บทที่ 9 อินเทอร์เน็ต 219
DO NOT COPY
ภาพที่ 9.10 แสดงตัวอย่างการบริการ www
ที่มา: http://www1.mcu.ac.th/
Electronic mail (e-mail) เป็นการส่งผ่านของข้อมูลที่มีลักษณะ
เหมือนเป็นจดหมาย แต่เป็นจดหมายที่ส่งทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีความสะดวกรวดเร็ว
และประหยัดมาก
ภาพที่ 9.11 แสดงตัวการบริการ e-mail
ที่มา: https://mail.google.com/mail/
220 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
E-Commerce เป็นลักษณะของการประกอบการในด้านธุรกิจการค้าบนเครือข่าย
อินเทอร์เน็ตที่ปัจจุบันสามารถท�านิติกรรมทางการค้าได้
DO NOT COPY
ภาพที่ 9.15 แสดงตัวอย่างการบริการ e-Commerce
ที่มา: https://www.lazada.co.th/
E-Learning เป็นรูปแบบของการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ โดยสถาบันการการ
ศึกษาที่จัดท�าระบบ E-Learning จะเป็นเจ้าของรายวิชาต่าง ๆ จัดเตรียมเนื้อหาวิชาการเรียนการสอนไว้
ให้กับผู้เรียน ผู้เรียนจะต้องลงทะเบียนและเข้าสู่ระบบเพื่อเข้าไปดูรายละเอียดของเนื้อหารายวิชานั้น ๆ
ปัจจุบันแทบทุกสถาบันการศึกษาจะมีระบบ E-Learning ไว้คอยบริการให้กับผู้เรียน
ภาพที่ 9.15 แสดงตัวอย่างการบริการ E-Learning
ที่มา: http://elearning.mcu.ac.th/
บทที่ 9 อินเทอร์เน็ต 221
File Transfer Protocol (FTP)การโอนย้ายข้อมูล หรือท่นิยมเรียกกันว่า FTP เป็นการ
ี
ื
ึ
ี
ื
ส่อสารอีกรูปแบบหน่งท่ใช้กันมากพอสมควรในอินเทอร์เน็ต โดยอาจใช้เพ่อการถ่ายโอนข้อมูลรวมถึง
โปรแกรมต่าง ๆ ทั้งที่เป็น freeware shareware จากแหล่งข้อมูลทั้งหลายมายังเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วน
ั
ี
ู
ั
ุ
่
่
้
�
่
็
ี
ี
่
่
้
�
ี
บคคลทใชงานอย ปจจบนมหนวยงานหลายแหงทกาหนดให Server ของตนทาหนาทเป็น FTP Site เกบ
ุ
่
้
DO NOT COPY
รวบรวมข้อมูลและโปรแกรมต่าง ๆ ส�าหรับให้บริการ FTP ที่นิยมใช้กันมากได้แก่ WS_FTP, CuteFTP
และ Core-FTP
ภาพที่ 9.12 แสดงตัวอย่างการบริการ FTP
Internet Relay Chat (IRC) เป็นการเป็นการติดต่อสื่อสารแบบ 2 ทาง คือสามารถ
ั
ส่อสารโต้ตอบกันได้ทันทีเหมือนการใช้โทรศัพท์ ในการสนทนาผ่านเครือข่ายน้สามารถทาได้ท้งแบบ
ี
�
ื
Text-based และ Voice-based โดยในระยะแรกจะจ�ากัดเฉพาะ Text-based คือใช้วิธีการพิมพ์เป็น
ข้อความในการสื่อสารโต้ตอบระหว่างกัน ต่อมาเมื่อมีการพัฒนามากขึ้นทั้งด้าน Hardware และ Soft-
�
ี
ื
ware ทาให้ปัจจุบันเราสามารถส่งเอกสาร ภาพถ่าย เสียง และวีดีโอ ได้ด้วย โปรแกรมท่ใช้ในการส่อสาร
ประเภทนี้ เช่น LINE เป็นต้น
่
ไลน์ (LINE) เป็นโปรแกรมเมสเซนเจอร์ระบบส่งข้อความทนท ทญป่นซอมาจาก Naver
ุ
ี
ี
ื
ั
ี
่
้
ี
ั
Corporation ของเกาหลี มีความสามารถใช้งานได้ท้งโทรศัพท์มือถือท่มีระบบปฏิบัติการไอโอเอส,
แอนดรอยด์, วินโดวส์โฟน ล่าสุดสามารถใช้งานได้บนคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และแมคโอเอสได้แล้ว
ด้วยความที่มีลูกเล่นมากมาย สามารถคุย ส่งรูป ส่งไอคอน ส่งสติกเกอร์ ตั้งค่าคุยกันเป็นกลุ่ม ฯลฯ ท�าให้
มีผู้ใช้งานโปรแกรมนี้เป็นจ�านวนมาก ชาวไทยนิยมใช้เป็นอันดับสองรองจากญี่ปุ่น 2
2 ไลน์ (โปรแกรมประยุกต์). [ออนไลน์]. แหล่งที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/ไลน์_(โปรแกรม
ประยุกต์) [27 กุมภาพันธ์ 2562]
222 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
DO NOT COPY
ภาพที่ 9.13 แสดงตัวอย่างโปรแกรมการพูดคุย LINE
่
ิ
ื
ื
ู
�
Search Engineเป็นการปฏบตการเพอการกาหนดค้นหาข้อมลบนระบบเครอข่าย
ิ
ั
อินเทอร์เน็ต ซึ่งสามารถค้นหาข้อมูลได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น
ภาพที่ 9.14 แสดงตัวอย่างการบริการ Search Engine
ที่มา: https://www.google.co.th/
บทที่ 9 อินเทอร์เน็ต 223
�
ี
YouTubeเป็นเว็บไซต์เผยแพร่วิดีโอบนอินเทอร์เน็ตท่มีขนาดมหึมาโดยมีสานักงานอ
ึ
ยู่ท่แซนบรูโน แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เว็ปไซต์ดังกล่าวถูกสร้างข้นมาจากอดีตพนักงาน 3 คนในบริษัท
ี
เพย์แพล ได้แก่ แชด เฮอร์ลีย์ สตีฟ เชน และยาวีด คาริม ในเดือนกุมภาพันธ์ 2548 ในเดือนพฤศจิกายน
2549 ยูทูบถูกกูเกิลซ้อไปในราคา 1.65 พันล้านเหรียญสหรัฐ ยูทูบเป็นหน่งในบริษัทย่อยของกูเกิล เว็บไซต์
ึ
ื
DO NOT COPY
ยังสามารถให้ผู้ใช้งานสามารถอัปโหลด ดู หรือแบ่งปันวิดีโอได้ 3
ภาพที่ 9.15 แสดงตัวอย่างการบริการสื่อวีดิโอออนไลน์
ที่มา: https://www.youtube.com/
9.6 ระบบ World Wide Web
ระบบเวิลด์ไวด์เว็บ (World Wide Web) เรียกสั้น ๆ ว่า “เว็บ” เป็นรูปแบบการน�าเสนอข้อมูล
ในลักษณะคล้ายหน้ากระดาษอิเล็กทรอนิกส์ คือจะมีพื้นที่แสดงผลเป็นกรอบสี่เหลี่ยม ในกรอบนี้ก็จะมี
ทั้งข้อความและรูปภาพ จัดวางในลักษณะเหมือนกับการจัดป้ายนิทรรศการ ผู้ใช้สามารถอ่านและค้นหา
ข้อมูลโดยการคลิกเมาส์เปิดไปยังหน้าอื่น ๆ เหมือนหน้ากระดาษของหนังสือ แต่ในทีนี้เป็นหน้ากระดาษ
็
ึ
ี
็
ี
็
อเลกทรอนกส์ของเวลด์ไวด์เวบ เราจงเรยกว่า “เวบเพจ” (Web Page) และเรยกเวบเพจหน้าแรกว่า
ิ
ิ
ิ
็
“โฮมเพจ” (Home Page) ซึ่งมีจุดเด่นในการน�าเสนอก็คือ เว็บเพจแต่ละหน้าสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้
โดยไม่จ�าเป็นต้องเรียงหน้าตามล�าดับเหมือนหนังสือ ซึ่งการเชื่อมโยงนี้จะมีตัวชี้ที่เรียกว่า “ลิงค์” (Link)
ี
ี
�
ี
�
ั
ไปท่หน้าน้น ผู้ใช้ก็สามารถเข้าไปถึงหน้าน้น ณ ตาแหน่งใด ๆ ก็ได้ ลิงค์ท่กล่าวน้ไม่ได้ถูกจากัดแค่ช้เว็บเพจ
ี
ั
3 ยูทูป. [ออนไลน์]. แหล่งที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/ยูทูบ [27 กุมภาพันธ์ 2562]
224 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
ของตัวเองเท่านั้น มันยังสามารถชี้ไปยังเว็บเพจใด ๆ ในโลกนี้ก็ได้ ลักษณะการเชื่อมโยงเว็บเพจที่โยงใย
ไปมาในลักษณะนี้จึงถูกเรียกว่า “โครงข่ายใยแมงมุม”
ั
้
ู
้
้
่
่
ึ
ี
ี
่
ี
่
ี
์
้
ึ
ิ
้
ั
�
็
สาหรบเวบเพจแตละหนาทแสดงขนมานน ถกเขยนขนมาดวยภาษาคอมพวเตอรทเรยกวา HTML
(Hyper Text Markup Language) และไฟล์เหล่านี้จะถูกน�าไปเก็บที่เซิร์ฟเวอร์ที่ให้บริการเวิลด์ไวด์เว็บ
DO NOT COPY
ซึ่งจะเรียกว่า “เว็บเซิร์ฟเวอร์” (Web Server) หรือ “เว็บไซต์” (Web Site) และหน้าแรกของเว็บไซต์
ใด ๆ จะเรียกว่า โฮมเพจ (Home Page) ส่วนหน้าต่อ ๆ ที่ไม่ใช่หน้าแรกจะเรียกว่า เว็บเพจ (Web Page)
www ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน มีโปรแกรมไคลเอนต์ประยุกต์ที่อ่าน WWW ได้ออกมาส
นับสนุนมากมายหลายประเภท เช่น
Internet Explorer เป็นโปรแกรมที่แถมให้มากับโปรแกรมระบบปฏิบัติการ Windows 98
ขึ้นไป ของบริษัท Microsoft
ozilla Firefox เปนโปรแกรมยอดนิยมที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ สามารถแสดงผลไดทั้งตัวอักษร
M
็
้
รูปภาพและกราฟิกต่าง ๆ ใช้งานง่าย
ี
Google Chromeเป็นโปรแกรมเว็บเบราว์เซอร์ท่พัฒนาโดยกูเกิล เปิดตัวคร้งแรกในปี 2008
ั
สามารถแสดงผลได้ทั้งตัวอักษรรูปภาพ และกราฟิกต่าง ๆ
ภาพที่ 9.16 แสดงตัวอย่างโปรแกรม Mozilla Firefox
ที่มา: https://www.mozilla.org/th/firefox/65.0.2/whatsnew/?oldversion=64.0.2
บทที่ 9 อินเทอร์เน็ต 225
�
สาหรับรูปแบบเข้าไปยังเว็บไซต์หรือเรียกใช้บริการต่าง ๆ ในอินเตอร์เน็ตจะเรียกว่า URL
(Uniform Resource Locator) ซึ่งมีรูปแบบ ดังนี้
protocol://host.domain/path/file
DO NOT COPY
Protocol หมายถึงโปรโตคอลเรียกบริการในอินเตอร์เน็ต เช่น
http:// คือ Hyper Text Transfer Protocol เป็นโปรโตคอลที่ใช้เรียกบริการเวิลด์ไวด์เว็บ
ftp:// คือ File Transfer Protocol เป็นรูปแบบพิเศษในการใช้เรียกเปิดแฟ้มข้อมูล
Host หมายถึงชื่อโฮสต์ที่ให้บริการ
Domain หมายถึงชื่อโดเมน (domain name)
Path หมายถึงพาธที่เก็บไฟล์ในโฮสต์
File หมายถึงชื่อไฟล์
ตัวอย่างการเรียกใช้บริการ world wide web
protocol://host.domain/path/file
http:// www. mcu.ac.th
ระบบ Domain Name
เน่องด้วยการติดต่อระหว่างเคร่องคอมพิวเตอร์น้นจะใช้หมายเลขไอพี เป็นตัวระบุตัวตนของ
ื
ื
ั
เครื่องคอมพิวเตอร์ใด ๆ แต่เนื่องจากว่า หมายเลขไอพี หรือไอพีแอดเดรสนั้นจะประกอบไปด้วยตัวเลข
ื
ื
�
ี
จานวนมากมายท่เราต้องจดจาเพ่อติดต่อส่อสารไปยังเคร่องคอมพิวเตอร์เคร่องน้น ๆ พอ ๆ กับการจดจา
�
�
ื
ื
ั
หมายเลขโทรศัพท์น่นเอง แต่ระบบโทรศัพท์เคล่อนท่สามารถเปล่ยนหมายเลขเบอร์โทรศัพท์ไปเป็นช่อ
ื
ี
ื
ั
ี
เจ้าของเบอร์โทรศัพท์ได้ ดังนั้น จึงมีการคิดค้นระบบชื่อเพื่อน�ามาใช้แทนไอพีแอดเดรส ซึ่งระบบชื่อที่ว่า
นี้เรียกว่า “Domain Name System (DNS)” หรือ “ระบบชื่อโดเมน”
ประเภทของโดเมนเนม
โดเมนเนมเป็นชื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ท�าหน้าที่เผยแพร่ข้อมูล ซึ่งชื่อนี้จะไม่ซ�้ากับใครในโลกนี้
ประเภทของโดเมนเนมมีการแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
(1) โดเมนเนม 2 ระดับ
(2) โดเมนเนม 3 ระดับ
โดเมนเนม 2 ระดับเช่น sanook.com ประกอบด้วย ส่วนที่ 1 ชื่อหน่วยงานคั่นด้วยจุดตาม
ด้วยส่วนที่ 2 ชื่อย่อของประเภทของหน่วยงาน ที่เราพบเห็นบ่อย ๆ ก็มีดังนี้
226 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
.com บริษัทห้างร้าน หรือองก์กรพาณิชย์
.edu สถาบันการศึกษา
.gov องค์กรรัฐบาล
.org องค์กรอื่นๆ เช่น รัฐวิสาหกิจ
DO NOT COPY
.net องค์กรที่ท�าหน้าที่เป็น gate way
โดเมนเนม 3 ระดับเช่น chula.ac.th ประกอบด้วย ส่วนที่ 1 ชื่อหน่วยงานคั่นด้วยจุด ส่วนที่ 2
ชื่อย่อประเภทของหน่วยงานคั่นด้วยจุดตามด้วยส่วนที่ 3 ชื่อย่อประเทศ ดังนี้
ส่วนที่ 2 ชื่อย่อหน่วยงาน ส่วนที่ 3 ชื่อย่อประเทศ
.co บริษัทหรือองค์กรพาณิชย์ .th ประเทศไทย
.ac สถาบันการศึกษา .uk สหราชอาณาจักร
.go องค์กรรัฐบาล .jp ประเทศญี่ปุ่น
.or องค์กรอื่นๆ
www กับ เว็บไซต์
เว็บไซต์ (Web Site) หมายถึง แหล่งที่เก็บ หรือที่รวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่ต้องการจะน�าเสนอ
บนอินเตอร์เน็ต โดยจะเก็บไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็นเครื่องแม่ข่าย หรือเครื่องเซิร์ฟเวอร์ (Server)
ดังนั้น เราจึงเรียกเครื่องเซิร์ฟเวอร์ที่เก็บข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้ว่า เว็บเซิร์ฟเวอร์ (Web Server) ซึ่งเป็น
ี
ื
แหล่งข้อมูลพ้นฐานท่ให้บริการบนอินเทอร์เน็ต โดยส่วนใหญ่จะประกอบด้วยข้อความและรูปภาพ
นอกจากนี้ ยังอาจใช้สื่อประสม (Multimedia) เป็นส่วนประกอบในการน�าเสนอข้อมูลในเว็บไซต์ โดย
เจ้าของเว็บจะท�าการปรับปรุงเนื้อหาข่าวสารบนหน้าเว็บอย่างสม�่าเสมอ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้ที่เข้ามาเปิดดูได้
ติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่อง
โฮมเพจ
็
เวบเพจ
โฮมเพจ
ว็บไ
ซต์
เวบไซต เ เว็บเพจ
็
ภาพที่ 9.18 แสดงโครงสร้างของเว็บไซต์
บทที่ 9 อินเทอร์เน็ต 227
.com บริษัทห้างร้าน หรือองก์กรพาณิชย์ ระบบ World Wide Web หรือระบบการท�างานของเว็บไซต์ นั้น ถูกพัฒนาขึ้นมาโดย Sir Tim-
์
้
.edu สถาบันการศึกษา othy John Berners-Lee หรืออีกชื่อหนึ่งที่คนทั่วโลกรูจักกันดีในนาม Tim Berners-Lee นักฟสิกสชาว
ิ
.gov องค์กรรัฐบาล อังกฤษ โดยในช่วง เดือนมิถุนายน-ธันวาคม 2523 Tim Berners-Lee ท�างานเป็น Freelance อยู่ที่
็
ี
่
ุ
ี
่
ื
ึ
.org องค์กรอื่นๆ เช่น รัฐวิสาหกิจ สถาบัน CERN ซ่งในปี 2532 สถาบัน CERN ถอว่าเป็นศนย์อนเทอร์เนตทใหญ่ทสุดในยโรป และเขาเสนอ
ิ
ู
.net องค์กรที่ท�าหน้าที่เป็น gate way โครงการ “ข้อความหลายมิติ” (Hypertext) ขึ้นเพื่อใช้ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างนักวิจัยด้วยกัน
ื
โดเมนเนม 3 ระดับเช่น chula.ac.th ประกอบด้วย ส่วนที่ 1 ชื่อหน่วยงานคั่นด้วยจุด ส่วนที่ 2 โดยมีการเร่มสร้างระบบต้นแบบไว้แล้ว ในช่อ ENQUIRE เขาระบุว่า “...ผมเพียงเอาความคิดเร่องข้อความ
ิ
ื
ชื่อย่อประเภทของหน่วยงานคั่นด้วยจุดตามด้วยส่วนที่ 3 ชื่อย่อประเทศ ดังนี้ หลายมิตินี้เชื่อม ต่อเข้ากับความคิด “TCP” และ “DNS” และเท่านั้นก็จะได้ “World Wide Web”
ส่วนที่ 2 ชื่อย่อหน่วยงาน ส่วนที่ 3 ชื่อย่อประเทศ
.co บริษัทหรือองค์กรพาณิชย์ .th ประเทศไทย
.ac สถาบันการศึกษา .uk สหราชอาณาจักร
.go องค์กรรัฐบาล .jp ประเทศญี่ปุ่น
.or องค์กรอื่นๆ
www กับ เว็บไซต์ DO NOT COPY
เว็บไซต์ (Web Site) หมายถึง แหล่งที่เก็บ หรือที่รวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่ต้องการจะน�าเสนอ
บนอินเตอร์เน็ต โดยจะเก็บไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็นเครื่องแม่ข่าย หรือเครื่องเซิร์ฟเวอร์ (Server)
ดังนั้น เราจึงเรียกเครื่องเซิร์ฟเวอร์ที่เก็บข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้ว่า เว็บเซิร์ฟเวอร์ (Web Server) ซึ่งเป็น
แหล่งข้อมูลพ้นฐานท่ให้บริการบนอินเทอร์เน็ต โดยส่วนใหญ่จะประกอบด้วยข้อความและรูปภาพ ภาพที่ 9.20 Tim Berners-Lee กับเว็บไซต์เว็บแรกของโลก
ื
ี
นอกจากนี้ ยังอาจใช้สื่อประสม (Multimedia) เป็นส่วนประกอบในการน�าเสนอข้อมูลในเว็บไซต์ โดย ที่มา: https://www.cnet.com/pictures/images-berners-lee-and-the-dawn-of-the-web/
เจ้าของเว็บจะท�าการปรับปรุงเนื้อหาข่าวสารบนหน้าเว็บอย่างสม�่าเสมอ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้ที่เข้ามาเปิดดูได้
ติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่อง ในปี 2533 Robert Cailliau ก็เข้ามาช่วยปรับร่างโครงการให้ ซึ่ง Berners-Lee ได้ใช้ความคิด
เดียวกับระบบENQUIRE มาใช้สร้าง World Wide Web โดยได้ออกแบบและสร้างเว็บเบราว์เซอร์และ
โฮมเพจ เอดิเตอร์ตัว แรก เรียกว่า World Wide Web และพัฒนาด้วย NEXT STEP เรียกว่า httpd ซึ่งย่อมา
จาก Hyper Text Transfer Protocol Daemon
วันที่ 6 สิงหาคม 2534 เว็บไซต์เว็บแรกของโลกก็ได้เปิดตัวออกมาครั้งแรกในโลกอินเทอร์เน็ต
ซึ่ง Berners-Lee ได้ให้ค�าจ�ากัดความของ http://www. ว่าคืออะไร และการที่จะให้เว็บไซต์ท�างานได้
็
เวบเพจ
�
ั
ี
ึ
ั
�
น้นต้องทาอย่างไรบ้าง ซ่งเขาก็ได้นาเสนอภาษา HTML เป็นภาษาที่ใช้ในการเขียนเว็บ ท้งน้ Berners-Lee โฮมเพจ
ไม่ได้จดลิขสิทธิ์การคิดค้นของเขาเลย เขามอบแนวความคิดนี้ให้แก่ทุกคนทุกองค์กรโดยไม่คิดมูลค่าใดๆ
จนได้รับยกย่องจากนิตยสาร Time ให้เป็น 1 ใน 100 บุคคลที่ทรงอิทธิพลของศตวรรษที่ 20 เมื่อปี พ.ศ.
เ
ซต์
ว็บไ
็
เวบไซต 2548 เว็บเพจ
ภาพที่ 9.18 แสดงโครงสร้างของเว็บไซต์
228 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
DO NOT COPY
ภาพที่ 9.21 ภาพตัวอย่างเว็บไซต์แรกขณะที่ Tim Berners-Lee สร้างขึ้นมา
ที่มา: http://info.cern.ch/
�
ั
ปัจจุบน Tim Berners-Lee เป็นผู้อานวยการของ The World Wide Web Consortium
ี
ี
(W3C) ซ่งเป็นหน่วยงานท่ทาหน้าท่จัดระบบมาตรฐานท่ใช้งานสาหรับ www และให้บริการทางการศึกษา
�
�
ึ
ี
การพัฒนาซอฟท์แวร์ที่เกี่ยวกับเรื่องเว็บ
ภาพที่ 9.22 เว็บไซต์แรกที่ Tim Berners-Lee สร้าง ในปัจจุบันนี้
ที่มา: http://info.cern.ch/
บทที่ 9 อินเทอร์เน็ต 229
9.6 กำรประมวลผลคลำวด์ (Cloud Computing)
ี
ี
คลาวด์ (Cloud) ถ้าแปลตรงตามตัวหมายถึง เมฆ แต่ในท่น้มีความหมายว่า เป็นระบบอินเทอร์เน็ต
ี
ั
โดยรวมท่ให้บริการท้งระบบโปรแกรมต่าง ๆ การบันทึกและจัดเก็บข้อมูลผู้ใช้บริการสามารถเรียกใช้งาน
ี
ี
โปรแกรมต่าง ๆ ได้จากท่ไหนก็ได้ทั่วโลกท่มีการเช่อมต่ออินเทอร์เน็ต โดยตัวผู้ใช้มิต้องวิตกกังวลถึงว่า
ื
DO NOT COPY
ข้อมูลของเราจะถูกจัดเก็บที่ไหน จัดเก็บอย่างไร จะใช้กับเครื่องโทรศัพท์ หรือเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่อง
ื
�
ื
อ่น ๆ ได้หรือไม่ เพราะระบบการประมวลผลคลาวด์จะดาเนินการทุกอย่างให้เปรียบเสมือนว่าเรามีเคร่อง
เซิร์ฟเวอร์เป็นของตัวเอง
ระบบการประมวลผลคลาวด์ท่เรารู้จกกันดี และเป็นของฟร ได้แก่ iCloud, Dropbox, SkyDrive
ี
ี
ั
และ Google Drive เป็นต้น
ภาพที่ 9.29 แสดงอุปลักษณ์ของการประมวลผลคลาวด์
ที่มา: https://en.wikipedia.org/wiki/Cloud_computing#/media/File:Cloud_computing.svg
230 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
ประเภทของcloud computing
สามารถแบ่งเป็นประเภทตามลักษณะของโครงสร้างพื้นฐานได้ 3 ประเภทคือ 4
1. Public Cloud จะประมวลผลและให้บริการบน Cloud’s Servers, ระบบเก็บข้อมูล
และ networks ที่เป็นของผู้ให้บริการซึ่งผู้ใช้บริการจะเข้าไปใช้บริการ Application หรือ Service ที่
DO NOT COPY
ต้องการได้ตามที่ผู้ให้บริการได้เปิดให้ใช้บริการโปรแกรมต่าง ๆ เท่านั้น
2. Private Cloud จะประมวลผลและให้บริการบน Servers, ระบบเก็บข้อมูลและ Networks
ี
ั
ี
ท่เป็นของผู้ใช้บริการเองหรือเปิดให้ใช้เฉพาะผู้ใช้บริการรายน้น ๆ โดยท่ผู้ใช้บริการเป็นผู้ควบคุมและ
จัดการระบบเองซึ่งผู้ให้บริการจะมีหน้าที่ติดตั้งและบริการหลังขายเท่านั้น
ั
3. Hybrid Cloud จะประกอบไปด้วยสภาพแวดล้อมท่เกิดจากผู้ให้บริการหลาย ๆ แหล่งท้ง
ี
Private Cloud และ Public Cloud โดยส่วนใหญ่จะเน้นการให้บริการกับระดับองค์กร
ภาพที่ 9.30 แสดงรการบริการของ Cloud Computing
กำรบริกำรของ cloud computing
การบริการบนระบบการประมวลผลแบบกลุ่มเมฆสามารถแบ่งรูปแบบของชั้นดังนี้
• การให้บริการซอฟต์แวร์หรือ Software as a Service (SaaS)
ั
เป็นบริการที่ให้ใช้หรือเช่าซอฟต์แวร์หรือแอพพลิเคช่นผ่านอินเทอร์เน็ตโดยประมวลผลบน
ระบบของผู้ให้บริการโดยผู้ใช้ไม่ต้องลงทุนในการสร้างระบบคอมพิวเตอร์เองไม่มีค่าใช้จ่ายในการดูแล
4 Cloud computing เทรนด์ไอที ที่ก�าลังมาแรงในตอนนี้, [ออนไลน์], แหล่งที่มา: https://www.admis-
sionpremium.com/it/news/1843 [28 กุมภาพันธ์ 2562]
บทที่ 9 อินเทอร์เน็ต 231
ี
ี
ี
ระบบเพราะซอฟต์แวร์จะถูกเรียกใช้งานผ่าน Cloud จากท่ไหนก็ได้ ตัวอย่างการให้บริการแบบน้ท่พบเห็น
มากที่สุดในปัจจุบันก็คือ การบริการของ Google Apps นั่นเอง
• การให้บริการแพลตฟอร์มหรือ Platform as a Service (PaaS)
เป็นการประมวลผลซ่งมีระบบปฏิบัติการและการสนับสนุนเว็บแอพพลิเคช่นเข้ามาร่วมด้วย
ั
ึ
DO NOT COPY
ึ
ี
ั
ั
�
สาหรับการพัฒนาแอพพลิเคช่นน้นหากเราต้องการพัฒนาเว็บแอพพลิเคช่นท่ค่อนข้างซับซ้อนซ่งรันบน
ั
เซิร์ฟเวอร์หรือ Mobile Application ที่มีการประมวลผลท�างานอยู่บนเซิร์ฟเวอร์เราก็ต้องตั้งเซิร์ฟเวอร์
ั
ื
ื
เช่อมต่อระบบเครือข่ายและสร้างสภาพแวดล้อมเพ่อทดสอบและรันซอฟต์แวร์และแอพพลิเคช่น เช่น ติด
ตั้งระบบฐานข้อมูล, Web server, Runtime, Software Library, Frameworks ต่าง ๆ เป็นต้นจากนั้น
้
้
้
้
้
่
่
ก็อาจยังตองเขียนโคดอีกจ�านวนมาก แต่ถ้าเราใชบริการPaaS ผูใหบริการจะเตรียมพื้นฐานตาง ๆ เหลา
นี้ไว้ให้เรียบร้อยแล้วก็จะท�าให้เราลดต้นทุนและเวลาที่ใช้ในการพัฒนาซอฟท์แวร์อย่างมาก
• การให้บริการโครงสร้างพื้นฐานหรือ Infrastructure as a Service (IaaS)
เป็นการให้บริการเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานอย่างหน่วยประมวลผลระบบจัดเก็บข้อมูลระบบ
เครือข่ายในรูปแบบระบบเสมือน (Virtualization) ข้อดีคือองค์กรไม่ต้องลงทุนสิ่งเหล่านี้เอง ลดความยุ่ง
ยากในการดูแลเพราะหน้าที่ในการดูแลจะอยู่ที่ผู้ให้บริการ
9.7 อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Internet of Things: IoT)
�
�
ิ
�
คาว่า อินเทอร์เน็ตของสรรพส่ง ประกอบด้วยคาสองคาคือ คาว่า“Internet” หมายถึงระบบ
�
ื
ื
ึ
ื
ึ
ี
ื
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ท่เช่อมต่อและส่อสารจากคอมพิวเตอร์เคร่องหน่งไปยังอีกเคร่องหน่งได้
�
ึ
�
ี
หรือจากเครือข่ายคอมพิวเตอร์หน่งไปยังอีกเครือข่ายคอมพิวเตอร์หน่งได้และคาท่สองคาว่า“Thing” น้น
ั
ึ
หมายถึงสรรพสิ่งทุกอย่างวัตถุหรือสิ่งของอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่นโปรแกรม สื่อมัลติมีเดียเครื่องใช้ไฟฟ้า โต๊ะ
เก้าอี้เสื้อผ้ารองเท้าฯลฯ 5
Padraig Scully, Knud Lasse Luet (2016) กล่าวว่าโดยพื้นฐานแล้วInternet of Things คือ
แนวความคิดที่อธิบายการเชื่อมต่อ (Connecting) กับวัตถุทางกายภาพใด ๆ หรือ“สิ่ง (Thing)” ผ่าน
เครือข่ายอินเทอร์เน็ตซ่งการเช่อมต่อกับวัตถุต่าง ๆ แบบน้ส่งผลกระทบสาคัญในการจัดการข้อมูลหรือ
�
ี
ึ
ื
อุปกรณ์จ�านวนมากมายที่ต้องปรับเปลี่ยนให้สามารถเชื่อมต่อหรือสื่อสารกันได้ดังนั้นInternet of Thin
gsจึงเป็นการน�าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มาฝังไว้ในสิ่งต่าง ๆ เพื่อเก็บรวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลต่าง ๆ
็
ี
่
่
์
ิ
่
ื
่
่
ู
ุ
ื
่
ั
ื
ื
ิ
สามารถสอสารหรอเช่อมโยงผานเครอขายอนเทอรเนตโดยจะไมตดตอกบมนษยโดยตรงแตจะมอยในสง ิ ่
่
์
5 วิวัฒน์ มีสุวรรณ์, “อินเทอร์เน็ตเพื่อสรรพสิ่ง (Internet of Things) กับการศึกษา Internet of
Things on Education”,[ออนไลน์],แหล่งที่มา: https://www.tci-thaijo.org/index.php/jcosci/article/down-
load/93106/72931/ [28 กุมภาพันธ์ 2562]
232 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
ื
ั
ึ
ี
แวดล้อมอาคารสถานท่ต้นไม้รถยนต์ฯทุกอย่างสามารถเช่อมต่อได้ซ่งบางคร้งเรียกว่า“Smart Objects”
Rajkumar Buyya, Amir Vahid Dastjerdi (2016) อธิบายเกี่ยวกับInternet of Things สรุป
ได้ว่าเป็นกระบวนทัศน์(วิธีคิดวิธีปฏิบัติตัวแบบรูปแบบกรอบแนวความคิดและแนวทางการศึกษา) ท่ว่า
ี
�
ื
ื
ด้วยการนาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มาใช้ประโยชน์ให้สามารถเช่อมต่อกับมนุษย์ได้โดยอาศัยโครงสร้างพ้น
DO NOT COPY
ื
ื
ฐานทางการส่อสารโทรคมนาคมหรืออินเทอร์เน็ตเพ่อการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรให้เกิดความคุ้มค่า
ั
สูงสุดรวมท้งการบริการและเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของมนุษย์เช่นอุปกรณ์ทางการแพทย์ตู้เย็นกล้องถ่าย
ึ
ื
ี
ี
ภาพและเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ท่เช่อมผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตซ่งกระบวนทัศน์น้จะนาไปสู่การสร้างสรรค์
�
นวัตกรรมจะสร้างให้ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่าง ๆ กับมนุษย์สามารถท�าได้ง่ายขึ้นสะดวกขึ้น
โดยสรุปแล้ว Internet of Things คือสภาพแวดล้อมที่ประกอบด้วยสรรพสิ่งที่สามารถสื่อสาร
และเชื่อมต่อกันได้ผ่านการสื่อสารทั้งแบบใช้สายและไร้สายโดยสรรพสิ่งต่าง ๆ มีวิธีการระบุตัวตนได้รับ
ี
ิ
ู
�
ร้บริบทของสภาพแวดล้อมได้และมปฏสัมพันธ์โต้ตอบสามารถทางานร่วมกันได้ความสามารถในการ
ิ
ี
ส่อสารของสรรพส่งน้จะนาไปสู่นวัตกรรมและบริการใหม่อีกมากมายตัวอย่างเช่นเซ็นเซอร์ภายในบ้าน
�
ื
ตรวจจับการเคลื่อนไหวของผู้อยู่อาศัยและส่งสัญญาณไปสั่งเปิด/ปิดสวิตซ์ไฟตามห้องต่าง ๆ ที่มีคนหรือ
ไม่มีคนอยู่อุปกรณ์วัดสัญญาณชีพของผู้ป่วย/ผู้สูงอายุและส่งข้อมูลไปยังบุคลากรทางการแพทย์หรือส่ง
ข้อความเรียกหน่วยกู้ชีพหรือรถฉุกเฉินเป็นต้น 6
เทคโนโลยีที่ท�าให้ Internet of Things เกิดขึ้นได้จริงและสร้างผลกระทบในวงกว้างแบ่งออก
เป็นสามกลุ่มได้แก่
1) เทคโนโลยีที่ช่วยให้สรรพสิ่งรับรู้ข้อมูลในบริบทที่เกี่ยวข้องเช่นเซ็นเซอร์
ิ
2) เทคโนโลยีท่ช่วยให้สรรพส่งมีความสามารถในการส่อสารเช่นระบบสมองกลฝังตัวรวมถึงการ
ี
ื
สื่อสารแบบไร้สายที่ใช้พลังงานต�่าอาทิ Zigbee, 6LowPAN, Low-power Bluetooth
้
3) เทคโนโลยท่ช่วยให้สรรพส่งประมวลผลขอมลในบริบทของตนเช่นเทคโนโลยีการประมวลผล
ู
ิ
ี
ี
แบบคลาวด์และเทคโนโลยีการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่หรือBig Data Analytics
ี
�
ื
ื
ี
ในชีวิตประจาวันยุคปัจจุบันน้ เราเห็นอุปกรณ์เคร่องมือเคร่องใช้หลายอย่างท่มีการใช้เทคโนโลย ี
ที่กล่าวมาข้างต้น ได้แก่
1) บ้านอัจฉริยะ ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยและสิ่งอ�านวยความสะดวกต่าง ๆ ภายในบ้าน
เช่น ระบบเปิด-ปิดไฟฟ้า ระบบตรวจจับความเคลื่อนไหว ระบบเตือนภัย-กันขโมย
2) รถยนต์อัจฉริยะ เป็นรถยนต์ที่มีระบบเซนเซอร์รอบคัน การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์มือถือ การ
ใช้งานแอพพลิเคชั่นสั่งงานให้รถยนต์ท�างาน
ื
ื
ื
ื
3) ตู้เย็นอัจฉริยะ สามารถตรวจจับวัสดุส่งของ อาหาร-เคร่องด่มท่อยู่ในตู้เย็นว่าซ้อมาเม่อใด
ี
ิ
6 Internet of things(IOT) เมื่ออินเตอร์เน็ตเชื่อมต่อกับทุกสิ่ง, [ออนไลน์], แหล่งที่มา: https://www.
admissionpremium.com/content/1838 [28 กุมภาพันธ์ 2562].
บทที่ 9 อินเทอร์เน็ต 233
จะหมดอายุเมื่อใด หรือของใกล้จะหมดแล้ว เป็นต้น
ั
ื
ื
ื
4) เคร่องซักผ้าอัจฉริยะ เคร่องซักผ้ารุ่นใหม่ๆ จะเช่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่านทางแอพพลิเคช่น
สามารถแจ้งให้ผู้ใช้ทราบว่ากระบวนการซักผ้าถึงขั้นตอนใดแล้ว มีปัญหาขัดข้องอะไรหรือไม่
DO NOT COPY
สรุปท้ำยบท
�
อินเทอร์เน็ตมีต้นกาเนิดจากแผนยุทธศาสตร์ทางทหารของสหรัฐอเมริกาเพ่อป้องกันมิให้ข้อมูล
ื
ส�าคัญถูกท�าลาย ต่อมามีการขยายการเชื่อมต่อไปยังมหาวิทยาลัยและหน่วยงานต่าง ๆ จนกระทั่งเชื่อม
ื
ั
ื
ต่อไปท่วโลก โดยมีข้อตกลงว่าจะใช้โปรโตคอล TCP/IP ในการเช่อมต่อ โดยเม่อเช่อมต่ออินเทอร์เน็ตแล้ว
ื
จะได้รับข้อมูลข่าวสาร การบริการในรูปแบบต่าง ๆ อาทิเช่น การน�าเสนอข้อมูลแบบ WWW การถ่าย
ึ
�
โอนข้อมูล การรับส่งจดหมาย การซ้อขายสินค้า และการพูดคุยบนอินเทอร์เน็ตเป็นต้น ซ่งทาให้คาว่า
ื
�
โลกข่าวสารไร้พรมแดนเป็นจริงในปัจจุบัน
จะเห็นว่าอินเทอร์เน็ตให้คุณประโยชน์มากมาย จนกลายเป็นปัจจัยหนึ่งของชีวิตเรา หากวันใด
ึ
ั
ื
ี
ท่ต่นนอนข้นมาแล้วไม่ได้หยิบโทรศัพท์มือถือข้นตรวจสอบดูข้อมูลข่าวสารแล้ว เหมือนว่าวันน้นเราจะอย ู่
ึ
้
่
่
ื
ิ
์
ั
ึ
ิ
่
้
ื
นงไมได เหมอนชวตขาดอะไรไปอยางหนง อยางไรกตาม การเสพตดสอสงคมออนไลนมากเกนไปถงแมวา
่
ิ
ี
ึ
่
็
่
ิ
่
เราจะท่องไปในโลกกว้างในสังคมออนไลน์ และชีวิตในความเป็นจริงของเรากลับแคบลง ดังน้น ทุกส่งทุก
ั
ิ
อย่างต้องมีความพอเหมาะพอควร ยึดหลักมัชฌิมาปฏิปทาขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ชีวิตก็จะม ี
ความสุขยิ่งขึ้น
234 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
ค�ำถำมท้ำยบท
ตอนที่ 1 ค�ำชี้แจง : ข้อสอบอัตนัย มีทั้งหมด 10 ข้อ ให้นิสิตท�ำทั้งหมด
1. อินเทอร์เน็ตมีความเป็นมาอย่างไร อธิบายมาพอเข้าใจ
DO NOT COPY
2. อินเทอร์เน็ตเข้ามาในประเทศไทยได้อย่างไร
3. โปรโตคอล ที่ใช้ในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต คืออะไร
4. หากท่านจะติดตั้งอินเทอร์เน็ตใช้ที่บ้าน ท่านจะต้องท�าอย่างไรบ้าง
5. รูปแบบการบริการบนเครือขายอินเทอร์เน็ต มีอะไรบ้าง
6. จงอธิบายถึงประโยชน์ของ Internet มาโดยละเอียด
7. จงเขียนและอธิบายรูปแบบของ URL มาโดยละเอียด
8. www คืออะไร? อธิบายมาพอสังเขป
9. จงอธิบายความหมายของ Cloud computing มาพอสังเขป
10. จงอธิบายความหมายของ Internet of Things มาพอสังเขป
ตอนที่ 2 ค�ำชี้แจง : ค�ำถำมปรนัย มีทั้งหมด 10 ข้อ ให้ท�ำเครื่องหมำย x ทับข้อ ก ข ค
หรือ ง ที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว
1. อินเทอร์เน็ต คืออะไร
ก. เครือข่ายคอมพิวเตอร์ระดับเมือง ข. เครือข่ายคอมพิวเตอร์ระดับประเทศ
ค. เครือข่ายคอมพิวเตอร์ระดับสากล ง. เครือข่ายคอมพิวเตอร์ระดับทวีป
2. จุดก�าเนิดของอินเทอร์เน็ต เกิดมาจากโครงการใด?
ก. UniNET ข. ARPANET
ค. MCUnet ง. TCP/IP
3. โปรโตคอลใดเป็นข้อตกลงในการเชื่อมต่อ Internet
ก. TCP/IP ข. TT& T
ค. AT&T ง. American on line
4. ผู้ผลักดันให้ประเทศไทยมีอินเทอร์เน็ตใช้ คือใคร
ก. ศ.ดร.กาญจนา กาญจนสุต ข. ศ.ดร.ชิดชนก เหลือสินทรัพย์
ค. รศ.ยืน ภู่วรวรรณ ง. ผศ.ดร.ภุชงค์ อุทโยภาศ
5. ผู้คิดค้นระบบ world wide web คือ
ก. Mark Zuckerberg ข. Larry Page
ค. Bill Gate ง. Tim Berrners-Lee
บทที่ 10
ภัยคุกคาม ความมั่นคงของระบบ
และจริยธรรมในสังคมออนไลน์
DO NOT COPY
วัตถุประสงค์การเรียนประจ�าบท
เมื่อศึกษาบทนี้แล้ว นิสิตสามารถ
1. อธิบายเกี่ยวกับความปลอดภัยและอาชญากรคอมพิวเตอร์ได้
2. อธิบายถึงภัยคุกคามต่อโปรแกรม ข้อมูล ระบบ e-Commerce และระบบ Internet
3. สามารถการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลได้
4. มีแนวทางการป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์ได้
5. สามารถรักความมั่นคงของระบบได้
6. มีจริยธรรมในการใช้สื่อและท�ากิจกรรมในสังคมออนไลน์
ขอบข่ายเนื้อหา
• ความน�า
• อาชญากรคอมพิวเตอร์
• ภัยคุกคามต่อโปรแกรมและข้อมูล
• ภัยคุกคามต่อระบบ e-Commerce
• ภัยคุกคามบนระบบ Internet
• การรักษาความปลอดภัยของข้อมูล
• แนวทางการป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์
• ความมั่นคงของระบบ
• จริยธรรมในสังคมออนไลน์
238 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
10.1 ความน�า
ี
ความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีเป็นส่งท่ดี แต่ในขณะเดียวกันก็มีภัยคุกคามหรือความ
ิ
ิ
�
ี
ี
ี
ี
ไม่ปลอดภัยอยู่ไม่น้อย ดังท่มีคากล่าวว่า ส่งท่มีคุณอนันต์ก็ย่อมคู่กับโทษท่มหันต์ แม้ว่าเทคโนโลยีท่เจริญ
ก้าวหน้าอันแสดงถึงความรู้ ความสามารถ ความดีงาม ความประโยชน์แล้ว ในทางกลับกัน ก็จะมีภัยที่
�
ื
ั
ั
คุกคามต่อความม่นคงของระบบในลักษณะต่างๆ ท้งต่ออุปกรณ์ โปรแกรม การหลอกลวงเพ่อทาลาย
ข้อมูล การขโมยข้อมูล ตลอดจนการปลอมแปลงหรือหลอกลวงเพื่อให้เสียทรัพย์สินอีกด้วย ในบทนี้จะ
กล่าวถึง อาชญากรคอมพิวเตอร์ ภัยคุกคามต่อโปรแกรมและข้อมูล ภัยคุกคามต่อระบบ e-Commerce
ภัยคุกคามบนระบบ Internet การรักษาความปลอดภัยของข้อมูล แนวทางการป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์
ความมั่นคงของระบบ จริยธรรมในสังคมออนไลน์
10.2 อาชญากรคอมพิวเตอร์
ี
อาชญากรคอมพิวเตอร์ หมายถึง ผู้ท่พยายามเจาะระบบคอมพิวเตอร์อย่างผิดปกติจากวิธีท่บุคคล
ี
�
ี
ธรรมดาควรทา บุคคลใดก็ตามท่มุ่งเจาะระบบโดยไม่ได้รับอนุญาตและสร้างความเสียหายต่อข้อมูล
หรือระบบไม่ว่าวิธีใดก็ตาม ถือว่าบุคคลผู้นั้นเป็นอาชญากรทางคอมพิวเตอร์มีชื่อเรียกว่า Hacker หรือ
Cracker 1 DO NOT COPY
ี
ื
Hacker คือผู้ท่แอบเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของหน่วยงานหรือองค์กรอ่น โดยมิได้รับ
อนุญาต แต่ไม่มีประสงค์ร้าย หรือไม่มีเจตนาที่จะสร้างความเสียหายหรือสร้างความเดือดร้อนให้แก่ใคร
ทั้งสิ้น แต่เหตุผลที่ท�าเช่นนั้นอาจเป็นเพราะต้องการทดสอบความรู้ความสามารถของตนเองก็เป็นไปได้
ื
ี
Cracker คือผู้ท่แอบเข้าใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ของหน่วยงานหรือองค์กรอ่น โดยมีเจตนาร้าย
อาจจะเข้าไปทาลายระบบ หรือสร้างความเสียหายให้กับระบบ Network ขององค์กรอ่น หรือขโมยข้อมูล
�
ื
ที่เป็นความลับทางธุรกิจ
ปัจจุบันมีเทคโนโลยีหลายประเภทท่สามารถใช้ป้องกันผู้ไม่หวังดีหรือผู้ท่ไม่มีสิทธ์ในการเข้าถึง
ิ
ี
ี
ึ
ี
ข้อมูลด้วยการใช้อุปกรณ์พิเศษท่เรียกว่า ไบโอเมตริก (Biometrics) ซ่งถือเป็นอุปกรณ์ท่ใช้ตรวจสอบ
ี
คุณสมบัติเฉพาะของแต่ละบุคคล ยากต่อการลอกเลียน ตัวอย่างเช่น เครื่องตรวจลายนิ้วมือ เครื่องตรวจ
มือ/ฝ่ามือ เครื่องตรวจสอบใบหน้า เครื่องตรวจเสียงพูด เครื่องตรวจลายเซ็น เครื่องตรวจม่านตา
อุปกรณ์ไบโอเมตริกมักนาไปใช้กับหน่วยงานขนาดใหญ่หรือองค์กรของรัฐท่จาเป็นต้องมีระบบ
�
�
ี
้
ื
่
ิ
ู
ั
ั
ื
ุ
่
ี
ู
ิ
ิ
ป้องกนความปลอดภยสง เนองจากอปกรณ์ไบโอเมตรกบางชนดมราคาค่อนข้างสง เครองตรวจลายนว
มือจึงค่อนข้างนิยมใช้สูง เนื่องจากมีราคาถูกกว่าชนิดอื่น ถึงแม้จะมีการใช้อุปกรณ์ไบโอเมตริก แต่ในบาง
ครั้งก็อาจท�าให้เกิดความไม่สะดวกต่อการใช้งานได้ เช่น มีบาดแผลเกิดขึ้นบนนิ้วมือที่ใช้สแกน การเซ็น
1 ศศลักษณ์ ทองขาว. คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่. (กรุงเทพฯ : แมคกรอ-ฮิล อินเตอร์
เนชั่นแนล เอ็นเตอร์ไพรส์ แอลแอลซี, 2558)
บทที่ 10 ภัยคุกคาม ความมั่นคงของระบบและจริยธรรมในสังคมออนไลน์ 239
ื
ื
ช่อแล้วเคร่องสแกนไม่ตรงกับต้นฉบับก็ไม่สามารถเข้าระบบได้ กรณีเป็นไข้หวัด ส่งผลให้เสียงพูดไม่เหมือน
�
ื
เดิม เคร่องตรวจเสียงอาจวิเคราะห์ไม่ตรง ทาให้ไม่สามารถเข้าระบบได้ความไม่สะดวกในการตรวจม่านตา
ท่ผู้ตรวจต้องยืนตาแหน่งให้นัยน์ตาตรงกับกล้องตรวจม่านตาประกอบกับคนเรามีความสูงท่แตกต่างกัน
�
ี
ี
ท�าให้ไม่สะดวก หรือผู้ที่สวมแว่นสายตาก็จ�าเป็นต้องถอดแว่นสายตาออกเสียก่อน
DO NOT COPY
อาชญากรข้างต้น สามารถแสดงออกโดยการโจรกรรม แบ่งเป็น 3 ลักษณะ ได้แก่
1. การโจรกรรมฮาร์ดแวร์ (Hardware Theft) หน่วยงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทส�านักงาน
ื
ี
�
หรือสถาบันการศึกษาท่มีคอมพิวเตอร์ใช้งานเป็นจานวนมากต่างก็พยายามหามาตรการป้องกันเพ่อรักษา
ความปลอดภัย ตัวอย่างเช่น เครื่องคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ การโจรกรรมก็สามารถท�าได้ด้วยการเปิดฝา
ื
เคสเพ่อขโมยอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ภายในอย่างโปรเซสเซอร์ ฮาร์ดดิสก์ หน่วยความจา และหากเป็น
�
คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก การโจรกรรมก็ง่ายขึ้นไปอีก เนื่องจากเครื่องโน้ตบุ๊กมีขนาดเล็ก สามารถโจรกรรม
ได้ง่ายเพียงใส่ลงในถุงห้วไปได้แล้ว ดังน้นมาตรการในการรักษาความปลอดภัยสามารถทาได้โดยกรณ ี
ั
�
ิ
คอมพิวเตอร์ต้งโต๊ะ เคสคอมพิวเตอร์บางรุ่นจะมีคล้องกุญแจ ให้นาแม่กุญแจมาคล้องและล็อคเพ่อป้องกัน
�
ั
ื
มิให้ใครมาเปิดฝาเคสคอมพิวเตอร์ได้ กรณีโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์ สามารถใช้เชือกเหล็กคล้องระหว่างตัว
เครื่องกับโต๊ะ เพื่อป้องกันการเคลื่อนย้าย ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ประตูและหน้าต่างจะต้องปิดและ
ล็อคกลอน รวมทั้งหากเป็นศูนย์คอมพิวเตอร์ที่มีอุปกรณ์ส�าคัญ ก็ควรมีระบบความปลอดภัยส�าหรับการ
เข้าออกจากห้อง เช่น การใช้ระบบคีย์การ์ด หรือมียามรักษาการณ์ที่คอยรักษาความปลอดภัย เป็นต้น
2. การโจรกรรมซอฟต์แวร์ (Software Theft) ซอฟต์แวร์สามารถถูกโจรกรรมได้หลายรูป
แบบด้วยกัน เช่น จากสื่อบันทึกข้อมูลต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นซีดีรอม ดีวีดีรอม หรือสื่อจัดเก็บข้อมูลประเภท
�
อ่น ๆ นอกจากน้ยังรวมถึงการโจรกรรมซอฟต์แวร์ด้วยการนาไปคัดลอก ซ่งหากเป็นซอฟต์แวร์ท่มีลิขสิทธ ิ ์
ึ
ื
ี
ี
ถือว่าผิดกฎหมาย และถือว่าเป็นการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ดังน้นการโจรกรรมด้วยการนาไปคัด
ั
�
�
ลอกโดยมิได้รับอนุญาต รวมถึงการโจรกรรมด้วยการนาไปใช้ประกอบการทางธุรกิจ ก็ถือว่าเป็นการละเมิด
ลิขสิทธิ์กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาทั้งสิ้น
3. การโจรกรรมข้อมูล (Information Theft) การโจรกรรมข้อมูล ถือเป็นการสร้างความเสีย
หายต่อหน่วยงานทีเดียว ซึ่งอาจเป็นการน�าความลับขององค์กรออกไปเผยแพร่โดยมิชอบ เช่น การล้วง
ึ
ึ
ความลับ การสอดแนม ดังน้น หลายหน่วยงานจึงมักมีมาตรการป้องกันการโจรกรรมข้อมูลซ่งอาจเกิดข้น
ั
จากบุคคลภายในหน่วยงานเอง และจากบุคคลภายนอกที่อาจบุกรุกเข้ามาผ่านระบบเครือข่าย แนวทาง
การป้องกันก็สามารถท�าได้ด้วยการก�าหนดนโยบายการป้องกันความปลอดภัยในข้อมูล ตัวอย่างเช่น
ั
1) นโยบายการใช้รหัสผ่าน เป็นนโยบายที่ว่าด้วยการต้งรหัสผ่าน เช่น รหัสผ่านควรมีความ
ยาวเท่าไร รหัสผ่านที่ดีควรตั้งอย่างไร อายุของรหัสผ่านมีอายุนานเท่าใด รหัสผ่านของแต่ละคนสามารถ
ซ�้ากันได้หรือไม่ เป็นต้น
240 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
2) นโยบายการเข้าถึงข้อมูล เป็นนโยบายท่ว่าด้วยการควบคุมและการกาหนดสิทธิการใช้
ี
�
ี
ี
�
ิ
งานบนเครือข่าย ว่าใครมีสิทธ์ในการเข้าถึงข้อมูลระดับใด ข้อมูลท่สาคัญมีใครบ้างท่สามารถเข้าถึงได้
รวมถึงการก�าหนดวันเวลาในการเข้าถึงข้อมูลเป็นต้น
ี
3) นโยบายการใช้อินเทอร์เน็ต เป็นนโยบายท่ว่าด้วยการไม่อนุญาตให้พนักงานเข้าถึง
DO NOT COPY
เว็บไซต์บางแห่ง การไม่อนุญาตให้แชทตามห้องสนทนา และรวมถึงการไม่อนุญาตให้ดาวน์โหลดไฟล์
ข้อมูล หรือโปรแกรมต่าง ๆ จากอินเทอร์เน็ต เป็นต้น
4) นโยบายการปฏิบัติเคร่องของตน เป็นนโยบายของผู้ใช้คอมพิวเตอร์ท่ควรรับผิดชอบการ
ื
ี
ใช้งานของตน ด้วยการไม่เปิดเครื่องทิ้งไว้เมื่อไม่ได้ใช้งาน เมื่อล็อกอินเข้าสู่ระบบเครือข่ายในองค์กรแล้ว
็
ื
่
ี
ี
�
่
็
�
หากจาเป็นต้องออกไปประสานงานในสถานทอน ๆ กควรทาการลอกเอาต์ออกจากระบบเสยก่อน
รวมถึงการไม่ติดตั้งโปรแกรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานในเครื่องของตน เป็นต้น
10.3 ภัยคุกคามต่อโปรแกรมและข้อมูล
ี
ภัยคุกคาม หมายถึง ภัยท่ทาให้เกิดความเส่ยง หรือความเสียหายต่อระบบ (Disaster) เป็นความ
ี
�
เสียหายต่อระบบคอมพิวเตอร์ทั้งทางด้านตรรกะ (Logical) โปรแกรม (Programs) หรือข้อมูล (Data)
และความเสี่ยงทางด้านกายภาพ (Physical) ที่เกิดกับตัวเครื่องและอุปกรณ์ (Hardware) ตั้งแต่ระดับไม่
ร้ายแรงพอแก้ไขได้ ระดับปานกลาง จนถึงระดับร้ายแรงที่สุดคือการท�าให้ระบบล่มไม่สามารถใช้งานได้
ด้านโปรแกรมและข้อมูล จะมีภัยคุกคามหลาย ๆ รูปแบบ ดังต่อไปนี้ 2
ึ
1. Viruses หรือไวรัส คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ประเภทหนึ่งท่เขียนข้นโดยความต้งใจของ
ั
ี
Programmer ให้สามารถแพร่กระจายตัวเองจากไฟล์หน่งไปยังไฟล์อ่น ๆ ภายในเคร่องคอมพิวเตอร์
ื
ื
ึ
�
ั
ไวรสจะแพร่กระจายตัวเองอย่างรวดเร็วไปยังทุกไฟล์ภายในคอมพิวเตอร์ หรืออาจจะทาให้ไฟล์เอกสาร
ติดเชื้ออย่างช้า ๆ แต่ไวรัสจะไม่สามารถแพร่กระจายจากเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่งได้ด้วยตัวมันเอง
ั
ู
็
โดยท่วไปแล้วจะเกดจากการท่ผ้ใช้ใช้สอจดเกบข้อมูล เช่น Diskette คัดลอกไฟล์ข้อมูลลง Disk และ
ั
ิ
ื
ี
่
ื
ื
ติดไวรัสเม่อนาไปใช้กับเคร่องอ่น หรือไวรัสอาจแนบมากับไฟล์เม่อมีการส่ง e-Mail ระหว่างกัน ไวรัส
�
ื
ื
คอมพิวเตอร์จะมีหลายชนิดด้วยกัน ได้แก่
1) Boot Sector Virus เป็นไวรัสที่จะฝังตัวเองอยู่ต�าแหน่งบูตเซกเตอร์ของดิสก์ โดย
ั
�
ี
ในส่วนของบูตเซกเตอร์ (Master Boot Record: MBR) น้นจะเป็นส่วนแรกท่ระบบจะต้องถูกทางาน
ึ
ี
ื
ทุกคร้งท่มีการเปิดเคร่อง ดังน้นเม่อเปิดเคร่องคอมพิวเตอร์ ไวรัสชนิดนี้ก็จะถูกโหลดข้นมาทุกคร้งและจะ
ั
ื
ื
ั
ั
ี
ื
�
ถูกโหลดเก็บไว้ในหน่วยความจาเพ่อพร้อมทาการแพร่พันธุ์ไปยังไฟล์ต่าง ๆ บนส่อบันทึกข้อมูลท่มีการ
�
ื
ใช้งานกับเครื่องที่ติดไวรัส
2 สุพรรษา ยวงทอง, ความรู้เบ้องต้นเก่ยวกับคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ, (กรุงเทพฯ :
ื
ี
โปรวิชั่น, 2557).
บทที่ 10 ภัยคุกคาม ความมั่นคงของระบบและจริยธรรมในสังคมออนไลน์ 241
2) Cluster Virus เป็นไวรัสชนิดหนึ่งที่มุ่งท�าร้ายระบบไฟล์บนดิสก์ โดยหากโปรแกรม
�
ี
ใดก็ตามท่รันจากเคร่องดังกล่าวแล้วไวรัสก็จะถูกทางานด้วย และด้วยเทคนิคดังกล่าว ก็จะส่งผลต่อ
ื
โปรแกรมทุกโปรแกรมที่อยู่บนดิสก์
3) File-Infecting Virus เป็นไวรัสท่มีวัตถุประสงค์ในการทางานกับไฟล์โปรแกรมท ี ่
�
ี
DO NOT COPY
เอ็กซีคิวต์ตัวเองได้ เช่น ไฟล์นามสกุล .COM หรือ .EXE ดังนั้นเมื่อไฟล์โปรแกรมดังกล่าวถูกเรียกใช้งาน
โปรแกรมไวรัสดังกล่าวก็จะถูกโหลดไปยังหน่วยความจ�าและพร้อมที่จะขยายแพร่พันธุ์ต่อไป
4) Macro Virus เป็นไวรัสชนิดหนึ่งที่สร้างขึ้นมาเพื่อส่งผลกระทบต่อไฟล์เอกสาร โดย
มักอยู่ในโปรแกรมชุดออฟฟิศ เช่น โปรแกรม MS-Word ไวรัสมาโครส่วนใหญ่เป็นโปรแกรมขนาดเล็กที่
มุ่งหวังก่อให้เกิดความวุ่นวายและร�าคาญแก่ผู้ใช้งานมากกว่าที่จะมุ่งท�าลายข้อมูล
2. Spam Mail คือการส่งข้อความที่ไม่เป็นที่ต้องการให้กับคนจ�านวนมาก ๆ จากแหล่งที่ผู้รับ
ไม่เคยรู้จักหรือติดต่อมาก่อน โดยมากมักอยู่ในรูปของ e-Mail ท�าให้ผู้รับร�าคาญใจและเสียเวลาในการ
ลบข้อความเหล่านั้นแล้ว Spam Mail ยังท�าให้ประสิทธิภาพการขนส่งข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตลดลงด้วย
3. Errors คือข้อผิดพลาดของโปรแกรม เป็นสาเหตุหลักที่ท�าให้คอมพิวเตอร์เกิดความยุ่งเหยิง
และท�าลายข้อมูลที่ถูกเก็บไว้ ตลอดจนส่งผลต่อการท�างานของโปรแกรม
4. Bugs คือชุดค�าสั่ง (Code) ของโปรแกรมที่มีข้อบกพร่องหรือมีข้อผิดพลาด ซึ่ง Bugs กับ
ึ
ั
Errors มีความแตกต่างกันกล่าวคือ Errors ของโปรแกรมอาจเกิดข้นค่อนข้างบ่อยคร้ง และสามารถแก้ไข
ั
ั
ข้อผิดพลาดน้นได้เร่อย ๆ แต่ Bugs ของโปรแกรมน้นเม่อพัฒนาโปรแกรมเสร็จ นาโปรแกรมน้นไปใช้
ื
�
ื
ั
สักระยะ Bugs นั้นอาจโผล่ขึ้นมาภายหลัง เป็นข้อผิดพลาดที่ค่อนข้างรุนแรง อาจต้องแก้ไข (Modify)
โปรแกรมใหม่
ื
ี
ื
5. Bombs เป็นไวรัสท่จะหลบซ่อนตัวเองเพ่อรอเหตุการณ์บางอย่าง โดยเม่อถึงเวลาก็จะทางาน
�
ี
ี
ื
�
�
ด้วยการมุ่งทาลายทันที ไวรัส Bombs บางชนิดเม่อตรวจสอบวันท่ในคอมพิวเตอร์ตรงกับท่ต้องการทางาน
แล้ว ก็จะลงมือปฏิบัติการกับระบบอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อสร้างความเสียหายให้กับระบบ จนท�าให้ระบบ
เสียหาย เช่น การลบข้อมูลบนดิสก์ทั้งหมด
6. Trojan Horses โทรจันเป็นชื่อของม้าไม้ในประวัติศาสตร์ของสงครามกรีกโบราณ ซึ่งม้าไม้
ขนาดใหญ่ถูกส่งเป็นเครื่องบรรณาการส่งไปยังค่ายทหารเมืองทรอย ที่ได้ชัยชนะจากสงคราม แต่ภายใน
้
ิ
มีทหารกรีกอยูจ�านวนหนึ่งอยู ตกกลางคืนทหารนั้นก็ไดออกมาเปดประตูคายเพื่อใหทหารฝายตนบุกเขา
่
้
่
้
่
่
ตีเมืองของข้าศึกจนพ่าย โทรจันจึงเป็นโปรแกรมท่มีเจตนามุ่งร้ายด้วยการแอบแฝงความเป็นมิตรหรือม ี
ี
ื
ประโยชน์ต่อผู้ใช้ เช่น ไวรัสโทรจันบางชนิดจะแฝงตัวไปกับโปรแกรมเกมส์เพ่อให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดไป
ื
ั
ื
�
ี
ใช้งานได้ฟรี คร้นเม่อผู้ใช้ได้ตกเป็นเหย่อแล้ว รหัสลับท่แอบแฝงอยู่ในโปรแกรมก็จะทาลายเคร่อง
ื
ี
คอมพิวเตอร์ท่ตกเป็นเหย่อเม่อถึงเวลา เม่อผู้ใช้รู้ตัวว่ามีไวรัสโทรจันอยู่ ก็หมายถึงระบบได้ถูกโทรจัน
ื
ื
ื
จัดการไปเรียบร้อยแล้ว
242 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
10.4 ภัยคุกคามต่อระบบ e-Commerce
ิ
ิ
ิ
�
ุ
ิ
ั
ุ
็
ิ
ื
การทาธรกจบนระบบพาณชย์อเลกทรอนกส์ หรอ e-Commerce อาจจะเกดภยคกคามต่อ
ั
เว็บไซต์ได้ เพ่อเตรียมพร้อมสาหรับการป้องกันล่วงหน้า จึงควรรู้และเข้าใจถึงภัยคุกคามน้นด้วย ตัวอย่าง
�
ื
ภัยคุกคามที่ควรระวังส�าหรับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น
DO NOT COPY
1. การเข้าสู่เครือข่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต เช่น มีบุคคลอื่นแอบอ้างในการใช้ชื่อ Login Name
และ Password ในการเข้าไปท�าธุรกรรมซื้อขายบนเว็บไซต์แทนตัวเราเอง
2. การทาลายข้อมูลและเครือข่าย เช่น Cracker เจาะระบบเข้าไปทาลายไฟล์และข้อมูลภายใน
�
�
เครื่อง Server ของเว็บไซต์ผู้ขาย ท�าให้ข้อมูลสมาชิกหรือลูกค้าของระบบเกิดความเสียหาย
3. การเปล่ยนแปลง การเพิ่ม หรือการดัดแปลงข้อมูล เช่น การส่ง Order หรือจดหมาย
ี
อิเล็กทรอนิกส์ในการส่งซ้อสินค้า หรือการท่จดหมายถูกเปิดอ่านระหว่างทาง ทาให้ข้อมูลไม่เป็นความลับ
ั
ื
�
ี
และผู้เปิดอ่านอาจเปลี่ยนแปลง แก้ไข หรือเพิ่มเติมข้อความในจดหมาย เช่น การแก้ไขจ�านวนยอดของ
การสั่งซื้อสินค้า เป็นต้น
4. การเปิดเผยข้อมูลแก่ผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาต เมื่อเราสมัครเป็นสมาชิกไว้ในเว็บไซต์ใด ๆ Server
�
ของเจ้าของเว็บไซต์จะเก็บข้อมูลส่วนตัวของเราไว้ หากเจ้าของเว็บไซต์ขาดจริยธรรมในการทาธุรกิจอาจ
น�าข้อมูลส่วนตัวของเราไปขายให้องค์กรอื่น เช่น ขายข้อมูลให้กับบริษัทบัตรเครดิตเป็นต้น
5. การทาให้ระบบบริการของเครือข่ายหยุดชะงัก เช่น การท่ Cracker เข้ามาทาลายระบบ
ี
�
�
เครือข่าย และส่งผลให้เคร่อง Server ของเจ้าของเว็บไซต์ไม่สามารถให้บริการแก่ลูกค้าของเขาได้จนกว่า
ื
ระบบนั้นจะถูกแก้ไข ดังนั้น เมื่อระบบล่มเป็นระยะเวลานานหลายชั่วโมง หรืออาจจะนานหลายวันก็จะ
ส่งผลต่อยอดขายสินค้าบนเว็บไซต์ด้วย
6. การขโมยข้อมูล เม่อตัวเราเองเป็นผู้ให้ข้อมูลไว้กับเว็บไซต์ท่เราจะซ้อขายสินค้า ข้อมูลน้นอาจ
ื
ี
ื
ั
ี
�
ั
ถูกขโมยจากเจ้าของเว็บไซต์จากผู้ดูแล หรือจาก Cracker ท่นาไปใช้ประโยชน์ต่อเขาเหล่าน้น แต่ส่ง
ผลเสียกับตัวเรา เพราะการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวเขาของเราโดยไม่ได้รับอนุญาตถือเป็นการขโมย
7. การปฏิเสธการบริการที่ได้รับ เช่น ปฏิเสธว่าไม่ได้เข้าไปกรอกรายการสั่งซื้อที่เว็บไซต์ โดยใช้
ชื่อนี้หรืออ้างว่าสั่งซื้อสินค้าแล้วแต่ไม่ได้รับการจัดส่งสินค้าจากเว็บไซต์ดังกล่าว เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการ
ช�าระเงินค่าสินค้าส่วนที่เหลือ
8. การอ้างว่าได้ให้บริการ หรืออ้างว่าได้ส่งมอบสินค้าและบริการแล้ว
9. ไวรัสที่แอบแฝงมากับผู้ที่เข้ามาใช้บริการ ส่งผลท�าให้เครื่อง Server ของเจ้าของเว็บไซต์ได้
รับความเสียหาจากการที่ไวรัสท�าลายข้อมูลและไฟล์ต่าง ๆ ภายในระบบ
10.5 ภัยคุกคามบนระบบ Internet
ื
่
ี
อินเทอร์เน็ตเป็นพ้นทสาธารณะเสมือนท่นบวันจะได้รับความนิยมมากข้นอย่างรวดเร็ว ถ้าม ี
ี
ั
ึ
มาตรการในการดูแลควบคุมสิทธิเสรีภาพของผู้ใช้ไม่ดีพอ เช่น ห้องสนทนา (Chat room) กระดานข่าว
บทที่ 10 ภัยคุกคาม ความมั่นคงของระบบและจริยธรรมในสังคมออนไลน์ 243
ี
ี
(Web board) ท่ทุกคนสามารถคุยอะไรกับใครก็ได้ โดยไม่มีการเปิดเผยว่าเป็นใครนอกจากช่อท่ใช้ในการ
ื
ออนไลน์ เราจึงไม่รู้ว่าก�าลังพูดคุยอยู่กับใคร สิ่งที่เขาพูดอยู่เป็นความจริงหรือไม่ จนท�าให้เกิดการหลอก
ลวง และมีการสูญเสียโดยคาดไม่ถึงเกิดขึ้น ภัยคุกคามบนระบบอินเทอร์เน็ต เช่น
1. Cookie คือการข้อมูลที่เว็บเซิร์ฟเวอร์ (Web Server) จดจ�าข้อมูลของผู้ใช้ที่เคยกรอกไว้เมื่อ
DO NOT COPY
ึ
ื
ึ
�
เข้าไปทาธุรกรรมซ้อขายบนเว็บไซต์ โดยเก็บลงในไฟล์ Cookie ซ่งผู้ใช้เป็นผู้ให้ข้อมูลด้วยตนเอง ซ่งข้อด ี
ก็คือท�าให้สะดวกเมื่อต้องการจะกรอกข้อมูลชุดเดิมซ�้าอีกครั้ง เว็บบราวเซอร์ (Web Browser) จะจดจ�า
ข้อมูลเดิมไว้และเรียกข้นได้สะดวกรวดเร็วข้น แต่ถ้าข้อมูลของเราเป็นความลับและมีผู้นาไปใช้ในทางท ่ ี
ึ
�
ึ
ผิด แอบอ้างท�าสิ่งที่ไม่ดี ก็จะกระทบกับตัวเราได้อย่างแน่นอน
ี
2. Worms หรือหนอนอินเทอร์เน็ต เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ท่ถูกออกแบบมาให้สามารถแพร่
กระจายตัวเองจากเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่งโดยอาศัยระบบเน็ตเวิร์ค (ผ่านสาย
ื
ึ
Cable) ซ่งการแพร่กระจายสามารถทาได้ด้วยตัวของมันเองอย่างรวดเร็วและรุนแรงกว่าไวรัส เม่อไรก็ตาม
�
ที่คุณสั่ง Share ไฟล์ข้อมูลผ่าน Network เมื่อนั้น Worms สามารถเดินไปกับสายสื่อสารได้ Worms จึง
มีความน่ากลัวมาก Worms ยังสามารถคัดลอกตัวเองเอาไว้ตามเส้นทางจราจรบนเครือข่าย ส่งผลให้การ
จราจรบนเครือข่ายมีความคับคั่งอย่างผิดปกติ จนท�าให้ระบบเครือข่ายล่มใช้การไม่ได้ในที่สุด
ี
3. Spyware เป็นโปรแกรมขนาดเล็กท่ติดมาจากการใช้งานอินเทอร์เน็ต โดยจะแอบลักลอบ
เข้าในเครื่องของผู้ใช้ แล้วจะคอยหลบซ่อน ตรวจจับพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ของเจ้าของเครื่อง ซึ่ง
อาจก่อให้ผู้ใช้เกิดความร�าคาญได้ เช่น จู่ๆ ก็มีการเปิดเว็บไซต์นี้ขึ้นมาทันที ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้เปิดเรียกใช้
งาน Spyware บางตัวก็ท�าให้เครื่องคอมพิวเตอร์ท�างานช้าลง
4. Phishing คือโปรแกรมที่เขียนขึ้นเพื่อการหลอกลวงผู้ใช้ให้เข้าใจผิดโดยการสร้างอีเมล์หรือ
หน้าเว็บไซต์ปลอมขึ้นมา ท�าให้ผู้ใช้งานเกิดความสับสนในการใช้งานหรือท�าธุรกรรมต่าง ๆ บนเว็บไซต์
ปลอมที่ถูกสร้างขึ้นนั้น ข้อมูลก็จะถูกดักและบันทึกไว้เพื่อใช้ในการปลอมแปลงและเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้
โดยที่ไม่ได้รับอนุญาต ที่เรียกว่า Phishing เนื่องจากเสียงพ้องกับค�าว่า Fishing ซึ่งแปลว่าการตกปลา
หรือการใช้เหย่อล่อให้ผู้ใช้งานหลงกลเข้ามาติดเบ็ด พบเห็นได้จากการได้รับอีเมล์ปลอมว่าถูกส่งมาจาก
ื
สถาบันการเงิน หรือธนาคารต่าง ๆ การสร้างเว็บไซต์เลียนแบบ Facebook เป็นต้น หรือเว็บไซต์เกม
ออนไลน์ปลอมเพื่อที่จะดัก Username และ Password หรือ e-Mail ของเหยื่อ จากนั้นก็เข้าไปขโมย
Code หรือ Item ต่าง ๆ ในเกม วิธีป้องกันตัวจาก Phishing ท�าได้ดังนี้
ื
1. เพ่มความระมัดระวัง สังเกต หรือจดจา URL เว็บไซต์อย่างละเอียด ถูกต้อง เน่องจากเว็บไซต์
ิ
�
หรืออีเมล์ที่ถูกเลียนแบบ หรือ Phishing จะมีลักษณะที่เหมือนกับของจริงจนแทบแยกไม่ออก
2. การท�าธุรกรรมที่เกี่ยวกับการเงินบนเว็บไซต์ ต้องตรวจสอบที่อยู่เว็บเป็น HTTPS หรือไม่
3. ตรวจสอบก่อนเปิดหรือคลิกลิงค์จากอีเมล์ที่น่าสงสัย เนื่องจากอาจจะเป็น URL ที่ส่งไปยัง
หน้าเว็บไซต์ปลอม หรือเป็นลิงค์ที่มีไวรัส หรือ Trojan ส�าหรับดักจับข้อมูลต่าง ๆ
244 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
ั
ี
่
้
ุ
ิ
ั
ิ
ิ
4. ตดตงโปรแกรม Anti Virus ทมีประสทธภาพ และอพเดทเป็นรุ่นล่าสดอยู่เสมอ จะช่วย
ป้องกันได้ในระดับหนึ่ง
10.6 การรักษาความปลอดภัยของข้อมูล
การรักษาความปลอดภัยข้อมูลท�าได้หลายวิธี พอสรุปได้ดังนี้ 3
�
1. การเข้ารหัส (Cryptography) คือ การทาให้ข้อมูลท่จะส่งผ่านไปทางเครือข่ายอยู่ใน
ี
�
ี
ั
รูปแบบท่ไม่สามารถอ่านออกได้ ด้วยการเข้ารหัส (Encryption) ทาให้ข้อมูลน้นเป็นความลับ ึ ี ่
มีสิทธิ์จริงเท่านั้นจะสามารถอ่านข้อมูลนั้นได้ด้วยการถอดรหัส (Decryption)
2. ลายมือชื่อดิจิทัล (Digital Signature) หรือเรียกอีกอย่างว่า ลายเซ็นดิจิทัล ใช้ในการระบุ
ื
ั
ตัวบุคคลเพ่อแสดงถึงเจตนาในการยอมรับเน้อหาในสัญญาน้น ๆ และป้องกันการปฏิเสธความรับผิดชอบ
ื
เพิ่มความน่าเชื่อถือในการท�าธุรกรรมร่วมกัน กระบวนการสร้างและลงลายมือชื่อดิจิทัล
�
1) นาเอาข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ต้นฉบับ (ในรูปแบบของ file) ท่จะส่งไปน้น มาผ่าน
ี
ั
กระบวนการทางคณิตศาสตร์ที่เรียกว่า ฟังก์ชันย่อยข้อมูล (Hash Function) เพื่อให้ได้ข้อมูลที่สั้น เช่น
เดียวกับการเข้ารหัสข้อมูลอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งข้อมูลจะอ่านไม่รู้เรื่อง จากนั้นก็น�าข้อมูลดังกล่าวมาท�าการเข้า
รหัส (Encryption) อีกที
�
2) จากน้นทาการ “เข้ารหัสด้วยกุญแจส่วนตัวของผู้ส่ง” เรียกข้นตอนน้ว่า “Digital
ั
ั
ี
Signature” DO NOT COPY ซ่งผู้ท
3) ส่ง Digital Signature ไปพร้อมกับข้อมูลต้นฉบับตามที่ระบุในข้อ 1 เมื่อผู้รับ ๆ ก็จะ
ั
ตรวจสอบว่าข้อมูลน้นถูกแก้ไขระหว่างทางหรือไม่ โดยนาข้อมูลต้นฉบับท่ได้รับ มาผ่านกระบวนการย่อย
ี
�
ด้วย ฟังก์ชันย่อยข้อมูล (Hash Function) จะได้ข้อมูลที่ย่อยแล้ว เช่นเดียวกับการคลายข้อมูลที่ถูกบีบ
อัดอยู่
4) น�า Digital Signature มาท�าการถอดรหัสด้วย “กุญแจสาธารณะของผู้ส่ง (Public Key)
ี
้
้
ู
้
้
ู
ู
้
่
่
ี
่
้
่
่
ี
้
่
ู
็
กจะไดขอมลทยอยแลวอกอนหนง จากนนเปรยบเทียบขอมลทยอยแลว ทอยในขอ 3 และขอ 4 ถาขอมล
้
้
้
ึ
ี
ั
ี
ั
่
เหมือนกันก็แสดงว่าข้อมูลไม่ได้ถูกแก้ไขระหว่างการส่ง
3. ใบรับรองดิจิทัล (Digital Certificate) การขออนุญาตใช้ใบรับรองดิจิทัล (Digital Certifi-
cate) ก็เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือในการท�าธุรกรรมร่วมกันบนเครือข่าย Internet ซึ่งหน่วยงานที่สามารถ
ออกใบรับรองดิจิทัล (Digital Certificate) นี้ได้จะเป็น “องค์กรกลาง” ที่มีชื่อเสียงเป็นที่น่าเชื่อถือ เรียก
องค์กรกลางนี้ว่า “Certification Authority: CA”
ั
�
�
Digital Certificate จะถูกนามาใช้สาหรับยืนยันในการทาธุรกรรมว่าเป็นบุคคลน้นจริงตาม
�
ที่ได้อ้างไว้ ซึ่งสามารถจ�าแนกประเภทของใบรับรองดิจิทัล ได้ 3 ประเภท ได้แก่ ใบรับรองเครื่องแม่ข่าย
(Server) ใบรับรองตัวบุคคล และใบรับรองส�าหรับองค์กรรับรองความถูกต้อง
3 โอภาส เอี่ยมสิริวงศ์. วิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ. (กรุงเทพฯ : ซีเอ็ดยูเคชั่น, 2557).
บทที่ 10 ภัยคุกคาม ความมั่นคงของระบบและจริยธรรมในสังคมออนไลน์ 245
4. Certification Authority (CA) CA คือ องค์กรรับรองความถูกต้อง ในการออกใบรับรอง
ดิจิทัล (Digital Certificate) ซึ่งมีการรับรองความถูกต้องส�าหรับบริการต่อไปนี้
1) การให้บริการเทคโนโลยีการรหัส ประกอบด้วย
- การสร้างกุญแจสาธารณะ
DO NOT COPY
- กุญแจลับส�าหรับผู้จดทะเบียน
- การส่งมอบกุญแจลับ การสร้างและการรับรองลายมือชื่อดิจิทัล
2) การให้บริการเกี่ยวกับการออกใบรับรอง ประกอบด้วย
- การออก การเก็บรักษา การยกเลิก การตีพิมพ์เผยแพร่ ใบรับรองดิจิทัล
- การก�าหนดนโยบายการออกและอนุมัติใบรับรอง
3) บริการเสริมอื่น เช่น การตรวจสอบสัญญาต่าง ๆ การท�าทะเบียน การกู้กุญแจ ส�าหรับ
ประเทศไทย ยังไม่มีองค์กร “CA” ซึ่งปัจจุบันหน่วยงานที่ต้องการความน่าเชื่อถือในการท�าธรรมบนเว็บ
จ�าเป็นต้องใช้บริการเทคโนโลยีดังที่กล่าวมาจากต่างชาติ แต่คงไม่นานคาดว่าหน่วยงานในภาครัฐอย่าง
ื
เช่น NECTEC (www.nectec.or.th) คงสามารถพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ ดังกล่าวเพ่อให้ใช้บริการภายใน
ประเทศได้
10.7 แนวทางการป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์
ี
่
คงไม่มวิธีการใดทมประสทธิภาพ และสมบรณ์แบบในการป้องกนไวรัสคอมพวเตอร์ แต่กมีอยู่
ี
ี
ิ
็
ั
ิ
ู
หลายแนวทางด้วยกันในการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสคอมพิวเตอร์ ซึ่งประกอบด้วย
ี
่
ี
ื
1. หลีกเล่ยงการใช้แผ่นดิสเกตต์จากแหล่งอนในการบูตเคร่อง แนวทางน้เป็นการป้องกันไวรัส
ื
ึ
ื
ี
ี
ชนิดท่ติดตามบูตเซกเตอร์ ซ่งการหลีกเล่ยงการบูตเคร่องด้วยแผ่นดิสก์หมายถึงจะไม่ใช้แผ่นดิสก์ท่สามารถ
ี
ี
ี
บูตเคร่องได้จากแหล่งอ่นท่ไร้แหล่งท่มา นอกจากแผ่นบูตของตัวเองเท่าน้นท่จัดเตรียมไว้ยามฉุกเฉินซ่ง
ึ
ื
ื
ั
ี
มั่นใจว่าไม่มีไวรัสคอมพิวเตอร์ อย่างไรก็ตาม หากจ�าเป็นต้องใช้งานแผ่นดิสก์จากแหล่งอื่น ก็ควรสแกน
ไวรัสก่อนใช้งาน
2. ป้องกันมาโครไวรัส เราสามารถป้องกันมาโครไวรัสได้ในระดับหนึ่งด้วยซอฟต์แวร์ เช่น ใน
ื
่
้
ิ
ี
ั
ั
ึ
ี
ั
้
ิ
่
โปรแกรม MS-Word จะมการตดตงระบบความปลอดภยดวยการเตอนมาโครไวรส ซงหากเอกสารทเปด
ใช้งานนั้นมีมาโครไวรัสอยู่ เครื่องก็จะร้องเตือน เพื่อยกเลิกหรือท�างานมาโครไวรัสดังกล่าว
ั
3. การใช้โปรแกรมป้องกันไวรัส เป็นการป้องกันการโจมตีไวรัสคอมพิวเตอร์ ด้วยการติดต้ง
โปรแกรมป้องกัน วิธีน้จะเป็นวิธีท่นิยม เน่องจากโปรแกรมป้องกันไวรัสในปัจจุบันค่อนข้างมีประสิทธิภาพ
ื
ี
ี
ั
สามารถตรวจสอบพบไวรัสคอมพิวเตอร์ท่ฝังตัวอยู่ในหน่วยความจาหรือบนส่อจัดเก็บข้อมูลต่าง ๆ อีกท้ง
�
ี
ื
ยังสามารถก�าจัดไวรัสเหล่านั้นออกไปได้อีก
แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากไวรัสคอมพิวเตอร์จะมีสายพันธุ์ใหม่ๆ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น
ควรมีการอัปเดตโปรแกรมไวรัสเวอร์ชั่นล่าสุดเพื่อจะได้สามารถป้องกันและจัดการกับไวรัสตัวใหม่ ๆ ได้
246 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
ั
ปัจจุบันโปรแกรมป้องกันไวรัส นอกจากจะจัดการกับไวรัสคอมพิวเตอร์ท่วไปได้แล้วยังสามารถตรวจสอบ
พบและป้องกันไวรัสประเภทเวิร์ม โทรจัน หรือสปายแวร์ได้ อีกทั้งหากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานอยู่มี
การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหากมีการดาวน์โหลดไฟล์หรือเปิดเมล โปรแกรมป้องกันไวรัสก็สามารถสแกน
ไฟล์เหล่านั้นได้ รวมถึงการป้องกันการโจมตีด้วยโปรแกรมไฟล์วอลล์ เป็นต้น
DO NOT COPY
4. ไม่เปิดไฟล์เอกสารที่มีไวรัสอยู่ หากไฟล์เอกสารหรือข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้รับจากอีเมล์มีไวรัส
�
คอมพิวเตอร์ โดยเคร่องมีการร้องเตือนว่าโปรแกรมดังกล่าวมีไวรัส ก็ควรกาจัดไวรัสเหล่าน้นออกไป และ
ื
ั
ไม่ควรเปิดไฟล์เอกสารเหล่านั้น
5. ตรวจสอบแผ่นดิสก์ หรือแฟลชไดร์ก่อนใช้งานเสมอ ก่อนการใช้งานแผ่นดิสก์ หรือแฟลช
ไดร์ที่มาจากแหล่งอื่น ๆ ก็ควรท�าการสแกนไวรัสก่อนที่จะน�ามาใช้งาน
6. ป้องกันการบันทึกข้อมูลด้วยการ Write Protect ในกรณีมีการจัดเก็บข้อมูลลงในดิสก์ เช่น
แผ่นกู้ข้อมูล แผ่นบูต ควรป้องกันการบันทึกข้อมูลด้วยการ Write Protect แผ่นดิสก์นั้นด้วย
�
�
7. สารองข้อมูลอย่างสมาเสมอ ควรสารองข้อมูลให้เป็นกิจนิสัย เพราะหากข้อมูลเกิดความเสีย
่
�
ี
�
�
หายไม่ว่าจากสาเหตุใดก็ตาม ก็ยังมีข้อมูลสารองท่สามารถนามาใช้งานได้ การสารองข้อมูลอาจมีการ
�
ส�ารองทุกวัน ทุกสัปดาห์ และควรสแกนไวรัสคอมพิวเตอร์ด้วยโปรแกรมก่อนการส�ารองข้อมูล ทั้งนี้เพื่อ
ความมั่นใจถึงข้อมูลส�ารองที่ปราศจากไวรัสคอมพิวเตอร์
10.8 ความมั่นคงของระบบ
1. การส�ารองไฟฟ้า
ึ
ั
�
�
ปัจจุบันมีการนาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มาใช้กับชีวิตประจาวันมากข้น ท้งภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม
แม้กระทั่งตามบ้านพักอาศัย และผลกระทบจากปัญหาทางไฟฟ้าอาจส่งผลต่อความเสียหายในอุปกรณ์
อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ และรวมถึงคอมพิวเตอร์
เครื่องส�ารองไฟฟ้าหรือมักเรียกกันว่า UPS เป็นอุปกรณ์ที่จ�าเป็นต่อการใช้งานชนิดหนึ่ง โดยมี
บทบาทส�าคัญในการป้องกันความเสียหายอันเกิดจากความผิดปกติของกระแสไฟฟ้า UPS สามารถจ่าย
ี
พลังงานไฟฟ้าสารองให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าในกรณีท่เกิดไฟฟ้าดับ เน่องจากภายในจะมีแบตเตอร์ร่เก็บความ
ื
ี
�
จุไฟฟ้าส�ารองเพื่อไวใช้งานกรณีฉุกเฉิน
ในความเป็นจริง UPS นั้นมีความสามารถอื่น ๆ อีก โดยนอกจากท�าหน้าที่เป็นอุปกรณ์ส�ารอง
ไฟฟ้าแล้ว ยังสามารถป้องกันปัญหาไฟตก ไฟเกิน ไฟกระซาก และสัญญาณรบกวนต่าง ๆ ได้ ซึ่งสิ่งเหล่า
น้อาจส่งผลต่อความเสียหายของอุปกรณ์ไฟฟ้าและความผิดพลาดในการประมวลผลข้อมูลโดยตัวอย่าง
ี
ของปัญหาทางไฟฟ้า เช่น
ี
ไฟดับ คือกระแสไฟฟ้าท่หยุดการทางาน ซ่งเกิดข้นด้วยสาเหตุจากไฟฟ้าลัดวงจร ฟ้าผ่า เสาไฟฟ้า
ึ
ึ
�
ล้ม และรวมถึงการใช้พลังงานไฟฟ้ามากเกิน จึงท�าให้ไม่สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าต่อไปได้
บทที่ 10 ภัยคุกคาม ความมั่นคงของระบบและจริยธรรมในสังคมออนไลน์ 247
ไฟตก เกิดจากแรงดันไฟฟ้าลดต�่าลงชั่วขณะหนึ่ง ส่งผลให้อุปกรณ์ไฟฟ้าบางชนิดติดๆ ดับๆ
ท�าให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ภายในมีอายุการใช้งานที่สั้นลง
ั
ึ
ึ
ึ
ี
ไฟเกิน เกิดจากแรงดันไฟฟ้าสูงข้นช่วขณะหน่ง โดยมักจะเกิดข้นจากอุปกรณ์ไฟฟ้าท่ใช้พลังงาน
ขึ้นมาก เช่น เตารีต เครื่องปรับอากาศ จอภาพ CRT ซึ่งส่งผลให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ภายในมีอายุการ
DO NOT COPY
ใช้งานที่สั้นลงเช่นกัน
ึ
ึ
ไฟกระซาก เกิดจากแรงดันไฟฟ้าสูงข้นอย่างกระทันหันในช่วงเวลาส้นๆ ซ่งอาจเกิดข้นด้วย
ั
ึ
สาเหตุฟ้าผ่า เหตุการณ์น้จะส่งผลกระทบต่ออุปกรณ์ไฟฟ้าเป้นอย่างมาก เช่น ในขณะท่มีการใช้งาน
ี
ี
คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตอยู่ แล้วเกิดฝนตกหนักกับฟ้าผ่า เหตุการณ์น้อาจส่งผลต่อคอมพิวเตอร์
ี
ี
และโมเด็มท่ใช้งานอยู่เสียหายได้ สัญญาณรบกวน เกิดจากการรบกวนของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า และคล่น
ื
ความถี่วิทยุในสายส่งซึ่งอาจส่งผลเสียต่อข้อมูลได้
อย่างไรก็ตาม UPS ก็มีหลายชนิดด้วยกัน โดยสามารถแยกชนิดตามคุณภาพดังรายละเอียดต่อ
ไปนี้
1. UPS ที่ท�าหน้าที่ส�ารองไฟฟ้าอย่างเดียว (Off-Line UPS)
จัดเป็น UPS ที่มีคุณภาพต�่าที่สุด จะป้องกันเฉพาะปัญหากรณีไฟฟ้าดับเพียงอย่างเดียว มีราคา
ถูกไม่เหมาะส�าหรับน�ามาใช้งานในพื้นที่ที่มีปัญหาเกี่ยวกับแรงดันไฟฟ้าไม่คงที่
2. UPS ที่มีคุณสมบัติในการป้องกันแรงดันทางไฟฟ้า (On-Line Protection UPS)
เป็น UPS ที่มีการผนวกระบบป้องกันแรงดันทางไฟฟ้า ซึ่งอาจเป็นไปได้ทั้งแรงดันไฟฟ้าสูงและ
แรงดันไฟฟ้าต�่า โดยจะมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า สตาบิไลเซอร์ (Stabilizer) ที่สามารถป้องกันแรงดันไฟฟ้าได้
้
�
ั
ื
ั
�
ในระดบหนง เหมาะสมกบการนามาใชงานตามสานกงานหรอบ้านทวไป มราคาไมแพง และจัดเป็น UPS
่
ึ
่
่
ั
ี
ั
ี
ี
ี
ท่มีกลุ่มผู้ใช้งานมากท่สุด แต่อย่างไรก็ตาม UPS ประเภทน้ไม่เหมาะกับอุปกรณ์ไฟฟ้าท่มีความไวต่อ
ี
คุณภาพกระแสไฟฟ้ามาก ๆ เช่น เครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรม หรือเครื่องมือแพทย์
3. UPS ประสิทธิภาพสูง (True On-Line UPS)
เป็น UPS ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดมีระบบป้องกันปัญหาทางไฟฟ้าอย่างครบถ้วน มีระบบส�ารอง
ไฟฟ้าที่ยาวนาน และมีระบบจ่ายกระแสไฟฟ้าเพื่อให้กระแสไฟฟ้ามีคุณภาพ ปราศจากสัญญาณรบกวน
ี
UPS ประเภทน้เหมาะกับอุปกรณ์ไฟฟ้าท่มีความไวต่อคุณภาพกระแสไฟฟ้ามาก ๆ เช่น ธุรกิจอุตสาหกรรม
ี
ท่มีเคร่องจักรท่จาเป็นต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ รวมถึงเคร่องมือการแพทย์ โดยราคาของ
�
ี
ี
ื
ื
UPS ชนิดนี้จะมีราคาค่อนข้างสูง
4. การยศาสตร์ (Ergonomics)
สืบเนื่องจากคอมพิวเตอร์มีการใช้งานอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเด็ก วัยรุ่น หรือ
ผู้ใหญ่แต่เป็นที่น่าแปลกที่หลายคนใช้งานคอมพิวเตอร์ไม่ถูกวิธี ดังนั้นจึงสมควรอย่างยิ่งกับการสังเกตว่า
ตนใช้งานคอมพิวเตอร์อย่างถูกลักษณะหรือไม่
248 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
การยศาสตร์ หรือ Ergonomics เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยการปรับแต่งสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม
กับร่างกายของมนุษย์เราในการใช้งานเครื่องกลต่าง ๆ ครั้นเมื่อน�ามาปรับใช้กับคอมพิวเตอร์ จึงหมายถึง
ื
ั
การใช้งานคอมพิวเตอร์อย่างถูกลักษณะน่นเอง เน่องจากการใช้งานคอมพิวเตอร์ในระยะเวลานาน ๆ
อาจส่งผลกระทบต่ออาการทางร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บปวดตามอวัยวะต่าง ๆ เช่น อาการปวด
DO NOT COPY
้
�
ิ
ตา นาตาไหลเม่อใช้คอมพิวเตอร์นาน ๆ อาการปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดข้อมือ และปวดตามน้วมือ เป็นต้น
ื
ดังนั้น การเอาใจใส่ต่อสภาพแวดล้อมการท�างานให้ถูกลักษณะ จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจและไม่ควรมองข้าม
ส�าหรับแนวทางการใช้งานคอมพิวเตอร์อย่างถูกลักษณะ สามารถพิจารณาจากตัวอย่างต่อไปนี้
ี
1) โต๊ะวางคอมพิวเตอร์ ควรเลือกโต๊ะคอมพิวเตอร์ท่ออกแบบมาเพ่อใช้งานกับ
ื
๊
ิ
่
คอมพิวเตอร์โดยเฉพาะน่าจะเป็นทางเลือกท่ดกวาโตะเขียนหนงสอทวไป เน่องจากโต๊ะคอมพวเตอร์จะม ี
ี
ี
ื
ั
่
ั
ื
ถาดเลื่อนเข้าออกที่ใช้ส�าหรับวางคีย์บอร์ด ส่วนขนาดของโต๊ะก็ควรเลือกใช้งานตามความเหมาะสม เช่น
หากจ�าเป็นต้องใช้วางอุปกรณ์อื่น ๆ อีก เช่น เครื่องพิมพ์ ก็ควรเลือกโต๊ะคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดกว้างขึ้น
หรือในกรณีที่มีพื้นที่น้อย ก็อาจเลือกโต๊ะคอมพิวเตอร์ที่ออกแบบมาพิเศษที่มีลักษณะเป็นชั้น ๆ ส�าหรับ
วางเครื่อง จอภาพ เครื่องพิมพ์ ซึ่งท�าให้ประหยัดเนื้อที่ลงได้มาก
2) เก้าอี้ ควรเลือกเก้าอี้ที่มีพนักพิงหลัง เก้าอี้ควรสามารถปรับระดับสูงต�่าได้ เพราะผู้ที่
ใช้งานคอมพิวเตอร์จะมีลักษณะทางกายภาพที่แตกต่างกัน เช่น ตัวสูง ตัวเตี้ย เด็ก ผู้ใหญ่ โดยเด็กหรือ
ี
�
ี
ั
ื
ี
ผู้ท่ค่อนข้างเต้ยไม่ควรปล่อยให้เท้าลอยห่างจากพ้น ให้หาท่วางเท้ามาเสริม สาหรับขาต้งเก้าอ้ควรมีอย่าง
ี
น้อย 5 ขาเพื่อให้ระบบการรองรับน�้าหนักมีความมั่นคง มีล้อเลื่อนที่สามารถเลื่อนเก้าอี้ไปมาได้ ส�าหรับ
ท่านั่งที่ถูกต้องนั้น ไม่ใช่นั่งหลังตรง 90 องศาอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่ควรนั่งพิงไปข้างหลังมากกว่า 90
องศาเล็กน้อย
ิ
ิ
3) คย์บอร์ด การใช้งานคย์บอร์ดอย่างผดวธ อาจทาให้เกดอาการปวดไหล่ รวมถงการ
ี
ึ
ิ
�
ี
ี
ปวดข้อมือเรื้อรังได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีนิ้วมือที่ค่อนข้างอ้วนหรือผู้ที่มีไหล่กว้าง อาจท�าให้การพิมพ์และการ
ิ
ี
วางตาแหน่งน้วมือไม่ค่อยสะดวกสบายนัก ดังน้นในปัจจุบันจึงมีคีย์บอร์ดท่ออกแบบตามหลักการยศาสตร์
�
ั
โดยมีการแยกส่วนของคีย์บอร์ดออกเป็นซ้ายขวา
การใช้งานคีย์บอร์ดอย่างถูกวิธี ควรวางน�้าหนักบนแป้นพิมพ์ตามปกติ ไม่ควรใช้นิ้วกด
กระแทกแป้นพิมพ์ด้วยอารมณ์พาไป เช่น กระแทกแป้นคีย์ด้วยความสะใจในขณะเล่นเกม หรือด้วย
อารมณ์ฉุนเฉียว จะท�าให้ปวดข้อนิ้วมือได้
ี
ึ
4) เมาส์ อาการเจ็บปวดท่เกิดข้นจากการใช้เมาส์ผิดวิธี ส่วนใหญ่เกิดข้นจากการเกร็ง
ึ
�
้
ั
ิ
อวัยวะส่วนน้นซาแล้วซาเล่า ดังน้นการใช้เมาส์จึงไม่ควรเกร็งข้อมือและน้วมากจนเกินไปให้ปล่อยไปตาม
�
้
ั
สบาย
5) จอภาพ จอภาพคอมพิวเตอร์ควรวางต�าแหน่งตรงกลางระหว่างระดับสายตาของผู้ใช้
งาน มิใช่วางเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง ส่วนระดับสายตา กับจอภาพนั้น จอภาพอยู่ต�่ากว่าระดับสายตาเล็ก
บทที่ 10 ภัยคุกคาม ความมั่นคงของระบบและจริยธรรมในสังคมออนไลน์ 249
น้อย (ประมาณ 20 องศา) และถึงแม้เทคโนโลยีจอภาพซีอาร์ทีในปัจจุบันได้พัฒนาขึ้นมาก ส่งผลให้การ
ื
�
ั
ใช้งานกระทบต่อระบบสายตาค่อนข้างน้อยก็ตาม แต่ในบางคร้งผู้ใช้อาจจาเป็นต้องใช้แผ่นกรองแสงเพ่อ
ให้ภาพแสดงผลดูนุ่มนวลขึ้นก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ แต่หากใช้จอภาพแบบแอลซีดีแผ่นกรองแสง
ดังกล่าวก็ไม่ใช่สิ่งจ�าเป็น นอกจากนี้ควรปรับแสงสว่างของจอภาพในระดับพอดีกับแสงสว่างภายในห้อง
DO NOT COPY
ื
ี
ี
ี
�
ี
เพ่อท่จะได้ภาพท่คมชัดไม่ต้องเพ่ง และควรหลีกเล่ยงการวางจอภาพในตาแหน่งท่มีแสงสะท้อนมาจาก
ื
�
ึ
ื
หน้าต่าง ซ่งอาจทาให้การมองเลวลง เน่องจากมีแสงสะท้อน สาหรับแนวทางแก้ไขก็คือการใช้ผ้าผ่านเพ่อ
�
บังแสงดังกล่าว
6) ท่านั่ง ท่านั่งที่ถูกต้องควรนั่งในลักษณะตัวตรง และพิงไปด้านหลังเล็กน้อย ต�าแหน่ง
ของข้อศอกควรอยู่ระดับ 90 องศา โดยที่แขนเมื่อวางบนคีย์บอร์ดหรือใช้งานเมาส์อยู่ในขณะนั้น จะต้อง
ขนานกับพื้น
10.9 จริยธรรมในสังคมออนไลน์
1. มีจรรยาบรรณการใช้สังคมออนไลน์
สังคมออนไลน์เป็นโลกเสมือนจริง(Virtual World) พื้นที่ไซเบอร์ (Cyberspace) มีธรรมชาติที่
แตกต่างจากโลกจริง เพราะโลกออนไลน์มีลักษณะดังนี้
1. ความไร้พรมแดนและไร้รัฐของพื้นที่ไซเบอร์
2. การสื่อสารบนพื้นที่ไซเบอร์ สามารถกล่าวได้ว่าเป็นพื้นที่ที่จินตนาการของมนุษย์ ได้เชื่อมต่อ
กับโลกที่เป็นจริง
3. บนพื้นที่ไซเบอร์เป็นที่ ๆ บทบาทของปัจเจก องค์กรและสังคม สามารถท�าหน้าที่บางเรื่องได้
อย่างใกล้เคียงกันมาก
การท่เทคโนโลยีสารสนเทศได้มีการใช้เสรีภาพ ไปเป็นช่องทางในการกระทาการในเร่องที่ผิดศีล
ี
�
ื
ิ
่
ี
ั
ั
�
ธรรมจรรยา ไปจนกระท่งกระทาผดกฎหมายบ้านเมือง ดังน้นการพยายามหาหลักเกณฑ์ทเหมาะสมและ
ปฏิบัติได้จึงเป็นภาระของผู้ที่เกี่ยวข้องในทุกส่วนจะต้องพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเกิดการบูรณาการขึ้น
เป็นเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Internet) เป็นโลกเสมือนจริง (Virtual World) และพื้นที่ไซเบอร์ (Cyber-
space) ได้เกิดผลประโยชน์ต่อมนุษย์อย่างมากมายมหาศาล ดังกล่าวก็ได้ส่งผลกระทบต่อสังคมและองค์กร
อยางมากมายเชนเดียวกันโดยเฉพาะ ผลกระทบดานลบ เชนการลอลวง การกออาชญากรรม การใหราย
่
้
้
้
่
่
่
่
การขโมยข้อมูลและรหัสลับ การค้าประเวณีและการค้ายาเสพติดทางอินเทอร์เน็ต การเผยแพร่ภาพท ี ่
ไม่เหมาะสมของบุคคลอื่น ตลอดจนการสื่อสารเพื่อการก่อการร้าย เป็นต้น ดังนั้นเพื่อที่จะลดความเสีย
ื
ี
หายจากผลกระทบทางลบเหล่าน้ให้บรรเทาเบาบางลง นอกจากมาตรการอ่น ๆ แล้ว การส่งเสริมคุณธรรม
และจริยธรรมในหมู่ผู้ใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตเจ้าของ เว็บไซต์ ผู้ประกอบอาชีพบนพื้นที่ไซเบอร์ และผู้
ด�าเนินกิจกรรมในโลกเสมือนจริง จึงเป็นเรื่องจ�าเป็นและมีความส�าคัญเป็นอย่างยิ่ง
250 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
คุณธรรมและจริยธรรมในโลกออนไลน์ จึงหมายถึง หลักศีลธรรมจรรยาที่ก�าหนดขึ้นเพื่อใช้เป็น
�
ิ
แนวทางปฏิบัติ หรือควบคุมการใช้ระบบคอมพิวเตอร์และสารสนเทศ การระบุว่าการกระทาส่งใดผิด
ิ
ั
ี
่
้
ึ
้
ั
ั
ั
ู
ิ
ั
จรยธรรมนนขนอย่กบวฒนธรรมของสงคมในแต่ละประเทศด้วยเช่นการทเจ้าของบรษทใช้กล้องในการ
ี
�
�
ี
ตรวจจับหรือเฝ้าดูการทางานของพนักงานการกระทาท่ยอมรับกันโดยท่วไปว่าเป็นการกระทาท่ผิด
ั
�
DO NOT COPY
จริยธรรม เช่นการใช้คอมพิวเตอร์ท�าร้ายผู้อื่นให้เกิดความเสียหายหรือก่อความร�าคาญ
ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศมีทั้งทางบวกและทางลบ ทางบวกท�าให้มนุษย์มีความเป็น
อยู่ดีช่วยส่งเสริมให้มี ประสิทธิภาพในการท�างาน ท�าให้เกิดการผลิตในอุตสาหกรรม ส่งเสริมให้เกิดการ
ค้นคว้าวิจัยสิ่งใหม่ ส่งเสริมสุขภาพและ ความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น ทางลบอาจท�าให้เกิดอาชญากรรม ท�าให้
ความสัมพันธ์ของมนุษย์เส่อม ทาให้เกิดการเส่ยงภัยด้านธุรกิจ ธุรกิจในปัจจุบันจาเป็นต้องพ่งพาอาศัย
ึ
ี
�
ื
�
�
ึ
�
เทคโนโลยีสารสนเทศมากข้น หากข้อมูลเกิดการสูญหาย ย่อมทาให้เกิดผลกระทบต่อธุรกิจโดยตรง การนา
็
ั
ึ
่
ึ
่
ู
ิ
้
ิ
์
ู
้
้
คอมพิวเตอรมาใชในทางใดจงขนอยกบผใช จรยธรรมการใชคอมพวเตอรจงเปนเรองสาคัญทจะตองปลก
้
้
ู
์
ี
ื
�
้
ึ
่
ฝังให้กับผู้ใช้คอมพิวเตอร์ เพื่อให้รู้จักการใช้งานที่เหมาะสม ในเรื่องการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศก็จ�าเป็น
ต้องปลูกฝังเช่นเดียวกัน เพื่อให้ผู้ใช้น�าไปใช้งานที่เป็นประโยชน์เชิงสร้างสรรค์หรือทางบวก
ึ
ปัจจุบันมีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตเป็นจานวนมากซ่งก่อให้เกิดปัญหาต่อส่วนรวม แต่ละเครือข่ายจึง
�
ได้ออกกฎเกณฑ์การใช้งานภายในเครือข่าย เพื่อให้สมาชิกในเครือข่ายของตนยึดถือและปฏิบัติตาม กฎ
เกณฑ์เหล่านี้จะช่วยให้สมาชิกโดยส่วนรวมได้รับประโยชน์สูงสุด และป้องกันปัญหาท่เกิดจากผู้ใช้บางคน
ี
ได้ ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจะต้องมีความรับผิดชอบต่อตนเองและผู้ร่วมใช้บริการคนอื่น และจะต้องรับผิดชอบ
�
ี
ี
ต่อการกระทาของตนเองท่เข้าไปขอใช้บริการต่าง ๆ บนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ บัญญัติ 10 ข้อท่ผู้ใช้
เทคโนโลยีควรปฏิบัติตาม
1. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ท�าร้าย หรือละเมิดผู้อื่น
2. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ในการรบกวนการท�างานของผู้อื่น
3. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ในการเข้าถึงข้อมูล หรือคอมพิวเตอร์ของบุคคลอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต
4. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการโจรกรรมข้อมูลข่าวสาร
5. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์สร้างหลักฐานที่เป็นเท็จ
6. ไม่คัดลอกโปรแกรมผู้อื่นที่มีลิขสิทธิ์
7. ไม่ละเมิดการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์โดยที่ตนเองไม่มีสิทธิ์
8. ไม่น�าเอาผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ก่อความเสียหายหรือความร�าคาญแก่ผู้อื่น
10. ค�านึงถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับสังคมอันติดตามมาจากการกระท�า
ิ
่
้
ื
ึ
ิ
์
ิ
เมอพจารณาถงคณธรรมจรยธรรมเกยวกับการใช้เทคโนโลยคอมพวเตอรและสารสนเทศแลว จะ
่
ุ
ี
ี
กล่าวถึงใน 4 ประเด็น
บทที่ 10 ภัยคุกคาม ความมั่นคงของระบบและจริยธรรมในสังคมออนไลน์ 251
ิ
ิ
ิ
ี
ิ
�
ึ
่
ู
Information Privacy ความเป็นส่วนตัว หมายถง สทธทจะอย่ตามลาพัง และเป็นสทธท ี ่
เจ้าของสามารถที่จะควบคุมข้อมูลของตนเองในการเปิดเผยให้กับผู้อื่น
ื
Information Accuracy ความถูกต้อง หมายถึง ในการใช้คอมพิวเตอร์เพ่อการรวบรวม
จัดเก็บ และเรียกใช้ข้อมูลนั้น คุณลักษณะที่ส�าคัญประการหนึ่ง คือ ความน่าเชื่อถือได้ของข้อมูล ทั้งนี้ จะ
DO NOT COPY
ขึ้นอยู่กับความถูกต้องในการบันทึกข้อมูลด้วย
Information Property สิทธิความเป็นเจ้าของ หมายถึง กรรมสิทธิ์ในการถือครองทรัพย์สิน
ซึ่งอาจเป็นทรัพย์สินทั่วไปที่จับต้องได้
Data Accessibility การกาหนดสิทธิตามระดับของผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์และเครือข่ายร่วมกัน
�
ให้เป็นระเบียบ หากผู้ใช้ร่วมใจกันปฏิบัติตามระเบียบและข้อบังคับของแต่ละหน่วยงานอย่างเคร่งครัด
แล้ว การผิดจริยธรรมก็คงจะไม่เกิดขึ้น
2. ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560
พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระท�าความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 (ฉบับที่ 2) มีสาระ
4
ส�าคัญที่พึงระวัง ดังนี้
1. การฝากร้านใน Facebook, IG ถือเป็นสแปม ปรับ 200,000 บาท
ั
2. ส่ง SMS โฆษณา โดยไม่รับความยินยอม ให้ผู้รับสามารถปฏิเสธข้อมูลนั้นได้ ไม่เช่นน้นถือเป็น
สแปม ปรับ 200,000 บาท
3. ส่ง Email ขายของ ถือเป็นสแปม ปรับ 200,000 บาท
4. กด Like ได้ไม่ผิด ยกเว้นการกดไลค์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับสถาบัน เสี่ยงเข้าข่ายความผิดมาตรา
112 หรือมีความผิดร่วม
5. กด Share ถือเป็นการเผยแพร่ หากข้อมูลที่แชร์มีผลกระทบต่อผู้อื่น อาจเข้าข่ายความผิด
โดยเฉพาะที่กระทบต่อบุคคลที่ 3
ิ
�
6. พบข้อมูลผิดกฎหมายอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ของเรา แต่ไม่ใช่ส่งท่เจ้าของคอมพิวเตอร์กระทา
ี
เอง สามารถแจ้งไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบได้ หากแจ้งแล้วลบข้อมูลออกเจ้าของก็จะไม่มีความผิดตาม
กฎหมาย เช่น ความเห็นในเว็บไซต์ต่าง ๆ รวมไปถึงเฟซบุ๊ก ที่ให้แสดงความคิดเห็น หากพบว่าการแสดง
ี
็
ั
ื
ี
ิ
่
ี
ื
ความเห็นผดกฎหมาย เมอแจ้งไปท่หน่วยงานท่รับผดชอบเพอลบได้ทนท เจ้าของระบบเวบไซต์จะไม่ม ี
่
ิ
ความผิด
7. สาหรับ แอดมินเพจ ท่เปิดให้มีการแสดงความเห็น เม่อพบข้อความท่ผิด เม่อลบออกจากพ้นท ่ ี
ื
ื
�
ี
ื
ี
ที่ตนดูแลแล้ว จะถือเป็นผู้พ้นผิด
8. ไม่โพสต์สิ่งลามกอนาจาร ที่ท�าให้เกิดการเผยแพร่สู่ประชาชนได้
4 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระท�าความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560. ราชกิจจานุเบกษา.
เล่มที่ 134 ตอนที่ 10 ก หน้า 24. (24 มกราคม 2560)
252 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
ื
ี
9. การโพสเก่ยวกับเด็ก เยาวชน ต้องปิดบังใบหน้า ยกเว้นเม่อเป็นการเชิดชู ช่นชม อย่างให้
ื
เกียรติ
ิ
ี
ื
ื
ี
�
10. การให้ข้อมูลเก่ยวกับผู้เสียชวิต ต้องไม่ทาให้เกิดความเส่อมเสียเช่อเสียง หรือถูกดูหม่น
เกลียดชัง ญาติสามารถฟ้องร้องได้ตามกฎหมาย
DO NOT COPY
11. การโพสต์ด่าว่าผู้อื่น มีกฎหมายอาญาอยู่แล้ว ไม่มีข้อมูลจริง หรือถูกตัดต่อ ผู้ถูกกล่าวหา
เอาผิดผู้โพสต์ได้ และมีโทษจ�าคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท
12. ไม่ท�าการละเมิดลิขสิทธิ์ผู้ใด ไม่ว่าข้อความ เพลง รูปภาพ หรือวิดีโอ
ื
13. ส่งรูปภาพแชร์ของผู้อ่น เช่น สวัสดี อวยพร ไม่ผิด ถ้าไม่เอาภาพไปใช้ในเชิงพาณิชย์ หารายได้
สรุปท้ายบท
ภัยคุกคามต่อระบบคอมพิวเตอร์มีหลายรูปแบบ หลายระดับความรุนแรง หลายระดับความเสีย
หา ภัยคุกคามดังกล่าวเกิดจากน�้ามือมนุษย์ เช่น การโจรกรรมทางคอมพิวเตอร์ อาชญากรคอมพิวเตอร์
ี
ระบบไฟฟ้า และวิธีการใช้งานท่ไม่ถูกต้อง ท้งท่เป็นภัยด้าน Hardware และ Software และภัยธรรมชาต ิ
ี
ั
เช่น การถูกพายุถล่ม ในขณะเดียวกันก็มีภัยจากไวรัส ซ่งเป็นอันตรายต่อโปรแกรมและข้อมูลในเคร่อง
ื
ึ
ปัจจุบันการใช้อินเทอร์เน็ตสะดวกสบายยิ่งขึ้น ทั้งผ่านคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ และคอมพิวเตอร์มือถือ ที่
ี
ั
อยู่ใกล้ตัวเรา ทุกคร้งท่เราเปิดมือถือ ต่ออินเทอร์เน็ต ก็นับได้ว่าเราไม่ได้อยู่คนในเดียวในโลกออนไลน์ เรา
ั
็
อาจถกโจมตีในรปแบบต่างๆ ได้ และขณะเดียวกนถาเราไมมีจรยธรรมในการใช้งาน กอาจเป็นภยคกคาม
ุ
ู
่
้
ั
ิ
ู
ต่อผู้อื่นได้เช่นกัน การใช้งานระบบอย่างสร้างสรรค์ การรักษาความปลอดภัยของข้อมูล การรู้จักป้องกัน
ตัว และการมีคุณธรรมและจริยธรรมในสังคมออนไลน์จึงเป็นสิ่งส�าคัญและจ�าเป็นที่สุด
บทที่ 10 ภัยคุกคาม ความมั่นคงของระบบและจริยธรรมในสังคมออนไลน์ 253
ค�าถามท้ายบท
ตอนที่ 1 ค�าชี้แจง : ข้อสอบอัตนัย มีทั้งหมด 10 ข้อ ให้นิสิตท�าทั้งหมด
1. จงยกตัวอย่างของอาชญากรรมคอมพิวเตอร์มาอย่างน้อย 1 ตัวอย่างพร้อมทั้งหาวิธีป้องกันและ
DO NOT COPY
แก้ไข โดยอธิบายประกอบ
2. ไวรัสคอมพิวเตอร์คืออะไร และชนิดของไวรัสคอมพิวเตอร์มีประเภทใดบ้าง
3. การหลอกลวงเหยื่อแบบ Phishing มีลักษณะอย่างไร จงอธิบาย
ี
4. BSA จัดต้งข้นมาเพ่อวัตถุประสงค์ใด และเก่ยวข้องกับอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ด้านใดมากท่สุด
ื
ั
ี
ึ
จงอธิบาย
5. ข้อปฏิบัติที่ควรต้องท�าในการป้องกันไวรัส มีอะไรบ้าง จงยกตัวอย่างมาอย่างน้อย 5 ประการ
6. การส�ารองข้อมูลคืออะไร สามารถน�ามาใช้ประโยชน์ได้อย่างไร จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่าง
7. การป้องกันการท�าซ�้าหรือละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ ควรท�าอย่างไรบ้าง จงอธิบาย
8. แฮกเกอร์และแครกเกอร์ มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง จงอธิบายพร้อมตัวอย่างประกอบ
�
�
ี
9. ท่านคิดว่ากรณีท่มีการนาภาพลับเฉพาะของดาราและนาไปเผยแพร่บนเว็บไซท์น้น ผู้กระทาขาด
�
ั
จริยธรรมในด้านใด จงอธิบายพร้อมทั้งให้เหตุผลประกอบ
10. นโยบายป้องกันความปลอดภัยในข้อมูล ประกอบด้วยอะไรบ้าง จงอธิบาย
ตอนที่ 2 ค�าชี้แจง : ค�าถามปรนัย มีทั้งหมด 10 ข้อ ให้ท�าเครื่องหมาย x ทับข้อ ก ข ค
หรือ ง ที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว
1. กฎหมายไม่อาจปรับตามเทคโนโลยีได้ทัน หากจะควบคุมการใช้งานคอมพิวเตอร์ต้องอาศัยจิตส�านึก
รู้ผิดชอบชั่วดีของผู้ใช้ เรียกสิ่งนี้ว่า
ก. ความมั่นคง ข. จริยธรรม
ค. กฎหมาย ง. ความปลอดภัย
2. โค้ด HTML ที่แอบซ่อนไปกับอีเมล์เรียกว่าอะไร
ก. Virus ข. Worm
ค. Denial-of-service attack ง. Organized crime
�
3. โปรแกรมท่ทาให้ระบบคอมพิวเตอร์ท�างานช้าลงหรือหยุดไป โดยการส่งข้อความร้องขอให้ทางาน
�
ี
หลายอย่าง เรียกว่าอะไร
ก. Virus ข. Worm
ค. Deniel-of-service attack ง. Trojan horse
บทที่ 11
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
DO NOT COPY
วัตถุประสงค์ประจ�าบท
เมื่อได้ศึกษาเนื้อหาในบทนี้แล้ว นิสิตมีความรู้ความเข้าใจและสามารถ
1. ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้
2. ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา
3. ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการด�าเนินชีวิต
4. ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาชุมชน สังคม
5. ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเผยแพร่พระพุทธศาสนา
ขอบข่ายเนื้อหาประจ�าบท
• ความน�า
• ความส�าคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศและการประยุกต์ใช้
• การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้
• การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา
• การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการด�าเนินชีวิต
• การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเผยแพร่พระพุทธศาสนา
258 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
11.1 ความน�า
ื
ื
เทคโนโลยีสารสนเทศ รูปแบบการส่อสาร รูปแบบของข้อมูลสารสนเทศในปัจจุบันผ่านส่อต่างๆ
ี
ื
มีความก้าวหน้า มีความทันสมัย และมีการพัฒนาอย่างต่อเน่องและมีการเปล่ยนแปลงรูปแบบการส่อสาร
ื
มีการพัฒนาให้เป็นการสื่อสารแบบสองทาง ส่งผลให้การกระจายข้อมูลข่าวสารเป็นไปอย่างรวดเร็วและ
DO NOT COPY
ี
ี
ี
้
ี
�
ี
ั
มประสิทธภาพ ทงน้ได้มการนาเทคโนโลยสารสนเทศมาใช้ในหลายสาขาวชาชพ ทงในด้านการเรยนรู้
ี
ิ
ั
ิ
้
ั
ี
ิ
�
ิ
ี
ึ
้
ิ
ุ
่
การศกษา การดาเนนชวต พฒนาชมชน สงคม ดานธรกจ ดานการสอสาร ทาให้คณภาพชวตของในสงคม
�
ื
ั
ุ
ิ
ั
้
ุ
�
ึ
�
ดีข้น นอกจากน้หน่วยงานราชการต่างๆ ก็นาเทคโนโลยีสารสนเทศ และระบบคอมพิวเตอร์ เข้ามาอานวย
ี
ความสะดวกให้กับประชาชนในการติดต่อประสานงานกับทางราชการ และในธุรกิจเอกชนทางด้านการ
โรงแรม และการท่องเที่ยวการให้บริการข้อมูลข่าวสาร และบริการลูกค้าผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ต
ี
ื
เทคโนโลยีสารสนเทศถือเป็นเคร่องมือท่สาคัญในการจัดการและการกระจายสารสนเทศไปยังผ ู้
�
ใช้ได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ อีกทั้งผู้ใช้สามารถน�าสารสนเทศไปใช้ประโยชน์ในการประกอบการ
ตัดสินใจ การวางแผน การแก้ปัญหา การพัฒนา ได้เป็นอย่างดี
11.2 ความส�าคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศและการประยุกต์ใช้
�
เน่องจากในปัจจุบันมีความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทาให้มีการพัฒนาคิดค้น
ื
�
ส่งอานวยความสะดวกสบายต่อการดาเนินชีวิตเป็นอันมาก เทคโนโลยีได้เข้ามาเสริมปัจจัยพ้นฐานการ
ิ
�
ื
�
ดารงชีวิตได้เป็นอย่างดี เทคโนโลยีทาให้การสร้างที่พักอาศัยมีคุณภาพมาตรฐาน สามารถผลิตสินค้าและ
�
ให้บริการต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์มากขึ้น เทคโนโลยีท�าให้ระบบการผลิตสามารถ
ุ
�
ิ
ิ
ิ
�
ั
ี
ู
่
ื
ี
ผลตสนค้าได้เป็นจานวนมากมราคาถกลง สนค้าได้คณภาพ เทคโนโลยทาให้มีการตดต่อสอสารกนได้
ิ
ื
�
สะดวก การเดินทางเช่อมโยงถึงกันทาให้ประชากรในโลกติดต่อรับฟังข่าวสารกันได้ตลอดเวลา พัฒนาการ
�
ของเทคโนโลยีทาให้ชีวิตความเป็นอยู่เปล่ยนไปมาก หากจะมองย้อนไปในอดีตเราจะเห็นว่า มนุษย์
ี
ี
�
ค่อย ๆ พัฒนาวิธีการดารงชีวิต การเป็นอยู่ การส่อสาร เม่อประมาณห้าแสนปีท่แล้วมนุษย์สามารถ
ื
ื
ส่งสัญญาณท่าทางสื่อสารระหว่างกันและพัฒนามาเป็นภาษา มนุษย์สามารถสร้างตัวหนังสือ และจารึก
ไว้ตามผนังถ�้า ซึ่งมนุษย์ต้องใช้เวลานานในการพัฒนาในแต่ละเรื่อง เมื่อมนุษย์เริ่มมีการน�าเทคโนโลยีมา
ใช้ในเรื่องต่างๆ เช่น การพิมพ์ การสื่อสาร การกระจ่ายข่าวสารทางสถานที่วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์
และส่อต่าง ๆ จะเห็นได้ชัดว่าการพัฒนาในแต่ละด้านได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว มีการพัฒนาอย่างก้าว
ื
กระโดด มีการใช้คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศเข้าไปเก่ยวข้องในชีวิตความเป็นอยู่เก่ยวข้องกับ
ี
ี
ื
�
เทคโนโลยีสารสนเทศ ข้อมูลข่าวสารจานวนมาก สังคมในปัจจุบันเป็นสังคมไร้พรมแดนเพราะมีการเช่อม
โยงกันโดยเทคโนโลยีสารสนเทศ
ฉะนั้นมนุษย์ในสังคมปัจจุบันจึงจ�าเป็นต้องมีความรู้ทางเทคโนโลยีสารสนเทศ และต้องสามารถ
น�าความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในด้านต่าง ๆ ดังนี้
259
บทที่ 11 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
1) การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้
2) การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา
3) การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการด�าเนินชีวิต
4) การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาชุมชน สังคม
DO NOT COPY
ส่วนส�าหรับพุทธบริษัท 4 คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา นอกเหนือจากด้านต่าง ๆ ข้าง
ต้นแล้ว จ�าเป็นต้องมีความรู้และสามารถน�าความรู้มาประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเผยแพร่
พระพุทธศาสนา
11.3 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้
ื
ี
เทคโนโลยีสารสนเทศท่สามารถนาประยุกต์ใช้เพ่อการเรียนรู้ หรือเพ่อส่งเสริมการเรียนรู้เป็น
ื
�
)
รายบุคคล (Individualized Instruction) การเรียนรู้ตามอัธยาศัย (Informal education และการเรียน
รู้ตลอดชีวิต(Lifelong Learning) ในส่วนของการเรียนรู้ ครูคือผู้ท่นาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้เพ่อ
�
ี
ื
ึ
ิ
ส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนและใช้ในการเรียนการสอน ช่วยให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพดีย่งข้น
ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิผลสูงกว่าเดิม เกิดแรงจูงใจในการเรียนรู้มากยิ่งขึ้น
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยการเรียนรู้
1) การใช้เทคโนโลยีพัฒนากระบวนการทางปัญญา
ี
ระบบคอมพิวเตอร์ท่จะช่วยพัฒนาผู้เรียนให้มีความฉลาดในกระบวนการทางปัญญา โดยครูอาจ
จัดข้อมูลในเรื่องต่างๆ ในวิชาที่สอน ให้ผู้เรียนฝึกรับรู้ แสวงหาข้อมูล น�ามาวิเคราะห์ ก�าหนดเป็นความ
คิดรวบยอดและใช้คอมพิวเตอร์ช่วยแสดงแผนผังความคิดรวบยอด(Concept Map) โยงเป็นกฎเกณฑ์
หลักการ
2) การใช้เทคโนโลยีพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหา
การเรียนรู้ท่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางสามารถออกแบบแผนการเรียนการสอนให้ผู้เรียนมีโอกาส
ี
ี
�
ทาโครงงานแสวงหาความรู้ตามหลักสูตรเพ่อแก้ปัญหาการเรียนรู้ลักษณะน้จะเร่มต้นด้วยการกาหนด
�
ิ
ื
ประเด็นให้ผู้เรียนไปค้นหาหรือแสวงหาความรู้ผ่านเทคโนโลยี
รูปแบบการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้
ิ
1) เรียนรู้ “ตลอดเวลา” (Anytime) เวลาใดก็สามารถเรียนรู้ได้ ระยะแรกเร่มให้นักเรียน
สามารถใช้ Computer สืบค้นหาความรู้จากห้องสมุด ซ่งมีเคร่องคอมพิวเตอร์ให้บริการระบบอินเทอร์เน็ต
ื
ึ
(Internet)
2) เรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ “ทุกหนแห่ง” (Anywhere) นักเรียนสามารถเรียนรู้ร่วมกันจากส่อ
ื
ต่าง ๆ เช่น คอมพิวเตอร์ วิดีทัศน์ โทรทัศน์ หรือผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกศ์อื่น ๆ
260 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
3) การให้ทุกคน (Anyone) ได้เรียนรู้พัฒนาตนเองอย่างเต็มศักยภาพของตน ต้งแต่ระดับ
ั
อนุบาลเป็นต้นไป
เทคโนโลยีสารสนเทศที่น�ามาใช้เพื่อการเรียนรู้และการจัดการเรียนการสอน
1. สื่อเอกสาร (Google Doc, Google Spreadsheet, Google Presentation) การจัดการ
DO NOT COPY
เรียนการสอนโดยใช้ E-Report ผ่าน Google Doc การจัดการเรียนการสอนเกี่ยวกับวิชาประมวลผลค�า
การพิมพ์ จดหมายเอกสารราชการต่างๆ Google Spreadsheet ในการจัดการเรียนการสอนรายวิชา
ตารางงาน การค�านวณข้อมูลต่างๆ ในรูปแบบธุรกิจ เช่น ใบเสร็จ ใบเสนอราคา ใบก�ากับภาษี การคิด
ึ
อัตราเงินเดือน การคานวณค่าทางสถิติ ซ่งจะ เช่อมโยงกับ Google Poll แบบสอบถาม, Google
�
ื
Presentation ในการจัดการงานน�าเสนอข้อมูลต่าง ๆ
2. สื่อสาร (Gmail, Google Talk) การติดต่อสื่อสารกันระหว่างครูกับผู้เรียน ในเรื่องการเรียน
การสอนการมอบหมายงาน การติดต่อกันในเรื่องของการท�ากิจกรรมการบ้านต่างๆ
3. สื่อวิดีโอ (YouTube) การสอนเกี่ยวกับวิชามัลติมีเดียสามารถประยุกต์ใช้เครื่องมือ สื่อวิดีโอ
(YouTube) ในการสร้างสรรค์งานส่อประสม และการนาเสนอเผยแพร่งานมัลติมีเดียผ่านเครือข่าย
ื
�
อินเทอร์เน็ต บนแอปพลิเคชัน YouTube นอกจากนี้ สื่อการสอน วิดีโอการสอนต่าง ๆ ครูผู้สอนสามารถ
น�าแหล่งข้อมูลสื่อต่าง ๆ มาเป็นสื่ออ้างอิงให้นักเรียน นักศึกษาได้เรียนรู้นอกเวลาได้
4. สื่อภาพนิ่ง (Google Picasa) เป็นโปรแกรมจัดการภาพ สามารถประยุกต์ใช้กับการน�าเสนอ
สื่อภาพนิ่งในการจัดการเรียนการสอน สื่อภาพ สามารถอธิบายและให้ความรู้กับผู้เรียนได้เป็นอย่างดี
5. ส่อเว็บไซต์ (Google Site) เป็นเว็บไซต์สาเร็จรูป ผู้สอนสร้างเว็บไซต์เพ่อเช่อมโยงผู้เรียน และ
ื
�
ื
ื
เนื้อหาต่างๆ จัดระบบการเรียนรู้ เนื้อหา กิจกรรม สื่อเสริมต่างๆ ผ่าน Google Site ที่ผู้สอนได้จัดท�าขึ้น
6. สื่อ (VDO Conference) ผู้เรียนสามารถเรียนรู้เนื้อหาต่างๆ ผ่านสื่อวิดีโอต่างๆ นอกจากนี้
สามารถสื่อสารระยะไกลผ่านวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ (VDO Conference)
7. การจัดเก็บข้อมูลบนระบบกูเกิล (Google Drive) ครูผู้สอนเผยแพร่ไฟล์ต่างๆ ผ่าน Google
Drive เช่น การบ้านกิจกรรมต่างๆ การเก็บไฟล์ข้อมูลทาให้ช่วยประหยัดพ้นท่จัดเก็บบนเคร่องคอมพิวเตอร์
�
ื
ี
ื
และความสะดวกในการใช้งานไฟล์ข้อมูลต่างๆ เป็นต้น
8. การใช้เครื่องมือการประเมินผล (Poll) หรือ Google Poll โดยการจัดการเรียนการสอน มี
การประเมินการสอนของครูผู้สอน โดยผู้เรียนและประเมินผลการปฏิบัติงานในด้านต่างๆ
เทคโนโลยีสารสนเทศที่ใช้เพื่อการเรียนรู้ มี
1. การเรียนรู้แบบออนไลน์ (E-learning)
การเรียนรู้แบบออนไลน์ หรือ E-learning เป็นการเรียนรู้ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Internet)
หรืออินทราเน็ต (Intranet) เป็นการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ บวกเข้ากับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สร้างช่อง
ทางในการเรียนรู้ท่มีปฏิสัมพันธ์คุณภาพสูง โดยไม่จาเป็นต้องเดินทาง เกิดความสะดวกและเข้าถึงได้อย่าง
ี
�
261
บทที่ 11 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
รวดเร็ว ทุกสถานที่ ทุกเวลา เป็นการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ตามความสามารถและความสนใจของตน โดยผู้
เรียน ผู้สอน และเพื่อนร่วมชั้นเรียนทุกคน สามารถติดต่อ ปรึกษา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกัน
ได้เช่นเดียวกับการเรียนในชั้นเรียนปกติ
DO NOT COPY
ภาพที่ 11.1 การเรียนรู้แบบออนไลน์ (E-learning)
ลักษณะส�าคัญของการเรียนรู้แบบออนไลน์ (Online learning)
ี
1) ผู้เรียนเป็นใครก็ได้ อยู่ท่ใดก็ได้ เรียนเวลาก็ใด เอาตามความสะดวกของผู้เรียน
เป็นส�าคัญ เนื่องจากโรงเรียนออนไลน์ได้เปิดเว็บไซต์ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง
ั
ิ
ื
�
2) มีส่อทุกประเภทท่นาเสนอในเว็บไซต์ ไม่ว่าจะท้ง ข้อความ, ภาพน่ง, ภาพเคล่อนไหว,
ี
ื
เสียง, VDO ซึ่งจะช่วยกระตุ้นความสนใจ ในการเรียนรู้ของผู้เรียนได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังท�าให้เหตุภาพ
ของเนื้อหาต่าง ๆ ง่ายดายมากขึ้น
3) ผู้เรียนสามารถเลือกวิชาเรียนได้ตามความต้องการ
4) เอกสารบนเว็บไซต์ที่มี Links ต่อไปยังแหล่งความรู้อื่นๆ ท�าให้ขอบเขตการเรียนรู้
กว้างออกไป และเรียนอย่างรู้ลึกมากขึ้น
องค์ประกอบที่ส�าคัญ
ี
การเรียนรู้แบบออนไลน์ มีองค์ประกอบท่สาคัญ 4 ส่วน โดยแต่ละส่วนจะต้องได้รับการ
�
�
ั
�
ออกแบบเป็นอย่างดี เพราะเม่อนามาประกอบเข้าด้วยกันแล้วระบบท้งหมดจะต้องทางานประสานกันได้
ื
อย่างลงตัวดังนี้
1) เนื้อหาของบทเรียน
ี
2) ระบบบริหารการเรียน ทาหน้าท่เป็นศูนย์กลาง กาหนดลาดับของเนื้อหาในบทเรียน
�
�
�
262 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
ั
ี
เราเรียกระบบน้ว่าระบบบริหารการเรียน (E-Learning Management System: LMS) ดังน้นระบบ
บริหารการเรียนจึงเป็นส่วนที่เอื้ออ�านวยให้ผู้เรียนได้ศึกษาเรียนรู้ได้ด้วยตนเองจนจบหลักสูตร
�
ื
3) การติดต่อส่อสาร การเรียนแบบ E-learning นารูปแบบการติดต่อส่อสารแบบ
ื
2 ทาง มาใช้ประกอบในการเรียน โดยเครื่องมือที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารอาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ
ประเภทReal-time ได้แก่ Chat (message, voice), White board/Text slide, Real-time Annota-
tions, Interactive poll, Conferencing และอื่นๆ ส่วนอีกแบบคือ ประเภท Non real-time ได้แก่
Web-board, E-mail
4) ครูผู้สอน/ผู้ดูแลรายวิชา
รูปแบบการเรียนรู้ออนไลน์
เป็นการเรียนรู้ท่มีการจัดสภาพการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบด้วยการใช้ประโยชน์
ี
จากคุณลักษณะและทรัพยากรของอินเทอร์เน็ตและเวิลด์ไวด์เว็บในการส่อสารและถ่ายทอดความรู้โดย
ื
�
ื
ไม่จากัดเวลาและสถานท่ อาจารย์มีบทบาทเป็นผู้สอนออนไลน์ในการสร้างเน้อหาและออกแบบกิจกรรม
ี
การเรียนการสอน เป็นผู้สนับสนุนการเรียนรู้ โดยการให้คาปรึกษา ช่วยตรวจสอบความก้าวหน้าและช่วย
�
เหลือผู้เรียนให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองในระบบการเรียนรู้ออนไลน์
DO NOT COPY �
เทคโนโลยีสารสนเทศในปัจจุบันมีการพัฒนาไปอย่างมาก ซ่งสามารถทาให้การเรียนรู้
ึ
ออนไลน์ มีระบบและรูปแบบการเรียนรู้ได้หลากหลาย มีกิจกรรมและรูปแบบที่ส�าคัญได้แก่
1) กิจกรรมสัมมนาปฏิสัมพันธ์บนเว็บในรูปแบบ Interactive Webinar คือ ส่อเสริม
ื
สาหรับนิสิตนักศึกษาในรูปแบบปฏิสัมพันธ์ผ่านระบบออนไลน์ โดยจัดอยู่ในรูปกิจกรรมการสัมมนาเสริม
�
ี
โดยเป็นกิจกรรมท่นิสิตจะต้องเข้าร่วมกิจกรรมเพ่อส่งงาน และเสนอผลงาน เป็นการแลกเปล่ยนเรียนรู้
ี
ื
แสดงความคิดเห็นและประสบการณ์ระหว่างอาจารย์กับนิสิต และระหว่างนิสิตกับนิสิตด้วยกัน
2) การเรียนรู้แบบโครงงาน (Project-Based Learning) คือ การจัดการเรียนรู้ผ่าน
ระบบออนไลน์ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางโดยการท�ากิจกรรมร่วมกันด้วยวิธีการปฏิบัติจริง เพื่อให้ได้มา
ซึ่งความรู้ วิธีการ และผลของงาน เพื่อการเรียนรู้การแก้ปัญหาอันจะน�าไปสู่การเสริมสร้างศักยภาพของ
ี
ู
ี
ี
ู
ิ
ิ
�
่
ี
ั
ผ้เรยนแต่ละคนให้ได้รบการพฒนาได้เตมขดความสามารถทมอย่อย่างแท้จรงทาให้เกดการเรยนร้และ
ู
็
ี
ั
สามารถสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง
ข้อดีของการเรียนรู้ออนไลน์
การเรียนรู้ออนไลน์มีข้อดีกว่าการสอนแบบดั้งเดิม ได้แก่
1) ความยืดหยุ่นและความสะดวกสบาย ผูเรียนสามารถเขาเรียนผานระบบออนไลนได้
้
่
์
้
โดยปราศจากข้อจ�ากัดด้านเวลาและสถานที่
2) ช่วยประหยัดเวลาในการเดินทาง ค่าที่พัก และค่าใช้จ่ายอื่นๆ
3) ผู้เรียนสามารถควบคุมการเรียนรู้ได้เอง การเข้าเรียนในระบบออนไลน์เป็นการเรียน
ที่เอื้อให้ผู้เรียนเป็นผู้ตัดสินใจและก�าหนดแผนการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง
263
บทที่ 11 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
ี
ื
ี
�
4) ตอบสนองความต้องการท่หลากหลาย การนาเสนอเน้อหามีรูปแบบท่หลากหลาย ม ี
ข้อความ ภาพ เสียง วีดิทัศน์ และการสื่อสาร ช่วยให้ผู้สอนและผู้เรียนสามารถเลือกรูปแบบการน�าเสนอ
ได้ตามความยืดหยุ่นของระบบการเรียนรู้ออนไลน์ เพื่อให้การเรียนรู้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด
ข้อจ�ากัดของการเรียนรู้ออนไลน์
DO NOT COPY
�
ึ
การเรียนรู้ออนไลน์มีข้อจากัดซ่งถือว่าเป็นปัญหาและอุปสรรค์ต่อการพัฒนาระบบการ
เรียนรู้ออนไลน์ คือ
1) ปัญหาด้านเทคโนโลยีที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ และมีประสิทธิภาพต�่า
2) ทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีสารสนเทศของผู้เรียนและผู้สอน
3) เนื้อหาบทเรียนหรือสื่อการสอนเป็นแบบข้อความ (Text-based) ซึ่งไม่อาจจะตอบ
สนองต่อความต้องการของผู้เรียนทุกคน ผู้เรียนบางคนอาจจะถนัดการพูดมากกว่าการเขียน
ิ
์
ั
ั
่
ิ
4) ทาให้ขาดการตดตอและขาดปฏบตสมพนธกบชนเรยน หรอการปฏสมพนธกบสงคม
ั
ิ
ั
ั
์
ั
ั
ิ
้
ั
ั
ื
ี
�
ั
ื
ี
ผู้เรียนบางคนอาจชอบสภาพการเรียนแบบด้งเดิมท่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้สอนและเพ่อนผู้เรียนด้วยกัน ผู้สอน
�
�
ก็ได้ทราบปฏิกิริยาของผู้เรียนว่าเป็นอย่างไร แต่การเรียนรู้ออนไลน์ทาให้ผู้สอนไม่ทราบว่าผู้เรียนกาลัง
สบสนหรือเข้าใจในเน้อหาหรือไม่ ทาให้ผเรียนขาดทกษะความสมพนธระหว่างบุคคล ซงอาจจะทาให้เกิด
ั
ั
�
ั
์
่
ู้
ื
ั
�
ึ
ปัญหาในการท�างาน และการด�าเนินชีวิตในอนาคต
5) การเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์ ผู้เรียนต้องมีแรงจูงใจ(Motivation) ส่วนตัวท่แรงกล้า
ี
ั
ึ
และสามารถจัดวางแผนระบบการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ซ่งผู้เรียนท่วไปขาดการวางแผนการเรียนรู้และ
แรงจูงใจจึงทาให้ผู้เรียนท่เรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์มีจานวนน้อยท่ประสบความสาเร็จในการเรียนรู้ผ่าน
�
ี
ี
�
�
ระบบออนไลน์
6) เน้อหาการเรียนรู้ออนไลน์ท่ไม่สมบูรณ์ ไม่มีข้อยุติ (Open-ended Content) เน้อหา
ื
ี
ื
ขาดความสมบูรณ์บางครั้งท�าให้ผู้เรียนไม่รู้ว่าขอบเขตเนื้อหาสิ้นสุดตรงไหน
2. การใช้ YouTube เพื่อการเรียนรู้
ยูทูบ (YouTube) เป็นเว็บไซด์ที่ให้บริการพื้นที่ในการน�าเสนอหรือเผยแพร่วีดีโอฟรี ก่อตั้งมา
ี
ต้งแต่ปี 2005 ยูทูบ (YouTube) เติบโตอย่างรวดเร็วมาก เป็นท่รู้จักแพร่หลายและได้รับความนิยม
ั
ทั่วโลก แต่ด้วยตัวยูทูบเองที่มีเนื้อหามากมายเป็นแสนชิ้น ทั้งสื่อและเครื่องมือการเรียนรู้ดี ๆ ที่สามารถ
�
ใช้เป็นส่อการเรียนการสอนในห้องเรียนได้ แต่ในขณะเดียวกันก็มีส่อประเภทท่สุ่มเส่ยง และทาให้เด็ก
ื
ี
ื
ี
และเยาวชนไขว้เขวไปได้ ท้งจากมิวสิควีดีโอ การ์ตูน และไม่ได้ใช้เป็นช่องทางเพ่อการเรียนรู้สักทีเดียว
ื
ั
จึงเป็นที่มาของการเปิดหน้าการศึกษาล่าสุดเมื่อต้นเดือนธันวาคมของยูทูบขึ้น ที่เรียกว่า “ยูทูบส�าหรับ
ี
ั
ื
ึ
โรงเรียน” หรือ (Youtube for Schools) เป็นช่องทางการเรียนรู้ท่จัดต้งข้น โดยจะมีเน้อแต่เรื่อง
การศึกษาแต่เพียงอย่างเดียว โดยได้ร่วมมือกับภาคีด้านการศึกษากว่า 600 แห่ง เช่น TED , Smithsonian
264 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
เว็บไซด์ชื่อดังเรื่องที่ได้รวบรวมแหล่งเรียนรู้และนิทรรศการต่าง ๆ เอาไว้, Steve Spangler แหล่งผลิต
่
ั
ั
์
่
ื
่
ิ
์
้
ื
ี
เกมสและของเลนเพอการพฒนาทกษะดานวิทยาศาสตร์ หรอ Numberphile ทสอนคณตศาสตรออนไลน ์
เป็นต้น นอกจากนี้เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหา ยูทูบได้ท�างานร่วมกับครูในการจัดแบ่งเนื้อหากว่า 300 ชิ้น
ื
ี
ั
ออกเป็นรายวิชา และระดับช้น โดยสื่อเหล่าน้ยูทูบเช่อว่าจะช่วยเสริมการเรียนรู้ในห้องเรียนได้เป็นอย่าง
DO NOT COPY
ดี ท�าให้ห้องเรียนสนุกสนานขึ้น และเด็ก ๆ ก็จะตั้งใจเรียนมากยิ่งขึ้น
ยูทูบ (YouTube) โดยกูเกิ้ล (Google) เล็งเห็นความส�าคัญการศึกษาในยุคใหม่ ที่เรียกว่า Dig-
ital for Education จึงได้เปิดโอกาสให้วงการศึกษาไทย ซึ่งมีบทบาทส�าคัญอย่างยิ่งในการใช้เทคโนโลยี
โดยเฉพาะการท�าคลิปวิดีโอ มาเป็นเครื่องมือในการเรียนการสอน อีกทั้งยังน�าไปเผยแพร่ต่อทั้งในระดับ
ประเทศและระดับโลกอีกด้วย
ภาพที่ 11.2 การใช้ YouTube เพื่อการเรียนรู้
ปัจจุบันยูทูบ (YouTube) เข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมาก ถือว่าเป็นเครื่องมือการเรียนรู้ส�าหรับ
ี
ี
ั
คนในยุคดิจิทัลท่สามารถทาให้การจัดการเรียนการสอนให้ครูและผู้เรียนได้บรรลุตามวัตถุประสงค์ท่ต้งไว้
�
ด้านครูผู้สอน ก็ได้มีการน�ายูทูบ (YouTube) มาใช้ในการจัดการเรียนการสอน มีการอัพโหลด
ึ
ื
ี
ื
วีดีโอ ท่ตนเองได้อัดวิดีโอการสอนไว้พร้อมกับเน้อหาและส่อต่างๆข้นไว้บนเว็บไซต์ยูทูบ (YouTube) เพ่อ
ื
ให้ผู้เรียนได้เข้าไปศึกษาเนื้อหาด้วยตนเองได้ท�าให้ผู้เรียนนั้นเกิดความสนใจมากยิ่งขึ้น และที่ส�าคัญสื่อที่
มีการเคลื่อนไหว มีเสียง ที่นอกเหนือจากการบรรยาย ท�าให้ผู้เรียนตื่นเต้นไม่เบื่อหน่าย และส่งผลดีแก่
ผู้เรียน คือ ผู้เรียนสามารถเข้ามาศึกษาหาความรู้ในวันและเวลาใดก็ได้ตามที่ต้องการ
ด้านผู้เรียน ผู้เรียนสามารถค้นคว้าหาความรู้ผ่านทางยูทูบ (YouTube) ได้ตลอดเวลา ไม่เพียง
ทางด้านการเรียนเท่านั้น ยูทูบ (YouTube) ยังมีวิดีโอที่น่าสนใจอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ติว ข้อสอบ สื่อ
265
บทที่ 11 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
การเรียนรู้ สอนท�าอะไรต่าง ๆ อีกมากมายให้เราได้เลือกชม และสามารถแชร์แบ่งปัน วีดีโอที่น่าสนใจส่ง
ต่อให้เพื่อนผ่าน โซเชียลมีเดีย โซเชียลเน็ตเวิร์ค ได้อีกด้วย
ยูทูบ (YouTube) จึงนับเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือเพื่อการเรียนรู้ที่จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการศึกษา
ี
พัฒนาครูและนักเรียน ในยุคของเทคโนโลยีท่ได้เข้ามามีบทบาทต่อโลกในปัจจุบันน้ในการใช้เทคโนโลย ี
ี
DO NOT COPY
ื
ึ
เพ่อการศึกษา เพ่อการเรียนรู้รายบุคคล การเรียนรู้ตามอัธยาศัย และการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซ่งเป็นอีกทาง
ื
ึ
ื
เลือกหน่งของคนในยุคดิจิทัล ในยุคของการเรียนรู้ไร้พรมแดน และสาหรับครูในการประยุกต์ใช้เพ่อจัดการ
�
เรียนรู้ เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลต่อไป
3. การใช้เฟซบุ๊ก (Facebook) เพื่อการเรียนรู้ 1
�
ึ
ี
เฟซบุ๊ก (Facebook) คือ บริการบนอินเทอร์เน็ตบริการหน่ง ท่จะทาให้ผู้ใช้สามารถติดต่อ
สื่อสารและร่วมท�ากิจกรรมใดกิจกรรม หนึ่งหรือหลายๆ กิจกรรมกับผู้ใช้ Facebook คนอื่นๆ ได้ ไม่ว่า
จะเป็นการตั้งประเด็นถามตอบในเรื่องที่สนใจ โพสต์รูปภาพ โพสต์คลิปวิดีโอ เขียนบทความหรือบล็อก
แชทคุยกันแบบสดๆ เล่นเกมส์แบบเป็นกลุ่ม (เป็นที่นิยมกันอย่างมาก) และยังสามารถท�ากิจกรรมอื่น ๆ
ผ่านแอพลิเคช่นเสริม (Applications) ท่มีอยู่อย่างมากมาย ซ่งแอพลิเคช่นดังกล่าวได้ถูกพัฒนาเข้ามา
ี
ั
ึ
ั
เพิ่ม เติมอยู่เรื่อย ๆ
เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ปี พุทธศักราช 2548 Mark Zuckerburg ได้เปิดตัวเว็บไซต์เฟซบุ๊ก (face
book) ซึ่งเป็นเว็บประเภท social network ซึ่งตอนนั้น เปิดให้เข้าใช้เฉพาะนักศึกษาของมหาวิทยาลัย
ี
ึ
ั
ึ
ฮาร์เวิร์ดเท่าน้น และเว็บน้ก็ดังข้นมาในช่วพริบตา เพียงเปิดตัวได้สองสัปดาห์ คร่งหน่งของนักศึกษาท ่ ี
ึ
ั
ื
ี
เรียนอยู่ท่มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด ก็สมัครเป็นสมาชิกเฟซบุ๊ก (face book) เพ่อเข้าใช้งานกันอย่างล้นหลาม
และเมื่อทราบข่าวนี้ มหาวิทยาลัยอื่น ๆ ในเขตบอสตันก็เริ่มมีความต้องการ และอยากขอเข้าใช้งานเฟ
ซบุ๊ก (face book) บ้างเหมือนกัน มาร์คจึงได้ชักชวนเพื่อของเค้าที่ชื่อ Dustin Moskowitz และ Christ
Hughes เพื่อช่วยกันสร้างเฟซบุ๊ก (Facebook) และเพียงระยะเวลา 4 เดือนหลังจากนั้น Facebook จึง
ได้เพิ่มรายชื่อและสมาชิกของมหาวิทยาลัยอีก 30 กว่าแห่ง ไอเดีย เริ่มแรกในการตั้งชื่อเฟซบุ๊ก (Face-
book) นั้นมาจากโรงเรียนเก่าในระดับมัธยมปลายของมาร์ค ที่ชื่อฟิลิปส์ เอ็กเซเตอร์ อะคาเดมี่ โดยที่
โรงเรียนนี้ จะมีหนังสืออยู่หนึ่งเล่มที่ชื่อว่า The Exeter Face Book ซึ่งจะส่งต่อ ๆ กันไปให้นักเรียนคน
อื่น ๆ ได้รู้จักเพื่อน ๆ ในชั้นเรียน ซึ่งเฟซบุ๊ก(Facebook) นี้จริง ๆ แล้วก็เป็นหนังสือเล่มหนึ่งเท่านั้น จน
เมื่อวันหนึ่ง มาร์คได้เปลี่ยนแปลงและน�ามันเข้าสู่โลกของอินเทอร์เน็ต
ี
เฟซบุ๊ก (Facebook) คือ สังคมออนไลน์ท่ได้รับความนิยมของประชากรโลกใน ณ ขณะน้ เพราะ
ี
การใช้งานที่ง่ายและมี application ที่สามารถใช้งานบนสมาร์ทโฟนได้ สะดวกและรวดเร็ว มีการแจ้ง
1 อาฟีฟี ลาเต๊ะ, การใช้เฟซบุ๊กเพื่อการเรียนการสอน: การสังเคราะห์งานวิจัยในบริบทสังคมไทย, วารสาร
วิชาการ Veridian E-Journal บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร. สาขามนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และศิลปะ.
ฉบับปีที่ 11 ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม – เมษายน 2561. หน้า 2580.
266 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
ั
ื
ื
เตือนแบบทันท่วงทีไม่พลาดทุกการเคล่อนไหวของเพ่อนในเฟซบุ๊ก (Facebook) สามารถท้งติดต่อสื่อสาร
นักเรียนในชั้นเรียน นัดหมายเวลาเรียน หรือแม้กระทั่งส่งงาม ท�าให้ประหยัดและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ไม่
ื
ี
่
ิ
ี
ื
ื
่
ี
่
ิ
ต้องเสยเงนและเสียเวลาเหมอนอยางเม่อก่อน สามารถแชร์สอการเรยนการสอนให้แกนักเรียน วดีโอเกยว
่
กับการเรียน สามารถดูได้ทุกที่ทุกเวลาที่มีการเข้าถึงของอินเทอร์เน็ตได้ ซึ่งสามารถแบ่งลักษณะของการ
DO NOT COPY
ใช้ Facebook กับชั้นเรียน ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ เพื่อการเรียนรู้อย่างเป็นทางการ และ เพื่อ
ั
การเรียนรู้อย่างไม่เป็นทางการและการเรียนรู้นอกเวลา การใช้เฟซบุ๊ก (Facebook) กับการเรียนรู้ท้งสอง
แบบแสดงในตารางด้านล่างนี้
ื
ี
ตารางท่ 11.1 ตารางเปรียบเทียบการใช้เฟซบุ๊ก (Facebook) เพ่อการเรียนรู้อย่างเป็นทางการและ
ไม่เป็นทางการ
เพื่อการเรียนรู้อย่างเป็นทางการ เพื่อการเรียนรู้อย่างไม่เป็นทางการ
ใช้ Timeline หรือ Facebook group การเรียนการสอนใน ใช้เพื่อการจัดระบบสมาชิกของชมรมต่างๆ
ชั้นเรียน
ใช้หน้า Wall เพื่อโพสรายละเอียดของการบ้านหรือแหล่ง เพื่อเป็นพื้นที่ให้ผู้เรียนในชั้นปีต่างๆ ได้พูดคุยใน
ค้นคว้าข้อมูลเพื่อเติม เรื่องทั่วๆไป ไม่เฉพาะเจาะจงเฉพาะเรื่องเรียน
เท่านั้น ช่วยให้ผู้เรียนน้องใหม่กลมกลืนกับผู้เรียนใน
ชั้นปีอื่นๆ ได้ง่ายขึ้น
ใช้เพื่อการอภิปราย โต้เถียง โต้วาที ออนไลน์ในหัวข้อที่ชั้น เพื่อเป็นพื้นที่แบ่งปันความรู้ พูดคุย สำาหรับผู้
เรียนให้ความสนใจ ประกอบวิชาชีพเฉพาะด้านหรือเพื่อจัดกิจกรรม
เพื่อการพัฒนาวิชาชีพต่อเนื่อง (CPD : Continung
Professional Development) ต่างๆ
เป็นพื้นที่ที่ผู้เรียนได้ติวหนังสือ ได้ให้ความช่วยเหลือด้านการ ใช้การกด Like แสดงถึงแรงสนับสนุนจากเพื่อน
เรียนซึ่งกันและกัน ร่วมชั้น อาจนำาไปใช้ในการทำาโปรเจคหรือกิจกรรม
ต่าง ๆ
เพื่อเป็นเครื่องมือในการศึกษาค้นคว้าผ่านการโพสข้อความ เพื่อแบ่งปัน Social and video podcasts
แบ่งปันความคิดเห็น วีดีโอ Link และแหล่งข้อมูลอื่นๆ ระหว่างผู้เรียนโดยไม่จำากัดชั้นเรียน
ใช้ Facebook group ของโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษา ใช้ Private Group เพื่อให้ผู้สอนเข้าถึงภาควิชาหรือ
ในการประชาสัมพันธ์ข่าวสารต่างๆของอาจารย์และเจ้า สมาพันธ์ต่างๆ
หน้าที่
4. การใช้กูเกิล (Google) เพื่อการเรียนรู้
กูเกิล (Google) เป็น เสิร์ช เอ็นจิน (Search Engine) เป็นเครื่องมือหรือช่องทางในการค้นหา
้
ความรู และเปนชองทางในการเรียนรู ซึ่งถือวาเปนเครื่องมือที่ส�าคัญส�าหรับการเรียนรูในยุดดิจิทัล ซึ่งใน
้
็
้
่
่
็
ั
ปัจจุบนเราจะเห็นว่าหากเราไม่รู้อะไร หรือต้องการจะรู้เร่องอะไร หรือต้องการตรวจสอบข้อมูล ตรวจ
ื
267
บทที่ 11 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
สอบความถูกต้อง หรือต้องการอยากได้ข้อมูลแล้ว เสิร์ช เอ็นจิน (Search Engine) เราจะนึกถึง กูเกิล
(Google)
ปัจจุบันกูเกิล (Google) ไม่ได้เป็นเป็น เสิร์ช เอ็นจิน (Search Engine) ที่ใช้เป็นช่องทางในการ
�
ั
ค้นหาข้อมูลเท่าน้น กูเกิล (Google) ยังได้เปิดตัวนวัตกรรมสาหรับการเรียนการสอน โดยใช้คาโปรยหลัก
�
DO NOT COPY
ว่า “Google for Education” หรือ “Google เพื่อการศึกษา” ซึ่งแน่นอนว่า ทาง Google เองได้ท�าการ
ั
�
ต้งคาถามกับแนวความคิดทางด้านการศึกษามาโดยตลอด จนล่าสุดได้พัฒนา รูปแบบการศึกษาท่ครบ
ี
วงจรขึ้น
ั
ู
ี
ั
ี
�
�
้
ู
้
OPENING MINDS: ด้านการพฒนาการเรยนการสอนสาหรบครและการเรยนรสาหรบผเรียน
ั
ู
ู
ื
ิ
ี
�
�
ู
ึ
่
ิ
่
กเกิล (Google) ได้เปิดโลกเพ่อการเรยนร้สงต่างๆสาหรับครู และสาหรับผ้เรียน ซงทางกูเกล
ู
ื
ื
(Google) ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเน่องเพ่อการเรียนรู้ของคนในยุคดิจิทัลและในยุคอนาคต โดยกูเกิล
(Google) ได้มีการด�าเนินการ “Google for Education” ดังนี้
1) Go Google คือ การน�านวัตกรรมทางการศึกษาจาก Google เข้ามามีส่วนร่วมกับครู ผู้สอน
เพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการสอนให้สูงขึ้น
�
2) Training หลักสูตรอบรม สาหรับครู และผู้สอนให้สามารถพัฒนา การเรียนการสอนโดย
ู
่
่
ั
ื
เครองมอตาง ๆ จาก Google ไดอยางงายดาย ซงประกอบไปด้วย หลกสตรการใชเครองมอจาก Google
่
้
ื
ึ
ื
่
่
่
ื
้
พร้อมเกียรติบัตรรับรองการเรียนการสอน ตลอดจน Communities ขนาดใหญ่ เพ่อแลกเปล่ยนแนวทาง
ี
ื
การเรียน การสอนได้อย่างอิสระ เปิดกว้าง
3) Programs ค้นหาเครือข่าย เพ่อแลกเปล่ยน และช่วยเหลือการเรียนการสอนได้อย่างสะดวก
ี
ื
STUDENTS: OPENING DOORS: เปิดประตูสู่โลกกว้าง ส�าหรับผู้เรียน
1) เครื่องมือ (Tools) คือ กูเกิล (Google) ได้น�าเทคโนโลยีที่เรียกว่า Google Classroom
ึ
เข้ามาช่วยให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพมากข้น อาทิเช่น Google Docs, Drives, Sheets, Google Apps
หรือแม้กระทั่ง Hangout เป็นต้น ส�าหรับรายละเอียดเครื่องมือทั้งหมดในขณะนี้ อ่านเพิ่มเติมที่นี่
2) หลักสูตร และทุนการศึกษา (Program & Scholarships) คือ กูเกิล (Google) ได้เปิด
�
โอกาสให้ผู้เรียนได้ค้นพบโลกใหม่ๆทางด้านการเรียน และท่สาคัญยังเปิดให้มีการรับทุนการศึกษา ในสาย
ี
งานที่เกี่ยวข้องกับทาง Google เอง ซึ่งได้แก่ สาขาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ (วิทยาการคอมฯ), สาขา
วิศวกรรมศาสตร์ และสาขาผู้น�า (Leadership)
3) อาชีพ และการแลกเปลี่ยนฝึกงาน (Jobs & Internships) คือ กูเกิล (Google) ไม่ใช่แค่
ทุนการศึกษา Google เองยังเปิดโอกาสให้มีการเข้าท�างาน หรือแลกเปลี่ยน ฝึกงานได้อีกด้วย
268 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
Google Apps for Education
Google App ส�าหรับการศึกษา คือ ชุดเครื่องมือที่กูเกิล (Google) ให้บริการฟรี และเครื่องมือ
ต่างๆ เป็นแบบระบบเปิดในการท�างานร่วมกัน เปิดกว้างส�าหรับคุณครูนักเรียนนักศึกษา ชั้นเรียน และ
สมาชิกของกูเกิล (Google) ทั่วโลก ตัวอย่างเครื่องมือที่เป็นที่นิยมใช้ที่รู้จัก เช่น อีเมล์ (E-mail), เอกสาร
DO NOT COPY
(Docs), ปฏิทิน (Calendar), พื้นที่เก็บข้อมูลไดร์ฟ(Drive), กูเกิล แฮงเอาท์ (Google Hangout) และ
Groups เป็นต้น แต่เครื่องมือเหล่านี้จะใช้ส�าหรับในการเรียนการศึกษา เป็นโปรแกรมที่ Google พัฒนา
�
ให้แก่โรงเรียนใช้งาน เพื่อสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีต่อการเรียนการสอนและการนาอินเทอร์เน็ตไปใช้
ิ
ื
ในเชงสร้างสรรค์โดยโปรแกรมประกอบไปด้วย Communication: โปรแกรมการสอสารภายในและ
่
�
ภายนอกโรงเรียน Collaboration: โปรแกรมออฟฟิศสาหรับการแชร์และทางานร่วมกันออนไลน์
�
Content: โปรแกรมสร้างเว็บไซต์และเนื้อหาออนไลน์ 2
การเปลี่ยนแปลงของการศึกษา รูปแบบ แนวคิด กระบวนการ สื่อเทคโนโลยีต่างๆ มีบทบาท
ส�าคัญมากในการจัดการศึกษาในปัจจุบัน Google Apps for Education เป็นเครื่องมือทางการศึกษาที่
Google ให้การสนับสนุนเพื่อใช้ฟรีกับสถานศึกษาทั่วโลก อีกทั้งเครื่องมือในการจัดการชั้นเรียน เครื่อง
มือในการสร้างเนื้อหา น�าเสนอเนื้อหาเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร เครื่องมือในการสร้างแบบประเมิน
ี
ิ
ี
ในรูปแบบต่างๆ ช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ของผู้เรียนท่ตอบรับกับทักษะของผู้เรียนในศตวรรษท่ 21 ส่งต่างๆ
เหล่านี้ ช่วยให้การจัดการเรียนการสอนมีเครื่องมือที่ทันสมัย สามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้ง
ยังช่วยให้สถาบันทางการศึกษาลดค่าใช้จ่าย งบประมาณในการจัดการเรียนการสอนด้วยส่อเทคโนโลย ี
ื
คอมพิวเตอร์ที่ทันสมัย แบบที่ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือส�าคัญในการขับเคลื่อนการศึกษา
ไทย 4.0 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
11.4 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านการศึกษา
้
์
เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา หมายถึง การประยุกตใชเทคโนโลยีสารสนเทศกับงานดาน
้
การศึกษา อันได้แก่ การจัดเก็บข้อมูล การประมวลผลฐานข้อมูล การพัฒนาระบบสารสนเทศช่วยการ
เรียนการสอน การว่างแผนบริหารการศึกษาการวางแผนหลักสูตร แนะแนวและบริการ รวมถึงการทดสอบ
�
ี
และการพัฒนาบุคลากร โดยเทคโนโลยีสารสนเทศ ท่นามาประยุกต์ เช่นระบบสารสนเทศในการสอน
การสอนทางไกลผ่านดาวเทียม การจัดระบบฐานข้อมูลทางการศึกษา เป็นต้น 3
ื
ี
ี
2 ธรวด ถงคบตร, การศึกษาสมรรถนะการใช้คอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีการส่อสารของนักศึกษาปริญญา
ั
ุ
ิ
ั
บณฑตเพอพัฒนารปแบบการเรยนการสอนแบบผสมผสาน, เอกสารประกอบการประชุมวิชาการระดับชาติ ด้าน
ี
ู
่
ื
อีเลิร์นนิ่งบูรณาการการเรียนรู้ออนไลน์ประชาคมอาเซียน : นโยบายและกระบวนการ ในวันที่ 14-15 สิงหาคม 2555
ณ อาคาร 9 อิมแพค เมืองทองธานี, 2555. หน้า 147-151.
3 เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา, [ออนไลน์], แหล่งที่มา : http://www.csjoy.com/story/net/tne.
htm [28 กุมภาพันธ์ 2562]
269
บทที่ 11 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
์
้
้
เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา หมายถึง การประยุกตใชเทคโนโลยีสารสนเทศกับงานดาน
การศึกษาอันได้แก่ การจัดเก็บข้อมูล และประมวลผลฐานข้อมูล การพัฒนาระบบสารสนเทศช่วยการ
เรียนการสอน การวางแผนและการบริหารการศึกษา การวางแผนหลักสูตร การแนะแนวและบริการ การ
ทดสอบวัดผล การพัฒนาบุคลากร 4
DO NOT COPY
สรุปได้ว่าเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา หมายถึง การน�าเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีความ
สามารถในด้านการส่อสาร การเก็บข้อมูลการรับส่งข้อมูล ฯลฯ ท่อยู่ในรูปของอุปกรณ์ประเภทต่างๆเช่น
ื
ี
ื
่
ื
เคร่องคอมพิวเตอร์ เครองส่งสัญญาณ เครือข่ายโทรคมนาคม มาใช้ในระบบการศึกษา เพอให้เกิดประโยชน์
่
ื
ในการเรียน การสอน และจะเป็นตัวช่วยให้ระบบการศึกษาเกิดการพัฒนา รวมถึงท�าให้มีประสิทธิภาพ
ในการท�างานในด้านการศึกษามากขึ้น
ความส�าคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศต่อการศึกษา
1) เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามีส่วนช่วยเรื่องการเรียนรู้
2) เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาสนับสนุนการจัดการศึกษาโดยเฉพาะการจัดการศึกษาสมัยใหม่
จ�าเป็นต้องอาศัยข้อมูลข่าวสารเพื่อการวางแผน การด�าเนินการ
3) เทคโนโลยีสารสนเทศกับการสื่อสารระหว่างบุคคล ในเกือบทุกวงการทั้งทางด้านการศึกษา
จ�าเป็นต้องอาศัยสื่อสัมพันธ์ระหว่างตัวบุคคล
4) พัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยเกิดการศึกษาในรูปแบบใหม่ กระตุ้นความสนใจนแก่ผู้เรียน
โดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นสื่อในการสอน และในการเรียนรู้
บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศต่อการศึกษา
5
เทคโนโลยีสารสนเทศได้เข้ามามีบทบาทต่อการศึกษาอย่างมาก โดยเฉพาะเทคโนโลยีทางด้าน
คอมพิวเตอร์และการสื่อสารโทรคมนาคมมีบทบาทที่ส�าคัญต่อการพัฒนาการศึกษา ดังนี้
ื
1. เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามีส่วนช่วยเร่องการเรียนรู้ ปัจจุบันมีเคร่องมือท่ช่วยสนับสนุนการ
ี
ื
เรียนรู้ หลายด้าน มีระบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) ระบบสนับสนุนการรับรู้ข่าวสาร เช่น การค้นหา
ข้อมูลข่าวสารเพื่อการเรียนรู้ใน World Wide Web เป็นต้น
2. เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาสนับสนุนการจัดการศึกษา โดยเฉพาะการจัดการศึกษาสมัยใหม่
ึ
จาเป็นต้องอาศัยข้อมูลข่าวสารเพ่อการวางแผน การดาเนินการ การติดตาม และประเมินผลซ่งอาศัย
�
�
ื
คอมพิวเตอร์และระบบสื่อสารโทรคมนาคมเข้ามามีบทบาทที่ส�าคัญ
4 นวัตกรรมการศึกษา, [ออนไลน์], แหล่งที่มา : http://sarawootpud-11.blogspot.com/ [28 กุมภาพันธ์
2562]
5 องค์ประกอบของเทคโนโลยีสารสนเทศ, [ออนไลน์], แหล่งที่มา : https://kusuma999msu.wordpress.
com/2012/09/27/ [28 กุมภาพันธ์ 2562]
270 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
3. เทคโนโลยีสารสนเทศกับการสื่อสารระหว่างบุคคล ในเกือบทุกวงการทั้งทางด้านการศึกษา
จาเป็นต้องอาศัยส่อสัมพันธ์ระหว่างตัวบุคคล เช่น การส่อสารระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน โดยใช้องค์ประกอบ
ื
ื
�
�
ี
ท่สาคัญช่วยสนับสนุนให้เกิดประสิทธิภาพในการดาเนินงาน เช่น การใช้โทรศัพท์ โทรสาร ไปรษณีย์
�
อิเล็กทรอนิกส์ เทเลคอมเฟอเรนซ์ เป็นต้น
DO NOT COPY
ประโยชน์ของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านการศึกษา
1) มีความสะดวกรวดเร็วในการด�าเนินงาน
2) ลดปริมาณผู้ด�าเนินงานและประหยัดพลังงานเชื้อเพลงได้อีกทางหนึ่ง
3) ระบบการปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีระเบียนมากขึ้นกว่าเดิม
4) ลดข้อผิดพลาดของเอกสารในระหว่างการด�าเนินการได้
5) สร้างความโปร่งใสให้กับหน่วยงานหรือองค์กรได้
6) ลดปริมาณเอกสารในระหว่างการด�าเนินงานได้มาก
7) ลดขั้นตอนในระหว่างการด�าเนินการได้มาก
8) ประหยัดเนื้อที่จัดเก็บเอกสาร
แนวคิดการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาการศึกษา
ถ้าย้อนกลับมาพัฒนาการทางการศึกษาของประเทศไทยจะเห็นได้ว่าอาศัยความก้าวหน้าทาง
ด้านการสื่อสาร เป็นส่วนประกอบส�าคัญในการพัฒนาการศึกษาทั้งในระบบและนอกระบบโรงเรียนมา
ี
ตลอด โดยเฉพาะอย่างย่งในส่วนท่เก่ยวข้องกับการศึกษาทางไกล ตัวอย่างท่มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธ ิ
ี
ี
ิ
ั
ึ
ราชไดใชระบบนในการจดการศกษาซงพบวา การจดการศกษาเกยวของกบการพฒนาทางดานการสอสาร
ั
ึ
ี
่
้
ั
่
่
ึ
ั
้
้
้
้
ื
ี
่
ั
ี
ิ
ี
ท้งส้น กล่าวคือ สมัยแรกท่กิจการไปรษณีย์เป็นที่นิยมใช้กันอย่างกว้างขวาง การสอนทางไกลก็จะไปเก่ยว
กับการบริการทางไปรษณีย์ คือการเอาสิ่งพิมพ์ในรูปของต�าราส่งไปทางไปรษณีย์เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียน
ที่บ้าน
ต่อมาเมื่อวิทยุเข้ามามีบทบาทในการ สื่อสาร มหาวิทยาลัยทางวิทยุก็เกิดขึ้น และใช้สื่อวิทยุซึ่ง
ื
ื
เป็นส่อเสียงในการสอนและก็อาจมีส่อส่งพิมพ์ประกอบด้วยและเม่อโทรทัศน์เข้ามามีบทบาทในการส่อสาร
ื
ื
ิ
มวลชน ก็เกิดมีมหาวิทยาลัยที่สอนโดยใช้โทรทัศน์ร่วมกับเอกสาร สิ่งพิมพ์ มาถึงยุคปัจจุบันมีการพัฒนา
การด้านการสื่อสารหลาย ๆ อย่าง โดยมีความคิดว่าจะไม่ขึ้นอยู่กับสื่อสารใด สื่อสารหนึ่งเท่านั้น เพราะ
ื
จะทาให้ใช้ประโยชน์ไม่ได้เต็มท่ ต้องใช้การส่อสารหลายๆ รูปแบบท่เรียกว่า “การใช้ส่อสารแบบประสม”
�
ี
ี
ื
การบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศในสถานศึกษา
เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ส�าคัญในการบริหารจัดการศึกษาในยุคปัจจุบัน หากมี
การวางแผนในการบริหารจัดการที่ดีจะท�าให้บริหารงานในโรงเรียนเป็นระบบ สะดวก รวดเร็ว มีความ
น่าเชื่อถือในการน�าข้อมูลไปใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาสถานศึกษา
271
บทที่ 11 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
หลักการส�าคัญในการบริหารจัดการข้อสารสนเทศในโรงเรียนมี ดังนี้
1. ประชุมสร้างความตระหนักให้บุคคลกรทุกคนในโรงเรียนเห็นความส�าคัญของ การจัดระบบ
ข้อมูลสารสนเทศ
2. วางแผนจัดระบบงานในโรงเรียนให้เป็นหมวดหมู่
DO NOT COPY
3. มอบหมายให้ผู้รับผิดชอบแต่ละงานอย่างชัดเจน
4. ผู้รับผิดชอบด�าเนินการจัดท�าข้อมูลตามที่ได้รับมอบหมาย
5. นิเทศติดตามอย่างต่อเนื่อง
6. ตรวจสอบข้อมูลเป็นระยะ
7. สรุปผลและประเมิน
8. ประชาสัมพันธ์ให้ผู้เกี่ยวข้องทราบทุกปี
ื
�
การวิเคราะห์สังเคราะห์ให้ได้สารสนเทศเร่องต่างๆเพ่อการนาไปใช้ในการ บริหารจัดการการ
ื
เรียนการสอน หรือการด�าเนินงานใดๆ เพื่อให้เกิดประสิทธิ-ภาพสูงสุด เช่น สารสนเทศเกี่ยวกับชุมชน ผู้
ปกครอง นักเรียน เพื่อน�าไปสู่การจัดการเรียนการสอน สารสนเทศ เกี่ยวกับนักเรียน ผลการเรียนน�าไป
ใช้ในการ แก้ปัญหา หรือส่งเสริมกิจกรรมต่างๆ ของนักเรียน เป็นต้นการได้มาซึ่งสารสนเทศ จะได้มา
โดยวิธีใด ๆ ก็ได้ ซึ่งเดิม ใช้วิธี ออกแบบสอบถาม ส�ารวจ สัมภาษณ์ ฯลฯ ได้ข้อมูลมาแล้ว น�ามา แจง
นับ วิเคราะห์ สรุป กว่าจะได้สารสนเทศ(Information)มา ข้อมูลที่ได้ก็ล้าสมัยหรือไม่ทันต่อเวลา เพราะ
กระบวนการแบบเดิม ต้องใช้เวลา และแรงงาน ค่อนข้างมาก
ความส�าคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศด้านบริหารการศึกษา
�
ิ
เทคโนโลยีสารสนเทศมีความสาคัญอย่างย่งต่อการบริหารการศึกษา การปฏิบัติงานและการ
บริหารงานในปัจจุบัน ซึ่งสรุปความส�าคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศด้านบริหารการศึกษาได้ดังนี้
1) ท�าให้การบริหารจัดการของผู้บริหารการศึกษามีความสะดวกรวดเร็วและมีคุณภาพ
�
2) ทาให้การส่อสารและการประสานงานด้านการบริหารการศึกษาและการปฏิรูปการศึกษา
ื
สะดวกรวดเร็ว
3) ท�าให้พัฒนาการด้านการศึกษาของประเทศด�าเนินไปอย่างราบรื่นและมั่นคง
4) เป็นเครื่องมือส�าคัญที่จะท�าให้สามารถผลิตผู้จบการศึกษาทุกระดับที่มีคุณภาพได้
�
การนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการจัดการศึกษา
�
ในปัจจุบันผู้บริหาร หน่วยงานทางการศึกษานา นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการ
จัดการศึกษา เป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้หลายอย่าง อาทิ เช่น
1. อินเตอร์เน็ต (Internet) เพื่อใช้ในการศึกษาหาข้อมูล ข่าวสารทางวิชาการและอื่น ๆ จาก
ที่ต่าง ๆ เป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต
ื
2. จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Mail หรือ E-mail) เพ่อใช้รับส่งข่าวสาร ข้อมูล
รูปภาพ และส่งงานให้ครูอาจารย์ตรวจ
272 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
�
ื
3. การจัดทา Website ของสถานศึกษา เพ่อการเผยแพร่ขาวสารของสถานศึกษา เป็นการ
ประชาสัมพันธ์ระหว่างสถานศึกษากับ ผู้ที่เกี่ยวข้อง และบุคคลทั่วไป
์
4. การใช้โปรแกรม SPSS เพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งเป็นประโยชนต่อการท�าวิจัยใน
ชั้นเรียนของครูอาจารย์ การท�าวิจัยสถานบันของฝ่ายบริหาร และอื่น ๆ
DO NOT COPY
�
5. การทา PowerPoint เพ่อใช้ในการเรียนการสอนของครูอาจารย์ และใช้เสนอผลงานของ
ื
ผู้บริหารสถานศึกษา
6. คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction หรือ CAI) เพื่อช่วยให้ผู้เรียน
�
เรียนรู้ด้วยตนเองจากบทเรียนสาเร็จรูปในคอมพิวเตอร์
7. การเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Learning) หรือที่เรียกกันว่า E-Learning
เป็นการเรียนทางไกลที่ผู้เรียนสามารถโต้ตอบกับผู้สอนได้ โดยอาศัยเครือข่าย อินเตอร์เน็ต จึงช่วยให้
�
เรียนรู้ได้โดยไม่มีข้อจากัดของเวลา ระยะทาง และสถานที่ โดยผู้เรียนจะสามารถเรียนรู้ได้ตลอดเวลาจึง
ตอบสนองศักยภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนได้เป็นอย่างดี
8. ห้องเรียนอัจฉริยะ (Electronic Classroom หรือ E-Classroom) เป็นการจัดระบบบริหาร
จัดการห้องเรียน ที่ใช้การเรียนการสอนแบบ on-line และ ปฏิสัมพันธ์ (interactive) สามารถควบคุม
และและตรวจสอบกิจกรรมของนักเรียนได้โดยตรงจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของครูแบบ real time
์
9. หนังสืออิเล็กทรอนิกส (E-book) และ ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ (E-Library) เพื่เสริม การ
เรียนการสอน และใหบริการค้นคว้าหาความรู์แก่นักเรียน ครูอาจารย์ และประชาชน
้
10. การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ “ICT” (Information and Commu-
nication Technologies) เพื่อพัฒนาการศึกษา ปัจจุบันประเทศไทยโดยกระทรวงศึกษาธิการมีนโย
ื
ื
�
ี
บายสาคัญท่จะนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อสารมาใช้ เพ่อพัฒนาการส่อสารในทุกด้าน โดยเฉพาะ
�
ื
การช่วยพัฒนาครูอาจารย์ การช่วยให้เด็กและเยาวชนได้เข้าถึงแหล่งความรู้และได้เรียนอย่างทัดเทียม
กัน ตลอดจนการพัฒนาระบบบริหารจัดการให้ ฉับไว มีประสิทธิภาพสูงสุด
ประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศด้านบริหารการศึกษา
การใช้เทคโนโลยีบริหารการศึกษาของผู้บริหารการศึกษาระดับต่างๆ นั้นโดยทั่วไปก็เพื่อให้งาน
ี
ต่างๆ ท่ต้องรับผิดชอบสาเร็จลุล่วงด้วยดี ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าเทคโนโลยีบริหารการศึกษามีประโยชน์
�
ดังต่อไปนี้
ี
1) ช่วยในการจัดเก็บข้อมูลเก่ยวกับการศึกษาเอาไว้เป็นหมวดหมู่ในฐานข้อมูลของหน่วยงาน
โดยเฉพาะข้อมูลบางอย่างอาจจัดเก็บเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ได้โดยอัตโนมัติ เมื่อจัดเก็บไว้ในฐานข้อมูล
แล้วก็สามารถค้นคืนข้อมูลต่างๆ มาใช้ได้อย่างรวดเร็วและครบถ้วน
�
2) ช่วยในการประมวลผลข้อมูลท่จัดเก็บไว้เพ่อให้เป็นสารสนเทศรูปแบบต่าง ๆ เช่น จัดทาเป็น
ี
ื
รายงาน ตาราง กราฟ และ แผนภาพต่างๆ ได้แบบอัตโนมัติ ท�าให้ผู้บริหารได้รับทราบรายงานและเข้าใจ
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
273
บทที่ 11 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
3) ช่วยในการประเมิน หรืองานประกันคุณภาพ เพื่อให้แน่ใจว่าการปฏิบัติงานจะได้ผลที่บรรลุ
วัตถุประสงค์และเป้าหมายจริง
ี
4) ช่วยในการส่งข้อมูลและรายงานท่ประมวลผลได้แล้วไปให้ผู้รับท่อาจจะอยู่ห่างไกลจาก
ี
ั
้
่
ู
้
้
�
้
ั
ู
้
ั
้
้
ั
ู
ู
่
่
็
้
็
ี
หนวยงาน ทาใหผรบไดรบขอมลและรายงานอยางรวดเรว โดยเฉพาะสวนทเปนขอมลนนหากผรบตองการ
่
DO NOT COPY
น�าไปใช้ประมวลผลต่อก็สามารถท�าได้ทันที ไม่ต้องบันทึกข้อมูลใหม่อีกครั้ง
5) ช่วยในการน�าเสนอรายงานหรือข้อเสนอต่างๆ ต่อผู้บังคับบัญชา หรือ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียใน
ระหว่างการประชุมสัมมนา
ี
6) ช่วยในการจัดเก็บความรู้และประสบการณ์ท่ได้รับระหว่างการปฏิบัติงาน และ การดูงาน
�
�
�
เพ่อสร้างเป็นฐานความรู้สาหรับนามาให้ผู้บริหารระดับล่างได้ศึกษาและนาไปใช้ประกอบการปฏิบัติงาน
ื
�
�
เช่น ความรู้จากการเปิดสาขาวิชาหรือหลักสูตรใหม่ว่ากาหนดแนวทางไว้อย่างไร การดาเนินงานได้ผล
อย่างไร มีปัญหาอุปสรรคและแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างไร ผลของการแก้ปัญหาเป็นอย่างไร
7) ช่วยให้ผู้บริหารสามารถทดสอบการตัดสินใจของตนได้โดยอาศัยโปรแกรมสนับสนุนการ
ตัดสินใจ จากนั้นก็อาจเลือกด�าเนินงานโดยใช้แนวทางที่เห็นว่าดีที่สุดได้
8) ช่วยในงานบริหารโดยตรงของผู้บริหาร เช่น การบริหารงานโครงการ การบันทึกตาราง
ี
�
นัดหมาย การบันทึกข้อมูลส่วนตัว การจัดทาเอกสารท่ยังไม่ต้องการเปิดเผย การคานวณหรือการประมวล
�
ผลบางอย่าง
11.5 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาชุมชน สังคม 6
ระบบสารสนเทศชุมชน (Community Informatics: CI) จึงเป็นเครื่องมือที่ส�าคัญที่ใช้ในการ
พัฒนาชุมชน โดยชุมชนเอง เพื่อให้ชุมชนมีข้อมูลสารสนเทศ และความรู้ส�า หรับใช้ในการแก้ปัญหาของ
ั
ชุมชน และวางแผนการพัฒนาอย่างย่งยืน รวมถึงเป็นการลดช่องว่างของประชาชนในการเข้าถึง
สารสนเทศ (Digital Divide) (Miller, 1999; Gurstein, 2000; Bishop & Bruce, 2005) ซึ่งสอดคล้อง
ี
�
ึ
กับ มาลี กาบมาลา (2552) ท่ได้ทา การศึกษาพบว่าการจัดทาแผนพัฒนาในระดับตาบล ซ่งเป็นการ
�
�
ี
วางแผนการพัฒนาในระดับท่ใกล้ชิดกับชุมชนมากท่สุดน้น กาลังประสบปัญหาการขาดข้อมูลและ
ั
ี
�
ี
ิ
สารสนเทศสา หรับใช้ในการวางแผนการพัฒนา ดังน้นจึงมีความจา เป็นอย่างย่ง ท่จะต้องมีระบบ
�
�
ั
สารสนเทศชุมชน เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้วยเหตุนี้ผู้เขียนจึงขอเสนอบทความทบทวนวรรณกรรมที่
ี
มีสาระเก่ยวกับ (1) ความหมาย และหลักการของระบบสารสนเทศชุมชน (2) องค์ประกอบ การออกแบบ
การพัฒนา และการประเมินผลระบบสารสนเทศชุมชนโดยใช้ทฤษฎีระบบเป็นกรอบในการวิเคราะห์
เนื้อหา
6 เผด็จ จินดา, ระบบสารสนเทศชุมชน เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน, [ออนไลน์], แหล่งที่มา : https://
tci-thaijo.org/index.php/jiskku/article/download/6416/5608/ [28 กุมภาพันธ์ 2562]