The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by nirandorn.ler, 2020-05-20 10:22:11

พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ

บทที่ 6 เทคโนโลยีเครือข่ายคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร 161


ค�าถามท้ายบท


ตอนที่ 1 ค�าชี้แจง : ข้อสอบอัตนัย มีทั้งหมด 10 ข้อ ให้นิสิตท�าทั้งหมด
1. อธิบายความเป็นมาของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์มาพอสังเขป
DO NOT COPY
2. อธิบายองค์ประกอบของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
3. จงบอกรูปแบบ (Topology) ของเครือข่ายคอมพิวเตอร์

4. อธิบายถึงคุณลักษณะของระบบเครือข่ายต่อไปนี้
1) LAN 2) MAN 3) WAN
5. อธิการลักษณะการต่อระบบเครือข่ายแบบ Client/Server มาพอสังเขป

6. อธิบายถึงวิธีการรักษาความปลอดภัยบนระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์มาพอสังเขป
7. การสื่อสารข้อมูลแบ่งออกได้เป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง
8. สื่อกลางในการสื่อสาร แบ่งออกเป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง

9. จงอธิบายการท�างานของระบบเครือข่ายแบบ Wireless LAN มาพอเข้าใจ
10. หากต้องท�าระบบเครือข่ายภายในห้องท�างานที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ 5 ตัว เครื่องพิมพ์ 1 ตัว
จะมีขั้นตอนอย่างไร และต้องใช้อุปกรณ์ใดบ้าง


ตอนที่ 2 ค�าชี้แจง : ค�าถามปรนัย มีทั้งหมด 10 ข้อ ให้ท�าเครื่องหมาย x ทับข้อ ก ข ค
หรือ ง ที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว

1. ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์หมายถึงข้อใด

ก. การเชื่อมต่อกันระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไป
ข. การเชื่อมต่อกันระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับโทรศัพท์มือถือ
ค. การเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์เข้ากับอินเทอร์เน็ต

ง. การเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์เข้ากับสมาร์ททีวี
2. หน่วยงานใดที่เริ่มใช้งานระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์อย่างจริง ๆ จัง ๆ
ก. XEROX ข. UCLA

ค. MCU KK ง. ARPANET
3. โครงสร้างของระบบเครือข่ายแบบใด เป็นที่นิยมในปัจจุบัน
ก. STAR ข. BUS

ค. TREE ง. RING
4. ค�าว่า Wi-Fi มีความหมายตามข้อใด

ก. อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้ได้กับมาตรฐานเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบไร้สาย
ข. อุปกรณ์กระจายสัญญาณแบบไร้สาย

บทที่ 7

เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการ



DO NOT COPY
วัตถุประสงค์ประจ�าบท

เมื่อได้ศึกษาเนื้อหาในบทนี้แล้ว นิสิตสามารถ

1. บอกความหมาย ความส�าคัญ และประเภทของข้อมูลสารสนเทศได้
2. บอกความหมาย ความส�าคัญ และประเภทของเทคโนโลยีสารสนเทศได้
3. บอกความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการได้

4. อธิบายถึงบุคคลผู้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการได้
5. อธิบายบทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศกับการพัฒนาประเทศได้

6. บอกประโยชน์ของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการได้


ขอบข่ายเนื้อหาประจ�าบท

• ความน�า

• ข้อมูลและประเภทของข้อมูล
• เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการ
• ประเภทสารสนเทศเพื่อการจัดการ

• บทบาทของบุคคลผู้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการ
• ความต้องการสารสนเทศผู้บริหารระดับต่างๆ

• บทบาทเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการกับการพัฒนาประเทศ
• ประโยชน์ของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ

166 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ


7.1 ความน�า


เทคโนโลยีสารสนเทศได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจาวันของมนุษย์มากข้นและคาดว่าจะม ี
บทบาทและความส�าคัญมากขึ้นไปเรื่อย ๆ และในอัตราเร่งที่สูงขึ้น



ท้งน้เน่องจากความก้าวหน้าในวิทยาการคอมพิวเตอร์และการส่อสารโทรคมนาคมรวมท้งการ


DO NOT COPY
เปลี่ยนแปลงในทางเศรษฐกิจสังคมและการเมืองท�าให้สภาวะทางการแข่งขันเปลี่ยนอย่างมาก ผู้บริหาร


ท่ต้องการความอยู่รอดและการเจริญเติบโตจึงเห็นความสาคัญและต้องใช้เทคโนโลยีสารสนเทศให้เกิด


ประโยชน์อย่างเต็มท่ เพ่อสร้างความได้เปรียบเชิงแข่งขันเทคโนโลยีสารสนเทศมีความสัมพันธ์กับการ
บริหารเป็นอย่างมากและเป็นสิ่งจ�าเป็นส�าหรับองค์การต่าง ๆ โดยเข้ามามีส่วนในการปฏิบัติงานประจ�า
ของกิจการสร้างเครือข่ายการทางานระหว่างพนักงานในองค์การและกับบุคคลอ่นช่วยในกระบวนการ


บริหารจัดการและการตัดสินใจรวมท้งการวางแผนงานต่าง ๆ ท้งในระยะส้นและระยะยาวช่วยในการ



ท�าให้ข้อมูลมีประสิทธิภาพ
ข้อมูลก็เป็นสิ่งส�าคัญส�าหรับการบริหารจัดการในองค์กรทุกองค์กร ซึ่งจะต้องมีความถูกต้อง จึง
เป็นสิ่งจ�าเป็นส�าหรับหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ เป็นอย่างมากในปัจจุบัน การสร้างและใช้ระบบฐาน

ข้อมูลในองค์กร ช่วยในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ท่เกิดข้นได้ การจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบระบบฐานข้อมูลเป็น

ที่นิยมและจ�าเป็นส�าหรับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งที่เป็นของเอกชน และหน่วยงานของทางราชการ
7.2 ความหมายและความส�าคัญของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ


ระบบสารสนเทศเพ่อการจัดการ หมายถึง ระบบท่รวบรวมและจัดเก็บข้อมูลจากแหล่งข้อมูล

ต่าง ๆ ท้งภายใน และภายนอกองค์การอย่างมีหลักเกณฑ์ เพ่อนามาประมวลผลและจัดรูปแบบให้ได้



สารสนเทศท่ ช่วยสนับสนุนการทางาน และการตัดสินใจในด้านต่าง ๆ ของผู้บริหารเพ่อให้การดาเนิน




งานขององค์การ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยท่เราจะเป็นว่า MIS จะประกอบด้วยหน้าท่หลัก


2 ประการคือ 1
1. สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ทั้งจากภายในและภายนอกองค์การ มาไว้ด้วย
กัน อย่างเป็นระบบ
2. สามารถท�าการประมวลผลข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ได้สารสนเทศที่ช่วยสนับสนุน
การปฏิบัติงานและการบริหารงานของผู้บริหาร
ให้ความหมายของระบบสารสนเทศเพ่อการจัดการ คือ เป็นระบบท่รวม (Integrate) ผู้ใช้ (User)


เครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ต่าง ๆ (Machine) เพื่อจัดท�าสารสนเทศ ส�าหรับสนับสนุน การปฏิบัติ
งาน (Operation) การจัดการ (Management) และการตัดสินใจ (Decision Making) ในองค์กรจาก



1 ธนันธร ชมพรม, เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการอาชีพ, [ออนไลน์] (แหล่งที่มา) : http://ice-it-
work.blogspot.com/p/blog-page_16.html [26 กุมภาพันธ์ 2562]

บทที่ 7 เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการ 167



ความหมายท่กล่าวมาสามารถสรุปความหมายของระบบสารสนเทศเพ่อการจัดการได้คือ การรวบรวม
และการจัดเก็บข้อมูล จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับองค์การ ทั้งจากภายใน และภายนอกหน่วย












งาน เพอนามาประมวลผล และจัดรปแบบ ใหได้สารสนเทศทเหมาะสมกับองคการ เพอช่วยในการตดสน
ใจ ประสานงาน และควบคุมของผู้บริหาร ในอันที่จะด�าเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2
DO NOT COPY

ความสาคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทาให้

มีการพัฒนาคิดค้นส่งอานวยความสะดวกสบายต่อการดารงชีวิตเป็นอันมาก เทคโนโลยีได้เข้ามาเสริม























ปจจยพนฐานการดารงชวตไดเปนอยางด เทคโนโลยทาใหการสรางทพกอาศยมคณภาพมาตรฐาน สามารถ

ผลิตสินค้าและบริการต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์มากขึ้น เทคโนโลยีท�าให้ระบบการ
ผลิตสามารถผลิตสินค้าได้เป็นจานวนมาก มีราคาถูกลง สินค้าได้คุณภาพ เทคโนโลยีทาให้มีการติดต่อ


สื่อสารได้สะดวก การเดินทางเชื่อมโยงถึงกันท�าให้ประชากรในโลกติดต่อรับฟังข่าวสารกันได้ตลอดเวลา



พัฒนาการของเทคโนโลยีทาให้ชีวิตความเป็นอยู่เปล่ยนไปมาก เทคโนโลยีเร่มเข้ามาช่วยในการพิมพ์ ทาให้

การสื่อสารด้วยข้อความและภาษาเพิ่มมากขึ้น เทคโนโลยีพัฒนามาจนถึงการสื่อสารกัน โดยส่งข้อความ







เปนเสียงทางโทรศัพทไดประมาณรอยกว่าปทแล้ว และเมอประมาณหาสิบปทแลว กมการส่งภาพโทรทศน ์










และคอมพิวเตอร์ท�าให้มีการใช้สารสนเทศในรูปแบบข่าวสารมากขึ้น ในปัจจุบันมีสถานที่วิทยุ โทรทัศน์
หนังสือพิมพ์ และสื่อต่าง ๆ ที่ใช้ในการกระจายข่าวสาร มีการแพร่ภาพทางโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเพื่อ
รายงานเหตุการณ์สด จะเห็นได้ชัดว่าเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทอย่างมาก บทบาทของการพัฒนา


เทคโนโลยีรวดเร็วข้นเม่อมีการพัฒนาอุปกรณ์ทางด้านคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ จะเห็นได้ว่าในช่วง
สี่ห้าปีที่ผ่านมาจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งมีคอมพิวเตอร์เข้าไปเกี่ยวข้องให้เห็นอยู่ตลอดเวลาสามารถอธิบาย
ความส�าคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศด้านที่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้านต่าง ๆ ของ
มนุษย์ไว้หลายประการดังต่อไปนี้ (จอห์น ไนซ์บิตต์ อ้างถึงใน ยืน ภู่วรวรรณ) 3
1. เทคโนโลยีสารสนเทศ ท�าให้สังคมเปลี่ยนจากสังคมอุตสาหกรรมมาเป็นสังคมสารสนเทศ




2. เทคโนโลยีสารสนเทศทาให้ระบบเศรษฐกิจเปล่ยนจากระบบแห่งชาติไปเป็นเศรษฐกิจโลกท่ทาให้
ระบบเศรษฐกิจของโลกผูกพันกับทุกประเทศ ความเชื่อมโยงของเครือข่ายสารสนเทศท�าให้เกิด
สังคมโลกาภิวัฒน์
3. เทคโนโลยีสารสนเทศทาให้องค์กรมีลักษณะผูกพันมีการบังคับบัญชาแบบแนวราบมากข้น หน่วย



ธุรกิจมีขนาดเล็กลง และเช่อมโยงกับหน่วยธุรกิจอ่นเป็นเครือข่าย การดาเนินธุรกิจมีการ แข่งขัน


กันในด้านความเร็ว โดยอาศัยการใช้ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และการสื่อสารโทรคมนาคม
2 ชุมพล ศฤงคารศิริ,ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ, พิมพ์ครั้งที่5, (กรุงเทพฯ : คลังวิชา, 2543), หน้า 2.
3 ยืน ภู่วรวรรณ, การใชคอมพิวเตอร์ในการเรียนการสอน, (กรุงเทพฯ : ภาควิชาเทคโนโลยีทางการศึกษา,
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2531), หน้า 12.

168 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ


เป็นตัวสนับสนุน เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลได้ง่ายและรวดเร็ว
4. เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเทคโนโลยีแบบสุนทรียสัมผัส และสามารถตอบสนองตามความต้องการ
การใช้เทคโนโลยีในรูปแบบใหม่ที่เลือกได้เอง

5. เทคโนโลยีสารสนเทศท�าให้เกิดสภาพทางการท�างานแบบทุกสถานที่และทุกเวลา
DO NOT COPY


6. เทคโนโลยสารสนเทศก่อให้เกดการวางแผนการดาเนินการระยะยาวข้น อีกทงยงท�าให้วธีการ






ตัดสินใจ หรือเลือกทางเลือกได้ละเอียดขึ้น
กล่าวโดยสรุปแล้ว เทคโนโลยีสารสนเทศมีบทบาทส�าคัญในทุกวงการ มีผลต่อการเปลี่ยนแปลง
โลกด้านความเป็นอยู่ สังคม เศรษฐกิจ การศึกษา การแพทย์ เกษตรกรรม อุตสาหกรรม การเมือง ตลอด
จนการวิจัยและการพัฒนาต่าง ๆ
7.3 ประเภทของสารสนเทศเพื่อการจัดการ

ระบบสารสนเทศ ยังสามารถจัดแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ตามความต้องการของผู้ใช้งาน ซึ่ง
ประกอบด้วย 4

1. ระบบประมวลผลรายการประจ�าวัน (Transaction Processing Systems : TPS)
2. ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (Management Information Systems : MIS)

3. ระบบส�านักงานอัตโนมัติ (Office Automation System : OAS)
4. ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision Support Systems : DSS)

5. ระบบสนับสนุนผู้บริหารระดับสูง (Executive Support System : ESS)
6. ระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert System : ES)

7.3.1 ระบบประมวลผลรายการประจ�าวัน (Transaction Processing Systems: TPS)




ระบบประมวลผลรายการประจาวัน เป็นการประมวลผลข้อมูลทางธุรกิจประจาวันท่เก่ยวกับการ





ดาเนินงานประจาวันท่ต้องทาในธุรกิจ เช่น การบันทึกรายการส่งซ้อสินค้าจากลูกค้าในแต่ละวัน โดย

รายการที่บันทึกนั้นจัดเป็นการปฏิบัติงานที่กระท�าซ�้า ๆ ในแต่ละวันเป็นประจ�า ข้อมูลรายการประจ�าวัน
เหล่านี้จะถูกรวบรวมไว้เพื่อน�าไปจัดท�ารายงานตามความต้องการต่อไป
7.3.2 ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (Management Information Systems: MIS)





เม่อมีการนาคอมพิวเตอร์มาใช้เพ่อประมวลผลงานทางธุรกิจ ระบบสารสนเทศได้ริเร่มพัฒนาเพ่อ

ใช้กับระบบประมวลผลรายการประจาวัน โดยมีวัตถุประสงค์เพ่อใช้จัดเก็บข้อมูลแทนระบบการจัดเก็บ


ด้วยมือทาให้สามารถจัดเก็บข้อมูลได้ในปริมาณมาก ค้นหาข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ช่วยลดต้นทุนและส่ง
ผลต่อทัศนคติที่ดีในด้านการบริการแก่ลูกค้า แต่อย่างไรก็ตาม การประมวลผลทางคอมพิวเตอร์สามารถ
4 สานิตย์ กายาผาด, เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิต, พิมพ์ครั้งที่2, (กรุงเทพฯ : เธิร์ดเวฟ เอ็ดเคชั่น, 2542),
หน้า 116.

บทที่ 7 เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการ 169



นามาใช้ประโยชน์ได้มากกว่าท่จะจัดเก็บข้อมูลในแต่ละวันเพียงอย่างเดียว ด้วยความสามารถของ
คอมพิวเตอร์ยังสามารถน�ามาใช้ประยุกต์กับงานอื่น ๆ ได้อีกหลายด้าน เช่น รายงานสรุปผลการด�าเนิน
งาน รายงานเปรียบเทียบข้อมูลประจ�าเดือน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็คือแนวคิดของระบบ MIS นั่นเอง

ระบบ MIS เป็นแหล่งรวมของระบบ TPS ด้วยการน�าไปประมวลผล เช่น เมื่อมีการซื้อสินค้า
DO NOT COPY










ระบบ TPS กจะบนทกรายการซอสนค้าต่าง ๆ มการอัปเดตบัญชีลกหนหรือลูกค้า การตดยอดสตอก


สินค้า ดังนั้นรายงานของระบบ MIS ก็จะเกี่ยวข้องกับรายงานการขายสินค้าประจ�าวัน รายงานสรุปยอด
ขายประจ�าสัปดาห์ รายงานแสดงลูกหนี้ที่ครบก�าหนดช�าระเงิน รวมถึงรายงานที่น�าเสนอในรูปแบบของ
กราฟเปรียบเทียบ เพ่อสะดวกต่อการนามาใช้ประกอบการตัดสินใจ นอกจากน้รายงานท่ใช้ยังสามารถ





เป็นได้ท้งรายงานท่แสดงรายละเอียด รายงานผลสรุป และรายงานข้อยกเว้น ด้วยการกรองข้อมูลบาง

อย่างออกไปเพื่อคงไว้แต่ข้อมูลที่ต้องการ เป็นต้น
7.3.3 ระบบส�านักงานอัตโนมัติ (Office Automation System: OAS)
ระบบส�านักงานอัตโนมัติ เป็นระบบที่น�ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพงานส�านักงาน พนักงานใน
องค์กร สามารถใช้คอมพิวเตอร์ในการจัดการกับเอกสารและข้อมูลต่าง ๆ โดยมีผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์
มากมายที่สนับสนุนงานในลักษณะนี้ ซึ่งประกอบด้วย
- โปรแกรมประมวลผลค�า
- โปรแกรมตารางงาน
- โปรแกรมฐานข้อมูล
- โปรแกรมน�าเสนอผลงาน

- โปรแกรมออกแบบกราฟิก
- จดหมายอิเล็กทรอนิกส์
- เว็บเบราเซอร์ และเครื่องมือในการสร้างเว็บ

- โปรแกรมด้านการสื่อสารและเครือข่าย


โปรแกรมดังกล่าวข้างต้น ล้วนเป็นส่งจาเป็นท่ออฟฟิศสานักงานต้องใช้สาหรับงานพ้นฐานท่วไป





อย่างไรก็ตาม ระบบสานักงานอตโนมตอาจใช้เทคโนโลยการสอสาร เช่น โทรสาร จดหมายเสียง และ







วิดีโอ
คอนเฟอเรนซ์ รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Interchange :
EDI) ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการจัดส่งเอกสารหรือข้อมูลระหว่างหน่วยงานผ่านระบบ
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ดังนั้นคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานในส�านักงาน จึงจ�าเป็นต้องมีอุปกรณ์ต่าง ๆ ค่อนข้าง
ครบถ้วนเพื่อสะดวกต่อการใช้งาน เช่น โมเด็ม กล้องวิดีโอ ล�าโพง ไมโครโฟน สแกนเนอร์ เครื่องรับส่ง
โทรสาร และกล้องดิจิตอล เป็นต้น

170 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ


7.3.4 ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision Support Systems: DSS)


เป็นระบบสารสนเทศท่ตอบสนองความต้องการของผู้บริหาร ด้วยการจัดทารายงานวิเคราะห์ผล















ทางสถต หรอการแสดงผลในรปแบบของกราฟเปรยบเทยบ เพอใชประโยชนตอการตดสนใจของผบรหาร

ระบบสนับสนุนการตัดสินใจยังสามารถท�าการปรับเปลี่ยนค่าตัวแปรต่าง ๆ เพื่อน�ามาประกอบเป็นทาง
DO NOT COPY
เลือกในการตัดสินใจของผู้บริหารเพื่อพิจารณาผลสรุปในแต่ละทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด ถึงแม้ว่าระบบ
DSS ปกติมักจะน�าสารสนเทศภายในจากระบบ TPS และ MIS มาใช้งาน แต่ก็อาจน�าสารสนเทศจาก
แหล่งภายนอกมาใช้ร่วมกันได้ เช่น การน�าข้อมูลราคาหุ้นของตลาดหุ้นมาประกอบการพิจารณา การน�า
ราคาผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งมาประกอบการพิจารณา เป็นต้น และต่อไปนี้จะเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึง
ความแตกต่างของระบบ TPS MIS และ DSS ของระบบขนส่ง

7.3.5 ระบบสนับสนุนผูบริหารระดับสูง (Executive Support System : ESS)

ระบบ ESS เป็นระบบสารสนเทศท่ตอบสนองความต้องการของผู้บริหาร โดยมักใช้งานด้านการ



พยากรณ์และการทานายเป็นส่วนใหญ่ มีการนาเสนอข้อมูลเพ่อใช้ประกอบการตัดสินใจในลักษณะการ
ตัดสินใจแบบมีโครงสร้าง และการตัดสินใจแบบก่งโครงสร้าง แต่ปัญหาของผู้บริหารระดับสูงน้นส่วนใหญ่



มักเป็นการตัดสินใจแบบไร้โครงสร้าง นั่นหมายถึงความยากต่อการกาหนดแนวทางท่ชัดเจนลงไปเพ่อ


แก้ไขปัญหาต่าง ๆระบบสนับสนุนผู้บริหารระดับสูงหรือระบบ ESS นั้นมีความคล้ายคลึงกับระบบ DSS

แต่จะแตกต่างกันตรงท่ระบบ ESS เป็นการตัดสินใจในระดับกลยุทธ์และนโยบายของผู้บริหารระดับสูง
ในขณะที่ระบบ DSS นั้นใช้ประกอบการตัดสินใจกับผู้บริหารระดับกลาง ข้อมูลที่น�ามาใช้กับระบบ ESS
จะเป็นข้อมูลท้งภายในและภายนอกองค์กรมาประกอบการตัดสินใจในระดับกลยุทธ์และนโยบาย เพ่อให้



ผู้บริหารระดับสูงสามารถค้นคืนสารสนเทศท้งจากแหล่งภายในและภายนอกมาประกอบพิจารณาข่าวสาร

เก่ยวกับคู่แข่งขัน รายงานตลาดหุ้น การพยากรณ์เศรษฐกิจ รวมถึงความสามารถในการอธิบายเหตุผลว่า
ท�าไมเหตุการณ์นี้จึงเกิดขึ้นได้ เป็นต้น
7.3.6 ระบบผูเชี่ยวชาญ (Expert Systems : ES)





เป็นระบบท่รวบรวมความรู้ความเช่ยวชาญเฉพาะด้านในสาขาต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ซ่งบางคร้งอาจ


เรียกว่าระบบฐานความรู้ เป็นระบบจัดเก็บความรู้ของผู้เช่ยวชาญท่ได้รวบรวมจากการศึกษาวิจัยและ



ประสบการณ์ระบบผู้เช่ยวชาญได้นามาประยุกต์ใช้และเกิดผลสาเร็จในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการ
วิเคราะห์โรคร้าย การค้นหาแหล่งน�้ามัน การวิเคราะห์การเงิน นอกจากนี้ยังจัดเป็นแขนงหนึ่งของ ระบบ
ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ซึ่งเป็นระบบที่ใช้ความสามารถของคอมพิวเตอร์ในระดับ
สูงข้นโดยมีระบบสมองกลท่ชาญฉลาด สามารถรับรู้ถึงเหตุผลและเข้าใจได้เย่ยงมนุษย์ โดยไม่จาเป็นต้อง




ให้มนุษย์เป็นผู้ลงโปรแกรมค�าสั่งโดยตรง

บทที่ 7 เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการ 171



7.4 บทบาทของบุคคลผูใชเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการ
ระดับของผู้ใช้สารสนเทศสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระดับด้วยกัน คือ 5
7.4.1 ผูบริหารระดับสูง
เป็นระดับวางแผนระยะยาว ควบคุมนโยบาย รวมทั้งการวางแผนเชิงกลยุทธ์เพื่อไปสู่เป้าหมาย
DO NOT COPY

สาหรับแหล่งทรัพยากรหรือสารสนเทศภายในของผู้บริหารระดับสูง ส่วนใหญ่แล้วมักเป็นผลสรุปท่สามารถ











นามาใชประกอบการตดสนใจ ในขณะทแหล่งทมาของสารสนเทศก็จะมท้งสารสนเทศภายในองค์กรและ
สารสนเทศภายนอกองค์กร โดยส่วนใหญ่จะใช้สารสนเทศจากแหล่งภายนอกองค์กรมากกว่า เพื่อน�ามา
วิเคราะห์หรือประเมินแนวโน้มสถานการณ์เศรษฐกิจของโลก รวมถึงอิทธิพลจากกิจกรรมภายนอกท่ส่ง

ผลกระทบต่อองค์กรสาหรับสารสนเทศจากแหล่งภายในองค์กรจะพิจารณาถึงสภาพการณ์ด้านการปฏิบัต ิ

งานภายในองค์กรเป็นหลักส�าคัญ
7.4.2 ผูบริหารระดับกลาง




เป็นระดับวางแผนระยะส้น ด้วยการส่งการเพ่อควบคุมจัดการตามข้อปฏิบัติเพ่อความสาเร็จตาม



เป้าหมายท่ผู้บริหารระดับสูงวางแผนไว้ ผู้บริหารระดับกลางมักเก่ยวข้องกับงานจัดการและควบคุมงบ
ประมาณ เวลา และการประเมินผลการทางาน โดยจะใช้สารสนเทศท้งจากแหล่งภายในองค์กรและ


ภายนอกองค์กร แต่ส่วนใหญ่แล้วจะใช้สารสนเทศจากแหล่งภายในมากกว่า
7.4.3 ผูบริหารระดับล่าง
เป็นระดับปฏิบัติงาน ซึ่งถือเป็นเคร่องมือการทางานของผู้บริหารระดับกลางและผู้บริหารระดับ


สูง สารสนเทศที่ใช้งานของผู้บริหารระดับล่างนั้น มักเป็นเรื่องของภายในที่เน้นรายละเอียดเกี่ยวกับการ
ปฏิบัติงานหรือการควบคุมการปฏิบัติงานเป็นส�าคัญ
7.4.4 ระดับปฏิบัติการ
ระดับปฏิบัติการ (Operation Level Management) ผู้ใช้กลุ่มนี้จะเกี่ยวข้องกับการผลิตหรือ


การปฏิบัติงานหลักขององค์กร เช่น การผลิตหรือประกอบสินค้า งานท่วไปท่ไม่จาเป็นต้องใช้การวางแผน

หรือระดับการตัดสินใจมากนัก ข้อมูลหรือสารสนเทศในระดับน้ จะถูกนาไปประมวลผลในระดับกลาง


และระดับสูงต่อไป











5 โอภาส เอี่ยมสิริวงศ์,วิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ (ฉบับปรับปรุง), (กรุงเทพฯ :
ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2551), หน้า 210-212.

172 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ










DO NOT COPY














ภาพที่ 7.2 แสดงระดับของผู้ใช้สารสนเทศ
ที่มา: http://wattana2ps.blogspot.com/2012/12/blog-post.html




7.5 ความตองการสารสนเทศผูบริหารระดับต่างๆ

ผู้บริหารระดับต่าง ๆ จะมีรูปแบบการตัดสินใจท่แตกต่างกัน โดยจะเป็นไปตามขอบเขตความ

รับผิดชอบของผู้บริหารระดับนั้น ๆ ซึ่งประกอบด้วย
7.5.1 การตัดสินใจแบบมีโครงสราง (Structured Decision)

เป็นการตัดสินใจท่รู้ล่วงหน้าว่าเหตุการณ์น้นจะต้องเกิดข้น และมีแนวทางท่ชัดเจนสาหรับการ





ตัดสินใจไว้แล้ว เพียงแต่รอเวลาที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว การตัดสินใจแบบมีโครงสร้างมักเป็นการตัดสิน
ใจของผู้บริหารระดับล่าง หรือพนักงานระดับปฏิบัติการ
7.5.2 การตัดสินใจแบบกึ่งโครงสราง (Semi- Structured Decision)


เป็นการตัดสินใจท่สามารถคาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถระบุลงไปอย่าง

ชัดเจนเหมือนกับการตัดสินใจแบบมีโครงสร้าง สาหรับการตัดสินใจแบบก่งโครงสร้างจะอยู่ก่งกลาง







ระหว่างการตัดสนใจแบบมโครงสร้างและแบบไร้โครงสร้าง และมกเป็นการตดสนใจของผู้บรหารระดับ

กลาง
7.5.3 การตัดสินใจแบบไรโครงสราง (Unstructured Decision)


เป็นการตัดสินใจที่ไม่สามารถคาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ อีกทั้งยังไม่รู้ว่าเหตุการณ์นั้นจะเกิด
ขึ้นเมื่อไรส�าหรับการตัดสินใจแบบไร้โครงสร้างนั้น โดยมักเป็นการตัดสินใจของผู้บริหารระดับสูง

บทที่ 7 เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการ 173

7.6 บทบาทเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการกับการพัฒนาประเทศ
สารสนเทศ หมายถึง ข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ข้อเท็จจริงหรือเรื่องปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

แต่ความหมายที่ลึกลงไปอีก ที่ผ่านกระบวนการการประมวลผลและสามารถใช้ประกอบการตัดสินใจได้









ดงนนผ้ใช้จึงต้องตระหนกถงความจรงข้อน้ ผใชจึงควรรู้วาจะเลือกสารสนเทศไดอย่างเหมาะสม สอดคล้อง
ู้


DO NOT COPY
และตรงกับความต้องการของตนเอง
จะเห็นได้ว่าสารสนเทศมีบทบาทกับชีวิตมนุษย์และสารสนเทศมีความสาคัญต่อบุคคลมีความ

ส�าคัญในด้านต่าง ๆ ดังนี้ 6
. 7.6.1 ดานเศรษฐกิจ




สารสนเทศมความสาคัญในการขับเคลอนเศรษฐกิจ สารสนเทศด้านธุรกจการค้าจงถือเป็น





ต้นทุนการผลิตท่สาคัญในการแข่งขัน ท้งน้เพราะสารสนเทศช่วยประหยัดเวลาในการผลิต ลดข้นตอน



การลองผิดลองถูกอีกทั้งช่วยให้องค์กรได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ได้ตามความต้องการของตลาด
7.6.2 ดานสังคม

สารสนเทศช่วยพัฒนาสติปัญญามนุษย์ อีกท้งช่วยให้เกิดความคิดสร้างสรรคเกิดการประดิษฐ์















คดคนเทคโนโลยใหม ๆ ทงการประกอบอาชพการปองกนและการแกไขปญหาชวต สารสนเทศชวยขยาย
โลกทัศน์ของผู้ได้รับอย่างกว้างขวาง

7.6.3 ดานการศึกษา
สารสนเทศจะช่วยให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล การศึกษาค้นคว้าวิจัย
เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ ๆ จ�าเป็นต้องใช้สารสนเทศที่มีอยู่อย่างสมบูรณ์และถูกต้องเพื่อพัฒนาให้เกิด
ความรู้ใหม่มากขึ้น
ภาพที่ 7.3 แสดงระบบสารสนเทศเพื่อการศึกษา
ที่มา : https://misspiyawan.files.wordpress.com

6 พสชนัน ไชยคช, เทคโนโลยีสารสนเทศกับการพัฒนาประเทศ, [ออนไลน์] (แหล่งที่มา) : https://sites.
google.com/site/photchanan1818/profile [26 กุมภาพันธ์ 2562]

174 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ



7.6.4 ดานการสื่อสารและโทรคมนาคม


ในโลกวิวัฒนาการและการแปรเปล่ยนของเทคโนโลยีสารสนเทศต้องมีการต่นตัวตลอดเวลา ผู้
ให้บริการโครงข่าย ผู้จัดให้มีการให้บริการ ผู้ผลิต และผู้พัฒนาซอฟท์แวร์ จ�าเป็นต้องได้เปรียบในเชิงการ
แข่งขันโดยการจับมือกับห้องปฏิบัติการทดสอบและรับรองช้นนาท่มีความเช่ยวชาญชานาญการม ี





DO NOT COPY

ประสิทธิภาพ และมีโครงข่ายผู้เช่ยวชาญรอบโลกเพ่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ท่ต้องการอินเทอร์เน็ต ทา



อย่างดีที่สุดเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าอุปกรณ์หรือบริการโทรคมนาคมของลูกค้า รายละเอียดหรือการขอ



อนุญาตพร้อมสาหรับการวางตลาดและเกินกว่าท่ลูกค้าของคาดหวังไว้ เราส่งมอบบริการครอบคลุมต้งแต่


การทดสอบด้านความปลอดภัยเพ่อการรับรองซ่งจะช่วยให้ลูกค้าสามารถเร่งความเร็วในการวางตลาดได้

อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเส่ยงของลูกค้า ในขณะเดียวกันกับปกป้องช่อเสียงและเคร่องหมายการค้า


เป็นไปตามข้อกาหนดมาตรฐานระดับประเทศและระดับโลกเปล่ยนแปลงผลิตภัณฑ์ลูกค้าสู่ความสาเร็จ




ด้วยอินเตอร์เทค ผู้ให้บริการการทดสอบท่ลูกค้าให้ความเช่อถือ ลูกค้ายังได้รับประโยชน์เร่องความรู้ระดับ



โลกท่น�าเสนออยู่ต่อหน้า หากไม่คานึงถึงบทบาทของลูกค้าในเทคโนโลยีสารสนเทศและโทรคมนาคม หรือ

อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อินเตอร์เทค สามารถช่วยลูกค้าโดยการส่งมอบคุณค่าแห่งคุณภาพให้แก่ลูกค้า

7.6.5 ดานสาธารณสุข
เทคโนโลยีสารสนเทศได้น�ามาใช้ในการพัฒนาด้านสาธารณสุขอย่างกว้างขวาง และท�าให้งาน
ด้านสาธารณสุขเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โดยกระทรวงสาธารณสุข ได้ปรับระบบการบริหารงาน และ
น�าเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในงานต่าง ๆ ดังนี้










ภาพที่ 7.4 ระบบสารสนเทศทางการแพทย์

ที่มา : https://sites.google.com/
แสดงการน�าเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในวงการสาธารณสุขและการแพทย์

1. ด้านการลงทะเบียนผู้ป่วย ตั้งแต่เริ่มท�าบัตร จ่ายยา เก็บเงิน

2. การสนับสนุนการรักษาพยาบาล โดยการเช่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์ของโรงพยาบาลต่าง ๆ
เข้าด้วยกัน สามารถสร้างเครือข่ายข้อมูลทางการแพทย์ แลกเปลี่ยนข้อมูลของผู้ป่วย

บทที่ 7 เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการ 175

3. สามารถให้ค�าปรึกษาทางไกล โดยแพทย์ผู้เชี่ยวช�านาญ เทคโนโลยีสารสนเทศ จะช่วยให้แพทย์
สามารถเห็นหน้า หรือท่าทางของผู้ป่วยได้ ช่วยให้ส่งข้อมูลท่เป็นเอกสาร หรือภาพเพ่อประกอบ


การพิจารณาของแพทย์ได้
4. เทคโนโลยีสารสนเทศจะช่วยในการให้ความรู้แก่ประชาชนของแพทย์ หรือหน่วยงานสาธารณสุข
DO NOT COPY



ต่างๆ เป็นไปด้วยความสะดวกรวดเร็วได้ผลข้น โดยสามารถใช้ส่อต่าง ๆ เช่น ภาพน่ง ภาพ
เคลื่อนไหว มีเสียงและอื่น ๆ เป็นต้น
5. เทคโนโลยีสารสนเทศ ช่วยให้ผู้บริหารสามารถกาหนดนโยบาย และติดตามกากับการดาเนิน






งานตามนโยบายได้ดีย่งข้น โดยอาศัยข้อมูลท่ถูกต้องฉับไว และข้อมูลท่จ�าเป็น ท้งน้อาจใช้



คอมพิวเตอร์เป็นตัวเก็บข้อมูลต่าง ๆ ท�าให้การบริหารเป็นไปได้ด้วยความรวดเร็ว ถูกต้องมาก
ยิ่งขึ้น
6. ในด้านการให้ความรู้หรือการเรียนการสอนทางไกล เทคโนโลยีสารสนเทศ โดยเฉพาะดาวเทียม

จะช่วยให้การเรียนการสอนทางไกล ทางด้านการแพทย์และสาธารณะสุข เป็นไปได้มากข้น
ประชาชนสามารถเรียนรู้พร้อมกันได้ทั่วประเทศและยังสามารถโต้ตอบหรือถามค�าถามได้ด้วย


7.6.6 ดานสิ่งแวดลอมและทรัพยากรธรรมชาติ


การใช้เทคโนโลยีในการนาทรัพยากรธรรมชาติและส่งแวดล้อมมาใช้ให้เกิดประโยชน์การอนุรักษ์
ทรัพยากรธรรมชาติและส่งแวดล้อม หมายถึง การใช้ทรัพยากรธรรมชาติและส่งแวดล้อมอย่างฉลาด โดย


ใช้ให้น้อย เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยค�านึงถึงระยะเวลาในการใช้ให้ยาวนาน และก่อให้เกิดผลเสีย



หายต่อส่งแวดล้อมน้อยท่สุด รวมท้งต้องมีการกระจายการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างท่วถึง อย่างไร

ก็ตาม ในสภาพปัจจุบันทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีความเสื่อมโทรมมากขึ้น ดังนั้นการอนุรักษ์
ทรัพยากรธรรมชาติและส่งแวดล้อมจึงมีความหมายรวมไปถึงการพัฒนาคุณภาพส่งแวดล้อมด้วยการ


อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสามารถกระท�าได้หลายวิธี ทั้งทางตรงและทางอ้อม ดังนี้







1. การอนรกษ์ทรพยากรธรรมชาตและสงแวดล้อมโดยทางตรง ซงปฏิบตได้ในระดบบคคล





องค์กร และระดับประเทศ ที่ส�าคัญ คือ


1) การใช้อย่างประหยัด คือ การใช้เท่าท่มีความจาเป็น เพ่อให้มีทรัพยากรไว้ใช้ได้นานและ

เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่ามากที่สุด
2) การน�ากลับมาใช้ซ�้าอีก สิ่งของบางอย่างเมื่อมีการใช้แล้วครั้งหนึ่งสามารถที่จะน�ามาใช้
ซ�้าได้อีก เช่น ถุงพลาสติก กระดาษ เป็นต้น หรือสามารถที่จะน�ามาใช้ได้ใหม่โดยผ่านกระบวนการต่าง ๆ
เช่น การน�ากระดาษที่ใช้แล้วไปผ่านกระบวนการต่าง ๆ เพื่อท�าเป็นกระดาษแข็ง เป็นต้น ซึ่งเป็นการลด
ปริมาณการใช้ทรัพยากรและการท�าลายสิ่งแวดล้อมได้



3) การบูรณะซ่อมแซม ส่งของบางอย่างเม่อใช้เป็นเวลานานอาจเกิดการชารุดได้ เพราะ
ฉะนั้นถ้ามีการบูรณะซ่อมแซม ท�าให้สามารถยืดอายุการใช้งานต่อไปได้อีก

176 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ




4) การบาบัดและการฟื้นฟู เป็นวิธีการท่จะช่วยลดความเส่อมโทรมของทรัพยากรด้วยการ






บาบัดก่อน เช่น การบาบัดนาเสียจากบ้านเรือนหรือโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น ก่อนท่จะปล่อยลงสู่
แหล่งน�้าสาธารณะ ส่วนการฟื้นฟูเป็นการรื้อฟื้นธรรมชาติให้กลับสู่สภาพเดิม เช่น การปลูกป่าชายเลน
เพื่อฟื้นฟูความสมดุลของป่าชายเลนให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ เป็นต้น
5) การใช้ส่งอ่นทดแทน เป็นวิธีการท่จะช่วยให้มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติน้อยลง และไม่



ทาลายส่งแวดล้อม เช่น การใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก การใช้ใบตองแทนโฟม การใช้พลังงานแสงแดดแทน


แร่เชื้อเพลิง การใช้ปุ๋ยชีวภาพแทนปุ๋ยเคมี เป็นต้น
6) การเฝ้าระวังดูแลและป้องกัน เป็นวิธีการท่จะไม่ให้ทรัพยากรธรรมชาติและส่งแวดล้อม


ถูกท�าลาย เช่น การเฝ้าระวังการทิ้งขยะ สิ่งปฏิกูลลงแม่น�้า คูคลอง การจัดท�าแนวป้องกันไฟป่า เป็นต้น
2. การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยทางอ้อม สามารถท�าได้หลายวิธี ดังนี้
1) การพัฒนาคุณภาพประชาชน โดยสนับสนุนการศึกษาด้านการอนุรักษ์ทรัพยากร
ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ถูกต้องตามหลักวิชา ซึ่งสามารถท�าได้ทุกระดับอายุ ทั้งในระบบโรงเรียนและ



สถาบันการศึกษาต่าง ๆ และนอกระบบโรงเรียนผ่านส่อสารมวลชนต่าง ๆ เพ่อให้ประชาชนเกิดความ
ตระหนักถึงความส�าคัญและความจ�าเป็นในการอนุรักษ์ เกิดความรักความหวงแหน และให้ความร่วมมือ
อย่างจริงจัง DO NOT COPY
2) การใช้มาตรการทางสังคมและกฎหมาย การจัดตั้งกลุ่ม ชุมชน ชมรม สมาคม เพื่อการ

อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและส่งแวดล้อมต่างๆ ตลอดจนการให้ความร่วมมือท้งทางด้านพลังกาย พลัง




ใจ พลังความคิด ด้วยจิตสานึกในความมีคุณค่าของส่งแวดล้อมและทรัพยากรท่มีต่อตัวเรา เช่น กลุ่มชมรม







อนรกษทรพยากรธรรมชาตและสงแวดลอมของนกเรยน นักศกษา ในโรงเรยนและสถาบนการศึกษาตาง







ๆ มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าและพรรณพืชแห่งประเทศไทย มูลนิธิสืบ นาคะเสถียร มูลนิธิโลกสีเขียว เป็นต้น
3) ส่งเสริมให้ประชาชนในท้องถ่นได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ ช่วยกันดูแลรักษาให้คงสภาพ




เดิม ไม่ให้เกิดความเส่อมโทรม เพ่อประโยชน์ในการดารงชีวิตในท้องถ่นของตน การประสานงานเพ่อ



สร้างความรู้ความเข้าใจ และความตระหนักระหว่างหน่วยงานของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถ่นกับ

ประชาชน ให้มบทบาทหน้าท่ในการปกป้อง ค้มครอง ฟืนฟการใช้ทรัพยากรอย่างคมค่าและเกดประโยชน์





ุ้
สูงสุด
4) ส่งเสริมการศึกษาวิจัย ค้นหาวิธีการและพัฒนาเทคโนโลยี มาใช้ในการจัดการกับ
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การใช้ความรู้ทางเทคโนโลยีสารสนเทศ

มาจัดการวางแผนพัฒนา การพัฒนาอุปกรณ์เคร่องมือเคร่องใช้ให้มีการประหยัดพลังงานมากข้น การ


ค้นคว้าวิจัยวิธีการจัดการ การปรับปรุง พัฒนาสิ่งแวดล้อมให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืน เป็นต้น


5) การกาหนดนโยบายและวางแนวทางของรัฐบาล ในการอนุรักษ์และพัฒนาส่งแวดล้อม





ท้งในระยะส้นและระยะยาว เพ่อเป็นหลักการให้หน่วยงานและเจ้าหน้าท่ของรัฐท่เก่ยวข้องยึดถือและนา



บทที่ 7 เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการ 177



ไปปฏิบัติ รวมท้งการเผยแพร่ข่าวสารด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและส่งแวดล้อมทางตรงและ
ทางอ้อม

7.6.7 นโยบายดานเทคโนโลยีสารสนเทศของประเทศไทย
ปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อสารมีบทบาทสาคัญอย่างย่งในการพัฒนาเศรษฐกิจและ



DO NOT COPY


สังคมของประเทศ เพ่อนาไปสู่การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจการค้าและ
อุตสาหกรรม ยกระดับความกินดี อยู่ดี คุณภาพชีวิตและความเสมอภาคของประชาชน ดังนั้น เพ่อให้เกิด


การนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อสาร มาเป็นหน่งในกลไกหลักท่สามารถผลักดันให้ประเทศมีความ





เจริญก้าวหน้าและสร้างความอยู่ดีมีสุขให้กับประชาชนได้อย่างท่วถึง ประเทศต่าง ๆ จึงได้กาหนดนโยบาย


หรือแผนแม่บทด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อสาร เพ่อเป็นกรอบแนวทางในการพัฒนาเทคโนโลย ี

สารสนเทศและการส่อสารอันเป็นเคร่องมือสาคัญในการพัฒนาประเทศ โดยแผนแม่บทเทคโนโลย ี


สารสนเทศและการสื่อสารของประเทศไทย ระยะ พ.ศ.2549-2556 ซึ่งเป็นฉบับที่ 2 สิ้นสุดระยะเวลา
ของแผนแม่บทฯ ในปี 2556 นั้น

กระทรวงไอซีทีในฐานะผู้รับผิดชอบหลัก เห็นควรให้มีการจัดทาแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศ
และการสื่อสาร (ฉบับที่ 3) ของประเทศไทย พ.ศ. 2557-2561 อย่างเป็นระบบ และมีการสนับสนุนเพื่อ
ให้เกิดความพร้อมและความครอบคลุมในทุกขั้นตอน รวมทั้งมีการจัดจ�าแนกหน้าที่ตามความเชี่ยวชาญ






เพ่อให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างเต็มท่และจัดทาแผนแม่บทฯ ได้สาเร็จตรงตามกาหนดเวลา ซ่งจะนาไป

สู่องค์ประกอบหลักในการก�าหนดวิธีการปฏิบัติตามทิศทางและแนวทางดังกล่าว เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

การพัฒนา ลดความเหล่อมลาและก่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อสาร



เพื่อเป็นเครื่องมือส�าคัญในการพัฒนาประเทศทุกๆ ด้านตามเป้าหมายของกรอบนโยบาย ICT 2020 7
7.7 ประโยชน์ของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
1. ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงสารสนเทศท่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและทันต่อเหตุการณ์ เน่องจาก


ข้อมูลถูกจัดเก็บและบริหารเป็นระบบทาให้ผู้บริหารสามารถจะเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็วในรูปแบบท ่ ี

เหมาะสม และสามารถน�าข้อมูลมาใช้ประโยชน์ได้ทันต่อความต้องการ
2. ช่วยผู้ใช้ในการก�าหนดเป้าหมายกลยุทธ์และการวางแผนปฏิบัติการ โดยผู้บริหารจะสามารถ





นาข้อมูลท่ได้จากระบบ สารสนเทศมาช่วยในการวางแผนและกาหนดเป้าหมายในการดาเนินงาน

7 บุญเลิศ อรุณพิบูลย์, การจัดทาแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อสาร (ฉบบท่ 3) ของ



ประเทศไทย พ.ศ. 2557-2561. [ออนไลน์] (แหล่งที่มา) : http://www.thailibrary.in.th/2014/02/22/ict-master-
plan-3/ [26 กุมภาพันธ์ 2562]

178 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ





เน่องจากสารสนเทศถูกเก็บรวบรวมและจัดการอย่างเหมาะสม ทาให้มีประวัติของข้อมูลอย่างต่อเน่อง
สามารถที่จะชี้แนวโน้มของการด�าเนินงานได้ว่าน่าจะเป็นไปในลักษณะใด


3. ช่วยผู้ใช้ในการตรวจสอบประเมินผลการดาเนินงาน เม่อแผนงานถูกนาไปปฏิบัติในช่วงระยะ

เวลาหน่ง ผู้ควบคุมจะต้องตรวจสอบผลการดาเนินงานโดยนาข้อมูลบางส่วนมาประมวลผลประกอบการ



DO NOT COPY
ประเมิน สารสนเทศที่ได้จะแสดงให้เห็นผลการด�าเนินงานว่าสอดคล้องกับเป้าหมายที่ต้องการเพียงไร
4. ช่วยผู้ใช้ในการศึกษาและวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา ผู้บริหารสามารถใช้ระบบสารสนเทศ
ประกอบการศึกษาและการค้นหาสาเหตุ หรือข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในการด�าเนินงาน ถ้าการด�าเนินงาน
ไม่เป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้ อาจจะเรียกข้อมูลเพิ่มเติมออกมาจากระบบ เพื่อให้ทราบว่าข้อผิดพลาด
ในการท�างานเกิดขึ้นมาจากสาเหตุใด หรือจัดรูปแบบสารสนเทศในการวิเคราะห์ปัญหาใหม่

5. ช่วยให้ผู้ใช้สามารถวิเคราะห์ปัญหาหรืออุปสรรคท่เกิดข้น เพ่อหาวิธีควบคุม ปรับปรุงและ



แก้ไขปัญหา สารสนเทศที่ได้จากการประมวลผลจะช่วยให้ผู้บริหาร วิเคราะห์ว่าการด�าเนินงานในแต่ละ




ทางเลือกจะช่วยแก้ไขหรือควบคุมปัญหาท่เกิดข้นได้อย่างไร ธุรกิจต้องทาอย่างไรเพ่อปรับเปล่ยนหรือ

พัฒนาให้การด�าเนินงานเป็นไปตามแผนงานหรือเป้าหมาย
6. ช่วยลดค่าใช้จ่าย ระบบสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้ธุรกิจลดเวลา แรงงานและค่าใช้

จ่ายในการทางานลง เน่องจากระบบสารสนเทศสามารถรับภาระงานท่ต้องใช้แรงงาน จานวนมาก ตลอด



จนช่วยลดขั้นตอนในการท�างาน ส่งผลให้ธุรกิจสามารถลดจ�านวนคนและระยะเวลาในการประสานงาน
ให้น้อยลง โดยผลงานที่ออกมาอาจเท่าหรือดีกว่าเดิม ซึ่งจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ
8
สรุปทายบท

บทน้ได้อธิบายถึงความหมายของข้อมูลสารสนเทศ ลักษณะของข้อมูลท่ดี ประเภทของข้อมูล


โครงสร้างข้อมูล คุณสมบัติของข้อมูลที่ดี การประมวลผลข้อมูล การท�าข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ ความ





หมายและความสาคญของระบบสารสนเทศเพอการจดการ ประเภทของสารสนเทศระดับของผ้ใช้

สารสนเทศกับการพัฒนาประเทศ นโยบายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของประเทศไทยและประโยชน์ของ
ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ








8 สุชาดา กีระนันทน์, เทคโนโลยีสารสนเทศสถิติ : ขอมูลในระบบสารสนเทศ, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2542), หน้า 4.

บทที่ 7 เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการ 179


ค�าถามทายบท
ตอนที่ 1 ค�าชี้แจง : ขอสอบอัตนัย มีทั้งหมด 10 ขอ ใหนิสิตท�าทั้งหมด



1. ข้อมูลและสารสนเทศแตกต่างกันอย่างไร จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบ
2. เทคโนโลยีสารสนเทศมีความเกี่ยวข้องในชีวิตประจ�าวันนิสิตอย่างไรบ้าง
DO NOT COPY
3. ท�าไมระบบสารสนเทศจึงมีความส�าคัญต่อองค์กร จงให้เหตุผลประกอบ

4. ระบบสารสนเทศประกอบด้วยส่วนประกอบอะไร
5. จงสรุประบบ TPA มาพอสังเขป

6. จงสรุประบบ MIS มาพอสังเขป
7. จงสรุประบบ DSS มาพอสังเขป
8. ระบบ OAS มีความส�าคัญต่อส�านักงานทั่วไปอย่างไร จงอธิบาย

9. ระบบผู้เชี่ยวชาญ เป็นระบบที่มุ่งเน้นงานด้านอะไรบ้าง
10. จงสรุปการใช้สารสนเทศของผู้บริหารระดังต่าง ๆ มาพอสังเขป


ตอนที่ 2 ค�าชี้แจง : ค�าถามปรนัย มีทั้งหมด 10 ขอ ใหท�าเครื่องหมาย x ทับขอ ก ข ค



หรือ ง ที่ถูกตองที่สุดเพียงขอเดียว

1.ข้อมูล คืออะไร
ก. ข้อมูลที่ได้รับการกรอง และเรียบเรียง ที่สามารถน�าไปใช้งานได้
ข. ข้อมูลที่ประมวลผลแล้ว

ค. ความเป็นจริงที่ยังเป็นข้อมูลดิบซึ่งไม่ได้ผ่านการประมวลผลใด ๆ
ง. ผลลัพธ์ของการท�างาน

2. ข้อมูลสารสนเทศ คืออะไร
ก. ข้อมูลที่ได้รับการกรอง และเรียบเรียง ที่สามารถน�าไปใช้งานได้
ข. ข้อมูลที่ประมวลผลแล้ว

ค. ความเป็นจริงที่ยังเป็นข้อมูลดิบซึ่งไม่ได้ผ่านการประมวลผลใด ๆ
ง. ผลลัพธ์ของการท�างาน
3. หน่วยข้อมูลที่เล็กที่สุดในระบบคอมพิวเตอร์เรียกว่า

ก. บิต ข. ไบต์
ค. ฟิลด์ ง. เร็คคอร์ด
4 . ข้อมูลเมื่อผ่านการประมวลผลแล้ว จะได้อะไร

ก. Document ข. Report
ค. Information ง. Output

บทที่ 8

การจัดการฐานข้อมูล



DO NOT COPY
วัตถุประสงค์การเรียนประจ�าบท

เมื่อได้ศึกษาเนื้อหาในบทนี้แล้ว นิสิตสามารถ

1. บอกความหมายของข้อมูล และองค์ประกอบของการจัดการฐานข้อมูลได้
2. บอกการจัดการข้อมูลด้วยแฟ้มข้อมูล และระบบการจัดการฐานข้อมูลได้อย่างดี
3. เข้าใจประโยชน์ของการใช้งานของฐานข้อมูลได้ถูกต้อง

4. เข้าใจข้อดี และข้อจ�ากัดของการใช้งานฐานข้อมูลได้ชัดเจน
5. ประยุกต์ใช้ฐานข้อมูลได้อย่างมีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ



ขอบข่ายเนื้อหาประจ�าบท

• ความน�า
• ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับข้อมูลและการจัดการฐานข้อมูล

• การจัดการข้อมูลด้วยแฟ้มข้อมูล
• องค์ประกอบของฐานข้อมูล
• ระบบการจัดการฐานข้อมูล

• การประยุกต์ใช้ฐานข้อมูล
• ประโยชน์ของฐานข้อมูล

• ข้อดี และข้อจ�ากัดของการใช้งานฐานข้อมูล

184 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ


8.1 ความน�า

การจัดการข้อมูลมีความสาคญได้คิดกันมานาน วิวัฒนาการในแต่ละยุคมีการพัฒนาอย่างต่อเน่อง




โดยเร่มจากการบันทึกข้อมูลท่ใช้มากสุดคือ การเขียนลงในสมุดจดและเก็บไว้ เม่ออยากรู้ก็พลิกหาข้อมูล

ตามความต้องการโดยไม่มีรูปแบบการจดบันทึกท่ตายตัวและแน่นอน และท่สาคัญ ๆ คือ ความคงทนไม่ม ี



DO NOT COPY




และอาจจะสญหายได้ตลอดหากไม่มการรกษาไว้อย่างปลอดภย เมอเทคโนโลยก้าวลาการจดการข้อมล








มีแนวทางการจัดเก็บท่ดีข้น การพัฒนาการจัดเก็บข้อมูล การนามาใช้งาน จึงเป็นระบบระเบียบย่งข้น




ด้วยการบันทึกข้อมูลลงในเอกสาร และจัดเก็บลงในแฟ้มข้อมูล มีการแบ่งการจัดเก็บเป็นหมวดหมู่










ออกแบบใหการใชงานทงายและสะดวก รวดเรวตอการคนหา โดยการสรางสารบญ หรอดชนเพอการเขา






ถึงอย่างรวดเร็ว และป้องกันให้มีความปลอดภัย





เมอมการนาเทคโนโลยคอมพวเตอร(Computer Technology) มาใชเพอการจดการฐานขอมล









(Database Management) สามารถลดจานวนเอกสารจานวนมาก ๆ ให้น้อยลงได้ เพ่อสร้างความเข้าใจ




ในการนาคอมพิวเตอร์มาเป็นเคร่องมือในการประมวลผลข้อมูลจะไม่สามารถตอบสนองใด ๆ ได้ หาก
ข้อมูลไม่มี ข้อมูลไม่ครบ โดยข้อมูลที่จัดการนั้นจะถูกจัดเก็บในรูปแบบแฟ้มข้อมูล เพื่อให้คอมพิวเตอร์

สามารถอ่านข้อมูลจากแฟ้มต่าง ๆ ได้และผู้ใช้เข้าถึงอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนโปรแกรมฐานข้อมูลท่นิยม
ใช้มีอยู่ด้วยกันหลายตัว เช่น Access, FoxPro, MySQL, Oracle, SQL Sever
8.2 ความหมายของข้อมูลสารสนเทศ
8.2.1 ข้อมูล (Data) คือ ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับบุคคล, สถานที่, สิ่งของหรือเหตุการณ์ที่น่า
สนใจและอยู่รอบ ๆ ตัวเรา ข้อมูลเป็นไปได้ท้งตัวเลข หรือข้อความ หรือข้อความปนตัวเลขและข้อมูลต้อง

เป็นสิ่งที่เป็นจริงมากที่สุด 1
8.2.2 ลักษณะของข้อมูลที่ดี
ข้อมูลท่เราให้ความสนใจจะถูกนาไปประมวลผลเพื่อให้ได้สารสนเทศตามความต้องการและก่อน



การนาไปประมวลผลเราต้องการทาการตรวจสอบและพิจารณาก่อนว่าเป็นข้อมูลท่ดีหรือไม่ โดยต้องม ี


ลักษณะดังนี้
1) มีความถูกต้อง (Accuracy) ข้อมูลท่ดีต้องมีความถูกต้อง เป็นจริง สามารถน�าเอาไปใช้ประโยชน์

ได้ไม่มีความคลาดเคลื่อน และมีความน่าเชื่อถือ

2) มีความสมบูรณ์ (Complete) ข้อมูลที่จะถูกนาไปใช้ประโยชน์นั้น นอกจากจะมีความถูกต้อง



แล้ว ต้องมีความสมบรณ์ด้วย โดยความสมบูรณ์นนหมายถงความครบถ้วนและความเพยบพร้อมของ


ข้อมูลทั้งคุณภาพและปริมาณ
1 นิรันดร เลิศวีรพล, คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศเบื้องต้น, (ขอนแก่น : มหาวิทยาลัยมหาจุฬา
ลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น, 2552), หน้า 54-55.

บทที่ 8 การจัดการฐานข้อมูล 185




3) มีความเป็นปัจจบัน (Update) ข้อมูลท่น�าไปประมวลผลจะต้องมีการปรับปรุงแก้ไขให้ทัน


สมัยและเป็นปัจจุบัน เพราะหากไม่มีการเปล่ยนแปลงแก้ไขตัวข้อมูล อาจก่อให้เกิดความคลาดเคล่อน
และเสียหายได้

4) ตรงกับความต้องการ (Relevance) การนาข้อมูลใด ๆ ไปประมวลผลต้องตรวจสอบข้อมูล
DO NOT COPY


ก่อนว่าตรงตามต้องการหรือไม่ เพราะถึงแม้ว่าข้อมูลน้นจะมีความถูกต้องและน่าเช่อถือเพียงใด แต่ผลลัพธ์
ที่ได้เป็นสิ่งที่เราไม่ต้องการ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร


5) ใช้เวลาประมวลผลน้อย (Timeliness) ข้อมูลท่นามาประมวลผลจะต้องไม่มีความซาซ้อน


เพื่อประหยัดเวลาในการประมวลผล
... 8.2.3 ประเภทของข้อมูล
โดยทั่วไปข้อมูลจะมี 3 ประเภท คือ ข้อมูลที่เป็นตัวเลข ข้อมูลที่เป็นข้อความ และข้อมูลที่เป็น
ข้อความปนตัวเลข ส่วนข้อมูลสาหรับคอมพิวเตอร์ จะมีเพียง 2 ประเภทเท่านั้น คือ


1) ข้อมูลท่น�าไปค�านวณได้ (Numeric) เป็นข้อมูลท่ถูกประมวลผลด้วยการค�านวณทาง


คณิตศาสตร์ ได้แก่ ข้อมูลที่เป็นตัวเลข ประกอบด้วย เลขจานวนเต็ม เลขทศนิยม และเลขฐาน ตัวอย่าง


ของข้อมูลที่จะ นาไปคานวณ เช่น เงินเดือน ภาษี รายรับ-รายจ่าย เป็นต้น



2) ข้อมูลที่ไม่สามารถนาไปคานวณได้ (Character หรือ String) เป็นข้อมูลที่ไม่ได้น�าไปคานวณ
ทางคณิตศาสตร์ ได้แก่ ข้อมูลที่เป็นข้อความหรือตัวอักษร หรือ ข้อความปนตัวเลข หรือตัวเลขที่ไม่นา

มาคานวณ ได้แก่ พยัญชนะ เครื่องหมายพิเศษ เป็นต้น ตัวอย่างของข้อมูลประเภทนี้ เช่น ชื่อ-นามสกุล

เลขรหัสประจาตัว เบอร์โทรศัพท์ เป็นต้น

8.2.4 โครงสร้างข้อมูล
ข้อมูลที่สามารถประมวลผลในคอมพิวเตอร์ได้ต้องมีโครงสร้างประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ดังนี้
1) หน่วยข้อมูล (Data Item) คือส่วนที่เล็กที่สุดของข้อมูล ซึ่งเป็นตัวอักษร หรือตัวเลข หรือ

สัญลักษณ์พิเศษ มักไม่มีความหมายในตัวมันเอง ไม่สามารถระบุเจาะจงให้ทราบได้ เช่น 80 หมายถึง
อะไร สอบได้ 80 คะแนน หรือมีอายุ 80 ปี ไม่สามารถบอกได้

2) ฟิลด์ข้อมูล (Data Field) คือการน�าเอาหน่วยข้อมูลมารวมกันเพื่อให้ได้ความหมายที่เจาะจง
และ ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น 80 คือ คะแนน หรือ อายุ เหล่านี้เป็นต้น เราเรียกหัวข้อที่กาหนดหน่วยข้อมูลนี้

ว่า ฟิลด์

3) เรคคอร์ดข้อมูล (Data Record) คือ การน�าเอาฟิลด์หลายหลายฟิลด์ที่สัมพันธ์กันมารวมกัน
เช่นฟิลด์รหัสประจ�าตัวนิสิต และฟิลด์คะแนนสอบของนิสิตคนเดียวกันรวมกันเป็นหนึ่งเรคคอร์ด

4) แฟ้มข้อมูล (Data File) คือ การการนาเอาเรคคอร์ดหลาย ๆ เรคคอร์ดที่เกี่ยวข้องกันมารวม

กัน เช่นแฟ้มข้อมูลของนิสิตที่ลงทะเบียนรายวิชาศาสตร์คณิตกรเบื้องต้นซึ่งในแฟ้มจะมีข้อมูลที่เป็นรหัส

ประจาตัวและคะแนนสอบของนิสิต

186 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ


5) ฐานข้อมูล (Data Base) เป็นที่รวมของแฟ้มข้อมูลหลาย ๆ แฟ้มรวมกัน เช่น แฟ้มข้อมูลนิสิต



ท่ลงทะเบียนเรียนวิชาศาสตร์คณิตกรเบ้องต้นสาขาวิชาเอกภาษาไทย แฟ้มข้อมูลนิสิตท่ลงทะเบียนเรียน
วิชาศาสตร์คณิตกรเบื้องต้นสาขาวิชาเอกรัฐศาสตร์ เป็นต้น
DO NOT COPY
ฐานขอมูล





แฟมขอมูล แฟมขอมูล





เรคคอรดขอมล เรคคอรดขอมล




ฟลดขอมูล ฟลดขอมูล




หนวยขอมูล หนวยขอมูล



ภาพที่ 8.1 แสดงลาดับชั้นของโครงสร้างข้อมูล



จากภาพที่ 1.1 เราจะเห็นว่าโครงสร้างของข้อมูลที่มีฐานข้อมูลเป็นหน่วยใหญ่สุด และมีหน่วย
ข้อมูล เป็นหน่วยที่เล็กที่สุด ซึ่งจริง ๆ แล้วมีหน่วยของข้อมูลที่เล็กกว่านั้นอีก คือ บิต และ ไบต์

• บิต (Bit) เป็นหน่วยข้อมูลที่เล็กที่สุดในระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะแทนด้วยระบบเลขฐาน เช่น
0 กับ 1 เป็นต้น

• ไบต์ (Byte) เป็นหน่วยที่มีขนาดใหญ่กว่าบิต ซึ่งในการเก็บข้อมูลเบื้องต้น 8 บิต จะเป็น 1 ไบต์
โดยจะใช้แทนข้อมูลที่เป็นตัวอักขระ (Character) 1 ไบต์ ต่อ 1 ตัวอักษร ยกตัวอย่างเช่น 10001001
แทน ตัวอักษร A เป็นต้น 2


8.2.6 คุณสมบัติของข้อมูลที่ดี




การท่หน่วยงาน องค์กร หรือแม้กระท่งตัวบุคคลได้มาซ่งข้อมูลน้นอาจจะต้องลงทุนไม่มากก็น้อย
หน่วยงานที่ลงทุนมากในการสืบค้นข้อมูล ได้แก่ บริษัทกูเกิล (Google) ซีเอ็นเอ็น (CNN) บีบีซี (BBC)
2 นิรันดร เลิศวีรพล, คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศเบื้องต้น, หน้า 54-55

บทที่ 8 การจัดการฐานข้อมูล 187


เย็นโล่เพจเจท (Yellow Pages) และหนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือวารสารทั้งที่เป็นแบบ รูปเล่มและแบบ

















ออนไลน เปนองคกรทขายขอมลและสารสนเทศ ดงนนหนวยงานเหลานจะตองลงแรงอยางมหาศาลเพอ

ให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่ถูกต้อง รวดเร็ว และสมบูรณ์ที่สุด เพราะว่าในปัจจุบัน เกือบทุกธุรกิจมีคู่แข่งที่น่ากลัว
เพราะเป็นยุคข้อมูลสารสนเทศ คนส่วนใหญ่สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ได้เช่นกัน ดังนั้นการที่จะ
DO NOT COPY

เป็นผู้นาในด้านข้อมูลได้นั้นจะต้องมีการวางแผนทั้งด้านการค้นหาข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล รวมถึงกา

รนาเสนอหรือถ่ายทอดข้อมูลอีกด้วย ดังนั้นผู้เขียนขอแนะนาคุณสมบัติของข้อมูลที่ดีซึ่งประกอบด้วยสิ่ง

ต่อไปนี้ 3

1) ความถูกต้อง (Accuracy) ข้อมูลท่ดีจะต้องมีความถูกต้องแม่นย�าผู้ใช้ถึงจะสามารถน�าไป
อ้างอิงได้หากผู้บริหารน�าข้อมูลท่คลาดเคล่อนไปใช้ในการอ้างอิงอาจท�าให้ธุรกิจเสียหายได้ และหน่วย


งานที่ให้บริการด้านข้อมูลอาจเสียหายได้เช่นกัน หากให้ข้อมูลที่มีความคลาดเคลื่อนหรือผิดพลาดมาก
2) ความรวดเร็ว/ทันเวลา (Timely) ข้อมูลจะต้องทันสมัยและทันต่อความต้องการของผู้ใช้ หาก

ข้อมูลออกมาช้าผู้ใช้อาจไม่ต้องการถึงข้อมูลจะดีและถูกต้องแค่ไหน เพระว่าข้อมูลท่ดีแต่ล่าช้าก็จะกลาย
เป็นอดีตไปแล้ว และไม่มีใครต้องการเพราะข้อมูลนั้น ๆ ปรากฏต่อสาธารณชนแล้ว
3) ความกระชับและความชัดเจน (Conciseness) การเก็บข้อมูลที่มีจ�านวนมากจะต้องใช้พื้นที่




มาก ในการทจะออกแบบข้อมูลให้กะทดรด โดยอาจใช้รหสหรือสญลักษณ์แทนข้อมลเพอเกบในระบบ






คอมพิวเตอร์ ผู้ใช้สามารถค้นหาได้สะดวกรวดเร็ว และที่สาคัญต้องใช้ง่าย

4) ความสอดคล้อง (Relevance) กับความต้องการของผู้ใช้ การที่จะได้มาซึ่งข้อมูลที่สมบูรณ์









นั้น ผูใหบริการขอมูลควรทาการสารวจความต้องการของผูใชขอมูล ก่อนการเก็บรวบรวมข้อมูลจะทาให้
ข้อมูลที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้
8.2.7 การประมวลผลข้อมูล
การประมวลผลข้อมูล (Data Processing) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงหรือจัดระเบียบข้อมูลให้

อยู่ในรูปแบบท่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน ข้อมูลโดยท่วไปเกิดข้นอย่างไม่เป็นระเบียบจากขบวนการนับ


หรือการวัด ไม่สามารถส่อความหมายให้เข้าใจหรือใช้ประโยชน์ได้ การประมวลผลจึงเป็นวิธีการนาข้อมูล


(Data) กลายสภาพเป็นสารสนเทศ (Information) ที่มีประสิทธิภาพและน�าไปใช้ประโยชน์ต่อไปได้ ซึ่ง
วิธีการประมวลผลข้อมูลเพื่อให้ได้มาซึ่งสารสนเทศ มีหลายวิธี ดังนี้
1) การค�านวณ (Calculation) หมายถึง การน�าข้อมูลที่เป็นตัวเลขมาท�าการ บวก ลบ คูณ หาร
ยกก�าลัง เช่น การค�านวณภาษี การค�านวณค่าแรง เป็นต้น
2) การจัดเรียงข้อมูล (Sorting) เป็นการเรียงข้อมูลจากน้อยไปหามาก หรือมากไปหาน้อย เพื่อ
ท�าให้ดูง่ายขึ้น ค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้เร็วขึ้น เช่น การเรียงคะแนนดิบของนักเรียนจากมากไปหาน้อย
3 นพดล พรามณี, เทคโนโลยีทางการศึกษาเบ้องต้น, (ภาควิชาเทคโนโลยีและส่อสารการศึกษา คณะครุศาสตร์


อุตสาหกรรม, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี, 2557), หน้า 86.

188 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ


การเก็บบัตรดัชนีส�าหรับหนังสือต่าง ๆ โดยการเรียงตามตัวอักษร จาก ก ข ค ถึง ฮ เป็นต้น จะเห็นได้
ว่าการเรียงล�าดับข้อมูลสองประเภทใหญ่ ๆ ด้วยกันคือ การเรียงข้อมูลที่เป็นตัวเลข (Numeric) และการ


เรียงข้อมูลท่เป็นตัวอักษร (Alphabetic) สาหรับการจัดเรียงข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์น้นถ้าข้อมูลเป็น

ตัวอักษรจะจัดเรียงตามล�าดับของรหัสแทนข้อมูล
DO NOT COPY
3) การจัดกลุ่ม (Classifying) หมายถึง การจัดข้อมูลโดยการแยกออกเป็นกลุ่มหรือประเภทต่าง




ๆ เชน การน�าขอมูลเกี่ยวกับประวัตินักศึกษา มาแยกตามคณะตาง ๆ เชน แยกเปนนักศึกษาที่สังกัดคณะ

















วทยาศาสตร์ นกศกษาทสงกดคณะครศาสตร์ เป็นต้น การทาเช่นนทาให้การค้นหาข้อมลทาได้ง่ายขน
และยังสะดวกส�าหรับท�ารายงานต่าง ๆ
4) การดึงข้อมูล (Retrieving) หมายถึง การค้นหาและการน�าข้อมูลที่ต้องการมาจากแหล่งเก็บ


เพื่อน�าไปใชงาน เชน ตองการทราบคาคะแนนเฉลี่ยสะสมของนักศึกษา ที่มีเลขประจ�าตัว 33555023 ซึ่ง


สังกัดคณะวิทยาศาสตร์ ถ้าข้อมูลเรียงโดยแยกตามคณะวิชาและในแต่ละคณะวิชาเรียงตามหมายเลข








ประจาตว การดงข้อมลจะเรมต้นค้นหาแฟ้มของคณะวชา และค้นหาข้อมลเรมจากกล่มแรก โดยดเลข




ประจ�าตัวจนกระทั่งพบหมายเลขประจ�าตัว 33555023 ก็จะดึงเอาค่าคะแนนเฉลี่ยสะสมของนักศึกษาผู้
นี้น�าไปใช้ตามที่ต้องการ
5) การรวมข้อมูล (Merging) หมายถง การน�าขอมลตงแตสองชดขนไปมารวมกนใหเปนชุดเดยว














เช่น การนาประวัติส่วนตัวของนักศึกษา และประวัติการศึกษามารวมเป็นชุดเดียวกัน เป็นประวัตินักศึกษา
เป็นต้น การรวมข้อมูลจัดได้ว่าเป็นวิธีการที่นิยมใช้กันมากในระบบการจัดการฐานข้อมูลในปัจจุบันนี้
6) การสรุปผล (Summarizing) หมายถึง การสรุปส่วนต่าง ๆ ของข้อมูลโดยย่อเอาเฉพาะส่วน
ที่เป็นใจความส�าคัญ เพื่อเน้นจุดส�าคัญและแนวโน้ม เช่น การน�าข้อมูลมาแจงนับและท�าเป็นตารางการ



หายอดนักศึกษาของแต่ละวิชา ข้อมูลเหล่าน้ใช้สาหรับพิมพ์เป็นรายงานสรุปส่งข้นไปให้ผู้บริหารระดับสูง
เพื่อใช้ในการบริหาร
7) การท�ารายงาน (Reporting) หมายถึง การน�าข้อมูลมาจัดพิมพ์รายงานรูปแบบต่าง ๆ เช่น
รายงานการวิเคราะห์อาชีพของผู้ปกครองของนักศึกษา รายงานการเรียนของนักศึกษา เป็นต้น
8) การบันทึก (Recording) หมายถึง การจดบันทึกข้อมูลเอาไว้โดยทาการคัดลอกข้อมูลจาก

ต้นฉบับแล้วเก็บเป็นแฟ้ม (Filing) เช่น การบันทึกประวัติส่วนตัวนักศึกษาแต่ละคน เป็นต้น
9) การปรับปรุงรักษาข้อมูล (Updating) หมายถึง การเพิ่ม (Add) หรือการเอาออก (Delete)
และการเปลี่ยนค่า (Change) ข้อมูลที่อยู่ในแฟ้มให้ทันสมัยอยู่เสมอ 4
.
4 กาญจนา นุจศิริ, เทคโนโลยีสารสนเทศ : การประมวลผลข้อมูล, [ออนไลน์] (แหล่งที่มา) : https://sites.
google.com/site/kanjanapopup/bth-thi-4-kar-pramwl-phl-khxmul [ 27 กุมภาพันธ์ 2562]

บทที่ 8 การจัดการฐานข้อมูล 189


8.2.9 การท�าข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ


การทาข้อมูลให้เป็นสารสนเทศนั้นจะต้องใช้เทคโนโลยีช่วยต้งแต่การสารวจความต้องการของ

ข้อมูล การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การสรุป หรือแม้กระท่งการบ�ารุงรักษาข้อมูล



ดังน้นองค์กรหรือหน่วยงานจะต้องเลือกเทคโนโลยีท่เหมาะสมกับข้อมูล ใช้ง่ายคงทนและราคาสมเหตุสม
DO NOT COPY

ผล การทาข้อมูลให้เป็นสารสนเทศประกอบด้วยขั้นตอนต่อไปนี้
1) การเก็บรวบรวมข้อมูล เช่น ข้อมูลการลงทะเบียนเรียนของนักศึกษา คณะครุศาสตร์


มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในการเก็บรวบรวมข้อมูลน้นจะทาการป้อนเข้าระบบ
คอมพิวเตอร์

2) ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลหลังจากป้อนข้อมูลเสร็จแล้วก็ดาเนินการตรวจสอบความ
ถูกต้องของข้อมูล

3) การแบ่งกลุ่มข้อมูล โดยการแยกกลุ่มข้อมูลออกเป็นหมวดหมู่ เช่น ข้อมูลประวัตินักศึกษาจะ

ต้องแบ่งออกเป็น เพศ ปีเกิด จานวนนักศึกษา แล้วทาการเรียบเรียงข้อมูล อาจใช้ตัวเลขหรือตัวอักษรกา


กับเพื่อความสะดวกต่อการเรียกใช้ข้อมูล
4) การสรุปผล ข้อมูลในการสรุปผลควรแสดงผลออกมาเป็นสถิติ อาจน�าเสนอโดยใช้ตารางหรือ
กราฟ เพื่อความสะดวกและง่ายต่อการเรียกใช้



ตัวอย่าง : การท�าข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ



ปีการศึกษา จ�านวนนักศึกษา

ระเบียบประวัติ การแจกแจง 2557 1,000
2558 2,000

2559 3,000





8.3 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการจัดการฐานข้อมูล
การจัดการฐานข้อมูลมีความส�าคัญต่อการจัดการระบบฐานข้อมูล (Database Management


System : DBMS) ท้งน้เน่องจากข้อมูลท่อยู่ภายในฐานข้อมูลจะต้องศึกษาถึงคุณสมบัติ องค์ประกอบ



ระบบจัดการฐานข้อมูล การประยุกต์ใช้ฐานข้อมูล ประโยชน์ และข้อดี ข้อจ�ากัดในการน�าฐานข้อมูลไป
ใช้งาน ข้อมูลที่น�ามาต้องมีความสัมพันธ์กัน มีโครงสร้างของข้อมูลที่มีคุณภาพ ส่งผลให้การเข้าถึงข้อมูล
และกระบวนการที่โปรแกรมประยุกต์จะเรียกใช้ฐานข้อมูลมีประสิทธิภาพต่อการเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการ

190 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ


8.3.1 Database Management Systems

เป็นโปรแกรมท่ทาหน้าท่เป็นตัวกลางในการติดต่อระหว่างผู้ใช้กับฐานข้อมูล เพ่อจัดการและ



ควบคุมความถูกต้อง ความซ�้าซ้อน และความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลต่าง ๆ ภายในฐานข้อมูล ซึ่งต่างจาก




ระบบแฟ้มข้อมูลท่หน้าท่เหล่าน้จะเป็นหน้าท่ของโปรแกรมเมอร์ การติดต่อกับข้อมูลในฐานข้อมูลไม่ว่า
DO NOT COPY
จะเป็นการใช้ค�าสั่งในกลุ่มค�าสั่ง DML หรือ DDL หรือด้วยโปรแกรมทุกค�าสั่งที่ใช้กระท�ากับข้อมูลจะถูก
โปรแกรม DBMS น�ามาแปล (Compile) เป็นการกระท�า (Operation) ภายใต้ค�าสั่งนั้น ๆ เพื่อน�าไป

กระทากับตัวข้อมูลภายในฐานข้อมูลต่อไป สาหรับการทางานภายในโปรแกรม DBMS ท่ทาหน้าท่ในการ





แปลค�าสั่งไปเป็นการกระท�ากับข้อมูลนั้น ประกอบด้วยส่วนการท�างานต่าง ๆ ดังนี้





























ภาพที่ 8.2 แสดงส่วนประกอบการท�างานภายในโปรแกรม DBMS





1. Database Manager เป็นส่วนท่ทาหน้าท่กาหนดการกระทาต่าง ๆ ให้กับส่วน File








Manager เพ่อไปกระทากับข้อมูลท่เก็บอยู่ในฐานข้อมูล (File Manager เป็นส่วนท่ทาหน้าท่บริหาร และ
จัดการกับข้อมูลที่เก็บอยู่ในฐานข้อมูลในระดับกายภาพ)
2. Query Processor เป็นส่วนที่ท�าหน้าที่แปลงค�าสั่งของ Query Language ให้อยู่ในรูปของ
ค�าสั่งที่ Database Manager เข้าใจ

3. Data Manipulation Language Precompile เป็นส่วนท่ทาหน้าท่แปล (Compile)


ประโยคค�าสั่งของกลุ่มค�าสั่ง DML ให้อยู่ในรูปแบบที่ส่วน Application Programs Object Code จะ

บทที่ 8 การจัดการฐานข้อมูล 191


น�าไปเข้ารหัสเพื่อส่งต่อไปยังส่วน Database Manager การแปลประโยคค�าสั่ง DML ของส่วน Data
Manipulation Language Precompile นี้จะต้องท�างานร่วมกับส่วน Query Processor
4. Data Definition Language Precompile เป็นส่วนที่ท�าหน้าที่แปล (Compile) ประโยค

ค�าสั่งของกลุ่มค�าสั่ง DDL ให้อยู่ในรูปแบบของ Meta Data ที่เก็บอยู่ใน ส่วน Data Dictionary ของฐาน
DO NOT COPY
ข้อมูล (Meta Data ได้แก่ รายละเอียดที่บอกถึงโครงสร้างต่าง ๆ ของข้อมูล)



5. Application Programs Object Code เป็นส่วนท่ทาหน้าท่แปลงคาส่งต่าง ๆ ของ



โปรแกรม รวมท้งคาส่งในกลุ่มคาส่ง DML ท่ส่งต่อมาจากส่วน Data Manipulation Language








Precompile ให้อยู่ในรูปของ Object Code ท่จะส่งต่อไปให้ Database Manager เพ่อกระทากับข้อมูล

ในฐานข้อมูล
โปรแกรม Database Management Systems ได้พัฒนาขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาทางด้าน Data


Independence ท่ไม่มีในระบบแฟ้มข้อมูล ดังน้น จึงมีความเป็นอิสระจากท้งตัว Hardware และตัว

ข้อมูลภายในฐานข้อมูล กล่าวคือ โปรแกรม DBMS จะมีการท�างานที่ไม่ขึ้นอยู่กับรูปแบบ (Platform)




ของ Hardware ท่นามาใช้กับระบบฐานข้อมูลรวมท้งมีรูปแบบในการอ้างถึงข้อมูลท่ไม่ข้นอยู่กับโครงสร้าง



ทางกายภาพของข้อมูลด้วยการใช้ Query Language ในการติดต่อกับข้อมูลในฐานข้อมูลแทนคาส่งของ
ภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 3 ส่งผลให้ผู้ใช้สามารถเรียกใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูล โดยไม่จ�าเป็นต้องทราบ
ถึงประเภท ของข้อมูลหรือขนาดของข้อมูลนั้น หรือสามารถก�าหนดล�าดับที่ของ Field ในการแสดงผล
ได้โดยไม่ต้องค�านึงถึงล�าดับที่จริงของ Field นั้น
8.3.2 หน้าที่ของ Database Management Systems มีดังนี้
1. แปลงค�าสั่งที่ใช้จัดการกับข้อมูลภายในฐานข้อมูล ให้อยู่ในรูปแบบที่ฐานข้อมูลเข้าใจ
2. การน�าค�าสั่งต่าง ๆ ซึ่งได้รับการแปลแล้ว ไปสั่งให้ฐานข้อมูลท�างาน เช่น การเรียกใช้ข้อมูล
(Retrieve) การปรับปรุงข้อมูล (Update) การลบข้อมูล (Delete) การเพิ่มข้อมูล (Add) เป็นต้น
3. ป้องกันความเสียหายท่จะเกิดข้นกับข้อมูลภายในฐานข้อมูล โดยจะตรวจสอบว่าคาส่งใดท ี ่




สามารถท�างานได้ และค�าสั่งใดที่ไม่สามารถท�างานได้
4. รักษาความสัมพันธ์ของข้อมูลภายในฐานข้อมูลให้มีความถูกต้องอยู่เสมอ



5. เก็บรายละเอียดต่าง ๆ ท่เก่ยวข้องกับข้อมูลภายในฐานข้อมูลไว้ใน Data Dictionary ซ่ง
รายละเอียดเหล่านี้เรียกว่า “ข้อมูลของข้อมูล (Metadata)”
6. ควบคุมให้ฐานข้อมูลท�างานได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
8.3.3 Data Dictionary File Manager คือ ฐานข้อมูลทุกชุดจะต้องมีส่วนที่ใช้เก็บข้อมูลใน


ลักษณะ Metadata ซ่งเป็นข้อมูลท่บอกถึงรายละเอียดของตัวข้อมูลท่เก็บอยู่ในฐานข้อมูล เช่น โครงสร้าง

ของข้อมูล โครงสร้างของ Table โครงสร้างของ Index กฎที่ใช้ควบคุมความถูกต้องของ ข้อมูล (Integ-


rity Rule) และกฎท่ใช้ในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล (Security Rule) ข้อมูลเหล่าน้จัดเป็นข้อมูล

192 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ


ที่มีความจ�าเป็นต่อโปรแกรม DBMS ในการตัดสินใจที่จะด�าเนินการใด ๆ กับฐานข้อมูล เช่น ข้อมูลเกี่ยว


กับกฎท่ใช้ในการรักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูล จะถูกนามาใช้ในการพิจารณาให้สิทธ์แก่ผู้ใช้ในการใช้

งานฐานข้อมูล ส�าหรับส่วนที่ใช้จัดเก็บข้อมูลในลักษณะของ Metadata นี้ ได้แก่ Data Dictionary หรือ
Catalog
DO NOT COPY
ส�าหรับ File Manager เป็นส่วนที่ท�าหน้าที่บริหารและจัดการกับข้อมูลที่เก็บอยู่ในฐานข้อมูล
ในระดับกายภาพ Physical Level


8.3.4 ความหมายของการจัดการฐานข้อมูล
การจัดการฐานข้อมูลนั้นขอเสริมจากบทที่ 7 เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการ ได้กล่าวถึง

ความหมายของข้อมูลไว้บางส่วน จึงขอขยายความเพิ่มเติม ดังนี้
วรวิทย์ นิเทศศิลป์ กล่าวไว้ว่า ข้อมูล (Data) หมายถึง กลุ่มตัวอักขระที่เมื่อน�ามารวมกันแล้ว
5
มีความหมายอย่างใดอย่างหน่ง และมีความสาคัญควรแก่การจัดเก็บเพ่อนาไปใช้งาน ข้อมูลมักเป็น









ข้อความท่อธิบายส่งใดส่งหน่ง หรือ อาจเป็นตัวอักษร ตัวเลข หรือสัญลักษณ์ใด ๆ ท่สามารถนาไปประมวล

ผลด้วยคอมพิวเตอร์
ณรงค์ หุตานุวัตร ให้ความหมายของฐานข้อมูล (Database) หมายถึง แหล่งรวบรวมข้อมูล
6

อย่างเป็นระบบของข้อมูลเร่องเดียว หรือ หลายเร่องท่มีความสัมพันธ์กัน เพ่อสะดวกต่อการเพ่มเติมข้อมูล,




ค้นหาข้อมูล, แก้ไขข้อมูล, และ สร้าง Output ที่ต้องการ

ระบบฐานข้อมูล (Database System) หมายถึงโครงสร้างสารสนเทศ ท่ประกอบด้วยราย
7


ละเอียดของข้อมูลท่มีความสัมพันธ์และเก่ยวข้องกัน ท่จะนามาใช้ระบบงานต่าง ๆ ร่วมกัน



กล่าวโดยสรุป ความหมายของการจัดการฐานข้อมูล คือ กลุ่มของข้อมูลท่ถูกเก็บรวบรวมไว้ โดย












มความสมพนธ์ซงกนและกนอย่างเปนระบบของขอมูลเรองเดียว หรอ หลายเรอง เพอสะดวกตอการเพ่ม






เติม ค้นหา แก้ไขข้อมูล และ สร้าง Output ตามที่ต้องการ โดยไม่ได้บังคับว่าข้อมูลทั้งหมดนี้เก็บไว้ใน
แฟ้มเดียวกันหรือแยกเก็บหลาย ๆ แฟ้มข้อมูลโดยน�ามาใช้ระบบงานร่วมกัน
5 วรวิทย์ นิเทศศิลป์, คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ, พิมพ์ครั้งที่ 2, (เชียงใหม่: มหาวิทยาลัย
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่, 2559), หน้า 198.
6 ณรงค์ หุตานุวัตร, ฐานข้อมูล Excel, (กรุงเทพฯ : แท่นทองปิ้นติ้งเซอร์วิส, 2548), หน้า 12.


7 ความรู้พ้นฐานเก่ยวกับระบบฐานข้อมูล.[ออนไลน]. แหล่งท่มา: [http://www.satrinon.ac.th/emmy/


lesson/lesson01/ls0108.html] [26 กมภาพันธ์ 2562]

บทที่ 8 การจัดการฐานข้อมูล 193


8.4 การจัดการข้อมูลด้วยแฟ้มข้อมูล

ปริศนา มัชฌิมา ได้อธิบายไว้ว่า การจัดการข้อมูลเริ่มจากการบันทึกข้อมูล ซึ่งอาจจะเป็นการ
8




บันทึกข้อมูลลงกระดาษหรือสมุดเพ่อช่วยในการจดจา แต่เม่อมีข้อมูลเพ่มข้น รูปแบบของการจัดเก็บ

ข้อมูลก็เปลี่ยนไปให้มีระบบ มีระเบียบมากขึ้น โดยมีการบันทึกข้อมูลลงแฟ้มเอกสารต่าง ๆ ที่จัดไว้เป็น
DO NOT COPY
หมวดหมู่ และมีการพัฒนาการจัดเก็บข้อมูลลงในสื่อบันทึกข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์ โดยจัดเก็บเป็นแฟ้ม
ข้อมูลเพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถอ่านข้อมูลจากแฟ้มได้
8.4.1 ความหมายของแฟ้มข้อมูล

แฟ้มข้อมูล คือ ข้อมูลท่ผู้ใช้ต้องการจะจัดเก็บหรือรวบรวม ซ่งบันทึกไว้ในหน่วยเก็บข้อมูลใน


คอมพิวเตอร์ เช่น แฟ้มข้อมูลรายงาน แฟ้มข้อมูลรูปภาพ และแฟ้มข้อมูล โปรแกรมต่าง ๆ
8.4.2 โครงสร้างแฟ้มข้อมูล
โครงสร้างแฟ้มข้อมูล (Data Structure) หมายถึง รูปแบบของการจัดระเบียบของข้อมูล ซึ่งมี






อยู่หลายรูปแบบ ประกอบด้วยโครงสร้างพ้นฐานท่ลาดับจากหน่วยท่เล็กท่สุดไปยังหน่วยท่ใหญ่ข้นตาม


ล�าดับ ซึ่งได้กล่าวไว้ในบทที่ 7 แล้วจึงขอทบทวนอีกรอบ และเพิ่มเนื้อหาบางประเด็น ดังต่อไปนี้
8.4.2.1 บิท (Bit: binary digit) คือ หน่วยของข้อมูลที่เล็กที่สุดที่เก็บอยู่ในหน่วยความ
จ�า ภายในคอมพิวเตอร์ ซึ่ง Bit จะแทนด้วยตัวเลขหนึ่งตัว คือ 0 หรือ 1 อย่างใดอย่างหนึ่ง เรียกตัวเลข
0 หรือ 1 ว่าเป็น บิท 1 บิท
8.4.2.2 ไบท์ (Byte) คือ หน่วยของข้อมูลที่น�าบิทหลาย ๆ บิทมารวมกัน แทนตัวอักษร
แต่ละตัว เช่น A, B, …, Z, 0, 1, 2, ... ,9 และสัญลักษณ์พิเศษอื่น ๆ เช่น $, &, +, -, *, / ฯลฯ โดย ตัว

อักษร 1 ตัวจะแทนด้วยบิท 7 หรือ 8 บิท (1 ไบท์ แทนด้วยตัวอักษร 7 หรือ 8 บิท) ซึ่งตัวอักษรแต่ละ
ตัวจะเรียกว่า ไบท์ เช่น ตัว A เมื่อเก็บอยู่ในคอมพิวเตอร์จะเก็บเป็น 1000001 ส่วนตัว B จะเก็บ เป็น

1000010 เป็นต้น
8.4.2.3 เขตข้อมูล (Field) คือ หน่วยของข้อมูลท่เกิดจากการนาไบท์หรือตัวอักขระ


หลาย ๆ ตัวมารวมกัน เป็นค�าที่มีความหมาย เช่น รหัสนักศึกษา ชื่อนิสิต นามสกุล ที่อยู่ คณะ และ สาขา
วิชา
8.4.2.4 ระเบียน (Record) คือ หน่วยของข้อมูลที่มีการน�าเขตข้อมูลหลาย ๆ เขตข้อมูล





ท่มความสัมพันธ์กันมารวมกัน หรือค่าของข้อมูลในแต่ละเขตข้อมูล เช่น ระเบียนนักศึกษาคนท 1 ประกอบ
ด้วยเขตข้อมูล รหัสนิสิต:5600111, ช่อ:สาธิต, นามสกุล:กิตติพงศ์, หลักสูตร:คอมพิวเตอร์,

คณะ:วิทยาศาสตร์
8 ปริศนา มัชฌิมา, การจัดการฐานข้อมูล, เอกสารประกอบการเรียนรายวิชาการจัดการฐานข้อมูล, (กรุงเทพฯ:
ศูนย์บริการสื่อและสิ่งพิมพ์กราฟฟิคไซท์, 2561), หน้า 4-7.

194 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ


8.4.2.5 แฟ้มข้อมูล (File) คือ หน่วยของข้อมูลที่มีการน�าระเบียนหลาย ๆ ระเบียนที่มี
ความสัมพันธ์กันมารวมกัน เช่น แฟ้มข้อมูลนิสิต ซึ่งประกอบไปด้วย ระเบียนจ�านวน 5 ระเบียน หรือ 5
แถว ซึ่งก็คือ รายละเอียดของนิสิตจ�านวน 5 คน

8.4.2.6 ฐานข้อมูล (Database) คือ หน่วยของข้อมูลที่มีการน�าแฟ้มข้อมูลหลาย ๆ
DO NOT COPY
แฟ้มข้อมูล ที่มีความสัมพันธ์กันมารวมกัน เช่น ฐานข้อมูลในระบบทะเบียนนิสิต จะประกอบด้วย แฟ้ม

ข้อมูลรายวิชา นิสิต การลงทะเบียน ผลการเรียน และอาจารย์ผู้สอน เป็นต้น

8.4.3 ประเภทของแฟ้มข้อมูล

แฟ้มข้อมูลจะถูกแบ่งแยกประเภทตามการใช้งานต่าง ๆ ดังนี้

8.4.3.1 แฟ้มข้อมูลรายการหลัก (Master File) ท�าหน้าที่จัดเก็บข้อมูลที่ไม่มีการ



เปล่ยนแปลงหรือมีสภาพค่อนข้างคงท่ เช่น แฟ้มข้อมูลประวัตินักศึกษา จะประกอบด้วยข้อมูลต่าง ๆ เช่น
รหัสนักศึกษา ชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ คณะ และหลักสูตร เป็นต้น ซึ่งการปรับปรุงแก้ไขข้อมูลใน แฟ้มข้อมูล
รายการหลักให้มีความทันสมัยสามารถท�าได้ 3 รูปแบบคือ การเพิ่ม (Add) การลบออก (Delete) และ
การแก้ไข (Modify) เช่น การเพิ่มระเบียนของนิสิตในกรณีที่สมัครเรียนใหม่ การลบ ระเบียนของนิสิตใน
กรณีที่ท�าเรื่องขอลาออก และการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ของนิสิต เป็นต้น อีกตัวอย่างหนึ่งที่เป็นแฟ้มข้อมูล

รายการหลัก คือ ข้อมูลของลูกค้าธนาคาร เช่น เลขที่บัญชี ชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ ยอดเงินคงเหลือ ซึ่งจะถูก


แก้ไขเม่อมีรายการฝากถอนเงินจากลูกค้าโดยการแก้ไข แฟ้มข้อมูลอาจทาได้โดยตรงหรือแก้ไขโดยใช้
ข้อมูลจากแฟ้มข้อมูลรายการเปลี่ยนแปลง
8.4.3.2 แฟ้มข้อมูลรายการเปลี่ยนแปลง (Transaction file) ท�าหน้าที่จัดเก็บข้อมูล


ท่มีการเคล่อนไหวหรือมีการเปล่ยนแปลงอยู่เสมอ เช่น แฟ้มข้อมูลการลงทะเบียนเรียนของนิสิต ท่จะต้อง



มีการลงทะเบียนเรียนในทุก ๆ ภาคการศึกษา แฟ้มข้อมูลรายการฝาก-ถอนเงินในบัญชีลูกค้าธนาคาร
หรือแฟ้มข้อมูลการจ�าหน่ายสินค้า
8.4.3.3 แฟ้มเอกสาร (Document File) หรือแฟ้มข้อมูลรายงาน (Report File) ท�า

หน้าท่เก็บรายงานท่ได้จากคอมพิวเตอร์เน่องจากการเก็บแฟ้มข้อมูลรายงานไว้ในรูปของแฟ้มข้อมูลใน





หน่วยความจาสารองมีข้อดี คือจัดเก็บได้สะดวกและทนทานกว่าการเก็บในรูปของกระดาษ อีกท้งสามารถ
สั่งพิมพ์ในปริมาณเท่าใดก็ได้


8.4.3.4 แฟ้มเพ่อการตรวจสอบ (Audit File) จัดเป็นไฟล์พิเศษชนิดหน่งท่ใช้เก็บประวัต ิ

การบันทึกข้อมูลต่าง ๆ ท่ถูกอัพเดตลงในไฟล์ โดยเฉพาะอย่างย่งแฟ้มข้อมูลหลักกับแฟ้มรายการ


เปล่ยนแปลง ท่สามารถนามาใช้งานร่วมกับแฟ้มตรวจสอบ แฟ้มตรวจสอบจะคอยติดตามบันทึก





ประวัติการประมวลผลของแฟ้มข้อมูลหลักและแฟ้มรายการเปล่ยนแปลงเพ่อสามารถนาไปใช้เพ่อการกู้


คืนข้อมูลในกรณีที่ระบบเกิดความเสียหาย แฟ้มตรวจสอบนี้ส่วนใหญ่เรียกกัน Log File

บทที่ 8 การจัดการฐานข้อมูล 195


8.5 องค์ประกอบของฐานข้อมูล
กิตติ ภักดีวัฒนะกุล ได้กล่าวถึงองค์ประกอบของระบบฐานข้อมูล โดยทั่วไปมีดังนี้
9

8.5.1 ข้อมูล (Data) ข้อมูลท่จัดเก็บอยู่ในระบบฐานข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
ไปจนถึงคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ เช่น Mainframe ข้อมูลในแต่ละส่วนต้องสามารถน�ามาประกอบกันได้
DO NOT COPY

(Data Integrated) เช่น เม่อแพทย์รักษาผู้ป่วย แพทย์จะอาศัยประวัติการรักษาพยาบาลของผู้ป่วย
(Patient History) มาประกอบการรักษา แต่ในกรณีฉุกเฉินที่ต้องการติดต่อญาติผู้ป่วย ซึ่งข้อมูลส่วนนี้

ไม่ปรากฎอยู่ในประวัติการรักษาพยาบาล ทางโรงพยาบาลสามารถนาช่อผู้ป่วย (Field “Patient

Name”) ไปค้นหาชื่อญาติ (Field “Relative Name”) ในทะเบียนผู้ป่วย (Patient Personal) ได้โดย
ไม่จ�าเป็นต้องเก็บชื่อญาติของผู้ป่วยไว้ในประวัติการรักษาแต่อย่างใด















ภาพที่ 8.3 แสดงการใช้ฐานข้อมูลของเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
นอกเหนือจากคุณลักษณะดังกล่าวแล้ว ในคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่มีผู้ใช้จ�านวนมาก ข้อมูล

ในฐานข้อมูลจะต้องสามารถใช้ร่วมกัน (Data Sharing) จากผู้ใช้หลาย ๆ คนได้ เช่น ข้อมูลในการจอง
ห้องพักของผู้ป่วย (Patient Admit) จะต้องสามารถน�าไปใช้ในการออกใบเสร็จรับเงินเพื่อเก็บค่ารักษา

พยาบาลโดยฝ่ายการเงินด�าเนินการได้อย่างต่อเนื่อง




















ภาพที่ 8.4 แสดงการใช้งานฐานข้อมูลร่วมกันของเครื่องคอมพิวเตอร์มากกว่า 1 เครื่อง

9 กิตติ ภักดีวัฒนะกุล, ระบบฐานข้อมูล Database Systems, พิมพ์ครั้งที่ 10, (กรุงเทพฯ: เคทีพี คอมพ์
แอนด์ คอนซัลท์, 2550), หน้า 10 -14.

196 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ




8.5.2 ฮาร์ดแวร์ (Hardware) อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ท่มีส่วนเก่ยวข้องกับระบบฐานข้อมูล
ประกอบด้วย 2 ส่วนส�าคัญ ดังนี้

8.5.2.1 หน่วยความจ�าสารอง (Secondary Storage) เน่องจากเป็นอุปกรณ์ทาง








คอมพิวเตอร์ท่ใช้จัดเก็บข้อมูลของฐานข้อมูล ดังน้น ส่งท่ต้องคานึงถึงสาหรับอุปกรณ์ในส่วนน้ ได้แก่ ความ
DO NOT COPY
จุของหน่วยความจ�าส�ารองที่น�ามาใช้เก็บข้อมูลของฐานข้อมูลนั้น



8.5.2.2 หน่วยประมวลผล และหน่วยความจาหลัก เนองจากเป็นอปกรณ์ทจะต้อง





ท�างานรวมกัน เพื่อน�าขอมูลจากฐานขอมูลขึ้นมาประมวลผลตามค�าสั่งที่ก�าหนด ดังนั้น สิ่งที่ตองค�านึงถึง



สาหรับอุปกรณ์ในส่วนน้ ได้แก่ ความเร็วของหน่วยประมวลผล และขนาดของหน่วยความจาหลักของ


คอมพิวเตอร์ที่น�ามาใช้ประมวลผลร่วมกับฐานข้อมูลนั้น
8.5.3 ซอฟต์แวร์ (Software) การติดต่อกับข้อมูลภายในฐานข้อมูลของผู้ใช้ จะต้องกระทา

ผ่านโปรแกรมที่ชื่อว่า Database Management Systems (DBMS)




ภาพที่ 8.5 แสดงการติดต่อกับข้อมูลภายในฐานข้อมูลของผู้ใช้ผ่านโปรแกรม DBMS




หน้าท่หลักของโปรแกรม DBMS ได้แก่ การทาให้การเรียกใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูล เป็นอิสระจาก

ส่วนของ Hardware หรือ โปรแกรม DBMS จะมีหน้าที่ในการจัดการและควบคุมความถูกต้อง ความซ�้า
ซ้อน และความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลต่าง ๆ ภายในฐานข้อมูลแทนโปรแกรมเมอร์ ส่งผลให้ผู้ใช้สามารถ
เรียกใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลได้โดยไม่จ�าเป็นต้องทราบถึงโครงสร้างทางกายภาพของข้อมูลในระดับที่ลึก

เช่นเดียวกับโปรแกรมเมอร์ เนื่องจากโปรแกรม DBMS จะมีส่วนของ Query Language ซึ่งเป็นภาษา
ที่ประกอบด้วยค�าสั่งต่าง ๆ ที่ใช้ในการจัดการ และเรียกใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลซึ่งสามารถน�าไปใช้ร่วม
กับภาษาคอมพิวเตอร์อื่น ๆ เพื่อพัฒนาเป็นโปรแกรมส�าหรับเรียกใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลมาประมวลผล

รายละเอียดของโปรแกรม DBMS

8.5.4 ผู้ใช้ระบบฐานข้อมูล (User) ผู้ที่เรียกใช้ข้อมูลจากระบบฐานข้อมูลมาใช้ มี 3 กลุ่ม ดังนี้
8.5.4.1 Application Programmer ได้แก่ ผู้ที่ท�าหน้าที่พัฒนาโปรแกรม (Appli-

cation Program) เพื่อเรียกใช้ข้อมูลจากระบบฐานข้อมูลมาประมวลผล โดยโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นส่วน

บทที่ 8 การจัดการฐานข้อมูล 197


ใหญ่ มักจะใช้ร่วมกับค�าสั่งในกลุ่ม Data Manipulation Language (DML) ของ Query Language
เพื่อเรียกใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูล


8.5.4.2 End User ได้แก่ ผู้ท่นาข้อมูลจากฐานข้อมูลไปใช้งาน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ดังน ้ ี
Native User ได้แก่ ผู้ใช้เรียกใช้ข้อมูลจากโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นเนื่องจาก DBA มีสิทธิ์
DO NOT COPY





ท่จะเปล่ยนแปลงโครงสร้างของข้อมูลภายในฐานข้อมูลได้ ดังน้น จึงจาเป็นต้องทาให้ข้อมูล เป็นอิสระ
จากโปรแกรมต่าง ๆ ที่เรียกใช้ เพื่อให้ DBA สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของข้อมูลภายในฐานข้อมูล
ได้ โดยไม่ส่งผลกระทบกับโปรแกรมต่าง ๆ

ด้วยเหตุน้จึงกาหนดให้ข้อมูลภายในฐานข้อมูล ต้องเป็นอิสระจากตัวโปรแกรมท่เรียก



ใช้ เพ่อท่จะสามารถแก้ไขโครงสร้างทางกายภาพของข้อมูลได้ โดยไม่กระทบต่อโปรแกรมท่เรียกใช้ข้อมูล


จากฐานข้อมูลนั้น ซึ่งคุณลักษณะเช่นนี้ จะเรียกว่า “Data Independence” ดังนั้นการก�าหนดให้ข้อมูล
เป็นอิสระจากโปรแกรมที่เรียกใช้ แบ่งออกเป็น 2 ระดับ ดังนี้

ระดับ Physical เป็นระดับท่โครงสร้างทางกายภาพของข้อมูลเป็นอิสระจากโปรแกรม
ที่เรียกใช้ เช่น สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง ของ Index File ได้โดยไม่ต้องแก้ไขโปรแกรมที่เรียกใช้
ข้อมูลนั้น


ระดบ Logical เป็นระดับท่ความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลในส่วนต่าง ๆ ภายในฐานข้อมูล
เป็นอิสระจากโปรแกรมที่เรียกใช้ เช่น สามารถ แยกบาง Field ออกไปเป็นแฟ้มข้อมูลใหม่ได้ โดยไม่ต้อง
แก้ไขโปรแกรมที่เรียกใช้ข้อมูลนั้น



เม่อพิจารณาความเป็นอิสระของข้อมูลท่มีต่อโปรแกรมท่เรียกใช้งานท้ง 2 ระดับ จะ

สังเกตเห็นว่า การก�าหนดให้ข้อมูล เป็นอิสระจากโปรแกรมที่เรียกใช้ในระดับ Logical จะกระท�าได้ยาก

กว่าในระดับ Physical เน่องจากความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลในส่วนต่าง ๆ ภายในแฟ้มข้อมูลเดียวกัน จะ
มีความเกี่ยวพันกับโปรแกรมมากกว่าโครงสร้างทางกายภาพของข้อมูล


8.6 ระบบการจัดการฐานข้อมูล






















ภาพที่ 8.6 แสดงระบบการจัดการฐานข้อมูล DBMS

198 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ


ระบบการจัดการฐานข้อมูล DBMS คือ ซอฟต์แวร์ที่ใช้เป็นเครื่องมือของผู้ใช้เพื่อโต้ตอบกับฐาน
ข้อมูล ซึ่ง DBMS จะประกอบไปด้วยฟังก์ชั่นที่ท�าหน้าที่ต่าง ๆ ในการจัดการกับข้อมูล รวมทั้งภาษาที่ใช้

ทางานกับข้อมูลมักใช้ภาษา SQL ในการโต้ตอบระหว่างกันกับผู้ใช้ด้วยการสร้าง การเรียกดู และการ



บารุงรักษาฐานข้อมูล นอกจากน้ DBMS มีหน้าท่รักษาความม่นคงและความปลอดภัยของข้อมูลด้วยการ

DO NOT COPY
ป้องกันไม่ให้ผู้ไม่มีสิทธิ์ใช้งานเข้ามาละเมิดข้อมูลในฐานข้อมูลที่เป็นศูนย์กลางได้ รวมถึงการส�ารองและ
การกู้คืนข้อมูลในกรณีข้อมูลเกิดความเสียหาย
ส�าหรับด้านความสะดวกของ DBMS ที่มีต่อผู้ใช้งานควรมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
1. อนุญาตให้ผู้ใช้สามารถสร้างฐานข้อมูลได้ ปกติจะเรียกใช้ผ่าน Data Definition Langrage



DDL โดยจะอนุญาตให้ผู้ใช้กาหนดชนิดข้อมูลและโครงสร้าง รวมถึงข้อบังคับในข้อมูลท่จะจัดเก็บลงใน
ฐานข้อมูล
2. เมื่อฐานข้อมูลได้ถูกสร้างขึ้น และมีการก�าหนดโครงสร้างและชนิดข้อมูลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สามารถบันทึกข้อมูลได้ โดยผู้ใช้สามารถท�าการเพิ่ม ปรับปรุง ลบออก และเรียกดูข้อมูลจากฐานข้อมูล

ด้วยการเรียกใช้ผ่าน Data Manipulation Language (DML) ซ่งใช้ภาษา SQL เป็นภาษาสอบถามข้อมูล

และภาษาสอบถามข้อมูลผู้ใช้ท่วไปสามารถเรียกใช้งานเพ่อแสดงผลข้อมูลหรือรายงานเพ่มเติมได้ด้วย


ตนเอง ซึ่งแตกต่างจากวิธีแฟ้มข้อมูลที่หากผู้ใช้ต้องการสืบค้นข้อมูลเพิ่ม จะต้องพึ่งพาโปรแกรมเมอร์ให้
เขียนโปรแกรมใหม่ทุกครั้ง
3. สามารถควบคุมการเข้าถึงฐานข้อมูลได้ ซึ่งประกอบด้วย

3.1 ควบคุมความปลอดภัยของระบบ โดยสามารถก�าหนดสิทธิ์การใช้งานให้แก่ผู้ใช้งานใน








ระดับ ต่าง ๆ ดงนนผ้ท่ไม่มีสทธในการเข้าถึงฐานข้อมลจะไม่สามารถเข้ามาใช้งานฐานข้อมูลท่ตนถูกจากัด



สิทธิ์ได้
3.2 ความคงสภาพของระบบ เป็นการบ�ารุงรักษาข้อมูลที่จัดเก็บให้มีความถูกต้องตรงกับ
การควบคุมสภาวะการท�างานพร้อมกัน โดยแนวคิดของระบบฐานข้อมูลนั้น ข้อมูลจะอยู่ศูนย์กลางเพียง
แหล่งเดียว และสามารถแชร์การใช้งานร่วมกันได้
3.3 ท�างานพร้อมกันในฐานข้อมูล จะช่วยลดความไม่ถูกต้องในข้อมูล ในกรณีที่มีผู้ใช้งาน
มากกว่าหนึ่งคนเข้ามาใช้งานข้อมูลชุดเดียวกัน
3.4 การกู้คืนระบบ คือความสามารถในการติดตามเพ่อกู้คืนฐานข้อมูลให้กลับมาเหมือน

เดิม ในกรณีที่ฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์เกินความเสียหาย
3.5 ผู้ใช้สามารถเข้าถึงแคดตาล็อกในฐานข้อมูลได้ โดยจะมีค�าอธิบายรายละเอียดข้อมูล

บทที่ 8 การจัดการฐานข้อมูล 199










DO NOT COPY











ภาพที่ 8.7 แสดงค�าสั่ง SQL ในการสร้างตาราง


8.7 การประยุกต์ใช้ฐานข้อมูล 10


ปัจจุบันมหาวิทยาลัยได้นาคอมพวเตอร์มาใช้เป็นส่อเพ่อการส่อสาร เพอประกอบการเรียนการ






สอนในลักษณะต่าง ๆ เช่น การใช้วีดีทัศน์ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน การเรียนออนไลน์ รวมทั้งมี

การนาคอมพิวเตอร์มาใช้ในงานบริหารจัดการศึกษาต่าง ๆ เช่นการจัดทาทะเบียนประวัตินิสิตและประวัต ิ



อาจารย์ การคิดคะแนนและผลการทดสอบ การจัดทาตารางเรียนประจาภาคการศึกษา งานห้องสมุดเพ่อ



การสืบค้น การประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ในงานฐานข้อมูลทาให้เกิดขอมลท่รวมกันขนาดใหญ่ ในการบริหาร


จัดการการศึกษาต้องอาศัยข้อมูลที่มีความแม่นย�า รวดเร็ว และใช้เวลาน้อย ในงานทะเบียนนิสิตก็นเปน










งานบริการทางการศึกษาอีกงานหน่งท่มหาวิทยาลัยทุก ๆ แห่งต้องพัฒนาอย่างต่อเน่อง ซงเปนงานทยงยากและสลบ








ซบซ้อนเป็นอย่างมาก หากต้องดาเนนการในงานทเกยวข้องกบข้อมลดงกล่าวด้วยการใช้แรงงานคนทา





ด้วยมือ เนื่องจากมหาวิทยาลัย ประกอบด้วย คณะวิชาต่าง ๆ สาขาวิชาต่าง ๆ แต่ละแห่งต่างก็มีผู้เรียน
จ�านวนไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นนิสิตเก่า หรือใหม่ ทั้งในทุก ๆ ระดับการศึกษา รวมทั้งในสถานศึกษาบาง
แห่งยังมีนิสิตภาคพิเศษและภาคสมทบ ในลักษณะอื่น ๆ อีกด้วย
การประยุกต์ใช้งานฐานข้อมูลในงานทะเบียนนิสิต
ส�านักทะเบียนของแต่ละมหาวิทยาลัยจะต้องด�าเนินการรับลงทะเบียนนิสิตใหม่เป็นประจ�าทุก
ปี โดยใช้ระยะเวลาที่ค่อนข้างจ�ากัด ซึ่งลักษณะการลงทะเบียนยังอาจจ�าแนกได้เป็นการลงทะเบียนเรียน
ภาคปกติ การลงทะเบียนล่าช้า การลาพักการศึกษา การเพิ่ม / การถอนรายวิชา
หากพิจารณาเฉพาะการลงทะเบียนเรียนตามปกติจะพบว่า การเก็บบันทึกข้อมูลในเรื่องเกี่ยว
10 ชุติมณฑน์ บุญมาก, การประยุกต์ใช้ฐานข้อมูล. [ออนไลน์], แหล่งที่มา: https://www.scribd.com/
doc/8757167/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%97%E0%B8%B5-7- [26 กุมภาพันธ์ 2562]

200 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ


กับใบลงทะเบียนของนิสิตแต่ละแห่งประกอบด้วย ข้อมูลเกี่ยวกับนิสิต อาจารย์ที่ปรึกษา และรายวิชาที่
ลงทะเบียน

ตารางที่ 8.1 แสดงข้อมูลในเรื่องเกี่ยวกับใบลงทะเบียนของนิสิต

DO NOT COPY
ที่ ข้อมูลที่เกี่ยวกับ สถานะ ข้อมูล: ฐานข้อมูล



1 นิสิต ใหม่ หรือ ปัจจุบัน รหัสประจ�าตัว √

ชื่อ-นามสกุล
รหัสวิชาเอก
คณะ

2 อาจารย์ที่ ปรึกษา รหัสอาจารย์ที่ปรึกษา √
ชื่ออาจารย์-นามสกุล

3 รายวิชา ที่ลงทะเบียน ปีการศึกษา / ภาคการศึกษา √
รหัสรายวิชา

จ�านวนหน่วยกิต / ค่าลงทะเบียน


นอกจากน้ ข้อมูลการลงทะเบียนของนิสิตยังเก่ยวข้องเช่อมโยงและสัมพันธ์กับเร่องอ่น เช่น






จานวนหน่วยกิตข้นตาท่นิสิตจะต้องลงทะเบียน จานวนรายวิชาท่เปิดสอนในแต่ละภาคการศึกษา







ห้องเรียน / ช้นเรียน ท่ใช้ในการเรียนการสอน อาจารย์ประจาวิชาวิชา ดังน้น ความสาคัญและประโยชน์




ของการประยุกต์ใช้ฐานข้อมูลในงานทะเบียนนิสิตอาจจ�าแนกตามผู้เกี่ยวข้องได้ดังนี้
1. นิสิต



โดยท่วไปในสาขาต่าง ๆ จะเป็นผู้มีความต้องการใช้ข้อมูลและสารสนเทศเพ่อทาการวางแผน
และตัดสินใจในเรื่องการเรียนอย่างมาก เช่น ผลการเรียนหรือเกรดเฉลี่ย (GPA) ในภาคการศึกษาที่ผ่าน
มา ข้อมูลการเรียนเกี่ยวกับวัน / เวลา / ชุดวิชาที่เปิดสอน / จ�านวนหน่วยกิต / ชุดวิชาที่มีการจ�ากัด
จ�านวนผู้เรียน / ใบรายงานผลการศึกษา / รายละเอียดโครงสร้างหลักสูตร
2. อาจารย์



สาหรับความสาคัญและประโยชน์ของการประยุกต์ ใช้ฐานข้อมูลในงานทะเบียนนสต ต่ออาจารย์





น้นจะเก่ยวข้องกับการวางแผนและการปฏิบัติงานในเร่องการเรียนการสอน เช่น รายช่อนิสิตในการให้
ค�าปรึกษาจ�านวนนิสิตที่ลงทะเบียนเรียนในแต่ละรายวิชา การคิดคะแนนและผลการสอบ

บทที่ 8 การจัดการฐานข้อมูล 201










DO NOT COPY


























ภาพที่ 8.8 แสดงการประยุกต์ใช้งานฐานข้อมูลในงานทะเบียนนิสิต (ระเบียนประวัติ)
























ภาพที่ 8.9 แสดงการประยุกต์ใช้งานฐานข้อมูลในงานทะเบียนนิสิต (รายชื่อนิสิที่ให้ค�าปรึกษา)

202 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ










DO NOT COPY














ภาพที่ 8.10 แสดงการประยุกต์ใช้งานฐานข้อมูลในงานทะเบียนนิสิต (ภาระการสอน)
































ภาพที่ 8.11 แสดงการประยุกต์ใช้งานฐานข้อมูลในงานทะเบียนนิสิต (ราชื่อนิสิต)

บทที่ 8 การจัดการฐานข้อมูล 203










DO NOT COPY
















ภาพที่ 8.12 แสดงการประยุกต์ใช้งานฐานข้อมูลในงานทะเบียนนิสิต (สถิติการลงทะเบียน)


































ภาพที่ 8.12 แสดงการประยุกต์ใช้งานฐานข้อมูลในงานทะเบียนนิสิต (ระเบียนประวัติ)

204 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ










DO NOT COPY
















ภาพที่ 8.14 แสดงการประยุกต์ใช้งานฐานข้อมูลในงานทะเบียนนิสิต (ท�าบันทึกถึงผู้เรียน)




สรุปได้ว่า ความสาคัญและประโยชน์การใช้ฐานข้อมูลในงานทะเบียนนิสิตในส่วนอ่น ๆ จะม ี

บทบาทครอบคลุมถึงงานท่มีความสัมพันธ์กับ 2 ส่วนแรก ได้แก่ การจัดทาตารางเรียน การจัดทาใบเสร็จ


รับเงินค่าลงทะเบียน การคืนเงินค่าลงทะเบียนเรียน การจัดสอบ การจัดท�าใบรายงานผลการศึกษา การ
ตรวจโครงสร้างการส�าเร็จการศึกษา การจัดสวัสดิการและสิทธิประโยชน์เพื่อรองรับ เช่น งานห้องสมุด


8.8 ประโยชน์ของฐานข้อมูล 11

การน�าข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กันมาใช้ร่วมกันเป็นฐานข้อมูลนั้น จะก่อให้เกิดประโยชน์ ดังนี้

8.8.1 สามารถลดความซ�้าซ้อนของข้อมูล (Data Redundancy) ไม่จ�าเป็นต้องจัดเก็บข้อมูลที่

ซาซ้อนกันไว้ในระบบแฟ้มข้อมูลของแต่ละหน่วยงานเหมือนเช่นเดิม แต่สามารถนาข้อมูลมาใช้ร่วมกันใน


ลักษณะ Integrated แทน

8.8.2 สามารถหลีกเลี่ยงความขัดแย้งของข้อมูล (Data Inconsistency) เน่องจากไม่ต้องจัดเก็บ
ข้อมูลที่ซ�้าซ้อนกันในหลายแฟ้มข้อมูล ดังนั้น การแก้ไขข้อมูลในแต่ละชุดจะไม่ก่อให้เกิดค่าที่แตกต่างกัน

ได้
8.8.3 แต่ละหน่วยงานในองค์กร สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้
8.8.4 สามารถก�าหนดให้ข้อมูลมีรูปแบบที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน เพื่อให้ผู้ใช้ข้อมูลในฐานข้อมูล

ชุดเดียวกัน สามารถเข้าใจ และสื่อสารถึงความหมายเดียวกัน


11 กิตติ ภักดีวัฒนะกุล, ระบบฐานข้อมูล Database Systems, พิมพ์ครั้งที่ 10, (กรุงเทพฯ: เคทีพี คอม
พ์ แอนด์ คอนซัลท์, 2550), หน้า 10 -14.

บทที่ 8 การจัดการฐานข้อมูล 205





8.8.5 สามารถกาหนดระบบความปลอดภยให้กบข้อมลได้ โดยกาหนดระดบความสามารถใน



การเรียกใช้ข้อมูลของผู้ใช้ แต่ละคน ให้แตกต่างกันตามความรับผิดชอบ
8.8.6 สามารถรักษาความถูกต้องของข้อมูลได้ โดยระบุกฎเกณฑ์ในการควบคุมความผิดพลาด
ที่อาจเกิดขึ้นจากการ ป้อนข้อมูลผิด
DO NOT COPY
8.8.7 สามารถตอบสนองต่อความต้องการของการใช้ข้อมูลในหลายรูปแบบ
8.8.8 ท�าให้ข้อมูลเป็นอิสระจากโปรแกรมที่ใช้งานข้อมูลนั้น (Data Independence) ซึ่งส่งผล
ให้ผู้พัฒนาโปรแกรมสามารถ แก้ไขโครงสร้างของข้อมูล โดยไม่กระทบต่อโปรแกรมที่เรียกใช้งานข้อมูล
นั้น เช่น ในกรณีที่ต้องการเปลี่ยนขนาด ของ Field ส�าหรับระบบแฟ้มข้อมูลจะกระท�าได้ยาก เนื่องจาก
ต้องเปลี่ยนแปลงตัวโปรแกรมที่อ้างถึง Field นั้น ทั้งหมด ซึ่งต่างจากการใช้ระบบฐานข้อมูล ที่การอ้าง



ถึงข้อมูลจะไม่ข้นอยู่กับโครงสร้างทางกายภาพของข้อมูล จึงไม่ส่งผลให้ต้องแก้ไขโปรแกรมท่เรียกใช้ข้อมูล
นั้นมากนัก
สรุปได้ว่า การนาฐานข้อมูลมาเป็นฐานในการเป็นส่วนหน่งของงานช่วยพัฒนาองค์กรส่งเสริมให้


เกิดประโยชน์ อีกด้านหนึ่ง คือ ช่วยลดการเก็บข้อมูลที่ซ�้าซ้อน ข้อมูลบางชุดที่อยู่ในรูปของแฟ้มข้อมูล
อาจมีปรากฎอยู่หลาย ๆ แห่ง มีผู้ใช้หลายคน ฐานข้อมูลจะช่วยให้ความซ�้าซ้อนของข้อมูลลดน้อยลงไป
อีกประการ คือ รักษาความถูกต้องชัดเจนของข้อมูล เหตุผลคือฐานข้อมูลมีเพียงฐานข้อมูลเดียว


ในกรณีท่มีข้อมูลชุดเดียวกันปรากฎอยู่หลายแห่งในฐานข้อมูล ข้อมูลเหล่าน้จะต้องตรงกัน ถ้ามีการแก้ไข

ข้อมูลนี้ทุก ๆ แห่งที่ข้อมูลปรากฎอยู่จะแก้ไขให้ถูกต้องโดยอัตโนมัติ


12
8.9 ข้อดี และข้อจ�ากัดของการใช้งานฐานข้อมูล
8.9.1 ข้อดีของการใช้งานฐานข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลเป็นฐานข้อมูลได้เปรียบกว่าการจัดเก็บ
ข้อมูลแบบแฟ้มข้อมูล ดังนี้







1. หลกเลยงความขดแย้งของข้อมล การจดเก็บข้อมลแบบแฟ้มข้อมล โดยข้อมูลเรอง




เดียวกันอาจมีอยู่หลายแฟ้มข้อมูล ซึ่งก่อให้เกิดความขัดแย้งของข้อมูลได้ (Inconsistency)





2. สามารถใช้ข้อมลร่วมกนได้ ฐานข้อมูลเป็นการจดเกบข้อมลรวมไว้ด้วยกน เมอผู้ใช้



ต้องการข้อมูลจากฐานข้อมูล ซึ่งเป็นข้อมูลที่มาจากแฟ้มข้อมูลที่แตกต่างกันจะท�าได้ง่าย


3. สามารถลดความซ�าซ้อนของข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลในลักษณะแฟ้มข้อมูล อาจทาให้
ข้อมูลประเภทเดียวกันถูกเก็บไว้หลาย ๆ แห่ง ท�าให้เกิดความซ�้าซ้อน (Resplendency) การน�าข้อมูล
มารวมเก็บไว้ในฐานข้อมูล จะช่วยลดปัญหาความซ�้าซ้อนได้
4. รักษาความถูกต้อง ฐานข้อมูลบางครั้งอาจมีข้อผิดพลาดขึ้น เช่น การป้อนข้อมูลผิด

ซ่งระบบการจัดการฐานข้อมูลสามารถระบุกฎเกณฑ์เพ่อควบคุมความผิดพลาดท่อาจเกิดข้นได้สามารถ



12 ข้อดี และข้อจ�ากัดของฐานข้อมูล, [ออนไลน์], แหล่งที่มา: http://www.glurgeek.com/education.
[26 กุมภาพันธ์ 2562]

206 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ


ก�าหนดความเป็นมาตรฐานเดียวกันได้ เพราะในระบบฐานข้อมูลจะมีกลุ่มบุคคลที่คอยบริหารฐานข้อมูล


กาหนดมาตรฐานต่าง ๆ ในการจัดเก็บข้อมูลในลักษณะเดียวกันสามารถกาหนดระบบความปลอดภัยของ
ข้อมูลได้ ผู้บริหารระบบฐานข้อมูลสามารถกาหนดการเรียกใช้ข้อมูลของผู้ใช้แต่ละคนให้แตกต่างกันตาม


หน้าท่ ความรับผิดชอบได้ง่าย ความเป็นอิสระของข้อมูลและโปรแกรม โปรแกรมท่ใช้ในแต่ละแฟ้มข้อมูล

DO NOT COPY







จะมความสมพันธ์กับแฟ้มข้อมลโดยตรงถ้าหากมีการแก้ไขเปลยนแปลงโครงสร้างข้อมลก็ทาการแก้ไข
โปรแกรมนั้น ๆ
8.9.2 ข้อจ�ากัดของการใช้งานฐานข้อมูล การเก็บข้อมูลรวมเป็นฐานข้อมูลมีข้อเสีย ดังนี้คือ
1. มีต้นทุนสูง ระบบฐานข้อมูลก่อให้เกิดต้นทุนสูง เช่น ซอฟท์แวร์ท่ใช้ในการจัดการ

ระบบฐานข้อมูล บุคลากร ต้นทุนในการปฏิบัติงาน และ ฮาร์ดแวร์ เป็นต้น
2. มีความซับซ้อน การเริ่มใช้ระบบฐานข้อมูล อาจก่อให้เกิดความซับซ้อนได้ เช่น การ
จัดเก็บข้อมูล การออกแบบฐานข้อมูล การเขียนโปรแกรม เป็นต้น

3. การเส่ยงต่อการหยุดชะงักของระบบ เน่องจากข้อมูลถูกจัดเก็บไว้ในลักษณะเป็น



ศูนย์รวม (Centralized Database System) ความล้มเหลวของการทางานบางส่วนอาจทาให้ระบบฐาน
ข้อมูลทั้งระบบหยุดชะงักได้


สรุปท้ายบท



สรุปบทท่ 8 เร่องการจัดการฐานข้อมูล การจัดการฐานข้อมูล คือ กลุ่มของข้อมูลท่ถูกเก็บ
รวบรวมไว้ โดยมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างเป็นระบบของข้อมูลเรื่องเดียว หรือ หลายเรื่อง เพื่อ
สะดวกต่อการเพิ่มเติม ค้นหา แก้ไขข้อมูล และ สร้าง Output ตามที่ต้องการ โดยไม่ได้บังคับว่าข้อมูล
ทั้งหมดนี้เก็บไว้ในแฟ้มเดียวกันหรือแยกเก็บหลาย ๆ แฟ้มข้อมูลโดยน�ามาใช้ระบบงานร่วมกัน

การจัดเก็บข้อมูลภายในฐานข้อมูลจะแตกต่างจากการจัดเก็บข้อมูลของระบบแฟ้มข้อมูล
เนื่องจากในฐานข้อมูล จะจัดเก็บข้อมูลที่สัมพันธ์กันไว้ในที่เดียวกัน ซึ่งต่างจากระบบแฟ้มข้อมูลที่ข้อมูล
จะถูกแยกจัดเก็บอยู่ในแต่ละแฟ้มข้อมูล วิธีดังกล่าวจะส่งผลให้ข้อมูลภายในฐานข้อมูล สามารถแก้ไข

ปัญหาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการซาซ้อนของข้อมูล ความไม่ถูกต้อง ของข้อมูล และการสูญเสียความสัมพันธ์




ระหว่างข้อมูล ซ่งเกิดข้นกับระบบแฟ้มข้อมูลได้ ในระบบฐานข้อมูลจะเก่ยวข้องกับ ข้อมูล ฮาร์ดแวร์


ซอฟต์แวร์ และผู้ใช้ โดยข้อมูลท่จัดเก็บอยู่ในฐานข้อมูลจะมีความเป็นอิสระจากโปรแกรมท่เรียกใช้ จึง

สามารถเปล่ยนแปลงแก้ไขโครงสร้างของข้อมูลได้ง่าย สาหรับโปรแกรมท่ใช้ร่วมกับฐานข้อมูล ได้แก่



โปรแกรม DBMS ซึ่งท�าหน้าที่ในการน�าค�าสั่งที่ใช้ส�าหรับเรียกใช้ข้อมูลของผู้ใช้ระดับต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น
Native User, Application Programmer, Sophisticated User และ Database Administrator มา
แปลงเป็นการกระท�าต่าง ๆ กับข้อมูลในฐานข้อมูล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ

บทที่ 8 การจัดการฐานข้อมูล 207


ค�าถามท้ายบท


ตอนที่ 1 ค�าชี้แจง : ข้อสอบอัตนัย มีทั้งหมด 10 ข้อ ให้นิสิตท�าทั้งหมด
1. จงอธิบายความหมายของค�าว่าการจัดการฐานข้อมูล ให้ถูกต้อง
DO NOT COPY
2. จงอธิบายคุณสมบัติของการจัดการฐานข้อมูลมาอย่างน้อยจ�านวน 2 ข้อ
3. องค์ประกอบของฐานข้อมูลที่ส�าคัญ ๆ ว่ามีอะไรบ้าง จงอธิบาย
4. ให้นิสิตอธิบายความแตกต่างระหว่าง Bit กับ Byte โดยละเอียด

5. DBMS คืออะไร ให้นิสิตอธิบายให้เข้าใจอย่างละเอียด
6. การประยุกต์ใช้ฐานข้อมูลสามารถน�าไปใช้ได้ทางใดบ้าง จงอธิบายพอสังเขป
7. จงบอกถึงประโยชน์ของฐานข้อมูลมาอย่างน้อยจ�านวน 3 ข้อ

8. ให้ยกตัวอย่างข้อดีของการน�าฐานข้อมูลมาใช้งาน อย่างน้อยด้านละ 2 ข้อ
9. จงบอกถึงข้อเสียของการน�าฐานข้อมูลมาใช้อย่างน้อยด้านละ 2 ข้อ
10. การน�าระบบฐานข้อมูลมาใช้ในการท�างานในองค์กรมีเหตุผลอย่างไร จงอธิบายและยกตัวอย่าง

ประกอบ

ตอนที่ 2 ค�าชี้แจง : ค�าถามปรนัย มีทั้งหมด 10 ข้อ ให้ท�าเครื่องหมาย x ทับข้อ ก ข ค

หรือ ง ที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว

1. ความหมายของฐานข้อมูล ตามที่ ณรงค์ หุตานุวัตร ได้ให้ไว้ คือข้อใดที่ถูกต้องที่สุด
ก. แหล่งรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบของข้อมูลหลาย ๆ เรื่อง เพื่อสะดวกต่อการเพิ่มเติมข้อมูล
ค้นหาข้อมูล แก้ไขข้อมูล



ข. แหล่งรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบของข้อมูลหลาย ๆ เร่อง หรือ เพ่อสะดวกต่อการแก้ไข
ข้อมูล และ สร้าง Output ที่ต้องการ
ค. แหล่งรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบของข้อมูลเรื่องเดียว หรือ หลายเรื่องที่มีความสัมพันธ์กัน

เพื่อสะดวกต่อการแก้ไขข้อมูล และ สร้าง Output ที่ต้องการ
ง. แหล่งรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบของข้อมูลเรื่องเดียว หรือ หลายเรื่องที่มีความสัมพันธ์กัน
เพื่อสะดวกต่อการเพิ่มเติมข้อมูล ค้นหาข้อมูล แก้ไขข้อมูล และ สร้าง Output ที่ต้องการ

2. DBMS ที่ท�าหน้าที่ในการแปลค�าสั่งไปเป็นการกระท�าต่าง ๆ ที่จะกระท�ากับข้อมูลนั้น ประกอบด้วย
ส่วนการท�างานต่าง ๆ ข้อใดที่ท�าหน้าที่แปลงค�าสั่งต่าง ๆ ของโปรแกรม รวมทั้ง DML ที่ส่งต่อมาจาก
DMLP ให้อยู่ในรูปของ Object Code ที่จะส่งต่อไปให้ Database Manager เพื่อกระท�ากับข้อมูล

ในฐานข้อมูล
ก. Database Manager

ข. Query Processor
ค. Application Programs Object Code
ง. Data Definition Language Precompile

208 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ


3. กิตติ ภักดีวัฒนะกุล ได้กล่าวถึงองค์ประกอบของระบบฐานข้อมูล โดยทั่วไปมี 4 ข้อ ๆ ไหนที่ส�าคัญ
ที่สุด
ก. Data ข. User

ค. Software ง. Hardware
4. ข้อมูลที่ผู้ใช้ต้องการจะจัดเก็บหรือรวบรวม ซึ่งบันทึกไว้ในหน่วยเก็บข้อมูลในคอมพิวเตอร์ เช่น แฟ้ม
ข้อมูลรายงาน แฟ้มข้อมูลรูปภาพ และแฟ้มข้อมูล รายละเอียดทั้งหมดหมายถึงข้อใด

ก. แฟ้มภาพ ข. แฟ้มข้อมูล
ค. แฟ้มชีวประวัติบุคคล ง. แฟ้มคดีสอบสวนสืบสวน

5. องค์ประกอบหลักของฐานข้อมูลท่ทาหน้าติดต่อกับข้อมูลภายในฐานข้อมูลของผู้ใช้ โดยทาผ่าน


โปรแกรมที่ชื่อว่า Database Management Systems คือ ข้อใด
ก. Data ข. User
ค. Software ง. Hardware

6. การก�าหนดให้ข้อมูลเป็นอิสระจากโปรแกรมที่เรียกใช้ แบ่งออกได้กี่ระดับ
ก. 1 ข. 2
ค. 3 DO NOT COPY
ง. 4



7. การเก็บและบันทึกข้อมูลในเร่องเก่ยวกับการลงทะเบียนของนิสิตในมหาวิทยาลัยน้น ข้อมูลใดท ี ่
ไม่จ�าเป็น ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน
ก. อาจารย์ที่ปรึกษา ข. ข้อมูลเกี่ยวกับนิสิต
ค. ประวัติของผู้ปกครอง ง. รายวิชาที่ลงทะเบียน
8. การจัดการระบบฐานข้อมูล มีชื่อว่า DBMS ชื่อเต็มที่สมบูรณ์ คือข้อใด
ก. Data Man System ข. Data Management Software

ค. Database Management System ง. Database Management Software
9. ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ในการน�าข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กันมาใช้ร่วมกันเป็นฐานข้อมูลจะก่อให้เกิด
ก. สามารถกาหนดให้ข้อมูลมีรูปแบบท่เป็นมาตรฐานเดียวกัน เพ่อให้ผู้ใช้ข้อมูลในฐานข้อมูลชุด



เดียวกัน สามารถเข้าใจ และสื่อสารถึงความหมายเดียวกัน
ข. สามารถก�าหนดระบบความแตกต่างกันตามความรับผิดชอบ โดยก�าหนดระดับความสามารถ
ในการเรียกใช้ข้อมูลของผู้ใช้ แต่ละคน

ค. สามารถรักษาความถูกต้องของข้อมูลโดยระบุกฎเกณฑ์ในการควบคุมความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
ง. สามารถตอบสนองต่อความต้องการของการใช้ข้อมูลในหลายรูปแบบ


10. การจัดเก็บข้อมูลเป็นฐานข้อมูลได้เปรียบกว่าการจัดเก็บข้อมูลแบบแฟ้มข้อมูล ข้อใดมีความสาคัญท่สุด
ก. รักษาความถูกต้อง ข. สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้
ค. สามารถลดความซ�้าซ้อนของข้อมูล ง. หลีกเลี่ยงความขัดแย้งของข้อมูล

บทที่ 9

อินเทอร์เน็ต



DO NOT COPY

วัตถุประสงค์ประจ�ำบท

เมื่อได้ศึกษาเนื้อหาในบทนี้แล้ว นิสิตสามารถ
1. บอกความหมายและความเป็นมาของอินเทอร์เน็ตได้

2. อธิบายการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
3. จ�าแนกรูปแบบการบริการบนอินเทอร์เน็ต

4. อธิบายรูปแบบและการใช้งานระบบ World Wide Web
5. สามารถใช้งานบริการบนอินเทอร์เน็ตให้เป็นประโยชน์ได้
6. บอกความหมายของการประมวลผลคลาวด์ และการใช้งานได้

7. บอกความหมายของอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่งได้


ขอบข่ำยเนื้อหำประจ�ำบท

• ความน�า
• อินเทอร์เน็ตคืออะไร

• ความเป็นมาของอินเทอร์เน็ต
• การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต

• รูปแบบการบริการบนอินเทอร์เน็ต
• ระบบ World Wide Web

• การประมวลผลคลาวด์ (Cloud Computing)
• อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Internet of Things)

212 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ


9.1 ควำมน�ำ










ในปัจจบนอนเทอร์เน็ตเข้ามามบทบาทอย่างมากในชวิตประจาวน เน่องจากอนเทอร์เนตเป็น

แหล่งข้อมูลขนาดมหึมา การศึกษาค้นคว้าไม่ว่าเร่องใด สาขาใด เราสามารถหาได้จากอินเทอร์เน็ต
นอกจากนี้ อินเทอร์เน็ตยังอ�านวยความสะดวกให้กับเราในด้านต่าง ๆ อย่างเช่นการท�าธุรกรรมทางการ
DO NOT COPY





เงิน การซ้อ-ขายสินค้า การจองต๋วเคร่องบิน/รถทัวร์ และอ่น ๆ อีกมากมาย ซ่งในบทน้จะได้กล่าวถึงความ

เป็นมาของอินเทอร์เน็ต การเชื่อมต่อ สื่อสังคมออนไลน์การท่องไปในโลกกว้างของ World Wide Web
และการประมวลผลคลาวด์ (Cloud Computing) ซึ่งกล่าวได้ว่า อินเทอร์เป็นทุกสรรพสิ่ง
9.2 อินเทอร์เน็ตคืออะไร
อินเทอร์เน็ต (Internet) หมายถึง เครือข่ายของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงต่อ
ถึงกัน ซึ่งเรียกว่า Inter Connection Network โดยมีเครื่องคอมพิวเตอร์หลาย ๆ เครื่องทั่วโลกติดต่อ






สื่อสารถึงกันไดดวยข้อตกลงที่เปนมาตรฐานสากลในการรับสงขอมูล เรียกวา โปรโตคอล (Protocol) ซึ่ง


โปรโตคอลท่ใช้บนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมีช่อเรียกว่า TCP/IP (Transmission Control Protocol/
Internet Protocol)
เครือข่ายอินเทอร์เน็ตมีลักษณะเป็นโยงใยเหมือนใยแมงมุม (Web) ที่ครอบคลุมไปทั่วโลก จุด
แต่ละจุดสามารถติดต่อสื่อสารถึงกันได้หลายเส้นทาง ไม่มีเส้นทางที่ก�าหนดไว้ตายตัว ผู้ใช้สามารถเลือก

เส้นทางใดก็ได้ตามต้องการ ซ่งเป็นการติดต่อส่อสารแบบไร้มิติ หรือท่เรียกอีกอย่างหน่งว่า Cyberspace



9.3 ควำมเป็นมำของอินเทอร์เน็ต

จุดกาเนิดของอินเทอร์เน็ตมาจากความคิดเชิงยุทธศาสตร์ทางการทหาร ในช่วงปี พ.ศ. 2512

สงครามเยนระหวางสหรัฐอเมรกากับรสเซยกอตัวกนอย่างเงียบ ๆ ทางกระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมรกา









คิดว่าการสื่อสารของคอมพิวเตอร์เป็นหัวใจหลัก ถ้าเกิดคอมพิวเตอร์ ณ จุดใดจุดหน่งถูกระเบิดข้นมา การ


ส่อสารก็จะถูกตัดขาดซ่งจะทาให้เสียเปรียบเชิงยุทธศาสตร์เป็นอย่างมาก ทางกระทรวงกลาโหมจึงได้

จัดสรรงบประมาณมาพัฒนาเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบใหม่ข้นมา ซ่งเม่อคอมพิวเตอร์จุดใดจุดหน่ง




ถูกท�าลายไป คอมพิวเตอร์ส่วนอื่นสามารถหาเส้นทางใหม่เพื่อสื่อสารได้ โครงการคอมพิวเตอร์นี้มีชื่อว่า
“ARPANET” (Advanced Research Project Agency Network)

บทที่ 9 อินเทอร์เน็ต 213










DO NOT COPY
















ภาพที่ 9.1 การร่างการเชื่อมต่อเครือข่าย ARPANET

ที่มา : https://www.researchgate.net/figure/The-initial-four-node-ARPANET-1969_fig2_262316090


ก้าวแรกของ ARPANET ประกอบด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ 4 เครื่อง คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ของ

มหาวิทยาลัยยูทาร์, มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียท่ซานตาบรารา, มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียท่ลอสแอนเจลิส


และสถาบันวิจัยของมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด หลังมีการทดสอบใช้งาน ARPANET ไปได้ระยะหนึ่ง ซึ่ง
ผลทดสอบเป็นที่น่าพอใจ
























ภาพที่ 9.2 แผนที่การเชื่อมต่อเครือข่าย ARPANET ในระยะแรกเริ่ม

ที่มา : https://en.wikipedia.org/wiki/ARPANET

214 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ


กระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกา จึงมีการขยายเครือข่ายของ ARPANET ออกไปอีกโดยเช่อม

ต่อกับคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยต่าง ๆ รวม 50 แห่ง โดยใช้โปรโตคอล (Protocol
คือข้อตกลงในการสื่อสาร) ที่มีชื่อว่า NCP (Network Control Protocol)

แนวคิดเบ้องต้นของวิธีการส่งข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต เกิดจากพัฒนาการของ “โปรโตคอล”
DO NOT COPY
(Protocol) ซึ่งหมายถึง มาตรฐานกลางของการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์หลากหลายระบบ รวมถึง วิธีการ
ส่งข้อมูล และแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน ให้สามารถท�างานร่วมกันได้ โปรโตคอลเหล่านี้ มีพัฒนาการ
มาเป็นล�าดับ ตั้งแต่ NCP (Network Control Protocol) และล่าสุดเป็น TCP/IP (Transmission Con-

trol Protocol / Internet Protocol)
จากเครือข่ายแวน (Wide Area Computer Network) ระบบแรก ที่เกิดในปี 2508 (1965)
เป็นการต่อคอมพิวเตอร์ TX-2 ในแมสซาชูเซตส์ เข้าไปควบคุม เรียกใช้งานคอมพิวเตอร์ Q-32 ใน



แคลิฟอร์เนีย เช่อมต่อกันด้วยระบบเซอร์กิตสวิชช่ง ผ่านสายโทรศัพท์ความเร็วตา (Dial-Up Telephone


Line) ซ่งมีความเร็วไม่เพียงพอ ทาให้ต้องพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ท่สาคัญย่งข้นมาทดแทน ช่วยให้





คอมพิวเตอร์ต่างระบบคุยกันรู้เรื่อง คือ “แพ็กเก็ตสวิชชิ่ง” (Packet Switching)

ความแพร่หลายของระบบเครือข่ายท้องถ่น หรือแลน (LAN: Local Area Network) คอมพิวเตอร์
ส่วนบุคคล (PC) และเวิร์กสเตชั่น (Workstation) ส่งผลให้เกิดเทคโนโลยีอีเธอร์เน็ต (Ethernet Tech-
nology) ในปี 2516 (1973) พัฒนาโดย บ็อบ เม็ทคาลเฟ (Bob Metcalfe) แห่ง ซีร็อกซ์ พาร์ก (Xerox
PARC) ช่วยให้ระบบเครือข่ายขยายขนาดใหญ่มากข้น ซ่งมีการแบ่งขนาดของระบบเป็นคลาส (Class)


ต่าง ๆ และใช้ระบบหมายเลขไอพี (IP) แทนเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น 255.255.0.0 ซึ่งไม่เพียงพอ ท�าให้
เกิดการประดิษฐ์คิดค้นระบบ โดเมนเนม (Domain Name System : DNS) โดย พอล มอคคาเพทริส
(Paul Mockapetris แห่ง USC/ISI) เช่น “www.cisco.com” และจากขนาดที่ขยายใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ
ของระบบอินเทอร์เน็ต เป็นตัวกระตุ้นให้ต้องพัฒนาปรับปรุงอุปกรณ์เราเตอร์ (Router)



























ภาพที่ 9.3 ตัวอย่างระบบเครือข่ายแบบใช้ระบบหมายเลขไอพี

บทที่ 9 อินเทอร์เน็ต 215


จนกระทั่งปี พ.ศ. 2528 ระบบอินเทอร์เน็ตถือเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมมากรองรับการ
ใช้งานด้านการสื่อสารแพร่ขยายไปในวงกว้าง ทั้งนักวิจัย นักพัฒนา และบุคคลทั่วไป ไม่จ�ากัดเฉพาะการ
ทหารเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้งาน e-Mail, WWW และสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ใน

ปัจจุบัน
DO NOT COPY
อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย

อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยมีจุดเริ่มต้นเมื่อปี พ.ศ.2529 โดยอาจารย์กาญจนา กาญจนสุต จาก
สถาบันเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งเอเชีย (AIT) ร่วมกับอาจารย์โทโมโนริ คิมูระ จากสถาบันเดียวกัน ร่วม
กันสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โดยอาศัยโมเด็มความเร็ว 2400 Baud, เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ และ








สายโทรศพท์ทองแดง จากนนได้เปลยนไปใช้บรการไทยแพคของการสอสารแห่งประเทศไทย ซงใช้



เทคโนโลยี X.25 ผ่านการหมุนโทรศัพท์ไปยังศูนย์บริการของการสื่อสารแห่งประเทศไทย ซึ่งได้ทดลอง
รับส่งอีเมล์กับมหาวิทยาลัยโตเกียว และมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น โดยใช้โปรแกรม UUCP จึงนับได้ว่า
อาจารย์กาญจนา เป็นบุคคลแรกในประเทศไทยที่ใช้จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (e-mail) หลังจากนั้นก็ได้มี
ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลออสเตรเลียภายใต้โครงการ The International Development Plan (IDP)




ได้ให้ความช่วยเหลอกับมหาวิทยาลยสงขลานครนทร์ (มอ.) จฬาลงกรณ์มหาวทยาลย และสถาบน




เทคโนโลยีแห่งเอเชีย พัฒนาเครือข่ายคอมพิวเตอร์ไทยข้นมาในปี พ.ศ. 2531 โดยให้มหาวิทยาลัยสงขลา
นครินทร์และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียมีหน้าท่เป็นศูนย์กลางของประเทศไทยในการเช่อมโยงไปท ่ ี


เครื่องแม่ข่ายของมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น และตั้งชื่อโครงการนี้ว่า TCSNet - Thai Computer Science
Network โดยมีการติดต่อผ่านเครือข่ายวันละ 2 ครั้ง จ่ายค่าใช้จ่ายปีละ 4 หมื่นบาทและใช้ซอฟต์แวร์


SUNIII ซ่งเป็นระบบปฏิบัติการ UNIX ประเภทหน่งท่แพร่หลายในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของออสเตรเลีย














ภาพที่ 9.4 ศาสตราจารย์ ดร. กาญจนา กาญจนสุต

ที่มา : http://www.technosociety.com/?p=1906&lang=th

216 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ


ปี พ.ศ. 2534 อาจารย์ทวีศักดิ์ กออนันตกูล อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย



ธรรมศาสตร์ ได้จัดต้งศูนย์อีเมล์แห่งใหม่โดยใช้โปรแกรม MHSNet และใช้โมเด็ม 14.4 Kbps (ซ่งเร็วท่สุด

ในประเทศไทยในขณะน้น) และทาหน้าท่แลกเปล่ยนข้อมูลกับเคร่อง Munnari ของออสเตรเลีย กับ





มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในประเทศผ่านโปรแกรม UUCP เครือข่ายแห่งใหม่น้ ประกอบด้วยมหาวิทยาลัยต่าง
DO NOT COPY
ๆ ใน TCSNet และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ตลอดจนศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์
แห่งชาติ (เนคเทค: NECTEC) และใช้ชื่อโครงการว่า “โครงการเชื่อมเครือข่ายไทยสารเข้ากับเครือข่าย
อินเทอร์เน็ตต่างประเทศ”
หลังจากนั้นเนคเทคก็ได้พัฒนาเครือข่ายอีกเครือข่ายหนึ่งขึ้นมา โดยใช้ X.25 ร่วมกับ MHSNet
และใช้โปรโตคอล TCP/IP เกิดเป็นเครือข่ายไทยสาร “Thai Social/Scientific Academic and Re-

search Network - ThaiSarn” ในปี พ.ศ. 2535



ปลายปี 2535 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเช่าช้อสายคร่งวงจร 9.6 Kbps จากการส่อสารแห่ง
ประเทศไทย เพื่อเชื่อมกับ UUNET สหรัฐอเมริกา ท�าให้จุฬาฯ เป็นศูนย์กลางแห่งใหม่ส�าหรับเครือข่าย
ภายใต้ชื่อ ThaiNet อันประกอบด้วย AIT, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ และให้

สมาชิกไทยสารใช้สายเชื่อมนี้ได้โดยผ่านทางเนคเทคอีกด้วยภายใต้ระเบียบการใช้อินเทอร์เน็ต (Appro-
priate Use Policy - AUP) ของ The National Science Foundation (NSF)
ปี 2537 เนคเทคได้เช่าชื้อสายเชื่อมสายที่สองที่มีขนาด 64 Kbps ต่อไปยังบริษัท UUNet ท�าให้

มีผู้ใช้เพิ่มมากขึ้น จาก 200 คนในปี 2535 เป็น 5,000 คนในเดือนพฤษภาคม 2537 และ 23,000 คนใน
เดือนมิถุนายน ของปี 2537 AIT ท�าหน้าที่เป็นตัวเชื่อมภายในประเทศระหว่าง ThaiNet กับ ThaiSarn

ผ่านสายเช่า 64 Kbps ของเครือข่ายไทยสาร



ปี พ.ศ. 2538 รัฐบาลไทยเปิดบรการอินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์ โดยมบริษทอินเทอร์เน็ตแห่ง


ประเทศไทย จากัด อันเป็นบริษัทถือหุ้นระหว่างการส่อสารแห่งประเทศไทย องค์การโทรศัพท์แห่ง
ประเทศไทยและส�านักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยใช้สายเช่าครึ่งวงจร
ขนาด 512 Kbps ไปยัง UUNet โดยถือว่าเป็นบริษัทผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตรายแรกของประเทศไทย
และได้เพิ่มจ�านวนจนเป็น 18 บริษัทในปัจจุบัน



9.4 กำรเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต

ในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เราต้องมีสิ่ง 3 สิ่ง ดังนี้
1) คอมพิวเตอร์, โมเด็ม/ADSL Router, สายโทรศัพท์ หรือ สาย Lease Line
2) ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหรือ ISP (Internet Service Provider) ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการ

เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต โดยเสียค่าบริการใช้อินเทอร์เน็ตตามเงื่อนไขที่บริษัทก�าหนด

บทที่ 9 อินเทอร์เน็ต 217


3) ซอฟต์แวร์เพื่อช่วยติดต่ออินเทอร์เน็ต เช่น โปรแกรมเว็บเบราว์เซอร์ต่าง ๆ






DO NOT COPY




ภาพที่ 9.9 แสดงตัวอย่างการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต



ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต หรือเรียกสั้นๆ ว่า ISP (Internet Service Provider) เป็นบริษัท
ด�าเนินกิจการเชื่อมโยงกับระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทั่วโลก (ดูรายละเอียดผู้ให้บริการในตารางที่ 6.1)

โดยเสียค่าใช้จ่ายเช่าสายสัญญาณไปต่างประเทศให้กับรัฐดังนั้นบริษัทดังกล่าวจึงต้องมาคิดค่าบริการ
การใช้อินเทอร์เน็ตจากบุคคลทั่วไป




ตารางที่ 9.1 ข้อมูลของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเกตเวย์ภายในประเทศ 1


ล�าดับที่ AS Number ชื่อที่แสดงบน Internet Map บริษัท

1 AS4652 CAT-IX (Bangrak/Nonthaburi) บริษัทกสท โทรคมนาคม จ�ากัด (มหาชน)
IPv6 Support Dual Stack/ Tunneling

2 AS45788 BB Connect-IX (UIH/ BEENET) บริษัทบีบี คอนเน็ค จ�ากัด (BB Connect)
IPv6 Support Dual Stack/ Tunneling
3 AS45265 CSL-IX บริษัทซีเอส ล็อกซอินโฟ จ�ากัด (มหาชน)
IPv6 Support Dual Stack/ Tunneling

4 AS45642 JasTel-IX บริษัทจัสเทล เน็ทเวิร์ค จ�ากัด
5 AS45458 AWN-IX (SBN) บริษัทซุปเปอร์ บรอดแบนด์ เน็ทเวอร์ค
IPv6 Support Dual Stack/ Tunneling จ�ากัด
6 AS132880 SYMC-IX (Symphony) บริษัทซิมโฟนี่ คอมมูนิเคชั่นจ�ากัด
IPv6 Support Dual Stack/ Tunneling (มหาชน)

7 AS45667 TCCT-IX T.C.C. Technology Company Lim-
IPv6 Support Dual Stack/ Tunneling ited





1 ห้องปฏิบัติการวิจัยนวัตกรรมอินเทอร์เน็ต, “รำยงำนข้อมูลอินเทอร์เน็ตแบนด์วิดท์ประจ�ำเดือนมิถุนำยน
2559”, [ออนไลน์], แหล่งที่มา : http://internet.nectec.or.th/ [27 กุมภาพันธ์ 2562]

218 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ


ล�าดับที่ AS Number ชื่อที่แสดงบน Internet Map บริษัท

8 AS38081 TIG-IX (TRUE) TRUE International Gateway Co.,
IPv6 Support Dual Stack/ Tunneling Ltd.

9 AS37930 TOT-IX บริษัททีโอที จ�ากัด (มหาชน)
DO NOT COPY
IPv6 Support Dual Stack/ Tunneling
10 AS133543 DTAC-IX บริษัท ดีแทค ไตรเน็ต จ�ากัด
11 AS63529 BKNIX บริษัท บีเคนิกซ์ จ�ากัด


แต่ละ ISP จะคิดค่าบริการอินเทอร์เน็ตแตกต่างกันไปเม่อเราสมัครเป็นสมาชิกเราจะได้รับส่งต่อ
ไปนี้จาก ISP
 ชื่อบัญชีการใช้อินเทอร์เน็ต (User Account)

 รหัสผ่าน (Password)
 ซอฟต์แวร์ส�าหรับติดตั้ง

 เอกสาร/หนังสือคู่มือ
การเลือกใช้ ISP หรือผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตใด ๆ เราต้องพิจารณาเงื่อนไขต่าง ๆ เช่น ราคา
ความยากง่ายในการเชื่อมต่อ ตลอดจนบริการต่าง ๆ ที่มีให้แก่สมาชิกเป็นต้น ซึ่งมีแนวทางส�าหรับศึกษา

รายละเอียดในการเลือกใช้บริการต่าง ๆ ของ ISP ดังนี้
1) ต้องแน่ใจว่า ISP ใช้ SLIP (Serial Line Internet Protocol) หรือ PPP (Point – to –

Point Protocol) เป็นโปรโตคอลในการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต
2) ISP นั้น ๆ ควรอยู่ในท้องถิ่นเพื่อความสะดวกในการใช้โทรศัพท์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต

3) ISP นั้น ๆ สามารถให้การสนับสนุนการใช้โมเด็มที่ความเร็วสูงที่เราใช้งานบนคอมพิวเตอร์
4) การบริการและการให้ความช่วยเหลือควรติดต่อด้วยระบบออนไลน์ได้ง่าย
5) มีบริการฟรีอีเมล์, โฮมเพจ

6) มีจ�านวนชั่วโมงการใช้งานและราคาที่เหมาะสม


9.5 รูปแบบกำรบริกำรบนอินเทอร์เน็ต

รูปแบบการบริการบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในการใช้งานปัจจุบันได้มีการพัฒนาเพื่อการใช้งาน
ในรูปแบบของการปฏิบัติการที่หลากหลาย ดังนี้

 World Wide Web (WWW) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า เว็บ เป็นการส่งผ่านของข่าวสาร
ต่าง ๆ ที่มีลักษณะเหมือนสิ่งพิมพ์หรือนิตยสารต่าง ๆ แต่การน�าเสนอบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตสามารถ

เพิ่มเติมการเคลื่อนไหวได้ของสิ่งที่น�าเสนอ การน�าเสนอนี้เป็นแหล่งรวมของข้อมูลมหาศาล


Click to View FlipBook Version