The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by slmaum, 2021-11-22 09:50:42

วิทยานิพนธ์

วิทยานิพนธ์

30

เร่ืองราวในอัลกุรอานถึงการสั่งเสียของลุกมาน อัลฮะกีมท่ีได้บอกกับบุตรของตนหน่ึงในนั้นคือ

การละหมาด เพื่อนามาปฏบิ ัตใิ นชีวิตดงั่ ทีอ่ ลั ลอฮ์  ไดต้ รสั ไวใ้ นอัลกุรอานวา่

‫َما‬ ‫َعلَى‬ ‫َوا ْصيبْر‬ ‫اْل ُمْن َكير‬ ‫َع ين‬ َ‫َوانْه‬ ‫ِيبلْ َم ْعُرو يف‬ ‫إيأََيقّنيم َذاليل ََّصكلَيامَةْنَوأَْعُمْزيْمر‬ ‫﴿ ََيبََُِّن‬
﴾ ‫اْلُُموير‬ ‫أَ َصابَ َك‬
ความว่า “โอ้ลูกเอ๋ย เจ้าจงดารงไว้ซ่ึงการละหมาดและจงใช้กันให้

กระทาความดแี ละจงห้ามปรามกันใหล้ ะเว้นการทาความช่วั และจง

อดทนต่อสิ่งท่ีประสบกับเจ้า แท้จริงนั่นคือส่วนหน่ึงจากกิจการท่ี

หนกั แน่น ม่นั คง”

(ลุกมาน : 17)

al-Qurṭubiy, (1964,a.14 : 68) ได้กล่าววา่ “ลุกมาน อลั ฮะกีมได้ส่งั เสียให้กับบตุ ร

ด้วยคาสั่งเสียที่สาคัญคือการละหมาด และการเชิญชวนในการทาความดี และห้ามปรามในการทา

ความช่ัว ซ่ึงการห้ามปรามน้ันคือผลจากการปฏิบัติตามคาส่ังของอัลลอฮ์  ท่ีได้ปรากฏในตัวบุคคล

และเป็นที่นา่ ยกยอ่ ง”

Ibn Kathīr, (1999,a.6 : 337) ได้กล่าวว่า “นี่คือคาส่ังเสียที่มีประโยชน์ท่ีอัลลอฮ์

 ได้เล่าเรื่องราวของลกุ มานต่อมนษุ ยแ์ ละสามารถนามาเปน็ แบบอยา่ งในการดาเนินชีวิต”

สรุปได้ว่าอัลลอฮ์  ได้บันทึกเร่ืองราวท่ีเกิดขึ้นกับลุกมาน อัลฮะกีมและบุตรซึ่งเป็น
เร่ืองราวท่ีบิดามารดาและผู้นาสามารถนามาปฏิบัติในการอบรมเล้ียงดูบุตรหรือผู้ที่อยู่ในความดูแล

ด้วยหลักศรัทธาและหลักปฏิบัติที่มีวัตถุประสงค์ในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างมนุษย์ด้วยกัน

พรอ้ มกับการสรา้ งความสมั พนั ธท์ ี่ดีกบั อลั ลอฮ์  อกี ดว้ ย

การถือศิลอดเป็นอีกหลักปฏิบัติหน่ึงที่ได้ถูกบัญญัติไว้ตั้งแต่นบีก่อนๆจนถึงนบี

มุฮมั มดั  โดยใหม้ สุ ลมิ งดในสิ่งทอ่ี ัลลอฮ์  ทรงหา้ ม เชน่ การกนิ การด่ืม การเสพส่ิงต่างๆ จนถงึ การ
มีความสัมพันธ์ทางเพศ และอื่นๆตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นจนถึงพระอาทิตย์ตกดินด้วยวัตถุประสงค์

หลกั คือเพ่อื ให้มสุ ลิมเกิดความยาเกรงต่ออลั ลอฮ์  ด่งั ที่ได้ตรสั ไวในอัลกรุ อาน
‫﴿ ََي أَُيـَّها اَلّ يذي َن آَمنُوا ُكتي َب َعلَْي ُك ُم ال يصيَاُم َك َما ُكتي َب َعلَى اَلّ يذي َن يمن‬
﴾ ‫قَـْبلي ُك ْم لََعَلّ ُك ْم تَـَتّـُقوَن‬

31

ความว่า “บรรดาผู้ศรัทธาท้ังหลาย! การถือศีลอดนั้นได้ถูกาหนด
แก่พวกเจ้าแล้ว เช่นเดียวกับที่ได้ถูกกาหนดแก่บรรดาผู้ก่อนหน้า
พวกเจา้ มาแลว้ เพื่อวา่ พวกเจา้ จะได้ยาเกรง”

(อัลบะเกาะเราะฮฺ : 183)
การยาเกรงตอ่ อลั ลอฮ์  เปน็ ผลส่วนหน่งึ จากการถือศิลอดโดยฉพาะการถือศลิ อดใน
เดือนเราะมะฏอนโดยมีกิจกรรมต่างๆท่ีเกิดขึ้นในเดือนน้ัน เช่น การอดอาหาร การใหอ้ าหารเพื่อละศิ
ลอด ละหมาดตะรอเวียห์ และอ่ืนๆโดยท่ีการกระทานั้นล้วนแต่จะได้รับผลตอบแทนจากอัลลอฮ์ 
ดว้ ยผลบญุ ทมี่ หาศาล ดั่งท่ีมีรายงานจากอบี ฮรุ อยเราะฮฺ 
‫(( َع ْن أَيِب ُهَريْـَرَة َر يض َي اللهُ َعْنهُ قَا َل ََيس ْع ُت َر ُسوَل الليه َصَلّى اللهُ َعلَْييه‬
‫ ُهَو‬،‫َو َسَلَّم يَـُقوُل قَا َل اللُه َعَّز َو َج َّل ُك ُّل َع َم يل ابْ ين آَدَم لَهُ إيلَاّ ال يصيَاَم‬

))...‫يل َوأَنَا أَ ْجيزي بييه‬
ความว่า จากอบี ฮุรอยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุ อันฮุ เล่าว่า
เราะสูลลุลอฮฺ  ได้กล่าวว่า “องค์อัลลอฮ์ ผู้ทรงเกรียงไกรและ
สงู ส่งได้มีตรัสว่า การงานทุกประการของมนุษย์นั้นจะได้รับผลบุญ
ตามส่วนที่เขาได้กระทา ยกเว้นการถือศีลอดผลตอบแทนต่อ
การถอื ศลี อดนั้นเป็นสิทธิของฉันและฉนั จะตอบแทน…”

(Muslim : 1942)
Ibn Rajab, (2001:26) ได้กล่าวถึงประเภทของความอดทนในการถือศิลอดว่า
“ความอดทนทเ่ี กดิ ข้ึนสามารถแบ่งออกเป็นสามประเภทและหน่ึงในน้ันคือความอดทนของร่างกายใน
การยบั ยงั้ ความหวิ และความกระหาย”
ดังน้ันการถือศิลอดเป็นอีกรูปแบบหนึ่งในการสร้างมุสลิมให้เป็นบุคคลที่ยาเกรง
ต่ออัลลอฮ์  ในทุกๆเวลาโดยผ่านคาสั่งห้ามท่ีอัลลอฮ์  ทรงวางไว้ ซึ่งการห้ามกินและด่ืมก่อนนั้น
สามารถปฏิบัตไิ ด้ แต่เมอ่ื มกี ารถอื ศิลอดการกระทานัน้ ก็ถูกหา้ มจากอลั ลอฮ์  อย่างส้นิ เชิง
ซะกาตกเ็ ป็นอีกหลักการหนึ่งในอิสลามทไ่ี ดถ้ ูกบัญญัติในรปู แบบของการทาอิบาดะฮฺ
ดว้ ยทรพั ย์สนิ โดยการจ่ายทรัพย์สินที่ถูกกาหนดในอิสลามให้แก่บคุ คลที่สามารถรับซะกาตได้เพ่ือสร้าง
ความเพมิ่ พูนต่อทรัพยส์ ินท่ยี งั เหลอื อยู่ ดั่งท่อี ัลลอฮ์  ตรัสไว้ในอลั กรุ อานว่า

32

‫يإ َّن‬ ‫َعلَْييه ْم‬ ‫َو َص يل‬ ‫يَّبا‬ ‫يمَسْنَك أٌَنْمََِّلواُْميِيل ْمَوالَلّـَصهَُدََقَيسةاي ٌعتُطََعيليهيُرٌمُه ْم﴾ َوتُـَزيكييهم‬ ‫﴿ ُخ ْذ‬
‫َصلَاتَ َك‬

ความว่า “(มุฮัมมัด) เจ้าจงเอาส่วนหน่ึงจากทรัพย์สมบัติของพวก
เขาเป็นทาน เพื่อทาให้พวกเขาบรสิ ุทธ์ิ และล้างมลทินของพวกเขา
ด้วยส่วนตัวที่เป็นทานนั้นและเจ้าจงขอพรให้แก่พวกเขาเถิด
เพราะแท้จริงการขอพรของพวกเจ้าน้ันทาให้เกิดความสุขใจแก่
พวกเขา และอลั ลอฮน์ ้นั เป็นผ้ทู รงได้ยนิ ผ้ทู รงรอบรู้”

(อัตเตาบะฮฺ:103)
al-Māwardiy, (n.d. : 398) ได้กล่าวว่า “อุกริมะฮฺกล่าวว่า คาว่า เจ้าจงเอาส่วน

หนึ่งจากทรัพย์สมบัติของพวกเขาเป็นทาน คือการจ่ายซะกาตที่อัลลอฮ์  ได้ฟัรฏูให้กับบ่าวของ

พระองค”์

ดังนั้นซะกาตสามารถเป็นตัวเชื่อมระหว่างผู้นากับสัปบุรุษในการสร้างความ

รับผิดชอบต่อบุคคลท่ีด้อยทางการเงินในชุมชนร่วมกัน โดยที่ผู้นามีหน้าท่ีประชาสัมพันธ์ สร้างความ

ตระหนกั รวบรวม และแจกจา่ ยซะกาต สว่ นสัปบุรุษมหี นา้ ที่ในการจา่ ยซะกาตให้กบั ผู้นาหรือผู้ที่ไดร้ ับ

การแต่งต้ังและเม่ือทุกคนได้ทาหน้าท่ีท่ีได้กาหนดก็จะส่งผลต่อการแก้ปัญหาความยากจนโดยผ่าน

กระบวนการซะกาตที่เกดิ ขน้ึ ในสงั คม

ฮจั ญ์เป็นอีกหลักการหน่ึงท่ีมุสลิมต้องไปปฏิบัตทิ ่ีนครมักกะฮฺ ประเทศซาอุดีอารเบีย

และเป็นรกู ูนสุดทา้ ยในอสิ ลามโดยมีเงือ่ นไขต่างๆท่ีได้กาหนดไว้ดงั่ ที่อลั ลอฮ์  ตรัสไวใ้ นอลั กุรอานวา่
‫﴿ َوَيَّّليل َعلَى الَنّا يس يح ُّج الْبَـْي يت َم ين ا ْستَطَا َع إيلَْييه َسبييلاا َوَم ْن َكَفَر فَيإ َّن‬
﴾ ‫اََّّللَ َغيٌِّن َع ين الَْعالَيميَن‬
ความว่า “และสิทธิของอัลลอฮ์ที่มีแก่มนุษย์นั้น คือการมุ่งสู่บ้าน

หลังน้ัน อันได้แก่ผู้ที่สามารถหาทางไปยังบ้านหลังนั้นได้และผู้ใด

ปฏเิ สธแท้จรงิ อลั ลอฮ์นนั้ ไมท่ รงพง่ึ ประชาชาติทง้ั หลาย”

(อาลิอิมรอน : 97)
al-Qurṭubiy, (1964,a.4 : 142) ได้กล่าวว่า คาว่า ‫ َوَيَّّليل‬พยัญชนะลามในประโยคน้ี
มีความหมายว่า ตอบรบั และปฏิบัติตาม พร้อมท้ังอัลลอฮ์  ได้ให้ความตระหนักอีกครง้ั ด้วยคาว่า ‫َعلَى‬

33

ซึ่งเป็นคาท่ีบ่งบอกถึงความเป็นวาญิบโดยเฉพาะ” และการไปประกอบพิธีฮัจญ์ถือเป็นวาญิบสาหรับ

บคุ คลข้างตน้ ดง่ั ทีม่ รี ายงานจากอบี ฮุรอยเราะฮฺ 
،‫ َخطَبَـنَا َر ُسوُل الليه َصَلّى اللُه َعلَْييه َو َسَلَّم‬:‫ َقا َل‬،‫(( َع ْن أَيِب ُهَريْـَرَة‬
:‫ فَـَقا َل َر ُج ٌل‬،‫ فَ ُح ُّجوا‬،‫ أَُيـَّها الَنّا ُس قَ ْد فَـَر َض اللُه َعلَْي ُك ُم اْْلَ َّج‬:‫فَـَقا َل‬
‫ فَـَقا َل َر ُسوُل اللهي‬،‫أَ ُك َّل َعاٍم ََي َر ُسوَل الليه؟ فَ َس َك َت َحَّت قَاَِلَا ثَلَاًاث‬
))...‫ نـََع ْم لََو َجبَ ْت‬:‫ " لَْو قـُْل ُت‬:‫َصَلّى اللهُ َعلَْييه َو َسَلَّم‬
ความว่าจากอบีฮุรอยเราะฮฺ กล่าวว่า ท่านเราะสูลลุลอฮฺ  ได้

คุฏบะฮฺทม่ี ีความวา่ “โอ้ มนษุ ยชาติทัง้ หลาย แท้จรงิ อลั ลอฮ์ได้ทรง

ฟัรฎูในการทาฮัจญ์สาหรับพวกท่าน ดังนั้นพวกท่านทั้งหลายจงไป

ประกอบพิธีฮัจญ์กันเถิด”และเศาะฮาบะฮฺได้ถามว่า “จาเป็นต้อง

ไปทาฮัจญ์ ทุกปีหรือไม่ โอ้ท่าน เราะสูล ” ท่าน จึงเงียบ

จนกระทั่งเศาะฮาบะฮฺคนดังกล่าวได้ถามซ้าถึงสามคร้ัง ท่าน

เราะสูล  จึงกล่าวว่า “หากฉันตอบว่า ใช่ มันก็จะเป็นวาญิบต่อ
พวกท่าน...”

(Muslim : 1337)

การที่มุสลิมได้ไปประกอบพิธีฮัจญ์ในช่วงอายุท่ีมีอยู่ และละเว้นสิ่งต่างๆที่อัลลอฮ์ 

ทรงห้ามในการประกอบพิธีดังกล่าว อัลลอฮ์  จะให้ผลการตอบแทนด้วยบุญท่ีมหาศาลเสมอื นบุตรที่

พ่ึงคลอดจากครรภ์มารดา ดง่ั ที่มีรายงานจากอบี ฮรุ อยเราะฮฺ 
‫قَا َل َر ُسوُل اََّليل َصَلّى اللُه َعلَْييه‬ ُ‫َم((ْنَع َْنح َأَّجيِبَه َذُاهَرايْـلَبَرـَةْي َرَتيض َفَـيلَاْمََّليُلـَْرفَُعْنْهث‬
‫َو َسَلَّم‬ ُ‫َوََلْ يـَْف ُس ْق َرَج َع َك َما َولََدتْهُ أُُّمه‬
))

ความว่าจากอบีฮุรอยเราะฮฺ กล่าวว่า ท่านเราะสูลลุลอฮฺ  ได้

กลา่ ววา่ “ผู้ใดทไี่ ด้ทาฮจั ญ์ทมี่ ักะฮแฺ ละเขาไม่มกี ารใช้คาพูดที่หยาบ

คายและไม่ได้ทาในส่ิงฝ่าฝืน เขาจะมีสภาพกลับมาเหมือนกับวัน

แรกทเี่ ขาไดเ้ กดิ มาจากทอ้ งมารดาของเขา”

(al-Bukhāriy : 1819)
Muhammadal-Khudir, (1995 : 110) ได้อธิบายถึงความหมายของคาว่า “เหมือนกับวัน

แรกทเ่ี ขาไดเ้ กิดมาจากครรถม์ ารดาของเขา คอื ในสภาพที่ไม่มีบาป”

34

ด้วยผลบุญที่มหาศาล มุสลิมจึงพยายามอย่างสุดความสามารถเพ่ือไปประกอบพิธี
ฮัจญ์ถึงแม้จะต้องออกค่าใช้จ่ายที่มากมาย และความพยายามดังกล่าวไม่ใช่เป็นความพยายามทาง
ฝ่ายเดียวแต่ได้รับความรว่ มมือจากผูน้ าศาสนาด้วยการสรา้ งความตระหนกั ถึงผลบุญ การเล่าเร่อื งราว
ของบุคคลที่มีความพยายามอย่างมากจากบุคคลก่อนๆในการไปประกอบพิธีฮัจญ์ และบางครั้งผู้นา
ศาสนาก็เป็นปัจจยั หนงึ่ ที่เอ้อื ในการประกอบพธิ ีฮจั ญ์อกี ดว้ ย

ข.บทบาททเ่ี กีย่ วกับหลกั ศรัทธา
การศรัทธาต่อหลักศรัทธาที่อัลลอฮ์  กาหนดไว้ในอัลกุรอานและอัลฮะดีษถือเป็น
ฐานสาคัญของการเป็นมุสลมิ โดยการศรทั ธาน้ันต้องปราศจากความสงสัยพร้อมกับการปฏิเสธต่อทุกๆ
สิ่งที่ทาไห้การศรัทธาน้ันเป็นโมฆะอันเกิดข้ึนจากการต้ังเจตนา คาพูด และการกระทา ด่ังที่อัลลอฮ์ 
ไดต้ รสั ไว้ในอัลกรุ อานว่า
‫﴿ آَم َن الَّر ُسوُل يبَما أُْنيزَل يإَلْييه يم ْن َريبيه َواْل ُمْؤيمنُوَن ُك ٌلّ آَم َن يِبََّّليل‬
‫َوَملَائي َكتييه َوُكتُبييه َوُر ُسلييه َلا نُـَفيرُق بَْيَن أَ َح ٍد يم ْن ُر ُسلييه َوَقالُوا ََيس ْعنَا‬

﴾‫َوأَطَْعنَا غُْفَرانَ َك َرَبـّنَا َوإيلَْي َك الْ َم يصير‬
ความว่า“เราะสูลนั้น(นบีมุฮัมมัด )ได้ศรัทธาต่อส่ิงที่ได้ถูก
ประทาน ลงมาแ ก่เขาจ ากพระเจ้ าของเขาแล ะมุ อฺมิน ท้ังห ลาย ก็
ศรัทธาด้วยทุกคนศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และมลาอิกะฮฺของพระองค์
และบรรดาคัมภีร์ของพระองค์ และบรรดาเราะสูลของพระองค์
(พวกเขากลา่ วว่า)เราจะไม่แยกระหวา่ งท่านหน่ึงท่านใดจากบรรดา
เราะสูลของพระองค์ และพวกเขาได้กล่าวว่า เราได้ยินแล้วและได้
ป ฏิ บั ติ ต า ม แ ล้ ว ก า ร อ ภั ย โ ท ษ จ า ก พ ร ะ อ ง ค์ เ ท่ า น้ั น ท่ี พ ว ก เ ร า
ปรารถนาโอ้พระเจ้าของพวกเรา และยังพระองค์นั้นคือ

การกลบั ไป”

(อัลบะเกาะเราะฮฺ : 285)
Ibn Kathīr, (1999,a.1 : 171) ไดก้ ลา่ ววา่ “อายะฮฺขา้ งตน้ และอายะฮฺตอ่ ไปนี้
‫((َواَلّ يذي َن آَمنُوا ِيبلَلّـيه َوُر ُسلييه َوَلْ يـَُفيرقُوا بَْيَن أَ َح ٍد يمْنـ ُه ْم أُولَٰـَئي َك َسْو َف‬

))‫يـُْؤتيييه ْم أُ ُجوَرُه ْم َوَكا َن الَلّـهُ َغُفوارا َّريحي اما‬

35

ความวา่ “และบรรดาผทู้ ่ีศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และบรรดาเราะสูลของ
พระองค์ และมิได้แยกระหว่างคนหน่ึงคนใดในพวกเขานั้น
ชนเหล่านี้แหละพระองค์จะทรงประทานแก่พวกเขาซ่ึงรางวัลของ

พวกเขา และอลั ลอฮน์ น้ั เป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผ้ทู รงเมตตาเสมอ”

(อนั นิชาอฺ : 152)
เป็นอายะฮฺที่บ่งบอกให้ทุกคนต้องศรัทธาต่ออัลลอฮ์  บรรดาเราะสูล  และคัมภีร์
จากอลั ลอฮ์ ”
al-Sa‘adiy, (2000 : 961) ได้กล่าวว่า “และนี้คือการมีส่วนร่วมของประชาชาติ
ที่อัลลอฮ์  ได้เจาะจงด้วยบทบัญญัติ และการปฏิบัติตามท่ีเต็มรูปแบบซึ่งไม่ใช่เป็นภาระของมุสลิม
เท่านั้นแต่เป็นภาระของบรรดาเราะสูล  ในการดารงไว้ซ่ึงเพื่อการศรัทธา และการสนองตอบต่อ
หนา้ ที่ทต่ี อ้ งปฏบิ ัติ” และอลั ลอฮ์  ได้ใหค้ วามตระหนกั ในเร่ืองดงั กลา่ วดว้ ยคาตรัสทมี่ ใี นอัลกุรอานวา่
‫﴿ َفا ْعلَ ْم أََنّهُ َلا إيلَهَ يإَّلا ا َّلُل َوا ْستَـ ْغيفْر لي َذنْبي َك َوليْل ُمْؤيمنييَن َواْل ُمْؤيمنَا يت‬

﴾‫َواََّّللُ يـَْعلَُم ُمتَـَقَلّبَ ُك ْم َوَمثْـَوا ُك ْم‬
ความว่า “ฉะนั้นพึงรู้เถิดว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์
และจงขออภัยโทษตอ่ ความผิดเพ่ือตวั เจ้า และเพ่ือบรรดาผู้ศรัทธา
หญิง และอัลลอฮ์ทรงรู้ดีย่ิงถึงพฤติการณ์ของพวกเจ้า และทีพ่ านัก
ของพวกเจ้า”

(มฮุ ัมมดั : 19)
al-Ṭabariy, (2000,a.22 : 173) ได้กล่าวว่า “อัลลอฮ์  ได้ตรัสให้กับนบีมุฮัมมัด
 ด้วยคาว่า โอ้มุฮัมมัด  แท้จริงไม่มีพระเจ้าที่เหมาะสม และต้องภักดีพรอ้ มด้วยสงิ่ ที่ถูกสรา้ ง ทั้ง
มวลในการทาอิบาดะฮฺยกเว้นอัลลอฮ์  เท่าน้นั ผทู้ รงสร้างทุกสิง่ และผู้ทรงเปน็ พระเจ้าของทุกๆสรรพ
สิ่งบนโลกนี้”
Ibn Rajab, (2001 : 274) ได้กล่าวว่า “อิบนุ อุญัยนะฮฺกล่าวว่า ไม่มีความประเสริฐ
ที่ยิ่งใหญ่ท่ีอัลลอฮ์  ได้มอบให้กับบ่าวของพระองค์ ยกเว้นการศรัทธาว่าไม่มีพระเจ้าอ่ืนไดนอกจาก
อลั ลอฮ์  แท้จริงคากลา่ วนัน้ เสมือนน้าเย็นต่อบ่าวทีอ่ ยู่บนโลกและในสวนสวรรค์”

36

ดังนั้นการที่มนุษย์ได้รู้จักผู้ทรงสร้างอย่างแท้จริงโดยปริยายเขาก็จะเป็นผู้ที่ยอม

สิโรราบต่ออัลลอฮ์  ผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแห่งสากลโลกอย่างส้ินเชิง และสิ่งที่ตามมาคือ

ความสขุ ในชวี ติ บนโลกน้ี และโลกหนา้

หลักศรัทธาในอิสลามประกอบด้วยการศรัทธาต่ออัลลอฮ์  ศรัทธาต่อบรรดา

มลาอิกะฮขฺ องพระองค์ ศรัทธาต่อคัมภีร์ของพระองค์ ศรัทธาตอ่ วันกิยามะฮฺ ศรัทธาต่อบรรดาเราะสูล

ของพระองค์ และศรทั ธาตอ่ การพืน้ คืนชพี ดง่ั ท่ีมรี ายงานจากอบี ฮรุ อยเราะฮฺ 

‫ َكا َن الَنّي ُّب َصَلّى اللُه َعلَْييه َو َسَلَّم َِب يرازا يَـْواما‬:‫ َقا َل‬،‫(( َع ْن أَيِب ُهَريْـَرَة‬
‫ِيبََّّليل‬ ‫تـُْؤيم َن‬ ‫أَ ْن‬ ‫ اليإيمَا ُن‬:‫قَا َل‬ ‫وُرَمُسالييهاليَإوتيـُمَْاؤيمُنَن؟‬:َ‫َل‬،‫ْبيريَوبيُلليَقفَـائَيقيها‬،‫أَََتَوُهُكتُبيييهج‬،َ‫تييهف‬،‫ليَولََنمّالاَيئيسَك‬
)) ...‫ِيبلْبَـ ْع يث‬

ความว่า จากอบีฮุรอยเราะฮฺ กล่าวว่า “วันหน่ึงนบีมุฮัมมัด ได้

สอนบรรดาเศาะฮาบะฮฺ  โดยมีชายคนหนึ่งได้ปรากฏในหมู่ผู้คน
และถามว่า อะไรคืออีมาน นบีตอบว่า อีมานคือการศรัทธา

ต่ออัลอฮ มลาอิกะฮฺ คัมภีร์ การกลับไปหาอัลลอฮ์ ศรัทธาต่อ

บรรดาเราะสูลและศรัทธาตอ่ การฟนื้ คนื ชพี ...”

(al-Bukhāriy : 50)
Badruddīn al-‘Ainiy, (n.d. : 290) ได้กล่าวว่า “ความเช่ือมั่นที่ตามด้วยการ
ปฏิบัติจะครอบคลุมในความหมายของคาว่า อีมาน และอิสลาม” และสิ่งเหล่านั้นจะต้องถูกทดสอบ

ด้วยบททดสอบท่ีอลั ลอฮ์  ได้ทดสอบชนรุ่นก่อนด้วยรูปแบบต่างๆ และบางคร้ังการศรัทธาต้องมีการ

แลกด้วยทรัพย์สิน และชีวิตรวมถึงการขับไล่ออกจากหมู่บ้าน การทรมานจนถึงการฆ่าซ่ึงเป็น

มาตรการสุดทา้ ยในการขัดขวางเพอื่ ไม่ให้เกิดการศรทั ธาต่ออลั ลอฮ์  อกี ตอ่ ไป

การศรัทธาต่ออัลลอฮ์  เป็นการศรัทธาอย่างเช่ือม่ันว่าอัลลอฮ์  คือพระเจ้าแห่ง

สากลโลกที่มีความสมบูรณ์ และไม่มีข้อบกพร่องใดๆ และศรัทธามั่นต่อนาม และคุณสมบัติ

ของอลั ลอฮ์  ทถี่ ูกอธิบายเองจากพระองคใ์ นอัลกรุ อาน ดัง่ ทอ่ี ลั ลอฮ์  ไดต้ รัสไว้ในอัลกรุ อานว่า
ُ‫( َوََلْ يَ ُك ْن لَه‬3) ‫( ََلْ يَلي ْد َوََلْ يُولَْد‬2) ‫( اََّّللُ ال َّص َم ُد‬1) ‫﴿قُ ْل ُهَو اََّّللُ أَ َح ٌد‬
﴾ ‫ُكُفاوا أَ َح ٌد‬

37

ความว่า “จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด พระองค์คืออัลลอฮ์ผู้ทรงเอกะ
อัลลอฮ์น้ันทรงเป็นที่พึ่ง พระองค์ไม่ประสูติและไม่ทรงถูกประสูติ
และไมม่ ผี ้ใู ดเสมอเหมือนพระองค์”

(อลั อคิ ลาศ :1- 4)
al-Ṭabariy, (2000,a.24 : 687) ได้กล่าวว่า “มีเร่ืองเล่าว่า พวกมุชรีกีนได้ถามนบี
มุฮัมมัด  ถึงทายาทของอัลลอฮ์  ดังนั้นอัลลอฮ์  จึงประทานสูเราะฮฺน้ีเพื่อเป็นคาตอบ” และนบี
มฮุ ัมมัด  ใดก้ ลา่ วในอลั ฮะดีษท่มี รี ายงานจากอบี ฮรุ อยเราะฮฺ 
‫ قَا َل َر ُسوُل الليه َصَلّى اللُه َعلَْييه َو َسَلَّم اْليإيمَا ُن‬:‫ قَا َل‬،‫(( َع ْن أَيِب ُهَريْـَرَة‬
،‫ فَأَْف َضلَُها قَـْوُل َلا إيلَهَ إيَّلا اللُه‬،‫بي ْض ٌع َو َسْبـعُوَن أَْو بي ْض ٌع َويسُتّوَن ُش ْعبَةا‬

))‫ َواْْلَيَاءُ ُش ْعبَةٌ يم َن اْليإيمَا ين‬،‫َوأَْدنَا َها إيَماطَةُ اْلَذَى َع ين ال َطّيرييق‬
ความว่า จากอบีฮุรอยเราะฮฺ  กล่าวว่า เราะสูลลุลอฮฺ  กล่าวว่า
“การศรัทธานั้นมีมากกว่า 70 – 60 แขนง และที่ดีท่ีสุดคือ การ
กล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์  และการกาจัดสิ่งขีด
ขวางก็เป็นความศรัทธาท่ีมีค่าน้อยที่สุด ส่วนความอายก็เป็นส่วน
หนึง่ ของการศรัทธา”

(Muslim : 35)
Ibrāhīm al-Buraikān, (1998 : 142) ได้แบ่งเตาฮีดเป็นสามประเภทพร้อมให้
ความหมายคือ เตาฮีด อูลูฮียยะฮ์ คือ “การศรัทธาต่ออัลลอฮ์  ว่าไม่มีผู้ใดสมควรในการทา อิ
บาดะฮฺหรือการเคารพภักดี ยกเว้นอัลลอฮ์เท่านั้น เตาฮีดรุบูบียยะฮ์ คือการศรัทธาต่ออัลลอฮ์  ใน
ฐานะผสู้ ร้าง ผูค้ รอบครอง ผู้บญั ชาการโลก ผู้ทรงไห้ชวี ิตหรือเอาชีวติ บคุ คลหนึง่ ๆพร้อมกันนั้นอลั ลอฮ์
 ทรงเปน็ ผู้ดูแลโลกตามวิถขี องพระองค์ ส่วนเตาฮีดอัลอัสมะอ วา อัศศิฟาต คือ การศรัทธาม่ันต่อนามและ
คณุ ลักษณะของอัลลอฮ์  ทไี่ ด้ปรากฏในอลั กุรอานและอลั ฮะดีษ”
Abdul Majīd al-Zindāniy, (2013 : 7) ได้กล่าววา่ “ตราบใดที่มนุษยไ์ มรู้จักอัลลอฮ์
ในฐานะผ้สู ร้างและผู้ทรงบริหารจัดการทุกอยา่ งในชีวติ ของเขากจ็ ะส่งผลในชวี ิตของเขาในด้านทไี่ ม่ดี”

38

ดงั นั้นการศรัทธาต่ออัลลอฮ์  ก็เป็นการศรัทธาต่อความเป็นพระเจา้ ศรทั ธาต่อนาม

และคุณสมบัติของอัลลอฮ์  เช่น อัลลอฮ์  มีจริง อัลลอฮ์  ผู้ทรงเอกกะ ผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงมี

ความปรีชาสามารถ ผู้ทรงเหน็ ผูท้ รงได้ยินและอน่ื ๆ ท่ีบง่ บอกถงึ ความยิง่ ใหญข่ องอัลลอฮ์ 

การศรัทธาต่อมลาอิกะฮถือเป็นการศรัทธาถึงการเป็นบ่าวของอัลลอฮ์  ท่ีถูกสร้าง

ด้วยรัศมี โดยท่ีมลาอิกะฮฺนั้นต้องปฏิบัติตามคาส่ังของอัลลอฮ์  ในการดูแลบ่าวของพระองค์รวมท้ัง

อัลลอฮ์ ได้กาหนดหน้าท่ีของมลาอิกะฮฺด้วยหน้าท่ีท่ีหลากหลาย และการศรัทธาถึงความมีตัวตน

ของมลาอิกะฮฺท่ไี ม่สามารถมองเห็นได้เฉกเช่นการศรัทธาต่ออัลลอฮ์  พร้อมกนั น้ันบุคคลใดท่ี ไม่

ศรัทธาต่อมลาอกิ ะฮถฺ ือวา่ บุคคลน้นั เป็นกาฟิร ด่งั ทอี่ ัลลอฮ์  ได้ตรัสไวใ้ นอัลกรุ อานว่า

‫َعلَى‬ ‫اَلّ يذي نزَل‬ ‫َواْل يكتَا يب‬ ‫أَََُيوـّواالَْْلهيَـاْيكويتاَمَلاّ ايذلييآبَنياخَلّيرآيذَمفَـنَُيقواْدأَنآيزمَنَُضلوَاّليمِيْبنَضَّللقيَـلاْبلَاُلوَربََوُسعيَميولياْدنايه‬ ‫﴿ ََي‬
‫َوُكتُبييه‬ ‫َوَملائي َكتييه‬ ‫يَ ْكُفْر ِيبََّليل‬ ‫َر ُسولييه‬
‫َوُر ُسلييه‬


ความว่า “ผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงศรัทธาต่ออัลลอฮ์และเราะสูลของ

พระองค์เถิดและคัมภีร์ที่พระองค์ได้ทรงประทานลงมาแก่เราะสูล

ของพระองคแ์ ละคัมภรี ์ทพี่ ระองค์ไดท้ รงประทานลงมาก่อนน้ันและ

ผู้ใดปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์และมลาอิกะฮฺของพระองค์และ

บรรดาคัมภีร์ของพระองค์และบรรดาเราะสูลของพระองค์และ

วันปรโลกแลว้ ไซร้แนน่ อนเขากไ็ ดห้ ลงทางไปแล้วอยา่ งไกล”

(อนั นสิ าอฺ : 136)

al-Maturīdiy, (2005 : 387) ได้กล่าวว่า “ผู้ใดที่ปฏิเสธศรัทธาต่อเอกอัลลอฮ์ 
มลาอิกะฮฺ กิตาบ เราะสูลของพระองค์และที่ได้กล่าวมาเพียงอย่างเดียวก็ถือว่าเขาผู้นั้นได้ปฏิเสธ

ศรัทธาต่อทุกๆอย่าง จนกระทั่งถ้าเขาปฏิเสธศรัทธาต่ออายะฮฺหนึ่งของอัลลอฮ์  ก็เสมือนเขาได้

ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์  และต่อหลักศรัทธาอื่นๆด้วยเช่นกัน” และมลาอิกะฮฺน้ันมีหน้าที่ ที่

แตกต่างกัน

Yuhanas Ilyās, (2000 : 81) ได้กล่าวถึงหน้าท่ีของมลาอิกะฮฺว่า “ญีบรีลมีหน้าท่ี

นาวะฮฺยูจากอัลลอฮ์  มาสู่บรรดาเราะสูลของพระองค์ มีกาอีลมีหน้าที่นาปัจจัยต่างๆให้กับมวล

39

มนุษย์ อิสรอฟีลมีหน้าที่เป่าสังข์ในวันส้ินโลก อิซรออีลมีหน้าที่ปลิดชีพสัตว์โลก รอกีบและอาตีดมี

หน้าท่ีบันทึกการทาความดีและความชั่วของมนุษย์ มุนกัรและนะกีรมีหน้าท่ีสอบสวนผู้ตายในหลุม
ฝังศพ ริฏวานมีหน้าที่ดูแลกิจการในสวนสวรรค์ มาลิกมีหน้าท่ีดูแลกิจการในนรกรวมทั้งมลาอิกะฮ

อ่ืนๆ ทีท่ าหน้าที่ในการทนู บัลลังกร์ วมทง้ั หนา้ ทต่ี ่างๆท่ีอลั ลอฮ์  ไดม้ อบไว้”

ดังน้ันการศรัทธาต่อมลาอิกะฮฺถือเป็นการศรัทธาถึงความปรีชาสามารถของอัลลอฮ์

 ในการสร้างบ่าวของพระองค์ที่มาจากรัศมี ซ่ึงต่างกับการสร้างมนุษย์ที่มาจากดิน และอัลลอฮ์

ได้มอบหมายหน้าที่ต่างๆตั้งแต่ก่อนสร้างโลกใบน้ีจนถึงวันกิยามะฮฺ และอัลลอฮ์ จะทรงลงโทษต่อ

บุคคลท่ปี ฏเิ สธศรทั ธามลาอกิ ะฮดฺ ้วยบทลงโลษที่พระองค์ได้กาหนดไว้

การศรทั ธาต่อคาภีรข์ องอลั ลอฮ์  เป็นการศรัทธาว่าอัลลอฮ์  ได้ทรงประทานคาภีร์
แก่บรรดาเราะสูลก่อนๆ เช่น คัมภีร์เตารอฮฺให้แก่นบีมูซอ คัมภีร์ซะบูรให้แก่นบีดาวูด คัมภีร์

อินญีลให้แก่นบีอีซาและคัมภีร์อัลกุรอานให้แก่นบีมุฮัมมัด  และคัมภีร์อื่นให้แก่บรรดานบีอื่นๆ ดั่ง

ท่อี ลั ลอฮ์  ไดต้ รัสไวใ้ นอัลกรุ อานว่า

‫ِيبلُّر ُس يل َوآتَـْيـنَا يعي َسى‬ ‫ُمو َسى اْل يكتَا َب َوقَـَّفْيـنَا يم ْن بـَْع يديه‬ ‫آتَـْيـنَا‬ ‫﴿ َولََق ْد‬
‫َجا َءُك ْم َر ُسوٌل يبمَا َلا‬ ‫يت َوأََيّْدنَاُه بيُرويح اْلُق ُد يس أَفَ ُكَلَّما‬ ‫اْلبَـينَا‬ ‫ابْ َن َمْرَََي‬
﴾ ‫َتَْوى أَنْـُف ُس ُك ُم ا ْستَ ْكبَْرُْت فَـَفيرياقا َك َّذبْـتُْم َوفَيرياقا تَـْقتُـلُوَن‬
ความวา่ “และแท้จรงิ นั้น เราได้ให้คัมภรี ม์ ูซาและหลังจากเขาเราได้

ให้บรรดาเราะสูลติดตามมาและเราได้ให้หลักฐานต่าง ๆอันชัดเจน

แก่อีซาบุตรของมัรยัมและเราได้สนับสนุนเขาด้วยวิญญาณอัน

บริสุทธ์ิ แล้วคราใดที่ได้มีเราะสูลนาส่ิงท่ีไม่สบอารมณ์ของพวกเจ้า
มายังพวกเจ้า พวกเจ้าก็ยโสแล้วกลุ่มหนึ่งพวกเจ้าก็ปฏิเสธและอีก

กลุ่มหนึ่งพวกเจ้ากฆ็ า่ เสียกระนั้นหรือ”

(อัลบะเกาะเราะฮฺ : 87)

อัลลอฮ์  ได้ประทานคาภีร์อัลกุรอานให้แก่นบีมุฮัมมัด  เพื่อเป็นแนวทางในการ

ดาเนินชีวิตและยังทรงให้นบีมุฮัมมัด  ได้ตักเตือนบ่าวของพระองค์ ด่ังท่ีอัลลอฮ์  ได้ตรัสไว้ในอัลกุ

รอานว่า

﴾‫﴿تَـبَاَرَك اَلّ يذي نزَل الُْفْرقَا َن َعلَى َعْب يديه لييَ ُكوَن ليْلَعالَيميَن نَ يذيارا‬

40

ความว่า “ความจาเรญิ ยิ่งแด่พระองค์ ผู้ทรงประทานอลั ฟุรกอนแก่
บา่ วของพระองค์(มุฮมั มัด)เพื่อเขาจะไดเ้ ปน็ ผ้ตู ักเตือนแก่ปวงบา่ ว
ทงั้ มวล”

(อัลฟรุ กอน : 1)
al-Qurṭubiy, (1964,a.13 : 2) ไดก้ ล่าววา่ “คาวา่ บา่ วในอายะฮฺนี้ คอื มุฮมั มัด ”
Ibn Kathīr, (1999,a.6 : 92) ได้กล่าววา่ “ท่ีได้ชื่อว่า อลั ฟุรกอนเน่ืองจากอัลกุรอาน
สามารถแยกแยะระหว่างความจริงกบั ความเท็จ ทางนากบั ทางผิด ความมีเหตุผลกับความไร้สาระและ
ฮะลาลกับฮะรอม”
ดังน้ันอัลกุรอานถือเป็นคัมภีร์ท่ีอัลลอฮ์  ได้ประทานให้กับนบีมุฮัมมัด  ผ่าน
มลาอิกะฮญิบรีลและเป็นคัมภีร์ท่ีมีคุณค่าสาหรับมุสลิมในการนาหลักคาสอนมาปฏิบัติโดยที่มีนบี
มุฮมั มัด  มาอธบิ ายในรปู แบบทีเ่ ป็นรูปธรรม
Yuhanas Ilyās, (2000 : 111) ได้กลา่ ววา่ “รูปแบบของการประทานวะฮฺยสู ามารถ
แบง่ ออกเป็น 3 ประเภท คือ 1. อัรรุอญฺ า อัศศอดีกอฮฺ(การฝันท่ีเป็นจริง) 2. มนิ วาเราะอิ ฮีญาบ
(หลงั ม่าน) 3. นาซาลาบิฮี รฮู ฮุล อามีน (ผา่ นมลาอิกะฮฺญิบรลี )”
อัลกุรอานเป็นคาภีร์เล่มสุดท้ายที่อัลลอฮ์  ได้ประทานให้กับนบีมุฮัมมัด 
ซ่ึงอัลกุรอานได้รับการปกป้องจากอัลลอฮ์  โดยไม่มีผู้ใดท่ีสามารถปลอมแปลงอัลกุรอานได้จนถึง
วันกิยามะฮฺ ดงั่ ทอี่ ัลลอฮ์  ได้ตรัสไวใ้ นอัลกุรอานวา่

﴾‫﴿ إينَّا نَْح ُن نزلْنَا ال يذْكَر َوإينَّا لَهُ َْلَافيظُوَن‬
ความว่า “แท้จริงเราได้ให้ข้อตักเตือน(อัลกุรอาน)ลงมาและแท้จริง
เราเป็นผุ้รกั ษามนั อยา่ งแน่นอน”

(อลั ฮิญิร : 9)
al-Ṭabariy, (2000,a.17 : 68) ได้กล่าวว่า“แท้จริงเราคืออัลลอฮ์ผู้ท่ีได้ทรงประทาน
อลั กุรอานท่ีได้รับการปกป้องในสิ่งท่ีเป็นการเพิ่มเตมิ และในสิ่งที่เป็นการตัดออกในเรื่องท่ีเก่ียวกับหุกุ่ม
ขอ้ บังคบั และสิง่ ที่เป็นวาญบิ ”
อัลกุรอานเป็นคาภีร์เล่มสุดท้ายของอัลลอฮ์  ท่ีถูกประทานต่อนบีมุฮัมมัด 
เพื่อให้มนุษย์ได้อ่าน ศึกษาเรียนรู้และปฏิบัติตามคาสั่งสอน ด้วยเหตุนั้นอัลลอฮ์  จึงตอบแทนผู้ที่นา

41

หลักคาสอนในอัลกุรอานมาปฏิบัติด้วยการนาบุคคลดังกล่าวไปสู่สวนสวรรค์และตรงกันข้ามกับผู้ท่ีไม่
สนใจอลั กุรอานโดยที่อลั กรุ อานน้ันจะนาไปสู่นรกอีกเชน่ กัน ด่ังท่ีนบีมุฮัมมัด  ได้กล่าวในอัลฮะดษี ท่ีมี
รายงานจากญาบีร 

‫ "القرآ ن مشفع‬:‫(( َع ْن َجابيٍر َع ين الَنّييب َصَلّى ا َّلُل َعلَْييه َو َسَلَّم َقا َل‬
‫وما حل ُم َص َّد ٌق َم ْن َجَعلَهُ يإَماَمهُ َقاَدُه يإَلى الَْجَنّية ومن جعله خلف‬

))‫ظَْهيريه َساقَهُ إيلَى الَنّا ير‬

ความว่า จากญาบีร จากนบีมุฮัมมัด  ได้กล่าวว่า อัลกุรอานคือ
ผู้ใหค้ วามชว่ ยเหลือและผู้ให้ที่พึงพรอ้ มดว้ ยเป็นผู้คมุ้ ครองท่ีซื่อสัตย์
ผู้ใดท่ีเอาอัลกุรอานเป็นทางนาเขาจะนาบุคคลนั้นไปสู่สวนสวรรค์
และผู้ใดท่ีทอดทง้ิ มนั เขากจ็ ะต้อนบคุ คลนน้ั ไปสูน่ รก”

(Ibn Hibbān : 124)6
Abdul Raḥmān al-Rājihiy, (n.d. : 13) ไดก้ ล่าวว่า “ผู้ใดทไ่ี ด้ปฏบิ ัตติ ามคาสอน
ในอัลกุรอานที่เป็นคาสั่งใช้ และละทิ้งคาสั่งห้ามน้ัน อัลกุรอานจะนาพาไปสู่สวนสวรรค์ และผู้ใดที่ไม่
ปฏิบตั ติ ามหลักคาสอน อลั กรุ อานก็จะนาบคุ คลนัน้ ไปสนู่ รก”
ดงั นนั้ การศรทั ธาตอ่ คมั ภีร์ทถ่ี ูกประทานลงมาจากอัลลอฮ์  โดยเฉพาะอัลกุรอานนั้น
เป็นส่ิงที่มุสลิมต้องศรัทธาพร้อมกับการศึกษาเรียนรู้อัลกุรอานเพื่อให้อัลกุรอานนาไปสู่ความโปรด
ปรานของอัลลอฮ์  บนโลกน้ี และโลกอะคิเราะฮฺ
การศรัทธาตอ่ เราะสูลเป็นการศรัทธาถึงความเป็นบ่าวท่ีไดร้ ับการแต่งตัง้ จากอลั ลอฮ์
 พร้อมกับประทานคัมภีร์ให้กับบรรดาเราะสูลเพ่ือเชิญชวนมนุษย์ชาติให้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์  และ ใน
ทุกๆมนุษย์ชาตจิ ะมเี ราะสูลที่อลั ลอฮ์ ได้ทรงแต่งต้งั ด่ังทอี่ ลั ลอฮ์ ตรัสไวใ้ นอัลกุรอานว่า
‫﴿ َولي ُك يل أَُّمٍة َّر ُسوٌل فَيإ َذا َجا َء َر ُسوُِلُْم قُ يض َي بـَْيـنَـ ُهم ِيبْليق ْسط َوُه ْم َلا‬

﴾‫يُظْلَ ُموَن‬

6 อัล อลั บานยี ์ กลา่ ววา่ เป็นฮะดษี เศาะเหียฮฺ

42

ความว่า “และทุกประชาชาติมีเราะสูลถูกส่งมา ดังน้ันเมื่อเราะสูล

ของพวกเขาได้มาแล้ว กิจการระหว่างพวกเขาก็ถูกตัดสินโดยเท่ียง

ธรรมและพวกเขาจะไมถ่ ูกอธรรม”

(ยูนสุ : 47)

al-Ṭabariy, (2000,a.15 : 99) ได้กล่าวว่า “อบูญะอฟัรกล่าวว่า ทุกๆประชาชาติ

จะมีเราะสูลท่ีอัลลอฮ์  ได้ทรงแต่งตั้งเพื่อเชิญชวนให้มีการศรัทธา และปฏิบัติตามคาสอนของ

พระองค์” และอัลลอฮ์  ทรงส่ังให้มุสลิมปฏิบัติตามคาสอนของเราะสูลอย่างจริงจังโดยเปรียบเทียบ

การปฏิบัติตามเราะสูลเสมือนการปฏิบัติตามคาส่ังของพระองค์อีกด้วย ดั่งที่อัลลอฮ์  ได้ตรัสไว้ในอัล

กรุ อานว่า

‫﴿َم ْن يُ يطيع الَّر ُسوَل فَـَق ْد أَطا َع ا َّلَل َوَم ْن تَـَوَّلى َفما أَْر َسْلنا َك َعلَْييه ْم‬
﴾ ‫َحيفيظا‬

ความว่า “ผู้ใดเชื่อฟังเราะสูลแน่นอนเขาก็เช่ือฟังอัลลอฮ์และผู้ใด

ผนิ หลงั ใหเ้ ราก็หาไดส้ ่งเจ้าไปในฐานะเปน็ ผู้ควบคุม”

(อนั นสิ าอฺ : 80)

al-Qurṭubiy, (1964,a.5 : 288) ได้กล่าวว่า “อัลลอฮ์  ทรงรอบรู้ถึงความเชื่อฟัง

ของทุกคน แท้จริงบุคคลใดท่ีเช่ือฟังเราะสูลเสมือนการเชื่อฟังอัลลอฮ์ ” ด่ังท่ีมีรายงานจาก อบีฮุ

รอยเราะฮฺ 

‫أَف(َـطَ(َقاْدَعَعيِأَْننَطأََايوَِمَبعْناُهيَـََّرلَْعيْـلَرَةَيوصَمَعاْْنينلَييماَـليَْعنَّريييصفبَـيَِقنْدَصَلّفَـَعَقىْداَصَاَّيلَنُعلي)َصَع)لَْيىيها ََّولَلَسَلَّوَمَمأََْنّنهُيُقَياطَيعل اَْمَْْلنيمأَيَرطَافَـَعَقيِْند‬
ความว่า จากอบีฮุรอยเราะฮฺ จากนบีมฮุ ัมมัด  ได้กล่าวว่า “ผู้ใดที่
เช่ือฟังฉันก็เสมือนเขาได้เช่ือฟังอัลลอฮ์และผู้ที่ทรยศต่อฉัน เขาผู้
นั้นก็เสมือนทรยศต่ออัลลอฮ์ และผู้ใดท่ีที่เชื่อฟังผู้นาของฉันก็
เสมือนเช่ือฟังต่อฉัน และผู้ใดที่ทรยศต่อผู้นาของฉันก็เสมือนเขา
ทรยศตอ่ ฉันดว้ ยเช่นกัน”

(Muslim : 1834)

43

Yuhanas Ilyās, (2000 : 131) ได้กลา่ วว่า “อัลลอฮ์  ก็ได้กล่าวถึงเราะสลู ในอัลกุ

รอานจานวน 25 ท่านที่มุสลิมทุกคนต้องศรัทธาในภาพรวมโดยท่ีอัลลอฮ์  ได้บันทึกไว้ใน สูเราะฮฺ
ต่างๆเช่น สูเราะฮฺอัลอันอาม อายัตที่ 83 – 86 สูเราะฮฺอาลิอิมรอน อายัตท่ี 33 สูเราะฮฺฮูด อายัตท่ี

50,61,84 สเู ราะฮฺอัลอมั บิยาอฺอายตั ที่ 85 และ สเู ราะฮฺอัลฟตั ฮุ อายตั ท่ี 29 และบรรดา เราะสูลนั้น

มีคุณลักษณะเฉพาะที่มุสลิมตอ้ งศรัทธาอีกด้วย คือ อัศศิดกฺ อลั อะมานะฮ อัตตับลฆี และ อัลฟะตอ

นะฮ”ฺ

ดังน้ันการศรัทธาต่อเราะสูลที่เป็นศาสนทูตของอัลลอฮ์  ในการเชิญชวนมนุษย์ให้
ภักดีต่อพระองค์ และเราะสูลเหล่านั้นมีคุณลักษณะเฉพาะของความเป็นเราะสูลโดยมุสลิม ไม่

สามารถปฏิเสธศรัทธาได้ มิหนาซ้าต้องปกป้องต่อการกล่าวหาเราะสูลด้วยคากล่าวที่ไม่สมควรพร้อม

กนั นั้นต้องเชื่อฟังในหลักคาสอนทุกประการ และการเช่อื ฟังก็เปรียบเสมือนการเชื่อฟังหลัก คาสอน

ของอัลลอฮ์  ด้วยเช่นกนั
การศรัทธาต่อวันกิยามะฮฺเป็นการศรัทธาต่อวันแห่งการตอบแทนโดยท่ีโลกน้ีจะ

พินาศลง และอัลลอฮ์  จะพื้นคืนชีพทุกชีวิตเพ่ือจะได้รับการสอบสวนจากอัลลอฮ์  และ การ

ตอบแทนด้วยสวนสวรรคห์ รือนรกตามการกระทาที่ได้ปฏิบัติมาบนโลก ด่ังที่อัลลอฮ์  ได้ตรัสไว้ในอัล

กุรอานว่า

‫ُنّعي﴿ي ُديَـهُْوََمو ْعنَادطاْيوَعلَيْيـنَاال إيَّنَسّاَماُكََنءّا َكفَاطَيعلييييَانل ي﴾س يج يل ليْل ُكتُ يب َك َما بََدأْنَا أََّوَل َخْلٍق‬

ความว่า “วันซ่ึงเราจะม้วนชั้นฟ้า ประหน่ึงการม้วนแผ่นกระดาษ
สาหรับการบันทึก ดังเชน่ ทีเ่ ราได้เร่ิมให้มกี ารบังเกิดครัง้ แรก เราจะ
ให้มันกลับเป็นข้ันมาอีกเป็นสัญญาผูกพันกับเราแท้จริงเราเป็น
ผูก้ ระทาอย่างแนน่ อน”

(อลั อัมบยิ าอฺ : 104)
Ibn Kathīr, (1999,a.5 : 385) ได้กล่าวว่า “นี่คือปรากฏการณ์ในวันกิยามะฮฺ

วนั ซึง่ อลั ลอฮ์  จะมว้ นชั้นฟ้าประหนงึ่ การมว้ นแผ่นกระดาษ” ดั่งทพี่ ระองคไ์ ดต้ รัสไว้ในอลั กุรอานว่า

44

‫َوا﴿ل َّسَوَمَمااَوا قَُتَدُرَمواطْيواَلَّيلّـهٌَت بييََحيَمّقينييهقَْدُسيرْبهي َحاَوناَْهُلََْروتَـَعُاضلَىََيجَعيَّماعاا يُقَـْْبشيرُكَضتُوهَُن ي﴾ـَْوَم الْيقيَاَمية‬
ความว่า “และพวกเขามิได้ให้ความย่ิงใหญ่แด่อัลลอฮ์อันพึงมีต่อ
พระองค์อย่างแท้จริง และแผ่นดินนี้ท้ังหมดเป็นเพียงกาพระหัตถ์
หน่ึงของพระองค์ในวันกิยามะฮฺ และชั้นฟ้าท้ังหลายจะม้วนกลิ้ง
ด้วยพระหัตถ์ขวาของพระองค์มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่พระองค์ และ
พระองคท์ รงสงู ส่งเหนอื จากส่ิงทพี่ วกเขาตัง้ ภาคี”

(อซั ซมุ รั : 67)
เมื่อมุสลิมได้ศรัทธาต่อวันกิยามะฮฺ เขาเหล่าน้ันจะเป็นต้องเตรียมตัวในการพบเจอ
ต่อวันท่ีย่ิงใหญ่ดังกล่าวด้วยการเตรียมความพร้อมในเรื่องการทาอิบาดะฮ์ต่อพระองค์รวมทั้งการ
เตรียมตัวด้วยการท่ีจะมอบความรักให้กับบุคคลท่ีพระองค์รัก น่ันคือเราะสูลเพ่ือจะได้อยู่กับบุคคล
เหล่านัน้ ในสวนสวรรคอ์ กี ด้วย ด่ังทม่ี รี ายงานจากอนัส บนิ มาลกิ 
‫َعلَُتقَْيايهََِلَلاَوأَيَمنْسَلّْنَمَتَكَمثَيمََيَّيترع‬،‫مَراَُجوأَلَلاْعايكَديِْدنَسأَأََُتليحِاَللَاَُنّّبيقََّباا ََّللَلَصََلمَّواَىرأَُساْعلولَلَدُههُْد‬،َ‫َصقَاَأدََقََلّنٍة‬:‫ا(لَص(َّسلَعااٍَْةَعنةُأََونََلَيَايسَرَصُبْسْوويٍنمَلَمَاواَللَيّّلَايلٍ؟ك‬

))‫َم ْن أَ ْحبَـْب َت‬
ความว่า จากอนัส บิน มาลิกกล่าวมีผู้ชายคนหน่ึงได้ถามนบี
มุฮัมมัด  ว่า “เม่ือไรจะถึงวนั กิยามะฮฺ ท่านเราะสลู ลุลอฮฺ ถามว่า
แล้วเจ้าได้เตรียมอะไรหรือยัง? ชายคนนั้นตอบว่า เราไม่ได้
เตรียมการละหมาด การปอซอและการเศาะดะเกาะฮฺที่มากมาย
ยกเว้นเรารักอัลลอฮ์และเราะสูล เราะสูลตอบวา่ ดังนั้นเจ้าจะอย่กู ับ
บคุ คลที่เจา้ รกั ”

(al-Bukhāriy : 6171)
ดงั น้ันการศรัทธาต่อวันกิยามะฮฺสามารถสร้างความตระหนักแก่มุสลิมถึงความปรีชา
สามารถของอัลลอฮ์  ในการสร้างโลกพร้อมกับทาลายล้างให้หมดสิ้น โดยที่มนุษย์ไม่สามารถรู้ มา
ก่อน พร้อมกันน้ันจะส่งผลต่อการปฏิบัติในทุกๆคาสั่งใช้ และห้ามด้วยวัตถุประสงค์เดียวคือ
ให้อัลลอฮ์ และเราะสูลทรงรกั และเพื่อจะไดอ้ ยรู่ ว่ มกันกบั คนท่ีตนเองรักในสวนสวรรค์

45

การศรัทธาต่อการกาหนดสภาวะความดีและความชั่วจากอัลลอฮ์  เป็นการศรัทธา
ถึงความรอบรู้ของอัลลอฮ์  จากการจดบันทึกการกระทาและเหตุการณ์ต่างๆที่จะเกิดข้ึน ด่ัง
ที่อัลลอฮ์  ได้ตรสั ไวใ้ นอลั กรุ อานว่า

‫﴿ أََلْ تَـ ْعلَ ْم أَ َّن الَلّـهَ يـَْعلَُم َما يفي ال َّس َمايء َواْلَْر يض إي َّن َذلي َك يفي يكتَا ٍب إي َّن‬
﴾ٌ‫ذَلي َك َعلَى الَلّـيه يَ يسير‬

ความวา่ “เจ้ามริ ู้ดอกหรอื ว่า แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงรอบรสู้ ่ิงที่อยูใ่ น
ช้ันฟ้า และแผ่นดิน แท้จริงส่ิงน้ันอยู่ในบันทึกแล้ว แท้จริงในการ
นัน้ เป็นการงา่ ยดายสาหรบั อลั ลอฮ์”

(อลั ฮัจญ์ : 70)
al-Ṭabariy, (2000,a.18 : 681) ได้กล่าวว่า “โอม้ ุฮัมมัดเจ้าจงรู้เถิดว่าแท้จริงอัลลอฮ์
 น้ันทรงรอบรู้สิ่งที่มีอยู่ในเจ็ดชั้นฟ้า และฟ้ืนดินโดยท่ีไม่มีส่ิงใดๆสามารถหนีจากความรอบรู้ของ
พระองค์ซึ่งพระองค์จะเปน็ ผูพ้ ิพากษาในวันกิยามะฮฺตามที่บ่าวของพระองค์ไดก้ ระทาถ้าการกระทาน้ัน
ดกี จ็ ะทรงตอบแทนด้วยส่ิงดีๆและถ้าการกระทาท่ีไม่ดกี ็จะทรงตอบแทนดว้ ยส่งิ ทไี่ ม่ดีด้วยเชน่ กัน”
Abdul Majīd al-Zindāniy, (2014 : 145) ได้กล่าวว่า “ผู้ศรัทธาจะต้องศรัทธา
ว่ากาหนดความดี และกาหนดการร้ายล้วนแล้วแต่มาจากอัลลอฮ์  ท้ังหมดเพราะผู้ศรัทธาตระหนัก
ดกี ว่า ผูท้ ี่ทรงกาหนดส่ิงต่างๆใหก้ ับมวลสรรพสิ่งทั้งหมดก็คืออัลลอฮ์ผู้ทรงปรีชาญาณ และผู้ทรงรอบรู้
และเช่ียวชาญย่ิง” และเมือ่ มุสลิมมีการศรัทธาต่อการกาหนดสภาวะความดี และความชัว่ จากอัลลอฮ์
 จะส่งผลต่อจิตใจท่ีสงบเมื่อพบเจออุปสรรคในชีวิตหรือบททดสอบต่างๆ ด่ังที่อัลลอฮ์  ได้ตรัสไว้
ในอัลกรุ อานวา่
‫﴿ َما أَ َصا َب يمن ُّم يصيبٍَة يفي اْلَْر يض َوَلا يفي أَنُف يس ُك ْم إيَّلا يفي كيتَا ٍب يمن‬
‫قَـْب يل أَن َنّْبَرأََها إي َّن َذلي َك َعلَى الَلّـيه يَ يسيرٌ لي َكْيلَا ََتْ َسْوا َعلَى َما فَاتَ ُك ْم‬

﴾ ‫َوَلا تَـْفَر ُحوا يبمَا آََت ُك ْم َوالَلّـهُ َلا َُيي ُّب ُك َّل ُُمْتَاٍل فَ ُخوٍر‬
ความว่า “ไม่มีเคราะห์กรรมอันใดเกิดข้ึนในแผ่นดินน้ี และไม่มี
แม้แต่ในตัวของพวกเจ้าเอง เว้นแต่ได้มีไว้ในบันทึกก่อนที่เราจะ
บงั เกิดมันขน้ึ มา แท้จริงน่ันมันเป็นการง่ายสาหรบั อัลลอฮ์ เพ่ือพวก
เจ้าจะได้ไม่ต้องเสียใจต่อสิ่งที่ได้สูญเสียไปจากพวกเจ้า และไม่ดีใจ

46

ต่อส่ิงที่พระองค์ทรงประทานแก่พวกเจ้า และอัลลอฮ์มิทรงชอบทุก
ผู้หย่งิ จองหอง และผูค้ ุยโวโอ้อวด”

(อัลฮะดีด : 22 - 23)
al-Māwardiy, (n.d. : 482) ได้กล่าวว่าถึงอายัตท่ีมีความว่า “เพื่อพวกเจ้าจะได้ไม่
ต้องเสียใจต่อส่ิงที่ได้สูญเสียไปจากพวกเจ้า คือ ไม่มีมนุษย์คนใดยกเว้นเขาจะมีความเสียใจและดีใจ
แต่มสุ ลิมนั้นอัลลอฮ์  ทรงให้ความอดทนในสิ่งที่ไม่ดี และทรงให้มีการขอบคุณในสิ่งที่ดีและท้ังสองส่ิง
นั้นล้วนเป็นสิ่งที่ดีสาหรับมุสลิม” และสามารถทาให้มุสลิมได้เช่ือมั่นอย่างลึกซ้ึงถึงความปรารถนาดี
ของอลั ลอฮ์  ดง่ั ทมี่ ีรายงานจากอบิ นุอบั บาส 
‫ ُكْن ُت َخْل َف َر ُسويل اََّليل َصَلّى اََّللُ َعلَْييه َو َسَلَّم‬:‫ قَا َل‬،‫(( َع ْن ابْ ين َعَبّا ٍس‬
‫ ا ْحَف يظ‬،‫ ا ْحَف يظ اََّّللَ َْيَفظْ َك‬،‫ فَـَقا َل ََي غُلَاُم إييني أَُعلي ُم َك َكلي َما ٍت‬،‫يـَْواما‬
‫ َويإ َذا ا ْستَـَعْن َت َفا ْستَعي ْن‬،‫ا ََّلل َيت ْدُه ََُتا َه َك يإ َذا َسأَْل َت َفا ْسأَيل ا َّلَل‬

))...‫ِيبََّّللي‬
ความว่า จากอิบนุอับบาส กลา่ วว่า ในวันหนงึ่ ขณะทฉ่ี ันอยขู่ ้างหลัง
เราะสูลลุลอฮ  และท่านได้กล่าวว่า “โอ้เด็กน้อย ฉันจะสอน
ให้กับเจ้าประโยคบางประโยค เจ้าจงระลึกถึงอัลลอฮ์แล้วเจ้า
จะได้รับความคุ้มครองจากอัลลอฮ์ เจ้าจงระลึกถึงอัลลอฮ์แล้วเจ้า
จะรู้สึกเสมือนว่าอัลลอฮ์  อยู่เคียงข้าง เม่ือเจ้าจะขอส่ิงใดก็จงขอ
ตอ่ อลั ลอฮ์ เมื่อเจ้าจะขอความชว่ ยเหลือก็จงขอต่ออลั ลอฮ์…”

(al-Tarmidhiy : 2516)7
al-‘Uthaimīn, (n.d. : 200) ได้กล่าวว่า “เม่ือเจ้าจะขอสิ่งใด ก็จงขอต่ออัลลอฮ์ 
หมายถึง เม่ือเจ้าจะขอความช่วยเหลือ เจ้าจงขอจากอัลลอฮ์  เน่ืองจากอัลลอฮ์  เป็นผู้อภิบาลแห่ง
ชน้ั ฟา้ และแผน่ ดิน”

7 อัล อัลบานีย์ กลา่ ววา่ เปน็ ฮะดษี เศาะเหยี ฮฺ

47

เม่ือมุสลิมมีการศรัทธาท่ีดีก็จะทาให้บุคคลน้ันไม่ยอมแพ้ต่อทุกๆอุปสรรคหรือ
บททดสอบที่เกิดข้ึน และพรอ้ มท่ีจะฝ่าฟันไปสู่จุดมุ่งหมายที่วางไว้โดยได้รับการปกป้องจากอัลลอฮ์ 
ตอ่ บา่ วทพี่ ระองค์ทรงรกั

ดงั น้นั การศรทั ธาต่อหลักศรัทธาถือเป็นกุญแจหลักในการรักษาศาสนาของอัลลอฮ์ 
ให้คงอยู่บนโลกน้ี ถึงแม้ต้องเผชิญกับปัญหาท่ีบรรดานบี เศาะฮาบะฮฺ  หรือบุคคลยุคปัจจุบันที่ได้
เผชิญมาก็ตาม และเม่ือการศรัทธาในหลักศรัทธาท่ีมุสลิมยึดมั่นถูกทาลายก็ง่ายต่อการทาลายล้าง
อสิ ลามบนโลกนอ้ี ีกเช่นกัน

ค. บทบาทเก่ยี วกับหลกั อิฮสาน
หลักอิฮสานเป็นอีกหลักการหนึ่งในอิสลามที่อัลลอฮ์  ได้กาหนดไว้ในอัลกุรอาน
และอัลฮะดีษ โดยที่พระองค์ได้กล่าวถึงความมีอิฮสานของบรรดาทุกส่ิงที่พระองค์สร้างข้ึน ไม่ว่าจะ
เป็นมลาอกิ ะฮฺ ญีนรวมทั้งมนุษย์อีกด้วย ซ่ึงความหมายของอิฮสานน้ันได้ถูออธิบายจากนบีมุฮัมมัด 
ดง่ั ทม่ี ีรายงายจากอุมัร บิน อัลเคาะฏอบ 

َ‫للأيَه ْن َتصَـَلّْعبُىَدالاللهلُه‬:‫ُسقَوايَلل ا‬،‫ْرينبـَْييـنَ ََعمايننَاْحْليإُن ْحيعْنَسَاد ينَر‬:‫فقََأاََْلخيب‬.‫ب‬.‫ي‬. ‫(َع(لَْيعيهنَوعَُسَلَّمَمُر بَذْاُنَاتْْيلـََْوَطٍّما‬
))...‫ فَيإ ْن ََلْ ت ُك ْن تَـَراهُ فَيإَنّهُ يـََرا َك‬،ُ‫َكأََنّ َك تَـَراه‬

จากอุมัร บิน อัลเคาะตอบ เล่าว่า “วันหน่ึงที่พวกเรากาลังน่ังอยู่
กับเราะสูลลุลลอฮ  ...จงบอกให้ฉันรู้เก่ียวกับอิฮสาน เราะสูล
ตอบว่า การท่ีทาอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮ์ เสมือนว่าท่านเห็นพระองค์
แม้วา่ ท่านไม่เห็นพระองค์ แตพ่ ระองคท์ รงเหน็ ทา่ นแน่นอน...”

(Muslim : 8)
al-Qosṭolāniy, (1901 : 138) ได้อธบิ ายว่า “อฮิ สาน” คอื “อคิ ลาศ”
และการที่อัลลอฮ์  สร้างบุคคลแรกน่ันก็คือนบีอดัม  ก็เป็นอีกส่วนหน่ึงในการ
สร้างความสันติบนโลกถึงแม้การสร้างนบีคนแรกจะถูกตั้งข้อสังเกตจากมลาอิกะฮฺว่าเป็นคนท่ีไม่
สมควรต่อบทบาทหน้าที่ในการบริหารจัดการโลกน้ี แต่บรรดามลาอิกะฮฺได้ปฏิบัติตามคาส่ัง
ของอลั ลอฮ์  ในรปู แบบของการสรรเสริญ และเทดิ ทนู พระองค์ ดงั่ ทพี่ ระองคไ์ ด้ตรัสในอลั กุรอานว่า

48

‫يفَوينَْحاُْنلَْرنُ َسيضبي ُحَخلييبيحََفْماةيدقََاكلُواَونـُأََقَْتيدَع ُُلس‬ ‫َجا يع ٌل‬ ‫ليْل َملَائي َكية إييني‬ ‫﴿َوإي ْذ قَا َل َرُبّ َك‬
َ‫ال يدَماء‬ ‫فييَها َويَ ْسيف ُك‬ ‫فييَها َم ْن يـُْف يس ُد‬
﴾‫لَ َك قَا َل إييني أَ ْعلَُم َما َلا تَـ ْعلَ ُموَن‬
ค ว า ม ว่ า “ แ ล ะ จ ง ร า ลึ ก ถึ ง ข ณ ะ ท่ี พ ร ะ เจ้ า ข อ ง เจ้ า ได้ ต รั ส แ ก่

มลาอิกะฮฺวา่ แท้จรงิ ข้าจะให้มีผู้แทนคนหนึ่งในพิภพ มลาอิกะฮฺได้

ทูลขึ้นว่า พระองค์จะทรงให้มีข้ึนในพิภพซ่ึงผู้ท่ีบ่อนทาลาย และ

ก่อการนองเลือดในพิภพกระนั้นหรือ ? ท้ัง ๆ ที่พวกข้าพระองค์ให้

ความบริสุทธิ์พร้อมด้วยการสรรเสริญพระองค์และเทิดทูนความ

บริสุทธิ์ในพระองค์ พระองค์ตรัสว่า แท้จริงข้ารู้ย่ิงในส่ิงท่ีพวกเจ้า

ไมร่ ”ู้

(อลั บะเกาะเราะฮฺ : 30)

จากการที่อัลลอฮ์  ได้สร้างมนุษย์บนโลกน้ี สามารถสรุปได้ว่ามนุษย์ถือเป็น

ผู้ปกครองแผ่นดินที่ต้องมีความพยายามอย่างมากเพื่อให้เกดิ การอิฮสานตอ่ อัลลอฮ์ โดยผ่านการเชิญ

ชวนในความดีและหา้ มปรามในความชว่ั ดง่ั ที่อลั ลอฮ์  ตรสั ไว้ในอลั กุรอานวา่

‫َويَـْنـ َه ْو َن‬ ‫ِيبْل َم ْعُرو يف‬ ‫َو ََْي ُمُرو َن‬ ‫﴿ َوْلتَ ُك ْن يمْن ُك ْم أَُّمةٌ يَْد ُعوَن إيَلى اَْْلْيير‬
﴾‫َع ين الْ ُمْن َكير َوأُولَئي َك ُه ُم الْ ُمْفلي ُحوَن‬
ความว่า “และจงให้มีข้ึนจากพวกเจ้าซึ่งคณะหนึ่งท่ีจะเชิญชวน

ไปสู่ความดี และใช้ให้กระทาสิ่งท่ีชอบ และห้ามมิให้กระทาสิ่งท่ี

มิชอบ และชนเหล่านี้แหละพวกเขาคือผู้ได้รับความสาเรจ็ ”

(อาลิอมิ รอน : 104)

al-Ṭabariy, (2000,a.7 : 90) ได้กล่าวว่า “อบูญะอฺฟัร กล่าวว่า ด้วยเหตุภารกิจ

ดังกล่าว อัลลอฮ์  ทรงยกย่องพวกเขาเหล่าน้ัน คาว่า จงเป็นชนกลุ่มหนึ่งโอ้ผู้ศรัทธาคือประชาชาติ

หรือกลุ่มชนที่เชิญชวนมนุษย์ไปสู่ศาสนาอิสลาม และข้อปฏิบัติที่อัลลอฮ์  ทรงวางไว้ให้กับบ่าวของ

พระองค”์

al-Qurṭubiy, (1964,a.7 : 165) ได้กล่าวว่า “คาสั่งข้างต้นเฉพาะบรรดาอุละมาอฺ
ในการเชิญชวนผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา และมีบางคนกล่าวว่าเป็นการอธิบายถึงเพศ ดังน้ันคาสั่งข้างต้นถือ

49

เป็นการอธิบายท่ีเป็นรายบุคคลและการเจาะจงคาส่ังสาหรับมุสลิม ซ่ึงการกระทานั้นถือเป็นอิบาดะฮฺ

ต่ออลั ลอฮ์  อย่างหน่ึง”

Ibn Kathīr, (1999,a.2 : 91) ได้กล่าวว่า “ความหมายของคาว่าความดีคือการ

ปฏิบัติตามอัลกุรอานและสุนนะฮฺของนบีมุฮมั มัด  และบทสรปุ ของอายะฮฺข้างตน้ จึงจาเปน็ อย่างยง่ิ ท่ี

จะต้องมีกลุ่มชนของประชาชาติน้ีในการเชิญชวนต่อการกระทาความดี และห้ามกระทาความช่ัว ถ้า

ไม่เช่นน้นั ก็ถอื เปน็ วาญบิ สาหรับทกๆคน ดง่ั ทมี่ ีรายงานจากอบีฮุรอยเราะฮฺ 

‫ْييهفَإَْونَسَََللَّْميَ َمْستَْنيطَرْأعَى‬،َ‫ياَََّّلْسيلتَ يطَصَْعلّ فَىبيلياَََّّلسلُانييهَعل‬ ‫ قَا َل َر ُسوُل‬:‫(( َع ْن أَيِب ُهَريْـَرَة قَا َل‬
ْ‫يمَفاَإينْن))ََل‬،‫ُمْنَوََذكليارا َفكَـْليأُـغَْضيْرَعهُ بيُيَفداهلإ‬،‫فيَمبيْنَقْلُكبيْميه‬

ความว่า จากอบีฮุรอยเราะฮฺกล่าวว่า เราะสูลลุลอฮฺ  กล่าวว่า

“ ใ ค ร ก็ ต า ม ใ น ห มู่ ข อ ง พ ว ก ท่ า น ที่ เห็ น ค ว า ม ชั่ ว ร้ า ย เข า จ ง

เปลี่ยนแปลงมันด้วยมือของเขา หากเขาไม่สามารถก็ด้วยลิ้นของ

เขาและหากไม่สามารถก็ด้วยหัวใจของเขา ดังกล่าวนี้น้ันแสดงถึง

ระดับขนั้ อีมานท่อี อ่ นแอท่สี ุดแล้ว”

( Muslim : 49)

Ibn Baṭṭāl, (2003 : 51) ได้กล่าวว่า “อัฏเฏาะบะรีย์ได้กล่าวว่าเป็นการวาญิบ
สาหรับทุกคนในการห้ามปรามความช่ัวท่ีเกิดข้ึนต่อหน้าตนเองด้วยเงื่อนไขว่าบุคคลนั้นจะต้องไม่กลัว

ต่อการทารา้ ยท่จี ะเกดิ ข้ึน”

ดังนั้นการการเชิญชวนในการทาดี และห้ามปรามในการทาชั่วถือเป็นหน้าท่ีของ

มสุ ลมิ ทกุ คนทต่ี ้องปฏิบัติ โดยเฉพาะผนู้ าทางสงั คม ไมว่ ่าเปน็ คณะกรรมการมสั ยดิ หรอื บุคคลอ่ืนๆ

2.1.3.2 บทบาทด้านการศึกษา

บทบาทของคณะกรรมการอิสลามประจามัสยิดในการพัฒนาเยาวชน โดยยึดมัสยิด

เป็นศูนย์กลางก็เป็นอีกบทบาทหนึ่งคือบทบาทด้านการศึกษา ซึ่งการศึกษาน้ันเป็นส่ิงท่ีสาคัญสาหรับ

มุสลมิ ตั้งแต่เกดิ จนถึงตาย

ก. ความสาคัญของการศึกษา

50

การศึกษาสามารถยกระดับบุคคลหน่ึงให้เป็นบุคคลที่อัลลอฮ์  ทรงยกย่องเทิด
เกียรติ เน่ืองจากการศึกษาจะทาให้บุคคลนั้นได้ปฏิบัติตามคาสั่งของอัลลอฮ์  ในทุกๆเร่ือง และการ
ปฏิบัติตามคาสั่งของอัลลอฮ์  คือเป้าหมายหลักในการสร้างมนุษย์ และญินบนโลกนี้เฉกเช่นเดียว กับ
การศรทั ธาทมี่ ใี นหลักคาสอนของศาสนาอิสลาม ด่ังท่ีอัลลอฮ์  ตรสั ไว้ในอลั กุรอานว่า

﴾ ‫﴿ يـَْرفَيع اََّّللُ اَلّ يذي َن آَمنُوا يمْن ُك ْم َواَلّ يذي َن أُوتُوا الْعيْل َم َدَرجا ٍت‬
ความว่า “อลั ลอฮจ์ ะทรงยกย่องเทิดเกียรติแก่บรรดาผ้ศู รทั ธาในหมู่
พวกเจ้าและบรรดาผู้ไดร้ ับความรู้หลายชัน้ และอัลลอฮ์ทรงรอบรู้ย่ิง
ในสง่ิ ท่พี วกเจา้ กระทา”

(อัลมญุ าดะละฮฺ : 11)
al-Qurṭubiy, (1964,a.17 : 296) ได้กล่าวว่า “การท่ีอัลลอฮ์  ทรงยกย่องผู้รู้นั้น
เนื่องจากได้ปฏิบัติตามคาสั่งของพระองค์” และซัจจาจกล่าวว่า “การที่อัลลอฮ์  ได้เปรียบเทียบผู้รู้
กับผู้ท่ีไม่รู้ก็เหมือนกันกับการเปรียบเทียบระหว่างผู้ท่ีปฏิบัติตามคาส่ังอัลลอฮ์  กับผู้ท่ีทรยศต่อ
พระองค์”และมีบางคนกล่าวว่า “ผู้รู้คือคนท่ีสามารถนาประโยชน์ของความรู้และปฏิบัติตามความรู้
ทม่ี อี ยู่”
Sayyid Quṭub, (1990 : 3511) ได้กล่าวว่า “ความรู้นั้นสามารถขัดเกลาจิตใจของ
บุคคลจนทาให้เกิดความสบายใจและการปฏิบัติตามคาส่ังของอัลลอฮ์  พร้อมกับยกระดับให้บุคคล
เหล่าน้นั ให้สูงสง่ ” อลั ลอฮ์ ไดต้ รสั ไวใ้ นอัลกรุ อานอีกวา่
‫﴿ قُ ْل َه ْل يَ ْستَيوي اَلّ يذي َن يـَ ْعلَ ُموَن َواَلّ يذي َن َلا يـَْعلَ ُموَن إيَّنَا يـَتَ َذَّكُر أُولُو‬

﴾ ‫اْلَلْبَا يب‬
ความว่า “จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด บรรดาผู้รู้และบรรดาผู้ไม่รู้จะเท่า
เทียมกนั หรือ? แทจ้ รงิ บรรดาผมู้ ีสติปญั ญาเท่านน้ั ทีจ่ ะใครค่ รวญ”

(อซั ซฺ ุมรั : 9)
al-Māturīdiy, (n.d. : 665) ได้กล่าวว่า “น่ีคือความแตกต่างระหว่างบรรดาผู้รู้
และบรรดาผู้ไม่รู้ในนิอฺมะฮฺของอัลลอฮ์  ด้วยการปฏิบัติตามคาสั่งของอัลลอฮ์  พร้อมด้วย การ
เฝ้าระวงั ตอ่ โทษของการไมภ่ ักดตี ่อพระองค์ทีจ่ ะเกดิ ขึน้ ”

51

al-Sa‘adiy, (2000 : 720) ได้กล่าวว่า “ความแตกต่างระหว่างบรรดาผู้รู้และบรรดา
ผู้ไม่รูเ้ สมอื นกลางคืนกบั กลางวนั ความสวา่ งกบั ความมืดและเสมือนน้ากับไฟ”

ดังนั้นจากอายะฮ์ข้างต้นสามารถสรุปได้ว่าการที่อัลลอฮ์  ได้ตั้งคาถามนั้นถือเป็น
การสรา้ งความตระหนักต่อมุสลมิ ทกุ คนต่อการศึกษาท่ีต้องยนื บนพน้ื ฐานการเป็นบา่ วที่ดีของอัลลอฮ์ 
และความตระหนักในการส่งเสริมการศึกษานั้นจะไม่ใช่เฉพาะบุคคล แต่เปน็ ภาระหน่ึงที่ตอ้ งได้รบั การ
ปฏิบัติโดยเฉพาะบุคคลที่เป็นผู้นาซ่ึงเป็นผู้รู้พร้อมกับนาความรู้มาอธิบายต่อสังคมถึงความประเสริฐ
ของศาสนาอสิ ลาม และในเมือ่ อัลลอฮ์  ไดย้ กระดบั ผู้รู้ ก็จะเกิดบคุ คลท่ีมคี วามร้ทู ่ีจะนาพาตัวเองและ
สังคมไปสู่ความยาเกรงต่ออัลลอฮ์  ซ่ึงก็เป็นปัจจัยหลักในการนาไปสู่ความโปรดปรานจากอัลลอฮ์ 
อีกเชน่ กัน ด่งั ทอ่ี ลั ลอฮ์  ตรัสไวใ้ นอัลกุรอานว่า

﴾ ‫﴿ إيَّنَا َيْ َشى اََّّللَ يم ْن يعبَايديه الْعُلَ َماءُ إي َّن اََّّللَ َعيزيٌز َغُفوٌر‬
ความว่า “แท้จริงบรรดาผู้ที่มีความรู้จากปวงบ่าวของพระองค์
เท่านั้นท่ีเกรงกลัวอัลลอฮ์ แท้จริงอัลลอฮ์ฮ์น้ันเป็นผู้ทรงอานาจ
ผ้ทู รงอภยั เสมอ”

(ฟาฏิร:28)
นบีมฮุ ัมมดั  ได้กลา่ วในอลั ฮะดีษมรี ายงานจากอบีดัรดาอ์ 
ُ‫ْطَيَاَيلسيفيْعْيٍيهبُتيريعَْلرَضاُمسااْواعاُلَسيبَامَّهلاليهَل اَصلَنَصلَلّهَُعىَطَوااَيرلَيْـّلنهاُقاالَْعإَعيلَاْيلََييهىل‬:‫لَرَداائيَمءََكْنََةر يتضََسلََيَضَاُعكللاهَُطَْجيرَعنييْـْناقهَُحاتَـقَيَـاَهْبـاَتَلليغي‬:ْ‫اَول(ْجَََس(نَّلّيةَعَمْنويايـَاََُقّينِْوْباُلْلََدم‬

))...‫لييَ ْستَـ ْغيفْر لَهُ َم ْن يفْي ال َس َماَو يت‬
ความว่า จากอบี ดรั ดาอ์ กลา่ วว่า ฉนั ไดฟ้ ังเราะสูลลุ อฮฺ  กล่าวว่า
“ใครก็ตามท่ีได้ออกไปบนหนทางการแสวงหาความรู้ อัลลอฮ์จะ
ทรงทาให้ง่ายดายแก่เขาซ่ึงหนทางไปสู่สวรรค์ และมลาอิ
กะฮฺจะกางปีกเพื่อแสดงความยินดีต่อผู้แสวงหาวิชาความรู้และ
สาหรบั ผรู้ นู้ นั้ จะมผี ู้ขออภัยโทษให้แก่เขาทั้งสิ่งทอี่ ยู่ในชัน้ ฟา้ ...”

(al-Tirmidhiy : 2682)8

8 อัล อัลบานยี ์ กลา่ ววา่ เป็นฮะดษี เศาะเหียฮฺ

52

Ibn ‘Allān, (2004 : 180) ได้อธิบายคาว่าความรู้ “คือความรู้ทางชะรีอะฮฺหรือ

ความรู้ที่สามารถส่ือในการเข้าใจต่อความรู้ทางชะรีอะฮฺได้ และท่านได้อธิบายถึงการท่ีอัลลอฮ์  ทรง

ใหค้ วามงา่ ยในการไปส่สู วนสวรรคก์ เ็ สมอื นการใหค้ วามง่ายต่อการเรียนรู้”

al-‘Uthaimīn, (1975 : 440) ได้อธิบายฮะดีษดังกล่าวว่า “พวกเขาเหล่าน้ัน

(อุละมาอฺ) คือทายาทบรรดานบีที่ได้รับมรดกด้านความรู้ รับมรดกด้านการปฏิบัติพร้อมด้วยการเชิญ

ชวนไปสู่หนทางของอลั ลอฮ์  และหนทางแห่งทางนาเพือ่ ไปสูห่ ลักซารีอะฮฺที่อลั ลลฮ์  ไดว้ างไว้”

ดงั นั้นการที่ผู้นาศาสนาไดร้ ับการแต่งตงั้ ให้เปน็ ผู้นาในชมุ ชนก็เป็นสว่ นหนงึ่ ทส่ี ามารถ

บอกถึงความรูข้ องผนู้ า และบรรดาผ้นู าเหล่านน้ั ก็เปรยี บเสมอื นอลุ ะมาอฺทีไ่ ด้รบั การขนานนามวา่ เป็นผู้

ท่ีได้รบั มรดกจากนบี ซง่ึ เป็นการสืบทอดทายาททางความรู้ ซ่ึงความรู้น้ันสามารถนาความเปล่ียนแปลง

ต้ังแต่ตัวบุคคลจนถึงครอบครัว และสถาบันมัสยิดก็ต้องอาศัยผู้นาเป็นคนขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมาย

ผ่านวิธีการการส่งเสริม แนะนาและพัฒนารูปแบบการให้ความรู้ เพื่อส่งผลให้เกิดความสาเร็จตามท่ี

ศาสนาได้วางไว้ และอัลลอฮ์  ทรงให้ผลบุญต่อความรู้ท่ีได้รับและต่อตัวบุคคลที่พยายามหาความรู้

ด้วยผลตอบแทนที่มหาศาลเสมือนว่าอิสลามนั้นเป็นศาสนาต้องเคียงคู่กับการศึกษาในทุกเรื่องพร้อม

ด้วยการสรา้ งความตระหนักต่อมุสลมิ ให้พยายามแสวงหาความรู้ตลอดเวลา

ข. การส่งเสรมิ การศกึ ษาดังน้ี

(1) การสง่ เสรมิ การศึกษาในระดบั ตัวบุคคล

การส่งเสริมการศึกษาในระดับตัวบุคคลควรจะต้องได้รับความตระหนักอย่างย่ิงโดย

ผ่านกระบวนการให้ความตระหนักตั้งแต่การให้ความสาคัญ บอกประโยชน์ และการยกระดับผู้ท่ีมี

การศึกษาในชุมชนให้เป็นรูปธรรมอย่างชัดเจนผ่านการประชาสัมพันธ์ท่ีมัสยิด เช่นการให้ผู้รู้มีส่วน

รว่ มในการจัดการเรียนการสอนท่ีเกิดขึ้นในมัสยิด การบรรยาย การอ่านคุฏบะฮฺและการนาละหมาด

และอ่ืนๆ ซง่ึ นบีมุฮัมมดั  ไดก้ ล่าวในอลั ฮะดีษทีม่ รี ายงานจากจากอนัส บนิ มาลกิ 

‫َوأََْسهَلّليَيهم‬ ‫اللهُ َعلَْييه‬ ‫َصَلّى‬ ‫سوَُلوَوااََّيضّليلُع‬،ُ‫قَاُمَلْسليٍَرم‬ :‫بْ ين َمالي ٍك قَا َل‬ ‫أَنَ يس‬ ‫(( َع ْن‬
‫يعْن َد َغْيير‬ ‫الْعيْليم‬ ‫فَيري َضةٌ َعلَى ُك يل‬ ‫الْعيْليم‬ ‫طَلَ ُب‬
))‫َك ُمَقلي يد اْْلَنَا يزيير الْجَْوَهَر َوالُلّْؤلَُؤ َوال َّذ َه َب‬
ความว่า จากอนัส บิน มาลิกกล่าวว่า เราะสูลลุลลอฮฺ  กล่าวว่า

“การศึกษาน้ันเป็นส่ิงท่ีจาเป็นสาหรับมุสลิมและการหวังความรู้

53

จากบุคคลท่ีไม่ใช่ผู้รู้ก็เสมือนสุกรท่ีถูกประดับด้วยเพชรพลอยและ

ทอง”

( Ibn Mājah : 224)9
Abū Dawūd, (1932 : 186) ได้กล่าววว่า “ฟูเดิล บิน อิยาด กล่าวว่า “การศึกษา

หาความรู้เพ่ือปฏิบัติเป็นสิ่งที่วาญิบสาหรับมุสลิมเนื่องจากทุกๆการปฏิบัตินั้นจะต้องยืนบนหลักการ

และเหตุผล ดังนั้นการปฏิบตั ใิ นสิ่งท่รี กู้ ็เปน็ สิง่ ที่วาญบิ อกี เช่นกัน”

al-Sayūṭiy, (n.d. : 20) ได้กล่าวว่า “อัลมุบารอก กล่าวว่า แท้จริงการศึกษาเป็น
วาญิบสาหรับทุกคนเพ่ือป้องกันต่อส่ิงที่ไม่ดี และการซักถามก็จาเป็นอย่างย่ิงเพื่อให้เกิดความรู้”

และอลั ลอฮ์  จะทรงใหค้ วามเขา้ ใจในหลกั คาสอนอกี ดว้ ย ดง่ั ท่ีมรี ายงานจากอบิ นิ ชฮี ฺาบ  วา่

َ‫ ََيس ْع ُت ُمَعا يويَة‬،‫ قَا َل َُحَْي ُد بْ ُن َعْب يد الَّرَْحَ ين‬:‫ قَا َل‬،‫(( َع ين ابْ ين يشَها ٍب‬
‫يُيريد اََّّللُ بييه‬ ‫يـَُقوُل َم ْن‬ ‫َو َسَلَّم‬ ‫َخ يطيباا يـَُقوُل ََيس ْع ُت الَنّي َّب َصَلّى اللهُ َعلَْييه‬
ُ‫َه يذيه اْلَُّمة‬ ‫َولَ ْن تَـَزا َل‬ ‫يـُْع يطي‬ ُ‫ َوإيَّنَا أَنَا قَا يسٌم َواََّّلل‬،‫َخْيارا يـَُفيق ْههُ يفي ال يدي ين‬
))‫ لاَ يَ ُضُّرُه ْم َم ْن َخالََف ُه ْم َحَّت ََيْيِتَ أَْمُر اََّّللي‬،‫قَائيَمةا َعلَى أَْمير اََّّللي‬
ความว่า จากอิบนิ ชีฮฺาบ กล่าวว่า ฮุมัยด บิน อับดุลรอฮฺมานได้ฟัง

คุฏบะฮจฺ ากมอุ ฺาวียะฮฺและเลา่ วา่ นบี  ไดก้ ล่าวไว้วา่ “เม่ืออัลลอฮ์
ทรงประสงค์ให้บ่าวคนหน่ึงได้รับความดีงาม อัลลอฮ์ก็จะให้เขามี

ความเข้าใจในศาสนา แทจ้ ริงฉนั เปน็ คนสั่งสอนและอลั ลอฮเ์ ป็นผใู้ ห้

และประชาชาตินี้จะยืนบนการการปฏิบัติตามอัลลอฮ์ซึ่งไม่มีผู้ใดที่

สามารถสร้างความเดอื ดรอ้ นต่อเขาในบรรดาคนท่ีเห็นต่างจนถึงวัน

กยิ ามะฮฺ”

(al-Bukhāriy : 71)
Zainu al-‘Aābidīn al-Haddādiy, (1934 : 189) ได้กล่าวว่า “ถ้าไม่มีบรรดาผู้รู้
ท่ีได้ส่ังสอนความรู้ แยกแยะในเรื่องท่ีฮะลาล และฮะรอม ความหายนะคงจะเกิดข้ึนกับมนุษย์ และ

สัตว์ตลอดจนปลาท่ีอยู่ในทะเล ด้งน้ันก็สมควรอย่างยิ่งท่ีทรัพย์สิ่งท้ังหลายจะกล่าวอิสติฆฟารต่อผู้ท่ี

แสวงหาความรู้”

9อลั อลั บานีย์ กล่าววา่ เปน็ ฮะดษี เศาะเหยี ฮโฺ ดยไมม่ ีคาวา่ การหวังความร้จู ากบคุ คลซึ่งเปน็ ฮะดษี เฏาะอฟี สุดๆ

54

Izzuddīn, (n.d. : 688) ไดก้ ล่าววา่ “ฮะดษี นเ้ี ป็นอะดษี ทีย่ กระดับผูท้ ี่ศึกษาหาความรู้

ซ่ึงอัลลอฮ์  จะทรงตอบแทนการกระทาน้ันด้วยการตอบแทนที่มหาศาล ส่วนความหมายของความ
เข้าใจในศาสนานนั้ คือการเรียนรูห้ ลกั การอิสลามที่ประกอบดว้ ยสิง่ ท่ีเปน็ ฮะลาล และฮะรอม

ดังน้ันการส่งเสริมการศึกษาสามารถปกป้องบุคคลต่อสิ่งที่ไม่ดีโดยเฉพาะการศึกษา
ในเรื่องที่เกี่ยวกับศาสนาซ่ึงศาสนานั้นจะถูกนามาปฏิบัติในชีวิตประจาวัน และจาเป็นต้องยืนบนฐาน
ของความรู้ท่ีถูกต้องไม่เช่นน้ันจะถือว่าการปฏิบัตินั้นจะสูญเปล่าโดยไม่ได้รับการตอบแทนใดๆ

จากอัลลอฮ์ 
(2) การสง่ เสริมการศกึ ษาในสถาบันครอบครัว
ครอบครัวก็เป็นสถาบันหน่ึงในสังคมที่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของผู้นาตั้งแต่เกิด

จนถึงเสียชีวิต ซ่ึงผู้นาจะมีการดูแลตั้งแต่การตั้งช่ือให้ทารกแรกเกิด การสมรสตามหลักการศาสนา
การอบรมก่อนแต่งงานและหลังแต่งงาน การให้คาปรึกษาในชีวิตคู่ การขอช่วยในเวลาที่มีปัญหาและ
การอาบน้าศพในเม่ือเสียชีวิตลง ซึ่งเป็นวงจรชีวิตที่เกิดข้ึนกับผู้นา และผู้นาเองก็ต้องปฏิบัติโดยไม่
สามารถปฏิเสธได้ เนื่องจากต้องการให้สถาบันครอบครัวอยู่ในกรอบของศาสนา ซงึ่ สถาบันครอบครัว
นั้นเป็นส่วนสาคัญในการดูแลบุตรหลานให้อยู่ในครรลองของศาสนาหรือใน ความบริสุทธ์ิของอิสลาม

ดงั่ ทม่ี ีรายงานจากจากอบฮี ุรอยเราะฮฺ 
‫يَُم(َو(يَجسََعلََّسمْننييهُاَكيَِْكُّبلَمثََُمهيْلَوريُْلـاَْلروَةبٍَديهَيريُـَميْضويةَلَيُتدـُْنـاتَلَلعُهلَُج اىَعلْنبَاهيُْلهييفقََماطْةَََرليةَهَفْقَلاَابَـتَـََلَوراَُهىر ُسيفيـُْيوَهَهُيولاَداالَجنيليهْيهد َاعَاَْصَوءلَّ)يىـُ)نَ اليصلُهَرنييهَعلَاَْيْيوه‬
ความว่า จากอบีฮุรอยเราะฮฺกล่าวว่า เราะสูลลุลอฮฺ  กล่าวว่า
“เด็กทุกคนเกิดมาบนกมลสันดานอันบริสุทธ์ิ แต่แล้วผู้เป็นพ่อแม่
นั่นเองท่ีทาให้เขาเป็นยิวหรือเป็นคริสต์หรือเป็นมะญูซีย์เสมือนกับ
สตั ว์เล้ียงที่คลอดลูกออกมาท่ีสมบูรณ์โดยไม่มีอะไรที่ขาดหายในตัว
ของสตั วน์ ั้น”
(al-Bukhāriy : 1385)
al-Shaukāniy, (1993 : 133) ได้กล่าวว่า “บุตรทุกคนเกิดมาบนความบริสุทธ์ิจาก

อัลลอฮ์  และเมื่อบุตรน้ันได้เสียชีวิตหลังจากคลอดโดยไม่มีปัจจัยอ่ืนท่ีบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงใน
ศาสนา บตุ รคนน้ันจะเสียในศาสนาเตาฮดี เช่นเดียวกัน

55

ด้วยเหตุดังกล่าวอัลลอฮ์  จึงได้บอกแนวทางในการส่ังสอนบุตรในอัลกุรอาน ซ่ึงมี

บางสูเราะฮฺท่ีได้เจาะจงในการส่ังสอนบุตร เช่นในสูเราะฮฺลุกมาน และนบีก็ใด้กาชับต่อบิดามารดาใน

การส่ังสอนบุตรด้วยการอบรมในเชิงปฏิบัติที่เป็นพื้นฐานของการเป็นมุสลิม เช่นการละหมาด ดั่งท่ีมี

รายงานจากอมุ รั บนิ ชุอยั บ 

‫(( َع ْن عُ َمُروبْ ُن ُشَعْي يب َع ْن اَبيْييه َع ْن َجدهي قَا َل قَا َل َر ُسْوُل الليه َصَلّى‬
َ‫اَبْـنَاء‬ ‫َوا ْضيرُّبُْم‬ ‫يسنيْيَن‬ ُ‫اَبْـنَاء‬ ‫َوُهم‬ ‫اَْوَلاَدُك ْم ِيبل َّصلَاية‬ ‫اللهُ َعلَْييه َو َسَلَّم ُمُرْوا‬
))‫يفْي الْ َم َضا يجيع‬ ‫َع َشَر َو فَـيرقـُْوا بـَْيـنَـ ُه ْم‬
ความว่า จากอุมัร บิน ชุอัยบ จากพ่อของเขา จากลุงของเขากล่าว

ว่า เราะสูลลุลอฮฺ  ได้กล่าวว่า จงใช้บุตรหลานของพวกท่าน

ละหมาดเม่ือพวกเขาอายุ 7 ขวบและจงตีพวกเขาเม่ืออายุ 10 ขวบ

และจงแยกท่ีนอนของพวกเขา”

(Abū Dawūd : 495)10
al-‘Uthaimin, (1957 : 167) ได้วางบทในเรื่องของการละหมาด และกล่าวว่า
“เป็นการวาญิบสาหรับครอบครัวในการกาชับบุตรให้ละหมาดเม่ือบรรลุนิติภาวะ และต่อทุกคนท่ีอยู่

ภายใตก้ ารดูแลใหป้ ฏบิ ตั ติ ามคาสัง่ ใช้ และคาส่งั ห้ามจากอลั ลอฮ์ ”

‘Izzuddīn, (n.d. : 249) ไดก้ ลา่ วอกี ว่า “นค่ี อื คาส่ังทอี่ ยูภ่ ายใต้อายะฮฺ
﴾...‫﴿ قُ ْل ليعيبَايد َي اَلّ يذي َن آَمنُوا يُيقي ُموا ال َّصلاَة‬

ความวา่ “จงกลา่ วแก่ปวงบา่ งผู้ศรัทธาของขา้ วา่ ให้พวกเขาดารง

การละหมาด…”

(อบิ รอฮีม:31)

แท้จรงิ นบีมุฮมั มัด  ได้กาชับบรรดาเศาะฮาบะฮฺ  ในการละหมาดดังนั้นพวกเรา

ก็ถกู กาชบั จากอลั ลอฮ์  ดว้ ยเช่นกนั ”

ดังนั้นบทบาทของบิดามารดา และผู้นาถือเป็นบทบาทที่มีความสัมพันธ์กัน โดยการ

ให้ความสาคัญในเรื่องการศึกษาต่อบุตร การสร้างบรรยากาศในบ้านเสมือนสวนสวรรค์ การเอาใจใส่

บุตรต่อเพ่ือนที่บุตรคบหาสมาคม การห้ามในส่ิงที่ไม่ดี การไม่ยอมแพ้กับปัญหาที่เกิดขึ้นถึงแม้ปัญหา

10 อลั อลั บานีย์ กล่าวว่า เปน็ ฮะดษี เศาะเหยี ฮฺ

56

เหล่านั้นต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหาก็ตามเพื่อนาพาบุตรไปสู่การเป็นบ่าวที่ดีของอัลลอฮ์  และเป็น

บุตรทกี่ ตัญญูตอ่ บิดามารดาและเป็นความหวังของสงั คมอีกดว้ ย

(3) การส่งเสริมการศึกษาในสถาบนั มัสยดิ

มัสยิดถือเป็นศูนย์กลางด้านจิตใจของมุสลิมในชุมชนหนึ่งๆ โดยท่ัวไปทางมัสยิดจะ

จัดตารางการเรียนการสอนท่ีเป็นระบบ เช่นการเรียนตาดีกา การเรียนกิตาบ การบรรยายธรรมใน

เรื่องของศาสนาในวันสาคัญ การบรรยายเหตุการณ์ท่ีกาลังเกิดขึ้นในโลก การบรรยายถึงสถานการณ์

โลกมุสลิมปัจจุบันและอื่นๆ โดยมีกลุ่มเป้าหมายท่ีหลากหลาย มีผู้สูงอายุ เยาวชน สุภาพสตรีรวมทั้ง

เด็กๆโดยมีการเชิญผู้รู้จากภายนอกมาเป็นวิทยากร และกิจกรรมน้ันก็เกิดข้ึนในมัสยิดของชุมชน

มาเปน็ มายาวนานเพ่ือต้องการความโปรดปรานจากอลั ลอฮ์  ดง่ั ทีม่ รี ายงานจาก อบฮี รุ อยรอฮฺ 
‫َما ا ْجتَ َم َع قَـْوٌم‬:‫ َع ين الَنّييب َصَلّى اللهُ َعلَْييه َو َسَلَّم قَا َل‬،‫(( َع ْن أَيِب ُهَريْـَرَة‬
،‫ يـَْتـلُوَن كيتَا َب اََّّليل َويـَتَ َداَر ُسونَهُ بـَْيـنَـ ُه ْم‬،‫يفي بـَْي ٍت يم ْن بـُيُو يت اََّّليل تَـَعالَى‬
))...ُ‫إيَّلا نـََزلَ ْت َعلَْييه ُم ال َّس يكينَة‬
ความว่า จากอบีฮุรอยเราะฮฺ จากนบี  กล่าวว่า “ไม่ว่ามีกลุ่มชน

ใดที่รวมตัวกัน ณ บ้านหลังหนึ่งหลังใดของอัลลอฮ์  เพ่ือร่วมกัน
อ่านคัมภีร์ของพระองค์และศึกษาหาความรู้จากคัมภีร์นั้น กลุ่มชน
นั้นจะได้รับความสุขสงบและความเมตตาก็จะเข้าปกคลุมพวก
เขา…”

(Abū Dawūd : 1455)11
Zainu al‘Aābidīn al-Haddādiy, (1934 : 338) ได้กล่าวว่า “ไม่มีการรวมตัวกัน

ของกลุ่มคนมัสยิดหรือสถานที่ท่ีสามารถเปรียบเสมือนมัสยิดเช่นโรงเรียนและอ่ืนๆยกเว้นสถานที่น้ัน

ไดร้ ับการเปรยี บเทยี บจากนบีเสมือนสวนสวรรคบ์ นโลก ดง่ั ทม่ี รี ายงานจากอบฮี รุ อยรอฮฺ 

‫ قَا َل قَا َل َر ُسوُل اََّّللي َصَلّى اََّّللُ َعلَْييه َو َسَلَّم إيَذا َمَرْرُْت‬،‫(( َع ْن أَيِب ُهَريْـَرَة‬
‫بييرََي يض الجََنّية فَاْرتَـعُوا قُـْل ُت ََي َر ُسوَل اََّّليل َوَما يرََي ُض الجََنّية؟ قَا َل‬
‫َيَّّليل‬ ‫َواْلَْم ُد‬ ‫اََّّليل‬ ‫ُسْب َحا َن‬ ‫قَا َل‬ ‫اََّّللي؟‬ ‫َر ُسوَل‬ ‫الَّرتْ ُع ََي‬ ‫َوَما‬ ‫اَلومَلَاَسإايلَيَهج ُإيدَّلاقُـْلاََّّللُُت‬
))ُ‫أَ ْكبَر‬ ُ‫َواََّّلل‬

11 อัล อลั บานยี ์ กล่าววา่ เปน็ ฮะดษี เศาะเหียฮฺ

57

ความว่า จากอบีฮุรอยเราะฮฺกล่าวว่า เราะสูลลุลอฮฺ  กล่าวว่า
“เม่ือใดเจ้าได้เดนิ ผา่ นสวนของชาวสวรรค์เจ้าก็จงกลา่ วเศาะฮาบะฮฺ
ถามว่าอะไรคือสวน ของช าวสวรรค์ ท่ าน ตอบ ว่า มั สยิด
และเศาะฮาบะฮฺถามต่อว่า อะไรคือคากล่าวเหล่าน้ันโอ้ท่าน
เราะสูล  ท่านเราะสูลลุลอฮฺ  กล่าวว่า คือคาว่า สุบฮานัลลอฮ
วลั ฮัมดลุ ิลลาฮ วะลาอลิ าฮ อิลลลั ลอฮ วลั ลอฮฮุอกั บัร”

(al-Tirmidhīy : 3509)12
Ibn Hajar, (1957 : 210) กล่าวว่า “การราลึกถึงอัลลอฮ์  นั้นหมายถึงการปฏิบัติ
ตามคาส่ังของอัลลอฮ์  อย่างสม่าเสมอในส่ิงที่วาญิบหรือสุนนะฮฺ เช่นการอ่านอัลกุรอาน อ่านฮะดีษ
การเรยี น การสอน การละหมาดสุนนะฮแฺ ละการราลึกถงึ อัลลอฮ์ ”
ดังน้ันมัสยิดถือเป็นสถานที่สาคัญของชุมชนโดยมีการรวมตัวกันในทุกๆเวลา
ละหมาด ซ่ึงการละหมาดน้ันเป็นสิ่งท่ีวาญิบสาหรับมุสลิมมิหนาซ้ามัสยิดไม่ใช่เป็นสถานประกอบ
ศาสนกิจอย่างเดียวแต่ยังเป็นที่ขัดเกลาจิตใจด้วยกิจกรรมที่หลากหลายและพร้อมท่ีจะได้รับความ
โปรดปรานจากอัลลอฮ์  ด้วยกจิ กรรมทม่ี ีประโยชนอ์ ีกด้วย
2.1.3.3 บทบาทด้านกิจกรรม
กิ จ ก ร ร ม ท่ี เกิ ด ข้ึ น ใน มั ส ยิ ด ถื อ เป็ น กิ จ ก ร ร ม ท่ี เกิ ด ข้ึ น ม า ตั้ ง แ ต่ มี มั ส ยิ ด เกิ ด ข้ึ น
มกี ิจกรรมที่หลากหลาย ซึ่งกิจกรรมทส่ี ามารถสร้างความเข้าใจในหลักคาสอน จนเกดิ การเปลย่ี นแปลง
พฤติกรรมหรอื ความคิดของบุคคล มกี ิจกรรมที่สามารถสรา้ งความเป็นผนู้ าท่ีพร้อมจะแทนผู้นาท่ีมีอยู่
โดยมีโครงสร้างท่ีชัดเจนในการแบ่งภาระงานท่ีทางมัสยิดต้องปฏิบัติเป็นฝ่ายๆ มีฝ่ายดะอฺวะฮฺ ท่ีมี
หน้าทอ่ี ยา่ งหน่ึง ฝา่ ยตัรบิยะฮฺกม็ ีหน้าทอ่ี กี อย่างหน่ึง
ก. การดะอวฺ ะฮฺ
มั ส ยิ ด ถื อ เป็ น ส ถ า น ท่ี ป ร ะ ก อ บ ศ า ส น กิ จ แ ล ะ ส ถ า น ที่ ใน ก า ร จั ด กิ จ ก ร ร ม ที่ มี
ความสาคัญในชุมชน โดยมีกิจกรรมท่ีเป็นรายวัน รายสัปดาห์ รายปีและมีกิจกรรมท่ีเกิดขึ้นสืบเน่ือง
นโยบายของรัฐหรือองค์กรบริหารส่วนท้องถิ่น ซึ่งกิจกรรมท่ีเกิดขึ้นในมัสยิด ล้วนแต่เพื่อสร้าง
ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน และเพื่อสร้างความเข้าใจถึงแนวทางการปฏิบัติต่างๆท่ีเกิดข้ึนในสังคม

12 อลั อัลบานีย์ กล่าววา่ เปน็ ฮะดษี เฏาะอฟี

58

และยังมีกิจกรรมท่ีมัสยิดจัดข้ึนเพื่อจะสร้างความเข้าใจต่อหลักคาสอนของศาสนาอีกด้วย เช่น
การเชิญชวนหรอื การดะอวฺ ะฮฺ

Ibn Taimiyyah, (1995 : 157) ได้กล่าวว่า “ดะอฺวะฮฺคือการเชิญชวนมนุษย์ไปสู่

การศรัทธาต่ออัลลอฮ์  และปฏิบัติตามคาสอนของนบีมุฮัมมัด  ด้วยการศรัทธาที่ม่ันคงต่อคาสอน
และการปฏบิ ตั ิตาม

Sayyid Muhammad Nuh, (2000 : 14) ได้กล่าวว่า “มุฮัมมัด เซาววาฟ กล่าว

ว่า ดะอฺวะฮฺ เป็นสารจากฟากฟ้าที่อัลลอฮ์  ได้ประทานลงมายังโลกนี้ท่ีครอบคลุมด้วยทางนาและ

เป็นหนทางเดียวในการกลบั ไปหาอลั ลอฮ์ ”

ดังน้ันการเชิญชวนมนุษย์โดยนาสารจากอัลลอฮ์  ถือเป็นสิ่งสาคัญในการช้ีทาง

ให้กับบุคคลไปสู่ความศรัทธาต่ออัลลอฮ์  และปฏิบัติตามนบีมุฮัมมัด  หากปราศจากดะอฺวะฮฺ

มนษุ ย์ทุกคนจะตอ้ งอยใู่ นความมืดทีไ่ ม่สามารถพบเจอความสวา่ งอยา่ งแน่นอน

อลั ลอฮ์  ไดต้ รสั ในอัลกุรอานวา่

‫أََوْعلََجاُميدِِْيلبُلْْمُمِْيهبتََلّيتيديي َنيه﴾َي‬ ‫َرََبسّبييَكيل ُهَرَبيو أََكْعلَِيبُمْْيبليمَْْكنَميةَض ََوّلالْ َمَعْوْنيعظََسيةبييليايهْْلََوَسُهنََوية‬ ‫﴿ا ْدعُ إيلَى‬
‫أَ ْح َس ُن إي َّن‬
ความว่า “จงเรียกร้องสู่แนวทางแห่งพระเจ้าของสูเจ้าโดยสขุ ุมและ

การตักเตือนท่ีดี และจงโต้แย้งพวกเขาด้วยส่ิงท่ีดีกว่า แท้จริง

พระเจา้ ของพระองค์ทรงรู้ดถี งึ บรรดาทหี่ ลงผิด และพระองคท์ รงรู้ดี

ยิง่ ถงึ บรรดาผู้ทอี่ ยู่ในทางทีถ่ กู ต้อง”

(อันนะฮลุ : 125)

al-Ṭabariy, (2000,a.17 : 321) ได้กล่าวว่า“อัลลอฮ์  ได้ทรงตักเตือนนบีมุฮัมมัด

 ด้วยคาว่า จงเรยี กร้อง โอ้มุฮัมมดั  ด้วยการขอดอุ าเพื่อปฏิบัติตามคาสั่งของอัลลอฮ์  ส่แู นวทาง

แห่งพระเจ้า คือศาสนาอิสลาม โดยสุขุมหมายถึงโดยใช้อัลกุรอานที่อัลลอฮ์  ทรงประทานลงมาหรือ

คมั ภรี ์ทีม่ าจากอัลลอฮ์  การตักเตอื นท่ดี ี หมายถงึ การตกั เตอื นโดยใช้ภาษาทีด่ ”ี

al-Baghowiy, (1998 : 102) ได้กล่าวว่า“การตักเตือนท่ีดีควรตักเตือนด้วยคาภีร์
อัลกุรอาน และมีบางคนมีความเห็นว่า การขอเชิญชวนด้วยการส่งเสริม และการให้ความตระหนัก

59

บางคนมีความเห็นว่า คาพูดท่ีนุ่มนวลนน้ั คือคาพูดที่ไม่หยาบคายหรือรุนแรงพรอ้ มกับการโต้แย้งพวก

เขาด้วยส่งิ ทดี่ กี ว่าดว้ ยการให้เหตผุ ลและการใหข้ ้อคดิ ”

al-Qurṭubiy, (1964,a.10 : 200) ได้กล่าวว่า “อัลลอฮ์  ได้แนะนานบีในการ

ชักชวนไปสู่ศาสนา และหลกั ซะรีอะฮฺของอลั ลอฮ์  โดยใช้ความประณีตและนมุ่ นวล และหลีกห่างจาก

คาที่รุนแรงหรือคาท่ีหยาบคาย และนี่เป็นแนวทางท่ีควรนามาใช้ในการตักเตือนจนถึง วันกิ

ยามะฮฺ”

Sayyid Quṭub, (1990 : 2201) กล่าวว่า “อัลกุรอานได้วางแนวทางในการเชิญชวน

ทเ่ี ป็นหลกั การ และรูปแบบซ่ึงนบีมุฮัมมัด  และนกั เชิญชวนได้ปฏิบัตมิ า ดว้ ยเหตุน้นั จงสังเกตใหด้ ตี ่อ

หลกั การเชญิ ชวนดังกล่าว”

ดังน้ันการเชิญชวน และตักเตือนในอิสลามเป็นอีกหน้าท่ีหน่ึงของมุสลิม และผู้นา

การท่ีอัลลอฮ์  ได้กาชับให้กับนบีมุฮัมมัด  และได้วางวิธีการต่างๆในการเชิญชวนเพ่ือต้องการให้
บุคคลน้ันพร้อมท่ีจะรับฟังและพร้อมท่ีจะเปล่ียนแปลงพฤติกรรมที่ไม่ดี และเมื่อมีการตอบโต้หรือ

ไม่พอใจกับวิธีการน้ันก็ต้องหาวิธีการที่ดี เพ่ือไม่ให้เกิดปัญหาโดยเฉพาะการเชิญชวนต่อเยาวชนที่

กาลังสับสนระหว่างความดีและความช่ัว ซ่ึงความช่ัวน้ันสามารถทาให้เยาวชนคิดว่าดีเมื่อไม่มีการ

ตักเตือนต่อพฤติกรรมที่กาลังทาอยู่ และจะกลายเป็นนิสัยของเยาวชนที่ไม่สามารถห้ามอีก และ

ตกั เตือนไดอ้ ีกเลย อลั ลอฮ์  ก็ไดต้ รสั ไว้ในอัลกุรอานวา่

‫َو ُسْب َحا َن‬ ‫اَتّـبَـ َعيِن‬ ‫َوَم ين‬ ‫أَنَا‬ ‫بَ يصيَرٍة‬ ‫َعلَى‬ ‫اََّّللي‬ ‫َسبييليي أَْدعُو إيلَى‬ ‫اََّ﴿ّلليقَُوْلَماَهأَنيذَايه‬
﴾ ‫يم َن الْ ُم ْشيركيين‬
ความว่า “จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด นี่คือแนวทางของฉัน ฉันเรียกร้อง

ไปสู่อัลลอฮ์อย่างประจักษ์แจ้งทั้งตัวฉันและผู้ปฏิบัติตามฉันและ

มหาบรสิ ทุ ธิ์แหง่ อลั ลอฮ์ ฉนั มิได้อยใู่ นหมู่ตั้งภาคี”

(ยูซฟุ : 108)

al-Ṭabariy, (2000,a16 : 291) ได้กล่าวว่า “จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด  น่ีคือการเชิญ

ชวนที่ฉันได้เชิญชวน และรูปแบบที่ฉันได้ปฏิบัติคือการเชิญชวนไปสู่การศรัทธาต่ออัลลอฮ์  และการ

ทาอิบาดะฮฺเพ่ือพระองค์  องค์เดียวไม่ใช่เพื่อเจว็ด และปฏิบัติตามคาสั่ง  และละทิ้งการกระทาท่ี

ทรงห้าม ส่วนคาว่า น่ีคือแนวทางของฉัน คือ หนทางของฉัน และการเชิญชวนของฉัน” และนบีมุฮัม

60

มัด  ก็ได้กาชับบรรดาเศาะฮาบะฮฺ  ต่อแนวทางเหล่านั้น และนามาปฏิบัติตาม เน่ืองจากนบีมุฮัม
มัด  มั่นใจว่าในหนทางท่ีดีนั้นจะมีหนทางอีกมากมายท่ีพร้อมจะนาไปสู่ความหายนะ ด่ังคาตรัส
ของอัลลอฮ์  ในอลั กุรอานว่า

‫َس﴿بيَويأَليَّينه َذَهليَذاُك ْم يصَوَرا َّصيطا ُيك ْمُمبيْيهستَلَيقيَعَلّاماُك ْمفَاَتتَّـبَيتّـعُُقووهَُنَوَلا﴾ تَـَتّبيعُوا ال ُّسبُ َل فَـتَـَفَّرَق بي ُك ْم َع ْن‬
ความว่า “และแทจ้ ริงนี้คอื ทางของขา้ อันเทย่ี งตรงพวกเจา้ จงปฏิบัติ
ตามมันเถิดและอย่าปฏิบัติตามหลายๆทางเพราะมันจะทาให้พวก
เจ้าแยกออกไปจากทางของพระองค์ นั่นแหละท่ีพระองค์ได้ส่ังเสีย
มันไว้แกพ่ วกเจ้าเพื่อว่าพวกเจา้ จะยาเกรง”

(อลั อนั อาม : 153)
al-Māwardiy, (n.d. : 189) ได้อธิบายอายะฮฺที่มีความว่า “และอย่าปฏิบัติตาม
หลาย ๆ ทาง มีสามทรรศนะ คือ หน่ึง คัมภีร์ท่ีได้ลงมาก่อนซึ่งได้โมฆะด้วยอัลกุรอาน สอง คือศาสนา
ก่อนๆที่ได้โมฆะด้วยศาสนาอิสลาม สาม คือการทาเร่ืองอุตริและเร่ืองที่คลุมเครือ”และนบีมุฮัมมัด 
ได้อธิบายถงึ หนทางท่หี ลากหลายในอัลฮะดีษ ดง่ั ท่ีมรี ายงานจากอบี วาอิล 
‫((عن أِب وائل عن عبد الله قال َخ َّط رسول الله صلى الله عليه وسلم‬
‫َخ َطّا بيده ثم قا ل هذا سبيل الله مستقيما قا ل ثم خط عن يمينه‬
‫ وليَس منها سبيل إلا عليه شيطان يدعو‬،‫وشماله ثم قال هذه ال ُّسبُل‬

))‫إليه ثم قرأ َوأَ َّن َه َذا يصَرا يطي ُم ْستَيقي اما فَاَتّبيعُوهُ َوَلا تَـَتّبيعُوا ال ُّسبُ َل‬
ความว่า จากอบี วาอิลจากอับดุลลอฮ์กล่าวว่า “เราะสูล  ได้
ลากเส้นตรงด้วยมือของท่านและกล่าวว่า น่ีคือทางท่ีเท่ียงตรง
พร้อมลากเส้นแยกขวาและซ้าย”และกล่าวว่า “นี่คือเส้นทางท่ี
หลากหลายโดยที่ซัยฎอนพยายามจะชักชวนไปสู่หนทางที่ผิด และ
หลังจากน้ันท่านก็อ่านอายะฮฺท่ีมีความว่าและแท้จริงนี้คือทางของ
ข้าอันเที่ยงตรงพวกเจ้าจงปฏิบัติตามมันเถิดและอย่าปฏิบัติตาม
หลายๆทาง”

(Ahmad : 4437)13

13 อลั อัลบานยี ์ กล่าววา่ เปน็ ฮะดษี เฏาะอีฟ

61

al-Qosṭolāniy, (1901 : 305) ได้กล่าวว่า “นบีมุฮัมมัด  ได้ให้ความกระจ่างใน
หนทางที่ถูกต้อง และได้กล่าวถึงกงิ่ ก้านของหนทางต่างๆ ด้วยเหตุนั้นผู้ใดที่เดนิ ด้วยความพยายามเขา

ผู้นน้ั จะประสบความสาเรจ็ แตผ่ ู้ใดท่ีหาทางอน่ื เขาผนู้ ้นั ก็จะไปสู่นรก”

ดังนั้นหนทางในการเชิญชวนประชาชาติไปสู่สวนสวรรค์น้ันได้ถูกอธิบายจากนบี

มุฮัมมัด  ในรูปแบบที่เป็นรูปธรรม และนามธรรมที่สามารถนามาปฏิบัติได้โดยเฉพาะนักดาอีย์หรือ

ผู้นา พร้อมกับการระมัดระวังต่อหนทางที่อัลลอฮ์  ไม่ทรงปรารถนาที่ปรากฏในทุกยุคทุกสมัยด้วย

กลวิธตี า่ งๆ ถึงแม้บางคร้งั จะต้องอาศยั ความอดทนและความพยายามอยา่ งมาก

ข.การตรั บยิ ะฮฺ

การตัรบิยะฮฺเป็นอีกกิจกรรมหน่ึงท่ีเกิดขึ้นในมัสยิดสมัยนบีมุฮัมมัด  และได้

ดาเนินการมาจนถึงปัจจุบันโดยที่มัสยิดเป็นสถานท่ีเรียนอัลกุรอานตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่ เป็นสถานท่ี

ฝึกเพ่ือให้เยาวชนกล้าแสดงออก และพร้อมท่ีจะเป็นผู้นา ฝึกเป็นอิม่าม ฝึกอ่านคุฏบะฮฺ ฝึกการ

ประชาสัมพันธ์ ฝึกการเป็นพิธีกรในการบรรยาย และอื่นๆซึ่งการฝึกนั้นคือการตัรบิยะฮฺ ดั่งที่

นกั วชิ าการไดใ้ ห้ความหมาย เชน่

Najib Khālid al-Amīriy, (1994 : 22) กล่าววา่ “ตัรบิยะฮฺคือส่ิงท่ีสามารถนาพา
ไปสจู่ ุดหมายดว้ ยกระบวนการท่ีหลากหลาย”

‘Alī Abdul Halīm Mahmūd, (2000 : 20) กล่าวว่า “ตัรบิยะฮฺคือการกาหนด
เป้าหมายในโลกนี้ และโลกอาคีเราะฮฺ”

จากการอธิบายความหมายข้างตน้ สามารถสรุปได้ว่าการตัรบิยะฮหฺ รืออบรมบ่มนิสัย

เป็นอีกกิจกรรมหน่ึงที่ได้ถูกกาหนดไว้จากอัลลอฮ์  มาในการสร้างประชาชาติที่ดีเลิศโดยตาม

แบบอย่างนบีมุฮัมมัด  ท่ีได้ปฏิบัติต่อบรรดาเศาะฮาบะฮฺ  ในยุคของท่าน ซ่ึงยุคนั้นเป็นยุคมืดอีก

ยุคหน่ึงหลังการจากเว้นว่างของศาสดาของอัลลอฮ์  แต่นบีมุฮัมมัด  ก็ได้พยายามอบรมบ่มนิสัย

ด้วยกิจกรรมทีส่ ามารถเปล่ียนยุคดังกล่าวด้วยแสงสวา่ งของอิสลาม ด่ังท่ีอัลลอฮ์  ได้ตรสั ไวใ้ น อัล

กรุ อานวา่

‫يمْنـ ُه ْم يـَْتـلُو َعلَْييه ْم آََيتييه َويـَُزيكييه ْم‬ ‫َر ُسوالا‬ ‫َوي﴿ـَُعليُهَُموُهاَُلمّ يذالْييكتَابـََعَبَثَوايْفْليي ْاكَْملُةَيميَويإيَنن‬
﴾‫يمن قَـْب ُل لَيفي َضلَاٍل ُّمبييٍن‬ ‫َكانُوا‬

62

ความว่า “พระองค์ทรงเป็นผู้แต่งตั้งเราะสูลข้ึนคนหนึ่งในหมู่ผู้ไม่

รู้จักหนังสือจากพวกเขาเองเพื่อสาธยายอายาตต่างๆของพระองค์

แก่พวกเขาและทรงทาให้พวกเขาผุดผ่องและทรงสอนคัมภีร์และ

ความสุขุมคัมภีร์ภาพแก่พวกเขาและแม้ว่าแต่ก่อนนี้พวกเขาอยู่ใน

การหลงผิดอย่างชัดแจง้ ก็ตาม”

(อัลญุมุอะฮฺ:2)

al-Ṭabariy, (2000,a.23 : 372) ได้กล่าวว่า “ความหมายของคาว่าเพ่ือสาธยาย

อายาต ต่างๆของพระองค์แก่พวกเขา คือนบีมุฮัมมัด  ได้อ่านคาภีร์อัลกุรอานให้กับผู้คนที่ไม่มี
การศึกษาท่ีไดถ้ ูกประทานลงมา และทรงทาให้พวกเขาผุดผ่องคือการชาระข้ีเขลาของพวกเขาจากการ

เป็นกาฟิร และทรงสอนคัมภีร์คือการสั่งสอนกิตาบของอัลลอฮ์  ท่ีพร้อมด้วยคาสั่งใช้ คาสั่งห้ามและ

แนวทางของศาสนา และความสุขมุ คัมภรี ภ์ าพแกพ่ วกเขานัน่ กค็ ือฮะดีษ”

al-Māturidiy, (2005 : 6) ได้กล่าวว่า ทรงทาให้พวกเขาผุดผ่อง“คือการเชิญชวน

เขาไปสู่การปฏิบัติท่สี ามารถใหเ้ ป็นผทู้ ี่ฉลาด และมีใจทีย่ าเกรงต่ออลั ลอฮ์ ”
จากอายะฮฺและคาอธิบายจากอุลามาอ์ข้างต้นสามารถสะท้อนให้เห็นถึงความสาคัญ

ของการตัรบิยะฮฺ และความต่อเนื่องของกิจกรรมที่นบีมุฮัมมัด  ได้ปฏิบัติต่อบรรดาเศาะฮาบะฮฺ 

โดยจากสานวนอายะฮฺท่ีเป็นการกระทาท่ีเป็นปัจจุบันน่ันก็คือ ฟิอิล มุฏอริอฺ และการขนานนาม

จากอัลลอฮ์  สาหรบั บ่าวของพระองค์ทีไ่ ด้ทาการเรยี นการสอนด้วยคาว่า รอบบานยี ยีน(ผู้ที่ผูกพนั กับ

พระเจ้า) ดั่งท่ีอลั ลอฮ์  ไดต้ รัสไว้ในอัลกุรอานว่า

‫َُكواوْنُْلُواْك ََمرَِّبَونايليُنّـيبُـَنَّوَيةبمَاثَُمُّكيـَنتُُق ْموَلتُـ َعليليلَنُّماويَنس‬ ‫أَن يـُْؤتييَهُ الَلّـهُ الْ يكتَا َب‬ ‫ليبَ َشٍر‬ ‫﴿ َما َكا َن‬
‫يمن ُدوين الَلّـيه َولَٰـَ يكن‬ ‫ادا يل‬ ‫ُكونُوا يعبَا‬
﴾ ‫الْ يكتَا َب َوبيمَا ُكنتُْم تَْدُر ُسوَن‬
ความว่า “ไม่เคยปรากฏแก่บุคคลใดที่อัลลอฮ์ทรงประทานคัมภีร์

และข้อตัดสินและการเป็นนบีแก่เขาแล้วเขากล่าวแก่ผู้คนว่า

ท่านท้ั งห ลายจงเป็ นบ่ าวของฉัน อื่นจากอัลลอฮ์ หากแต่

(ข้าจะกล่าวว่า)ท่านท้ังหลายจงเป็นผู้ท่ีผูกพันกับพระเจ้าเถิด

เน่ืองจากการที่พวกท่านเคยสอนคัมภีร์และเคยศึกษาคมั ภีรม์ า”

63

(อาลิอมิ รอน : 79)
al-Ṭabariy, (2000,a.6 : 543) ได้กล่าวว่า “อิบนุ ซัยด์ กล่าวว่า คาว่าจงเป็นผู้ท่ี
ผกู พันกับพระเจา้ นั่นก็คอื บุคคลทีไ่ ด้ทาการส่ังสอนมนุษยซ์ ่ึงเป็นภาระหลักด้วยสร้างความเปล่ียนแปลง
ของพวกเขา”
al-Māturīdiy, (2005 : 414) ได้กล่าวว่า “มีบุคคลท่ีให้ความหมายอายะฮฺที่ว่าจง
เปน็ ผทู้ ่ีผกู พันกบั พระเจ้าน่ันก็คือบุคคลที่ได้ทาการภกั ดีต่ออัลลอฮ์  ดว้ ยการศึกษา และเรยี นรู้ อลั กุ
รอาน”
Ibn Jawziy, (2000 : 298) ได้กลา่ ววา่ “ซาอดี บิน ญบยั ร์ กลา่ ววา่ คาวา่ จงเป็นผู้
ท่ีผกู พันกับพระเจ้านั่นก็คือ บุคคลทมี่ คี วามรู้ด้านบทบัญญตั ิ และไดท้ าการส่ังสอนมนุษย์”
ดังนั้นการตัรบิยะฮฺถือเป็นงานสาคัญของผู้รู้ นักดาอีย์และผู้นาท่ีต้องปฏิบัติโดยไม่มี
วนั ส้ินสุดโดยเฉพาะการศึกษาอัลกุรอาน และบทบัญญัติของศาสนาซึง่ เป็นคาสอนของอัลลอฮ์  และ
การปฏิบัติของนบีมุฮัมมัด  จึงจาเป็นอย่างย่ิงต่อมุสลิมในยุคสมัยที่มนุษย์กาลังหลงลืมในความเป็น
บ่าวของพระองค์ซึ่งการตัรบิยะฮฺน้ันสามารถเป็นปัจจัยหนึ่งในการสร้างความคงทนต่อบททดสอบ
จากอลั ลอฮ์  และสามารถสรา้ งความเปลยี่ นพฤติกรรมของบุคคลอีกด้วย

2.2 บทบาทของมสั ยดิ ในสมยั นบีมุฮมั มดั 

2.2.1 ความสาคัญของมัสยิด
อสิ ลามเป็นศาสนาท่ีใหค้ วามสาคญั ต่อมสั ยิดเป็นอย่างมาก โดยเนน้ ถึงความสาคญั ใน

รูปแบบการก่อสร้าง และการมีความส่วนร่วมในการสร้างความมีชีวิตชีวาในมัสยิดด้วยการเรียน
การสอน การอบรมบม่ นสิ ัย การแนะนา การแกป้ ัญหา และการตกั เตือนในทุกๆวันซ่ึงกจิ กรรมดังกล่าว
จะปรากฏอย่างชัดเจนในสมัยนบีมุฮัมมัด  ต้ังแต่การสร้างมัสยิดท่ีเป็นภารกิจหลักท่ีนบีมุฮัมมัด 
ได้ ป ฏิ บั ติ ทุ ก ค รั้ ง เม่ื อ ท่ า น เข้ า สู่ เมื อ ง ๆ ห นึ่ ง ซ่ึ ง ส า ม า ร ถ ส ะ ท้ อ น ให้ เห็ น ถึ ง ค ว า ม ส า คั ญ อ ย่ า ง ย่ิ ง
และการที่อัลลอฮ์  ทรงบัญชาให้ท่านนบีต้องเดินทางในคืนอิสรออฺและมิอฺรอจฺจากมัสยิดสู่มัสยิด
และกลับมายังมัสยิดที่เป็นปลายทางของการเดินทาง ก็เป็นอีกหลักฐานหน่ึงที่บ่งบอกถึงความสาคัญ
ของมสั ยิดอกี เช่นกนั

64

Musṭofa Sibā‘iy, (1985 : 74) ได้กล่าวว่า “เม่ือนบีมุฮัมมัด  ถึงนครมะดีนะฮฺ
สิ่งแรกท่ีท่านทาคือการสร้างมัสยิด ดังน้ันการสร้างมัสยิดสามารถบ่งบอกถึงความสาคัญในอิสลาม
และวัตถุประสงค์ของอิบาดะฮฺในอิสลามล้วนแต่ยืนบนหลักการเพ่ือสร้างจิตใจ ทีส่ ะอาด บม่ เพาะนิสัย
ท่ีดี การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมุสลิมด้วยการละหมาดที่เป็นญะมาอะฮฺ และการละหมาดญุมอัต
รวมถึงการละหมาดอีดก็เป็นอัตลักษณ์หน่ึงในการสร้างความเป็นหนึ่งที่ยืนบนหลักความดี และตักวา
มสั ยิดเป็นงานสังคม และงานจติ ใจทีอ่ ยู่ในตัวของมสุ ลมิ รวมทงั้ เป็นสถานที่สร้างความเป็นเอกภาพของ
มุสลิม ขัดเกลาจิตใจ ตักเตือนสติ แก้ปัญหาสังคม และพร้อมที่จะนาเสนอการเปลี่ยนแปลง
เชงิ ประจกั ษ์ต่อโลกมสุ ลมิ ”

Al-Ghazāli, (1970 : 189) ไดก้ ล่าววา่ “แท้จรงิ มัสยิดในมุมมองอสิ ลามคือสถานที่
บัญชาการด้านจิตใจ และวัตถุเสมือนสนามเพื่ออิบาดะฮฺ โรงเรียนเพื่อการศึกษา และอบรมจริยธรรม
และแท้จริงมัสยิดได้เสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกันด้วยการละหมาด ที่มีการยืนในแถวเสมือน
มารยาท และการตามเสมือนหัวใจในอิสลามแต่ในเมื่อมนุษย์ได้หลงทางจากการขัดเกลาจิตใจด้วย
มารยาทที่ดีจนเป็นสาเหตุที่ทาใหเ้ กิดความขับแคบในมัสยิด และทาให้ผู้ละหมาดอยใู่ นสภาพที่ตา่ งกัน
กับบรรดาซะลัฟซ่ึงพยายามหลีกห่างกับการสร้างมัสยิดที่ประดับประดาด้วยความสวยงาม แทนที่จะ
ประดบั ประดาด้วยการอบรมคณุ ธรรมจริยธรรม”

การสร้างมัสยิดในสมัยปัจจุบันที่ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดข้ึนในสังคมมุสลิม แต่
อย่างไรก็ตามมุสลิมไม่ควรพอใจกับการสร้างมัสยิดด้วยงบประมาณที่มากมาย และการสร้างมัสยิดได้
เติบโตอย่างรวดเร็วในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยเหตุผลท่ีหลากหลาย มีบางมัสยิดสร้างเพ่ือให้
เกิดความสะดวกในการปฏิบัติศาสนกิจโดยไม่ต้องใช้ระยะทางท่ีไกล บางมัสยิดสร้างเพ่ือต้องการ
จัดกิจกรรมที่ทางมัสยิดเดิมไม่ได้จัด และบางมัสยิดสร้างเพื่อจัดกิจกรรมอิอฺติกาฟในเดือนรอมฎอน
อันประเสริฐพร้อมกันนั้นได้พบว่า การสร้างมัสยิดมีความเติบโตเป็นระยะๆถึงแม้จะไม่ได้รับการ
รับรองจากคณะกรรมการอิสลามประจาจงั หวดั ด้วยเง่ือนไขต่างๆในการสร้างมสั ยดิ หน่ึงๆในชุมชนก็ตาม

วนิ ัย สะมะอุน, (2539) ได้กล่าวในบทนาว่า “มสั ยิดไม่ได้มีความหมายเพียงสถานท่ี
ปฏบิ ตั ิศาสนาเท่านัน้ แต่ตามประวัตเิ ป็นองคก์ ารบริหารอิสลามโดยตรง”

Miftah Farīd, (1997 : 205) ได้กล่าวว่า “มัสยิดในสมัยความรุ่งเรืองของอิสลาม
ไมไ่ ดเ้ ปน็ สถานท่เี ฉพาะกจิ กรรมศาสนา และวฒั นธรรมแตม่ สั ยิดเป็นสถาบันการบรหิ ารทสี่ ามารถสรา้ ง
ครอบครวั สงั คม และสรา้ งอารายธรรมอสิ ลาม”

65

ดังนั้นมัสยิดเปรียบเสมือนเป็นหัวใจหลักของชุมชนในการขับเคล่ือนกิจการใน
ทกุ ๆ ด้าน ไม่ว่าด้านการมไี มตรีจติ ทีด่ ีกับมวลมนษุ ย์ด้วยกนั หรือด้านการมีความสัมพนั ธท์ างจติ ใจท่เี ลิศ
กับเอกองค์อัลลอฮ์  ในฐานะผู้สร้างสากลโลก ซึ่งเมื่อความสัมพันธ์เหล่านั้นเกิดขึ้นก็จะสามารถ
สะท้อนให้โลกรับรู้ถึงความเป็นมิตรที่ดีของบุคคลท่ีเป็นมุสลิม ด่ังที่เกิดข้ึนในสมัยความรุ่งเรืองของ
อิสลาม

2.2.2 บทบาทมัสยดิ ในสมัยนบมี ุฮัมมัด 
บทบาทของมัสยิดในสมัยนบีมุฮัมมัด  สามารถสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นนักบริหาร

ของนบีในการสร้างสังคมท่ีดี โดยผ่านศาสนสถาน ซึ่งมัสยิดถือเป็นศาสนสถานที่สาคัญและเป็น
สัญลักษณ์ที่ปรากฏคู่กันกับสังคมมุสลิมในอดีต และปัจจุบันโดยมีการประกอบศาสนกิจตลอดเวลา
พรอ้ มกับการขัดเกลาจิตใจให้เป็นบ่าวท่ีดีต่ออัลลอฮ์  ดงั น้ันมัสยิดสมัยนนบีเป็นมัสยิดท่ีไมใ่ ช่อาคารที่
ไร้วิญญาณ ที่เปิดปิดบางเวลา แต่เป็นมัสยิดที่มีบทบาทท่ีสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อชุมชน
และสังคม และเป็นเกราะกังบังในส่ิงที่ไม่ดีในชุมชน และสังคม ด้วยเหตุนั้นมัสยิดจึงกลายเป็น ศาสน
สถานที่บรรดาเศาะฮาบะฮฺ  คุ้นเคยเป็นอย่างดี และสามารถสะท้อนบทบาทของมัสยิดในสมัยนบี
ต่อประชาชาติอิสลาม เพื่อนามาเป็นแบบอย่างโดยบทบาทนั้นมีหลากหลายบทบาทที่เห็นได้ชัดเจนมี
ดังนี้

2.2.2.1 สถานทีป่ ระกอบศาสนกจิ
มัสยิดเป็นคาภาษาอาหรับซึ่งมาจากคาว่า สาญาดา ความหมายคือ การถ่มตน
การภักดีหรือการสุญุด14 ดังน้ันการปฏิบัติศาสนกิจ(ละหมาด)และสรรเสริญอัลลอฮ์  คือเป้าหมาย
หลักของมัสยิด ด้วยเหตุนั้นกิจกรรมท่ีมีในมัสยิดล้วนแต่ยืนบนกรอบการสรรเสริญต่ออัลลอฮ์  ทงั้ สิ้น
ดง่ั ทอ่ี ัลลอฮ์  ได้ตรสั ไว้ในอัลกุรอานว่า

﴾‫﴿َوأَ َّن الْ َمسا يج َد َيَّّليل فَلا تَْدعُوا َم َع اََّّللي أَ َحدا‬
ความว่า “และแท้จริงบรรดามัสยิดน้ันเป็นของอัลลอฮ์ ดังน้ันพวก
เจ้าอยา่ วงิ วอนขอผใู้ ดเคียงคกู่ บั อัลลอฮ์”

(อลั ญนิ : 18)

14 ลีซาน อลั อะฺ รบั หนา้ 204

66

al-Baghawiy, (1963 : 161) ได้อธิบายว่า “มัสยิดเป็นสถานที่ที่สร้างขึ้นมาเพ่ือ
ประกอบศาสนกจิ ราลึกถึงอลั ลอฮ์  ดังนนั้ จงอยา่ ตง้ั ภาคีกับอัลลอฮ์ ”

และมรี ายงานจากอบิ นุ อมุ รั 
‫يـَ(ْع(تََعيكين اُفبْ يينفيعُالَْمَعَر ْشَريريضاَْيلََواالليهُخيرَعْنيـمُهْنَماَرَمأَ َّنَضاالََننّي)َّ)ب َصَلّى اللهُ َعلَْييه َو َسَلَّم َكا َن‬

ความวา่ จากอิบนุอุมัร กล่าวว่า “ทา่ นเราะสลู ได้ทาการอิอฺตกิ าฟ
ในช่วงสบิ วนั สดุ ท้ายในเดือนเราะมะฏอน จนกระท่ังอัลลอฮไ์ ด้เอา
ชีวติ ของท่าน”

(Muslim : 1171)
ดังนั้นการปฏิบัติศาสนกิจสามารถสร้างความตระหนักถึงการเป็นบ่าวที่ดี และการ
ตอกย้าจติ สานึกของความเปน็ บา่ วท่ีดีอยา่ งตอ่ เนือ่ งต่อเอกอัลลอฮ์  ผู้ทรงย่ิงใหญ่โดยท่ีนบีมุฮัมมัด 
ได้เน้นยา้ ตอ่ บรรดาเศาะฮาบะฮฺ  ดว้ ยวาจาและการปฏิบตั ิจรงิ
2.2.2.2 สถานทพ่ี บปะ
มัสยิดเป็นสถานท่ีที่นบีมุฮัมมัด  และเศาะฮาบะฮฺ  ได้ทาการพบปะบ่อยคร้ัง
และการพบปะที่มัสยิดไม่ใช่เป็นการพบปะภายนอกอย่างเดียว แต่เป็นการพบปะระหว่างจิตใจ
ความคิด จนถึงสามารถสร้างความสนิทสนมที่เน้นเฟ้นระหว่างกัน พร้อมสามารถสร้างความเป็นบ่าว
ทดี่ ีอีกด้วย และยังเปน็ ปจั จัยอยา่ งหน่ึงในการสรา้ งความมบี ทบาทของมัสยดิ น้ันๆ
การพบปะในอิสลามเป็นส่ิงท่ีอิสลามได้วางไว้อย่างเป็นระบบ โดยพระองค์ทรงวาง
แนวทางเพื่อให้เกิดการพบปะระหว่างมุสลิมด้วยกันที่ต่อเนื่อง โดยแบ่งเป็นรายวัน รายสปั ดาห์ รายปี
และพร้อมกับผลตอบแทนท่ีเป็นตัวเลขท่ีสามารถบอกถึงความต่างระหว่างสองกิจกรรม คือ
การละหมาดคนเดียวกับการละหมาดญามาอะฮฺ ซึ่งถ้าสงั เกตแลว้ สถานที่ท่ีสามารถสรา้ งบรรยากาศใน
การพบปะที่เป็นระบบน้ัน ล้วนแต่เกิดข้ึนในมัสยิดด้วยการละหมาดและเป็นคุณลักษณะของบุคคลที่
ต้องได้รบั การตอบแทนจากอัลลอฮ์  ดั่งท่อี ลั ลอฮ์  ตรสั ไว้ในอลั กรุ อานวา่
‫﴿ يفي بـُيُو ٍت أَيذ َن اََّّللُ أَ ْن تـُْرفَ َع َويُْذَكَر فييَها اَْسُهُ يُ َسبي ُح لَهُ يفيَها ِيبْلغُُد يو‬

﴾‫َواْلآ َصايل‬

67

ความว่า “ในบรรดาบ้าน (หมายถึงมัสยิด) อัลลอฮ์ทรงอนุญาตให้
เทิดพระเกียรติและให้พระนามของพระองค์ถูกราลึกอยู่เสมอ
เพื่อที่จะแซ่ร้องสดุดีแด่พระองค์ในน้ันทั้งในยามเช้าและยาม
พลบคา่ ”

(อันนูร : 36)

Alī al-Shābūniy, (1997 : 312) ได้กล่าวว่า “มัสยิดเป็นเสมือนบ้านที่อัลลอฮ์ 
ทรงอนุญาตให้เทิดพระเกียรติ ทรงส่ังบ่าวของพระองค์ด้วยการสร้างมัสยิด และทรงสมยามนามชื่อท่ี

เฉพาะพรอ้ มกบั การสรรเสริญและยกระดบั มสั ยดิ เพ่อื เปน็ อัตลกั ษณข์ องทางนา และเป็นศนู ยก์ ลางของ

การสร้างจิตวิญญาณท่ีสวา่ งไสว” และมรี ายงานจากอลั ดลิ ลาฮฺ บนิ อุมรั 

‫َقا َل‬ ‫َو َسَلَّم‬ ‫اللُه َعلَْييه‬ ‫(َص(لَاَعةُْنالَجَعْبَمايدَعايةَّيلتَـلْفْب ُضينلُُع َمَصَرلاَأَةََّانلَفَريذُسبيوََسلْبٍاعَّيلَوليع َْشصَلّيريىَن‬
))‫َدَر َجةا‬
ความว่า จากอัลดิลลาฮฺ บิน อุมัร กล่าวว่า เราะสูล  ได้กล่าวว่า

“การละหมาดในรูปของญะมาอะฮฺจะได้ผลตอบแทนมากกว่า

ละหมาดคนเดียวถึงย่สี ิบเจด็ เทา่ ”

(Al-Bukhāriy : 645)

ดงั นั้นกจิ กรรมพบปะทีเ่ กิดข้ึนในมัสยิดท่ีสม่าเสมอ ด้วยเหตุผลเพอ่ื สร้างความใกลช้ ิด

กับอัลลอฮ์  นั้น สามารถทาให้บรรดาเศาะฮาบะฮฺ  เป็นบ่าวที่ดี และมีพลังอันประเสริฐต่อ การ
รับอะมานะฮฺในการเผยแพร่ศาสนาอิสลาม และได้ปรากฏบทบาทนั้นอย่างชัดเจนต่อประชาชาติซึ่ง

เป็นผลจากการปฏบิ ตั ศิ าสนกจิ ทกุ เวลา และการสรา้ งความเปน็ พ่เี ปน็ นอ้ งทเ่ี กดิ ขึน้ จากมสั ยิด

2.2.2.3 สถานท่ีประชมุ

มัสยิดในสมัยนบีมุฮัมมัด  ไม่ใช่เป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจเพียงอย่างเดียว แต่
ยงั เป็นสถานที่ประชุมในการสอบถาม พดู คุย ในทุกๆ การประชุมซึ่งจะคลอบคลุมในทกุ เรอ่ื ง เช่นเร่ือง

ส่วนบุคคล ครอบครัว และสังคมจนถึงเร่ืองของประชาชาติ เพ่ือหาทางออกต่อปัญหาที่กาลังประสบ

อยู่ดัง่ การกระทาของบรรดาเศาะฮาบะฮฺ  เม่ือประสบเหตุการณท์ ่ไี ม่ดใี นชวี ติ

การท่ีมัสยิดเป็นสถานท่ีประชุมน้ันสามารถสร้างความอบอุ่น ความเป็นพี่น้อง

และสร้างบรรยากาศที่เอ้ือต่อการวางแผน จนสามารถแก้ปัญหาต่างๆท่ีเกิดขึ้น และปัญหาน้ันจะไม่

สามารถแก้ได้ยกเว้นด้วยวิธีการประชุมหาทางออก ซ่ึงจะสอดคล้องกับอายะฮฺอัลกุรอานท่ีอัลลอฮ์ 

68

ทรงรวบรวมคุณลักษณะของมสุ ลิมสองคุณลกั ษณะทีด่ ีมารวมกนั ดง่ั ที่อัลลอฮ์  ได้ตรัสไว้ใน อัล

กุรอานวา่

‫َويَِمّا‬ ‫بَـْيـنَـ ُه ْم‬ ‫ُشوَر َٰى‬ ‫َوأَْمُرُه ْم‬ ‫ال َّصلَاَة‬ ‫َوأَقَاُموا‬ ‫ليَريّيب ْم‬ ‫﴿َواَلّ يذي َن ا ْستَ َجابُوا‬
﴾‫َرَزقْـنَا ُهم يُنيفُقوَن‬
ความว่า “และบรรดาผู้ตอบรับต่อพระเจ้าของพวกเขาและดารง

ละหมาด และกิจการของพวกเขามีการปรึกษาหารือระหว่างพวก

เขาและเขาบริจาคสง่ิ ทเ่ี ราไดใ้ หเ้ ครอื่ งปจั จยั ยังชพี แก่พวกเขา”

(อชั ชูรอ : 38)

al-Qurṭubiy, (1964,a.16 : 37) ได้กล่าวว่า “อิบนุ อัลอะเราะบีย์ ได้บรรยายถึงการ

ประชุมเปน็ เสมือนการสร้างความอบอนุ่ ในองค์กร การใหค้ วามคงทนต่อสติปัญญา และเปน็ ส่ิงจะนาพา

ไปสคู่ วามถูกตอ้ ง ไมม่ ชี นใดท่ีมกี ารประชมุ ยกเว้น พวกเขาจะได้รบั ทางนาจากอลั ลอฮ์  ”

Sayyid Al-Jamīliy, (1995 : 46) ได้กล่าวว่า “ท่านเราะสูลได้ทาการประชุมกับ

บรรดาเศาะฮาบะฮฺ  ถึงการออกไปรบนอกนครมะดนี ะฮหฺ รือในนครมะดนี ะฮฺ”

ดังน้ันการประชุม และการละหมาดเสมือนคุณลักษณะหนึ่งของมุสลิม โดยท่ีการ

กระทาดังกล่าว ถือเป็นการตอบรับในคาสั่งของอัลลอฮ์  ซ่ึงสองกิจกรรมนั้นก็เกิดขึ้นในมัสยิดของ

พระองค์

2.2.2.4 สถานทีใ่ หค้ วามช่วยเหลอื

การให้ความช่วยเหลือเป็นเร่ืองที่สาคัญสาหรับมุสลิม ซึ่งศาสนาได้ให้ความตระหนัก

ด้วยการยกย่องบุคคลดังกล่าวว่า เป็นมนุษย์ที่ดีเลิศ โดยรูปแบบการให้ความช่วยเหลือท่ีหลากหลาย

และสถาบันมัสยิดก็สามารถให้ความคุ้มครองชีวิตด้วยการให้ที่พักอาศัยในยามปกติ และยามคับขัน

ด้วยเหตุนั้นมัสยิดจึงสามารถเปรียบเสมือนสถานที่อัลลอฮ์  ให้ความคุ้มครองทุกชีวิตท่ีอยู่ภายใต้

มัสยดิ ไมว่ า่ ชีวติ นัน้ จะเปน็ มสุ ลิมหรือไม่ก็ตาม ดง่ั ท่ีมีรายงานจากอิบนิ อับบาส 

،‫ أَ َّن َر ُسوَل ا َّليل َصَلّى اللُه َعلَْييه َو َسَلَّم َعاَم اْلَفْت يح‬،‫(( َع ين ابْ ين َعَبّا ٍس‬
‫ إي َّن أََِب ُسْفيَا َن َر ُج ٌل َُيي ُّب َه َذا‬،‫فَـَقا َل لَهُ اْلَعَبّا ُس ََي َر ُسوَل ا َّليل‬...
‫ُسْفيَا َن‬ ‫أَيِب‬ ‫َداَر‬ ‫َد َخ َل‬ ‫ َم ْن‬،‫نَـَع ْم‬ ‫َقا َل‬ ،‫ فَـلَْو َجَعْل َت َلهُ َشْيـئاا‬،‫اْلَف ْخير‬
))‫آيم ٌن‬ ‫فَـ ُهَو‬ ُ‫ َوَم ْن أَ ْغلَ َق َعلَْييه َِببَه‬،‫فَـ ُهَو آيم ٌن‬

69

ความว่า จากอิบนิ อับบาสท่ีเล่าถึงในเหตุการณ์พิชิตมักกะฮฺว่า...
“อับบาสได้ถามเราะสูลว่า อบูสุฟยานเป็นคนท่ีรักเกียรติ จงทา
อะไรเพ่ือให้เป็นเกียรติแก่เขาหลังจากท่ีได้รับอิสลาม เราะสูล 
จึงกล่าวว่า ใครก็ตามท่ีเข้าไปในบ้านของอบูซุฟยาน เขาผู้น้ันจะ
ได้รับความปลอดภัยและใครก็ตามท่ีเข้าบ้านตนเองแล้วปิดประตู
เขาผู้นั้กจ็ ะไดร้ บั ความปลอดภัย”

(Abū Dāwūd : 3021)
นอกจากนั้นมัสยิดยังเป็นสถานท่ีที่สามารถให้ความค้มุ ครองชว่ ยเหลอื ในรูปแบบเป็น
ท่ีพักพึงช่วยหลบร้อน และหลบฝนสาหรับนักเดินทางหรือสาหรับมุสลิมที่ไม่มีท่ีอยู่อาศัย ด่ังที่ปรากฏ
ในสมัยนบมี ฮุ มั มดั  ที่เรียกวา่ อะฮฺลุศศฟุ ฟะฮฺ15
ดังนั้นการให้ความช่วยเหลือของมัสยิดท่ีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของ
การคุ้มครองชีวิตหรือให้ท่ีพักพึง ให้ท่ีอยู่อาศัย แม้กระทั่งเป็นสถานท่ีบาบัดทุกข์ และบารุงสุขต่อ
บคุ คลในสังคมโดยรวมอกี ดว้ ย
2.2.2.5 สถานทีบ่ รกิ ารประชาชน
สงั คมทุกสังคมย่อมมีผู้คนท่ีหลากหลาย โดยแต่ละคนยอ่ มมีความต้องการที่แตกต่าง
กัน จึงต้องมีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มัสยดิ ในสมัยนบีมุฮัมมดั  นอกจากจะเป็นสถานท่ีประกอบ
ศาสนกิจแล้วยังเป็นสถานท่ีรวบรวมความต้องการ ความช่วยเหลือของประชาชน มัสยิดจึงกลายเป็น
สถานท่บี ริการประชาชนในกจิ การต่างๆ ดงั่ ทมี่ ีรายจากอบี ฮรุ อยรอฮฺ 
‫ْقَسْبَقيَراجَهََلاد‬،َ‫َـَُمقفَاُّمأَتََالتمى‬-‫الَءفَـقَْبَقَيكرااَلُهاَوان ي‬،َ‫لأَّاَةمأَْوََعسْنقَْواهَُد‬-‫ََيعْمِلَفَْيـبآَهَسَذاُأهَنْـ)ََترُي)ْـلُمَرَاةويلَننّأَييَُّّبنبييهَرَصَُُدلّجُلّلاوىيانيأاَللُْسهَعَلَوََدعىلَْيأَقَيهيْبويرَيهاوْمَسََر‬،ُ‫أفَََف(فََم(لَصااَََلّع َُْىكنتْنـتأ‬
ความว่า จากอบี ฮุรอยรอฮฺ กล่าวว่า “มีชาย/หญิงผิวดาที่คอย
กวาดมัสยิดได้เสียชีวิต ท่านนีบได้ไดถ้ ามถึง บรราดเศาะฮะบะฮฺได้
ตอบว่า เขาคนน้ันได้เสียชีวิตแล้ว ท่านนบีกล่าวว่า ทาไมไม่มีใคร

15 บุคคลทีอ่ าศยั อยู่ไตร้ ม่ เหงาของมัสยดิ

70

บอกเรื่องนี้ให้ เลยท่านนบีให้ชี้หลุมศพว่าอยู่ที่ไหน และทานนีบได้
ทาการละหมาดทก่ี โุ บร์”

(Al-Bukhāriy : 458)
Ibn Sa’ad, (1999 : 384) ได้เล่าว่า “อบูฮุรอยรอฮ  กล่าวว่า วันหนึ่งฉันได้ออก
จากบา้ นไปมสั ยิดด้วยความหิว จนได้พบกบั บรรดาเศาะฮาบะฮฺ  ทห่ี ิวเหมือนฉันและพวกเขาได้ถาม
ว่า เพราะเหตใุ ดท่านจึงออกมาในเวลานี้ และสดุ ท้ายทา่ นนบกี ็ได้แบง่ ลูกอินทผลมั ให้กนิ ”
จากปรากฏข้างต้นสามารถสรุปได้ว่ามัสยิดเป็นอีกสถานท่ีหนึ่งที่เป็นศูนย์รวมใน
การบอกปญั หา และแก้ปญั หาในชมุ ชนอกี เช่นกนั
2.2.2.6 สถานทปี่ ฐมพยาบาล
อย่างที่ทราบกันดีว่าระบบรักษาสุขภาพในสมัยนบีมุฮัมมัด  ยังไม่มีโรงพยาบาล
เป็นกิจจะลักษณะอย่างเช่นปัจจุบัน ดังน้ันมัสยิดจึงเป็นสถานที่คอยรักษาพยาบาล Ahmad Yānī,
(2000 : 19) ได้กล่าวว่า “ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่ือฐานปฐมพยาบาลท่มี ีชื่อว่า รอภีเดาะฮ์ ซ่ึงเป็นช่ือ
เศาะฮาบียะหค์ นหน่ึง และไดท้ าการปฐมพยาบาลใหก้ ับซะอัด บิน มอุ าซ  จนถึงเสียชีวิต”
จากเหตุการณ์ดังกล่าวจะเห็นไดว้ ่านบีมุฮัมมัด  ได้มีการแบ่งสัดสว่ นของมัสยิดเพื่อ
เป็นสถานท่ีรักษาพยาบาลในภาวะจาเป็น อีกทงั้ ยังสามารถบาบดั สุขภาพจติ ใจบรรดาเศาะฮาบะฮฺ 
ในยคุ นั้นเปน็ อยา่ งดี
2.2.2.7 สถานท่วี างแผน
มัสยิดในสมัยนบีมุฮัมมัด  ยังเป็นสถานท่ีวางแผนการบริหารจัดการบ้านเมือง
นับตั้งแต่การบริหารปัจเจกบุคคล ครอบครัว สังคมจนถึงการวางแผนในการทาสงคราม
ดงั น้นั การวางแผนในการทาสงครามจงึ เป็นสว่ นหนงึ่ ที่นบมี ุฮัมมัด  ไดก้ ระทาการในมสั ยิดของทา่ น
al-Qurṭubiy, (1964 : 282) ได้กล่าววา่ “กะอับ บิน มาลิก ได้กล่าวถึงเหตกุ ารณ์ที่
เกิดข้ึนกับตัวเขาท่ีบ่งบอกถึงการติดตามของท่านบีว่า เมื่อข้าให้สลาม นบีก็ยิ้มอย่างการยิ้มของผู้ท่ี
โกรธ แล้วท่านกล่าวว่า จงมาน่ี ข้าก็เดินเข้าไปจนกระทั่งนั่งอยู่ระหว่างมอื ท้ังสองของท่าน (คอื ต่อหน้า
ท่าน) ท่านไดก้ ล่าวว่า อะไรท่ีทาให้ท่านไม่ได้ออกไปสงคราม (คร้ังน้ี) ท่านมิใช่หรือท่ีได้ซื้อพาหนะของ
ทา่ นไว้แล้ว”
Ahmad Yānī, (2000 : 19) ไดก้ ล่าวว่า “นบีมฮุ ัมมัด  ไดท้ าการฝกึ บรรดานักรบ
ตามมติท่ีประชุม จนเกิดนักต่อสู้ท่ีมีคุณลักษณะตามอิสลาม และมีความพร้อมในการสู้รบท่ีสามารถ

71

หวังชัยชนะได้” และการวางแผนที่มีการติดตามก็ยังเป็นอีกรูปแบบหน่ึงท่ีสาคัญในการสร้างความ
เขม้ แขง็ เพ่ือนาชัยชนะมาสู่อสิ ลามอกี ดว้ ยเช่นกนั

จากเหตุการณ์ข้างต้นสามารถสรุปได้ว่าการวางแผนที่ตามด้วยการติดตามในทุกงาน
ไม่ว่าจะอยู่ในยามปกติ และยามคับขันเป็นส่ิงท่ีนบีมุฮัมมัด  ได้ให้ความสาคัญโดยใช้มัสยิดเป็นหลัก
เนื่องดว้ ยความสมั พันธ์ทีแ่ น่นแพน้ ของมสุ ลิมต่อมสั ยดิ

2.2.2.8 แหล่งการเรียนรู้
การศึกษาเป็นส่ิงที่สาคัญ และเป็นรากฐานหน่ึงของความเป็นมุสลิมที่สมบูรณ์
และสามารถสร้างความเข้าใจต่อศาสนาด้วยดี พร้อมกับสามารถปฏิบัติตามหลักศาสนาได้ถูกต้อง
ซึ่งท่านนบีมุฮัมมัด  ก็ได้ให้ความสาคัญในการส่ังสอนบรรดาเศาะฮาบะฮฺ  โดยอาศัยมัสยิดเป็น
แหล่งเรยี นรู้ ดง่ั ทน่ี บมี ุฮัมมัด  ไดก้ ลา่ วในอลั ฮะดษี ที่มรี ายงานจากอะนัส บนิ มาลิก 
ُ‫هُليإيَصيَذَّلَعّنْكلَْييىرَيهه(االل(يذلليهههي‬.ّ‫ين‬.ََ‫ليَشه‬.‫ءََقَمااَبيوََلَلدقَالْااٍَوَرلْلَقُسيمََذورْنُيرُسلَمإيوَاّاُنلٍَلءالهفَايهل‬،‫َلاك‬،‫وَيج‬-َْ‫ُحَميةََلريوَُوهََشريقَوَُْرجايلاٍَءءَاعيةُيّمميماْْلإينَنُقْْساَرهلْآَََقذحيانْاويامأََلْقْبَـفو‬-‫ٍَْصّصكلُفَلَأَا‬:‫َلَاقَمَواااتلَليَل‬،‫ا)لََْعع)َلَأََّمزْينَيهَسَواَُسوَيججَبسََْلَّلّدُنَم‬
ความว่า จากอนัส บิน มาลิก ลุงของอิซฮากกล่าวว่า เราะสูล 
กล่าววา่ ... “แท้จริงแล้วมสั ยิดทุกหลังของอลั ลอฮ์นั้นไม่ควรเลยที่
จะทาอย่างนี้ ปัสสาวะและทาความสกปรกเป็นสิ่งต้องห้ามเพราะ
มัสยิดคือสถาน ที่ราลึกถึงอัลลอฮ์ สถาน ท่ี ละหมาดและ
อ่านอัลกุรอาน จากนั้นท่านเราะซูลให้เศาะฮาบะฮฺเอาน้าราดที่
บริเวณน้ัน”

(Muslim : 285)
จากเหตุการณ์น้ีสามารถสรุปได้ว่ามัสยิดในสมัยนบีมุฮัมมัด  ล้วนแต่มีกิจกรรมท่ี
สามารถเป็นแหล่งเรียนรู้ในการอยู่ร่วมกัน ถึงแม้พื้นฐานของบุคคลที่ต่างกัน ความเข้าใจต่อศาสนาที่
ไม่เหมือนกันแต่นบีมุฮัมมัด  ก็ได้สร้างความเข้าใจต่อสิ่งเหล่านั้นอย่างชัดเจนโดยผ่านกระบวนการ
เรียนรู้ที่สามารถจับต้องได้พร้อมกับสร้างรูปแบบการแก้ปัญหาท่ีเกิดข้ึนด้วยความเป็นมิตรที่ดีถึงแม้
การกระทาท่ีไมส่ มควรเกดิ ขน้ึ ในสถานที่ทีป่ ระเสรฐิ เช่นมสั ยดิ ก็ตาม

72

2.2.2.9 สถานทเ่ี ผยแพรศ่ าสนา
มัสยิดในสมัยนบีมุฮัมมัด  ก็ยังเป็นสถานที่เผยแผ่ศาสนา โดยการสร้างความรู้สึก
ทด่ี ีซ่ึงกันและกัน และสร้างความเป็นพ่ีน้องระหว่างกันซ่ึงเป็นตัวเช่ือมในการเผยแผ่ศาสนาให้เดินตาม
เป้าหมายท่ีวางไว้ ในประวัติศาสตร์นบีได้เผยแผ่ศาสนาต่อผู้คนท่ีมามัสยิด โดยเริ่มการเชิญชวนเป็น
รายบุคคลอย่างเงียบๆไปสู่การเชิญชวนด้วยการเปิดเผย และได้ส่งบรรดาเศาะฮาบะฮฺ  ในการสอน
อลั กรุ อาน
Musṭafa Sibā‘iy, (2014 : 54) กล่าวว่า “ในปีที่ 12 หลังจากการแต่งตั้งเป็นนบี
มชี าวอันศอร์ 12 คนได้มาร่วมพิธีฮจั ญ์ พวกเขามาพบนบี และให้สัตยาบัน เมื่อพวกเขากลับไป นบีได้
ส่งมุศอับ บิน อุมัยรฺ  ไปยังนครมะดีนะฮพฺ รอ้ มกับพวกเขาเพือ่ สอนอัลกุรอานและอิสลาม” และนบีก็
ยังได้แต่งตั้งเศาะฮาบะฮฺ  ในการเผยแผ่ศาสนาอีกด้วย เช่น การส่งมุศอับ บิน อุมัยร์, มุอฺาซ บิน
ญะบัล และแตง่ ตัง้ อุสามะฮ์ บิน ซัยดฺ  เป็นแมท่ ัพในการเผยแผ่ศาสนาอสิ ลามไปสปู่ ระเทศอื่นๆ
ด้วยเหตุน้ีการเผยแผ่ศาสนาอิสลาม โดยยึดมัสยิดเป็นหลักดั่งที่เกิดข้ึนในสมัยนบี
มฮุ มั มัด  โดยที่นบีได้สงั เกตบคุ คลท่ีสนใจศาสนา สนใจในหลักคาสอนของศาสนาพร้อมกับการคัดกรอง
บุคคลท่ีได้เข้ามัสยิด และอีกหลายกระบวนการท่ีสามารถส่งผลให้มุสลิมมีความเข้าใจต่ออิสลามอย่าง
แท้จริง และพร้อมที่จะปฏิบัติตามอิสลามอย่างเคร่งครัด และสามารถสร้างมุสลิมที่ดีสาหรับตัวเอง
และพร้อมท่ีจะเผยแผ่ความประเสริฐของศาสนาไปสู่ผู้อ่ืนโดยไม่กลัวต่อความลาบาก ความห่างเหิน
จากครอบครวั และความตายยกเวน้ ความโปรดปรานจากอลั ลอฮ์  เทา่ นั้น

73

2.3 แนวคิดนกั วิชาการอสิ ลามเก่ยี วกับบทบาทของผูน้ า

นักวชิ าการอิสลามรว่ มสมัยได้อธบิ ายถึงบทบาทของผู้นา ดังน้ี
Abdul Qādir ‘Audah, (1985 : 73) ได้กล่าวว่า “ผู้นาถือเป็นบุคคลที่มีภาระ
ความรับผิดชอบอันยิง่ ใหญ่ และเป็นผูแ้ บกรับอะมานะฮฺอันมีผลต่อการกระทาตามสิทธิที่ได้รบั มา และ
ในวนั กยิ ามะฮอฺ ลั ลอฮ์  จะทรงสอบสวนถงึ บทบาทผู้นาดังกลา่ ว”
Mālik bin Nabī, (1991 : 60) ได้กล่าวในหัวข้อ บทบาทของมุสลิมในยุคที่ยี่สิบ
ท่ีเป็นรายบุคคลว่า “มุสลิมมีบทบาทท่ีต้องปฏิบัติอยู่สามประการ คือ รู้จักตัวเอง รู้จักผู้อื่นโดยการ
ไม่หญิงยโส ไม่ดูถูก รู้จักผู้อื่นด้วยความรัก”และท่านได้กล่าวถึงเงอื่ นไขของความรุ่งเรืองในอิสลามอีก
ว่า “อสิ ลามจะรงุ่ เรอื งได้มีเง่อื นไขอย่สู ามประการ และหน่งึ ในนั้นคอื เวลา”
Abdul Azīz bin Bāz, (2002 : 12) ได้กล่าวว่า “อัลลอฮ์  ได้ตรสั ไว้ในอัลกุรอานวา่
﴾‫﴿ َو َجَعْلنَا يمْنـ ُه ْم أَئيَّمةا يـَ ْه ُدوَن ِيبَْميرنَا لََّما َصبَرُوا َوَكانُوا ِيبََيتينَا يُوقينُوَن‬
ความว่า “และเราได้จัดให้มีหัวหน้าจากพวกเขาเพื่อจะได้ชี้แนะ
แนวทางท่ีถูกต้องตามคาบัญชาของเราในเม่ือพวกเขามีความ
อดทน และพวกเขาเชอ่ื มน่ั ตอ่ อายาตท้งั หลายของเรา”

(อัสสะญะดะฮฺ : 24)
คาตรัสของอัลลอฮ์  น้ันเป็นจริงเสมอดั่งเร่ืองที่เกิดกับบรรดาเศาะฮาบะฮฺ  และ
บรรดาผู้ท่ีได้ตามแนวทางของบุคคลเหล่าน้ันที่ได้นาสัจธรรมมาสู่สังคมตามความต้องการของมนุษย์
และสามารถสร้างความกระจ่างต่อบุคคลอื่นๆด้วย โดยใช้ความอดทน และความศรัทธามั่นในส่ิงท่ี
ศาสนาสอนไว้ แทจ้ ริงความอดทน และความศรทั ธามน่ั สามารถนาไปสู่หนทางอันเท่ียงตรง”
Hasan al-Nadwiy, (1979 : 164) ได้กล่าวว่า “ทุกคร้ังท่ีได้คุยกับบรรดามุสลิม
ด้วยกัน มีความเข้าใจว่า การท่ีจะให้อิสลามรุ่งเรืองเหมือนในอดีตน้ัน มุสลิมต้องพยายามตนเองใน
การศึกษาอัลกุรอานอย่างจริงจังจนเกิดความรักต่ออัลกุรอาน มีความรู้สึกที่จะปกป้องหลักคาสอนท่ี
ถกู บันทึกไว้ในอัลกรุ อานจนเกิดความยนิ ยอมท่ีเสียชีวิตบนหลกั คาสอนของอลั กุรอานอีกเชน่ กนั ” และ
ท่านกล่าวอีกว่า “โลกอิสลามจะไม่รุ่งเรืองดั่งอดีตยกเว้นการศรัทธาต่ออัลกุรอานเกิดขึ้นในชีวิตของ
มสุ ลิมพรอ้ มด้วยยินยอมที่จะเสยี ชวี ติ ในหนทางของอลั กุรอาน”

74

Al-‘Uthaimīn, (1992 : 9) ได้กล่าวถึงบทบาทของผู้รู้ว่า “ผู้รู้มีความรับผิดชอบ
ทจ่ี ะต้องเผยแผ่ความรู้ในศาสนาของอัลลอฮ์  ให้กับผู้อื่น เนื่องจากอัลลอฮ์  จะสอบถามถึงความรู้ท่ี
เขาได้มา และยังมีพันธะสัญญาที่ได้ทาไว้ระหว่างเขากับอัลลอฮ์  ในเร่ืองของการเผยแผ่ความรู้ต่อ
บคุ คลอืน่ ”

Abdul Rahmān balah alī, (1979 : 199) ได้กล่าวว่า “แท้จริงเยาวชนได้เผชิญ
กับปัญหาที่มากมายดังน้ันการป้องกันไม่ให้เยาวชนตกในภาวะเหล่านั้นจึงจาเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตั้ง
คาถามให้กับมุสลิมว่า ปัญหาของเยาวชนใครเป็นผู้ที่จะต้องรับผิดชอบ? คาถามน้ันเพ่ือสร้างความ
ตระหนักให้กับผู้รู้ ซึ่งผู้รู้เท่านั้นท่ีจาเป็นต้องรับผิดชอบและจาเป็นต้องแก้ปัญหา ถ้าไม่ใช่เช่นนั้นจะ
มอบความรับผิดชอบนน้ั ใหก้ ับใคร”

จากคากล่าวข้างต้นสามารถสรุปได้ว่าบทบาทของผู้นาน้ันมีมากมาย เช่น บทบาท
ด้านความรับผิดชอบในอะมานะฮฺที่ได้รับมอบหมาย บทบาทในความพยายามท่ีไม่สิ้นสุด บทบาทใน
จุดยืนท่ีเข้มแข็งต่ออุปสรรคต่างๆ บทบาทในการเผยแผ่ศาสนาท่ีถึงแม้จะเหน่ือยเพียงใดบทบาทใน
ตาแหน่งที่ถูกมอบหมายโดยการใช้ตาแหน่งควบคู่กับการทางานเพ่ืออิสลาม โดยไม่มีการพลัดวัน
ประกันพรุ่ง บทบาทในการสรา้ งความรู้จักในตัวบุคคลท่ีอยู่ภายใต้การดูแล บทบาทในการสร้างความ
สานึกต่อความหวังของประชาชาติ และบทบาทในการเชญิ ชวนประชาชาติกลบั ไปหาอัลกุรอานซ่ึงเป็น
ทางนาชีวิต และเม่ือบทบาทเหล่านั้นถูกปฏิบัติได้อย่างดี ก็จะนามาซึ่งความรุ่งเรืองของอิสลามอีก
ตอ่ ไป

2.4 การพัฒนาเยาวชน

2.4.1 ความหมาย
2.4.1.1 พระราชบัณฑิตยสถาน, (2540: 915) ให้ความหมายเยาวชนคือ บุคคลท่ีมี

อายุ15 ปีบริบูรณ์แต่ยงั ไม่ถึง 18 ปีบริบรู ณ์
2.4.1.2 พระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ ฉบับท่ี 2,

(2560 : 3) ได้กาหนดคุณสมบัตขิ องเยาวชนคอื อายไุ ม่เกินยี่สบิ หา้ ปบี รบิ รู ณ์
2.4.1.3 Jamāluddīn, (อ้างถึงในบัดรุดดีน อัลไอนีย์.n.d. : 67) ให้ความหมายของ

เยาวชนคือ “บคุ คลทม่ี อี ายุถึง 60 ปี”

75

2.4.1.4 al-Qurtubiy, (อ้างถึงในบดั รุดดีน อัลไอนยี ์.n.d. : 67) ไดก้ ลา่ วถงึ ชว่ งอายุ
ของเยาวชนคอื “บุคคลทีมีอายุตัง้ แตอ่ ายุ 16 ปีจนถึงอายุ 32 ปี”

2.4.1.5 Al-Nawāwīy, (1971 : 172) ได้กล่าวว่า “เยาวชนตามความเข้าใจของ
พวกเราคือบุคคลที่มอี ายุตัง้ แต่บรรลุนติ ิภาวะจนถงึ อายุ 30ป”ี

2.4.1.6 Abdurrahman Balah ‘Ali, (1992 : 190) ได้กล่าวถึงความหมายของ
เยาวชน “คอื ผู้ทอ่ี ายุ 16 ปี จนถึงอายุ 40 ปี”

จากความหมายข้างต้นสามารถสรุปได้ว่าเยาวชนเป็นบุคคลที่มีความแข็งแรงใน
ด้านร่างกายที่สามารถแบกรับส่ิงของ ภาระหน้าที่ รวมท้ังตาแหน่งทางสังคมที่ต้องใช้ความแข็งแรงใน
การฝ่าฟันไปสู่เป้าหมายที่สังคมได้หวังไว้ และความเข้มแข็งในด้านจิตใจที่พร้อมจะผา่ นบททดสอบใน
เร่ืองคาพูด การกระทา และอื่นๆที่เกิดข้ึนกับตนเอง ซ่ึงจะไม่มีช่วงอายุใดยกเว้นช่วงอายุของการเป็น
เยาวชนจนเป็นท่ีมาของการวางช่วงอายุของเยาวชน ที่มคี วามตา่ งกันต้ังแต่เร่ิมตน้ จนถงึ ปลายอายุของ
เยาวชน

2.4.2 ความสาคัญของเยาวชน
เยาวชนเป็นกลุ่มชนที่อยู่ในสังคมโดยมีการกาหนดอายุท่ีสามารถบ่งบอกถึงการเป็น

เยาวชนตามทัศนะที่ต่างกัน ซึ่งในสังคมหนึ่งๆจะมีเยาวชนอาศัยอยู่ และเยาวชนนั้นจะเป็นความหวัง
ของสังคมนั้นอีกด้วย อัลลอฮ์  ได้ให้ความตระหนักในเรือ่ งราวท่ีเกี่ยวกับเยาวชนถึงกับได้บันทึก คา
ว่าเยาวชนในอัลกุรอาน ดั่งทอ่ี ัลลอฮ์  ได้ตรัสไว้ในอัลกุรอานว่า

‫﴿نَْح ُن نـَُق ُّص َعلَْي َك نـَبَأَُه ْم ِيبْْلَيق إيَّنُْم فيْتـيَةٌ آَمنُوا بيَرّيبيْم َويزْدنَا ُه ْم‬
﴾‫ُه ادى‬

ความว่า “เราจะเล่าเรอ่ื งราวของพวกเขาแก่เจ้าตามความเป็นจริง
แท้จริงพวกเขาเป็นชายหนุ่มที่ศรัทธาต่อพระเจ้าของพวกเขาและ
เราไดเ้ พมิ่ แนวทางทถี่ กู ต้องใหแ้ ก่พวกเขา”

(อลั กะฮฺฟ : 13)
Al-Sayūṭiy, (n.d. : 371) ได้กล่าวว่า “อิบนุ อับบาส กล่าวว่า อัลลอฮ์  ไม่ได้
แต่งต้ังบุคคลหนึ่งๆเป็นนบียกเว้นเขานั้นเป็นเยาวชน และอัลลอฮ์  ไม่ได้ให้ความรู้จนเป็นผู้รู้ยกเว้น
เขาผนู้ ้นั ก็จะเป็นเยาวชนอีกเช่นกนั ”

76

Sayyid Qutub, (1990 : 2262) ได้กล่าวถึงคุณลักษณะของชาวถ้าท่ีปรากฏใน
สูเราะฮ์ข้างต้นว่า “เยาวชนน้ันเป็นบุคคลที่เข้มแข็งในด้านสิรีระ เข้มแข็งในด้านการศรัทธาและ
เขม้ แขง็ ในการต่อตา้ นในกิจกรรมท่ีเกดิ ขน้ึ ต่อชนของพวกเขา”

Abdul Wadūd, (1974 : 62) ได้กล่าววา่ “ชาวยิวได้พยายามเชิญชวนเยาวชนอาหรับ
ในการแบกรับงานท่ีได้มีการวางแผนอย่างดี และนุ่มนวลซึ่งงานดังกล่าวจะนาไปสู่การม่ัวสุมกับผ้หู ญิง
ทีเ่ ปน็ ชาวยวิ ”

Nāsih ‘Ulwān, (1994 : 172) ได้ยกบทกวีความว่า “เยาวชนจะเติบโตตามสภาพ
ของบิดามารดาซึ่งไม่ได้เกิดจากความรสู้ กึ ของตนเองดังน้ันจงเติบโตพวกเขาด้วยการเชญิ ชวนให้ใกลช้ ิด
กับศาสนา”

จากอายะฮฺและคาอธิบายของอลุ ะมาอฺข้างต้นสามารถสรปุ ว่า เยาวชนนั้นเป็นบุคคล
ท่ีสามารถแบกรับอะมานะฮฺท่ีคนบางคนไม่สามารถปฏิบัติได้ ถึงแม้อะมานะฮฺนั้นจะเป็นอะมานะฮฺใน
รูปแบบของการเผยแผ่ศาสนา หรือการรักษาศาสนาให้คงอยู่ ซึ่งโดยปริยายจะเป็นคุณลักษณะของ
เยาวชนท่ีได้ปรากฏมาในประวัติศาสตร์ของอิสลาม และเยาวชนนั้นเป็นกลุ่มชนหนึ่งท่ีต้องได้รับ
การทดสอบจากอัลลอฮ์  ผ่านรูปแบบท่ีหลากหลายซ่ึงหนึ่งในการทดสอบนั้นคือการเป็นบ่าวที่ดี
ต่ออัลลอฮ์  ด้วยการทาอิบาดะฮฺต่อพระองค์พร้อมผ่านกระบวนการแนะนา ตักเตือนและให้ความรู้
ทางดา้ นศาสนาอีกดว้ ย

2.4.3 เยาวชนยคุ เรมิ่ ต้นในสมัยนบีมฮุ ัมมดั 
นบีมุฮัมมัด  เป็นนบีคนสุดท้ายในบรรดานบีท่ีได้ถูกแต่งตั้งจากอัลลอฮ์  โดยมี

เศาะฮาบะฮฺ  ที่ได้ร่วมชีวิตในการเผยแผ่ศาสนาอิสลามร่วมกับท่าน และบรรดาเศาะฮาบะฮฺ 
เหล่านั้นก็ได้รับการอบรมจากนบจี นเป็นบคุ ลทส่ี ามารถนามาเป็นแบบอย่างในการดาเนนิ ชีวติ เช่น

2.4.3.1 อบบู ักร อศั ศิดดีก 
อบูบักร  มีชื่อว่า อับดุลลอฮฺ บิน เกาะฮาฟะฮฺ เกิดท่ีนครมักกะฮ์ก่อนนบีเกิด
ประมาณ 2 ปี ซ่ึงท่านเป็นบุคคลที่ศรัทธาต่อนบีในยามที่คนอื่นกล่าวหานบีว่าเป็นนักไสยศาสตร์
จนไดร้ บั ฉายาว่า อศั ศิดดกี

77

Ibn Kathīr, (1976 : 96) ไดเ้ ล่าถงึ เหตกุ ารณ์อสิ รออฺ มอิ ฺรอจทฺ ่ีเกดิ ขึ้นกับนบี พร้อม
ด้วยกล่าวถึงคาพูดของอบูบักร  ท่ีมีความว่า “แท้จริงฉันจะศรัทธาต่อท่านนบีมุฮัมมัด  ในเรื่อง
ของวะฮยูทุกเช้าและเย็น ด้วยเหตนุ ัน้ จึงเรยี กอบูบักรวา่ อศั ศิดดกี ”

Ibn Ishāq, (1978 : 140) ได้กล่าวว่า “อบูบักร  เป็นผู้ชายที่มีความรักต่อ ชน
ของพวกเขา ท่านเป็นบุคคลท่ีมีตระกูล มีความเข้าใจในส่ิงที่ดี และไม่ดีอย่างชัดแจ้ง เป็นนักธุรกิจ
มีจรรยามารยาท และท่านได้เชิญชวนมิตรสหายเข้ารับอิสลามเช่น ซุบีร บิน เอาววาม อุสมาน บิน
อัฟฟาน, ฏอลฮะฮฺ บิน อบุ ยั ดิลลาฮ, ซะอดั บนิ อะบวี ักกฺ อฺ ศ และอับดุรรอฮมาน บนิ เอาฟ ”

Ibn Hisyām, (1955 : 480) ได้กล่าวว่า “นบีมุฮัมมัด  ได้อยู่ที่นครมักกะฮฺเพื่อ
รอการอนุมัติจากอัลลอฮ์  ในเหตุการณ์อพยพ และไม่มีใครท่ีได้อยู่นครมักกะฮ์ยกเว้นเขาเหล่าน้ัน
จะต้องถูกขังหรือฆ่า เพียงแต่อลี  และอบูบักร  เท่าน้ัน ท้ังๆท่ีอบูบักร  ได้ขออนุญาต แต่นบีได้
ตอบว่า เจ้าจงอย่ารีบ อัลลอฮ์  คงจะให้เจ้าเป็นเพ่ือนในการอพยพจนทาให้ อบูบักร  หวังต่อ
สญั ญาทีน่ บไี ด้สัญญาไว้

จากประวัติข้างต้นสามารถสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกภาพของอบูบักร  ที่ดี ซ่ึงท่าน
เป็นบุคคลที่มีความศรัทธาต่อนบีมุฮัมมัด  อย่างส้ินเชิง โดยไม่มีการตรวจสอบถึงข้อเท็จจริง
มหิ นาซ้าอบูบักร เช่ือในทุกคาที่มาจากคาพูดของนบี และอบูบักร  พร้อมท่ีจะเป็นสหายของนบีใน
การปกป้อง และเผยแผ่ศาสนาใหก้ บั บุคลทที่ ่านรจู้ ักอกี ด้วย

2.4.3.2 อมุ รั อัลฟารูก 
อุมัร  เป็นบุตรของอัลเคาะฏอบได้รับอิสลามในปีที 6 หลังจากการแต่งต้ังนบีมุฮัม
มัด  ให้เป็นนบี ซ่ึงอายุอุมัร  ในเวลาน้ันคือ 27 ปี และการรับอิสลามของอุมัร  เกิดข้ึนหลังจาก
การตามหานบีมุฮัมหมัด  ท่ีกาลังสร้างความแตกแยกในสังคมตามความคิดของอุมัร  และท่าน
พยายามที่จะหานบีให้เจอด้วยตนเอง เพ่ือสนองความแค้นที่มีอยู่ในหัวใจ และเม่ืออุมัร  รับอิสลาม
ท่านกลายเป็นบุคคลที่มีความกล้าต่อการเปิดเผยตัวตนของการเป็นมุสลิมพร้อมกับเป็นบุคคลท่ีสร้าง
ความกระจ่างระหว่างความจรงิ กับความเทจ็ ดว้ ยเหตุนน้ั อุมรั  ได้รบั ฉายาวา่ อลั ฟารูก

78

Sufyurahmān, (n.d. : 93) ได้เล่าถึงการเข้าอิสลามของอุมัร  ว่าอุมัรได้เปิดเผยใน
การรับอิสลามต่อสาธารณชนจนไดร้ ับบาดเจ็บซึ่งในเวลาน้ันไม่มีเศาะฮาบะฮฺ  คนใดที่ได้รับบาดเจ็บ
เหมอื นอุมัรและดว้ ยเหตุดังกล่าวอุมรั  ได้ฉายาว่า อลั ฟารูก

Ibn Hisyām, (1955 : 341) ได้กล่าวว่า “อบิ นุ มัสอูด กล่าววา่ แท้จริงการทีอ่ ุมรั 
เข้าอิสลามนั้นเป็นเสมือนกุญแจ การอพยพของท่านเสมือนชัยชนะ และการบริหารของท่านเสมือน
การใหค้ วามสุขแก่ผทู้ ่อี ยูภ่ ายใตก้ ารดแู ล”

al-Sayūṭīy, (2004 : 94) ได้กล่าวว่า “อิบนุ อะซากิร กล่าวว่า อลี  เล่าว่าฉันไม่รู้
ว่ามีบุคคลท่ีอพยพอย่างเปิดเผยยกเว้น อุมัร บิน อัลเคาะฏอบ  ซึ่งเม่ือท่านรู้ว่าต้องอพยพท่านก็
เตรียมดาบ และขันธนูพร้อมลูกธนูในมือโดยเดินเวยี นกะอฺบะฮ์เจ็ดรอบ และละหมาดพรอ้ มกับเดินหา
กลุ่มคน และกล่าวว่า โอ้บรรดามนุษย์ ใครที่พร้อมจะให้แม่อยู่โดดเด่ียว ลูกเป็นกาพร้า ภรรยาท่ีเป็น
หม้ายก็จงรอฉันท่ซี อยน้ี”

จากชีวประวัติข้างต้นสามารถสะท้อนให้เห็นถึงความกล้าหาญของอุมัร  ในการ
ประกาศอิสลามต่อสังคมในสมัยนั้นซึ่งไม่มีเศาะฮาบะฮฺ  คนใดท่ีสามารถเทียบเท่ากับท่านในการ
เผชิญกับผลกระทบท่ีในทรัพย์สินและชีวิตของท่าน ถึงแม้การรับอิสลามเพ่ิงผ่านมาในเวลาอันส้ันโดย
ผา่ นการอา่ นอัลกุรอานทเี่ กิดข้นึ ในครอบครัวของเขาเอง

2.4.3.3 อสุ มาน ษุลนูรอยน์ 
อุสมาน บิน อัฟฟาน  เกิดในปีที่ 6 ก่อนเหตุการณ์การถล่มกะอฺบะฮ์ โดยกองทัพ
อับราฮะฮ์ ซ่ึงปีนั้นจะเรียกว่าปีช้าง และอุสมาน  ได้รับอิสลามจากการเชิญชวนของอบู บักร
อศั ศดิ ดกี  และได้ฉายาว่า ซุลนูรอยน์
‘Ala’uddīn, (1981 : 118) ได้กล่าวถึงสาเหตุของการเรียกอุสมาน ว่า ษุลนูรอยน์
เนื่องจากอุสมานมีภรรยาที่เป็นบุตรสาวของนบีมุฮัมมัด  ด้วยกันสองคนคือ รกู ็อยยะฮฺ ‫رضي الله عنها‬
และอมุ มี กลั ซมู ‫رضي الله عنها‬
Ibn Sa‘ad, (1990 : 37) ได้กล่าวว่า “เมื่ออุสมาน บิน อัฟฟาน  รับอิสลาม น้า
ของอุสมานนั่นคือ ฮะกัม บิน อบี อัล อาศได้มัดตัวเขาและถามว่า เจ้ามีความต้องการท่ีจะเปลี่ยน
ศาสนาของพ่อเจ้าไปหาศาสนาใหม่หรือ? ด้วยพระนามของอัลลอฮ์  ฉันจะไม่ยอมเด็ดขาดนอกจาก

79

เจ้าต้องอยู่ในศาสนาเดิม อุสมาน  ก็กล่าวว่า ด้วยพระนามของอัลลอฮ์  อีกเชน่ กัน ฉันก็จะไม่ยอม
ยกเว้นจะยืนยัดบนศาสนาอิสลาม เมื่อน้าเห็นความจริงจังของอุสมาน  ต่อศาสนาอิสลามเขาก็ไม่
สนใจในการขัดขวางอกี เลย”

al-Sayūṭīy, (2004 : 118) ได้กล่าวว่า “อุสมาน  เป็นบุคคลท่ีรับอิสลามรุ่นแรก
ท่ีมาจากการเชิญชวนของอบูบักร  และเป็นบุคคลที่ทาการอพยพสองคร้ังด้วยกัน คืออพยพไปยัง
นครฮะบะซะฮ์ และนครมาดีนะฮ์ และซายูตีได้กล่าวอีกว่า อุสมาน  เป็นหน่ึงในสิบคนจากบรรดา
เศาะฮาบะฮฺ  ท่ีได้รับรองการเข้าสวรรค์ และหนึ่งในหกคนท่ีรับการเสียชีวิตของท่านนบีด้วยใจท่ี
ยินยอม และเป็นบุคคลหนึง่ ในบรรดาเศาะฮาบะฮฺ  ที่ได้รวบรวมอัลกุรอาน

Munīr Qudbān, (1992 : 512) ได้กล่าวถึงเหตุการณ์เจรจาระหว่าง อุสมาน 
กับ อบูสุฟยานว่า “อุสมาน  ได้เจอกับอบูซุฟยาน และผู้นากุรอยซ์คนอ่ืนๆ และเขาก็ได้บอกความ
จริงของการที่นบีมุฮัมมัด  ได้มายังนครมักกะฮ์ หลังจากน้ัน อบูสุฟยานกล่าวว่า ถ้าคุณจะทาการ
เฏาะวาฟที่กะอฺบะฮฺก็จงทา อุสมาน  ตอบว่า ฉันจะไม่เฏาะวาฟจนกว่านบีมุฮัมมัด  สามารถเฏาะ
วาฟเหมอื นฉันดว้ ยเชน่ กัน”

จากชีวประวัติข้างต้นสามารถสะท้อนให้เห็นถึงความรักท่ีเศาะฮาบะฮฺ  ได้มอบ
ให้กับอัลลอฮ์  และความรักท่ีเศาะฮาบะฮฺได้มอบให้กับนบีมุฮัมมัด  ซึ่งก็จะเป็นปรากฏการณ์ ที่
เกดิ ขนึ้ ในโลกของการเชิญชวนระหว่างผูใ้ หแ้ ละผู้รบั

2.4.3.4 อลี อบฏี ุรอบ 
อลี บิน อบีฏอลิบ  เป็นบุตรของอบุฏอลิบซึ่งเป็นลุงของนบีมุฮัมมัด  และนบีได้
เรียก อลี บิน อบีฏอลบิ  ดว้ ยคาว่า อบฏี ุรอบ
Ibn Hisyām, (1955 : 599) ได้กล่าวว่า “ท่านนบีมุฮัมมัด  ได้เรียกอลี ด้วยคา
วา่ อบีฏุรอบ เน่อื งจากอลีไดม้ ีทรายติดทแี่ ก้มหลงั จากนอนบนพนื้ ทรายในมัสยดิ อลั ฮะรอม
Ibn Ishaq, (1978 : 137) ได้กล่าวว่า “แท้จริงอลี บิน อบีฏอเล็บ  ได้ไปหานบี
มุฮมั มัด  และได้เจอกับนบีพร้อมกบั นางเคาะดีเยาะฮ์ ‫ رضي الله عنها‬กาลังละหมาด อลี  จึงถามวา่ น่ี
คอื อะไรโอม้ ุฮัมมัด  นบีก็ตอบว่า นี่คือศาสนาของอัลลอฮ์  ที่ได้ถกู เลือก และได้แตง่ ตั้งฉนั เป็นเราะ


Click to View FlipBook Version