ธรรมทาน
หากมีท่านผูศ้ รัทธาพมิ พแ์ จกเป็นธรรมทาน
ผู้เขียนมีความอนโุ มทนายินดีด้วยทุกโอกาส
กรุณาทราบตามนัยทเี่ รยี นมาแล้วน้ี
จะไมเ่ ปน็ กงั วลในการต้องขออนญุ าตอีกในวาระตอ่ ไป
แตก่ ารพมิ พจ์ �ำ หนา่ ยนั้นขอสงวนลขิ สิทธิ์
ดังทเี่ คยปฏิบตั ิมากับหนงั สือทกุ เล่มทผี่ เู้ ขยี นเปน็ ผ้เู รยี บเรยี ง
เพราะม่งุ ประโยชน์แกโ่ ลกด้วยความบริสุทธิ์ใจ
ไมป่ ระสงค์ให้มอี ะไรเป็นเครื่องผูกพนั
จึงขอความเห็นใจมาพร้อมนีด้ ้วย
ขอความเปน็ สริ มิ งคลท่ีโลกปรารถนา
จงเกิดมแี ตท่ า่ นผอู้ ่านผู้ฟัง
และท่านผปู้ ฏบิ ัตติ ามทัง้ หลายโดยทัว่ กนั
คำ�นำ�
หนังสอื แวน่ ดวงใจ เปน็ หนงั สอื ที่หนาเล่มหนึ่ง ซง่ึ ยากแก่การขวนขวายเพ่ือจัดพมิ พอ์ ยู่
ไมน่ ้อย แตก่ ็ยังมีทา่ นผ้ศู รทั ธาพิมพแ์ จกทานเรอื่ ยมา หากขาดไปบา้ งก็เปน็ ครั้งคราว บดั นีก้ ็ได้
มที ่านผ้ศู รทั ธาประสงค์จะพิมพ์แจกทานแกท่ า่ นผู้สนใจธรรมปฏิบัติ ซงึ่ นับวา่ เปน็ การทมุ่ เทกำ�ลงั
ทรัพย์ ก�ำ ลังศรทั ธา เมตตามหาคุณค�้ำ จนุ โลกผหู้ วงั พึง่ ใบบุญอยไู่ มน่ ้อยเลย ผู้เขยี นจึงขอขอบคณุ
และอนโุ มทนาในเจตนาศรทั ธาอนั แรงกล้าของทา่ นท้ังหลายมาพรอ้ มน้ี ดว้ ยความซาบซึ้งเปน็
อยา่ งยิง่
ขอความสวสั ดีมชี ัยจงเกิดมแี ก่ทา่ นผ้ศู รทั ธา และท่านผอู้ ่านโดยท่วั กนั เทอญ ฯ
(คำ�นำ�ของทา่ นอาจารยพ์ ระมหาบวั ญาณสัมปนั โน
จากการพมิ พค์ ร้ังก่อน ๕ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๒๕)
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบา้ นตาด จังหวดั อุดรธานี
เม่ือวันที่ ๑๗ มิถุนายน พุทธศกั ราช ๒๕๓๗
“...หนังสอื น้ีอยา่ เอาไปโยนข้นึ หง้ิ แลว้ เก็บส่งั สมหนงั สอื เอาไว้ว่า เรามีหนงั สอื เท่าน้ันเลม่
เท่านเ้ี ล่ม ไมน่ อ้ ยหนา้ ใคร แต่ไม่ได้อา่ นดูตวั เองนนั่ ซี อ่านหนงั สือไม่อา่ น เอาไปโยนขึน้ หิ้งใชไ้ ม่ได้นะ
ไมเ่ ห็นคณุ ค่าของหนงั สือ พระพทุ ธเจา้ สลบ ๓ หนกว่าจะไดเ้ ปน็ พระพทุ ธเจา้ ครูบาอาจารย์
แตล่ ะองคท์ จี่ ะได้นำ�หนังสอื มาแจกพวกเรานีแ้ ทบเป็นแทบตายท้ังนน้ั ละ ไมม่ ีองค์ไหนสบายๆ
มาแหละ มแี ต่องคเ์ ดนตายมา เราเอาไปโยนขึ้นห้ิงมนั เข้ากันได้ไหมละ่ เขา้ ไม่ไดน้ ะ
ถ้าอยากเปน็ คนดใี หเ้ อาไปอา่ น อา่ นหนังสอื แลว้ ก็อา่ นตวั เองเทียบกันไป หนังสือทา่ นว่า
ยังไงๆ เราปฏบิ ัตติ วั เรายังไงๆ ดูตรงไหนควรแกไ้ ขยงั ไงๆ ใหร้ ีบแก้ไข อ่านไปสงั เกตตวั เองไป
ตรวจตราดูตัวเองไป แก้ไขตัวเองไปเร่อื ยๆ เป็นคนดไี ด้ ไม่ไดด้ เี ฉยๆ ไม่ได้ชัว่ เฉยๆ นะ มเี หตุมี
ผลทค่ี วรจะดจี ะช่ัว ถา้ ทำ�ตัวให้ดกี ็เปน็ คนดี ท�ำ ตวั ใหช้ ั่วก็เปน็ คนเลวไปเลย ไมใ่ ช่อย่ๆู ก็ดี อยๆู่
กช็ ่ัว มเี หตุมผี ลควรดี ควรช่ัว....”
โดย ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสมั ปันโน
คุณค่าของการอา่ นหนงั สือธรรมะ
เราเหน็ คุณคา่ ของการอ่านหนังสอื ทางดา้ นธรรมะเป็นสำ�คญั อา่ นธรรมะ ฟังธรรมะ
อบรมธรรมะเพือ่ ดับไฟในใจ เพราะสง่ิ ที่ท�ำ ใหเ้ พลดิ เพลนิ น้ันเป็นส่งิ ทม่ี พี ิษภัยและความโศกเศร้า
แฝงอยใู่ นนั้น จึงน�ำ ธรรมะเข้าไปชะลา้ งในจดุ นนั้ เปดิ ออกเพื่อให้เห็นโทษของมัน ถา้ มแี ต่สิง่
เหลา่ นน้ั ถึงจะมีโทษขนาดไหน ก็ไม่ไดเ้ ห็นโทษ เพราะไมส่ นใจดูโทษ พอธรรมะสอ่ งเข้าไปปั๊ป
กเ็ หน็ เห็นโทษของมนั มากน้อยเหน็ เร่อื ยๆ เหน็ หลายครั้งหลายหนก็มกี ำ�ลงั มากและปราบกนั
ได้ๆ อยา่ งนอ้ ยกอ็ ยูด่ ว้ ยความสงบเย็นใจ ไมป่ ีนร้วั ปนี ลกู กรงอย่างเขาวา่
เราเห็นอยา่ งน้ันแหละ จงึ ได้พมิ พห์ นงั สอื ออกแจก ทีแรกทางวัดพิมพ์แจกก่อน ทนี ตี้ อ่
มาบรรดาลูกศิษยล์ กู หาก็พมิ พ์ เลยพิมพ์กนั เปน็ เน้อื เป็นหนงั จริงๆ ทางวัดก็เป็นอนั ว่าปลอ่ ย เปน็
แต่เพยี งวา่ รับแจก ให้ทำ�ออกมาแลว้ ก็แจกประชาชนญาติโยม เพราะเราเหน็ คณุ คา่ ของการอา่ น
หนังสอื ธรรมะน้มี ากอย่างฝงั ใจ นห่ี ลวงตาบวั บวชต้งั แตห่ นมุ่ ฟ้อจนกระทั่งป่านนี้ ก็เพราะได้อา่ น
หนังสือธรรมะ ใหล้ กู หลานท้ังหลายเอาไปเป็นคตนิ ะ
(อะไรจะจริงย่งิ กว่าธรรม ๒๐ มถิ ุนายน ๒๕๓๖)
ทา่ นพระอาจารย์เสาร์ กันตสโี ล
โอวาทธรรม
ท่านพระอาจารย์เสาร์ กนั ตสีโล
“การใหท้ านใครๆ กใ็ หท้ านมามากแล้ว มีผลานิสงคม์ ากเหมอื นกนั
แตส่ บู้ วชเปน็ ขาวเปน็ ชีรักษาศีลอุโบสถไม่ได้ มอี านิสงส์มากกว่าใหท้ านน่ันเสยี อีก
ถ้าใครอยากได้บญุ มาก ขน้ึ สวรรคไ์ ปนิพพานพน้ ทกุ ข์
ก็ควรบวชเปน็ ขาว เปน็ ชีรกั ษาศลี อุโบสถเสียในวันน”ี้
“ใหพ้ ากนั ละบาปและบ�ำ เพ็ญบุญ อยา่ ให้เสยี ชวี ิตลมหายใจไปเปล่า
ท่ไี ด้มวี าสนามาเกิดเปน็ มนษุ ย์”
“เราเกิดเปน็ มนุษย์มีความสูงศกั ดิม์ าก แต่อยา่ น�ำ เร่อื งของสัตวม์ าประพฤติ
มนุษย์ของเราจะตำ่�ลงกว่าสัตว์ และจะเลวกวา่ สัตวอ์ ีกมาก
เวลาตกนรกจะตกหลมุ ท่รี ้อนกว่าสตั ว์อกี มากมาย อย่าพากนั ท�ำ ”
คดั จากหนังสอื ทา่ นพระอาจารยเ์ สาร์ กนตสีลเถร
พระปรมาจารย์ใหญ่ฝ่ายวปิ สั สนากมั มัฏฐาน
การบริกรรมภาวนา ใหจ้ ิตอยู่ ณ จดุ เดียว คือ พุทโธ ซึ่งพุทโธ แปลว่า ผรู้ ู้ ผตู้ นื่ ผ้เู บิกบาน
เปน็ กริ ยิ าของจิต เมอื่ จิตมาจดจ้องอยทู่ ี่ คำ�วา่ พุทโธ ใหพ้ จิ ารณาตามองค์ฌาน ๕
การนกึ ถึง พทุ โธ เรยี กวา่ วติ ก จติ อย่กู บั พทุ โธ ไม่พรากจากไป เรียกว่า วจิ าร หลงั จากน้ี
ปีติ และความสขุ ก็เกิดขึน้ เมอ่ื ปตี ิและความสุขเกดิ ขึ้นแลว้ จติ ของผภู้ าวนา ยอ่ มด�ำ เนนิ ไป
สู่ความสงบ เข้าไปส่อู ปุ จารสมาธิ และ อปั ปนาสมาธิ ลักษณะทีจ่ ติ เข้าสู่ อปั ปนาสมาธิ
ภาวะจติ เปน็ ภาวะสงบน่งิ สวา่ ง ไม่มกี ริ ิยาอาการแสดงความรู้ ในข้ันนี้ เรียกว่า
จิตอยูใ่ นสมถะ
บอกเล่าโดยพระราชสังวรญาณ หลวงพอ่ พธุ ฐานโิ ย
ทา่ นพระอาจารยม์ ั่น ภรู ทิ ัตตเถระ
โอวาทธรรม
ท่านพระอาจารยม์ ั่น ภรู ิทัตตเถระ
ผปู้ ฏบิ ัติ โดยมากมกั เข้าใจกันวา่ พระพทุ ธเจ้า
และสาวกอรหันต์ท้งั หลายนพิ พานไปแล้ว สาบสญู ไปแลว้
ไม่มคี วามหมายอะไรเก่ียวกับตนเองเสียแล้ว
ก็พระธรรมอันเป็นฝ่ายเหตุ ทส่ี อนกันใหป้ ฏิบตั อิ ยู่เวลาน้ี
เปน็ ธรรมของทา่ นผ้ใู ดขุดค้นข้นึ มาใหโ้ ลกไดเ้ หน็ และได้ปฏิบตั ติ ามเลา่
และพระธรรมตง้ั ตัวอยู่ได้อยา่ งไร
ทำ�ไมจึงไม่สาบสญู ไปดว้ ยเล่า
ความจริงพุทธะกบั สังฆะ กค็ ือใจดวงบริสุทธท์ิ พี่ น้ วสิ ยั แหง่ ความตาย
และความสาบสญู อยแู่ ล้วโดยธรรมชาติ
จะให้ตายใหส้ าบสญู ให้หมดความหมายไปไดอ้ ย่างไร
เม่อื ธรรมชาตนิ นั้ มไิ ดเ้ ป็นไปกบั สมมุติ
มิไดอ้ ย่ใู ตอ้ �ำ นาจแหง่ ความตาย
มไิ ดอ้ ยูใ่ ต้อ�ำ นาจแห่งความสาบสญู
มิได้อย่ใู ตอ้ �ำ นาจแห่งการหมดความหมายใดๆ
พทุ ธะ จึงคือ พทุ ธะอยโู่ ดยดี
ธรรมะ จงึ คือ ธรรมะอยู่โดยดี
และสังฆะ จึงคอื สงั ฆะอยู่โดยดี
มไิ ดส้ นั่ สะเทือนไปกบั ความสำ�คัญใดๆ แหง่ สมมตุ ิ
ทีเ่ สกสรรทำ�ลายใหเ้ ป็นไปตามอ�ำ นาจของตน
ฉะนั้นการปฏบิ ตั ดิ ว้ ยธรรมานธุ รรมะ
จึงเปน็ เหมอื นเขา้ เฝ้าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์อยตู่ ลอดเวลา
ท่ีมธี รรมานธุ รรมะภายในใจ เพราะการรูพ้ ุทธะ ธรรมะ สังฆะ
โดยหลกั ธรรมชาติจ�ำ ตอ้ งรขู้ ้ึนทีใ่ จ ซึ่งเป็นทส่ี ถิตแห่งธรรมอยา่ งเหมาะสมสดุ สว่ น
ไมม่ ภี าชนะใดยิ่งไปกว่า ดงั น้ี
บนั ทกึ โดยทา่ นอาจารยพ์ ระมหาบัว ญาณสัมปันโน
ทา่ นอาจารยพ์ ระมหาบวั ญาณสมั ปนั โน
โอวาทธรรม
ทา่ นอาจารย์พระมหาบวั ญาณสัมปนั โน
สู้ไมถ่ อย สดุ ทา้ ยกต็ ้งั ไข่ได้
จิตฟ้งุ ซ่านรำ�คาญเสียจนน�ำ้ ตาร่วงบนภูเขาก็เคยมาแล้ว
นีเ่ วลากระแสของกิเลสมกี �ำ ลงั มาก ตัง้ สติไม่อยู่ ตง้ั พบั ล้มผลอ็ ยๆ
จนน�้ำ ตาร่วงบนภเู ขา กลบั ลงมาหาพ่อแมค่ รอู าจารย์มั่นอีก
มาโรงงานใหญ่ ท่านฝึกฝนอบรมเรยี บร้อยแล้ว ไปอกี
หงายกลับมาอีก ไปหลายหน หงายหลายหน
ไปไม่ถอย สู้ไมถ่ อย สุดทา้ ยกต็ ้ังไข่ได้
ตอ่ จากนั้นจติ กก็ า้ วละทนี ี้ ฟงั ...นักภาวนาดว้ ยกัน
พระพทุ ธเจา้ เป็นศาสดาเอกดว้ ยการภาวนา
สาวกท้งั หลายบรรลธุ รรมได้ด้วยการภาวนา
เราเป็นสาวกของพระพทุ ธเจ้าแบบไหน ใหเ้ อามาคดิ ทุกคน
ทั้งพระทง้ั โยมนนั่ แหละ
กเิ ลสมันอย่กู ับหวั ใจ ไม่เลอื กชาติช้ันวรรณะ
เพศหญิง เพศชายมีอยู่นั้น แกม้ นั ดว้ ยธรรมถึงจะแก้ได้
นีก่ แ็ ก้กเิ ลสด้วยจิตตภาวนา ซดั กันใหเ้ ต็มเหน่ียวเลย
พดู ใหม้ นั ชัดเสยี นะ มนั จะตายแล้ว
นีล่ ะหาของดมี าพดู ให้พ่ีนอ้ งทงั้ หลายฟังมันขวางโลกแล้วเหรอ พจิ ารณาซิ
(เมือ่ จิตกับธรรมสัมพนั ธก์ นั ณ สวนแสงธรรม กรงุ เทพฯ
ค�่ำ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๑)
ดินแดนอรยิ ธรรม
ณ วัดป่าบ้านตาด ต�ำ บลบา้ นตาด อ�ำ เภอเมอื ง จงั หวัดอุดรธานี
ภายในขอบเขตแห่งขัณฑสมี าอาราม ทีม่ ชี ่อื อย่างเป็นทางการวา่ “เกษรศีลคุณ”
ถกู สร้างข้นึ เม่ือปี พ.ศ. ๒๔๙๘ ด้วยเหตเุ พ่ือโปรดและสนองคุณมารดาผูใ้ ห้กำ�เนิด
ในยามดวงอาทิตยอ์ ุทยั ...ภาพแห่งพระมหาเถระผ้เู ฒ่า ผสู้ งู อายุกา้ วผา่ นปนู ปลายปัจฉิมวยั รปู หนง่ึ
ซึ่งทุกคนเรียกติดปากวา่ ”หลวงตามหาบวั ” เดินดุ่มเพอ่ื จารกิ บณิ ฑบาตโปรดเวไนยนิกรเพยี งล�ำ พงั
มีผู้รอถวายอาหารเป็นแหง่ ๆ เป็นภาพท่คี ้นุ ตาของประชาชนท่ีเลื่อมใสอย่เู สมอ
เพราะนีค่ ือ ทสั สนานุตตรยิ ะ....
การเหน็ อย่างยอดเย่ียม หมู่พระภิกษุครองผ้ากาสายะ ๒ ช้ัน สหี มองคล้�ำ
เดนิ สำ�รวมเพอ่ื จาริกบิณฑบาตอย่างรวดเร็วเปน็ ทิวแถว มีความมงุ่ มน่ั เดนิ ตามรอยแหง่ พ่อแมค่ รู
อาจารย์ เสียงเทศนาธรรมในตอนเชา้ ...กล่อมเกลาจิตประชาชน...วนั แลว้ วนั เลา่ ...มิไดข้ าด
เสยี งเจ้ือยแจว้ ของไก่ นก และสตั วอ์ ่ืน ๆ มีใหไ้ ด้ยินอยตู่ ลอดเวลา ท่ามกลางธรรมชาตทิ ีร่ ่มเย็น
ทุกชีวติ ตา่ งมาพ่งึ ใบบญุ ของหลวงตา องค์ทา่ นไมไ่ ดใ้ ห้เฉพาะภายในวัดนเี้ ท่านัน้
หากยงั เผ่ือแผเ่ มตตาไปทุกหย่อมหญ้าท่ีเดือดร้อน ไมว่ า่ จะเป็นโรงพยาบาล โรงเรียน
สถานทเ่ี ล้ียงเดก็ ก�ำ พร้า ฯลฯ หลวงตาใหค้ วามอนเุ คราะหท์ ้ังน้ันฯ
สารบัญ
ฆราวาส
พระธรรมเทศนา ฆราวาส
ปญั ญาอบรมสมาธิ ๑
๑๘
กัณฑ์ที่ ๑ ทาน ศลี ภาวนา วดั อรณุ รงั ษี หนองคาย (๒๕ มีนาคม ๒๕๐๔) ๓๒
๔๓
กัณฑ์ท่ี ๒ ธรรมป่า วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี (๗ มิถุนายน ๒๕๐๕) ๕๕
๗๐
กัณฑท์ ี่ ๓ ชำ�ระใจ วัดป่าบา้ นตาด อุดรธานี (๘ มิถุนายน ๒๕๐๕) ๘๑
๙๑
กัณฑ์ที่ ๔ ปัญญาอบรมสมาธิ กรุงเทพมหานคร (พฤษภาคม ๒๕๐๗) ๑๐๔
๑๑๕
กณั ฑท์ ่ี ๕ จิตภาวนา วดั ปา่ บา้ นตาด อดุ รธาน ี (๒๐ มกราคม ๒๕๐๘) ๑๒๙
๑๓๙
กณั ฑท์ ี่ ๖ กิเลส-อริยสัจ วดั ป่าบ้านตาด อุดรธานี (๑๐ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๐๘) ๑๕๒
๑๖๖
กณั ฑท์ ี่ ๗ จรติ นสิ ยั ในการบำ�เพ็ญ วัดปา่ บา้ นตาด อดุ รธานี (๒๒ กมุ ภาพนธ์ ๒๕๐๘) ๑๗๕
๑๘๗
กณั ฑ์ท่ี ๘ ความเพียร วัดป่าบ้านตาด อดุ รธาน ี (๒๔ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๐๘) ๑๙๖
๒๐๘
กัณฑท์ ี่ ๙ ธรรมเปน็ โอสถส�ำ คัญ วดั ป่าบ้านตาด อุดรธาน ี (๑ เมษายน ๒๕๐๘) ๒๒๒
กัณฑ์ท่ี ๑๐ ปัญญาถอดถอนกิเลส วดั ป่าบ้านตาด อดุ รธาน ี (๓ เมษายน ๒๕๐๘)
กัณฑท์ ่ี ๑๑ พุทธประวัติ วัดปา่ บ้านตาด อดุ รธานี (๑๕ พฤษภาคม ๒๕๐๘)
กณั ฑท์ ี่ ๑๒ สงั ขารธรรม วัดโพธิสมภรณ์ อดุ รธานี (๒๘ กรกฎาคม ๒๕๐๕)
กัณฑท์ ่ี ๑๓ ธรรมสังเวช วดั โพธสิ มภรณ์ อดุ รธาน ี (๔ สิงหาคม ๒๕๐๕)
กณั ฑท์ ี่ ๑๔ กฎแห่งกรรม วดั ป่าบ้านตาด อดุ รธานี (๑๗ กรกฎาคม ๒๕๐๖)
กัณฑ์ที่ ๑๕ ขันธ์ห้า-หลกั ปจั จบุ นั วัดป่าบา้ นตาด อดุ รธานี (๑๗ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๐๗)
กัณฑ์ท่ี ๑๖ พระอรยิ บุคคล วัดป่าบ้านตาด อดุ รธาน ี (๑๘ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๐๗)
กณั ฑท์ ี่ ๑๗ อรยิ สจั นอก อริยสจั ใน วดั ปา่ บา้ นตาด อุดรธาน ี (๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๗)
กณั ฑท์ ี่ ๑๘ ความว่างในหลักธรรมชาติ วดั ป่าบ้านตาด อดุ รธาน ี (๒๗ มีนาคม ๒๕๐๗)
ศาลาวดั ป่าบา้ นตาด จงั หวดั อดุ รธานี
ปัญญาอบรมสมาธิ ๑
ปญ ญาอบรมสมาธิ
ศลี
ศีล
ศีล เปน รัว้ กั้นความคะนองทางกายวาจา มใี จเปนผูร ับผิดชอบในงานและผลของ
งานท่กี ายวาจาทําข้ึน คนท่ไี มม ศี ีลเปนเคร่อื งปองกันความคะนอง เปน ผทู ส่ี ังคมผูดีรงั
เกียจ ไมเ ปน ท่ไี วว างใจของสงั คมท่วั ไป แมจะเปน สังคมในวงราชการหรอื สังคมใดๆ ก็
ตาม ถามคี นทศุ ีลไมม ยี างอายทางความประพฤตแิ ฝงอยูใ นสงั คมและวงงานน้ันๆ แมแ ต
คนเดยี วหรือสองคน แนทีเดยี วทส่ี ังคมและวงงานน้นั ๆ จะตงั้ อยูเปนปกแผนแนน หนาไม
ไดนาน จะตองถูกทําลายหรอื บนั่ ทอนจากคนประเภทนั้น โดยทางใดก็ได ตามแตเ ขาจะ
มโี อกาสทาํ ไดใ นเวลาทส่ี ังคมนั้นเผลอตัว เชน เดยี วกับอยใู กลอ สรพิษตวั รายกาจ คอยแต
จะขบกัดในเวลาพลัง้ เผลอฉะนน้ั
ศลี จึงเปน ธรรมคมุ ครองโลกใหอยูเ ยน็ เปน สขุ ปราศจากความระแวงสงสยั อนั
เกิดแตค วามไมไ วใ จกนั ในทางท่ีจะใหเกิดความเดอื ดรอนเสียหาย นบั แตสว นเล็กนอ ยไป
ถึงสวนใหญ ซงึ่ เปน ส่ิงทใ่ี ครๆ ไมพ งึ ปรารถนา ศีลมหี ลายประเภท นบั แต ศลี ๕ ศีล ๘
ศีล ๑๐ ถึงศีล ๒๒๗ ตามประเภทของบุคคลท่จี ะควรรักษาใหเ หมาะแกเ พศและวยั ของ
ตน เฉพาะศลี ๕ เปนศลี ที่จําเปนที่สดุ สําหรบั ฆราวาสผเู กี่ยวของกับสังคมหลายชัน้ จึง
ควรมีศีลเปนเครอื่ งรับรองความบริสทุ ธิข์ องตน และรบั รองความบรสิ ทุ ธขิ์ องกนั และกนั
ตอ สวนรวมท่เี ก่ยี วแกผ ลไดเ สยี อนั อาจเกดิ มไี ดในวงงานและสังคมทั่วไป
คนมศี ลี ๕ ประจําตนคนเดยี วหรอื สองคน เขา ทาํ งานในวงงานหน่ึงวงงานใด จะ
เปน งานบรษิ ทั หา งรา น หรอื งานรัฐบาลซึง่ เปนงานแผน ดินก็ตาม จะเหน็ ไดว า คนมศี ีล ๕
เพียงคนเดยี วหรือสองคนนั้น จะไดรับความนิยมชมชอบ ความไววางใจในกิจการนนั้ ๆ
เชน การเงิน เปนตน จากชุมนมุ ชนในวงงานนน้ั ๆ เปน อยา งยง่ิ ตลอดเวลาทเี่ ขายงั อยู
หรือแมเ ขาจะไปอยหู นใด กต็ องไดร ับความนยิ มนับถือในทท่ี ว่ั ไป เพราะคนมศี ลี กแ็ สดง
วา ตองมธี รรมประจําใจดว ย เชน เดียวกับรสของอาหารกบั ตัวของอาหารจะแยกจากกันไม
ได ในขณะเดยี วกัน คนมธี รรมกแ็ สดงวาเปน ผูมีศีลดว ย ขณะใดทเ่ี ขาลว งเกนิ ศีลขอใดขอ
หน่ึง ขณะน้นั แสดงวาเขาไมม ธี รรม เพราะธรรมอยูกบั ใจ ศีลอยูก ับกายวาจา แลว แตกาย
วาจาจะเคลอ่ื นไหวไปทางถกู หรอื ผดิ ตอ งสอ ถงึ เรอ่ื งของใจผเู ปนหัวหนา รบั ผดิ ชอบดวย
ปญั ญา-อบ๑ร-มสมาธิ
๒
ถาใจมธี รรมประจาํ กายวาจาตองสะอาด ปราศจากโทษในขณะทาํ และพูด ฉะน้ัน
ผูม ีกายวาจาสะอาดจึงเปนเครื่องประกาศใหคนอืน่ เขาทราบวา เปนคนมธี รรมในใจ คนมี
ศลี ธรรมประจํากาย วาจา ใจ จึงเปน คนมเี สนห มีเครอ่ื งดงึ ดูดใจประชาชนท่ัวโลกใหห นั
มาสนใจและนิยมรกั ชอบทกุ ยคุ ทกุ สมัยไมมวี ันจืดจาง แมผไู มส ามารถกระทํากายวาจาให
เปนอยา งเขาได กย็ งั รูจักนิยมเล่อื มใสในคนผมู ีกาย วาจา ใจ อนั มีศลี ธรรม เชนเดยี วกับ
ทีพ่ วกเขาเคารพและเลื่อมใสในพระพุทธเจาและสาวกทงั้ หลาย ฉะนน้ั จงึ ชี้ใหเหน็ วา ศลี
ธรรมคือความดีความงาม เปน สงิ่ ทีโ่ ลกตอ งการอยทู กุ เวลา ไมเปน ของลาสมยั ท้ังมคี ณุ
คาเทา กับโลกเสมอไป
จะมอี ยบู า งกเ็ นือ่ งจากศลี ธรรมไดถ ูกแปรสภาพจากธรรมชาติเดมิ ออกมาสู
ระเบียบลัทธิประเพณี ซงึ่ แยกออกไปตามความนิยมของชาติ ชั้น วรรณะ จงึ เปน เหตุให
ศลี ธรรมกลายเปนของชาติ ชัน้ วรรณะ ไปตามความนยิ มของลทั ธนิ ้ันๆ อันเปนเหตใุ ห
โลกติชมตลอดมา นอกจากท่ีวา นี้ ศีลธรรมยอมเปน คณุ ธรรมท่นี าํ ยุคนําสมัยไปสคู วาม
เจรญิ ไดทุกโอกาส ถา โลกยงั สนใจทจ่ี ะนาํ เอาศลี ธรรมไปเปนเสนบรรทดั ดดั กาย วาจา ใจ
ของตนใหเปนไปตามอยู
จะเหน็ ไดงา ยๆ ก็คอื กาลใดท่ีโลกเกิดความยุงเหยิงไมสงบ กาลนน้ั พึงทราบวา
โลกเร่ิมขาดความสมบูรณทางศีลธรรม ถาไมร บี ปรบั ปรงุ ใหตรงกับทางศลี ธรรมแลว ไม
นานฤทธ์ิของโลกลวนๆ จะระเบดิ อยางเต็มท่ี แมต วั โลกผูทรงฤทธิ์เอง ก็ตองแตกทลาย
ลงทนั ทีทนอยไู มไ ด
เฉพาะอยา งยิง่ ในครอบครวั หนึง่ ๆ ถา ขาดศีลธรรมอันเปน หลักของความ
ประพฤติแลว แมคูส ามีภรรยาก็ไวใ จกันไมไ ด คอยแตจ ะเกดิ ความระแวงแคลงใจวา คู
ครองของตนจะไปคบชูกับชายอนื่ หญงิ อื่น อันเปน เหตุบอนทาํ ลายความมั่นคงของครอบ
ครวั และทรัพยส ิน เพยี งเทา น้คี วามปวดราวภายในใจเรมิ่ ฟก ตวั ข้ึนมาแลว ไมเ ปน อนั กนิ
อนั นอน แมก ารงานอนั เปนหลกั อาชพี ประจาํ ครอบครัว ตลอดลกู เลก็ เดก็ แดงกจ็ ะเรม่ิ
แตกแหลกลาญไปตามๆกนั ในขณะทีค่ รอบครัวนัน้ ๆ เร่มิ ทาํ ลายศีลธรรมของตน ยิ่งได
แตกจากศีลธรรมโดยประพฤตอิ ยา งทกี่ ลาวแลว แนท ีเดยี วสงิ่ ทีม่ ่ันคงทัง้ หลายจะกลาย
เปนกองเพลิงไปตาม ๆ กัน เชนเดยี วกับหมอน้าํ ท่เี ต็มไปดว ยนาํ้ ไดถกู สงิ่ อืน่ กระทบให
ตกลง นาํ้ ทั้งหมดทีบ่ รรจอุ ยูในหมอ จะตอ งแตกกระจายไปทันทีฉะนน้ั
ดังนนั้ เม่อื โลกยังตองการความเจรญิ อยตู ราบใด ศลี ธรรมจงึ เปนสิง่ จาํ เปน สาํ หรับ
โลกอยตู ราบนนั้ ใครจะคัดคานหลักความจริง คือศีลธรรมอันเปนส่ิงท่มี อี ยปู ระจาํ โลกมา
แว-่นด๒วง-ใจ
ปญั ญาอบรมสมาธิ
-๓-
สมาธิ
แว-น่ ด๔วง-ใจ
๕
หยดุ ) พรอมทั้งใจใหท ําความรสู กึ ไวกบั ผมบนศรี ษะ จะบรกิ รรมบทใดก็ใหท าํ ความรูอยู
กับกรรมฐานบทน้นั เชน เดยี วกบั บรกิ รรมบทเกสา ซึ่งทาํ ความรูอ ยใู นผมบนศีรษะฉะน้นั
สว นการบรกิ รรมบท พุทฺโธ ธมโฺ ม สงฺโฆ บทใดๆ ใหทาํ ความรไู วจาํ เพาะใจไม
เหมอื นบทอนื่ ๆ คือ ใหค าํ บรกิ รรมวา พทุ โฺ ธ เปน ตน สัมพันธกันอยกู บั ใจไปตลอดจน
กวาจะปรากฏ พทุ ฺโธ ในคําบรกิ รรมกับผูรู คอื ใจเปนอันเดียวกนั แมผูจะบรกิ รรมบท
ธมโฺ ม สงโฺ ฆ ตามจริต กพ็ ึงบริกรรมใหส มั พันธกันกับใจ จนกวาจะปรากฏ ธมโฺ ม หรอื
สงโฺ ฆ เปน อนั เดียวกนั กับใจ ทํานองเดียวกับบท พทุ ฺโธ เถดิ ฯ
อานาปานสตภิ าวนา ถอื ลมหายใจเขาหายใจออก เปนอารมณข องใจ มีความรู
และสตอิ ยูก บั ลมหายใจเขาออก เบ้อื งตน การตง้ั ลม ควรต้งั ท่ีปลายจมูกหรอื เพดานเพราะ
เปนท่กี ระทบลมหายใจ พอถือเอาเปนเคร่อื งหมายได เมื่อทําจนชํานาญ และลมละเอียด
เขา ไปเทา ไร จะคอยรูหรอื เขาใจความสมั ผสั ของลมเขา ไปโดยลําดบั จนปรากฏลมท่อี ยู
ทามกลางอก หรือล้นิ ปแ หง เดียว ทนี จ้ี งกาํ หนดลม ณ ท่นี น้ั ไมตอ งกงั วลออกมากําหนด
หรือตามรูลมทป่ี ลายจมกู หรอื เพดานอกี ตอไป
การกาํ หนดลมจะตามดว ย พุทฺโธ เปน คาํ บรกิ รรมกํากับลมหายใจเขาออกดวยก็
ได เพ่ือเปน การพยุงผูรใู หเ ดน จะไดป รากฏลมชัดข้นึ กบั ใจ เม่ือชาํ นาญในลมแลว ตอไป
ทุกครงั้ ทีก่ ําหนด จงกาํ หนดลงทลี่ มหายใจทามกลางอกหรอื ล้ินปโ ดยเฉพาะ ท้งั นส้ี าํ คญั
อยูทต่ี งั้ สติ จงตั้งสติกับใจ ใหม คี วามรสู ึกในลมทกุ ขณะท่ีลมเขา และลมออก สน้ั หรือยาว
จนกวาจะรชู ัดในลมหายใจ มคี วามละเอยี ดเขาไปทกุ ที และจนปรากฏความละเอยี ดของ
ลมกบั ใจเปนอันเดยี วกนั
ทีนีใ้ หก ําหนดลมอยจู ําเพาะใจ ไมตอ งกงั วลในคําบริกรรมใดๆ ท้ังส้ิน เพราะการ
กําหนดลมเขาออกและสนั้ ยาวตลอดคําบริกรรมนน้ั ๆ กเ็ พอื่ จะใหจติ ถงึ ความละเอียด
เมือ่ ถึงลมละเอยี ดที่สดุ จติ จะปรากฏมคี วามสวา งไสว เยือกเย็นเปนความสงบสุขและรอู ยู
จําเพาะใจ ไมเ กี่ยวขอ งกบั อารมณใด ๆ แมที่สดุ กองลมก็ลดละความเก่ียวของ ในขณะ
นั้นไมม ีความกงั วล เพราะจติ วางภาระ มีความรูอยูจําเพาะใจดวงเดียว คือ ความเปน
หนึ่ง (เอกัคคตารมณ) น่ีคือผลท่ีไดรบั จากการเจริญอานาปานสติกรรมฐาน ในกรรมฐาน
บทอ่ืนพึงทราบวา ผภู าวนาจะตองไดรบั ผลเชน เดียวกันกบั บทน้ี
การบรกิ รรมภาวนา มบี ทกรรมฐานน้ัน ๆ เปนเครอ่ื งกาํ กบั ใจดว ยสติ จะระงบั
ความคะนองของใจไดเปนลําดับ จะปรากฏความสงบสขุ ข้ึนท่ีใจ มอี ารมณอันเดียว คอื
รูอยจู าํ เพาะใจ ปราศจากความฟงุ ซา นใด ๆ ไมม สี งิ่ มากวนใจใหเอนเอยี ง เปนความสขุ
ปญั ญาอบรมสมาธิ
-๕-
๖
จาํ เพาะใจ ปราศจากความเสกสรรหรือปรุงแตงใดๆ ท้งั สนิ้ เพียงเทาน้ี ผูปฏบิ ตั จิ ะเห็น
ความอศั จรรยใ นใจ ทไี่ มเ คยประสบมาแตกาลไหนๆ และเปนความสขุ ที่ดูดด่ืมย่ิงกวา
อืน่ ใดที่เคยผา นมา
อนง่ึ พึงทราบ ผูบ รกิ รรมบทกรรมฐานนั้นๆ บางทา นอาจปรากฏอาการแหง
กรรมฐาน ท่ีตนกาํ ลงั บริกรรมนัน้ ข้นึ ที่ใจ ในขณะทกี่ าํ ลงั บริกรรมอยูก็ได เชน ปรากฏผม
ขน เลบ็ ฟน หนงั เนอ้ื เอ็น กระดูก เปนตน อาการใดอาการหน่ึง ประจักษกบั ใจ
เหมือนมองเห็นดวยตาเนอ้ื เมอ่ื ปรากฏอยางนี้ พึงกําหนดดอู าการทตี่ นเห็นน้ันใหชัดเจน
ตดิ ใจ และกําหนดใหต้ังอยา งน้นั ไดนาน และติดใจเทาไรย่งิ ดี เม่อื ติดใจแนบสนทิ แลว จง
ทาํ ความแยบคายในใจ กําหนดสวนทเี่ หน็ นน้ั โดยเปนของปฏิกลู โสโครก ทง้ั อาการสวนใน
และอาการสวนนอกของกายโดยรอบ และแยกสว นของกายออกเปนสวนๆ หรือเปน
แผนกๆ ตามอาการนนั้ ๆ โดยเปน กองผม กองขน กองเนื้อ กองกระดูก ฯลฯ
เสรจ็ แลวกําหนดใหเ นา เปอ ยลงบาง กาํ หนดไฟเผาบาง กาํ หนดให แรง กา หมา
กินบา ง กาํ หนดใหแตกลงสธู าตเุ ดิมของเขา คือ ดิน นาํ้ ลม ไฟ บา งเปน ตน การทาํ
อยางนเ้ี พอ่ื ความชาํ นาญ คลองแคลว ของใจในการเหน็ กาย เพอื่ ความเหน็ จรงิ ในกายวา มี
อะไรอยูใ นน้นั เพือ่ ความบรรเทาและตดั ขาดเสียไดซง่ึ ความหลงกาย อนั เปน เหตใุ หเ กิด
ราคะตัณหา คือ ความคะนองของใจ ทําอยางนีไ้ ดช าํ นาญเทาไรย่ิงดี ใจจะสงบละเอียด
เขาทุกที ขอสาํ คัญเมือ่ ปรากฏอาการของกายขนึ้ อยา ปลอ ยใหผ า นไปโดยไมสนใจ และ
อยา กลวั อาการของกายทป่ี รากฏ จงกาํ หนดไวเ ฉพาะหนา ทนั ที กายนเ้ี ม่ือภาวนาไดเห็นจน
ตดิ ใจจริงๆ จะเกิดความเบ่ือหนา ยสลดสงั เวชตน จะเกดิ ขนพองสยองเกลา นํา้ ตาไหลลง
ทนั ที อนงึ่ ผูท ี่ปรากฏกายขึ้นเฉพาะหนา ในขณะภาวนา ใจจะเปน สมาธไิ ดอยา งรวดเรว็
และจะทําปญญาใหแจงไปพรอ มๆ กันกับความสงบของใจทภี่ าวนาเห็นกาย
ผทู ่ไี มเหน็ อาการของกาย จงทราบวา การบริกรรมภาวนาทั้งน้ี กเ็ ปน การภาวนา
เพ่ือจะยังจิตใหเขาสูความสงบสุขเชน เดยี วกนั จึงไมมีขอ ระแวงสงสยั ท่ตี รงไหนวา จิตจะไม
หยั่งลงสูความสงบ และเหน็ ภยั ดวยปญ ญาในวาระตอไป จงทําความมัน่ ใจในบทภาวนา
และคําบริกรรมของตนอยา ทอ ถอย ผูด าํ เนินไปโดยวธิ ีใด พึงทราบวา ดําเนนิ ไปสูจดุ
ประสงคเชน เดยี วกัน และจงทราบวา บทธรรมทง้ั หมดนี้ เปนบทธรรมทจี่ ะนาํ ใจไปสสู นั ติ
สุข คอื พระนิพพาน อันเปนจุดสดุ ทายของการภาวนาทกุ บทไป ฉะน้นั จงทาํ ตามหนาที่
แหง บทภาวนาของตน อยาพะวกั พะวนในกรรมฐานบทอน่ื ๆ จะเปน ความลงั เลสงสยั ตัด
สินใจลงไปสคู วามจรงิ ไมได จะเปนอุปสรรคแกความจริงใจตลอดกาล จงต้ังใจทาํ ดว ย
แว-่น๖ดว-งใจ
๗
ความมีสตจิ ริงๆ และอยาเรยี งศลี สมาธิ ปญญา ใหน อกไปจากใจ เพราะกเิ ลสคือ ราคะ
โทสะ โมหะ เปนตน อยทู ใี่ จ ใครไมไดเรยี งรายเขา เม่อื คดิ ไปทางผิด มันกเ็ กดิ กเิ ลส
ขึน้ มาท่ใี จดวงน้ัน ไมไดก าํ หนดหรือนดั กันวา ใครจะมากอ นมาหลงั มันเปน กเิ ลสมาที
เดยี ว กเิ ลสชนิดไหนมา มนั กท็ ําใหเ รารอ นไดเ ชนเดียวกัน เร่อื งของกิเลสมนั จะตอ งเปน
กิเลสเรือ่ ยไปอยางนี้ กิเลสตวั ไหนจะมากอนมาหลงั เปน ไมเสยี ผล ทําใหเกดิ ความรอนได
ทง้ั น้ัน วิธีการแกกิเลสอยา คอยใหศลี ไปกอ น สมาธมิ าที่สอง ปญญามาที่สาม นเ่ี รยี กวา
ทําสมาธเิ รยี งแบบ เปนอดตี อนาคตเสมอไป หาความสงบสขุ ไมไดต ลอดกาล
ปญ ญาอบรมสมาธิ
ความจริงการภาวนาเพ่ือใหใ จสงบ ถาสงบดวยวิธีปลอบโยนโดยทางบริกรรมไม
ได ตอ งภาวนาดว ยวธิ ปี ราบปรามขูเข็ญ คอื คน คดิ หาเหตุผลในส่ิงทจ่ี ติ ติดของดว ยปญญา
แลว แตค วามแยบคายของปญญา จะหาอุบายทรมานจิตดวงพยศ จนปรากฏใจยอมจํานน
ตามปญ ญาวา เปน ความจริงอยา งนนั้ แลว ใจจะฟุงซา นไปไหนไมไ ด ตอ งหยั่งเขาสคู วาม
สงบเชนเดียวกบั สัตวพาหนะตวั คะนอง ตอ งฝกฝนทรมานอยางหนักจึงจะยอมจาํ นนตอ
เจาของ
ฉะนน้ั ในเรื่องนี้จะขอยกอปุ มาเปน หลักเทยี บเคยี ง เชน ตน ไมบ างประเภท ตั้งอยู
โดดเด่ยี วไมมีสง่ิ เกีย่ วของ ผูต อ งการตน ไมนน้ั ก็ตอ งตดั ดวยมดี หรอื ขวาน เมอ่ื ขาดแลว
ไมต นนัน้ ก็ลมลงสูจุดทหี่ มาย แลวนําไปไดต ามตอ งการ ไมมคี วามยากเย็นอะไรนกั แต
ไมอ ีกบางประเภท ไมตัง้ อยโู ดดเดยี่ ว ยังเกยี่ วของอยกู บั กิ่งแขนงของตน อื่นๆ อกี มาก
ยากท่จี ะตดั ใหล งสทู ี่หมายได ตอ งใชป ญ ญาหรือสายตาตรวจดสู ง่ิ เกี่ยวของของตน ไมน ัน้
โดยถถี่ วน แลว จงึ ตัดตนไมน ้ันใหข าด พรอมทงั้ ตัดสง่ิ เกีย่ วของจนหมดส้ินไป ไมยอมตก
หรอื ลม ลงสูทหี่ มายและนาํ ไปไดต ามความตองการฉนั ใด จรติ นิสัยของคนเราก็ฉันนั้น
คนบางประเภทไมคอ ยมสี ิง่ แวดลอ มเปน ภาระกดถวงใจมาก เพยี งใชค ําบรกิ รรม
ภาวนา พุทฺโธ ธมโฺ ม สง.โฆ เปนตน บทใดบทหนึ่งเขา เทาน้นั ใจก็ไดรบั ความสงบ
เยือกเยน็ เปนสมาธลิ งได กลายเปน ตนทุนหนนุ ปญญา ใหกา วหนาตอไปไดอยางสบายที่
เรียกวา สมาธิอบรมปญญา แตค นบางประเภทมสี ิง่ แวดลอมเปน ภาระกดถว งใจมาก และ
เปน นิสัยชอบคิดอะไรมากอยางนี้ จะอบรมดว ยคําบริกรรมอยางที่กลา วมาแลว น้ัน ไม
สามารถทจ่ี ะยังจติ ใหห ยงั่ ลงสคู วามสงบเปนสมาธิได ตองใชปญญาไตรต รองเหตผุ ล ตัด
ตนเหตขุ องความฟุง ซานดวยปญญา เม่อื ปญ ญาไดห วานลอ มในสง่ิ ท่จี ิตตดิ ของนัน้ ไว
ปัญญา-อ๗บรม- สมาธิ
แว-่นด๘วง-ใจ
๙
ไดเ ปน ลําดับ สําหรบั ผกู ลา ตอ เหตุผล เพือ่ จะยังประโยชนต นใหส าํ เร็จ ยอมไดสติปญญา
จากนมิ ิตนัน้ ๆเสมอไป
แตผขู ้ีขลาดหวาดกลัวอาจจะทาํ ใจใหเ สยี เพราะสมาธิประเภทนี้มีจาํ นวนมาก
เพราะเรอื่ งที่นากลัวมมี าก เชน ปรากฏมีคน รปู รา ง สสี นั วรรณะ นา กลวั ทาํ ทา จะ
ฆาฟน หรือจะกินเปนอาหาร อยางนี้เปน ตน แตถา เปน ผกู ลา หาญตอ เหตุการณแลว ก็
ไมมคี วามเสยี หายอะไรเกิดข้นึ ยง่ิ จะไดอุบายเพม่ิ ข้นึ จากนิมิตหรอื สมาธปิ ระเภทนเ้ี สยี อีก
สาํ หรบั ผมู ักกลัว ปกติกแ็ สห าเรอ่ื งกลวั อยแู ลว ยง่ิ ปรากฏนิมติ ทีน่ ากลวั กย็ ง่ิ ไปใหญ ดีไม
ดอี าจจะเปนบา ขนึ้ ในขณะนน้ั กไ็ ด
สวนนมิ ิตนอกทผี่ า นมา จะรูหรอื ไมว า เปนนมิ ติ นอก หรือนิมิตเกดิ กบั ตวั น้นั ตอง
ผา นนิมติ ใน ซงึ่ เกดิ กบั ตวั ไปจนชาํ นาญแลว จงึ จะสามารถรไู ด นมิ ิตนอกนนั้ เปน เร่ืองที่
เกย่ี วกับเหตุการณตางๆ ของคนหรอื สัตว เปรต ภูตผี เทวบตุ ร เทวดา อินทร พรหม
ที่มาเก่ียวของกบั สมาธิในเวลานน้ั เชน เดยี วกบั เราสนทนากนั กับแขกทม่ี าเยีย่ ม เรอ่ื ง
ปรากฏข้ึนจะนานหรอื ไมนนั้ แลวแตเ หตกุ ารณจ ะยตุ ลิ งเม่ือใด บางครงั้ เรอ่ื งหนง่ึ จบลง
เร่ืองอื่นแฝงเขามาตอ กันไปอกี ไมจบสนิ้ ลงงา ยๆ เรียกวา สน้ั บา งยาวบา ง เม่อื จบลงแลว
จิตก็ถอนขึ้นมา บางคร้งั ก็กินเวลาหลายชว่ั โมง
สมาธิประเภทน้แี มรวมนานเทา ใดก็ตาม เม่ือถอนขนึ้ มาแลว ก็ไมมีกําลังเพม่ิ สมาธิ
ใหแ นน หนา และไมมีกําลงั หนุนปญญาไดด ว ย เหมือนคนนอนหลบั แลวฝน ไป ธาตุขันธ
ยอ มไมม กี ําลงั เต็มที่ สว นสมาธิท่ีรวมลงแลวอยูกับที่ พอถอนขึ้นมาปรากฏเปนกาํ ลงั
หนุนสมาธใิ หแนน หนา เชนเดียวกบั คนนอนหลบั สนิทดีไมฝน พอตนื่ ข้นึ ธาตุขนั ธรสู ึกมี
กาํ ลังดี ฉะน้ันสมาธปิ ระเภทนี้ ถายงั ไมชํานาญ และรอบคอบดวยปญ ญา ก็ทําใหเสียคน
เชน เปนบาไปได โดยมากนักภาวนาท่เี ขาเลาลอื กันวา “ธรรมแตก” นน้ั เปนเพราะสมาธิ
ประเภทน้ี แตเมอื่ รอบคอบดแี ลว กเ็ ปน ประโยชนเ กยี่ วกบั เหตุการณไ ดดี
สวนอคุ คหนมิ ิตท่ปี รากฏขึน้ จากจิตตามที่ไดอ ธิบายไวขา งตน นั้น เปนนิมิตทคี่ วร
แกการปฏภิ าคในหลกั ภาวนา ของผูตอ งการอบุ ายแยบคายดว ยปญญาโดยแท เพราะเปน
นมิ ิตทีเ่ กีย่ วกบั อรยิ สจั นิมิตอนั หลงั ตอ งนอมเขาหา จงึ จะเปนอริยสัจไดบา ง แตท ง้ั นมิ ติ
เกดิ กับตน และนมิ ติ ผา นมาจากภายนอก ถาเปนคนขลาดกอ็ าจเสยี ไดเ หมอื นกัน สาํ คัญ
อยทู ป่ี ญ ญาและความกลา หาญตอ เหตุการณ ผูมปี ญญาจึงไมป ระมาทสมาธิประเภทน้โี ดย
ถายเดยี ว เชน งเู ปนตัวอสรพิษ เขานํามาเลี้ยงไวเพอ่ื ถอื เอาประโยชนจากงกู ย็ งั ได วิธี
ปฏบิ ตั ใิ นนมิ ิตทงั้ สองซึง่ เกดิ จากสมาธิประเภทนี้ นมิ ติ ท่ีเกิดจากจติ ท่ีเรียกวา “ นิมิต
ปญั ญา-อบ๙รม- สมาธิ
๑๐
ใน” จงทําปฏภิ าค มีแบงแยก เปนตน ตามทไี่ ดอ ธิบายไวขา งตน แลว นมิ ติ ที่ผา นมา
อันเก่ียวแกค นหรือสัตว เปนตน ถาสมาธยิ ังไมชํานาญ จงงดไวกอ นอยาดวนสนใจ เม่อื
สมาธชิ าํ นาญแลว จึงปลอ ยจิตออกรตู ามเหตกุ ารณป รากฏ จะเปน ประโยชนที่เก่ียวกบั
เรอ่ื งราวในอดตี อนาคตไมน อยเลย สมาธปิ ระเภทน้ีเปน สมาธิท่ีแปลกมาก อยา ดว น
เพลิดเพลนิ และเสียใจในสมาธปิ ระเภทนีโ้ ดยถา ยเดียว จงทาํ ใจใหก ลา หาญขณะที่นมิ ิต
นานาประการเกดิ ข้ึนจากสมาธปิ ระเภทน้ี เบอื้ งตนใหนอมลงสูไตรลกั ษณ ขณะนมิ ิต
ปรากฏข้นึ จะไมท ําใหเสยี
แตพ งึ ทราบวา สมาธิประเภทมนี มิ ิตนไี้ มมที กุ รายไป รายทไ่ี มมกี ็คือเม่อื จิตสงบ
แลว รวมอยกู ับท่ี จะรวมนานเทาไร กไ็ มคอ ยมนี ิมิตมาปรากฏ หรือจะเรยี กงาย ๆ กค็ ือ
รายทป่ี ญญาอบรมสมาธิ แมสงบรวมลงแลวจะอยูนานหรือไมนานกต็ ามกไ็ มมนี มิ ติ
เพราะเกย่ี วกับปญญาแฝงอยูกบั องคส มาธนิ ้นั สว นรายท่ีสมาธิอบรมปญญา มักจะ
ปรากฏนิมิตแทบทุกรายไป เพราะจิตประเภทนร้ี วมลงอยางเรว็ ท่สี ุด เหมอื นคนตกบอ
ตกเหวไมค อยระวังตัว ลงรวดเดยี วก็ถงึ ท่ีพกั ของจติ แลว ก็ถอนออกมารเู หตกุ ารณต า งๆ
จงึ ปรากฏเปนนมิ ติ ขึ้นมาในขณะนน้ั และกเ็ ปนนิสยั ของจิตประเภทนี้แทบทกุ รายไป แต
จะเปน สมาธปิ ระเภทใดกต็ าม ปญญาเปน ส่ิงสาํ คัญประจาํ สมาธปิ ระเภทน้ันๆ เมื่อถอน
ออกมาแลว จงไตรตรองธาตุขนั ธด ว ยปญ ญา เพราะปญ ญากบั สมาธเิ ปน ธรรมคูเ คยี งกัน
จะแยกจากกนั ไมได ถา สมาธไิ มก า วหนา ตองใชป ญญาหนนุ หลงั ขอยตุ เิ ร่อื งอปุ จารสมาธิ
แตเ พยี งเทา นี้
อปั ปนาสมาธิ เปน สมาธทิ ี่ละเอยี ดและแนนหนาม่นั คง ทง้ั รวมอยไู ดน าน จะให
รวมอยหู รือถอนขึน้ มาไดตามตองการ สมาธทิ ุกประเภทพงึ ทราบวา เปน เคร่ืองหนนุ
ปญญาไดตามกําลังของตน คอื สมาธิอยา งหยาบ อยางกลาง และอยางละเอียด ก็
หนนุ ปญญาอยา งหยาบ อยา งกลาง และอยางละเอยี ดเปนช้ัน ๆ ไป แลวแตผ ูมีปญญา
จะนําออกใช แตโดยมากจะเปน สมาธปิ ระเภทใดก็ตามปรากฏขึน้ ผภู าวนามักจะตดิ
เพราะเปนความสขุ ในขณะทจ่ี ิตรวมลงและพกั อยู การท่จี ะเรยี กวาจิตตดิ สมาธิ หรอื
ตดิ ความสงบไดนน้ั ไมเปนปญหา ในขณะทีจ่ ิตพกั รวมอยู จะพกั อยูนานเทา ไรก็ไดต าม
ขั้นของสมาธิ ทสี่ าํ คญั กค็ อื เม่ือจติ ถอนขนึ้ มาแลวยังอาลยั ในความพักของจติ ทั้ง ๆ ที่
ตนมคี วามสงบพอที่จะใชป ญ ญาไตรต รอง และมคี วามสงบจนพอตวั ซ่ึงควรจะใชป ญ ญา
ไดอ ยางเตม็ ทแี่ ลว แตย ังพยายามทีจ่ ะอยูในความสงบไมส นใจในปญญาเลย อยา งนี้
เรียกวา ตดิ สมาธถิ อนตัวไมขึ้น
แว-น่ ๑ด๐วง-ใจ
๑๒
การท่ีจิตใชกลอ ง คอื ปญญา ทอ งเทยี่ วในเมอื ง “กายนคร” ยอมเห็น “กาย
นคร” ของตน และ “กายนคร” ของคนและสัตวท ่วั ไปไดชัด ตลอดจนทางสามแพรง
คอื ไตรลักษณ อนจิ จฺ ํ ทุกฺขํ อนตฺตา อแาลปกญั ะาญทร-าขาอ๑บงอ๑รสมง-ส่ีแกมพาาธยริ ทง กุ สควือน ธาตสุ ี่ ดิน นํา้ ลม ไฟ ท่วั
ทัง้ ตรอกของทางสายตาง ๆ คือ พรอมทั้งหอ งนํ้า ครวั ไฟ
(สวนขา งในของรางกาย) แหง เมืองกายนคร จัดเปน โลกวิทู ความเห็นแจงในกายนคร
การที่จิตใชกลอ ง คอื ปญญา ทองเท่ียวในเมอื ง “กายนคร” ยอมเหน็ “กาย
นคร” ของตน และ “กายนคร” ของคนและสัตวท ่ัวไปไดชดั ตลอดจนทางสามแพรง
คอื ไตรลักษณ อนจิ ฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา และทางสี่แพรง คอื ธาตุส่ี ดิน นํา้ ลม ไฟ ทวั่
ท้งั ตรอกของทางสายตา ง ๆ คือ อาการของกายทกุ สว น พรอ มท้ังหอ งน้าํ ครวั ไฟ
(สวนขา งในของรา งกาย) แหงเมืองกายนคร จัดเปน โลกวทิ ู ความเห็นแจงในกายนคร
ท่ัวท้ังไตรโลกธาตกุ ็ไดด ว ย ยถาภตู ญาณทัสสนะ ความเหน็ ตามเปนจริงในกายทุกสวน
หมดความสงสยั ในเร่อื งของกายทเ่ี รียกวา รปู ธรรม
ตอ ไปนี้จะอธบิ ายวิปส สนาเก่ยี วกบั นามธรรม คือ เวทนา สัญญา สังขาร และ
วิญญาณ นามธรรมทั้งส่ีน้ี เปน สวนหนงึ่ ของขนั ธหา แตล ะเอียดไปกวารูปขนั ธ คอื กาย
ไมสามารถมองเห็นดวยตา แตรูไดทางใจ เวทนา คือ ส่งิ ที่จะตอ งเสวยทางใจ สุขบาง
ทุกขบา ง เฉย ๆ บา ง สญั ญา คือ ความจํา เชน จําชอื่ จาํ เสียง จาํ วัตถสุ ิง่ ของ จาํ บาลี
คาถา เปน ตน สงั ขาร คอื ความคดิ ความปรุง เชน คิดดี คิดชว่ั คิดกลางๆ ไมดี ไม
ช่ัว หรอื ปรงุ อดีตอนาคต เปน ตน และ วิญญาณ ความรบั รู คอื รบั รู รปู เสยี ง กลิน่
รส เครอ่ื งสมั ผสั และธรรมารมณ ในขณะที่สง่ิ เหลา นม้ี ากระทบ ตา หู จมูก ล้ิน กาย
และใจ นามธรรมทง้ั สนี่ ี้ เปน อาการของใจ ออกมาจากใจ รไู ดท ใ่ี จ และเปนมายาของ
ใจดว ย ถา ใจยงั ไมร อบคอบ จงึ จดั วา เปนเครอื่ งปกปด ความจรงิ ไดด ว ย
การพจิ ารณานามธรรมท้งั สี่ ตอ งพจิ ารณาดวยปญ ญา โดยทางไตรลกั ษณลว นๆ
เพราะขันธเ หลา นม้ี ไี ตรลักษณประจาํ ตนทุกอาการท่เี คลื่อนไหว แตว ิธีพจิ ารณาในขนั ธ
ทง้ั สีน่ ้ี ตามแตจ ริตจะชอบในขนั ธใด ไตรลักษณใด หรือทัว่ ไปในขันธ และไตรลักษณ
นน้ั ๆ จงพิจารณาตามจริตชอบในขนั ธและไตรลกั ษณน้นั ๆ เพราะขันธแ ละไตรลกั ษณ
หนงึ่ ๆ เปนธรรมเกีย่ วโยงถึงกนั จะพจิ ารณาเพียงขันธหรอื ไตรลกั ษณเ ดยี วกเ็ ปนเหตใุ ห
ความเขา ใจหยงั่ ทราบไปในขนั ธและไตรลักษณอ่นื ๆ ไดโ ดยสมบรู ณ เชน เดียวกบั
พจิ ารณาไปพรอม ๆ กัน เพราะขันธและไตรลักษณเหลานี้มีอรยิ สัจเปน รั้วก้นั เขตแดนรบั
รองไวแลว เชน เดยี วกับการรบั ประทานอาหารลงในทแี่ หง เดียว ยอมซึมซาบไปท่ัวอวยั วะ
นอ ยใหญของรางกาย ซึง่ เปนสวนใหญร บั รองไวแลว ฉะนัน้
เพราะฉะน้ันผปู ฏิบตั ิจงตัง้ สติและปญ ญาใหเขา ใกลชิดตอนามธรรม คือ ขันธสนี่ ้ี
ทุกขณะที่ขนั ธน ้นั ๆ เคล่ือนไหว คอื ปรากฏข้ึน ตั้งอยู และดบั ไป และไมเท่ยี ง เปน
ทุกข เปนอนตั ตาประจําตน ไมม เี วลาหยดุ ย้ังตามความจริงของเขา ซ่ึงแสดงหรอื
ประกาศตนอยอู ยางนี้ ไมม ีเวลาสงบแมแ ตขณะเดยี ว ทงั้ ภายใน ท้งั ภายนอก ท่วั โลกธาตุ
แว- ่น๑ด๒วง-ใจ
ประกาศเปน เสยี งเดียวกนั คือ ไมเ ท่ยี ง เปนทุกข เปนอนตั ตา ปฏิเสธความหวังของสตั ว
พูดงา ยๆ กค็ อื ธรรมทง้ั นี้ไมม เี จาของ ประกาศตนอยูอ ยางอสิ รเสรีตลอดกาล ใครหลง
ไปยดึ เขา ก็พบแตค วามทกุ ขดวยความเหย่ี วแหงใจตรอมใจ หนกั เขา กินอยหู ลับนอนไม
ได นํ้าตาไหลจนจะกลายเปนแมนา้ํ ลาํ คลองไหลนองตลอดเวลา และตลอดอนันตกาลที่
สัตวย งั หลงขอ งอยู ชี้ใหเหน็ งา ยๆ ขนั ธท ้ังหาเปน บอหลง่ั นา้ํ ตาของสัตวผ ลู ุมหลงนนั่ เอง
การพิจารณาใหร ูดว ยปญญาชอบในขันธแ ละสภาวธรรมทงั้ หลาย ก็เพ่ือจะประหยัดน้ําตา
และตัดภพชาตใิ หนอยลง หรอื ใหข าดกระเดน็ ออกจากใจผูเปนเจาทกุ ข ใหไดร ับสุขอยาง
สมบูรณน ัน่ เอง
สภาวธรรมมีขันธเปนตนนี้ จะเปน พษิ สาํ หรับผูย ังลมุ หลง สวนผูรูเ ทา ทนั ขันธแ ละ
สภาวธรรมทงั้ ปวงแลว สิ่งทง้ั นี้จะสามารถทาํ พิษอะไรได และทานยงั ถือเอาประโยชนจ าก
สงิ่ เหลา น้ีไดเ ทาท่ีควร เชน เดยี วกับขวากหนามทม่ี อี ยูทัว่ ไป ใครไมรไู ปโดนเขา ก็เปน
อันตราย แตถ า รวู าเปนหนามแลวนาํ ไปทํารวั้ บา นหรือกน้ั สิ่งปลกู สราง กไ็ ดร บั ประโยชน
เทา ท่ีควรฉะนน้ั เพราะฉะนัน้ ผูปฏบิ ตั ิ จงทําความแยบคายในขนั ธและสภาวธรรมดว ยดี
ส่ิงท้ังน้เี กิดดบั อยูกับจิตทุกขณะ จงตามรคู วามเปน ไปของเขาดวยปญญาวาอยางไรจะ
รอบคอบและรเู ทา นัน้ จงถอื เปนภาระสาํ คัญประจาํ อริ ิยาบถ อยาไดป ระมาทนอนใจ
ธรรมเทศนาทีแ่ สดงขนึ้ จากขันธแ ละสภาวธรรมท่วั ไปในระยะน้ี จะปรากฏทางสติ
ปญ ญาไมม เี วลาจบสิ้น และเทศนไมม ีจาํ นนทางสํานวนโวหาร ประกาศเรื่องไตรลักษณ
ประจําตลอดเวลา ทง้ั กลางวนั กลางคนื ยนื เดิน นั่ง นอน ทง้ั เปนระยะท่ีปญ ญาของเรา
ควรแกก ารฟง แลว เหมอื นเราไดไตรตรองตามธรรมเทศนาของพระธรรมกถกึ อยางสุดซ้งึ
นั่นเอง ข้นั นนี้ ักปฏบิ ัติจะรูสกึ วา เพลิดเพลินเตม็ ท่ี ในการคนคดิ ตามความจรงิ ของขันธ
และสภาวธรรมทป่ี ระกาศความจรงิ ประจําตน แทบไมมีเวลาหลบั นอน เพราะอาํ นาจ
ความเพยี รในหลกั ธรรมชาติ ไมขาดวรรคขาดตอนโดยทางปญ ญา สบื ตอในขันธห รือ
สภาวธรรมซ่ึงเปนหลักธรรมชาติเชน เดยี วกัน กจ็ ะพบความจรงิ จากขนั ธและสภาวธรรม
ประจักษใ จข้นึ มาดวยปญ ญาวา แมข นั ธทั้งมวลและสภาวธรรมทว่ั ไปตลอดไตรโลกธาตุ
กเ็ ปนธรรมชาติธรรมดาของเขาอยางนน้ั ไมป รากฏวาสง่ิ เหลา น้เี ปนกิเลสตณั หาตามโมห
นิยมแตอ ยางใด
อุปมาเปน หลกั เทียบเคียง เชน ของกลางทีโ่ จรลกั ไปก็พลอยเปน เรือ่ งราวไปตาม
โจร แตเ มือ่ เจาหนา ทีไ่ ดส ืบสวนสอบสวนดูถว นถี่ จนไดพ ยานหลกั ฐานเปน ที่พอใจแล๑๔ว
ของกลางจบั ไดก ็สงคืนเจา ของเดมิ หรือเกบ็ ไวในสถานที่ควรไมม ีโทษแตอยางใด เจา
หนาท่ีกม็ ไิ ดติดใจในของกลาง ปญหาเรือ่ งโทษก็ขน้ึ อยูก บั โจร เจา หนา ที่จะตองเกี่ยว
ของกับโจรและจบั ตัวไปสอบสวนตามกฎหมาย เมอื่ ไดค วามตามพยานหลกั ฐานถกู ตอ ง
ตามกฎหมายวาเปนความจริงแลว ก็ลงโทษผูตอ งหาตามกฎหมายและปลอ ยตวั ผูไ มม ี
ความผิดและไมมสี วนเกีย่ วของออกไปเปน อิสรเสรตี ามเดมิ ฉนั ใด เรอ่ื งอวิชชาจิตกบั
สภาวธรรมท้ังหลายก็ฉันนัน้ ปัญญ-าอ๑บ๓รม-สมาธิ
ขันธและสภาวธรรมท่วั ท้ังไตรโลกธาตุ ไมม คี วามผิดและเปน กิเลสบาปธรรมแต
ขอ งกบั โจรและจับตวั ไปสอบสวนตามกฎหมาย เมอื่ ไดค วามตามพยานหลกั ฐานถูกตอง
ตามกฎหมายวา เปน ความจรงิ แลว กล็ งโทษผตู องหาตามกฎหมายและปลอ ยตัวผูไมม ี
ความผดิ และไมม สี ว นเกยี่ วขอ งออกไปเปนอิสรเสรตี ามเดิมฉันใด เรือ่ งอวชิ ชาจติ กับ
สภาวธรรมทง้ั หลายกฉ็ ันนัน้
ขนั ธแ ละสภาวธรรมท่ัวทง้ั ไตรโลกธาตุ ไมมีความผิดและเปน กิเลสบาปธรรมแต
อยา งใด แตพลอยเปน เร่อื งไปดว ย เพราะจติ ผูฝง อยูใ ตอาํ นาจของอวชิ ชา ไมร ูต ัววา
อวชิ ชาคือใคร อวชิ ชากบั จิตจึงกลมกลนื เปนอนั เดียวกนั เปนจติ หลงไปท้ังดวง เทย่ี วกอ
เร่ืองรัก เร่ืองชัง ฝงไวต ามธาตขุ ันธ คอื ตามรปู เสยี ง กล่นิ รส เครือ่ งสมั ผสั ตามตา
หู จมกู ลน้ิ กาย และใจ และฝง รักฝงชังไวต ามรปู เวทนา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ
ตลอดไตรโลกธาตุ เปน สภาวะที่ถกู จับจองและรักชงั ยึดถอื จากใจดวงลุมหลงน้ีทง้ั สน้ิ
เพราะอํานาจความจับจองยึดถอื เปนเหตุ ใจอวชิ ชาดวงนี้จงึ เทยี่ วเกิด แก เจ็บ ตาย หมุน
เวียนไปไดท กุ กาํ เนิด ไมว าสูง ตํา่ ดี ชวั่ ในภพทัง้ สามน้ี
แมจ ะแยกกําเนิดของสตั วท ีต่ า งกันในภพนน้ั ๆ ไวมากเทา ไร ใจดวงอวิชชานี้
สามารถจะไปถือเอากําเนิดในภพน้นั ๆ ไดต ามแตป จจัยเคร่อื งหนุนของจติ ดวงนี้ มีกําลงั
มากนอยและดีชัว่ เทาไร ใจดวงนต้ี องไปเกดิ ไดต ามโอกาสท่ีจะอาํ นวย ตามสภาวะทงั้
หลายที่ใจดวงน้ีมคี วามเก่ยี วของ จึงกลายเปน เรื่องผดิ จากความจริงของตนไปโดยลาํ ดับ
เพราะอํานาจอวชิ ชาอันเดยี วเทาน้ี จึงกอ เหตุรายปา ยสีไปทัว่ ไตรโลกธาตใุ หแปรสภาพ
คือ ธาตุลว นๆ ของเดมิ ไปเปนสตั ว เปนบุคคล และเปนความเกดิ แก เจ็บ ตาย ตาม
โมหะ (อวชิ ชา) นิยม เมื่อทราบชดั ดวยปญญาวา ขันธห า และสภาวธรรมทั้งหลาย ไม
ใชต ัวเร่ืองและตวั กอเรอื่ ง เปน แตพ ลอยมเี รอื่ ง เพราะอวชิ ชาเปนผเู รืองอาํ นาจ บนั ดาล
ใหสภาวะท้งั หลายเปนไปไดตามอยางนแ้ี ลว ปญญาจึงตามคนลงทต่ี น ตอ คือจิตดวงรู
อันเปนบอ เกิดของเร่ืองท้ังหลายอยา งไมหยดุ ยง้ั ตลอดอริ ิยาบถ คอื ยนื เดนิ นั่ง นอน
โดยความไมว างใจในความรูอ นั น้ี
เม่ือสตปิ ญ ญาท่ีไดฝกซอ มเปนเวลานานจนมีความสามารถเต็มท่ี ไดแ ผวงลอ ม
และฟาดฟนเขา ไปตรงจุดใหญ คือ ผูรูท่เี ตม็ ไปดว ยอวิชชาอยางไมรีรอ ตอ ยทุ ธก ันทาง
ปญญา เม่ืออวิชชาทนตอดาบเพชร คือสตปิ ญญาไมไหวก็ทลายลงจากจิตทเ่ี ปนแทน
บลั ลังกอ นั ประเสรฐิ ของอวิชชามาแตก าลไหนๆ เเพมยีอ่ื งอขวณชิ ชะาเดไดยี ถวเูกททาํานล้นั ายตคายวลามงไจปรแงิ ๑ทล๕วั้ง
ดว ยอํานาจ “มรรคญาณ” ซึง่ เปนอาวุธทันสมัย
หลายท่ีไดถูกอวิชชากดขีบ่ ังคับเอาไวน านเปน แสนกัปนับไมถ ว น กไ็ ดถกู เปด เผยขน้ึ มา
เปนของกลาง คอื เปน ความจรงิ ลว นๆ ท้งั สน้ิ ธรรมท่ไี มเคยรไู ดป รากฏข้ึนมาในวาระสดุ
ทา ย “ยถาภูตญาณทสั สนะ” เปนความรเู ห็นตามเปน จริงในสภาวธรรมทัง้ หลายอยาง
เปดเผย ไมมอี ะไรปดบงั แมแ ตน อ ย
นิพพานเจมะอ่ื ทอนวติชอชาคเวจาา มผเปู ปกดคเผรอยงขนอคงผรวูทฏั าํ จฏระแิง-วตน่ ๑าด๔รวยจูง-ไใรจปงิ แลเหว น็ดวจยรงิอไาปวไุธมไคดือ ปญ ญาญาณ พระ
แมสภาวธรรมทงั้
หลาย นบั แตขันธหา อายตนะภายใน ภายนอก ทว่ั ทงั้ ไตรโลกธาตุ ก็ไดเปนธรรมเปดเผย
๑๖
ยังไมเ กดิ จงเหน็ วาพระองคส อนคนเปน คือยังมีชีวติ อยู เชน พวกเราทัง้ หลาย สมกับ
พระพทุ ธศาสนาเปนปจ จุบันทนั สมยั ตลอดกาล
ขอความสวสั ดมี งคล จงมีแดทานผูอานผูฟ งทง้ั หลายโดยทัว่ หนา กันเถดิ ฯ
www.Luangta.or.th
ปัญญ-าอ๑บ๕รม-สมาธิ
อธภบรารรมมคเฆทศร๑นาาวาส
กณั ฑท์ ี่ ๑ ๑
เทเทเศมศนื่อเนมอว์อ่ือนับบวรทรนั มม่ีท๒ฆฆี่ทร๕๒ราาา๕วมวนาามนีสสนีาศทณคาณคมีลามวอนพัดรพภอทุุณุทราธธณุรวศศงั รษกันักังรรษี าจาาี ชช.จห.ห๒๒นน๕๕ออ๐ง๐ง๔ค๔คาายย
นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมมฺ าสมฺพทุ ธฺ สฺส
ทานํ เทติ สลี ํ รกฺขติ ภาวนํ ภาเวตวฺ า เอกจโฺ จ สคฺคํ คจฺฉติ
เอกจฺโจ โมกฺขํ คจฺฉติ นสิ สฺ สํ ยนฺติ
วันนี้เปน วนั อดุ มมงคลของทานพุทธบริษทั ทีอ่ ุตสาหม าจากสถานทตี่ า ง ๆ ดว ย
ศรทั ธาความเช่อื ปสาทะความเลอื่ มใสในพระพุทธศาสนา ไดอ าราธนาพระสงฆมาจาก
อารามตาง ๆ มพี ระเดชพระคณุ ทา นเจา คุณพระธรรมเจดียเปนประธานในงานน้ี เนอ่ื งดว ย
คณะเจา ภาพพรอ มกนั ขวนขวายกอสรางสถานทนี่ ี้ใหป รากฏเปน วดั ขึน้ มา โดยมีโบสถ
ศาลา กุฎี และถงั นํา้ ลวนแตส ิ่งมรี าคามากและตั้งเรยี งรายท่วั ทง้ั วัด จนกลายเปนสถานท่ี
สาํ คัญอนั ควรเคารพบชู าขึน้ มา ปรากฏเปนที่อยูอ าศยั ของทา นผมู ศี ลี มธี รรมจะไดพกั เพื่อ
บาํ เพ็ญสมณธรรมโดยสะดวก ทัง้ นเ้ี ปน เคร่ืองแสดงความสําคัญของทา นผมู ศี รทั ธาอนั แรง
กลา ตางเสยี สละทรัพยอ ันมีคา ของตนออกเปน ทานโดยความพรอมเพรยี ง ผลจึงปรากฏ
เปน ทีพ่ งึ พอใจทงั้ แกตนและประชาชนทั่ว ๆ ไป ตลอดพระสงฆในวัดและนอกวัดทมี่ า
อนุโมทนาในงานน้ี ซึง่ คณะเจา ภาพจัดใหม กี ารฉลองขนึ้ ในวันน้ี บดั นตี้ างมศี รัทธาต้ังจิตมงุ
ตอการฟง ธรรม เพอ่ื ใหส ําเรจ็ เปนธรรมสวนามยั อานิสงส ตรงกับหลักธรรม ๕ ประการทผี่ ู
ฟงจะไดรับในขณะนั้น คือ
๑. จะไดฟง สง่ิ ท่ยี ังไมเ คยไดฟง
๒. สง่ิ ทฟ่ี ง แลว แตยงั ไมเ ขา ใจชัด จะเขาใจชดั
๓. จะบรรเทาความสงสยั ซ่ึงเคยมอี ยใู นใจเสยี ได
๔. จะทาํ ความเห็นใหถกู ตอ งได
๕. จติ ของผฟู ง ธรรมจะไดร ับความผองใส
ทงั้ ๕ ประการน้ี คอื ธรรมสมบตั ิของทา นผฟู ง ดว ยความสนใจ ดงั นัน้ คร้ังองค
สมเดจ็ พระผมู ีพระภาคทรงแสดง พุทธบรษิ ทั ผนู ัง่ ฟง ในลกั ษณะนี้ จึงปรากฏผลเปนลําดบั
นบั แตธรรมขัน้ ตํ่าจนถงึ ธรรมข้นั สูงสดุ แมผูหลดุ พนจากทกุ ขท างใจ กลายเปนพระ
อรยิ บคุ คลอยางเตม็ ภมู ิ เพราะการฟง กม็ จี าํ นวนไมน อย เพราะฉะนัน้ การฟงธรรมจึงถือ
แวนดวงใจ แวน่ ดวงใจ : ภ-า๑๑ค๘๑-อบรมฆราวาส
๒
เปนกิจสาํ คัญทางพระพทุ ธศาสนา ไมด อยกวา ภาคปฏบิ ัติอ่นื ๆ ที่ผูเปน พุทธศาสนกิ ชนจะ
พึงบําเพ็ญ
บดั นจ้ี ะเร่ิมพระธรรมเทศนา โดยปรารภกจิ การของทา นท้ังหลายเปนแนวทางแหง
ธรรม เพราะเปนกิจทใี่ หญโ ตมาก ไมอาจจะใหส าํ เรจ็ ลงไดโ ดยลาํ พงั ของศรทั ธาเพยี งคน
เดียว จาํ ตองอาศัยกาํ ลังศรทั ธามากทา นดว ยกัน ท้ังน้ไี มว าทางโลกทางธรรม หากเปน กจิ ท่ี
เหลอื กาํ ลังของบุคคลคนเดียวแลว ตองอาศยั ความสามคั คจี ากสวนรวม กจิ น้นั ยอมสาํ เรจ็
ลงได ไมน อกเหนอื ความสามัคคีอนั เปน กําลังใหญไ ปได ดังสิง่ กอ สรางภายในวดั อรุณรังษี
เปน ตน ซ่ึงอาศยั กําลังความสามัคคีแหง ศรัทธาของผูใจบญุ ท้ังหลาย ทั้งใกลแ ละไกลชวย
กนั สง เสรมิ ยอมสาํ เรจ็ ขน้ึ มาไดอ ยา งภาคภมู ใิ จ นอกจากนน้ั ยังพรอ มใจกนั ทําการฉลองกิจ
การนี้ ซงึ่ จําตอ งสละปจ จัยไทยทานเปนจํานวนไมน อยอีกเชนเดยี วกนั นับวาทานทง้ั หลายมี
วสิ ารทศรัทธา คอื ศรัทธาแกลวกลา ในพระศาสนา โดยไมเ หน็ แกค วามลําบากและส้ิน
เปลืองใด ๆ แตเ หน็ ประโยชนทพ่ี งึ จะไดท้งั แกต นและสวนรวมเปน สําคัญ ตางทา นจึงชว ย
กันขวนขวายเพ่อื ใหก จิ ธุระนเ้ี ปนไปดว ยดี และสําเร็จลงดวยความเรยี บรอยและสมบรู ณ จงึ
เปน ทน่ี าอนโุ มทนาเปนอยางยิ่ง
ถา องคสมเด็จพระผมู พี ระภาคเจาของพวกเรายงั ทรงพระชนมอ ยู และทรงทอดพระ
เนตรกิจการมหากศุ ลซ่ึงสาธชุ นผใู จบญุ ท้งั หลาย กาํ ลงั บาํ เพ็ญใหเปน ไปอยูดว ยความพรอม
เพรียงเชน น้ี จะทรงอนุโมทนาสาธกุ ารดวยอยางพอพระทัย แตท ั้งนี้เพราะขันธปญจกะ คือ
พระกายไมวา ของพระองคท า นและของสาวกตลอดของเราและสตั ว ยอ มมคี วามแปรปรวน
ประจาํ ตนไมเลอื กสถานที่ กาล บุคคล คงดําเนินไปตามเสนทางคติธรรมดา ไมมีวนั และ
เวลายบั ยง้ั ผูมปี ญ ญาพจิ ารณาเหน็ เหตุอันเปนเชน เดยี วกบั ทางหลวงซงึ่ เตม็ ไปดวยอํานาจ
ราชศกั ดิ์ ไมมีใครจะสามารถคดั คา นตา นทานไดเชน นี้แลว จงึ รบี เรง ดัดแปลงตนเองใหท ัน
กับเหตกุ ารณ ซึ่งกาํ ลงั เปนไปอยใู นสตั วและสังขารไมว าทานและเรา ไมใหเ สยี เวลาไปเปลา
โดยปราศจากประโยชน
เพราะมาพจิ ารณาเห็นสงั ขารผูกําลงั ถูกไฟ คอื ชรา พยาธิ มรณะ ไหมรมุ ลอมอยูท้ัง
วันทัง้ คนื ยืน เดิน น่ัง นอน หมดหนทางท่ีจะกน้ั กางหวงหา มไวไ ด จงึ รบี เรง ขนทรพั ย
สมบตั ิ คือบุญกศุ ลที่ควรจะไดจ ากรา งกายออกเสียแตตนมอื ทย่ี งั ไมถ ูกไฟไหมเปนจณุ วจิ ุณ
ไปเสียกอ น เผอื่ จะไดอ าศัยสมบตั ิเหลา น้เี ปน ตนทนุ เพื่อหมนุ ตัวในภพชาตติ อไป จะไดไม
เปน ผูขดั สนจนทรพั ยในคตภิ ูมิที่ตนอุบตั นิ นั้ ๆ ทั้งจะเปนผูสมหวังในสิ่งท้งั ปวงทต่ี น
ปรารถนา เพราะอาํ นาจปญ ญาเปนเคร่อื งสอ งทางใหเ หน็ แดนแหง ความสมหวงั ไปเปน
แวนดวงใจ ๒
กณั ฑ์เทศน์ท่ี ๑- ๑: ๙ทา-น ศีล ภาวนา
๓
ลําดบั แมทานคณะศรัทธาทก่ี ําลงั บาํ เพ็ญอยเู วลานี้ ก็เพราะอํานาจปญ ญาประเภทที่กลา ว
แลว สามารถใหม องเหน็ จุดดอยของรา งกาย อันเปน ที่ตงั้ แหง ความไมประมาทนอนใจ จึง
พากันรบี เรงขวนขวายสรางคุณงามความดเี พื่อเปนที่พ่งึ ของตน จะไมม คี วามเดือดรอนใน
ภายหลงั
แมร างกายจะแตกสลายลงไปตามกาล แตใ จผูไมมปี า ชา เพราะความไมตายเหมือน
สภาพเหลา นน้ั ยอมอาศยั กศุ ลผลบญุ ท่สี ง่ั สมไวเ ปนเสบยี งตอไปในภพนนั้ ๆ จนกวาจะ
ขา มพนไปไดเ สียจรงิ ๆ ไมพึ่งพิงสิ่งใด หากยงั ไมส ามารถเปนไดเชนนัน้ เพราะยงั ไมสนิ้ ไป
แหง กรรมภายในใจ ยงั จาํ ตอ งมาสภู พชาตติ อ ไปอกี ยอ มจะมาดว ยอํานาจกรรมดีพามา พา
อยู และพาไป สิ่งอาศัยในภพนัน้ ๆ จะเปน เครือ่ งบํารงุ บาํ เรอใหม คี วามสขุ กายสบายใจ นกึ
ส่ิงใดยอมมีมาสนองความตองการ ไมอดอยากขาดแคลน สมบตั ทิ กุ ประเภท เชน ลกู หญิง
ลกู ชาย สามี ภรรยา เปนตน ทก่ี า วเขามาสอู อมอกตกเปน ของเรา ยอมเปนที่พึงพอใจ
เพราะสมบตั อิ ันมีคุณคานา พึงใจยอมเกิดขึน้ จากสาเหตอุ ันดี ของชั่วยอมเกิดจาก
สาเหตอุ นั ชั่ว เมื่อทาํ ลงไปแลว ผลจาํ ตองปรากฏข้ึนตามรอยแหง เหตุ ดังนัน้ จงึ ควรเลือก
เฟน ทํากรรมดี อันเปน เสน ทางไหลมาแหง ความดีทุกประเภทไวเสียแตต นทาง ผลดจี ะไมม ี
อะไรกีดขวางไวไ ด ตอ งตามสนองผูทาํ กรรมดีโดยแนน อน เชนเดียวกบั เงาตามตวั ฉะน้ัน
แมร า งกายจะแตกดบั สลับซับซอน และนานกก่ี ปั จนนบั ไมไ ด เพราะใจดวงเดยี วเปน ผูครอง
รางนนั้ ๆ กต็ าม แตใ จซ่งึ เปน ผูส ัง่ สมและเกบ็ ไวซ่ึงบญุ และบาปน้นั เปนของไมต าย ดแี ละ
ชัว่ สุขกับทุกข จาํ ตอ งอาศัยติดแนบกบั ใจไปสูภพชาติตา ง ๆ ผลจึงปรากฏดีบาง ชว่ั บา ง
สุขบาง ทกุ ขบาง ไมเสมอกัน เพราะฉะนั้นคนและสัตวจงึ สําคัญทใี่ จกวาสง่ิ อื่น ๆ ในรางกาย
ทา นพทุ ธศาสนกิ ชนท้ังหลายไดพ ากันกอสรางบุญกุศล มไิ ดหยุดย้ังท้งั วันทัง้ คนื ก็
เพราะความฉลาดเลง็ เหน็ รา งกายวา จะตองแตกสลายโดยแนน อน และกลัววาเมือ่ ตายแลว
อาจจะเกิดผดิ พลาดความมุงหมายจากสถานท่ี และไดร ับส่งิ ที่ไมพึงปรารถนา จึงได
รบี อบรมจติ ใจใหเ ชอ่ื งชินตอกศุ ล เปน ตนวา พาใหทาน รักษาศีล และเจริญเมตตาภาวนา
หาทางปอ งกันไวเสียแตเ ม่อื ยงั มีชีวิตอยู จะเปนความเย็นใจ เพราะมีธรรมเปนเครือ่ งหลอ
เลย้ี ง เม่ือจากโลกน้ไี ปแลว ธรรมยอมตามรกั ษาใหม คี วามสขุ ย่งิ ๆ ขึ้น ชีวิตของผมู ธี รรม
ประคองรักษา ยอมเปน ชวี ิตที่สดชื่นแจมใส มีใจเยือกเย็น เปน สุขประจําตนในภพน้ัน ๆ
กบ็ ัดนี้เราทา นทง้ั หลายไดมาเกดิ ในภพชาติอนั สมบูรณดวยมนษุ ยสมบัติ จัดวาเปน
วาสนาบารมีอยา งย่งิ ทเี่ คยบําเพ็ญไวแตภ พกอ นไมนอยเลย แมเ ราจะจําไมไดกข็ อไดโ ปรด
ยึดเอาตัวเราผกู าํ ลังบาํ เพญ็ ความดอี ยขู ณะนี้วาไดบาํ เพญ็ ไวแตอ ดีต จะไมม ีใครบาํ เพ็ญ
แวนดวงใจ ๓
แวน่ ดวงใจ : ภ-า๒ค๐๑-อบรมฆราวาส
๔
ความดจี นเต็มภมู คิ วรเปนมนุษยแลวจะกลา เสียสละตําแหนงมนุษยน้นั ใหแ กเ รา สว นเขา
ยอมทนไปตกในอบายภมู ิ อันเปนภูมขิ องสตั วผ ูอ าภัพวาสนาแทน ทกุ ทา นจึงควรภาคภูมิ
ในวาสนาของตน และพยายามกา วหนาดวยความพากเพียร ดังองคสมเดจ็ พระผูมพี ระภาค
เจา ซง่ึ ไดทรงบาํ เพ็ญเปนตวั อยา งและเปนสักขพี ยานมากอนแลว
วันน้จี ะมกี ารเทศนม หาชาติของพระพทุ ธเจา ครั้งเสวยพระชาติเปน พระเวสสนั ดร
แปลวา เปนชาตทิ ใ่ี หญย ่งิ ของพระองค ทท่ี รงกาวผานวัฏสงสารมาดวยทรงบาํ เพ็ญมหาทาน
ซ่ึงเปน ทานใหญแ ละอัศจรรย แปลวา ชาติสุดทายที่ทรงทุมเทพระกําลังลง เพือ่ พระ
สพั พัญดู ว ยความกลาหาญตอแดนพนทกุ ข และแปลวาการประมวลภพชาตซิ งึ่ เปนสมบัติ
ของพระองคท ท่ี รงทอ งเทย่ี วมาเปนเวลานาน ลงในพระชาตขิ องพระเวสสนั ดรกไ็ ด พระ
พทุ ธเจา ครงั้ เปนพระเวสสันดร พระองคทรงทําอยางไร ในพระคาถาของพระเวสสนั ดร
ชาดกมมี ากมาย แตจ ะยกมาแสดงเพียงยอ ๆ วา ทานํ เทติ พระเวสสนั ดรทานทรงใหท าน
สลี ํ รกขฺ ติ พระเวสสนั ดรทานทรงรกั ษาศีล ภาวนํ ภาเวตวฺ า พระเวสสันดรทานทรงเจริญ
ภาวนา จงึ เปนพระพทุ ธเจาข้ึนมาและกลายเปน ศาสดาของโลกท้งั สาม นค่ี อื หลกั ธรรม
เคร่ืองดําเนนิ ของพระเวสสนั ดรทท่ี รงดาํ เนินมาเปน ลาํ ดับ จนบรรลุถึงความเปนพระพทุ ธ
เจาอยางสมบูรณ
ธรรมท้ังนี้ทานประทานไวเพอ่ื พทุ ธบรษิ ัท คือ พวกเราจะตามเสดจ็ พระองคท า น
ตามกําลงั ภมู นิ ิสัยวาสนาของแตละทา น ถา จะกลา วถึงการบําเพญ็ และฝา ฝนความทกุ ข
ทรมานในคราวเปน พระเวสสนั ดรนน้ั จะเห็นไดว าเปนการยากลาํ บากแสนสาหสั และไมมี
ใครจะกลา ทําไดเหมือนอยา งพระองค การบาํ เพญ็ ทานก็เปน ความอัศจรรย อาจจะกลา วได
วาพระองคทรงควาประวัติศาสตรแ หง การเสยี สละของคนในสมัยน้นั โดยไมม ีใครจะ
สามารถเปน คูแ ขง ได ประหนง่ึ ฟาดนิ อันแสนกวางจะถลม เพราะความเล่ืองลอื กิตติศัพท
กิตตคิ ณุ ฟงุ ขจรไปทกุ แหงทุกหน ท้ังเบอื้ งบน เบ้อื งลา ง
ชาวเมืองเกดิ ความไมย นิ ดีและไมพ อใจในการบาํ เพญ็ ของพระองค ถกู กลาวหาวา
ใหทานชา งมงคลประจําเมอื งและประจําแผนดิน จนเกิดฟอ งรองกันข้นึ โดยตั้งขอหาวา
พระเวสสนั ดรเปน คนขวางโลก ไมสมควรเปนกษัตริยปกครองแผน ดินตอไป ถา ฝนใหอ ยู
บา นเมืองและแผน ดินจะลม จม ฝา ยพระบดิ าซง่ึ เปน เปา หมายแหง การรับฟอ งรอ งของคน
ทั้งแผน ดิน ดวยพระปรีชาฉลาดก็ทรงบรรเทาเหตุรายซง่ึ กําลังเกิดขนึ้ โดยพระอบุ ายใหพ ระ
เวสสนั ดรพระลูกรกั เหมอื นดวงหทยั ขยบั ขยายออกจากเมืองตามเหตกุ ารณกอน พอมที าง
แกเ หตรุ า ยใหสงบลง
แวนดวงใจ ๔
กัณฑ์เทศนท์ ี่ ๑- ๒: ๑ทา-น ศลี ภาวนา
๕
ฝายพระเวสสนั ดรหนอ พระสัพพญั ูผูท รงธรรม มีพระทยั อนั เต็มไปดว ยพระ
เมตตาตอสัตวผยู ากจน และมีพระราชศรทั ธาอันกวางขวางเหมอื นทองฟามหาสมทุ ร เม่อื
ทรงสดับพระดาํ รัสจากพระบิดาผบู ังเกิดเกลา แลว ทรงนอมพระเศียรรับและปฏบิ ัตติ าม
ดวยความพอพระทัยมไิ ดขัดขนื แมเชน นน้ั กอ นจะเสด็จออกจากพระนคร ยังทรงขอยับยัง้
ไวช ั่วกาล พอใหไ ดบ ริจาคทานใหพอพระทยั กอน แลว ก็เสด็จออกจากพระนครดวยพระ
อาการอนั ยมิ้ แยมแจมพระทยั ซ่ึงสมกับพระองคเ ปนพระเวสสันดรผูเปน จอมใหทานใน
โลก อันไมม ใี ครเสมอเหมือน ไมท รงมีพระอาการหวั่นไหว เพราะความไมพอใจและการ
ขบั ไลข องชาวเมือง ทรงเปย มดว ยพระราชศรัทธาทัง้ การเสด็จไป เสดจ็ อยใู นปา และเสดจ็
กลับสพู ระนครตามคาํ ทลู ใหเสด็จกลบั
การเสดจ็ ออกจากพระนคร มีพระนางมทั รคี พู ระบารมแี ละพระโอรสพระธดิ าดวง
หทยั ตามเสดจ็ การเสดจ็ ออกจากพระนครทัง้ น้ี พระเวสสนั ดรทรงปฏบิ ัตใิ หเปน ที่พอใจ
ของชาวเมือง แตก ารบรจิ าคทานซ่ึงเปนธรรมประจาํ พระนสิ ัยของหนอ พระโพธญิ าณ ผูจ ะ
ทรงรอื้ ขนสตั วโลกใหขา มตามเสด็จ พระเวสสนั ดรไมเ คยลดหยอ นออนพระทัยไปตามใคร
และทรงยอมอยูใตอาํ นาจของผูใดท้ังน้ัน แมจะเสดจ็ เขาอยใู นดงหนาทบึ แรน แคน กันดาร
เหมือนแดนนรกอนั ใคร ๆ ไมพ ึงปรารถนากต็ าม พระองคยังทรงพอพระทัยในทเี่ ชนน้ัน
และทรงบาํ เพญ็ ทานไมเคยลดละ เม่ือไมม ีอะไรจะทรงบรจิ าคกท็ รงยกพระลูกรักทัง้ สอง
บรจิ าคใหแ กพราหมณผ จู นมุมมารองขอ ไมทรงถอื พระลูกรกั ทง้ั สองเปน อุปสรรคตอทาน
บารมเี พอ่ื ความเปน ศาสดาของโลกเลย
เมอ่ื ทรงบริจาคไปแลว แมพราหมณผ มู นี สิ ัยใจโหดรายไรศลี ธรรม จะเฆยี่ นตพี ระ
ลกู รักทง้ั สองตอ พระพกั ตรโ ดยไมเกรงขามพระบารมีกต็ าม ก็ทรงทอดอาลัย ไมท รงกรว้ิ
โกรธแกพ ราหมณเ ลย เพราะทรงถอื วาเปนทานทบ่ี ริจาคใหเ ปน ของคนอื่นดว ยความ
บรสิ ุทธพิ์ ระทัยแลว ไมเพยี งพระลกู รกั ซ่ึงเทยี บกับพระเนตรทัง้ สองท่บี รจิ าคใหแ ก
พราหมณไ ปแลว ยงั ทรงยกพระนางมัทรคี ูพระบารมี ผูเปรยี บเหมอื นดวงหทยั ใหแก
พราหมณผมู ารองขอในอันดบั ตอ มาอีก ดวยความพอพระทัย มิไดทรงอดิ เออ้ื นซ่ึงจะเปน
เหตุใหป ลกี แวะจากทานบารมเี พื่อพระโพธิญาณเลย และยังทรงอทุ านเพ่อื สละเลอื ดเน้อื
และชีวิตทกุ พระอาการแกผมู ุงมาขอทานอีก ไมทรงอาลยั ในพระกายและจิตใจแมแ ตน อย
การที่ทรงบําเพญ็ ทานบารมไี ดอ ยา งเตม็ พระทยั น้ี เนือ่ งจากทท่ี รงอาศัยอยใู นสถาน
ที่ทโี่ ลกเห็นวา เปนท่ีอยูของบคุ คลผูจนมมุ แตส ําหรบั พระเวสสนั ดรกลับทรงเห็นวา เปนท่ี
เว้งิ วา งจากภาระหนกั และอารมณเครือ่ งกงั วลใจ ทัง้ การบําเพญ็ ทานบารมี ศลี บารมี ตลอด
แวน ดวงใจ ๕
แวน่ ดวงใจ : -ภา๒ค๒๑- อบรมฆราวาส
๖
อเุ บกขาบารมี ฯลฯ ซ่งึ เปน ธรรมเคร่ืองสงเสริมทุกประเภท พระเวสสันดรทรงมีโอกาสได
บาํ เพญ็ อยางพอพระทยั ในเวลานั้น การบําเพญ็ ที่แสนยากลาํ บากและเตม็ ไปดวยความชอก
ช้ํา เพราะการกระทบกระเทอื นนานาประการ ท้ังเปน การขดั ขวางทางดําเนนิ ของพระ
เวสสนั ดร หากกรรมดี กรรมชัว่ จะเปน ไปตามความตาํ หนติ ชิ มของบุคคลแลว พระ
เวสสันดรถงึ กบั ตอ งถูกเนรเทศเพราะการใหท าน กไ็ มควรจะรอดจากเหตุการณอันรุนแรง
นั้นกลายมาเปน พระพุทธเจาใหโลกกราบไหวไ ด เพราะผลแหง ทานอันเปนตน เหตุนน้ั
เราทุกทานผูเ ปน เจา ของแหง กรรมและนบั ถือพระพุทธศาสนา ทแี่ สดงเร่ืองกรรม
เปน หลักใหญก วา ส่งิ ท้ังปวง คงพอจะทราบไดว า ผลแหงกรรมดแี ละกรรมชัว่ เปนธรรมชาติ
ทมี่ ีอาํ นาจเหนือสิ่งใด ๆ ในไตรโลกธาตุ จะไมมใี ครสามารถดดั แปลง และลบลา งผลเหลา
นใี้ หส ูญสิ้นไปจากโลกไดเ มือ่ ยังพอใจกอ เหตุ คอื ทําดี ทําช่ัวอยู และผลจาํ ตองสบื ตอกนั วนั
ยงั คํ่า โดยไมฟงเสียงการตาํ หนติ ิชมจากผูใด จะตางกันอยูบา งก็เพียงชา หรือเรว็ ในกรรม
บางประเภทเทานั้น
ดังนัน้ ผเู ช่ือในกรรมและผลของกรรมวา จะใหผล จงึ เปน บุคคลผไู มประมาทท้งั ทาง
โลกและทางธรรม เพราะเปนสิ่งจะเกดิ ขึ้นจากหลกั ของเหตดุ ีเหตชุ วั่ ดวยกนั ไมมีทางอื่น
เปน ท่ีเกิดข้นึ พอจะแสวงหาความมั่งมีดีเดน และพน ทกุ ขได จากการวาดภาพทางใจเอาเฉย
ๆ โดยไมสนใจในการงานอันเปนที่ไหลมาแหง โภคทรัพย คอื เงินทองและกองกุศลอันเปน
ผลที่พึงพอใจ ผไู มประมาทในการงาน อยูท่ใี ด ไปที่ใด ยอมไมอ ดอยากขาดแคลน ทั้งวนั นี้
และวนั หนา และโลกนี้โลกหนา เพราะเปนโลกทีส่ ัตวจ ะเปน อยูดวยกรรมและผลแหง กรรม
ดว ยกนั ทผี่ ทู ําทาํ ไวแตต น ทาง ดงั พระเวสสนั ดรเปน ตวั อยาง
การเทศนมหาชาติมาเปน ลาํ ดับนับแตบ รรพบุรุษมาถึงพวกเราฟง อยูข ณะน้ี กเ็ ทศน
เพ่ือเปนคติสอนใจใหพ วกเราดําเนนิ ตามรองรอยของทานท่ีไดรบั ผลมาแลว จนปรากฏเปน
ครขู องเทวดาและมนุษยทกุ ช้ัน เพราะประวตั ิของพระเวสสนั ดรท่ีทรงดําเนินมากด็ ี ท่พี ระ
สิทธัตถราชกุมารทรงดําเนนิ มาก็ดี ไดกลายเปนศาสนธรรมเครื่องประกาศสอนโลกทงั้ สาม
ใหต น่ื ตวั เปนลําดบั มาจนถงึ บดั น้ี ใครทตี่ ื่นตัวสะดุดใจในธรรมของทาน เร็วหรอื ชา กเ็ ตรยี ม
ตวั ตามเสดจ็ ทา นทนั กับเวลาก็มี ทตี่ ามเสด็จทานในลาํ ดับตอ มากม็ ี ทก่ี าํ ลงั ตามเสดจ็ อยกู ม็ ี
ดังพุทธบรษิ ทั ซึ่งกําลังบาํ เพญ็ ตนอยู ณ บดั นด้ี วยความสงบเสง่ยี ม อันเปน ทีน่ า
เลอื่ มใสและอนโุ มทนาอยา งยิง่ และผูท ่ียังหลับดวยอาํ นาจโมหะครอบงาํ ไมอ าจจะมองเห็น
บญุ และบาปวาเปน อยางไร และจะเปนของใครผูจะคอยรบั ผลกรรมนัน้ กอ็ าจมอี ยู แตพ วก
เราตางก็มืดแปดทศิ แปดดานเพราะโมหะดวยกนั จงึ ไมอาจมองเห็นทง้ั เรือ่ งของตวั และของ
แวน ดวงใจ ๖
กณั ฑ์เทศนท์ ่ี -๑ ๒: ๓ทา-น ศลี ภาวนา
๗
ทา น ตา งทา นจงึ ตา งอตุ สาหแ หวกวาย เพอื่ ขา มพน จากหว งแหง ความมดื มนอันนี้อยา งเตม็
กําลงั ดว ยกัน สว นจะไดถ งึ ไหนนนั้ ขอนอบนอมถวายไวกับพระธรรมบทวา ธมฺโม หเว รกขฺ
ติ ธมมฺ จารึ พระธรรมยอมรักษาผูประพฤตธิ รรม ไมเ คยลําเอยี งตอผูใ ด ใหเ ปน ผูมีอาํ นาจ
พิพากษาตอไป
ทา นสาธุชนผใู จบุญไดบ ําเพญ็ ทาน ศลี ภาวนาตามเยีย่ งอยา งของพระเวสสันดรทาน
แมจะไมไดสมบรู ณตามแบบพมิ พจ นถงึ ความเลศิ โลกอยางทา น ก็คงไดต ามแบบลกู ของ
พระ คือพุทธบรษิ ัทท่ีทรงธรรมภายในใจ ประดับธรรมในทางมารยาท ความเคลื่อนไหว
เปน ทเ่ี ย็นหเู ยน็ ตาและไวใ จของผูทีไ่ ดคบคาสมาคมกับผูถือ พทุ ฺธํ ธมมฺ ํ สงฆฺ ํ สรณํ คจฺฉา
มิ ประจําใจตามหลกั ผูเชือ่ ถือกรรม เพราะหลกั ของการเชอ่ื กรรมทีถ่ กู ตอง ผทู ํากรรมทกุ
ประเภท ตอ งเชอื่ วาทําเพอื่ ตัวเสมอ แมจะทาํ เพือ่ สงเคราะหผูอ่ืนกต็ อ งเพอื่ ความดงี าม
สําหรับตัวผูทาํ อยนู นั่ เอง ตามหลกั ธรรมทีส่ อนวา ทําดีไดดี ทาํ ชวั่ ตอ งไดรบั ผลช่ัว กห็ มาย
ถึงเร่ืองของผทู ําโดยตรง
ขอยกตัวอยา งเชน วดั อรณุ รงั ษี ซงึ่ แตกอนเปน ปาเต็มไปดวยสิ่งท่ีนากลวั นานาชนิด
ผตี ายในทอ งที่นี้ แทบจะพดู ไดว า เกอื บทกุ ศพนํามาทง้ิ กนั ตามบรเิ วณนเ้ี กล่ือนไปหมด ไมมี
ใครกลา สามารถมาแถวบริเวณนไ้ี ดในเวลากลางคืน แมกลางวนั กย็ ังเปนสถานท่ีนา กลวั อยู
นนั่ เอง เพราะเงยี บสงดั ปราศจากผูคนและเสียงตาง ๆ นอกจากทีน่ ่ีจะเตม็ ไปดว ยผีตายท้งั
นน้ั แลว ยังกลวั ผหี ลอกอกี ดว ย ไมม ีใครคาดฝน วาสถานท่นี ีจ้ ะปรากฏเปน วัดข้ึนมา แต
เพราะอํานาจกําลังศรัทธาของทานผใู จบญุ มากทานดวยกัน สามารถรอ้ื ขนสิ่งรกรงุ รงั ออก
ได กลายเปน โบสถ ศาลา กุฎีและวดั ขึ้นมาอยา งสมบูรณ และกลายเปนสถานท่ีบําเพ็ญ
สมณธรรมของสงฆและประชาชนใหไดรับความสะดวกขน้ึ
ท้ังนเี้ พราะความเชอื่ มั่นวา ทาํ ดไี ดด ี สําหรบั ผทู าํ ไมเ ปนอยางอื่น คอื ผทู ําจะเปนผรู บั
ผลจากการกระทําของตน วดั ก็ดี โบสถก ด็ ี ศาลา และกฎุ ีก็ดี มใิ ชเปนผูรับผลบญุ และมใิ ช
เปน ผูจะไปสวรรคแ ละนิพพาน เพราะสง่ิ เหลาน้เี ปนเพียงตัวเหตุทเ่ี กดิ จากผูจัดทําเทานั้น
สว นผลคือบญุ ซง่ึ เกิดจากการสรางวัดน้ัน เปน สมบตั ิของผทู ํา ฉะนนั้ ผลดีทง้ั มวลจนสามารถ
ยงั ผูบําเพญ็ ใหพนจากทุกขไ ปได จึงเปน สมบตั ิของผูบาํ เพ็ญเหตโุ ดยตรง เหมอื นเราท่มี นี า
อยูใ นความครอบครอง เราทาํ การปกดาํ ขาวลงในนา ขา วทกุ ตนกเ็ ปน ขา วของเรา ผลเกดิ
จากนามากนอ ยเปน ของเราทุกระยะ มไิ ดกลายเปนสมบตั ิของนาแปลงใด ๆ จะเปน ผูรบั
เสวยผลแมแตน อย คาํ วา วดั จงึ เปนบญุ เขตของผูสรางวดั เพือ่ บญุ ถงึ กาลอันควรสิ่งกอ
แวนดวงใจ ๗
แวน่ ดวงใจ : ภ-า๒ค๔๑-อบรมฆราวาส
๘
สรางยอมรว งโรยไปตามสภาพของคตธิ รรมดา สว นผลบุญอันเกิดจากการน้ี มิไดร วงโรยไป
ตาม ยอมตามสนองใหผูท ําไดรับผลเปนสขุ ตลอดกาล
เม่ือสรุปหลักกรรมในพระพุทธศาสนาแลว เรยี กวา ทาํ เพื่อเราเปนสวนใหญ เพราะ
ผลของกรรมดแี ละกรรมช่ัวเปน สงิ่ ทผ่ี ูท าํ จะพึงไดรบั ผล แมเราสรา งวดั และใหท านกับพระ
บุญทีเ่ ปน ผลจาํ ตองเปน ของเราอยูนนั่ เอง ไมเ ชน นน้ั พระไมจําตองรักษาศีล เดินจงกรม
นง่ั ภาวนา และไปเท่ียวกรรมฐานตามปา ดงพงลกึ ใหล าํ บาก เพียงอาศัยบุญที่ญาตโิ ยมมาทาํ
บญุ ใหท านกับพระภายในวัดก็พอแลว เพราะวนั หน่งึ ๆ คนมาทําบุญในวดั ไมน อ ย ซึ่งพอ
จะรวบรวมบญุ มาเปน ของพระไดอ ยา งพอเพียง แตห าเปน เชน น้ันไม ญาตโิ ยมกท็ ําหนา ท่ี
ของญาติโยม บุญก็เปน ของโยม พระกท็ าํ หนาท่ีของพระ บุญกเ็ ปน ของทาน แตอ าศยั ซ่งึ กัน
และกนั ตามสายแหงความสมั พนั ธเ กย่ี วเน่ืองระหวางพระกบั ญาติโยม ซึง่ แยกจากกันไม
ออกเทา นั้น สวนผลที่จะพึงไดรบั ยอ มไมร ะคนกัน
เชน เดยี วกับการรับประทานอาหาร ผูร ับประทานไมจาํ ตอ งมีกฎเกณฑไ วว า โอชารส
สว นน้ตี องสงไปหลอ เลีย้ งรางกายสว นนนั้ นี้ไปสวนขา งบน นี้ไปสวนขางลา ง น้ีไปขา งหนา
นีไ้ ปขา งหลัง จนทัว่ สวนรา งกาย แตรสอาหารทําหนา ที่ซึมซาบไปตามสว นตาง ๆ ของรา ง
กายจนตลอดท่ัวถึง โดยผูรบั ประทานจะไมเ ปนกังวลกับรสอาหาร วา จะมีการลําเอยี งตอ
สว นรา งกายเลย กลบั จะมคี วามสบายขนึ้ ทนั ทที ร่ี สอาหารไดเดนิ ถึงทแ่ี ลวฉันใด กศุ ลผลบญุ
ของผบู าํ เพ็ญรว มกันก็ฉนั นั้น โปรดเทียบเคียงตามขอธรรมทีอ่ ธบิ ายมาน้ีจะเปนทีม่ ัน่ ใจใน
การสรา งบุญทงั้ สวนยอ ยและสวนใหญ เพราะบญุ กศุ ลบางประเภทตองอาศยั ความสามคั คี
จากสวนใหญ ไมเ ชนนนั้ จะไมสาํ เร็จ หรือกวา จะสาํ เร็จก็สิน้ เปลอื งทรพั ยและกําลงั ไมนอ ย
ทั้งกนิ เวลานาน
ทานพทุ ธศาสนกิ ชนผมู ีบุญทงั้ หลาย บัดน้เี รากําลงั มีโอกาสวาสนาอํานวย ชวี ติ
เครื่องประกาศใหเ ราและโลกไดเ หน็ ยังมีอยู คนและสตั วเปนจาํ นวนมากทเ่ี กดิ กบั เราไดร วง
โรยไปมากกวามาก ทยี่ งั เหลอื อยมู จี ํานวนนอ ย แตเ ราในคนจาํ นวนรว งโรยนน้ั ยังมีชีวติ
ผานพนมาได ทงั้ ยังมศี รัทธาความเช่ือเล่ือมใสบริจาคทรพั ยมากมายฝง ไวในพระพุทธ
ศาสนา นอกจากนน้ั ยงั ใหท านเปน ประจําวันมิไดข าด โดยไมม คี วามอาลัยในทรพั ยทีใ่ หท าน
ไปแมแตนอ ย ท้ังน้ีเพราะนิสัยที่เคยฝงใจและฝากเปน ฝากตายกับพระศาสนามานาน ยิ่งได
บําเพ็ญคุณงามความดีมากเทาไร กย็ ่งิ มีความอมิ่ อกอ่ิมใจยิม้ แยม อยภู ายใน คนผูมวี าสนา
บารมเี ชน เรา ๆ นับวาเปนผหู าไดย าก
แวน ดวงใจ ๘
กัณฑ์เทศน์ที่ -๑ ๒: ๕ทา-น ศีล ภาวนา
๙
คนประเภททแ่ี สวงหาคณุ ธรรมไมมกี ารทอ ถอยน้ันคือ คนทีเ่ หน็ ภัยในทุกข เพราะ
การซา้ํ ซากแหงทุกขท เ่ี นอื่ งมาจากการเกิด การตาย ไมมีวันจบสิ้น ก็แลการทองเทีย่ วไปตาม
ภพนอ ยภพใหญของแตละราย เชน เดียวกับการเดินทางไปตามหมูบ าน ระยะทางทเี่ ดนิ ไป
ยอ มมีสูง ๆ ตํ่า ๆ ลมุ ๆ ดอน ๆ ไมสมํ่าเสมอ แมเ ชน น้นั ผูเ ดนิ ทางตองผานไปเพราะกิจ
จาํ เปน ของตน จนกวาจะถงึ จุดที่หมาย การทองเทย่ี วไปมาในภพชาติก็ยอมมคี วามลาํ บาก
เชน เดียวกัน แมเชนน้นั ผยู ังมีกิจจําเปน เพราะกฎแหง กรรมทางภายในจําตองไป ดงั นนั้ โลก
จงึ ไมวา งจากการสญั จร คือการเกดิ ตายของสตั ว
ดวยเหตนุ ้ี ทา นผูมีโลกวทิ รู แู จงโลกโดยตลอดทว่ั ถึง จึงสอนใหบาํ เพ็ญกศุ ลเพื่อเปน
เสบยี งในการเดนิ ทางไปตามภพชาตขิ องตน และเพื่อเปน การบรรเทาทกุ ขอนั จะเกิดขนึ้ ใน
เวลาเดนิ ทาง หากภพชาตยิ ังจะเปนไปอยใู นสงสาร ก็ขอใหอาศยั บญุ คณุ ธรรมท่ีตนเคย
สรา งไวเ ปน เครอ่ื งบ่ันทอนและตานทานทกุ ข มีความสขุ เปนเครอ่ื งเสวยผล เปนผลไมเดือด
รอนขนุ เคอื งในภพนัน้ ๆ เพราะกุศลผลบุญที่ตนบาํ เพ็ญไว ชวยคา้ํ จนุ อดุ หนุนใหม ีความสขุ
ไมกลายเปนเพลงิ ทง้ั กองไปเสยี ทเี ดยี ว ผูกาํ ลงั มีความสขุ บาง ทุกขบาง อนั เปนพยานแหง
กรรมดีและช่ัว จึงไมค วรประมาทนอนใจในบาปและบญุ วาจะเปนของหางไกลจากตัวเราผู
ทาํ กรรม เพราะการมาสูโลกอันเปน ทอ่ี ยอู าศยั ของบุคคลผูท าํ กรรม เราตองทํากรรมเหมอื น
โลกท่วั ๆ ไป แตการพิจารณาเลือกเฟนแลว ทําลงไปน้ันเปนความชอบธรรม ไมควรทาํ
แบบสุม เดา ผลทีเ่ กิดข้ึนจากการกระทาํ โดยไมใครครวญไตรต รอง จะสะทอนกลับมาใหผ ู
สะเพราตอ กรรมรบั เสวยทุกขตอไป
เพราะคาํ วา โลกแลวยอมระคนปนเปไปดว ยดีและช่ัว ผใู ชสายตายาวดวยปญ ญาจะ
ไดรบั ของดีมาครองเปน เจา ของ แตถาสายตาสัน้ แลว ควาไปทีไ่ หนจะเจอแตเ รอ่ื งของความ
ทกุ ขเดอื ดรอ นหาชิ้นดไี มไ ดเลย คาํ วา นิสมมฺ กรณํ เสยฺโย ใครครวญกอ นแลว คอ ยทาํ กิจ
ทกุ อยาง จะเปน ผลดรี บั สนอง นคี้ ือพระโอวาทที่สอนคนใหฉลาดรเู ทา ทนั ความเคลอ่ื นไหว
ของโลกและการกระทําของตน ผูสนใจจะไดนําไปใชใ หเหมาะสมกับภาวะของตน ๆ ผลจะ
เปน ความเจรญิ ท้ังวนั น้ี วนั หนา และชาตนิ ี้ ชาตหิ นา
ทา นสาธุชนผใู จบุญทั้งหลาย วนั น้ีพรอ มกันมาฉลองกุฎี ศาลา และถงั นํา้ ซ่งึ ปรากฏ
ความสําเร็จข้ึนมาใหต าโลกไดเ ห็นอยา งเดน ชดั มอบไวเ ปนสมบตั ิของวดั อรุณรงั ษี จงั หวัด
หนองคาย สวนกุศลผลบุญอันเกดิ จากการนี้ มอบไวก บั ดวงใจของทกุ ทานที่เปน เจา ของ
ทานกุศลสมบัติ ท้ังนจี้ ะเปน แกว สารพดั นกึ อันลนคาประดบั ใจของทา นท้งั หลายไปทกุ ภพ
ทุกชาติไมม วี นั เสื่อมสญู แมส ่งิ กอสรา งจะปรกั หกั พงั ลงไปตามสภาพก็ตาม สว นผลท่ที า น
แวนดวงใจ ๙
แวน่ ดวงใจ : ภ-า๒ค๖๑-อบรมฆราวาส
๑๐
ไดร บั จะเปนคณุ สมบตั ปิ ระจําใจตลอดกาล ดงั นัน้ ขอทุกทา นโปรดมใี จอาจหาญราเรงิ ตอ ผล
บุญท่ไี ดร ับแลว และทีก่ ําลงั จะเกดิ ขนึ้ เพราะความแกลวกลาแหงศรทั ธาของทา นท้ังหลาย
ชาติน้ีนบั วา เราทง้ั หลายไมเสยี ทีในอัตภาพแหง มนษุ ยอันเกดิ มาดว ยบุญ ไดพารา งกาย คือ
กอ นบญุ อนั นี้ สรางตเู ซฟเพ่อื เกบ็ ทรพั ยภ ายในไวอ ยา งพรอ มมูล ประหน่ึงไดส รา งสําเภา
ใหญไวเ พอ่ื ข่ขี ามมหาสมุทรทะเลหลวงทีท่ ว มทน อยูภายในใหพน ไปได
ถึงอยางไร กศุ ลกรรมทีส่ รางไวจ ะไมยอมปลอ ยวาง ตอ งตดิ ตามสนองเราย่งิ กวา
เพ่อื นสนทิ มติ รรักเสยี อกี เพราะเราเปน นกั สรา งบญุ ถึงคราวจาํ เปนนกึ ถงึ บญุ ตองเห็นบญุ
ประจกั ษตาประจักษใ จทั้งในชาติน้แี ละชาตหิ นา เร่อื งทั้งนเ้ี ราเปน นักบญุ คงจะเคยมปี ระสบ
การณม าบา ง และการกลา วทงั้ น้ีคงไมเ ปน การชกั นาํ ใหทา นเชอ่ื ในทางผดิ เพราะทัง้ ดาน
วัตถุและดา นนามธรรม ยอมมีทางปรากฏจากการทําดแี ละทาํ ชว่ั เสมอกัน ฉะนัน้ ผลบุญที่
เปนวัตถุจงึ ควรเปนคเู คยี งกับผลบุญทางดา นนามธรรมภายในใจ อันจะปรากฏออกมาใหผู
เปน เจา ของไดร ับเสวยเสมอกัน
เชนผมู ีสมบัติมากอาจจะเกดิ จากสาเหตอุ ันช่ัว มเี ที่ยวกดขี่บงั คบั หรอื คดโกง ปลนจี้
เอาของของเขามาเปน ของตนก็มี อาจเกดิ จากสาเหตอุ นั ดี เชน เกดิ จากการงานทชี่ อบ มี
ปุพเฺ พ จ กตปุญฺ ตา ชว ยสนับสนนุ ชอ งทางทีม่ าแหง โภคทรพั ยกม็ ี ฉะน้นั ผทู าํ ดแี ละช่วั
จึงมีทางไดรบั ผลดีและช่ัวท้งั ดานวตั ถแุ ละดา นนามธรรม โลกจงึ ตอ งมีทง้ั ดา นวตั ถุและดา น
นามธรรมเปน สมบัติดีและช่วั เปน ของตนท่วั ๆ ไป ไมม จี ดุ ทค่ี วรยกเวน ยกตวั อยา งเชน
พระพุทธเจา ผบู ริสทุ ธน์ิ ้คี อื ธรรม เม่ือเสด็จไปแหง หนตาํ บลใดมีดอกบัวผุดขึ้นรับรองฝา
พระบาท (ฝา เทา) และมีเครอ่ื งสกั การบชู ามาจากทต่ี าง ๆ ซ่ึงผดิ จากปกติธรรมดาของคน
สามญั มากมาย แตเ ม่ือมีผขู อ งใจทูลถามทา นจงึ ตรัสวา สง่ิ ทงั้ น้เี กิดข้ึนดว ย ปพุ ฺเพ จ กต
ปุญฺ ตา ของเรา ฉะน้ัน คาํ วา กสุ ลา ธมมาฺ อกุสลา ธมมฺ า จงึ เปน หลักธรรมประกัน
ความจรงิ ของผทู ําไวอยางสมบรู ณ
เราทกุ ทานซึ่งเปน พุทธบรษิ ัทผเู ช่อื กรรม โปรดเชือ่ ตนผทู าํ กรรมวา จะตองเปนผูรับ
ผลโดยแนนอน เพราะตางกอ็ ยใู นโลกแหงกรรมอนั เดียวกนั แลว พยายามสรา งกรรมดไี วให
เพียงพอกับความตอ งการ วนั หนง่ึ ชีวิตผา นไปเพอ่ื ความแตกสลายไมม เี วลายับย้ัง ย่งิ กวา
เครอื่ งจกั รเคร่อื งยนตเสียอีก เราผหู มุนตัวเพอ่ื หลบภัยโปรดพิจารณาดวยปญญา ทาน ศีล
ภาวนาท่ีแสดงไวขางตน นั่นคอื ทางดําเนินเพื่อมนษุ ยส มบัติ สวรรคส มบตั ิและนพิ พาน
สมบัติ ทาน แปลวา การให ออกจากเจตนาท่กี ลาเสียสละ เพราะความเมตตาและความเชอ่ื
เลื่อมใสเปน รากฐาน คนไมม คี วามเมตตาและความเช่อื เลื่อมใสตอสถานทแ่ี ละผรู บั บรจิ าค
แวน ดวงใจ ๑๐
กณั ฑ์เทศนท์ ี่ -๑ ๒: ๗ทา-น ศีล ภาวนา
๑๑
ยอมไมสามารถทําทานได นอกจากจะใหเ พอื่ แกร ําคาญจากผูมารบกวนขอเปนบางคราว
เทา น้นั
ฉะน้ันผูม ที านประจาํ นสิ ัย ตอ งเปนผูม ีใจเมตตาและเชือ่ ตอ ทานของตนวาตองมผี ล
แนนอนประจําใจ จึงสามารถบริจาคไดเปนประจํา และบรจิ าคคราวละมาก ๆ โดยไมมี
ความเสียดาย ยิ่งไดใ หทานมากเทาไรก็ยงิ่ มีความปตยิ ินดแี ทบตัวลอยกม็ ี แมในเมอื งไทย
เราก็มที านนกั ใจบุญประเภทนี้ไมน อ ยเลย ท้ังนี้ เกิดจากหลกั ธรรมชาตภิ ายในใจของผู
บรจิ าคเอง โดยจะวาดภาพความรูส กึ ใหใครดดู ว ยไมไ ด พอไดยินไดฟ งกย็ ่ิงเพิ่มกําลัง
ศรัทธาอยา งแรงกลา จนถงึ ขน้ั สละไดทงั้ ภายนอกภายใน หมดความเยือ่ ใยในสิ่งทง้ั ปวง
กลายเปนผบู รสิ ุทธ์ขิ ึ้นมาในทามกลางสิ่งแวดลอ ม ฉะน้ัน ทานจงึ เปนธรรมสาํ คญั ซงึ่ จะมอง
ขามไปไมได ทง้ั เปนรากฐานและเครอ่ื งยึดเหนีย่ วโลกใหอ ยูดว ยกันไดอยางสนิท
ในระหวา งพอ แมก บั บตุ รธิดา ระหวา งญาติกบั ญาติ ผูใหญกบั ผนู อ ย เพื่อนสนิทกบั
มิตรทรี่ ัก ระหวางสตั วก ับสตั วด ว ยกัน ระหวา งสัตวเลยี้ งกบั เจาของ ซง่ึ จะตองสงเคราะหกนั
ดวยการแบงปนซง่ึ ออกมาจากใจของผเู ห็นใจเพ่อื นรวมโลกดวยกนั โดยไมเ ลอื กชาติชัน้
วรรณะ ในหลกั ธรรมชาติของโลกจะเวนทานเสียมไิ ด นอกจากจะไมสนใจตามหลักจําเปน น้ี
เทา น้ัน จึงอาจเห็นวา ทานเปนของไมจาํ เปน สาํ หรบั โลก ผูมีอธั ยาศัยใจกวางขวางเผ่ือแผ
แกเพ่อื นฝูง และใหความรมเยน็ แกผ ูอ ื่นทีม่ าอาศัยและคบคาสมาคมไมเลือกช้ันวรรณะ
ยอ มเปน ผมู สี งา ราศไี มจ ดื จาง และไมคอยมใี ครรังเกียจเบยี ดเบียน คําวา “ทาน” จึงมี
ความกวางขวางและลึกซึง้ มากเหลือจะพรรณนา และนํามาแสดงใหท ุกทา นไดฟ งอยา งสม
ใจ ขอแสดงโดยสงั เขปเพยี งเทาน้ี พอเปนแนวความคดิ สาํ หรับทา นผูเปนนกั ใหท าน
ศีล แปลวา ความปกติในความประพฤติ ไมค ึกคะนองทางกายวาจา กายวาจาทมี่ ี
ศีลกํากบั อยดู ว ย จงึ เปน กายวาจาทหี่ อมหวนชวนชม ไมแสลงหูแสลงตาทงั้ หญงิ ชาย ทง้ั นกั
บวชและฆราวาส มีลกั ษณะทาทางสวยงามนาดู ทัง้ กาวไปและถอยกลบั เหลอื บซายแลขวา
เปน กริ ยิ าทน่ี า ดูทกุ อาการ ฉะนัน้ ลูกศิษยข องพระตถาคตจงึ ปรากฏงามในหมูช น และไมมี
ชาตชิ ้นั วรรณะแฝงอยูในวงศิษยพระตถาคต ปรากฏคาํ เดยี ววา สมณะ คือ ผสู งบเสงี่ยมเทา
นน้ั เปนนามของทา น เพราะทานมศี ีลเปน เคร่ืองประดับ แมจะมเี พยี งศรี ษะโลน ๆ และเต็ม
ไปดว ยความทกุ ขยากลาํ บากดว ยปจจยั เครอ่ื งอาศยั ตอ งเทย่ี วโคจรบิณฑบาตขอทานชาว
บา นเขามารบั ประทาน แตก เ็ ปน ทกุ ขทน่ี ากราบไหว นา เคารพบชู า เพราะทานมศี ีลสมบตั ิ
และธรรมสมบตั ปิ ระจํากาย วาจา ใจ
แวนดวงใจ ๑๑
แวน่ ดวงใจ : ภ- า๒ค๘๑- อบรมฆราวาส
๑๒
คําวา สเี ลน โภคสมฺปทา ปจจัยส่ี คือจวี ร เคร่ืองนงุ หม บณิ ฑบาต ทอี่ ยอู าศัยและ
ยาบาํ บดั โรค จึงมผี นู าํ มาถวาย เพราะทา นมศี ลี เปนที่รัก สเี ลน สคุ ตึ ยนตฺ ิ ทานเปน ผูไ ปดี
มาดี อยูดี กนิ ดดี วยศีลของทา น ทานจึงมีสคุ ติอยทู กุ อริ ิยาบถ ตายแลว จะไปตกนรกหมก
ไหมท่ีไหน จาํ ตอ งเปนสคุ ติอยูนัน่ เอง เพราะกาย วาจา ใจของทา นเปน สคุ ติ เพราะการ
รักษาศลี อยูแลว สเี ลน นพิ ฺพุตึ ยนตฺ ิ ทกุ ขท ีเ่ คยมเี พราะความคะนองแตกอ น จําตองดับไป
เพราะอํานาจศีลธรรมของทา นไดส ังหาร คําวา สงฺฆํ สรณํ คจฉฺ ามิ จึงไมท ําใจของประชา
ชนผูกราบไหวด วยความเคารพรกั ในทา นใหจดื จางไปตลอดทกุ วันน้ี
ภาวนา ไดแกการอบรมใจใหมเี หตผุ ลประจําตน เพื่อดําเนนิ กจิ การทัง้ ทางโลกและ
ทางธรรมใหเปนไปดวยความไมง มงายและจนมุมตอเหตกุ ารณ เพราะคนทไ่ี ดร ับการอบรม
ทางใจ ยอมเชื่องตอสิง่ ทง้ั ปวง ไมวอกแวกคลอนแคลนและเชอื่ งา ยโดยไรเหตุผล พยายาม
อบรมใจใหอ ยใู นความสงบตามโอกาสอนั ควร อยาปลอ ยใหค วามคิดอนั ไรส าระผลักดัน
ออกมาทางกาย วาจา ถงึ กับฉดุ ลากกายวาจาใหเ ปน ไปตามจนเสียคน ทั้งนี้เพราะขาด
การอบรมใจในหลกั ธรรม อันดับตอ ไป พยายามบงั คับจติ ใหอ ยใู นขอบเขตแหงคําบริกรรม
มพี ทุ โธหรือลมหายใจ เปน ตน ทําความรสู กึ ไวก ับคาํ บริกรรมน้ัน ๆ จนกวา จะถึงเวลาท่คี วร
ปลอยวางไปตามหนา ทก่ี ารงานทีค่ วรจัดทาํ เพ่ือการอาชพี จนปรากฏเปนความสงบข้ึนมา
ในขณะน้ัน
ตามธรรมดาของจติ เมื่อถกู บังคบั โดยที่ชอบ ยอ มจะหยั่งเขา สูค วามสงบ ไมมีดวงจิต
ดวงไหนจะพนอาํ นาจของความมีสติไปได นอกจากจะไมทําดวยความสนใจและจริงจงั เทา
นนั้ จติ อาจจะเพน พานไปได เพราะสงิ่ ผลักดันคอยสงเสริมอยูตลอดเวลามีจํานวนมากภาย
ในใจโดยไมนยิ มวา นักบวชและฆราวาส ฉะนั้นการปด กัน้ ทาํ นบไมใ หก ระแสของใจไหลออก
มาเพ่ือหากอ เรือ่ งราํ คาญใสต นดวยสติ จงึ เปนหนา ที่ของนักภาวนาจะทาํ ความพยายาม
อยา งเขมแข็งในเวลาเชนนัน้ ไมยอมใหจติ ฝา ฝน อาํ นาจของความเพยี รออกมา จติ จะเส่อื ม
จากความพยศและปรากฏเปนความสงบสขุ ข้นึ มาในเวลานน้ั น่คี อื ผลของการอบรมใจใน
ดานภาวนาทีผ่ ูบ ําเพญ็ จะประจักษใจทัง้ หญิงทงั้ ชายและนกั บวช และจะเหน็ คุณของการ
ภาวนา ทงั้ จะเหน็ โทษแหง ความพยศของใจทีเ่ คยเปน มาในขณะเดยี วกนั
คราวตอ ไปกจ็ ดจําวธิ ีทําทเ่ี คยไดรบั ผลมาแลว และฝกทาํ บอย ๆ จนเปน ความ
ชาํ นาญและตดิ ใจในวธิ กี าร คร้งั ตอไปจะคอ ยงา ยข้ึน หรอื แมจ ะยากบางเปน บางกาลก็พอมี
ทางแกไขดดั แปลง เพราะเคยเหน็ ผลมาแลว โปรดทราบวาใจเปนของประเสริฐ และมีอยู
กบั เรา เราเปน ชาตมิ นุษยผ ูมีใจสงู จึงไมค วรปลอ ยใจของตนใหทิง้ จมดินอยเู หมือนทอ นซงุ
แวน ดวงใจ ๑๒
กณั ฑเ์ ทศนท์ ่ี -๑ ๒: ๙ทา-น ศลี ภาวนา
๑๓
ไมเปนการสมควรแกเราเลย ควรทาํ การอบรมใหใ จมีทางสงบบาง ขา วแหงความสงบเยอื ก
เยน็ ภายในใจ จะกลายมาเปนของเราผอู บรมใจเปน ลําดับ นบั แตข น้ั ต่ําจนถึงข้นั สูงสดุ จะ
ไมพ นจากใจของผอู บรมน้เี ลย
การอธบิ ายธรรมทางดานภาวนายังไมถ งึ จุดทีค่ วรจะจบ แตเ วลาจวนจะจบกอนแลว
เพราะแสดงธรรมในทามกลางกิจการซึ่งกาํ ลังเปนไปอยู จึงขอสรปุ ธรรมเทศนาที่แสดงมา
โดยยกคาถายอ ของพระเวสสันดรชาดก เปน บทคาถาวา ทานํ เทติ สีลํ รกฺขติ ภาวนํ ภา
เวตฺวา เปนตน ถอื เอาใจความวา พระเวสสนั ดรไดตรัสรเู ปนพระพุทธเจาเพราะการใหท าน
รกั ษาศีล และภาวนา ฉะนัน้ ขอทุกทา นผูใจบญุ โปรดยดึ หลักธรรมของพระองคไ วเ ปน สกั ขี
พยานแหง การบําเพ็ญตนตอไป ชอ่ื วาเปนผูตามเสด็จพระเวสสันดรและพระพทุ ธเจา โดยไม
ตองสงสัย ในท่สี ดุ ของการตามเสดจ็ จะสมหวงั ในวนั หน่ึงขา งหนา
ในทสี่ ดุ แหงการแสดงธรรม ขอความสวสั ดีมงคลจงเกิดมแี กท านท้ังหลายโดยท่ัว
หนากัน ตามนัยท่ไี ดแ สดงมาก็สมควรแกเ วลา ขอยุตลิ งเพียงน้ี เอวํ ก็มดี วยประการฉะน้ี
www.Luangta.or.th
แวน ดวงใจ ๑๓
แวน่ ดวงใจ : ภ-า๓ค๐๑-อบรมฆราวาส
กณั ฑ์ท่ี ๒ ๑๔
เทศนอ บรมฆรธาวรารสมณป่าวดั ปา บา นตาด
เม่ือเมวเจื่อทนั วศุดทันน่ี ททอ์๗ี่บีร่๗รมวมถิมฆมิถนุรุนาแาวายายหนสนง พณพอุททุ รวธธดัศิยศปกั ักธา่รรบาราชา้ ชรน๒ตม๒๕าด๕๐๕๐๕
วันนจ้ี ะแสดงธรรมปา ลว น ๆ ใหบ รรดาทา นผฟู งท้งั หลายทราบ ทง้ั ทไ่ี ดอ ตุ สาห
มาจากทางใกลแ ละทางไกล ทงั้ ผูทีอ่ ยูกับบา นนี้ ตลอดถึงผทู ีอ่ ยใู นวัด คาํ วา ธรรมปา
นน้ั เปน ธรรมทไ่ี มไดท องหรอื จดจาํ มาจากคัมภีรไ หน ๆ นอกจากจะแสดงตามหลัก
ธรรมชาตแิ หง ธรรม ซ่งึ เปน ของมีอยทู ัว่ ไปในโลกเทา นั้น สว นจะถกู หรอื ผดิ อยา งไรนนั้
ขอใหบรรดาทานผูฟง ทัง้ หลายจงไตรต รองตามธรรมทีแ่ สดง แลว เทยี บเคยี งกบั หลกั
ธรรมในคมั ภรี อันเปน ธรรมตายตัว
ธรรมคาํ ส่ังสอนของพระพุทธเจาคอื หลกั แหงเหตุผล ถา เมือ่ เหตกุ บั ผลถกู ตอง
กันแลว ท้ังทีเ่ ปนฝายดแี ละฝายชวั่ พึงทราบวา สง่ิ นนั้ เปน สิง่ ทีด่ แี ละเปนสงิ่ ท่ชี ั่วไดอยา ง
สมบรู ณ และเปน หลกั ธรรมคาํ สง่ั สอนของพระพทุ ธเจา ไดด วย องคสมเดจ็ พระผมู ีพระ
ภาคเจา ในคราวพระองคเสด็จออกจากหอปราสาทเพอื่ แสวงหาโมกขธรรม ในเบื้องตน
กป็ รากฏวา พระองคไดพจิ ารณาหลกั ธรรมชาติ ทัง้ ๆ ที่ไมมีใครหรือพระพุทธเจาองค
ใดมาประกาศสอนพระองคว า สภาวะทัง้ หลายเปน อยา งนน้ั ๆ แมป ระชาชนพรอ มท้งั
บรษิ ทั และบรวิ าร ซึง่ อยูในพระราชวงั ของพระองค ก็ปรากฏวาเปน คนธรรมดาเชน เดยี ว
กบั พระองคทาน
แตใ นคนื ทีพ่ ระองคจะเสดจ็ ออกทรงผนวช หลักธรรมชาติแหงธรรมไดปรากฏ
ขน้ึ ในพระทยั วา ทั้งคนในพระราชวงั คือบรษิ ัทบริวารทงั้ หลายดว ย และนอกพระราชวงั
ท่วั ทง้ั ไตรโลกธาตดุ ว ย ปรากฏวา เปน ปาชา ผีดบิ ไปทั้งดนิ แดน หาทีจ่ ะปลงจติ ปลงใจ
พึง่ พงิ องิ อาศยั ในบคุ คลหรือสตั วส ักรายหนงึ่ วา ไมใ ชปาชา ไมม ีเลย น้คี ือหลักธรรม
ชาตแิ หง ธรรมซงึ่ เปนของมอี ยูในสตั วและบคุ คลท่ัวไป ไดปรากฏขนึ้ ในพระทยั ของพระ
องค แมทสี่ ุดพระองคเ องก็ปรากฏเปน ปา ชาผดี ิบเชนเดยี วกบั มนุษยและสตั วท่วั ๆ ไป
จึงเปน เหตุใหท รงเบ่ือหนา ยในความเปน อยขู องโลกเกิดตาย อนั เปนท่ีรวมแหง กอง
ทุกขนานาชนดิ ท้ังของเขาและของเรา นอกจากจะแสวงหาความพนจากความเปน เชนน้ี
ไปเสียเทา น้นั ทรงพินิจพจิ ารณาถงึ หลักธรรมชาตแิ หงธรรมซ่งึ เคยประกาศตัวอยตู ลอด
มา ก็ทรงไดพระสตสิ ะดดุ พระทยั ในขณะนัน้ และเพราะหลกั ธรรมชาติเหลา นนั้ ไดเตอื น
แวนดวงใจ แวน่ ดวงใจ : ภ-า๓ค๒๑๑๔-อบรมฆราวาส
กณั ฑเ์ ทศน- ท์ ๓่ี ๓๒ -: ธรรมปา่
แวน่ ดวงใจ : ภ-าค๓๔๑ -อบรมฆราวาส