The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม โดยใช้วิธีการสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนโยธินบูรณะ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ภูชิชย์ พรหมสิน, 2023-07-07 11:02:51

การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม โดยใช้วิธีการสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนโยธินบูรณะ

การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม โดยใช้วิธีการสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนโยธินบูรณะ

รายงานการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน เรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม โดยใช้วิธีการสอนแบบ Active Learning ร่วมกับ การใช้สื่อประสม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนโยธินบูรณะ โดย ภูชิชย์ พรหมสิน รายงานการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาคณิตศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ปีการศึกษา 2565


รายงานการวิจัย เรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม โดยใช้วิธีการสอนแบบ Active Learning ร่วมกับ การใช้สื่อประสม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนโยธินบูรณะ THE DEVELOPMENT OF ACADEMIC ACHIEVEMET OF LEARNING POLYNOMIAL IN MATHEMATICS SUBJECT RESULTS BY USING ACTIVE LEARNING METHOD AS AN ASSISTING MULTIMEDIA IN SECONDARY SCHOOL STUDENT SECOND YEAR AT YOTHINBURANA SCHOOL โดย ภูชิชย์ พรหมสิน รายงานการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาคณิตศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ปีการศึกษา 2565


คณะกรรมการการสอบป้องกันการวิจัยในชั้นเรียน ได้พิจารณาการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ในชั้นเรียนของ นายภูชิชย์ พรหมสิน แล้วเห็นสมควรรับเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาคณิตศาสตร์ของมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทาได้ คณะกรรมการสอบ ............................................................ประธานกรรมการสอบ (...........................................................) .............................................................กรรมการผู้เชี่ยวชาญ (...........................................................) .............................................................กรรมการจากสาขาวิชา (...........................................................) .............................................................กรรมการและเลขานุการ (...........................................................) คณะครุศาสตร์อนุมัติให้รับการทำวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของ การศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาสาขาวิชาคณิตศาสตร์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ...............................................................คณบดีคณะครุศาสตร์ (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กรรณิการ์ ภิรมย์รัตน์) วันที่ ........ เดือน..........................พ.ศ. ...........


ก บทคัดย่อ ชื่อรายงานการวิจัย : การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องพหุนาม โดยใช้วิธีการสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสม สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนโยธินบูรณะ ชื่อผู้วิจัย : ภูชิชย์ พรหมสิน อาจารย์ที่ปรึกษาวิจัย : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ธนวัฒน์ ศรีศิริวัฒน์ ชื่อปริญญา : ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชา : คณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัย : ราชภัฏสวนสุนันทา ปีที่ทำการวิจัย : 2565 คำสำคัญ : พหุนาม, Active Learning, สื่อประสม รายงานวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม หลังการจัด การเรียนรู้โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เมื่อเทียบกับก่อนการจัดการ เรียนรู้2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม หลังการจัดการ เรียนรู้โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เมื่อเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 และ 3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ วิชาคณิตศาสตร์เรื่อง พหุนาม โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/5 โรงเรียนโยธินบูรณะ ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 44 คน ได้มาโดย การสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ และแบบสอบถาม ความพึงพอใจ การตรวจสอบคุณภาพด้านความเที่ยงตรง โดยวิธีการหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ค่าความยากง่าย (p) ค่าอำนาจจำแนก (r) และค่าความเที่ยง (Reliability) ของแบบทดสอบโดยใช้ สูตร KR-20 ของคูเดอร์-ริชาร์ดสัน (Kuder-Richardson) และของแบบสอบถามโดยใช้ค่าสัมประสิทธิ์ แอลฟาของคอรบราค (Cronbach’s Alpha Coefficient) และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีแบบ t-test for Dependent Sample และ t-test for One Sample


ข ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทางวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง พหุนาม โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของนักเรียนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังการจัดการเรียนรู้ สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้ การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เมื่อเทียบ กับเกณฑ์ร้อยละ 70 พบว่า กลุ่มตัวอย่างได้คะแนนเฉลี่ยสูงกว่าร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม และมีจำนวนนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์มากกว่าร้อยละ 70 ของนักเรียนทั้งหมด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 3. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ซึ่งประเมินจากคะแนนเฉลี่ยของแบบประเมินความพึงพอใจทั้งฉบับ มีความพึงพอใจอยู่ใจระดับมาก


ค ABSTRACT Research : The development of academic achievement of learning polynomial in mathematics subject results by using Active Learning method as an assisting multimedia in secondary school student second year at Yothinburana School Reseacher : Phuchit Promsin Research Advisor : Assistant professor Tanawat Srisiriwat Degree : Bachelor of Education Field of student : Mathematics University : Suan Sunandha Rajabhat University Year : 2022 Keyword : polynomial, Active Learning, multimedia The objectives of this experimental research were 1. to compare the result of academic achievement of learning polynomial in mathematics subject after using Active Learning method as an assisting multimedia in secondary school student second year at Yothinburana School year, 2. to compare the development of academic achievement of learning polynomial in mathematics subject results by using Active Learning method as an assisting multimedia in secondary school student second year at Yothinburana School, 3. to assess the satisfaction with learning activities results by using Active Learning method as an assisting multimedia in secondary school student second year at Yothinburana School with the cluster random method sample size was from 44 students of 2/5 students’ grade year in the first semester of academic year 2022. The research assessment tools were learning management plans of mathematics learning achievement form and a satisfaction questionnaire; Index of item-objective consequence (IOC), difficulty (p), discriminant power (r) and test reliability (Reliability) and statistics used to analyze the data, including percentage, arithmetic mean, standard deviation and t-test for Dependent Sample and t-test for One Sample.


ง The results showed that 1. The development of academic achievement of learning polynomial in mathematics subject results after using Active Learning method as an assisting multimedia in secondary school student second year at Yothinburana School year is significantly higher after studying at 0.5 2. The result of academic achievement of learning polynomial in mathematics subject results after using Active Learning method as an assisting multimedia in secondary school student second year at Yothinburana School year, compared to the 7 0 % criterion, it was found that the sample group received a higher average score at 70 percent of the full score, and the number of students who pass the criteria is more than 7 0 percent of all students which statistically significant at the .05 level. 3. The satisfaction after learning polynomial in mathematics subject results by using Active Learning method as an assisting multimedia in secondary school student second year at Yothinburana School year, the students were satisfied at the level of high satisfaction.


จ กิตติกรรมประกาศ รายงานการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนฉบับนี้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยความกรุณาของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ธนวัฒน์ ศรีศิริวัฒน์ นายสมเกียรติ ผ่องจิต และนางสาวจินรีย์ ตอทองหลาง กรุณาให้คำปรึกษา ความรู้ ข้อเสนอแนะ และอำนวยความสะดวกในการทำงานวิจัยนี้ ตลอดจนแก้ไข ข้อบกพร่องต่าง ๆ ด้วยความละเอียด เพื่อให้รายงานการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนนี้ มีความสมบูรณ์มากขึ้น ผู้วิจัยจึงขอกราบขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้ ขอกราบขอบพระคุณ นางสาวบุษยมาศ โชติกประคัลภ์ นางสาวมาริสา ม่วงกล่ำ และนางสาวภัทรา กุระอิ่ม ผู้เชี่ยวชาญที่ได้กรุณาตรวจสอบเครื่องมือในการวิจัยพร้อมให้คำแนะนำ อันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการสร้างเครื่องมือและสนับสนุนให้งานวิจัยนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดี ขอขอบคุณผู้บริหาร ครู และนักเรียนโรงเรียนโยธินบูรณะ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่ให้ ความร่วมมือในการตอบแบบสอบถามและจัดเก็บข้อมูลจนทำให้งานวิจัยดำเนินไปได้ด้วยดี คุณค่าและประโยชน์ของรายงานการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนฉบับนี้ ขอมอบแด่บิดา มารดา และครูอาจารย์ทุกท่านที่ได้อบรมสั่งสอนให้ความรู้แก่ผู้วิจัยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ภูชิชย์ พรหมสิน


ฉ สารบัญ หน้า บทคัดย่อ ก กิตติกรรมประกาศ จ สารบัญ ฉ สารบัญตาราง ซ สารบัญภาพ ญ บทที่ 1 บทนำ 1 ที่มาและความสำคัญ 1 สมมติฐานการวิจัย 8 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 8 ขอบเขตของการวิจัย 9 นิยามศัพท์เฉพาะ 10 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 11 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 12 การสอนแบบ Active Learning 13 สื่อประสม 28 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 33 ความพึงพอใจ 46 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 54 กรอบแนวคิดการวิจัย 58 บทที่ 3 วิธีการดำเนินการวิจัย 59 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 59 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 59 การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 60 การเก็บรวบรวมข้อมูล 67 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 68 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 69 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 69 การวิเคราะห์ข้อมูล 69 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 70


ช สารบัญ (ต่อ) หน้า บทที่ 5 สรุปผลการวิจัย อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 76 สรุปผลการวิจัย 77 อภิปรายผล 78 ข้อเสนอแนะ 83 บรรณานุกรม 85 ภาคผนวก 92 ภาคผนวก ก 93 ภาคผนวก ข 95 ภาคผนวก ค 130 ภาคผนวก ง 196 ประวัติผู้วิจัย 199


ซ สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 1 สรุปขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด Active Learning 24 2 ตารางสิเคราะห์หลักสูตรและรูปแบบข้อสอบ รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 63 3 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้ สื่อประสมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เมื่อเทียบกับก่อนการจัดการเรียนรู้ จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 44 คน 70 4 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้ สื่อประสมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เมื่อเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 44 คน แบบจำแนกรายบุคคล 71 5 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้ สื่อประสมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เมื่อเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 44 คน โดยใช้ค่าสถิติทดสอบที 73 6 ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 74 7 แสดงผลการประเมินความเหมาะสมขององค์ประกอบของแผนการจัดกิจกรรม การเรียนรู้เรื่อง พหุนาม โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้ สื่อประสมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน 98 8 แสดงผลสรุปการประเมินความเหมาะสมขององค์ประกอบแต่ละด้านของ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง พหุนาม โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน 100


ฌ สารบัญตาราง (ต่อ) ตารางที่ หน้า 9 แสดงผลการพิจารณาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนกับจุดประสงค์การเรียนรู้ เรื่อง พหุนาม สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 40 ข้อ สำหรับผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน 120 10 แสดงผลของค่าความยากง่ายและค่าอำนาจจำแนกของแบบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน เรื่อง พหุนาม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 40 ข้อ 122 11 แสดงผลการคัดเลือกแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกับจุดประสงค์ การเรียนรู้เรื่อง พหุนาม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 20 ข้อ ทดสอบกับนักเรียน จำนวน 44 คน 124 12 แสดงผลการพิจารณาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) แบบสอบถามความพึงพอใจ ของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้ สื่อประสม จำนวน 20 ข้อ สำหรับผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน 128 13 แสดงผลการหาค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับของแบบสอบถามความพึงพอใจของ นักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้ สื่อประสม จำนวน 20 ข้อ 129


ญ สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า 1 กรอบแนวคิดการวิจัย 58 2 ภาพการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง พหุนาม โดยใช้สื่อบัตรคำ 197 3 ภาพการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง พหุนาม โดยใช้สื่อเกมโดมิโนเอกนาม 197 4 ภาพการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง พหุนาม โดยใช้สื่อกระเบื้องพีชคณิต 198 5 ภาพบรรยากาศการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม 198


บทที่ 1 บทนำ ที่มาและความสำคัญ คณิตศาสตร์มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อความสำเร็จในการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 เนื่องจาก คณิตศาสตร์ช่วยให้มนุษย์มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ คิดอย่างมีเหตุผล เป็นระบบ มีแบบแผน สามารถ วิเคราะห์ปัญหาหรือสถานการณ์ได้อย่างรอบคอบและถี่ถ้วน ช่วยให้คาดการณ์ วางแผน ตัดสินใจ แก้ปัญหา ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมและสามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ คณิตศาสตร์ยังเป็นเครื่องมือในการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และศาสตร์อื่น ๆ อันเป็น รากฐานในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของชาติให้มีคุณภาพและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้ ทัดเทียมกับนานาชาติ การศึกษาคณิตศาสตร์จึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทันสมัย และสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ สังคม และความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เจริญก้าวหน้า อย่างรวดเร็วในยุคโลกาภิวัตน์ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560) ในศตวรรษที่ 21 ความรู้เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ เพราะการใช้ชีวิตในศตวรรษที่ 21 ต้องใช้ความรู้ ความสามารถในการนำความรู้ไปใช้แก้ปัญหา ความสามารถในการแสวงหาความรู้ บูรณาการความรู้ คิดวิเคราะห์ แยกแยะ คิดแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน สื่อสารได้ดี รู้จักใช้เทคโนโลยี ที่เหมาะสม ซึ่งสมรรถนะเหล่านี้สำคัญมากทั้งในวันนี้และในอนาคต เพราะโลกจะเต็มไปด้วย การแข่งขัน เต็มไปด้วยความรู้ใหม่ ๆ รวมทั้งปัญหาใหม่ ๆ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ข้อสอบ PISA เป็นเครื่องมือหนึ่งในการวัดสมรรถนะของผู้เรียนในการวัดสมรรถนะ ของผู้เรียนโดยเน้นการนำความรู้มาแก้ปัญหาให้นักเรียนคิดวิเคราะห์ และให้เหตุผลอธิบายคำตอบ โปรแกรมประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล (Programme for International Student Assessment) ที่รู้จักกันในนาม PISA เป็นโครงการประเมินนักเรียนนานาชาติในกลุ่มประเทศ OECD และประเทศนอกกลุ่ม OECD ที่เรียกว่าประเทศร่วมโครงการ (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี (สสวท.), 2559) มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินคุณภาพของระบบการศึกษาของ ประเทศสมาชิก และประเทศร่วมโครงการโดยร่วมประเมินความสามารถในการใช้ความรู้และทักษะ


2 ของนักเรียนที่มีอายุ 15 ปี ในด้านการอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ประเทศไทยได้เข้าร่วม โครงการ PISA มาตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน การประเมินแต่ละครั้งสามารถให้ข้อมูลคุณภาพการศึกษา ของชาติ ซึ่งผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการศึกษาทุกฝ่ายและสาธารณชนควรต้องได้รับรู้ว่า ระบบการศึกษา ของเราได้เตรียมเยาวชนของชาติให้พร้อมที่จะเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ และมีสมรรถนะในการแข่งขัน กับประชาคมโลกเพียงใด เพื่อดูว่าระบบได้ให้การศึกษาเพื่อเตรียมตัวประชาชนให้มีความรู้ และทักษะที่จำเป็นสำหรับการเป็นผู้ใหญ่ และอยู่ในสังคมในอนาคตได้ดีเพียงใด เนื่องจากถือว่า การพัฒนาทางการศึกษา คือ ปัจจัยหลักของการพัฒนาและแข่งขันทางเศรษฐกิจ การประเมิน โครงการของ PISA เป็นการหาตัวชี้วัด และป้อนข้อมูลคุณภาพการศึกษาให้กับประเทศสมาชิก OECD จึงเน้นการประเมินความรู้ และทักษะที่จำเป็นสำหรับชีวิต โดยประเมินความฉลาดรู้(Literacy) ซึ่ง PISA ถือว่าวิชาที่เป็นตัวแทนของการวางรากฐานของการดำเนินชีวิต ได้แก่ ความฉลาดรู้ ด้านการอ่าน ด้านคณิตศาสตร์ และด้านวิทยาศาสตร์ (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี (สสวท.), 2559) PISA จะประเมินผู้เรียนทุก ๆ 3 ปี โดยหนึ่งรอบของการประเมินจะใช้เวลารวม 9 ปี การประเมินแต่ละครั้งจะครอบคลุมการเรียนรู้ใน 3 ด้านข้างต้น ซึ่งเน้นการให้น้ำหนักการประเมิน แต่ละด้านแตกต่างกัน ทั้งนี้ในด้านที่เน้นจะมีน้ำหนักการประเมินร้อยละ 60 และส่วนที่เหลือจะมี น้ำหนักการประเมินแต่ละด้านร้อยละ 20 เช่นการประเมินปี 2003 และ 2012 เน้นด้านคณิตศาสตร์ ซึ่งจากการประเมิน PISA คณิตศาสตร์ของนักเรียนนานาชาติ 2018 นักเรียนไทยมีคะแนน คณิตศาสตร์ 419 คะแนน ซึ่งมีคะแนนต่ำกว่าค่าเฉลี่ย OECD โดยเทียบเท่ากับการเรียนที่ต่างกัน เกือบสองปี (1.75 ปี) โดยนับตั้งแต่การประเมินครั้งแรกใน PISA 2000 แม้ว่าประเทศไทยมีคะแนน คณิตศาสตร์น้อยกว่าค่าเฉลี่ย OECD แต่ก็เป็นคะแนนคณิตศาสตร์ที่นักเรียนไทยทำได้สูงสุดตั้งแต่มี การประเมินมา หลังจากนั้นตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี ความรู้และทักษะด้านคณิตศาสตร์ของ นักเรียนไทยไม่ได้มีการพัฒนาขึ้น ซึ่งพบว่า แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของคะแนนตั้งแต่การประเมิน รอบแรกจนถึงปัจจุบัน ผลกรประเมินด้านคณิตศาสตร์ของไทยไม่มีการเปลี่ยนแปลง (ศูนย์ดำเนินงาน PISA แห่งชาติ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.), 2564, น.177) การประเมิน PISA 2021 ที่กำลังจะมาถึงนี้เป็นการประเมินที่เน้นความฉลาดรู้ ด้านคณิตศาสตร์ (Mathematical Literacy) เป็นหลัก โดยกรอบโครงสร้างการประเมินคณิตศาสตร์ ของ PISA 2021 ได้ถูกพัฒนาให้ทันสมัยและสอดคล้องกับรูปแบบการประเมินที่เปลี่ยนไป แต่ยังคงไว้ ซึ่งแนวคิดพื้นฐานของความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ที่ได้มีการพัฒนาขึ้นมาก่อนหน้านี้ โดย PISA ยังคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตมากขึ้น


3 และการพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับศตวรรษที่ 21 ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีการเน้นความสามารถ ในการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์และการคิดเชิงคำนวณ (Computational Thinking) ซึ่งเป็น กระบวนการในการแก้ปัญหา การคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผลเป็นขั้นตอน รวมถึงบริบทที่สอดคล้องกับ ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกรอบการประเมินนี้ นักเรียนต้องสามารถนำความรู้ จากเนื้อหาคณิตศาสตร์มาใช้แก้ปัญหาในบริบทที่ท้าทายหรือปัญหาที่พบเจอในโลกชีวิตจริง เริ่มตั้งแต่การแปลงสถานการณ์ของปัญหาให้อยู่ในรูปแบบที่สามารถใช้คณิตศาสตร์ในการแก้ปัญหาได้ แล้วใช้หลักการ กระบวนการ และการเลือกใช้เครื่องมือทางคณิตศาสตร์ เพื่อหาวิธีแก้ปัญหานั้น จากนั้นประเมินวิธีการที่ใช้ในการแก้ปัญหาและตีความผลลัพธ์ที่ได้ให้อยู่ในบริบทของโลกชีวิตจริง ซึ่งในแต่ละกระบวนการแก้ปัญหาต้องอาศัยการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์ทั้งสิ้น เพื่อตัดสินใจโดย อาศัยข้อมูลประกอบในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปัญหาซึ่งสามารถอธิบายได้ในเชิงคณิตศาสตร์ รวมถึง การคิดไตร่ตรองถึงกระบวนการแก้ปัญหาและผลลัพธ์ที่ได้จากการประเมินและตัดสินความน่าเชื่อถือ ของข้อมูล นอกจากนี้ นักเรียนยังต้องนำกระบวนการคิดเชิงคำนวณมาประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหา เพื่อแยกส่วนและย่อยปัญหา เลือกใช้เครื่องมือคำนวณที่สามารถช่วยในการวิเคราะห์หรือแก้ปัญหา และสร้างหรือระบุลำดับขั้นตอนของวิธีการแก้ปัญหา สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความฉลาดรู้ ด้านคณิตศาสตร์สำหรับพลเมืองในศตวรรษที่ 21 จากกรอบการประเมินความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ ที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่า ความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ไม่ใช่คุณลักษณะที่ติดตัวมาในแต่ละบุคคล หากแต่เป็นคุณลักษณะที่ต้องเกิดจากการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องซึ่งคุณลักษณะดังกล่าวสามารถพัฒนาได้ ตลอดเวลา ดังนั้น ในการเตรียมความพร้อมสำหรับการประเมินความฉลาดรู้ใน PISA 2021 นักเรียน ควรได้รับการส่งเสริมให้เรียนรู้การคิดเชิงคณิตศาสตร์โดยใช้การให้เหตุผลร่วมกับหลักการพื้นฐาน ทางคณิตศาสตร์ โดยครูไม่จำเป็นต้องสอนหลักการและวิธีการเหล่านี้โดยตรงจากในห้องเรียนเท่านั้น แต่นักเรียนยังสามารถได้รับประสบการณ์จากการเรียนรู้ผ่านสถานการณ์ในชีวิตจริง ซึ่งกระบวนการ เรียนรู้เช่นนี้จะช่วยเสริมสร้างกรอบแนวคิดด้านจำนวนและตัวเลข นอกจากนี้การส่งเสริมให้นักเรียน ได้มีประสบการณ์ในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ผ่านกิจกรรมและแบบฝึกที่สนับสนุนทักษะการคิด เชิงคำนวณก็จะเป็นการกระตุ้นให้นักเรียนได้ฝึกการคาดคะเน การคิดไตร่ตรอง และการหาวิธีแก้ไข จุดบกพร่องได้ ซึ่งจะเป็นการฝึกคิด ฝึกแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบจนกลายเป็นทักษะความรู้ เพื่อนำไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตประจำวันได้ สิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งคือการสอนนักเรียนให้แสดงข้อคิดเห็น ในการสนับสนุนหรือโต้แย้งด้วยการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์อย่างเหมาะสมและสมเหตุสมผล โดยมีพื้นฐานอยู่บนหลักการที่ถูกต้องเพื่อเป็นการฝึกฝนและพัฒนาความสามารถในการให้เหตุผลของ


4 นักเรียนอันจะนำไปสู่ความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์สำหรับการใช้ชีวิตในโลกศตวรรษที่ 21 ต่อไป (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.), 2563) การเรียนการสอนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ได้จัดให้มีการเรียนการสอนทุกระดับชั้น และในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผู้เรียนจะต้องเรียนเนื้อหาในเรื่องของพหุนามและการแยกตัว ประกอบพหุนามดีกรีสอง จากนั้นจะจึงเรียนเรื่องการแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสูงกว่าสอง ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560) ซึ่งจะเห็นว่าเนื้อเรื่องพหุนาม จะเรียงลำดับเนื้อหาจากง่ายไปหายากโดยเนื้อหาที่เรียนในระดับชั้นที่ต่ำกว่าจะเป็นพื้นฐานสำคัญใน การเรียนรู้เนื้อหาที่ซับซ้อนในระดับชั้นที่สูงกว่าต่อไป ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้เรียนจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจในเนื้อหาพื้นฐานจากง่ายไปห ายาก รวมไปถึงเมื่อนักเรียนจบการศึกษ า ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น นักเรียนต้องนำความรู้ที่เรียนเรื่องพหุนามไปใช้ในระดับมัธยมศึกษา ตอนปลายอีกด้วย ซึ่งวิชาคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่มีเนื้อหาความรู้ต่อเนื่องไปในทุกระดับชั้น จากที่ผู้วิจัยได้เข้าฝึกปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาที่โรงเรียนโยธินบูรณะ ได้รับมอบหมายให้ สอนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน 3 (ค22101) จำนวน 3 ห้องเรียน ซึ่งจากการสำรวจข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับสภาพการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนโรงเรียนโยธินบูรณะ พบว่า สาระจำนวนและพีชคณิต นักเรียนจะได้เรียนเกี่ยวกับพหุนาม กระทรวงศึกษาธิการ (2560) การกำหนดคุณภาพผู้เรียนเมื่อจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ไว้ว่า ผู้เรียนจะต้องมีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับพหุนาม การแยกตัวประกอบของพหุนาม สมการกำลังสอง และใช้ความรู้ความเข้าใจนี้ ในการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์เห็นได้ชัดว่า เรื่องพหุนามเป็นพื้นฐานสำคัญในการเรียนคณิตศาสตร์ ที่ผู้เรียนจะต้องมีความรู้ความเข้าใจ นอกจากนี้จากการวิเคราะห์มโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนทางการเรียน พหุนาม พบว่า นักเรียนมีมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับดีกรีของพหุนามมากที่สุด รองลงมา คือ มโนทัศน์ในเรื่องการหารพหุนามด้วยเอกนามที่มีเศษเหลือ (ประวาลปัทม์ รถวรินทร์, 2558) ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องพัฒนาความสามารถในเรื่องพหุนามเพื่อเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ในระดับชั้น ที่สูงขึ้นต่อไป อีกทั้งผู้วิจัยได้มีการสัมภาษณ์จากครูผู้สอน พบว่า ในการจัดการเรียนการสอนที่ผ่านมา เน้นรูปแบบการสอนที่นำเสนอเนื้อหา นิยาม ยกตัวอย่างโจทย์เพื่ออธิบายหรือแสดงขั้นตอน ให้นักเรียนดู ไม่ได้ใช้กิจกรรมหรือให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ด้วยตนเองมากนัก ประกอบกับ ครูผู้สอนมีการใช้สื่อการเรียนการสอนที่ค่อนข้างน้อย อาจมีสาเหตุมาจากเนื้อหาสาระที่สอนมีลักษณะ ที่ค่อนข้างเป็นนามธรรม หรืออาจอยู่ในรูปที่เป็นเชิงสัญลักษณ์ค่อนข้างมาก ทำให้ครูผู้สอนไม่สามารถ นำสื่อมาใช้ในการประกอบการเรียนการสอนได้ ผลจากการสอนดังกล่าวทำให้นักเรียนเกิดความเข้าใจ


5 ที่ไม่ถ่องแท้ในเนื้อหาที่เรียน หรือเข้าใจมโนทัศน์ได้แค่บางส่วน และนักเรียนจะเน้นการจำในสิ่งที่ครู แสดงให้ดูเป็นตัวอย่าง ทำให้นักเรียนขาดการคิด ความรู้ความเข้าใจ และกระบวนการต่าง ๆ ในเนื้อหา จึงทำให้สามารถนำความรู้ไปแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ในระดับที่สูงขึ้นได้ยาก โดยเฉพาะ เรื่องพหุนามที่มีลักษณะเป็นนามธรรม มีเนื้อหาที่ซับซ้อน นอกจากนี้ผู้วิจัยยังได้มีการสังเกตพฤติกรรม ของนักเรียน พบว่า นักเรียนมีพฤติกรรมติดเครื่องมือสื่อสารตลอดเวลา อันเป็นพฤติกรรมที่ขัดขวาง ต่อกระบวนการจัดการเรียนรู้ในห้องเรียนคณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นผลมาจากการจัดการเรียนการสอน ในรูปแบบออนไลน์ โดยผู้เรียนเกิดความเคยชินในการใช้เครื่องมือสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ในการเรียน เช่น นักเรียนอาจใช้เครื่องคิดเลขในการคิดคำนวณคำตอบ หรือค้นหาคำตอบจากโปรแกรมค้นหา เป็นต้น จากสาเหตุดังกล่าวข้างต้นอาจจะทำให้ผู้เรียนขาดทักษะในการคิดวิเคราะห์ ตลอดไปจนถึง ขาดทักษะการคิดคำนวณด้วยตนเอง ทั้งนี้อาจเกิดจากการเรียนการสอนที่ยังไม่สามารถสร้าง ความสนใจให้แก่นักเรียนได้มากพอ จากสาเหตุข้างต้น โดยเฉพาะในด้านการจัดการเรียนการสอนของครูผู้สอน สามารถแก้ไขได้ โดยการปรับกิจกรรมการเรียนการสอนของครูผู้สอน วางแผนการจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับสภาพ นักเรียน จัดการเรียนการสอนโดยให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมกับกิจกรรมในห้องเรียน สอดคล้องกับ การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning เป็นการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียน มีส่วนร่วมใน การเรียนดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ในการเรียนให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย ผู้เรียนลักษณะนี้ จะเป็นผู้เรียนที่เรียนรู้วิธีการเรียน (Learning how to learn) เป็นผู้เรียนที่กระตือรือร้นและมีทักษะ ที่สามารถเลือกรับข้อมูล วิเคราะห์ ข้อมูลได้อย่างมีระบบ (ปราวีณยา สุวรรณณัฐโชติ, 2551) ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติและสร้างความรู้จากสิ่งที่ปฏิบัติในระหว่างการเรียนการสอน สามารถสร้าง ความหมายได้ด้วยถ้อยคำของผู้เรียนเอง ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิมที่มีจาก การปฏิบัติ (ทวีวัฒน์ วัฒนกุลเจริญ, 2552) เป็นการเรียนรู้ที่ผู้เรียนต้องปฏิบัติและศึกษาความรู้ ด้วยตนเอง โดยการลงมือทำและคิดในสิ่งที่กำลังทำจากข้อมูลหรือกิจกรรมการเรียนการสอนที่ได้รับ ผ่านทางการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน การฟังเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความสามารถ ของตนเองออกมาอย่างเต็มที่ช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้คณิตศาสตร์ได้อย่างมีความหมายเข้าใจ ได้อย่างกว้างขวาง ลึกซึ้ง และจดจำได้นานมากขึ้น (สัญญา ภัทรากร, 2552) จากการศึกษางานวิจัย ของฝนพรม พุทธนา (2562) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาความสามารถในการคิดแก้ปัญหา โดยการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด Active Learning ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ผลการวิจัย พบว่า ผลสัมฤทธิ์หลังการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด Active Learning พบว่า สูงกว่าผลสัมฤทธิ์ก่อน การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด Active Learning อีกทั้งความสามารถในการคิดแก้ปัญหาของนักเรียน


6 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด Active Learning อยู่ในระดับดี และการศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด Active Learning หลังการจัดการเรียนรู้เป็นรายคาบ พบว่า สิ่งที่นักเรียนชื่นชอบจากการเรียน ได้แก่ สื่อการเรียนรู้และวิธีการจัดการเรียนรู้และสิ่งที่นักเรียนไม่ชื่นชอบจากการเรียน ได้แก่ เวลาไม่เพียงพอ ในการจัดการเรียนรู้ปัญหาในการร่วมกิจกรรมกลุ่มที่ใช้วิธีการสุ่มเลขที่ และนักเรียนบางคนไม่ให้ ความร่วมมือในการทำกิจกรรมเท่าที่ควร ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ นภาพร สว่างอารมณ์ (2563) เรื่อง การพัฒนาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 5 โดยการจัดการเรียนรู้เชิงรุก พบว่า ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของ นักเรียนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสูงกว่าก่อนได้รับการจัดการเรียนรู้เชิงรุกอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .01 อีกทั้งความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนหลังได้รับ การจัดการเรียนรู้เชิงรุกสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และหลังได้รับ การจัดการเรียนรู้เชิงรุกนักเรียนมีความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์อยู่ในระดับดี ขึ้นไป นอกจากนี้ ธวัชชัย แสงท้วม (2564) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง การแก้สมการพหุนาม กำลังสองตัวแปรเดียวที่เรียนโดยใช้กิจกรรม การเรียนรู้แบบ Active leaning ร่วมกับเกมออนไลน์กับวิธีสอนแบบปกติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 พบว่า กิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active leaning ร่วมกับเกมออนไลน์เรื่อง การแก้สมการ พหุนามกำลังสองตัวแปร เดียวสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ ตามเกณฑ์80/80 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เรื่อง การแก้สมการพหุนามกำลังสองตัวแปรเดียว โดยนักเรียนที่ เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ แบบ Active leaning ร่วมกับเกมออนไลน์สูงกว่านักเรียนที่เรียนด้วยวิธีสอนแบบปกติอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการเรียน ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active leaning ร่วมกับเกมออนไลน์โดยรวมอยู่ในระดับพึงพอใจมาก การปรับกิจกรรมการเรียนการสอนของครูผู้สอนดังกล่าว สามารถดำเนินการได้หลายวิธี ซึ่งวิธีการจัดกิจกรรมโดยใช้สื่อประสม เป็นแนวทางหนึ่งที่สามารถนำมาเป็นแนวทางในการปรับ กิจกรรมการเรียนการสอนได้กล่าวคือ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนคณิตศาสตร์โดยใช้สื่อประสม จะทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะช่วยให้นักเรียนเกิดความรู้ความเข้าใจเนื้อหา บทเรียนที่ยุ่งยากซับซ้อนได้ง่ายขึ้นในระยะเวลาอันสั้น และสามารถช่วยให้เกิดความคิดรวบยอดใน เรื่องนั้น ๆ อย่างถูกต้องและรวดเร็ว นอกจากนี้สื่อการเรียนการสอนมีความสำคัญมากต่อการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ที่ทำให้นักเรียนเกิดความรู้ความเข้าใจ และสร้างเจตคติที่ดีต่อการเรียน


7 วิชาคณิตศาสตร์แต่ในการใช้สื่อการเรียนการสอนให้เกิด ประโยชน์สูงสุดในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ครูผู้สอนควรคำนึงถึงหลักการใช้สื่อการเรียนการสอน ควรเลือกใช้สื่อให้เหมาะสมกับเนื้อหาและวิธีที่ สอนการใช้สื่อการเรียนการสอนแบบเดียวกันในทุกๆ เนื้อหาย่อมทำให้นักเรียนเกิดความเบื่อหน่าย และการใช้สื่อการเรียนการสอนอย่างใดอย่างหนึ่งของครูผู้สอนอาจไม่ประสบความสำเร็จในการสอน เท่าที่ควร ครูผู้สอนจะต้องนำสื่อการเรียนรู้หลาย ๆ อย่างมาประกอบกัน สื่อการเรียนการสอน รูปแบบหนึ่งที่สามารถนำไปใช้ใน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อให้นักเรียนเกิดความรู้ความเข้าใจได้ ง่ายขึ้น คือสื่อประสม ซึ่งเป็นสื่อการเรียนรู้ที่ครูผู้สอนสร้างขึ้นโดยใช้วัสดุ อุปกรณ์ กิจกรรมหรือวิธีการ ที่หลากหลายตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป มาประกอบการเรียนการสอน เพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ ตามวัตถุประสงค์โดยการใช้สื่อประสมนั้น นอกจากจะทำให้ผู้เรียนเข้าใจง่ายและประหยัดเวลา ในการสอนแล้ว ยังช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจอยากเรียนมากขึ้นมีความเพลิดเพลิน ในการเรียนและมีเจตคติที่ดีต่อวิชาคณิตศาสตร์(ธนศักดิ์ แสนสำราญ, พรสิน สุภวาลย์และ สมวงษ์ แปลงประสพโชค, 2564) จากการศึกษางานวิจัยของ เบญจมาศ หลักบุญ (2561) ได้ทำ การวิจัยเรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่าง รูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนพรตพิทยพยัต โดยใช้สื่อประสม โดยผลการวิจัยครั้งนี้พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างรูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติ ของนักเรียนที่เรียนโดยใช้สื่อประสม ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการเรียนสูงกว่าก่อนการเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 ซึ่งสอดคล้องกับ ธิดารัตน์ คล้ายอักษร และธนัชยศจำปาหวาย (2561) ได้ทำการวิจัย เรื่อง การแก้ปัญหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง พื้นที่ผิวของปริซึม โดยใช้สื่อประสม สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/4 โรงเรียนมัธยมวัดดุสิตาราม ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง พื้นที่ผิวของปริซึม โดยการใช้สื่อประสม ซึ่งส่งผลให้นักเรียนกลุ่มเป้าหมายทั้ง 5 คน ผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 50 ตามที่กำหนดไว้นอกจากนี้ ธีรพิชญ์ โลกคำลือ (2561) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่องการวัดค่ากลางของข้อมูล โดยใช้สื่อประสมของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/2 โรงเรียนโยธินบูรณะ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้สุ่ม แบบเจาะจง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 6/2 จำนวน 40 คน ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาสื่อ ประสมที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การวัดค่ากลางของข้อมูล ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนโยธินบูรณะ พบว่ามีค่าประสิทธิภาพ เท่ากับ 78.75/76.88 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด ค่าดัชนีประสิทธิผลมีค่าเท่ากับ 0.69 คิดเป็นร้อยละ 69 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการวัดค่ากลาง


8 ของข้อมูลของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนโยธินบูรณะ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จากที่กล่าวมาข้างต้นทำให้ผู้วิจัยสนใจที่จะศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสม สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active Learning เป็นการเรียน การสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้สูงสุด ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้และ จัดระบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง ทำให้ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นในการเรียน นอกจากนี้การใช้ สื่อประสม ก็น่าจะเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์และทำให้ผู้เรียน เข้าใจเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้น ตลอดจนส่งผลให้การจัดกิจกรรมการสอนของครูและกิจกรรมการเรียน ของผู้เรียนบรรลุสำเร็จตามที่ได้กำหนดไว้ อีกทั้งผู้เรียนยังสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปใช้เป็น พื้นฐานความรู้สำหรับการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ในระดับที่สูงขึ้นไป รวมทั้งยังเป็นแนวทาง ให้ครูสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สมมติฐานการวิจัย 1. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ เรื่อง พหุนาม โดยใช้การสอน แบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสม มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ เรื่อง พหุนาม โดยใช้การสอน แบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสม มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ ร้อยละ 70 3. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ เรื่อง พหุนาม โดยใช้การสอน แบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสม มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม หลังการจัด การเรียนรู้โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 เมื่อเทียบกับก่อนการจัดการเรียนรู้ 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม หลังการจัดการ เรียนรู้โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เมื่อเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70


9 3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์เรื่อง พหุนาม โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 ขอบเขตของการวิจัย ขอบเขตด้านประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ป ระช ากรที่ ใช้ใน การวิจัยครั้งนี้ ได้ แก่ นั กเรียน ชั้น มัธยมศึ กษ าปี ที่ 2 โรงเรียนโยธินบูรณะ ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 3 ห้อง รวม 132 คน ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/5 โรงเรียนโยธิน บูรณะ ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 44 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม ขอบเขตด้านเนื้อหา การวิจัยครั้งนี้กำหนดขอบเขตของเนื้อหาในการวิจัย คือ เนื้อหาวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม รายวิชาคณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ปรากฏอยู่ในสาระที่ 1 จำนวนและพีชคณิต มาตรฐาน 1.2 เข้าใจและวิเคราะห์แบบรูป ความสัมพันธ์ ฟังก์ชัน ลำดับและอนุกรม และนำไปใช้ ตัวชี้วัด ม.2/1 เข้าใจหลักการดำเนินการของพหุนาม และใช้พหุนามในการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ประกอบด้วยหัวข้อสำคัญ ดังนี้ 1. การบวกและการลบเอกนาม 2. การบวกและการลบพหุนาม 3. การคูณพหุนาม 4. การหารพหุนามด้วยเอกนาม ขอบเขตด้านตัวแปร ตัวแปรอิสระ ได้แก่ การจัดการเรียนรู้โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสม ตัวแปรตาม ได้แก่ 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม โดยใช้การสอน แบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2


10 2. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 ขอบเขตด้านระยะเวลา การวิจัยใน ครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ใช้ระยะเวลาการท ำวิจัย ใน ภ าคเรียน ที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โดยผู้วิจัยดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง ใช้เวลาในการเก็บ รวบรวมข้อมูลทั้งหมด จำนวน 10 คาบ คาบละ 50 นาที ประกอบด้วย การทดสอบก่อนเรียน จำนวน 1 คาบ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้จำนวน 8 คาบ และการทดสอบหลังเรียนจำนวน 1 คาบ โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1. ทดสอบก่อนเรียน จำนวน 1 คาบ 2. เรื่อง การบวกและการลบเอกนาม จำนวน 3 คาบ 3. เรื่อง การบวกและการลบพหุนาม จำนวน 2 คาบ 4. เรื่อง การคูณพหุนาม จำนวน 2 คาบ 5. เรื่อง การหารพหุนามด้วยเอกนาม จำนวน 1 คาบ 6. ทดสอบหลังเรียน จำนวน 1 คาบ นิยามศัพท์เฉพาะ ในการวิจัยนี้ ผู้วิจัยได้ให้ความหมายของคำศัพท์ ดังนี้ การสอนแบบ Active Learning หมายถึง การจัดการเรียนรู้โดยเน้นให้นักเรียนมีส่วนร่วม ในชั้นเรียน โดยลงมือปฏิบัติในกิจกรรมการเรียนรู้และเป็นศูนย์กลางในการปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อทำความเข้าใจเนื้อหาทางคณิตศาสตร์ด้วยตนเองหรือร่วมกับเพื่อน เป็นการจัดการเรียนรู้ที่เปิด โอกาสให้นักเรียนมีปฏิสัมพันธ์กับครูและเพื่อนในชั้นเรียน โดยวิธีการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย เน้นให้นักเรียนได้แสดงความคิดเห็นและลงมือปฏิบัติกิจกรรม ผ่านการฟัง การพูด การอ่าน การเขียน และการอภิปรายสะท้อนความคิด โดยลงมือปฏิบัติในกิจกรรมการเรียนรู้และเป็นศูนย์กลาง ในการปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้โดยในขั้นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ประกอบไปด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน หมายถึง การกระตุ้นผู้เรียนให้เกิดแรงจูงใจในการเรียนรู้ โดยใช้การสนทนา ตั้งคำถามหรือเสนอสื่ออย่างใดอย่างหนึ่ง และทบทวนความรู้เดิมที่จำเป็นสำหรับ ความรู้ใหม่ แจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้ให้ผู้เรียนทราบ


11 ขั้นที่ 2 ขั้นดำเนินการสร้างองค์ความรู้หมายถึง การดำเนินการจัดการเรียนรู้ตาม แผนการจัดการเรียนรู้ที่วางไว้ โดยเลือกใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย เพื่อเป็นการสร้าง ประสบการณ์หรือแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเรียนรู้ โดยผู้เรียนเป็นผู้ลงมือปฏิบัติ ซึ่งทำให้ผู้เรียน เกิดองค์ความรู้ในรูปแบบต่าง ๆ ขั้นที่ 3 ขั้นสรุปองค์ความรู้หมายถึง ขั้นที่ผู้เรียนร่วมกันสรุปองค์ความรู้ที่ได้ จากการเรียน เพื่อสะท้อนความคิดหรือความรู้ที่ได้ และตรวจสอบความคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น ระหว่างการเรียนด้วย ขั้นที่ 4 ขั้นประยุกต์และนำไปใช้ หมายถึง ขั้นที่ผู้เรียนได้นำความคิดรวบยอด ข้อสรุป หรือองค์ความรู้ใหม่ที่เกิดขึ้นไปประยุกต์หรือนำไปใช้ ซึ่งผู้สอนใช้กิจกรรมในขั้นนี้ ในการประเมินผลการเรียนรู้ สื่อประสม หมายถึง การนำสื่อการเรียนการสอนตั้งแต่สองชนิดขึ้นไปที่สัมพันธ์กันและ ส่งเสริมซึ่งกันและกันมาใช้ในการเรียนการสอน เพื่อช่วยให้นักเรียนเกิดความคิดรวบยอด และเกิดความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาที่ครูผู้สอนต้องการถ่ายทอดความสำคัญ ซึ่งสื่อประสมที่ผู้วิจัย สร้างขึ้นและนำไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ประกอบด้วย ใบงาน ใบกิจกรรม บัตรคำ เกม สื่อกระเบื้อง พีชคณิต (Algebra Tiles) และสื่อที่นำเสนอด้วยโปรแกรม Microsoft PowerPoint ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถของนักเรียนที่เกิดจากการเรียนรู้วิชา คณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสอน แบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสม โดยประเมินผลคะแนนการทดสอบจากแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เป็นข้อสอบปรนัยชนิด 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ เกณฑ์หมายถึง คะแนนขั้นต่ำที่จะยอมรับว่า นักเรียนมีความสามารถใน เรื่อง พหุนาม ที่เรียนโดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสม วิเคราะห์ได้จากคะแนนสอบ หลังเรียน โดยที่ผู้วิจัยใช้เกณฑ์ร้อยละ 70 ขึ้นไปของคะแนนเต็ม กล่าวคือ ถ้านักเรียนได้คะแนนใน การทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ตั้งแต่ร้อยละ 70 ขึ้นไปของคะแนนเต็ม ถือว่าผู้นั้นสอบผ่านเกณฑ์ ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกสึกที่ดีหรือทัศนคติที่ดีของนักเรียนที่เรียน เรื่องพหุนาม โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. เป็นแนวทางสำหรับครูผู้สอนวิชาคณิตศาสตร์ในการพัฒนาและปรับปรุงแผน การจัดการเรียนรู้ในเนื้อหาและระดับชั้นอื่น ๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น


บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การศึกษาการศึกษาผลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์เรื่อง พหุนาม โดยใช้วิธีการสอน แบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนโยธินบูรณะ โดยผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้เป็นแนวทางในการวิจัย ดังนี้ การสอนแบบ Active Learning ความหมายของการสอนแบบ Active Learning ลักษณะสำคัญของการสอนแบบ Active Learning ขั้นตอนการสอนแบบ Active Learning บทบาทของครูในการสอนแบบ Active Learning สื่อประสม ความหมายของสื่อประสม ประเภทของสื่อประสม ประโยชน์ของสื่อประสม ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความพึงพอใจ ความหมายความพึงพอใจ ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจ การวัดความพึงพอใจ การสร้างแบบวัดความพึงพอใจ


13 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสอนแบบ Active Learning งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้สื่อประสม กรอบแนวคิดในการวิจัย การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด Active Learning เป็นกระบวนการเรียนการสอนรูปแบบหนึ่ง ที่เน้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมและมีปฏิสัมพันธ์กับกิจกรรมการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติที่หลากหลายรูปแบบ เช่น การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การระดมสมอง การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เป็นต้น โดยกิจกรรม ต้องมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนและผู้เรียนกับผู้เรียนด้วยกันด้วย โดยผู้สอนลดบทบาทในการถ่ายทอด ความรู้แก่ผู้เรียนในลักษณ ะการบรรยายลง และเพิ่มบทบาทในการกระตุ้นให้ผู้เรียนมี ความกระตือรือร้นที่เรียนรู้มากขึ้น รวมถึงการจัดเตรียมสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการเรียนรู้ ซึ่งได้มีผู้ให้ความหมายของการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด Active Learning ไว้ดังนี้ ปราวีณยา สุวรรณณัฐโชติ (2551) ได้ให้ความหมายว่า การเรียนรู้เชิงรุก เป็นการเรียนรู้ ที่ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ในการเรียนให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย ซึ่งเป็นวิธีการเรียนรู้ในระดับลึก ผู้เรียนจะสร้างความเข้าใจและค้นหาความหมายของเนื้อหาสาระ โดยเชื่อมกับประสบการณ์เดิมที่มี แยกแยะความรู้ใหม่ที่ได้รับกับความรู้เก่าที่มี สามารถประเมิน ต่อเติมและสร้างแนวคิดของตนเอง ซึ่งเรียกว่าเกิดการเรียนรู้เกิดขึ้น ผู้เรียนลักษณะนี้จะเป็นผู้เรียน รู้วิธีการเรียน (Learning how to learn) เป็นผู้เรียนที่มีความกระตือรือร้นและมีทักษะสามารถเลือก รับข้อมูล วิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ สัญญา ภัทรากร (2552) ได้ให้ความหมายว่า การจัดการเรียนรู้อย่างมีชีวิตชีวา หมายถึง กระบวนการเรียนรู้ที่ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับผู้สอนและเพื่อนในชั้นเรียน มีความร่วมมือกันระหว่าง ผู้เรียน ผู้เรียนจะได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ อันจะนำไปสู่การสร้างความรู้จากสิ่งที่ปฏิบัติใน ระหว่างเรียนโดยการพูดและการฟัง การเขียน การอ่าน และการสะท้อนความคิด เชิดศักดิ์ ภักดีวิโรจน์ (2556) ได้ให้ความหมายว่า การจัดการเรียนรู้เชิงรุก หมายถึง กระบวนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนและดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ มากกว่าการเป็น ผู้รับความรู้เพียงอย่างเดียวเป็นการจัดการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับผู้สอนและ


14 เพื่อนในชั้นเรียนและสร้างองค์ความรู้จากสิ่งที่ปฏิบัติระหว่างการเรียนการสอนผ่านการเขียน การพูด การฟัง การอ่าน และการอภิปรายสะท้อนความคิด รสิตา รักสกุล (2557) ได้ให้ความหมายว่า การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด Active Learning คือ กระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสร้างสรรค์ทางปัญญาที่เน้นกระบวนการเรียนรู้มากกว่า เนื้อหาวิชา เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้หรือสร้างความรู้ให้เกิดขึ้นในตนเอง ด้วยการลงมือปฏิบัติจริง ผ่านสื่อหรือกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีครูผู้สอนเป็นผู้แนะนำกระตุ้นหรืออำนวย ความสะดวกให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ขึ้น โดยกระบวนการคิดขั้นสูง กล่าวคือ ผู้เรียนมีการวิเคราะห์ สังเคราะห์และการประเมินค่า จากสิ่งที่ได้รับจากกิจกรรมการเรียนรู้ทำให้การเรียนรู้เป็นไป อย่างมีความหมายและนำไปใช้ในสถานการณ์อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ สถาพ ร พฤฑฒิ กุล (2558) ได้ให้ความหมายว่า การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด Active Learning คือ การเรียนรู้ที่ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนหรือดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ในการเรียนให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย เป็นวิธีการเรียนรู้ในระดับลึก ผู้เรียนจะสร้าง ความเข้าใจและค้นหาความหมายของเนื้อหาสาระ โดยเชื่อมโยงกับประสบการณ์เดิมที่มีอยู่ สามารถบูรณาการความรู้ใหม่ที่ได้รับกับความรู้เก่าที่มี สามารถประเมิน ต่อเติมและสร้างเป็นแนวคิด ของตนเอง ซึ่งแตกต่างจากวิธีการเรียนรู้แบบระดับผิวเผิน เน้นการรับข้อมูลและจดจำข้อมูลนั้น ผู้เรียนลักษณะนี้จะเป็นผู้เรียนที่เรียนรู้วิธีการเรียนเป็นผู้เรียนที่กระตือรือร้นและมีทักษะที่สามารถ เลือกรับข้อมูล วิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีระบบ วารินท์พร ฟันเฟื่องฟู (2562) ได้ให้ความหมายว่า การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning เป็นกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในกิจกรรม การเรียนรู้ทุกขั้นตอน โดยลงมือปฏิบัติในกิจกรรมการเรียนรู้และเป็นศูนย์กลางในการปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ มีพฤติกรรมที่แสดงออกถึงความรับผิดชอบร่วมกันในกระบวนการเรียนรู้ใช้กระบวนคิดขั้นสูง (Higher order thinking) ในการแก้สถานการณ์ปัญหาอย่างเป็นระบบอย่างสร้างสรรค์สามารถใช้ การปฏิสัมพันธ์ร่วมกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้สะท้อนผลของการเรียนรู้ระหว่างผู้เรียนด้วยกันเองและ ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน จนสามารถสร้างองค์ความรู้จากกิจกรรมการเรียนรู้ได้ด้วยตนเองและส่งผล ให้ผู้เรียนบรรลุตามผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ อันเป็นคุณลักษณะของคนไทย 4.0 ตามมาตรฐานการศึกษา ของชาติทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ 1. เป็นผู้เรียนรู้ 2. เป็นผู้ร่วมสร้างสรรค์นวัตกรรม และ 3. เป็นพลเมือง ที่เข้มแข็ง


15 นภาพร สว่างอารมณ์ (2563) ได้ให้ความหมายว่า การจัดการเรียนรู้เชิงรุก หมายถึง การจัดการเรียนรู้ที่เน้นให้นักเรียนมีส่วนร่วมในชั้นเรียน นักเรียนได้ลงมือทำ ได้แสดงออก หรือเป็น ผู้ค้นพบความรู้และทำความเข้าใจด้วยตนเอง หรือร่วมกับเพื่อน ผ่านการลงมือปฏิบัติกิจกรรม ด้วยการฟัง การพูด การตั้งคำถาม การอ่าน การเขียน การร่วมกิจกรรมกลุ่ม และการอภิปราย สะท้อนคิด เปลี่ยนบทบาทนักเรียนจากผู้รับความรู้เป็นผู้ค้นพบความรู้หาความหมายและ ทำความเข้าใจด้วยตนเอง โดยมีครูเป็นผู้สนับสนุนให้นักเรียนเกิดองค์ความรู้สนับสนุนให้นักเรียนเกิด การค้นพบระหว่างการจัดกิจกรรมด้วยการปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนและครูอันนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้ จากสิ่งที่ปฏิบัติระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จากความหมายข้างต้นผู้วิจัยได้สรุปความหมายของ การสอนแบบ Active Learning ว่าหมายถึง การจัดการเรียนรู้โดยเน้นให้นักเรียนมีส่วนร่วมในชั้นเรียน โดยลงมือปฏิบัติในกิจกรรม การเรียนรู้และเป็นศูนย์กลางในการปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อทำความเข้าใจเนื้อหาทาง คณิตศาสตร์ด้วยตนเองหรือร่วมกับเพื่อน เป็นการจัดการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนมีปฏิสัมพันธ์ กับครูและเพื่อนในชั้นเรียน โดยวิธีการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย เน้นให้นักเรียนได้แสดง ความคิดเห็นและลงมือปฏิบัติกิจกรรม ผ่านการฟัง การพูด การอ่าน การเขียน และการอภิปราย สะท้อนความคิด โดยลงมือปฏิบัติในกิจกรรมการเรียนรู้และเป็นศูนย์กลางในการปฏิบัติกิจกรรม การเรียนรู้ ลักษณะสำคัญของการสอนแบบ Active Learning ลักษณะสำคัญของการสอนแบบ Active Learning ได้มีนักวิชาการเสนอแนวคิดไว้ดังนี้ ทวีวัฒน์ วัฒนกุลเจริญ (2552) ได้กล่าวถึงลักษณะสำคัญของการสอนแบบ Active Learning ดังนี้ 1. เป็นกิจกรรมการเรียนรู้โดยเน้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้สูงสุด เหมาะสม กับผู้เรียน สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับครูผู้สอนและเพื่อน ในชั้นเรียน 2. จัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ท้าทายความคิด ให้ผู้เรียนได้รับวิธีการเรียนรู้ที่ หลากหลายแนว เน้นการอธิบายกับเพื่อนในกลุ่มและจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ท้าทาย และเน้นการนำ ความรู้ไปใช้ประโยชน์จริงในชีวิตจริงของผู้เรียน 3. ครูผู้สอนต้องกำหนดเวลาในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้อย่างชัดเจน ทั้งนี้ในการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด Active Learning จำเป็นต้องใช้เวลามากในการจัดกิจกรรม


16 ไชยยศ เรืองสุวรรณ (2553) ได้กล่าวถึงลักษณะสำคัญของการสอนแบบ Active Learning ดังนี้ 1. เป็นการเรียนการสอนที่พัฒนาศักยภาพทางสมอง ได้แก่ การคิด การแก้ปัญหา และการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ 2. เป็นการเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ 3. ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้และจัดระบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง 4. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอนทั้งในด้านการสร้างองค์ความรู้ การสร้าง ปฏิสัมพันธ์ร่วมกันและร่วมมือกันมากกว่าการแข่งขัน 5. ผู้เรียนได้เรียนรู้ความรับผิดชอบร่วมกัน การมีวินัยในการทำงาน และการแบ่ง หน้าที่ความรับผิดชอบ 6. เป็นกระบวนการสร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียนอ่าน พูด ฟัง คิดอย่างลุ่มลึก ผู้เรียนจะ เป็นผู้จัดระบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง 7. เป็นกิจกรรมการเรียนการสอนเน้นทักษะการคิดขั้นสูง 8. เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนบูรณาการข้อมูล ข่าวสาร สารสนเทศและ หลักการสู่การสร้างความคิดรวบยอดความคิดรวบยอด 9. ผู้สอนจะเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติ ด้วยตนเอง 10. ความรู้เกิดจากประสบการณ์ การสร้างองค์ความรู้และการสรุปทบทวนของ ผู้เรียน กมลวรรณ สุภากุล (2559) ได้กล่าวถึงลักษณะสำคัญของการสอนแบบ Active Learning ดังนี้ 1. เป็นการเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรูสูงสุด 2. ผู้เรียนเรียนรู้ความรับผิดชอบร่วมกัน การมีวินัยในการทำงาน การแบ่งหน้าที่ ความรับผิดชอบ 3. เป็นกระบวนการสร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียนอ่าน พูด ฟัง คิดอย่างลุ่มลึก ผู้เรียนจะ เป็นผู้จัดระบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง 4. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนบูรณาการข้อมูลข่าวสารหรือสารสนเทศ และหลักการ ความคิดรวบยอด


17 5. ผู้สอนจะเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติ ด้วยตนเอง 6. ความรู้เกิดจากประสบการณ์ การสร้างองค์ความรู้และการสรุปทบทวนของผู้เรียน นนทลี พรธาดาวิทย์ (2559) ได้กล่าวถึงลักษณะสำคัญของการสอนแบบ Active Learning ดังนี้ 1. ผู้สอนควรกำหนดเป้าประสงค์ (Purposive) โดยเป้าประสงค์นั้น ควรสัมพันธ์กับ กิจกรรม/งานที่เกี่ยวข้องกับผู้เรียนเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ เน้นการพัฒนาทักษะผู้เรียนมากกว่าเนื้อหา เน้นการสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต 2. ผู้เรียนควรมีส่วนร่วมในการกำหนดแนวคิด การวางแผนการเรียนรู้ การยอมรับ การประเมินผลและการนำเสนอผลงาน 3. วิธีการจัดการเรียนรู้สามารถสะท้อน สิ่งที่ผู้เรียนเรียนรู้ได้จากกิจกรรมและ สามารถผู้เรียนได้รับข้อมูลสะท้อนกลับจากผู้สอนทันทีทันใดในการทำกิจกรรม 4. ควรมีกิจกรรมการเจรจาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้เรียนและผู้สอน 5. ควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนวิพากษ์วิจารณ์ในสิ่งที่ผู้เรียนชื่นชอบและไม่ชอบ รวมทั้ง วิจารณ์เกี่ยวกับเนื้อหาในการเรียนรู้ 6. ผู้สอนต้องออกแบบการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับความสนใจและความแตกต่างของ ผู้เรียนแต่ละคน แต่ละกิจกรรมที่ทำต้องมีความหมายเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง แก้ปัญหาได้ตามสภาพจริง (Authentic Situation) 7. การจัดการเรียนรู้ที่มีการสร้างสถานการณ์เพื่อให้ผู้เรียนได้ใช้ความคิดในระดับสูง (Higher Order Thin king) ได้แก่ การวิเคราะห์การสังเคราะห์และการประเมินผล เพื่อใช้ในการแก้ไข ปัญหาหรือสถานการณ์นั้น 8. การจัดการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงระหว่างสิ่งที่เรียนกับชีวิตจริง หรือสถานการณ์จริง รวมถึงการบูรณาการวิชาต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้ 9. การจัดการเรียนรู้ที่ทำให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกเรียนเหมือนไม่เรียน สนุกสนาน ไม่น่าเบื่อ จัดบรรยากาศในชั้นเรียนให้เอื้อต่อการทำงานร่วมกับผู้อื่น ใช้กระบวนการกลุ่มและ มีการประเมินผลที่หลากหลายทั้งตัวผู้เรียน เพื่อนและผู้สอน 10. การจัดการเรียนรู้ที่ไม่จำกัดเฉพาะการเรียนรู้ภายในห้องเรียน สามารถเรียนรู้ได้ ทุกสถานการณ์ทั้งในห้องเรียน นอกห้องเรียน ที่บ้านและสามารถเรียนรู้ได้จากบุคคลทุกคนที่เกี่ยวข้อง ทำให้ความรู้ไม่มีขอบเขตจำกัด


18 จากการศึกษาลักษณะสำคัญของการสอนแบบ Active Learning ผู้วิจัยได้สังเคราะห์ ลักษณะสำคัญได้ว่า การสอนแบบ Active Learning เป็นการจัดการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนได้มีส่วน ร่วมในกระบวนการการเรียนรู้มากที่สุด ให้ผู้เรียนสามารถสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง โดยผู้สอน เป็นผู้อำนวยความสะดวกให้กับผู้เรียน เน้นให้ผู้เรียนได้ใช้ทักษะการคิดขั้นสูง และยังเป็นการเพิ่ม ความท้าทายในการเรียนและสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้เรียนอีกด้วย ขั้นตอนการสอนแบบ Active Learning การสอนแบบ Active Learning เป็นอีกหนึ่งแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนที่สามารถ สร้างให้เกิดขึ้นได้ทั้งในและนอกห้องเรียน รวมทั้งสามารถใช้ได้กับผู้เรียนทุกระดับ จากลักษณะสำคัญ ของการสอนแบบ Active Learning จะเห็นได้ว่ามีจุดเน้นอยู่หลายประการที่สามารถนำไปสู่ การออกแบบกิจกรรมตามขั้นตอนของการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด Active Learning ซึ่งสอดคล้อง กับขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด Active Learning ที่นักวิชาการหลายท่านได้เสนอขั้นตอน การจัดการเรียนรู้ในรูปแบบต่าง ๆ ดังนี้ Baldwin and Williams (1988) ได้เสนอขั้นตอนการจัดการเรียนรู้เชิงรุกไว้ 4 ขั้น ดังนี้ 1. ขั้นเตรียมพร้อม เป็นขั้นที่ผู้สอนนำผู้เรียนเข้าสู่เนื้อหา โดยการสร้างแรงจูงใจ ให้ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้นในการอยากที่จะเรียนรู้ต่อไป 2. ขั้นปฏิบัติงานกลุ่ม เป็นขั้นที่ผู้สอนให้ผู้เรียนเข้ากลุ่มย่อยเพื่อทำงานร่วมกัน และสรุปความคิดเห็นของกลุ่มอีกทั้งต้องแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันระหว่างกลุ่มอื่น ๆ โดยที่ผู้สอนต้องเสริม ข้อมูลให้สมบูรณ์ 3. ขั้นติดตามผล เป็นขั้นที่ให้ผู้เรียนทำแบบฝึกหัด หรือทำแบบทดสอบหลังเรียน 4. ขั้นประยุกต์ใช้ เป็นชั้นที่ให้สู้เรียนได้ด้นคว้าอิสระเพิ่มเติมโดยจัดทำเป็นรายงาน หรือให้นักเรียนเขียนบันทึกประจำวัน รวมถึงให้ผู้เรียนเขียนสรุปความรู้ที่ได้รับในคาบเรียนนั้น ๆ Johnson et al (1991) ได้เสนอขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด Active Learning ดังนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นนำ เป็นขั้นที่แสดงให้ผู้เรียนเห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างเนื้อหาที่จะสอน กับสิ่งที่ผู้เรียนมีพื้นฐานอยู่ก่อนแล้ว (3-5 นาที) พร้อมทั้งระบุโครงร่างของเนื้อหา แนวคิด ประเด็นหลักในการสอน ผู้เรียนจะเห็นความสำคัญและอยากเรียนรู้เรื่องนั้นมากขึ้น ขั้นที่ 2 ขั้นสอน เป็นขั้นที่ผู้สอนสอนเนื้อหา (10-15 นาที) ตามด้วยกิจกรรมอื่น (3-4 นาที) ปกติผู้สอนมักจะสอนติดต่อกันเป็นเวลานาน ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนเฉื่อย และไม่กระตุ้น การเรียนรู้จากการศึกษาพบว่าสมาธิหรือความสนใจของผู้เรียนจะลดลงอย่างรวดเร็วภายใน 15 นาที


19 ดังนั้น ในรูปแบบการสอนจึงแนะนำการสอน 10-15 นาที ตามด้วยกิจกรรมอื่น 3-4 นาที เพื่อเปลี่ยน บรรยากาศและเป็นการให้โอกาส ผู้สอนมีปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียน เช่น การตั้งคำถามให้ผู้เรียนตอบหรือ จะให้ผู้เรียนช่วยกันคิดเป็นกลุ่มเพื่อตอบผู้เรียนจะเข้าใจเนื้อหา และจำได้นานกว่าถ้ามีการอภิปราย ร่วมกัน ผู้สอนทำซ้ำโดยสอนเนื้อหาสลับกับกิจกรรมเรื่อย ๆ ไป จนใกล้หมดเวลาสอน ขั้นที่ 3 ขั้นสรุป เป็นขั้นที่ผู้เรียนสรุปเนื้อหาที่ได้เรียนดัวยตนเอง (4-6 นาที) โดยผู้สอนให้ผู้เรียนสรุปความเข้าใจของตนเอง โดยเขียนใจความสำคัญของเนื้อหาลงในแผ่นกระดาษ และแลกเปลี่ยนกับเพื่อนข้าง ๆ กันอ่านหรือผู้สอนอาจสุ่มให้ผู้เรียนมาอ่านหน้าชั้นเรียน ศิริพร มโนพิเชฐวัฒนา (2547) ได้เสนอขั้นตอนการเรียนรู้ที่กระตือรือร้น ดังนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่หน่วยการเรียน เป็นขั้นเตรียมความพร้อมของผู้เรียน โดยการสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ ทบทวนความรู้เดิม หรือมโนทัศน์ที่จำเป็นต้องเป็นฐานสำหรับ ความรู้ใหม่ แนะนำหัวข้อเรื่องที่จะเรียน ขั้นที่ 2 ขั้นกิจกรรมชี้นำประสบการณ์ เป็นการเสนอสถานการณ์ด้วยกิจกรรม ที่น่าสนใจสัมพันธ์กับประสบการณ์ของผู้เรียน และเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของผู้เรียน กิจกรรมการเรียนรู้ทั้งหมดจะรวมถึงการได้สนทนาสื่อสาร และการได้รับประสบการณ์ ดังนี้ 1. สนทนาสื่อสารกับตนเอง ด้วยกิจกรรมการอ่านการเขียนที่กระตือรือร้น และการเขียนแผนผังมโนทัศน์ 2. สนทนาสื่อสารกับผู้อื่น ด้วยกิจกรรมอภิปรายกลุ่ม การเรียนแบบร่วมแรง ร่วมใจ และเกม 3. ประสบการณ์จากการลงมือกระทำด้วยกิจกรรมปฏิบัติการทักษะพื้นฐาน การทดลองและการสืบสอบ 4. ประสบการณ์จากการสังเกตกับเหตุการณ์จริงโดยตรง หรือโดยอ้อม ด้วยกิจกรรมละครบทบาทสมมติ สถานการณ์จำลอง การใช้กรณีศึกษา และการศึกษานอกสถานที่ ขั้นที่ 3 ขั้นกิจกรรมสรุปเชื่อมโยง และประยุกต์ใช้ เน้นให้ผู้เรียนฝึกทักษะ และนำความรู้ไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ โดยผู้เรียนร่วมกันสรุปแนวคิด หลักการ และมโนทัศน์ ของเนื้อหาในบทเรียน เพื่อผู้เรียนจะได้นำมโนทัศน์และหลักการดังกล่าวไปใช้ในการแก้ปัญหา ในสถานการณ์ใหม่ต่อไป เป็นการบูรณาการประสบการณ์ มโนทัศน์ หลักการ และกฎเกณฑ์ สู่การสร้างมโนทัศน์ที่มีความหมายและกระจ่างยิ่งขึ้น ซึ่งสมาชิกในกลุ่มจะร่วมกันแก้สถานการณ์ ปัญหาที่ได้รับมอบหมาย


20 ขั้นที่ 4 ขั้นประเมินผล เป็นการประเมินเพื่อปรับปรุงและพัฒนาผู้เรียน โดยใช้ การประเมินผลตามสภาพจริง เปิดโอกาสให้ผู้เรียนคิดไตร่ตรองในสิ่งที่เรียนรู้ (Reflect) และประเมิน ความคิดนั้นของผู้เรียน บัญญัติ ชำนาญกิจ (2551) ได้เสนอขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบใฝ่รู้ (Active Learning) ของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องมาจากแนวคิดที่สำนักงานสภาสถาบัน ราชภัฏได้ออกแบบไว้ มีขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ 4 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้สอนพยายามกระตุ้นให้ผู้เรียนดึงประสบการณ์เดิมของตน มาเชื่อมโยงหรืออธิบายประสบการณ์หรือเหตุการณ์ใหม่ แล้วนำไปสู่การขบคิดเพื่อเกิดข้อสรุปหรือ องค์ความรู้ใหม่ อธิบายและแบ่งปันประสบการณ์ของตนกับผู้อื่นที่อาจมีประสบการณ์เหมือน หรือต่างจากตนเอง เป็นการรวบรวมมวลประสบการณ์ที่หลากหลายจากแต่ละคน เพื่อนำไปสู่ การเรียนรู้สิ่งใหม่ร่วมกัน ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนรู้สึกว่าตนมีความสำคัญเพราะได้มีส่วนร่วมในฐานะ สมาชิก มีผู้ฟังเรื่องราวของตนเอง และได้รับรู้เรื่องราวของคนอื่น นอกจากจะได้แลกเปลี่ยน ประสบการณ์แล้วยังทำให้สัมพันธภาพในกลุ่มผู้เรียนเป็นไปด้วยดี ส่วนผู้สอนไม่ต้องเสียเวลา ในการหรือยกตัวอย่าง เพียงแต่ใช้เวลาเล็กน้อยกระตุ้นให้ผู้เรียนได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน และยังช่วยให้ผู้สอนได้ทราบถึงความรู้พื้นฐานและประสบการณ์เดิมของผู้เรียน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ต่อไป ขั้นที่ 2 ขั้นสร้างองค์ความรู้ร่วมกัน ขั้นนี้ทำให้ผู้เรียนได้คิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ สร้างสรรค์มวลประสบการณ์ข้อมูล ความคิดเห็น ฯลฯ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถ่องแท้ชัดเจน หรือเกิดข้อสรุป/องค์ความรู้ใหม่หรือ ตรวจสอบ/ปรับ/เปลี่ยนความคิดความเชื่อของตนเองกิจกรรมในขั้นนี้เป็นกิจกรรมกลุ่มที่เน้น การตั้งประเด็นให้ผู้เรียนได้คิด สะท้อนความคิดหรือบอกความคิดเห็นของตนเอให้คนอื่นได้รับรู้ และได้อภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดระหว่างกันอย่างลึกซึ้งจนเกิดความเข้าใจชัดเจน ได้ข้อสรุปหรือ องค์ความรู้ใหม่หรือเกิด/ปรับ/เปลี่ยนความคิดความเชื่อตามจุดประสงค์ที่กำหนด ขั้นที่ 3 ขั้นนำเสนอความรู้ เป็นขั้นที่ทำให้ผู้เรียนได้รับข้อมูลความรู้ แนวคิด ทฤษฎีหลักการขั้นตอน หรือข้อสรุปต่าง ๆ โดยครูเป็นผู้จัดให้ เพื่อใช้เป็นต้นทุนในการสร้างองค์ความรู้ใหม่ หรือช่วยให้ การเรียนรู้บรรลุจุดประสงค์ กิจกรรมการเรียนรู้อาจทำได้โดยการให้แนวคิด ทฤษฎีหลักการข้อมูล ความรู้ ขั้นตอนทักษะ ซึ่งทำได้โดยการบรรยาย ดูวิดีทัศน์ฟังแถบเสียง อ่านเอกสาร/ ใบความรู้/ตำรา


21 ฯลฯ หรือการรวบรวมประสบการณ์ของผู้เรียนที่เป็นผลให้เกิดการเรียนรู้เนื้อหาสาระเพิ่มขึ้น หรือการรวบรวมข้อสรุปของการสะท้อนความคิดและอภิปรายประเด็นที่มอบหมายให้ ขั้นที่ 4 ขั้นประยุกต์ใช้หรือลงมือปฏิบัติ เป็นขั้นที่ทำให้ผู้เรียนได้นำความคิดรวบยอดหรือข้อสรุปหรือองค์ความรู้ใหม่ที่เกิดขึ้น ไปประยุกต์หรือทดลองใช้หรือเป็นการแสดงผลสำเร็จของการเรียนรู้ในองค์ประกอบอื่น ๆ ซึ่งผู้สอน ใช้กิจกรรมในองค์ประกอบนี้ในการประเมินผลการเรียนรู้ได้และยังเป็นองค์ประกอบสำคัญ ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้รู้จักการนำไปใช้ในชีวิตจริง เชิดศักดิ์ ภักดีวิโรจน์ (2556) ได้เสนอขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก ไว้ดังนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน เป็นขั้นที่ผู้สอนกระตุ้นผู้เรียนให้เกิดแรงจูงใจ ในการเรียนรู้โดยการใช้การสนทนา ตั้งคำถามหรือนำเสนอสื่ออย่างใดอย่างหนึ่ง และทบทวน ความรู้เดิมที่จำเป็นสำหรับความรู้ใหม่ แจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้ให้ผู้เรียนทราบ ขั้นที่ 2 ขั้นนำเสนอสถานการณ์ เป็นขั้นที่ผู้สอนนำเสนอสถานการณ์ปัญหาที่ท้าทาย และมีความสัมพันธ์กับประสบการณ์ของผู้เรียน ตั้งกติการ่วมกันและเปิดโอกาสให้ผู้เรียนซักถาม ข้อสงสัย ขั้นที่ 3 ขั้นดำเนินการกิจกรรม เป็นขั้นที่ผู้เรียนวิเคราะห์ปัญหาและร่วมกัน วางยุทธวิธีในการแก้ปัญหา จากนั้นดำเนินการตามยุทธวิธีที่วางไว้ และมีการอภิปรายสะท้อนความคิด โดยทุกคนในกลุ่มต้องมีส่วนร่วม ซึ่งผู้สอนเป็นเพียงผู้ให้คำแนะนำและกระตุ้นความคิด ขั้นที่ 4 ขั้นสร้างองค์ความรู้ เป็นขั้นที่ผู้เรียนออกมานำเสนอแนวคิดของตนเอง หรือของกลุ่มให้ผู้เรียนคนอื่น ๆ ได้รับรู้ และอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดระหว่างกันจนเกิด ความเข้าใจที่ชัดเจน ขั้นที่ 5 ขั้นสรุป เป็นขั้นที่ผู้เรียนร่วมกันสรุปองค์ความรู้ที่ได้จากการเรียน เพื่อสะท้อนความคิดหรือความรู้ที่ได้ และตรวจสอบความคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้นระหว่าง การเรียนด้วย สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.) (2561) ได้เสนอขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning มี 5 ขั้นตอน ดังนี้ 1. ขั้นรวบรวมข้อมูล (Gathering) เริ่มจากคำถามเพื่อกระตุ้นผู้เรียนให้สังเกต สงสัย กระตุ้นความสนใจ ตระหนักในปัญหา ตั้งสมมุติฐาน ตั้งข้อสงสัย เพื่อรวบรวมข้อมูลที่ เกี่ยวข้องมา คัดเลือกและจัดเก็บเพื่อนำไปสู่การกระทำให้เกิดความหมายต่อไป


22 2. ขั้นคิดวิเคราะห์และสรุปความรู้ (Processing) เป็นการจัดกระทำข้อมูล โดยใช้ แผนภาพความคิดมาช่วยจัดความคิดให้เป็นระบบ เช่น การจำแนก จัดลำดับ เชื่อมโยงสัมพันธ์ และ เชื่อมโยงสู่โครงสร้างความดี คุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมเชิงบวก นำไปสู่การออกแบบ สร้างทางเลือก ตัดสินใจ และวางแผนขั้นตอนการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพ เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ 3. ขั้นปฏิบัติและสรุปความรู้หลังการปฏิบัติ (Applying and Constructing the knowledge) เขียนขั้นตอนการปฏิบัติงาน และลงมือทำจริง โดยมีการตรวจสอบเพื่อแก้ปัญหา หรือพัฒนาให้เกิดผลดีกว่าเดิมในแต่ละขั้นตอน สรุปเป็นความรู้ ความคิดรวบยอด แบบแผนหลักการ และนำกระบวนการ ทักษะ และหลักการไปขยายความรู้สู่ท้องถิ่นและสังคมที่กว้างไกลออกไปจนถึง ระดับโลก 4. ขั้นสื่อสารและนำเสนอ (Applying the Communication skill) นำร่องรอย การคิด การคิดสร้างสรรค์ที่หลอมรวมคุณธรรม ค่านิยมเชิงบวก ร่องรอยการทำงาน การแก้ปัญหา จนเกิดผลงานที่มีคุณภาพกว่าเดิม มีคุณค่ามากกว่าเดิม จนสามารถสรุปเป็นหลักการ นำเสนอเป็น รายงาน การอภิปราย การบรรยาย เอกสารเผยแพร่ จัดทำเป็น Video Presentation หรือเผยแพร่ ผ่าน Website 5. ขั้นประเมินเพื่อเพิ่มคุณค่า (Self - Regulating) เป็นการพัฒนาการประเมิน เชิงระบบเพื่อให้เห็นจุดอ่อนจุดแข็งของกลไก ทีมงานและตนเอง เพื่อปรับปรุงแก้ไขและปรับเพิ่ม คุณค่าด้านคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่จะขยายประโยชน์คุณค่าให้ถึงสังคมทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม ความเป็นพลเมือง ความเป็นพลโลก สิ่งแวดล้อมโลก จนตกผลึกเป็นตัวตนกลายเป็นบุคลิก มีเหตุผล รักษ์สิ่งแวดล้อม สังคม ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ตรงตามสมรรถนะสำคัญ คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ และตัวชี้วัดครอบคลุมทั้งหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 หลักสูตรโรงเรียนมาตรฐานสากล และความเป็นพลโลกในศตวรรษที่ 21 อย่างสมบูรณ์ นภาพร สว่างอารมณ์ (2563) ได้เสนอขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก ไว้ดังนี้ ขั้นที่ 1 นำเข้าสู่บทเรียน เป็นขั้นที่ครูกระตุ้นและยั่วยุให้นักเรียนเกิดแรงจูงใจ ในการเรียนรู้ผ่านการสนทนา ตั้งคำถาม และทบทวนความรู้เดิมที่จำเป็น ขั้นที่ 2 นำเสนอโจทย์ปัญหา ทางคณิตศาสตร์เป็นขั้นที่ครูนำเสนอโจทย์ปัญหาทาง คณิตศาสตร์ที่แปลกใหม่ ท้าทาย และมีความสัมพันธ์กับประสบการณ์ในชีวิตประจำวันของนักเรียน ตั้งกติการ่วมกัน เปิดโอกาสให้นักเรียนได้พูดอย่างสร้างสรรค์ และซักถามข้อสงสัย ขั้นที่ 3 ดำเนินกิจกรรม เป็นขั้นที่นักเรียนลงมือแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ โดยนักเรียนร่วมกันทำความเข้าใจโจทย์ปัญหา วิเคราะห์และวางยุทธวิธีในการแก้โจทย์ปัญหา


23 ดำเนินการแก้โจทย์ปัญหา ตรวจสอบผล และมีการอภิปรายสะท้อนความคิด ตามแนวทาง การแก้ปัญหาของ Polya โดยทุกคนต้องมีส่วนร่วม ซึ่งครูเป็นเพียงผู้ชี้แนะและกระตุ้นความคิด ขั้นที่ 4 สร้างองค์ความรู้เป็นขั้นที่นักเรียนออกมาเสนอแนวทางแก้โจทย์ปัญหาทาง คณิตศาสตร์ของตนเองหรือ ของกลุ่มให้นักเรียนคนอื่น ๆ และครูได้รับรู้ และนักเรียนร่วมอภิปราย แลกเปลี่ยนความคิดจนเกิดความเข้าใจที่ชัดเจน ขั้นที่ 5 สรุปองค์ความรู้ เป็นขั้นที่นักเรียนร่วมกันสรุปความรู้ที่ได้จากการทำกิจกรรม เพื่อสะท้อนความรู้ที่ได้ และตรวจสอบความคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการจัดกิจกรรม การเรียนรู้


ตารางที่ 1 สรุปขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด Active Learning นักวิจัย ข ขั้นเตรียมตัวนำเข้าสู่ บทเรียน ขั้นชี้นำประสบการณ์ นำเสนอโจทย์ปัญหา Baldwin and Williams (1988) Johnson et al (1991) ศิริพร มโนพิเชฐวัฒนา (2547) บัญญัติ ชำนาญกิจ (2551) เชิดศักดิ์ ภักดีวิโรจน์ (2556) สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.) (2561) นภาพร สว่างอารมณ์ (2563) ผู้วิจัย ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน


24 ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด Active Learning ขั้นดำเนินการกิจกรรม ขั้นสร้างองค์ความรู้ ขั้นสรุปองค์ความรู้ ขั้นสื่อสารและนำเสนอ ขั้นติดตามผล ขั้นประยุกต์ใช้ ขั้นประเมินผล ขั้นที่ 2 ขั้นดำเนินการ สร้างองค์ความรู้ ขั้นที่ 3 ขั้นสรุปองค์ความรู้ ขั้นที่ 4 ขั้นประยุกต์และนำไปใช้


25 จากตารางที่ 1 สรุปขั้นตอนตามแนวคิด Active Learning ผู้วิจัยได้ทำการสังเคราะห์ขั้นตอน การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด Active Learning และออกแบบขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด Active Learning แบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน หมายถึง การกระตุ้นผู้เรียนให้เกิดแรงจูงใจในการเรียนรู้ โดยใช้ การสนทนา ตั้งคำถามหรือเสนอสื่ออย่างใดอย่างหนึ่ง และทบทวนความรู้เดิมที่จำเป็นสำหรับความรู้ ใหม่ แจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้ให้ผู้เรียนทราบ ขั้นที่ 2 ขั้นดำเนินการสร้างองค์ความรู้หมายถึง การดำเนินการจัดการเรียนรู้ตาม แผนการจัดการเรียนรู้ที่วางไว้ โดยเลือกใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย เพื่อเป็นการสร้าง ประสบการณ์หรือแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเรียนรู้ โดยผู้เรียนเป็นผู้ลงมือปฏิบัติ ซึ่งทำให้ผู้เรียน เกิดองค์ความรู้ในรูปแบบต่าง ๆ ขั้นที่ 3 ขั้นสรุปองค์ความรู้หมายถึง ขั้นที่ผู้เรียนร่วมกันสรุปองค์ความรู้ที่ได้จากการเรียน เพื่อสะท้อนความคิดหรือความรู้ที่ได้ และตรวจสอบความคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการเรียน ด้วย ขั้นที่ 4 ขั้นประยุกต์และนำไปใช้ หมายถึง ขั้นที่ผู้เรียนได้นำความคิดรวบยอด ข้อสรุป หรือ องค์ความรู้ใหม่ที่เกิดขึ้นไปประยุกต์หรือนำไปใช้ ซึ่งผู้สอนใช้กิจกรรมในขั้นนี้ในการประเมินผลการ เรียนรู้ บทบาทของครูในการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning บทบาทของครูในการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ที่ผู้วิจัยได้ศึกษาจากนักการศึกษา และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สามารถรวบรวมและกล่าวโดยสรุปได้ดังนี้ Shenker (1996) กล่าวถึงบทบาทของครูในการนำการจัดการเรียนรู้เชิงรุกไปใช้ในชั้นเรียน ดังนี้ 1. การจัดการเรียนรู้เชิงรุกเป็นการจัดการเรียนรู้ที่ช่วยขยายทักษะในการคิด วิเคราะห์ รวมไปถึงทักษะในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ตลอดจนทักษะในการประยุกต์เนื้อหาของ ตัวนักเรียนเอง การสื่อสารระหว่างการจัดการเรียนรู้จึงต้องมีความชัดเจน 2. การจัดการเรียนรู้เชิงรุกต้องส่งเสริมให้นักเรียนมีความรับผิดชอบในการค้นคว้า หาความรู้นอกเวลา และส่งเสริมให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการดำเนินการ 3. การจัดการเรียนรู้เชิงรุกต้องเน้นให้นักเรียนค้นคว้าคำตอบด้วยตนเองได้มากขึ้น 4. การจัดการเรียนรู้ชิงรุกใช้เวลาในการจัดการเรียนรู้มากกว่าการจัดการเรียนรู้ แบบบรรยาย และทำให้นักเรียนเรียนรู้มโนทัศน์ได้น้อยกว่า แต่ครูสามารถปรับแก้ได้โดยการจัด การเรียนรู้มโนทัศน์ที่สำคัญให้แก่นักเรียน และสื่อสารกับนักเรียนอย่างชัดเจนว่านักเรียนต้องเรียนรู้


26 มโนทัศน์ด้วยตนเอง และเนื่องจากการจัดการเรียนรู้เชิงรุกเป็นการจัดการเรียนรู้ที่ทำให้นักเรียนเกิด ความเข้าใจในเนื้อหามากกว่าการจัดการเรียนรู้แบบบรรยาย ดังนั้นการเรียนรู้มโนทัศน์จึงทำได้ง่าย และยังสามารถเรียนรู้มโนทัศน์ใหม่ได้ด้วยตนเองอีกด้วย 5. การจัดการเรียนรู้เชิงรุก ช่วยให้นักเรียนเข้าใจในเรื่องที่เรียนมากขึ้น เกิดความสนุกสนานและเกิดทักษะการคิดวิเคราะห์ ช่วยให้ถ่ายโอนความรู้ที่เรียนได้ 6. การจัดการเรียนรู้เชิงรุกวิธีการใดเพียงวิธีการหนึ่ง ไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดสำหรับนักเรียน ทุกคน ครูต้องเลือกกลวิธีและกิจกรรมที่เหมาะสม ศึกษาข้อมูลที่นักเรียนบางคนปฏิเสธ โต้เถียง และปรับวิธีการจัดการเรียนรู้ ซึ่งการจัดการเรียนรู้เชิงรุกจะมีความยืดหยุ่นสูงสามารถปรับวิธีการจัด กิจกรรมได้มากกว่าการจัดการเรียนรู้แบบบรรยาย Lorenzen (2001) กล่าวถึง บทบาทของครูในการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ซึ่งผู้วิจัยสังเคราะห์ ได้ว่า ในระหว่างการจัดการเรียนรู้ครูควรพูดคุยกับนักเรียนระหว่างจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และจัดบรรยากาศหรือชั้นเรียนให้เหมาะกับการมีส่วนร่วมในการจัดการเรียนรู้ของผู้เรียน ใช้การอภิปรายและตั้งคำถาม รวมไปถึงเปิดโอกาสให้นักเรียนได้เขียน โดยไม่เร่งเร้าให้นักเรียนรีบตอบ จนเกินไป ให้รางวัลนักเรียนเพื่อเสริมแรงแก่นักเรียนอย่างสม่ำเสมอ และให้เวลาในช่วงท้ายคาบ เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ตอบคำถาม อุษณีย์ เทพวรชัย (2543) กล่าวถึง บทบาทของครูในการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ดังนี้ 1. ศึกษาแนวคิดการจัดการเรียนรู้เชิงรุก วิธีการจัดการเรียนรู้ เทคนิคที่ใช้และ การประเมินผล 2. ศึกษาบทบาทของครู เทคนิค กลวิธีการจัดการเรียนรู้ 3. เตรียมแผนการจัดการเรียนรู้ เขียนแผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการจัด การเรียนรู้เชิงรุกทุกขั้นตอน คือ การตั้งวัตถุประสงค์ การกำหนดวิธีสอน การเตรียมสื่อ การจัด การเรียนรู้ และการประเมินผล 4. เตรียมเครื่องมือประเมินผล โดยคำนึงถึงวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ทวีวัฒน์ วัฒนกุลเจริญ (2552) กล่าวว่า จากกิจกรรมและวิธีการปฏิบัติตามแนวทางของ การเรียนเชิงรุก ครูเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญ กล่าวคือการจะบรรลุวัตถุประสงค์ของการเรียนเชิงรุก หรือไม่ครูควรมีบทบาท ดังนี้ 1. จัดให้ครูเป็นศูนย์กลางของการเรียน กิจกรรม หรือเป้าหมายที่ต้องการสะท้อน ความต้องการที่จะพัฒนานักเรียน และเน้นการนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตจริงของนักเรียน


27 2. สร้างบรรยากาศแห่งการมีส่วนร่วมและการเจรจาโต้ตอบที่ส่งเสริมให้นักเรียนมี ปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับครูและเพื่อนร่วมชั้น 3. จัดกิจกรรมที่ฝึกให้นักเรียนได้แก้ปัญหา และศึกษาสถานการณ์ต่าง ๆ ด้วยตนเอง ส่งเสริมให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมกิจกรรมที่จัดขึ้น เพื่อเป็นการกระตุ้นให้นักเรียนมีความรู้สึกว่าตนเอง ประสบผลสำเร็จในงานหรือการเรียน 4. จัดสภาพการเรียนแบบร่วมมือ (Collaboratory Learning) ส่งเสริมให้เกิด การร่วมมือในกลุ่มนักเรียน 5. ควรจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ท้าทายมากกว่าการบรรยายเพียงอย่างเดียว โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้อย่างหลากหลาย ถึงแม้บางรายวิชาอาจเป็นรายวิชาที่เน้นการบรรยาย เพียงอย่างเดียว ก็สามารถจัดกิจกรรมเสริมอย่างหลากหลาย เช่น การอภิปราย หรือการเสริม สถานการณ์ที่เหมาะกับการบรรยายเพื่อให้นักเรียนได้แก้ไขสถานการณ์ 6. วางแผนในเรื่องของเวลาในการจัดการเรียนรู้อย่างชัดเจน ทั้งในเรื่องของเนื้อหา และกิจกรรมในการเรียน ทั้งนี้เนื่องจากการเรียนเชิงรุกจำเป็นต้องใช้เวลาการจัดกิจกรรมมากกว่า การบรรยาย ครูจำเป็นต้องวางแผนการจัดการเรียนรู้อย่างชัดเจนโดยสามารถกำหนดรายละเอียดลง ในประมวลรายวิชาเป็นต้น 7. ใจกว้างยอมรับในความสามารถในการแสดงออกและความคิดเห็นที่นักเรียน นำเสนอ สัญญา ภัทรากร (2552) กล่าวถึงบทบาทของครูในการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ดังนี้ 1. จัดกิจกรรมอย่างหลากหลาย กระตุ้นให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ และท้าทาย ความสามารถของนักเรียน 2. จัดหาสื่อที่เป็นรูปธรรม และเหมาะสมกับเนื้อหาที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้ 3. สร้างบรรยากาศให้นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ 4. จัดกิจกรรมให้นักเรียนมีปฏิสัมพันธ์กับครูและเพื่อนในชั้นเรียน 5. ส่งเสริมให้นักเรียนได้มีการค้นคว้า และระดมความคิด 6. ครูต้องมีใจกว้าง ยอมรับความสามารถของผู้อื่น 7. ส่งเสริมให้นักเรียนเกิดความร่วมมือร่วมกัน 8. วางแผนเวลาในการจัดการเรียนรู้ 9. ครูต้องสื่อสารให้ชัดเจน


28 เชิดศักดิ์ ภักดีวิโรจน์ (2556) กล่าวถึง บทบาทของครูในการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ดังนี้ 1. จัดกิจกรรมที่หลากหลาย ท้าทาย เร้าใจ กระตุ้นนักเรียนให้เกิดแรงจูงใจ ในการเรียน 2. สนับสนุนและส่งเสริมให้นักเรียนค้นหาคำตอบด้วยตนเองมากขึ้น มีความมั่นใจ กล้าคิดกล้าแสดงความคิดเห็น 3. สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่นักเรียนมีส่วนร่วมและส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดี ระหว่างนักเรียนกับครู และนักเรียนกับเพื่อนในชั้นเรียน 4. วางแผ่นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้อย่างชัดเจนทั้งเนื้อหาและเวลา 5. มีการสื่อสารที่ชัดเจน 6. ลดบทบาทของตนเองเป็นเพียงผู้ชี้แนะแนวทาง และการหาจุดมุ่งหมาย ให้กับนักเรียน 7. มีความอดทนในการรอฟังคำตอบของนักเรียน และมีความใจกว้างยอมรับ ความสามารถของนักเรียน จากการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับบทบาทของครูในการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ผู้วิจัยสามารถ สรุปได้ว่า บทบาทของครูในการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ครูจะต้องสื่อสารผ่านการจัดการเรียนรู้ อย่างชัดเจน เนื่องจากการจัดการเรียนรู้เชิงรุกเป็นการขยายทักษะในการคิดวิเคราะห์ ครูจะต้อง สามารถสอนมโนทัศน์ที่สำคัญและสื่อสารอย่างชัดเจนเพื่อให้นักเรียนสามารถเรียนรู้มโนทัศน์ด้วย ตนเองได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ครูยังต้องเลือกกลวิธีและกิจกรรมที่เหมาะสม จัดกิจกรรมการเรียน การเรียนรู้ให้ท้าทาย จัดสภาพการเรียนแบบร่วมมือ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการร่วมมือในกลุ่มนักเรียน และต้องมีใจกว้าง ยอมรับความสามารถในการแสดงออกของนักเรียน สื่อประสม สื่อประสม (Multimedia) เป็นการนำสื่อหลาย ๆ ประเภท ทั้งที่เป็นวัสดุ อุปกรณ์ และ วิธีการมาใช้ร่วมกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการเรียนการสอน ซึ่งผู้วิจัยได้สนใจศึกษา ความหมาย ประเภท ตลอดไปจนถึงประโยชน์ของสื่อประสม โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ความหมายของสื่อประสม การนำสื่อประสมมาใช้ในการเรียนการสอนได้มีผู้ให้ความหมายไว้ ดังนี้ ยุพิน พิพิธกุล (2539) กล่าวถึง สื่อประสม ไว้ว่า ระบบการเรียนการสอนโดยใช้สื่อประสม หมายถึง การเลือกใช้สื่อการเรียนการสอนต่าง ๆ ที่จะทำให้เกิดประสบการณ์ในการเรียนรู้


29 และสื่อการเรียนการสอนทั้งหลายเหล่านี้ จะเป็นเครื่องเสริมซึ่งกันและกัน เมื่อเลือกกลวิธีในการสอน โดยใช้สื่อประสมนี้ด้วยความถูกต้องและระมัดระวังก็จะทำให้นักเรียนบรรลุจุดประสงค์ตามที่ต้องการ นารี สุตตะนา (2553) กล่าวว่า สื่อประสม หมายถึง การนำเอาสื่อการสอนหลาย ๆ อย่าง มาสัมพันธ์อย่างเป็นระบบและมีคุณค่าส่งเสริมซึ่งกันและกันของเนื้อหา เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ และมีความสนใจในการเรียนมากขึ้น สุชาติ ฉัตรเจต (2553) กล่าวว่า สื่อประสม หมายถึง การนำเอาสื่อการเรียนการสอนหลาย ๆ อย่างมาสัมพันธ์กันและมีคุณค่าที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน สื่อการสอนอย่างหนึ่งอาจใช้เพื่อหาความสนใจ ในขณะที่อีกอย่างหนึ่งใช้เพื่ออธิบายข้อเท็จจริงของเนื้อหาและอีกชนิดอาจใช้เพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจ ที่ลึกซึ้ง การใช้สื่อประสมจะช่วยให้นักเรียนมีประสบการณ์จากประสาทสัมผัสที่ผสมผสานกัน ได้ค้นพบวิธีการที่จะเรียนในสิ่งที่ต้องการได้ด้วยตนเองมากยิ่งขึ้น ชลทิชา ต่อจรัส (2557) กล่าวว่า สื่อประสม หมายถึง ตัวกลางที่ใช้ถ่ายทอดเนื้อหาตั้งแต่ สองสื่อขึ้นไป เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจ โดยการนำเอาสื่อเหล่านั้นมาสัมพันธ์กันและ ส่งเสริมซึ่งกันและกัน จันทิมา แตงทอง (2559) กล่าวว่า สื่อประสม หมายถึง การนำเอาสื่อการเรียนการสอน มากกว่าหนึ่งชนิดขึ้นไป มาสัมพันธ์กันในลักษณะที่สื่อแต่ละชนิดส่งเสริมและสนับสนุนซึ่งกันและกัน เพื่อถ่ายทอดเนื้อหาตามลักษณะขั้นตอนของการนำเสนอเนื้อหา โดยสื่อดังกล่าวอาจเป็นวัสดุ อุปกรณ์ วิธีการ หรือสื่อที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นการนำเสนอข้อมูลในรูปตัวอักขระ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และเสียง จากความหมายของสื่อประสมดังกล่าว สามารถสรุปได้ว่า สื่อประสม คือ การนำสื่อการเรียน การสอนตั้งแต่สองชนิดขึ้นไปที่สัมพันธ์กันและส่งเสริมซึ่งกันและกันมาใช้ในการเรียนการสอน เพื่อช่วยให้นักเรียนเกิดความคิดรวบยอดและเกิดความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาที่ครูผู้สอนต้องการ ถ่ายทอดความสำคัญ ซึ่งสื่อประสมที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นและนำไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ประกอบด้วย ใบงาน ใบกิจกรรม บัตรคำ เกม สื่อกระเบื้องพีชคณิต (Algebra Tiles) และสื่อที่นำเสนอด้วย โปรแกรม Microsoft PowerPoint ประเภทของสื่อประสม จริยา เหนียนเฉลย (2542) ได้จำแนกสื่อประสมตามจุดมุ่งหมายและลักษณะการใช้งานดังนี้ 1. จำแนกตามจุดมุ่งหมาย แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1.1 ใช้เพื่อจุดมุ่งหมายหลายอย่าง สื่อประสมประเภทนี้มักอยู่ในรูปของสื่อ หลายชิ้นมารวมกันแล้วใช้สอนได้หลายเรื่อง เรียก ชุดอุปกรณ์


30 1.2 ใช้เพื่อจุดมุ่งหมายเฉพาะอย่าง ประเภทนี้มักจัดอยู่ในรูปสื่อหลายชนิด รวมกันแต่สอนได้เพียงเรื่องเดียว เรียก ชุดการสอน 2. จำแนกตามลักษณะของสื่อและลักษณะการใช้ 2.1 การสอนโดยใช้สื่อประสม เป็นการสอนที่ใช้สื่อหลายอย่างทั้งสื่อที่เป็น วัสดุอุปกรณ์และวิธีการ 2.2 การเสนอสื่อประสม เป็นการเสนอสื่อประเภทฉายควบคู่กับสื่อเสียง นอกจากนี้อาจมีการจำแนกสื่อประสมออกเป็น 1. สื่อเบา ได้แก่ สื่อประสมที่ไม่ต้องใช้เครื่องมืออุปกรณ์ เช่น ชุดสอนทางไกล 2. สื่อหนัก ได้แก่ สื่อประสมที่ต้องใช้กับเครื่องฉายและเครื่องเสียง เอกวิทย์แก้วประดิษฐ์(2545) ได้จำแนกสื่อประสมไว้ต่าง ๆ กัน แต่โดยทั่วไปสื่อประสมอาจ แบ่งออกตามลักษณะการประสมของสื่อและคุณลักษณะการใช้ มี3 ประเภทใหญ่ๆ คือ 1. ประสมสื่อที่เป็นวัสดุอุปกรณ์และกระบวนการเข้าด้วยกัน นำมาใช้สำหรับ การเรียนการสอนปกติทั่ว ๆ ไป เช่น ชุดอุปกรณ์ชุดการเรียนการสอน บทเรียนแบบโปรแกรม โปรแกรมสไลด์ศูนย์การเรียน เป็นต้น สื่อประสมแต่ละชนิดที่จัดอยู่ในประเภทนี้มีหลักการและ ลักษณะเด่นแตกต่างกันออกไป คือ 1.1 สามารถให้เรียนได้ประสบการณ์ด้วยตนเอง คือ มีส่วนร่วมใน การกระทำหรือปฏิบัติกิจกรรมเป็นการเร้าใจแก่ผู้เรียน เช่น ศูนย์การเรียน บทเรียนโปรแกรม เป็นต้น 1.2 สามารถให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามความสามารถ และความแตกต่างของ แต่ละบุคคล เช่น บทเรียนแบบโปรแกรม ชุดการสอน เป็นต้น 1.3 สามารถให้ผู้เรียนใช้เรียนด้วยตนเองหรือใช้เมื่อขาดครูได้เช่น บทเรียน แบบโปรแกรม ชุดการสอนรายบุคคล เป็นต้น 1.4 สามารถให้ผู้เรียนได้รับผลตอบกลับได้ทันทีและได้รับความรู้สึก ภาคภูมิใจในความสำเร็จ เช่น ศูนย์การเรียน ชุดการสอน เป็นต้น 1.5 สามารถใช้ส่งเสริมสมรรถภาพการสอนของครูเช่น ชุดการสอน ประกอบคำบรรยาย เป็นต้น 2. สื่อประสมประเภทฉาย เป็นการประสมโดยมีข้อจำกัดที่ความสามารถและ คุณสมบัติเฉพาะตัวของอุปกรณ์เครื่องฉายเป็นสำคัญ เช่น สไลด์ประกอบเสียง วีดีทัศน์ประกอบสไลด์ และแผ่นโปร่งใส เป็นต้น การเสนอด้วยสื่อประเภทฉายนี้แม้ว่าในบางครั้งราคาการผลิตอาจจะสูงและ การผลิตซับซ้อนกว่าการผลิตสื่อประสมประเภทแรก แต่ผลที่ได้รับจากการนำเสนอสื่อประสม


31 ประเภทฉายให้ผลตรงที่มีคุณสมบัติเฉพาะตัวที่สื่ออื่นไม่สามารถทำได้คือ ผลในความรู้สึกอารมณ์ สุนทรียภาพ ช่วยดึงดูดความสนใจให้ผู้ชมได้ติดตามอย่างตื่นตา ตื่นใจ และมีประสิทธิภาพ เป็นการช่วยในการเรียนการสอน สื่อประสมประเภทนี้มีคุณสมบัติเหมาะแก่การนำมาใช้ในการเรียน การสอน ได้แก่ 2.1 ใช้เมื่อมีการเปรียบเทียบคล้ายคลึงกันเป็นการง่ายสำหรับผู้เรียน ในการสังเกตและเรียนรู้สิ่งที่คล้ายคลึงกันจากสื่อต่าง ๆ เมื่อภาพของสิ่งนั้นปรากฏบนจอพร้อมกัน 2.2 ใช้สอนให้เห็นความแตกต่าง และการตัดกันเมื่อภาพหลายภาพปรากฏ พร้อมกัน 2.3 ใช้แสดงภ าพ ซึ่งดำเนิน เป็ น ขั้น ตอน และสามารถเรียนแบ บ การเคลื่อนไหว 2.4 ใช้แสดงสิ่งที่เกิดขึ้นตามลำดับก่อนและหลัง เกิดความต่อเนื่องที่ดีมี ความสัมพันธ์ระหว่างภาพและเวลา ประกอบกับการจัดภาพและจอใหม่ขนาดต่างกัน เป็นการง่ายต่อ การจดจำ 2.5 ใช้เน้นจุดใดจุดหนึ่งโดยตรงได้โดยการกำหนดจุดสนใจที่ต้องการให้อยู่ ในตำแหน่งและรูปแบบที่ต่างกันหรืออาจทำโดยการใช้ภาพที่ซ้ำ ๆ กันปรากฏบนจอพร้อม ๆ กัน 2.6 ใช้ยืดเวลาการเสนอจุดหรือส่วนที่สำคัญของเนื้อหา เช่น ภาพที่สำคัญ สามารถปรากฏอยู่บนจอต่อไป ขณะที่รายละเอียดหรือส่วนที่เกี่ยวข้องได้เปลี่ยนแปลงไปในจอถัดไป 2.7 ลักษณะพิเศษประการสุดท้ายที่เด่นของสื่อประสมประเภทนี้คือ สามารถแสดงเนื้อหาได้มากในระยะเวลาที่จำกัด ลักษณะพิเศษนี้ผู้สอนอาจใช้สื่อประสมนี้ทำเป็นบท นำหรือบทสรุป 3. ประสมระบบสื่อสารกับเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยการใช้คอมพิวเตอร์ร่วมกับ อุปกรณ์อื่นเพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถทำงานค้นหาข้อมูล แสดงวีดีทัศน์และมีเสียงต่าง ๆ การทำงาน ของสื่อหลาย ๆ อย่างในสื่อประสม ประกอบด้วยการทำงานของระบบเสียง ภาพเคลื่อนไหว ภาพนิ่ง วีดีทัศน์และไฮเปอร์เท็กซ์ซึ่งข้อมูลที่ใช้ในไฮเปอร์เท็กซ์จะแสดงเนื้อหาหลักของเรื่องราวที่กำลังอ่าน ขณะนั้นโดยเน้นเป็นเนื้อหา ถ้าคำใดสามารถเชื่อมจากจุดหนึ่งในเนื้อหาไปยังเนื้อหาอื่นได้ก็จะทำเป็น ตัวหนาหรือขีดเส้นใต้เมื่อผู้ใช้หรือผู้อ่านต้องการจะดูเนื้อหาก็สามารถใช้เมาส์คลิกไปยังข้อมูลหรือ คำเหล่านั้นเพื่อเรียนมาดูรายละเอียดของเนื้อหาได้


32 สุดใจ เหจ้าสีไพร (2549) ได้แบ่งสื่อประสมออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1. สื่อประสมขั้นพื้นฐาน เป็นการนำสื่อหลายประเภท หรือหลายแบบมาใช้ร่วมกัน ในกระบวนการเรียนการสอนโดยที่ไม่มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนกับสื่อนี้ 2. สื่อประสมเชิงโต้ตอบ มีความคล้ายคลึงกับแบบแรก แต่ตัวสื่อสามารถมี ปฏิสัมพันธ์เชิงโต้ตอบกับนักเรียนในกระบวนการเรียนการสอน สถาพร สาธุการ (2549) ได้จำแนกตามจุดมุ่งหมายและลักษณะการใช้ได้ดังนี้ 1. จำแนกตามจุดมุ่งหมาย แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ 1.1 ใช้เพื่อจุดมุ่งหมายหลายอย่าง สื่อประสมประเภทนี้มักอยู่ในรูปของ สื่อหลายชิ้นมาอยู่ร่วมกันแล้วใช้สอนได้หลายเรื่อง เรียกว่า "ชุดอุปกรณ์" 1.2 ใช้เพื่อจุดมุ่งหมายเฉพาะอย่างประเภทนี้มักจะอยู่ในรูปสื่อหลายชนิด มารวมกันแต่สอนได้เพียงเรื่องเดียว เรียกว่า "ชุดการสอน" (Learning package) 2. จำแนกตามลักษณะของสื่อและลักษณะการใช้ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 2.1 การสอนโดยใช้สื่อประสม เป็นการสอนที่ใช้สื่อหลายอย่าง ทั้งสื่อที่เป็น วัสดุอุปกรณ์และวิธีการ 2.2 การเสนอสื่อประสม (Multi-media presentation) เป็นการเสนอสื่อ ประเภทฉาย เช่น สไลด์ ภาพยนตร์ควบคู่กับสื่อเสียง จากการศึกษาประเภทของสื่อประสม สามารถสรุปได้ว่า สื่อประสมสามารถจำแนกได้หลาย ประเภท ซึ่งแบ่งได้ตามลักษณะของสื่อ จุดมุ่งหมาย และลักษณะการใช้งาน โดยผู้วิจัยได้จำแนกสื่อ ประสมออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ คือ สื่อวัสดุอุปกรณ์ เครื่องฉาย และสื่อเทคโนโลยี ซึ่งผู้วิจัยได้ เลือกสื่อประสมมาใช้ประกอบด้วย สื่อวัสดุอุปกรณ์ ได้แก่ ใบงาน ใบกิจกรรม บัตรคำ เกม สื่อ กระเบื้องพีชคณิต (Algebra Tiles) และสื่อเทคโนโลยี ได้แก่ เกม และสื่อที่นำเสนอด้วยโปรแกรม Microsoft PowerPoint ประโยชน์ของสื่อประสม ยุพิน พิพิธกุล (2539) กล่าวถึงคุณค่าของสื่อประสม ดังนี้ 1. ทำให้นักเรียนเกิดความสนใจ ไม่เบื่อหน่าย เพราะมีการเปลี่ยนสิ่งเร้าอยู่ ตลอดเวลา 2. ทำให้นักเรียนได้รับความรู้กว้างขวางและเข้าใจบทเรียนดียิ่งขึ้น


33 3. เป็นการประหยัดเวลา ทำให้นักเรียนเกิดความรู้ได้รวดเร็ว เพราะได้เรียนจาก สื่อการเรียนการสอนที่แตกต่างกันหลาย ๆ อย่าง 4. เป็นแนวทางในการปรับปรุงการเรียนการสอนทั้งวิธีสอนกลวิธีและการเลือกใช้ สื่อการเรียนการสอนที่ผสมผสานกัน จริยา เหนียนเฉลย (2542) กล่าวถึงประโยชน์และคุณค่าของสื่อประสม ดังนี้ 1. ช่วยให้ผู้เขียนเรียนรู้เนื้อหาต่าง ๆ ได้ดีเกือบทุกเรื่องจากแหล่งหลายแหล่ง โดยถือว่าสื่อแต่ละอย่างมีเนื้อหาต่างกันและรูปแบบต่างกัน 2. ช่วยประหยัดเวลาทั้งผู้สอนและผู้เรียน 3. ช่วยให้นักเรียนได้รับความรู้ตามความสามารถและความพร้อมของแต่ละบุคคล 4. ช่วยดึงดูดความสนใจ เพราะสื่อประสมจะเป็นการผสมผสานกันของสื่อที่มี การนำเอาเทคนิค การผลิตแบบต่าง ๆ มาใช้ ทำให้น่าสนใจ 5. ช่วยให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้จากข้อได้เปรียบในหลายรูปแบบของสื่อประสม สุลักขณา คุ้มทรัพย์ (2555) กล่าวถึงประโยชน์ของสื่อประสมไว้ดังนี้ 1. ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจบทเรียนมากขึ้น 2. ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ได้รวดเร็วเพราะได้เรียนจากสื่อการสอนที่หลากหลาย 3. ช่วยจูงใจผู้เรียนให้เกิดความสนใจในการเรียน ไม่เบื่อหน่าย 4. ช่วยประหยัดเวลาในการสอน จากการศึกษาประโยชน์ของสื่อประสม จึงสามารถสรุปได้ว่า สื่อประสมทำให้นักเรียนเกิด ความสนใจ ไม่เบื่อหน่าย เป็นการประหยัดเวลาทำให้นักเรียนเกิดความรู้ได้รวดเร็ว เพราะได้เรียนจาก สื่อการเรียนการสอนที่แตกต่างกันหลาย ๆ อย่าง อีกทั้งช่วยให้นักเรียนได้รับความรู้ตามความสามารถ และความพร้อมของแต่ละบุคคล ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นความสามารถทางการเรียนในด้านต่าง ๆ ซึ่งเกิดจากนักเรียน ได้รับประสบการณ์จากการเรียนการสอนของครู โดยครูต้องศึกษาแนวทางในการวัดและประเมินผล รวมไปถึงการสร้างเครื่องมือวัดให้มีคุณภาพ ดังนั้นผู้วิจัยจึงได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนคณิตศาสตร์ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้


34 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ภพ เลาห์ไพบูลย์ (2552) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง พฤติกรรมที่แสดงออก ถึงความหมายในการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ จากที่ไม่เคยกระทำหรือกระทำได้น้อยก่อนที่จะมีการเรียน การสอน ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่มีการวัดได้ ไพโรจน์ คะเชนทร์ (2556) ให้คำจำกัดความผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่า คือ คุณลักษณะ ความรู้ ความสามารถของผู้เรียน อันเป็นผลมาจากการเรียนการสอน หรือมวลประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ผู้เรียนได้รับจากการเรียนการสอน ทำให้บผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในด้านต่าง ๆ ของสมรรถภาพทางสมอง ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นการตรวจสอบระดับความสามารถสมองของผู้เรียน ว่าเรียนแล้วรู้อะไรบ้าง และมีความสามารถด้านได้บ้าง ทิศนา แขมมณี (2560) ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คือ การเข้าใจความรู้ จากการพัฒนาทักษะในด้านการเรียน หรือผลที่เกิดจากการกระทำของผู้เรียน ซึ่งเป็น การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเนื่องจากการ ได้รับประสบการณ์ โดยการเรียนรู้ด้วยตนเอง หรือจาก การเรียนการสอนในชั้นเรียน และสามารถประเมินหรือวัดประมาณค่าได้จากการทดสอบหรือ การสังเกตพฤติกรรม ซึ่งอาจพิจารณาจากคะแนนที่กำหนดจากครูผู้สอน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่นักการศึกษากล่าวไว้ข้างต้น สรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ความเข้าใจในบทเรียน และความสามารถเปลี่ยนแปลงของบุคคล อันเป็นผลมาจาก การเรียนการสอน และประสบการณ์การเรียนรู้ในบทเรียน โดยสามารถวัดได้จากแบบทดสอบ ผลสัมฤทธิ์ในลักษณะต่าง ๆ เพื่อบอกถึงคุณภาพการศึกษา และในที่นี้ผู้วิจัยขอสรุปความหมายของ การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถของนักเรียนที่เกิดจากการเรียนรู้วิชา คณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสอน แบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสม โดยประเมินผลคะแนนการทดสอบจากแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เป็นข้อสอบปรนัยชนิด 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความหมายทั่วไปของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีนักการศึกษาหลายท่านได้ให้ คำนิยามไว้ดังนี้ Ross and Stanley (1967) ได้ให้ความหมายว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้วัดความสามารถทางวิชาการเช่นแบบทดสอบวิชาเลขคณิตแบบทดสอบ วิชาพีชคณิต เป็นต้น


35 สิริพร ทิพย์คง (2545) ได้ให้ความหมายว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ชุดคำถามที่มุ่งวัดพฤติกรรมการเรียนของนักเรียนให้มีความรู้ทักษะและสมรรถภาพทางสมองด้านต่าง ๆ ในเรื่องที่เรียนรู้ไปแล้วมากน้อยเพียงใด ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ (2541) ได้ให้ความหมายว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งวัดเนื้อหาวิชาที่เรียนผ่านมาแล้วว่านักเรียนมีความรู้ ความสามารถเพียงใด วิรัช วรรณรัตน์ (2541) ได้ให้ความหมายว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ ความสามารถของผู้สอบจากการเรียนรู้ โดยต้องการทราบว่า ผู้สอบมีความรู้อะไรบ้าง มากน้อยเพียงใด เมื่อผ่านการเรียนไปแล้ว เยาวดี วิบูลย์ศรี (2553) ได้ให้ความหมายว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบวัดความรู้เชิงวิชาการ มักใช้วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เน้นการวัดความรู้ ความสามารถจากการเรียนรู้ในอดีตหรือในสภาพปัจจุบันของแต่ละบุคคล จากความหมายข้างต้น ที่ได้กล่าวมาแล้วสามารถสรุปได้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ความสามารถของผู้เรียนจากการเรียนการสอน ในที่นี้ผู้วิจัย ได้ให้ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นตามจุดประสงค์การเรียนรู้ เพื่อวัดความรู้ในด้านจำ เข้าใจ และนำไปใช้ในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นเครื่องมือสำคัญใช้ในการวัดความรู้ความสามารถ ของผู้เรียนที่ ได้รับจากการจัดการเรียนรู้ ซึ่งมีนักการศึกษาได้จำแนกประเภทของแบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียน ดังนี้ ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ (2541) ได้จำแนกประเภทแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. แบบทดสอบของครู หมายถึง ชุดของข้อคำถามที่ครูเป็นผู้สร้างขึ้น ข้อคำถามที่ เกี่ยวกับความรู้ที่ผู้เรียนได้เรียนในห้องเรียน ถ้าผู้เรียนมีข้อบกพร่องในส่วนใดจะได้สอนซ่อมเสริมหรือ เป็นการวัดเพื่อดูความพร้อมที่จะเรียนในเนื้อหาใหม่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผู้เรียนและความต้องการของครู 2. แบบทดสอบมาตรฐาน หมายถึง แบบทดสอบที่สร้างขึ้นจากผู้เชี่ยวชาญในแต่ละ สาขาวิชาหรือจากครู ที่สอนวิชานั้น แต่ผ่านการทคลองหาคุณภาพมาแล้ว จนมีคุณภาพดีจึงสร้าง


36 เกณฑ์ปกติของแบบทดสอบนั้น แบบทดสอบมาตรฐานจะมีคู่มือคำเนินการสอบ บอกถึงวิธีการและยัง มีมาตรฐานในด้านการแปลคะแนน แบบทดสอบของครูและแบบทดสอบมาตรฐานจะมีวิธีการทั้งใน การสร้างข้อคำถามที่เหมือนกับเป็นคำถามที่วัดเนื้อหาและพฤติกรรมในด้านต่าง ๆ ทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านการนำไปใช้ ด้านการวิเคราะห์ ด้านการสังเคราะห์ และด้านการประเมินค่า ทิวัตถ์ มณีโชติ (2549) ได้จำแนกประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1. แบบทดสอบปรนัย (objective tests) แบบทดสอบปรนัย (objective tests) แบ่งได้เป็น 4 ชนิด ได้แก่ 1.1 แบบถูก-ผิด (true-false items) เป็นแบบทดสอบที่ให้ผู้ตอบตัดสินใจ เลือกว่าแต่ละข้อนั้น ถูกหรือผิด แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ข้อคำถามเดี่ยว และข้อคำถามชุดจากสาระ ที่กำหนด 1.2 แบบจับคู่ (matching items) แบบทดสอบประเภทนี้ เป็นการหา ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ข้อความ คือ ข้อความที่เป็นคำถาม (premises หรือ descriptions) กับข้อความที่เป็นคำตอบ 1.3 แบบเติมคำ (completion items) เป็นข้อสอบที่ต้องการให้ผู้สอบ เติมคำหรือข้อความสั้น ๆ ในส่วนที่เว้นว่างไว้ ให้เป็นประโยคที่ถูกต้องสมบูรณ์ 1.4 แบบเลือกตอบ (multiple choice test) เป็นแบบทดสอบที่นิยมใช้ กันมากสำหรับแบบทดสอบแบบปรนัย เพราะสามารถวัดได้ทุกระดับพฤติกรรมของการวัดศักยภาพ ทางสมอง ข้อสอบแบบเลือกตอบ เป็นข้อสอบที่นิยมใช้มากในปัจจุบันทั่วโลก 2. แบบอัตนัย เป็นแบบทดสอบที่ให้ผู้ตอบได้แสดงความคิดเห็นจึงเหมาะสำหรับ วัดความรู้ขั้นสูงกว่าความจำและความเข้าใจ ข้อสอบอัตนัยแบ่งได้ 2 ลักษณะ คือ 2.1 แบบจำกัดคำตอบ คือให้นักเรียนตอบตามประเด็นที่ระบุไว้ 2.2 แบบไม่จำกัดคำตอบ คือให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างเสรี สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2551) ได้จำแนกประเภทของแบบทดสอบ ได้จาก การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่นิยมใช้ ดังนี้ 1. แบบทดสอบแบบเลือกตอบ ใช้วัดได้ครอบคลุมทั้งด้านความรู้ ความคิด หลักการ ทฤษฎี การตัดสินใจ การประเมินค่า และการแปลความหมาย มีส่วนที่สำคัญคือ 2 ส่วน คือส่วนของ คำถามและส่วนของคำตอบหรือตัวเลือก


Click to View FlipBook Version