The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by nirandorn.ler, 2020-05-20 10:22:11

พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ

274 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ


ความหมายและหลักการของระบบสารสนเทศชุมชน
ระบบสารสนเทศชุมชน (Community Informatics : CI) คือ ระบบข้อมูล สารสนเทศ และ













ความรทมงเนนในการสรางประชาสงคม สรางความเขมแขงใหกบชมชน ใหสามารถบรหารจดการตนเอง








แก้ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตประจา วันเพ่อให้มีคุณภาพชีวิตท่ดีข้น ในทางวิชาการถือว่าระบบสารสนเทศ

DO NOT COPY
ชุมชนเป็นศาสตร์ที่มีลักษณะเป็นสหวิทยาการ (Interdisciplinary) ส�าหรับใช้ในการค้นหาปัจจัยต่าง ๆ
ทางด้านสังคมและด้านวัฒนธรรม ท่ส่งผลให้เกิดการพัฒนาชุมชน ซ่งประกอบไปด้วยวิทยาการด้าน


สังคมศาสตร์ (Social Science) วิทยาการด้านระบบสารสนเทศ (Information System) และวิทยาการ
ด้านเทคโนโลยีและการสื่อสาร (Technology & Communication) เพื่อที่จะได้ท�า ความเข้าใจถึงวิธี
การ ในการสร้างและแลกเปลี่ยนข้อมูลสารสนเทศ และความรู้ต่างๆ ในชุมชน นักวิจัยทางด้าน CI คือ
ผู้ที่ท�าหน้าที่เป็นแกนกลางระหว่าง คน ชุมชน องค์กรในชุมชน และระบบสารสนเทศ เพื่อร่วมกันค้นหา






ว่าทุกภาคส่วนท่กล่าวมาน้สามารถร่วมกนแก้ปัญหาพ้นฐานของชมชนได้อย่างไร เพื่อให้ได้คาตอบในด้าน








การพัฒนาชมชน การเรียนรู้ชมชน และความยงยืนในการพฒนาชุมชน ซงในบริบทน้ถอว่าเป็นความ



พยายามท่จะสนับสนุนให้การใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม จาแนกข้อมูล
สารสนเทศและความรู้ที่ได้จากระบบสารสนเทศชุมชน ในแง่มุมของการให้บริการออกเป็น 2 ประเภท
คือ
(1) สารสนเทศพื้นฐานที่ใช้ในการด�ารงชีวิตประจ�าวัน เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่ง
ข้อมูลในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ข้อมูลทางด้านสุขภาพ ข้อมูลทางด้านที่อยู่อาศัย ข้อมูลทาง
ด้านรายได้และโอกาสทางเศรษฐกิจ ข้อมูลทางด้านนโยบายของรัฐ กฎหมาย และสิทธิประโยชน์ต่างๆ
และข้อมูลในสภาวะวิกฤติเป็นต้น และ
(2) สารสนเทศท่เก่ยวข้องกับกิจกรรมของประชาชนในชุมชน สาหรับใช้ในการสร้างการม ี




ส่วนร่วมของประชาชนในชุมชนน้นๆ ท้งในระดับบุคคล และระดับกลุ่มบุคคล เช่น ข้อมูลกิจกรรมดาเนิน


การของสมาชิกในกลุ่มหรือชมรมต่างๆ ในชุมชน เป็นต้น
องค์ประกอบของระบบสารสนเทศของชุมชน
องค์ประกอบของระบบสารสนเทศของชุมชนประกอบด้วย 2 ส่วน ดังนี้
1) ระบบสารสนเทศ (Information System) หมายถึง กลุ่มของระบบงานที่ประกอบไปด้วย


ระบบคอมพิวเตอร์และเคร่องมือ(Hard ware & Equipment) ระบบโปรแกรมข้อมูลและส่อต่าง ๆ
(Software & Multimedia) ระบบบุคคล (People ware & Staffing) และระบบเทคโนโลยีและการ
สื่อสาร (Technology & Communication) ที่ท�าหน้าที่ในการสร้าง รวบรวม ประมวล จัดการ จัดเก็บ
ค้นหา ค้นคืนและเผยแพร่ข้อมูล สารสนเทศ ความรู้ เพื่อใช้ในการวางแผน การพัฒนา การตัดสินใจ การ
ประสานงาน การบริการ และการควบคุมงาน 7
7 ทิพวรรณ หล่อสุวรรณรัตน์, ระบบสารสนเทศเพ่อการจัดการ : Management Information

System, (พิมพ์ครั้งที่ 7), (กรุงเทพฯ : แซทโฟร์ พริ้นติ้ง, 2548), หน้า 6.

275
บทที่ 11 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ


2) ข้อมูลชุมชน (Community profiling) ประกอบไปด้วย

(1) ข้อมูลสถิติด้านประชากร (Statistical data) คือ ข้อมูลประชากรและท่เก่ยวข้องกับ

ข้อมูลประชากร ได้แก่ รายได้และอาชีพ การมีงานท�าความมั่นคงด้านครัวเรือน การศึกษา สุขภาพและ
อนามัย สวัสดิการสังคม ความปลอดภัยทางสังคมและการมีส่วนร่วม เป็นต้น ซึ่งข้อมูลส่วนนี้ได้มาจาก
DO NOT COPY



การสารวจและปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลาโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถ่น เช่น เทศบาลตาบล
องค์การบริหารส่วนต�าบล และหน่วยงานทางด้านสุขภาพ เช่น โรงพยาบาลชุมชน สถานีอนามัย เป็นต้น
(2) ข้อมูลสารสนเทศด้านเศรษฐกิจ และสังคม (Socio-economic information) ได้แก่
ผลิตภัณฑ์มวลรวม ประเภทของธุรกิจในชุมชนการจดทะเบียนบริษัท การเงิน เกษตรกรรม อุตสาหกรรม


การค้าและบริการ การผลิตและการตลาดสินค้าชุมชนการท่องเท่ยว การให้บริการในชุมชน กฎหมาย กฎ
8
ระเบียบของชุมชน อาสาสมัครต่างๆ สถานบันเทิง สถานที่ประชุม เป็นต้น
(3) ข้อมูลปัญหาในท้องถิ่น (Local issues) ได้แก่ การด้อยพัฒนาการว่างงาน คนยากจน

โครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้นและ
(4) มุมมองของชุมชน (Residents’ viewpoints) ได้แก่ จดหมายประกาศ หนังสือพิมพ์



ท้องถ่น โทรทัศน์และวิทยุชุมชน ข้อมูลจากกลุ่มบุคคล ประชาคม ข้อมูลท่ไม่เป็นทางการท่ได้จากการ
สังเกต เช่น ในร้านอาหารร้านค้า สวนสาธารณะ เป็นต้น
สรุปเม่อพิจารณาระบบสารสนเทศชุมชนในแง่มุมของหลักการ องค์ประกอบ ข้นตอนการ






ออกแบบการพัฒนาระบบฯ และแนวทางในการประเมินผลแล้วพบว่าระบบสารสนเทศชมชนนนกคอ




ระบบสารสนเทศแบบหน่งท่ถูกพัฒนาข้นเพ่อใช้เป็นเคร่องมือในการพัฒนาชุมชนโดยชุมชนเอง ซ่งในอดีต



ระบบคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตยังไม่แพร่หลายก็จะใช้วิธีการท�า งานแบบดั่งเดิม (Traditional) เป็น
หลัก แต่ในปัจจุบันคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตมีการใช้งานอย่างกว้างขวางครอบคลุมทุกภาคส่วน รวม









ถงในชมชน จงส่งผลให้ระบบสารสนเทศชมชนได้ปรบวธการทา งานไปส่ดจทล (Digital) มากขน แต่





ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนในการทางานก็ตาม ก็ยังคงวัตถุประสงค์และเป้าหมายเดิม คือการพัฒนาชุมชน และ

การลดช่องว่างของประชาชน (Digital Divide) ในการเข้าถึงข้อมูล สารสนเทศ และความรู้นั่นเอง
11.6 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเผยแพร่พระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนาได้ดารงอยู่ท่ามกลางกระแสการเปล่ยนแปลงของโลกมายาวนานถึง 2600 ปี





จนถึงยุคของเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อสาร ซ่งเทคโนโลยีดังกล่าวได้เช่อมโยงให้โลกมีความเป็น


หน่งเดียวกัน มวลมนุษยชาตสามารถเข้าถึงและรบรู้ข้อมูลข่าวสารได้อย่างรวดเรวในมตของพระพทธ




ศาสนาน้น เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อสารได้ส่งผลกระทบท้งด้านบวกและด้านลบต่อพระพุทธ




8 มาลี กาบมาลา, การพัฒนาออนโทโลยีเพ่อบูรณาการข้อมูลสาหรับการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ,

ขอนแก่น : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 2552), หน้า 30.

276 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ





ศาสนา ตวอย่างของผลกระทบด้านบวก เช่น การเผยแพร่พระพทธศาสนาได้อย่างรวดเรว กว้างขวาง



ท่วโลก ผู้คนสามารถเข้าถึงพระธรรมคาสอนผ่านทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อสารได้โดยสะดวก
ทุกทีทุกเวลาในขณะเดียวกันก็ส่งผลกระทบด้านลบ เช่น การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อสาร

เผยแพร่คาสอนของพระพุทธศาสนาท่ไม่ถูกต้องเหมาะสม การดูหม่นพระพุทธศาสนาโดยกลุ่มคน



DO NOT COPY
ต่างศาสนา 9
พระสงฆ์ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศตามหน้าท่และบทบาทในมหาปรินิพพานสูตร

ดังนี้
10
1) ด้านการศึกษาพระธรรม ผลจากการท่ภิกษุอาศัยส่อการเรียนการสอน เทคโนโลยีสารสนเทศ




ท่พัฒนาให้ทันสมัยมากข้นมาโดยตลอด ช่วยให้ปัจจุบันพระภิกษุสามารถเรียนรู้พระธรรมวินัยได้อย่าง

รวดเร็ว อย่างสะดวก และอย่างครอบคลุม ส่งผลให้ภิกษุสามารถสอบได้เปรียญธรรม 9 ประโยค มีจานวน
มากขึ้นเป็นล�าดับทุกปี




2) ด้านการนาความรู้น้นไปประพฤติปฏิบติ ในการนาความรู้ไปปฏิบัติบางคร้งภิกษุบางรูปอาจ

หลงลืมหรือสงสัยพระธรรมวินัยบางส่วนหรือบางข้อได้ ภิกษุรูปน้นก็จะสามารถนา ระบบเทคโนโลย ี


สารสนเทศมาช่วยสอบทวนความเข้าใจได้โดยง่ายจนสิ้นสงสัย
3) ด้านการเผยแผ่พระศาสนาเพื่อให้บุคคลอื่นเข้าใจและน�าไปประพฤติปฏิบัติปัจจุบันโลกอยู่


ในยุคโลกาภิวัตน์จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าคนส่วนใหญ่ ใช้เวลากับเทคโนโลยีสารสนเทศมากข้นเป็นลาดับ ดังน้น

หากต้องการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้แพร่หลายครอบคลุม และรวดเร็ว ก็ไม่พ้นท่จะต้องอาศัยเทคโนโลย ี

สารสนเทศ
4) ด้านการปกป้องพระศาสนา ในเวลาเดียวกันหากมีผู้ใดจ้วงจาบพระธรรมวินัยไม่ว่าจะโดย

ต้งใจหรือไม่ต้งใจก็ตาม ก็สามารถใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเคร่องมืออธิบายความเป็นจริงของพระ


วินัยแก่ผู้นั้นได้สะดวกรวดเร็วเช่นเดียวกัน
คณะสงฆ์ คือ กลุ่มพระภิกษุที่ร่วมกันเพื่อปฏิบัติกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง บทบาทหน้าที่ของคณะ
สงฆ์เรียกว่า “การคณะสงฆ์” ซึ่งหมายถึง งานของคณะสงฆ์ได้แก่ กิจการที่คณะสงฆ์ต้องถือหรือควรถือ


เป็นธุระหน้าท่เพราะเป็นกิจการขององค์กรปกครองคณะสงฆ์ทุกส่วนและทุกช้น เพราะคณะสงฆ์ต้อง




ดาเนินกิจการคณะสงฆ์โดยแท้ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์พ.ศ.2505 และท่แก้ไขเพ่มเติมฉบับท่ 2 พ.ศ.
2535 มาตรา15 ตรีและข้อ 5 แห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบับท่ 23 (พ.ศ.2541) ว่าด้วยระเบียบการปกครอง

9 ทศพนธ์นรทัศน์, [ออนไลน์], แหล่งที่มา : เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารกับพระพุทธศาสนา,
[1 ตุลาคม 2555] จากManager [ออนไลน์], แหล่งที่มา : http:// www.manager.co.th/mwebboard/printCom-
ment.aspx?QNumber= [7 พฤษภาคม 2562]
10 ยิ่งศักดิ์นิติสิงห์, (2557), ความจ�าเป็นของพระสงฆ์ไทยกับการใช้ ICT ในยุคปัจจุบัน, [2 มกราคม
2558], จาก http:// www.phd.mbu.ac.th/index.php/2014-08-28-08-57-4/100-ict.

277
บทที่ 11 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ


คณะสงฆ์กล่าวถึง “การ” ไว้โดยชัดเจน 6 ประการ คือ การรักษาความเรียบร้อยดีงาม การศาสนศึกษา
การศึกษาสงเคราะห์การเผยแผ่พระพุทธศาสนา การสาธารณูปการ และการสาธารณสงเคราะห์ นอกจาก

11
น้ พระเลิศพิพัฒน์ จนฺทปญฺโญ กล่าวถึงบทบาทของพระสงฆ์ในสังคมโลภาภิวัตน์โดยเร่มจากบทบาท



ภายในของคณะสงฆ์เองแล้วส่งผลต่อสังคม ต่อชุมชนในวงกว้างย่งข้น อันได้แก่ บทบาทด้านการปกครอง
DO NOT COPY
ด้านการศึกษา และการศึกษาสงเคราะห์ด้านการเผยแผ่ ด้านสาธารณูปการและสาธารณสงเคราะห์
สรุปท้ายบท
เทคโนโลยีสารสนเทศมีความก้าวหน้า มีความทันสมัย และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและมีการ

เปลี่ยนแปลงรูปแบบการสื่อสาร มีการพัฒนาให้เป็นการสื่อสารแบบสองทาง ส่งผลให้การกระจายข้อมูล



ข่าวสารเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ท้งน้ได้มีการนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในหลายสาขา
วิชาชีพ ทั้งในด้านการเรียนรู้ การศึกษา การด�าเนินชีวิต พัฒนาชุมชน สังคม ด้านธุรกิจ ด้านการสื่อสาร
ทาให้คุณภาพชีวิตของในสังคมดีข้น เทคโนโลยีสารสนเทศถือเป็นเคร่องมือท่สาคัญในการจัดการและ






การกระจายสารสนเทศไปยังผู้ใช้ได้อย่างท่วถึงและมีประสิทธิภาพ อีกท้งผู้ใช้สามารถนาสารสนเทศไปใช้


ประโยชน์ในการประกอบการตัดสินใจ การวางแผน การแก้ปัญหา การพัฒนา ได้เป็นอย่างดี



การนาเอาเทคโนโลยีสารสนเทศไปใช้ประโยชน์เพ่อการตัดสินใจ การดาเนินชีวิต การพัฒนา
อาชีพ การพัฒนาการศึกษา การพัฒนาองค์กร การพัฒนาตนเอง การพัฒนาชุมชน สังคม และประเทศ
ชาติ ได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ
การน�าเทคโนโลยีมาใช้ในเรื่องต่าง ๆ เช่น การพิมพ์ การสื่อสาร การกระจ่ายข่าวสารทางสถาน
ท่วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และส่อต่าง ๆ จะเห็นได้ชัดว่าการพัฒนาในแต่ละด้านได้พัฒนาไปอย่าง



รวดเร็ว มีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด มีการใช้คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศเข้าไปเก่ยวข้องใน

ชีวิตความเป็นอยู่เก่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศ ข้อมูลข่าวสารจานวนมาก สังคมในปัจจุบันเป็นสังคม




ไร้พรมแดนเพราะมีการเช่อมโยงกันโดยเทคโนโลยีสารสนเทศ ดังน้นมนุษย์ในสังคมปัจจุบันจึงจาเป็นต้อง
มีความรู้ทางเทคโนโลยีสารสนเทศ และต้องสามารถน�าความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในด้านต่าง ๆ ดังนี้
1) การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้
2) การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา
3) การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการด�าเนินชีวิต
4) การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาชุมชน สังคม

ส่วนส�าหรับพุทธบริษัท 4 คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา นอกเหนือจากด้านต่าง ๆ

ข้างต้นแล้ว จาเป็นต้องมีความรู้และสามารถนาความรู้มาประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพ่อการ


เผยแพร่พระพุทธศาสนา

11 พระเลิศพิพัฒน์ จนฺทปญฺโญ, วารสารการศึกษาและพัฒนาสังคม, 2554, 7 (2), 6-16.

278 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ


ค�าถามท้ายบท


ตอนที่ 1 ค�าชี้แจง : ข้อสอบอัตนัย มีทั้งหมด 10 ข้อ ให้นิสิตท�าทั้งหมด
1. จงอธิบาย ความหมาย ความสาคัญ ประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศ และอิทธิพลของ

DO NOT COPY
เทคโนโลยีสารสนเทศที่มีต่อการเรียนรู้ ตามความเข้าใจ พร้อมยกตัวอย่างมาโดยสังเขป
2. การเรียนรู้รายบุคคล (Individualized Instruction) การเรียนรู้ตามอัธยาศัย(Informal edu-

cation) และการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) เหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร จงอธิบาย
3. จงอธิบายลักษณะเด่น ข้อดี ข้อจากัดของการเรียนรู้แบบออนไลน์ (E-learning) ตามความเข้าใจ

มาโดยสังเขป

4. จงอธิบายถึงอิทธิพลของเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีการศึกษาในยุคปัจจุบัน พร้อมยกตัวอย่างมา
โดยสังเขป
5. กูเกิล (Google) เป็นโปรแกรมที่มีคุณสมบัติที่หลากหลายมีอะไรบ้าง? อธิบายพร้อมยกตัวอย่าง

มาโดยสังเขป

6. นิสิตคิดว่าในอนาคตการเรียนรู้จะเปล่ยนแปลงไปในทิศทางใด วิเคราะห์และอธิบายตามความ
เข้าใจมาโดยสังเขป

7. เทคโนโลยีสารสนเทศท่เข้ามาช่วยในการบริหารการศึกษามีอะไรบ้าง? และเข้ามาช่วยการศึกษา

อย่างไร

8. ให้นิสิตอธิบายถึงเทคโนโลยีสารสนเทศท่เข้ามาช่วยในการพัฒนาชุมชนว่ามีอะไรบ้าง? พร้อมยก

ตัวอย่างมาโดยสังเขป




9. นิสิตคิดว่าเทคโนโลยีสารสนเทศอะไรท่พระภิกษุสามเณรจาเป็นต้องเรียนรู้เพ่อเป็นเคร่องมือใน
การเผยแพร่พระพุทธศาสนา? พร้อมอธิบายมาโดยสังเขป

10. นิสิตคิดว่าเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นภัยหรือเป็นสาเหตุท่จะคุกคามพระพุทธศาสนาทาให้

พระพุทธศาสนาเสื่อมไปจากประเทศไทย
ตอนที่ 2 ค�าชี้แจง : ค�าถามปรนัย มีทั้งหมด 10 ข้อ ให้ท�าเครื่องหมาย x ทับข้อ ก ข ค
หรือ ง ที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว

1. เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง
ก. ข้อมูลจากการศึกษาค้นคว้าสารสนเทศ เป็นความรู้และข่าวสารที่ส�าคัญที่มีลักษณะพิเศษ ทั้ง

ในด้านการได้มาและประโยชน์ในการน�าไปใช้ปฏิบัติ
ข. เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บ ประมวลผล และเผยแพร่สารสนเทศ



ค. ความรู้หรือข้อมูลและข้อเท็จจริงต่างๆ ท่ได้รับการประมวลแล้วและสามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้

ง. ข้อมูลต่าง ๆ ท่ได้ผ่านการเปล่ยนแปลงหรือมี การประมวลหรือวเคราะห์ผลสรุปด้วยวิธีการต่าง ๆ



279
บทที่ 11 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ


2. เทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา หมายถึง
ก. เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บ ประมวลผล และเผยแพร่สารสนเทศ



ข. ความรู้หรือข้อมูลและข้อเท็จจริงต่าง ๆ ท่ได้รับการประมวลแล้วและสามารถนาไปใช้ประโยชน์
ได้
DO NOT COPY
ค. ข้อมูลต่างๆ ท่ได้ผ่านการเปล่ยนแปลงหรือมี การประมวลหรือวิเคราะห์ผลสรุปด้วยวิธีการต่างๆ


ง. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับงานด้านการศึกษา
3. ข้อใดเป็นระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา
ก. ระบบการลงทะเบียน ข. ระบบคมนาคม

ค. ระบบภาษีอากร ง. ระบบทะเบียนราษฎร์
4. ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา

ก. เพิ่มโอกาสในการเรียนรู้ให้กับผู้พิการทางสายตาหรือหู
ข. ให้ผู้ท่อยู่ห่างไกลหรือไม่สะดวกในการเดินทางสามารถได้รับการศึกษาเช่นเดียวกับผู้ท่อยู่ในเมือง


ค. ช่วยเสริมประสิทธิภาพการเรียนการสอนในวิชาต่าง ๆ
ง. ช่วยประหยัดค่าจ้างครูผู้สอน

5. ข้อใดเป็นปัญหาและอุปสรรคในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา











ก. สถานศกษาหลายแห่งและหลายพนท ทโทรศัพท์ยงเข้าไม่ถง และคอมพวเตอร์ยงไม่มีหรอ

มีไม่เพียงพอต่อความต้องการ
ข. ท�าให้บทเรียนมีความน่าสนใจมากขึ้น และเกิดความเข้าใจได้ง่ายขึ้น
ค. ทาให้ผู้ท่อยู่ห่างไกลหรือไม่สะดวกในการเดินทางสามารถได้รับการศึกษาเช่นเดียวกับผู้ท่อยู่ใน



เมือง
ง. มีการแข่งขันของบริษัทผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากยิ่งขึ้น
6. การเรียนรู้แบบออนไลน์ (E-Learning) มีลักษณะอย่างไร
ก. การเรียนนอกสถานที่ ข. การเรียนการสอนผ่านดาวเทียม
ค. การเรียนการสอนโดยใช้สื่อ PowerPoint ง. การเรียนการสอนผ่าน World Wide Web
7. การเรียนรู้แบบออนไลน์ (e-learning) คือข้อใด
ก. การจัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนเรียนผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์อินเทอร์เน็ต (Internet)

ข. ซอฟต์แวร์ส�าเร็จรูปที่น�าเสนอเนื้อหาบทเรียนที่ยากต่อการเข้าใจ มาพัฒนาในรูปแบบภาพนิ่ง
ภาพเคลื่อนไหว และเสียง

ค. สื่อน�าเสนอข้อมูลบนเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือการรวบรวม หน้าเว็บเพจหลายหน้า
ง. หนังสือที่สร้างขึ้นด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ มีลักษณะเป็นเอกสาร อิเล็กทรอนิกส์

บทที่ 12

การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในยุคดิจิทัล



DO NOT COPY




วัตถุประสงค์การเรียนประจ�าบท
เมื่อได้ศึกษาเนื้อหาในบทนี้แล้ว ผู้ศึกษาสามารถ

1. บอกความส�าคัญของการเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้
2. บอกรูปแบบการเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้

3. อธิบายการใช้ Social Media ในงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้อย่างเหมาะสม

4. สามารถสร้างเน้อหาสาหรบงานเผยแผพระพทธศาสนาด้วยระบบจัดการเน้อหา





(Content Management System : CMS) ได้อย่างเหมาะสม
ขอบข่ายเนื้อหา
• ความน�า
• ความส�าคัญของการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
• รูปแบบการเผยแผ่พระพุทธศาสนา

• การใช้ Social Media ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
• การสร้างเนื้อหาส�าหรับการเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วยระบบจัดการเนื้อหา (Con-

tent Management System : CMS)

284 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ


12.1 ความน�า
การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสังคมปัจจุบัน มีแนวโน้มใช้วิธีการสื่อสารเพื่อสร้างการเข้าใจและ



เข้าถึงด้วยส่อแลเทคโนโลยีท่ทันสมัย สามารถเผยแผ่หลักคาสอนโดยการประยุกต์ให้เหมาะกับสถานการณ์














การเผยแผคาสอนผานสอสังคมออนไลนมระบบเครอขายและจะกลายเปนเครอขายสงคมพระพทธศาสนา
DO NOT COPY
ออนไลน์ที่สามารถศึกษาได้ทุกหนทุกแห่งและตลอดเวลา
รูปแบบของการเผยแผ่พระพุทธศาสนามีพัฒนาการมาตามล�าดับ เริ่มจากยุคแรกที่มีการเผยแผ่
ศาสนาโดยวิธีปากต่อปาก เรียกว่า “มุขปาฐะ” จากนั้นค่อยพัฒนาตามยุคสมัย เช่น จารึก พิมพ์หนังสือ

จนกระท่งปัจจุบัน มีคาสอนของพระพุทธศาสนาปรากฏบนโลกไซเบอร์มากข้นในหลากหลายรูปแบบ




แม้แต่หลักคาสอนของพระพุทธศาสนาก็มีพระไตรปิฎกฉบับออนไลน์ มีเว็บไซต์อธิบายคาสอนทางศาสนา
เผยแผ่ทางอินเทอร์เน็ตจ�านวนมาก อาจกล่าวได้ว่าค�าสอนของพระพุทธศาสนาได้รับการเผยแผ่และเข้า
ถึงพุทธศาสนิกชนมากขึ้น






ดังน้น เน้อหาของบทน้จึงได้เสนอความเข้าใจเบ้องต้นเก่ยวกับความสาคัญและรูปแบบการเผยแผ่


พระพุทธศาสนา และเน้อหาท่ให้ความสาคัญต่อการการใช้ Social Media ในงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา






และสามารถสร้างเน้อหาสาหรบงานเผยแผพระพทธศาสนาด้วยระบบจัดการเน้อหา (Content Manage-

ment System : CMS) ได้อย่างเหมาะสม
12.2 ความส�าคัญของการเผยแผ่พระพุทธศาสนา


พระพุทธศาสนาได้อุบัติข้นมาแล้วกว่า 2 พันปี ปัจจัยสาคัญท่ทาให้ดารงอยู่นาน คือ มีการประกาศ




เผยแผ่สืบทอดศาสนธรมในหมู่พุทธสาวกกันมาโดยลาดับ โดยพุทธสาวกเหล่าน้นต่างยึดถืออุดมคติการ

เผยแผ่พระพุทธศาสนาที่พระพุทธองค์ตรัสประทานเป็นพระโอวาทในคราวส่งพระอรหันตสาวก 60 รูป


ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในคามนิคมต่างๆ ท่มีใจความว่า “...ภิกษุท้งหลาย พวกเธอจงเท่ยวจาริกไป

เพอประโยชน์เกอกลแก่ชนหม่มาก เพอความสขแก่ชนหม่มาก เพออนเคราะห์ชาวโลก เพอประโยชน์
















เก้อกูลและความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ท้งหลาย...” เป็นหลักวิสัยทัศน์ในการประกาศพุทธธรรม พร้อม

1


ท้งนาเอาหลักการและวิธีการท่พระพุทธองค์ทรงประทานเป็นพระโอวาทปาติโมกข์ เม่อคราวประชุมพระ


อรหันตสาวกครั้งใหญ่ที่เรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต ณ พระวิหารเวฬุวัน มาเป็นพันธกิจและกลยุทธ์ในการ
เผยแผ่พระพุทธศาสนา





การเผยแผ่หลักพุทธธรรมมีความสาคัญย่งต่อสถานการณ์พระพทธศาสนา ท้งในอดีตและปัจจุบน


พระสงฆ์ได้เลือกหลักพุทธธรรมเพ่อนามาแสดงให้แก่ประชาชนได้รักษารูปแบบสืบทอดเป็นประเพณี และ
ท�าให้ประชาชนรู้จัก เข้าใจ เข้าถึง พระพุทธศาสนาอย่างกว้างขวาง ดังนั้น จึงมุ่งให้บุคคลพึงละเว้นกรรม
ชั่ว ประกอบสัมมาอาชีวะ ประกอบอาชีพอยู่ในกรอบแห่งศีลธรรม ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน ไม่เอารัด
1 วิ.ม. (ไืทย) 4/32/49/50.

บทที่ 12 การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในยุคดิจิทัล 285




เอาเปรียบกัน ไม่ให้ประกอบอาชีพท่เป็นภัยหรืออันตรายต่อผู้อ่นหรือแม้กระท่งตนเองและครอบครัว ด้วย

เหตุนี้ การเผยแผ่พระพุทธศาสนาจึงนับเป็นภารกิจโดยตรงของพระภิกษุพุทธสาวกในพระพุทธศาสนาที่
เมื่อท�าหน้าที่ของตนให้บริบูรณ์ ด้วยการศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยจนแตกฉาน และประพฤติปฏิบัติ




ตามหลักพระธรรมวินัยท่ศึกษามาแล้วน้น จนมีภูมิรู้ภูมิธรรมเข้มแข็งและอุทิศตนทาหน้าท่เผยแผ่พระพุทธ
DO NOT COPY
ศาสนา เช่น การแสดงธรรม การบรรยายธรรม การสนทนาธรรม ตลอดถึงการปฏิบัติกัมมัฏฐานให้เป็น
แบบอย่าง สามารถเลือกสรรน�ามาบูรณาการปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจ�าวัน ก่อให้เกิดเป็นวิถี












พทธ คอ วถไทย ดารงอยอยางสงบสขมาชานานไดกเพราะอาศยบรรพชนไทย ทงฝายบรรพชตและคฤหสถ ์






ผู้มีวิสัยทัศน์อันกว้างไกล มองเห็นคุณค่าและความสาคัญของพระพุทธศาสนา ได้ทุ่มเทเสียสละช่วยกัน





ประกาศเผยแผ่พระพทธศาสนา เพ่อให้เป็นรากฐานแห่งวิถชีวตและขนบธรรมเนียมประเพณีอนดีงาม

ของสังคมไทยตลอดไป
12.3 รูปแบบการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
การเผยแผ่พระพุทธศาสนาน้นมีรูปแบบและวิธีการท่หลากหลาย ไม่จากัดตายตัวเฉพาะรูปแบบ



ใดรูปแบบหน่ง แม้แต่การแสดงอาการสารวมอิริยาบถให้สงบเรียบร้อยงดงามก็ถือว่าเป็นรูปแบบหน่งของ




การเผยแผ่พระพุทธศาสนา ดังเช่น นักบวชอาชีวกผู้หน่งช่อว่า อุปกะ เดินสวนทางกับพระพุทธองค์ท ี ่













กาลงเสดจม่งไปยงป่าอสปตนมฤคทายวน เพอทรงแสดงธรรมโปรดพระปัญจวคคย์ เพยงได้พบเหน


พระพุทธลีลาที่สงบเรียบร้อยเท่านั้น เขาเกิดความประทับใจตรงเข้าไปสนทนาด้วย ภายหลังจากนั้น เขา

ไปใช้ชีวิตฆราวาสแต่งงานมีครอบครัว แล้วเกิดความเบ่อหน่าย ได้กลับมาขอบวชกับพระพุทธองค์และ
บรรลุธรรมได้ในท่สุด หรือแม้แต่อุปติสสปริพาชกท่เข้ามาบวชเป็นกาลังสาคัญของพระพุทธศาสนาในนาม




อุโฆษเป็นที่รู้จักกันว่า พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระ ก็เพราะเลื่อมใสในอิริยาบถที่ส�ารวมเยี่ยงสมณะ
ของพระอัสสชิเถระเป็นจุดเบื้องต้น
12.3.1 รูปแบบของการแผยแผ่พระพุทธศาสนา
รูปแบบการเผยแผ่พระพุทธศาสนา สามารถรวบรวมได้ 7 วิธี ด้วยกันดังนี้ 2
1. อุปนิสินนกถา แปลว่า “ถ้อยคาของผู้เข้าไปน่งไกล้” หมายถึง การน่งคุยสนทนาอย่าง



กันเอง โดยสอดแทรกหลักธรรมในการสนทนากันนั้น เป็นการพูดคุยกันตามสมควรแก่เหตุการณ์ กาละ
เทศะและบุคคลผู้ฟัง เพื่อตอบค�าซักถาม แนะน�าชี้แจง ให้ค�าปรึกษา เป็นต้น ไม่เป็นแบบแผนพิธี
2. ธัมมีกถา แปลว่า “ถ้อยค�าที่กล่าวถึงธรรม” หมายถึง การบรรยายหรืออธิบายธรรม เป็น




รูปแบบการเผยแผที่พระพุทธองคทรงแสดงหลักพระธรรมวินัยอยางเปนกิจจะลักษณะ ในปจจุบัน ไดแก่


การแสดงธรรมการปาฐกถาธรรม การบรรยายธรรม เป็นต้น


2 แก้ว ชิดตะขบ, ประวัติความสาคัญของการเผยแผ่พระพุทธศาสนา, (กรุงเทพมหานคร, โรงพิมพ์สานักงาน
พระพุทธศาสนาแห่งชาติ, 2553), หน้า 29-32.

286 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ


3. โอวาทกถา แปลว่า “ถ้อยค�าที่กล่าวสอน” หมายถึง การให้ค�าแนะน�าตักเตือนให้ละเว้น








ช่วประพฤติดี เป็นรูปแบบการเผยแผ่ท่มุ่งเน้นการกล่าวคาสอนส้นๆ และเจาะจงเร่องใดเร่องหน่ง เพ่อให้
ผู้ฟังเกิดความสังวรระวัง ไม่ท�าชั่ว ให้ละความชั่ว ให้ท�าแต่ความดี และให้รักษาความดีเอาไว้
4. อนุสาสนีกถา แปลว่า “ถ้อยคาท่กล่าวสอนให้เห็นจริง” หมายถึง คากล่าวสอนในลักษณะ



DO NOT COPY

ยาเตือนอย่างต่อเน่อง เพ่อให้เกิดความคุ้นเคย เน้อหาสารธรรมโดยส่วนมากจะเป็นคาสอนประเภทความ





ไม่ประมาท ความสามัคคี ความเพียรพยายาม สติสัมปชัญญะ ความอดทน
5. ธัมมสากัจฉากถา แปลว่า “ถ้อยค�าที่สนทนาในทางธรรม” หมายถึง การสนทนาธรรม


เป็นทานองแลกเปล่ยนความคิดเห็นกัน บางคร้งมาในรูปแบบคาถาม เพ่อแสวงหาความถูกต้อง หรือปรับ



ความเข้าใจซึ่งกันและกัน เป็นรูปแบบการเผยแผ่ที่ใช้ในโอกาสรับรองความคิดเห็นของผู้ฟังบ้าง เพิ่มเติม
บ้าง ปรับปรุงบ้าง ปฏิเสธบ้าง ตามควรแก่กรณี ปัจจุบันนอกจากจะเรียกว่า การสนทนาธรรมแล้วอาจ
เรียกว่า การอภิปรายธรรม การเสวนาธรรม โดยผลัดกันพูดผลัดกันฟังอีกด้วย
6. ปุจฉาวิสัชนากถา แปลว่า “ถ้อยค�าที่ถาม-ตอบ” หมายถึง รูปแบบการเผยแผ่ที่มุ่งเน้น
การถาม-ตอบ โดยอาจถามน�าเพื่อกระตุ้นผู้ฟังให้ตอบ เป็นการทดสอบความรู้ความเข้าใจของผู้ฟัง เช่น
เมื่อทรงแสดงอนัตตลักขณสูตร พระองค์ทรงเริ่มอธิบายว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณเป็น
3



อนัตตาโดยลาดับ แล้วตรัสย้อนถามว่า “พวกเธอเข้าใจข้อความตามท่กล่าวมาอย่างไร รูปเท่ยงหรือไม่
เที่ยง?” พระปัญจวัคคีย์ทูลตอบว่า “ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า” ก็ตรัสถามต่อไปว่า “ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่ง






นนเป็นทกข์หรอสขเล่า” พระปัญจวคคย์ทลตอบว่า “เป็นทุกข์ พระพทธเจ้าข้า” จงตรสนาให้สรปถง ึ







ความเป็นอนัตตาว่า “สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา ควรหรือหนอที่จะตามเห็น




ส่งน้นว่า น่นของเรา เราเป็นน่น น่นเป็นอัตตาของเรา” “ไม่ควรเห็นอย่างน้น พระพุทธเจ้าข้า” ดงนเปนตน









7. ธัมมเทสนากถา แปลว่า “ถ้อยคาท่แสดงธรรม” หมายถึง การแสดงพระธรรมเทศนา
เป็นการแสดงธรรมส่งสอน ช้แจงเร่องบาป บุญ คุณ โทษ ประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ เพ่อให้ละช่ว





ประพฤติดี ท�าจิตให้บริสุทธิ์เป็นรูปแบบการเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่ปรากฏในพระสุตตันปิฎก


พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) กล่าวถึงการเผยแผ่พระพุทธศาสนาโดยควรทาเพ่อให้
4

ได้ยินได้ฟังโดยทุกวิถีทาง ด้วยการกระทาในลักษณะต่างๆ เช่น การพิมพ์โฆษณาสมุดเอกสารและ
หนังสือพิมพ์ขึ้นให้แพร่หลาย การทัศนศึกษาด้วยการแสดงให้เข้าใจในเรื่องราวด้วยภาพ ด้วยสิ่งของและ
อื่นๆ การจาริกสั่งสอน ด้วยค�าสอนและบุคคลที่เหมาะสมแก่กาลเทศะ การเปิดห้องสมุด หรือห้องอ่าน


หนังสือประชาชนท้งท่ประจาและเคล่อนท่ การใช้บริการทางวิทยุโทรทัศน์ กระท่งมีสถานีวิทยุของตนเอง




โดยเฉพาะ และนักเผยแผ่พระพุทธศาสนาควรท�าตนเป็นผู้มีความสุข เช่น ท�าตนให้มีอินทรีย์ผ่องใสและ
อิ่มเอิบ มีความสงบสุขเรียบร้อยน่าบูชาเลื่อมใส
3 วิ.ม. 4/21/33.


4 แก้ว ชิดตะขบ, ประวัติความสาคัญของการเผยแผ่พระพุทธศาสนา, (กรุงเทพมหานคร, โรงพิมพ์สานักงาน
พระพุทธศาสนาแห่งชาติ, 2553), หน้า 20.

บทที่ 12 การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในยุคดิจิทัล 287


12.3.2 การเผยแผ่พระพุทธศาสนาโดยวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์


วิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ เป็นเคร่องมือสาคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา มีการ

จัดต้งสถานีวิทยุโทรทัศน์ทางพระพุทธศาสนา เรียกว่า “สถานีโทรทัศน์โลกพระพุทธศาสนาแห่ง
ประเทศไทย” ตั้งอยู่ที่วัดยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพฯ โดยมีเป้าหมายเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาและ
DO NOT COPY
ศาสนกิจ ผลงานและกิจกรรมต่างๆ ของมหาเถรสมาคม คณะสงฆ์ วัด สถาน ศึกษา และองค์กรทาง


พระพุทธศาสนาต่างๆ ท้งในประเทศ และต่างประเทศ ในปัจจุบัน ระบบการส่อสารก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว


ทาให้สามารถแพร่กระจายข่าวสารไปอย่างรวดเร็ว ทาให้รูปแบบการเผยแผ่พระพุทธศาสนาต้องปรับ




เปล่ยนไปจากอดีต จากยุคมุขปาฐะ ยุคคัมภีร์ใบลาน หนังสือ วิทยุ โทรทัศน์ และในปัจจุบันยังมีส่อท่นิยม
กันมากในคณะสงฆ์ไทย คือ การเผยแผ่พระพุทธศาสนาทางอินเทอร์เน็ต 5
การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในยุคท่เทคโนโลยีการส่อสารอินเทอร์เน็ตยังไม่ก้าวหน้า ได้มีการนา �


เอาพระไตรปิฎกมาบันทึกลงแผ่นซีดี กลายเป็นพระไตรปิฎกฉบับซีดีรอมเกิดข้นเป็นคร้งแรกเม่อปีพทธศกราช





2531 โดยศูนย์คอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้พัฒนาพระไตรปิฎกฉบับภาษาลีจ�านวน 45 เล่ม จน


กระท่งปีพุทธศักราช 2540 จึงได้จัดทาพระไตรปิฎกฉบับภาษาไทย ประกอบด้วย พระไตรปิฎกฉบับแปล
เป็นภาษาไทย 45 เล่ม พระไตรปิฎกฉบับบาลีอักษรไทย 45 เล่ม พระไตรปิฎกฉบับบาลีอักษรโรมัน 45
เล่ม อรรถกถาและคัมภีร์อื่น ๆ พระไตรปิฎกฉบับบาลีอักษรไทย 70 เล่ม อรรถกถาและคัมภีร์อื่น พระ
ไตรปิฎกฉบับบาลีอักษรโรมัน 70 เล่ม และพระไตรปิฎกภาษาเทวนาครีและสิงหล 6
12.3.3 การเผยแผ่พระพุทธศาสนาแบบบูรณาการในยุคดิจิทัล

การใช้โทรศัพท์มือถือและการเช่อมต่ออินเทอร์เน็ตในปัจจุบันสามารถประมวลผลโดยใช้


ทรัพยากรจากเครือข่ายสาธารณะ ดังน้น ส่อดิจิทัลจึงเป็นทางเลือกหน่งในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา

สามารถสรุปได้ดังนี้ 7

1. การปรับแปลงด้านภาษา พบว่า ภาษาท่ใช้ควรเป็นภาษาท่เข้าใจง่าย ทันสมัย เพ่อให้


สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย
1.2. การปรับแปลงด้านปริมาณเน้อหา พบว่า หลักธรรมคาสอนท่ใช้เผยแผ่ต้องมีการปรับ



แปลงทั้งด้านปริมาณของเนื้อหาให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย โดยอาจจ�าแนกตามกลุ่มเพศและวัย เพื่อ
ให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบันด้วย

5 สานิตย์ กายาผาด, เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิต, (กรุงเทพมหานคร : เธิร์ดเวฟ เอ็ดดูเคชั่น, 2542),
หน้า 110.
6 ศูนย์คอมพิวเตอร์มหาวิทยาลัยมหิดล, “พระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์บนอินเทอร์เน็ต” 14 มกราคม 2550,
< www.budsir.org/budsir-main.html> (27 มีนาคม 2562)
7 อุษา ศิลป์เรืองวิไล, การสื่อสารบูรณาการในยุคดิจิทัลในประเทศไทย: กรณีศึกษาสื่อวิทยุออนไลน์, วารสาร
วิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 ประจ�าเดือน พฤษภาคม-สิงหาคม 2559 ฉบับสังคมศาสตร์และ
มนุษยศาสตร์, หน้า 353-366.

288 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ


1.3. การปรับแปลงด้านกิจกรรมข่าวและประชาสัมพันธ์ ท�าให้สามารถน�าเสนอกิจกรรมการ
เผยแผ่พระพุทธศาสนาและสามารถน�ามาเป็นช่องทางการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารได้อย่างดีรวดเร็ว
1.4 การปรับแปลงด้านเทคนิคการน�าเสนอ ควรใช้เทคนิควิธีการสื่อสารด้วยสื่อประสมเพื่อ

น�าเสนอหลักธรรมค�าสอนที่เน้นการมีปฏิสัมพันธ์ตามลักษณะของกลุ่มผู้ฟัง
DO NOT COPY

12.4 การใช้ Social Media ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา







Social Media เป็นรูปแบบการส่อสารทางเลือกท่เกิดข้นเพ่อให้สามารถนาเสนอเร่องราว ความ
รู้สึกนึกคิด ตลอดจนความคิดเห็นได้อย่างเสรีบนพื้นที่ส่วนตัว จนขยายเป็นเครือข่ายสังคมแบบออนไลน์
(Social Networking) การสื่อสารผ่าน Social Media ท�าให้พุทธศาสนิกชนสามารถเข้าถึงและแสวงหา

ข้อมูลด้วยตนเอง บทบาทของพุทธศาสนิกชนจึงเปล่ยนไปเป็นผู้เลือกมากกว่าผู้ตาม (Active Audience)
หรือเรียกว่าเป็นผู้แสวงหาหรือเลือกข้อมูลที่โดยเสรี (Active Seeker) 8
Social Media ไม่เพียงจะมีผลต่อสื่อดั้งเดิม (Traditional Media) เท่านั้น แต่ยังสามารถเติม

เต็มประสิทธิภาพของการส่อสารและเพ่มช่องทางในการส่อสาร จากเดิมท่ต้องใช้โทรศัพท์ในการติดต่อ



ส่อสารก็เปล่ยนมาเป็นการส่งอีเมล (E-Mail) หรือการพิมพ์ข้อความเพ่อสนทนา (Chatting) ท้งการสนทนา





ด้วยเสียงและการสนทนาแบบวิดีโอ (Video Call) จึงกลายเป็นคุณลักษณะของการสอสารทสามารถสงสาร







ไปยังผูคนหมูมากได (One-to-Many Communication) ในเวลาอันรวดเร็ว และได้สร้างพฤติกรรมการใช้
สื่อที่เรียกว่า Active Audience คือ การที่ผู้รับสารมีบทบาทในการเลือกที่จะรับสาร หรือเป็นผู้ส่งสาร
เอง ไปจนถึงการมีส่วนร่วมต่อเนื้อหาสาร เรียกว่า Co-Creator


ดังน้น จึงเห็นได้ว่าบทบาทและลักษณะความสัมพันธ์ของผู้ใช้ส่อใหม่มีความแตกต่างไปจากการ
ใช้ส่อด้งเดิมอย่างเห็นได้ชัด ท้งน้เกิดข้นจากการพัฒนาของเทคโนโลยีด้านการส่อสารท่อานวยความสะดวก










ในการส่อสารให้สอดรับกับวิถีชีวิตของมนุษย์ในยุคท่ข้อมูลข่าวสารมีความสาคัญต่อการดาเนินชีวิต ส่งผล


ให้มนุษย์จึงผูกติดกับการสื่อสารและการรับรู้ข้อมูลข่าวสารอยู่ตลอดเวลา
12.4.1 การใช้ Internet Application
ส่วนมากเรามักจะคุ้นเคยกับการใช้งานคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลท่ติดต้งโปรแกรมท่ใช้ใน



ส�านักงาน เช่น โปรแกรม Microsoft Word ส�าหรับพิมพ์เอกสาร โปรแกรม Microsoft Excel ส�าหรับ
สร้างตารางค�านวณ บางองค์กรติดตั้งที่คอมพิวเตอร์เป็นลักษณะ Client-Server Application โดยเก็บ
ฐานข้อมูลไว้ที่เซิร์ฟเวอร์ (Server) และติดตั้งตัวโปรแกรมที่เครื่องใช้งาน (Client) เพื่อตอบสนองความ
ต้องการในด้าน Multi-User หรือใช้งานพร้อมกันได้หลายคน โดยใช้ฐานข้อมูลไว้ที่ส่วนกลาง การติดตั้ง
โปรแกรมดังกล่าว เป็นการใช้เทคโนโลยี Desktop Application ที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการ
8 วรวุฒิ อ่นน่วม, ปรากฏการณ์ทางการสื่อสารยุคดิจิทัล, วารสารวิชาการสมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่ง
ประเทศไทย (สสอท.) ปีที่ 18 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม 2555 หน้า 212-220.

บทที่ 12 การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในยุคดิจิทัล 289





การบริหารจัดการได้ โดยเฉพาะการทาธุรกิจท่ต้องปรับเปล่ยนไปตลอดเวลา ข้อมูลมีการเคล่อนไหวตลอด



เวลา ตัวอย่างเช่น หากต้องการ Upgrade หรือเพ่มคุณสมบัติเพ่มเติมให้กับ Application ท่ตัวเซิร์ฟเวอร์

ต้องหยุดระบบทั้งหมด และเมื่อ Upgrade ที่เซิร์ฟเวอร์แล้ว ก็จ�าเป็นต้อง Upgrade ที่ Client ด้วย หาก
ระบบมีผู้ใช้งานจ�านวนมาก จะยิ่งเพิ่มความยุ่งยากมากขึ้น
DO NOT COPY
ดังนั้น จึงได้มีการจัดการด้วยเทคโนโลยี Web Application หรือ Internet Application
เพราะสามารถตอบสนองความต้องการและสามารถแทนที่ Client-Server Application ได้เป็นอย่างดี
ตัวโปรแกรมของ Web Application จะถูกติดตั้งไว้ที่ Server คอยให้บริการกับ Client และที่ Client
ก็ไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมเพิ่มเติม สามารถใช้โปรแกรมประเภท Web Brower เช่น Internet Explorer,
FireFox, Google Chrome ท�าให้ไม่จ�ากัดว่าเครื่องที่ใช้เป็น OS อะไร หรืออุปกรณ์อะไร อย่างอุปกรณ์

TouchPad หรือ SmartPhone ก็สามารถเรียกใช้งานได้ด้วย
การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในปัจจุบันนี้ สามารถประยุกต์ใช้ Internet Application โดย
เฉพาะการใช้ Google Application เพื่อเป็นเครื่องมือเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้เป็นอย่างดี (ศึกษาใน

รายละเอียดของเน้อหาบทเรียนท่ผ่านมา) สามารถใช้ประโยชน์ในการเก็บรวบรวมผลงาน พร้อมข้อเสนอ


แนะแบบเรียลไทม์ได้อีกด้วย โดยเฉพาะการใช้ Google Classroom เพื่อน�ามาใช้เป็นเครื่องมือสตรีมที่

สามารถใส่ส่อมัลติมีเดียได้มากกมาย เช่น รูป ภาพ คลิป ไฟล์ในลักษณะรูปแบบอ่นๆ หรืออาจใช้ไฟล์จาก

Google drive โดยตรงได้ นอกจากนี้ยังสามารถน�าเสนอเนื้อหาสาระโดยแนบคลิปจาก Youtube การ


ใส่ link ท่น่าสนใจจากใน internet และยังผู้เผยแผ่พระพุทธศาสนาสามารถต้งโจทย์เผยแผ่ธรรมะได้



อย่างอิสระ สามารถกาหนดให้ปรากฏสตรีม และกาหนดระยะเวลาในการส่อสารท้งข้อความและส่อมัลต ิ


มีเดียอื่นๆ ได้ นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มไฟล์จากหลายๆ แบบได้ จาก Google drive / link / upload


หรือสร้างไฟล์ได้หลายรูปแบบ เพ่อส่งให้กับผู้สอนได้ และไฟล์เหล่าน้ก็จะถูกเก็บไว้ใน Google drive โดย
อัตโนมัติ
12.4.2 การใช้ Facebook
Facebook ถือก�าเนิดขึ้นในปี 2004 โดย Mark Elliot Zuckerberg ผู้มีเชื้อสายยิว-อเมริกัน

การก่อต้ง Facebook ของ Mark Elliot Zuckerberg เกิดข้นมาจากความรู้สึกท้าทายอยากทาให้ Face-


book.com ถือก�าเนิดและเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา โดยเขามีคติในการท�างานที่เข้าใจง่ายว่า “ท�าในสิ่งที่รัก







และรักในส่งท่ทา” ดังน้น จึงมีข้อกาหนดสาหรับผู้ใช้งานว่าคนท่มาเป็นสมาชิกในเครือข่ายจะต้องเปิดเผย



ความจริงใจให้กับเพ่อน ดังน้น เราจะเห็นว่าในหน้า Profile จะเป็นหน้าหลักท่บ่งบอกถึงความเป็นตัวตน
ของแต่ละคนและคนที่เป็นสมาชิกในเครือข่ายสามารถเห็นได้



Facebook เป็นเคร่องมือสร้างเครือข่ายสังคมออนไลน์ ใช้ติดต่อเพ่อนในกลุ่มเพ่อแบ่งบัน
ข้อมูลต่าง ๆ เช่น ความรู้ ความคิดเห็น ภาพ วิดีโอ เป็นต้น สามารถสร้างเว็บไซต์ส่วนตัว การสร้างกลุ่ม
เครือข่าย Fanpage เพื่อการใช้โฆษณาสินค้าและติดต่อเชื่อมโยงกับเว็บอื่นๆ เช่น Wordpress, MSN,
Twitter, Slideshare Application ต่างๆ

290 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ


ผู้สมัครใช้งานต้องมี e-mail ใช้ส�าหรับสมัครลงทะเบียน เช่น hotmai.com, gmail.com



โดยเข้าเว็บไซต์ http://www.facebook.com เพ่อกรอกข้อมูลสาหรับลงทะเบียน โดยปฏิบัติตามคา
แนะนาไปตามลาดับ เม่อได้ลงทะเบียนแล้วสามารถใช้งานเพ่อการติดต่อส่อสารหรือใช้งานในการเผยแผ่





พระพุทธศาสนาในระบบ Online ซึ่งก�าลังเป็นที่นิยม คือ การท�า Live Facebook ซึ่งมีขั้นตอนด�าเนิน
DO NOT COPY
การโดยสรุป ดังนี้ 9
1. ติดตั้งโปรแกรมส�าหรับท�า Live Streaming เช่น OBS, Wirecast หรือ XSplit ซึ่งมีทั้ง
โปรแกรมที่ให้ใช้ฟรี เช่น OBS ที่สามารถใช้งานได้ทั้งบน Windows, Mac และ Linux โดยดาวน์โหลด
ตัวติดตั้ง OBS Studio ได้จาก https://obsproject.com/download/
2. เมื่อได้ติดตั้งและก�าหนดค่าการใช้งานให้เหมาะสมกับความเร็วอินเตอร์เน็ตที่ใช้งาน เพื่อ
ให้ได้สัญญาณภาพที่ต่อเนื่อง ไม่สะดุด โดยเปิดโปรแกรม OBS Studio เลือกเมนู Settings แล้วตั้งค่า

Streaming ที่แถบ Output เพื่อปรับ video bitrate ให้เหมาะสมกับความเร็วการอัพโหลดของอินเตอร์
ที่ใช้งาน การตั้งค่านี้ควรก�าหนดให้น้อยกว่าความเร็วอัพโหลดจริง เช่น ความเร็วอัพโหลดอยู่ที่ 3 Mbps
ก็ให้ตั้งค่าเป็น 3072–20% ก็จะได้ประมาณ 2500 และให้เลือก encoder ตามที่ต้องการ

ถ้าต้องการที่จะบันทึกไฟล์การ live เก็บไว้ด้วย ให้ตั้งค่าเพิ่มเติมที่ Recording โดยก�าหนด


ตาแหน่งท่ต้องการให้บันทึกท่ Recording Path ปรับความละเอียดของไฟล์ท่ Recording Quality


สุดท้ายเลือกชนิดของไฟล์ว่าต้องการให้บันทึกเป็นอะไร เช่น flv หรือ mp4 ที่ Recording Format
3. การสร้าง Live Streaming ด้วยโปรแกรม OBS Studio เพื่อการสตรีมหน้าจอ แทรกรูป
โลโก้ และแทรกหน้าจอจาก Web Cam โดยเปิดโปรแกรม OBS Studio แล้วกดปุ่ม + ท่กรอบ “Source”

เพื่อเพิ่มสิ่งที่เราต้องการจะแสดงในหน้าจอการ Live Stream (พื้นที่สีด�าๆ) ให้เลือกเพิ่ม Display Cap-
ture เพื่อเพิ่มหน้าจอของเราลงไปในหน้าจอของ Live Streaming เมื่อกด Display Capture แล้วจะ

มีหน้าต่างขึ้นมาให้ตั้งชื่อ source แล้วกดปุ่ม OK
หน้าต่างถัดมา คือ การระบุเลือกหน้าจอ หรือจะเอาเฉพาะหน้าต่างโปรแกรมอะไรท่เรา

ต้องการ live ถ้าต้องการจะ Live เฉพาะหน้าต่างโปรแกรมใดโปรแกรมหนึ่ง ให้เลือกที่ Crop แล้วเลือก
เป็น To Window จากนั้นหน้าต่างโปรแกรมที่ Window เสร็จกด OK ก็จะเห็นว่าหน้าจอที่เราเลือกเข้า

มาอยู่ในหน้าจอของ Live Streaming แล้ว ถัดมาจะเป็นการเพิ่มภาพโลโก้ค�าว่า “Live” ให้อยู่ที่มุมบน
ขวา เริ่มกดที่ปุ่ม + ของ Sources อีกครั้ง แล้วเลือกที่ “Image” ตั้งชื่อว่า “Live Logo” เสร็จแล้วกด
ปุ่ม OK และเลือกรูปที่ต้องการ โดยการกดปุ่ม Browse เสร็จแล้วกดปุ่ม OK จะเห็นว่ามีโลโก้เพิ่มมาใน

หน้าจอ Live Streaming ซึ่งสามารถปรับขนาด และปรับต�าแหน่งได้ตามต้องการ


9 Somprasong Damyos, วิธีการ Live Facebook และ Youtube บน PC [ออนไลน์], แหล่งที่มา : https://
medium.com/ open-source-technology/วิธีการ-live-facebook-และyoutube-บน-pc-c8ab832b1353[7
พฤษภาคม 2562]

บทที่ 12 การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในยุคดิจิทัล 291



สุดท้ายจะเป็นการเพ่มหน้าต่าง Webcam เข้าไปในหน้าจอ Live Streaming ให้กดปุ่ม + ท ี ่


Sources และเลือกท่ “Video Capture Device” ต้งช่อว่า “Webcam” เสร็จแล้วกดปุ่ม OK แล้วให้


เลือก Webcam ท่ Device และกาหนดขนาดท่ต้องการ เสร็จแล้วกดปุ่ม OK ก็จะมีหน้าจอ Webcam



แสดงอยู่ในหน้าจอ Live Streaming แล้ว ซ่งสามารถปรับขนาด และตาแหน่งตามท่ต้องการได้


Live Streaming ผ่าน Facebook

การทา Live Streaming ผาน Facebook เทคนิควิธีดาเนินการโดยสรุปดังน ี 10






เร่มจากเข้าไปท่ https://www.facebook.com/live/create เพ่อขอ Stream Key โดยให้



กดท่ปุ่ม Create Live Stream แล้วเลือกว่าเราต้องการท่ Live ไปท่ไหน จะเป็นหน้าโปรไฟล์ หรือ Page
หรือ Group หรือ Event ก็ได้ เสร็จแล้วกดปุ่ม Next





หน้าต่างถัดมาก็จะมีให้ใส่ข้อความท่ต้องการโพส ต้งช่อวีดิโอ และท่สาคัญจะมี Stream Key
ให้เราเอาไปใส่ในโปรแกรม OBS Studio เพ่อเช่อมต่อมายัง Facebook เม่อได้ Stream key มาแล้วให้




เอามาใส่ใน OBS Studio โดยเลือกท่ Settings > Stream แล้วเลือก Service เป็น Facebook Live
เสร็จแล้วกดปุ่ม OK จากน้นกดปุ่ม Start Streaming เสร็จแล้วรอการเช่อมต่อสักคร ู่


เม่อเช่อมต่อสาเร็จแล้วจะมีหน้าจอเปล่ยนจาก Offline เป็น Preview (สังเกตใน Live จะ




DO NOT COPY
ดีเลย์กับหน้าจอเราประมาณ 10 วินาที) เม่อทุกอย่างพร้อมแล้วให้กดปุ่ม Go Live และเม่อต้องการจบ


การ Live ให้กดปุ่ม End Live Video รอสักครู่จะมีลิงค์ให้กดดาวน์โหลดไฟล์วีดิโอท่เรา Live จบไป






ภาพท 12.1 การ Live Streaming ผ่าน Facebook
ท่มา : www.wowza.com/ blog/facebook-live-for-broadcasters-10-ways-to-develop-an-audience







10 Facebook Live for Broadcasters: 10 Ways to Develop an Audience, www.wowza.com/
blog/facebook-live-for-broadcasters-10-ways-to-develop-an-audience [28 มีนาคม 2562]

292 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ


12.4.3 การใช้ Line
ไลน์ (Line) หมายถึง แอปพลิเคชันส�าหรับการสนทนาบนอุปกรณ์การสื่อสารรูปแบบต่างๆ
เช่น สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์และแท็บเล็ต (Tablet) สามารถสื่อสารด้วยการพิมพ์ข้อความจากอุปกรณ์



















การสอสารเครองหนงไปส่อกเครองหนง ไลน์ได้รบการพฒนาให้มความสามารถหลากหลายเพอรองรบ
DO NOT COPY
การใช้งานของผู้ใช้หลายๆ ด้าน จุดเด่นที่ท�าให้ไลน์แตกต่างกับแอปพลิเคชันส�าหรับการสนทนา คือ รูป

แบบของ“สติกเกอร์” (Sticker) ท่แสดงอารมณ์และความรู้สึกของผู้ใช้ท่หลากหลาย เช่น สติกเกอร์แสดง



ความรู้สึกข้นพ้นฐานสตกเกอร์ตามเทศกาลและวนสาคญ สติกเกอร์ของตราสนค้าต่างๆ และสตกเกอร์






การ์ตูนที่มีชื่อเสียง เป็นต้น
ก�าเนิดไลน์ ไลน์ได้รับการพัฒนาขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2554 ณ ประเทศญี่ปุ่น โดยบริษัท NHN
Japan ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการอินเทอร์เน็ต เกม และระบบการสืบค้นข้อมูล (SearchEngine) ได้ร่วม
มือกับบริษัท Naver Japan Corporation และบริษัท livedoor ร่วมกันพัฒนาขึ้นโดยปรับปรุงรูปแบบ
การใช้งานที่หลากหลายเพื่อรองรับการใช้งานของผู้ใช้อย่างต่อเนื่อง ไลน์เกิดขึ้นหลังจากที่ประเทศญี่ปุ่น
เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในประเทศ เมื่อปี 2554 มีชื่อว่า Tohoku Earthquake เหตุการณ์ดังกล่าวนั้น
ท�าให้ระบบการติดต่อสื่อสารของประเทศญี่ปุ่นเป็นอัมพาต ขาดการติดต่อสื่อสารภาคพื้นดิน ประชาชน



ในประเทศต้องใช้บริการโทรศัพท์สาธารณะท่ถูกติดต้งโปรแกรมอัตโนมัติไว้ให้สามารถใช้ได้ เม่อเกิด



เหตุการณ์ภัยพิบัติท่ไม่คาดฝัน ประชาชนจานวนมากต้องเข้าแถวเพ่อรอรับการบริการ จึงเป็นท่มาของ

ค�าว่า ไลน์ ซึ่งแปลว่าการเข้าแถว 11
การเชื่อมต่อของไลน์กับสมาชิกอื่น ปัจจุบันไลน์มีจ�านวนการดาวน์โหลดเฉลี่ย 3 ล้านครั้ง
ต่อสัปดาห์ และในบรรดาผู้ใช้ไลน์เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 80.3 ทั้งนี้ด้วยรูปแบบที่หลากหลายและง่าย
12
ต่อการเข้าถึง ซึ่งผู้ที่มีรหัสสมาชิก (ID) ไลน์สามารถค้นหาเพื่อนจากสมุดโทรศัพท์ หรือการบันทึกเบอร์
โทรศัพท์ หากสมาชิกที่เพิ่มมีไลน์ แอปพลิเคชันจะจดจ�าโดยอัตโนมัติ
นอกจากนี้ยังสามารถใช้ค้นหาไอดี (ID Search) จากสมาร์ทโฟนไปยังสมาชิกคนอื่น โดยใช้
Line ID หรือใช้การสแกนคิวอาร์โค้ด (QR Code Scan) เมื่อมีสมาร์ทโฟนตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไป สามารถ

ใช้ระบบการสแกนคิวอาร์โค้ดเพ่อค้นหาไอดีไลน์ของอีกฝ่าย จากน้นระบบจะเช่อมต่อกันโดยอัตโนมัต ิ


และอีกรูปแบบหนึ่งคือใช้การเขย่าสมาร์ทโฟน 2 เครื่องพร้อมกัน (Shake it) มีลักษณะคล้ายการจับมือ
ท�าให้เครื่องรู้จักค้นหาต�าแหน่งของไลน์ซึ่งกันและกัน
11 ศุภศิลป์ กุลจิตต์เจือวงศ์, ไลน์รูปแบบการสื่อสารบนความสร้างสรรค์ของสมาร์ทโฟน : ข้อดีและข้อจ�ากัด
ของแอปพลิเคชัน, วารสารนักบริหาร, ปีที่ 33 ฉบับที่ 4, หน้า 42-54.


12 แฟลชฟลาย. Line ฉลองผู้ใช้ทะลุ 100 ล้านคนจานวนผู้ใช้สูงข้ามทวีปครอบคลุมท้งเอเชียและหลายประเทศ
ทั่วโลก [ออนไลน์], แหล่งที่มา : http://www.flashfly.net/wp/?p=44760[18 เมษายน 2556]

บทที่ 12 การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในยุคดิจิทัล 293


ข้อดีของไลน์
1. มีอุปกรณ์รองรับหลากหลาย ได้แก่ สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และแท็บเล็ตต่างๆ ท�าให้ผู้
ใช้สามารถซื้อและเลือกได้ตามขนาด ระบบปฏิบัติการ และความชอบส่วนตัว

2. มีความเป็นส่วนตัว ผู้ใช้สามารถเลือกรับหรือปฏิเสธข้อความด้วยการไม่โต้ตอบ โดยไลน์
จะแจ้งเตือน เมื่อผู้ใช้ไม่โต้ตอบก็จะมีการแจ้งเตือนที่เพิ่มขึ้น โดยผู้ใช้สามารถเลือกการปิดกั้นหรือยกเลิก

การปิดกั้นได้ตามต้องการ
3. สามารถสนับสนุนทางด้านธุรกิจ สามารถประยุกต์ใช้สติกเกอร์ของไลน์กับ Official Line





ของบุคคล หรือองค์กรท่มีช่อเสียงท่ได้ข้นทะเบียนไว้กับไลน์ ซ่งเป็นทางเลือกหน่งของตราสินค้าในการ

สื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย โดยมีเงื่อนไขส�าคัญ คือ ผู้ใช้รายอื่นต้องตอบรับการเป็นเพื่อนเจ้าของบัญชี จึง
มักใช้วิธีการการสร้างรูปแบบสติกเกอร์ของตราสินค้า แล้วเปิดให้ผู้บริโภคดาวน์โหลดมาใช้ได้
4. ช่วยเพิ่มสีสันให้กับการสนทนา สามารถสื่อสารได้หลายรูปแบบ เช่น ข้อความ คลิปวิดีโอ
คลิปเสียง โปสเตอร์ รูปภาพ เกม ตราสินค้า สติกเกอร์ ฯลฯ อีกทั้งผู้ส่งสารยังสามารถเลือกรูปแบบของ
สารให้เหมาะสมกับรูปแบบของการส่อสารในลักษณะต่างๆ เพ่อให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างม ี


ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
5. มีความใหม่และทันสมัยอยู่เสมอ เน่องด้วยแอปพลิเคชันไลน์ต้องเช่อมต่อกับระบบ

DO NOT COPY ื



อนเทอร์เน็ตตลอดเวลา โดยในระบบจะมการต้งค่าการแจ้งเตอนให้แอปพลิเคชนมีรุ่น (Version) ท่ทน





สมยอย่เสมอ ผ้ใช้จงสามารถตงค่าตดตามการแจ้งเตอนแอปพลเคชน (Update) ตามการพฒนาระบบ










ของผู้ผลิตได้ตลอดเวลา
6. ประหยัดค่าใช้จ่ายในการสนทนาทางโทรศัพท์ ด้วยระบบของ Voice Call หรือการสนทนา



ด้วยเสียงผ่านไลน์บนเครือข่ายอินเทอร์เนตความเร็วสูง คณสมบติของไลน์บนสมาร์ทโฟน คือ การโทรศัพท ์
หาผู้ใช้ไลน์ผ่านแอปพลิเคชันไลน์ ซึ่งก่อนหน้านี้รองรับเฉพาะการโทรศัพท์แบบ Voice Call บนสมาร์ท
โฟน แต่เมื่อได้พัฒนาการโทรแบบ Voice Call บนคอมพิวเตอร์ เพื่อรองรับการใช้งานของกลุ่มผู้ใช้ที่ไม่

ได้ใช้สมาร์ทโฟน ทาให้สามารถโทรผ่านคอมพิวเตอร์เพ่อสนทนากับผู้ใช้ไลน์บนสมาร์ทโฟนหรือ

คอมพิวเตอร์ด้วยกันได้


7. สามารถสามารถรองรับแฟ้มงานท่หลากหลายนามสกุล ทาให้สามารถใช้รับ-ส่งแฟ้มข้อมูล
ตามที่ไลน์รองรับ เช่น โปรแกรม Microsoft Powerpoint โปรแกรม icrosoft Word โปรแกรม Adobe
Premiere Pro และ โปรแกรม Adobe InDesign เป็นต้น จากนั้นผู้รับสามารถเปิดอ่าน ส่งต่อ หรือพิมพ์
ออกมาได้ทันที ช่วยสร้างความสะดวกสบาย และเพิ่มประสิทธิภาพในการท�างานมากขึ้น
ข้อจ�ากัดด้านเทคนิคของไลน์
1. ต้องอาศัยการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในการรับ-ส่งข้อมูล โดยเฉพาะในรูปแบบของ Voice







Call ท่ต้องใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงจึงจะสามารถทางานได้อย่างราบร่น ข้อจากัดในเร่องน้ทาให้ไลน์

294 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ


สามารถเข้าถึงผู้ใช้ได้เฉพาะบางพื้นที่ที่มีระบบอินเทอร์เน็ตเท่านั้น
2. สิ้นเปลืองพลังงานแบตเตอรี่ ด้วยความสามารถที่หลากหลายบนไลน์ เช่น การเปิดคลิป


วิดีโอ การเช่อมต่อจากลิงค์ภายนอก หรือการสนทนาโดยผ่าน Voice Call ทาให้สูญเสียพลังงานแบตเตอร ่ ี
เป็นจ�านวนมาก ซึ่งหากเปิดทิ้งไว้นานจะท�าให้พลังงานแบตเตอรี่ลดลงอย่างรวดเร็ว

3. การลงทะเบียนท่กาหนดให้ผู้ใช้ถลงทะเบียนผ่านสมาร์ทโฟนเท่าน้น กล่าวคือ สมาร์ทโฟน


1 เครื่อง จะมีไอดีไลน์ส�าหรับการเข้าใช้ได้เพียง 1 ไอดี และไม่สามารถลงทะเบียนได้ด้วยวิธีอื่น

12.4.4 การใช้ Youtube

ยูทูบ เป็นเว็บไซต์ที่ก่อตั้งเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 โดย Chad Meredith Hurley;
Chén Shìjùn และ Jawed Karim การท�างานของเว็บไซต์นี้จะเน้นการแสดงผลวิดีโอ ซึ่งเนื้อหามีหลาก

หลาย รวมถึงรายการโทรทัศน์มิวสิกวิดีโอ วิดีโอจากทางบ้าน งานโฆษณาทางโทรทัศน์ และบางส่วนจาก

ภาพยนตร์ และผู้ใช้สามารถนาวิดีโอไปใส่ไว้ในบล็อกหรือเว็บไซต์ส่วนตัวได้ ยูทูบมีนโนบายไม่ให้อัปโหลด
คลิปที่มีภาพโป๊เปลือย และคลิปที่มีลิขสิทธิ์ นอกจากเจ้าของลิขสิทธิ์ได้อัปโหลดเอง โดยผู้ใช้สามารถแจ้ง

ลบได้
DO NOT COPY
การใช้บัญชีส�าหรับ YouTube ผู้ใช้จ�าเป็นต้องมีบัญชี Google เพื่อลงชื่อเข้าใช้ YouTube
โดยให้ป้อนอีเมลและรหัสผ่านบัญชี Google เพื่อเข้าใช้โดยอัตโนมัติเมื่อเข้าใช้งาน YouTube หากผู้ใช้ร
ลบบัญชี Google จะเป็นการลบข้อมูล YouTube รวมทั้งวิดีโอ ความคิดเห็น และการติดตามทั้งหมด




ก่อนท่จะลบบัญชี Google จะต้องยืนยันว่าเข้าใจว่ากาลังจะลบข้อมูลเก่ยวกับบริการท้งหมดของ Google

รวมถึง YouTube อย่างถาวร
วิธีการใช้งาน YouTube สามารถใช้งานโดยเข้าไปที่เว็บไซต์ YouTube.com แล้วสร้าง
Account และกรอกรายละเอียดการสมัคร Account เมื่อ Accept ข้อตกลงแล้ว จะปรากฏหน้าจอการ
ตั้งชื่อ Username และ Password เมื่อสมัครเรียบร้อยแล้วแต่ยังไม่สมบูรณ์ หากจะสมบูรณ์ได้จะต้อง

รอจดหมายยืนยันการสมัครจาก YouTube ก่อน โดยจดหมายยืนยันการสมัครจะส่งไปยังอีเมล์ที่เราใช้
ในการสมัคร


การสร้างช่องใหม่ YouTube การมีบัญชี Google ทาให้สามารถรับชม กดชอบ และติดตาม
ได้ ในการอัปโหลด แสดงความคิดเห็น หรือสร้างเพลย์ลิสต์ บนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ได้ ดังนี้
สร้างช่องส่วนตัว ตรวจสอบการลงชื่อเข้าใช้ YouTube แล้วสร้างช่องตามรายละเอียดและ

คลิกตกลงเพื่อสร้างช่องใหม่



เพลย์ลิสต์ คือ ชุดของวิดีโอท่สร้างข้น ประกอบด้วย เพลย์ลิสต์ท่ชอบ และวิดีโอท่ชอบ สามารถ

ดูและจัดการเพลย์ลิสต์ได้ การคลิกที่ช่องใดช่องหนึ่งจะน�าไปที่หน้าของช่องนั้นๆ และยังสามารถคลิกที่
เรียกดูช่อง เพื่อดูช่องยอดนิยม หรือค้นหาช่องอื่นๆ เพิ่มเติมเพื่อติดตามก็ได้

บทที่ 12 การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในยุคดิจิทัล 295








การสรางเพลยลสตวดีโอ เป็นการจัดระเบียบวดีโอเพ่อนาเสนอในหน้าแรกของช่อง แชร์กับ




ผู้ชม หรือโปรโมตต่อผู้ใช้ใหม่ๆ ท่มีโอกาสสมัครเป็นผู้ติดตามจากคอมพิวเตอร์ให้ใช้เคร่องมือจัดการวิดีโอ
เพื่อเพิ่มวิดีโอทีละรายการหรือหลายรายการพร้อม





การแชร์เพลย์ลิสต์ สามารถแชร์เพลย์ลสต์หรือเพลย์ลิสต์ท่บุคคลอ่นสร้างข้น เพ่อให้สามารถ
กระจายต่อไปบนเครือข่ายโซเชียล เช่น Facebook, Twitter และ Google+ โดยให้คลิกปุ่ม “แชร์” ใน

หน้าเพลย์ลิสต์ หากวิดีโอไม่ปรากฏในเพลย์ลิสต์ท่ฝัง แสดงว่าผู้อัปโหลดอาจปิดตัวเลือกการฝังในวิดีโอ
นั้นเอาไว้ วิดีโอส่วนตัวก็จะไม่เล่นบนเพลย์ลิสต์เช่นกันคลิกเพลย์ลิสต์ที่ต้องการลบ


การอัปโหลดวิดีโอ สามารถอปโหลดวดีโอได้โดยลงชอเข้าใช้ YouTube และคลิกป่มอัปโหลด



ที่ด้านบนสุดของหน้า แล้วจึงเลือกวิดีโอที่ต้องการอัปโหลด ในขณะที่ก�าลังอัปโหลด สามารถแก้ไขได้ทั้ง



ข้อมูลพ้นฐานและการต้งค่าขนสงของวิดโอ และตัดสนใจว่าต้องการแจ้งให้ผู้ติดตามทราบหรอไม่ เมื่อ





เสร็จสิ้นการอัปโหลดวิดีโอแล้วให้คลิก “เสร็จสิ้น”เพื่อยืนยัน หรือคลิกแชร์เพื่อแชร์วิดีโอแบบส่วนตัว





การต้งค่าอัปโหลดเร่มต้น ค่าเร่มต้นการอัปโหลด เป็นการต้งค่าท่จะนาไปใช้กับการอัปโหลด

ไปยังเว็บทั้งหมด โดยให้ไปที่ โปรแกรมจัดการวิดีโอ และคลิกที่ การตั้งค่าช่อง และ ค่าเริ่มต้น
แล้วใช้ค�าสั่งก�าหนดค่าเริ่มต้น ได้แก่ ข้อมูลส่วนบุคคล หมวดหมู่ ชื่อ ใบอนุญาต แท็ก การแก้ไขที่แนะน�า
และอื่นๆ DO NOT COPY
การถ่ายทอดสด Live Streaming ผ่าน YouTube
ในการ Live ผ่าน YouTube น้น มีข้นตอนเร่มต้นเช่นเดียวกับการถ่ายทอดสดผ่าน Facebook






น่นคือจะต้องทาใน channel ซ่งเมนู Live Streaming จะอยู่ในส่วนของ Video Manager เม่อเข้ามาใน



หน้าจอ Live Streaming แล้วให้เล่อนหน้าจอลงมาด้านล่างจนพบคาส่ง“ENCODER SETUP” จะม ี




Stream key อยู่ โดยให้กดปุ่ม Reveal เพ่อดูคีย์ของเรา ซ่งคีย์น้จะเป็นคีย์ประจาของ channel ของเรา

จะต้องเก็บไว้เป็นความลับ
เม่อได้คีย์มาแล้ว ให้เอามาใส่ในโปรแกรม OBS Studio โดยเลือกท่ Settings > Stream โดย



ให้เลือก Service เป็น “YouTube / YouTube Gaming” และใส่คีย์ท่ Stream Key เสร็จแล้วกดปุ่ม

OK ทาการเช่อมต่อไปยัง YouTube Live Streaming โดยกดปุ่ม “Start Streaming”รอสักครู่ เม่อ





เช่อมต่อเสร็จแล้ว ในหน้าจอของ YouTube จะข้นคาว่า Live พร้อมจุดสีเขียว และเล่อนลงมาด้านล่าง



จะเจอลิงค์สาหรับแชร์การ Live Streaming และเม่อต้องการหยุดการ Live ให้กลับมากดปุ่ม “Stop

Streaming” ท่โปรแกรม OBS Studio

296 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ






























ภาพท 12.2 การถ่ายทอดสด Live Streaming ผ่าน YouTube

12.5 ระบบจัดการเนื้อหา (Content Management System: CMS)
1. Web blog
DO NOT COPY
บล็อก (Blog) หรือ เว็บบล็อก (Weblog) เป็นเว็บไซต์ส�าหรับเขียนบันทึกเล่าเรื่องราวประจ�า
วันเพื่อสื่อสารความรู้สึกนึกคิด มุมมอง ประสบการณ์ ความรู้ และข่าวสาร ในเรื่องที่ผู้เขียน (Blogger)

สนใจโดยเฉพาะ ซึ่งลักษณะดังกล่าวนี้ ท�าให้บล็อกต่างกับเว็บบอร์ด และเนื่องจากเป็นความจริงใจและ


อิสระทางความคิดท่ส่อสารออกไป ซ่งส่วนใหญ่อยู่ในลักษณะของการบ่งบอกถึงความเป็นตัวตนของผู้

เขียนได้เป็นอย่างดีทีเดียว จึงท�าให้บล็อคเป็นสื่อที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในนานาประเทศ ลักษณะของเว็บ
บล็อก สังเกตได้จากลักษณะต่างๆ ดังนี้คือ 13
1. มีการบันทึกเนื้อหาโดยเจ้าของบล็อกอย่างสม�่าเสมอ

2. ข้อมูลจะถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ คือ รายการล่าสุดจะถูกแสดงไว้ด้านบนสุด แล้วไล่
ล�าดับย้อนหลังตามวันเวลาการเขียนไปเรื่อยๆ

3. มักจะมีการลิงค์ไปหาบล็อกอ่นท่ผู้เขียนสนใจหรือได้เสนอความคิดเห็นโยงต่อจากข้อเขียน


ที่เขาอ้างถึง ดังนั้น นอกจากบล็อกจะใช้ในการเขียนและเผยแพร่เรื่องราวต่างๆ แล้ว ก็ยังเป็นแหล่งรวม



ลิงค์ท่เจ้าของบล็อกน้นๆ ใช้เป็นฐานเพ่อเสริมต่อความรู้อยู่เป็นประจา ไม่ว่าจะเป็นลิงค์ของบล็อกอ่นๆ


หรือลิงค์ของเว็บไซต์ก็ตาม

13 ดร. จันทวรรณ ปิยะวัฒน์, บล็อก (Blog or Weblog) คืออะไร? [ออนไลน์], แหล่งที่มา : www.gotok-
now.org/posts/3 [28 มีนาคม 2562]

บทที่ 12 การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในยุคดิจิทัล 297





4. บันทึกท่เขียนไว้ในบล็อกมักจะมีการแยกแยะเป็นกลุ่มเน้อหาตามหัวข้อหลักๆ ท่ผู้เขียน
สร้างขึ้น เพื่อช่วยอ�านวยความสะดวกให้แก่ผู้อ่าน ที่สนใจในบันทึกที่มีความสัมพันธ์กันในใจความหลัก
5. และเมื่อผู้อ่านได้รับความรู้ต่างๆ จากผู้เขียนบล็อกแล้ว ผู้อ่านมักจะมีการเสนอความคิด




เห็นเพ่มเติม เพ่อเป็นการต่อยอดความรู้และเพ่อให้เกิดการแลกเปล่ยนความรู้ระหว่างกลุ่มผู้อ่านและผู้
เขียนบล็อก
บล็อกแต่ละบล็อกจะมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน เช่น บล็อกที่เกี่ยวกับการจัดการความรู้ บล็อก

ด้านการพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย บล็อกด้านการทาธุรกิจอีคอมเมิร์ส เป็นต้น การสร้างจุดยืนของ



บล็อกเช่นน้ และมีการเขียนท่เป็นประจาสมาเสมอ จะทาให้บล็อกเป็นท่น่าสนใจติดตามจากผู้อ่านมากมาย




แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนแต่ละคนอาจจะมีความรู้ความถนัดในหลากหลายด้าน การจะนา




ความรู้ท้งหมดมาเขียนในบล็อกเดียว อาจทาให้การแยกแยะความรู้เป็นไปด้วยความลาบาก ทาให้หาแก่น

ความรู้ได้ยาก และส�าหรับผู้อ่านแล้วก็อาจจะยากในการติดตามอ่าน ดังนั้น ส�าหรับผู้เขียนหนึ่งคน ความ
สามารถของระบบในการสร้างบล็อกได้มากกว่าหนึ่งบล็อก เพื่อตอบสนองวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน น่า





จะเป็นฟังก์ชันการทางานท่น่าสนใจ ซ่ง GotoKnow.org เสนอจุดเด่นในเร่อง Multi- blog น้อย่างชัดเจน
การวิเคราะห์เนื้อหาเพื่อการสื่อสารในเว็บบล็อก
การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) เป็นวิธีการจ�าแนกแยกย่อยเนื้อหาหรือแนวคิดที่
DO NOT COPY
ปรากฏในเอกสาร ข่าวสาร ค�าพูด หรือภาพ ท�าให้ทราบโครงสร้างและขอบเขตเนื้อหาอย่างละเอียด ผล
จากการวิเคราะห์เน้อหาช่วยให้สามารถแบ่งหัวเร่องหลัก หัวเร่องย่อย และหัวข้อย่อย โดยผู้ท่จะวิเคราะห์








เน้อหาเพ่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาน้นจาเป็นต้องเข้าใจเก่ยวกับองค์ประกอบในการวิเคราะห์เน้อหา


และเทคนิควิธีวิเคราะห์เนื้อหา ดังนี้ 14
องค์ประกอบส�าคัญในการวิเคราะห์เนื้อหา มี 3 ประการ ได้แก่
1. เนื้อหาที่จะวิเคราะห์ เนื้อหาในที่นี้อาจเป็นหลักค�าสอนของพระพุทธศาสนา ทั้งที่ปรากฏ







ในพระไตรปิฎกซงถือว่าเป็นข้อมูลช้นปฐมภูมิ (Prรmary data) และข้อมูลชนทุตยภูม (Secondary data)
ได้แก่ แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องซึ่งปรากฏในต�ารา หนังสือ เอกสาร สื่อสิ่งพิมพ์ บทสนทนา รูปภาพ ภาพ
ในสไลด์ เป็นต้น
2. วัตถุประสงค์ในการวิเคราะห์ ในการวิเคราะห์เนื้อหาเพื่อผลิตสื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา
ผู้เผยแผ่มักมีวัตถุประสงค์เพื่อแบ่งเนื้อหาท�าให้ทราบโครงสร้าง และล�าดับของเนื้อหา
3. หน่วยในการวิเคราะห์ เพ่อใช้แสดงปริมาณของการวิเคราะห์ มักวิเคราะห์ออกเป็นหัวเร่อง


หลัก หัวเรื่องย่อย หัวข้อย่อย รวมทั้งปริมาณ เช่น จ�านวนแนวคิด จ�านวนหน้า เป็นต้น
14 เวทย์ บรรณกรกุล และวุฒิชัย อัตถาพงศ์, เอกสารประกอบการอบรมการสร้างบทเรียนออนไลน์แบบมี


ปฏิสัมพันธ์ : นวัตกรรรมเพ่อการสอนธรรมศึกษา สนับสนุนโดยสานักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์, (กรุงเทพฯ:
อักขระการพิมพ์, 2558), หน้า 81-82.

298 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ


เทคนิควิธีวิเคราะห์เนื้อหา มีล�าดับขั้นตอน ดังนี้
1. ศึกษาเนื้อหาจากแหล่งข้อมูลต่างๆ เพื่อให้ได้เนื้อหาครบถ้วน และไม่ ซ�้าซ้อน
2. ศึกษาวัตถุประสงค์เพื่อให้ทราบขอบเขตเนื้อหาและเรื่องที่ต้องการ




3. กาหนดวัตถุประสงค์ในการวิเคราะห์ เช่น เพ่อแยกแยะรายละเอียดของเน้อหา เพ่อจัด
DO NOT COPY
ล�าดับเนื้อหาเพื่อให้ทราบความสอดคล้องและความสัมพันธ์กันของเนื้อหากับวัตถุประสงค์


4. ทาการวิเคราะห์เน้อหาท้งหมด โดยการเขียนแสดงภาพความสัมพันธ์ของเน้อหาในรูปของ


15
แผนผังความคิด (Concept Mapping) เพื่อแสดงความสัมพันธ์แนวคิดอย่างมีล�าดับขั้น โดยมีค�าหรือ



ข้อความเป็นตัวเช่อมแนวคิดเหล่าน้น แผนผังแนวคิดช่วยทาให้ผู้สอนเข้าใจเน้อหาสาระได้อย่างเป็นระบบ

สามารถเห็นความสัมพันธ์และประเด็นส�าคัญของเนื้อหาสาระได้อย่างรวดเร็ว















ภาพที่ 12.4 แสดงแผนผังแนวคิดในรูปแบบจ�าลอง
ที่มา : https://imindmap.com/blog/mind-map-your-lesson-plan/

จากภาพแสดงแผนผังแนวคิดในรูปแบบจาลองแสดงให้เห็นภาพรวมของหัวข้อหลักคาสอน




ของพระพุทะศาสนาท่คลอบคลุมขอบข่ายเน้อหาความรู้และเพียงพอต่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนา

แผนผังแนวคิดน้สามารน�าไปเป็นกรอบในการพิจารณาออกแบบกิจกรรมการการเผยแผ่พระพุทธศาสนา




ท้งกิจกรรมหลัก กิจกรรมรอง และกิจกรรมเสริม ตลอดจนกาหนดแนวทางการนาเสนอผ่านส่อและ
นวัตกรรมได้เป็นอย่างดี
2. Mobile Application
Mobile Application เป็นบริการพัฒนาระบบแอพลิเคชั่น รวมถึงมัลติมีเดียบนอุปกรณ์
16
เคลื่อนที่ เช่น IPAD / IPHONE / ANDROID / SYMBIAN เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความประทับใจใน

15 Mind Map your lesson plan in 8 easy steps [ออนไลน์], แหล่งที่มา : https://imindmap.com/
blog/mind-map-your-lesson-plan/ [28 พฤศจิกายน 2558]
16 [ออนไลน์], แหล่งท่มา : https://www.itgenius.co.th/article/Mobile%20Application%20%คืออะไร.

html [7 พฤษภาคม 2562]

บทที่ 12 การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในยุคดิจิทัล 299


การน�าเสนอข้อมูล มีระบบ Back Office เพื่อให้สามารถเพิ่มข้อมูลและบริหารจัดการข้อมูลได้ เหมาะ

สาหรับการเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ รวมถึงการให้บริการผ่านมือถือ สร้างความแตกต่างและทันสมัย สามารถ


จัดทาส่อ บทเรียนหรือระบบ Learning Management SystemMobile Application for Healthcare
Mobile Application ประกอบขึ้นด้วยค�าสองค�า คือ Mobile กับ Application มีความ
DO NOT COPY


หมายดังน้ Mobile คือ อุปกรณ์ส่อสารท่ใช้ในการพกพา ซ่งนอกจากจะใช้งานได้ตามพ้นฐานของโทรศัพท์



แล้ว ยังท�างานได้เหมือนกับเครื่องคอมพิวเตอร์ เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ที่พกพาได้จึงมีคุณสมบัติเด่น คือ



ขนาดเล็กนาหนักเบาใช้พลังงานค่อนข้างน้อย ปัจจุบันมักใช้ทาหน้าท่ได้หลายอย่างในการติดต่อแลก

เปลี่ยนข่าวสารกับคอมพิวเตอร์ ส�าหรับ Application หมายถึงซอฟต์แวร์ที่ใช้เพื่อช่วยการท�างานของผู้
ใช้ (User) โดย Application จะต้องมีสิ่งที่เรียกว่า ส่วนติดต่อกับผู้ใช้ (User Interface หรือ UI) เพื่อ
เป็นตัวกลางการใช้งานต่าง ๆ


Mobile Application เป็นการพัฒนาโปรแกรมประยุกต์สาหรับอุปกรณ์เคล่อนท่ เช่น

โทรศัพท์มือถือแท็บเล็ตโดยโปรแกรมจะช่วยตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค อีกท้งยังสนับสนุน ให้

ผู้ใช้โทรศัพท์ได้ใช้ง่ายยิ่งขึ้น ในปัจจุบันโทรศัพท์มือ หรือ สมาร์ทโฟน มีหลายระบบปฏิบัติการที่พัฒนา



ออกมาให้ผู้บริโภคใช้ ส่วนท่มีคนใช้และเป็นท่นิยมมากก็คือ ios และ Android จึงทาให้เกิดการเขียนหรือ
พัฒนา Application ลงบนสมาร์ทโฟนเป็นอย่างมาก อย่างเช่น แผนที่, เกมส์, โปรแกรมคุยต่างๆ และ

หลายธุรกิจก็เข้าไปเน้นในการพัฒนา Mobile Application เพ่อเพ่มช่องทางในการส่อสารกับลูกค้ามาก


ขึ้น ตัวอย่าง Application ที่ติดมากับโทรศัพท์ อย่างแอพพลิเคชั่นเกมส์ชื่อดังที่ชื่อว่า Angry Birds หรือ
facebook ที่สามารถแชร์เรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ความรู้สึก สถานที่ รูปภาพ ผ่านทางแอพพลิเคชั่น
ได้โดยตรงไม่ต้องเข้าเว็บบราวเซอร์



ประเภทของโมบายแอพพลิเคช่น แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ Native Application,
Hybrid Applicationและ Web Application 17

Native App (เนทีฟ แอพ) คือ Application ที่ถูกพัฒนามาด้วย Library หรือ SDK เครื่อง
มือที่เอาไว้ส�าหรับพัฒนาโปรแกรมหรือแอพพิเคชั่น ของ OS Mobile นั้นๆโดยเฉพาะ อาทิ Android ใช้

Android SDK, IOS ใช้ Objective c, Windows Phone ใช้ C# เป็นต้น

Hybrid Application คือ Application ท่ถูกพัฒนาข้นมาด้วยจุดประสงค์ ท่ต้องการให้


สามารถ รันบนระบบปฏิบัติการได้ทุก OS โดยใช้ Framework (เฟรมเวิร์ก) เข้าช่วย เพื่อให้สามารถ
ท�างานได้ทุกระบบปฏิบัติการ
Web Application คือ Application ที่ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อเป็น Browser ส�าหรับการใช้งาน

เว็บเพจต่างๆ ซ่งถูกปรับแต่งให้แสดงผลแต่ส่วนท่จาเป็น เพ่อเป็นการลดทรัพยากรในการประมวลผล




17 [ออนไลน์], แหล่งท่มา : https://sites.google.com/site/suhainee571031221/prapheth-khxng-mo-

bay-xaeph-phli-khechan [7 พฤษภาคม 2562]

300 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ


ของตัวเครื่องสมาร์ทโฟน หรือ แท็บเล็ต ท�าให้โหลดหน้าเว็บไซต์ได้เร็วขึ้น อีกทั้งผู้ใช้งานยังสามารถใช้

งานผ่าน อินเตอร์เน็ตและอินทราเน็ต ในความเร็วต่าได้
ประโยชน์ของ Mobile App

ปัจจุบันนี้ผู้ที่ประกอบธุรกิจต่างๆ ไม่ว่าจะขนาดใหญ่หรือขนาดเล็กได้ให้ความสนใจในการที่

จะพัฒนา Mobile Application เพ่อให้เป็นอีกช่องทางหน่งในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ รวมไปถึง

ติดต่อกลุ่มลูกค้าของตน อาทิเช่น กลุ่มธุรกิจการการเท่องเที่ยวและการเดินทาง มีการจัด Mobile App
ระบบแนะน�าสถานที่ท่องเที่ยว แนะน�าโรงแรมและการจองโรงแรมที่พัก มีระบบการจองตั๋วรถทัวร์ จอง
ตั๋วเครื่องบิน รวมไปถึงการเช็คอินได้ด้วย ส่วนกลุ่มธุรกิจเพื่อการศึกษา มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ การ




ซ้อขายส่อการเรียนการสอน การแลกเปล่ยนความรู้ต่างๆ กลุ่มธุรกิจการค้าและแฟช่น มีระบบการซ้อ


ขายแลกเปลี่ยนสินค้า เป็นต้น

สาหรับการใช้ประโยชน์ Mobile Application ในงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาในปัจจุบันมีให้
เห็นในรูปของโปรแกรมสืบค้นพระไตรปิฎก เช่น E-Tipitaka ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ใช้สืบค้นข้อมูล พระ
18
ไตรปิฎก มีหลากหลายฉบับให้เลือกศึกษา เช่น ฉบับหลวง, บาลี (สยามรัฐ) , มหามกุฏฯ, มหาจุฬาฯ ดัง
ตัวอย่าง DO NOT COPY



























ภาพที่ 12.5 วิธีการเปิดอ่านโปรแกรมพระไตรปิฎก
ที่มา http://www.tong9.com/main/index.php/menu61/menu62/menu77/menu78/menu81






18 [ออนไลน์], แหล่งที่มา : http://www.tong9.com/main/index.php/menu61/menu62/menu77/
menu78/ menu79 [17 มีนาคม2562]

บทที่ 12 การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในยุคดิจิทัล 301


3. มัลติมีเดียเพื่อการน�าเสนอ



โปรแกรมมัลติมีเดียเพ่อการนาเสนอซ่งเป็นที่นิยมและใช้งานง่ายมากท่สุดโปรแกรมหน่งคือ







Microsoft Office PowerPoint เป็นโปรแกรมทนยมใช้ในการนาเสนอข้อมลมากทสดไม่ว่าจะเป็น



การเรียนการสอน การบรรยายทางวิชาการ โดยเฉพาะในงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา ถือว่าโปรแกรมนี้












สามารถนามาใชเปนเครองมอสรางสองด้านมลตมีเดยคือ วิดีโอและเสียงประกอบ ตลอดจนสามารถบันทก

หน้าจอคอมพิวเตอร์และเสียงที่เกี่ยวข้อง แล้วฝังลงในสไลด์ PowerPoint หรือสามารถบันทึกเป็นไฟล์
แยกต่างหากได้ เมื่อต้องการบันทึกและฟังเสียงที่เชื่อมโยงกับการบันทึกหน้าจอ คุณจะต้องมีการ์ดเสียง
ไมโครโฟน และล�าโพง พร้อมทั้งตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีเนื้อที่ว่างเพียงพอบนไดรฟ์ในเครื่องของคุณเพื่อ
บันทึกและจัดเก็บการบันทึกหน้าจอโดยมีเทคนิควิธีการดังนี้ 19
บันทึกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ของคุณและฝังการบันทึกใน PowerPoint 2016
1. เปิดสไดล์ที่ต้องการใส่การบันทึกหน้าจอ
DO NOT COPY
2. บนแท็บ แทรก ของ Ribbon ให้เลือก การบันทึกหน้าจอ
3. บนแท่นควบคุม ให้คลิก เลือกพื้นที่ (ปุ่มโลโก้ Windows+Shift+A) หรือถ้าต้องการ
เลือกการบันทึกทั้งหน้าจอ ให้กดปุ่มโลโก้ Windows+Shift+F













(แป้นพิมพ์ลัดปุ่มโลโก้ Windows+Shift+F จะใช้งานได้ ถ้าคุณใช้การติดต้งแบบOffice 2016

คลิก-ทู-รัน เท่านั้น การติดตั้งแบบ MSI จะไม่มีทางลัด นอกจากนี้ยังต้องใช้ Office เวอร์ชัน 2016 เป็น
อย่างต�่าเพื่อใช้งานทางลัด) พื้นที่ขนาดต�่าสุดที่สามารถบันทึกได้คือ 64x64 พิกเซล







ถ้าเลือกท่จะเลือกพ้นท่ จะเห็นเคอร์เซอร์รูปกากบาท คลิกและลากเพ่อเลือกพ้นท่ของ

หน้าจอท่ต้องการบันทึก (ถ้าทาการบันทึกหน้าจอระหว่างเซสชัน PowerPoint ปัจจุบันเรียบร้อยแล้ว

19 บันทึกหน้าจอของคุณใน PowerPoint [ออนไลน์], แหล่งที่มา : https://support.office.com/th-th/
article/บันทึกหน้าจอของคุณใน-powerpoint-0b4c3f65-534c-4cf1-9c59-402b6e9d79d0 [28 มีนาคม 2562]

302 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ




พ้นท่ท่เลือกไว้ก่อนหน้าจะปรากฏบนหน้าจอ สามารถทาการบันทึกต่อได้ ถ้าพ้นท่ท่เลือกไว้แล้วเหมาะ





สม หรือสามารถคลิก เลือกพื้นที่เพื่อเริ่มต้นใหม่)
เคล็ดลับ: PowerPoint จะบันทึกเสียงและตัวชี้เมาส์โดยอัตโนมัติ ดังนั้น ตัวเลือกเหล่านั้น

จะถูกเลือกบนแท่นควบคุมตามค่าเร่มต้น เม่อต้องการปิด ให้ยกเลิกการเลือก เสียง (ปุ่มโลโก้ Windows+-

Shift+U) และ บันทึกตัวชี้ (ปุ่มโลโก้ Windows+Shift+O)
1. คลิก บันทึก (ปุ่มโลโก้ Windows+Shift+R)
เคล็ดลับ: ถ้าคุณไม่ได้ปักหมุดแท่นควบคุมไปบนหน้าจอ แท่นควบคุมจะเล่อนชิดขอบขณะ

ที่คุณบันทึก เมื่อต้องการให้แท่นควบคุมที่ยกเลิกการปักหมุดปรากฏขึ้นอีกครั้ง ให้ชี้เคอร์เซอร์ของเมาส์
ไปที่ด้านบนของหน้าจอ
2. เมื่อต้องการควบคุมการบันทึกของคุณ:

2.1 คลิก หยุดชั่วคราว เพื่อหยุดการบันทึกชั่วคราว (ปุ่มโลโก้ Windows+Shift+R)
2.2 คลิก บันทึก เพื่อด�าเนินการบันทึกต่อ (ปุ่มโลโก้ Windows+Shift+R)

2.3 คลิก หยุด เพื่อสิ้นสุดการบันทึก (ปุ่มโลโก้ Windows+Shift+Q) (ตามที่แสดงด้านล่าง)
DO NOT COPY











3. เมื่อบันทึกเรียบร้อยแล้ว ให้บันทึกงานน�าเสนอ: ไฟล์ > บันทึก ตอนนี้ การบันทึกจะฝัง
บนสไลด์ที่คุณเลือกในขั้นตอนที่ 2


เม่อต้องการบันทึกการบันทึกเป็นไฟล์แยกต่างหากบนคอมพิวเตอร์ ให้คลิกขวาท่รูปภาพบน











สไลด์ท่มีการบันทึก และเลือก บนทกสอเป็น ในกล่องโต้ตอบ บนทกสอเป็น ให้ระบุช่อไฟล์และ
ต�าแหน่งที่ตั้งโฟลเดอร์ แล้วคลิก บันทึก
บันทึกการบันทึกหน้าจอเป็นไฟล์แยกต่างหากจาก PowerPoint
ถ้าก�าลังใช้ PowerPoint 2013 ก่อนที่จะบันทึกการบันทึกหน้าจอเป็นไฟล์แยกต่างหากให้
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้ติดตั้งการอัปเดตที่จ�าเป็นทั้งหมดแล้ว:
1. ติดตั้งเวอร์ชัน 15.0.4641.1001 หรือใหม่กว่าส�าหรับเวอร์ชันคลิก-ทู-รัน
2. ติดต้งท้งสองการอัปเดต (KB2883051 และ KB2883052) สาหรับทุกเวอร์ชัน ยกเว้นแบบ



คลิก-ทู-รัน เมื่อคุณติดตั้งการอัปเดตที่ถูกต้องแล้ว จะสามารถบันทึกไฟล์วิดีโอได้ วิธีการมีดังนี้:

บทที่ 12 การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในยุคดิจิทัล 303


1. คลิกขวาที่กรอบวิดีโอ และคลิก บันทึกสื่อเป็น
เคล็ดลับ: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าดิสก์มีพื้นที่เพียงพอส�าหรับการบันทึกไฟล์วิดีโอ มิฉะนั้น
จะต้องเพิ่มพื้นที่ว่างและลองอีกครั้ง

1. ในกล่อง บันทึกสื่อเป็น ให้เลือกโฟลเดอร์ และในกล่อง ชื่อไฟล์ ให้พิมพ์ชื่อ
2. คลิก บันทึก

ตั้งค่าการตั้งค่า ‘เริ่ม’ วิดีโอ คลิกขวาที่กรอบวิดีโอ คลิก เริ่ม และเลือกวิธีการเริ่มต้น
วิดีโอในงานน�าเสนอ ได้แก่ การเริ่มต้นโดยอัตโนมัติเมื่อสไลด์ปรากฏขึ้น หรือเริ่มต้นเมื่อคลิกเมาส์













ตัดแต่งวิดีโอ คลิกขวาที่กรอบของวิดีโอ และคลิก ตัดแต่ง
DO NOT COPY











1. เม่อต้องการกาหนดช่วงของคลิปวิดีโอท่ต้องการตัดแต่ง ในกล่อง ตัดแต่งวิดีโอ ให้คลิก เล่น
2. เมื่อถึงจุดที่ต้องการตัด ให้คลิก หยุดชั่วขณะ
เคล็ดลับ: ใช้ปุ่ม เฟรมถัดไป และ เฟรมก่อนหน้า เพื่อระบุช่วงเวลาที่แม่นย�า
3. ท�าอย่างน้อยหนึ่งอย่างต่อไปนี้:

3.1 เมื่อต้องการตัดแต่งตอนต้นของคลิป ให้คลิกจุดเริ่มต้น (แสดงอยู่ในรูปใต้เครื่องหมายสี
เขียว) เมื่อคุเห็นลูกศรสองหัว ให้ลากลูกศรไปยังต�าแหน่งเริ่มต้นที่ต้องการของวิดีโอ

304 พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ

















3.2 เมอต้องการตดแต่งจดสนสดของคลป ให้คลกทจดสนสด (แสดงไว้ในรปด้านบนเป็น

เครื่องหมายสีแดง) เมื่อคุณเห็นลูกศรสองหัว ให้ลากลูกศรไปยังต�าแหน่งสิ้นสุดส�าหรับวิดีโอที่ต้องการ
4. คลิก ตกลง.


น�าสไตล์ไปใช้กับกรอบวิดีโอ คลิกขวาท่กรอบวิดีโอ คลิก สไตล์ และเลือกสไตล์ท่ชอบ จาก
DO NOT COPY
ค�าสั่งด้านล่าง










สรุปท้ายบท












การเผยแพร่พระพุทธศาสนาในยคดจิทลเป็นการนาแบบอยางการดารงชวิตอนประเสรฐทเรียก
ว่า พรหมจรรย์ ออกไปเผยแผ่แก่ประชาชน พระพุทธเจ้าได้ประกาศนโยบายในการประกาศหรือเผยแผ่









พระพทธศาสนาไว้ว่าหรือไปขอพงเทวดา เพราะเทวดาทเป็นมจฉาทฏฐกมพทธศาสนาจงเป็นศาสนาท ่ ี



เป็นประโยชน์ท้งแก่เทวดาและมนุษย์ท้งหลาย มัลติมีเดียได้รวมเอาฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ไว้ด้วย




กัน การนาเสนอด้วยระบบมัลติมีเดียเน้นผลผลิตท่เกิดข้นจากการนาข้อมูลหลากหลายรูปแบบ ซ่งเป็นการ




มองภาพของการนาเสนอมากกว่ากระบวนการและอุปกรณ์ในการสร้างงานคอมพิวเตอร์ช่วยสอนด้วย
ระบบมัลติมีเดีย


Click to View FlipBook Version