่ ย เป็นคหบดีมีชือเสียงมากในดา้ นความเมตตากรุณาท่านเป็ นคนทีพร้อมไปดว้ ย
ทรัพยส์ มบตั ิ ขา้ ทาสบริวาร เกียรติยศ ชือเสียง และสุขกายสบายใจ

ตาแป๊ ะฮง เป็ นชายจีนชราตวั คนเดียว ขายเตา้ ฮวย อาศยั อยู่ทีห้องแถวเล็ก ๆ หลงั บ้านขุนพิชิต
แป๊ ะฮงขายเตา้ ฮวยเสร็จกลบั บา้ นตอนเย็นตกคาํ หลงัาจอากบอทา่าบกนินํ ขา้ วเสร็จงกส็ีซอนเพั ลิดเพลิน
ทุกวนั ไป

วนั หนึงท่านขุนคิดว่า แป๊ ะฮงดูมีความสุขดี แต่ถา้ ไดม้ ีเงินมานกคขงึ จะมีความสุขอยา่ งสมบูรณ์
มากขึน ท่านขนุ จึงเอาเงินหนึงแสนบาทไปใหแ้ ป๊ ะฮง จานกมนาั เป็นเวลาอาทิตยห์ นึงเต็ม ๆ ท่านขุนไมไ่ ดย้ นิ
เสียงซอจากบ้านแป๊ ะฮงอีกเลย ท่านขุนรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปอย่างหนึง เย็นวนั ทีแปดแป๊ ะฮงก็มาพบ
ท่านขุน พร้อมกบั นาํ เงินทียงั เหลืออกี หลายหมืนมาคืน แป๊ ะฮงบอกท่านขุนวา่

“ผมเอาเงินมาคืนท่านครับ ผสมเหนือยเหลอื เกิน มีเงินมากก็ตอ้ งทาํ งานมานกตขอ้ึ งคอยระวงั รักษา
เงินทอง เต้าฮวยก็ไม่ได้ขาย ต้องไปลงทุนทางอืนเพือให้รวยมานกอขีึกลงทุนแลว้ ก็กลัวขาดทุน
เหนือยเหลือเกิน ผมไม่อยากไดเ้ งินแสนแลว้ ครับ” คืนนนั ท่านขนุ ก็หายใจโล่งอก เมอื ไดย้ นิ เสียงซอจากบา้ น
แป๊ ะฮง แทรกเขา้ มากบั สายลม

ประเด็น ในเรืองความสุขของคนในเรือทงน่านี ไดแ้ นวคิดอะไรบา้ ง?

แนวทางการทาํ กิจกรรม
. เลขานุการกลมุ่ บนั ทึกความเห็นของกลมุ่ ทีร่วมกนั อภิปราย ความเห็นอาจมหี ลายคาํ ตอบได้

. อาจเปรี ยบเทียบความเห็นหรื อคําตอบของกลุ่มผูเ้ รี ยนกับตัวอย่างข้อสรุ ปทีนําเสนอว่า
ใกลเ้ คียงกนั หรือไม่ เพียงใด

. เลอื กขอ้ คิดหรือคาํ ตอบของกลุ่มทีคิดว่าดีทีสุดไว้ คาํ ตอบ

~ 199 ~

. คาํ ตอบทีกล่มุ คิดว่าดีทีสุด เลอื กบนั ทึกไวค้ ือ
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................

ตวั อยา่ ง ขอ้ สรุปของกรณีตวั อยา่ ง ตวั อยา่ ง
เรือง “แป๊ ะฮง” ปรากฏในกรอบดา้ น ขอ้ สรุปผลการอภิปรายจากกรณีตวั อยา่ งเรือง
ขวามอื ตวั อยา่ งขอ้ สรุปนีอาจ “แป๊ ะฮง”
ใกลเ้ คียงกบั ขอ้ สรุปของท่านก็ได้ -----------

เมือคนมีความแตกต่างกนั แต่ทุกคนต่างก็ตอ้ งการ
ความสุ ข ดังนัน ความสุ ขของแต่ ละคนก็อาจ
ไม่เหมือนกนั ต่างกนั ไปตามสภาวะของแต่ละบุคคล
ทีแตกต่างกนั ดว้ ย

~ 200 ~

กจิ กรรมที
ครูและผเู้ รียนนงั สบาย ๆ อยกู่ นั เป็นกล่มุ ครูแจกใบงานที ทีเป็นกรณีตวั อยา่ ง เรือง “ธญั ญวดี”

ครูดาํ เนินกิจกรรมเช่นเดียวกบั การดาํ เนินงานในกจิ กรรมที

ใบงานที
กรณตี วั อย่างเรือง “ธญั ญวด”ี

ธัญญวดี

ธญั ญวดีไดร้ ับการบรรจุเป็นครูในโรงเรียนมธั ยมทีต่างจงั หวดั พอเป็นครูได้ ปี ก็มอี นั เป็น
ตอ้ งยา้ ยเขา้ มาอยใู่ นกรุงเทพมหานคร โรงเรียนทีธญั ญวดียา้ ยเขา้ มาทาํ การสอนเป็นโรงเรียนมธั ยม
เช่นเดียวกนั แต่มกี ารสอนการศกึ ษาผใู้ หญ่ระดบั ที - และ ในตอนเย็นอีกดว้ ย มาเมอื เทอมทีแลว้ ธญั ญวดี
ไดร้ ับการชกั ชวนจากผอู้ าํ นวยการใหส้ อนการศกึ ษาผใู้ หญ่ในตอนเย็น ธญั ญวดี เห็นว่าตวั เองไม่มภี าระอะไร
ก็เลยตกลงโดยไมต่ อ้ งคิดถึงเรืองอืนายซงั จํ ะมรี ายไดเ้ พมิ ขึนอกี ดว้ ย

แต่ธญั ญวดีจะคิดผดิ หรือเปลา่ ไมท่ ราบ เริมตน้ จากเสียงกระแนะกระแหนจากครูเก่าบางคน
ว่ามาอย่ยู งั ไม่ทนั ไรก็ไดส้ อนภาคคาํ ส่วนครูเก่าทีสอนภาคคาํ ก็เลือกสอนเฉวโพมางะตชน้ั ๆ โดยอา้ งว่า
เขามีภารกิจทีบา้ น ธญั ญวดียงั สาว ยงั โสด ไม่มีภาระอะไรตอ้ งสอนชวั โมงทา้ ย ๆ ทาํ ให้ธญั ญวดีตอ้ งกลบั
บา้ นดึกทุกวนั ถึงบา้ นก็เหนือย อาาบแนลํว้ หลบั เป็นตายทุกวนั

การสอนของครูภาค คําส่วนใหญ่ไม่ค่อยคํานึงถึงผเู้ รี ยน เขาจะรี บสอนให้หมดไป
ชวั โมงหนึง ๆ เท่านนั เทคนิคการสอนทีไดร้ ับการอบรมมา เขาไม่นาํ พา ทาํ งานแบบขอไปที เชา้ ชามเย็นชาม
ธญั ญวดีเห็นแลว้ ก็คิดว่า คงจะร่วมสงั ฆกรรมไม่ได้ จึงพยายามทุ่มเทกาํ ลงั กายกาํ ลงั ใจและเวลา ทาํ ทุก ๆ
วถิ ีทางเพอื หวงั จะใหค้ รูเหล่านนั ไดเ้ อาเยยี งอยา่ งของตนบา้ งแต่ก็ไม่ไดผ้ ลทุกอย่างเหมือนเดิม ธญั ญวดีแทบ
หมดกาํ ลงั ใจไมม่ คี วามสุขเลย คิดจะยา้ ยหนีไปอยทู่ ีอืน มาฉุกคิดว่าทีไหน ๆ คงเหมือน ๆ กนั คนเราจะให้
เหมือนกนั หมดทุกคนไปไม่ได้

ประเด็น ถา้ ท่านเป็นธญั ญวดี ทาํ อยา่ งไรจึงจะอยใู่ นสนงัไคดมอ้ นยา่ั งมีความสุข


Click to View FlipBook Version