54 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
3) ซอฟต์แวร์ด้ำนวิทยำศำสตร์และวิศวกรรม (Scientific Software / Engineering)
เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้เฉพาะงานด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นงานด้านดาราศาสตร์
ชีววิทยา เคมี การวิเคราะห์วงโคจร งานวิทยาศาสตร์เพื่อการผลิต ตลอดจนคอมพิวเตอร์เพื่อช่วยงาน
ด้านการออกแบบ การสร้างแบบจ�าลองระบบส�าหรับวิศวกร เป็นต้น
DO NOT COPY
4) ซอฟต์แวร์แบบฝัง (Embedded Software) เป็นซอฟต์แวร์ท่ถูกติดต้งไว้ภายในอุปกรณ์
ั
ี
่
�
ั
ื
อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ หรือภายในระบบงาน เพอควบคุมการทางานของอุปกรณ์หรอระบบงานน้น ๆ
ื
โดยที่ไม่แสดงให้ผู้ใช้เห็นหรือจ�ากัดการมองเห็น เช่น แผงควบคุมการท�างานของปุ่มกดเตาอบไมโครเวฟ
ระบบควบคุมหัวจ่ายน�้ามัน ระบบเบรก เป็นต้น
5) ซอฟต์แวร์แบบสำยกำรผลิต (Product-Line-Software) เป็นซอฟต์แวร์เฉพาะด้าน ที่
ลูกค้าหลายกลุ่มสามารถน�าไปใช้งานได้เหมือนกัน หรืออาจเป็นกลุ่มลูกค้าเฉพาะ และลูกค้าตลาดใหญ่ที่
เป็นผู้ใช้ทั่วไป
ี
�
6) เว็บแอปพลิเคชัน (Web Application) กรณีท่ซอฟต์แวร์สามารถทางานบนเว็บไซต์ เพ่อ
ื
จัดการข้อมูลในฐานข้อมูลบนเว็บได้ จะเรียกว่า “เว็บแอปพลิเคชัน”
ี
7) ซอฟต์แวร์ปัญญำประดิษฐ์ (Artificial Intelligence Software) เป็นซอฟต์แวร์ท่มีการ
ออกแบบให้มีอัลกอริทึม (Algorithm) ในการท�างานที่ซับซ้อนเลียนแบบสมองมนุษย์ เพื่อแก้ปัญหาที่มี
ความซับซ้อนสูงด้วยการวิเคราะห์ตามหลักของเหตุและผล เช่น หุ่นยนต์ ระบบผู้เชี่ยวชาญ การจดจ�า
แบบแผนของเสียงและภาพ โครงข่ายใยประสาทเทียม ทฤษฎีเกม ระบบจดจ�าแยกแยะใบหน้าเป็นต้น
ื
ี
เน้อหาในส่วนต่อไปน้จะกล่าวถึงกลุ่มซอฟต์แวร์ระบบ (System Software) และ ซอฟต์แวร์
ิ
้
ื
ประยกต์ (Application Software) ซงเป็นซอฟต์แวร์พนฐานในแพลตฟอร์มคอมพวเตอร์ทนยมใช้ใน
่
ี
ิ
่
ุ
ึ
ไมโครคอมพิวเตอร์หรือคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
3.4 ซอฟต์แวร์ระบบ
ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software) เป็นซอฟต์แวร์ท่ช่วยในการจัดการระบบคอมพิวเตอร์
ี
จัดการอุปกรณ์รับเข้า และส่งออก การรับข้อมูลจากคีย์บอร์ด การแสดงผลบนจอภาพ การน�าข้อมูลออก
ไปพิมพ์ยังเครื่องพิมพ์ การจัดเก็บข้อมูลเป็นแฟ้ม การเรียกค้นข้อมูล การสื่อสารข้อมูลในระบบเครือข่าย
�
คอมพิวเตอร์ รวมทั้งการประสานงานกับซอฟต์แวร์อื่น ๆ โดยรวมแล้วจึงหมายถึง ซอฟต์แวร์ที่ทาหน้าที่
ควบคุมการท�างานของคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงต่าง ๆ ท�างานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
3.4.1 ประเภทของซอฟต์แวร์ระบบ
ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software) แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
1) ระบบปฏิบัติกำร (Operating System) เป็นโปรแกรมท่ใช้ควบคุม และติดต่อกับอุปกรณ์
ี
ต่าง ๆ ของเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะการจัดการระบบของดิสก์ หากจะท�างานใดงานหนึ่ง โดยใช้
คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือในการทางาน จะต้องติดต่อกับซอฟต์แวร์ระบบก่อนถ้าขาดซอฟต์แวร์ชนิดน ้ ี
�
บทที่ 3 แพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ 55
เครื่องคอมพิวเตอร์ จะไม่สามารถท�างานได้ ตัวอย่างซอฟต์แวร์ประเภทนี้ ได้แก่ ระบบปฏิบัติการ Win-
dows, Unix, DOS, Linux เป็นต้น
2) โปรแกรมอรรถประโยชน์ (Utility Program) คือ ซอฟต์แวร์เสริมช่วยให้เครื่องท�างานมี
ประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ช่วยในการตรวจสอบดิสก์ ช่วยในการจัดเก็บข้อมูลในดิสก์ ช่วยส�ารองข้อมูล
DO NOT COPY
ช่วยซ่อมอาการช�ารุดของดิสก์ ช่วยค้นหาและก�าจัดไวรัส โปรแกรมในกลุ่มนี้ได้แก่ โปรแกรม Norton,
Winzip, Scan virus เป็นต้น
3) ตัวแปลภำษำ (Translator) จาก Source Code ให้เป็น Object Code (แปลจากภาษา
ที่มนุษย์เข้าใจ ให้เป็นภาษาที่เครื่องเข้าใจ เปรียบเสมือนล่ามแปลภาษา) เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการแปล
ภาษาระดับสูง ซึ่งเป็นภาษาใกล้เคียงภาษามนุษย์ ให้เป็นภาษาเครื่องก่อนที่จะน�าไปประมวลผล ตัวแปล
ภาษาแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ คอมไพเลอร์ (Compiler) และอินเตอร์พีทเตอร์ (Interpeter) คอมไพ
เลอร์จะแปลค�าสั่งในโปรแกรมทั้งหมดก่อน แล้วท�าการลิงก์ (Link) เพื่อให้ได้ค�าสั่งที่เครื่องคอมพิวเตอร์
เข้าใจ ส่วนอินเตอร์พีทเตอร์จะแปลทีละประโยคค�าสั่ง แล้วท�างานตามประโยคค�าสั่งนั้น การจะเลือกใช้
ึ
ี
ึ
ั
ตัวแปลภาษาแบบใดน้น จะข้นอยู่กับภาษาท่ใช้ในการเขียนโปรแกรม ซ่งมี 2 แบบได้แก่ ภาษาแบบ
โครงสร้าง เช่น ภาษาเบสิก (Basic) ภาษาปาสคาล (Pascal) ภาษาซี (C) ภาษาจาวา (Java) ภาษาโค
บอล (Cobol) ภาษา SQL ภาษา HTML เป็นต้น ภาษาแบบเชิงวัตถุ (Visual หรือ Object Oriented
Programming) เช่น Visual Basic, Visual C หรือ Delphi เป็นต้น
3.4.2 ระบบปฏิบัติกำร (Operating System)
ระบบปฏิบัติการ (Operating System) หรือที่เรียกว่า OS เป็นซอฟต์แวร์ระบบที่เป็นตัวกลาง
ประสานการท�างานระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ประยุกต์ต่าง ๆ โดยท�าหน้าที่จัดสรรทรัพยากรใน
5
ระบบคอมพิวเตอร์เพื่อให้บริการแก่ซอฟต์แวร์ประยุกต์เมื่อมีการติดต่อกับฮาร์ดแวร์ ระบบปฏิบัติการ
จะท�าหน้าที่ประสานงานหรือก�ากับดูแลการท�างานของคอมพิวเตอร์ ในการก�าหนดว่าจะเก็บโปรแกรม
หรือข้อมูลเก็บไว้ในส่วนใดของหน่วยความจ�า ดูแลการติดต่อระหว่างส่วนต่าง ๆ ของคอมพิวเตอร์กับ
โปรแกรมใช้งานหรือผู้ใช้คอมพิวเตอร์ ควบคุมการส่งสัญญาณจากคอมพิวเตอร์ขึ้นไปปรากฏบนจอภาพ
ควบคุมการพิมพ์ของเครื่องพิมพ์ ตัวอย่างเช่น ควบคุมการแปลสัญญาณจากแป้นพิมพ์ให้เครื่องรับรู้
ควบคุมการบันทึกหรือการอ่านข้อมูลของเครื่องขับแผ่นบันทึก
นอกจากนี้ ในปัจจุบันการท�างานในลักษณะกลุ่ม และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ มีบทบาทใน
การใช้งานคอมพิวเตอร์อย่างกว้างขวาง ท�าให้ระบบปฏิบัติการที่พัฒนาขึ้นมาในระยะหลัง จ�าเป็นต้องมี
ิ
ึ
ี
�
ความสามารถในการทางานและให้บริการบนเครือข่ายเพ่มข้น โดยระบบปฏิบัติการมีหน้าท่จัดการงาน
ในการติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ จัดสรรให้คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อในเครือข่ายสามารถใช้
5 กิตติ ภักดีวัฒนะกุล, ระบบปฏิบัติกำร (Operating Systems), (กรุงเทพฯ : เคทีพี คอมพ์ แอนด์ คอนซัลท์,
2553), หน้า 4
56 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
งานอุปกรณ์ต่าง ๆ ในเครือข่ายร่วมกัน เช่น การใช้งานเครื่องพิมพ์ร่วมกัน และควบคุมดูแลการใช้งาน
ี
�
ื
ึ
�
ี
ข้อมูลส่วนกลางซ่งอยู่ในเคร่องท่ทาหน้าท่เป็นแม่ข่าย โดยสามารถกาหนดสิทธิในการเข้าใช้ข้อมูลของผู้
ใช้ที่อยู่ในกลุ่ม มีระบบป้องกันอันตรายที่จะเกิดกับข้อมูล
เน่องจากระบบปฏิบัติการเป็นส่วนสาคัญท่ทาให้เคร่องคอมพิวเตอร์ทางานได้ แต่ด้วยเคร่อง
�
ื
�
ี
�
ื
ื
DO NOT COPY
คอมพิวเตอร์ท่มีใช้อยู่ในปัจจุบันมีสถาปัตยกรรมท่แตกต่างกัน เช่น เคร่องไมโครคอมพิวเตอร์ท่เราใช้งาน
ื
ี
ี
ี
�
ี
ี
�
ท่วไปจะมีคุณสมบัติและการทางานท่แตกต่างจากคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ หรือ มินิคอมพิวเตอร์ ท่ทา
ั
�
ี
หน้าท่เป็นเคร่องให้บริการท่ต้องคอยให้บริการและดูแลเคร่องคอมพิวเตอร์ท่เป็นบริวารจานวนมาก ระบบ
ี
ื
ี
ื
ี
ปฏิบัติการท่ใช้งานกับคอมพิวเตอร์ประเภทน้จึงต้องมีความซับซ้อนกว่าระบบปฏิบัติการท่ใช้ในเคร่อง
ี
ี
ื
ไมโครคอมพิวเตอร์ และเราสามารถแบ่งประเภทของระบบปฏิบัติการตามลักษณะการท�างานได้เป็น 3
ประเภทดังนี้
(1) ระบบปฏิบัติการเครือข่าย (Network Operating System)
(2) ระบบปฏิบัติการบนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์
(3) ระบบปฏิบัติการบนเครื่อง handheld computer
ตัวอย่ำงระบบปฏิบัติกำร
1) ระบบปฏิบัติกำรเครือข่ำย (Network Operating System)
(1) ระบบปฏิบัติกำรวินโดวส์เซิร์ฟเวอร์ (Windows Server) เป็นระบบปฏิบัติการท่ออกแบบ
ี
มาเพื่อใช้งานกับระบบเครือข่ายโดยเฉพาะ รุ่นแรกออกมาในชื่อ Windows NT และพัฒนาต่อมาเป็นใน
ชื่อ Windows Server โดยมีชื่อรุ่นตามปีที่ผลิต พัฒนาโดยบริษัทไมโครซอฟต์ ส่วนใหญ่เหมาะกับการ
ติดต้งและใช้งานกับเคร่องประเภทแม่ข่าย (Server) ทาหน้าท่ให้บริการอย่างใดอย่างหน่งหรือหลายอย่าง
ั
ี
ื
�
ึ
แก่เครื่องคอมพิวเตอร์หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เป็นลูกข่าย ในระบบเครือข่าย
ภาพที่ 3.2 ระบบปฏิบัติการวินโดวส์เซิร์ฟเวอร์(Windows Server)
ที่มา : https://stefanscherer.github.io/docker-on-windows-server-2019
บทที่ 3 แพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ 57
(2) ระบบปฏิบัติกำรโอเอสทูวำร์ป (OS/2 Warp Server) เป็นระบบปฏิบัติการท่พัฒนาโดย
ี
ื
บริษัทไอบีเอ็ม ออกแบบมาเพ่อใช้เป็นระบบควบคุมเครื่องแม่ข่าย ติดต่อกับผู้ใช้โดยรูปแบบกราฟฟิก แต่
ไม่ค่อยได้รับความนิยมเมื่อ พ.ศ.2549 ทางไอบีเอ็มจึงเลิกพัฒนา ใน พ.ศ.2548 บริษัท เซเรนิตี ซิสเต็ม
(Serenity System) ได้พัฒนาระบบปฏิบัติการดังกล่าว โดยใช้ช่อว่า e-ComStation โดยรุ่นแรกคือ
ื
DO NOT COPY
1.2R และรุ่นล่าสุดคือรุ่น 2.2 RC7 Silver วางจ�าหน่ายเดือนสิงหาคม พ.ศ.2552
ภาพที่ 3.3 ระบบปฏิบัติการโอเอสทู วาร์ป (OS/2 Warp Server)
ที่มา : https://metztli.it/blog/index.php/ixiptli/os-2-11-smp-upgrade
ี
(3) ระบบปฏิบัติกำรโซลำริส (Solaris) ระบบปฏิบัติการเครือข่ายท่อยู่ในตระกูลเดียวกับ
ระบบปฏิบัติการ Unix พัฒนาโดยบริษัท Sun Microsystems เป็นระบบปฏิบัติการเครือข่ายงานด้าน
โปรแกรม E–commerce รองรับการท�างานแบบเครือข่ายได้เช่นเดียวกันกับระบบอื่น ๆ
ภาพที่ 3.4 ระบบปฏิบัติการโซลาริส (Solaris)
ที่มา : https://www.phoronix.com/scan.php?page=news_item&px=Solaris-11.4-GNOME-Shell
58 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
2) ระบบปฏิบัติกำรบนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์
(1) ดอส (DOS) ระบบท่ติดต่อกับผู้ใช้แบบบรรทัดคาส่ง (Command Line) ผู้ใช้ต้องจา
�
ั
ี
�
ค�าสั่งเพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ท�างานตามที่ต้องการ DOS ย่อมาจากค�าว่า Disk Operating System
ื
ั
ี
�
่
่
ั
่
ู
ึ
ิ
่
ี
�
ี
เป็นระบบททาหน้าทสงการให้เครองไมโครคอมพวเตอร์ทางาน แบบทใช้จานบนทกข้อมล ส่วนระบบ
่
DO NOT COPY
ปฏิบัติการของคอมพิวเตอร์เครื่องใหญ่ เรียกว่า OS อ่านว่า โอเอส (Operating System) ระบบปฏิบัติ
การที่ใช้กับไมโครคอมพิวเตอร์หรือพีซี (PC) จะใช้ “ดอส” ที่เขียนโดยบริษัทไมโครซอฟต์ นิยมเรียกกัน
ว่า MS-DOS
ภาพที่ 3.5 ระบบปฏิบัติการดอส (DOS)
ที่มา : https://winworldpc.com/product/project/40-for-dos
ั
(2) ระบบปฏิบัติกำรยูนิกซ์ (UNIX) เป็นระบบปฏิบัติการท่พัฒนาข้นคร้งแรกในปี 1960 และ
ึ
ี
ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่นั้นมา จัดอยู่ในกลุ่มระบบปฏิบัติการ (OS) แบบ multitasking
6
หรือ multiuser ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อเป็นแพลตฟอร์มส�าหรับการเขียนซอฟต์แวร์เพื่อใช้งานในระบบอื่น
�
ั
ื
ึ
ๆ ซ่งลักษณะของ unix เป็นระบบท่ใช้งานด้วย text และเก็บข้อมูลเป็นลาดับช้น มีเคร่องมือ command
ี
ให้ใช้งานมากมาย และสามารถ ท�างานรวมกันโดยใช้ pipe (|) เป็นตัวเชื่อมระบบของ Unix ถูกบริหาร
จัดการภายใต้โปรแกรมหลักคือ Kernel เพื่อใช้ในการ start/stop โปรแกรมอื่น ๆ และใช้ในการจัดการ
file system ในระดับล่าง อีกท้งยังคอยจัดการ resource ท่มีอยู่ให้โปรแกรมอ่น ๆ ใช้งานได้โดยไม่ชนกัน
ั
ื
ี
6 Department of Electrical and Electronic Engineering University of Surrey Guildford
Surrey.. UNIX Introduction [On-line]. Available: http://www.ee.surrey.ac.uk/Teaching/Unix/unixintro.
html(2000)
บทที่ 3 แพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ 59
DO NOT COPY
ภาพที่ 3.6 ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์ (UNIX)
ที่มา : http://www.ee.surrey.ac.uk/Teaching/Unix/unixintro.html
(3) ระบบปฏิบัติกำรวินโดวส์ (Windows) ระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ท่สร้างข้นโดยบริษัท
ึ
ี
ื
ไมโครซอฟต์ เน่องจากความยากในการใช้งานดอสทาให้บริษัทไมโครซอฟต์ได้มีการพัฒนาซอฟต์แวร์ท ี ่
�
เรียกว่า Windows ที่มีลักษณะเป็น GUI (Graphic-User Interface) ที่น�ารูปแบบของสัญลักษณ์ภาพ
ึ
ื
ี
้
�
�
กราฟิกเข้ามาแทนการป้อนคาส่งทีละบรรทดเพ่อให้การใช้งานดอสทาได้ง่ายขน สามารถเรยกใช้
ั
ั
ค�าสั่งต่าง ๆ ผ่านทาง Windows ซึ่งจะง่ายต่อการใช้งานมากกว่าดอส โดยใช้หลักการแบ่งงานเป็นส่วน
เรียกว่า หน้าต่างงาน (windows) ที่แสดงผลลัพธ์แต่ละโปรแกรม ปัจจุบันมีการผลิตและจ�าหน่ายหลาย
รุ่น เช่น Windows XP , Windows 7, Windows 8, Windows 10 เป็นต้น
ภาพที่ 3.7 ระบบปฏิบัติวินโดวส์ (Windows)
60 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
ุ
ิ
(4) ระบบปฏบัติกำรลีนกซ์ (Linux) ลีนุกซ์ เป็นระบบปฏิบัติการเช่นเดียวกับ ดอส ไมโครซอฟต์
วินโดวส์ หรือยูนิกซ์ โดยลีนุกซ์นั้นจัดว่าเป็นระบบปฏิบัติการยูนิกซ์ประเภทหนึ่ง ที่มีโปรแกรมประยุกต์
ท�างานบนระบบลีนุกซ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโปรแกรมในตระกูลของ GNU (GNU’s Not UNIX) และสิ่งที่
�
ื
สาคัญท่สุดก็คือระบบลีนุกซ์เป็นระบบปฏิบัติการประเภทฟรีแวร์ คือไม่เสียค่าใช้จ่ายในการซ้อโปรแกรม
ี
7
DO NOT COPY
ิ
ทมความสามารถในการบรหารระบบเครอข่าย ผ้นาไปใช้งานสามารถทจะพฒนาและปรบปรงในส่วนท ี ่
ี
ั
ื
่
ี
ู
�
่
ุ
ี
ั
ั
้
้
ี
ื
ั
้
่
์
์
ิ
้
ั
ั
้
่
้
เกดปญหาระหวางใชงานไดทนท อกทงยงสามารถปรบใหเขากบฮารดแวรทใชเพอใหไดประสทธภาพของ
้
ิ
ั
่
ี
ั
้
ี
ิ
ึ
ี
ระบบมากท่สุด และยังมีการเพ่มสมรรถนะ (Update) อยู่ตลอดเวลา ซ่งระบบปฏิบัติการลีนุกซ์มีการ
ิ
พัฒนาไปเป็นแพลตฟอร์มอื่น ๆ ด้วย เช่น อูบันตู (Ubuntu) ลีนุกซ์มิ้นท์ (Linux Mint) เซนโอเอส (Cent
OS) เดเบียนโอเอส (Debian OS) เป็นต้น
ภาพที่ 3.8 ระบบปฏิบัติการลีนุกซ์อูบันตู (Ubuntu)
ที่มา : https://www.beartai.com/news/itnews/235865
ื
�
(5) ระบบปฏิบัติกำรแมค (Mac OS) เป็นระบบปฏบัตการสาหรับเคร่องคอมพิวเตอร์
ิ
ิ
แมคอินทอช โดยทั้งคู่เป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัทแอปเปิลคอมพิวเตอร์ แมคโอเอสเป็นระบบปฏิบัติการที่มี
ส่วนต่อประสานกับผู้ใช้แบบกราฟิก (GUI) รายแรกที่ประสบความส�าเร็จในเชิงพาณิชย์ ที่ผ่านมาระบบ
ปฏิบัติการ Mac จะเรียกว่า Mac OS ซึ่งรุ่นปัจจุบัน คือ Mac OS X ซึ่ง X คือ เลขเวอร์ชัน 10 เขียนเป็น
เลขโรมัน (ตัวอักษร X) ตั้งแต่รุ่น Mountain Lion (10.8) ทาง Apple เปลี่ยนชื่อเรียกระบบปฏิบัติการ
Mac OS X ให้สั้นลงเหลือเพียง OS X นั่นรวมถึง OS X Maverick (10.9) ด้วย ทั้งยังตั้งชื่อเรียกเวอร์ชัน
ของ Mac OS เป็นชื่อแทนสัตว์ในตระกูลเสือ/สิงโตด้วย 8
7 โครงการพัฒนาเนื้อหาความรู้ส�าหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อโรงเรียนไทย. Linux คืออะไร ? [ออนไลน์],
แหล่งที่มา: https://web.ku.ac.th/schoolnet/snet1/software/linux/#linux2 [2542].
8 สุทธิพันธุ์ แสนละเอียด, คู่มือกำรใช้งำน Mac OS X Mavericks & iLife/iWork ฉบับสมบูรณ์, (นนทบุรี
: ไอดีซี พรีเมียร์, 2557), หน้า 25.
บทที่ 3 แพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ 61
DO NOT COPY
ภาพที่ 3.9 ระบบปฏิบัติการโอเอสเอ็กซ์ (OS X)
ที่มา : https://www.macworld.co.uk/review/mac-software/yosemite-vs-mavericks-mac-os-x-3580644
ิ
ิ
ั
(6) ระบบปฏบติกำรกูเกล โครมโอเอส (Google Chrome OS) ระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์
โดยค่าย Google เป็นระบบปฎิบัติการแบบ Open Source มีขนาดเบาไม่หนักเครื่องและติดตั้งตัวเอง
ได้เร็ว เหมาะส�าหรับโน้ตบุ๊คสเปคต�่า เช่น เน็ตบุ๊ค และใช้เวลาบู๊ตเครื่องน้อยมาก ระบบปฏิบัติการกูเกิล
ื
ี
ั
โครมโอเอส เน้นการใช้งานผ่านอินเทอร์เน็ต จะถูกติดต้งมากับเคร่องท่เรียกว่า Chromebook และปฏิบัต ิ
งานร่วมกับระบบให้บริการออนไลน์ของกูเกิล โดยจะมีพ้นท่สาหรับเก็บข้อมูลในฮาร์ดดิสก์น้อย ข้อมูล
ื
ี
�
ี
�
ต่าง ๆ จะถูกบันทึกไว้ในเครือข่ายอินเทอร์เน็ตแทน ระบบปฏิบัติการนี้จะทาหน้าท่หลักเป็นเว็บบราวเซอร์
เพื่อเชื่อมต่อผู้ใช้ไปยังอีเมล์ และงานเอกสารบนอินเทอร์เน็ตโดยตรง แทนการเก็บข้อมูลไว้บนเครื่อง
ภาพที่ 3.10 ระบบปฏิบัติการกูเกิล โครมโอเอส (Google Chrome OS)
ที่มา : http://www.gadmo.com/web/everything-you-need-to-know-about-google-chrome-os
62 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
3) ระบบปปฏิบัติกำรบนเครื่อง handheld computer
ื
ี
(1) ระบบปฏิบัติกำรซิมเบียน (Symbian) ระบบปฏิบัติการท่ออกแบบมาเพ่อรองรับ
ื
ื
เทคโนโลยีการส่อสารแบบไร้สาย (Wireless) ช่วยในการส่งข้อมูลของโทรศัพท์เคล่อนท่เป็นหลัก เป็น
ี
ระบบที่ใช้งานได้ง่าย มีความปลอดภัยสูง ช่วยประหยัดพลังงาน และใช้หน่วยความจ�าที่มีขนาดเล็ก เพื่อ
DO NOT COPY
ี
ึ
ื
รองรับกับโทรศัพท์มือถือ เป็นหน่งในระบบปฏิบัติการท่บริษัท Nokia พัฒนาเพ่อนามาใช้กับโทรศัพท์
�
เคลื่อนที่ของบริษัทเอง โดยมีจุดเด่นคือเป็นระบบเปิด ผู้ใช้สามารถที่จะน�าโปรแกรมอื่น ๆ ที่เขียนขึ้นมา
เพื่อใช้งานรองรับ Symbian มาลงเพิ่มในเครื่องได้เอง
ภาพที่ 3.11 ระบบปฏิบัติการซิมเบียน (Symbian)
ที่มา : https://www.mxphone.net/10698-Nokia-Symbian-Belle
(2) ระบบปฏิบัติกำรวินโดวส์โมบำย (Windows mobile) จุดเร่มต้นของวินโดวส์ โมบาย น้น
ั
ิ
ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาเมื่อราวปี 1996 โดยบริษัท Microsoft ระบบปฏิบัติการรุ่นแรกก็คือ Windows CE
ิ
เป็นการพัฒนาระบบปฏิบัติการฉบับจ๋ว Microsoft ได้พัฒนา มาจนถึงปี 2017 ก็กลายมาเป็น Windows
10 mobile ประกอบด้วยชุดแอปพลิเคชันพื้นฐาน ถูกออกแบบให้มีระบบปฏิบัติการคล้าย Windows
บนเครื่องพีซีทั่วไป
บทที่ 3 แพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ 63
DO NOT COPY
ภาพที่ 3.12 ระบบปฏิบัติการวินโดวส์โมบาย (Windows mobile)
ที่มา : http://globedia.com/windows-phone-deberias-saber
(3) ระบบปฏิบัติกำรแบล็กเบอร์รีโอเอส (BlackBerry OS) ระบบปฏิบัติการที่พัฒนาโดย
บริษัท RIM (Research In Motion) ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์สื่อสารภายใต้ยี่ห้อ BlackBerry (แต่ปัจจุบัน
RIM ได้เปลี่ยนชื่อเป็น BlackBerry เพื่อให้สอดคล้องกับชื่อแบรนด์ของสินค้าหลัก) ผู้ใช้งานสามารถเข้า
ถึง Application Store ได้จาก BlackBerry App Word
ภาพที่ 3.13 ระบบปฏิบัติการแบล็กเบอร์รีโอเอส (BlackBerry OS)
ที่มา : https://www.mxphone.net/tag/blackberry-os-10-3
(4) ระบบปฏิบัติกำรแอนดรอยด์ (Android) แอนดรอยด์ (Android) เป็นระบบปฏิบัติการ
็
็
้
ึ
ู
ี
่
ิ
ู
ี
ทออกแบบมาให้ใช้งานบนอุปกรณ์สมาร์ทโฟนและแทบเลตถกสร้างขนจากทมงานของกเกล เจ้าแห่ง
วงการอินเทอร์เน็ตและ Search Engine ยักษ์ใหญ่ เป็นซอฟต์แวร์แบบเปิดเผยต้นฉบับ (Open Source)
9
9 ศรีนลิน พิมพ์ประเสริฐ, Android Smartphone, (กรุงเทพฯ : โปรวิชั่น, 2555), หน้า 10
64 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง เนื่องจากอุปกรณ์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์มีจ�านวนมาก อุปกรณ์มี
ี
�
ั
หลากหลายระดับ หลายราคา รวมท้งสามารถทางานบนอุปกรณ์ท่มีขนาดหน้าจอ และความละเอียด
�
แตกต่างกันได้ ทาให้ผู้บริโภคสามารถเลือกได้ตามต้องการ การพัฒนาโปรแกรมเพ่อใช้งานบนระบบปฏิบัต ิ
ื
การแอนดรอยด์ ทางบริษัทกูเกิล มีข้อมูลในการพัฒนา เตรียมไว้ให้กับนักพัฒนาได้เรียนรู้ และมีตลาดใน
DO NOT COPY
การเผยแพร่โปรแกรม ผ่าน Playstore
ภาพที่ 3.14 ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android)
ที่มา : https://krify.co/launch-android-oreo-smarter-faster-powerful-android-os
(5) ระบบปฏิบัติกำรไอโอเอส (iOS) ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) มีชื่อเดิมว่า iPhone OS
เริ่มต้นด้วยการเปิดตัวของ iPhone เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2550 เป็นระบบปฏิบัติการส�าหรับสมาร์ท
�
โฟนของแอปเปิล โดยเร่มต้นพัฒนาสาหรับใช้ในโทรศัพท์ iPhone และได้พัฒนาต่อใช้สาหรับ iPod
�
ิ
ื
�
Touch และ iPad โดยระบบปฏิบัติการน้สามารถเช่อมต่อไปยัง Appstore สาหรับการเข้าถึงแอปพลิเคชัน
ี
และเป็นร้านขายความบันเทิง บน iPod touch, iPhone และ iPad
ภาพที่ 3.15 ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS)
ท่มา : http://genk.vn/mobile/hau-iphone-6-cac-kich-ban-co-the-xay-den-voi-apple-20150203233633901.chn
ี
บทที่ 3 แพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ 65
3.4.3 โปรแกรมอรรถประโยชน์ (Utility Program)
ี
ื
�
โปรแกรมอรรถประโยชน์เป็นโปรแกรมท่ติดตั้งมาพร้อมระบบปฏิบัติการเสริมช่วยให้เคร่องทางาน
ึ
ิ
�
ื
�
มีประสิทธิภาพมากข้น ส่วนมากใช้เพ่อบารุงรักษาและเพ่มประสิทธิภาพการทางานของคอมพิวเตอร์
โปรแกรมอรรถประโยชน์แบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ
DO NOT COPY
1) โปรแกรมอรรถประโยชน์ส�ำหรับระบบปฏิบัติกำร (OS Utility Program)
(1) โปรแกรมจัดกำรไฟล์ (File manager) เป็นโปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อช่วยจัดการไฟล์
ี
ื
เช่น การคัดลอกแฟ้มข้อมูล เปล่ยนช่อแฟ้มข้อมูล ลบแฟ้มข้อมูล การเรียกใช้งานโปรแกรมต่าง ๆ ได้อย่าง
สะดวก นอกจากนี้ ระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ ๆ ได้เพิ่มความสามารถการแสดงไฟล์เป็นรูปภาพเหมือนจริง
(image view) ท�าให้การใช้งานมีความสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
ภาพที่ 3.16 โปรแกรมจัดการไฟล์ (File manager)
ั
(2) โปรแกรมยกเลิกกำรติดต้งโปรแกรม (Uninstaller) เป็นโปรแกรมท่ใช้ในการนาโปรแกรม
�
ี
ิ
ู
ิ
ิ
ี
และส่วนประกอบของโปรแกรมท่ตดต้งไว้ในระบบออกจากเครองคอมพวเตอร์ ส่วนใหญ่บรษัทผ้ผลิต
่
ื
ั
ซอฟต์แวร์จะติดตั้งโปรแกรมยกเลิกการติดตั้งโปรแกรมไว้ เป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมอยู่แล้ว
ภาพที่ 3.17 โปรแกรมยกเลิกการติดตั้งโปรแกรม (Uninstaller)
66 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
(3) โปรแกรมแสกนดิสก์ (Disk scanner) เป็นโปรแกรมช่วยตรวจสอบความเสียหายหรือ
ื
ึ
ี
ี
ข้อผิดพลาดท่เกิดข้นกับฮาร์ดดิสก์ คือ เม่อใช้ฮาร์ดดิสก์เป็นเวลานาน มักเกิดส่วนท่เสียหาก ท่เรียกว่า
ี
bad sector ส่งผลให้การท�างานของฮาร์ดดิสก์ช้าลง ท�าให้การบันทึกหรือเขียนข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ยาก
ขึ้น ดังนั้น ผู้ใช้สามารถใช้โปรแกรมดังกล่าวตรวจสอบฮาร์ดดิสก์ เพื่อค้นหาส่วนที่เสียหาย ไฟล์ที่มีข้อผิด
DO NOT COPY
พลาด และซ่อมแซมส่วนที่เสียหายได้
ภาพที่ 3.18 โปรแกรมแสกนดิสก์ (Disk scanner)
ื
(4) โปรแกรมจัดเรียงพ้นท่จัดเก็บข้อมูลของฮำร์ดดิสก์ (Disk Defragmenter) เป็นโปรแกรม
ี
ที่ใช้ในการจัดเรียงข้อมูลให้เป็นระเบียบ ช่วยให้เข้าถึงข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ได้อย่างรวดเร็ว กล่าวคือ เมื่อมี
การเรียกใช้งานฮาร์ดดิสก์ของคอมพิวเตอร์นั้นบ่อย ๆ ไฟล์จะถูกจัดเก็บกระจัดกระจาย ไม่เป็นระเบียบ
�
ั
และไม่ได้อยู่เป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน เม่อต้องการเรียกใช้อีกภายหลังจะทาให้เวลาในการดึงข้อมูลน้น ๆ ช้า
ื
ลง นั่นเอง โปรแกรมดังกล่าวจึงช่วยจัดเรียงไฟล์ต่าง ๆ ให้เป็นระเบียบ
ภาพที่ 3.19 โปรแกรมจัดเรียงพื้นที่จัดเก็บข้อมูลของฮาร์ดดิสก์ (Disk Defragmenter)
บทที่ 3 แพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ 67
(5) โปรแกรมรักษำหน้ำจอ (Screen Saver) เป็นโปรแกรมส�าหรับรักษาและช่วยยืดอายุ
การใช้งานจอภาพของคอมพิวเตอร์ กล่าวคือ การเปิดจอภาพของคอมพิวเตอร์ให้ท�างานและปล่อยทิ้งไว้
ให้แสดงภาพเดิมโดยไม่มี การเคลื่อนไหวใด ๆ เป็นเวลานาน จะท�าให้เกิดรอยไหม้บนสารเรืองแสงที่ฉาบ
ิ
ผิวจอ และไม่สามารถลบออกไปได้ ถ้าปล่อยท้งไว้นานจะส่งผลให้อายุการใช้งานของหน้าจอคอมพิวเตอร์
DO NOT COPY
ั
ั
ื
�
ิ
ส้นลง ผู้ใช้สามารถต้งค่าระยะเวลาให้โปรแกรมตรวจสอบ และเร่มทางานได้ หากไม่มีการเคล่อนไหว
ใด ๆ ของภาพ เช่น 5 นาที หรือ 10 นาที เป็นต้น เมื่อเราขยับเมาส์ หรือเริ่มที่จะท�างานใหม่ โปรแกรม
นี้จะปิดอัตโนมัติ
ภาพที่ 3.20 โปรแกรมโปรแกรมรักษาหน้าจอ (Screen Saver)
2) โปรแกรมอรรถประโยชน์อื่น ๆ (Stand-Alone Utility Program)
(1) โปรแกรมบีบอัดไฟล์ (File compression Utility) เป็นโปรแกรมที่บีบอัดไฟล์
ี
่
ี
ทมขนาดใหญ่ให้มีขนาดเล็กลง ไฟล์ท่ได้จากการบีบอัดไฟล์เรียกว่า ซิปไฟล์ (Zip File) เช่น WinZip,
ี
Winrar เป็นต้น
ภาพที่ 3.21 โปรแกรมบีบอัดไฟล์ Winrar
68 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
(2) โปรแกรมไฟร์วอลล์ (Firewall) เป็นโปรแกรมที่ป้องกันบุคคลภายนอกเข้ามาใน
ระบบโดยไม่รับอนุญาตท้งจากระบบ เครือข่ายอินทราเน็ตและอินเทอร์เน็ต โดยโปรแกรมจะทาการตรวจ
ั
�
สอบ
ภาพที่ 3.22 โปรแกรมไฟร์วอลล์ (Firewall)
(3) โปรแกรมป้องกันไวรัส (Anti Virus Program) การใช้งานคอมพิวเตอร์ที่มีผู้ใช้
DO NOT COPY
หลายคนหรือใช้ระบบเครือข่าย มักเจอปัญหาไวรัสคอมพิวเตอร์ ซึ่งไวรัสเป็นโปรแกรมที่ผู้ไม่ประสงค์ดี
พัฒนาขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ เช่น เปิดระบบช้าลง ไม่สามารถเรียกใช้โปรแกรมได้สมบูรณ์ ท�าให้
คอมพิวเตอร์ค้าง หรือมีข้อความขึ้นบนหน้าจออัตโนมัติได้เอง เพื่อสร้างความร�าคาญ ก่อกวนการท�างาน
ั
ื
ของผู้ใช้ เป็นต้น ดังน้น บริษัทผู้ผลิตซอฟต์แวร์จึงได้พัฒนาโปรแกรมข้นเพ่อค้นหาและกาจัดไวรัส
�
ึ
คอมพิวเตอร์ หรือที่เรียกว่า โปรแกรมป้องกันไวรัส ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
ี
ั
ื
- แอนต้ไวรัส เป็นโปรแกรมป้องกันไวรัสท่วไป จะค้นหาและทาลายไวรัสในเคร่อง
�
คอมพิวเตอร์ เช่น McAfee VirusScan, Kaspersky, Avast, AVG AntiVirus เป็นต้น
- แอนต้สปำยแวร์ เป็นโปรแกรมป้องกันการโจรกรรมข้อมูลจากไวรัสปลายแวร์ และ
ี
แฮ็กเกอร์ รวมถึงแอดแวร์ (Adware) ซ่งเป็นป๊อบอัพโฆษณาในอินเทอร์เน็ต เช่น McAfee AntiSpyware,
ึ
Ad-Aware SE Pro, Spyware BeGone เป็นต้น
บทที่ 3 แพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ 69
DO NOT COPY
ภาพที่ 3.23 โปรแกรม Avast Free AntiVirus
3.4.3 ตัวแปลภำษำ (Translator)
การพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ นั้น ผู้เขียนโปรแกรมจะเลือก
ึ
ภาษาใดในการเขียนโปรแกรม ข้นอยู่กับความเหมาะสมของภาษากับลักษณะของงาน และความถนัด
ี
ของผู้เขียนโปรแกรมเอง แต่รูปแบบของภาษาคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน จะเป็นภาษาท่มนุษย์เข้าใจ เพราะ
เป็นภาษาท่ใกล้เคียงกับภาษาของมนุษย์ เรียกว่า “ภาษาระดับสูง (High-level Language)” ภาษาเหล่า
ี
ี
่
ื
ั
น้ระบบคอมพิวเตอร์ไม่สามารถเข้าใจได้ เนองจากระบบคอมพิวเตอร์จะรับข้อมูลในลกษณะของสัญญาณ
ไฟฟ้า แทนด้วยระบบเลขฐานสอง คือ 0 และ 1 หรือที่เรียกว่า “ภาษาเครื่อง” อยู่ในกลุ่มภาษาระดับต�่า
ั
(Low-level Language) ดังน้นการเขียนโปรแกรมเพ่อส่งให้ระบบคอมพิวเตอร์ทางานตามคาส่งได้น้น
ั
ื
�
ั
�
ั
ื
ั
ื
จะต้องทาการแปลชุดคาส่งจากภาษาระดับสูงให้เป็นภาษาเคร่อง เพ่อให้ระบบคอมพิวเตอร์เข้าใจและ
�
�
สามารถปฏิบัติงานตามค�าสั่งได้ สามารถแบ่งรูปแบบของตัวแปลภาษาได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้ คือ
ี
ี
�
1) แอสแซมเบลอร์ (Asseblers) เป็นตัวแปลภาษาท่ทาหน้าท่แปลความหมายของสัญลักษณ์
เขียนข้นด้วยโปรแกรมภาษาแอสเซมบลี (Assembly Language) ทาหน้าท่เป็นตัวกลางในการแปลความ
ี
�
ึ
หมายของสัญลักษณ์เหล่านั้นให้เป็นเลขฐานสองที่เครื่องคอมพิวเตอร์เข้าใจได้ ภาษาแอสเซมบลีนี้ ยังจัด
อยู่ในกลุ่มของภาษาระดับต�่า (Low-level Language)
2) อินเตอร์พรีเตอร์ (Interpreters) ทาหน้าท่แปลความหมายของชุดคาส่ง เขียนข้นด้วย
ี
ั
�
ึ
�
โปรแกรมภาษาระดับสูง (high-level Language) โดยวิธีการแปลความหมายในรูปแบบของอินเตอร์
พรีเตอร์ คือการอ่านค�าสั่งและแปลความหมายทีละบรรทัดค�าสั่ง เมื่อพบข้อผิดพลาดจะแจ้งข้อผิดพลาด
ั
ั
�
ื
ให้ผู้เขียนทราบและแก้ไขได้ทันที แต่เม่อประมวลชุดคาส่งเหล่าน้นแล้ว จะไม่สามารถเก็บไว้ใช้ได้อีก
�
ถ้าต้องการท่จะเรียกใช้คร้งต่อไปต้องทาการประมวลชุดคาส่งน้ใหม่ ทาให้การทางานของโปรแกรม
ี
ั
�
�
ั
ี
�
ี
ี
ค่อนข้างช้า จึงเหมาะกับการเขียนโปรแกรมท่มีขนาดเล็ก ตัวอย่างโปรแกรมท่ใช้แปลอินเตอร์พรีเตอร์
ได้แก่ ภาษาเบสิก
70 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
ั
�
ี
ึ
�
3) คอมไพเลอร์ (Compilers) ทาหน้าท่แปลความหมายของชุดคาส่งเขียนข้นด้วยโปรแกรม
ภาษาระดับสูง (high-level Language) เช่นเดียวกับอินเตอร์พรีเตอร์ แต่มีความแตกต่างกัน ส�าหรับวิธี
ื
�
การแปลความหมาย เน่องจากคอมไพเลอร์ จะอ่านชุดคาส่งท้งหมดและแปลความหมายของชุดคาส่ง
�
ั
ั
ั
ั
ื
ั
ั
�
ท้งหมดในคร้งเดียว เม่อแปลความหมายของชุดคาส่งท้งหมดแล้วจะได้เป็น Object Code หรือ สัญลักษณ์
ั
DO NOT COPY
ของรหัสคาส่ง ท่สามารถเก็บไว้ได้เม่อต้องการใช้งานในครั้งต่อไปโดยไม่ต้องเสียเวลาในการแปลชุดคาส่ง
�
ื
ั
ั
�
ี
นั้นอีก จึงเหมาะกับการเขียนโปรแกรมที่มีขนาดใหญ่ ตัวอย่างโปรแกรมที่ใช้ตัวแปลคอมไพเลอร์ ได้แก่
ภาษาปาสคาล ภาษาโคบอล
3.5 ซอฟต์แวร์ประยุกต์
ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software) เป็นซอฟต์แวร์ที่ท�าให้คอมพิวเตอร์สามารถท�างาน
ี
ต่าง ๆ ตามท่ผู้ใช้ต้องการ ทาให้มีการประยุกต์ใช้งานคอมพิวเตอร์กันอย่างกว้างขวาง ซอฟต์แวร์ท่ถูก
�
ี
ออกแบบให้รับรองการท�างานหรือกิจกรรมหลายด้านเพื่อประโยชน์ของผู้ใช้
ซอฟต์แวร์ประยุกต์สามารถจ�าแนกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1) ซอฟต์แวร์ส�ำหรับงำนเฉพำะด้ำน (Special Purpose Software) ซอฟต์แวร์เฉพาะงาน
ึ
ี
(Tailor Made Software) ซอฟต์แวร์ท่องค์กรขนาดใหญ่พัฒนาข้นมาใช้งานเอง เหมาะสมกับงานเฉพาะ
ด้าน แก้ไขได้ตามความต้องการ เช่น โปรแกรมระบบบริการการศึกษาของมหาวิทยาลัยโปรแกรมฝาก-
ถอนเงินของธนาคารต่าง ๆ โปรแกรมค�านวณค่าน�้าประปาของการประปาแห่งประเทศไทย
ภาพที่ 3.24 โปรแกรมระบบบริการการศึกษาของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
�
2) ซอฟต์แวร์ส�ำหรับงำนท่วไป (General Purpose Software) / ซอฟต์แวร์สาเร็จรูป (Pack-
ั
�
ี
age Software) ซอฟต์แวร์ท่ออกแบบมาสาหรับงานท่วไป สามารถนามาประยุกต์ใช้ในองค์กรได้ตาม
�
ั
บทที่ 3 แพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ 71
ความเหมาะสม สามารถแบ่งตามประเภทของงานได้ดังนี้
1. ซอฟต์แวร์จัดการฐานข้อมูล (Database Management Software)
2. ซอฟต์แวร์ประมวลผลค�า (Word Processing Software)
3. ซอฟต์แวร์ท�าการค�านวณ (Caculation Software)
DO NOT COPY
4. ซอฟต์แวร์น�าเสนอข้อมูล (Presentation Software)
5. ซอฟต์แวร์ทางด้านกราฟฟิกและมัลติมีเดีย (Graphics and Multimedia Software)
6. ซอฟต์แวร์การใช้งานบนเว็บไซต์และการติดต่อสื่อสาร (Web Site and Communica-
tions Software)
(1) ซอฟต์แวร์จัดกำรฐำนข้อมูล (Database Management Software) คอมพิวเตอร์
สามารถใช้จัดเก็บข้อมูลและจัดการกับข้อมูลที่จัดเก็บไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งการเก็บรวบรวม
ข้อมูลที่สัมพันธ์กันไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ เรียกว่า ฐานข้อมูล (Database) ซอฟต์แวร์จัดการฐาน
ี
ื
ี
�
้
ขอมลเปนโปรแกรมท่ทาหน้าท่สร้างฐานข้อมูลและจัดการกับข้อมูลให้เป็นระบบ เพ่อให้ง่ายต่อการ
็
ู
จัดการข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการเรียกค้นข้อมูล การปรับปรุงข้อมูล การเพิ่มข้อมูล และ
การลบข้อมูล ซอฟต์แวร์จัดการฐานข้อมูลที่นิยมใช้ เช่น Dbase , Paradox , Foxbase , Microsoft
Access เป็นต้น โปรแกรมที่จัดการฐานข้อมูล จะเก็บข้อมูลในรูปแบบของตารางที่มีความสัมพันธ์กัน
แต่ละตารางจะประกอบด้วยแถวที่เรียกว่า ระเบียน หรือ เรคคอร์ด (Record) และคอลัมน์ที่เรียกว่า
ฟิลด์ (Field) แต่ละเรคคอร์ดจะประกอบด้วยฟิลด์ของข้อมูลที่ต้องการเก็บ เช่น ฐานข้อมูลโรงเรียน จะ
มีการจัดเก็บประวัตินักเรียน ซึ่งประกอบด้วยรายละเอียดของข้อมูล ได้แก่ เลขประจ�าตัว ชื่อ นามสกุล
วันเกิด เพศ ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์
ภาพที่ 3.25 โปรแกรม Microsoft Access
72 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
(2) ซอฟต์แวร์ประมวลผลค�ำ (Word Processing Software) เป็นซอฟต์แวร์ประยุกต์ใช้ใน
การสร้าง แก้ไข เพิ่ม แทรก ลบ และจัดการรูปแบบเอกสาร ท�าให้เอกสารมีรูปแบบที่สวยงาม น่าสนใจ
ี
ึ
ิ
ื
ซ่งเอกสารท่ผู้ใช้พิมพ์ไว้จะถูกจัดเป็นแฟ้มข้อมูล (File) สามารถแก้ไขเพ่มเติมได้และส่งพิมพ์ทางเคร่องพิมพ์
ั
ได้ด้วย ซอฟต์แวร์ประมวลผลค�าที่นิยมใช้ เช่น Microsoft Office Word , Adobe Indesign , Corel-
DO NOT COPY
Draw , WordPerfect , OpenOffice , Pladao Office เป็นต้น
ภาพที่ 3.26 โปรแกรม Microsoft Word
ี
(3) ซอฟต์แวร์ท�ำกำรค�ำนวณ (Calculation Software) เป็นซอฟต์แวร์ท่ช่วยในการคิดคานวณ
�
การท�างานของซอฟต์แวร์ใช้หลักการเสมือนมีโต๊ะท�างาน ที่มีกระดาษขนาดใหญ่วางไว้ มีเครื่องมือคล้าย
ปากกา ยางลบ และเครองคานวณเตรยมไว้ให้เสรจ บนกระดาษมช่องให้ใส่ตวเลข ข้อความหรอสูตร
ี
ั
ื
็
ื
่
�
ี
สามารถสั่งให้ค�านวณตามสูตรหรือเงื่อนไขที่ก�าหนด นอกจานี้ ผู้ใช้ยังสามารถสร้างกราฟ เพื่อน�าเสนอได้
อย่างง่ายดาย ซอฟต์แวร์ที่นิยมใช้ เช่น Microsoft Office Excel , OpenOffice Cale ในโปรแกรมชุด
Pladao Office เป็นต้น
ภาพที่ 3.27 โปรแกรม Microsoft Excel
บทที่ 3 แพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ 73
(4) ซอฟต์แวร์น�ำเสนอข้อมูล (Presentation Software) เป็นโปรแกรมที่ใช้ในการน�าเสนอ
ข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์ สร้างเอกสารที่ประกอบด้วยตัวอักษร รูปภาพ แผนผัง ภาพเคลื่อนไหว นิยมใช้
�
ั
ี
ุ
ในการนาเสนอข้อมูลในการบรรยายในช้นเรียนหรือการประชม ซอฟต์แวร์ท่นิยมใช้ เช่น Microsoft
Office PowerPoint , OpenOffice Impress , Pladao Office เป็นต้น
DO NOT COPY
ภาพที่ 3.28 โปรแกรม Microsoft PowerPoint
(5) ซอฟต์แวร์ทำงด้ำนกรำฟฟิกและมัลติมีเดีย (Graphics and Multimedia Software)
ึ
ื
เป็นโปรแกรมท่พัฒนาข้นเพ่อช่วยทางานด้านกราฟฟิกและมัลติมีเดีย เช่น ตกแต่งภาพ วาดรูป ปรับเสียง
�
ี
ิ
ตัดต่อภาพเคล่อนไหว สร้างสรรค์งานส่งพิมพ์ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ นิตยสาร หนังสือพิมพ์ หนังสือ
ื
อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ รวมถึงการสร้างและออกแบบพัฒนาเว็บไซต์ ให้มีรูปแบบสวยงาม ทันสมัย เหมาะ
สมกับส่อแต่ละประเภท เป็นโปรแกรมท่ง่ายต่อการศึกษาเรียนรู้ด้วยตัวเอง มีลูกเล่นหลากหลาย สามารถ
ื
ี
สั่งงานตามความต้องการได้ง่าย ซึ่งถือเป็นโปรแกรมหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อผู้ใช้งานทุกระดับ
ภาพที่ 3.29 โปรแกรม Adobe Photoshop
74 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
(6) ซอฟต์แวร์กำรใช้งำนบนเว็บไซต์และกำรติดต่อสื่อสำร (Web Site and Communica-
tions Software) เป็นโปรแกรมที่พัฒนาเพื่อการติดต่อสื่อสารผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งการเติบโต
ของเครือข่ายอินเทอร์เน็ตท�าให้มีผู้พัฒนาโปรแกรมเพื่อใช้งานเฉพาะอย่างเพิ่มขึ้น เช่น โปรแกรมส�าหรับ
ตรวจสอบอีเมล การท่องเว็บไซต์ การจัดการและดูแลเว็บไซต์ การส่งข้อความ รวมถึงการประชุมทางไกล
DO NOT COPY
ผ่านเครือข่าย เป็นต้น
ภาพที่ 3.30 โปรแกรม Microsoft Outlook
สรุปท้ำยบท
แพลตฟอร์ม (Platform) หมายถึง ประเภทของระบบคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนที่ซึ่งสัมพันธ์
กับประเภทของซอฟต์แวร์ (โปรแกรมคอมพิวเตอร์) ที่สามารถใช้งานได้ เช่น ซอฟต์แวร์ธนาคารยุคใหม่
สามารถใช้กับแพลตฟอร์ม Windows หรือแพลตฟอร์มใดก็ได้ ทั้ง iOS ของ Apple และแพลตฟอร์มมือ
ถือ Android ของ Google ซึ่งถ้าใช้เกี่ยวกับเรื่องฮาร์ดแวร์ หมายถึง ที่รองรับระบบปฏิบัติการ (Oper-
ating System) ถ้าพูดถึงระบบปฏิบัติการ ก็หมายถึงว่าเป็นที่รองรับโปรแกรมการท�างานของโปรแกรม
ต่าง ๆ เช่น Microsoft Windows เป็นต้น
แพลตฟอร์มถูกแบ่งออกเป็น 4 ประเภทดังน้ (1) แพลตฟอร์มนวัตกรรม (Innovation Platform)
ี
เป็นแพลตฟอร์มที่เป็นระบบซึ่งวางขอบเขตไว้กว้าง ๆ และเปิดให้ผู้อื่นสามารถเข้ามาพัฒนาต่อยอดงาน
หรือธุรกิจของตนเองได้ (2) แพลตฟอร์มการทาธุรกรรม (Transaction Platform) แพลตฟอร์มน้ทา
ี
�
�
ู
้
ู
ื
ี
่
ั
หน้าทเป็นตวกลางระหว่างผ้ซอและผ้ขาย (3) แพลตฟอร์มบูรณาการ (Integration Platform) ให้บริการ
คล้ายกับ Innovation platform และ Transaction Platform ผสมผสานกัน (4) แพลตฟอร์มการลงทุน
(Investment Platform) เน้นให้บริการกับเหล่านักลงทุน
ึ
ื
�
ั
�
ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรม คือชุดคาส่งท่เขียนข้นเพ่อส่งให้คอมพิวเตอร์ทางาน และยังใช้เป็นตัว
ั
ี
ื
เช่อมระหว่างผู้ใช้คอมพิวเตอร์กับเคร่องคอมพิวเตอร์ หากไม่มีซอฟท์แวร์ภายในเคร่องคอมพิวเตอร์
ื
ื
บทที่ 3 แพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ 75
คอมพิวเตอร์ก็จะไม่สามารถท�างานใด ๆ ได้ โปรแกรมซอฟต์แวร์ (Software Programs) เป็นชุดค�าสั่งที่
เขียนขึ้นมาเพื่อสั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ท�างานตามค�าสั่ง (Coding Programs)
เราสามารถหาซอฟต์แวร์มาใช้งานได้หลายวิธี ดังนี้ (1) แบบส�าเร็จรูป (Packaged or Ready-
�
�
ี
ื
Made Software) เป็นวิธีท่ผู้ใช้งานซ้อได้จากตัวแทนจาหน่ายซอฟต์แวร์ (2) แบบว่าจ้างทา (Customized
DO NOT COPY
or Tailor-Made Software) เป็นวิธีการท่เหมาะสมสาหรับองค์กรท่มีลักษณะงานเฉพาะของตนเอง
ี
�
ี
ี
้
ิ
็
ั
้
ุ
ั
ี
ู้
ี
่
ั
ิ
(3) แบบทดลองใช (Shareware) เปนวธการทบรษทผผลิตซอฟต์แวร์ไดผลิตโปรแกรมท่ปรบลดคณสมบต ิ
บางอย่างลงไป ในเวลาจากัด (4) แบบใช้งานฟรี (Freeware) เป็นโปรแกรมท่แจกให้ใช้ฟรี (5) แบบ
�
ี
ี
ี
โอเพนซอร์ซ (Open Source) เป็นวิธีการขององค์กรท่มีกลุ่มบุคคลผู้มีความรู้และความเช่ยวชาญทาง
ด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์ท�าการพัฒนาขึ้น เพื่อให้ผู้ใช้น�าไปใช้ได้ฟรี
ประเภทของซอฟต์แวร์ ได้แก่ (1) ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software) (2) ซอฟต์แวร์ประยุกต์
(Application Software (3) ซอฟต์แวร์ด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม (Scientific Software /
Engineering) (4) ซอฟต์แวร์แบบฝัง (Embedded Software) (5) ซอฟต์แวร์แบบสายการผลิต (Prod-
uct-Line-Software) (6) เว็บแอปพลิเคชัน (Web Application) (7) ซอฟต์แวร์ปัญญาประดิษฐ์ (Arti-
ficial Intelligence Software)
ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software) เป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการจัดการระบบคอมพิวเตอร์ ท�า
หน้าที่ควบคุมการท�างานของคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงต่าง ๆ ซอฟต์แวร์ระบบ (System Soft-
ware) แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้ (1) ระบบปฏิบัติการ (Operating System) เป็นโปรแกรมที่ใช้
ิ
ควบคม และตดต่อกบอปกรณ์ต่าง ๆ ของเครองคอมพวเตอร์ (2) โปรแกรมอรรถประโยชน์ (Utility
ั
ุ
ุ
ื
่
ิ
Program) คือ ซอฟต์แวร์เสริมช่วยให้เครื่องท�างานมีประสิทธิภาพมากขึ้น (3) ตัวแปลภาษา (Transla-
tor) จาก Source Code ให้เป็น Object Code (แปลจากภาษาที่มนุษย์เข้าใจ ให้เป็นภาษาที่เครื่อง
เข้าใจ
ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software) ซอฟต์แวร์ประยุกต์ ที่ท�าให้คอมพิวเตอร์สามารถ
ท�างานต่าง ๆ ตามที่ผู้ใช้ต้องการ ซอฟต์แวร์ประยุกต์สามารถจ�าแนกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ (1) ซอฟต์แวร์
�
ั
สาหรับงานเฉพาะด้าน (Special Purpose Software) (2) ซอฟต์แวร์สาหรับงานท่วไป (General
�
Purpose Software) / ซอฟต์แวร์ส�าเร็จรูป (Package Software) ซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาส�าหรับงาน
ทั่วไป
76 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
ค�ำถำมท้ำยบท
ตอนที่ 1 ค�ำชี้แจง : ข้อสอบอัตนัย มีทั้งหมด 10 ข้อ ให้นิสิตท�ำทั้งหมด
1. แพลตฟอร์ม (Platform) หมายถึงอะไร
2. แพลตฟอร์มถูกแบ่งออกเป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง
DO NOT COPY
3. จงบอกประเภทของซอฟต์แวร์ในปัจจุบัน
4. เราสามารถจัดหาซอฟต์แวร์มาใช้งานได้ด้วยวิธีใดบ้าง
5. จงให้ค�าจ�ากัดความของค�าว่า “ซอฟต์แวร์ระบบ”
6. ระบบปฏิบัติการแบ่งออกได้เป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง
7. จงให้ค�าจ�ากัดความของค�าว่า “โปรแกรมอรรถประโยชน์”
8. จงบอกประเภทของโปรแกรมอรรถประโยชน์ที่ท�างานด้านต่าง ๆ
9. ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software) หมายถึงอะไร
10. ประเภทของซอฟต์แวร์ประยุกต์มีอะไรบ้าง
ตอนที่ 2 ค�ำชี้แจง : ค�ำถำมปรนัย มีทั้งหมด 10 ข้อ ให้ท�ำเครื่องหมำย x ทับข้อ ก ข ค
หรือ ง ที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว
1. แพลตฟอร์มที่ท�าหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายคือข้อใด
ก. แพลตฟอร์มนวัตกรรม ข. แพลตฟอร์มการท�าธุรกรรม
ค. แพลตฟอร์มบูรณาการ ง. แพลตฟอร์มการลงทุน
2. ซอฟแวร์ในข้อใดไม่ใช่ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software)
ก. โปรแกรมเล่นอินเตอร์เน็ต Firefox ข. โปรแกรมแต่งภาพ Photoshop
ค. ระบบปฏิบัติการวินโดวส์7 ง. โปรแกรมดูหนัง PowerDVD
3. ลีนุกซ์ (Linux) เป็นระบบปฏิบัติการแบบใด
ก. ระบบปฏิบัติการแบบเครือข่าย
ข. ระบบปฏิบัติการบนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์
ค. ระบบปฏิบัติการบนเครื่อง handheld computer
ง. ระบบปฏิบัติการบนเว็บ
4. เราจะพบเห็น ระบบปฏิบัติการแบบ Symbian OS (ซิมเบี้ยนโอเอส) ได้จากสิ่งใด
ก. ไอแพด X (IpadX) ข. โทรศัพท์มือถือโนเกีย (Nokia)
ค. เซอร์เฟส โปร (Surface Pro) ง. เสี่ยวมี่ เอ็มไอ 9 (Xiaomi Mi9)
5. ซอฟแวร์ในกลุ่มใดใช้งานทางด้านการจัดเก็บข้อมูลและจัดการกับข้อมูล
ก.ซอฟต์แวร์ท�าการค�านวณ
ข. ซอฟต์แวร์ประมวลผลค�า
บทที่ 4
ระบบดิจิทัล
DO NOT COPY
วัตถุประสงค์การเรียนประจ�าบท
เมื่อได้ศึกษาเนื้อหาในบทนี้แล้ว นิสิตสามารถ
1. บอกความหมายของระบบดิจิทัลได้
2. บอกประเภทของเลขฐานได้ถูกต้อง
3. อธิบายถึงขั้นตอนและวิธีการในการบวก ลบ คูณ หาร เลขฐานได้ถูกต้อง
4. บอกประเภทของภาษาคอมพิวเตอร์ได้ถูกต้อง
ขอบข่ายเนื้อหา
• ความน�า
• ความหมายของระบบดิจิทัล
• ประเภทของระบบเลขฐาน
• การค�านวณค่าในระบบเลขฐาน
• การบวกลบเลขฐาน
• การคูณหารเลขฐาน
• ภาษาคอมพิวเตอร์
80 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
4.1 ความน�า
ในทฤษฎีข้อมูลหรือระบบข้อมูล ดิจิทัลเป็นวิธีแทนความหมายของข้อมูลหรือชิ้นงานต่าง ๆ ใน
รูปแบบของตัวเลข โดยเฉพาะเลขฐานสอง ที่ไม่ต่อเนื่องกัน ซึ่งต่างจากระบบแอนะล็อก (Analog) ที่ใช้
ค่าต่อเนื่อง
DO NOT COPY
ื
ถึงแม้ว่า การแทนความหมายเป็นดิจิทัลจะไม่ต่อเน่อง ข้อมูลท่ถูกแปลความหมายน้นสามารถ
ี
ั
เป็นได้ทั้งไม่ต่อเนื่อง (เช่นตัวเลขหรือตัวหนังสือ) หรือต่อเนื่อง (เช่น เสียง ภาพและการวัดอื่น ๆ) 1
4.2 ความหมายของระบบดิจิทัล
การแทนที่สภาวะของกระแสไฟฟ้าได้ 2 สภาวะ คือ สภาวะที่มีกระแสไฟฟ้า และสภาวะที่ไม่มี
ี
ื
ั
กระแสไฟฟ้า และเพ่อให้โปรแกรมเมอร์สามารถส่งการคอมพิวเตอร์ได้ จึงได้มีการสร้างระบบตัวเลขท่นา
�
มาแทนสภาวะของกระแสไฟฟ้า โดย ตัวเลข 0 จะแทนสภาวะไม่มีกระแสไฟฟ้า หรือ ปิด (Off) เลข 1
แทนสภาวะมีกระแสไฟฟ้า หรือเปิด (On) และได้ก�าหนดตัวเลขที่มีจ�านวน 2 จ�านวน (2 ค่า) เรียกว่า
ึ
ระบบเลขฐานสอง (Binary Number System) ซ่งเป็นระบบตัวเลขท่สามารถนามาใช้ในการส่งงาน
ั
�
ี
คอมพิวเตอร์ โดยการแทนที่สภาวะต่าง ๆ ของกระแสไฟฟ้า แต่ในชีวิตประจ�าวันของคนเราจะคุ้นเคยกับ
ตัวเลขที่มีจ�านวน 10 จ�านวน คือ เลข 0 - 9 ซึ่งเรียกว่าระบบเลขฐานสิบ (Decimal Number System)
ดังนั้นจึงมีความจ�าเป็นต้องศึกษาระบบเลขฐาน ประกอบการศึกษาวิชาด้านคอมพิวเตอร์ ในที่นี้จะกล่าว
ถึงเพียงเเค่ ระบบเลขฐานสอง เลขฐานแปด เลขฐานสิบและเลขฐานสิบหกเท่านั้น
4.3 ประเภทของระบบเลขฐาน
�
ื
�
ระบบเลขฐานท่เราคุ้นเคยมาแต่กาเนิดคือระบบเลขฐานสิบสาหรับการบวก ลบ จะเป็นเร่องง่าย
ี
เพราะเราคุ้นเคยกับการใช้นิ้วมือสิบนิ้วช่วยในการนับมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ระบบเลขฐานสิบถือว่าส�าคัญ
�
ื
เพราะเป็นพ้นฐานในการเรียนรู้ระบบเลขฐานอ่น ๆ ระบบเลขฐานสอง มีความสาคัญอย่างมากสาหรับ
�
ื
คอมพิวเตอร์ เพราะคอมพิวเตอร์ประมวลผลโดยใช้ระบบจ�านวนเลขฐานสอง 2
�
�
�
ี
ี
สาหรับในวงจรท่มีขนาดใหญ่และมีการทางานท่สลับซับซ้อน ถ้านาเอาเลขฐานสองมาใช้จะไม่
สะดวกจึงน�าเอาเลขฐานอื่นมาใช้เช่น เลขฐานแปด เลขฐานสิบหก เป็นต้น ซึ่งผู้ที่สนใจ ด้านนี้จะต้อง
เรียนรู้และเข้าใจระบบเลขฐานดังกล่าว จึงจะมีความเข้าใจพื้นฐานด้านดิจิตอลมากขึ้น
1 วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, ดิจิทัล, [ออนไลน์], แหล่งที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/ดิจิทัล [27 ก.พ.
2562].
2 อุไรวรรณ แย้มแสงสังข์, คณิตศาสตร์ส�าหรับคอมพิวเตอร์, (กรุงเทพฯ : การศึกษาจ�ากัด, 2542).
บทที่ 4 ระบบดิจิทัล 81
4.3.1 ระบบเลขฐานสิบ
ระบบเลขฐานสิบมีสัญลักษณ์ที่ใช้สิบเลขคือ 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 และเลข 9 โดยมีค่าประจ�า
หลักดังนี้
ตารางที่ 1 ค่าประจ�าหลักของเลขฐานสิบ
DO NOT COPY
+n 10 2 10 0 -1 -2 -3 -n
จุดทศนิยม
10 10 10 10 10 10
…….. 100 10 1 0.1 0.01 0.001 ……..
เช่น จ�านวน 3,256.257 สามารถเขียนได้ดังนี้
2
3
1
-2
-3
0
-1
(3×10 )+(2×10 )+(5×10 )+(6×10 ) + (2×10 )+(5×10 )+(7×10 )
3,000+200+50+6 +.2+.05+.007 = 3,256.257
10
4.3.2 ระบบเลขฐานสอง
ระบบเลขฐานสองมีสัญลักษณ์ที่ใช้สองเลขคือ 0 กับ 1 โดยจะมีค่าประจ�าหลักดังนี้
ตารางที่ 2 ค่าประจ�าหลักของเลขฐานสอง
2 +n 2 2 2 1 2 0 2 -1 2 -2 2 -3 2 -n
จุดทศนิยม
…….. 4 2 1 0.5 0.25 0.125 ……..
แต่ละหลักของเลขฐานสองจะเรียกว่า “บิต” (Bit มาจากค�าว่า Binary Digit) จะเห็นว่า บิตทาง
ด้านซ้ายมือจะมีค่ามากกวาบิตทางด้านขวามือโดยบิตทางด้านซ้ายมือที่มีค่ามากสุดเรียกว่า “เอ็มเอสบี”
(MSB ย่อมาจาก Most Significant Bit) ส่วนบิตขวามือที่มีค่าน้อยสุดเรียกว่า “แอลเอสบี” (LSB ย่อมา
จาก Least Significant Bit) รูปแบบของเลขฐานสอง เช่น 1101.112,11011.11012, 101010.10112
เป็นต้น
82 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
4.3.3 ระบบเลขฐานแปด
ุ
ระบบเลขฐานสองแสดงถึงการทางานของระบบดิจิตอลในจดเล็ก ๆ แต่เมอมการพัฒนาระบบ
ี
่
ื
�
ี
ึ
�
ึ
ดิจิตอลก็มีการทางานท่ซับซ้อนและยุ่งยากมากข้นข้อมูลก็มีมากข้นตาม จึงใช้เลขฐาน ท่สูงข้นในท่น้จะ
ี
ี
ี
ึ
กล่าวถึงเลขฐานแปด ซึ่งมีสัญลักษณ์ที่ใช้คือเลข 0,1,2,3,4,5,6 และ 7 โดยมีค่า ประจ�าหลักดังนี้
ตารางที่ 3 ค่าประจ�าหลักของเลขฐานแปด
8 +n 8 2 8 1 8 0 8 -1 8 -2 8 -n
…….. 64 8 1 จุดทศนิยม 0.125 0.015625 ……..
4.3.4 ระบบเลขฐานสิบหก
ดังที่กล่าวแล้วข้างต้นระบบดิจิตอลเมื่อมีการท�างานที่ซับซ้อนข้อมูลย่อมมากขึ้น เลขฐานสิบหก
จึงนิยมน�ามาใช้ในการป้อนค�าสั่งโปรแกรม ซึ่งเลขฐานสิบหกนี้มีสัญลักษณ์ ในการใช้งานสิบหกตัว คือ ใช้
ตัวเลขสิบตัวคือ 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 และตัวอักษรอีกหกตัวคือ A, B, C, D, E, F โดยแทน A=10
10
B=11 C=12 D=13 E=14 F=15 มีค่าประจ�าหลักดังนี้
10
10
10
10
10 DO NOT COPY
ตารางที่ 4 ค่าประจ�าหลักของเลขฐานสิบหก
16 +n 16 2 16 1 16 0 16 -1 16 -2 16 -n
…….. 256 16 1 จุดทศนิยม 0.0625 0.00390625 ……..
4.4 การค�านวณค่าในระบบเลขฐาน
4.4.1 การแปลงฐานสองเป็นเลขฐานสิบ
น�าค่า Weight ของทุกบิตที่มีค่าเป็น 1 มาบวกกัน เช่น จงแปลง (11011101) ให้เป็นเลข
2
ฐานสิบ
3
(11010101) = (1X2 ) + (1X2 ) + (0X2 ) + (1X2 ) + (0X2 ) + (1X2 )
2
5
6
7
4
2
+ (0X2 ) + (1X2 )
1
0
= 128 + 64 + 0 + 16 + 0 + 4 + 0 + 1
= (213)
10
บทที่ 4 ระบบดิจิทัล 83
4.4.2 การเปลี่ยนเลขฐานสิบเป็นเลขฐานสอง
วิธีการ
�
ี
�
�
1. นาเลขฐานสิบเป็นตัวตั้งและนา 2 มาหาร ได้เศษเท่าไรจะเป็นค่าบิตท่มีนัยสาคัญ
น้อยที่สุด (LSB)
DO NOT COPY
ี
ี
�
ี
ั
2. นาผลลัพธ์ท่ได้จากข้อท่ 1 มาต้งหารด้วย 2 อีก เศษท่จัดจะเป็นบิตถัดไปของเลขฐานสอง
3. ท�าเหมือนข้อ 2 ไปเรื่อย ๆ จนได้ผลลัพธ์เป็นศูนย์ เศษที่ได้จะเป็นบิตเลขฐานสองที่
มีนัยส�าคัญมากที่สุด (MSB)
เช่น จงเปลี่ยน (227) เป็นเลขฐานสอง
10
2 227 เศษ 1 (LSB)
2 113 เศษ 1
2 56 เศษ 0
2 28 เศษ 0
2 14 เศษ 0
2 7 เศษ 1
2 3 เศษ 1
2 1 เศษ 1 (MSB)
0
∴ (227) = (11100011)
10 2
วิธีคิดโดยใช้น�้าหนัก (Weight) ของแต่ละบิต
เช่น จงเปลี่ยน (227) = (……)
10 2
วิธีการ
1. น�าค่าน�้าหนัก (Weight) มาตั้ง โดย Weight ที่มีค่ามากที่สุดต้องไม่เกินจ�านวนที่จะ
เปลี่ยนดังนี้คือ 128 64 32 16 8 4 2 1
2. เลือกค่า Weight ที่มีค่ามากที่สุด และค่า Weight ตัวอื่น ๆ เมื่อน�ามารวมกันแล้ว
ให้ได้เท่ากับจ�านวนที่ต้องการ
ค่า Weight 128 64 32 16 8 4 2 1
เลือก 128 + 64 + 32 + 0 + 0 + 0 + 2 + 1 = 227
ฐานสอง 1 1 1 0 0 0 1 1
∴ (227) = (11100011)
10 2
84 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
เช่น จงเปลี่ยน (0.375) เป็นเลขฐานสอง
10
ผลการคูณ ผลของจ�านวนเต็ม
0.375 x 2 = 0.75 0
DO NOT COPY
0.75 x 2 = 1.5 1
0.5 x 2 = 1.0 1
∴ (0.375) = (0.011)
10 2
4.4.3 การเปลี่ยนเลขฐานแปดเป็นฐานสิบและเลขฐานสิบเป็นเลขฐานแปด
1) การเปลี่ยนเลขฐานแปดเป็นเลขฐานสิบ
วิธีการ : น�าค่าน�้าหนัก (Weight)และเลขฐานแปดคูณด้วยเลขประจ�าหลักแล้วน�า
ผลที่ได้ทุกหลักมารวมกัน
น�้าหนัก : Weight ได้แก่ … 8 8 8 8 8 .8 8 8 …
1
4 3 2
-2 -3
0 -1
เช่น : (124) = (…)
8 10
(124) = (1X8 ) + (2X8 ) + (4X8 )
0
2
1
8
= 64 + 24 + 4
= (84)
10
∴ (124) = (84)
8 10
2) การเปลี่ยนเลขฐานสิบเป็นเลขฐานแปด
วิธีการ : น�าเลขฐานสิบเป็นตัวตั้งแล้วหารด้วย 8 เศษที่ได้จากการหารจะเป็นค่าของ
เลขฐานแปด ท�าเช่นเดียวกับการเปลี่ยนเลขฐานสิบเป็นเลขฐานสอง
บทที่ 4 ระบบดิจิทัล 85
เช่น : (95) = (…)
10 8
8 95 เศษ 7
8 11 เศษ 3
8 1 เศษ 1
DO NOT COPY
0
1 3 7
∴ (95) = (137)
10 8
4.4.4 การเปลี่ยนเลขฐานแปดเป็นเลขฐานสองและเลขฐานสองเป็นเลขฐานแปด
1) การเปลี่ยนเลขฐานแปดเป็นเลขฐานสอง
วิธีการ : ต้องใช้เลขฐานสิบเป็นตัวกลางในการเปลี่ยน
8 10 2
เช่น : (137) = (…)
8 2
1. เปลี่ยนเลขฐานแปดเป็นเลขฐานสิบ
1
8
(137) = (1X8 ) + (3X8 ) + (7X8 )
0
8
= (95)
10
2. เปลี่ยนเลขฐานสิบเป็นเลขฐานสอง
(95) = (…)
10 2
Weight = 64 32 16 8 4 2 1
= 64 + 0 + 16 + 8 + 4 + 1 + 1 = 95
เลขฐาน 2 = 1 0 1 1 1 1 1
∴ (137) = (1011111)
8
2
2) การเปลี่ยนเลขฐานสองเป็นเลขฐานแปด
วิธีการ : จะต้องใช้เลขฐานสิบเป็นตัวกลางในการเปลี่ยน
2 10 8
เช่น (1011100) = (…)
2 8
1. เปลี่ยนเลขฐานสองเป็นเลขฐานสิบ
(1011111) = 64 + 0 + 16 + 8 + 4 + 1 + 1
2
= (95)
10
86 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
2. เปลี่ยนฐานสิบเป็นเลขฐานแปด
8 95 เศษ 7
8 11 เศษ 3
8 1 เศษ 1
DO NOT COPY
0
1 3 7
ดังนั้น (1011111) = (137)
2 8
ตารางที่ 5 ตารางเปรียบเทียบเลขฐานแปดและเลขฐานสอง
เลขฐานแปด เลขฐานสอง
0 000
1 001
2 010
3 011
4 100
5 101
6 110
7 111
จากตารางที่ 5 จะเห็นว่าเลขฐานแปดหนึ่งหลักสามารถแทนด้วยเลขฐานสองจ�านวน 3 บิต
เช่น จงแปลงเลขฐานสองเป็นเลขฐานแปด
(1011100) = (…)
2 8
วิธีท�า : 001 011 100
1 3 4
∴ (1011100) = (134)
2 8
เช่น เปลี่ยนเลขฐานแปดเป็นเลขฐานสอง
(6143) = (…)
8 2
บทที่ 4 ระบบดิจิทัล 87
วิธีท�า 6 1 4 3
110 001 100 011
∴ (6143) = (110001100011)
DO NOT COPY
8 2
4.4.5 การเปลี่ยนเลขฐานสิบหกเป็นเลขฐานสิบและเลขฐานสิบเป็นเลขฐานสิบหก
1) การเปลี่ยนเลขฐานสิบหกเป็นเลขฐานสิบ
วิธีการ : น�าค่าน�้าหนัก (Weight) ของเลขฐานสิบหกคูณด้วยเลขประจ�าหลัก
และน�าผลที่ได้ทุกหลักมารวมกัน
น�้าหนัก (Weight) : … 16 16 16 16 16 .16 16 16 …
3
4
-1
-2
-3
0
1
2
เช่น (6C) = (…)
16 10
0
1
( 6 C ) = (5X16 ) + (12X16 )
16
= 80 + 12
= (92)
10
∴ (6C) = (92)
16 10
2) การเปลี่ยนเลขฐานสิบเป็นเลขฐานสิบหก
วิธีการ :น�าเลขฐานสิบมาเป็นตัวตั้งแล้วน�า 16 มาหาร เศษที่ได้จากการหาร จะเป็นค่าเลขฐาน
สิบหก ท�าเช่นเดียวกับการเปลี่ยนเลขฐานสิบเป็นเลขฐานสอง
เช่น : (92) = (…)
10 16
วิธีท�า : 16 92 เศษ 12 = C
1 6 5 เศษ 5
5 C
∴ (92) = (5C)
10 16
4.4.6 การเปลี่ยนเลขฐานสองเป็นเลขฐานสิบหกและเลขฐานสิบหกเป็นเลขฐานสอง
1) การเปลี่ยนเลขฐานสองเป็นเลขฐานสิบหก
วิธีการ : ต้องใช้เลขฐานสิบเป็นตัวกลาง
2 10 16
88 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
เช่น : (1011100) = (…)
2 16
1. เปลี่ยน (1011100) เป็นเลขฐานสิบ
2
(1011100) = (92)
2 10
DO NOT COPY
2. เปลี่ยนเลขฐานสิบเป็นเลขฐานสิบหก
16 92 เศษ 12 =C
16 5 เศษ 5
0
5 C
∴ (1011100) = (5C)
2 16
2) การเปลี่ยนเลขฐานสิบหกเป็นเลขฐานสอง
วิธีการ : จะต้องใช้เลขฐานสิบเป็นตัวกลาง
16 10 2
เช่น : (5C) = (…)
16 2
1. เปลี่ยนเลขฐานสิบหกเป็นเลขฐานสิบ
1
(5C) (5X16 ) + (12X16 )
0
16
= 80 + 12 = (92)
10
2. เปลี่ยนเลขฐานสิบเป็นเลขฐานสอง
(95) = (…)
10 2
Weight = 64 32 16 8 4 2 1
64 + 0 + 16 + 8 + 4 + 0 + 0
เลขฐานสอง = 1 0 1 1 1 0 0
∴ (5C) = (1011100)
16 2
บทที่ 4 ระบบดิจิทัล 89
ตารางที่ 6 ตารางเปรียบเทียบเลขฐานสิบหกกับเลขฐานสอง
เลขฐานสิบหก เลขฐานสอง
0 0000
DO NOT COPY
1 0001
2 0010
3 0011
4 0100
5 0101
6 0110
7 0111
8 1000
9 1001
A 1010
B 1011
C 1100
D 1101
E 1110
F 1111
จากตารางที่ 6 จะเห็นว่า เลขฐานสิบหกหนึ่งหลักสามารถจะแทนด้วยเลขฐานสองจ�านวน 4 บิต
เช่น จงเปลี่ยน (1011100) เป็นเลขฐานสิบหก
2
วิธีท�า 0101 1100
5 12
5 C
∴ (1011100) = (5C)
2 16
90 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
เช่น จงเปลี่ยน (1011110111011) เป็นเลขฐานสิบหก
2
วิธีท�า 0001 0111 1011 1011
1 7 11 11
1 7 B B
∴ (1011110111011) = (17BB)
2 16
เช่น จงเปลี่ยน (A95) เป็นเลขฐานสอง
16
วิธีท�า A 9 5
1010 1001 0101
DO NOT COPY
ดังนั้น (A95) = (101010010101)
16 2
4.4.7 การเปลี่ยนเลขฐานแปดเป็นฐานสิบหกและเลขฐานสิบหกเป็นเลขฐานแปด
1) การเปลี่ยนเลขฐานแปดเป็นเลขฐานสิบหก
วิธีการ : จะต้องใช้เลขฐานสองเป็นตัวกลาง
8 2 16
เช่น (1752) = (…)
8 16
1. เปลี่ยนเลขฐานแปดเป็นเลขฐานสอง แบ่งเป็นเลขฐานแปด 3 บิต ดู
จากตารางที่ 5
(1752) = 1 7 5 2
8
= 001 111 101 010
= (1111101010)
2
บทที่ 4 ระบบดิจิทัล 91
2. เปลี่ยนเลขฐานสองเป็นเลขฐานสิบหก แบ่งเลขฐานสอง 4 บิต ดูจาก
ตารางที่ 6
(1111101010) = 0011 1110 1010
10
= 3 E A
= (3EA)
16
2) การเปลี่ยนเลขฐานสิบหกเป็นเลขฐานแปด
วิธีการ : ต้องใช้เลขฐานสองเป็นตัวกลาง
16 2 8
เช่น (3EA) = (…)
16 8
1. เปลี่ยนเลขฐานสิบหกเป็นเลขฐานสอง แบ่งเป็นเลขฐานสิบหก 4 บิต ดูจาก
ตารางที่ 6
= 3 E A
DO NOT COPY
(3EA)
16
= 0011 1110 1010
= (1111101010)
2
2. เปลี่ยนเลขฐานสองเป็นเลขฐานแปด แบ่งเลขฐานสอง 3 บิต ดูตารางที่ 5
(1111101010) = 001 111 101 010
10
= 1 7 5 2
= (1752)
8
4.5 การบวกลบเลขฐาน
การน�าตัวเลขในระบบเลขฐานใด ๆ มาค�านวณกันด้วยการบวก ลบ คูณ และหาร โดยทั่วไปแล้ว
การบวก ลบ คูณ และหารในระบบเลขฐานสิบก็คงไม่มีปัญหาอันใด แต่ถ้าเป็นระบบเลขฐานที่ไม่ใช่ฐาน
สิบก็คงเป็นเร่องยากท่จะเข้าใจ เน่องจากการยืม การทดตัวเลขจะไม่เหมือนกับระบบฐานสิบ โดยการยืม
ื
ี
ื
และการทดแต่ละครั้งจะมีค่าเท่ากับจ�านวนของเลขฐานนั้น ๆ ซึ่งจะมีวิธีการและขั้นตอนการค�านวณต่อ
ไปนี้
92 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
4.5.1 การบวกเลขฐาน
1) การบวกเลขฐานสอง
ดังได้กล่าวไว้แล้วข้างต้นว่า ในระบบเลขฐานสอง 1 + 1 ไม่ใช่ 2 แต่เป็น 10 ทั้งนี้เพราะ
ในระบบฐานสองไม่มีเลข 2 แต่ให้ใช้ 10 แทนจ�านวนสอง ดังนั้นการบวกเลขฐานสองจะมีหลักเกณฑ์
DO NOT COPY
การบวกดังนี้
0 + 0 = 0
0 + 1 = 1
1 + 0 = 1
1 + 1 = 10 หรือ ใส่ 0 ทด 1
เช่น จงหาผลลัพธ์ของ 10101 + 1110
2 2
วิธีท�า
10101 - ตั้งบวกโดยวางต�าแหน่งหลักทางขวาให้ตรงกัน
+ 1110 - หลักใดบวกกันแล้วมีค่าไม่เกินสอง ก็บวกกันได้เลย
100011 - หลักใดบวกกันมีค่าเป็นสอง (2 = 10 ) ให้ใส่ 0
2
ส่วน 1 น�าไปทดกับหลักถัดไป
ดังนั้น จะได้ผลลัพธ์ 10101 + 1110 = 100011
2 2 2
เช่น จงหาผลลัพธ์ของ 101 + 1010
2 2
วิธีท�า
101 - ตั้งบวกโดยวางต�าแหน่งหลักทางขวาให้ตรงกัน
+ 1010 - หลักใดบวกกันแล้วมีค่าไม่เป็นสอง ก็บวกกันได้เลย
1111 - หลักใดไม่มีตัวบวก ก็ชักลงมาได้เลย
ดังนั้นจะได้ผลลัพธ์ของ 101 + 1010 = 1111
2 2 2
2) การบวกเลขฐานแปด
การบวกเลขฐานแปดก็เหมือนกันกับการบวกเลขฐานสอง และเช่นเดียวกันคือ ใน
ระบบเลขฐานแปด จะมีเลขอยู่ 8 ตัว คือ 0, 1, 2, 3, …, 7 (ไม่มีเลข 8) ดังนั้น ถ้าเราเอา 7 บวกกับ 1 จะ
มีค่าเท่ากับ 10 และ 7 บวก 2 ก็จะได้ 11 ดังที่ได้อธิบายไว้แล้วในข้างต้น
บทที่ 4 ระบบดิจิทัล 93
เช่น จงหาผลลัพธ์ของ 263 + 125
8 8
วิธีท�า
263 - ตั้งบวกโดยวางต�าแหน่งหลักทางขวาให้ตรงกัน
+ 125 - หลักใดบวกกันมีค่าเกินเจ็ด (8 = 10 ) ให้ใส่เลขท้าย
DO NOT COPY
8
410 - ส่วน 1 น�าไปทดกับหลักถัดไป
ดังนั้น จะได้ผลลัพธ์ 263 + 125 = 410
8 8 8
3) การบวกเลขฐานสิบหก
การบวกเลขฐานสิบหกก็เหมือนกันกับการบวกในระบบเลขฐานสอง และฐานแปด
ในระบบเลขฐานสิบหก จะมีเลขอยู่ 16 ตัว คือ 0, 1, 2, 3, …, 8, 9, A, B, C, D, E, F (โดย A-F มีค่าตั้งแต่
10 - 15 ตามล�าดับ) และเช่นเดียวกัน F + 1 = 10 (เนื่องจาก 10 มีค่าเป็น 16 ในระบบเลขฐานสิบหก),
C + 2 = E (เพราะ C คือ 12 บวก 2 เป็น 14 และ 14 เขียนแทนด้วย E) และ A + B = 15 (เพราะ
A = 10, B = 11 แล้ว A + B ได้ 10 + 11 = 21 ซึ่ง 21 ก็คือ 15 ในระบบฐานสิบหก) เป็นต้น
เช่น จงหาผลลัพธ์ของ 9A + C2
16 16
วิธีท�า
9A - ตั้งบวกโดยวางต�าแหน่งหลักทางขวาให้ตรงกัน
+ C2 - A + 2 = 12 ได้ C
15C - 9 + C = 21 ได้ 15 ในระบบฐานสิบหก
ดังนั้น จะได้ผลลัพธ์ 9A + C2 = 15C
16 16 16
4.5.2 การลบเลขฐาน
การลบในระบบเลขฐานใด ๆ ก็เหมือนกันกับการลบในระบบฐานสิบ กล่าวคือ ถ้าตัวตั้ง
มากกว่าตัวลบก็สามารถลบกันได้เลย แต่ถ้าตัวต้งน้อยกว่าตัวลบก็จะยืมหลักข้างหน้ามาเท่ากับจานวน
ั
�
ของเลขฐานนั้น ๆ
1) การลบเลขฐานสอง
ในการลบเลขฐานสอง ถ้าตัวตั้งมากกว่าตัวลบ ให้ลบกันตามปกติ แต่ถ้าตัวตั้งน้อยกว่า
ตัวลบก็จะยืมหลักข้างหน้ามาทีละสอง ซึ่งการลบเลขฐานสองมีหลักเกณฑ์ ดังนี้
0 – 0 = 0
1 – 0 = 1
0 – 1 = 1 (ยืมหลักถัดไปมาสอง เป็น 10 – 1 = 1)
1 – 1 = 0
94 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
เช่น จงหาผลลัพธ์ของ 10001 – 1101
2 2
วิธีท�า
10001 - ตั้งลบโดยวางต�าแหน่งหลักทางขวาให้ตรงกัน
- 1101 - หลักใดลบกันได้ ก็สามารถลบกันได้เลย
DO NOT COPY
100 - หลักใดตัวตั้งน้อยกว่าก็ให้ยืมหลักข้างหน้ามา 1
ซึ่งมีค่าเป็น 2 แล้วลบกันตามปกติ
ดังนั้นจะได้ผลลัพธ์ของ 10001 – 1101 = 100
2 2 2
2) การลบเลขฐานแปด
ั
การลบเลขฐานแปด ก็จะใช้วิธีการเหมือนกับการลบเลขฐานสอง คือ ถ้าตัวต้งมากกว่าตัว
ั
ั
�
ั
ลบก็ให้ลบกันตามปกติ แต่ถ้าตัวต้งมีค่าน้อยกว่าตัวลบก็จะทาการยืมหลักข้างหน้ามาคร้งละแปด จากน้น
จึงท�าการลบตามปกติ
เช่น จงหาผลลัพธ์ของ 123 – 47
8 8
วิธีท�า
123 - ตั้งลบโดยวางต�าแหน่งหลักทางขวาให้ตรงกัน
- 47 - หลักใดตัวตั้งน้อยกว่าก็ให้ยืมหลักข้างมา 1
54 - ซึ่งมีค่าเป็น 8 แล้วลบกันตามปกติ
ดังนั้น จะได้ผลลัพธ์ 123 – 47 = 54
8 8 8
อธิบายตัวอย่างโดยละเอียด
(1) 1 2 3 - ตัวตั้งเป็น 3 ลบกับ 7 ลบกันไม่ได้ 3 ต้องยืมหลักข้างหน้า
- 4 7 โดยยืมกับ 1 มา 1 แต่มีค่าเป็น 8 รวมกับ 3 เป็น 11
4 ดังนั้น 11 ลบ 7 เหลือ 4
(2) 1 1 0 - ตัวตั้งเป็น 1 (เนื่องจากให้ยืมไปแล้ว 1) ลบกับ 4 ลบไม่ได้
- 4 7 ยืมหลักข้างหน้ามา 1 แต่มีค่าเป็น 8 รวมกับ 1 เป็น 9
5 4 ลบ 4 เหลือ 5
บทที่ 4 ระบบดิจิทัล 95
(3) 0 0 0 - ตัวตั้งเป็น 0 เนื่องจากถูกยืมไป
- 4 7 ไม่มีตัวลบ สิ้นสุดการลบ
5 4
ดังนั้น จากโจทย์นี้ ก็จะได้ค�าตอบคือ 54
DO NOT COPY
8
3) การลบเลขฐานสิบหก
ั
การลบเลขฐานสิบหกก็เหมือนกับการลบในระบบฐานสองและฐานแปด คือถ้าตัวต้ง
ั
ั
ิ
ั
ั
้
ั
�
ี
ั
็
็
ั
มากกว่าตวลบกให้ลบกนตามปกต แต่ถ้าตวต้งมค่าน้อยกว่าตวลบกจะทาการยืมหลกข้างหน้ามาครงละ
สิบหก จากนั้นจึงท�าการลบตามปกติ
เช่น จงหาผลลัพธ์ของ 2C9 – 1E8
16 16
วิธีท�า
2C9 - ตั้งลบโดยวางต�าแหน่งหลักทางขวาให้ตรงกัน
- 1E8 - หลักใดลบกันได้ ก็สามารถลบกันได้เลย
E1 - หลักใดตัวตั้งน้อยกว่าก็ให้ยืมหลักข้างมา 1
ซึ่งมีค่าเป็น 16 แล้วลบกันตามปกติ
ดังนั้น จะได้ผลลัพธ์ 2C9 – 1E8 = E1
16 16 16
อธิบายตัวอย่างโดยละเอียด
(1) 2 C 9 - ตัวตั้งเป็น 9 ลบกับ 8 ลบกันได้เลย เหลือ 1
- 1 E 8
1
(2) 2 C 9 - ตัวตั้งเป็น C ลบกับ E ลบกันไม่ได้ C ต้องยืม 2 มา 1
- 1 E 8 แต่มีค่าเป็น 16 รวมกันเป็น 28 (C = 12, บวกกับ 16 เป็น 28)
E 1 ดังนั้น 28 ลบ E (มีค่าเป็น 14) เหลือ 14 แต่ในระบบฐานสิบหก
14 คือ E
(3) 1 C 9 - ตัวตั้งเป็น 2 ถูกยืมไปแล้ว 1 เหลือ 1 ลบกับ 1 ได้ 0
- 1 E 8
0 E 1
ดังนั้น จากโจทย์นี้ ก็จะได้ค�าตอบ คือ E1
16
96 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
4.6 การคูณหารเลขฐาน
4.6.1 การคูณเลขฐาน
การคูณเลขฐานอื่นๆ ที่ไม่ใช่ฐานสิบ ก็จะท�าการคูณในลักษณะเดียวกันกับระบบฐานสิบ
ั
�
ี
ั
โดยต้งหลักท่อยู่ขวามือสุดให้ตรงกัน ตัวต้งคูณกับตัวคูณทุกตาแหน่งแล้วจึงนามาบวกกันตามวิธีการบวก
�
DO NOT COPY
ของเลขแต่ละฐาน
1) การคูณเลขฐานสอง
เนื่องจากเลขฐานสองมีตัวเลขแค่ 2 ตัว คือ 0 และ 1 ดังนั้นผลลัพธ์ที่ได้จากการคูณก็จะ
เป็น 0 หรือ 1 เท่านั้น ซึ่งการคูณเลขฐานสองมีหลักเกณฑ์ ดังนี้
1 × 1 = 1
1 × 0 = 0
0 × 1 = 0
0 × 0 = 0
เช่น จงหาผลลัพธ์ของ 10101 × 110
2 2
วิธีท�า
10101 × - ตั้งการคูณโดยวางต�าแหน่งหลักทางขวาให้ตรงกัน
110 - เริ่มคูณด้วยหลักที่อยู่ขวาสุดก่อน
00000 + - เนื่องจากตัวคูณเป็น 0 ดังนั้นผลลัพธ์ที่ได้จึงเป็น 0
10101 + - น�าหลักถัดมาคูณต่อ
10101 - น�าหลักถัดมาคูณต่อ
1111110 จากนั้นท�าการบวกแต่ละตัวลงมา
ดังนั้น จะได้ผลลัพธ์ 10101 × 110 = 1111110
2 2 2
2) การคูณเลขฐานแปด
ั
ี
การคูณเลขฐานแปด ก็จะใช้วิธีการเหมือนกับการคูณเลขฐานสิบ คือ ต้งหลักท่อยู่ขวา
่
�
ั
ิ
ี
ื
ู
ั
ี
้
็
ู
ุ
สดใหตรงกน จากนนกคณกนทละตวแลวจงนามาบวกกน แตการคณของเลขฐานแปดจะมวธการ คอ ผล
ั
ั
้
ึ
ี
ั
้
คูณที่ได้มีค่ามากกว่า 7 ต้องแปลงไปเป็นระบบเลขฐานแปด เช่น จงหาผลลัพธ์ของ 36 × 54
8 8
บทที่ 4 ระบบดิจิทัล 97
วิธีท�า
36 × - ตั้งการคูณโดยวางต�าแหน่งหลักทางขวาให้ตรงกัน
54 - เริ่มคูณด้วยหลักที่อยู่ขวาสุดก่อน
170 - 4X6 = 24 แปลงเป็นฐานแปดได้ 30 ใส่ 0 ทด 3
8
+ - 4X3 = 12 แปลงเป็นฐานแปดได้ 14 บวกตัวทด 3 เป็น
8
17
8
226 - น�าหลักถัดมาคูณต่อ 5X6 = 30 แปลงเป็นฐานแปดได้ 36
8
2450 ใส่ 6 ทด 3 แล้วคูณตัวต่อไป 5X3 = 15 แปลงเป็นฐาน
แปดได้ 17 บวกตัวทด 3 เป็น 22
8 8
- จากนั้นท�าการบวกแต่ละตัวลงมา
ดังนั้น จะได้ผลลัพธ์ 36 × 54 = 2450
8 8 8
3) การคูณเลขฐานสิบหก
DO NOT COPY
การคูณเลขฐานสิบหกก็กระท�าในลักษณะเดียวกันกับการคูณเลขฐานสิบ โดยตั้งหลัก
ด้านขวามือสุดให้ตรงแล้วท�าการคูณเหมือนเลขฐานสิบ (เขียนในรูปแบบฐานสิบหก) แต่มีหลักเกณฑ์คือ
ถ้าผลลัพธ์ของการคูณแต่ละหลักคูณกันแล้วมีค่าเกิน F (หรือ 15) ให้น�า 16 ไปหารค่านั้น แล้วน�า
ผลลัพธ์ของการหารไปทดในหลักถัดไป เช่น จงหาผลลัพธ์ของ A6 × 5B
16 16
วิธีท�า
A6 × - ตั้งการคูณโดยวางต�าแหน่งหลักทางขวาให้ตรงกัน
5B - เริ่มคูณด้วยหลักที่อยู่ขวาสุดก่อน
722 - BX6 = 66 น�า 16 ไปหารได้ 4 เศษ 2 ใส่เลข 2 แล้วทด 4 กับหลักถัดไป
+ - AXB = 110 บวกกับตัวทด 4 เป็น 114 น�า 16 ไปหารได้ 7 เศษ 2 ใส่ 72
33E - น�าหลักถัดมาคูณต่อ 5X6 = 30 น�า 16 ไปหารได้ 1 เศษ 14 (E) ใส่ E
แล้วทด 1 กับหลักถัดไป
3B02 5XA = 50 บวกกับตัวทด 1 เป็น 51 น�า 16 ไปหารได้ 3 เศษ 3 เติม 33
- จากนั้นท�าการบวกแต่ละตัวลงมา
ดังนั้น จะได้ผลลัพธ์ A6 × 5B = 3B02
16 16 16
98 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
4.6.2 การหารเลขฐาน
การหารเลขฐานอื่นๆ ที่ไม่ใช่ฐานสิบ ก็จะท�าการหารในลักษณะเดียวกันกับระบบฐาน
สิบคือการหารยาว ซึ่งมีวิธีการหารในแต่ละระบบต่อไปนี้
1) การหารเลขฐานสอง
DO NOT COPY
การหารในระบบเลขฐานสอง ก็จะกระท�าเช่นเดียวกันกับการหารเลขฐานสิบ โดยมีหลัก
เกณฑ์การหารต่อไปนี้
0 ÷ 1 = 0
1 ÷ 1 = 1
เช่น จงหาผลลัพธ์ของ 11001 ÷ 101
2 2
วิธีท�า
101
101 1 1 0 0 1 - ตั้งการหารแบบหารยาว 101 X 10 = 1010
1 0 1 0 - น�า 1010 มาลบตัวตั้งโดยไล่จากหลักที่อยู่ซ้ายสุดไปทาง
ขวา
0 0 1 0 - ลบกัน เหลือ 0010
1 0 1 - ชักเลขหลักถัดไปลงมา เป็น 101
1 0 1 - 101 X 1 = 101
0 0 0 - ลบกันเหลือ 0
ดังนั้น จะได้ผลลัพธ์ 11001 ÷ 101 = 101
2 2 2
2) การหารเลขฐานแปด
การหารเลขฐานแปด ก็จะใช้วิธีการเหมือนกับการหารเลขฐานสิบ คือ จะมีการคูณ และ
�
ี
การลบมาเก่ยวข้อง เพ่อความสะดวกในการหารจะใช้ตารางสูตรคูณเลขฐานแปดมาช่วยอานวยความ
ื
สะดวก ดังตารางที่ 7
บทที่ 4 ระบบดิจิทัล 99
ตารางที่ 7 ตารางสูตรคูณเลขฐานแปด
1 2 3 4 5 6 7 10 11 12 13 14
1 1 2 3 4 5 6 7 10 11 12 13 14
2 2 4 6 10 12 14 16 20 22 24 26 30
DO NOT COPY
3 3 6 11 14 17 22 25 30 33 36 41 44
4 4 10 14 20 24 30 34 40 44 50 54 60
5 5 12 17 24 31 36 43 50 55 62 67 74
6 6 14 22 30 36 44 52 60 66 74 102 110
7 7 16 25 34 43 52 61 70 77 106 115 124
เช่น จงหาผลลัพธ์ของ 234 ÷ 14
8 8
วิธีท�า
15
14 2 3 4 - ตั้งการหารแบบหารยาว 14 X 1 = 14
1 4 - น�า 14 มาลบตัวตั้งโดยไล่จากหลักที่อยู่ซ้ายสุดไปทาง
ขวา
0 7 - ลบกัน เหลือ 07
7 4 - ชักเลขหลักถัดไปลงมา เป็น 74
7 4 - 14 X 5 = 74
0 0 - ลบกันเหลือ 0
ดังนั้น จะได้ผลลัพธ์ 234 ÷ 14 = 15
8 8 8
100 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
3) การหารเลขฐานสิบหก
ั
�
การหารเลขฐานสิบหกก็กระทาในลักษณะเดียวกันกับการหารเลขฐานสิบ คือต้งหารแบบ
ยาว มีการคูณ และการลบร่วมอยู่ด้วย เช่น จงหาผลลัพธ์ของ 1B82C ÷ 2C 16
16
วิธีท�า
A01
2C 1 B 8 2 C - ตั้งการหารแบบหารยาว 2C X A = 1B8
1 B 8 - น�า 1B8 มาลบตัวตั้งโดยไล่จากหลักที่อยู่ซ้ายสุดไปทาง
ขวา
0 0 0 - ลบกัน เหลือ 0
0 0 0 - 2C X 0 = 0 น�ามาลบ 0 ที่เหลือ
2 C - ชักเลขหลักถัดไปลงมา เป็น 2C
2 C - 2C X 1 = 2C
0 0 - ลบกันเหลือ 0
DO NOT COPY
ดังนั้น จะได้ผลลัพธ์ 1B82C ÷ 2C = A01
16 16 16
4.7 ภาษาคอมพิวเตอร์
ภาษาคอมพิวเตอร์ หมายถึงภาษาใด ๆ ที่ผู้ใช้งานใช้สื่อสารกับคอมพิวเตอร์ หรือคอมพิวเตอร์
ด้วยกัน แล้วคอมพิวเตอร์สามารถท�างานตามค�าสั่งนั้นได้ โดยที่เราเขียนค�าสั่ง (Command) เพื่อน�าไป
ประกอบเป็นชุดค�าสั่ง (Program) ให้เครื่องคอมพิวเตอร์ท�างาน 3
4.7.1 ชนิดของภาษาคอมพิวเตอร์
ั
่
ิ
ิ
ิ
ั
ภาษาคอมพวเตอร์อาจกล่าวได้ว่าเรมมาจากในมหาวทยาลย หรอในหน่วยงานของรฐบาลท ่ ี
ื
�
ึ
ี
ต้องการทางานบางอย่าง นอกจากน้ บางภาษาเกิดข้นเพราะความต้องการด้านวิทยาศาสตร์
วิศวกรรมศาสตร์และอื่น ๆ อีกมากมาย ท�าให้มีภาษาเกิดขึ้นเป็นจ�านวนมาก จากการที่มีภาษาจ�านวน
มากมายนั้น ท�าให้ต้องก�าหนดระดับของภาษาคอมพิวเตอร์ เพื่อช่วยในการแบ่งประเภทของภาษาเหล่า
ั
ื
ึ
�
ั
น้น การกาหนดว่าเป็นภาษาระดับตาหรือภาษาระดับสูง จะข้นอยู่กับภาษาน้นใกล้เคียงกับเคร่อง
�
่
คอมพิวเตอร์ (ใกล้เคียงกับรหัส 0 และ 1 เรียกว่า ภาษาระดับต�่า) หรือว่าใกล้เคียงกับภาษาที่มนุษย์ใช้
(ใกล้เคียงกับภาษาอังกฤษ เรียกว่า ภาษาระดับสูง)
3 ธงชัย สิทธิกรณ์,ระบบคอมพิวเตอร์เบื้องต้น : Introduction to Computer System, (กรุงเทพฯ :ไอดี
ซี อินโฟ ดิสทริบิวเตอร์ เซ็นเตอร์, 2540).
บทที่ 4 ระบบดิจิทัล 101
1) ภาษาเครื่อง (Machine Language)
ื
ั
ก่อนปี ค.ศ. 1952 มีภาษาคอมพิวเตอร์เพียงภาษาเดียวเท่าน้นคือ ภาษาเคร่อง (Machine
Language) ซึ่งเป็นภาษาระดับต�่าที่สุด เพราะใช้เลขฐานสองแทนข้อมูล และค�าสั่งต่าง ๆ ทั้งหมดจะเป็น
ี
ื
ั
ี
ื
ภาษาท่ข้นอยู่กับชนิดของเคร่องคอมพิวเตอร์ หรือหน่วยประมวลผลท่ใช้ น่นคือแต่ละเคร่องก็จะมีรูปแบบ
ึ
DO NOT COPY
ของค�าสั่งเฉพาะของตนเอง ซึ่งนักค�านวณและนักเขียนโปรแกรมในสมัยก่อนต้องรู้จักวิธีที่จะรวมตัวเลข
เพื่อแทนค�าสั่งต่าง ๆ ท�าให้การเขียนโปรแกรมยุ่งยากมาก นักคอมพิวเตอร์จึงได้พัฒนาภาษาแอสเซมบลี
ขึ้นมาเพื่อให้สามารถเขียนโปรแกรมได้ง่ายขึ้น
2) ภาษาแอสเซมบลี (Assembly Language)
ต่อมาในปีค.ศ. 1952 ได้มีการพัฒนาโปรแกรมภาษาระดับต�่าตัวใหม่ ชื่อภาษาแอสเซมบลี (As-
�
ั
่
ั
้
ี
็
่
ี
�
ื
ี
่
ั
�
sembly Language) โดยทภาษาแอสเซมบลใชรหสเปนคาแทนคาสงภาษาเครอง ทาให้นกเขยนโปรแกรม
สามารถเขียนโปรแกรมได้ง่ายขึ้น ถึงแม้ว่าการเขียนโปรแกรมจะยังไม่สะดวกเท่ากับการเขียนโปรแกรม
ภาษาอื่น ๆ ในสมัยนี้ แต่ถ้าเปรียบเทียบในสมัยนั้นก็ถือว่าเป็นการพัฒนาไปสู่ยุคของการเขียนโปรแกรม
แบบใหม่ คือใช้สัญลักษณ์แทนเลข 0 และ 1 ของภาษาเครื่อง ซึ่งสัญลักษณ์ที่ใช้จะเป็นค�าสั่งสั้น ๆ ที่จะ
ได้ง่าย เรียกว่า นิมอนิกโคด (Memonic Code) เช่น
สัญลักษณ์นิวมอนิกโคด ความหมาย
A การบวก (Add)
C การเปรียบเทียบ (Compare)
MP การคูณ (Multiply)
STO การเก็บข้อมูลในหน่วยความจ�า (Store)
ตัวอย่างนิวมอนิกโคด
ี
ื
�
ี
ถึงแม้ว่านิวมอนิกโคดท่ใช้จะไม่ใช้คาในภาษาอังกฤษ แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ท่ส่อความหมายให้ผู้ใช้
สามารถจดจ�าได้ง่ายกว่าสัญลักษณ์เลข 0 และ 1 ผู้เขียนโปรแกรมภาษาแอสเซมบลียังสามารถก�าหนด
ี
ี
�
ื
ช่อของท่เก็บข้อมูลในหน่วยความจาเป็นคาในภาษาอังกฤษ แทนท่จะเป็นเลขท่ตาแหน่งในหน่วยความจา
�
ี
�
�
เช่น TOTAL , INCOME เป็นต้น แต่ข้อจ�ากัดของภาษาแอสเซมบลี คือ จะแตกต่างกันไปในแต่ละเครื่อง
เช่นเดียวกับภาษาเครื่อง ผู้เขียนโปรแกรมภาษาแอสเซมบลีต้องใช้ แอสเซมเบลอ (Assembler) แปล
ภาษาแอสเซมบลีให้เป็นภาษาเครื่อง เพื่อให้คอมพิวเตอร์ท�างานตามต้องการ
3) ภาษาระดับสูง (High Level Language)
ในปีค.ศ. 1960 ได้มีการพัฒนา ภาษาระดับสูง (High Level Language) ขึ้น ภาษาระดับสูงจะ
ใช้คาในภาษาองกฤษแทนคาสงต่าง ๆ รวมทงสามารถใช้นพจน์ทางคณตศาสตร์ได้ด้วย ทาให้นกเขยน
ั
ี
ั
�
�
�
ิ
ั
ิ
ั
้
่
โปรแกรมสามารถใช้เวลามุ่งไปในการศึกษาถึงทางแก้ปัญหาเท่าน้น ไม่ต้องเป็นกังวลว่าคอมพิวเตอร์จะ
ั
ท�างานอย่างไรอีกต่อไป
102 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
ภาษาระดับสูงนี้ถือว่าเป็น ภาษายุคที่สาม (Third-Generation Language) ซึ่งท�าให้เกิดการ
ึ
ิ
ประมวลผลข้อมูลเพ่มมากข้นอย่างมหาศาลระหว่างปี ค.ศ. 1960 ถึง ค.ศ. 1970 และมีผู้หันมาใช้
ึ
ิ
ื
ื
ื
�
ึ
ื
คอมพิวเตอร์กันมากข้น โดยสังเกตได้จากเคร่องเมนเฟรมจากจานวนร้อยเคร่องเพ่มข้นเป็นหม่นเคร่อง
ั
ั
ื
ั
�
ื
ื
่
อย่างไรก็ตาม ภาษาระดบสูงก็ยงคงต้องการตวแปลภาษาให้เป็นภาษาเครองเพ่อส่งให้เคร่องทางานต่อ
ั
DO NOT COPY
ั
ี
ไป ตัวแปลภาษาท่นิยมใช้งานกันโดยท่วไปจะเป็นแบบคอมไพเลอร์ ซ่งแต่ละภาษาก็มีคอมไพเลอร์ไม่
ึ
ั
เหมือนกัน รวมท้งคอมไพเลอร์แต่ละตัวก็จะต่างกันไปบนเคร่องแต่ละชนิดด้วย เช่น ถ้าเขียนโปรแกรม
ื
ภาษา COBOL บนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ ก็จะต้องเลือกใช้คอมไพเลอร์ภาษา COBOL ที่ท�างานบน
เคร่องไมโครคอมพิวเตอร์ ซ่งการเขียนโปรแกรมภาษาหน่งภาษาใดบนเคร่องท่ต่างกันอาจจะแตกต่างกัน
ึ
ื
ึ
ี
ื
ได้ เพราะคอมไพเลอร์ที่ใช้ต่างกันนั่นเอง
ิ
ู
ภาษาคอมพวเตอร์บางภาษาได้ถกออกแบบมาให้ใช้แก้ปัญหางานเฉพาะบางอย่าง เช่น การ
ควบคุมหุ่นยนต์ การสร้างภาพกราฟิก เป็นต้น แต่ภาษาคอมพิวเตอร์โดยมากจะมีความยืดหยุ่นให้ใช้งาน
ทั่ว ๆ ไปได้ เช่น ภาษา BASIC ภาษา COBOL หรือภาษา FORTRAN เป็นต้น และนอกจากนี้ยังมีภาษา
C ที่ได้รับความนิยมมากเช่นกัน
4) ภาษาระดับสูงมาก (Very high-level Language)
ภาษายุคที่ 4 (Fourth-Generation Language) หรือ 4GLs จะเป็นภาษาที่ใช้เขียนโปรแกรม
ได้สั้นกว่าภาษาในยุคก่อน ๆ การท�างานบางอย่างสามารถใช้เพียง 5 ถึง 10 บรรทัดเท่านั้น ในขณะที่ถ้า
เขียนด้วยภาษา อาจต้องใช้ถึง 100 บรรทัด โดยพื้นฐานแล้ว ภาษาในยุคที่ 4 นี้มีคุณสมบัติที่แยกจาก
ั
้
ั
้
่
่
ุ
ั
่
ี
ภาษาในยคกอน ๆ อยางชดเจน กลาวคือภาษาในยุคกอนนนใชหลกการของ การเขยนโปรแกรมแบบโพร
่
ซีเยอร์ (Procedure Language) ในขณะท่ภาษาในยุคท่ 4 จะเป็นแบบ ไม่ใช้โพรซีเยอร์ (Non Procedure
ี
ี
Language) ผู้เขียนโปรแกรมเพียงแต่กาหนดว่าต้องการให้โปรแกรมทาอะไรบ้างก็สามารถเขียนโปรแกรม
�
�
ได้ทันที โดยไม่ต้องทราบว่าท�าได้อย่างไร ท�าให้การเขียนโปรแกรมสามารถท�าได้ง่ายและรวดเร็ว
มีนักเขียนโปรแกรมกล่าวว่า ถ้าใช้ภาษาในยุคที่ 4 นี้เขียนโปรแกรมจะท�าให้ได้งานที่เพิ่มขึ้นถึง
�
ึ
สิบเท่าตัว ตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการพิมพ์รายงานแสดงจานวนรายการสินค้าท่ขายให้ลูกค้าแต่ละคนในหน่ง
ี
เดือน โดยให้แสดงยอดรวมของลูกค้าแต่ละคน และให้ขึ้นหน้าใหม่ส�าหรับการพิมพ์รายงานลูกค้าแต่ละ
คน จะเขียนโดยใช้ภาษาในยุคที่ 4 ได้ดังนี้
TABLE FILE SALES
SUM UNIT BY MONTH BY CUSTOMER BY PROJECT
ON CUSTOMER SUBTOTAL PAGE BREAK
END
จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า เป็นงานที่ซับซ้อน ซึ่งถ้าใช้ภาษา COBOL เขียนอาจจะต้องใช้ถึง 500
ค�าสั่ง แต่ถ้าใช้ภาษาในยุคที่ 4 นี้จะเป็นสิ่งที่ท�าได้ไม่ยากเลย
บทที่ 4 ระบบดิจิทัล 103
ข้อดีของภาษาในยุคที่ 4 คือ
• การเขียนโปรแกรมจะเน้นที่ผลของงานว่าต้องการอะไร ไม่สนใจว่าจะท�าได้อย่างไร
• ช่วยพัฒนาเนื้องาน เพราะเขียนและแก้ไขโปรแกรมได้ง่าย
ั
• ไม่ต้องเสียเวลาอบรมผู้เขียนโปรแกรมมากนัก ไม่ว่าผู้ท่จะมาเขียนโปรแกรมน้นมีความรู้ด้านการ
ี
DO NOT COPY
เขียนโปรแกรมหรือไม่
• ผู้เขียนโปรแกรมไม่ต้องทราบถึงฮาร์ดแวร์ของเครื่องและโครงสร้างโปรแกรม
ภาษาในยุคที่ 4 นี้ยังมีภาษาที่ใช้ส�าหรับเรียกดูข้อมูลจากฐานข้อมูลได้ เรียกว่า ภาษาเรียกค้น
ข้อมูล (Query Language) โดยปกติแล้วการเก็บข้อมูลลงในฐานข้อมูล และการแสดงรายงานจากฐาน
ี
ข้อมูล จะต้องมีการวางแผนไว้ล่วงหน้า แต่บางคร้งอาจมีการเรียกดูข้อมูลพิเศษท่ไม่ได้มีการวางแผนไว้
ั
ถ้าผู้ใช้เรียนรู้ภาษาเรียกค้นข้อมูลก็จะขอดูรายงานต่าง ๆ นอกเหนือจากท่ได้มีการวางแผนไว้ได้โดยใช้
ี
เวลาไม่มากนัก ภาษาเรียกค้นข้อมูลที่เป็นมาตรฐานเรียกว่า SQL (Structured Query Language) และ
นอกจากนี้ยังมีภาษา Query Bu Example หรือ QBE ที่ได้รับความนิยมการใช้งานมากเช่นกัน
5) ภาษาธรรมชาติ (Nature Language)
ภาษายุคที่ 5 (Fifth Generation Language) หรือ 5GLs ธรรมชาติหมายถึงธรรมชาติของมนุษย์
�
ั
ี
�
ี
ื
คือไม่ต้องสนใจถึงคาส่งหรือลาดับของข้อมูลท่ถูกต้อง ผู้ใช้เพียงแต่พิมพ์ส่งท่ต้องการลงในเคร่อง
ิ
คอมพิวเตอร์เป็นคาหรือประโยคตามท่ผู้ใช้เข้าใจ ซ่งจะทาให้มีรูปแบบของคาส่งหรือประโยคท่แตกต่าง
�
ึ
ี
�
�
ี
ั
ั
�
กันออกไปได้มากมาย เพราะผู้ใช้แต่ละคนอาจจะใช้ประโยคต่างกัน ใช้คาศัพท์ต่างกัน หรือแม้กระท่งบาง
ั
ั
�
คนอาจจะใช้ศัพท์แสลงก็ได้ คอมพิวเตอร์จะพยายามแปลคาหรือประโยคเหล่าน้นตามคาส่ง แต่ถ้าไม่
�
สามารถแปลให้เข้าใจได้ ก็จะมีคาถามกลับมาถามผู้ใช้เพ่อยืนยันความถูกต้อง ภาษาธรรมชาติจะใช้ ระบบ
ื
�
ฐานความรู้ (Knowledge Base System) ช่วยในการแปลความหมายของค�าสั่งต่าง ๆ
สรุปท้ายบท
ื
ี
ระบบเลขฐานท่ใช้กับคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่เป็นเลขฐานสอง ฐานแปด และฐานสิบหก เน่องจาก
่
ั
ี
้
�
ี
้
ั
ั
ครงแรกทมการสรางเคร่องคอมพวเตอรอเล็กทรอนกส์ระบบจะรบรคาสงและแสดงผลออกมาในลกษณะ
่
ู
ิ
ื
ิ
้
ิ
ั
์
ของหลอดไฟที่เปิดและหลอดไฟปิด ซึ่งต่อมาถูกน�ามาแทนด้วยระบบเลขฐานสอง ฐานแปด และฐานสิบ
หก โดยเลขฐานสองจะมีตัวเลขอยู่สองตัวคือ 0 และ 1 ส่วนเลขฐานแปดก็จะมีตัวเลขอยู่แปดตัวเช่นกัน
คือ 0, 1, 2, …, 7 และเลขฐานสิบหก ก็จะมีตัวเลขสิบหกตัว คือ 0, 1, 2, …, 9, A, B, C, D, E, F (ตัวเลข
A แทนค่า สิบ, ตัวเลข B แทนค่า สิบเอ็ด ไปจนถึง F แทนค่า สิบห้า) และการเขียนตัวเลขฐานใด ๆ จะ
ต้องเขียนเลขฐานนั้น ๆ ก�ากับห้อยไว้ด้านล่าง เช่น 101 , 25 , A01 16
2
8
�
ื
ื
ั
ในส่วนของภาษาคอมพิวเตอร์ เป็นภาษาท่ใช้เขียนเพ่อส่งการให้เคร่องคอมพิวเตอร์ทางาน เร่ม
ิ
ี
ต้นมาจากภาษาเครื่อง ภาษาระดับต�่า ภาษาระดับสูง และภาษาเชิงวัตถุ แต่ละภาษามีเอกลักษณ์เฉพาะ
ตัว ให้ผลลัพธ์ต่างกัน และเหมาะส�าหรับงานแต่ละงานแตกต่างกันไป
104 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
ค�าถามท้ายบท
ตอนที่ 1 ค�าชี้แจง : ข้อสอบอัตนัย มีทั้งหมด 10 ข้อ ให้นิสิตท�าทั้งหมด
1. ในระบบเลขฐานสิบหก และมีตัวเลขกี่ตัว อะไรบ้าง
DO NOT COPY
2. ในระบบเลขฐานแปด เลขใดใช้แทนจ�านวนต่อไปนี้
2.1 แปด
2.2 สิบหก
2.3 สองพันห้าร้อยหกสิบสอง
3. จงแปลงจ�านวน 1011102 ไปเป็นระบบเลขฐานสิบ
4. จงแปลงจ�านวน 22 ไปเป็นระบบเลขฐานสอง
5. จงแปลงจ�านวน 110002 ไปเป็นระบบเลขฐานแปด
6. จงหาผลลัพธ์ของ 1011102 + 10012
7. จงหาผลลัพธ์ของ 10002 – 1002
8. จงหาผลลัพธ์ของ 12C ÷ 19
16 16
9. จงหาผลลัพธ์ของ 110 × 10
2 2
10. ภาษาคอมพิวเตอร์แบ่งออกเป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง
ตอนที่ 2 ค�าชี้แจง : ค�าถามปรนัย มีทั้งหมด 10 ข้อ ให้ท�าเครื่องหมาย x ทับข้อ ก ข ค
หรือ ง ที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว
1. ระบบเลขฐานใดถูกน�าไปใช้งานในชีวิตประจ�าวัน
ก. เลขฐานสอง ข. เลขฐานแปด
ค. เลขฐานสิบ ง. เลขฐานสิบหก
2. หลักการท�างานของอุปกรณ์ใดเปรียบเทียบได้กับสภาวะการท�างานของเลขฐานสอง
ก. ขี่จักรยาน ข. ปิด - เปิดสวิตซ์
ค. ลูกตุ้มนาฬิกาแกว่ง ง. การหมุนของพัดลม
3. เลขฐานสิบค่า 5 เขียนเป็นเลขฐานสองได้อย่างไร
ก. 0101 ข. 0110
ค. 0111 ง. 1001
4. เลขยก (124) มีค่าเท่าไร
8
ก. (74) ข. (85)
10 10
ค. (65) ง. (84)
10 10
บทที่ 5
การวิเคราะห์ออกแบบและพัฒนาระบบ
DO NOT COPY
วัตถุประสงค์ประจ�าบท
เมื่อได้ศึกษาเนื้อหาในบทนี้แล้ว นิสิตสามารถ
1. บอกความหมายของระบบ และวิธีวิเคราะห์ระบบได้
2. บอกรายละเอียดของวิธีการออกแบบและพัฒนาระบบได้ถูกต้อง
3. อธิบายวงจรการพัฒนาระบบได้อย่างถูกต้อง
4. อธิบายการเขียนผังงานได้อย่างถูกต้อง
5. อธิบายหน้าที่และคุณสมบัติของนักวิเคราะห์ระบบได้อย่างถูกต้อง
ขอบข่ายเนื้อหา
• ความน�า
• ความหมายของระบบ
• การวิเคราะห์ระบบ
• การออกแบบและพัฒนาระบบ
• วงจรการพัฒนาระบบ
• ล�าดับขั้นตอนวิธี
• การออกแบบผังงาน