37 2. แบบทดสอบแบบถูกผิด เป็นแบบทดสอบแบบเลือกตอบรูปแบบหนึ่งที่มีลักษณะ เป็นการนำเสนอข้อความเกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจในมโนทัศน์ หลักการทฤษฎี โดยให้ผู้เรียน เลือกตอบแบบ 2 คำตอบ คือ ถูกและผิด 3. แบบทดสอบจับคู่เป็นแบบทดสอบที่มีลักษณะการนำเสนอคำหรือข้อความ ให้เลือกเพื่อจับคู่ดังกล่าว คือ มีส่วนของคำถามที่เขียนเรียงเป็นแถวตัวและส่วนของคำตอบที่เกี่ยวข้อง กันเขียนเรียงเป็นแนวตั้งอีก 1 แถว ซึ่งจำนวนข้อของคำตอบจะมีมากกว่าคำถาม 4. แบบทดสอบแบบเติมคำ เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดผลได้ครอบคลุมทั้งด้านความรู้ ความเข้าใจ และ ทักษะกระบวนการเดียวกันกับแบบทดสอบแบบเลือกตอบ แต่ผู้ตอบต้องแสดง ความรู้ความสามารถด้วยการเขียนคำตอบ 5. แบบทดสอบแบบความเรียง เป็นแบบทดสอบที่ต้องแสดงความรู้ความสามารถ ด้วยการเขียนตอบ ด้วยการสรุปผล หรือเขียนแสดงเหตุผลประกอบเป็นข้อความ เยาวดี วิบูลย์ศรี (2553) ได้แบ่งประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ซึ่งจำแนกได้หลายมิติดังต่อไปนี้ มิติที่หนึ่ง จำแนกตามขอบข่ายของเนื้อหาวิชาที่วัด เช่น แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนบางประเภทจะวัดเนื้อหาวิชาทางคณิตศาสตร์ หรือประวัติศาสตร์ หรือการสะกดคำ ฯลฯ ขอบข่ายเนื้อหาวิชาของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนั้น อาจกำหนดให้กว้างได้ หรือจำกัดให้แคบลง ตามปกติแล้ว ยังไม่มีมาตรฐานอ้างอิงสากลที่จะนำไปใช้ในการกำหนดเนื้อหาวิชา สำหรับแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผู้ใช้แบบสอบเท่านั้นที่จะต้องกำหนด เนื้อหาวิชาขึ้น เอง โดยให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการสอบ ผู้สร้างแบบสอบสามารถที่จะพัฒนาแบบสอบให้มี เนื้อหาได้ตามขอบข่ายที่ต้องการ สำหรับแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่เป็นมาตรฐาน ซึ่งจัดพิมพ์ในต่างประเทศจำนวนมาก มักจะรวบรวมแบบสอบฉบับต่างๆ ไว้เป็นชุดและแต่ละชุดจะ ครอบคลุมเนื้อหาวิชาสำหรับระดับชั้นเรียนที่ต่างๆ กัน ทั้งนี้ก็เพื่อให้โรงเรียนทั้งหลายสามารถ วัดผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนได้อย่างต่อเนื่องตามความเจริญงอกงามทางวิชาการในแต่ละยุคแต่ละสมัย มิติที่สอง จำแนกตามลักษณะหน้าที่ทั่วไปของแบบสอบ โดยแบ่งแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนออกได้ 3 ลักษณะ ดังนี้ 1. แบบสอบเพื่อการสำรวจผลสัมฤทธิ์ (Survey Tests) เป็นแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ทำหน้าที่ในการสำรวจความสามารถทั่วๆ ไป ของนักเรียน โดยประเมิน ความรู้ในเนื้อหาวิชาหรือทักษะต่าง ๆ เพื่อแสดงระดับความสามารถของนักเรียน ดังนั้น แบบสอบเพื่อ
38 การสำรวจผลสัมฤทธิ์จึงมักจะครอบคลุมเนื้อหาทั้งในระดับกว้างและระดับทั่วไป และถือคะแนนรวมที่ ได้จากแบบสอบถามเป็นตัวขี้ถึงระดับความสามารถที่วัดได้ 2. แบบสอบเพื่อวินิจฉัยผลสัมฤทธิ์ (Diagnostic Tests) เป็นแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ทำหน้าที่ในการวินิจฉัยจุดเด่นและจุดด้อยขององค์ประกอบสำคัญ ทางด้านทักษะต่าง ๆ ของนักเรียนจึงสามารถแบ่งออกเป็นแบบสอบชุดย่อย ๆ ได้อีก นอกจากนั้น คะแนนจากแบบสอบยังสามารถแยกตามองค์ประกอบที่สำคัญของแต่ละองค์ประกอบ คะแนนที่ได้ จากแต่ละองค์ประกอบของแบบสอบวินิจฉัยดังกล่าว จะช่วยให้นักจิตวิทยาหรือครูสามารถที่จะ ตัดสินใจว่าอะไรคือจุดบกพร่องของผู้สอบที่จะช่วยให้สามารถสอนเสริมในส่วนของเนื้อหาวิชาหรือ ทักษะที่ยังขาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3. แบบสอบเพื่อวัดความพร้อม (Readiness Tests) เป็นแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ซึ่งทำหน้าที่ในการวัดทักษะที่จำเป็นสำหรับการเรียนในชั้นที่สูงขึ้น แบบสอบเพื่อวัดความพร้อมใช้สำหรับทำนายการกระทำในอนาคต จึงทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการ วัดความถนัดไปในตัวด้วย มิติที่สาม จำแนกตามคำตอบที่ใช้โดยทั่วไปแล้ว แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนส่วนใหญ่ที่มักใช้กันมักจะเป็นแบบสอบประเภทข้อเขียน และที่ใช้กันค่อนข้างมาก ได้แก่ แบบสอบภาคปฏิบัติ(Performance Test) ซึ่งแบบสอบที่ต้องการให้นักเรียนหรือผู้เข้าสอบได้สาธิต ทักษะของเขาเอง สำหรับแบบสอบถามประเภทข้อเขียน ยังแยกออกได้อย่างกว้างๆ อีก 2 ระดับ คือ ระดับของ การเลือกคำตอบจากที่กำหนดไว้แล้ว (Recognition) และระดับของการเขียนคำตอบจากความรู้หรือ ความทรงจำที่มีอยู่เดิม (Recall) ในแบบสอบระดับที่ 1 แต่ละข้อมีคำตอบที่ตายตัว และจะประกอบด้วยตัวเลือกหลาย ๆ ตัวที่ เป็นไปได้รวมอยู่ในคำถามที่เกี่ยวข้อง ผู้เข้าสอบจะต้องตัดสินใจเลือกคำตอบอย่างรอบคอบและ ถูกต้องให้สอดคล้องกับชนิดของคำถามที่ระบุไว้ ตัวอย่างของแบบสอบระดับนี้ ได้แก่ แบบสอบ ประเภทหลายตัวเลือก (Multiple Choice) แบบสอบประเภทถูก - ผิด (True - False) และแบบ สอบประเภทจับคู่ (Matching) ส่วนแบบสอบระดับที่ 2 ซึ่งต้องใช้ความรู้และความทรงจำที่มีอยู่เดิมมาเขียนตอบนั้น ลักษณะของคำตอบอาจจะไม่ตายตัว ขึ้นอยู่กับเหตุผลและความถูกต้องในเชิงวิชาการ ผสมผสานกับ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของผู้ข้าสอบเป็นสำคัญแบบสอบระดับนี้ ได้แก่ แบบสอบประเภทเติมคำหรือ
39 ข้อความในช่องว่าง (Completion) แบบสอบประเภทตอบสั้น (Short Answer) และแบบสอบ ประเภทความเรียง (Essay) นอกจากการจำแนกประเภทแบบแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดังที่กล่าวมาแล้ว เยาวดี วิบูลย์ศรี (2553) ได้แบ่งแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้ 1. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมาตรฐาน เป็นแบบสอบที่สร้างขึ้นโดย กลุ่มผู้เชี่ยวชาญมากกว่าที่จะสร้างขึ้น โดยบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เพียงบุคคลเดียวเท่านั้น ตามปกติแล้ว ผู้สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมักจะประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญทางด้านการวัดและ การประเมินผล รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชานั้นๆ ตลอดจนครูในโรงเรียนต่าง ๆ ซึ่งมีบทบาท ในการกำหนดขอบข่ายเนื้อหาวิชาที่ต้องการทดสอบให้เหมาะสม สำหรับขั้นตอนในการสร้าง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมาตร ฐาน จะต้องมีการวางแผนการสร้างอย่างมีระบบ คือ มีการระบุหลักการและเหตุผลของการสร้างแบบสอบ มีการกำหนดวัตถุประสงค์ของการสร้าง อย่างชัดเจน มีการทดลองใช้แบบสอบที่สร้างขึ้น เพื่อตรวจสอบความเป็นมาตรฐานโดยการวิเคราะห์ ระดับความยากง่ายและอำนาจจำแนกของข้อกระทั่งมีการ หาค่าความตรง (Validity) และความเที่ยง (Reliability) ของแบบสอบพร้อมทั้งพัฒนาตารางปกติวิสัย (Norm Table) เพื่อใช้ในการเปรียบเทียบ มีการกำหนดเวลาของการทดสอบและวิธีดำเนินการสอบ ตลอดจนมีคู่มือประกอบการใช้แบบสอบ ซึ่งระบุความมุ่งหมายของแบบสอบ ประสิทธิภาพของแบบสอบ รวมทั้งวิธีการใช้แบบสอบ วิธีการ ตรวจหรือวิธีการให้คะแนน พร้อมทั้งตารางปกติวิสัยของกลุ่ม 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ครูสร้างขึ้นเพื่อใช้ในชั้นเรียน เป็นแบบทดสอบซึ่งใช้เป็นเครื่องมือสำหรับการเรียนการสอนโดยเฉพาะคือใช้สำหรับวัดความก้าวหน้า เกี่ยวกับผลการเรียนของนักเรียน และค้นหาข้อบกพร่องของระบบการเรียนการสอน ทั้งนี้เพื่อจะได้ จัดหน่วยการสอนซึ่งใช้ซ่อมเสริมข้อบกพร่องในการเรียนให้กับนักเรียน ได้ตรงตามความต้องการ อย่างเหมาะสม และที่สำคัญคือ ใช้ในการตัดสินเป้าหมายของหลักสูตรในแต่ละหน่วยการเรียน การสอนว่า ได้บรรลุผลตามที่คาดหวังไว้หรือไม่เพียงใด รวมทั้งการ ให้คะแนนหรือระดับผลการเรียน แก่นักเรียนด้วยขอบข่ายของเนื้อหาและทักษะในแบบสอบที่ครูสร้างขึ้น โดยทั่วไปจะประกอบด้วย เนื้อหาที่เฉพาะเจาะจงตามหลักสูตรของวิชาที่เรียน และมีรายละเอียดเกี่ยวกับความรู้และทักษะ เฉพาะชั้นเรียนต่าง ๆ เท่านั้น พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2556) ได้จำแนกประเภทของแบบทดสอบวัดวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ออกเป็น 2 ประเภท คือ
40 1. แบบทดสอบที่สร้างขึ้นเอง หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของผู้เรียนเฉพาะกลุ่มที่ครูสอน เป็นแบบทดสอบที่ครูสร้าง ซึ่งอาจจะเป็นแบบทดสอบแบบอัตนัยที่มี การกำหนดคำถาม แล้วให้ผู้ตอบเขียนแสดงความรู้ ความคิด หรือเจตคติได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ อาจเป็นแบบทดสอบแบบปรนัยหรือแบบให้ตอบสั้นๆ หรือมีคำตอบให้เลือกแบบจำกัดคำตอบ ซึ่งข้อสอบแบบปรนัยที่ผู้ตอบมี โอกาสแสดงความรู้ได้อย่างกว้างขวางเหมือนแบบทดสอบแบบอัตนัย 2. แบบทดสอบมาตรฐาน หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทั่ว ๆ ไป ซึ่งแบบทดสอบมาตรฐานนี้จะถูกสร้างขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ให้มีคุณภาพ และปรับปรุง อย่างมีมาตรฐาน จากประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่นักการศึกษาได้จำแนกไว้ข้างต้น สรุปได้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต้องครอบคลุม ความรู้ความเข้าใจ และทักษะ กระบวนการของผู้เรียน ผู้สอนจะต้องเลือกใช้แบบทดสอบที่หลากหลาย เพื่อจะได้ทราบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนที่ถูกต้องเหมาะสม ซึ่งผู้วิจัยได้นำแบบทดสอบแบบปรนัยหรือแบบทดสอบแบบ เลือกตอบ มี 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ มาใช้ในการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน เรื่อง พหุนาม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/5 การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนั้น ได้มีนักวิชาการกำหนดขั้นตอนในการ สร้างไว้หลายท่าน ซึ่งมีลักษณะคล้ายกัน ดังนี้ เตือนใจ เกตุษา (2540) ได้กำหนดขั้นตอนในการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนไว้ ดังนี้ 1. ขั้นการวางแผนการสร้างแบบทดสอบ ผู้สร้างแบบทดสอบต้องดำเนินการ ดังนี้ 1.1 กำหนดจุดมุ่งหมายของการ ทดสอบ 1.2 กำหนดขอบเขตของเนื้อหาวิชาที่ต้องการวัด 1.3 กำหนดจุดมุ่งหมายที่สำคัญของการสอนในกระบวนการวิชาที่ต้องการ จะออกข้อสอบ 1.4 สร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตร 2. การสร้างแบบทดสอบ ผู้เขียนข้อสอบจะต้องมีความรู้ความชำนาญในเรื่องต่าง ๆ เป็นอย่างดี มีรายละเอียด ดังนี้ 2.1 รู้เทคนิคการเขียนข้อสอบ
41 2.2 รู้คุณลักษณะที่ดีของแบบทดสอบ 2.3 รู้หลักการเขียนข้อสอบปรนัย และอัตนัย 2.4 รู้เนื้อหาที่เขียนข้อสอบ 2.5 มีความสามารถในการใช้ภาษาเป็นเครื่องมือในการสื่อสาร 3. ขั้นตรวจสอบคุณภาพของแบบทดสอบทำได้โดยการนำข้อสอบที่เขียนขึ้นมาในขั้น ที่ 2 ไปทำการทคลองสอบ แล้วนำผลที่ได้มาวิเคราะห์เพื่อตรวจสอบคุณภาพของข้อสอบ 4. ขั้นการคัดเลือกและปรับปรุงข้อสอบ ผลจากการวิเคราะห์ในขั้นที่ 3 จะทำให้ ทราบว่าข้อสอบข้อนั้น (หรือตัวเลือกนั้น มีระดับความยากเท่าใจและมีอำนาจจำแนกเท่าใด ข้อสอบ ข้อใดหรือตัวลวงใดมีความยากง่าย และค่าอำนาจจำแนกไม่อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ถือว่าเป็นข้อสอบ ที่ไม่ดีต้องตัดทิ้งไป หรือถ้านำมาใช้ก็ต้องทำการปรับปรุงแก้ไขใหม่ 5. ขั้นการพิมพ์แบบทดสอบฉบับสมบูรณ์ มีขั้นตอนที่ควรปฏิบัติ ดังนี้ 5.1 เลือกข้อสอบให้ครบตามจำนวนที่ต้องการ 5.2 สำรวจข้อทดสอบแต่ละข้ออีกครั้งหนึ่ง 5.3 แก้ไขปรับปรุงสำนวนของข้อสอบแต่ละข้อให้เหมาะสม 5.4 ส่งให้พนักงานพิมพ์ข้อสอบออกมาเป็นชุดหนึ่งก่อน โดยจัดรูปแบบ ข้อสอบให้สวยงาม 5.5 ตรวจทานอีกครั้งหนึ่ง แล้วส่งไปพิมพ์ตามจำนวนที่ต้องการ ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ (2541) ได้กำหนดขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบดังนี้ 1. การพิจารณาจุดประสงค์ของการสอบว่าการสอบครั้งนี้มีจุดประสงค์หรือ จุดมุ่งหมายอะไร 2. สร้างตารางกำหนดรายละเอียด 3. เลือกแบบของข้อสอบให้เหมาะสม 4. รวมข้อสอบทำเป็นแบบทดสอบ 5. กำหนดวิธีการดำเนินการสอบ 6. การประเมินคุณภาพของแบบทดสอบ 7. การนำผลไปใช้ปรับปรุงเป้าประสงค์ของการเรียนรู้ บุญชม ศรีสะอาด (2545) ได้กำหนดการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปนี้
42 1. วิเคราะห์จุดประสงค์ เนื้อหาวิชา และทำตารางกำหนดลักษณะข้อสอบขั้นแรก จะต้องทำการวิเคราะห์ว่า วิชาหรือหัวข้อที่จะสร้างข้อสอบวัดนั้นมีจุดประสงค์ของการสอนหรือ จุดประสงค์การเรียนรู้อะไรบ้าง ทำการวิเคราะห์เนื้อหาวิชาว่า มีโครงสร้างอย่างไร จะเขียนหัวข้อใหญ่ หัวข้อย่อยทุกหัวข้อ พิจารณาความเกี่ยวโยง ความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อหาเหล่านั้น จากนั้นก็จัดทำ ตารางกำหนดลักษณะข้อสอบหรือที่เรียกว่า ตารางวิเคราะห์หลักสูตร ตารางนี้มี 2 มิติ คือ ด้านเนื้อหากับด้านสมรรถภาพที่ต้องการวัดและพิจารณาว่าจะออกข้อสอบทั้งหมดกี่ข้อ เขียนจำนวนข้อลงในช่องรวมช่องสุดท้าย จากนั้นพิจารณาว่า หัวข้อเรื่องใดสำคัญมากน้อย เขียนลำดับความสำคัญลงไป แล้วกำหนดจำนวนข้อสอบที่จะวัดในแต่ละหัวข้อตามอันดับความสำคัญ จากนั้นกำหนดจำนวนข้อในแต่ละช่อง จำนวนข้อสอบที่จะวัดในแต่ละช่องขึ้นอยู่กับว่าเรื่องนั้น ต้องการให้เกิดสมรรถภาพด้านใดมากน้อยกว่ากัน 2. กำหนดรูปแบบของข้อคำถามและศึกษาวิธีเขียนข้อสอบ ทำการพิจารณาและ ตัดสินใจว่าจะใช้ข้อคำถามรูปแบบใด ศึกษาวิธีการเขียนข้อสอบ หลักการเขียนข้อคำถามสมรรถภาพ ต่าง ๆ ศึกษาเทคโนโลยีในการเขียนข้อสอบ เพื่อนำมาใช้เป็นหลักในการเขียนข้อสอบ 3. เขียนข้อสอบ ลงมือเขียนข้อสอบใช้ตารางกำหนดลักษณะของข้อสอบที่จัดทำไว้ ขั้นที่ 1 เป็นกรอบ ซึ่งจะทำให้สามารถออกข้อสอบวัดได้ครอบคลุมทุกหัวข้อ ทุกเนื้อหา และทุกสมรรถภาพ รูปแบบเทคนิคในการเขียนข้อสอบยึดตามที่ศึกษามาในขั้นที่ 2 4. ตรวจทานข้อสอบ นำข้อสอบที่ได้เขียนไว้ในขั้นที่ 3 มาพิจารณาทบทวนอีกครั้ง หนึ่ง โดยพิจารณาความถูกต้องตามหลักวิชา พิจารณาว่าแต่ละข้อวัดในเนื้อหาและสมรรถภาพตาม ตารางกำหนดลักษณะข้อสอบหรือไม่ ภาษาที่ใช้เขียนมีความชัดเจนเข้าใจง่ายเหมาะสมดีแล้วหรือไม่ ตัวถูก ตัวลวง เหมาะสมเข้าหลักเกณฑ์หรือไม่ หลังพิจารณาทบทวนเองแล้วนำไปให้ผู้เชี่ยวชาญค้าน วัดผลและด้านเนื้อหาสาระ พิจารณาข้อบกพร่องแล้วนำเอาข้อวิจารณ์เหล่านั้นมาพิจารณาปรับปรุง แก้ไขให้เหมาะสมยิ่งขึ้น 5.พิมพ์แบบทดสอบฉบับทดลอง นำข้อสอบทั้งหมดมาพิมพ์เป็นแบบทดสอบ โดยจัดพิมพ์คำชี้แจงหรือคำอธิบาย วิธีการทำแบบทดสอบไว้ที่ปกของแบบทดสอบอย่างละเอียด และชัดเจน การจัดพิมพ์ควรวางรูปแบบให้เหมาะสม 6. ทดลองใช้ วิเคราะห์คุณภาพและปรับปรุง นำแบบทดสอบไปทดลองกับ กลุ่มที่คล้ายกันกับกลุ่มเป้าหมายที่จะสอบจริง ซึ่งได้เรียนในวิชาหรือเนื้อหาที่จะสอบแล้ว นำผล การสอบมาตรวจให้คะแนน ทำการวิเคราะห์คุณภาพ กับเลือกเอาข้อที่มีคุณภาพเข้าเกณฑ์ตามจำนวน
43 ที่ต้องการถ้าข้อที่เข้าเกณฑ์จำนวนมากกว่าที่ต้องการ ก็ตัดข้อที่มีเนื้อหามากกว่าที่ต้องการ ซึ่งเป็นข้อที่มีอำนาจจำแนกต่ำสุดออกตามลำดับ นำเอาผลการสอบที่คัดเฉพาะข้อสอบที่เข้าเกณฑ์ เหล่านั้นมาคำนวณหาค่าความเชื่อมั่น 7. พิมพ์แบบทดสอบฉบับจริง นำข้อสอบที่มีค่าอำนาจจำแนกระดับความยาก เข้าเกณฑ์ตามจำนวนที่ต้องการในขั้นตอนที่ 6 มาพิมพ์เป็นแบบทดสอบฉบับที่จะใช้จริงซึ่งจะต้อง มีคำชี้แจง วิธีทำด้วย และในการพิมพ์นอกจากใช้รูปแบบที่เหมาะสมแล้วควรคำนึงถึงความประณีต ความถูกต้อง ซึ่งจะต้องตรวจทานให้ดี 8. ทดลองใช้ วิเคราะห์คุณภาพและปรับปรุง 9. พิมพ์แบบทดสอบฉบับจริง นำข้อสอบที่มีค่าอำนาจจำแนกเข้าเกณฑ์ จากผล การวิเคราะห์ในขั้นที่ 8 มาพิมพ์เป็นแบบทดสอบฉบับจริงต่อไป โดยเน้นรูปแบบการพิมพ์ที่ประณีต มีความถูกต้องมีคำชี้แจงที่ละเอียดแจ่มชัด ผู้อ่านเข้าใจง่าย บุญศรี พรหมมาพันธุ์ และนวลเสน่ห์ วงศ์เชิดธรรม (2545) ได้กำหนดขั้นตอนการสร้าง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 การวางแผนสร้างแบบทดสอบ ประกอบด้วย 1. ศึกษาวิธีสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จากเอกสารและงานวิจัย ต่าง ๆ เป็นขั้นตอนที่ผู้สร้างแบบทดสอบ ต้องทำการค้นคว้าวิธีการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนว่ามีแบบใดบ้าง 2. กำหนดจุดมุ่งหมายของการใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนจะเริ่ม เขียนข้อคำถาม ผู้สร้างข้อคำถามจะต้องกำหนดจุดมุ่งหมายของการใช้แบบทดสอบให้ ชัดเจน และ สอดคล้องกับจุดมุ่งหมาย 3. กำหนดเนื้อหาและพฤติกรรมที่ต้องการวัดในตารางวิเคราะห์หลักสูตร ผู้สร้าง แบบทดสอบจะต้องกำหนดขอบเขตเนื้อหา มาตรฐานการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ พฤติกรรมที่จะวัดใน ด้านพุทธิพิสัย ได้แก่ ความรู้ ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินค่า 4. กำหนดลักษณะของแบบทดสอบและส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสอบ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จะเป็นแบบทดสอบอิงเกณฑ์หรืออิงกลุ่ม ซึ่งลักษณะข้อสอบ จะเป็นแบบปรนัยหรืออัตนัยก็ได้ หรือจะเป็นทั้งแบบปรนัยและอัตนัยรามกัน ทั้งนี้ผู้สร้างแบบทดสอบ อาจใช้เกณฑ์ต่อไปนี้กำหนดลักษณะข้อสอบ ซึ่งได้แก่ วัตถุประสงค์ของการวัด ระดับพฤติกรรมของ
44 การเรียนรู้ที่จะวัด ลักษณะหรือคุณสมบัติผู้สอบ จำนวนผู้เข้าสอบ และระยะเวลาที่ใช้ในการสร้าง แบบทดสอบคำเนินการสอบ ขั้นตอนที่ 2 การลงมือสร้างข้อสอบ 1. ผู้สร้างแบบทดสอบลงมือสร้างแบบข้อสอบตามรายละเอียดในตารางวิเคราะห์ ข้อสอบ คำนึงถึงความยากของข้อสอบ ระยะเวลาที่สอบ คะแนน และการตรวจให้คะแนน 2. ตรวจทานข้อสอบผู้สร้างต้องทบทวน แบบทดสอบ เพื่อให้ข้อสอบที่สร้างขึ้น มีความถูกต้องครบถ้วน ตามรายละเอียดไว้ในตารางวิเคราะห์หลักสูตร แล้วจัดพิมพ์เป็นฉบับทดลอง เพื่อนำไปใช้ต่อไป ขั้นตอนที่ 3 การตรวจข้อสอบคุณภาพข้อสอบก่อนนำไปใช้ 1. นำแบบทดสอบที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา และด้านการวัดผล การศึกษา จำนวน 3-5 ท่าน ตรวจความเที่ยงตรงด้านเนื้อหา (Content Validity) โดยให้ผู้เชี่ยวชาญ พิจารณาว่าข้อสอบแต่ละข้อนั้นถูกต้องและเหมาะสมเพียงใด และพิจารณาความสอดคล้องของ ข้อสอบแต่ละข้อ โดยพิจารณาความสอดคล้องของข้อสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้หรือเนื้อหาตาม ตารางวิเคราะห์หลักสูตร โดยใช้เกณฑ์การประเมิน ดังนี้ +1 หมายถึง แน่ใจว่าข้อสอบวัดจุดประสงค์ข้อนั้น 0 หมายถึง ไม่แน่ใจว่าข้อสอบวัดจุดประสงค์ข้อนั้น -1 หมายถึง แน่ใจว่าข้อสอบไม่วัดจุดประสงค์ข้อนั้น จากนั้นนำข้อสอบที่ได้หาค่าสอดคล้อง IOC และคัดเลือกข้อสอบที่มีค่า IOC ตั้งแต่0.50 ขึ้นไป จัดพิมพ์เป็นแบบทดสอบฉบับใหม่ ภพ เลาหไพบูลย์ (2552) ได้กำหนดหลักในการวางแผนสร้างแบบทดสอบ ดังนี้ 1. ระบุวัตถุประสงค์ของการใช้แบบทดสอบให้ชัดเจน 2. ข้อสอบในแต่ละข้อในแบบทดสอบจะต้องเป็นตัวแทนของสิ่งที่ได้สอนไป แล้วตาม หลักสูตร 3. จำนวนข้อสอบจะต้องเป็นสัดส่วนกับความสำคัญมากน้อยในสิ่งที่ผู้สอนได้เน้นใน การสอน 4. การจัดทำตารางวิเคราะห์เนื้อหาและพฤติกรรมการเรียนรู้เพื่อใช้เป็นแนวทางใน การสร้างแบบทดสอบ เยาวดี วิบูลย์ศรี (2553) ได้กำหนดกรรมวิธีในการสร้างแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ สามารถแบ่ง ได้เป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้
45 ขั้นตอนที่ 1 กำหนดวัตถุประสงค์ทั่วไปของการสอนให้อยู่ในรูปของวัตถุประสงค์ เชิงพฤติกรรม โดยระบุเป็นข้อๆและให้วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมเหล่านั้น สอดคล้องกับเนื้อหาสาระ ทั้งหมดที่จะทำการทดสอบด้วย ขั้นตอนที่ 2 กำหนดโครงเรื่องของเนื้อหาสาระที่จะทำการทดสอบให้ครบถ้วน ขั้นตอนที่ 3 เตรียมตารางเฉพาะหรือผังของแบบทดสอบ เพื่อแสดงน้ำหนัก ของเนื้อหาวิชาแต่ละส่วน และพฤติกรรมต่างๆที่ต้องการทดสอบให้เด่นชัด สั้น กะทัดรัด และมีความชัดเจน ขั้นตอนที่ 4 สร้างข้อกระทงทั้งหมดที่ต้องการทดสอบให้เป็นไปตามสัดส่วนของ น้ำหนักที่ระบุไว้ในตารางเฉพาะ พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2556) ได้กำหนดการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สรุปได้ว่า มีการดำเนินการ ดังนี้ 1. วิเคราะห์หลักสูตรและสร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตรการสร้างแบบทดสอบ ควรเริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์หลักสูตรและสร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตรเพื่อวิเคราะห์เนื้อหาสาระและ พฤติกรรมที่ต้องการจะวัด ตารางวิเคราะห์หลักสูตรจะใช้เป็นกรอบในการออกข้อสอบ ซึ่งจะระบุ จำนวนข้อสอบในแต่ละเรื่องและพฤติกรรมที่ต้องการวัดไว้ 2. กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้จุดประสงค์การเรียนรู้ เป็นพฤติกรรมที่เป็น ผลการเรียนรู้ที่ผู้สอนมุ่งหวังจะให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนซึ่งผู้สอนจะต้องกำหนดไว้ล่วงหน้าสำหรับเป็น แนวทางในการจัดการเรียนการสอนและการสร้างข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ 3. กำหนดชนิดของข้อสอบและศึกษาวิธีสร้างโดยการศึกษาตารางวิเคราะห์หลักสูตร และจุดประสงค์การเรียนรู้ ผู้ออกข้อสอบต้องพิจารณาและตัดสินใจเลือกใช้ชนิดของข้อสอบที่จะใช้วัด ว่าจะเป็นแบบใด โดยต้องเลือกให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ของการเรียนรู้และเหมาะสมกับวัยของ ผู้เรียน แล้วศึกษาวิธีเขียนข้อสอบชนิดนั้นให้มีความรู้ความเข้าใจในหลักและวิธีการเขียนข้อสอบ 4. เขียนข้อสอบ ผู้ออกข้อสอบลงมือเขียนข้อสอบ ตามรายละเอียดที่กำหนดไว้ใน ตารางวิเคราะห์หลักสูตร และให้สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ โดยอาศัยหลักและวิธีการเขียน ข้อสอบที่ได้ศึกษามาแล้วในขั้นที่ 3 5. ตรวจทานข้อสอบ เพื่อให้ข้อสอบที่เขียนไว้แล้วในขั้นที่ 4 มีความถูกต้องตามหลัก วิชาการมีความสมบูรณ์ ครบถ้วน ตามรายละเอียดที่กำหนดไว้ในตารางวิเคราะห์หลักสูตร ผู้ออกข้อสอบต้องพิจารณา ทบทวนอีกครั้งก่อนที่จะจัดพิมพ์และนำไปใช้ต่อไป
46 6. จัดพิมพ์ข้อสอบฉบับทดลอง เมื่อตรวจทานข้อสอบเสร็จแล้วให้พิมพ์ข้อสอบ ทั้งหมด จัดทำเป็นแบบทดสอบฉบับทดลองโดยมีคำชี้แจงหรือคำอธิบายวิธีตอบแบบทดสอบ และจัดวางรูปแบบการพิมพ์ให้เหมาะสม 7. ทดลองสอบและวิเคราะห์ข้อสอบการทดลองสอบและวิเคราะห์ข้อสอบ เป็นวิธีการตรวจสอบคุณภาพของ แบบทดสอบก่อนนำไปใช้จริง โดยนำแบบทดสอบไปทดลองสอบ กับกลุ่มที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับกลุ่มที่ต้องการทดสอบจริง แล้วนำผลการทดสอบมาวิเคราะห์และ ปรับปรุงข้อสอบให้มีคุณภาพโดยสภาพการปฏิบัติจริงของการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ในโรงเรียน มักไม่ค่อยมีการทคลองและวิเคราะห์ข้อสอบ ส่วนใหญ่นำแบบทดสอบไปใช้ทดสอบแล้วจึงวิเคราะห์ ข้อสอบเพื่อปรับปรุงข้อสอบและนำไปใช้ในครั้งต่อ ๆ ไป 8. จัดทำแบบทดสอบฉบับจริงจากผลการวิเคราะห์ข้อสอบ หากพบว่าข้อสอบข้อใด ไม่มีคุณภาพหรือมีคุณภาพไม่ดีพอ อาจจะต้องตัดทิ้งหรือปรับปรุงแก้ไขข้อทดสอบให้มีคุณภาพดีขึ้น แล้วจึงจัดทำเป็นแบบทดสอบฉบับจริงที่จะนำไปทดสอบกับกลุ่มเป้าหมายต่อไป ตามที่นักการศึกษากล่าวไว้ข้างต้นสรุปได้ว่า การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนมีด้วยกัน 8 ขั้นตอน คือ 1. ศึกษาและวิเคราะห์หลักสูตร 2. กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ 3. กำหนดชนิดของข้อสอบและเขียนข้อสอบ 4. ตรวจทานข้อสอบ 5. ตรวจสอบความตรงของข้อสอบ 6. จัดพิมพ์แบบทดสอบฉบับทดลองและนำไปทดสอบ 7. วิเคราะห์ข้อสอบ 8. ทำแบบทดสอบฉบับจริง ในที่นี้ ผู้วิจัยเลือกแบบทดสอบแบบเลือกตอบ นำมาสร้างเป็นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ โดยผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างข้อสอบตามขั้นตอนข้างต้นดังที่กล่าวมา ความพึงพอใจ ความพึงพอใจ เป็นความรู้สึกที่ได้พบเห็น ซึ่งเกิดจากประสบการณ์หรือการเรียนรู้ของ บุคคล อันส่งผลต่อพฤติกรรมของบุคลนั้น ๆ ในการวิจัยนั้นความพึงพอใจของผู้เรียนก็ถือเป็นสิ่ง ที่สำคัญ นอกจากครูจะต้องพัฒนาความรู้ของผู้เรียน ก็จำเป็นต้องใส่ใจในความรู้สึกของผู้เรียน
47 อีกด้วย ผู้วิจัยจึงได้ศึกษาเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจ โดยมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้ ความหมายความพึงพอใจ จากการศึกษาความพึงพอใจ นักการศึกษาหลายท่านได้กล่าวถึงความหมายความพึงพอใจ ไว้ดังนี้ Strass and Sayless (1960) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกพอใจในงานที่ทำ และเต็มใจที่จะปฏิบัติงานนั้นให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ตามหน่วยงานหรือองค์กร Applewhite (1965) กล่าวว่า ความพึงพอใจหมายถึงความสุขความสบายที่ได้รับจาก การทำงาน ความสุขที่ได้รับจากการทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงานและทัศนคติที่ดีต่องาน เทพพนม เมืองแมน และสวิง สุวรรณ (2540) กล่าวว่า ความพึงพอใจเป็นภาวะของ ความพึงใจหรือภาวะที่มีอารมณ์ในทางบวกที่เกิดขึ้น เนื่องจากการประเมินประสบการณ์ของ คน ๆ หนึ่ง สิ่งที่ขาดหายไประหว่างการเสนอให้กับสิ่งที่ได้รับจะเป็นรากฐานของการพอใจ และไม่พอใจได้ กฤษณ์กมล กมลลาศน์ (2546) กล่าววา ความพึงพอใจ หมายถึง การที่มีความรูสึกดี เมื่อได้รับการตอบสนองความต้องการของแต่ละบุคคล โดยอาจแบ่งตามปัจจัยที่ก่อให้เกิด ความพึงพอใจได้ 2 แบบ คือ ความพึงพอใจที่เกิดจากปัจจัยเบื้องตน ได้แก ความพึงพอใจที่ได้รับ การตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐาน อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุงห่ม ยารักษาโรค และความพึงพอใจที่เกิดจากปัจจัยระดับสูง ได้แก่ ความพึงพอใจที่ได้รับการตอบสนองความรูสึก ภายใน เชน ความรูสึกรัก ชอบ โกรธ เกลียด เป็นต้น กาญจนา อรุณสุขรุจี (2546) กล่าวว่า ความพึงพอใจของมนุษย์เป็นการแสดงออกทาง พฤติกรรมที่เป็นนามธรรม ไม่สามารถมองเห็นเป็นรูปร่างได้ การที่เราจะทราบว่าบุคคลมี ความพึงพอใจหรือไม่ สามารถสังเกตโดยการแสดงออกที่ค่อนข้างสลับซับซ้อนและต้องมีสิ่งเร้า ที่ตรงต่อความต้องการของบุคคล จึงจะทำให้บุคคลเกิดความพึงพอใจ ดังนั้นการสิ่งเร้าจึงเป็นแรงจูงใจ ของบุคคลนั้นให้เกิดความพึงพอใจในงานนั้น วรรณี ลิมอักษร (2554) ได้ให้ความหมายของความพึงพอใจเป็นการกระตุ้นให้บุคคลแสดง พฤติกรรมด้วยความเต็มใจ และเมื่อมีการกระทำหรือได้ปฏิบัติงานตามเงือนไขแล้วก็จะได้รับสิ่งตอบ แทนตามที่บุคคลต้องการ จากการศึกษาความหมายความพึงพอใจ ผู้วิจัยสามารถสรุปได้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกที่ดีหรือทัศนคติที่ดีของบุคคล ซึ่งมักเกิดจากการได้รับการตอบสนองตามที่ตนต้องการ ก็จะเกิดความรู้สึกที่ดีต่อสิ่งนั้น ตรงกันข้ามหากความต้องการของตนไม่ได้รับการตอบสนอง
48 ความไม่พึงพอใจก็จะเกิดขึ้น ในที่นี้ ผู้วิจัยได้ให้ความหมายของความพึงพอใจไว้ว่า ความรู้สึกสึกที่ดี หรือทัศนคติที่ดีของนักเรียนที่เรียน เรื่องพหุนาม โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับ การใช้สื่อประสม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ทฤษฏีที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจ ความพึงพอใจในการเรียนจะเกิดต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างมากระตุ้นบุคคลให้เกิด ความพึงพอใจได้นั้นจะต้องมีการจูงใจให้เกิดขึ้น แรงจูงใจหรือการจูงใจหมายถึงการชักจูงให้ผู้อื่น แสดงออกหรือปฏิบัติตามสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดความพอใจ ซึ่งมีนักจิตวิทยาและนักการศึกษาได้กล่าวถึง ทฤษฎีเกี่ยวกับกับความพึงพอใจไวดังนี้ ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการมาสโลว์ (Maslow, 1970) เป็นทฤษฎีที่ได้รับการยอมรับ อย่างกว้างขวาง โดยตั้งอยู่บนสมมติฐานเดียวกับพฤดิกรรมของมนุษย์ ดังนี้ 1. ความต้องการของมนุษย์เป็นไปตามลำดับขั้นสำคัญ 5 ระดับ โดยเริ่มจาก ความต้องการขั้นสูงสุด ได้แก่ ความต้องการพื้นฐานทางร่างกาย ความต้องการความมั่นคง ปลอดภัย ความต้องการทางสังคม ความต้องการที่จะได้รับการยกย่องหรือมีชื่อเสียง และความต้องการที่จะ ได้รับความสำเร็จในชีวิต 2. มนุษย์มีความต้องการอยู่เสมอ เมื่อความต้องการอย่างหนึ่งได้รับการตอบสนอง แล้วก็มีความต้องการสิ่งใหม่เข้ามาแทนที่ 3. เมื่อความต้องการในระดับหนึ่งได้รับการตอบสนองแล้ว จะไม่ส่งผลให้เกิด พฤติกรรมต่อสิ่งนั้น แต่จะมีความต้องการในระดับสูงเข้ามาแทน และเป็นแรงให้เกิดแรงจูงใจใน พฤติกรรมนั้น 4. ความต้องการที่เกิดขึ้นอาศัยซึ่งกันและกัน มีลักษณะควบคู่ คือ เมื่อความต้องการ อย่างหนึ่งยังไม่หมดสิ้นไป ก็จะมีความต้องการอีกอย่างหนึ่งเกิดขึ้นมา Mamford (1972) ได้กล่าวถึง ความคิดความพึงพอใจจากผลการวิจัยออกเป็น 5 กลุ่ม ดังนี้ 1. กลุ่มความต้องการทางด้านจิตวิทยา ได้แก่ มาสโลว์ (Maslow) เฮอร์ซเบิร์ก (Herzberg) และลิเคิร์ท (Likert) โดยเห็นว่าความพึงพอใจนั้นเกิดขึ้นจากความต้องการของบุคคลที่ ต้องการความสำเร็จของงาน และความต้องการการยอมรับของบุคคล 2. กลุ่มภาวะผู้นำ เป็นรูปแบบการปฏิบัติของผู้นำที่มีต่อผู้ใด้บังกับบัญชา ได้แก่ เบลค (Blake) มูทอน (Mouton) และฟิดเลอร์ (Fiedler) 3. กลุ่มความพยายามต่อของรางวัล คือ บุคคลที่มองความพึงพอใจจากรายได้หรือ เงินเดือนตอบแทน และผลประโยชน์อื่น ๆ
49 4. กลุ่มอุดมการณ์ทางการจัดการมองความพึงพอใจจากพฤติกรรมการบริหารของ องค์กร 5. กลุ่มเนื้อหาของานและการออกแบบงาน ความพึงพอใจเกิดจากเนื้อหาของตัวงาน Korman (1977) ได้กล่าวถึง ทฤษฎีความพึงพอใจไว้ 2 ทฤษฎี ดังนี้ 1. ทฤษฎีการสนองความต้องการ เป็นการตอบสนองความพึงพอใจ ซึ่งเกิดจาก ความต้องการส่วนบุคคลที่มีความสัมพันธ์ต่อผลที่ได้รับ จากการประสบความสำเร็จที่เป็นไป ตามจุดหมาย 2. ทฤษฎีการอ้างอิงกลุ่ม เป็นความพึงพอใจที่มีความสัมพันธ์ในทางบวกกับ คุณลักษณะของตามความต้องการ ของกลุ่มคน จากการศึกษาทฤษฏีความพึงพอใจ ผู้วิจัยสามารถสรุปได้ว่า แนวคิดและทฤษฏีความพึงพอใจ ในกระบวนการเรียนการสอนที่จะทำให้ผู้เรียนเกิดความพึงพอใจในการเรียนได้นั้น สิ่งที่สำคัญที่สุด ประการหนึ่งคือ การมีเสรีภาพในการเรียน การสอนที่กำหนดขอบเขตของเนื้อหา ให้นักเรียนมีโอกาส เลือก ตัดสินใจด้วยตนเองอย่างอิสระในกระบวนการเรียนการสอน การวัดผลและประเมินผลที่จะทำ ให้ผู้เรียนเกิดความพึงพอใจในการเรียนได้นั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดประการหนึ่ง คือ การมีเสรีภาพ ในการเรียนการสอนที่กำหนดขอบเขตของ เนื้อหาให้นักเรียนมีโอกาสเลือกตัดสินใจด้วยตนเอง และเพื่อตนเองอย่างอิสระ การวัดความพึงพอใจ ความพึงพอใจเป็นทัศนคติในทางบวกของบุคคลที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง การที่จะวัดความพึงพอใจ หรือไม่พึงพอใจของบุคคล จึงมีความจำเป็นที่จะต้องสร้างเครื่องมือที่ช่วยในการวัดความพึงพอใจ ซึ่งนักการศึกษาหลายคนได้กล่าวถึงการวัดความพึงพอใจไว้พอสรุปได้ดังนี้ พรศักดิ์ ตระกูลชีวาพานิตต์ (2541) กล่าวถึง การวัดความพึงพอใจ ดังนี้ 1. การใช้แบบสอบถาม โดยผู้ออกแบบสอบถาม ต้องการ ทราบความคิดเห็น ซึ่งสามารถกระทำได้ในลักษณะกำหนดคำตอบให้เลือก หรือตอบคำถามอิสระ ถามถึงความพอใจใน ด้านต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ตอบทุกคนมาเป็นแบบแผนเดียวก็มักใช้ในกรณีที่ต้องการข้อมูลกลุ่มตัวอย่าง มาก ๆ วิธีนี้นับเป็นวิธีที่นิยมใช้กันมากที่สุดในการวัดทัศนคติ รูปแบบของแบบสอบถามจะใช้มาตรวัด ทัศนคติ ซึ่งที่นิยมใช้ในปัจจุบันวิธีหนึ่งคือมาตราส่วนแบบลิเคิร์ท ประกอบด้วย ข้อความที่แสดงถึง ทัศนคติของบุคคลที่มีต่อสิ่งเร้าอย่างใดอย่างหนึ่งที่มีคำตอบที่แสดงถึงระดับความรู้สึก 5 ระดับ คือ ระดับมากที่สุด ระดับมาก ระดับปานกลาง ระดับน้อย และระดับน้อยที่สุด 2. การสัมภาษณ์ เป็นวิธีการที่ผู้วิจัยจะต้องออกไปสอบถามโดยการพูดคุย และมีการเตรียมแผนงาน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นจริงมากที่สุด
50 3. การสังเกต โดยสังเกตพฤติกรรมของบุคคลเป้าหมาย ทางด้านการแสดงออกจาก การพูดจา กริยาท่าทาง ซึ่งต้องอาศัยการกระทำอย่างจริงจัง และสังเกตอย่างมีระเบียบแบบแผน ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ (2541) ได้เสนอแนวทางการวัดความพึงพอใจ ของผู้เรียน ไว้ดังนี้ 1. การสัมภาษณ์ หมายถึง การพูดคุยกันอย่างมีจุดหมาย โดยยึดจุดประสงค์ใน การวัดและบันทึกไว้ได้อย่างถูกต้อง และสร้างข้อคำถามในการสัมภาษณ์ให้ดีเป็นมาตรฐานก่อน ซึ่งข้อคำถามจะต้องกระตุ้นให้ผู้ถูกสัมภาษณ์ตอบความรู้สึกที่ผู้สัมภาษณ์ต้องการได้ มีการวางแผน การสร้างข้อคำถามที่จะต้องคำนึงถึงระยะเวลา และลักษณะของผู้ถูกสัมภาษณ์ 2. การสังเกต หมายถึง การเฝ้ามองดูสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างมีจุดมุ่งหมาย โดยผู้สังเกต จำเป็นต้องมีข้อรายการที่จะใช้ในการสังเกตให้พร้อม และชัดเจน 3. การรายงานตนเอง โดยการให้ผู้เรียนแสดงความรู้สึกของตนเองตามสิ่งเร้า ที่ได้สัมผัสเพื่อจะได้แสดงความรู้สึกออกมาอย่างตรงไปตรงมา 4. เทคนิคการจินตนาการ โดยอาศัยสถานการณ์หลายอย่างไปกระตุ้นผู้เรียน ซึ่งเป็น ผู้ตอบสถานการณ์ที่กำหนดให้จะไม่มีโครงสร้างที่แน่นอน ผู้เรียนจะต้องจินตนาการออกมาตาม ประสบการณ์เดิมของตนเอง หทัยรัตน์ประทุมสูตร (2542) กล่าวว่า การวัดความพึงพอใจเป็นเรื่องที่เปรียบเทียบได้กับ ความเข้าใจทั่ว ๆ ไป ซึ่งปกติจะวัดได้โดยการสอบถามจากบุคคลที่ต้องการจะถามมีเครื่องมือที่ ต้องการจะใช้ในการวิจัยหลาย ๆ อย่าง อย่างไรก็ดีถึงแม้ว่าจะมีการวัดอยู่หลายแนวทางแต่การศึกษา ความพึงพอใจอาจแยกตามแนวทางวัดได้สองแนวคิดตามความคิดเห็นของ ซาลีซนิคค์ คริสเทนส์ กล่าวคือ 1. วัดจากสภาพทั้งหมดของแต่ละบุคคล เช่น ที่ทำงาน ที่บ้านและทุก ๆ อย่าง ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตการศึกษาตามแนวทางนี้ จะได้ข้อมูลที่สมบูรณ์ แต่ทำให้เกิดความยุ่งยากกับ การที่จะวัดและเปรียบเทียบ 2. วัดได้โดยแยกออกเป็นองค์ประกอบ เช่น องค์ประกอบที่เกี่ยวกับงาน การนิเทศ งานเกี่ยวกับนายจ้าง ศจี อนันต์นพคุณ (2542) กล่าวว่า วิธีการวัดความพึงพอใจว่าสามารถใช้วิธีการสำรวจเป็น เครื่องมือวัดก็ได้ ซึ่งมีวิธีการสำคัญอยู่ 4 วิธี คือ
51 1. การสังเกตการณ์ โดยผู้บริหารสังเกตการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของ ผู้ปฏิบัติงานจากการแสดงออก การฟัง จากการพูด สังเกตจากการกระทำ แล้วนำข้อมูลที่ได้ จากการสังเกตมาวิเคราะห์ 2. การสัมภาษณ์ เป็นวิธีการวัดความพึงพอใจโดยการสัมภาษณ์จะต้องมี การเผชิญหน้ากันเป็นส่วนตัวหรือสนทนากันโดยตรงแลกเปลี่ยนข่าวสารและความคิดเห็นต่าง ๆ ด้วยวาจา 3. การออกแบบสอบถาม เป็นวิธีที่นิยมกันมาก โดยให้ผู้ปฏิบัติงานแสดง ความคิดเห็นและความรู้สึกลงในแบบสอบถาม การสร้างคำถามต้องพิจารณาอย่างดีเพื่อจะตั้งคำถาม ให้ครอบคลุมวัตถุประสงค์ทั้งหมด และลักษณะของคำถามจะต้องอยู่ในข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ ความพึงพอใจสมบูรณ์ครบถ้วน วิธีที่นิยมใช้ในปัจจุบันคือ มาตราส่วนแบบลิเคิร์ท (Likert Scales) ประกอบด้วยข้อความที่แสดงถึงทัศนคติของบุคคลที่มีต่อสิ่งเร้าอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วมีคำตอบที่แสดง ถึงระดับความรู้สึก 5 คำตอบ เช่น มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด 4. การเก็บบันทึก เป็นการเก็บประวัติเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของผู้ปฏิบัติงาน แต่ละคนในเรื่องเกี่ยวกับผลงาน การร้องทุกข์ การขาด การลางาน การฝ่าฝืนระเบียบวินัยอื่น ๆ ในการดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอน ความพึงพอใจเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะกระตุ้นให้ผู้เรียนทำงาน ที่ได้รับมอบหมายหรือต้องการปฏิบัติให้บรรลุผลตามวัตถุประสงค์ครูผู้สอนซึ่งในสภาพปัจจุบันเป็น เพียงผู้อำนวยความสะดวกหรือให้คำนะนำปรึกษา จึงต้องคำนึงถึงความพึงพอใจในการเรียนรู้ การทำให้ผู้เรียนเกิดความพึงพอใจในการเรียนรู้ หรือการปฏิบัติงานมีแนวคิดพื้นฐานที่ต่างกัน 2 ลักษณะคือ 4.1 ความพึงพอใจนำไปสู่การปฏิบัติงาน การตอบสนองความต้องการ ผู้ปฏิบัติงานจนเกิดความพึงพอใจ จะทำให้เกิดแรงจูงใจในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานที่สูงกว่า ผู้ ที่ไม่ได้รับการตอบสนอง ทัศนะตามแนวคิดมี 4 ประการ คือ ผลตอบแทนที่ได้รับ ความพึงพอใจ ของผู้ปฏิบัติงาน แรงจูงใจ การปฏิบัติหน้าที่มีประสิทธิภาพ 4.2 ผลของการปฏิบัติงานนำไปสู่ความพึงพอใจ ความสัมพันธ์ระหว่างความ พึงพอใจและผลการปฏิบัติงานจะถูกเชื่อมโยงด้วยปัจจัยอื่นๆ ผลการปฏิบัติงานที่ดี จะนำไปสู่ ผลตอบแทนที่เหมาะสม ซึ่งในที่สุดจะนำไปสู่การตอบสนองความพึงพอใจ ผลการปฏิบัติงาน ย่อมได้รับการตอบสนองในรูปของรางวัล หรือผลตอบแทน ซึ่งแบ่งออกเป็น ผลตอบแทนภายใน (Intrinsic Rewards) และผลตอบแทนภายนอก (Extrinsic Rewards) โดยผ่านการรับรู้เกี่ยวกับ
52 ความยุติธรรมของผลตอบแทน ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ปริมาณของผลตอบแทนที่ผู้ ปฏิบัติงานได้รับนั่นคือ ความพึงพอใจในงานของผู้ ปฏิบัติงานจะถูกกำหนดโดยความแตกต่างระหว่างผลตอบแทน ที่เกิดขึ้นจริงและการรับรู้ เรื่องเกี่ยวกับความยุติธรรมของผลตอบแทนที่รับรู้ แล้วความพึงพอใจ ย่อมเกิดขึ้น บุญชม ศรีสะอาด (2545) กล่าวว่า การวัดความพึงพอใจของนักเรียนโดยใช้ค่าเฉลี่ย และกำหนดเกณฑ์ในการแปลความหมายค่าเฉลี่ย มีดังนี้ ค่าเฉลี่ย ระดับความคิดเห็น 4.51-5.00 มีคุณภาพระดับดีมาก 3.51-4.50 มีคุณภาพระดับดี 2.51-3.50 มีคุณภาพระดับปานกลาง 1.51-2.50 มีคุณภาพระดับพอใช 1.00-1.50 มีคุณภาพควรปรับปรุง จากการศึกษาการวัดความพึงพอใจ ผู้วิจัยสามารถสรุปได้ว่า การวัดความพึงพอใจ นำมาจาก แบบวัดมาตราส่วนแบบลิเคิร์ท (Likert Scales) โดยการกำหนดระดับดีมาก มาก ปานกลาง พอใช้ ควรปรับปรัง ที่มี 5 ระดับ และกำหนดเกณฑ์ในการแปลความหมายค่าเฉลี่ย มีดังนี้ ค่าเฉลี่ย ระดับความคิดเห็น 4.51-5.00 มีคุณภาพระดับดีมาก 3.51-4.50 มีคุณภาพระดับดี 2.51-3.50 มีคุณภาพระดับปานกลาง 1.51-2.50 มีคุณภาพระดับพอใช้ 1.00-1.50 มีคุณภาพควรปรับปรุง การสร้างแบบวัดความพึงพอใจ จากการศึกษาความพึงพอใจ นักการศึกษาหลายท่านได้กล่าวถึงการสร้างแบบวัด ความพึงพอใจ ไว้ดังนี้ ระพินทร์ โพธิ์ศรี (2549) กล่าวถึง การสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจ โดยแบ่งเป็น 7 ขั้น ดังนี้ ขั้นที่ 1 การกำหนดเนื้อหาความพึงพอใจ คือ ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง และกำหนด นิยาม และสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 5 คน
53 ขั้นที่ 2 เลือกประเด็นที่จะวัดความพึงพอใจ และกำหนดวิธีการวัด ซึ่งประเด็นที่วัด ความพึงพอใจ ให้เลือกมาจากกรอบเนื้อหาที่กำหนดไว้ในขั้นที่ 1 และวิธีวัดความพึงพอใจ โดยทั่วไป นิยมใช้วิธีจัดอันดับคุณภาพ 5 ระดับ และประเด็นวัดความพึงพอใจเป็นทางบวก คือ พึงพอใจระดับ มากที่สุด พึงพอใจระดับมาก พึงพอใจระดับปานกลาง พึงพอใจระดับน้อย และพึงพอใจ ระดับน้อยที่สุด ถ้าความพึงพอใจทางลบคะแนนระดับความพึงพอใจจะเป็นตรงข้ามกับที่กำหนดไว้ ขั้นที่ 3 จัดทำความพึงพอใจฉบับร่าง ขั้นที่ 4 ทดลองกลุ่มย่อยประมาณ 3-5 คน เพื่อตรวจสอบความมั่นคงเฉพาะหน้า ขั้นที่ 5 ให้ผู้เชี่ยวชาญประมาณ 3-5 คน เพื่อตรวจสอบความมั่นคงเฉพาะหน้า และความตรงเชิงเนื้อหา ขั้นที่ 6 ทดลองภาคสนาม เพื่อการวิเคราะห์ปรับปรุงคุณภาพแบบวัดความพึงพอใจ โดยการหาค่าอำนาจจำแนก และค่าความเชื่อมั่น โดยการหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา (AIpha Cocfficient) ตามวิธีของครอนบาค (Cronbach) ขั้นที่ 7 นำไปใช้จริง ซึ่งการแปลความหมายของการวัดความพึงพอใจ มีการจัด อันดับคุณภาพ 5 ระดับ สามารถแปลความหมายได้ดังนี้ ค่าเฉลี่ยระหว่าง 4.50-5.00 หมายถึง พึงพอใจระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ยระหว่าง 3.50-4.49 หมายถึง พึงพอใจระดับมาก ค่าเฉลี่ยระหว่าง 2.50-3.49 หมายถึง พึงพอใจระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ยระหว่าง 1.50-2.49 หมายถึง พึงพอใจระดับน้อย ค่าเฉลี่ยระหว่าง 1.00-1.49 หมายถึง พึงพอใจระดับน้อยที่สุด ซึ่งการทำแบบสอบถามความพึงพอใจ ผู้ทำแบบสอบถามควรมีข้อคำถามให้มากพอสมควร อยู่ระหว่าง 10-20 ข้อ ควรตัดข้อคำถามที่มีค่าอำนาจจำแนกน้อยกว่าศูนย์ออกไป และปรับปรุง ข้อคำถามที่มีค่าอำนาจจำแนกที่ไม่เท่ากับศูนย์หรือติดลบ ซึ่งการสร้างแบบวัดความพึงพอใจ ควรมีคำถามเผื่อไว้เพื่อที่จะตัดข้อคำถามที่ไม่ดีออกไป และให้ได้แบบวัดความพึงพอใจที่มีคุณภาพ ตามเกณฑ์ สมนึก ภัททิยธนี (2553) กล่าวถึง การสร้างแบบสอบถามวัดความพึงพอใจ ดังนี้ 1. ผู้ทำแบบสอบถาม ต้องชี้แจง ระบุถึงจุดประสงค์ และวิธีการตอบแบบสอบถาม 2. ข้อกำถามส่วนตัวของผู้ตอบแบบสอบถาม เช่น ชื่อ-นามสกุล เพศ ระดับ การศึกษา อาชีพ เป็นต้น 3. ข้อคำถามเกี่ยวกับข้อเท็จจริง และความคิดเห็น ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วย ให้แบบสอบถามมีคุณภาพตามเกณฑ์
54 จากการศึกษาการสร้างแบบวัดความพึงพอใจ ผู้วิจัยสามารถสรุปได้ว่า การสร้างแบบวัด ความพึงพอใจมีขั้นตอน ดังนี้ 1. กำหนดเนื้อหาในการสร้างแบบวัดความพึงพอใจ 2. เลือกประเด็นในการวัดและกำหนดวิธีที่จะใช้ในการวัด 3. สร้างแบบวัดความพึงพอใจ 4. นำแบบสอบถามวัดความพึงพอใจไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความเที่ยงตรง เชิงเนื้อหา 5. นำแบบสอบถามวัดความพึงพอใจไปทดลองใช้ 6. นำแบบสอบถามวัดความพึงพอใจมาหาค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับ 7. นำแบบสอบถามวัดความพึงพอใจไปใช้จริงและแปลผล งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสอนแบบ Active Learning ฝนพรม พุทธนา (2562) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาความสามารถในการคิดแก้ปัญหา โดยการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด Active Learning ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยกลุ่มตัวอย่างการวิจัย คือ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/1 โรงเรียนบ้านนายผล (แม้นสุวรรณอุปถัมภ์) เขตบางบอน กรุงเทพมหานคร จำนวน 40 คน ได้มา โดยการเลือก กลุ่มตัวอย่างการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลสัมฤทธิ์หลังการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด Active Learning พบว่า สูงกว่าผลสัมฤทธิ์ก่อน การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด Active Learning 2. ความสามารถในการคิดแก้ปัญหาของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด Active Learning อยู่ในระดับดี และ 3. การศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ ตามแนวคิด Active Learning หลังการจัดการเรียนรู้เป็นรายคาบ พบว่า สิ่งที่นักเรียนชื่นชอบจาก การเรียน ได้แก่ สื่อการเรียนรู้และวิธีการจัดการเรียนรู้และสิ่งที่นักเรียนไม่ชื่นชอบจากการเรียน ได้แก่ เวลาไม่เพียงพอในการจัดการเรียนรู้ปัญหา ในการร่วมกิจกรรมกลุ่มที่ใช้วิธีการสุ่มเลขที่และนักเรียน บางคนไม่ให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมเท่าที่ควร นภาพร สว่างอารมณ์ (2563) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาความสามารถในการแก้ โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยการจัดการเรียนรู้เชิงรุก กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 โรงเรียนอนุบาลชลบุรีจำนวน 1 ห้องเรียน ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) โด ย ใช้ ห้ อ งเรีย น เป็ น ห น่ วย ข อ งก ารสุ่ ม (Sampling Unit) จากห้องเรียนคละความสามารถจำนวน 6 ห้องเรียน ผลการวิจัยพบว่า 1. ความสามารถในการแก้
55 โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสูงกว่าก่อนได้รับ การจัดการเรียนรู้เชิงรุก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2. ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหา ทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 3. หลังได้รับการจัดการเรียนรู้เชิงรุกนักเรียนมี ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์อยู่ในระดับดีขึ้นไป จำนวน 39 คน คิดเป็นร้อยละ 100 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด โดยมีนักเรียนที่มีความสามารถอยู่ในระดับดีมาก จำนวน 33 คน คิดเป็นร้อยละ 84.62 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด และนักเรียนที่มีความสามารถ อยู่ในระดับดีจำนวน 6 คน คิดเป็นร้อยละ 15.38 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด วีรยุทธ พลายเล็ก (2563) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน ตามแนวคิด Active Learning เพื่อเสริมสร้างทักษะและ กระบวนการและจิตคณิตศาสตร์สำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา จำนวน 1 ห้องเรียน มีนักเรียนจำนวน 26 คน ซึ่งกำลังศึกษา ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 ผลการวิจัยพบว่า 1. รูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิด Active Learning เพื่อเสริมสร้างทักษะและกระบวนการและจิตคณิตศาสตร์สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษา (5C Model) มี5 องค์ประกอบ ซึ่งได้แก่ 1. หลักการ นักเรียนใช้ทักษะและ กระบวนการทางคณิตศาสตร์สร้างองค์ความรู้และจัดระบบ การเรียนรู้ด้วยตนเองจากการได้ลงมือ ปฏิบัติกิจกรรม ได้รับความช่วยเหลือ แนะนำ ให้กำลังใจ ทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย เกิดความเชื่อมั่นในตนเอง มีทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ตระหนักถึงความสำคัญในการเรียน เห็นความสัมพันธ์และสามารถนำความรู้ทางคณิตศาสตร์ไปประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตประจำวัน 2. วัตถุประสงค์ เพื่อเสริมสร้างทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์และจิตคณิตศาสตร์ 3. กระบวนการจัดการเรียนการสอนมี5 ขั้นตอนคือ (1) ขั้นท้าทาย (Challenge: C) (2) ขั้นออกแบบ ร่ว ม กั น (Co-Creation: C) (3) ขั้ น ร่ว ม คิ ด ร่ว ม ท ำร่ว ม โค้ ช (Co-working And Coach: C) (4) ขั้นตรวจสอบมโนทัศน์ (Conceptualization: C) (5) ขั้นเสริมคุณลักษณะและความสามารถ (Characterization: C) 4. การวัดและประเมินผล วัดและประเมินผลจากสภาพจริงด้วยวิธีการ ที่ หลากหลาย โดยประเมินผลจากพัฒนาการใน 2 ด้านประกอบด้วย ทักษะและกระบวนการทาง คณิตศาสตร์และจิตคณิตศาสตร์5. ปัจจัยที่เอื้อต่อการเรียนรู้ด้านครู(1) มีความคิดรวบยอด (concept) ที่ถูกต้องชัดเจน (2) มีความเข้าใจในการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมทักษะและกระบวนการ ทางคณิตศาสตร์ ด้านนักเรียน นักเรียนจะต้องมีวินัยในตนเอง ค่าประสิทธิภาพของรูปแบบการเรียน การสอนเท่ากับ 81.44/80.80 2. หลังจากนักเรียนเรียนตามรูปแบบ การเรียนการสอน (5C Model) นักเรียนมีพัฒนาการ ความสาม ารถด้านทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์สูงขึ้น และมีพัฒนาการด้านจิตคณิตศาสตร์สูงกว่าก่อนเรียนและนักเรียนมีความเห็นต่อการใช้รูปแบบอยู่ใน ระดับมากที่สุด 3. ผลการขยายผลรูปแบบการเรียนการสอน (5C Model) พบว่านักเรียนมีพัฒนาการ ด้านทักษะและ กระบวนการและจิตคณิตศาสตร์สูงขึ้น
56 ธวัชชัย แสงท้วม (2564) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา คณิตศาสตร์เรื่อง การแก้สมการพหุนาม กำลังสองตัวแปรเดียวที่เรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ แบบ Active leaning ร่วมกับเกมออนไลน์กับวิธีสอนแบบปกติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยมีกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนหอวัง ปทุมธานีสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษาปทุมธานีจำนวน 2 ห้องเรียน ด้วยวิธีการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster sampling) ผลการวิจัยพบว่า กิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active leaning ร่วมกับเกมออนไลน์ เรื่อง การแก้สมการพหุนามกำลังสองตัวแปร เดียวสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ผู้วิจัย สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์80/80 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เรื่อง การแก้สมการพหุนามกำลังสองตัวแปรเดียว โดยนักเรียนที่เรียนด้วย กิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active leaning ร่วมกับเกมออนไลน์สูงกว่านักเรียนที่เรียนด้วยวิธีสอน แบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active leaning ร่วมกับเกมออนไลน์โดยรวมอยู่ใน ระดับพึงพอใจมาก สรุปจากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสอนแบบ Active Learning แสดงให้เห็นว่า มีชื่อเรียกที่แตกต่างกัน ได้แก่ การจัดการเรียนรู้เชิงรุก หรือการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด Active Learning นอกจากนี้ยังพบอีกว่า การสอนแบบ Active Learning ได้มีการใช้กันอย่าง แพร่หลายกับสถานศึกษาตั้งแต่สถานศึกษาขั้นพื้นฐานไปจนถึงระดับอุดมศึกษา โดยช่วยเพิ่ม ประสิทธิภาพในการเรียนอย่างมีนัยสำคัญ เพิ่มความเข้าใจมโนทัศน์ในเรื่องที่เรียน เพิ่มความสนใจ และการมีส่วนร่วมให้ผู้เรียน ผลที่เกิดขึ้นจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยการสอน แบบ Active Learning พบว่า ให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นหรือเป็นไปตามเกณฑ์ ที่กำหนด และมีเจตคติต่อการสอนแบบ Active Learning เป็นไปในเชิงบวก งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้สื่อประสม เบญจมาศ หลักบุญ (2561) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างรูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติ ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนพรตพิทยพยัต โดยใช้สื่อประสม โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนพรตพิทยพยัต จำนวน 38 คน ผลการวิจัยครั้งนี้พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างรูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติ ของนักเรียนที่เรียนโดยใช้สื่อประสม ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการเรียนสูงกว่า ก่อนการเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
57 ธิดารัตน์ คล้ายอักษร และธนัชยศ จำปาหวาย (2561) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การแก้ปัญหา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง พื้นที่ผิวของปริซึม โดยใช้สื่อประสม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3/4 โรงเรียนมัธยมวัดดุสิตาราม กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3/4 โรงเรียนมัธยมวัดดุสิตาราม จำนวน 5 คน ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง พื้นที่ผิวของปริซึม โดยการใช้สื่อประสม ซึ่งส่งผลให้นักเรียนกลุ่มเป้าหมายทั้ง 5 คน ผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 50 ตามที่กำหนดไว้ ธีรพิชญ์ โลกคำลือ (2561) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คณิตศาสตร์ เรื่องการวัดค่ากลางของข้อมูล โดยใช้สื่อประสม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/2 โรงเรียนโยธินบูรณะ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้สุ่มแบบเจาะจง คือ นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 6/2 จำนวน 40 คน ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาสื่อประสมที่ใช้ในการจัด การเรียนรู้ เรื่อง การวัดค่ากลางของข้อมูล ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 6 โรงเรียนโยธินบูรณะ พบว่ามีค่าประสิทธิภาพ เท่ากับ 78.75/76.88 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด ค่าดัชนีประสิทธิผล มีค่าเท่ากับ 0.69 คิดเป็นร้อยละ 69 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการวัดค่ากลางของข้อมูล ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนโยธินบูรณะ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .05 ธนศักดิ์ แสนสำราญ, พรสิน สุภวาลย์และสมวงษ์ แปลงประสพโชค (2564) ได้ทำการวิจัย เรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เรื่อง การเรียง สับเปลี่ยนและการจัดหมู่ โดยการใช้สื่อประสม กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ บดินทรเดชา จำนวนนักเรียน 368 คน ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน เรื่อง การเรียงสับเปลี่ยนและการจัดหมู่ โดยการใช้สื่อประสมหลังการทดลองสูงกว่า ก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60 อย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การเรียงสับเปลี่ยนและ การจัดหมู่ โดยการใช้สื่อประสมอยู่ที่ระดับมากที่สุด สรุปจากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้สื่อประสม แสดงให้เห็นว่า สื่อประสมช่วยให้ ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจในมโนทัศน์ได้ในระยะเวลาอันสั้น มีความสนุกสนาน ไม่เกิดความรู้สึก เบื่อหน่ายในการเรียน ผลที่เกิดขึ้นจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยการใช้สื่อประสม พบว่า การใช้สื่อประสม ช่วยให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นหรือเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด และมีเจตคติต่อการใช้สื่อประสมเป็นไปในเชิงบวก จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในที่นี้ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เนื่องจากการสอนแบบ Active Learning เน้นให้นักเรียนมีส่วน ร่วมในชั้นเรียน โดยลงมือปฏิบัติในกิจกรรมการเรียนรู้และเป็นศูนย์กลางในการปฏิบัติกิจกรรม การเรียนรู้เพื่อทำความเข้าใจเนื้อหาทางคณิตศาสตร์ด้วยตนเองหรือร่วมกับเพื่อน ซึ่งสัมพันธ์กับ
58 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้สื่อประสม ที่จะช่วยให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมจากการใช้สื่อ การเรียนการสอน และทำให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับครูผู้สอนและเพื่อนร่วมชั้นเรียนอีกด้วย โดยจากงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง พบว่า ทั้งการสอนแบบ Active Learning และการใช้สื่อประสม ช่วยให้ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น นอกจากนี้นักเรียนยังมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับดีขึ้นไป กรอบแนวคิดในการวิจัย จากการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยได้กำหนดกรอบความคิดของการวิจัยดังภาพ ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดการวิจัย - การสอนแบบ Active Learning - การใช้สื่อประสม - ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์ - ความพึงพอใจ
บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การดำเนินวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนโยธินบูรณะ ก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้ โดยผู้วิจัยได้ดำเนินการวิจัยตามขั้นตอน ดังนี้ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนโยธินบูรณะ ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 3 ห้องเรียน รวม 132 คน ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/5 โรงเรียนโยธินบูรณะ ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 44 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การวิจัยครั้งนี้มีเครื่องมือที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นประกอบด้วย 1. แผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง พหุนาม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสม ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จำนวน 8 แผน แผนละ 1 คาบเรียน คาบเรียนละ 50 นาที ดังนี้
60 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง เอกนาม จำนวน 1 คาบ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง เอกนามคล้าย จำนวน 1 คาบ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง การบวกและการลบเอกนาม จำนวน 1 คาบ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง พหุนาม จำนวน 1 คาบ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง การบวกและการลบพหุนาม จำนวน 1 คาบ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 6 เรื่อง การคูณพหุนาม 1 จำนวน 1 คาบ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 7 เรื่อง การคูณพหุนาม 2 จำนวน 1 คาบ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 8 เรื่อง การหารพหุนามด้วยเอกนาม จำนวน 1 คาบ 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้สอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสม ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ซึ่งเป็นแบบปรนัยหรือแบบทดสอบแบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ 3. แบบสอบถามความพึงพอใจ แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้ สื่อประสม ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ซึ่งเป็นการประเมินตามมาตราส่วนประเมินค่า (Rating scale) มี 5 ระดับ จำนวน 20 ข้อ ซึ่งมีการประเมินใน 4 ประเด็น ดังนี้ 1. ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 2. ด้านครูผู้สอน 3. ด้านสื่อการเรียนรู้ 4. ด้านการวัดผลและการประเมินผลการเรียนรู้ การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ดังนี้ 1. แผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง พหุนาม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสม ผู้วิจัยดำเนินการสร้างตามขั้นตอน ดังต่อไปนี้ 1.1 ศึกษาหลักสูตร สาระการเรียนรู้ และผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง เรื่อง พหุนาม ของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระ การเรียนรู้คณิตศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ของกระทรวงศึกษาธิการ และหลักสูตรของ
61 สถานศึกษาโรงเรียนโยธินบูรณะ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ 1.2 ศึกษาแนวคิด องค์ประกอบ ประโยชน์เกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสอน แบบ Active Learning และการใช้สื่อประสม 1.3 ศึกษาและวิเคราะห์เนื้อหา จุดประสงค์การเรียนรู้ เรื่องพหุนาม จากหนังสือเรียน วิชาคณิตศาสตร์เพิ่มเติม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เล่ม 1 1.4 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง พหุนาม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสม จำนวน 8 แผน ซึ่งในแต่ละ แผนการเรียนรู้ ผู้วิจัยได้ใช้ขั้นตอนการสอนแบบ Active Learning ที่ผู้วิจัยเป็นผู้สังเคราะห์ขึ้น โดยแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน หมายถึง การกระตุ้นผู้เรียนให้เกิดแรงจูงใจใน การเรียนรู้ โดยใช้การสนทนา ตั้งคำถามหรือเสนอสื่ออย่างใดอย่างหนึ่ง และทบทวนความรู้เดิมที่ จำเป็นสำหรับความรู้ใหม่ แจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้ให้ผู้เรียนทราบ ขั้นที่ 2 ขั้นดำเนินการสร้างองค์ความรู้หมายถึง การดำเนินการจัดการเรียนรู้ ตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่วางไว้ โดยเลือกใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย เพื่อเป็น การสร้างประสบการณ์หรือแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเรียนรู้ โดยผู้เรียนเป็นผู้ลงมือปฏิบัติ ซึ่งทำให้ ผู้เรียนเกิดองค์ความรู้ในรูปแบบต่าง ๆ ขั้นที่ 3 ขั้นสรุปองค์ความรู้หมายถึง ขั้นที่ผู้เรียนร่วมกันสรุปองค์ความรู้ที่ได้ จากการเรียน เพื่อสะท้อนความคิดหรือความรู้ที่ได้ และตรวจสอบความคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น ระหว่างการเรียนด้วย ขั้นที่ 4 ขั้นประยุกต์และนำไปใช้ หมายถึง ขั้นที่ผู้เรียนได้นำความคิดรวบยอด ข้อสรุป หรือองค์ความรู้ใหม่ที่เกิดขึ้นไปประยุกต์หรือนำไปใช้ ซึ่งผู้สอนใช้กิจกรรมในขั้นนี้ ในการประเมินผลการเรียนรู้ โดยสื่อประสมที่ผู้วิจัยเลือกใช้จะอยู่ในแต่ละขั้นตอนแตกต่างกันไปตามความเหมาะสม ในการใช้งาน ซึ่งสื่อประสมที่ผู้วิจัยเลือกใช้ ได้แก่ ใบงาน ใบกิจกรรม บัตรคำ เกม สื่อกระเบื้อง พีชคณิต (Algebra Tiles) และสื่อที่นำเสนอด้วยโปรแกรม Microsoft PowerPoint 1.5 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นด้วยการจัดการเรียนรู้ โดยใช้การสอน แบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสม เสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาวิจัย เพื่อพิจารณา ตรวจสอบความถูกต้องของการเขียนจุดประสงค์การเรียนรู้ สาระสำคัญ สาระการเรียนรู้ กิจกรรม การเรียนรู้ การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้พร้อมทั้งตรวจสอบความเหมาะสมของเนื้อหาที่ใช้ใน
62 การสอนกับเวลา ระดับความยากง่าย และพื้นฐานความรู้เดิมของผู้เรียนตรวจสอบภาษา พร้อมทั้งให้ คำแนะนำ เพื่อนำมาปรับปรุงและแก้ไข 1.6 ปรับปรุงและแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้ตามคำแนะนำของอาจารย์ที่ปรึกษาวิจัย 1.7 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้ว เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน เพื่อประเมินความเหมาะสมของแผนจัดการเรียนรู้ ซึ่งแบบประเมินเป็นแบบประเมินมาตรส่วน ประมาณค่า (Rating Scale) โดยกำหนดคะแนนค่าเฉลี่ยเป็น 5 ระดับ ดังนี้ กำหนดเกณฑ์การประเมิน ดังนี้ 5 หมายถึง มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด 4 หมายถึง มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก 3 หมายถึง มีความเหมาะสมอยู่ในระดับปานกลาง 2 หมายถึง มีความเหมาะสมอยู่ในระดับน้อย 1 หมายถึง มีความเหมาะสมอยู่ในระดับน้อยที่สุด การแปลความหมายของคะแนน โดยพิจารณาจากคะแนนเฉลี่ย (Mean) ของคะแนน เป็นตัวชี้วัดตามเกณฑ์ในการวิเคราะห์ ดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด, 2545) ค่าเฉลี่ย 4.51 – 5.00 หมายถึง ผลการประเมินมีความเหมาะสมมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 3.51 – 4.50 หมายถึง ผลการประเมินมีความเหมาะสมมาก ค่าเฉลี่ย 2.51 – 3.50 หมายถึง ผลการประเมินมีความเหมาะสมปานกลาง ค่าเฉลี่ย 1.51 – 2.50 หมายถึง ผลการประเมินมีความเหมาะสมน้อย ค่าเฉลี่ย 1.00 – 1.50 หมายถึง ผลการประเมินมีความเหมาะสมน้อยที่สุด จากนั้นยึดเกณฑ์การตัดสินจากคะแนนเฉลี่ย 3.51 ขึ้นไป และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ไม่เกิน 1.00 ถือว่าเป็นแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่สามารถนำไปใช้ได้ ผลการประเมินระดับคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.15 และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.39 หมายความว่า แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง พหุนาม โดยใช้ การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสม มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก 1.8 ปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของอาจารย์ที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน 1.9 นำแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง พหุนาม โดยใช้สอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสม ที่แก้ไขเรียบร้อยแล้วนำไปใช้จริงกับกลุ่มตัวอย่าง
63 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เรื่อง พหุนาม ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ซึ่งเป็นแบบทดสอบชนิดเลือกตอบ จำนวน 20 ข้อ มีขั้นตอนในการสร้าง ดังนี้ 2.1 ศึกษาหลักสูตร สาระการเรียนรู้ และผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง เรื่อง พหุนาม ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) ของกระทรวงศึกษาธิการ และหลักสูตรของสถานศึกษา เพื่อเป็นแนวทาง ในการสร้างแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม 2.2 วิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด และเนื้อหาที่สอดคล้องกับมาตรฐาน การเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 และจุดประสงค์การเรียนรู้ ให้ครอบคลุมเนื้อหา เรื่อง พหุนาม 2.3 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม เป็นแบบทดสอบชนิดเลือกตอบ จำนวน 40 ข้อ โดยให้ครอบคลุมเนื้อหาและจุดประสงค์การเรียนรู้ โดยผู้วิจัยได้สร้างโครงสร้างแบบทดสอบ (Test Blueprint) ดังตารางที่ 2 ตารางที่ 2 ตารางการวิเคราะห์หลักสูตรและรูปแบบข้อสอบ รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน เรื่อง พหุนาม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จุดประสงค์การเรียนรู้ ระดับพฤติกรรม รวม จำ เข้าใจ นำไปใช้ วิเคราะห์ (ข้อ) 1. นักเรียนสามารถบอกความหมายของ เอกนามได้ 2(1) - - - 2(1) 2. นักเรียนสามารถจำแนกได้ว่านิพจน์ ที่กำหนดให้เป็นเอกนามได้ถูกต้อง 3(1) - - - 3(1) 3. นักเรียนสามารถบอกสัมประสิทธิ์ ตัวแปร และดีกรีของเอกนามที่กำหนดให้ได้ - 4(2) - - 4(2) 4. นักเรียนสามารถบอกเอกนามที่คล้ายกันได้ - 4(2) - - 4(2) 5. นักเรียนสามารถหาผลบวกและผลลบของ เอกนามที่กำหนดให้ได้ - 4(2) - - 4(2) 6. นักเรียนสามารถบอกความหมายของ พหุนามได้ 2(1) - - - 2(1) 7. นักเรียนสามารถบอกดีกรีของพหุนาม ที่กำหนดให้ได้ - 2(1) - - 2(1)
64 ตารางที่ 2 (ต่อ) จุดประสงค์การเรียนรู้ ระดับพฤติกรรม รวม จำ เข้าใจ นำไปใช้ วิเคราะห์ (ข้อ) 8. นักเรียนสามารถเขียนพหุนามในรูป ผลสำเร็จได้ - 4(2) - - 4(2) 9. นักเรียนสามารถหาผลบวกและผลลบของ พหุนามที่กำหนดให้ได้ - 4(2) 1(1) - 5(3) 10. นักเรียนสามารถหาผลคูณของพหุนาม ที่กำหนดให้ได้ - 3(1) 3(2) - 6(3) 11. นักเรียนสามารถหาผลลัพธ์จากการหาร พหุนามด้วยเอกนามที่กำหนดให้ได้ - 3(1) 1(1) - 4(2) รวม 7(3) 28(13) 5(4) - 40(20) 2.4 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม ที่สร้างขึ้นเสนออาจารย์ที่ปรึกษาวิจัย เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง พร้อมทั้งให้คำแนะนำ ในการปรับปรุงแก้ไข 2.5 นำแบบทดสอบที่ปรับปรุงแล้วเสนอผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน เพื่อตรวจสอบ ความถูกต้อง เหมาะสม ความสอดคล้องกับเนื้อหาและจุดประสงค์การเรียนรู้ รวมถึงความครอบคลุม ของคำถาม โดยพิจารณาว่าแบบทดสอบที่สร้างขึ้นสอดคล้องกับเนื้อหา และจุดประสงค์การเรียนรู้ หรือไม่ โดยใช้เกณฑ์การให้คะแนน (บุญศรี พรหมมาพันธุ์ และนวลเสน่ห์ วงศ์เชิดธรรม, 2545) ดังนี้ ให้ +1 เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบข้อนั้นสอดคล้องตามจุดประสงค์ที่ระบุไว้จริง ให้ 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าข้อสอบข้อนั้นสอดคล้องตามจุดประสงค์ที่ระบุไว้จริง ให้ -1 เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบข้อนั้นไม่สอดคล้องตามจุดประสงค์ที่ระบุไว้จริง จ า ก นั้ น พิ จ า ร ณ า จ า ก ค่ า IOC (Index of Item Objective Congruence) โดยค่า IOC จะต้องมีค่าตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป โดยจากการนำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง พหุนาม ที่ได้รับการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ มาคัดเลือกสำหรับ แบบทดสอบ แบบชนิดเลือกตอบ จำนวน 40 ข้อ พบว่า ค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 0.67-1.00 จำนวน 40 ข้อ แสดงว่า สามารถนำไปใช้ได้ทุกข้อ 2.6 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง พหุนาม ที่ผ่านการคัดเลือกแล้ว มาจัดพิมพ์นำไปทดลองใช้ (Try Out) กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างที่เรียน เรื่องพหุนามแล้ว จำนวน 44 คน
65 2.7 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนจำนวน 44 คน มาตรวจ ให้คะแนนตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ ข้อที่ตอบถูกให้คะแนน 1 คะแนน ข้อที่ตอบผิด ไม่ตอบ หรือตอบเกิน 1 ตัวเลือกให้ 0 คะแนน จากนั้นนำผลการทดสอบมาวิเคราะห์เพื่อหาความยากง่าย (p) ซึ่งต้องอยู่ระหว่าง 0.20-0.80 และค่าอำนาจจำแนก (r) ของแบบทดสอบเป็นรายข้อ โดยใช้เกณฑ์ ตั้งแต่ 0.20 ขึ้นไป พบว่า มีค่าความยากง่ายอยู่ระหว่าง 0.23-0.91 และค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.09-0.91 และวิเคราะห์หาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ โดยใช้สูตร KR-20 ของคูเดอร์– ริชาร์ดสัน (Kuder–Richardson) ซึ่งแบบทดสอบต้องมีค่าความเชื่อมั่นตั้งแต่ 0.70 ขึ้นไป พบว่า ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีค่าเท่ากับ 0.83 โดยนำค่าสถิติที่ได้มาใช้ ในการพิจารณา เพื่อคัดเลือกให้ได้แบบทดสอบที่มีคุณภาพ จำนวน 20 ข้อ 2.8 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ปรับปรุงแก้ไขแล้ว ไปใช้ กับกลุ่มเป้าหมาย 3. แบบสอบถามความพึงพอใจ แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้ สื่อประสม ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ซึ่งเป็นการประเมินตามมาตราส่วนประเมินค่า (Rating scale) มี 5 ระดับ จำนวน 20 ข้อ ซึ่งมีการประเมินใน 4 ประเด็น ดังนี้ 1. ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 2. ด้านครูผู้สอน 3. ด้านสื่อการเรียนรู้ 4. ด้านการวัดผลและการประเมินผลการเรียนรู้ โดยมีขั้นตอนในการสร้างดังนี้ 3.1 ศึกษาองค์ประกอบและขั้นตอนในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสม เพื่อนำมากำหนด ข้อคำถามเกี่ยวกับความพึงพอใจ ของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้นี้ 3.2 กำหนดประเด็นในการสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อ การจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์เรื่อง พหุนาม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้การสอน แบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสม วัดเป็นรายด้าน ซึ่งมี 4 ด้าน คือ ด้านการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ ด้านครูผู้สอน ด้านสื่อการเรียนรู้ ด้านการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ทั้งหมด จำนวน 20 ข้อ
66 3.3 สร้างข้อคำถามให้ครอบคลุมประเด็นคำตอบที่ต้องการ ตลอดจนข้อเสนอแนะ สำหรับการปรับปรุงแก้ไข โดยเป็นแบบประเมินมาตรส่วนประมาณค่า (Rating Scale) โดยกำหนด คะแนนค่าเฉลี่ยเป็น 5 ระดับ ดังนี้ กำหนดเกณฑ์การประเมิน ดังนี้ 5 หมายถึง มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด 4 หมายถึง มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก 3 หมายถึง มีความเหมาะสมอยู่ในระดับปานกลาง 2 หมายถึง มีความเหมาะสมอยู่ในระดับน้อย 1 หมายถึง มีความเหมาะสมอยู่ในระดับน้อยที่สุด การแปลความหมายของคะแนน โดยพิจารณาจากคะแนนเฉลี่ย (Mean) ของคะแนน เป็นตัวชี้วัดตามเกณฑ์ในการวิเคราะห์ ดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด, 2545) ค่าเฉลี่ย 4.51 – 5.00 หมายถึง ผลการประเมินมีความเหมาะสมมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 3.51 – 4.50 หมายถึง ผลการประเมินมีความเหมาะสมมาก ค่าเฉลี่ย 2.51 – 3.50 หมายถึง ผลการประเมินมีความเหมาะสมปานกลาง ค่าเฉลี่ย 1.51 – 2.50 หมายถึง ผลการประเมินมีความเหมาะสมน้อย ค่าเฉลี่ย 1.00 – 1.50 หมายถึง ผลการประเมินมีความเหมาะสมน้อยที่สุด 3.4 นำแบบสอบถามความพึงพอใจเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญการสอนคณิตศาสตร์ จำนวน 3 ท่าน เพื่อตรวจสอบความ ถูกต้อง เหมาะสม ความสอดคล้องกับเนื้อหาและจุดประสงค์ การเรียนรู้ รวมถึงความครอบคลุมของคำถาม โดยพิจารณาว่าแบบสอบถามที่สร้างขึ้นสอดคล้องกับ เนื้อหา และจุดประสงค์การเรียนรู้หรือไม่ โดยใช้เกณฑ์การให้คะแนน (บุญศรี พรหมมาพันธุ์ และนวลเสน่ห์ วงศ์เชิดธรรม, 2545) ดังนี้ ให้ +1 เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบข้อนั้นสอดคล้องตามจุดประสงค์ที่ระบุไว้จริง ให้ 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าข้อสอบข้อนั้นสอดคล้องตามจุดประสงค์ที่ระบุไว้จริง ให้ -1 เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบข้อนั้นไม่สอดคล้องตามจุดประสงค์ที่ระบุไว้จริง จากนั้น พิจารณาจากค่า IOC (Index of Item Objective Congruence) โดยค่า IOC จะต้องมีค่าตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป โดยนำแบบสอบถามความพึงพอใจที่ได้รับการตรวจสอบจาก ผู้เชี่ยวชาญมาคัดเลือก จำนวน 20 ข้อ พบว่า ค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 0.67-1.00 จำนวน 20 ข้อ แสดงว่า สามารถนำไปใช้ได้ทุกข้อ
67 3.5 นำแบบสอบถามความพึงพอใจที่ปรับปรุงแก้ไขเรียบร้อยแล้ว ที่ได้รับ การตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญมาคัดเลือก จำนวน 20 ข้อ จัดพิมพ์นำไปทดลองใช้ (Try Out) กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างที่เรียนเรื่องพหุนามแล้ว จำนวน 44 คน 3.6 นำผลการตอบแบบสอบถามความพึงพอใจมาวิเคราะห์เพื่อหาค่าความเชื่อมั่น ของแบบสอบถามโดยการหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาตามวิธีของคอนบราค (Cronbach's Alpha Coefficient) ซึ่งแบบสอบถามต้องมีค่าความเชื่อมั่นตั้งแต่ 0.70 ขึ้นไป พบว่าค่า ความเชื่อมั่น ของแบบสอบถามความพึงพอใจ มีค่าเท่ากับ 0.93 3.7 จัดทำแบบสอบถามที่มีคุณภาพตามเกณฑ์ เพื่อนำไปใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ต่อไป การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยทำการสอนนักเรียนกลุ่มเป้าหมาย เรื่อง พหุนาม โดยใช้การสอน แบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสม ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 รวมระยะเวลาที่ใช้จำนวน 10 คาบ และทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์จำนวน 2 คาบ ดังนี้ 1. ผู้วิจัยดำเนินการจัดการเรียนรู้ เรื่อง พหุนาม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยการสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสม รวม 10 คาบ (การจัดกิจกรรม การเรียนรู้จำนวน 8 คาบ และทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์จำนวน 2 คาบ) ดังนี้ ทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน จำนวน 1 คาบ การบวกและการลบเอกนาม จำนวน 3 คาบ การบวกและการลบพหุนาม จำนวน 2 คาบ การคูณพหุนาม จำนวน 2 คาบ การหารพหุนามด้วยเอกนาม จำนวน 1 คาบ ทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน จำนวน 1 คาบ 2. เมื่อสิ้นสุดการสอนแล้ว ผู้วิจัยให้นักเรียนทำแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อ การจัดการเรียนรู้เรื่อง พหุนาม โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสม 3. ผู้วิจัยนำคะแนนที่ได้จากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและ แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ เรื่อง พหุนาม ของนักเรียน กลุ่มตัวอย่างไปวิเคราะห์ โดยวิธีการทางสถิติและสรุปผลการวิจัย
68 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1. ค่าสถิติพื้นฐานที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1.1 ค่าร้อยละ (Percentage) 1.2 ค่าเฉลี่ยเลขคณิต (Mean) 1.3 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) 2. สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพเครื่องมือ 2.1 ค่าความเที่ยงตรง (Validity) โดยการหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) 2.2 ค่าความยากง่าย (p) 2.3 ค่าอำนาจจำแนก (r) 2.4 ค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบทดสอบ โดยใช้สูตร KR - 20 2.5 ค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบสอบถาม โดยการหาค่าสัมประสิทธิ์ แอลฟาตามวิธีของคอนบราค (Cronbach's Alpha Coefficient) 3. สถิติทดสอบสมมติฐาน 3.1 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง พหุนาม โดยใช้การทดสอบค่าที (t-test for Dependent samples) 3.2 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์หลังเรียน เรื่อง พหุนาม กับเกณฑ์ร้อยละ 70 โดยใช้การทดสอบค่าที (t-test for One sample)
บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยเรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม โดยใช้ การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนโยธินบูรณะ ซึ่งผู้วิจัยนำเสนอข้อมูลวิเคราะห์ตามลำดับ ดังนี้ สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิเคราะห์ข้อมูล สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล n แทน จำนวนนักเรียน X แทน ค่าเฉลี่ยของคะแนน S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t แทน ค่าสถิติที่ใช้เปรียบเทียบกับค่าวิกฤต p แทน ค่าความน่าจะเป็นของการทดสอบสมมติฐาน * แทน ค่านัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 การวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูลจากการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม โดยใช้วิธีการสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 โรงเรียนโยธินบูรณะ ผู้วิจัยได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม หลังการจัด การเรียนรู้โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 เมื่อเทียบกับก่อนการจัดการเรียนรู้ 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม หลังการจัด การเรียนรู้โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 เมื่อเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70
70 3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลออกเป็น 3 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เมื่อเทียบกับก่อนการจัดการเรียนรู้ ตอนที่ 2 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เมื่อเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 ตอนที่ 3 ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ตอนที่ 1 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เมื่อเทียบกับก่อนการจัดการเรียนรู้ จากการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม หลังการจัด การเรียนรู้โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 เมื่อเทียบกับก่อนการจัดการเรียนรู้สามารถนำเสนอตามตารางที่ 3 ดังนี้ ตารางที่ 3 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม หลังการจัด การเรียนรู้โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เมื่อเทียบกับก่อนการจัดการเรียนรู้จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 44 คน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน n คะแนนเต็ม X S.D. t Sig. ก่อนการจัดการเรียนรู้ 44 20 6.45 1.98 24.15* 0.00 หลังการจัดการเรียนรู้ 44 20 16.52 2.49 *มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
71 จากตารางที่ 3 พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนการจัดการเรียนรู้และหลังการจัด การเรียนรู้ของนักเรียนนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เรื่อง พ หุนาม โดยใช้การสอน แบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสม มีคะแนนเฉลี่ยก่อนการจัดการเรียนรู้ เท่ากับ 6.45 คะแนน และมีคะแนนเฉลี่ยหลังการจัดการเรียนรู้ เท่ากับ 16.52 เมื่อเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการจัดการเรียนรู้มีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนการจัด การเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ตอนที่ 2 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เมื่อเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 จากการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม หลังการจัด การเรียนรู้โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 เมื่อเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 สามารถนำเสนอตามตารางที่ 4 และ 5 ดังนี้ ตารางที่ 4 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม หลังการจัด การเรียนรู้โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เมื่อเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 44 คน แบบจำแนกรายบุคคล นักเรียน คนที่ คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์(20 คะแนน) ร้อยละ ผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 70 1 20 100 ผ่าน 2 20 100 ผ่าน 3 20 100 ผ่าน 4 16 80 ผ่าน 5 19 95 ผ่าน 6 20 100 ผ่าน 7 19 95 ผ่าน 8 17 85 ผ่าน 9 19 95 ผ่าน 10 19 95 ผ่าน 11 20 100 ผ่าน 12 19 95 ผ่าน
72 ตารางที่ 4 (ต่อ) นักเรียน คนที่ คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์(20 คะแนน) ร้อยละ ผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 70 13 15 75 ผ่าน 14 12 60 ไม่ผ่าน 15 17 85 ผ่าน 16 18 90 ผ่าน 17 15 75 ผ่าน 18 14 70 ผ่าน 19 14 70 ผ่าน 20 12 60 ไม่ผ่าน 21 16 80 ผ่าน 22 18 90 ผ่าน 23 19 95 ผ่าน 24 17 85 ผ่าน 25 15 75 ผ่าน 26 16 80 ผ่าน 27 16 80 ผ่าน 28 14 70 ผ่าน 29 16 80 ผ่าน 30 18 90 ผ่าน 31 15 75 ผ่าน 32 13 65 ไม่ผ่าน 33 16 80 ผ่าน 34 15 75 ผ่าน 35 12 60 ไม่ผ่าน 36 17 85 ผ่าน 37 19 95 ผ่าน 38 19 95 ผ่าน 39 18 90 ผ่าน 40 18 90 ผ่าน 41 16 80 ผ่าน
73 ตารางที่ 4 (ต่อ) นักเรียน คนที่ คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์(20 คะแนน) ร้อยละ ผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 70 42 14 70 ผ่าน 43 12 60 ไม่ผ่าน 44 13 65 ไม่ผ่าน จากตารางที่ 4 พบว่า นักเรียนกลุ่มตัวอย่างชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาคณิ ตศาสตร์ เรื่อง พ หุน าม ห ลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสอน แบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสม ผ่านเกณฑ์เกณฑ์ที่กำหนดจำนวน 38 คน จากจำนวนทั้งหมด 44 คน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 86.36 ของจำนวนนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ตารางที่ 5 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม หลังการจัด การเรียนรู้โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เมื่อเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 44 คน โดยใช้ค่าสถิติทดสอบที ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน n คะแนนเต็ม เกณฑ์ ร้อยละ 70 X S.D. t Sig. หลังการจัดการเรียนรู้ 44 20 14 16.52 2.49 6.72* 0.00 *มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จากตารางที่ 5 พบว่า นักเรียนกลุ่มตัวอย่างชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาคณิ ตศาสตร์ เรื่อง พ หุน าม ห ลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสอน แบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสม โดยนักเรียนมีคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 16.52 คะแนน จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 82.60 ของคะแนนเต็ม ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ตอนที่ 3 ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์เรื่อง พหุนาม โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
74 จากการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 สามารถนำเสนอตามตารางที่ 6 ดังนี้ ตารางที่ 6 ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 รายการประเมิน X S.D. ระดับ ความพึงพอใจ ลำดับ ที่ ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 1. กิจกรรมการเรียนรู้ที่ครูใช้ทำให้เกิดความรู้ ความเข้าใจในเนื้อหาได้ดี 4.36 0.65 มาก 2 2. ครูใช้วิธีการสอนที่หลากหลายและตรงกับ ความสนใจของนักเรียน 4.16 0.71 มาก 4 3. กิจกรรมการเรียนรู้เร้าความสนใจของนักเรียนได้ดี 3.95 0.99 มาก 6 4. นักเรียนได้รับความสนุกสนานในการร่วมกิจกรรม การเรียนรู้ 4.41 0.66 มาก 1 5. นักเรียนได้ร่วมแสดงความคิดเห็นในห้องเรียน 4.14 0.85 มาก 5 6. กิจกรรมการเรียนรู้เป็นไปตามขั้นตอนจากง่าย ไปยาก ทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี 4.16 0.71 มาก 4 7. มีการทบทวนความรู้พื้นฐานก่อนเรียนซึ่งเป็น สิ่งจำเป็นและมีประโยชน์สำหรับนักเรียน 4.32 0.86 มาก 3 รวมเฉลี่ย 4.21 0.78 มาก 3 ด้านครูผู้สอน 8. ครูเอาใจใส่และให้ความเป็นกันเองกับนักเรียน ช่วยส่งเสริมบรรยากาศในการเรียนรู้ 4.23 0.71 มาก 4 9. ครูทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวกและให้ คำปรึกษาเมื่อนักเรียนมีปัญหา 4.48 0.66 มาก 3 10. ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงความคิดเห็น และได้ปฏิบัติด้วยตนเอง 4.50 0.55 มาก 2 11. ครูตรวจงานของนักเรียนอย่างสม่ำเสมอพร้อมทั้ง ให้คำแนะนำเมื่อนักเรียนยังไม่เข้าใจ 4.66 0.53 มากที่สุด 1 รวมเฉลี่ย 4.47 0.61 มาก 1
75 ตารางที่ 6 (ต่อ) รายการประเมิน X S.D. ระดับ ความพึงพอใจ ลำดับ ที่ ด้านสื่อการเรียนรู้ 12. สื่อการเรียนรู้มีความหลากหลายและน่าสนใจ 4.11 0.62 มาก 2 13. สื่อการเรียนรู้ช่วยให้นักเรียนเข้าใจเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้น 4.16 0.71 มาก 1 14. สื่อการเรียนรู้ทำให้นักเรียนสนุกกับการเรียน 4.11 0.75 มาก 2 15. สื่อการเรียนรู้ทำให้การเรียนไม่น่าเบื่อ 4.00 0.84 มาก 3 16. สื่อการเรียนรู้เหมาะสมกับวัยและความสนใจของ นักเรียน 4.11 0.69 มาก 2 17. สื่อการเรียนรู้ช่วยส่งเสริมความแตกต่างระหว่าง บุคคล 3.93 0.79 มาก 4 รวมเฉลี่ย 4.07 0.73 มาก 4 ด้านการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 18. ครูใช้วิธีการวัดผลและประเมินผลที่หลากหลาย 4.00 0.81 มาก 3 19. วิธีวัดและประเมินผลมีความชัดเจนและสอดคล้อง กับเนื้อหาที่เรียน 4.48 0.55 มาก 1 20. เกณฑ์การวัดผลและประเมินผลมีความชัดเจน เหมาะสม และยุติธรรม 4.39 0.75 มาก 2 รวมเฉลี่ย 4.29 0.70 มาก 2 รวมเฉลี่ยทั้ง 4 ด้าน 4.26 0.71 มาก จากตารางที่ 6 พบว่า ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ( X =4.26, S.D.=0.71) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า นักเรียนให้คะแนนความพึงพอใจด้านครูผู้สอนเป็นลำดับที่ 1 ( X =4.47, S.D.=0.61) ด้านการวัดและประเมินผลการเรียนรู้เป็นลำดับที่ 2 ( X =4.29, S.D.=0.70) ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นลำดับที่ 3 ( X =4.21, S.D.=0.78) และด้านสื่อการเรียนรู้ เป็นลำดับที่ 4 ( X =4.07, S.D.=0.73)
บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับ การใช้สื่อประสมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เมื่อเทียบกับก่อนการจัดการเรียน รู้ 2. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้ การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เมื่อเทียบ กับเกณฑ์ร้อยละ 70 และ 3. ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนโยธินบูรณะ ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 3 ห้องเรียน รวม 132 คน ตัวอย่างที่ใช้ ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/5 โรงเรียนโยธินบูรณะ ที่กำลังศึกษา ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 44 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1. แผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง พหุนาม ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสม ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จำนวน 8 แผน 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้สอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสม ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ซึ่งเป็นแบบทดสอบแบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ และ 3. แบบสอบถาม ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสม ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ซึ่งเป็นการประเมินตามมาตราส่วนประเมินค่า (Rating scale) มี 5 ระดับ จำนวน 20 ข้อ สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เมื่อเทียบกับก่อนการจัดการเรียนรู้โดยการหาค่าสถิติ t-test for
77 Dependent samples ส่วนการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เมื่อเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 ใช้การหาค่าร้อยละ (Percentage) และค่าสถิติ t-test for One sample และผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยการหาค่าเฉลี่ย (Mean: X ) ค่าร้อยละ (Percentage) และค่าส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation: S.D.) สรุปผลการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเพื่อ 1. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เมื่อเทียบกับก่อนการจัดการเรียนรู้2. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาคณิ ตศาสตร์ เรื่อง พ หุน าม ห ลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสอน แบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เมื่อเทียบกับเกณฑ์ ร้อยละ 70 และ 3. ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 สามารถสรุปผลได้ดังนี้ 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทางวิชาคณิ ตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม โดยใช้การสอน แบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของนักเรียนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังการจัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้ การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เมื่อเทียบ กับเกณฑ์ร้อยละ 70 พบว่า กลุ่มตัวอย่างได้คะแนนเฉลี่ยสูงกว่าร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม และมีจำนวนนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์มากกว่าร้อยละ 70 ของนักเรียนทั้งหมด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 3. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ซึ่งประเมินจากคะแนนเฉลี่ยของแบบประเมินความพึงพอใจทั้งฉบับ มีความพึงพอใจอยู่ใจระดับมาก
78 อภิปรายผล จากผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม โดยใช้วิธีการสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมสำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนโยธินบูรณะ ผู้วิจัยได้นำประเด็นที่ค้นพบมาอภิปรายตามวัตถุประสงค์ ของการวิจัย ดังนี้ 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทางวิชาคณิ ตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม โดยใช้การสอน แบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของนักเรียนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังการจัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไป ตามสมมติฐานที่ผู้วิจัยตั้งไว้ ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากการสอนแบบ Active Learning เป็นการจัด การเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ซึ่งขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัย สังเคราะห์ขึ้น ประกอบด้วย 1. ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน เป็นการกระตุ้นผู้เรียนให้เกิดแรงจูงใจใน การเรียนรู้และทบทวนความรู้เดิมที่จำเป็นสำหรับความรู้ใหม่ 2. ขั้นดำเนินการสร้างองค์ความรู้ เป็นการดำเนินการจัดการเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่วางไว้ โดยผู้เรียนเป็นผู้ลงมือปฏิบัติ ซึ่งทำให้ผู้เรียนเกิดองค์ความรู้ในรูปแบบต่าง ๆ 3. ขั้นสรุปองค์ความรู้ เป็นขั้นที่ผู้เรียนร่วมกัน สรุปองค์ความรู้ที่ได้จากการเรียน เพื่อสะท้อนความคิดหรือความรู้ที่ได้ และ 4. ขั้นประยุกต์และ นำไปใช้ เป็นขั้นที่ผู้เรียนได้นำความคิดรวบยอด ข้อสรุป หรือองค์ความรู้ใหม่ที่เกิดขึ้นไปประยุกต์หรือ นำไปใช้ ซึ่งผู้สอนใช้กิจกรรมในขั้นนี้ในการประเมินผลการเรียนรู้นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มแรงจูงใจต่อ การเรียนรู้ เกิดเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้ ลดการแข่งขันในการเรียน เกิดความเข้าใจในเนื้อหาที่เรียนได้ ชัดเจนยิ่งขึ้นและมีความคงทนมากขึ้นด้วยการได้ลงมือปฏิบัติ อีกทั้งนักเรียนยังสามารถค้นพบ ข้อความรู้ด้วยตัวของนักเรียนเอง และได้เรียนรู้ในสิ่งที่สอดคล้องกับความสนใจของตนเอง (ศิริมา วงษ์สกุลดี, 2558) และช่วยพัฒนาทักษะการคิดขั้นสูงของนักเรียนและส่งเสริมให้นักเรียน มีความตื่นตัวและกระตือรือร้นมากกว่าการฟังผู้สอนในห้องเรียนและการท่องจำ รวมทั้งช่วยส่งเสริม การมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างนักเรียนกับครู ส่งผลให้การจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์มีความสนุก และท้าทายความสามารถของนักเรียน (อารีตา ฮูลูเจ๊ะหะ, 2559) นอกจากนี้การใช้สื่อประสมช่วยให้ นักเรียนมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในกระบวนการเรียนการสอน ทำให้นักเรียนเข้าใจบทเรียนได้ง่ายขึ้น จากการเรียนรู้แบบรูปธรรมไปสู่สิ่งที่เป็นนามธรรม นักเรียนสามารถเรียนรู้เนื้อหาที่ชัดเจนขึ้นและ จดจำได้มากขึ้น นักเรียนมีความตั้งใจและสนใจในการเรียน มีความกระตือรือร้น ไม่รู้สึกเบื่อหน่ายที่ จะเรียน และมีความสุขกับการเรียนรู้ รู้สึกว่าเป็นการเรียนที่สนุก ไม่เครียด (จันทิมา แตงทอง, 2559)
79 เนื่องจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้สื่อประสมนั้น ผู้วิจัยได้เลือกใช้สื่อที่เหมาะสมกับเนื้อหาและ เหมาะสมกับวัยของนักเรียนทำให้นักเรียนได้เรียนรู้จากเรื่องที่ง่ายไปสู่เรื่องที่ยาก โดยมีการเสริม กิจกรรมกลุ่ม เพื่อให้นักเรียนได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันเป็นการเรียนรู้ที่ หลากหลายไม่ซ้ำซาก ทำให้นักเรียนไม่รู้สึกเบื่อในขณะที่เรียนและทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้อย่าง เต็มที่ จากผลการวิจัย พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทางวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม โดยใช้ การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของนักเรียนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังการจัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งสอดคล้อง กับงานวิจัยของ ฝนพรม พุทธนา (2562) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาความสามารถในการคิด แก้ปัญหาโดยการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด Active Learning ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์หลังการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด Active Learning พบว่า สูงกว่า ผลสัมฤทธิ์ก่อนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด Active Learning อีกทั้งยังสอดคล้องกับ นภาพร สว่างอารมณ์ (2563) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทาง คณิตศาสตร์ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ผลการวิจัยพบว่า ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสูง กว่าก่อนได้รับการจัดการเรียนรู้เชิงรุก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 นอกจากนี้ได้สอดคล้อง กับงานวิจัยของ เบญจมาศ หลักบุญ (2561) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างรูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติ ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนพรตพิทยพยัต โดยใช้สื่อประสม ผลการวิจัยครั้งนี้พบว่า ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลังการเรียนสูงกว่าก่อนการเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งสอดคล้อง กับงานวิจัยของ ธีรพิชญ์ โลกคำลือ (2561) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คณิตศาสตร์ เรื่องการวัดค่ากลางของข้อมูล โดยใช้สื่อประสม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/2 โรงเรียนโยธินบูรณะ พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการวัดค่ากลางของข้อมูล ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนโยธินบูรณะ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 และสอดคล้องกับงานวิจัยของ ธวัชชัย แสงท้วม (2564) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง การแก้สมการพหุนามกำลังสอง ตัวแปรเดียวที่เรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active leaning ร่วมกับเกมออนไลน์กับวิธีสอน แบบปกติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เรื่อง การแก้สมการพหุนามกำลังสองตัวแปรเดียว โดยนักเรียนที่เรียน
80 ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active leaning ร่วมกับเกมออนไลน์สูงกว่านักเรียนที่เรียนด้วยวิธีสอน แบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม หลังการจัดการเรียนรู้ โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เมื่อเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 พบว่า กลุ่มตัวอย่างได้คะแนนเฉลี่ยสูงกว่าร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม และมีจำนวนนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์มากกว่าร้อยละ 70 ของนักเรียนทั้งหมด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 โดยมีคะแนนหลังการจัดการเรียนรู้สูงสุด 20 คะแนน และมีคะแนนต่ำสุด 12 คะแนน จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน คิดเป็นคะแนนเฉลี่ย 16.52 คะแนน ซึ่งนักเรียนได้คะแนนผลสัมฤทธิ์หลัง การจัดการเรียนรู้คิดเป็นร้อยละ 82.60 ของคะแนนเต็ม และมีนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์จำนวน 38 คน จากจำนวนทั้งหมด 44 คน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 86.36 ของจำนวนนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง โดยสูงกว่า เกณฑ์ร้อยละ 70 ที่กำหนดไว้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 อาจเนื่องมาจากวิธีสอน แบบ Active learning มีขั้นตอนการจัดกิจกรรมที่เน้นให้ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง โดยเปิด โอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และปฏิบัติจริงผ่านกิจกรรมและสื่อต่าง ๆ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้และดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ มากกว่าการเป็นผู้รับความรู้เพียงอย่างเดียว ในระหว่างดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้ผู้เรียนจะมีโอกาส พูดคุย แลกเปลี่ยนความคิด หรือมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนในชั้นเรียนและครูผู้สอน เป็นการสร้าง บ ร ร ยา ก า ศ ที่ ดี ท ำ ให้ ผู้ เรี ย น ไม่ รู้ สึ ก เค รี ย ด ห รื อ ค ว า ม รู้ สึ ก ก ด ดั น ใน ก า ร เรี ย น (เชิดศักดิ์ ภักดีวิโรจน์, 2556) นอกจากนี้วิธีการสอนแบบอุปนัย มีส่วนสำคัญมากในการช่วยให้ นักเรียนสามารถสร้างความเข้าใจอย่างครอบคลุมและลึกซึ้งในสิ่งที่เรียน ทำให้นักเรียนมีส่วนร่วมใน กิจกรรม การถาม-ตอบเกี่ยวกับบทเรียนและลงมือปฏิบัติกิจกรรมได้ด้วยตนเอง โดยการใช้สื่อเกม สื่อ บัตรคำ และสื่อปฏิบัติกระเบื้องพีชคณิตในการยกตัวอย่างประกอบกับการใช้คำถามกระตุ้นความคิด ให้นักเรียนสังเกต พิจารณาและเปรียบเทียบลักษณะที่คล้ายคลึงกันและแตกต่างกันของกลุ่มตัวอย่าง จนเกิดข้อสรุปด้วยตนเอง อย่างเช่น การจัดกิจกรรมโดยใช้สื่อบัตรคำ ในการบอกองค์ประกอบของ เอกนาม ต้องแยกส่วนประกอบของเอกนามให้นักเรียนสังเกตเห็นในส่วนลักษณะที่คล้ายคลึงกันและ ในส่วนที่แตกต่างกันหลาย ๆ บัตรคำ พร้อมทั้งใช้คำถามขี้แนะและกระตุ้นความคิดเป็นระยะเพื่อทำให้ นักเรียนเข้าใจในเนื้อหามากยิ่งขึ้น จนนำไปสู่การสรุปด้วยตนเองและนำไปใช้กับการทำแบบฝึกหัดได้ แสดงให้เห็นว่า สื่อประสมช่วยให้นักเรียนสามารถเรียนรู้เนื้อหาต่าง ๆ ได้จากหลายแหล่ง ช่วยประหยัดเวลาทั้งครูผู้สอนและผู้เรียน ช่วยให้นักเรียนทั้งเก่งและอ่อนได้รับความรู้ความสามารถ ตามความพร้อมของแต่ละบุคคล (สุชาติฉัตรเจต, 2553) แต่อย่างไรก็ตาม จากผลการวิจัยก็ยังพบว่า
81 มีนักเรียนที่ผ่านไม่เกณฑ์จำนวน 6 คน จากจำนวนทั้งหมด 44 คน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 13.64 ของจำนวนนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ทั้งนี้อาจมีสาเหตุมาจากการทำกิจกรรมกลุ่มในชั้นเรียนที่ทำให้ นักเรียนไม่สามารถแสดงความคิดเห็นของตนเองได้ครบทุกคน อีกทั้งยังมีเรื่องของระยะเวลาที่จำกัด จึงทำให้ผู้วิจัยไม่สามารถดูแลให้ผู้เรียนสรุปองค์ความรู้ด้วยตนเองได้อย่างทั่วถึง โดยการใช้การเรียนรู้ แบบ Active Learning ในห้องเรียนที่มีขนาดใหญ่ จำนวนผู้เรียนมากอาจมีข้อจำกัดในการดูแล ควบคุมให้ผู้เรียนดำเนินกิจกรรมไปในทิศทางที่ผู้สอนวางแผนได้ยาก และการจัดการเรียนรู้ แบบ Active Learning ต้องใช้เวลาจึงอาจทำให้ผู้สอนไม่สามารถจัดการเวลาที่มีอยู่กับจำนวนเนื้อหา หลักสูตรที่มากได้(นนทลี พรธาดาวิทย์, 2559) และจากการสังเกตของผู้วิจัย พบว่า ผู้เรียนที่ ไม่ผ่านเกณฑ์จะร่วมทำกิจกรรมแค่บางส่วนของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ทั้งนี้อาจมีสาเหตุมาจาก สื่อประสมต่าง ๆ ที่ผู้วิจัยได้จัดเตรียมมาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้มีความดึงดูดใจไม่มากพอหรือ ขาดความสวยงาม จึงทำให้ผู้เรียนเหล่านี้สนใจได้แค่บางครั้ง ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้การสอน แบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 สูงกว่าเกณฑ์ ร้อยละ 70 ที่กำหนดไว้ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ นภาพร สว่างอารมณ์ (2563) ได้ทำการวิจัย เรื่อง การพัฒนาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 5 โดยการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ผลการวิจัยพบว่า ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหา ทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 อีกทั้งยังสอดคล้องกับ วีรยุทธ พลายเล็ก (2563) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิด Active Learning เพื่อเสริมสร้างทักษะและ กระบวนการและจิตคณิตศาสตร์สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา ผลการวิจัยพบว่า หลังจากนักเรียน เรียนตามรูปแบบการเรียนการสอน (5C Model) นักเรียนมีพัฒนาการ ความสามารถด้านทักษะและ กระบวนการทางคณิตศาสตร์สูงขึ้น นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับงานวิจัยของ ธิดารัตน์ คล้ายอักษร และธนัชยศ จำปาหวาย (2562) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การแก้ปัญหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง พื้นที่ผิวของปริซึม โดยใช้สื่อประสม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/4 โรงเรียนมัธยม วัดดุสิตาราม ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง พื้นที่ผิวของปริซึม โดยการใช้สื่อประสม ซึ่งส่งผลให้นักเรียนกลุ่มเป้าหมายทั้ง 5 คน ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 50 ตามที่กำหนดไว้ และสอดคล้องกับ งานวิจัยของ ธนศักดิ์ แสนสำราญ, พรสิน สุภวาลย์และสมวงษ์ แปลงประสพโชค (2564) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เรื่อง การเรียงสับเปลี่ยนและการจัดหมู่ โดยการใช้สื่อประสม ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทาง
82 การเรียน เรื่อง การเรียงสับเปลี่ยนและการจัดหมู่ โดยการใช้สื่อประสมหลังการทดลองสูงกว่า ก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60 อย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 3. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม โดยใช้การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ซึ่งประเมินจากคะแนนเฉลี่ยของแบบประเมินความพึงพอใจทั้งฉบับ มีความพึงพอใจอยู่ใจระดับมาก ทั้งนี้อาจเกิดมาจากการสอนแบบ Active Learning เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ให้ผู้เรียนได้ลงมือ ปฏิบัติจริงและมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้เรียนเรียนรู้แบบรวมพลัง คือทุกคนคิด ทุกคนทำงานเดี่ยว และทุกคนร่วมกันทำงานกลุ่ม และเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความถนัดมากกว่าได้ ช่วยเห ลือผู้ที่ ถนัดน้อยกว่า ผู้เรียน ทุ กคน ร่วมกันท ำกิจกรรม อย่างมีชีวิตชีวา ตื่น ตัว ใช้กระบวนการเรียนรู้ (วีรยุทธ พลายเล็ก, 2563) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า นักเรียนให้คะแนน ความพึงพอใจด้านครูผู้สอนเป็นลำดับที่ 1 ( X =4.47, S.D.=0.61) ด้านการวัดและประเมินผล การเรียนรู้เป็นลำดับที่ 2 ( X =4.29, S.D.=0.70) ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นลำดับที่ 3 ( X =4.21, S.D.=0.78) และด้านสื่อการเรียนรู้เป็นลำดับที่ 4 ( X =4.07, S.D.=0.73) ซึ่งทุกด้าน มีผลความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ทั้งนี้อาจเป็นผลมาจากการใช้สื่อประสม จะช่วยกระตุ้น และสร้างความสนใจให้กับนักเรียนทำให้เกิดความสนุก และไม่รู้สึกเบื่อหน่ายการเรียน อีกทั้งยังช่วย ให้นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอนมากขึ้นทำให้เกิดมนุษยสัมพันธ์อันดีระหว่าง นักเรียนด้วยกันเองและกับครูผู้สอนด้วย นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจบทเรียนมากขึ้น เกิดการเรียนรู้ได้รวดเร็วเพราะได้เรียนจากสื่อการสอนที่หลากหลาย และประหยัดเวลาในการสอน (สุลักขณา คุ้มทรัพย์, 2555) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม โดยใช้ การสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จากก ารวิจัยพ บ ว่า มี ค วาม พึ งพ อ ใจอยู่ใจระดั บ ม าก ซึ่งส อดค ล้อ งกับ งาน วิจัยขอ ง ฝนพรม พุทธนา (2562) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาความสามารถในการคิดแก้ปัญหา โดยการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด Active Learning ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ผลการวิจัย พบว่า การศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด Active Learning หลังการจัดการเรียนรู้เป็นรายคาบ พบว่า สิ่งที่นักเรียนชื่นชอบจากการเรียน ได้แก่ สื่อการเรียนรู้และวิธีการจัดการเรียนรู้และสิ่งที่นักเรียนไม่ชื่นชอบจากการเรียน ได้แก่ เวลาไม่เพียงพอ
83 ในการจัดการเรียนรู้ปัญหา ในการร่วมกิจกรรมกลุ่มที่ใช้ วิธีการสุ่มเลขที่และนักเรียนบางคนไม่ให้ ค ว า ม ร่ ว ม มื อ ใน ก า ร ท ำ กิ จ ก ร ร ม เท่ า ที่ ค ว ร อี ก ทั้ งยั งส อ ด ค ล้ อ งกั บ งา น วิ จั ย ข อ ง วีรยุทธ พลายเล็ก (2563) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิด Active Learning เพื่อเสริมสร้างทักษะและ กระบวนการและจิตคณิตศาสตร์สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษา ผลการวิจัยพบว่า หลังจากนักเรียนเรียนตามรูปแบบการเรียนการสอน (5C Model) นักเรียนมีความเห็นต่อการใช้รูปแบบอยู่ในระดับมากที่สุด นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับงานวิจัยของ ธนศักดิ์ แสนสำราญ, พรสิน สุภวาลย์และสมวงษ์ แปลงประสพโชค (2564) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เรื่อง การเรียง สับเปลี่ยนและการจัดหมู่ โดยการใช้สื่อประสม ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจ ต่อการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การเรียงสับเปลี่ยนและการจัดหมู่ โดยการใช้สื่อประสมอยู่ที่ระดับมากที่สุด และสอดคล้องกับ ธวัชชัย แสงท้วม (2564) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง การแก้สมการพหุนาม กำลังสองตัวแปรเดียวที่เรียนโดยใช้กิจกรรม การเรียนรู้แบบ Active leaning ร่วมกับเกมออนไลน์กับวิธีสอนแบบปกติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 พบว่า ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการเรียนด้วย กิจกรรมการเรียนรู้ แบบ Active leaning ร่วมกับเกมออนไลน์โดยรวมอยู่ในระดับพึงพอใจมาก ข้อเสนอแนะ จากผลการทำวิจัยเพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม โดยใช้ วิธีการสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนโยธินบูรณะ ได้มีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการวิจัยดังต่อไปนี้ ข้อเสนอแนะในการนำผลวิจัยไปใช้ 1. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อ ประสม ครูควรเปิดโอกาสให้นักเรียนได้รู้จักฝึกคิดแก้ปัญหา รู้จักทำความเข้าใจกับสื่อการสอน ทำให้นักเรียนสามารถศึกษาจากสิ่งที่เป็นรูปธรรมไปสู่สิ่งที่เป็นนามธรรม ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนจดจำ จากความเข้าใจ และเกิดความคิดรวบยอด ส่งผลให้การเรียนของนักเรียนมีประสิทธิภาพมากขึ้น 2. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การสอนแบบ Active Learning จะต้องอาศัยหลักการ แบบอุปนัย ซึ่งนักเรียนจะต้องคิดวิเคราะห์จากการปฏิบัติจริงและสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง จึงทำให้ ต้องใช้ระยะเวลาในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ค่อนข้างมาก จึงควรมีการปรับเวลาเรียนเพิ่มมากขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนได้คิด ได้ค้นหาวิธีการที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น
84 3. ครูควรสร้างสื่อการสอนให้มีความสวยงาม ใช้งานได้สะดวก รวดเร็ว และมีขนาดที่ เหมาะสมกับการใช้ทำกิจกรรมการเรียนรู้ โดยต้องคำนึงถึงความเหมาะสมกับผู้เรียนเป็นสำคัญ อีกทั้ง ยังสามารถนำสื่อประสมไปประยุกต์ใช้ในครั้งต่อ ๆ ไปได้ ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป 1. ค ว รมี วิจั ย เพื่ อ พั ฒ น าก ารเรีย น ก ารส อ น ค ณิ ต ศ าส ต ร์โด ย ใช้ วิ ธีก ารส อ น แบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสม ในเนื้อหาคณิตศาสตร์ที่มีความต่อเนื่องกับ เรื่อง พหุนาม เช่น การแยกตัวประกอบพหุนามดีกรีสอง การแยกตัวประกอบพหุนามดีกรีสูงกว่าสอง เป็นต้น 2. ควรมีการวิจัยเพื่ อพั ฒ นาการเรียนการสอนคณิ ตศาสตร์โดยใช้วิธีการสอน แบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมกับเนื้อหาวิชาคณิตศาสตร์ในระดับชั้นอื่น ๆ ด้วย 3. ค ว รมี วิ จั ยเพื่ อศึ ก ษ าก าร เรีย น ก ารส อ น ค ณิ ต ศ าส ต ร์ โด ย ใช้ วิ ธี ก ารส อ น แบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมในด้านอื่น ๆ เช่น ทักษะและกระบวนการทาง คณิตศาสตร์ ความคงทนในการเรียนรู้ เป็นต้น 4. ควรมีวิจัยเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์โดยใช้วิธีการสอนแบบ Active Learning ร่วมกับการใช้สื่อประสมกับวิธีการสอนแบบอื่น ๆ
บรรณานุกรม กมลวรรณ สุภากุล. (2559). การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning เพื่อให้ผู้เรียนรู้จริง. นครสวรรค์: มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์. กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด. กฤษณ์กมล กมลาศน์. (2546). การศึกษาความพึงพอใจและความต้องการของนักศึกษา การศึกษา นอกโรงเรียนสายสามัญ วิธีเรียนทางไกล ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ในการจัดบริการและ สวัสดิการทางการศึกษา ศึกษาเฉพาะกรณี : ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนกรุงเทพมหานคร 1 (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, กรุงเทพฯ. กาญจนา อรุณสุขรุจี. (2546). ความพึงพอใจของสมาชิกสหกรณ์ต่อการดำเนินงานของสหกรณ์ การเกษตรไชยปราการจำกัด อำเภอไชยปราการ จังหวัดเชียงใหม่ (วิทยานิพนธ์ปริญญา มหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, เชียงใหม่. จริยา เหนียนเฉลย. (2542). เทคโนโลยีการศึกษา. กรุงเทพฯ: บริษัท พิมพ์ดี จำกัด. จันทิมา แตงทอง. (2559). กิจกรรมการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรัส โดยใช้ สื่อประสม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยบูรพา, ชลบุรี. ชลทิชา ต่อจรัส. (2557). ผลการใช้สื่อประสมประกอบการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง การแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสอง สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 (วิทยานิพนธ์ ปริญญามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยบูรพา, ชลบุรี. เชิดศักดิ์ภักดีวิโรจน์. (2556). ผลการจัดการเรียนรู้เชิงรุก เรื่อง ทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ที่มีต่อความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณและ ความเชื่อมั่นในตนเอง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (ปริญญานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, กรุงเทพฯ. ไชยยศ เรืองสุวรรณ. (2553). Active Learning. เชียงใหม่: หน่วยส่งเสริมและพัฒนาวิชาการ งานบริการการศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. เตือนใจ เกตุษา. (2540). การสร้างแบบทดสอบ 1 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยรามคำแหง.
86 บรรณานุกรม (ต่อ) ท วี วั ฒ น์ วั ฒ น กุ ล เจ ริ ญ . (2552). ก า ร เรี ย น เชิ ง รุ ก (Active Learning). สื บ ค้ น จ าก http://pirun.ku.ac.th/~g4986066/activet.pdf ทิวัตถ์ มณีโชติ. (2549). การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน. กรุงเทพฯ : ศูนย์ส่งเสริมวิชาการ ทิศนา แขมณี. (2560). ศาสตร์การสอน : องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ (พิมพ์ครั้งที่ 21). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. เทพพนม เมืองแมน และสวิง สุวรรณ. (2540). พฤติกรรมองค์การ (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช. ธนศักดิ์ แสนสำราญ, พรสิน สุภวาลย์และสมวงษ์ แปลงประสพโชค. (2564, เมษายน-มิถุนายน). การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เรื่อง การเรียง สับเปลี่ยนและการจัดหมู่ โดยการใช้สื่อประสม. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, 23(2), 181-191. ธวัชชัย แสงท้วม. (2564). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง การแก้ สมการพหุนามกำลังสองตัวแปรเดียวที่เรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active leaning ร่วมกับเกมออนไลน์กับวิธีสอนแบบปกติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 (รายงานการวิจัยใน ชั้นเรียน). ธิดารัตน์ คล้ายอักษร และธนัชยศ จำปาหวาย. (2562, กรกฎาคม-ธันวาคม). การแก้ปัญหาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน เรื่องพื้นที่ผิวของปริซึม โดยใช้สื่อประสม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/4 โรงเรียนมัธยมวัดดุสิตาราม. วารสารวิชาการ ครุศาสตร์สวนสุนันทา, 3(2), 11-19. ธีรพิชญ์ โลกคำลือ. (2561). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่องการวัดค่ากลางของ ข้อมูล โดยใช้สื่อประสม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/2 โรงเรียนโยธินบูรณะ (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยรามคำแหง, กรุงเทพฯ. นนทลี พรธาดาวิทย์. (2559). การจัดการเรียนรู้แบบ Active learning (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: ทริปเพิ้ล เอ็ดดูเคชั่น. นภาพร สว่างอารมณ์. (2563). การพัฒนาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (ปริญญานิพนธ์ปริญญา มหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, กรุงเทพฯ.