The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by slmaum, 2021-11-22 09:50:42

วิทยานิพนธ์

วิทยานิพนธ์

บทบาทของคณะกรรมการอิสลามประจามสั ยดิ ในการพัฒนาเยาวชนมสุ ลิม
ในเขตอาเภอตากใบ จังหวดั นราธวิ าส

Role of Masjid Committee for Developing Muslim Youth
in Tak Bai District, Narathiwat Province

มูหามะ แวนาซา

Mohammad Wainasa

วิทยานิพนธน์ เ้ี ป็นส่วนหนงึ่ ของการศึกษาตามหลกั สตู รปริญญาศลิ ปศาสตรมหาบณั ฑติ
สาขาวิชาอสิ ลามศึกษา

มหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์

A Thesis Submitted in Partial Fulfillment of the Requirements for the Degree of
Master of Arts in Islamic Studies
Prince of Songkla University
2562

ลิขสิทธข์ิ องมหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์

ดว้ ยพระนามของอัลลอฮ์ ผู้ทรงกรณุ าปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ

(1)

บทบาทของคณะกรรมการอิสลามประจามสั ยิดในการพฒั นาเยาวชนมุสลิม
ในเขตอาเภอตากใบ จงั หวดั นราธวิ าส

Role of Masjid Committee for Developing Muslim Youth
in Tak Bai District, Narathiwat Province

มูหามะ แวนาซา

Mohammad Wainasa

วิทยานพิ นธน์ เี้ ปน็ ส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรปริญญาศลิ ปศาสตรมหาบณั ฑติ
สาขาวิชาอสิ ลามศกึ ษา

มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์

A Thesis Submitted in Partial Fulfillment of the Requirements for the Degree of
Master of Arts in Islamic Studies
Prince of Songkla University
2562

ลิขสิทธิข์ องมหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์

(2)

ช่อื วิทยานพิ นธ์ บทบาทของคณะกรรมการอิสลามประจามสั ยิดในการพัฒนาเยาวชนมุสลมิ
ในเขตอาเภอตากใบ จังหวดั นราธวิ าส
ผู้เขียน นายมูหามะ แวนาซา
สาขาวิชา อิสลามศึกษา

อาจารย์ทีป่ รึกษาวิทยานิพนธห์ ลัก คณะกรรมการสอบ
................................................................... ................................................ประธานกรรมการ
(ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อสี มาแอ กาเต๊ะ) (ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.นเิ ลาะ แวอุเซ็ง)

.............................................................กรรมการ
(ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.อสี มาแอ กาเต๊ะ)

.............................................................กรรมการ
(ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.มะรอนิง สาแลมงิ )

.............................................................กรรมการ
(ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.มฮู ามสั สกรี มนั ยนู ุ)

บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อนุมัติให้นับวิทยานิพนธ์ฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่ง
ของการศึกษาตามหลกั สตู รปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาอิสลามศกึ ษา

.............................................................
(ศาสตราจารย์ ดร.ดารงศักด์ิ ฟ้าร่งุ สาง)

คณบดีบณั ฑิตวิทยาลัย

(3)

ขอรับรองว่า ผลงานวิจัยน้ีมาจากการศึกษาวิจัยของนักศึกษาเอง และได้แสดงความขอบคุณบุคคลท่ีมีส่วน
ช่วยเหลอื แล้ว

ลงช่ือ.......................................................
(ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.อสี มาแอ กาเต๊ะ)

อาจารย์ทป่ี รกึ ษาวิทยานิพนธ์หลกั

ลงชือ่ .......................................................
(นายมูหามะ แวนาซา)
นกั ศึกษา

(4)

ข้าพเจ้าขอรับรองว่า ผลงานวิจัยนี้ไม่เคยเป็นส่วนหน่ึงในการอนุมัติปริญญาในระดับใดมาก่อน และไม่ได้ถูก
ใช้ในการยืน่ ขออนุมตั ิปริญญาในขณะนี้

ลงช่ือ.....................................................
(นายมหู ามะ แวนาซา)
นกั ศกึ ษา

ชือ่ วิทยานพิ นธ์ (5)

ผู้เขียน บทบาทของคณะกรรมการอสิ ลามประจามัสยิดในการพัฒนาเยาวชนมสุ ลมิ
สาขาวชิ า ในเขตอาเภอตากใบ จงั หวดั นราธวิ าส
ปกี ารศกึ ษา นายมูหามะ แวนาซา
อิสลามศึกษา
2561

บทคัดย่อ

การวิจัยคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพ่ือศึกษาระดับความรู้ความเข้าใจของ
คณะกรรมการอิสลามประจามัสยิดในการพัฒนาเยาวชนในเขตอาเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส
(2) เพอื่ ศึกษาระดับบทบาทของคณะกรรมการอิสลามประจามัสยิดในการพัฒนาเยาวชนในเขตอาเภอ
ตากใบ จังหวัดนราธิวาส (3) เพื่อศึกษาแนวทางในการพัฒนาเยาวชนในเขตอาเภอตากใบจังหวัด
นราธิวาสโดยแบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็นสองกลุ่มคือกลุ่มตัวอย่าง ด้านการวิจัยเชิงคุณภาพ
ประกอบด้วยคณะกรรมการอิสลามประจาจังหวัดนราธิวาส จานวน 10 คน และคณะกรรมการ
ชมรมอิมาม เคาะฏีบ บีลาลในเขตอาเภอตากใบจานวน 10 คน ส่วนกลุ่มตัวอย่างด้านวิจยั เชิงปรมิ าณ
คือคณะกรรมการอิสลามประจามัสยิดในเขตพ้ืนท่ีอาเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส จานวน 230 คน
โดยแบ่งการศึกษาออกเป็น 2 ขั้นตอน ข้ันตอนท่ี 1 เป็นการตอบแบบสอบถามเก่ียวกับบทบาทและ
ความรู้ความเข้าใจของคณะกรรมการอิสลามประจามัสยิดในเขตอาเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาสและ
ขัน้ ตอนที่ 2 เป็นการจัดสนทนากลุ่มโดยมีแบบบันทกึ การประชุมสนทนากลุ่มเป็นเคร่ืองมือและใช้สถิติ
ในการวจิ ยั ทปี่ ระกอบด้วย ค่าความถี่ ค่าร้อยละ คา่ เฉล่ียและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน

ผลการวิจยั พบว่า
1) ระดับความรู้ความเข้าใจของคณะกรรมการอิสลามประจามัสยิดในการพัฒนาเยาวชน
ในเขตอาเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาสอยู่ในระดับ มาก
2) ระดับบทบาทของคณะกรรมการอิสลามประจามัสยิดในการพัฒนาเยาวชนใน
เขตอาเภอตากใบ จังหวัดนราธวิ าสอยู่ในระดับปานกลางโดยภาพรวมและรายดา้ นอยใู่ นระดบั ดังน้ี คือ

(6)

ด้านศาสนาอยู่ในระดับ มาก ด้านการศึกษาอยู่ในระดับ มาก ส่วนระดับการจัดกิจกรรมอยู่ในระดับ
ปานกลาง

3) แนวทางในการพัฒนาเยาวชนมี 3 ด้าน ได้แก่ ด้านศาสนา เช่น การจัดอบรมใน
เรื่องของศาสนา ด้านการจัดการศึกษา เช่น การจัดสัปดาห์แห่งการเรียนรู้และด้านการจัดกิจกรรม
เชน่ กจิ กรรมพบปะครอบครัว กจิ กรรมเยย่ี มเยยี น และกิจกรรมกฬี าสีของชมุ ชน

(7)

Thesis Title Role of Masjid Committee For Developing Muslim Youth in
Takbai District, Narathiwat Province
Author Mr.Mohammad Wainasa
Major Program Islamic Studies
Academic Year 2018

ABSTRACT

The objectives of the research were (1) to study the level of learning
and understanding of masjid committee for developing muslim youth in Takbai
Narathiwat province (2) to study the role of masjid committee for developing muslim
youth in Takbai Narathiwat province (3) to study approaches in developing muslim
youth in Takbai Narathiwat province.The study was divided into 2 steps. 1) survey
research step in which the questionnaire about the roles and learning Imam
developing muslim youth. 2) group discussion in which record form of group
discussion. The statistics used in the study were: frequency,percentage,average and
standard deviation.

The results
1) The level of roles of masjid committee for developing muslim
youth in Takbai Narathiwat province in general were in the “Good” and in religion
were in the “Very Much” level. for islamic education were in the “Very Much” level
and for islamic activities were in the “Good” level
2) The level of learning and understanding of masjid committee for
developing muslim youth in Takbai Narathiwat province in “Very Much” level
3) The are 3 approaches in developing the muslim youth in Takbai
Narathiwat province: such as training,meet up and sport day

‫دور اعضاء مجلس ادارة المساجد في بناء الشخصية الاسلامية للشباب‬ ‫)‪(8‬‬
‫بمنطقة تقباي ولاية ناراتيوات‬
‫محمد وي ناسا‬ ‫موضوع البحث‬
‫الدراسات الاسلامية‬
‫‪ 1440‬هجرية‬ ‫الباحث‬
‫البرنامج الرئيسي‬

‫العام الدراسي‬

‫مستخلص البحث‬

‫يستهدف هذا البحث الى )‪ (1‬دراسة مسؤولية اعضاء مجلس ادارة المساجد في بناء‬
‫الشخصية الاسلامية على مدى وعيهم وفهمهم بمنطقة تقباي ولاية ناراتيوات )‪ (2‬دراسة دور اعضاء‬
‫مجلس ادارة المساجد في بناء الشخصية الاسلامية بمنطقة تقباي ولاية ناراتيوات )‪ (3‬بحث سبل تنمية‬
‫الشخصية الاسلامية بمنطقة تقباي ولاية ناراتيوات والمشتركون في اجراء هذه الدراسة هم ‪ 230‬عضوا من‬
‫اعضاء مجلس ادارة المساجد بمنطقة تقباي ولاية ناراتيوات‪ .‬وقد قسمت الدراسة الى مرحلتين‪،‬المرحلة الاولى‬
‫هي الاستبيان لمدى وعي اعضاء مجلس ادارة المساجد وفهمهم في بناء الشخصية الاسلامية للشباب‬
‫بمنطقة تقباي ولاية ناراتيوات والمرحلة الثاني اقامة هي نقاش الجماعي بين ‪ 10‬اعضاء المجلس الاسلامي‬
‫بولاية ناراتيوات و ‪ 10‬اعضاء الاتحاد الائمة بمنطقة تقباي ولاية ناراتيوات والادوات المستخدمة في اجراء‬
‫النقاش هي دفتر تسجيل النقاش الجماعي‪ .‬الاحصائيات التي استخدمت في الدراسة هي قيمة التردد‪،‬‬

‫النسبة المئوية‪ ،‬القيمة المتوسطة وقيمة الانحراف‬
‫نتائج البحث‬

‫‪ (1‬دراسة مسؤولية لاعضاء مجلس ادارة المساجد في بناء الشخصية الاسلامية على‬
‫مدى وعيهم وفهمهم بمنطقة تقباي ولاية ناراتيوات في الوجه العام تكون على مستوى "جيد جدا"‬

‫‪ (2‬دور اعضاء مجلس ادارة المساجد في بناء الشخصية الاسلامية للشباب بمنطقة تقباي‬
‫ولاية ناراتيوات في الوجه العام تكون على مستوى " جيد" بحيث من الناحية الدينية تكون على مستوى‬

‫)‪(9‬‬

‫" جيد جدا " ومن الناحية التعليمية تكون على مستوى " جيد جدا " ومن الناحية النشاطاتية تكون على‬
‫مستوى " جيد "‬

‫‪ (3‬سبل تنمية الشخصية الاسلامية للشباب بمنطقة تقباي ولاية ناراتيوات تكون من ‪3‬‬
‫مجالات وهي المجالات الدينية والمجالات التعليمية ومجالات النشاطات مثل الدورة والتعليم وغيرهما‬

(10)

กติ ตกิ รรมประกาศ

บรรดาการสรรเสริญท้ังมวลเปน็ สิทธิ์ของอลั ลอฮ์  ผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก ขอ
ความสันตสิ ุขจงประสบแดท่ า่ นนบีมฮุ มั มัด  ผ้ซู ง่ึ เป็นผนู้ าสูแ่ ห่งแนวทางท่ีเทยี่ งตรงและเป็นแบบฉบับ
ท่ดี งี ามแกม่ วลมนุษย์ชาติ

วิทยานิพนธ์ฉบับนี้สาเร็จลุล่วงได้ด้วยความโปรดปรานและการอนุมัติจากอัลลอฮ์ 
และด้วยความช่วยเหลือจากอาจารย์ที่ปรึกษาคือ ผู้ช่วยศาสตราจารย์.ดร.อีสมาแอ กาเต๊ะ ท่ีได้สละ
เวลาอันมีค่าด้วยการให้คาปรึกษา แนะนา ช่วยเหลือและตรวจทานแก้ไขวิทยานิพนธ์เป็นอย่างดี
จึงขอขอบคุณไว้ ณ โอกาสนี้เป็นอยา่ งสูง

ขอขอบคุณรองศาสตราจารย์ ดร.อิบรอฮีม ณรงค์รักษาเขต รองศาสตราจารย์
ดร.อับดุลเลาะ การีนาและผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มูฮามัสสกรี มันยูนุ ท่ีได้เสียสละเวลาตรวจสอบ
เครื่องมือสาหรับการวิจัยและขอขอบคุณผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นิเลาะ แวอุเซ็ง ผู้ช่วยศาสตราจารย์
ดร.มะรอนิง สาแลมิง และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มูฮามัสสกรี มันยูนุ ท่ีได้เกียรติเป็นกรรมการสอบ
วทิ ยานิพนธ์และทาใหว้ ทิ ยานิพนธ์ฉบบั นี้มีความสมบรู ณ์มากยิ่งขน้ึ

ขอขอบคุณผู้เชี่ยวชาญทุกท่านท่ีได้เสียสละเวลาอันมีค่าเข้าร่วมประชุมสนทนากลุ่ม
ในการกาหนดแนวทางการพัฒนาเยาวชนในเขตอาเภอตากใบ จังหวัดนราธวิ าส

ขอขอบคุณ บรรดาคณาจารย์ ภาควิชาอิสลามศึกษาที่ได้ประสิทธิประสาทความรู้
ตลอดระยะเวลาของการศึกษาในหลักสูตรน้ีและขอขอบคุณบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสงขลา
นครนิ ทร์ท่ีได้มอบทุนอุดหนุนเพอ่ื การวิจยั คร้ังนี้

ขอขอบคุณ ทุกคนในครอบครัวท่ีเคยเป็นกาลังใจแล ะให้ การส นับสนุนอย่างดียิ่ง
ตลอดจนญาติ พีน่ ้องมิตรสหายทใี่ หผ้ วู้ ิจยั มคี วามอดทนในการเผชญิ ปัญหาต่างๆ ในการทาวทิ ยานพิ นธ์
จนสาเรจ็ ลลุ ่วงด้วยดี

ขอให้เอกองค์อัลลอฮ์  โปรดทรงใหอ้ ภัยในความผดิ พลาดต่างๆและตอบแทนความ
ดีงามแก่ผู้วิจัยครอบครัวตลอดจนคณะบุคคลที่มีส่วนร่วมในวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ ขอให้เอกองค์
อลั ลอฮ์โปรดทรงประทานความรกั ความเมตตาและความกรุณาปราณแี ก่บุคคลดงั กล่าวด้วย อามีน

มูหามะ แวนาซา

(11)

สารบญั
หนา้

บทคดั ยอ่ .....................................................................................................................................5
ABSTRACT....................................................................................................................7
‫مستخلص البحث‬........................................................................................................................8
กติ ติกรรมประกาศ.....................................................................................................................10
รายการตาราง ...........................................................................................................................14
_า .............................................................................................................................................19
บทท่ี 1 ........................................................................................................................................1

1.1 ความเป็นมาของปัญหาและปญั หา ............................................................................... 1
1.2 อลั กุรอาน อัลฮะดษี และเอกสารงานวิจัยท่ีเกี่ยวขอ้ ง........................................................8
1.2.1 อัลกรุ อาน .................................................................................................................. 8
1.2.2 อัลฮะดีษ..................................................................................................................10
1.2.3 เอกสารงานวิจยั ทเี่ กี่ยวขอ้ ง...........................................................................................12
1.3 วัตถุประสงค์ของการวิจัย.........................................................................................17
1.4 ความสาคญั และประโยชน์ของการวิจยั ........................................................................17
1.5 ขอบเขตของการวจิ ยั ..............................................................................................18
1.5.1 ขอบเขตด้านเนื้อหา....................................................................................................18
1.5.2 ขอบเขตด้านประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง..........................................................................19
1.5.3 กรอบแนวคดิ ............................................................................................................19
1.6 ข้อตกลงเบือ้ งตน้ ...................................................................................................20

บทบาทของคณะกรรมการอิสลามประจามัสยิด .........................................................................23

2.1 บทบาทของคณะกรรมการอสิ ลามประจามสั ยดิ ............................................................23
2.1.1 ความหมายบทบาท ....................................................................................................23
2.1.3 ประเภทของบทบาท...................................................................................................25

2.2 บทบาทของมัสยดิ ในสมัยนบีมฮุ มั มัด ......................................................................63

2.2.1 ความสาคญั ของมสั ยดิ .................................................................................................63

(12)

2.2.2 บทบาทมสั ยดิ ในสมยั นบมี ฮุ มั มัด ................................................................................65

2.3 แนวคิดนักวชิ าการอิสลามเกย่ี วกับบทบาทของผูน้ า........................................................73
2.4 การพฒั นาเยาวชน .................................................................................................74
2.4.1 ความหมาย ..............................................................................................................74
2.4.2 ความสาคญั ของเยาวชน ..............................................................................................75
2.5 ความหมาย ความเปน็ มาและคณุ สมบัติของคณะกรรมการอิสลามประจามสั ยดิ ....................81
2.5.1 ความหมายและความเปน็ มา.........................................................................................81
2.5.2 คุณสมบตั ติ ามพระราชบญั ญัติการบรหิ ารองคก์ รศาสนาอสิ ลาม พทุ ธศกั ราช2540.........................81
2.5.3 อานาจหนา้ ทข่ี องคณะกรรมการอสิ ลามประจามสั ยดิ .........................................................82

วิธกี ารดาเนนิ การวจิ ัย................................................................................................................84

3.1 ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง.......................................................................................84
3.1.1 ประชากร.................................................................................................................84
3.1.2 กลุ่มตัวอย่าง.............................................................................................................85
กล่มุ ตวั อยา่ งในการวจิ ยั ครั้งนผ้ี ้วู ิจยั ได้แบง่ กลมุ่ ตัวอย่างเปน็ 2 กลมุ่ ดงั น้ี...............................................85

3.2 แบบแผนการวจิ ยั ...................................................................................................86
3.3 เคร่อื งมือทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั ..........................................................................................86
3.3.1 เครือ่ งมอื ท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ............................................................................86
3.3.2 การสร้างเครอ่ื งมือและการหาคุณภาพของเครื่องมือ...........................................................87
3.4 การเกบ็ รวบรวมข้อมลู ............................................................................................89
3.4.1 ขอ้ มูลเชิงปริมาณ .......................................................................................................89
3.4.2 ข้อมูลเชิงคุณภาพ ......................................................................................................89
3.4.3 การทบทวนแหลง่ ข้อมลู ...............................................................................................89
3.5 การวิเคราะหข์ อ้ มลู .................................................................................................91
3.5.1 วิธีการวิเคราะห์.........................................................................................................91

ผลการวิจัย................................................................................................................................94

4.1 ขน้ั ตอนการวิเคราะหข์ อ้ มลู ......................................................................................94
4.2 ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู .............................................................................................94

(13)

4.2.1 สว่ นที่ 1 การวิเคราะห์ขอ้ มลู สถานภาพผตู้ อบแบบสอบถาม..................................................94

4.2.2 ส่วนท่ี 2 การวเิ คราะหข์ อ้ มลู ระดบั ความรคู้ วามเขา้ ใจในบทบาทของคณะกรรมการอสิ ลามประจามสั ยดิ ในการ
พฒั นาเยาวชนในเขตอาเภอตากใบ จังหวัดนราธวิ าส นาเสนอโดยภาพรวม..........................................97

4.2.3 ส่วนท่ี 3 การวิเคราะหข์ อ้ มลู ระดับบทบาทของคณะกรรมการอสิ ลามประจามสั ยดิ ในการพัฒนาเยาวชนในเขต
อาเภอตากใบจังหวดั นราธิวาสนาเสนอโดยภาพรวมและเปน็ รายด้าน.............................................................100

4.2.4 ส่วนที่ 4 นาเสนอแนวทางในการพฒั นาเยาวชนในเขตอาเภอตากใบจงั หวดั นราธิวาส................................106

สรุปผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ............................................................................................ 111

5.1 สรุปผลการวจิ ยั ...................................................................................................112
5.2 อภปิ รายผล ........................................................................................................115

บรรณานุกรม.......................................................................................................................... 121

หนังสอื ขอความอนุเคราะห์ ...............................................................................................129
รายช่ือผู้เชี่ยวชาญ/ผ้ทู รงคุณวฒุ ิ.........................................................................................134
ค่าเทยี่ งตรงในการวิจยั .....................................................................................................137
ค่า Reliability ..................................................................................................................143
แบบสอบถามและแบบทดสอบการวจิ ยั ................................................................................148
แบบบนั ทึกการสนทนากลมุ่ ...............................................................................................157
ข้อมลู เชงิ คณุ ภาพ ...........................................................................................................164

บทคัดย่อ ................................................................................................................................ 172
ABSTRACT............................................................................................................... 173
ประวตั ิผ้เู ขียน......................................................................................................................... 191

(14)

รายการตาราง

ตารางท่ี จานวนมัสยดิ และกรรมการอิสลามประจามัสยดิ จาแนกตามตาบล หน้า
1 จานวนประชากรและกลุ่มตัวอย่างจาแนกตามตาบล 74
2 ค่าความถ่ีและค่ารอ้ ยละของสถานภาพผ้ตู อบแบบสอบถาม 75
3 ค่าเฉล่ยี ระดับความรู้ความเข้าใจของคณะกรรมการอิสลามประจามสั ยดิ 82
4 ในการพฒั นาเยาวชนในเขตอาเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส 84
5 ค่าเฉลี่ยและคา่ ความเบ่ียงเบนมาตรฐานระดับบทบาทของคณะกรรมการ
อิสลามประจามสั ยิดในการพัฒนาเยาวชนในเขตอาเภอตากใบ 87
6 จังหวดั นราธิวาส
ค่าเฉลยี่ และสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐานระดบั บทบาทของคณะกรรมการอสิ ลาม 87
7 ประจามสั ยิดในการพฒั นาเยาวชนในเขตอาเภอตากใบ จังหวัดนราธวิ าส
ดา้ นศาสนา 89
8 คา่ เฉล่ยี และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานระดบั บทบาทของคณะกรรมการอสิ ลาม
ประจามัสยดิ ในการพฒั นาเยาวชนในเขตอาเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส 90
ดา้ นการศึกษา
คา่ เฉลย่ี และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานระดบั บทบาทของคณะกรรมการอสิ ลาม
ประจามสั ยดิ ในการพฒั นาเยาวชนในเขตอาเภอตากใบ จงั หวดั นราธิวาส
ดา้ นกิจกรรม

(15)

ตารางเปรยี บเทียบพยญั ชนะ

ตารางปรวิ รรตพยญั ชนะอาหรบั -ไทย
วทิ ยาลัยอิสลามศึกษา ฉบบั ปรับปรงุ 2558

พยัญชนะอาหรับ คาอ่าน พยัญชนะไทย

‫ ء‬،‫أ‬ อะลีฟ/ ฮัมซะฮฺ อ ในกรณีเปน็ พยัญชนะ และ
อ์ ในกรณีเปน็ ตัวสะกดสดุ ทา้ ย
‫ب‬
‫ت‬ บาอ์ บ
‫ث‬
‫ج‬ ตาอ์ ต
‫ح‬
‫خ‬ ษาอ์ ษ
‫د‬
‫ذ‬ ญมี ญ (จญ์ ในกรณเี ป็นตัวสะกด)
‫ر‬
‫ز‬ ฮาอ์ ฮ
‫س‬
‫ش‬ คออ์ ค
‫ص‬
‫ض‬ ดาล ด
‫ط‬
‫ظ‬ ษาฺ ล ษฺ
‫ع‬
‫غ‬ รออ์ ร

ซยั ซฺ

สนี ส มีขอ้ ยกเว้น เช่น มซู า อซี า ยาซีน เปน็ ตน้

ชีน ช

ศอด ศ

ฎอด ฎ

ฎออ์ ฏ

ศอฺ อ์ ศฺ

อัยนฺ อฺ

ฆัยนฺ ฆ

(16)

พยญั ชนะอาหรบั คาอา่ น พยัญชนะไทย
‫ف‬ ฟาอ์ ฟ
‫ق‬ กอฺ ฟ กฺ
‫ك‬ กาฟ ก
‫ل‬ ลาม ล
‫م‬ มมี ม
‫ن‬ นูน น
‫ه‬ ฮาอ์
ฮฺ ในกรณีเปน็ พยญั ชนะ และ
‫و‬ วาว ฮ์ ในกรณีเปน็ ตัวสะกดสุดทา้ ย
‫ي‬ ยาอ์
‫الفتحة‬ อัลฟัตฮะฮฺ ว
อา่ นสระข้างบน ย
‫الكسرة‬ -ั (ในกรณีมตี วั สะกด เช่น มัรวาน อาดมั ฯ)
อัลกัสเราะฮฺ ะ, เ-าะ อี ในกรณมี ตี ัวสะกด) ละสระในบาง
‫الضمة‬ อา่ นสระข้างล่าง กรณี เช่น อะลี บะนี ฯ)
-ิ
‫الفتحة الممدودة‬ อัฎฎมุ มะฮฺ
‫الكسرة الممدودة‬ อา่ นสระข้างหน้า -ุ
‫الضمة الممدودة‬ อลั ฟตั ฮะฮฺ อลั มัมดูดะฮฺ
‫الشمسية‬-‫ال‬ อลั กสั เราะฮฺ อลั มัมดดู ะฮฺ า (อ ในกรณีมตี ัวสะกด เชน่ อัลฟา ร๊อบฯ)
อัฎฎมุ มะฮฺ อัลมัมดูดะฮฺ -ี
‫القمرية‬-‫ال‬ อลีฟ ลาม อัชชมั ชียยฺ ะฮฺ -ู

อะลีฟ ลาม อลั เกาะมะรยี ฺ อ-ั ตามด้วยพยัญชนะตวั แรกของคาต่อไป เชน่
ยะฮฺ อดั ดีน อัฏฏนี ฯ

อลั ตามดว้ ยคาต่อไปโดยไมต่ ้องเว้นวรรค เชน่
อัลกรุ อาน อลั ลอฮ์ อัลอิสลาม ฯ

(17)

พยัญชนะอาหรับ คาอา่ น พยัญชนะไทย
‫ة‬ ตาอ์มรั บเู ฏาะฮฺ ฮ์ เป็นเสียงเดียวกับ ฮฺ กรณีอ่านหยุดเป็นเสยี ง

‫ي‬ ยาอ์ มคุ ๊อฟฟะฟะฮฺ ฮ์ กรณีอ่านต่อเนื่องเปน็ เสยี ง ต
อ่านและสะกดตามการเขยี น เชน่
‫ي‬ ยาอ์ นสิ บะฮฺ หรือ
ยาอ์ มชุ ัดดะดะฮฺ ฟี
สะกดยาอ์สองตวั เช่น ยฺยะ

อัชชาฟิอียยฺ ะฮฺ

(18)

ตารางปริวรรตอกั ษรอาหรับ-อังกฤษ
ของหอ้ งสมดุ รัฐสภาอเมริกา

พยัญชนะอาหรบั คาอา่ น พยัญชนะองั กฤษ
อลีฟ
‫ا‬ บาอ์ A
‫ب‬ ฮัมซะฮฺ B
‫ء‬ ตาอ์ ’a, ’i, ’u
‫ت‬ ษาอ์ T
‫ث‬ ญมี Th
‫ج‬ หาอ์ J
‫ح‬ คออ์ ḥ
‫خ‬ ดาล Kh
‫د‬ ษาล D
‫ذ‬ รออ์ Dh
‫ر‬ ซาย r
‫ز‬ สีน Z
‫س‬ ชีน S
‫ش‬ ศอด Sh
‫ص‬ ฎอด ṣ
‫ض‬ ฏออ์ ḍ
‫ط‬ ซฺออ์ ṭ
‫ظ‬ อยั นฺ ẓ
‫ع‬ ฆอยนฺ ‘a , ‘i, ‘u
‫غ‬ Gh

พยญั ชนะอาหรับ คาอา่ น (19)
ฟาอ์
‫ف‬ กอฟ พยญั ชนะองั กฤษ
‫ق‬ กาฟ
‫ك‬ ลาม F
‫ل‬ มีม Q
‫م‬ นนู K
‫ن‬ ฮาอ์ L
‫ه‬ วาว M
‫و‬ ยาอ์ N
‫ي‬ ตาอ์ H
‫ ة‬،‫ـة‬ _ะ , ไ_ , เ_า W
)‫(الفتحة‬ _า Y
)‫(الفتحة الممدودة‬ -ิ h,t
)‫(الكسرة‬ -ี a ,ay, aw
)‫(الكسرة الممدودة‬ -ุ Ā
)‫(الضمة‬ -ู I
)‫(الضمة الممدودة‬ Ī
‫الشمسية‬-‫ال‬ U
‫القمرية‬-‫ال‬ Ū
‫الكسرة المشددة‬ al-_ (al-Tirmidhiy)
‫الضمة المشددة‬ al-_ (al–’Islāmiyah)
Iyy
Uww

1

บทที่ 1
บทนา

1.1 ความเปน็ มาของปัญหาและปัญหา

อิสลามเป็นศาสนาที่เอกองค์อัลลอฮ์  ได้ประทานลงมาเป็นเวลาอันยาวนานพร้อม
กับการแต่งตั้งบรรดานบีในยุคๆนั้นในการบริหารจัดการโลกหรือเป็นเคาะลีฟะฮฺบนแผ่นดินนี้และได้
วางแนวทางตับชีรและตันษีร1 ให้บรรดานบีเชิญชวนมนุษยชาติสู่สัจธรรมท่ีแท้จริงพร้อมกันนั้นยังมี
การประทานคาภีร์ในการเผยแผ่สัจธรรมในยุคน้ันอีกด้วยและนบีมุฮัมมัด  ได้ถูกประทาน
คาภีร์อัลกุรอานซง่ึ ในอลั กรุ อานนั้นมกี ารอธิบายถึงบทบาทที่สาคัญคือการเชญิ ชวนใหม้ นษุ ยชาติเคารพ
ภักดีตอ่ อลั ลอฮ์  ด่ังท่พี ระองคต์ รัสไว้ในอัลกุรอานว่า

‫﴿ َولََق ْد بـََعثْـنَا يفي ُك يل أَُّمٍة َر ُسوالا أَين ا ْعبُُدوا اََّّللَ َوا ْجتَنيبُوا ال َطّاغُو َت‬
‫فَيمْنـ ُه ْم َم ْن َه َدى اََّّللُ َويمْنـ ُه ْم َم ْن َحَّق ْت َعلَْييه ال َّضلَالَةُ فَ يسيرُوا يفي‬

﴾ ‫اْلَْر يض فَانْظُُروا َكْي َف َكا َن َعاقيبَةُ الْ ُم َك يذبييَن‬
ความว่า “และโดยแน่นอน เราได้ส่งเราะสูลมาในทุกประชาชาติ
(โดยบัญชาว่า) พวกท่านจงเคารพภักดีอัลลอฮ์ และจงหลีกหนีให้
ห่างจากพวกเจว็ด ดังน้ันในหมู่พวกเขามีผู้ท่ีอัลลอฮ์ทรงช้ีแนะทาง
ให้ และในหมู่พวกเขามีการหลงผิดคู่ควรแก่เขาฉะนั้นพวกเจ้าจง
ตระเวนไปในแผ่นดินแล้วจงดูว่าบ้ันปลายของผู้ปฏิเสธนั้นเป็น
เช่นใด”

(อันนะฮลุ : 36)
Ibn Kathīr, (1999,a.4 : 570) ได้กล่าวว่า “การเชิญชวนมนุษย์ให้เคารพภักดี
อัลลอฮ์  และหลีกห่างจากเจว็ดเร่ิมมีต้ังแต่มีการตงั้ ภาคตี ่ออัลลอฮ์  ในสมัยนบีนุฮ  ที่เป็นเราะสูล
คนแรกบนพ้ืนแผ่นดนิ นีแ้ ละจนถึงนบีมุฮมั มัด  ซึ่งท่านได้เชญิ ชวนบรรดามนุษยแ์ ละญนิ ในทุกมุมโลก
ให้เคารพภักดีต่ออัลลอฮ์ ” การเชิญชวนของบรรดานบีต้องใช้เวลาอันยาวนาน และต้องใช้วิทย

1 การแจง้ ข่าวดแี ละขา่ วร้าย

2

ปัญญาในการ เชิญชวนพร้อมท้ังต้องตระหนักถึงความรับผิดชอบท่ีจะถูกสอบสวนจากอัลลอฮ์  ใน

โลกอะคีเราะฮดฺ ง่ั คาตรัสของอลั ลอฮ์  ในอัลกุรอานวา่
‫﴿َوَلا تَـْق ُف َما لَْي َس لَ َك بييه يعْلٌم إي َّن ال َّس ْم َع َوالْبَ َصَر َوالُْفَؤاَد ُك ُّل أُولَئي َك‬
﴾‫َكا َن َعْنهُ َم ْسئُوالا‬
ความว่า “และอย่าติดตามส่ิงท่ีเจ้าไม่มีความรู้ในเรื่องนั้น แท้จริงหู

ตา และหัวใจ ทกุ สงิ่ เหล่าน้นั จะถกู สอบสวน”

(อลั อิสรออฺ : 36)

al-Ṭabariy, (2000,a.17 : 446) ได้กล่าวว่า “อย่าพูดในส่ิงท่ีไม่มองว่าได้เห็น สิ่งท่ี

ไมฟ่ ังวา่ ไดย้ ิน แท้จริงอัลลอฮ์  จะเป็นผ้สู อบสวนอวัยวะขา้ งต้นในทุกๆการกระทา”

al-Qurṭubiy, (1964,a.10 : 259) ได้กล่าวว่า “ในวันกิยามะฮฺหัวใจได้ถูกสอบสวน
ถงึ ความคิด และความเช่ือ หูจะถูกสอบสวนถึงการฟัง ตาถูกสอบสวนถึงการมองเห็น และทุกส่วนของ

ร่างกายจะถูกสอบสวนจากอัลลอฮ์  ต่อหน้าที่ท่ีได้ปฏิบัติมาบนโลกน้ี” ด่ังท่ีมีรายงานจากอับดิลลาฮฺ

อบิ นุ อมุ ัร 

‫((عن عبد الله بن عمر أن رسول الله صلى الله عليه وسلم قال ُكل ُكم‬
،‫ فَاْلَيمير ال يذي َعلى النا يس َراٍع َعلَييهم‬،‫ وَكلُكم َمسُؤوٌل َعن َريعيتييه‬،‫َراٍع‬
،‫َعن ُهم‬ ‫َمسُؤوٌل‬ ‫َوُهَو‬ ،‫بَيتييه‬ ‫َراٍع على أَه يل‬ ُ‫ يتَوالبََرعليُجهلا‬،‫ََووالُهمَروأَةَُمَراسيعُؤيوةٌل َعلَعنىُهبَمي‬
))...‫َوَولده‬

ความว่า จากอับดิลลาฮฺ อิบนุ อุมัร กล่าวว่า เราะสูลลุลอฮ 

กล่าวว่า “พวกท่านทุกคนล้วนเป็นผู้มีหนา้ ทรี่ ับผดิ ชอบและต้องถูก

สอบสวนเก่ียวกับหน้าทท่ี ี่อยู่ภายใตก้ ารดูแลของตน ดังนนั้ ผ้นู าเป็น

ผู้ที่มีหน้าท่ีรับผิดชอบต่อผู้ตาม และถูกสอบสวนเก่ียวกับหน้าที่

ของเขา ชายผู้หน่ึงมีหน้าท่ีรบั ผดิ ชอบในครอบครัวของเขาและต้อง

ถูกสอบสวนเกี่ยวกับหน้าท่ีของเขา และสตรีน้ันนางมีหน้าที่

รบั ผดิ ชอบในบ้านของสามีและบตุ ร...”

(Abū Dāwūd : 2928)2

2 อัล อลั บานีย์ กล่าววา่ เปน็ ฮะดษี เศาะเหียฮฺ

3

al-Sa‘adiy, (2000:457) ได้กล่าวว่า “สาหรับบ่าวท่ีรู้ถึงการสอบสวนจากอัลลอฮ์

 ในคาพูด การกระทาและพฤติกรรมต่างๆย่อมมีการเตรยี มคาตอบ ดังนั้นควรใช้อวัยวะให้ถูกต้องใน

การเป็นบ่าวของอัลลอฮ์  และมีความบริสุทธ์ิต่อพระองค์เท่าน้ันพร้อมกับละทิ้งสิ่งที่อัลลอฮ์  ทรง

ห้าม”

ดังน้ันการสร้างความตระหนักต่อหน้าที่ท่ีจะต้องได้รับการสอบสวนจากอัลลอฮ์  ก็

จะเป็นบ่อเกิดของบทบาทซ่ึงเป็นเรื่องท่ีมุสลิมไม่สามารถหลีกหนีไดถ้ ึงเขาจะอยู่ในสถานะ และ

สถานทใ่ี ดกต็ าม มีรายงานจากกอบีบรั ซะฮฺ อลั อัสลามยี ์ 

:‫ قَا َل َر ُسوُل اََّّليل َصَلّى اََّّللُ َعلَْييه َو َسَلَّم‬:‫ قَا َل‬،‫(( َع ْن أَيِب بـَْرَزَة اْلَ ْسلَ يم يي‬
‫ َوَع ْن‬،ُ‫َلا تَـُزوُل قََدَما َعْب ٍد يـَْوَم اليقيَاَمية َحَّت يُ ْسأََل َع ْن عُ ُميريه فيي َما أَفْـنَاه‬
‫يج ْس يميه‬ ‫َوَع ْن‬ ،ُ‫أَنْـَفَقه‬ ‫َوفيي َم‬ ُ‫ا ْكتَ َسبَه‬ ‫أَيْ َن‬ ‫يم ْن‬ ‫َمالييه‬ ‫َوَع ْن‬ ،‫فَـَع َل‬ ‫فييعيْلَميمأَيهبْلَفيايهَُم‬
))

ความว่า จากอบีบัรซะฮฺ อัล อัสลามีย์กล่าวว่า เราะสูลลุลอฮ 

กล่าวว่า “ในวันกิยามะฮฺน้ันก่อนท่ีเท้าทั้งสองของบ่าวของแต่ละ

คนจะเคล่ือนไหว เขาจะถูกสอบสวนเก่ียวกับอายุขัยของเขาว่าเขา

ใช้มันไปอย่างไร เก่ียวกับความรู้ของเขาท่ีได้เรียนรู้มาว่าเขานาไป

ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างไร เกี่ยวกับทรัพย์สินที่เขาได้มาว่าได้มา

จากที่ไหน เขาใช้จ่ายทางไหน เพ่ืออะไร และจะถูกถามเก่ียวกับ

รา่ งกายของเขาว่าเขาใช้ไปในหนทางใด”

(al-Tirmidhiy : 2417) 3
al-‘Uthaimīn, (1957 : 300) ได้กล่าวว่า “การสอบสวนทุกอยา่ งบ่งบอกถึงความ

น่ากลวั ของวันกยิ ามะฮฺ ด้วยเหตนุ ี้สาหรับผ้ศู รัทธาต้องเกรงกลัวในวนั ท่ยี ่ิงใหญน่ ้นั ”

ดังน้ันการสอบสวนของอัลลอฮ์  จะเกิดขึ้นในทุกกรณีและทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็น

หน้าที่ การงาน ทรัพย์สิน ร่างกาย ความรู้ หรือแม้แต่บทบาททางสังคมก็ย่อมถูกสอบสวนจากอัลลอฮ์

 อย่างละเอยี ดถถ่ี ว้ น

3 อลั อัลบานยี ์ กล่าววา่ เป็นฮะดษี เศาะเหียฮฺ

4

บทบาทและหน้าทีท่ างสงั คมอยา่ งหน่งึ ของมนษุ ย์ท่ีต้องปฏบิ ัตคิ อื การพัฒนาบุคคลให้

เป็นคนดีท้ังระดับปัจเจกบุคคลจนกระทั่งระดับสังคม ซ่ึงบทบาทเหล่าน้ีเป็นบทบาทที่อัลลอฮ์  ได้

มอบหมายใหแ้ ก่มนุษยซง่ึ เสมอื นเปน็ ตวั แทนของพระองคบ์ นโลกนี้ และสาหรบั มสุ ลมิ ผู้ศรัทธาที่เชือ่ ฟัง

ในคาสั่งของเอกอัลลอฮ์  จาเป็นอย่างย่ิงต้องปฏิบัติในคาสั่งดังกล่าวแม้ว่าตนเองจะมีหน้าที่โดยตรง

หรอื ไมก่ ็ตามด่งั คาตรสั ของอัลลอฮ์  ในอลั กุรอานว่า

‫يفَوينَْحاُْنلَْرنُ َسيضبي ُحَخلييبيحََفْماةيدقََاكلُواَونـُأََقَْتيدَع ُُلس‬ َ‫الَجايدَيعماٌلء‬ ‫ليْل َملَائي َكية إييني‬ ‫﴿َوإي ْذ قَا َل َرُبّ َك‬
‫فييَها َويَ ْسيف ُك‬ ‫فييَها َم ْن يـُْف يس ُد‬
﴾‫لَ َك قَا َل إييني أَ ْعلَُم َما َلا تَـ ْعلَ ُموَن‬
ค ว า ม ว่ า “ แ ล ะ จ ง ร า ลึ ก ถึ ง ข ณ ะ ที่ พ ร ะ เจ้ า ข อ ง เจ้ า ได้ ต รั ส แ ก่

มะลาอิกะฮฺวา่ แท้จริงข้าจะให้มีผูแ้ ทนคนหน่ึงในพิภพ มะลาอกิ ะฮฺ

ได้ทูลข้ึนว่าพระองค์จะทรงให้มีข้ึนในพิภพซึ่งผู้ที่บ่อนทาลายและ

ก่อการนองเลือดในพิภพกระนั้นหรือ? ท้ังๆท่ีพวกข้าพระองค์ให้

ความบริสุทธ์ิพร้อมด้วยการสรรเสริญพระองค์และเทิดทูนความ

บริสุทธิ์ในพระองค์ พระองค์ตรัสว่าแท้จริงข้ารู้ย่ิงในสิ่งท่ี

พวกเจา้ ไม่รู้”

(อัลบะเกาะเราะฮฺ : 30)

Ibn Kathīr, (1999,a.8 : 216) ได้กล่าวว่า “แท้จริงข้าจะให้มีผู้แทนคนหนึ่ง คือ
ชนกล่มุ หนง่ึ หรอื ศตวรรษหนงึ่ หรอื อายุคนกล่มุ หน่งึ แทนดว้ ยอกี กล่มุ หนึ่ง”

ชนกลุ่มหน่ึงก็จะครอบคลุมโดยตรงไม่ว่าจะเป็นครู ผู้นาศาสนา ผู้นาหมู่บ้านหรือ

แม้แตค่ ณะกรรมการอิสลามประจามสั ยดิ กต็ าม อัลลอฮ์  ไดต้ รสั ไว้ในอัลกรุ อานวา่

‫َويـَْنـ َه ْو َن‬ ‫ِيبلْ َم ْعُرو يف‬ ‫َوََيُْمُرو َن‬ ‫اْْلَْيير‬ ‫﴿ َولْتَ ُك ْن يمْن ُك ْم أَُّمةٌ يَْدعُوَن إيلَى‬
﴾ ‫َع ين الْ ُمْن َكير َوأُولَئي َك ُه ُم الْ ُمْفلي ُحوَن‬

ความว่า “และจงให้มีขึ้นจากพวกเจ้าซึ่งคณะหนึ่งที่จะเชิญชวน

ไปสู่ความดี และใช้ให้กระทาสิ่งท่ีชอบ และห้ามมิให้กระทาสิ่งที่

มิชอบ และชนเหลา่ นีแ้ หละพวกเขาคอื ผูไ้ ด้รบั ความสาเร็จ”

(อาลอิ มิ รอน : 104)

5

al-Ṭabariy, (2000,a.7 : 90) ได้กล่าวว่า “อบูญะอฺฟัรได้อธิบาย ความหมายคาว่า

จงให้มีข้ึนจากพวกเจ้าคือประชาชาติหนึ่ง และคาว่าเชิญชวนไปสู่ความดีคือไปสู่ศาสนาอิสลาม และ

ขอ้ บัญญตั ติ า่ งๆทอ่ี ลั ลอฮ์  ทรงบัญชาไว้”

Ibn Kathīr, (1999,a.2 : 91) ได้กล่าวว่า “การเชญิ ชวนเป็นส่ิงท่ีพงึ มีในประชาชาติ

นถ้ี า้ ไม่เช่นน้ันก็ถือวา่ เป็นวาญิบตอ่ ปจั เจกบุคคล ด่ังทมี่ รี ายงานจากอบีฮรุ อยเราะฮฺ  ”
‫ َْل"َميَْنْستََرأَيط ْعى‬:‫َو َفَسَإلَّْمن‬،‫اَرينَُفس"إو)ُْن)ل اََْلَّّليليَ ْسَصتََلّيطىْع اَََفّّلبيلُلي ََعسلاَْينييهيه‬،َ‫فبييَقَاالدَإليهم‬:ُ‫أَُيمَِْنوبَذَكلياُهراََريكْـفَـَرأْلَةيُـْقضَغَايَعَْرلُه‬،‫فيَ(مبيْن(َقْلَعُكبيْْميهن‬
ความว่า จากอบีฮรุ อยเราะฮฺ  กลา่ วว่า เราะสูลลลุ อฮ  กล่าวว่า
“ใครก็ตามในหมู่พวกท่านท่ีเห็นความชั่วร้ายเขาจงเปล่ียนแปลง
มันด้วยมือของเขา หากเขาไมส่ ามารถก็ดว้ ยล้นิ ของเขาและหากไม่สามารถ
ก็ดว้ ยหัวใจของเขาและนั้นคอื อีมานที่อ่อนแอที่สุด”
(Muslim : 49)
Ibn Taimiyyah, (1996 : 46) ได้กล่าวว่า “จงรู้เถิดว่า เม่ือหัวใจไม่มีความ

เกลียดในส่ิงที่อัลลอฮ์  ทรงเกลียดก็เสมือนหัวใจน้ันไม่มีอีมานท่ีจะได้รับการตอบแทนจากอัลลอฮ์ 

อีกเช่นกัน” และความเกลียดต่อส่ิงท่ีถูกห้ามจะส่งผลให้บุคคลน้ันเชิญชวนในส่ิงที่ดีและห้ามปรามใน

สง่ิ ท่ชี ั่ว ดง่ั ทอ่ี ลั ลอฮ์  ตรสั ไว้ในอัลกรุ อานวา่

َ‫الَُْوماْنلْ ُمَكْؤيريمنَاَويُُيقتي ُمبـَوْعَن ُضاُهل ْمَّصلَأَْاولةَييَا َءُويـُْبؤـَتُْعوَنٍضالَََّزَيْكاُمَةُروََنويُ يِطييبلْعَُموْعَنُرواََّيّللف‬ ‫﴿ َوالْ ُمْؤيمنُوَن‬
‫َويـَْنـَهْوَن َع ين‬
﴾ ‫َوَر ُسولَهُ أُولَئي َك َسيَْرََحُُه ُم اََّّللُ إي َّن اََّّللَ َعيزيٌز َح يكيٌم‬
ความว่า “และบรรดามุอฺมินชาย และบรรดามุอฺมินหญิงน้ัน

บางส่วนของพวกเขาตา่ งเป็นผู้ชว่ ยเหลืออกี บางส่วน ซ่ึงพวกเขาจะ

ใช้ให้ปฏิบัติในส่ิงท่ีชอบ และห้ามปรามในสิง่ ท่ไี ม่ชอบ และพวกเขา

จะดารงไว้ซึ่งการละหมาด และจ่ายซะกาต และภักดีต่ออัลลอฮ์

และเราะสูลของพระองค์ชนเหล่าน้ีแหละ อัลลอฮ์จะทรงเอ็นดู

เมตตาแก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรง

ปรชี าญาณ”

(อัตเตาบะฮฺ : 71)

6

และนี่คือหน้าท่ีของมุสลิมที่เป็นต้องปฏิบัติโดยยืนอยู่บนความสามารถของแต่ละคน
ดังน้ันคณะกรรมการอิสลามประจามสั ยิดกถ็ ือว่าเป็นมสุ ลิมคนหนงึ่ ซง่ึ มีหน้าที่ที่ตอ้ งรบั ผิดชอบและตอ้ ง
ได้รับการสอบสวนจากอัลลอฮ์  ต่อความรบั ผิดชอบน้ันไม่ว่าจะเป็นอิมาม เคาะฏีบ บิลาลหรือแม้แต่
คณะกรรมการทา่ นอ่ืนๆกต็ าม

การท่ีอัลลอฮ์  กาหนดบทบาท และหน้าท่ีในอัลกุรอานและอัลฮะดีษแล้วก็ยังได้มี
การกาหนดหน้าท่ีของคณะกรรมการอิสลามประจามัสยิดในพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนา
อิสลาม พ.ศ. 2540 มาตรา 35 “(4)คณะกรรมการอิสลามประจามัสยิดมีอานาจหน้าที่ในการ
สนับสนุนสัปบุรุษปฏิบัติศาสนกิจ ส่งเสริมให้เกิดความสามัคคี และช่วยเหลือซ่ึงกันและกันในทางท่ี
ชอบตามบัญญัติแหง่ ศาสนาอิสลาม (6) อานวยความสะดวกและอบรมสั่งสอนให้สปั บุรุษประจามัสยิด
ปฏิบัติศาสนกิจโดยถูกต้องเคร่งครัด (12) ส่งเสริมการศึกษาและจัดกิจกรรมท่ีไม่ขัดต่อบัญญัติแห่ง
ศาสนาอิสลาม” มาตรา37 “(3)อิมามมีหน้าท่ีแนะนาให้สัปบุรุษประจามัสยิดปฏิบัติให้ถูกต้องตาม
บัญญัติแห่งศาสนาอิสลามและกฏหมาย (5) สั่งสอนและอบรมหลักธรรมทางศาสนาอิสลามแก่
บรรดาสัปบุรุษประจามัสยิด” มาตรา 38 “เคาะฏีบมีหน้าท่ีปฏิบัติให้เป็นไปตามบัญญัติแห่งศาสนา
อิสลามในการแสดงธรรมแก่สปั บุรุษประจามัสยดิ ”และมาตรา 39 “บิลาลมีหนา้ ที่ปฏบิ ตั ิให้เปน็ ไปตาม
บญั ญัติแหง่ ศาสนาอสิ ลามในการประกาศเชิญชวนให้มุสลิมปฏิบตั ิศาสนกจิ ” ซง่ึ กฎหมายดังกล่าวมผี ล
บังคับใช้ท่ัวประเทศ ทุกหมู่บ้านที่มีการก่อสร้างมัสยิดจึงจาเป็นต้องใช้พระราชบัญญัติการบริหาร
องคก์ รศาสนาอสิ ลาม พ.ศ.2540 ในการบริหารงานมัสยดิ

หน้าท่ีของคณะกรรมการอิสลามประจามัสยิดถือเป็นหน้าท่ีหน่ึงที่จะส่งผลต่อการ
เปลี่ยนแปลงของชุมชนจากบรบิ ทหนึ่งไปอกี บริบทหน่ึง โดยแบง่ บทบาทต่างๆตามโครงสร้างของแตล่ ะ
มัสยิดท่ีประกอบด้วย ประธาน รองประธาน เลขานุการ เหรัญญิก และฝ่ายต่างๆ และโดยปกติทาง
มัสยิดก็ได้แต่งต้ังฝ่ายท่ีดูแลเยาวชนไว้เพื่อรับทราบปัญหาและหาแนวทางการแก้ปัญหาเป็นลาดับ
ต่อไป

การพัฒนาเยาวชนของคณะกรรมการอิสลามประจามัสยิดในเขตอาเภอตากใบ
อาจจะมีความแตกต่างกันและหลากหลาย แต่ปัญหาของเยาวชนจะมีความเหมือนโดยจากการสังเกต
สามารถสรุปปัญหาคือ ปัญหาแรก เยาวชนไม่ให้ความสาคัญต่อการปฏิบัติศาสนกิจ เช่น เยาวชนบาง
คนท่ีไม่ละหมาด ปัญหาท่ีสองความไม่เข้าใจในหลักศรัทธาและยังมีการเข้าใจผิดเก่ียวกับการใช้
ชีวิตประจาวัน อย่างเช่น การใช้ชีวิตครอบครัวตามหลักศาสนาท่ีถูกต้อง ปัญหาที่สามไม่ปฏิบัติตาม

7

หลักคาสอนของศาสนา เช่น การถือศิลอด การจ่ายซะกาตและอื่นๆ ปัญหาที่ส่ีการยุ่งเก่ียวกับ
อบายมุขและสุดท้ายคือปัญหาท่ีห้า เยาวชนไม่สามารถเป็นผู้นาได้ จากการสัมภาษณ์ผู้นาศาสนา
บรอเฮง แวนาแว, (2561) พบว่าการเป็นผ้นู าของเยาวชนเป็นเรื่องที่จาเป็นและต้องได้รับความสนใจ
จากคณะกรรมการอสิ ลามประจามัสยิดเป็นอยา่ งมากโดยใช้มัสยิดเป็นฐานในการสร้างเยาวชน เพราะ
มัสยิดถือเป็นองค์ประกอบของมุสลิม Ahmad Yani, (2000 : 2) ได้กล่าวว่า “การมีมัสยิดของ
มุสลิมก็เปรียบเสมือนน้าสาหรับปลา ซ่ึงหากปลาไม่มีน้าก็ไม่สามารถดารงชีวิตอยู่ได้เฉกเช่นเดียวกัน
กับมุสลิมท่ีขาดมัสยิด” และวินัย สะมะอุน, (2539 : 1) ได้กล่าวว่า “มัสยิดไม่ได้มีความหมายเพียง
สถานที่ปฏิบัติศาสนาเท่าน้ัน แต่ตามประวัติ เป็นองค์การบรหิ ารอิสลามโดยตรงโดยพร้อมเพรียงด้วย
การปฏบิ ัตศิ าสนา การปกครอง การเมือง การทูต การตดั สินคดีความและอ่ืนๆ”

จากปรากฏการณ์ดังกล่าว สภาพปัญหาของเยาวชนและบทบาทที่คณะกรรมการ
อิ ส ล า ม ป ร ะ จ า มั ส ยิ ด ค ว ร ป ฏิ บั ติ จึ ง ท า ให้ ผู้ วิ จั ย เห็ น ถึ ง ค ว า ม ส า คั ญ ใน ก า ร ศึ ก ษ า บ ท บ า ท ข อ ง
คณะกรรมการอิสลามประจามัสยิดในการพัฒนาเยาวชนในเขตอาเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส
และสามารถเปน็ แนวทางหนง่ึ ในการสรา้ งเยาวชนเป็นลาดบั ตอ่ ไป

8

1.2 อลั กุรอาน อัลฮะดษี และเอกสารงานวจิ ัยทีเ่ กยี่ วข้อง

1.2.1 อัลกุรอาน

1.2.1.1 อลั กุรอานทเ่ี ก่ยี วกบั บทบาทของมนุษย์บนพ้ืนแผน่ ดนิ

อลั ลอฮ์  ไดต้ รัสในอัลกุรอานวา่

‫بـَْع ٍض‬ ‫فَـْو َق‬ ‫بـَْع َض ُك ْم‬ ‫َوَرفَ َع‬ ‫َخلَائي َف اْلَْر يض‬ ‫اليَلّيَـْبـيذلَُويُك ْم َجيفَعلَي ُكَمْما‬ ‫﴿ َوُهَو‬
‫لَغَُفوٌر‬ ُ‫َوإيَنّه‬ ‫الْعيَقا يب‬ ‫َسيري ُع‬ ‫آََت ُك ْم إي َّن َرَبّ َك‬ ‫َدَرَجا ٍت‬
﴾‫َريحي ٌم‬
ความว่า“และพระองค์น้ันคือผู้ท่ีทรงให้พวกเจ้าเป็นผู้สืบแทนใน

แผ่นดินและได้ทรงเทิดบางคนของพวกเจ้าเหนือกว่าอีกบางคน

หลายข้ัน เพื่อท่ีพระองค์จะทรงทดสอบพวกเจ้าในส่ิงท่ีพระองค์

ทรงประทานแก่พวกเจ้า แทจ้ ริงพระเจา้ ของเจ้านั้นเป็นผู้รวดเรว็ ใน

การลงโทษและแท้จริงพระองค์น้นั เป็นผู้ทรงอภยั โทษผทู้ รงเอ็นดเู มตตา”

(อัลอันอาม : 165)

Ibn Jawzīy, (2000 : 99) ได้กล่าวว่า “มีนักอรรถาธิบายได้อธบิ ายความหมายของ
คาว่า “ผู้ที่สืบแทน” มีสามประเภท หน่ึง ชาวญินที่ได้อาศัยบนโลกนี้ ตามทรรศนะของอิบนุ อับบาส

สองการสืบแทนด้วยชนแต่ละรุ่น ตามทรรศนะของอิบนุ กุตัยบะฮฺ สามคือประชาชาติของนบีมุฮัมมัด

 ตามทรรศนะของอัลซญุ าจ”
ดังน้ันการเป็นผู้สืบแทนจะเกดิ ข้ึนอย่างแน่นนอนถึงแมจ้ ะมีความแตกต่างในบุคคลท่ี

จะมาเป็นผู้สืบแทนก็ตาม แต่การสืบแทนนั้นก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ซ่ึงก็เป็นความประสงค์

ของอัลลอฮ์  ท่ีได้กล่าวต่อบรรดามะลาอิกะฮฺถึงบุคคลที่จะเป็นผู้สืบแทนในเวลาน้ันโดยได้รับการ

คดั คา้ นจากบรรดามะลาอิกะฮฺ

1.2.1.2 อลั กรุ อานทเี่ กีย่ วกับประวัติของเยาวชนผ้ศู รทั ธา

อัลลอฮ์  ไดต้ รสั ในอลั กุรอานวา่
‫﴿نَْح ُن نَـُق ُّص َعلَْي َك نـَبَأَُه ْم ِيبْْلَيق إيَّنُْم فيْتـيَةٌ آَمنُوا بيَرّيبيْم َويزْدنَا ُه ْم‬

﴾‫ُه ادى‬

9

ความว่า “เราจะเล่าเร่อื งราวของพวกเขาแก่เจ้าตามความเป็นจริง
แท้จริงพวกเขาเป็นชายหนุ่มท่ีศรัทธาต่อพระเจ้าของพวกเขาและ
เราไดเ้ พม่ิ แนวทางท่ีถูกต้องใหแ้ ก่พวกเขา”

(อัลกะฮฺฟ : 13)
al-Qurṭubiy, (1964,a.10 : 364) ได้กล่าวว่า “การศรัทธาท่ีเกิดข้ึนของเยาวชนใน
ถา้ โดยไม่มกี ระบวนการอื่นสามารถบอกถงึ ความเป็นสภุ าพบุรุษได4้ ”
ดังน้ันคุณลักษณะของเยาวชนในยุคของชาวถ้าท่ีอัลลอฮ์  ได้กล่าวไว้ในอัลกุรอาน
ไม่ใช่คุณลักษณะท่ีเกิดขึ้นกับเยาวชนในยุคนั้นอย่างเดียวแต่จะเป็นคุณลักษณะเฉพาะของบุคคลที่มี
การศรัทธาที่ม่ันคงท่ีพร้อมจะเผชิญหน้ากับผลท่ีจะเกิดข้ึนกับตัวเองหรือหาทางเลือกสุดท้ายด้วย
การหาทพ่ี ักพึงใหม่เพอื่ รักษาความศรัทธาตอ่ อัลลอฮ์  ผู้ทรงย่ิงใหญ่ให้คงอยู่ในชีวติ ตลอดไป
1.2.1.3 อลั กรุ อานที่เกีย่ วกบั การรบั อะมานะฮฺของมนุษย์
อัลลอฮ์  ไดต้ รัสในอลั กรุ อานว่า
‫﴿إينَّا َعَر ْضنَا اْلََمانَةَ َعلَى ال َّس َماَوا يت َواْلَْر يض َوالْجيبَايل فَأَبَْيَن أَ ْن‬

﴾‫َْي يمْلنَـَها َوأَ ْشَفْق َن يمْنـَها َوََحَلََها اْليإنْ َسا ُن إيَنّهُ َكا َن ظَلُواما َج ُهوالا‬
ความว่า “แท้จริงเราได้เสนอการอะมานะฮฺแก่ช้ันฟ้าท้ังหลายและ
แผ่นดินและขุนเขาท้ังหลายแต่พวกมันปฏิเสธจะแบกรับมันและ
กลัวต่อมัน(คือภาระอันหนักอึ้ง)และมนุษย์ได้แบกรับมัน แท้จริง
เขา (มนุษย)์ เป็นผอู้ ธรรมงมงายย่งิ ”

(อัลอะฮซาฺ บ : 72)
al-Qurṭubiy, (1964,a.14 : 254) ได้กล่าวว่า “อะมานะฮฺคือข้อบังคับต่างๆท่ี
อลั ลอฮ์  ไดท้ รงบงั คับให้แกบ่ ่าว
Ibn Kathīr, (1999,a.6 : 488) ได้กล่าวว่า “อะมานะฮฺคือการปฏิบัติตามคาสั่ง
ของอลั ลอฮ์ ”
ดงั น้นั การรับอะมานะฮขฺ องมนุษยถ์ ือว่าเป็นภาระหน้าที่หนง่ึ ท่ีต้องคานึงซ่ึงอะมานะฮฺ
นั้นจะครอบคลุมในคาส่ังของอัลลอฮ์  และจะเป็นตัวชี้วัดถึงการเป็นบ่าวของอัลลอฮ์  และ อะ
มานะฮฺน้ันจะต้องผา่ นบททดสอบต่างๆที่มากมาย

4 เสียสละ ยนื หยัดและอดทน

10

1.2.2 อลั ฮะดีษ

1.2.2.1 อลั ฮะดษี ท่ีเกย่ี วกบั ปรากฏการณก์ อ่ นวันกิยามะฮฺ

‫َعلَْييه‬ ُ‫قيَراَكاْيَلل ََّسَفراُسإيَْوعَُضةَلا(اَع(لتُـلهيَها َصَََليَّرىُساْوللَهل‬,‫ةَيظ‬:َ‫يأََذياإيِبَذأاُ ْسُهُضنيَيرَدَعيْـاَْيرْتلَْةَماُْْرَلَرإيَميلاضنََىَةُي َغافَلْياليرنْهـُتَأَيَْعظهْنلييراهُليه َقَّفسَااانَْـلَعت‬:‫َْمنإ‬:ّ‫قََ)وا)ََسلََعل‬
‫اللهي؟‬

ความว่า จากอบีฮรุ อยเราะฮฺ  กล่าวว่า เราะสูลลุลอฮฺ  กล่าวว่า

“เม่ืออะมานะฮฺถูกเพิกเฉย ท่านจงรอคอยวนั กียามะฮฺ เศาะ

ฮาบะฮฺถามว่า อย่างไรเล่าท่ีอะมานะฮฺถูกละเลยเพิกเฉย ท่าน

เราะสูล ตอบว่า เม่ือเร่ืองหนึ่งถูกมอบหมายไปยังผู้ที่ไม่เหมาะสม

ดงั นั้นท่านจงรอวันนน้ั เถดิ ”

(al-Bukhāriy : 6496)
Ibn Hajar, (1957: 333) ได้วางฮะดีษดังกล่าวในบทการรักษาอะมานะฮฺซึ่งจะ
ตรงกันขา้ มกับการไมม่ ีอะมานะฮฺ

ดังน้ันการรักษาอะมานะฮฺเป็นเรื่องที่สาคัญจนถึงนบีมุฮัมมัด ได้บอกถึงความ

หายนะจะเกิดขึ้นเม่ืออะมานะฮฺน้ันได้ถูกมอบให้บุคคลท่ีไม่มีคุณสมบัติตามที่ได้กาหนดไว้ ซ่ึงผลของ

ความหายนะน้ันไม่ใช่ส่งผลต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งเท่าน้ันแต่จะครอบคลุมท้ังหมดโดยเฉพาะผลท่ีเกิด

จากผนู้ าที่ไมม่ อี ะมานะฮฺ

1.2.2.2 อลั ฮะดษี ท่ีเกย่ี วกับประเภทบุคคลท่ีอยู่ใตร้ ่มเงาของอัลลอฮ์ 

ُ‫اََّّلل‬ َ‫إَيوَمَاسَلٌّمَم َعقَاايدَلٌل َسَوْبـََعشاةٌ ٌيُّبيظُلّنَُهَشْمأ‬ ‫َعلَْييه‬ ُ‫اََّّلل‬ ‫الَنّييب َصَلّى‬ ‫يـَ)ْ)وَمَع اْنلْيقأَيَيِابَميةُهَيفريْـيَرَة يظَعلييهْن‬
‫يفي‬ ُ‫يظُلّه‬ ‫إيَّلا‬ ‫يـَْوَم َلا يظ َّل‬
‫يعبَاَدةي اََّّللي َوَر ُجلٌ ذََكَر اََّّللَ يفي َخلَاٍء فَـَفا َض ْت َعْيـنَاهُ َوَر ُج ٌل قَـْلبُهُ ُمَعَلّ ٌق‬
((... ‫يفي الْ َم ْس يج يد َوَر ُجلَا ين تَحَاَِّب يفي اََّّللي‬

ความว่า จากอบีฮุรอยรอฮฺเล่าว่านบี  กล่าวว่า “ในวันกิยามะฮฺ

จะมีมนุษย์ 7 กลุ่มที่อัลลอฮ์จะทรงให้ร่มเงาของพระองค์แก่พวก

เขาในวันซึ่งไม่มีร่มเงาใดๆนอกจากร่มเงาของพระองค์ร่มเงาที่ทรง

11

ให้แก่บุคคล กลุ่มที่หน่ึง คือกลุ่มของอิมามหรือผ้นู าท่ีทรงคุณธรรม

อยู่ในหลักการมีความเที่ยงธรรม กลุ่มที่สอง คือกลุ่มเยาวชนหรือ

ชายหนุ่มท่ีตลอดชีวิตวัยหนุ่มของเขาน้ันเติบโตมาในเร่ืองของการ

ทาอิบาดะฮ์ กลุ่มที่สาม คือกลุ่มของคนท่ีเมื่อเขาราลึกถึงอัลลอฮ์

อยู่เพียงลาพังแล้วดวงตาของเขาก็หล่ังน้าตาออกมา กลุ่มที่ส่ี คือ

กลุ่มของชายท่ีจิตใจของเขาผูกพันอยู่กับมัสยิด กลุ่มท่ีห้า คือกลุ่ม

ของบุคคลท่ีรักกนั เพื่ออัลลอฮ์...”

(al-Bukhāriy : 660)

al-‘Uthaimīn, (1957 : 643) ได้กล่าวว่า “ในวันวันกิยามะฮฺซ่ึงไม่มีร่มเงาใดๆ

นอกจากร่มเงาของพระองค์ ไม่มีต้นไม้ อาคาร ภูเขา เคร่ืองนุ่งห่มและอื่นๆ จนถึงมนุษย์ต้องเดินด้วย

เท้าเปล่าในสภาพทเ่ี ปลือยกาย”

ดังน้ันกลุ่มคนที่นบีมุฮัมมัด  ได้กล่าวนั้นเป็นกลุ่มบุคคลที่ล้วนแต่มีความยาเกรง

ต่ออัลลอฮ์  ในชีวิตของพวกเขา และบรรดาผู้นาก็เข้าในบุคคลดังกล่าวอีกด้วยซ่ึงสามารถสะท้อนให้

เห็นถึงความสาคัญของผู้นาท่ีทรงธรรม และก็เป็นความยุติธรรมอย่างย่ิงที่อัลลอฮ์  จะทรงตอบแทน

พวกเขาดว้ ยการอยูใ่ ตร้ ่มเหงาของอัลลอฮ์ 

1.2.2.3 อลั ฮะดษี ท่ีเก่ยี วกับคณุ ลักษณะของมุนาฟิก

‫يهَوإيَوذَاَسَالّْؤَمُتي َقنَا َلَخاآنيَةُ((المُنَافييق‬،‫أَاللْخهُلَ ََعفلَْي‬ ‫َع ين الَنّييب َصَلّى‬ ،َ‫ُهَريْـَرة‬ ‫أَيِب‬ ‫)) َع ْن‬
‫ َوإيَذا َوَع َد‬،‫َك َذ َب‬ ‫َح َّد َث‬ ‫إيذَا‬ :‫ثَلاَ ٌث‬

ความว่า จากอบีฮุรอยเราะฮฺจากนบี  กล่าวว่า “เคร่ืองหมายของ

ผู้กลับกลอกมี 3 ประการ คือ เม่ือพูดจาเขาจะโกหก เมื่อสัญญาเขาจะ

บิดพล้วิ และเม่อื ได้รับความไวว้ างใจเขาจะไมซ่ ่ือสัตย์”

(al-Bukhāriy : 33)
al-‘Uthaimīn, (1957 : 47) ได้กล่าวว่า “3ประการข้างต้นเป็นเคร่ืองหมายของ
ผู้กลับกลอก เพราะพฤติกรรมน้ันจะยืนบนพื้นฐานการปกปิด ปกปิดส่ิงท่ีอธรรมเปิดเผยสิ่งสัจธรรม

ปกปิดความเปน็ กาฟิรและเปดิ เผยความเปน็ มสุ ลิม”

12

ดังนั้นการเป็นบุคคลที่กลับกลอกก็จะเกิดข้ึนกับทุกคนโดยเฉพาะผู้นา ซึ่งผู้นานั้นมี
หน้าท่ีในการสั่งสอนบรรดาสัปบรุษผ่านคาพูด มีการสัญญาต่อผู้ท่ีอยู่ใต้การดแู ลด้วยกิจกรรมหรืองาน
ศาสนาตา่ งๆ และเป็นบุคคลทีไ่ ดร้ ับความไวว้ างใจจากชุมชน

1.2.3 เอกสารงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง
1.2.3.1 สะสือรี วาลี, (2007 : 3) การดะอฺวะฮฺของคณะกรรมการประจามัสยิดใน

การส่งเสริมการเศาะลาฮฺ ญะมาอะฮฺ : กรณีศึกษาคณะกรรมการประจามัสยิดในอาเภอยี่งอ จังหวัด
นราธิวาส ผลการศึกษาพบวา่

“ ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร อิ ส ล า ม ป ร ะ จ า มั ส ยิ ด มี ค ว า ม เข้ า ใจ เก่ี ย ว กั บ ค ว า ม ห ม า ย แ ล ะ
ความสาคัญของการดะอฺวะฮฺอิสลามระดับสูงมากแต่สัปปุรุษมัสยิดมีความเข้าใจเก่ียวกับความหมาย
และความสาคัญของการดะอฺวะฮฺอิสลามในระดับสูง คณะกรรมการอิสลามประจามัสยิด สัปปุรุษ
มัสยิดมีความเข้าใจเก่ียวกับความหมายและความสาคัญของการเศาะลาฮฺ ญะมาอะฮฺระดับสูงมาก
คณะกรรมการอิสลามประจามัสยิดและสัปปุรุษมัสยิดมีความเห็นว่าการดะอฺวะฮ์ของคณะกรรมการ
อิสลามประจามัสยิดในอาเภอย่ีงอในการส่งเสริมการเศาะลาฮฺ ญะมาอะฮฺในอาเภอยี่งอ
จังหวัดนราธิวาสระดับสูง โดยรวมการดะอฺวะฮฺเพ่ือศอลาฮญะมาอะฮฺของคณะกรรมการอิสลาม
ประจามัสยิดอยู่ในระดับสูงแล้ว ยกเว้นบางประเด็นท่ีควรทาความเข้าใจเก่ียวกับบทบาทหน้าท่ี หุก่ม
และแบบอย่างของท่านนบี คณะกรรมการอสิ ลามประจามัสยิดและผู้นาทุกระดับควรเป็นแบบอย่างท่ี
ดี มีการดาเนินกิจกรรมเก่ียวกับเศาะลาฮฺ ญะมาอะฮฺที่หลากหลายและต่อเนื่อง โดยการจัดพิมพ์
วารสารและจดั โครงการเพ่ือสง่ เสรมิ เศาะลาฮฺ ญะมาอะฮฺ”

งานวิจัยช้ินนี้ให้เห็นถึงความสาคัญของคณะกรรมการประจามัสยิดในการเป็น
แบบอย่างที่ดีในทุกๆด้านโดยเฉพาะด้านที่มีผลกระทบต่อสัปบุรุษโดยตรงซ่ึงจะส่งผลต่อการส่ งเสริม
กจิ กรรมและการบรหิ ารจดั การมสั ยดิ และจะส่งผลตอ่ การตอบรับของสัปบุรุษในการเข้าร่วมกิจกรรมที่
ทางมัสยิดได้วางไว้ในภาพรวม โดยผู้วิจัยได้บทสรุปถึงการเป็นแบบอย่างที่ดีของคณะกรรมการมัสยิด
จะเป็นปัจจัยหนึ่งต่อความสาเร็จท่ีทางมัสยิดได้วางไว้ โดยเฉพาะการเป็นแบบอย่างต่อเยาวชนที่เป็น
เสาหลักของชุมชน

1.2.3.2 ดรัลรัตน์ ภมรบุตร, (2007) บทบาทของผู้นาศาสนาอิสลาม(โต๊ะอิมาม)
ในการบริหารพัฒนาชุมชน มุสลิม : กรณีศึกษามัสยิดในเขตมีนบุรี มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบทบาท

13

ของผู้นาศาสนาอิสลาม (โต๊ะอิมาม)ในเขตมีนบุรี ในการบริหารพัฒนาชุมชนมุสลิม ผลการศึกษาพบ
ดังต่อไปนี้

1.บทบาทของผู้นาศาสนาอิสลาม(โต๊ะอิมาม) ในการบริหารพัฒนาชุมชน พบว่า
“ผู้นาศาสนาอิสลามมีการปฏิบัติตามบทบาทหนา้ ที่มากทีส่ ุด คือ ด้านศาสนา เรื่องการนาละหมาดวัน
ละ 5 คร้ัง ละหมาดตะรอเวี้ยะห์ในช่วงกลางคืนที่ถือศีลอดและการเผยแพร่คาสอนของศาสนา
รองลงมาคือ ด้านการบริหารเร่ืองการเรียนการสอนอัลกุรอ่านที่ถูกต้องและด้านการศึกษาเรื่องการ
ส่งเสริมสนับสนุนสมาชิกในชุมชนให้ได้รับการศึกษาทางด้านศาสนาและสามัญ” 2.ปัจจัยท่ีมีผลต่อ
บทบาทของผู้นาศาสนาอิสลาม(โต๊ะอิมาม) ในเขตมีนบุรี ในการพัฒนาชุมชนมุสลิม ผลการศึกษาดังนี้
2.1 การมีส่วนร่วมของชุมชนมุสลิมในกิจกรรมต่าง ๆ พบว่า “ชุมชนมุสลิมมีส่วนร่วมในกิจกรรมมาก
ที่สุด 3 อันดับแรก คือ ด้านศาสนา เร่ืองการละหมาดวันละ 5 เวลา ละหมาดวันศุกร์,ละหมาด
ตะรอเวี๊ยะห์ ฯลฯ การร่วมฟังบรรยายศาสนธรรมและการช่วยกันทานุบารุงซอ่ มแซมมัสยิด รองลงมา
ด้านสาธารณสุข เร่ืองเข้ารับการตรวจสุขภาพ รักษาโรคที่ศูนย์สุขภาพชุมชน ด้านสังคมเรื่องการ
สอดส่องดูแลและรณรงค์ต่อต้านยาเสพติดและการร่วมกันทาบุญอะกีกอฮฺ ให้กับเด็กท่ีเกิดใหม่”
2.2 การสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐที่มีต่อชุมชนมุสลิม พบว่า “ได้รับการสนับสนุนมากท่ีสุดใน
ด้านสาธารณสุข เรื่อง มีเจ้าหน้าที่มาให้บริการตรวจสุขภาพและฉีดวัคซีนต่างๆแก่คนในชุมชน
รองลงมาด้านส่ิงแวดล้อมเรอ่ื งเจ้าหนา้ ที่จากสานักงานเขตเข้ามาเก็บขยะในชุมชนเป็นประจาและด้าน
ศาสนาเร่ืองกรมศาสนาให้เงินทุนอุดหนุนเป็นประจาปีเพื่อใช้ในการทานุบารุงมัสยิดและ หน่วยงาน
ราชการสนับสนุนเงนิ ค่าตอบแทนแก่โตะ๊ อิมาม” 2.3 ความคาดหวังของผู้นาอิสลามทีม่ ีตอ่ ชุมชนมสุ ลิม
ในอนาคตข้างหน้า “พบว่าอยากให้ชมุ ชนมกี ารศกึ ษาทด่ี ี, มคี วามรักสามัคคีและปรองดองกันในชุมชน
สาหรบั ปัจจัยท่ีจะนาไปสู่ความสาเร็จของชุมชน คือ ด้านศาสนา การศึกษา อาชพี ฯลฯ สาหรับเร่ืองท่ี
จะดาเนินการพัฒนาในอนาคตข้างหน้า คือการจัดตั้งเงินทุนเพ่ือการศึกษา การพาชุมชนไปศึกษา
ดงู านทีห่ นว่ ยงานต่าง ฯลฯ”

งานวิจัยชิ้นน้ีให้เห็นถึงบทบาทหน้าท่ีของผู้นาท่ีชัดเจนและเป็นปัจจัยท่ีส่งผลต่อ
บทบาทคือการมีส่วนร่วม การสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐพร้อมด้วยความคาดหวังของผู้นาต่อ
ชุมชนมสุ ลมิ ในอนาคต โดยผู้วิจัยได้เหน็ ถึงบทบาทของผู้นาในด้านศาสนาคือการนาละหมาด ดา้ นการ
ส่งเสริมการศกึ ษาคอื การสนบั สนุนสมาชกิ ในชุมชนใหไ้ ดร้ ับการศึกษา

14

1.2.3.3 อิบรอฮิม ตาเยะ, (2012 : 5) บทบาทด้านศาสนา การศึกษาและการ
บรหิ ารของอมิ ามในจังหวัดนราธิวาส ผลการวจิ ัยพบวา่

“1.การมีบทบาทของอิมามโดยรวม บทบาทในด้านศาสนา และบทบาทในด้าน
การบริหาร อย่ใู นระดับมาก และบทบาทในด้านการศึกษาอยู่ในระดับปานกลาง 2. การเปรยี บเทยี บ
การมีบทบาทในด้านศาสนา บทบาทในด้านการศึกษาและบทบาทในด้านการบริหารของอิมามตาม
ตัวแปร พบว่า อายุ การศึกษาสายศาสนา ระยะเวลาในการดารงตาแหน่ง อิหม่ามมีบทบาทแตกต่าง
กันอย่างมนี ยั สาคัญทางสถติ ิท่ีระดับ 0.01 การปฏบิ ัตงิ านและรูปแบบการทางานที่เก่ียวกับการประชุม
ระหว่างลูกบ้านกับคณะกรรมการอิสลามประจามัสยิดและท่ีเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์เก่ียวกับการ
ปฏิบัติงานและรูปแบบการทางานให้กับประชาชน อิมามมีบทบาทแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทาง
สถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนตัวแปร การศึกษาสายสามัญ อาชีพ รายได้ การปฏิบัติงานและรูปแบบ
การทางานทเี่ ก่ียวกบั การจดั ทาแผนการในการทางาน ทีเ่ ก่ียวกบั การเปดิ โอกาสใหป้ ระชาชนมีสว่ นร่วม
ในการทางาน และที่เก่ียวกับการประเมินผลในการทางานต่างๆในชุมชน อิมามมีบทบาทไม่แตกต่าง
กันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ 3.ปัญหาและแนวทางในการแก้ไข บทบาทในด้านศาสนาเกิดจากชุมชน
ขาดความรู้เก่ียวกับศาสนา ไม่ปฏิบัติ ไม่เคร่งครัดในหลักการของศาสนาและขาดการจัดกิจกรรม
เกี่ยวกับศาสนา บทบาทในด้านการศึกษาเกิดจากครอบครัวไม่ให้ความสาคัญและไม่สนใจเกี่ยวกับ
การศึกษาของลูกตนเองและขาดการจัดการศึกษาในชุมชนและบทบาทในด้านการบริหารเกิดจาก
ตัวของอิมามขาดการพูดคุยกับชุมชนและในการทางานของคณะกรรมการอิสลามประจามัสยิด
เกี่ยวกับการแบ่งหน้าที่ การแบ่งฝ่ายไม่ชัดเจนและไม่ได้เปิดโอกาสให้ชุมชนมีส่วนร่วมและขาด
การประสานงานซึ่งมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังนี้ บทบาทในด้านศาสนาทาความเข้าใจกับชุมชน
ให้มีจิตสานึกและเคร่งครัดต่อศาสนาพยายามชักชวน ประชาสัมพันธ์ถึงความสาคัญของศาสนาและ
จดั หาผู้ท่ีมคี วามรเู้ กยี่ วกับศาสนามาสอนใหค้ วามรกู้ ับชมุ ชน บทบาทในด้านการศึกษาตอ้ งมีการพูดคุย
กับผู้ปกครอง ทาความเข้าใจในความสาคัญของการศึกษาของลูกของตนเองและส่งเสริมให้มัสยิด
เป็นสถานท่ีการศึกษาในชุมชนและบทบาทในด้านการบริหาร อิมามต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและ
ตอ้ งแบ่งหน้าท่ีแบ่งฝ่ายอย่างชัดเจน และปรึกษาหารือกับคณะกรรมการอิสลามประจามัสยิดทุกกรณี
ทเ่ี กดิ ขึน้ เพ่อื จะเปน็ ทางออกในการทางานต่อไป”

งานวิจัยช้ินน้ีได้สะท้อนถึงปัญหาของผู้นาในบทบาทท่ีควรปฏิบัติและแนวทางการ
แก้ปัญหาซึ่งเกิดจากผู้นา ครอบครัว สถาบันมัสยิดและการประชาสัมพันธ์ของมัสยิด โดยผู้วิจัยได้

15

ข้อคิดถึงบทบาทหน่ึงของผู้นาคือควรมีความสัมพันธ์ที่ดีและต้องแบ่งภาระงานให้กับคณะกรรมการ
มัสยิดในแต่ละฝ่ายอย่างชัดเจนโดยเฉพาะคณะกรรมการที่ต้องดูแลรับผิดชอบกลุ่มเยาวชนด้วยการ
สง่ เสริมการศึกษาและจัดกจิ กรรมทห่ี ลากหลายสาหรับเยาวชนโดยตรง

1.2.3.4 อับดุลอาซิซ เจ๊ะมามะ, (2012 : 5) ภาวะผู้นาและบทบาทของอิมามใน
การจดั การศูนย์การศึกษาอสิ ลามประจามัสยิด (ตาดกี า) ในจังหวัดนราธิวาส ผลการวิจยั พบว่า

“1.ระดับภาวะผู้นาของอิมามด้านความรับผิดชอบ ด้านวิสัยทัศน์กว้างไกล
ด้านการบริหารแบบมีส่วนร่วมและด้านกระบวนการควบคุมโดยภาพรวมและหลายด้านอยู่ในระดับ
มาก 2.ระดับบทบาทของอิมามด้านงานวิชาการด้านงานบุคคล ด้านความสัมพันธ์ชุมชน ด้านงาน
กิจกรรมนักเรียนและด้านงานธุรการและการเงิน โดยภาพรวมและหลายด้านอยู่ในระดับมาก
3.ผลการเปรียบเทียบระดับภาวะผู้นาของอิมาม พบว่า อิมามท่ีมีอายุ วุฒิการศึกษาศาสนาและวุฒิ
การศึกษาสามัญต่างกันมีภาวะผู้นาในการจัดการศึกษาในภาพรวมและหลายด้านแตกต่างกันอย่างมี
นัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วนที่มีประสบการณ์ในการบริหารศนู ย์ฯ (ตาดกี า) ตา่ งกันมีภาวะผู้นา
ในการจัดการศึกษาในภาพรวมและหลายด้านไม่แตกต่างกนั และที่มีขนาดของศูนย์ฯ (ตาดีกา) ต่างกัน
ในภาพรวมไม่แตกตา่ งกัน ส่วนหลายดา้ นแตกต่างกันอย่างมนี ัยสาคัญทางสถติ ิทร่ี ะดบั .01 เฉพาะด้าน
ความรับผิดชอบ ส่วนด้านอื่นๆไม่แตกต่างกัน4.ผลการเปรียบเทียบระดับบทบาทของอิมาม พบว่า
อิมาม ท่ีมีอายุต่ างกัน มีบ ทบ าทใน การจัดการศึกษาใน ภ าพรวมและ ห ลายด้ าน แ ตกต่ างกัน อย่ างมี
นัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 ท่ีมีวุฒิการศึกษาศาสนาต่างกันในภาพรวมและหลายด้านไม่แตกต่างที่
มีวุฒิการศึกษาสามัญต่างกันมีบทบาทในการจัดการศึกษาในภาพรวมไม่แตกต่างกัน ส่วนหลายด้าน
แตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติในด้านงานวิชาการ ด้านงานบุคคล ด้านงานกิจกรรมผู้เรียนและ
ด้านงานธรุ การและการเงนิ ส่วนดา้ นความสมั พนั ธช์ ุมชนไม่แตกตา่ งกันที่มีประสบการณ์ในการบริหาร
ศูนย์ฯ (ตาดกี า) ต่างกันในภาพรวมไมแ่ ตกต่างกนั สว่ นหลายดา้ นแตกตา่ งกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ
ในด้านธุรการการเงินและด้านความสัมพันธ์ชุมชนและที่ปฏิบัติงานในขนาดของศูนย์ฯ (ตาดีกา)
ต่างกันในภาพรวมไม่แตกต่างกัน ส่วนหลายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ.01
เฉพาะด้านงานบคุ คล สว่ นด้านอนื่ ๆไม่แตกต่างกัน 5.แนวทางการพฒั นาภาวะผนู้ าของอมิ ามมี 4 ด้าน
ได้แก่ ด้านวิสัยทัศน์กว้างไกล ด้านการบริหารแบบมีส่วนร่วมและด้านกระบวนการควบคุม
ส่วนแนวทางการพัฒนาบทบาทของอิมามมี 5 ด้าน ได้แก่ ด้านงานวิชาการ ด้านงานบุคคล ด้านงาน
ความสมั พันธช์ ุมชน ด้านงานกิจกรรมนกั เรยี น ดา้ นงานธรุ การและการเงนิ ”

16

งานวิจัยช้ินน้ีสามารถเปรียบเทียบระดับของภาวะผู้นาท่ีมีความหลากหลายในอายุ
วุฒิการศึกษาทางศาสนาและสามัญอย่างชัดเจนโดยแยกด้านงานวิชาการ งานบุคคล ความสัมพันธ์
ชุมชน งานกิจกรรมนักเรียน ด้านงานธุรการและการเงิน โดยผู้วิจัยได้เห็นถึงพื้นฐานในการพัฒนา
เยาวชนจะต้องยืนบนพ้ืนฐานของภาวะผู้นาและคณะกรรมการอิสลามประจามัสยิดถือเป็นส่วนหน่ึง
ของผู้นา

1.2.3.5 อานุวา มะแซ, (2012) บทบาทของอิมามในการพฒั นาชุมชนเขตเทศบาลเมอื ง
ตากใบ ผลการวจิ ยั พบวา่

“1. จากการสัมภาษณ์อิมาม เคาะฏีบ ผู้นาท้องถิ่นและสัปบุรุษ 2 คนจากจานวน
มัสยิดทั้งหมด 6 มัสยิดด้วยกันในเขตเทศบาลเมืองตากใบเกี่ยวกับบทบาทของอิมามในการพัฒนา
ชุมชนด้านการเมืองการปกครองจากคาถามต่างๆนั้นอยู่ในระดับดี 2. จากการสัมภาษณ์เกี่ยวกับ
บทบาทของอิมามในการพัฒนาชุมชนด้านเศรษฐกิจพบว่าอิมามในเขตเทศบาลเมืองตากใบมีบทบาท
ในการพัฒนาอยู่ในระดับดี 3. เกี่ยวกับบทบาทของอิมามในการพัฒนาชุมชนด้านการศึกษาพบว่า
อิมามในเขตเทศบาลเมืองตากใบมีบทบาทในการพัฒนาอยู่ในระดับดีมาก 4. เก่ียวกับบทบาทของ
อิมามในการพัฒนาชุมชนด้านสังคมน้ันอยู่ในระดับดีมาก 5. สาหรับบทบาทของอิมามในการพัฒนา
ดา้ นสาธารณสุขนัน้ อยู่ในระดบั ดีมาก”

งานวิจัยชิ้นนี้ได้สะท้อนถึงบทบาทของผู้นาในการพัฒนาชุมชนด้านการเมืองการ
ปกครอง ด้านเศรษฐกิจ ด้านการศึกษา ด้านสังคมและด้านสาธารณสุข ในเขตเทศบาลเมืองตากใบซึ่ง
เทศบาลเมืองตากใบน้ันอยู่ในอาเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส โดยผู้วิจัยได้เห็นถึงบริบทในการทาวิจัย
คือบริบทการวิจัยที่เหมือนกันแต่ต่างกันระหว่างบทบาทของอิมามในการพัฒนาชุมชนเขตเทศบาล
เมืองตากใบกบั บทบาทของคณะกรรมการอสิ ลามประจามัสยิดในการพฒั นาเยาวชนเขตอาเภอตากใบ

1.2.4.6 อับดุลลอฮมาลิก หมัดเหระ, (2012 : 5) การดูแลเยาวชนตามวิถีแห่ง
ศาสนาอสิ ลามของผ้นู ามสุ ลิมในสามจังหวดั ชายแดนภาคใต้ ผลการวิจยั พบวา่

“ผู้นามุสลิมเป็นผู้นาท่ีมีบทบาทหน้าท่ีหลักในการดูแลเยาวชนตามวิถีแห่งศาสนา
อิสลามมีวิธีการดูแลท่ีแตกต่างตามสภาพแวดล้อมและทักษะความสามารถของผู้นามุสลิมในแต่ละ
ชุมชนโดยมีแหล่งงบประมาณอยู่ 3 แหล่งด้วยกันคือ เงินบริจาค กองทุนซะกาตและงบประมาณ
สนับสนุนจากองค์กรของรัฐที่ใช้ในการดาเนินกิจกรรมการดูแลเยาวชนและปัญหาที่ทาให้ผู้นามุสลิม
ไม่สามารถดูแลเยาวชนตามวิธีแห่งศาสนาอิสลามได้มี 4 ประการคือ ประการแรก ผู้นามุสลิมขาด

17

ความรู้ความเข้าใจในบทบาทหน้าท่ีของตนเอง ประการที่สอง ผู้นามุสลิมไม่ได้ตระหนักและไม่ให้
ความสาคัญในการดูแลเยาวชน ประการท่ีสามผู้นามุสลิมขาดทักษะและประสบการณ์ในการดูแล
เยาวชนและประการสดุ ท้ายผ้นู ามสุ ลมิ ขาดความสมั พันธก์ ับกลุ่มเยาวชน”

งานวิจยั ช้ินน้ีสามารถสรุปสภาพปัญหาของผู้นามสุ ลิมในการดูแลเยาวชนตามวิถีแห่ง
ศาสนาอิสลามด้วยสาเหตุ 4 ประการดังคากล่าวข้างต้นอย่างกระจ่างแจ้ง โดยผู้วิจัยได้เห็นถึงสภาพ
ปัญหาของผู้นาโดยเฉพาะคณะกรรมการอิสลามประจามัสยิดควรมีพ้ืนฐานด้านความรู้ความเข้าใจใน
บทบาทหน้าท่ี ทักษะความเป็นผู้นาและความสัมพันธ์ท่ีดีกับกลุ่มเยาวชนจึงสามารถดูแลเยาวชนตาม
วิถแี หง่ ศาสนาอสิ ลาม

1.3 วัตถุประสงค์ของการวจิ ยั

1.3.1 เพ่ือศึกษาระดับความรู้ความเข้าใจของคณะกรรมการอิสลามประจามัสยิดในการ
พัฒนาเยาวชนในเขตอาเภอตากใบ จังหวดั นราธวิ าส

1.3.2 เพื่อศึกษาระดับบทบาทของคณะกรรมการอิสลามประจามัสยิดในการพัฒนา
เยาวชนในเขตอาเภอตากใบ จงั หวัดนราธิวาส

1.3.3 เพื่อศกึ ษาแนวทางในการพฒั นาเยาวชนในเขตอาเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส

1.4 ความสาคัญและประโยชน์ของการวิจยั

1.4.1 สามารถนาผลของระดับความรู้ความเข้าใจของคณะกรรมการอิสลามประจามัสยิด
มาวเิ คราะหพ์ รอ้ มกบั การพัฒนาต่อไป

1.4.2 สามารถนาผลของระดับบทบาทของคณะกรรมการอสิ ลามประจามัสยิดมาวิเคราะห์
และศกึ ษาพร้อมด้วยการพัฒนาเยาวชนในเขตอาเภอตากใบ จังหวัดนราธวิ าส

1.4.3 สามารถนาแนวทางการในการพัฒนาเยาวชนไปปฏิบัติใช้ในบริบทหรือเขตอาเภอ
อน่ื ๆ ในจงั หวัดนราธวิ าส

18

1.5 ขอบเขตของการวจิ ัย

1.5.1 ขอบเขตด้านเนื้อหา
ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยมุ่งการศึกษาเก่ียวกับบทบาทของคณะกรรมการอิสลาม

ประจามัสยิดในการพัฒนาเยาวชนในเขตอาเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส เพ่ือให้วิจัยคร้ังน้ีบรรลุ
วตั ถุประสงคผ์ ู้วจิ ยั ได้กาหนดเอกสารและงานวจิ ัยท่ีเกี่ยวขอ้ งดังนี้

1.5.1.1 บทบาทของผนู้ า
ก. ความหมายบทบาท
ข. ประเภทของบทบาท
ค. บทบาทมสั ยดิ ในสมัยนบมี ุฮมั มดั 

1.5.1.2 การพัฒนาเยาวชน
ก. ความหมาย
ข. ความสาคญั ของเยาวชน
ค. เยาวชนยคุ เรมิ่ ตน้ ในอิสลาม
ง. แนวทางในการพฒั นาเยาวชน

1.5.1.3 ความหมาย ความเป็นมาและคุณสมบัติของคณะกรรมการอิสลาม
ประจามสั ยิด

ก. ความหมายและความเปน็ มา
ข. คุณสมบัติของคณะกรรมการอิสลามประจามัสยิดในพระราชบัญญัติ
การบริหารองคก์ รศาสนาอสิ ลาม พทุ ธศักราช 2540
ค. อานาจหน้าที่ของคณะกรรมการอิสลามประจามัสยิดในพระราชบัญญัติ
การบรหิ ารองค์กรศาสนาอิสลาม พทุ ธศักราช 2540

19

1.5.2 ขอบเขตดา้ นประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง
1.5.2.1 ประชากรท่ีใช้ในการวจิ ัยบทบาทของคณะกรรมการอิสลามประจามัสยิดใน

การพัฒนาเยาวชนในเขตอาเภอตากใบ จังหวดั นราธิวาสคือเฉพาะคณะกรรมการอิสลามประจามสั ยิด
แต่ละมัสยิดจานวน 15 คน ซึ่งมีมัสยิดในเขตอาเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ท้ังหมดจานวน 36
มสั ยดิ ในพน้ื ที่อาเภอตากใบ รวมประชากรทั้งหมด 540 คน

1.5.2.2 ส่วนกลุ่มตัวอย่างคือคณะกรรมการอิสลามประจามัสยิดในตาบลเจ๊ะเห
ตาบลเกาะสะท้อน ตาบลไพรวัน ตาบลโฆษิตในจานวนตาบลละ 38 คน ตาบลศาลาใหม่จานวน
32 คน ตาบลนานาคจานวน 26 คน ตาบลพร่อนจานวน 13 คน ตาบลบางขุนทองจานวน 7 คน
รวมกลมุ่ ตวั อยา่ งทั้งหมด 230 คน

1.5.3 กรอบแนวคิด
ผู้วิจัยไดก้ าหนดกรอบดงั น้ี
1) ความรู้ความเข้าใจของคณะกรรมการอิสลามประจามัสยิดต่อบทบาทใน

อลั กุรอาน อัลฮะดษี และพระราชบัญญตั ิการบรหิ ารองค์กรศาสนาอสิ ลาม พุทธศักราช 2540

2) บทบาทด้านศาสนาท่ีประกอบดว้ ย
1) หลกั ปฏบิ ัติ
2) หลกั ศรัทธา
3) หลักอิฮสาน

3) บทบาทด้านการศกึ ษาทีป่ ระกอบด้วย
1) การส่งเสริมการศึกษาในระดับตวั บุคคล
2) การส่งเสรมิ การศึกษาในสถาบนั ครอบครวั
3) การส่งเสริมการศึกษาในสถาบนั มสั ยดิ

4) บทบาทด้านกิจกรรมทป่ี ระกอบดว้ ย
1) การตัรบยิ ะฮฺ
2) การดะอวฺ ะฮฺ

5) แนวทางในการพฒั นาเยาวชน

20

1.6 ข้อตกลงเบื้องต้น

ในการวิจัยครัง้ นผี้ วู้ ิจัยไดก้ าหนดข้อตกลงเบอื้ งตน้ ไว้ ดงั น้ี
1.6.1 การอ้างอิงอัลกุรอานผู้วิจัยจะใช้มาตรฐานการอ้างอิงโดยระบุชื่อสูเราะฮฺและลาดับ
อายะฮฺ เชน่ (อัลบะเกาะเราะฮฺ : 20) หมายถึง สูเราะฮอฺ ัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮทฺ ี่ 20
1.6.2 การอ้างอิงอรรถาธิบายอัลกุรอานผู้วิจัยจะอ้างถึงผู้ที่อรรถาธิบายอัลกุรอาน,หนังสือ
เล่มที่ (ถ้ามีหลายเล่ม) และเลขหน้า เช่น (al-Qurtubiy,2000,a.3 : 34) หมายถึง อัลกุรฎุบีย์ พิมพ์ปี
2000 เลม่ ท่ี 3 หนา้ 34
1.6.2 การอ้างอิงอัลฮะดีษผู้วิจัยจะอ้างถึงผู้บันทึกฮะดีษและหมายเลขฮะดีษ เช่น
(al-Bukhāriy : 1) หมายถึง บุคอรีเป็นผู้บันทึกและเป็นฮะดีษแรกส่วนฮะดีษที่มีการอ้างอิงในเชิง
อรรถเปน็ ฮะดษี ท่ไี ม่ไดถ้ กู บันทกึ โดยบุคอรีและมสุ ลิม
1.6.3 การแปลและการอธิบายความหมายอายะฮฺอัลกุรอานเป็นภาษาไทย ผู้วิจัยจะยึด
คัมภีร์อลั กรุ อานพรอ้ มความหมายของสมาคมนักเรียนเกา่ อาหรับประเทศไทย ซ่ึงจัดพิมพ์และเผยแพร่
โดยศนู ยก์ ษตั ริย์ฟะฮดั เพือ่ การพิมพ์อลั กรุ อานแห่งนครมะดีนะฮฺ มุเนาวะเราะฮฺ ปี ค.ศ.1999
1.6.4 การแปลตาราหนังสือและเอกสารต่างๆท่ีเป็นภาษาต่างประเทศมาเป็นภาษาไทย
ผู้วิจัยจะแปลความหมายโดยภาพรวม และจะคงรักษาความหมายของข้อความเดิมอยา่ งสมบรู ณ์ทสี่ ดุ
1.6.5 การปริวรรตอักษรอาหรับ–ไทย และอาหรับ–อังกฤษ ผู้วิจัยจะใช้อักษรท่ีเทียบโดย
วทิ ยาลัยอสิ ลามศึกษา มหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์ วทิ ยาเขตปตั ตานี
1.6.6 การอ้างอิงผู้วิจัยจะใช้การอ้างอิงแบบนาม – ปี (Author – Date) โดยระบุชื่อผู้แต่ง
ปีท่ีพิมพ์และเลขหน้าที่ใช้อ้างอิงในวงเล็บ เช่น (พวงรัตน์ ทวีรัตน์,2540 : 125-126) หมายถึงหนังสือ
แต่งโดยพวงรตั น์ ทวีรัตน์ พิมพ์ปที ่ี 2540 หนา้ 125-126
1.6.7 รูปแบบการพิมพ์งานวิจัย ผู้วิจัยใช้คู่มือการเขียนและการพิมพ์วิทยานิพนธ์ของ
บณั ฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทร์ ปี 2557 และคมู่ อื การวิจัยเพื่ออสิ ลามศึกษาของบัณฑิต
วทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์ ปี 2548

21

1.7 สัญลกั ษณ์ท่ใี ชใ้ นการวิจัย

ในการวจิ ยั ครง้ั นผี้ ู้วจิ ยั ได้ใชส้ ญั ลกั ษณ์ ดงั ต่อไปน้ี
1.7.1 สัญลักษณ์  เป็นภาษาอาหรับที่มาจากคาว่า “สุบฮานะฮู วะตะอาลา” หมายถึง
“มหาบริสุทธ์ิแด่พระองค์และทรงสูงส่ง” เป็นคาที่ใช้กลา่ วสรรเสริญและยกยอ่ งอัลลอฮ์  หลังจากท่ี
ได้เอย่ นามของพระองค์
1.7.2 สัญลักษณ์  เป็นภาษาอาหรับท่ีมาจากคาว่า “ศ็อลลัลลอฮุอะลัย ฮิ วะสัลลัม”
หมายถึง “ขออัลลอฮ์  ทรงประทานความโปรดปรานและความสันติแด่ท่าน”เป็นคาที่ใช้กลา่ วยกยอ่ งน
บีมฮุ มั มดั  หลังจากทไี่ ดเ้ อย่ นามของทา่ น
1.7.3 สัญลักษณ์  เป็นภาษาอาหรับท่ีมาจากคาว่า “อะลัยฮิสสะลาม” หมายถึง
“ขออัลลอฮ์  ทรงประทานความความสันติแด่ท่าน” เป็นคาท่ีใช้กล่าวยกย่องนบีอ่ืนที่ไม่ใช่นบี มุฮัม
มัด  หลังจากท่ีไดเ้ อย่ นามของทา่ น
1.7.4 สัญลักษณ์  เป็นภาษาอาหรับที่มาจากคาว่า “เราะฎิยลัลอฮุอันฮุ” หมายถึง
“ขออัลลอฮ์  ทรงโปรดปรานแก่เขา” เป็นคาที่ใช้กล่าวให้เกียรติแก่เศาะฮาบะฮฺ หลังจากท่ีได้เอ่ย
นามของพวกเขา
1.7.5 สัญลักษณ์ ‫ رضي الله عنها‬เป็นภาษาอาหรับที่มาจากคาว่า “เราะฎิยลัลอฮุอันฮา”
หมายถงึ “ขออลั ลอฮ์  ทรงโปรดปรานแกเ่ ขา” เปน็ คาท่ีใช้กล่าวให้เกยี รติแกเ่ ศาะฮาบิยะฮฺ หลังจากที่ได้
เอย่ นามของพวกเขา
1.7.6 สัญลักษณ์  เป็นภาษาอาหรับที่มาจากคาว่า “เราะฎิยลัลอฮุอันฮุม” หมายถึง
“ขออัลลอฮ์  ทรงโปรดปรานแก่พวกเขา” เป็นคาที่ใช้กล่าวให้เกียรติแก่บรรดาเศาะฮาบะฮฺ หลังจาก
ทไี่ ดเ้ อ่ยนามของพวกเขา
1.7.6 ﴾…...﴿ วงเล็บปกี กาใช้สาหรับอายะฮฺอลั กุรอาน
1.7.7 ((.......)) วงเล็บคจู่ ะใช้สาหรับตัวบทอลั ฮะดีษ
1.7.8 (…….) วงเล็บเดยี วจะใช้สาหรับการเขยี นอ้างอิงและการอธบิ ายศัพท์ท่ีสาคญั
1.7.9 “…...” อญั ประกาศจะใช้สาหรบั การแปลอัลกุรอาน อัลฮะดษี ช่ือหนังสือ และคาพูด
ของอลุ ะมาอฺ

22

1.8 นยิ ามศัพท์เฉพาะ

1.8.1 บทบาท หมายถงึ การทาหน้าทที่ กี่ าหนด
1.8.2 คณะกรรมการอิสลามประจามัสยิด หมายถึง อิมาม เคาะฏีบ บิลาล และกรรมการ
อน่ื ๆ ที่สัปบุรุษประจามัสยดิ นนั้ กาหนดซ่ึงมจี านวนไม่น้อยกว่าหกคนแต่ไม่เกินสบิ สองคนในเขตอาเภอ
ตากใบ จงั หวดั นราธิวาส
1.8.3 มัสยิด หมายถึง สถานท่ีซึ่งมุสลิมใช้ประกอบศาสนกิจโดยจะต้องมีการละหมาดวัน
ศกุ ร์เป็นปกตแิ ละเปน็ สถานท่ีสอนศาสนาอสิ ลามในเขตอาเภอตากใบ จงั หวดั นราธวิ าส
1.8.4 การพฒั นา หมายถงึ การพัฒนาเยาวชนให้เป็นมุสลิมทด่ี ี
1.8.5 เยาวชน หมายถึง เยาวชนที่อยู่ภายใตก้ ารดแู ลของมัสยิดหรือเปน็ สัปบุรุษของมัสยิด
ในเขตอาเภอตากใบ จังหวดั นราธิวาส

23

บทท่ี 2
บทบาทของคณะกรรมการอิสลามประจามัสยดิ

2.1 บทบาทของคณะกรรมการอิสลามประจามัสยดิ

คณะกรรมการอิสลามประจามัสยิดถือเป็นบุคคลท่ีสาคัญหรือเป็นผู้นาในการพัฒนา
ชุมชนให้เกิดชุมชนท่ีมีความศรัทธาต่ออัลลอฮ์  ซึ่งการพัฒนาชุมชนนั้นจะต้องพัฒนาจากปัจเจก
บุคคลเป็นลาดับแรกพร้อมด้วยการนาบทบาทของผู้นามาปฏิบัติใช้ในชุมชนอย่างจรงิ จัง โดยสามารถ
อธบิ ายความหมาย และความสาคญั ของบทบาทคณะกรรมการอสิ ลามประจามสั ยิด ดังนี้

2.1.1 ความหมายบทบาท
2.1.1.1 ราชบัณฑิตยสถาน, (2540 : 602) ให้ความหมายว่า บทบาท หมายถึง

การทาหน้าท่ีท่ีกาหนดไว้ เช่น บทบาทพ่อแม่ บทบาทครู หรือหน้าท่ซี ่ึงหมายถึง การปฏิบตั ิงานตามที่
ได้รับมอบหมาย ส่วนในพจนานุกรมศัพท์อังกฤษ – ไทย(ฉบับราชบัณฑิตยสถาน 2540 : 315) ได้ให้
ความหมายว่า บทบาท หมายถงึ หน้าทีห่ รอื พฤตกิ รรมทีส่ ังคมกาหนดและคาดหมายใหบ้ ุคคลกระทา

2.1.1.2 พัทยา สายหู, (1997 : 58) กล่าวว่า “บทบาท คือหน้าท่ีประจาสถานภาพ
หรือตาแหน่งนัน้ ๆเฉกเชน่ เหมือนตัวละครที่กาหนดใหเ้ ลน่ เปน็ ตวั อะไรก็ตอ้ งไดร้ ับบทนนั้ ตามมาดว้ ย”

2.1.1.3 อับดุลลอฮมาลิก หมัดเหระ, (2003 : 10) ได้กล่าวสรุปว่า “บทบาทเป็น
แบบแห่งปฏิสัมพนั ธท์ างสงั คมของมนุษย์”

2.1.1.4 เจ๊ะมูหามัดสัน เจ๊ะอูมา, (2002 : 10) ได้กล่าวสรุปว่า “บทบาทคือส่ิงที่
ผดู้ ารงตาแหน่งใดตาแหนง่ หน่ึงของสงั คมได้ถูกกาหนดให้แสดงพฤติกรรมอย่างหน่ึงอยา่ งใด โดยบคุ คล
ในตาแหน่งนั้นจะมีหน้าท่ีหรือเง่ือนไขที่ต้องกระทา และได้สิทธิท่ีกาหนดไว้สาหรับตาแหน่งน้ันๆ
รวมท้ังความคาดหวังของชุมชนในสงั คมท่ีมงุ่ หวงั ใหผ้ ดู้ ารงตาแหนง่ นน้ั ได้กระทา”

2.1.1.5 อานุวา มะแซ, (2012 : 41) กล่าวสรุปแนวคิดบทบาทว่า “บทบาทที่
กาหนดไว้เป็นบทบาทท่ีได้วางไว้ชัดเจนและบุคคลที่อยู่ในบทบาทนั้นๆจะต้องมีสิทธิ หน้าที่ในการ
กระทาอะไรได้บ้าง และได้กาหนดไว้อย่างชัดเจนว่า บุคคลที่ได้ปฏิบัติงานในองค์กรนั้นๆจาเป็นต้อง
เข้าใจเก่ียวกับบทบาทขององค์กรน้ันๆกาหนดไว้เพ่ือเป็นมาตรการในการปฏิบัติงานที่ถูกต้อง และมี
ประสทิ ธภิ าพ”

24

สรุปได้ว่า บทบาทเป็นหน้าที่หน่ึงท่ีต้องปฏิบัติบนพ้ืนฐานของความสามารถของ
บุคคลหรือองค์กรและถือเป็นพันธะสัญญาทางสังคมที่ไม่สามารถหลีกหนีได้ไม่ว่าตาแหน่งที่ได้รับมา
จากความไว้วางใจจากสังคมหรอื ตาแหน่งทไ่ี ดร้ บั จากอลั ลอฮ์  ในการเป็นบ่าวทีด่ ี แต่เม่อื บุคคลน้ันได้
ปฏิบัติตามบทบาทที่ได้กาหนดมาอย่างสมบูรณ์ก็จะส่งผลต่อความสาเร็จ โดยเฉพาะบทบาทของผู้นา
ในภาพรวม รวมถึงบทบาทของคณะกรรมการอิสลามประจามัสยิดในการพัฒนาเยาวชนที่อยู่ภายใต้
การดูแลของมัสยิดให้เป็นเยาวชนทีม่ คี วามเขา้ ใจในหลกั คาสอนของศาสนาอย่างลึกซ้ึง และนามา
ปฏบิ ัตใิ นการดารงชีวติ ประจาวันอย่างเปน็ รปู ธรรมพร้อมกับการทจ่ี ะเปน็ ผู้นาในสังคมต่อไป

2.1.2 ความสาคัญ
การท่ีมุสลิมได้ปฏิบัติตามข้อกาหนดต่างๆไม่ว่าข้อกาหนดน้ันมาจากความเห็นของ

กลุ่มคนหรือบุคคลหรือข้อกาหนดนั้นมาจากอัลลอฮ์  ก็เสมือนการปฏิบัติตามบทบาทที่ได้วางไว้และ
เมื่อการปฏิบัติตามบทบาทก็สามารถสร้างความเสถีรภาพในการดาเนินชีวิตของบุคคล สังคม และ
ประชาชาติ และเป็นเหตุผลหน่ึงของความรุ่งเรืองท่ีจะเกิดขึ้นในสังคมนั้นๆ ดั่งท่ีเกิดขึ้นในยุคแรกของ
อิสลามในอดีตโดยมีนบีมุฮัมมัด  เป็นผู้นา และบรรดาเศาะฮาบะฮฺ  เป็นผู้ตาม และการปฏิบัติ
ตามนบีมุฮมั มดั  ถือส่ิงทส่ี าคญั ในการดาเนินชวี ิตของมุสลิม ดั่งท่ีอัลลอฮ์ ได้ตรสั ไว้ในอัลกุรอานวา่

َ‫﴿ َلَق ْد َكا َن لَ ُك ْم يفي َر ُسويل ا َّيلل أُ ْسَوٌة َح َسنَةٌ يل َم ْن َكا َن يَـْر ُجو اََّّلل‬
﴾ ‫َوالْيَـْوَم الآ يخَر َوذََكَر اََّّللَ َكثييارا‬

ความว่า “โดยแน่นอนในเราะสูลของอัลลอฮ์มีแบบฉบับอันดีงาม
สาหรับพวกเจ้าแล้ว สาหรับผู้ท่ีหวัง(จะพบ)อัลลอฮ์และวันปรโลก

และราลึกถงึ อลั ลอฮ์อย่างมาก”

(อลั อะฮซาบ : 21)
Ibn Kathīr, (1999,a.6 : 391) ได้กล่าวว่า “นี่คืออายะฮฺหลักท่ีบ่งบอกถึงการต้อง
ปฏิบัตติ ามนบีมฮุ ัมมัด ”
al-Baghawiy, (2000,a.5 : 623) ได้กล่าวว่า “ความหมายของคาว่า สาหรับผู้ที่
หวงั (จะพบ)อัลลอฮ์  คอื สาหรบั ผู้ท่ีหวงั ตอ่ ผลบญุ ของอัลลอฮ์ ”
Sa‘id Hawā, (2002 : 185) ได้กล่าวถึงคุณลักษณะของนบีมุฮัมมัด  ว่า “นบี
มุฮัมมัด  จะต่างกันกับคุณลักษณะของนบีท่านอื่น คือนบีมุฮัมมัด  เป็นบิดาและสามี ได้มีการ

25

สมรส เป็นนักบริหาร เป็นผู้นาสูงสุดในสนามรบและนบีมุฮัมมัด  ได้ถูกแต่งต้ังเป็นเราะสูลสาหรับ

ประชาชาติ”

Badruddīn, (1957 : 218) ได้กล่าวว่า “คาส่ังท่ีอัลลอฮ์  ได้ส่ังให้กับนบีมุฮัมมัด

 กเ็ สมอื นการมอบหมายให้ทุกคนที่เป็นประชาชาติของท่านไดป้ ฏิบัตติ ามอีกเช่นกัน” และ การ

ปฏบิ ัติตามนบีเป็นเร่อื งทม่ี สุ ลมิ ปฏเิ สธไมไ่ ด้

ดังน้ันการปฏิบัติตามนบีมุฮัมมัด  ถือเป็นสิ่งที่สาคัญ ซ่ึงท่านนบีมุฮัมมัด 

สามารถเป็นตัวอย่างของการเป็นผู้นาท่ีดีเลิศ เป็นผู้ตามท่ีมีเหตุผล เป็นบิดาท่ีแสนดีสาหรับหลาน

เป็นสามีท่ีดีสาหรับภรรยา และเป็นบ่าวท่ีได้รับการช่ืนชมจากเอกอัลลอฮ์  และสิ่งเหล่านั้นเป็น

ส่วนหนึ่งของบทบาทท่ีเกิดข้ึน และจะส่งผลต่อผู้ปฏิบัติตามด้วยผลบุญจากอัลลอฮ์  และการดาเนิน
ชวี ิตในสงั คมให้เกิดสงั คมท่ีมคี วามสุขอย่างย่งั ยืน

2.1.3 ประเภทของบทบาท

บทบาทของคณะกรรมการอิสลามประจามัสยิดในการพัฒนาเยาวชน สามารถแบ่ง

บทบาทในแต่ละดา้ น คือ

2.1.3.1 บทบาทดา้ นศาสนา ประกอบดว้ ย

ก.บทบาททเ่ี กีย่ วกับหลักปฏบิ ัติ

หลักปฏิบัติในอิสลามเป็นเง่ือนไขหน่ึงที่สามารถบ่งบอกถึงความเป็นมุสลิมโดย

การปฏิบัติตามหลกั ปฏิบัติท่ีอิสลามได้วางไว้ และบุคคลน้ันจะได้ช่ือว่าเป็นมุสลิมถึงแม้เขาจะอาศัยอยู่

ซกี ไดบนโลกนี้หรือภาษาไดที่เขาสือ่ ก็ตาม และการท่ีมุสลิมนั้นได้ปฏิบัติในหลักปฏิบัติเสมอื นกบั บคุ คล

น้ันยอมรับอิสลามเป็นศาสนาของตนเองซึ่งเป็นศาสนาได้รับการรับรองจากอัลลอฮ์  ว่าเป็นศาสนาท่ี

ถกู ตอ้ ง ดงั่ ท่ีอัลลอฮ์  ได้ตรัสไว้ในอลั กุรอานวา่

‫يم َن‬ ‫يخَرية‬ ‫اْلآ‬ ‫يفي‬ ‫َوُهَو‬ ُ‫يمْنه‬ ‫يـُْقبَ َل‬ ‫فَـلَ ْن‬ ‫يديناا‬ ‫اْليإ ْسلَايم‬ ‫َغْيَر‬ ‫﴿ َوَم ْن يَـْبـتَيغ‬
﴾‫اْْلَا يسيري َن‬
ความว่า “และผู้ใดแสวงหาศาสนาหน่ึงศาสนาใดอ่ืนจากอิสลาม

แล้วศาสนานั้นก็จะไม่ถูกรับจากเขาเป็นอันขาดและในปรโลกเขา

จะอยใู่ นหมผู่ ขู้ าดทุน”

(อาลิ อิมรอน:85)

26

Ibn Kathīr, (1999,a.2 : 25) ได้อธิบาย “อายะฮฺนี้เป็นอายะฮฺท่ีบอกถึงศาสนา
ทอี่ ลั ลอฮ์  ทรงจะให้การตอบแทนคือศาสนาอิสลาม”

ด้วยเหตุดังกล่าวอัลลอฮ์  จะทรงตอบแทนการกระทาของมุสลิมท่ีได้ปฏิบัติมาบน
โลกก็ต่อเมื่อมีศาสนาท่ีถูกต้องคือศาสนาอิสลามเป็นท่ียึดและจะเป็นเง่ือนไขหลักในการที่จะได้เข้า
สวรรค์อกี ดว้ ย

ในเม่ืออิสลามเป็นศาสนาที่อัลลอฮ์  พระองค์จึงได้ประทานคาภีรอัลกุรอานเพื่อ
เป็นรัฐธรรมนูญชีวิตและแต่งต้ังมุฮัมมัด  เป็นนบี และเราะสูลเพื่อให้มุสลิมนามาเป็นแบบอย่างใน
การดาเนินชีวิตอีกด้วย ซ่ึงสองประการนั้นจะครอบคลุมในเร่ืองการใช้ชีวิตบนโลกนี้ต้ังแต่เกิดจนถึง
ตายพร้อมกันน้ันได้วางหลักปฏิบัติห้าประการที่มุสลิมต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ด่ังท่ีมีรายงานจาก
อิบนุ อมุ ัร 

‫َصَلّى اللهُ َعلَْييه‬ ‫ قَا َل َر ُسوُل اََّّليل‬:‫َعْنـ ُه َما قَا َل‬ ُ‫ َر يض َي اََّّلل‬،‫ابْ ين ُع َمَر‬ ‫(( َع ين‬
‫اََّّللُ َوأَ َّن مَُح َّم ادا‬ ‫ َشَهاَدية أَ ْن لاَ إيلَهَ إيَّلا‬:‫ََْخ ٍس‬ ‫ى‬،‫َن َاوإيلقيَإايمْسلالاَُمَّصلَعاَلَية‬،ِ‫ا"ََّّلبُليي‬ ‫َو َسَلَّم‬
‫ َو َصْويم‬،‫ َواْلَ يج‬،‫َوإييتَايء الَّزَكاية‬ ‫َر ُسوُل‬
))‫َرَم َضا َن‬

ความว่า จากอิบนุ อุมัร  กล่าวว่า เราะสูลลุลอฮฺ  กล่าวว่า

“อิสลามน้ันถูกวางบนหลักห้าประการ คือ กล่าวคาปฏิญานตนว่า

ไม่มีพระเจ้าอื่นไดนอกจากอัลลอฮ์และนบีมุฮัมมัดเป็นศาสนฑูต

ของอัลลอฮ์ ปฏิบัติละหมาด จ่ายซากาต ประกอบพิธีฮัจญ์และ

ถอื ศิลอดในเดือนเราะมะฏอน”

(al-Bukhāriy : 8)

Yūsuf al-Qaradāwiy, (1994) ได้กล่าวในบทนาถึงคุณลักษณะของศาสนาอิสลาม

ว่า “อิสลามเป็นศาสนาท่ีมาจากอัลลอฮ์  มีความเป็นมนุษย์สัมพันธ์ ครอบคลุมในทุกด้าน มีความ

เป็นกลาง เปน็ ปัจจบุ นั ชัดเจน และสามารถสมานระหว่างความตึง และความหย่อนได้”

Ibn Rajab, (1996 : 22) ได้กล่าวว่า “แท้จริงศาสนาอิสลามเปรียบเสมือนอาคาร

และหลกั ปฏิบตั หิ ้าประการกเ็ สมือนเสาหลักทส่ี ามารถยดึ ติดระหว่างกนั ”

27

Abu al-‘Alā al-Maudūdīy, (1998 : 52) ได้กล่าวถึงความแตกต่างระหว่าง

มสุ ลิมและกาฟีรว่า “การที่ได้ชื่อว่าเป็นมุสลิมเน่ืองจากได้ปฏิบัติตามคาส่ังของอัลลอฮ์  และการที่ได้

ชือ่ วา่ เปน็ กาฟิรเนื่องจากการปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์ ”

ดงั น้ันหลักปฏบิ ัติของมสุ ลมิ จะมีห้าประการ ในหา้ ประการนนั้ ประกอบดว้ ยหลกั การ

ท่ีปฏิบัติด้วยกาย วาจาและใจ ซ่ึงหลักการนั้นสามารถบ่งบอกถึงความเป็นมุสลิมที่ดี และจะเป็นการ

ประกาศให้กับศาสนาอ่นื ว่าอสิ ลามเป็นศาสนาของอลั ลอฮ์  ที่ครอบคลุมในทุกดา้ น

การกล่าวชะฮาดะฮฺเป็นคากล่าวด้วยวาจาว่า “ไม่มีพระเจ้าอ่ืนใดนอกจากอัลลอฮ์ 

และนบีมุฮัมมัด  เป็นเราะสูลของอัลลอฮ์ ” ซ่ึงหมายถึงมุสลิมต้องสักการะอัลลอฮ์  เพียงองค์

เดียวและพร้อมท่ีจะปฏิบัติตามบทบัญญัติและเง่ือนไขต่างๆที่อัลลอฮ์  ได้ทรงกาหนดในคาภีร์อัลกุ

รอานและในอัลฮะดีษ และคากล่าวซะฮาดะฮฺท่ีเกิดข้ึนสมัยนบีมุฮัมมัด  ท่ีสามารถสร้างความ

เปล่ยี นแปลงในบุคคลท่ีหลงผิดให้เป็นบุคคลทศี่ รทั ธาตอ่ อัลลอฮ์ ดั่งท่ีไดต้ รัสไวใ้ นอลั กุรอานว่า

‫﴿ لََق ْد َم َّن الَلّـهُ َعلَى الْ ُمْؤيمنييَن إي ْذ بـََع َث فيييه ْم َر ُسوالا يم ْن أَنُف يسيه ْم يـَْتـلُوا‬
‫قَـْب ُل‬ ‫يمن‬ ‫َكانُوا‬ ‫َوإين‬ َ‫َواْْيل ْك َمة‬ ‫َب‬ ‫اْل يكتَا‬ ‫َويـَُعلي ُم ُه ُم‬ ‫َعلَْييه ْم آََيتييه َويـَُزيكييه ْم‬
﴾ ‫لَيفي َضلَاٍل ُّمبييٍن‬
ความว่า “แน่นอนย่ิงอัลลอฮน์ ั้นทรงมีพระคุณแกผ่ ู้ศรทั ธาท้ังหลาย

โดยท่ีพระองค์ได้ทรงส่งเราะสูลคนหน่ึงจากพวกเขาเองมาในหมู่

พวกเขาโดยที่เขาจะได้อ่านบรรดาโองการของพระองค์ให้พวกเขา

ฟังและจะทาให้พวกเขาสะอาดและจะสอนคัมภีร์และความรู้

เก่ียวกับข้อปฏิบัติในบัญญัติศาสนาแก่พวกเขาด้วยและแท้จริง

เมอื่ กอ่ นนัน้ พวกเขาเคยอย่ใู นความหลงผดิ อันชัดแจง้ ”

(อาลอิ ิมรอน:164)

al-Qurṭubiy, (1964,a.4 : 264) ได้กล่าวว่า “มีทรรศนะที่กล่าวว่า พยัญชนะลาม

ในอายะฮฺน้ีหมายถึงยกเว้น ดังนน้ั ความหมายอายะฮฺคอื และพวกเขากอ่ นนั้นยกเว้นอยู่ในความหลงผิด

อันชดั แจ้ง”

Ibn Munzir, (2002 : 478) ได้กล่าวว่า “เกาะตาดะฮฺกล่าวว่า อัลลอฮ์  คือ

พระเจ้าผู้ทรงมีความกรุณาท่ีย่ิงใหญ่ต่อบ่าวของพระองค์โดยที่พระองค์ได้ส่งเราะสูล  ท่ีมีความ

28

เมตตา ความเอ็นดูและนาความสว่างพร้อมด้วยหนทางที่เท่ียงตรงแก่ประชาชาติโดยท่ีบ่าวของ
พระองค์ไม่ได้ขอ”และจะส่งผลในการที่จะได้เข้าในสวนสวรรค์ของอัลลอฮ์  ด่ังที่มีรายงานจาก
มอุ าษฺ บิน ญะบัล 

‫ قَا َل َر ُسوُل اََّّليل َصَلّى اللهُ َعلَْييه َو َسَلَّم َم ْن‬:‫ قَا َل‬،‫(( َع ْن ُمَعايذ بْ ين َجبٍَل‬
)) َ‫َكا َن آ يخُر َكلَايميه َلا إيلَهَ إيَّلا اََّّللُ َد َخ َل الْجََنّة‬

ความว่า จากมอุ าษฺ บนิ ญะบลั กล่าววา่ เราะสลู ลลุ อฮฺ  กลา่ วว่า
“ผู้ใดท่ีได้กล่าวถ้อยคาสุดท้ายในชีวิตของเขาว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใด
นอกจากอลั ลอฮ์เขาผนู้ ้ันจะไดเ้ ขา้ สวรรค์”

(Abū Dawūd : 3116)5
Ibn Baṭṭāl, (2003 : 236) ได้กล่าวว่า “อัลมุฮัลลัฟ กล่าวว่า บรรดาอุลามาอฺเห็น
พอ้ งต้องกันว่า บุคคลใดที่เสยี ชีวิตด้วยคากล่าว ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ เขาผู้น้ันจะได้เข้า
สวรรค์หลังจากการสอบสวนถึงเรื่องท่ีเกิดข้ึนกับมนุษย์ด้วยกันและการขออภัยโทษจากบุคคลท่ีเขาได้
อธรรมข้ึน” และบุคคลใดที่ต้ังภาคีต่ออัลลอฮ์  บุคคลนั้นจะไม่ได้รับการอภัยโทษจากอัลลอฮ์  อีก
เชน่ กัน ดง่ั ที่อัลลอฮ์  ได้ตรัสไวใ้ นอลั กรุ อานว่า
‫﴿ إي َّن الَلّـهَ َلا يـَ ْغيفُر أَن يُ ْشَرَك بييه َويـَ ْغيفُر َما ُدوَن ََٰذلي َك ليَمن يَ َشاءُ َوَمن‬

﴾ ‫يُ ْشيرْك ِيبلَلّـيه فَـَق يد افْتََر َٰى إيْثاا َع يظي اما‬
ความว่า “แท้จริงอัลลอฮ์จะไม่ทรงอภัยโทษให้แก่การท่ีสิ่งหน่ึงจะ
ถูกให้มีภาคีข้ึนแก่พระองค์ และพระองค์ทรงอภัยให้แก่สิ่งอ่ืน
จากน้ันสาหรับผู้ท่ีพระองค์ทรงประสงค์ และผู้ใดให้มีภาคีขึ้น
แกอ่ ัลลอฮ์แล้วแน่นอนเขากไ็ ดอ้ ุปโลกน์บาปกรรมอนั ใหญห่ ลวง”

(อนั นิซาอฺ : 48)
al-Ṭabariy, (2000,a.8 : 450) ได้กล่าวว่า “อิบนุ อุมัร เล่าว่า เม่ือ อายะฮฺท่ี 53
ในสูเราะฮฺอัซฺ-ซุมัร ได้ถูกประทานลงมาซึ่งมีความหมายวา่ “โอ้ปวงบา่ วของข้าเอ๋ย! บรรดาผู้ละเมิดต่อ
ตัวของพวกเขาเอง พวกท่านอย่าได้หมดหวังต่อความเมตตาของอัลลอฮ์ ” เศาะฮาบะฮฺ  ได้ถาม
นบีมุฮัมมัด  รวมถึงการตั้งภาคีด้วยหรือ? นบีมุฮัมมัด  ก็กล่าวว่า “แท้จริงอัลลอฮ์  จะไม่อภัย

5 อลั อัลบานีย์ กล่าววา่ เป็นฮะดีษเศาะเหียฮฺ

29

โทษกับการต้ังภาคีต่อพระองค์แต่พระองค์จะอภัยโทษสิ่งอื่นที่นอกเหนือจากการต้ังภาคีสาหรับ ผู้ท่ี

พระองค์ทรงประสงค”์

ดังนั้นการตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์  เป็นเรื่องที่มุสลิมต้องให้ความตระหนักและระมัดระวัง
อย่างย่ิงเนื่องจากการกระทาดังกล่าวจะส่งผลต่อการได้เข้าสวนสวรรค์ ซ่ึงจะเป็นท่ีอาศัยอย่างถาวร

และเป็นการตอบแทนจากอัลลอฮ์  สาหรับบ่าวของพระองค์ เพียงแต่การกล่าวชาฮะดะฮฺท่ีเป็น

ประโยคสน้ั ๆโดยผ่านองคก์ รศาสนาหรือบคุ คลท่ไี ดถ้ กู ไวว้ างใจกส็ ามารถล้างบาปของบคุ คลเหลา่ น้นั ได้

การที่มุสลิมได้กลา่ วชะฮาดะฮวฺ ่า นบีมุฮัมมัด  นน้ั ทรงเป็นเราะสูลของอลั ลอฮ์  ก็

เสมือนการยอมรับนบีมุฮัมมัด  เป็นเราะสูลในการนาสารจากอัลลอฮ์  มาประกาศใช้ต่อชาวโลก

พร้อมถึงการปฏิบัติตามในหลักคาสอนของพระองค์และการปฏิบัติตามหลักคาสอนของ เราะสูล 

ที่จะเป็นบ่อเกิดของความรักต่ออัลลอฮ์  และเราะสูล  อีกเช่นกัน ดั่งที่อัลลอฮ์  ได้ตรัสไว้ในอัลกุ

รอานว่า

‫﴿ قُ ْل إين ُكنتُْم تُيحُبّوَن الَلّـهَ فَاَتّبيعُويني َُْيبيْب ُك ُم الَلّـهُ َويـَ ْغيفْر لَ ُك ْم ُذنُوبَ ُك ْم‬
﴾ ‫َوالَلّـهُ َغُفوٌر َّريحيٌم‬

ความว่า “จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่า หากพวกท่านรักอัลลอฮ์ ก็จง

ปฏิบัติตามฉัน อัลลอฮ์ก็จะทรงรักพวกท่าน และจะทรงอภัยให้แก่

พวกท่านซึ่งโทษทั้งหลายของพวกท่าน และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรง

อภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ”

(อาลิอมิ รอน : 31)

al-Baidāwiy, (1958 : 13) ไดไ้ หค้ วามหมายว่า “รัก คือการปฏบิ ัตติ ามเราะสลู 

ในเรือ่ งการทาอบิ าดะฮฺตอ่ อัลลอฮ์  โดยไม่มีความขอ้ งใจ”

ดังนั้นคากล่าวในซะฮาดะตัยน์เป็นคากล่าวที่สาคัญสามารถนาพาบุคคลไปสู่ความ

โปรดปรานและการตอบแทนจากอลั ลอฮ์  ด้วยสวนสวรรค์ และจะส่งผลต่อการปฏิบัติตามคาสอนที่
มีในอัลกุรอานและอลั ฮะดีษ

การละหมาดเป็นหลักปฏิบัติอย่างหน่ึงของมุสลิมที่สาคัญอีกเช่นกัน เนื่องจากคาว่า

ละหมาดน้ันได้ถูกบันทกึ ไว้ในอัลกุรอานทบี่ อกประโยชน์หรือความดีของการละหมาด และได้มกี ารเล่า


Click to View FlipBook Version