The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การใช้สันติวิธีกับการแก้ปัญหาความขัดแย้ง/ผศ.ดร.นฤทธิ์ ดวงสุวรรณ์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by usaman.whangsani, 2022-06-13 12:09:07

การใช้สันติวิธีกับการแก้ปัญหาความขัดแย้ง

การใช้สันติวิธีกับการแก้ปัญหาความขัดแย้ง/ผศ.ดร.นฤทธิ์ ดวงสุวรรณ์

Keywords: สันติวิธี,ความขัดแย้ง

3377

ดา้ น ความรุนแรง สันติวิธี

5. แสดงความเคารพและใส่ใจคู่กรณี

6. อาศยั คณุ ภาพจติ ท่เี หนอื กวา่ รวมทง้ั ความคิด

ที่สรา้ งสรรค์

ทีม่ า: ประยุกต์จาก ชยั วฒั น์ สถาอานนั ท์ (2557)

หลักปฏิบัติสาหรับการแก้ข้อขัดแย้งด้วนสันติวิธี ได้แก่ การระลึกอยู่เสมอว่า เราแสวงหา
ความยุติธรรมและความปรองดอง มิใช่แสวงหาชัยชนะ พฤติกรรมการเดินและพูดด้วยอาการแห่ง
ความเมตตา การทาจติ ใจใหบ้ รสิ ุทธิ์และเป็นอสิ ระจากผลประโยชน์สว่ นตน การปฏิบัตกิ บั มติ รและฝ่าย
ตรงกันข้ามดว้ ยความเออื้ เฟื้อ และการละเว้นการใช้ความรุนแรงด้วยกาย วาจาและใจ

ชยั วฒั น์ สถาอานันท์ ยงั ไดอ้ ธบิ ายลกั ษณะพเิ ศษของสนั ติวธิ ีวา่ เป็นเทคนิคในการเผชิญกับข้อ
ขัดแย้งอย่างมีประสิทธิภาพชนิดที่ทาให้หลุดพ้นจากวังวนแห่งความรุนแรงได้ เป็นวิธีการใช้พลังทางสังคม
เศรษฐกจิ และการเมือง เพ่อื การเปล่ียนแปลง และเปน็ หนทางที่ประชาชนทุกฝา่ ยได้ค้นพบพลงั อานาจของ
ตัวเองโดยไม่จากัดเพศ วัย และสถานะ แต่อย่างไรตามสันติวิธียังมีข้อจากัดของสันติวิธี ได้แก่ ไม่มี
หลักประกันว่าจะสาเร็จทุกครั้งไป ไม่สามารถให้หลักประกันได้ว่าผู้ปฏิบัติการจะไม่ถูกตอบโต้ด้วย
ความรุนแรง ประสิทธิภาพของสันติวิธีและปฏิบัติการไร้ความรุนแรงข้ึนอยู่กับความพร้อมของผู้
ปฏิบัติการอย่างมาก และท่ีสาคัญ หากใช้สันติวธิ ีร่วมกับความรุนแรงจะทาใหค้ วามชอบธรรมของฝา่ ย
สันติวธิ ีลดลงหรือสญู ไป ทงั้ กบั จะเพิม่ ความชอบธรรมในการใช้ความรนุ แรงใหแ้ กฝ่ า่ ยตรงกนั ข้ามได้

จากการชี้ให้เห็นแง่มุมต่าง ๆ ของความรุนแรงและสันติวิธี จุดแข็งและจุดอ่อนของสันติวิธี
ของชัยวัฒน์ สถานอานันท์ แล้วมุมมองสันติวิธีและการปฏิบัติการสันติวิธีเชิงลึกของนักวิชาการอีก
ท่านหน่งึ ท่นี า่ สนใจคอื พระไพศาล วสิ าโล

พระไพศาล วิสาโล (2552) ได้อธิบายรากฐานของสันติวิธีว่า เป็นการง่ายมากที่คู่กรณีแต่ละ
ฝ่ายจะมองอีกฝ่ายว่าเป็นคนช่ัวร้ายเมื่อเกิดความขัดแย้งและการเผชิญหน้ากัน ก็จะมองว่าฝ่ายฉันดีมี
ธรรมะการมองเชน่ นี้ซงึ่ เปน็ การง่ายมากในการไปกระทาอีกฝ่ายหนึ่งเพือ่ ปกป้องความถูกต้องดีงาม แต่
เม่ือมองความจริงให้รอบด้านแล้ว ก็จะพบว่าไม่มีฝ่ายใดท่ีเลวไปหมดและอีกฝ่ายถูกต้องดีร้อย
เปอรเ์ ซ็นต์ การกระทาของฝ่ายหนึ่งนน้ั ย่อมเป็นผลสืบเนื่องหรือสัมพนั ธ์กับการกระทาของอีกฝ่ายหนึ่ง
เสมอไม่มากก็น้อย เช่น ผู้ปกครองกระทาตัวเป็นเผด็จการได้ส่วนหน่ึงก็เพราะความเฉยเมยหรือการ
ยินยอมของราษฎรเช่นกนั

38 38

พระไพศาลได้ยกตัวอย่างของการมองโลกเป็นขาวเป็นดาอย่างชัดเจนน้ันได้สร้างความทุกข์
ทรมานและโศกนาฏกรรมแก่มนุษยชาตมิ านบั คร้ังไม่ถ้วน เชน่ อาชญากรรมของฮิตเลอร์ สตาลนิ หรอื
กรณีพอลพต ล้วนเกิดข้ึนจากการมองคู่กรณี ว่าเป็นตัวชั่วร้ายท่ีต้องกาจัดให้หมดไปจากโลก แต่แล้ว
ความรุนแรงท่ีคนทั้งสามใช้กลับทาให้เขากลายเป็นคนช่ัวร้ายย่ิงกว่าคนที่เขาต้องการกาจัดเสียอีก
ดังนั้น การมองโลกโดยไม่แบ่งเป็นขาวและดาอย่างชัดเจนน้ัน เป็นรากฐานของปฏิบัติการสันติวิธี ที่
ต้องตระหนักว่ามีแต่สัน ติวิธีเท่าน้ันถึงจะขจัดความเลวร้ายออกไปจากสังคมได้อย่างแท้จริง และใน
ทางตรงข้าม การใช้ความรุนแรงน้ันทาได้อย่างมากเพียงแค่ขจัด “คนช่ัวร้าย”ออกไปได้เพียงช่ัวคราว
เท่าน้ันแต่ไม่สามารถขจัด “ความชั่วร้าย”ออกไปได้อย่างแท้จริงได้ ความช่ัวร้ายยังคงอยู่ต่อไป
เพราะวา่ โครงสรา้ งหรือระบบทห่ี ล่อหลอมเพิ่มพูนความช่ัวร้าย เช่น ความเห็นแก่ตัวความโกรธเกลียด
หรือความอยุตธิ รรมทย่ี ังไม่ไดร้ ับการแก้ไข นอกจากนัน้ ความชว่ั รา้ ยในใจของผู้คนท้ังสองฝา่ ยก็ยังมีอยู่
ดังน้ันต้องใช้สนั ตวิ ิธเี ท่าน้นั ท่ีจะขจัดความชวั่ ร้ายทั้งโครงสร้างหรือระบบท่ีก่อปญั หาและ ความช่ัวรา้ ย
ในใจของผูค้ น ไมส่ ามารถขจดั หรือแก้ไขไดด้ ้วยความรุนแรงใด ๆ

พระไพศาล วิสาโล ได้นาเสนอการปฏิบตั ิการสนั ตวิ ธิ ี โดยเนน้ ไปทกี่ ารมองโลกโดยไม่แบ่งเป็น
ขั้วตรงข้ามอย่างชัดเจน เพราะปฏิบัติการสันติวิธีน้ันแท้ที่จริงก็คือการผสานส่ิงที่ดูเหมือนอยู่คนละข้ัว
ให้เชอ่ื มเปน็ หน่ึงเดียวกัน ได้แก่ กระทาโดยไมก่ ระทา พลังของสันติวธิ ีอยทู่ ่ีการไม่กระทา เชน่ การไม่ให้
ความร่วมมือ การด้ือแพงไม่ปฏิบตั ติ ามกฎหมาย การไม่ไปเกณฑ์ทหารการนั่งอย่เู ฉย ๆ หน้าโรงงานหรอื
หน้าขบวนรถถัง เป็นต้น การไม่แยกภาวนากับกจิ กรรมทางสังคมออกจากกนั การภาวนากับกจิ กรรม
ทางสงั คมนนั้ ไม่อาจแยกออกจากกนั ได้เช่นเดียวกับท่ีการทางานแยกไม่ออกจากการปฏบิ ัตธิ รรม ในการ
ต่อสู้แบบสันตวิ ิธีปฏบิ ัติการทางสังคมเป็นส่วนหนึง่ ของการฝึกฝนพัฒนาตนในทางจิตวิญญาณ เปน็ การ
บ่มเพาะความเมตตาความอดทน ความไมถ่ อื ตัวตน และการเอาชนะความโกรธเกลียด ความพร้อมจะ
ทุกข์กายโดยไม่ทุกข์ใจตามไปด้วยเป็นต้น และ กระทาโดยไม่มีผู้กระทา การกระทาใด ๆ ก็ตาม หาก
ยงั มคี วามสาคญั มั่นหมายว่ามี “ผู้กระทา” อยู่ การกระทานัน้ ๆ แมจ้ ะมีจดุ มงุ่ หมายเพ่ือสว่ นรวมก็ง่าย
ท่จี ะกลายเป็นการตอบสนองความต้องการของตวั ตนได้ เพราะเมอ่ื มีความร้สู ึกว่า “ฉนั ” เปน็ ผกู้ ระทา
ความปรารถนาท่ีจะตอบสนองประโยชน์หรือความอยากได้ใคร่ดีของ “ฉัน” เกิดความรู้สึกสาคัญมั่น
หมายว่างานน้ันเป็น “ของฉัน” อันง่ายที่จะนาไปสู่ท่าทีเป็นปฏิปักษ์ต่อคนท่ีขัดแย้งหรือขัดขวางหรือ
เป็นอุปสรรคต่องานนั้นๆ จนอาจมองว่าคนเหล่านั้นเป็นศัตรู “ของฉัน”และบางคร้ังก็กลายเป็นการ
ววิ าทบาดหมางในหมผู่ ูป้ ฏิบัติงานสนั ติวิธมี ักเกดิ ขนึ้ เพราะความสาคัญม่นั หมายในตวั กูของกูนน่ั เอง

3399

การอธิบายความสาคัญของสันติวิธี เหตุแหง่ ปญั หา และแนวทางในการแก้ปัญหาความขัดแย้งที่
เกิดขึ้น โดยยึดหลักธรรมะของพระไพศาล วิสาโล ท่านระบุว่าการปฏิบัติการสันติวิธีเพ่ือแก้ปัญหาสังคม
ยังเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกฝนพัฒนาตนในทางจิตวิญญาณด้วย เม่ือเทียบเคียงกันแล้ว มีประเด็นที่นา่
เรียนรู้โดยเฉพาะการวิเคราะห์ความขัดแย้งและการสร้างสันติภาพในแนวทางทางของศาสนาอิสลาม
โดยสุชาติ เศรษฐมาลนิ ี

2.11 การสรา้ งสนั ติภาพ และการจัดการความขัดแย้งในวถิ ีอิสลาม
สุชาติ เศรษฐมาลินี (2014) ได้อธิบายเพื่อทาความเข้าใจลักษณะเฉพาะและนิยามความหมาย

ของการสร้างสันติภาพและสันติวิธีในทัศนะอิสลาม ว่า ประการแรก ศักยภาพของศาสนาอิสลามอุดม
ด้วยเมล็ดพันธุ์มากมายในการจัดการความขัดแย้งทางสังคมและทางการเมืองได้อย่างสันติ ในคัมภีร์
และคาสอนของศาสนาตลอดจนจริยวัตรของท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ.ล.) ในยุคต้นของอิสลามเป็นแหล่ง
บรรจุคณุ คา่ ความเชือ่ และยุทธวธิ ีมากมายในการสนับสนุนการแก้ไขความขดั แยง้ ด้วยวถิ ที างตามแนว
สันติวิธี และมีอิทธิพลทางอุดมการณ์ความคิดเป็นแบบอย่างให้มุสลิมได้ยึดถือดาเนินต่อมาอย่าง
ต่อเนอ่ื งเปน็ ระยะเวลายาวนาน ประการทสี่ อง การทาความเขา้ ใจการสรา้ งสันติภาพและสันตวิ ธิ ีในวิถี
อสิ ลาม นกั วชิ าการและนักปฏิบตั ิการสนั ตภิ าพมุสลิมจาเป็นต้องทบทวนและประเมินความเข้าใจอิสลาม
ในท่ามกลางบริบทของความหลากหลายในช่วงประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างย่ิง ต้องตระหนักว่าในคา
สอนของอิสลามน้ัน มีการตีความอย่างแตกต่างหลากหลายในหมู่นักวิชาการมุสลิมตามแต่ละประเทศ
วัฒนธรรมและสานักคิด ประการท่ีสาม มีมุสลิมจานวนมากยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับศาสนา
อิสลาม รวมท้งั การเข้าถึงความหมายทเี่ กี่ยวโยงกับการแปรเปล่ียนความขัดแย้งโดยสันติวิธผี ่านคุณค่า
คาสอนเกี่ยวกับสันติภาพ นักวิจัยและนักวิชาการมุสลมิ ส่วนใหญ่พุ่งเป้าการศึกษาไปที่การทาสงคราม
การใช้ความรุนแรง อานาจ และระบบการเมืองหรือกฎหมาย มุมมองเหล่าน้ี ทาให้แนวการศึกษา
อสิ ลามออกมาในดา้ นลบ ประการที่ส่ี ถงึ แม้ว่าอิสลามมีคาสอนและการปฏิบัติอนั หลากหลายเกี่ยวกับ
ความขัดแย้งและการสร้างสันติภาพ แต่คาสอนที่ถูกนาไปใช้จริงน้ันย่อมข้ึนกับความสัมพันธ์ที่
เก่ียวข้องกับสถานการณ์ความขัดแย้ง เช่น เป็นความขัดแย้งในระดับใด ระดับบุคคล ครอบครัว หรือ
ชมุ ชน เป็นความขัดแยง้ ระหว่างมุสลมิ ดว้ ยกันหรือกับคนทไ่ี ม่ใช่มุสลิม เป็นตน้

สุชาติยังได้ยกตัวอย่างหลักการและคณุ คา่ ในอิสลามเกี่ยวกับสนั ตวิ ิธแี ละการสรา้ งสันติภาพ
ในคาสอนของอสิ ลาม ซง่ึ สามารถใชเ้ ป็นกรอบในการสรา้ งสันติภาพในบริบทของชุมชนมุสลิม ได้แก่

1) การสถาปนาความยุติธรรม การมุ่งเน้นให้ความสาคัญเก่ียวกับความยุติธรรมตามหลักการ
คาสอนของอิสลามจึงเป็นส่ิงเดียวกับการใช้แนวทางสันติวิธีในการเรียกร้องผู้คน -ชุมชนเพ่ือต่อต้าน

40 40

ความอยุติธรรมในสังคม สันติวิธีจึงไม่ใช่เร่ืองท่ีเข้าใจกันแบบผิด ๆ ว่าเป็นวิธีที่ให้เรางอมืองอเท้าและ
อยแู่ บบเฉื่อยชาโดยไม่ต้องกระทาการใด ๆ ตอ่ ความก้าวร้าวและอยุติธรรมในสังคม จดุ หมายปลายทาง
หลักของสันติวิธีได้แก่การแปรเปลี่ยนและขจัดโครงสร้างความรุนแรงในทุกระดับซ่ึงการ แปรเปลี่ยน
ดังกล่าวเปน็ สงิ่ จาเปน็ ในการสถาปนาสงั คมทีม่ ีความความยตุ ธิ รรม

2) การสร้างความเข้มแข็งทางสังคมผ่านการกระทาด้วยคุณธรรมและความดีงาม มุสลิม
จะต้องสร้างความยุติธรรม มีคุณธรรม และกระทาความดีงามทั้งต่อผู้ท่ีเป็นมุสลิมและผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม
คาสอนในอัล-กุรอ่านและแบบอย่างจากท่านนบีนั้นได้ให้ความสาคัญตลอดจนช่ืนชมคุณค่าดังกล่าว
เพื่อสร้างสันติภาพในสังคมทุกระดับ ดังน้ันในกระบวนการแสวงหาสันติภาพด้วยสันติวิธีในอิสลามจึง
จาเปน็ ทีค่ านึงถงึ เรื่องการสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ทเี่ ก่ียวข้องในความขดั แย้งที่จะสามารถเข้าถึงการ
ตดั สนิ ใจไดอ้ ยา่ งมคี วามเท่าเทยี มกัน

3) ความเป็นสากลและเกียรติศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ในทัศนะอิสลามเกียรติศักด์ิศรีของ
ความเป็นมนุษย์ที่ได้รับจากผู้เป็นเจ้าน้ีจะต้องได้รับการปกป้องซึ่งหมายรวมถึงผู้ที่เป็นศัตรูต่ออิสลาม
เด็ก สตรีและคนชรา ดังน้ัน เม่ือการกล่าวถึงประเด็นความขัดแย้งในมุมมองของอิสลามจึงต้องให้
ความสาคัญและเคารพในเกียรติศักด์ิศรีของคนทุกฝ่ายในข้ัวความขัดแย้งซึ่งสงิ่ น้ีเป็นคุณค่าสาคัญของ
วิถที างสันตวิ ิธี

4) ความเทา่ เทยี ม ทา่ นอิบนติ ัยมยี ะฮ์ นักวชิ าการคนสาคัญของโลกมุสลิม (ค.ศ.1263- 1328)
ไดใ้ ห้ความเหน็ วา่ “ผูท้ ่ีมคี วามอยากอยสู่ ูงเหนือผู้อน่ื น้ัน นับเปน็ สิ่งทอี่ ยุติธรรมเพราะมนุษย์ทุกคนต่าง
เป็นสัตว์สปีซ่ี (ชนิด) เดียวกัน” อิสลามมองว่ามนุษย์ทุกคนต่างเป็นลูกหลานของท่านนบีอาดัมกับนาง
ฮาวา ซ่ึงมุมมองดังกล่าวเป็นข้อเสนอของทุกฝ่ายท่ีเก่ียวข้องในความขัดแย้งและเรียกร้องสู่ความ
สมานฉันท์

5) ความศักดิ์สิทธ์ิแห่งชีวิตมนุษย์ การริเริ่มสู่การสร้างสันติภาพในอิสลามจึงต้องสร้างและ
พัฒนาเง่ือนไขท่ีจะปกป้องชีวิตและเกียรติศักด์ิศรีของมนุษย์ และสนับสนุนความเท่าเทียมกันของทุก
คนไมว่ ่าเขาจะมีเชอ้ื ชาติ หรือนับถือศาสนาใดกต็ าม

6) การมุ่งสู่สันติสุข สันติภาพท่ีแท้จริงในทัศนะอิสลามคือ สภาวะท่ีกลมกลืนกันทั้งทางด้าน
กายภาพ จิตใจและจิตวิญญาณ เป็นการดารงอยู่อย่างสันติโดยยอมจานนต่อผู้เป็นเจ้า ตลอดจนอยู่
รว่ มกับผอู้ นื่ อยา่ งสันตแิ ละด้วยความยุติธรรมอนั เป็นเป้าหมายของการดารงอยขู่ องมนุษย์

ในวิถีการดาเนินชีวิตตามหลักการศาสนาอิสลาม ในทัศนะของอาจารย์สุชาติแล้ว เป็นเร่ืองท่ี
เก่ยี วข้องกบั สันติวิธีและการสรา้ งสันติภาพโดยตรง ซึ่งจาเป็นตอ้ งมีการทาความเข้าใจหลักคาสอนและ
หลักปฏิบัติตลอดจนการนาไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่างๆโดยเนินไปที่ อยู่ร่วมกับผู้อ่ืนอย่างสันติ

4411

และด้วยความยุติธรรม นอกจากการศึกษาเรียนรู้ในขอบเขตหลักการศาสนาแล้ว ในสังคมทั่วไป
จาเป็นต้องมีกระบวนส่งเสริมสันติวิธีคู่ขนานกันไปด้วย ต่อไปน้ีจะกล่าวถึงนักวิชาการอีกท่านหนึ่งที่มี
บทบาทด้านสันตวิ ธิ ใี นสงั คมไทยคอื รองศาสตราจารย์ ดร.โคทม อารยี า

2.12 การส่งเสริมสันติวิธี
โคทม อารยี า (2546) ได้อธบิ ายเรื่องการส่งเสริมสันติวธิ ี ว่า โดยเรมิ่ ต้นท่จี ะต้องเขา้ ใจลักษณะ

ของสันติวิธีก่อนว่า ไม่ใช่วิธีท่ีเฉื่อยชาหรือยอมจานน หากเป็นวิธีที่ขันแข็งและต้องใช้ความคิด
สร้างสรรค์ไม่ใช่ยุทธวิธีที่เลือกใช้ในบางโอกาส หากเป็นยุทธศาสตร์ที่ปฏิบัติได้อย่าสม่าเสมอเป็นสัจ
ธรรมทน่ี า่ เช่ือถอื ไมใ่ ชว่ ิธที ่ีดใี นเชงิ ระบวนการเท่านัน้ หากเปน็ วธิ ที ห่ี วงั ผลที่กลมกลนื กับวิธีการด้วย

อาจารย์โคทม ไดน้ าเสนอวธิ ีการจัดการความขดั แยง้ โดยใช้สันตวิ ิธี มี 3 วิธดี ้วยกัน ไดแ้ ก่ การ
ป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้ง เป็นการสร้างสันติในใจของทุกคน ได้แก่ การส่งเสริมสันติวัฒนธรรม
ขันตธิ รรม ความผ่อนปรน การลดอคติ การเคารพในศักดิ์ศรีความเปน็ มนุษย์ และ สิทธิมนุษยชน เปน็
ต้น การแก้ไขความขัดแย้ง เม่ือเกิดความขัดแย้งขึ้น คู่กรณีมักคิดว่าตนถูก และอีกฝ่ายผิด ในกรณีน้ี
ความยุติธรรมหมายถึง การพิสูจน์ว่าใครผิดใครถูกโดยพึ่งศาลยุติธรรม หรือศาลอ่ืนๆ หรือพึ่งการไกล่
เกลี่ยโดยศาล หรือพ่ึงอนุญาตุลาการ หรือพึ่งการไกล่เกล่ีย โดยผู้มีอานาจท่ีคู่กรณียอมรับ อย่างไรก็ดี
บางค่กู รณีอาจยอมรับว่าไม่มีใครผิดถูกโดยสัมบูรณ์ กรณเี ชน่ นี้ สามารถคล่คี ลายความขัดแย้งไปสู่การ
ชนะ-ชนะดว้ ยกัน ทงั้ สองฝ่าย วิธกี ารคลีค่ ลายน้ันอาจเป็นการเจรจากันโดยตรง หรือฝา่ ยทีส่ ามมาช่วย
ทาให้ คู่กรณีออกจากตาแหน่ง หรอื จุดที่ยนื อยู่ไปสู่พนื้ ท่ีการรับรู้ใหม่ท่สี ามารถ เจรจาแบบถ้อยทีถ้อย
ปฏิบตั ติ ่อกันได้ และการเยียวยาหรือตดิ ตามผลความขัดแย้ง เปน็ การเยียวยาผแู้ พ้ด้วยความใจกว้าง
ของผู้ชนะ หรือการเยียวยาซึ่งกันและกันเพื่อให้เกิดการคืนดี หรือคืนสันติสู่จิตใจผลเสียที่เกิดจาก
ความขัดแย้งจะได้หมดไปภายหลังการแก้ไขความขัดแย้งแล้ว ตลอดจนปฏิบัติตามข้อตกลงและขจัด
เงอ่ื นไข ความขัดแย้งให้บางเบาหรือหมดไป

ส่วนการส่งเสริมสันติวิธี อาจารย์โคทมได้อธิบายว่า จะต้องดาเนินการในสองส่วนด้วยกัน
ได้แก่ กระบวนการและกลไก กระบวนการส่งเสริมสันติวิธี ในข้ันต้นเรามีความจาเป็นที่จะสร้าง
องค์กรความรู้กับความขัดแย้งและสันติวิธี ความขัดแย้งระดับบุคคล ซ่ึงเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาค้นคว้า
โดยเฉพาะในทางจิตวิทยาและ ระบบความเช่ือศรัทธา ความขัดแย้งระดับองค์กร ต้องการความรู้ใน
ด้านวิทยากรบริหารจัดการ ความขัดแย้งระดับประเทศย่อมต้องการความรู้ทางด้านสังคมวิทยา
การเมืองและ กฎหมายระหว่างประเทศเป็นต้นเราจาเป็นต้องศึกษาเร่ืองสันติวิธีอย่างจริงจังเพราะ
เป็นเรื่องสาคัญท่ีส่งผลอันคุ้มค่าน้ันคือความสงบสุขของบุคคลและสังคม และในการศึกษาเช่นนี้จะ

42 42

อาศัยตาราหรือทฤษฎีต่างประเทศได้เพียงบางส่วนเท่าน้ัน เพราะสันติวิธีเป็นเร่ืองท่ีเกิดขึ้นกับบริบท
ของแต่ละสังคมด้วย กลไกลส่งเสริมสันติวิธี ทุกภาคของสังคมควรก่อตั้งกลไกลส่งเสริมสันติวิธี
โดยท่ัวไปเราอาจแบ่งสังคมเป็น 3 ภาค ได้แก่ ภาครัฐ ภาคธุรกิจ เอกชน และ ภาคประชาสังคม ใน
ส่วนภาครัฐ องค์กรของรัฐแต่ละองค์กรย่อมมีภารกิจโดยตรงอยู่หลากหลายคงไม่สามารถศึกษา
ส่งเสริมสันติวิธีในฐานะท่ีเป็นภารกิจหลักได้รัฐจึงควรจัดต้ังองค์กร มหาชนอิสระ เพื่อทาหน้าที่
ส่งเสริมสันติวิธีโดยเฉพาะ ภาคธุรกิจเอกชนควรเอาใจใส่เร่ืองการศึกษา และประยุกต์ใช้สันติวิธีอย่าง
จริงจัง และสันติวิธีในระดับองค์กรภาคประชาสังคม ควรมีการต่ืนตัว จัดต้ังสมาคม มูลนิธิทางานด้าน
สันติวิธี และรฐั ควรให้ความสนบั สนุนองคก์ รในลกั ษณะนี้ ให้เกิดขึ้นมาก ๆ

หลักการ การจัดการความขัดแย้งที่นาเสนอโดยอาจารย์โคทมท้ัง 3 ช่วงของสถานการณ์ที่
เกิดขึ้น ในกรณีที่ยังไม่เกิดก็เสนอให้มีกระบวนการการป้องกัน เม่ือเหตุการณ์เกิดข้ึนแล้วก็ให้มี
กระบวนการแก้ไขปัญหา และหลงั จากนน้ั ก็มีกระบวนการเยยี วยา ในการจัดการความขัดแย้งดังกล่าว
มีรายละเอียดข้ันตอนที่ซับซ้อน ผู้ที่เกี่ยวนอกจากคู่กรณีแล้วต้องเกี่ยวข้องกับบุคคล องค์กรภายนอก
หลายฝ่าย ต้องใช้แนวคิด ทฤษฎี องค์ความรู้ และประสบการใหม่ ๆ เพื่อให้เท่าทันกับกระแสสังคม
และสถานการณ์ที่ความขดั แย้งท่ีเกิดขึ้น ศาสตราจารย์ นพ.วันชยั วัฒนศพั ท์ ไดเ้ สนอรูปแบบและแนว
ทางการต่าง ๆ ทาใหผ้ อู้ ่านเข้าใจมากข้ึน

2.13 แนวทางการแก้ปญั หาความขดั แย้งและข้อพิพาท
วันชัย วัฒนศัพท์ (2555) ได้อธิบายแนวทางแก้ปัญหาความขัดแย้งและข้อพิพาทต่าง ๆ ใน

สังคมซึ่งอาจจะนาไปสู่ข้อยตุ ิหรอื ไม่นาไปสู่ข้อยตุ ิ ในรปู แบบตา่ ง ๆ ได้แก่
1) การหลีกหนีปัญหา (Avoidance หรอื Flight) เมอื่ เกิดปญั หากไ็ มอ่ ยากมเี รื่อง ไมต่ อ่ ล้อต่อ

เถียง เปน็ ลกั ษณะทางสังคมที่ไม่ชอบเผชิญหน้า (Non confrontation) อาจจะไปพดู จานนิ ทาลับหลัง
การแก้ปัญหาแบบนี้ส่วนใหญ่ปัญหาจะไม่หมดไป เป็นกระบวนการการแก้ปัญหาที่สังคมตะวันออก
มกั จะทากัน

2) การใช้คนกลางในการเจรจาไกล่เกล่ีย (Mediation) เมื่อเกิดปัญหาก็จะมีกระบวนการ
เจรจาเพ่ือหาข้อยุติโดยมีบุคคลท่ี 3 หรือคนกลางเข้ามาช่วยเหลือ โดยมีหลักการท่ีสาคัญคือคนกลาง
เป็นผ้กู ากับกระบวนการเท่านั้นไม่มีอานาจไปตดั สิน หนา้ ที่ตัดสนิ คือคู่กรณี ผลการตัดสนิ ใจออกจะเป็น
ชนะ-ชนะ (Win-Win) โดยใช้กระบวนการฉันทามติ

3) การเจรจาไกล่เกลี่ยกันเอง (Negotiation) เปน็ กระบวนการเดยี วกันกบั การเจรจาไกล่เกลี่ย
โดยไมม่ ีคนกลาง คือตดั สินโดยใช้ฉนั ทามติ เป็นลักษณะทีค่ ่กู รณหี นั หน้ามาคยุ กนั เองโดยไม่ใชม่ าโต้เถียง
หรือโต้วาที (Debate) แต่มาพูดคุยกันหรือสุนทรียสนทนาหรือสานเสวนา (Dialogue) อาศัยการเจรจา

4433

แบบยดึ จุดสนใจ (Interest Based) คือยดึ ประโยชน์ความตอ้ งการของแตล่ ะกลุม่ โดยไม่ได้มองจุดยืนท่ี
แต่ละฝ่ายมีคาตอบอยแู่ ล้วเป็นที่ต้ัง โดยพยายามทาความเข้าใจจดุ สนใจ และความต้องการของแตล่ ะ
ฝา่ ย ใช้กระบวนการเรยี นรู้ร่วมกัน

4) การใช้อนุญาโตตุลาการ (Arbitration) เป็นกระบวนการท่ีใช้คนกลางเข้ามาตัดสิน ผู้มา
ตัดสินเรียกว่า อนุญาโตตุลาการ (Arbitrator) กระบวนการพิจารณาจะต่างจากศาล คือสามารถหา
ข้อมูลอ่ืนมาพิจารณาเสริมได้ ไม่ต้องเอาเฉพาะประเด็นที่ฟ้องร้องกันอยู่ การตัดสินของอนุญาโตตุลาการ
อาจจะผูกพนั ให้ต้องปฏบิ ตั ิตามโดยค่กู รณีหรือไม่แลว้ แต่ว่าได้ตกลงกันไว้หรือเขียนสญั ญาไว้ว่าอย่างไร
และการตดั สนิ กเ็ ป็นแพ้เปน็ ชนะ

5) การฟ้องร้องกัน (Litigation) เป็นกระบวนการท่ีหาคนกลางที่จะมาตัดสินในข้อพิพาทคดี
ความ โดยใชศ้ าล ผลการตัดสินจะออกเป็น “แพ้ - ชนะ”

6) การใช้กระบวนการทางนิติบัญญัติเพ่ือแก้ปัญหาข้อขัดแย้ง (Legislation) ข้อพิพาทบาง
กรณีเกิดจากกฎหมายที่ล้าสมัย หรือกฎหมายยังไม่กาหนด หรือกฎหมายท่ีมีอยู่เดิมออกมาแล้วเกิด
ปัญหาความขดั แยง้ จงึ ต้องมรี า่ งกฎหมายขนึ้ มาใหมใ่ ห้สอดคลอ้ งกับสถานการณ์

7) การใช้การชุมนุมประท้วงอย่างสันติ (Civil Disobedience) เป็นการต่อสู้เพ่ือสันติเพื่อให้
ได้สิ่งที่ต้องการ โดยการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ ผลการชุมนุมประท้วงยังมีผลเป็นแพ้และชนะ
ถ้าผู้ชุมนุมประท้วงได้ตามที่ต้องการก็คือชนะ ถ้าไม่ได้ก็รู้สึกว่าแพ้หากไม่เปลี่ยนกระบวนการต่อส้ไู ปสู่
การเจรจาไกล่เกลยี่

8) การใช้ความรุนแรง (Violence หรือ Flight) การแก้ปัญหาความขัดแย้งโดยมีความเชือ่ ว่า
เป็นวิธีเดียวท่ีจะยุติความขัดแย้ง หรือข้อพิพาทได้ผลการต่อสู้จะออกมาเป็นแพ้และชนะ การใช้ความ
รุนแรงมักจะได้รบั การตอบสนองออกมาเป็นความรนุ แรงในลักษณะตาต่อตา ฟันต่อฟนั

วันชัย วัฒนศพั ท์ มคี วามเชื่อม่ันในการแก้ปญั หาความขดั แยง้ โดยกระบวนการเจรจาไกล่เกล่ีย
พยายามนาเสนอ กระบวนทัศน์ใหมใ่ นการแก้ปัญหา ไดต้ ้ังข้อสงั เกตรปู แบบการแก้ปัญหาตา่ ง ๆ วา่ ยัง
ใช้วิธีการแบบเดิม ๆ ผู้มีอานาจแม้จะพูดถึงการเจรจาแต่ก็มักจะเป็นการเจรจาท่ีหมายถึงการเจรจา
ต่อรอง (Bargain) ทห่ี มายถึงการมาเอาแพ้เอาชนะกันทเี่ ราถนัดกว่า เช่น การตอ่ รองแทนทจ่ี ะเป็นการ
เจรจาไกล่เกล่ีย (Negotiation) หรือไกล่เกลี่ยโดยมีคนกลาง (Mediation) หรือการพูดก็จะเป็นการ
พดู แต่ฝ่ายเดียวขาดการฟังอย่างตั้งใจจากผ้ทู ี่เดือดร้อน กระบวนการเจรจาไกลเ่ กลี่ยท่ีควรจะเป็นคือมี
คนกลางที่เป็นกลางมากากับกระบวนการ และกติกาท่ีคู่เจรจาร่วมกันกาหนด แล้วคู่เจรจานั้นเอง
ร่วมกันใช้กระบวนการเรียนรู้ก่อให้เกิดทางออกที่ท้ังสองฝ่ายพึงพอใจท่ีสุดท่ีไม่ใช่ผู้มีอานาจหรือไม่ใช่
ฝ่ายใดฝา่ ยหน่ึงใช้อานาจในการบีบบังคบั ให้ยอมตามหรือใช้กรรมการมาพิจารณาตัดสินอยา่ งทเี่ คยทา
กระบวนการเหล่านี้ที่ควรจะเป็นคือการสรา้ งฉันทามติ (Consensus Building) ซึ่งเป็นกระบวนการท่ี
สังคมไทยจะต้องรับรแู้ ละทาความเข้าใจ เช่น สาเหตุของความขัดแย้งท่ีโยงมาจากการใช้อานาจ เรื่อง

44 44

ของความไว้วางใจและความไม่ไว้วางใจ สิ่งที่ควรจะระมัดระวัง ได้แก่ การสื่อสารท่ีออกไปในรูปแบบ
ของการใช้อานาจต่าง ๆ รวมถึงวธิ ีการสร้างความไวว้ างใจซึ่งเปน็ รากฐานของการเกิดและไม่เกิดความ
ขดั แย้ง กรณีความขัดแยง้ ที่เกิดข้ึนในประเทศไทยที่เราเผชิญกนั อยู่ในเวลาน้ีมีหลายเร่ืองทห่ี ลายคนมอง
ในมุมต่าง ๆ ดังน้ันจาเป็นต้องปรับกระบวนการทางานจากแบบเดิม ๆ ที่ก่อให้เกิดความไม่ไว้วางใจกัน
ผู้มีอานาจตัดสินใจ ผู้วางแผนและผู้รับบริการหรือประชาชนจะต้องหลุดพ้นออกจากวิธีการแบบเดิม ๆ
มาถึงยุคสมัยของการทางานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของประชาชนหรือผู้รับบริการการ ต้อง
ปรับเปลี่ยนมาสู่การเป็นผู้ร่วมงานกันในรูปแบบของเวทีแห่งการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงเป็นคู่คิดเชิง
ยุทธศาสตร์และพัฒนารูปแบบการประชุมปรึกษาหารือหรือการสานเสวนา (Dialogue) อย่างแท้จริง
แทนการมาโตเ้ ถียงกัน (Debate)

ดังที่นายแพทย์วันชัยได้นาเสนอว่าปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้มีอานาจกับประชาชนเป็นเงื่อนไข
อาจจะนาไปสู่ความขัดแยง้ โดยเฉพาะรปู แบบของการสื่อสาร การใช้อานาจ และการแสดงออกที่ทาให้
ไม่เชื่อม่ัน ไม่ไว้วางใจซ่ึงกันและกัน รูปธรรมของปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นโดยท่ัวไปในสังคมของไทยเรา
โดยเฉพาะกรณีของความขัดแย้งในพ้ืนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ซ่ึงยงั มีเงื่อนไขอื่น ๆ ท่ีเข้าไปมีส่วน
ให้เกิดความขัดแย้งที่ยาวนาน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี เป็นนักวิชาการคน
สาคัญที่ได้นาเสนอการแก้ปญั หาความขัดแย้งในพืน้ ท่สี ามจังหวัดชายแดนภาคใต้มาอย่างตอ่ เนื่อง

2.14 กรอบความคิดในการจดั การกับการก่อความไมส่ งบและความรนุ แรง
ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี (2563) ได้เสนอแนวคิดในการจัดการปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ผ่าน

หนังสอื “การเมอื งการปกครองและการจัดการความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปาตานี)” โดย
มกี ารนาเสนอกรอบแนวคิดท่ีสาคัญในภาพและอธบิ ายสาระสาคัญเพิ่มเตมิ ดังน้ี

45

45

การควบคุม

จงั หวะกจิ กรรม ระดับความรนุ แรงและเสถยี รภาพ

ความมนั่ คง การเมือง เศรษฐกจิ

การทหาร การระดมการเมือง การช่วยเหลอื เยียวยา
การตารวจ ธรรมาภิบาล การพัฒนาเศรษฐกิจ
ความมนั่ คงมนุษย์ และสันติภาพ
การเมอื ง

ป้องกันภยั พลเรือน ความเข้มแขง็ ของ การสรา้ งโครงสร้าง

ความมน่ั คงทาง สถาบัน พื้นฐาน

ประชากร บูรณาการใหมท่ างสงั คม การเจรญิ เตบิ โต

ประสิทธผิ ล ความชอบธรรม

ข้อมูลขา่ วสาร

ระดับโลก ระดบั ภมู ิภาค ระดับท้องถนิ่

ภาพท่ี 2-8 กรอบคิดของการสรา้ งวหิ ารแห่งสันติภาพและความม่นั คงเพื่อการจดั การความขัดแยง้

ทมี่ า: ศรีสมภพ จิตรภ์ ริ มย์ศรี (2563)

ศรสี มภพ จิตรภ์ ริ มยศ์ รี ได้อธิบายวา่ ภายในตวั แบบมีสามเสาหลักเพ่ือสร้างวิหารแหง่ สันติภาพ
ข้อมูลข่าวสารเป็นพื้นฐานสาหรับกิจกรรมท้ังหมด เพราะว่า ความรู้สึก (perception) เป็นหัวใจสาคัญ
ในการพัฒนาการระบบการควบคุมและการมีอิทธิพลเหนือกลุ่มประชากรกลุ่มต่าง ๆ มาตรการในด้าน
ความมั่นคง การเมือง และเศรษฐกิจ แม้จะมีความสาคัญแต่จะมีประสิทธิผลก็ต่อเม่ือตั้งอยบู่ นฐานหรือ
ถกู บรู ณาการการเข้ากับยุทธศาสตร์ด้านข้อมลู ข่าวสาร การกระทาทกุ อย่างในการต่อต้านการก่อความ
ไมส่ งบ จะเปน็ การสง่ ขา่ วสารข้อมลู ออกไปสปู่ ระชาชน การปฏิบตั กิ ารรณรงค์ด้านข่าวสารข้อมูลจะต้อง
ดาเนินการทั้งในระดับระหว่างประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับท้องถิ่น เพราะผู้ก่อความไม่สงบใน
ปัจจุบันอาศัยเครือข่ายระดับโลก ในการเรียกร้องความเห็นอกเห็นใจ การสนับสนุน เงินทุน และการ
สรรหาบุคลากร ข้อควรระวังในเรื่องการปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารคือ ต้องไม่ใช่ปฏิบัติการเชิงลบหรือ
ปลกุ ป่นั ให้เกดิ ความเกลยี ดชงั

46 46

ต่อมาก็เป็นสามเสาหลักคือ ความม่ันคง การเมือง และเศรษฐกิจ ซ่ึงต้องดาเนินการแบบ
ค่ขู นานและมีความสมดลุ ดังน้ี

เสาหลักแห่งความมั่นคง ประกอบไปด้วยความม่ันคงทางการทหารเป็นการป้องกันจาก
ประชากรถูกโจมตหี รอื ขม่ ขู่คุกคามโดยกองกาลงั จรยุทธ์ กลุ่มโจร ผูก้ ่อการร้าย หรอื กลมุ่ ตดิ อาวุธอืน่ ๆ
ความม่ันคงของตารวจ เป็นตารวจชุมชน การข่าวตารวจ งานข่าวสันติบาล และกองกาลังติดอาวุธ
ภาคสนาม ของตารวจ ความม่ันคงมนุษย์ เป็นการสร้างกรอบของสิทธิมนุษยชนสถาบันภาคพลเมือง
ภาคประชาสังคม การปกป้องปัจเจกบุคคล การป้องกันสาธารณภัย และความมั่นคงของประชากร
เสาหลกั นีเ้ กย่ี วขอ้ งกับบทบาทของผูบ้ ญั ชาการหน่วยทหารมากที่สดุ

เสาหลักทางการเมือง เน้นหนักที่ระดมการสนับสนุน การสรา้ งความชอบธรรมและประสิทธิผล
ของกระบวนการสันติภาพ โดยประกอบไปด้วยความพยายามที่จะระดมผู้มีสว่ นไดส้ ่วนเสียมาสนับสนุน
การปกครอง ขยายขอบเขตของธรรมมาภิบาล และสืบสานการปกครองด้วยกฎหมาย ปัจจัยสาคัญคือ
การสร้างศักยภาพทางสถาบันในทุกองค์กรของการปกครอง และสถาบันภาคพลเมืองท่ีไม่ใช่ของรัฐ
และการสร้างบูรณาการทางสังคมให้เกิดข้ึนใหม่ เช่น การเจรจาสันติภาพ การปลดอาวุธ การลดการ
ระดมกาลังทางทหาร เปน็ ต้น

เสาหลักทางเศรษฐกิจ รวมถึงการเยียวยาทางมนุษยธรรมเฉพาะหน้าและโครงการพัฒนาใน
ระยะยาวในดา้ นเศรษฐกิจ อตุ สาหกรรมและการพาณชิ ย์ ความชว่ ยเหลอื ในด้านการจัดการทรัพยากร
และโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งการสร้างระบบโครงสร้างพ้ืนฐานที่สาคัญท้ังระบบ นอกจากนี้ยังเป็นตัว
ช่วยสรา้ งศักยภาพของสงั คม ซงึ่ เปน็ การใช้จ่ายงบประมาณจานวนมาก

เสาหลักท้ังสามจะเป็นตัวค้าจุนวัตถุประสงค์ใหม่คือ การควบคุม ซ่ึงเป็นเป้าหมายสูงสุดของ
การต่อต้านความรุนแรง เป้าหมายจึงมิใช่การแค่สร้างเสถียรภาพ แต่รัฐต้องการใช้เป็นเครื่องมือไปสู่
จุดหมายอ่ืน น่ันก็คือเพ่ือการรักษาสถานการณ์ควบคุมในสภาวะแวดล้อมที่ไร้การควบคุม ดังนั้นใน
การทางานให้บรรลุผลถึงการควบคุมความรุนแรง รัฐบาลจะต้องจัดการให้เกิดจังหวะหรือกระแสของ
กิจกรรมอย่างต่อเน่ือง สามารถควบคุมระดับความรุนแรง และรักษาระดับของเสถียรภาพ ในสภาพ
สิ่งแวดล้อมหรอื ระบบนิเวศทางสังคม เจตนารมณ์ของการต่อต้านความไม่สงบ มิใช่ลดความรุนแรงให้
ถึงระดับศูนย์ หรือฆ่าผู้ก่อความไม่สงบทุกคน แต่อยู่ท่ีการนาระบบกลับไปสู่สภาพปกติ รัฐบาลไม่ใช่
เพยี งแค่สถาปนาอานาจในการควบคุม แตเ่ สรมิ ร้างความเขม้ แข็งให้กับระบบสงั คม และเปล่ยี นให้เป็น
สถาบนั ทย่ี งั่ ยืน มปี ระสิทธผิ ลและมคี วามชอบธรรม

4477

2.15 สรุปท้ายบท

ในบทนี้เราจะเห็นว่าแนวคิด ทฤษฎี และการปฏิบัติการ ด้านสันติวิธีและความขัดแย้งของ
นักวิชาการท้ังในและต่างประเทศทผี่ เู้ ขยี นยกตวั อย่างมา จะมคี วามหลากหลาย มีมุมมองเชิงวิเคราะห์
ทั้งในเร่ืองของ ปรากฎการณ์ที่เกดิ ขึน้ สาเหตุ ผลกระทบ วิธกี ารรบั มือกบั ปัญหา การจดั การความขัดแย้ง
ตั้งแต่ระดบั บคุ คลจนถึงระดบั ชาติ ซึง่ กจ็ ะมีการเปลยี่ นแปลงไปตามสถานการณ์และชว่ งระยะเวลา

มติ มิ ุมมองเร่ืองความขดั แย้งของบคุ คลต่อบุคคล เชน่ ความขดั แย้งมาจากความรู้และความไม่รู้
ถูกถามทดสอบความรู้และเหตุผลตามวิถีของนักปราชญ์โบราณจนอีกฝ่ายหนึ่งหาคำตอบไม่ได้ซึ่ง
เกิดขนึ้ สมยั ของ โสเครติส และต่อมาแนวคดิ ของนักวิชาการหลายคนทคี่ ล้ายกันทั้ง Immanuel Kant
Ludwig Feuerbach และ Max Weber ในเรื่องสาเหตุของความขัดแย้งระหว่างบุคคลหรือระหว่าง
กลุ่ม เกิดจากการเห็นแก่ตัว การเอาเปรียบกัน แก่งแย่ง แข่งขัน ตักตวงผลผลประโยชน์ด้านต่าง ๆ
ส่วน Georg Simmel และ Lewis A. Coser ก็จะชี้ประเด็นว่าความขัดแย้ง เป็นปฏิสัมพันธ์รูปแบบ
หนึ่งภายในกลุ่มท่ีก่อให้เกิดความขดั แย้งข้ึนได้ แต่ถ้าความขัดแย้งเกดิ ขึ้นกับกลุ่มภายนอกก็จะนำไปสู่
ความกลมเกลียวภายในกลุ่มให้เกิดความแน่นแควน้ มากข้ึน ทำนองเดียวกบั สภุ าษติ โบราณของไทยเรา
ที่บอกว่า “ยามศกึ เรารกั ยามสงบเรารบ (กันเอง)”

นักทฤษฎีและนักปฏิวัติทางการเมืองที่สำคัญของโลกอีกท่านหนึ่งที่มีแนวคิดความขัดแย้งคู่กบั
การเมืองที่ชัดเจนในยุคครสิ ต์ศตวรรษท่ี คือคาร์ล 1900 มาร์กซ์ (Karl Marx) โดยมองว่า ความขัดแย้ง
เกิดขึ้นเนื่องจากความเป็นวัตถุนิยม กลุ่มคนมีความสัมพันธ์กันในเรื่องพลังการผลิต จะทำให้เกิดชน
ชั้นในสังคมขึ้น 2 ชนชั้น คือ เจ้าของปัจจัยการผลิต (นายทุน) และ ผู้ที่ไม่ได้เป็นเจ้าของปัจจัยในการ
ผลิต (กรรมกร) ภาวะทางเศรษฐกจิ ทำให้เกิดความขัดแยง้ ทางสังคมและนาํ ไปส่กู ารต่อสูร้ ะหวา่ งชนชั้น
ขึ้น โดยนายทุนจะเอารัดเอาเปรียบผู้ทีไ่ ม่ได้เป็นเจ้าของเครื่องมือในการผลติ (กรรมกร) ส่วนกรรมกร
ผู้ใช้แรงงานจะไม่ยอมให้เอารัดเอาเปรียบอีกต่อไป จึงเกิดการต่อสู้ระหว่างนายทุนกับผู้ใช้แรงงานขน้ึ
และแนวคิดของนักวิชาการอีกคนหนึ่งที่สอดคล้องกับ คาร์ล มาร์กซ์ คือ ซี ไรท์ มิลลส์ C. Wright Mills
มิลลส์จะนำเสนอในขอบเขตของสังคมประเทศสหรัฐอเมริกาโดยมองว่า ชนชั้นนำปกครอง (elite ruler)
ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของการหาผลประโยชน์จากคนส่วนใหญ่ และอธิบายว่าผลประโยชน์ของชนชั้นนำ
และคนส่วนใหญ่แตกต่างกัน โดยเงื่อนไขดังกล่าวก็จะทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างกลุ่มคนทั้งสอง
กลุ่มได้ โดยเฉพาะชนช้ันนำที่เกดิ ข้นึ โดยการผูกขาดอำนาจของ 3 สถาบันหลกั ได้แก่ บริษัทขนาดใหญ่
การทหาร และรัฐบาลสหพันธรัฐ และถ้าเมื่อไหร่อำนาจทั้ง 3 สอดคล้องต้องกันก็จะทำให้เกิดชนชั้น
นำอำนาจ (power elite) สามารถครอบงำสังคมประเทศสหรัฐอเมริกา และก็จะทำให้เกิดความ
ขัดแยง้ ในเรื่องต่าง ๆ กบั คนส่วนใหญข่ องประเทศได้

48 48

นักปฏิบัติการสนั ตวิ ิธี นาเสนอหลักการการแก้ปญั หาโดยการ “ไมใ่ ช้ความรุนแรง”มีคนสาคัญท่ี
ผู้เขียนได้กล่าวถึงคือ มหาตมะ คานธี และ ยีน ชาร์ป โดยหลักการ แนวคิดของทั้งสองคนน้ีมีความ
แตกต่างกัน คานธี มีวิธีการต่อสู้เรียกร้องเอกราชจากประเทศอังกฤษ โดยใช้หลักอหิงสา คือ การไม่
เบียดเบียน ไม่ทารา้ ยผู้อื่น ไม่ปฏิบตั ิผิดต่อผู้อ่ืน ไม่ว่าด้วยกาย วาจา หรือใจ มคี วามรักผู้อ่ืน รักมนษุ ยชาติ
และสัตว์ท้ังหลาย โดยการตั้งปณิธานที่ดี แล้วคิด พูด และปฏิบัติตามปณิธานน้ัน อย่างแน่วแน่ เรียกว่า
การถือความสัตย์ หรือคานธีเรียกว่า “สัตยาเคราะห์” ใช้สันติในการต่อสู้เรียกร้อง ต้องไม่กลัวว่าจะต้อง
สญู เสยี อวัยวะ ทรัพย์สมบตั ิ หรอื แม้กระท่งั ชวี ิต แต่ ยนี ชารป์ ใชห้ ลกั การเรียกร้อง เพอ่ื เอาชนะฝา่ ยตรง
ข้าม เช่น ประชาชนเรียกร้องรัฐบาล โดยไม่ใช้ความรุนแรง เพราะเห็นว่าถ้าใช้ความรุนแรงในการ
เรียกร้องก็จะถูกปราบปราม ตอบโต้กลับอย่างรุนแรงเช่นกัน และการไม่ใช้ความรุนแรงทาให้เกิดแนว
ร่วมความเห็นอกเห็นใจเป็นจานวนมาก และยิ่งประชาชนถูกรัฐบาลปราบปรามด้วยความรุนแรง
รัฐบาลก็จะไม่มีความชอบธรรมในการบริหารประเทศอีกต่อไป ยีน ชาร์ป มองว่าการเอาชนะฝ่ายตรง
ข้ามกไ็ ม่จาเปน็ ต้องมคี วามรักในเพอื่ นมนุษยเ์ หมือนแนวคดิ ของ มหาตมะ คานธี แต่อย่างใด

แนวทางของ คานธี เป็นแนวทางที่ พระไพศาล วสิ าโล นักกจิ กรรมทางสงั คมด้านสันติวิธี
ของไทย นามาขยายผล และปรับให้สอดคล้องกับบริบทสังคมไทยโดยมองว่านักปฏิบัติการสันติวิธี
แบบพทุ ธ ในการต่อสู้แบบสันติวธิ ีปฏิบัตกิ ารทางสังคมเป็นส่วนหน่งึ ของการฝึกฝนพฒั นาตนในทางจิต
วิญญาณ เป็นการบม่ เพาะความเมตตาความอดทน ความไม่ถือตวั ตนและการเอาชนะความโกรธเกลียด
ความพร้อมจะทุกข์กายโดยไม่ทุกข์ใจตามไปด้วย เป็นต้น แต่ยังคงนาแนวคิดของ ยีน ชาร์ป มาผสาน
โดยระบุว่า บ่อยครั้งพลังของสันติวิธีอยู่ที่การไม่กระทา เช่น การไม่ให้ความร่วมมือ การดื้อแพงไม่
ปฏิบัติตามกฎหมาย การไม่ไปเกณฑ์ทหาร การน่ังอยู่เฉย ๆ หน้าขบวนรถถัง เป็นต้น ยังมีนักวิชาการ
ของไทยอีกท่านหนึ่ง คอื ชยั วัฒน์ สถาอานันท์ ทมี่ แี นวคิดเห็นด้วยกบั การปฏิบัติการแบบ “ไมใ่ ช้ความ
รุนแรง” ของยีน ชาร์ป และท่านได้มองความขัดแย้งท่ีเกิดข้ึนว่า เราต้องปรับตัวอยู่ร่วมกัน ในสังคมท่ี
มีความแตกต่างหลากหลายให้ได้ จะต้องช่วยกันประคับประคองความขัดแย้ง ปกป้องไม่ให้ (ความ
ขัดแยง้ ) กลายเป็นความรนุ แรง เพราะความขดั แย้งก็มสี ่วนสาคญั ในการขบั เคลอื่ นสงั คมด้วยเชน่ กนั

ส่วนแนวคิดของนักวิชาการอย่าง โยฮัน กัลป์ตุง ก็เป็นพ้ืนฐานสาคัญท่ีทาให้สังคมได้เข้าใจ
พื้นฐานของการวิเคราะห์ความขัดแย้งผ่านสามเหลี่ยม CBA หรือ ความขัดแย้งขัดแย้ง = ทัศนคติ +
พฤติกรรม + ความไม่ลงรอยกัน และได้พูดถึง สันติภาพเชิงลบ และสันติภาพเชิงบวกได้อย่างเป็น
รูปธรรม ตลอดจนการช้ีให้เห็นถึงชนิดหรือสาเหตุท่ีสาคัญของความขัดแย้งของ Moore ผ่านวงกลม
ความขัดแย้ง (Moore’s circle of conflict) ได้แก่ ความขัดแย้งด้านข้อมูลข่าวสาร ผลประโยชน์
ค่านิยม โครงสร้าง และความสัมพันธ์ อันน้ีนักวิจัยและนักวิชาการของไทยหลายท่านนามาเป็นกรอบ
ในการวิเคราะห์ เช่น วันชัย วฒั นศัพท์ เป็นตน้ นอกจากน้ันผู้เขยี นได้นาเสนอมมุ มองของนักวิชาการที่

4499

เปน็ มสุ ลิมอยา่ งสุชาติ เศรษฐมาลินี ที่อธิบายถึงคาสอนของศาสนาอิสลามสนับสนุนการสร้างสนั ติภาพ
ในสังคมท่ีสามารถนามาเป็นกรอบในการอยูร่ ว่ มกันในสังคมพหวุ ัฒนธรรมในสังคมไทยได้ และปดิ ท้าย
ด้วยแนวคิดของนกั วิชาการดา้ นสันตภิ าพของไทยทม่ี องความขัดแย้งในพน้ื ทสี่ ามจงั หวัดชายแดนได้ลุ่ม
ลึกอย่าง ศรสี มภพ จติ ร์ภริ มยศ์ รี โดยนาเสนอตวั แบบมีสามเสาหลัก เพือ่ สรา้ งวิหารแห่งสันติภาพและ
ความม่ันคงเพ่ือการจัดการความขัดแย้ง ทั้งเร่ือง ความม่ันคง การเมือง และด้านเศรษฐกิจ ให้เกิด
ความสมดุลมีประสิทธภิ าพ และชอบธรรม

50 50

2.16 คาถามท้ายบท

1. ความขัดแย้งทางชนช้ัน ตามแนวคดิ ของ คารล์ มารก์ ซ์ เปน็ อย่างไรจงอธบิ าย
2. สามเหลย่ี มความขัดแยง้ ของ โยฮัน กลั ป์ตุง เปน็ อย่างไร จงอธบิ าย
3. ถา้ ทา่ นเป็นนักตอ่ ส้ตู ามแบบฉบบั ของมหาตมะ คานธี ซงึ่ เป็นผู้นาในการตอ่ สเู้ พ่ือเอกราช

ของประเทศอินเดียให้พ้นจากการตกเป็นเมอื งขนึ้ ของประเทศอังกฤษได้เมื่อปี ค.ศ.1947
ท่านจะต่อสูโ้ ดยวธิ ีการใด? วิธกี ารดังกลา่ วมี หลกั การอย่างไร?
4. ให้ท่านอธบิ ายวธิ ีการเคลือ่ นไหวของนกั เรยี น นักศกึ ษา เพื่อใหเ้ กดิ การเปลีย่ นแปลงทาง
การเมืองของรฐั บาลไทยช่วงปีพ.ศ.2563-2565 สอดคลอ้ งกับหลักการและแนวคิดของ
นักวชิ าการท่านใดมากทส่ี ุด มีวธิ กี ารอย่างไร
5. การสรา้ ง สันตวิ ัฒนธรรมในสงั คมไทย ควรเป็นอย่างไร จงอธิบาย

5511

2.17 เอกสารอ้างอิง

ชลัท ประเทอื งรัตนา. (2550). คานธีกับการชมุ ชนประทว้ งในสังคมไทย วารสารสถาบนั พระปกเกล้า
(5)13, 34 – 47.

ชัยวฒั น์ สถาอานันท์. (2557). ทา้ ทายทางเลือก ความรุนแรงและการไม่ใชค้ วามรุนแรง. กรงุ เทพฯ:
สานักพิมพ์ของเรา.

นอรเ์ บิอร์ต โรเปอส์. (2558). คู่มอื กระบวนการสันติภาพชายแดนใต/้ ปาตานี เราจะทางานรว่ มกนั ได้
อย่างไร. ฟารีดา ปนั จอร์ บรรณาธิการ: โครงการจัดพมิ พ์ดีพบุคส์ ศนู ย์เฝา้ ระวังสถานการณ์
ภาคใต้.มหาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทร์ วทิ ยาเขตปัตตานี.

ปาเรคห์ ภกิ ขุ. (2557). คานธี ความรฉู้ บบั พกพา (อลสิ า สันตสมบัติ, ผู้แปล) กรุงเทพฯ: โอเพ่นเวิลตส์
พบั ลชิ ช่งิ .

พระไพศาล วสิ าโล. (2552). รากฐานของสันตวิ ิธี. สบื ค้นจาก
http://www.visalo.org/article/P_Raktan.htm.

ยีน ชารป์ . (1982). อานาจและยทุ ธวิธีไรค้ วามรุนแรง (ชัยวัฒน์ สถาอานนั ท์และคมสัน หุตะแพทย์ ผู้
แปล) ไพศาล วงศว์ รสิทธ์ิ บรรณาธกิ ารแปล. พมิ พ์ครัง้ แรก 2528 กรุงเทพฯ: มูลนิธิโกมลคีม
ทอง.

รัฐพล เยน็ ใจมา และ สุรพล สุยะพรหม. (2561). ความขัดแย้งในสังคม : ทฤษฎีและแนวทางแก้ไข.
วารสาร มจร สงั คมศาสตรป์ ริทรรศน์ (7)2, 224 – 238.

รุ้งนภา ยรรยงเกษมสขุ (2550). ชนช้นั นาในการเมอื งไทยปัจจุบนั : การศึกษากระบวนการผลติ ซา้ ทนุ
วฒั นธรรมตามแนวปแิ อร์ บรู ์ดิเออ. วิทยานิพนธ์ (ป.ร.) คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์
มหาวทิ ยาลยั .

วนั ชยั วฒั นศัพท์. (2549). กระบวนทศั นใ์ หม่ในการป้องกันความขัดแย้ง วารสารผูต้ รวจการแผ่นดนิ
ของรฐั สภา (5)1, 7-22.

____________ (2555). ความขดั แย้ง:หลกั การเคร่ืองมือแกป้ ัญหา. พิมพค์ ร้ังที่ 4 กรงุ เทพฯ: คลัง
นานาวทิ ยา.

ศรีสมภพ จติ รภ์ ริ มยศ์ ร.ี (2563). การเมืองการปกครองและการจดั การความขดั แย้งในจังหวดั ชายแดน
ภาคใต้(ปาตานี). สถานวจิ ยั ความหลากหลายทางวฒั นธรรมภาคใต้
มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปตั ตานี.

52 52

สชุ าติ เศรษฐมาลนิ ี. (2014). การสรา้ งสนั ตภิ าพและสันตวิ ิธีในวถิ อี สิ ลาม. สืบคน้ จาก
http://www.deepsouthwatch.org/node/5702 2014-05-15 01:07.

สรุ พงษ์ ลอื ทองจักร. (2552). หลกั มานษุ ยวิทยาและหลักสังคมวิทยา(การจดั การระเบยี บทางสงั คม).
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั อดุ รธาน.ี

Berghof Foundation. (2012). อภธิ านศัพทว์ า่ ดว้ ยการแปรเปลย่ี นความขัดแย้ง: 20 แนวคดิ เชงิ
ทฤษฎี และปฏบิ ัติ. (ภคั วดี วรี ะภาสพงษ์ ผู้แปล) กรงุ เทพฯ: สำนักพมิ พ์ของเรา.

Friedrich Glasl, (1997). Confronting Conflict: A First-Aid Kit for Handling Conflict.
Stroud: Hawthorn Press.

Friedrich Glasl. (2021). model of conflict escalation Retrieved from
https://en.wikipedia.org/wiki/Friedrich_Glasl%27s_model_of_conflict_escalation.

Lonut Stalenoi. (2014). “THE PEOPLE’S WAR” AND JOHAN GALTUNG’S CONFLICT
MODELS The Public Administration and Social Policies Review VI, 1(12), 32-44.

53

บทท่ี 3
ความขดั แย้งและสันตภิ าพในประเทศไทย

ความขดั แย้งในสงั คม

ความขัดแย้งในสังคมไทยท้ังท่ีผ่านมา และท่ีเป็นอยู่ในปัจจุบัน เกิดขึ้นในหลายมิติ พอจะ
ประมวล ได้ ดังต่อไปนี้ (ฉันทนา บรรพศิริโชติ, 2542, ลิขิต ธีรเวคิน, 2553 และกรุณา มธุลาภ
รงั สรรค์, 2563)

1. ความขัดแย้งทางอุดมการณ์ทางการเมือง สังคมไทยได้ผ่านประสบการณ์ความขัดแย้ง
และมีการต่อสู้ทางการเมืองใหญ่ๆหลายๆเหตุการณ์ เช่น 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516, 6 ตุลาคม พ.ศ.
2519 รวมถึง พฤษภาคม พ.ศ. 2535 แต่ละครั้ง สังคมไทยต้ังคาถามกับระบบการเมืองที่เป็นอยู่ และ
มองทางออกสาหรับความขัดแย้งทางการเมืองไปที่ การพัฒนาประชาธิปไตยให้มั่นคง ทั้งเชิงสถาบัน
และเชิงวฒั นธรรม ทงั้ ในวธิ ีคิดและวธิ ีปฏิบัติของพลเมือง

ความขัดแย้งทางการเมืองยืดเยื้อ เร้ือรัง ตอนเริ่มต้นเม่ือปลายปี พ.ศ. 2548 และพัฒนาเป็น
ความขัดแย้งระหว่าง “กลุ่มสีเสื้อ” นาไปสู่เหตุการณ์รัฐประหาร พ.ศ. 2549 และทวีความรุนแรงขึ้น
ด้วยรูปแบบและวิธีการต่าง ๆ อย่างหลากหลายก่อให้เกิดผลเสียต่อประเทศชาติในหลายๆ ด้านอย่าง
คาดไม่ถึง สถานการณ์ความขัดแย้งของมวลชนกลุ่มต่าง ๆ ด้วยกัน หรือความขัดแย้งท่ีเกิดกับ
ฝา่ ยรัฐบาลมักจะต้องมนี ักการเมือง หรอื กลุม่ ทางการเมืองเป็นผู้ให้การสนับสนนุ หรือเป็นผู้นามวลชน
ไปสู่ความขดั แย้ง จนเกดิ รฐั ประหารอีกครัง้ หนึ่งในวนั ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

2. ความขัดแย้งผลประโยชน์ ในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ด้านแหล่งผลิตอาหารของคนโดยเฉพาะ
อย่างยิ่งเร่ืองของการใช้ท่ีดินเพ่ือผลิตอาหารกับเพื่อการอื่น ๆ เจ้าของท่ีดินกับเกษตรกรไร้ที่ทากิน
ความขดั แยง้ เรอื่ งการถือครองทด่ี ิน การใช้ทดี่ ินเพื่อการเกษตรในพื้นท่สี งู กบั เกษตรกรในท่ีราบ เปน็ ต้น
ด้านการใช้ทรัพยากร เช่น ความขัดแย้งเรื่องนาเกลือ-นาข้าว ประมงชายฝ่ัง-นากุ้ง สนามกอล์ฟ-การ
ชลประทานเพ่ือการเกษตร อุตสาหกรรม/การท่องเที่ยว/การขยายเมือง ปัญหามลภาวะ การกาหนด
เขตพ้ืนที่ทากินของรัฐไม่ชัดเจน ทาให้เกิดการบุกรุกที่สาธารณะของประชาชน เกิดข้อพิพาทระหว่าง
ประชาชนกับเจ้าหน้าท่ีอุทยานแห่งชาติ ความขัดแย้งผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจผลประโยชน์ทาง
การค้า แขง่ ขันกันทางธุรกิจต่าง ๆ

3. ความขัดแย้งด้านคุณค่า ความเชื่อ ได้แก่ การนับถือศาสนา ค่านิยม ความเห็นในเร่ือง
คุณค่าของชีวิต ความเห็นในเร่ืองศีลธรรม จริยธรรม รสนิยม ซ่ึงเกิดจากวัฒนธรรมความช่ืนชอบท่ี
แตกต่างกนั ผิวสี ชาติพันธต์ุ า่ งกัน เปน็ ต้น

54 54

ตัวอย่างรูปธรรมของความขัดแย้งหลัก ๆ ในประเทศไทย ได้แก่ ความขัดแย้งทางการเมือง
ความขดั แยง้ ทางทรัพยากรสง่ิ แวดลอ้ ม ความขดั แยง้ ด้านโครงการขนาดใหญ่ และความขัดแย้งในพื้นท่ี
สามจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ ซง่ึ จะกล่าวรายละเอยี ดดงั ตอ่ ไปนี้

3.1 ความขัดแย้งทางการเมอื งและการแกไ้ ขโดยสนั ติวธิ ี

3.1.1 ความขดั แย้งทางการเมอื งระดับชาติ
ความขัดแย้งทางการเมืองไทยท่ีเกิดข้ึนในในช่วงปี พ.ศ. 2547-2553 เกิดจากความต้องการ
อานาจทางการเมอื ง การเข้าสอู่ านาจทางการเมอื งของฝ่ายการเมืองตา่ ง ๆ ความต้องการผลประโยชน์
การคอร์รปั ช่ัน ความไมเ่ ท่าเทียมกันในสงั คม การรับรขู้ า่ วสารท่ีไมต่ รงกนั ของประชาชน การบริหารรัฐ
ส่วนการทารัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ได้มีการนาสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามา
เก่ยี วขอ้ งกับทางการเมืองและการนาปัญหาระหว่างประเทศไทยกบั กัมพชู าเร่อื งประสาทเขาพระวิหาร
มาเป็นประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วสาเหตุของปัญหาทาง
การเมืองเกิดขึ้นมาแล้วต้ังแต่ประเทศไทยเร่ิมต้นการนาระบอบประชาธิปไตยมาใช้ในการปกครอง
ประเทศ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 (พิชญา สุกใส, 2554) สถานการณ์ตั้งแต่หลังการเปล่ียนแปลงการ
ปกครองจนถึงปี พ.ศ. 2562 ประเทศไทยมีความพยายามยึดอานาจ 24 ครั้ง สาเร็จ 13 ครั้ง และมี
การโค่นล้มรัฐบาลเผด็จการโดยพลังประชาชนอีก 2 ครั้ง เหตุผลของการก่อการทั้งหมดได้แก่ เรื่อง
สถาบันพระมหากษัตริย์ท้ังสิ้น 10 ครั้ง เรื่องรัฐบาลในขณะนั้น 14 ครั้ง เร่ืองรัฐธรรมนูญ 8 ครั้ง เรื่อง
กองทัพ 6 ครั้ง เรื่องคอร์รัปชัน 6 คร้ัง เรื่องคอมมิวนิสต์ 6 ครั้ง เร่ือง ส.ส. และนักการเมือง 2 คร้ัง
เรื่องประเทศเป็นของประชาชน เอกราชเป็นของชาติ 2 คร้ัง เรื่องนักศึกษา 1 ครั้ง และเร่ืองการ
เลอื กตัง้ 1 คร้ัง (ประชาไท, 2563) ดงั ภาพท่ี 3-1

5555

ภาพท่ี 3-1 การทารัฐประหารในประเทศไทยจนถงึ ปัจจบุ นั

ท่ีมา : https://board.postjung.com/1198258

1) ผลกระทบจากความขดั แย้งทางการเมอื ง
นอกจากเกิดความแตกแยกทางสังคมของกลุ่มการเมืองต่าง ๆ เกิดการปะทะกันของคนมี
ความคิดเห็นทางการเมืองต่างกัน การชุมชนประท้วงก่อความรุนแรงเพ่ือต่อต้านรัฐบาล ความขัดแย้ง
ประชาชนที่อ้างการใช้สิทธิการมีส่วนร่วมทางการเมืองกับเจ้าหน้าท่ีรัฐท่ีใช้กฎหมายต่าง ๆ และ
ผลกระทบทางด้านเศรษฐกจิ
ได้มีการประเมินความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศไทยพบว่า มีแนวโน้มเพ่ิมสูงขึ้นใน
ภาพรวม โดยมีการเคลื่อนไหวที่เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงหลายครั้งในชว่ งปี ค.ศ. 2006-2014 โดยประเดน็
การปฏิรูปการเมืองกลายเป็นแหล่งที่มาหลักของความไม่แน่นอนทางการเมืองไทย และได้ส่งผล
กระทบท่ีมีต่อเศรษฐกิจมหภาค ซึ่งได้วิเคราะห์ความไม่แน่นอนทางการเมืองตามภาพที่ 3-2 และ
ผลกระทบต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจ ทั้งในระยะส้ันและระยะยาวสรุปได้ดังน้ี (พงศ์ศักดิ์ เหลืองอร่าม
และยทุ ธนา เศรษฐปราโมทย์, 2018)

56 56

1. ส่งผลเชิงลบต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะสั้น (รวมถึงก่อให้เกิด ความผันผวน
ทางเศรษฐกจิ ท่สี งู ขึน้ ) และศกั ยภาพการเจริญเตบิ โตของผลผลิตในระยะยาว

2. ส่งผลต่อการลงทุนภาคเอกชน โดยเฉพาะด้านความขัดแย้งจากการชุมนุม และด้านการ
ปฏิรูปโครงสร้างการเมืองมีผลกระทบ ของการลงทุนภาคเอกชนได้ในระดับท่ีค่อนข้างสงู ถึง ประมาณ
รอ้ ยละ 16-17

3. ผลกระทบต่อการบริโภคภาคเอกชน ท้ังการบริโภคสินค้าคงทนและการบริโภคสินค้าไม่
คงทน ปรับตวั ลดลงเมอื่ เกิดการปะทุข้นึ ในความไม่แนน่ อนทางการเมือง

4. มีต่อการส่งออกและการนาเข้าสินค้าและบริการ เม่ือเกิดความไม่แน่นอนทางเมือง
โดยเฉพาะดา้ นการประท้วงและการปฏวิ ัติ

5. ผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมแยกตามรายสาขาการผลิต ได้แก่ การโรงแรม อสังหารมิ ทรพั ย์
และการบรกิ ารขนสง่

6. ความขัดแย้งจากการชุมนุม การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือกฎอัยการศึก การทา
ปฏวิ ัติรฐั ประหาร และการปฏิรปู การเมอื งสง่ ผลทางลบตอ่ ความผนั ผวนของ ผลตอบแทนในดชั นีตลาด
หลักทรัพย์ไทย

5577

ภาพท่ี 3-2 ดชั นภี าพรวมความไม่แนน่ อนทางการเมอื งในประเทศไทยตั้งแต่ปี ค.ศ. 2006-2014

ท่ีมา : พงศ์ศกั ด์ิเหลอื งอร่าม และยทุ ธนา เศรษฐปราโมทย์ (2018)

2) แนวทางและวิธีการในการแกไ้ ขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองโดยสันติวธิ ี
การแก้ปัญหาความขัดแยง้ ของการเมืองไทยในชว่ งระยะเวลา 10 ปที ผ่ี า่ นมานนั้ พบว่าตอ้ งนา
วิธกี ารหลาย ๆ วธิ ี ออกมาใช้ เพราะท้ังการเจรจา ท้งั การใชก้ ฎหมาย เชน่ การออก พระราชกาหนดฉุกเฉิน
ของทุกรัฐบาลในขณะน้ัน แม้กระท่ังมีผู้ที่พยายามจะไกล่เกลี่ย โดยทาตัวเป็นคนกลางเพื่อประสาน
ความสัมพันธ์ สร้างความปรองดองทางการเมือง แต่ก็ยังไม่เป็นผลสาเร็จ เนื่องจากความขัดแย้งที่เกิดข้ึน
ในระดับประเทศไม่ไช่เพียงความขัดแย้งของกลุ่มฝ่ายผู้บริหาร และนักการเมืองเท่าน้ัน แต่ความขัดแย้ง
ได้ลุกลามในทุก ๆ สังคมของประเทศ แม้แต่ประชาชนเองก็ยังได้แตกออกเป็นฝ่ายต่าง ๆ (พิชญา สุกใส,
2554) อย่างไรก็ตามเม่ือเกิดความขัดแย้งทางการเมืองข้ึนก็จาเป็นจะต้องคลี่คลายปัญหา ซึ่งควรจะเป็น
กลไกความร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ ไม่ใช่เป็นหน้าท่ีของฝ่ายรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว ได้แก่ รูปแบบของ
การปรองดองสมานฉนั ท์แห่งชาติ (สถาบันพระปกเกล้า, 2555)
การปรองดองสมานฉนั ท์แหง่ ชาติ
การขอใหท้ ุกฝ่ายให้ความรว่ มมือในการสร้างความปรองดองบนพื้นฐาน ของความจริงจังและ
จรงิ ใจดว้ ยกระบวนการพูดคยุ (Dialogue) หาทางออก ใน 2 ระดบั คือ 1) ระดบั ตวั แทนทางการเมือง

58 58

และกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียโดยตรง และ2) ระดับประชาชนในพื้น เพื่อทาให้สังคมได้ร่วมกันแสวงหา
ทางออกต่อความขัดแย้งทางการเมือง โดยมีแนวทางการดาเนนิ การดังน้ี

เนื้อหาสาระของการพูดคุยแลกเปลี่ยน ควรมีสาระการพูดคุยอย่างน้อย 6 ประเด็น โดย
แบ่งเปน็ ระยะส้นั 4 ประเดน็ เพ่ือทาให้ความแตกแยกและบาดแผลที่เกิดขึ้นกบั สังคมและปัจเจกบุคคล
กลับคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็ว และระยะยาว 2 ประเด็นเพ่ือป้องกันความรุนแรงท่ีอาจจะเกิดข้ึน
ดงั ต่อไปนี้

ระยะสั้น: ซ่ึงมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การใช้ความรุนแรงยุติลง เพ่ือทาให้ความขัดแย้งความ
บาดหมาง และบาดแผลที่เกิดขึ้นกับสังคมและปัจเจกบุคคลกลับคืนสู่ภาวะปกติให้เร็วท่ีสุด ประกอบ
ไปดว้ ยกระบวนการดังตอ่ ไปน้ี

1.การจัดการกับความจริง
มขี อ้ เสนอแนะในเร่ืองการจัดการกับความจริงของเหตุการณค์ วามรุนแรงว่า

1) ควรเปดิ เผยขอ้ เทจ็ จรงิ ของเหตกุ ารณท์ ีเ่ กิดขึน้ ต่อสาธารณะภายในเง่อื นไขของเวลาที่
เหมาะสม

2) การกาหนดให้การเปดิ เผยขอ้ เท็จจรงิ ควรเปน็ การศึกษาเพื่อเรยี บเรียงเหตกุ ารณท์ ี่
เกิดขึน้ ในอดีต

3) จะตอ้ งไม่มีการระบตุ วั บุคคลในเหตุการณ์ต่าง ๆ
4) วตั ถปุ ระสงค์ของการเปดิ เผยความจริงนีต้ อ้ งเปน็ ไปเพ่ือให้ศึกษาปรากฏการณเ์ พ่ือ

สังคมได้เรยี นรู้บทเรยี นท่เี กิดขึน้ ในอดีต และเป็นการสร้างฉันทามตริ ว่ มกันหา
มาตรการเพือ่ ป้องกันมิให้เหตุการณด์ งั กล่าวเกดิ ขน้ึ อีกในอนาคต
5) สนบั สนนุ สง่ เสรมิ บทบาทของ คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริง
เพือ่ การปรองดองแหง่ ชาติ (คอป.) ใหด้ าเนนิ การค้นหาความจริงของเหตกุ ารณ์
รุนแรงท่นี ามาซึ่งความสูญเสียใหแ้ ล้วเสร็จภายในระยะเวลาหกเดือน
6) หน่วยงานของรฐั จะต้องใหค้ วามร่วมมอื กับ คอป. ในการตรวจสอบค้นหาความจริง
ตอ้ งมีการกาหนดงบประมาณให้เพมิ่ มากข้นึ และเพ่มิ บุคลากรท่จี าเปน็
2. การให้อภัยผ่านกระบวนการนิรโทษกรรมคดีที่เก่ียวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง
โดยรวมถึงกลุ่มผู้ชุมนุมทุกฝ่าย เจ้าหน้าท่ีรัฐและผู้บังคับบัญชา ตลอดจนผู้มีหน้าท่ีรับผิดชอบในการ
รักษาความสงบเรียบร้อย แต่เป็นทางเลือกพึงใช้ โดยระมัดระวัง และควรต้องกระทาภายใต้บรรยากาศ
ของการปรองดองท่ีเกิดขน้ึ กับทุกฝ่ายทจ่ี ะได้รับผลกระทบจากการนิรโทษกรรม โดยตอ้ งเกดิ ความรู้สึก
ร่วมกันท่จี ะทงิ้ ความขัดแยง้ ไว้เบอ้ื งหลงั แลว้

5599

3. การเสริมสร้างความเช่ือมั่นในกระบวนการยุติธรรมให้เป็นไปตามหลักนิติธรรมและเป็น
การลดเง่ือนไข ข้อกล่าวอ้างว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมในส่วน ของการดาเนินคดีกับผูถ้ ูกกลา่ วหา โดย
กระบวนการตรวจสอบ ของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทาที่ก่อให้เกดิ ความเสยี หายแกร่ ัฐ (คตส.)

4. การกาหนดกติกาทางการเมอื งซ่ึงอาจรวมถงึ การแก้ไข กฎหมายหลัก รัฐธรรมนูญ
ซึ่งทุกฝ่ายท่ีเกี่ยวข้องควรพิจารณาหาข้อสรุปต่อประเด็นท่ีอาจจะขัดต่อหลักนิติธรรมและ
ความเป็นประชาธิปไตย และต้องหลีกเลี่ยงการสร้าง “ความยุติธรรมของผู้ชนะ” ท่ีไม่ได้สร้างความ
ยอมรับได้ของทุกฝ่าย และเป็นบ่อเกิดของความขัดแย้ง อาทิ การถ่วงดุลอานาจระหว่างฝ่ายบริหาร
ฝ่ายนิติบัญญัติ และองค์กรอิสระ การได้มาซ่ึงบุคคลท่ีเข้าดารงตาแหน่งในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ
และการตรวจสอบองค์กรสรรหาองค์กรอิสระ การยบุ พรรคการเมืองโดยงา่ ย เป็นต้น
ระยะยาว: การแก้ไขปัญหาในระยะยาว เปน็ การจดั การกระบวนทศั น์ และสาเหตมุ ูลฐานของ
ความขัดแย้ง เพ่ือปอ้ งกันมิให้ความขดั แย้งเกดิ ข้ึนมาอีกในอนาคต ทง้ั นี้ประกอบไปด้วย
1. การสรา้ งการยอมรับต่อมมุ มองประชาธปิ ไตยที่แตกต่างกัน
การสร้างการยอมรับต่อมมุ มองประชาธิปไตยที่แตกต่างกัน เปน็ การจัดการด้านกระบวนทัศน์
ของสังคม โดยเฉพาะอย่างย่ิงในเร่ืองของความเห็นร่วมกันในคุณลักษณะของการปกครองระบอบ
ประชาธิปไตยไทยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และการพิจารณาถึงกติกาทางการเมืองที่เป็น
ธรรม ผ่านการพิจารณาสาระสาคัญของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ในฐานะแม่บททางการ
เมืองไทย ซ่ึงจะต้องเป็นกระบวนการที่เกิดข้ึนร่วมกันผ่านกลไกหลักในระดับชาติ ด้วยความร่วมมือ
และการสนับสนุนจากประชาชนคนไทยท้ังชาติ หน่วยงาน และองค์กรต่าง ๆ ทั้งรัฐบาลและเอกชน
เพ่ือค้นหาจุดร่วมกันของสังคม ซ่ึงจะกลายเป็นค่านิยมร่วมของสังคม ที่จะเป็นแกนกลางระดับ
เปา้ หมายและยทุ ธศาสตร์ของการพฒั นาประเทศอยา่ งเป็นอนั หนงึ่ อนั เดียวกนั ต่อไป
2. การวางรากฐานของประเทศเพื่อความเป็นธรรมในสังคม
ในการแก้ไขความไม่เป็นธรรมในสังคมน้ัน “ความล้มเหลว” ของประเทศไทย เกิดจากความ
เหล่ือมล้าอย่างสุดข้ัวในทุกมิติ ได้แก่ ด้านรายได้ ด้านสิทธิ ด้านโอกาส ด้านอานาจ และด้านศักด์ิศรี
ความเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างแกนหลัก ที่ส่งผลให้เกิดปัญหาเชิงโครงสร้างอื่นๆ ด้วย
ด้วยเหตุนี้จะต้องมีการ “ปรับความสัมพันธ์เชิงอานาจ” เพ่ือให้ประชาชนไทยทุกกลุ่มสามารถเข้าถึง
ทรัพยากรได้มากข้ึนและมีความเท่าเทียมกัน ท้ังทรัพยากรในรูปแบบกายภาพ และทรัพยากรทาง
อานาจ ได้แก่ ทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพยากรเศรษฐกิจ ทรัพยากรสังคม และทรัพยากรการเมือง อัน
นาไปส่กู ารเสนอแนวทางแกไ้ ขปัญหาในดา้ นต่างๆ ตามทรพั ยากรแตล่ ะประเภท โดยใชเ้ ครอื่ งมอื หลัก ๆ
2 เคร่ืองมือ ได้แก่ การกระจายอานาจจากส่วนกลางสู่ท้องถ่ิน เช่น การปฏิรูปท่ีดิน การจากัดเพดาน
ถือครองที่ดิน การบริหารทรัพยากรแร่โดยหลักการความเป็นหุ้นส่วนสาธารณะ การกระจายการ
บริหารจัดการน้า ทะเล และชายฝั่งให้เป็นหน้าท่ีของท้องถ่ิน ตลอดจนการปรับโครงสร้างการบริหาร

60 60

เมือง การปฏิรูปโครงสร้างอานาจรัฐ การกระจายอานาจ การลดการรวมศูนย์ และการมุ่งเน้นการ
กระจายผลประโยชน์ผ่านนโยบายมุ่งเน้นการกระจายผลประโยชน์ (Distributive Policies) และ
นโยบายมุ่งเน้นการกระจายความเป็นธรรม (Redistributive Policies) เพื่อแก้ไขปัญหาในการ
“ชดเชยโอกาส” ท่ผี ูข้ าดแคลนโอกาสในการเข้าถงึ ทรพั ยากรต่าง ๆ อย่างไม่เปน็ ธรรม จดุ มงุ่ หมายของ
นโยบายเพื่อเปิดโอกาสให้คนจนได้มีสิทธเ์ิ ปน็ เจ้าของทรัพย์สินเพื่อการดารงชีวติ ที่ดี เพ่ือเสริมสร้างให้
เกิดการกระจายรายได้ หรอื ผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม

การสรา้ งบรรยากาศแห่งการปรองดอง สาหรับบรรยากาศในการสร้างความปรองดองก็เป็น
เร่ืองสาคัญท่ที กุ ฝ่ายทเ่ี กยี่ วข้องต้องดาเนนิ การได้แก่

รัฐบาล: ควรมบี ทบาทในการดาเนนิ การ ได้แก่ 1) แสดงเจตจานงทางการเมืองชดั เจน รวมท้งั
มแี นวทางที่เปน็ รปู ธรรมท่ีจะสร้างความปรองดองในชาติโดยเร็ว 2) สรา้ งความตระหนกั แก่สังคมให้ทุก
ภาคส่วนเห็นความสาคัญของการสร้างความปรองดองในชาติ และ 3) มีคาอธิบายต่อเหตุการณ์ความ
รุนแรงที่เกิดข้ึน และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงท้ังในรูปของตัวเงินและ
ความรู้สึก อาทิ การให้เกียรติผู้สูญเสียทุกฝ่าย หรือการสร้างสัญลักษณ์เพ่ือเป็นที่ราลึกถึงบทเรียนต่อ
เหตุการณท์ างการเมอื งของสังคมไทย

ผทู้ เ่ี กย่ี วข้อง: สาหรบั ผูท้ เ่ี กย่ี วข้องควรดาเนินการ ไดแ้ ก่ 1) ทุกฝ่ายควรงดเว้นการกระทาใด ๆ
ท่ีทาให้ผู้คนรู้สึกว่าอยู่ในสังคมที่ไม่เคารพกฎหมายและหลักนิติรัฐ อาทิ การใช้มวลชนในการเรยี กร้อง
หรือกดดันด้วยวิธีการอันผิดกฎหมาย และ 2) ควรลดความหวาดระแวงระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ในสังคม
โดยยุติการเคลื่อนไหวใด ๆ ที่อาจถูกตีความได้ว่าเป็น ความพยายามท่ีจะก่อให้เกิดการเปล่ียนแปลง
ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ 3) สื่อมวลชนควรสนับสนุนกระบวนการสร้างความปรองดองและ
หลีกเล่ียงการสร้างความขัดแย้งใหม่โดยนาเสนอความคิดเห็นทางการเมืองจากฝ่ายต่าง ๆ อย่างรอบ
ด้าน และ 4) สังคมไม่ควรร้ือฟ้ืนเอาผิดกับการทารัฐประหารที่ผ่านมาในอดีตและต้องหามาตรการใน
การป้องกันมิให้เกิดการรัฐประหารอีกในอนาคต พร้อมทั้งกาหนดโทษของการกระทาดังกล่าวไว้ใน
ประมวลกฎหมายอาญา

ปัจจัยความสาเร็จที่สาคัญอย่างน้อย 2 ประการ คือ 1. เจตจานงทางการเมืองของผู้มีอานาจ
รัฐท่ีจะสร้างความปรองดองโดยคานึงถึงประโยชน์ของส่วนรวมเป็นสาคัญ 2. กระบวนการสร้างความ
ปรองดองจะต้องมีพื้นทใ่ี ห้กบั กลุม่ ผู้มีสว่ นได้เสียโดยตรงและประชาชนจากทุกภาคสว่ นในสังคมไทยได้
มีโอกาสในการแสดงความคิดเห็นต่อทางออกและแนวทางป้องกันมิให้ความขัดแย้งกลับกลายเป็น
ความรุนแรงในอนาคต และ 3. ปัญหาใจกลางซ่ึงเป็นเหตุแห่งความขัดแย้งจะต้องได้รับการแก้ไขและ
แปรเปลยี่ นเปน็ พลงั ในการพัฒนาประชาธปิ ไตยที่พึงปรารถนาของประเทศไทย

6611

3.1.2 ความขัดแย้งการเมอื งท้องถิ่น
1) สาเหตุของปัญหา
ความขัดแย้งของการเมืองท้องถิ่น มีรูปแบบความขัดแย้งกันระหว่างผลประโยชน์

ส่วนตัวและผลประโยชน์ส่วนรวมในองค์กรปกครองท้องถ่ินที่พบมากท่ีสดุ คือ สมาชิกสภาท้องถ่ินและ
ผู้บริหารท้องถิ่นทาธุรกิจค้าขายกับองค์กรปกครองท้องถ่ินท่ีตนเองดารงตาแหน่ง ซึ่งการเข้ามาทาธุรกิจ
น้ันมีท้ังโดยตรง คือเป็นเจ้าของบริษัทเองหรอื เป็นหุ้นส่วนหรือผ้ถู ือหุ้นได้ผลประโยชน์ตรง ๆ หรือโดย
ออ้ มผ่านทางภรรยาหรือญาตสิ นิท รวมทั้งเปน็ ตัวแทนของบริษัทมาติดต่อกับองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน
สาหรับรูปแบบความขัดแย้งกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวและผลประโยชน์ส่วนรวมอันดับรองคือ
การใช้งบประมาณสาธารณะเพื่อประโยชนส์ ่วนตวั หรือฐานเสยี ง ไม่วา่ รปู แบบความขัดแย้งกันระหว่าง
ผลประโยชน์ส่วนตัวและผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นอย่างไร พบว่าในหลายกรณีความขัดแย้งกันระหว่าง
ผลประโยชน์สว่ นตัวและผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นต้นตอของการทุจรติ คอรัปชั่น และเป็นการทุจรติ ที่
แนบเนียน และผิดกฎหมายขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่นในการห้ามการเข้ามามีส่วนได้เสียเร่ือง
ต่าง ๆ ในหลายประการด้วย พฤติกรรมหรือการกระทาในลักษณะทับซ้อนของผลประโยชน์ส่วนตัว
และส่วนรวมเป็นเร่ืองที่สังคมไทยคุ้นเคยมีกระทากันจนเป็นประเพณี หรือเป็นส่ิงที่รู้กันในหมู่เหล่า
หากแต่การห้ามการกระทาดังกล่าวหรือการเอาจริงเอาจังกับความขัดแย้งกันระหว่างผลประโยชน์
ส่วนตัวและผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นเร่ืองใหม่ ริเร่ิมจริงจังด้วยเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญท่ีต้องการ
เหน็ ระบบการเมอื งและระบบการบรหิ ารท่โี ปรง่ ใสและมีความสจุ รติ ดว้ ยเปน็ เรอ่ื งใหมท่ าใหส้ ว่ นตา่ ง ๆ
ไม่ว่านักการเมือง หน่วยงานราชการที่มีหน้าที่ตรวจสอบและประชาชนขาดความตระหนักถึงปัญหา
ดังกล่าว ซ่ึงทาให้การใช้มาตรการทางกฎหมายมีข้อจากัดมาก (สถาบันวิจัยการพัฒนาประเทศไทย
(TDRI), 2546)

2) ผลกระทบของปญั หา
ผลท่ีเกิดขึ้นจากความขัดแย้งเร่ืองการเมืองท้องถิ่นท่ีสาคัญได้แก่ผู้ที่เก่ียวข้องได้แก่

ผู้นาท้องถ่ินตาแหน่งต่าง ๆ ถูกลอบทาร้ายจนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจานวนมาก มีการลอบ
สังหารในการเมืองท้องถิ่นไทย พบว่าตาแหน่งท่ีตกเป็นเป้าหมายลอบสังหารมากที่สุด ได้แก่ สมาชิก
สภาฯ และอย่างไรก็ตาม ตาแหน่งผู้บริหารท้องถิ่น (นายกฯ) ก็นับว่ามีความเส่ียงสูงต่อการถูกลอบ
สังหารในการเมืองระดับท้องถิ่น อาจด้วยเป็นตาแหน่งที่มีอานาจมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านของ
การบริหารงานบุคคล และการจัดสรรงบประมาณต่าง ๆ และความรุนแรงลักษณะเช่นน้ีพบมากที่สุด
ในองค์กรปกครองท้องถิ่นรูปแบบ องค์การบริหารส่วนตาบล และสาหรับท้องถิ่นบางแห่งเกิดซ้าแล้ว
ซ้าเล่าจนน่าตกใจ ตัวอย่างเช่นท่ี อบต.เกาะหมาก จ.พัทลุง ในรอบ 2 ปีนายกฯ ถึง 3 คนล้วนถูกยิง

62 62

ตายท้ังหมด เช่ือกันว่าสาเหตเุ กี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งผลประโยชน์ทางธรุ กิจรงั นก นางแอ่นในพื้นที่
เป็นตน้ (ณัฐกร วิทติ านนท์, 2553)

3) แนวทางการแก้ปัญหาความขัดแย้งการเมืองท้องถนิ่
ผลกระทบท่ีเกิดจากความขัดแย้งการเมืองท้องถิ่นไม่ได้เกิดแค่การเบียดบังเอา

ประโยชน์ส่วนรวมไม่ว่าเป็นงบประมาณหรือสมบัติสาธรณประโยชน์มาเป็นส่วนตัวของสมาชิกหรือ
ผู้บริหารส่วนท้องถิ่นเท่านั้น แต่มีความรุนแรงถึงข้ันการทาร้ายเอาชีวิตกันซึ่งปรากฎตามส่ือสารมวลชน
อย่างต่อเนื่องดังนั้นควรมีการดาเนินการแก้แก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจังและต่อเนื่อง มีตัวอย่าง
รูปแบบการดาเนินการดังกล่าวท่ีน่าสนใจ และเกิดผลสาเร็จเชิงรูปธรรมในท้องถ่ินอย่างชัดเจนได้แก่
การเมืองสมานฉันท์ระดับท้องถ่ินตาบลควนรู (สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน, 2558) ซึ่งมีกระบวนการ
ดาเนนิ งานเปน็ ขัน้ เป็นตอนจนเกดิ ผลสาเรจ็ ดังนี้

3.1) สถานการณ์ความขดั แยง้ ของชมุ ชนตาบลควนรู
ตาบลควนรู อาเภอรัตภมู ิ จังหวัดสงขลา เหมอื นกับตาบลทั่วไปท่มี กี ารเลือกต้ังในทุก
ระดับต้ังแต่ผู้ใหญ่บ้าน กานัน องค์การบริหารส่วนตาบล ไปจนถึงเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
กระบวนการเลือกต้ังก่อนปี พ.ศ. 2544 ได้ก่อให้เกิดความขัดแย้ง สร้างความแตกแยกของคนตั้งแต่
ระดับครอบครัว ชุมชน และตาบลเพราะเมื่อใดท่ีมีการเลือกตั้ง ก็ต้องมีการแข่งขันและมีการต่อสู้ทาง
การเมืองที่รุนแรงและผลที่ตามมาหลังการเลือกตั้งคือความแตกแยกของคนในชุมชน บทเรียนของ
ความแตกแยกของคนควนรู เชน่ ผลพวงจากการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2531 และ 2533 ทีม่ ีการเลือกตั้ง
กานัน มีการแข่งขันกันสูง ผู้สมัครต่างยึดในศักด์ิศรี แพ้ไม่ได้ ต่างต่อสู้ด้ินรนเพ่ือหาคะแนนเสียง
สนับสนุนตนเอง ท้ังที่ต่างฝ่ายก็เป็นเครือญาติกัน เกิดการทะเลาะวิวาทกันอย่างรุนแรง ผลพวงจาก
การเลือกตั้งครั้งนั้นได้สร้างความขัดแย้งและความร้าวฉานในหมู่เครือญาติอย่างชัดเจน ส่งผลให้
ชาวบ้านเร่ิมเบื่อหน่ายต่อระบบการเลือกต้ังที่เกิดข้ึน มีการจับกลุ่มกันวิพากษ์ และวิเคราะห์ถึงผลท่ี
เกิดขน้ึ อนั ไม่เป็นผลดีต่อชมุ ชน นับเป็นจดุ เร่มิ ต้นท่นี าไปสกู่ ารเปลี่ยนแปลงในเวลาต่อมา
3.2) จดุ เปลย่ี นสาคัญของตาบลควนรู
ในปี พ.ศ. 2544 หลังจากการส่ังสมความรู้ เรียนรู้ ถึงกระบวนการพัฒนาชุมชนใน
การสร้างความสมานฉันท์ มีวงเล็ก ๆ สรุปบทเรียนแล้วค่อยๆขยายวงกว้างออกไป เง่ือนไขสาคัญคือ
การที่มีผู้อาวุโสในชุมชนที่มีวิสัยทัศน์ ใจกว้าง มีการเปิดโอกาสให้ชาวชุมชนได้เข้ามาร่วมแลกเปลี่ยน
ความคิด เมื่อมีการเลือกต้ังผู้บริหารท้องถิ่นครั้งใหม่ชาวชุมชนควนรูใช้กระบวนการคัดสรรผู้นาทางการ
โดยผ่านวงพุดคุยแลกเปล่ียนปรึกษาหารือของคนในชุมชน เมื่อได้ฉันทามติเป็นท่ีเห็นพ้องร่วมกันจึงให้ผู้
ท่ีได้รับการเห็นชอบจากการหารือของชุมชนเป็นผู้ลงสมัครเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตาบลแต่
เพยี งผเู้ ดยี วโดยที่ไม่มีการแข่งขัน จดุ เปล่ยี นครั้งนี้ก็ด้วยทุนทางสังคมของควนรูที่มผี ู้นาชุมชน ครู และ

6633

ชาวบ้านท่ีมีจิตสานึกสาธารณะรักถ่ินฐานไม่อยากเห็นความร้าวฉานในชุมชนเกิดขึ้นจนก่อเป็นพลัง
หนุนไปสูก่ ารสร้างความร่วมไม้รว่ มมือกัน การเลอื กต้งั ปี พ.ศ. 2544 คนควนรจู งึ มสี ว่ นในการกาหนด
คณุ สมบัติของผู้ทจ่ี ะสมัคร อบต.ชาวบ้านรู้วา่ ใครเปน็ อยา่ งไร ใครเหมาะทจ่ี ะเปน็ นายกอบต.หรือไม่ จงึ
มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าใครควรสมัคร แต่หากผู้ประสงค์จะสมัครคนใดไม่ฟังมติของชาวบ้านก็ลงสมัครได้
แต่พอลงคะแนนเสียงทุกคนจะเทคะแนนให้กับคนท่ีตนเห็นสมควรและมีฉันทามติไปแล้วที่สาคัญ
ผู้สมัครทุกคนต้องเขียนใบลาออกไว้เรียกว่า“ตายก่อนเกิด”เพราะถ้าทาอะไรไม่ถูกไม่ควรใบลาออกที่
เขยี นไว้จะถกู นามาใชท้ นั ที

3.3) การใช้กลไกความร่วมมือระดบั ตาบล
ในปี พ.ศ. 2544 ชุมชนควนรูได้รวมตัวกันเพ่ือจัดทาแผนแม่บทชุมชน กระบวนการ
ทาแผนกลายเป็นกลไกทางสังคมที่ได้เช่ือมร้อยผู้คนท่ีมีความขัดแย้งให้เข้ามาทางานร่วมกันอย่างเป็น
ระบบ เป็นการสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้แก่ชุมชนร่วมกันโดยผ่านกระบวนการทาแผนแม่บทชุมชน
ทาใหช้ ุมชนได้คน้ พบตวั เอง เห็นอตั ลกั ษณ์ รากเหงา้ ทางวัฒนธรรม ภูมิปญั ญา ทรัพยากร ตลอดจนทุน
ทางสังคมต่าง ๆ ท่ีเป็นของดีของชุมชน ทาให้เกิดความภาคภูมิใจ และร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาเพ่ือ
หาทางออก มีการทาบัญชีรับจ่าย และมีแผนกิจกรรมการลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ เพ่ือการแก้ปัญหา
ความยากจนในที่สดุ
3.4) การเมืองสมานฉันทข์ องคนตาบลควนรู
ควนรูมกี ารปกครองแบบบรู ณาการของสามขาระหวา่ ง ทอ้ งถิน่ ท้องที่ องค์กรชุมชน
เรียกว่าการเมืองปรองดองการเมืองสมานฉันท์ “การสร้างการมีส่วนร่วมในการพัฒนาตาบล” โดย
นายกและทีมองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินที่เขา้ ใจเข้าถึงปัญหาและความต้องการของประชาชน ควบคู่
กับการบริหารดว้ ยหลัก “หลักธรรมาภิบาล” และความเป็น “เครอื ญาติ” ซึง่ ทาให้บคุ ลากรท้ังของ อบต.
และราชการส่วนอื่นเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลทุกข์สุขของประชาชนอย่างต่อเน่ือง ทาให้มีองค์กร
เครือข่ายท่ีมีศักยภาพมากขึ้น สู่การทางานแบบ “บูรณาการเชิงลึก” โดย “ยึดชุมชนเป็นศูนย์กลาง
เปิดกว้างทางความคิด สร้างเสริมเศรษฐกิจพอเพียง ร้อยเรียงภูมิปัญญา พัฒนาคุณธรรม” องค์การ
บริหารส่วนตาบลควนรไู ด้ค้นพบแนวคิดของการพัฒนาเครือข่ายรว่ มสรา้ งชุมชนท้องถ่ินจดั การตนเอง
5 แนวทางคือ 1) การสานพลังผู้นา 2) การสืบสานวัฒนธรรมและภูมปัญญาท้องถ่ิน 3) การสร้างการ
เรยี นรู้ 4) การสรา้ งการมสี ่วนร่วม และ 5) การเสรมิ สรา้ งเศรษฐกิจพอเพียง พร้อมระบบการปรึกษาหารือ
และมีฉันทามติในการเลือกผู้นาท้องถิ่น ท้องที่ แทนระบบการเลือกตั้งโดยปกติท่ัวไปของประชาชน
ตาบลควนรู เป็นตัวช้ีวัดสาคัญของการเมืองสมานฉันท์ ช่วยลดความขัดแย้งทางการเมืองและความ
แตกแยกของชุมชนท้องถิน่ เป็นส่งเสริมประชาธิปไตยทางตรงและประชาธิปไตยแบบปรกึ ษาหารือ

64 64

3.5) ผลทเ่ี กดิ ขึน้ จากการดาเนนิ งานการเมืองสมานฉันท์
ในปจั จบุ นั (พ.ศ.2558) มกี ลุ่มเครอื ขา่ ยองค์กรที่เข้ามามสี ่วนรว่ มในการพฒั นาตาบล
และเป็นสมาชิกของสภาองค์กรชุมชน จานวน 13 เครือข่าย 101 กลุ่ม/องค์กร ประสานการทางาน
ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กานัน ผู้ใหญ่บ้าน ภายใต้ 8 ระบบงานพัฒนาที่สาคัญ คือระบบการ
บริหารจัดการตาบล ระบบการเรียนรู้เพ่ือการพัฒนาท่ียั่งยืน ระบบความมั่นคงทางอาหารและสัมมาชีพ
ระบบการบริหารจัดการทุนในแนวทางพ่ึงตนเอง ระบบเศรษฐกิจทุนชุมชน ระบบสวัสดิการ ระบบเด็ก
เยาวชน สตรี และระบบการดแู ลสุขภาพ และเกิดผลจากจัดการการเมืองสมานฉนั ท์ตาบลควนรดู ังนี้
(1) มีระบบการปรึกษาหารือและมีฉันทามติในการเลือกผู้นาท้องถ่ิน ท้องที่แทน
ระบบการเลือกตั้งโดยปกติท่ัวไป ช่วยลดความขัดแย้งทางการเมืองและความแตกแยกของชุมชน
ท้องถ่ิน เป็นส่งเสริมประชาธิปไตยทางตรงและการปรึกษาหารือและการปกครองแบบบูรณาการโดย
ชุมชนมีสว่ นรว่ ม ระหว่าง ท้องถิน่ ทอ้ งท่ี และสภาองคก์ รชมุ ชน
(2) มีเวทกี ลางของการมีส่วนร่วม ในการปรกึ ษาหารือและกาหนดทศิ ทางการพัฒนา
ชุมชนตาบล ขององค์กรชุมชน ท้องถิ่น ท้องท่ี ครู และผู้นาศาสนา มีศูนย์ประสานงานองค์กรชุมชนท่ี
พัฒนาตอ่ เน่อื งสูส่ ภาองค์กรชุมชน สภาประชาชน และกาลังพฒั นาเป็นพนื้ ทก่ี ลางท่ีเขม้ แข็งมากขึ้นคือ
สภาพลเมืองตาบลควนรู
(3) เป็นตาบลแห่งการเรียนรู้และสร้างรูปธรรมงานพัฒนา โดยทุกภาคส่วนในตาบล
มีความเชื่อและร่วมลงมือเพื่อพัฒนาและเรียนรู้ภายใต้ระบบงานพัฒนาตาบล 8 ด้าน มี 30 แหล่ง
เรียนรู้ตัวอยา่ งเช่น ระบบการบริหารจัดการตาบล ระบบเรียนรู้สคู่ วามย่ังยืน ระบบเรียนรคู้ วามม่ันคง
ทางอาหารและสัมมาชีพ ระบบบริหารจัดการทุนเกิดจากแนวคิดการพ่ึงตนเองอย่างย่ังยืน ระบบ
เศรษฐกิจชุมชน ระบบสวัสดิการชุมชน ระบบเด็กเยาวชนและสตรี ระบบการดูแลสุขภาพ และระบบ
การพัฒนาและยกระดับพ้ืนที่ของการมีส่วนร่วม ในรูปแบบสภาพพลเมือง เพื่อประโยชน์สาธารณะ
ของคนตาบลควนรู

6655

3.2 ความขดั แยง้ ดา้ นทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม

3.2.1 ความสาคัญของระบบนิเวศ ทรัพยากรธรรมชาติ
ระบบนิเวศ (Ecosystem) เป็นการอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตในหนึ่งหน่วยพื้นท่ี ซึ่งทาให้เกิด
ความสัมพนั ธ์ของสงิ่ มชี ีวติ ด้วยกนั เองและปฏิสมั พนั ธ์กบั ส่งิ แวดล้อม เกดิ การถา่ ยทอดพลังงานและการ
หมุนเวียนของสสารจากธรรมชาติสู่สิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ ส่วนทรัพยากรธรรมชาติหมายถึงสิ่งต่าง ๆ ที่
เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และมนุษย์สามารถนามาใช้ประโยชน์ได้ เช่น ดิน น้า อากาศ ป่าไม้ ทุ่งหญ้า
แร่ธาตุ ฯลฯ สามารถจาแนกออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่กลมุ่ ท่ีเกดิ ทดแทนขึ้นใหม่ได้ เชน่ ความหลากหลาย
ทางชีวภาพส่ิงมีชีวิตต่าง ๆ ระบบนิเวศท่ีหลากหลาย ที่สามารถสร้างข้ึนใหม่และรักษาสถานะปกติด้วย
ตนเองได้ โดยอาศัยพลังงานแสงอาทิตย์และกระบวนการสังเคราะห์แสง กลุ่มท่ชี ดเชยขนึ้ มาใหม่ได้ เช่น
น้าใต้ดินและน้าบนดิน ชั้นโอโซนในบรรยากาศ กลุ่มน้ีไม่ใช่ส่ิงมีชีวิตแต่สามารถฟ้ืนฟูได้อย่างต่อเน่ือง
ซ่ึงมักจะอาศัยพลังงานแสงอาทิตย์และกลุ่มท่ีไม่สามารถทดแทนข้ึนมาได้ เช่น เชื้อเพลิงฟอสซิล แร่
ธาตตุ ่าง ๆ ท่เี ม่ือใช้ไปแลว้ กห็ มายถงึ การลดลงกห็ มดสน้ิ ไปของแหลง่ สารอง
ระบบนิเวศ เป็นระบบท่ีทาให้มนุษย์และส่ิงมีชีวิตต่าง ๆ บนโลกน้ีดารงอยู่ได้ การเอ้ือ และ
เก้ือกูลสิ่งเหล่าน้ีก็เป็นการทาหน้าที่ของระบบธรรมชาตินั้นเอง เป็นการให้และเอ้ือความต่อจาเป็น
พื้นฐานของมนุษย์เราไม่ว่าในด้านเศรษฐกิจ และสังคม รวมไปถึงการทาให้เกิดความสมดุลในตัวของ
ระบบนิเวศ ไม่ว่าจะเป็น การดูดซับของเสีย ระบบสารอาหารและน้า การกระจายของพันธุ์พืชนานา
พรรณ การควบคุมศัตรูพืชและการใหอ้ าหารและที่อยู่ ท่ีต้ังของสิ่งมีชีวิตสายพันธต์ุ ่าง ๆ รวมถึงมนุษย์
ดว้ ย สิ่งท่ธี รรมชาตใิ หแ้ ละช่วยโลกของเรามดี งั ตอ่ ไปนี้ (OECD, 2006)
1) การทาใหโ้ ลกสะอาดข้ึน (Purification services) : ยกตัวอยา่ งเช่น พื้นทชี่ ่มุ น้าช่วยในการ
กรองน้าเสีย น้าท่ีเป็นกรด น้าเค็ม ป่าไม้จะช่วยกรองมลพิษจากอากาศ พืชชนิดต่าง ๆ ช่วยจับและเก็บ
คารบ์ อนไดออกไซด์ ชว่ ยลดก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศและช่วยลดโลกรอ้ น
2) เป็นตัวช่วยควบคุม (Regulation): ระบบธรรมชาติจะเข้าไปควบคุมศตรูพืชชนิดต่าง ๆ
โดยกระบวนการทางธรรมชาติ ลดการใช้สิ่งแปลกปลอมท่ีจะเข้าไปควบคุม เช่นยาปราบศตรูพืช ระบบ
นเิ วศอาจจะเข้าไปควบคุมในระบบลุม่ น้า สภาพอากาศ ตลอดจนการชว่ ยลดเส่ียงภยั น้าทว่ มดว้ ย
3) เป็นท่ีอยู่อาศัย (Habitat provision): เป็นอยู่อาศัยและที่รวบรวมของความหลากหลาย
ทางชีวภาพ ซึ่งเช่ือมโยงกับกระบวนการท่ีจะไปลดความเส่ียงจากการล่มสลายของระบบนิเวศ
นอกจากน้ันก็จะเป็นแหล่งอาหาร แหล่งของข้อมูลองค์ความรู้ต่าง ๆ ด้านวิทยาศาสตร์ ที่พักผ่อน
หย่อนใจ และเป็นสง่ิ ท่มี คี ณุ คา่ ในความงดงามของธรรมชาติ

66 66

4) ตัวฟื้นฟูและการผลิต (Regeneration and production): ระบบนิเวศช่วยให้ “เจริญเติบโต”
จากท่ีชีวมวลเป็นตัวเปลี่ยน แสง พลังงาน และสารอาหาร ชีวมวลดังกล่าวจะช่วยให้อาหาร วัตถุดิบและ
พลังงาน ช่วยให้เกิดการผสมเกสร การกระจายเมล็ดพันธุ์ ซ่ึงเป็นระบบท่ีจะทาให้ตัวเองมีการเกิดข้ึน
ใหม่ต่อไปตลอดเวลา ซ่ึงมีการคาดว่า 30% ของพืชพันธุ์ท่ีเป็นอาหารในโลกนี้ข้ึนกับการผสมเกสร
ธรรมชาติ

5) เป็นแหล่งข้อมูลและช่วยเหลือสิ่งมีชีวิต(Information and life support): ระบบนิเวศ
เป็นผลผลิตของวิวัฒนาการ ซ่ึงเป็นแหล่งข้อมูลมานับเป็นล้านปี และข้อมูลดังกล่าวมีคุณค่าทางด้าน
วิทยาศาสตร์ แต่กย็ ังมขี อ้ สงสยั อยใู่ นเร่อื งของระบบดังกลา่ วท่ีทาให้เกิดส่ิงมีชวี ิตขึน้ มา

3.2.2 ความหมายของความขัดแยง้ ดา้ นทรพั ยากรธรรมชาติ
ความขัดแย้งด้านทรัพยากรธรรมชาติ เป็นความขัดแย้งและข้อพิพาทในการเข้าถึง การ
ควบคุม การใช้ ทรัพยากรธรรมชาติ ความขัดแย้งเหล่านี้มักเกิดข้ึนเพราะทุกคนมีการใช้ทรัพยากรท่ี
แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น ป่าไม้ น้า ทุ่งหญ้าและที่ดิน หรือต้องการท่ีจะจัดการทรัพยากรเหล่าน้ีแต่ง
ต่างกัน ความขัดแย้งเกิดข้ึนเมื่อผลประโยชน์และความจาเป็นเข้ากันไม่ได้ทั้งในเร่ือของนโยบาย
แผนงาน และโครงการ ดังน้ันความขัดแย้งในเรื่องผลประโยชน์จึงเป็นเรื่องที่หลีกเล่ียงไม่ได้ในสังคม
ของเราต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน (Brian E. Green, 2005) ส่วนสาเหตุความขัดแย้งทางด้านทรัพยากร
FAO. (2000) อธิบายวา่ เกิดขนึ้ บอ่ ยมากเนื่องมาจากมีความต้องการ และแกง่ แย่งทรัพยากรจากหลาย
ฝ่าย ความขัดแย้งจะเกิดขึ้นได้ถ้ากลุ่มผู้ใช้ทรัพยากรกลุ่มต่างๆ ไม่มีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากร
และกย็ งั คงเกดิ ขึ้นอีกถา้ ชุมชนท้องถ่นิ ไมเ่ ห็นด้วยกบั ระบบการจัดการทรพั ยากร การไม่เข้าใจ การขาด
ข้อมูลเก่ียวกับนโยบาย และวัตถุประสงค์ของแผนงาน เกิดการโต้แย้งหรือขาดความชัดเจนในเรื่อ
กฎหมายและนโยบาย ความไม่เท่าเทียมกันในการกระจายทรัพยากร หรือเกิดจากท้ังนโยบายและ
แผนงานไม่สามารถสนบั สนุนไดอ้ ย่างจริงจงั และเกิดเปน็ รปู ธรรม

3.2.2 กระแสแนวคดิ ด้านการศึกษาธรรมชาติและส่งิ แวดลอ้ ม และเงอ่ื นไข “สงครามแยง่
ชิงทรพั ยากร”

กระแสแนวคิด การศึกษาธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม โดย Barnes and Gregory (1997)

(อา้ งใน ไชยรตั น์ เจรญิ สนิ โอฬาร,2554) ดังต่อไปนี้
1) Technocentrism เป็นแนวคดิ ทใ่ี ห้ความสาคญั กบั เทคโนโลยี ธรรมชาตเิ ปน็ สง่ิ ทม่ี นษุ ย์
ตอ้ งเข้าไปควบคมุ /จัดการผ่านเทคโนโลยตี า่ ง ๆ

6677

2) ให้ความสาคญั กับธรรมชาติและสิง่ แวดล้อมมากกว่ามนุษย์ เชดิ ชูธรรมชาติ ยกให้
ธรรมชาตเิ ปน็ ศูนยก์ ลาง (ecocentrism) หรือพวกนเิ วศวิทยาเชิงลกึ (deep ecology)

3) ระบบเศรษฐกิจทุนนยิ ม เป็นผ้ผู ลิต/สร้างสงิ่ ทีเ่ รียกว่า “ธรรมชาติ” ขึ้นมา มนุษยส์ ามารถ
เขา้ ไปฉกฉวย แย่งชิง และหาผลประโยชนใ์ นรปู ของการควบคุมและจัดการ

4) กระแสคิดของขบวนการสตรอี นุรกั ษส์ ิ่งแวดล้อม (ecofeminism)
5) สานักประดิษฐกรรมสังคม (social constructivism) เชอื่ วา่ ไม่มธี รรมชาติท่ีบริสทุ ธิ์ผดุ

ผอ่ ง มกี ารเคลือบปรุงแตง่ ของมนุษยท์ งั้ น้นั ดังนน้ั จึงไม่มีเส้นแบง่ ตา่ ง ๆ ท่ีดารงอยู่อยา่ ง
ธรรมชาติ

โดยเงื่อนไขการเปล่ียนแปลงท่ีสาคัญท่ีทาให้เกิด “สงครามแย่งชิงทรัพยากร” รุนแรงเพ่ิมข้ึน
ได้แก่ 1) การเปลี่ยนแปลงจากสังคมเกษตรกรรมมาเป็นอุตสาหกรรม ซ่ึงเป็นช่วงของการช่วงชิงทาง
ทรัพยากรธรรมชาติอย่างรุนแรง 2) การเปล่ียนแปลงระบบเศรษฐกิจสู่ตลาดและการเงินแบบเสรี มี
การเปิดพ้ืนที่ของตลาดใหม่มากข้ึน มีการผูกขาดมากขึ้น 3) การปฏิวัติเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสารทาให้
ประเทศที่คุมกระบวนการและเทคโนโลยีสามารถเข้าถึงข้อมูลทุกชนิดทั่วโลกรวมถึงข้อมูลทรัพยากร
ด้วย และ 4) การกระจุกตวั ของทนุ ประเทศทม่ี ที ุนมากจะมอี านาจสูงควบคุมทรพั ยากรโลกได้

3.2.4 บทบาทของทรัพยากรในบริบทของความขัดแย้ง
ความสัมพันธ์ของทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความขัดแย้งที่ซับซ้อน มีหลายมิติ
โดยมหี ลกั พนื้ ฐาน 3 เสน้ ทางด้วยกนั (UNEP, 2009) ไดแ้ ก่
1) เป็นตวั การท่ที าให้ความขัดแย้งขยายตัว : เมอื่ มีความพยายามทจ่ี ะควบคุมทรัพยากรธรรมชาติ
ความไม่พอใจจากการแบ่งปันท่ีไม่เท่าเทียมกัน การเสื่อมโทรมของทรัพยากรก็จะเป็นตัวไปเพิ่มการ
ขยายตัวของความรนุ แรงได้ ประเทศที่ส่งออกสนิ คา้ ท่ีเป็นวตั ถุดบิ จากทรัพยากรอาจจะมีความเสี่ยงต่อ
ความขัดแยง้ มากขึน้
2) ทรัพยากรจะกลายเป็นเงินทุนท่ีไปสนับสนุนความขัดแย้ง: เม่ือความขัดแย้งเกิดข้ึนและ
ลกุ ลามออกไป กองกาลังตดิ อาวุธก็จะได้เงินทุนสนบั สนนุ จากการแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรท่ีมี
มูลค่าสูง หรือจะกลายเป็นตัวสาคัญที่ทาให้เกิดการต่อสู้เพื่อยึดครองดินแดน กรณีดังกล่าวก็จะทาให้
เกิดความขัดแย้งยาวนานขึ้นเน่ืองจากมีแหล่งเงินทุนสนับสนนุ แหล่งใหม่ หรอื ทาให้ยุง่ ยากซับซอ้ นมาก
ข้นึ ในความพยายามทจ่ี ะควบคมุ พน้ื ท่ี ท่มี ที รัพยากรอดุ มสมบูรณ์
3. เปน็ ตวั บั่นทอนปฏิบตั ิการด้านสนั ติภาพ: ขอ้ ตกลงสันติภาพอาจจะไมไ่ ดร้ บั การตอบรับโดย
บุคคลหรือชนกลุ่มน้อยที่สูญเสียรายได้ท่ีสร้างมาจากการทาประโยชน์จากทรัพยากร ถ้าสันติภาพ

68 68

นามาใช้เพ่ือให้เกิดปรองดอง เมื่อมีข้อตกลงสันติภาพในพื้นที่แล้วผลประโยชน์จากทรัพยากรก็ถูกกดดัน
ทางการเมืองให้มีการคืนกลับสู่สังคมส่วนรวม และการประนีประนอมก็จะทาให้เกิดการเสริมสร้าง
ภาคส่วนทางการเมอื งและสงั คมได้

จากรายงานของ UNEP (2009) ประสบการณ์ของสหประชาชาติเก่ียวกับการเชื่อมโยงระหว่าง
ทรัพยากรธรรมชาติความขัดแย้งรุนแรงและสันติภาพ มีผลการวิจัยท่ีสาคัญพบว่า ในช่วงระยะเวลา
60 ปีที่ผ่านมา 40 เปอร์เซ็นต์ของสงครามกลางเมืองสามารถเชื่อมโยงกับทรัพยากรธรรมชาติ ตั้งแต่
ค.ศ. 1990 มีความขัดแย้งรุนแรงอย่างน้อย 18 ครั้ง ท่ีการเงินสนับสนุนมาจากทรัพยากรธรรมชาติ
ทรัพยากรธรรมชาติและปัจจัยด้านส่ิงแวดล้อมอื่น ๆ ท่ีเชื่อมโยงกับความขัดแย้งรุนแรงที่หลากหลาย
และมักจะถูกบดบังโดยตัวขับท่ีมองเหน็ ได้ชัดเจนมากกว่าเช่นความตึงเครียดทางชาติพันธ์ุ การยกเวน้
ทางการเมืองและการกากับดูแลท่ีไมด่ ี โดยเฉพาะการแข่งขันกนั เพ่ือควบคุมหรือเข้าถงึ ทรัพยากรธรรมชาติ
สามารถนาไปสู่การขยายของความขัดแย้งที่รุนแรง กลุ่มติดอาวุธสามารถใช้ ประโยชน์จาก
ทรัพยากรธรรมชาติเพื่อเป็นกองทุนสงครามในระหว่างความขัดแย้ง บุคคลและกลุ่มต่าง ๆ อาจใช้
ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติเป็นส่วนหน่ึงของ“เศรษฐกิจบนความขัดแย้ง” สร้างแรงจูงใจท่ี
ขัดขวางความพยายามในการสร้างสันติภาพ สภาพแวดล้อมท่ีต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมากระหว่าง
เกิดความขัดแย้งรุนแรง ทรัพยากรอาจถูกกาหนดเป้าหมายสาหรับการทาลายหรือเกิดความเสียหาย
จากระเบิดและศาสนพิธีอ่ืน ๆ สงครามอาจทาให้ประชากรเขา้ ไปสสู่ ภาพแวดล้อมทีเ่ ปราะบางและสูญ
สลาย และต้องต่อสู้เพ่ือความอยู่รอดบนฐานของทรัพยากร ทาให้สถาบันท่ีออกแบบเพ่ือจัดการ
ทรัพยากรธรรมชาติอาจหยุดชะงักหรือปิดระหว่างสงคราม ในการสรา้ งสงั คมที่แตกสลายจากสงคราม
สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติมีบทบาทสาคัญมาตงั้ แต่การสนับสนุนการฟ้ืนตัวทางเศรษฐกิจไป
จนถึงการสรา้ งวิถชี ีวิตที่ยัง่ ยืนและการตั้งถ่ินฐานใหม่ของประชากรท่ีพลัดถิ่นเพื่อเปิดโอกาสใหเ้ กิดการ
เจรจาความร่วมมอื การสร้างความม่นั ใจและการปฏิรูปของรฐั บาล

3.2.5 ความขัดแย้งดา้ นทรพั ยากรธรรมชาตดิ ้านต่างๆกบั การอยรู่ อดของมนุษยชาติ
ข้อมูลเม่ือเดือนตุลาคมปี ค.ศ. 2011 มีประชากรในโลก ประมาณ 7 พันล้านคน และจะเพิ่มข้ึน
เป็น 8 พันล้านคนในปี ค.ศ. 2025 ซ่ึงจะเพ่ิมขึ้นไปควบคู่กับการบริโภคและความต้องการทรัพยากร
เพิ่มข้ึนไปดว้ ย เกือบครง่ึ หนึ่งของประชากรโลกขน้ึ ต่อโดยตรงกบั ทรพั ยากรธรรมชาติเพื่อการดารงชีวิต
ประมาณ 2.5 พันล้านคน อาศัยอยู่ในส่วนของการเกษตรมีการทานาพืชไร่และปศุสัตว์ 1.6 พันล้านคน
พ่ึงพาทรัพยากรป่าไม้ (ท้ังหมดหรือบางส่วน) 150 ล้านคน แหล่งดารงชีวิตอยู่กับสัตว์ป่า และ 560
ล้านคน ได้มาจากการดารงชีวิตท้ังหมดหรือบางส่วนจากการประมงและ/หรือการเพาะเล้ียง 1.2

6699

พันล้านคน อยู่รอดได้ด้วยมีเงินน้อยกว่า 1 เหรียญสหรัฐตอ่ วัน โดยร้อยละ70 อาศัยอยู่ในพื้นท่ีชนบท
ซ่ึงต้องพ่ึงพาทรัพยากรธรรมชาติ และประเทศกาลังพัฒนามีแนวโน้มที่จะพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติ
มากซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักและการแสวงหาผลประโยชน์จากการพัฒนาและการลดความยากจน
ข้ึนอยู่กับการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ โดยนักวิชาการและผู้ปฏิบัติงานเพ่ือการพัฒนาจานวนหนึ่ง
ยืนยันว่าการขาดแคลนทรัพยากรเพ่ิมขึ้น มีผลกระทบทางสังคมท่ีลึกซึ้งรวมถึง ความยากจน การย้าย
ถ่ิน ความแตกแยกทางสังคมที่และการอ่อนแอลงของสถาบัน ซึ่งจะก่อให้เกิดท่ีความตึงเครียดอาจจะ
นาไปสู่ความรุนแรง ความขัดแย้งได้ โดยสาเหตุของความขัดแย้งกับทรัพยากรธรรมชาติประเภทต่าง ๆ
สรปุ ตวั อย่างทรัพยากรดังตอ่ ไปนี้ (UNEP, 2012)

1) ทรัพยากรน้า (water resource) สาเหตุหลักของความขัดแย้งด้านทรัพยากรน้า ได้แก่
การแก่งแย่งแข่งขันระหว่างภาคส่วนผู้ใช้น้าท่ีแตกต่างกัน ได้แก่กลุ่มทางด้านการเกษตรภาคส่วน
อุตสาหกรรม หรือการแก่งแย่งกันภายในกลุ่มเดียวกัน การแข่งขันระหว่างกลุ่มอาชีพดารงชีวิตที่
แตกต่างกันเช่นกลุ่มการเกษตร กลุ่มปศุสัตว์ และกลุ่มทาการประมงเป็นต้น การเส่ือมโทรมของ
คุณภาพน้าท่ีเกิดจากมลพิษ จากอุตสาหกรรม จากการเกษตร และจากชุมชนเมือง การลดลงของ
แหล่งน้าท่ีเกิดจากการพัฒนาโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ การไม่มีอุปกรณ์ที่สามารถจัดหา
ทรัพยากรน้าได้และ/หรอื เกิดอุปสรรคในการจัดหามานา้ มาให้ การเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติในนา้ ท่ี
มีอยู่และการลดลงอย่างฉับพลันของทรัพยากรน้า การควบคุมทรัพยากรน้าเป็นกรณีพิเศษ การ
เปลี่ยนแปลงการจัดการน้าจากภาครัฐเป็นเอกชนและมีการเปล่ียนแปลงโครงสร้างการกาหนดราคา
สิทธกิ ารเข้าถึงการใช้นา้ ท่ไี ม่ชัดเจน และการไมร่ ว่ มกันในการจัดการทรพั ยากรน้าขา้ มพรมแดน

2) พ้ืนท่ีเพาะปลูกทางการเกษตร (Cropland) สาเหตุหรือแหล่งที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งใน
เรอ่ื งของพน้ื ท่ีเพาะปลูกทางการเกษตรได้แก่; การกระจายของทด่ี ินหรือการเข้าถงึ ไม่เท่าเทียมกนั การ
ขยายพ้ืนที่ฟาร์ม การอ้างสิทธิแย่งชิงท่ีดิน และการขาดขีดความสามารถในการแก้ปัญหาข้อพิพาท
การกว้านที่ดินโดยชาวต่างประเทศและ/หรือการเวนคืนและการไล่ท่ี การครอบครองในพื้นที่ ที่ไม่
ปลอดภยั และการเขา้ ไมถ่ งึ นา้ มลพิษของนา้ จากการเกษตร และ การคา้ ทรัพยส์ มบัติสาธารณะ

3) ทรัพยากรป่าไม้ (Forests) สาเหตุหลักของความขัดแย้งด้านทรัพยากรป่าไม้ ได้แก่ ข้อ
พิพาทเรอ่ื งขอบเขตในการใช้ปา่ ร่วมกันของชมุ ชน ขอ้ พพิ าทระหวา่ งชุมชนผใู้ ช้ปา่ และผู้ถือสมั ปทานป่า
ในเรื่องการเข้าถึงและผลประโยชน์ การทาผิดกฎหมายและการเก็บเก่ียวผลิตภัณฑ์จากป่าท่ีไม่ใช่ไม้
ขาดการมสี ว่ นร่วมของชุมชนในการตัดสินใจเก่ยี วกับการจัดการป่าไม้ การไม่ใหค้ วามสาคัญกบั สิทธิใน
ทรัพยากรปา่ ไม้ และการเขา้ กันไม่ได้ของกลุ่มผ้ใู ชท้ ี่มลี ักษณะเฉพาะ

70 70

4) การประมงและทรัพยากรทางทะเล (Fisheries and marine resources) ต้นเหตุหลัก
ของความขัดแย้งด้านการประมงและทรัพยากรทางทะเลได้แก่ การประมงผิดกฎหมายและตาม
กฎหมายโดยเรือต่างประเทศแข่งขันกับประมงท้องถ่ิน ข้อพิพาทในการเข้าถึงทรัพยากรหรือการ
จัดสรรระหว่างชุมชนประมง การแข่งขันในพ้ืนที่ ท่ีทาการประมงหรือชนิดของสัตว์น้าเป้าหมาย การ
ไม่ให้ความสาคัญในเรื่องสิทธิในทรัพยากรหรือขอบเขตอานาจผู้ใช้กฎหมายไม่ชัดเจน มลพิษและภัย
คุกคามอ่ืน ๆ ท่ีอาศัยอยู่ของสัตว์น้ารวมทั้งป่าชายเลนและแนวปะการัง ความตึงเครียดระหว่าง การ
ประมงเพ่ือดารงชีพ เพื่อการค้า และการอนุรักษ์เทคโนโลยีการทาประมงและความสามารถในการทา
ประมง และการจัดการข้ามพรมแดนท่ีมีการเคลื่อนท่ีของแหล่งท่ีอยู่ของสัตว์น้าและและการแบ่ง
ผลประโยชน์

5) พ้ืนที่สงวน (Protected areas) สภาพและสาเหตุของความขัดแย้งที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่
สงวนได้แก่ การจากดั หรือการสญู เสียการเข้าถึงทรัพยากรท่ีสาคัญในการดารงชวี ิตโดยชุมชนใกล้เคียง
สตั ว์ปา่ ในพนื้ ทีค่ ุ้มครองกอ่ ใหเ้ กิดความเสีย่ งต่อชุมชนท้องถิน่ การกระจายผลประโยชนท์ ี่ไม่เทา่ กันจาก
พ้ืนท่ี ที่มีการคุ้มครองป้องกันกับชุมชนท้องถิ่น ขาดการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเม่ือจัดตั้งหรือการ
จัดการพ้ืนที่สงวนป้องกัน การตัดไม้และเก็บเก่ียวผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ในป่าอย่างผิดกฎหมาย ข้อพิพาท
เร่ืองเขตแดนระหว่างพื้นท่ีท่ีได้รับการคุ้มครองและพ้ืนที่สัมปทานหลัก และการจัดการท่ีมีการ
เคล่อื นไหวข้ามพรมแดนของสัตวป์ า่ และการทาผลประโยชนร์ ่วมกนั

6) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความเส่ียงกับธรรมชาติ (Climate change and
natural hazards) ใน ปี ค.ศ. 2009 สานักงานเลขาธิการสหประชาชาติรายงานโดยระบุว่าการ
เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยและเพ่ิมโอกาสของความขัดแย้ง
ได้แก่ การเพม่ิ ขน้ึ ของประชากรกลมุ่ เปราะบางเนื่องจากความมั่นคงดา้ นอาหารและสุขภาพของมนุษย์
เช่นเดียวกับการเผชิญกับเหตุการณ์ท่ีรุนแรง การชะลอตัวลงหรือพลิกกลับของกระบวนการพัฒนา
รัฐท่ีล้มเหลวในการดูแลสันติภาพและเสถียรภาพ กลยุทธ์ในการรับมือการย้ายถิ่นเนื่องจากสภาพ
ภูมิอากาศที่ทาให้เกิดการแข่งขันแย่งชิงทรัพยากร การไม่มีขอบเขต เร่ืองผลกระทบในสิทธิ อธิปไตย
และความม่ันคง ความขัดแย้งในด้านทรัพยากรท่ีใช้ร่วมกันอยู่อาจได้รับผลกระทบจากการ
เปลยี่ นแปลงสภาพภมู ิอากาศ

3.2.6 ความขัดแย้งดา้ นทรัพยากรสิ่งแวดล้อมประเทศไทย
ได้รายงานความขัดแย้งด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยไว้อย่างครอบคลุม
ถึงแม้ว่าจะล่วงเลยมาแล้วเป็น 10 ปีแต่สถานการณ์ดังกล่าวก็ยังเกิดข้ึนอย่างต่อเนื่องนับถึงปัจจุบัน

7711

เช่นปัญหาการกระจุกตัวของผู้ถือครองที่ดินรายใหญ่ การบุกรุกท่ีดินสาธารณะและเขตป่า การ
ประกาศพื้นที่สาธารณะและเขตป่าทับที่ชาวบ้าน อันเนื่องจาก การสูญเสียท่ีดินของเกษตรกร และ
ปัญหาแนวเขตอันเน่ืองจากความไม่ชัดเจนของแนวเขตที่ดินของรัฐ ย่ิงไปกว่าน้ันในเร่ืองมลภาวะทาง
สิ่งแวดล้อมจากโรงงานอุตสาหกรรม อากาศเสีย น้าเสีย หมอกควันในช่วงฤดูแล้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในภาคเหนือซึ่งมีผลต่อสุขภาวะของประชาชนรุนแรงมาก ส่วนเร่ืองการใช้น้าเป็นประเด็นขัดแย้งท่ี
สาคัญและมีแนวโน้มจะรุนแรงย่ิงขึ้น เพราะมีความแตกต่างในแนวคิดเกี่ยวกับการสร้างแหล่งเก็บกัก
น้าขนาดใหญ่ เช่น เข่ือน อ่างเก็บน้า กับระบบแหล่งน้าขนาดเลก็ ในไร่นาและระบบเหมืองฝายขนาด
เล็กในลาน้า ตลอดจนการจัดสรร แบ่งปันน้าระหว่างภาคเกษตร ชุมชน และอุตสาหกรรม ซ่ึงได้
ประมวลปญั หาในภาคต่าง ๆ ของประเทศไทยดังนี้ (เพ่มิ ศกั ด์ิ มกราภริ มย์, 2555)

ภาคเหนือ พื้นท่ีภาคเหนือตอนบนบริเวณจังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน เชียงราย พะเยา น่าน
แพร่ ลาปาง สภาพภูมิประเทศเป็นพ้ืนที่สูงและ เทือกเขา ธรรมชาติในการตั้งถ่ินฐานของพลเมืองเหนอื
กล่มุ คนเมืองอยู่ อาศัยบริเวณที่ราบหุบเขาเพื่อทาการเกษตรและเล้ียงสัตว์บริเวณชายเขา อกี สว่ นหน่ึง
คือกลุ่มชนเผ่าอยู่ที่สูงทาการเกษตร ไร่หมุนเวียน และหาอยู่ หากินกับป่าตามจารีตประเพณีท้องถิ่น
นับตั้งแต่รัฐบาลกาหนดเขตป่าสงวนแห่งชาติและป่าอนุรักษ์ ต้ังแต่ในราวปี พ.ศ. 2500 เป็นต้นมา
รวมท้ังมตคิ ณะรฐั มนตรซี ่ึงกาหนดช้ันคุณภาพลุ่มนา้ ซึง่ ออกในระหวา่ ง ปี พ.ศ. 2528-2535 เปน็ ผลให้
หมูบ่ า้ นในเขตปา่ มากกว่า 2,700 หมบู่ า้ น ซ่งึ ตัง้ ถิ่นฐานอาศยั ทากินมากอ่ นการประกาศเขตป่าและเขต
ลุ่มน้าชั้นหน่ึง ถูกจัดให้เป็นหมู่บ้านท่ีขาดโอกาสการพัฒนา รอการอพยพ และถูกจากัด สิทธิการใช้
ทรัพยากร ภาคเหนือตอนบนจึงมีความขัดแย้งในเรื่อง ชาติพันุธ์ การใช้ทรัพยากรที่ดินน้า และป่าใน
เขตป่าไม้ในพ้ืนท่ีสูงมาก ตัวอย่างความขัดแย้งระหว่างรัฐกับประชาชนภายใต้การบริหารจัดการ
โครงการจดั การน้าขนาดใหญ่ เช่น โครงการผันนา้ กก-องิ -นา่ น มขี ้อขดั แยง้ ประเด็นความเป็นธรรม ใน
การใช้น้าและผลกระทบต่อชุมชนและระบบนิเวศ โครงการปรับปรุงระบบชลประทานแม่ลาว จังหวดั
เชยี งราย มขี อ้ ขัดแย้งประเดน็ คา่ คนื ทนุ เพ่มิ ต้นทนุ การผลิตของ เกษตรกร และการแบกรบั ภาระค่าน้า
ของเกษตรกร โครงการเพ่ิมปริมาณน้าในอ่างเกบ็ น้าเขื่อนแม่กวงอุดมธารา มีข้อขดั แย้งเร่ืองการผันน้า
จากแมแ่ ตงแมง่ ดั โครงการสรา้ งเขอื่ นแก่งเสอื เต้น จงั หวดั แพร่ เปน็ ตน้

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ชุมชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือแต่เดิมใช้ทรัพยากรในระบบ
หาอยหู่ ากิน นบั แต่มีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับแรก รัฐบาลได้ สรา้ งถนน แหล่งน้าขนาดใหญ่
และส่งเสริมการขยายพ้ืนที่ปลูกพืชไร่ เชิงพาณิชย์ เช่น ปอ ข้าวโพด มันสาปะหลัง อ้อย อย่างกว้างขวาง
ทาใหป้ า่ จานวนมากเปลี่ยนไปเป็นพื้นท่เี กษตร ทรพั ยากรธรรมชาติ ท้ังดิน น้า ปา่ ท่ีเหลอื ก็ถูกแก่งแย่ง

72 72

ใช้ประโยชน์ทั้งภาคเมือง เกษตรกรรม อุตสาหกรรมและการบริหาร ตลอดจนอุตสาหกรรมใหม่ ๆ เช่น
โรงงาน กระดาษ โรงงานชิน้ ไม้สับ โรงงานน้าตาล เหมืองแร่โปแตส โรงต้มกล่ัน สุรา ซ่ึงขยายจานวนโรงงาน
และขนาดการผลิต ทาใหค้ วามตอ้ งการใช้ ท่ีดินในการผลติ วตั ถุดบิ และการใช้น้าเพ่มิ ข้ึนอยา่ งรวดเร็ว

ภาคกลาง ในอดีตรัฐให้สัมปทานป่าไม้ทาให้เกิดการตัดไม้ทาลายป่าอย่างกว้างขวาง การ
ขยายพื้นทีเ่ พาะปลกู พชื ไร่เศรษฐกิจ เช่น มนั สาปะหลงั อ้อย ขา้ วโพด และเม่อื ล้มเหลวที่ดินถูกเปลี่ยน
มือมาอยู่ในมือของ นายทุนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เพื่อปลูกไม้เศรษฐกิจ ทาให้เกิด ผลกระทบต่อการ
ถอื ครองท่ีดินและการเกษตรของเกษตรกรรายย่อย ยงั มีปญั หาเมืองและอุตสาหกรรมขยายตวั รวดเร็ว
ก่อให้เกิดปัญหา มลพิษและน้าเน่าเสียในแม่น้าสายต่าง ๆ ที่ดินการเกษตร และปัญหา มลภาวะทาง
อากาศจากโรงงานระเบดิ ย่อยหนิ

ภาคตะวันตก แถบจงั หวดั กาญจนบรุ ี สุพรรณบุรี ราชบรุ ี แม่นา้ สายหลกั ของ ภาคนี้โดยเฉพาะ
ในซีกตะวันตก ยังถูกก้ันด้วยเขื่อนขนาดใหญ่ทั้งสิ้น และชายฝ่ังทะเลซ่ึงเดิมเป็นป่าชายเลนที่สมบูรณ์
กลายเป็นฟาร์มกุ้ง ปลา และโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งทาให้เกิดมลพิษในทะเล และยังมีปัญหาการรุก
ของน้าเคม็ ดังกรณแี พรกหนามแดง จังหวดั สมุทรสงคราม และนา้ เนา่ เสียทัง้ แมน่ ้าแม่กลองและท่าจีน
ไกลออกไปแถบแนวชายแดนพ้ืนที่ส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยป่า พื้นท่ีด้านตะวันตกจนชิดแนวชายแดน มี
กลุ่มชนเผ่ากระเหร่ียงต้ังถิ่นฐานมานาน การประกาศพ้ืนท่ีป่าอนุรักษ์ถึง 12.4 ล้านไร่หรือร้อยละ 23
ของพ้นื ท่ีซีกตะวนั ตก ไดท้ ับซอ้ นชมุ ชนของกลุ่มชาติพันุธ์กระเหรย่ี ง เกือบทัง้ หมด หลายชุมชนต้องถูก
อพยพโยกย้าย ในส่วนท่ีเป็นพ้ืนท่ีราบ ส่วนใหญ่ปลูกพืชไร่ ยกเว้นบริเวณปากแม่น้าทาสวนยกร่อง
ความขัดแย้ง เรื่องใหญ่ ๆ ในอดีตเกิดในเขตป่า เป็นเร่ืองการสร้างเขื่อนต่าง ๆ การ ผันน้าแม่กลอง
และสร้างท่อก๊าซไทย-พม่าผ่านป่า และความขัดแย้ง เรื่องสิทธิในการอยู่อาศัยและทากินในเขตพ้ืนท่ี
อนุรกั ษ์ และมลภาวะ ทางนา้ จากเหมอื งแรซ่ ึง่ มไี มม่ ากนกั แตส่ ่งผลกระทบรุนแรงเป็นขา่ ว ท่วั โลก เช่น
สารพิษตกค้างจากเหมอื งแร่ตะก่วั ท่ีหมบู่ า้ นคลิตี้ จังหวดั กาญจนบุรี

ภาคตะวันออก ปัญหาความขัดแย้งในภาคตะวันออกเร่ิมจากเรื่องป่าไม้และที่ดิน ในเขตป่า
รอยต่อหา้ จังหวัดภาคตะวนั ออก ต่อมาขยายตัวเป็นประเด็น ส่งิ แวดล้อม ช่วงการก่อสร้างและขยายตัว
ของนิคมอุตสาหกรรม มีความขัดแย้งในเร่ืองน้าและส่ิงแวดล้อม เช่น อากาศเสีย นิคมอุตสาหกรรม
มาบตาพุด นิคมอุตสาหกรรมกบินทร์บุรี นิคมอุตสาหกรรม 304 นิคมอุตสาหกรรมที่ฉะเชิงเทรา เป็นต้น
นอกจากน้ัน ยังมีปัญหาการแปรรูป ระบบการจัดการน้าเพื่อกิจการประปาในเขตภาคตะวันออก ซ่ึง
เช่อื มโยง กบั การผันแม่น้าบางปะกงมายังนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดระยองและชลบรุ ี การผันนา้ จาก
แมน่ ้าประแสรม์ ายงั นิคมมาบตาพุด

7733

ภาคใต้ ภูมิประเทศเป็นคาบสมุทรมีภูเขาตอนกลางและที่ราบริมฝ่ังทะเล ในอดีตพ้ืนที่ราบ
และภูเขาประชาชนทาการเกษตรผสมผสานระบบเศรษฐกิจพอเพียง ชายฝั่งทะเลเกษตรกรทาการ
ประมงดว้ ยภูมิปญั ญา และเครอื่ งมือพ้ืนบา้ น ตัง้ แตร่ ะบบเศรษฐกิจทุนนยิ มเสรีเข้ามามีอิทธิพล ปา่ ยาง
และสวนถูกเปลี่ยนเป็นสวนยาง สวนปาล์ม สวนไม้ผลที่ใช้สารเคมี จานวนมาก เขตชายฝั่งทะเล
โรงงานอุตสาหกรรม เขตอ่าวไทยตอนบน ทาให้เกิดมลภาวะทางน้า ยังมีการให้สัมปทานป่าชายเลน
ทาการค้าเผาถ่าน ใช้เรืออวนรุน อวนลาก อวนล้อมป่ันไฟจับปลากระตัก ทาให้ทรัพยากร ทางทะเล
ถูกทาลายและการกัดเซาะชายฝ่ัง การสร้างท่อก๊าซไทยมาเลเซียท้ังในทะเลและบนบก ตลอดจน
นโยบายการแปลงสินทรพั ย์ ทางทะเลเปน็ ทุน (Sea food bank) ทีใ่ ห้เอกสารสทิ ธกิ ารเพาะเลย้ี ง สตั ว์
นา้ ให้แกป่ ระชาชนบางกลมุ่ ในปจั จุบนั ทาให้เกิดการละเมิดสิทธแิ ละ ความขัดแยง้ ในหมูเ่ กษตรกรที่ทา
การประมง

พ้ืนที่ทะเลสาบสงขลา สภาพปัญหาคลา้ ยกับลุ่มนา้ ปากพนัง คือ สร้างประตูน้า กั้นน้าทะเลที่
ปากระวะ และการก่อสรา้ งทา่ เรอื นา้ ลกึ สงขลาและอืน่ ๆ อีก ทาใหน้ า้ ทะเลไม่หมุนเวียน เกิดปญั หานา้
เน่าเสีย ปลาหายไป ชาวบ้าน สูญเสียอาชีพ กรณีคลองอู่ตะเภา บริเวณป่าต้นน้าเป็นความขัดแย้ง
วิธกี ารรักษาป่าระหว่างชาวบ้านบนเขากบั ชุมชนพื้นราบ สว่ นบรเิ วณเทือกเขาบรรทัด รอยตอ่ ระหว่าง
จงั หวดั นครศรีธรรมราช ตรังและพัทลุง บริเวณบ้านไร่เหนือ เปน็ พื้นที่ชมุ ชนท้องถิ่นท่ตี ้ังถ่นิ ฐานมานาน
ก่อนประกาศเป็นเขตอนุรักษ์ ปัจจุบันถูกประกาศเป็นเขตรักษาพันุธ์สัตว์ป่าเขาบรรทัดและอุทยาน
แหง่ ชาตเิ ขาปูเ่ ขาย่า และมแี ผนจะอพยพชมุ ชนออกจากป่า ทาให้เกิดความขัดแยง้ กนั

จากการวิเคราะห์เง่ือนไขความขัดแย้งด้านทรัพยากรท่ีท่ีสาคัญได้แก่ความไม่เท่าเทียมกันใน
การกระจายทรัพยากร การใชป้ ระโยชนแ์ ละเข้าถึงทรพั ยากรทีแ่ ตกตา่ งกนั เกิดการแกง่ แยง่ กัน การไม่
มีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากร การจัดการทรัพยากรที่แต่งต่างกันทาให้เกิดการโต้แย้งหรือขาด
ความชัดเจนในเร่ือกฎหมายและนโยบาย ชมุ ชนท้องถิ่นไมเ่ ห็นดว้ ยกับระบบการจัดการทรัพยากร การ
ไม่เข้าใจ และการขาดข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายการจดั การทรัพยากร เป็นต้น อย่างไรก็ตามเงื่อนท่ีไม่ได้
กล่าวถึง คือ การคอร์รัปชั่น ซ่ึงมีส่วนสาคัญที่ทาให้มีความขัดแย้งด้านทรัพยากรส่ิงแวดล้อมรุนแรง
และบานปลายมากขึ้น

3.2.7 “คอรร์ ัปชนั่ ”เงื่อนไขความขดั แย้งด้านทรัพยากรสิ่งแวดลอ้ ม
ในมุมมองของนักวิชาการทางตะวันตกในเรื่องวิธีการจัดการเพื่อยุติความขัดแย้งด้าน
ทรพั ยากรส่ิงแวดล้อม ควรใชก้ ระบวนการมีส่วนรว่ มของประชาชนและการเจรจาไกล่เกล่ีย แตว่ ธิ ีการ
ดงั กล่าวมขี ้อจากัดที่จะนามาใช้ในแต่ละประเทศท่ีมีแตกต่างทางด้านสังคม วัฒนธรรม และบริบททาง

74 74

การเมือง (Political context) ส่วนในสังคมไทยจะพบว่าปัจจัยหนึ่งท่ีสาคัญที่ทาให้เกิดปัญหาความ
ขัดแย้งด้านส่ิงแวดล้อมมาอย่างยาวนาน ได้แก่ระบบอุปถัมภ์และปัญหาการคอร์รัปชั่น สังคมไทยเป็น
สงั คมที่มคี วามเหลอื่ มล้าสงู และมีคา่ นยิ มในเรอื่ งฐานะ คนทีม่ ตี าแหน่งและสถานภาพทางสังคมสูงกว่า
มีเงินทองมากกว่า มีอานาจมากกว่าจะถูกเรียกว่าเป็นผู้อุปถัมภ์ ขณะเดียวกันผู้ท่ีมีฐานะต่ากว่าไม่มี
ทรัพยส์ ินเงินทองและอานาจจึงต้องอยูใ่ นฐานะท่ีต้องพึ่งพาอาศัยและข้นึ ตรงต่อผอู้ ุปถัมภ์ ในฐานะของ
ผู้รับการอุปถัมภ์ จะเห็นได้ว่าข้าราชการผู้น้อยพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้านายไม่ว่าจะเป็น
การ อาน ว ย ความสะด วกท้ังใน ท่ีลับ แล ะท่ีแจ้ งเพื่ อป ร ะโ ยชน์ ในเ วลาเ ลื่อน ข้ัน เ ลื่อน ตาแหน่ ง หรือ
ผลประโยชน์อื่น ๆ ก่อให้เกิดความแตกแยก แบ่งพรรคแบ่งพวกของบุคลากรในองค์กรแล้ว ยังส่งผล
กระทบต่อเนือ่ งไปถึงการขาดการประสานความรว่ มมือในการแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิง่ ปัญหาที่
ต้องเก่ียวข้องกับผลประโยชน์ของประชาชน เช่น ปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ใน
ขณะเดียวกันข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ต้องการ มีตาแหน่งท่ีมั่นคงและสูงข้ึนที่นิยมใช้กัน คือ การอิง
นักการเมืองท่ีดูแลแลกากับหน่วยงานน้ันยอมปฏิบัติหน้าที่ราชการเพ่ือสนองความต้องการ
นกั การเมอื ง วิธกี ารการซอ้ื ตาแหนง่ โดยการจ่ายเงินให้กับนักการเมืองก็เปน็ อีกวิธกี ารหนึ่งท่ีข้าราชการ
มักนามาใช้

ดังนั้นผลประโยชน์จากโครงการพัฒนาต่าง ๆ ระบบอุปถัมภ์เป็นสาเหตุสาคัญในการผลักดัน
ให้เกิดการใช้อานาจในการกระทาผิดกฎหมาย แสวงหาประโยชน์ให้กับคนกลุ่มน้อยโดยละเลยต่อ
ประโยชน์ของคนกลุ่มใหญ่ ความร่วมมือในการแสวงหาประโยชน์ของนักการเมือง ข้าราชการและ
นายทุนนักธรุ กจิ บางกลุม่ ในการผลกั ดันโครงการตา่ ง ๆ ทงั้ เบ้อื งหนา้ และเบอ้ื งหลัง จงึ ทาใหเ้ กดิ ความ
ขัดแย้งด้านทรัพยากรสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องในทุกภูมิภาคของประเทศไทย และอีกปัจจัยหนึ่งที่
สาคัญและยังเป็นสาเหตสุ าคัญ ในการท่ีจะทาให้สถานการณ์ความขัดแย้งยืดเยื้อหรือรุนแรงยง่ิ ข้ึน คือ
วิธีการที่ใช้ในการยุติความขัดแย้ง เป็นที่น่าสังเกตว่าการยุติปัญหาร้องเรียนของประชาชนที่คัดค้าน
โครงการพัฒนาในช่วงที่ผ่านมามีรูปแบบของการใช้อานาจมืดตามแบบของเจ้าพ่อหรือผู้มีอิทธิพลใน
ระดับท้องถิ่นใช้ในการกาจัดปฏิปักษ์อันประกอบด้วย การข่มขู่ การทาร้ายร่างกาย รวมทั้งการฆ่าตัด
ตอนเพอื่ ยุตบิ ทบาทของนกั เคล่ือนไหวดา้ นสง่ิ แวดลอ้ ม

ท่ีผ่านมาในช่วงเดือนมกราคม พ.ศ. 2544 - พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 พบว่ามีผู้นาชาวบ้าน
นักสิทธิมนุษยชน และนักต่อสู้เพ่ือชุมชน เสียชีวิตหรือสูญหายไปแล้วถึง 18 คน อาจกล่าวได้ว่าเป็น
วัฒนธรรมที่ฝังรากลึก รวมท้ังมีความสัมพันธ์อันล้าลึกกับระบบอุปถัมภ์ในสังคมไทยมาอย่างช้านาน
โดยมีผู้มีส่วนได้เสียสาคัญ ประกอบด้วย ข้าราชการ นักการเมือง และภาคเอกชน อย่างไรก็ตาม
ปัญหาการคอร์รปั ช่ันจะไม่สามารถบรรลุผลได้หากข้าราชการไม่เข้าไปมีสว่ นร่วม เช่น การละเว้นท่ีจะ
ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด หรือการอานวยความสะดวกให้กับนักการเมืองและภาคเอกชนใน
การผลกั ดันโครงการท่สี ่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (วรศักด์ิ พ่วงเจริญ, 2549)

7755

3.2.8 การจดั การความขัดแย้งด้านทรัพยากรธรรมชาติ

การจัดการความขัดแย้งดา้ นทรัพยากรธรรมชาติมักจะเกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมของคนจานวน
มากและมักจะมีช่วงของความสนใจความต้องการและลาดับความสาคัญที่แตกต่างกัน การกระจาย
อานาจได้เพ่ิมความซับซ้อนของความสัมพันธ์ผู้มีส่วนได้เสียโดยนากลุ่มท่ีแตกต่างกัน เช่น ผู้จัดการ
ทรัพยากรของรฐั ผใู้ ช้ทรพั ยากรท้องถนิ่ และองค์กรเอกชน (NGOs) ของประเภทที่แตกต่างกนั แม้วา่ มี
นโยบายการควบคุมการเข้าถึงการแข่งขันและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติแล้วก็ตามความขัดแย้งและ
ข้อพพิ าทยอ่ มเกดิ ขน้ึ มขี ้อเสนอแนวทางการจดั ความขัดแยง้ 2 แนวทางคือ

1) การจัดการความขดั แยง้ ทเ่ี ปน็ ไปตามหลกั การของการดารงชวี ิตอยา่ งย่ังยนื
การจัดการความขัดแย้งโดยพยายามอานวยความสะดวกในการเจรจาต่อรองสาหรับผู้มี

ส่วนได้เสียเพื่อจัดการ และร่วมกันแก้ไขในเร่ืองที่เห็นผลประโยชน์ไม่ตรงกัน มีการจัดการให้เกิดสันติ
และความสมดลุ สามารถบรรลขุ ้อตกลง โดยมีแนวทางการจัดการความขัดแยง้ มีดงั น้ี (FAO, 2007)

(1) เพิม่ ความรขู้ องผู้คนเกีย่ วกับวธิ ีการทักษะเครื่องมือและเทคนคิ โดยเฉพาะอย่างย่งิ
สาหรับการวเิ คราะห์ความขดั แย้งการเจรจาต่อรองและไกล่เกลีย่ ท่ีตรงกันเพื่อระบุ
และเอาชนะข้อจากัด ในกระบวนการพัฒนา

(2) เสริมสร้างความสมั พันธ์และสรา้ งความไวว้ างใจภายในและในกลุ่ม
(3) เพ่ิมขีดความสามารถของชุมชนองค์กรและสถาบันเพื่อแก้ปัญหา มีส่วนชว่ ย

เสริมสรา้ งความเข้มแขง็ ให้กบั การจดั สถาบนั ท่ีควบคุมการเข้าถงึ และการใช้
ทรัพยากรธรรมชาติ
(4) ส่งเสริมการเพ่ิมรายไดแ้ ละผลประโยชน์จากการใช้และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ
อย่างยตุ ิธรรม
โดยท่ัวไปความสามารถของผู้คนในการหาวิถีชีวิตที่ยั่งยนื นั้นมีความเข้มแข็งโดยการเพิ่มหรอื
เพ่ิมทุนมนุษย์และสังคม นอกจากน้ียังเก่ียวข้องกับการสร้างเสริมขีดความสามารถของสถาบันและ
ภาคประชาสงั คมเพอื่ แกป้ ัญหาความขดั แยง้ ทางผลประโยชนโ์ ดยวิธกี ารท่ีเป็นฉนั ทามติ
2) การจัดการความขัดแย้งทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมโดยใช้แนวทางสันติวิธีของ
ประเทศไทย ในประเทศไทยเกดิ สถานการณ์ความขดั ด้านทรัพยากรสิง่ แวดลอ้ ม หลายกรณหี ลายพืน้ ที่
แต่โดยส่วนใหญ่ยังไม่สามารถคลี่คลายปัญหาดังกล่าวได้ นอกจากส่งผลกระทบด้านสิง่ แวดล้อมกับอกี
กลมุ่ หนงึ่ ซง่ึ เปน็ คู่ขัดแย้งแลว้ ยังส่งผลกระทบกบั การไม่ไวว้ างใจของประชาชนต่อหน่วยงานทเ่ี กย่ี วข้อง
กับการจัดการทรัพยากร ได้มีการศึกษาปัญหาความขัดแย้งด้านทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม

76 76

และหาแนวทางแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธีในพ้ืนที่ อาเภอสวนผ้ึง จังหวัดราชบุรี (อภิญญา ดิสสะมาน,
2015) ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้เป็นแนวทางการจัดความขัดแย้งด้านทรัพยากรธรรมชาติโดยภาพรวม
ของประเทศไทยเปน็ รายชนิดของทรัพยากรได้ดังต่อไปน้ี

(1) การจัดการความขัดแย้งทรัพยากรดิน มีแนวทางคือ การกาหนดนโยบายการบริหาร
จัดการท่ีดินท่ีมีเอกภาพ การปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบรหิ ารจดั การที่ดินให้ทุกภาคสว่ นใน
สังคมเข้ามามีส่วนร่วม การบริหารจัดการรวมท้ังการปรับเปล่ียนบทบาทเจ้าหน้าท่ีของรัฐให้ทาหนา้ ที่
เป็นผู้อานวยความสะดวกในการมีส่วนร่วม การพัฒนากลไกความร่วมมือในการบริหารจัดการท่ีดิน
โดยเฉพาะการจัดทาโครงการพัฒนาท่ีดินในอนาคตควรดาเนินการร่วมกันระหวา่ งภาคสว่ นต่าง ๆ ใน
สังคม ท้ังภาครัฐ เอกชน และชุมชนท้องถ่ิน หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มในลักษณะเครือข่าย และ
ควรปรบั ปรงุ เครอื ขา่ ยระบบขอ้ มูลทีด่ นิ ทมี่ ีประสทิ ธภิ าพ ซ่ึงผูม้ สี ว่ นไดส้ ่วนเสียทุกกลุ่มเขา้ ถงึ ได้

(2) การจัดการความขัดแย้งทรัพยากรน้า มีแนวทางได้แก่ การบริหารจัดการน้าอย่างเป็น
ระบบ เพอ่ื ใหม้ นี า้ ใช้ทีม่ คี ณุ ภาพและพอเพยี ง มกี ารปอ้ งกนั ปญั หานา้ ไมเ่ พยี งพอปญั หานา้ ท่วมและการ
รว่ มกนั ใช้นา้ อย่างยั่งยนื ภาครัฐและองค์กรปกครองสว่ นท้องถ่นิ ต้องรว่ มมือกันให้ความรู้แก่ประชาชน
เพื่อให้เข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติอย่างเป็นธรรม ผู้ประกอบการรีสอร์ตต้องจัดหาแหล่งน้าเป็นของ
ตัวเอง มีระบบบาบัดน้าเสียก่อนปล่อยน้าออกสู่ลาน้าสาธารณะ รวมถึงมีระบบกาจัดขยะเพ่ือไม่ให้มี
ผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อม การจัดทาข้อมูลทรัพยากรน้าอย่างเป็นระบบและสามารถเช่ือมโยงกับวิถี
ชีวิตของคนในทอ้ งถนิ่ ได้ และการพัฒนาแหลง่ นา้ ให้เกดิ ความยงั่ ยนื

(3) การจัดการความขัดแย้งด้านทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า มีแนวทางคือ การบริหาร
จัดการทรัพยากรธรรมชาติโดยชุมชน การสนับสนุนการปลูกป่าชุมชนนอกพ้ืนที่อนุรักษ์ การส่งเสริม
การมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นและหมู่บ้านในเร่ืองของการใช้ทรัพยากรธรรมชาติป่าไม้อย่างถูกต้อง
และกิจกรรมการป้องกันไฟป่าในเขตพ้ืนท่ีอนุรักษ์ ดาเนินการศึกษาเก่ียวกับผลผลิตจากป่าที่ไม่ใช่ใน
รูปของเนือ้ ไม้อย่างเดียว โดยคน้ หาทรพั ยากรที่สามารถชว่ ยเหลือการดารงชวี ติ ของชุมชนในท้องถ่ินได้
อย่างย่ังยืน จัดการฝึกอบรมให้มีความสัมพันธ์กับการเช่ือมต่อความหลากหลายทางชีวภาพให้แก่
เจ้าหนา้ ท่ี และประชาชนผูม้ สี ว่ นไดส้ ว่ นเสยี ในระดับท้องถิ่น

(4) การจัดการความขัดแยง้ ด้านทรัพยากรท่องเทย่ี วและรีสอร์ต มีแนวทางคือ การบรหิ าร
จัดการการท่องเท่ียวโดยใช้ชุมชนมีสว่ นร่วม การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชงิ อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
และอนุรักษ์วิถีชีวิตของชุมชนเป็นอัตลักษณ์ของพื้นที่อย่างแท้จริง รีสอร์ตจาเป็นต้องมีการจัดการน้า
ใหเ้ กิดความสมดลุ มีการจัดระเบียบการจราจรและรักษาความปลอดภยั ในเขตท่องเทีย่ วของพ้ืนที่

7777

3.2.9 กรณคี วามขัดแย้งและการจดั การปัญหาด้านทรัพยากรสิ่งแวดลอ้ ม
ในท่นี ี้จะเสนอตวั อย่างทั้งความเปน็ มา ผลกระทบ และความคืบหน้าของสถานการณ์ 2 กรณี
ตวั อยา่ ง ความขัดแยง้ และการจัดการปัญหาด้านทรพั ยากรส่งิ แวดล้อม ดงั น้ี

1) กรณลี ุ่มนา้ คลองอตู่ ะเภา จังหวัดสงขลา
(1) สถานการณ์ปญั หา
ลุ่มน้าคลองอู่ตะเภาถือได้ว่าเป็นลุ่มน้าท่ีใหญ่ท่ีสุดในบรรดา 5 ลุ่มน้าของจังหวัดสงขลา มี
พื้นท่ีวัดได้ประมาณ 2,840,000 ตารางกิโลเมตร คลอบคลุมอาณาเขตพ้ืนที่ 7 อาเภอ 35 ตาบล 252
หมู่บ้าน อันได้แก่ อาเภอสะเดา อาเภอนาหม่อม อาเภอหาดใหญ่ อาเภอคลองหอยโข่ง อาเภอบางกล่า
อาเภอรัตภูมิ และอาเภอควนเนยี ง โดยมีเทศบาล มีความกว้างของผวิ น้าในหน้าแล้งโดยเฉลยี่ บริเวณ
ต้นน้า 6-15 เมตร กลางนา้ 15-30 เมตร และปลายนา้ 30-50 เมตร และลกึ ประมาณ 3.5 เมตร รวม
ความยาวท้ังสิ้น (เฉพาะส่วนที่เรียกว่าคลองอู่ตะเภา) ประมาณ 68 กิโลเมตร มีปริมาณน้าท่าท่ีไหลลง
สูท่ ะเลสาบสงขลา เฉลี่ยรายปปี ระมาณ 837 ล้านลูกบาศก์เมตร
ปัญหาน้าเสียอันเกิดจากแหล่งมลพิษสาคัญๆ ได้แก่ จากโรงงาน อุตสาหกรรม และชุมชน
โดย เฉพาะชว่ งตอนกลางของลมุ่ นา้ ที่มีโรงงานมาตง้ั อยู่ริมนา้ เป็นจานวนมาก และมีการลักลอบปล่อย
น้าเสียลงสู่สายน้า ผลการตรวจวัดคุณภาพน้าพบว่ามีความเส่ือมโทรมที่สุดในบรรดาลุ่มน้าสาขาของ
ทะเลสาบสงขลา โดยวัดจากปริมาณน้าใช้ 82,143 ลบ.ม./วัน พบว่ามีปริมาณน้าเสียมากถึง 65,714
ลบ.ม./วัน น้ามีสภาพที่ขุ่นข้น และทางน้าถูกกีดขวาง สาเหตุใหญ่เกิดจากกการทาเกษตรเชิงเดี่ยว
พื้นที่ทาการเกษตรส่วนใหญ่ในลุ่มน้าคลองอู่ตะเภาจะเป็นสวนยางพารา ซ่ึงเป็นการการทาเกษตร
เชิงเดี่ยวท่ีมีสภาพเตียนโล่ง เวลาฝนตกหนา้ ดินจึงถูกชะลา้ งลงไปในคลอง ทาให้สภาพน้าในคลองเป็น
สีชาขุ่น บวกกับการลักลอบดูดทราย ก็เป็นอีกสาเหตุหน่ึงท่ีทาให้ สภาพน้าในคลองขุ่นข้น ในช่วง
ตอนล่างของลุ่มน้าเกษตรกรได้ทาการปลูกผักบุ้ง-ผักกระเฉด และผักตบชวาขวางทางนา้ ทาให้ชว่ งฤดู
น้าหลากกลายเป็นสิ่งกีดขวางการไหลของน้า นอกจากน้ียังมีปัญหาความสัมพันธ์ของชุมชนอัน
เนื่องจากวิถีเปล่ียนไปจากเดิม ซึ่งเป็นปัญหาสาคัญท่ีสุด และเป็นผลสืบเน่ืองจากกระแสของการ
พัฒนาในแบบทุนนิยมที่ไหลเชี่ยวกรากเข้าโหมทาลายชุมชนทิ้งลาคลองท่ีเคยใช้เรือสัญจรหันมาใช้
ถนนคนหันหน้าบ้านท้ิงลาคลองเป็นหลังบ้าน เมินเฉยต่อสิ่งท่ีมีคุณค่าในอดีต (สานักงานสิ่งแวดล้อม
ภาคที่ 16, 2552)

78 78

ภาพที่ 3-3 แผนที่แสดงลมุ่ น้าคลองอูต่ ะเภา

ทมี่ า: https://reo16.mnre.go.th/reo16/files/com_download/2020-09/20200928_imzoxbkk.pdf

ปัญหาน้าเสียคลองอู่ตะเภาเป็นประเด็นที่เกิดข้ึนอย่างต่อเน่ือง ส่งผลให้เกิดความขัดแย้ง
ระหว่างชุมชนริมฝั่งคลองกับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกับเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมในพ้ืนท่ี
จนกระท่ังในปี พ.ศ. 2554 เริ่มมีโครงการธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม และจัดตั้งอาสาสมัครเครือข่ายเฝ้า
ระวังคลองอตู่ ะเภา โดยความร่วมมือของผู้ประกอบการโรงงาน องค์กรปกครองสว่ นท้องถ่นิ เครือข่าย
ภาคประชาชน เยาวชน โรงเรียนในพ้ืนท่ี นักวิชาการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีการดาเนินงานเพื่อ
ลดความขัดแยง้ และแก้ปญั หาดังกลา่ วมาจนถงึ ปัจจบุ ัน

7799

(2) แก้ปัญหาด้วย อาสาสมัครเครอื ข่ายเฝ้าระวังคลองอูต่ ะเภา
ในพ้ืนที่ลุ่มน้าคลองอู่ตะเภา มีการดาเนินการงานของโครงการธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม ซึ่ง

เกิดจากความร่วมมือกันอย่างจริงจังของ ภาคประชาชน องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น เทศบาล
นักวิชาการ ภาคราชการที่เกี่ยวข้อง และกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม เป็นผลให้ส่ิงแวดล้อมของคลองอู่
ตะเภา มีสภาพน้าดีข้ึน ปัญหาเริ่มน้อยลง เกิดกลุ่มธรรมาภิบาลโซนต้นน้า โซนกลางน้า โซนปลายนา้
และทุกภาคส่วน มีการประสานงานกันอย่างเป็นระบบ และเก็บข้อมูลเพ่ือตรวจสอบคุณภาพน้าอย่าง
ต่อเน่ือง จึงทาให้เกิด “โครงการอาสาสมัครเครือข่ายเฝ้าระวังคลองอู่ตะเภา”ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์
คอื 1) เพอ่ื สรา้ งความร่วมมือระหว่างชุมชนกับโรงงานในการเฝา้ ระวังมลภาวะทางนา้ ในคลองอู่ตะเภา
2) เพ่ือเช่ือมร้อยเครือข่ายรักษ์สิ่งแวดล้อมตลอดแนวคลองอู่ตะเภา 3) เพื่อจัดเก็บข้อมูลการเก็บ
ตัวอย่างน้าอย่างเป็นระบบ และ 4) เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างชุมชน โรงงาน องค์การ
ปกครองส่วนทอ้ งถ่นิ และนักวิชาการ

มีเครือข่ายอาสาสมัครเฝ้าระวังมลภาวะทางน้า จานวน 26 ชุด ตลอดแนวคลองอู่ตะเภา ใน
โซนต้นน้า โซนกลางน้า โซนปลายน้า ซึ่งมีกิจกรรม ต่าง ๆ ของเครือข่าย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554-2557
ได้แก่ การประชุมโครงการอาสาสมัครเครือข่ายเฝ้าระวังคลองอู่ตะเภา การจัดมอบชุดตรวจวัด
คุณภาพน้าและมอบเคร่ืองคอมพิวเตอร์ให้กับเครือข่ายฯ การดาเนินการตรวจวัดคุณภาพในคลองอู่
ตะเภาโดยความรว่ มมือระหว่างชุมชนกับโรงงาน การติดตามผลการดาเนินงานของเครือข่ายฯ การรับ
ฟังข้อคิดเห็นของเครือข่ายฯ ได้จัดกิจกรรมล่องเรือสารวจคลองอู่ตะเภา เครือข่ายโรงงานร่วมกับ
ชุมชนในพืน้ ท่ีตาบลพะตง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา 28 พฤศจิกายน 2554 จัดกิจกรรมปลูกหญ้า ตน้ สาคู
และพฒั นาคลองอู่ตะเภา ในพ้นื ที่ ตาบลพะตง ตาบลปรกิ อาเภอสะเดา และอาเภอเมือง สงขลา การ
ตรวจวัดคุณภาพในคลองอู่ตะเภา โดยความร่วมมือของสานักงานสิ่งแวดล้อมภาค 16 ชุมชน และ
โรงงานอุตสาหกรรม กิจกรรมแลกเปลี่ยนประสบการณ์เครือข่ายเฝ้าอาสาสมัครระวังคลองอู่ตะเภา
พ้ืนท่ีต้นน้า กลางน้าและปลายน้า กิจกรรมสร้างฝายชะลอน้า โดยความร่วมมือคณะทางานโครงการ
ธรรมาภบิ าลสิง่ แวดล้อมและอาสาสมคั รเครือข่ายเฝ้าระวังคลองอู่ตะเภาในพื้นที่ตาบลปริก (เจตวรรณ
กรตุ รนิยม, 2557)

เจตวรรณ กรุตรนิยม ได้สรุปการดาเนินงานโครงการอาสาสมัครเครือข่ายเฝ้าระวังคลองอู่
ตะเภาว่า ทาให้ เกิดความร่วมมือจากทุกภาคส่วนอย่างเป็นรูปธรรม ทรัพยากรธรรมชาติและ
สง่ิ แวดล้อมในคลองอตู่ ะเภาดีข้ึนอยา่ งเหน็ ได้ชัด จากประชาชนที่อยู่บรเิ วณริมคลองสามารถหาปลามา
ประกอบอาหารและจาหนา่ ยได้ ไมพ่ บปญั หาร้องเรียนเรือ่ งน้าเสีย ปลาตาย ในโซนต้นนา้ กลางน้า แต่
ในโซนปลายนา้ (คลองแหและคูเตา่ ) ยงั พบปญั หาอยูบ่ า้ ง ซง่ึ ประชาชนในพืน้ ทไ่ี ดต้ รวจสอบข้อเท็จจริง
พบว่าปัญหาน้าเสียเกิดจากระบบบาบัดน้าเสียของเทศบาลนครหาดใหญ่ยังไม่สมบูรณ์ ทาให้เกิด

80 80

กระแสการอนุรักษ์คลองอู่ตะเภามากขึ้น เห็นได้จากชมรม สถานศึกษา และองค์กรต่าง ๆ ในท้องถ่ิน
เกิดโครงการในการอนุรักษ์คลองอู่ตะเภาขึ้น ทัศนคติของประชาชนเกิดการเรียนรู้ และวิเคราะห์
ปัญหาจากข้อเท็จจริง โดยไม่ใช้จินตนาการหรือการคาดคะเน โดยไม่มีข้อมูล ที่สาคัญคือลดความ
ขัดแย้งระหว่างประชาชน ผู้ประกอบการ และหน่วยงานของรัฐ หันมาใช้แนวทางสันติวิธีมาแก้ปัญหา
ร่วมกัน

2) กรณีความขดั แยง้ ด้านการประมง กรณี การประมงปลากะตกั กับชาวประมงพน้ื บา้ น
สานกั งานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม (2542) ไดร้ ายงานสถานการณ์
ท่ีเก่ียวข้องกับความขัดแย้งการประมงปลากะตักและชาวประมงพื้นบ้านว่า ในการทาประมงปลา
กะตักจะใช้อวนล้อมจับปลาในเวลากลางวัน ในปี พ.ศ. 2524 มีการดัดแปลงเคร่ืองมือประมงโดยใช้
แสงไฟจากเคร่ืองป่ันไฟในเรือเพื่อล่อปลาในเวลากลางคืนแล้วใช้อวนล้อมจับ ส่วนใหญ่นิยมทาการ
ประมงในพ้ืนภาคตะวันออก ทาให้สัตว์น้าชนิดอื่น ๆ ติดปะปนมาด้วย โดยเฉพาะลูกสัตว์น้า ซ่ึงจะติด
อวนขึ้นมาด้วยจานวนมาก ในปี พ.ศ. 2526 กระทรวงเกษตรฯ จึงได้ออกประกาศห้ามเรือประมงใช้
อวนช่องตาเล็กกว่า 2.5 เซนติเมตร ประกอบกับเคร่ืองป่ันไฟทาการประมงปลากะตักในเขตจังหวัด
ชายทะเลทุกจังหวัด ทาให้มีผลกระทบต่อเรือประมงปลากะตักปั่นไฟ เนื่องจากเรือประเภทน้ีใช้อวนที่มี
ขนาดตาเพียง 0.5-1 ซม. ทางโรงงานน้าปลาและกลุ่มเรือประมงปลากะตักป่ันไฟ จึงมีความพยายามท่ีจะ
ใหย้ กเลิกประกาศนี้
ในปี พ.ศ. 2534 กระทรวงเกษตรฯ ได้ออกประกาศห้ามใช้เคร่ืองมืออวนล้อมจับท่ีมีขนาดช่อง
ตาอวนเล็กกว่า 2.5 ซม. ทาการประมงในเวลากลางคืน ในท้องท่ีจังหวัดชายทะเลทุกจังหวัด แต่ก็มี
การใช้เครือ่ งมอื ประมงชนดิ อ่นื ๆ แทน คอื อวนช้อน อวนยกหรอื อวนครอบ
ในปี พ.ศ. 2536 กรมประมงได้ตั้งคณะทางานเพ่ือศึกษาผลกระทบของการประมงเรือปลา
กะตักปั่นไฟ สรุปได้ว่าการทาประมงปลากะตักป่ันไฟจะทามีสัตว์น้าชนิดอื่นปะปนมาด้วยประมาณ
รอ้ ยละ 15 แต่เมอื่ เปรยี บเทียบกบั การทาประมงโดยใช้เครอ่ื งมือประเภทอื่นแลว้ เคร่อื งมือประเภทอื่น
จะมีสัตว์น้าชนิดอื่นปะปนมาด้วยมากกว่า และเห็นว่าควรนาปลากะตักมาใช้ประโยชน์ แต่ต้องมีการ
ควบคุมอย่างใกล้ชดิ เพื่อใหก้ ารใชป้ ระโยชน์อย่ใู นศักยภาพที่สงู สุดอยา่ งย่งั ยืน
ในปี พ.ศ. 2539 กรมประมงได้ยกเลิกประกาศปี พ.ศ. 2526 โดยใหใ้ ช้เครื่องมือประมงท่ีมีขนาด
ตาอวนเล็กกว่า 2.5 ซม. ประกอบเคร่ืองกาเนิดไฟฟ้า และให้อวนช้อน อวนยกหรืออวนครอบที่ใช้
ประกอบเครื่องกาเนิดไฟฟ้า สามารถทาประมงปลากะตักปั่นไฟได้ ทาให้เรือประมงปลากะตักปั่นไฟ
จากภาคตะวันออกเข้าไปทาการประมงในเขตน่านน้าจังหวัดสงขลาเป็นจานวนมาก และทาให้เกิด
ความขัดแย้งกับเรือประมงในท้องถ่ิน โดยเฉพาะเรือประมงพื้นบ้าน กลุ่มเรือประมงพ้ืนบ้านจึงได้

8811

ประทว้ งคัดค้านเรือประมงปลากะตักป่นั ไฟอยา่ งรนุ แรงและต่อเนื่องมาตั้งแตป่ ี พ.ศ. 2540 ทางจังหวดั
สงขลา จึงได้ออกประกาศห้ามใช้เคร่ืองมืออวนที่ใช้ประกอบเคร่ืองมือกาเนิดไฟฟ้าทาการประมงใน
จังหวัดสงขลาในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2541 ทาให้กลุ่มเรือประมงปลากะตักปั่นไฟประท้วงให้ยกเลิก
จงั หวัดสงขลาตอ้ งจัดประชาพจิ ารณข์ นึ้ เมื่อตน้ ปี พ.ศ. 2541

เม่ือวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2542 กลุ่มเรือประมงปลากะตักจานวน 1,000 คน จากอาเภอ
เมือง สิงหนคร จะนะ เทพา ในจังหวัดสงขลา ได้รวมตัวกันประท้วงหน้าอาเภอสิงหนคร และในวันท่ี
3 มิถุนายน พ.ศ. 2542 คณะกรรมการนโยบายประมงแห่งชาติ มีมติกาหนดเขตทาประมงใหม่เป็น 3
ระยะ คือ ระยะจากชายฝั่ง - 5 กม. แรกในทะเล เป็นเขตประมงพื้นฐาน (เขตอนุรักษ์ห้ามทาการ
ประมงปลากะตกั )

1. ระยะ 5 กม.-12 กม. เป็นเขตเรือเล็กจับปลากะตัก (เขตการทาประมงปลากะตักพ้ืนบา้ น)
2. ระยะ 12 กม. ออกไป เป็นเขตเรือใหญจ่ ับปลากะตัก (เขตการทาประมงปลากะตักพาณชิ ย์ )
ท้ังนี้ให้ทดลองใช้ 3 เดือน เพ่ือหาทางออกใหม่ แต่ยังมีการชุมนุมประท้วงของกลุ่มชาวประมง
ท้ังสองฝ่าย โดยในวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2542 สมาพันธ์ชาวประมงพ้ืนบ้านภาคใต้ 13 จังหวัด ได้
ชุมนุมปิดอ่าวพังงา เพ่ือเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกประกาศกระทรวงเกษตรฯ วันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2539
ท่ีอนุญาตให้ใช้เรือป่ันไฟจับปลากะตักในเวลากลางคืน ทาให้สัตว์น้าขนาดเล็กถูกทาลาย และมีผลต่อ
การทาประมงพนื้ บ้าน

ในวนั ท่ี 28 มิถุนายน พ.ศ. 2542 คณะกรรมการนโยบายประมงแห่งชาติ มีมติใหค้ ณะอนุกรรมการ
ศึกษาและกาหนดมาตรการที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหาการทาการประมงปลากะตักโดยใช้แสงไฟ
ประกอบ ศึกษาผลกระทบการทาประมงปลากะตัก มีกาหนดระยะเวลาศึกษา 4 เดือน ผลการศึกษา
พบว่า การทาประมงปลากะตักมิไดช้ ช้ี ดั ถึงการทาลายทรัพยากรสัตว์น้าชนิดอ่ืน ดังนั้นเหน็ ควรให้อนุญาต
ให้มีการทาประมงปลากะตักโดยใช้แสงไฟประกอบต่อไปได้ โดยมีมติให้แบ่งเขตการทาประมงป่ันไฟ
ตามความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ ซ่ึงจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการระดับจังหวัดขึ้นมาแบ่งเขต
นอกจากน้ียังกาหนดให้มีการข้ึนทะเบียนเรือประมงและการควบคุมจานวนอาชญาบัตร เพื่อควบคุม
ปริมาณการทาประมงปลากะตัก รวมถึงการควบคุมขนาดของตาอวนให้ใหญ่กว่า 0.6 ซม. เพื่อเป็น
การอนุรกั ษ์ทรัพยากรปลากะตัก

อย่างไรก็ตาม ชาวประมงพื้นบ้านไม่ยอมรับผลการศึกษาและยังคงเสนอให้ยกเลิกเครื่องมือ
ประเภทนี้ต่อไป อยา่ งไรก็ตามเรือปัน่ ไฟปลากะตักมจี านวนลดลงมากแลว้ เน่ืองจากผลผลติ จากการจับ
ปลากะตักมปี ริมาณลดลง นอ้ ยลงเรอื่ ย ๆ จนถงึ ปจั จุบัน

82 82

3.3 ความขดั แย้งจากโครงการขนาดใหญ่และการแก้ไขโดยสันตวิ ธิ ี

3.3.1 ความหมายและการดาเนินการโครงการขนาดใหญ่
1) ความหมายของโครงการขนาดใหญ่
โครงการขนาดใหญ่หรือ "เมกะโปรเจกต์" เป็นโครงการที่รัฐใช้เม็ดเงินลงทนุ สูง ดาเนินการโดย
รัฐ เพ่ือประโยชน์แก่สาธารณชน อาจมีการดาเนินการวางแผนโดยผู้เชี่ยวชาญจากในหรือต่างประเทศ
การลงทุนโดยวิธีที่แตกต่างกันออกไป เนื่องจากผู้ดาเนินการเป็นรัฐและผู้รับประโยชน์คือราษฎร
ปัจจุบันเมกะโปรเจคท์จึงไม่สามารถแยกออกจาก “นโยบายสาธารณะ” ได้ (อริยา อรุณินท์, 2549)
โครงการขนาดใหญ่นอกจากจะดาเนินการโดยความร่วมมือของกลุ่มบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ เพ่ือ
อาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่แตกต่างกันแล้ว ยังช่วยในการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนด้วย
โดยภาครฐั อาจจะร่วมมือกับภาคเอกชน (Public-Private Partnership) หรอื ระหว่างรัฐบาล (G to G
- Government to government) ในรูปแบบต่าง ๆ เช่นการแลกเปลี่ยนสินค้าหรือบริการหรือบาร์
เตอร์เทรด การใหส้ มั ปทาน การใหเ้ อกชนสร้างและโอนเป็นของรฐั ภายหลัง (BOT - Build-Operate-
Transfer) ตัวอยา่ ง "เมกะโปรเจกต์" ในประเทศไทย ไดแ้ ก่ ระบบสาธารณปู โภคพ้นื ฐาน ระบบจราจร
ระบบขนส่งมวลชน การบริหารจัดการน้า ระบบบริหารการขนส่ง โครงการที่อยู่อาศัยของรัฐ (เช่น
บา้ นเอื้ออาทร บ้านม่ันคง) หรือ สนามบนิ เป็นตน้ (วกิ พิ ีเดีย, 2565)
2) แนวโน้มการดาเนินการโครงการลงทุนขนาดใหญ่ (Mega projects) ของภาครัฐของ
ประเทศไทย
ธนาคารกรุงศรีอยุทธยา (2564) ไดร้ ายงานข้อมูลว่าโครงการลงทนุ ขนาดใหญ่ (Mega projects)
ของภาครัฐจะเป็นแรงขับเคลื่อนสาคัญของภาคธุรกิจ/อุตสาหกรรม แผนปฏิบัติการด้านคมนาคม
ขนส่งระยะเร่งด่วนฉบับล่าสดุ พ.ศ. 2561 ภายใต้ยุทธศาสตรก์ ารพัฒนาระบบคมนาคมขนสง่ ของไทย
ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) มีมูลคา่ การลงทนุ ด้านโครงสรา้ งพื้นฐานโดยรวมทงั้ ส้ิน 1.77 ล้านล้าน
บาท โดยการพัฒนาคมนาคมระบบรางหลายโครงการมีกาหนดเร่ิมก่อสร้างในช่วงปี พ.ศ. 2564 ท่ีสาคญั
ได้แก่โครงการรถไฟทางคู่สายเด่นชัย-เชียงของ และสายบ้านไผ่-นครพนม โครงการรถไฟความเร็วสงู
ไทย-จนี รวมถงึ รถไฟฟา้ สายสีส้มส่วนต่อขยายจะเช่อื มต่อระบบขนสง่ ครอบคลุมพืน้ ทส่ี ู่ภมู ิภาคกว้างขวาง
ข้ึน ขณะเดียวกันโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridors: EEC) ยัง
เป็นพน้ื ทีย่ ทุ ธศาสตร์หลักที่การลงทุนขนาดใหญอ่ ีกหลายโครงการกาลงั จะเร่ิมก่อสร้าง ได้แก่ โครงการ
รถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินช่วงสุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา โครงการพัฒนาท่าเรือมาบตาพุดและ
แหลมฉบังระยะที่ 3 และโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาด้วยมูลค่าลงทุนรวมประมาณกว่า 6.0
หมื่นลา้ นบาทในปี พ.ศ. 2564 (จากมูลคา่ รวมกว่า 6.8 แสนล้านบาทตลอดทง้ั โครงการ)

8833

ภาพที่ 3-4 Mega Projects เชือ่ มโยงกรุงเทพฯและเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกของประเทศไทย

ท่ีมา: https://www.boi.go.th/upload/content/10.00%20-%2012.00%20(3)%20-
%20Implementing%20Infrastructure%20Megaprojects_EN_5ab1fbeeb4901.pdf

นอกจากน้ี ภาครัฐยังเห็นชอบแผนยกระดับบางโครงการอย่างเช่น การพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง
เพื่อเชอ่ื มโยง EEC ไปสู่ภาคใตแ้ ละประเทศเพื่อนบ้านเพื่อหนนุ ไทยเป็น Hub การขนส่งอาเซยี น ทาให้
เกิดการพัฒนาโครงการใหม่ที่ต้องลงทุนก่อสร้างเพ่ิม เช่นการพัฒนาท่าเรือบก (Dry port) ซึ่งกาหนด
แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. 2566-2567 การเร่งโครงข่ายคมนาคมที่เชื่อมโยงสู่ภูมิภาคอื่น ๆ ในลักษณะ
ของ Multimodal transport ดังกล่าวจะเหนย่ี วนาใหเ้ กิดการลงทุนทั้งภาคการผลติ โดยเฉพาะกลมุ่ ที่
ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่นยานยนต์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ดิจิทัล และการแพทย์ รวมถึงภาค
เศรษฐกิจอ่ืน ไดแ้ กธ่ ุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คา้ ปลีก และก่อสรา้ ง

3) สถานการณ์ปัญหาโครงการพฒั นาขนาดใหญ่ของประเทศไทย
โครงการพัฒนาขนาดใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อความขัดแย้งในประเทศไทย มีหลายโครงการ
โดยส่วนใหญ่จะเก่ียวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานเพ่ือจัดการการทรัพยากรน้า การผลิตและลาเลียง
พลงั งาน การจดั การนิคมอตุ สาหกรรม มตี วั อย่างดัง ตารางที่ 3-1

84 84

ตารางท่ี 3-1 สถานการณ์ โครงการพัฒนาท่ีทาใหเ้ กดิ ผลกระทบและความขัดแย้ง

โครงการ ช่วงปี พ.ศ. สรปุ สถานการณ์

เขอ่ื นน้าโจน 2525-2541 ความล้มเหลวของการยื่นเสนอโครงการสร้างเขือ่ นในเขตปา่ ช้ืน
จงั หวดั กาญจนบรุ ี 2532-2543 ในภาคตะวันตกของประเทศไทย
2538-2542
เขือ่ นปากมลู 2535-2542 เข่ือนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยทีต่ อ้ ง
จังหวดั อบุ ลราชธานี 2529-2535 ชดเชยเงินและอพยพชมุ ชนชาวประมง
2536-2541
ท่อลาเลยี งกา๊ ซยาดานา 2541-2543 ผลกระทบจากทอ่ ลาเลยี งก๊าซจากพม่าผา่ นเขตป่าช้นื ในภาค
จังหวดั กาญจนบรุ ี ตะวันตกของประเทศไทย

โรงไฟฟา้ แมเ่ มาะ ผลกระทบจากโรงไฟฟา้ พลงั ถ่านหนิ ลิกไนตใ์ นภาคเหนอื ของ
จังหวดั ลาปาง ประเทศไทย

เหมืองแร่ดีบุก ผลกระทบจากการทาเหมืองแรด่ บี กุ ต่อส่งิ แวดล้อมและ
จังหวดั ภูเกต็ เศรษฐกิจ ทั้งการทอ่ งเที่ยวและการทาประมง

มลภาวะลมุ่ น้าพอง ข้อถกเถยี งดา้ นมลพิษจากนคิ มอตุ สาหกรรมในภาคเหนอื ของ
จงั หวดั ลาพูน ประเทศไทย

โรงไฟฟ้า ประจวบครี ีขนั ธ์ การก่อสรา้ งโรงไฟฟ้าพลงั ถา่ นหินในเขตการทาประมงและแนว
จังหวดั ประจวบคีรขี ันธ์ ปะการงั โดยทสี่ ดุ โครงการตอ้ งยกเลิกไปจากการคัดค้านของ
ประชาชน

ทม่ี า: อทุ ยั ปรญิ ญาสทุ ธนิ ันท์ และคณะ (2555)

ปัญหาท่ีเกิดข้ึนจากการดาเนินโครงการขนาดใหญ่ ได้แก่ การต่อต้านโครงการจากประชาชน
ในพ้ืนท่ี ทาให้เกิดความขัดแย้งและความไม่ไว้วางใจระหว่างส่วนต่างๆของสังคม ตลอดจนมีการใช้
ความรุนแรงระหว่างฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายคัดค้านโครงการ โดยที่ทัศนคติการทางานของหน่วยงาน
ภาครัฐส่วนใหญ่ก็ยังคุ้นเคยกับการทางานในลักษณะ Top-down จึงไม่ได้เตรียมการเพื่อสร้าง
กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนต้ังแตข่ ั้นเร่ิมต้น รวมถึงหน่วยงานเจ้าของโครงการไม่ได้เผยแพร่
และประชาสัมพันธ์ข้อมูลโครงการท่ีถูกต้องครบถ้วน จนก่อให้เกิดความสับสนแก่ประชาชน รวมท้ัง
ปญั หาการจัดทาประชาพิจารณท์ ่ไี มป่ ระสบผลสาเรจ็ (สรุ นันท์ วงศ์วิทยกาจร, 2561)

อทุ ยั ปริญญาสุทธนิ นั ท์ และคณะ (2555) ไดร้ วบรวมและสรุปสถานการณ์ความเคลื่อนไหว
ทางสงั คมคดั ค้านโครงการขนาดใหญ่ของรฐั โดยอยใู่ นลักษณะของการรณรงค์คัดคา้ น การชุมนุม
ต่อตา้ น การเสนอทางเลือกการพัฒนา และการฟ้องร้องศาลให้เพกิ ถอนโครงการ ดงั ตาราง 3-2

8855

ตารางท่ี 3-2 สถานการณ์ความเคลือ่ นไหวทางสงั คมคัดค้านโครงการขนาดใหญ่

โครงการ ชว่ งปี พ.ศ. รายละเอยี ดการเคลอ่ื นไหวของชุมชน

โครงการบอ่ บาบัด 2546-2554 การก่อสร้างบ่อบาบัดน้าเสียที่ใหญ่ท่ีสุดในประเทศและทวีป เอเชีย
น้าเสียคลองดา่ น บาบดั นา้ เสยี ไดว้ นั ละ 1,785,000 ลกู บาศกเ์ มตร ชมุ ชนคลองด่านและ
จงั หวดั สมทุ รปราการ พ้ืนท่ีใกล้เคียงต่อต้านโครงการ โดยเห็นว่ามีผลกระทบต่อชุมชนและ
สิ่งแวดล้อม กล่าวคือการดาเนินการไม่โปร่งใส และเม่ือวันที่ 12
โครงการท่อก๊าซไทย- 2545 มกราคม 2554 คณะอนุญาโตตุลาการตัดสินให้กรมควบคุมมลพิษแพ้
มาเลเซีย 2545 คดีต้องจ่ายเงินค่าจ้างคา่ เสียหาย รวมท้ังดอกเบีย้ ใหแ้ ก่ผู้เรียกร้องเป็น
จงั หวัดสงขลา 2554 เงนิ กว่า 9 พนั ล้านบาท
การวางท่อส่งก๊าซระหว่างไทย-มาเลเซีย ซึ่งชุมชนต่อต้านการกอ่ สร้าง
โครงการโรงไฟฟา้ โดยชุมนุมประท้วงถึงข้ันรุนแรง มีผู้ได้รับบาดเจ็บจานวนมากและผล
พลงั งานความร้อน ถา่ นหนิ การตรวจสอบพบวา่ การดาเนนิ การไม่เป็นไปตามบทบญั ญตั ิแหง่ รฐั
หนิ กรดู -บ่อนอก การก่อสร้างโรงไฟฟ้าซึ่งส่งผลกระทบต่อชุมชน จนเกิดความ ขัดแย้ง
จังหวดั ประจวบครี ีขนั ธ์ และการคัดค้านจากชุมชน และผลการตรวจสอบการ ดาเนินการ
พบวา่ ไม่เป็นไปตามบทบญั ญตั ิแหง่ รฐั
เขื่อนปากมนู
จงั หวัดอบุ ลราชธานี สมัชชาคนจนรอ้ งเรียนให้มกี ารเปดิ ประตูเข่อื นถาวรเพื่อฟื้นฟูวถิ ีชุมชน
ลุ่มนา้ มลู ได้แกอ่ าเภอโขงเจยี ม อาเภอพบิ ูลมังสาหาร และอาเภอสิรนิ
การตดั ถนนผา่ นแนวป่า 2554 ธร และเป็นกระแสความเคล่ือนไหวตอ่ เน่ืองจนถึงปี พ.ศ. 2554 ซ่ึงยัง
เ ทื อ ก เ ข า บ ร ร ทั ด 2554 ไมส่ ามารถหาขอ้ ยุติในประเด็นนี้ได้
จงั หวัดตรัง เจ้าหน้าทีร่ ัฐใชร้ ถไถดันพื้นทีป่ า่ และทีด่ นิ ทากนิ ดง้ั เดิมของชาวบา้ นเพ่ือ
กอ่ สร้างถนนสง่ ผลกระทบตอ่ ทรัพยากรและวิถชี ุมชน ชาวบ้านสญู เสีย
โครงการกอ่ สรา้ ง ท่ีดนิ ทากิน เกิดความขดั แยง้ ในชุมชนและการตอ่ ต้านโครงการ
โรงไฟฟา้ ชวี มวล การรวมตัวของชุมชนต่อต้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลและย่ืน
จงั หวัดเชยี งราย หนังสือประท้วงต่อผู้แทนศาลปกครองขอให้เพิกถอนใบอนุญาต
ประกอบกิจการและให้หยุดดาเนินการกอ่ สรา้ งเนื่องจากสง่ ผลกระทบ
โครงการกอ่ สร้าง 2552-2554 ต่อผลิตผลทางการเกษตรเกิดการแย่งชิงน้าปัญหาฝุ่นละออง และ
โรงไฟฟา้ แหง่ ท่ี 2 มลพษิ ทางอากาศ
จงั หวัดสงขลา การก่อสร้างโรงไฟฟ้าแห่งท่ี 2 ในพื้นที่ตาบลนาทับ อาเภอ จะนะ
จังหวัดสงขลา ชุมชนเรียกร้องให้ยุติการก่อสร้างเน่ืองจากกังวล
ผลกระทบที่จะเกิดข้ึนกับประมงพ้ืนบ้านและ ระบบนิเวศสัตว์น้าใน
คลอง ท้ังน้ีปัญหาของชุมชนท่ีเกิดข้ึนมาแลว้ ยังไมไ่ ด้รบั การแก้ไขอย่าง
เปน็ รปู ธรรม

86 86

โครงการ ช่วงปี พ.ศ. รายละเอียดการเคลอ่ื นไหวของชุมชน

โครงการก่อสร้าง 2550-2554 การก่อสร้างท่าเรือน้าลึกเช่ือมต่อการค้าระหว่างประเทศ และระบบ
ทา่ เรือนา้ ลกึ ปากบารา ขนส่งภายในประเทศโดยเช่ือมโยงกับท่าเรอื น้าลึกสงขลาแห่งที่ 2 เกดิ
จงั หวัดสตลู การรวมตัวของชาวบา้ นในพ้นื ที่ องค์กรพฒั นาเอกชน และนกั วชิ าการ
เคล่ือนไหวคัดค้านโครงการอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการชูพื้นที่อุดม
สมบูรณ์ด้วยการใช้ภูมิปัญญาในการจับปลามาเป็นประเพณีการแข่ง
ตกปลาเพอ่ื ต่อตา้ นโครงการ

ท่มี า: อุทัย ปรญิ ญาสุทธนิ นั ท์ และคณะ (2555)

4) จดุ อ่อนและผลกระทบความขัดแยง้ จากโครงการขนาดใหญ่

จากสถานการณ์การดาเนินงานโครงการขนาดใหญ่ ซ่ึงมีส่วนสาคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ระดับประเทศ อย่างไรก็ตามก็ยังมีจุดอ่อนท่ีควรจะพิจารณาในการดาเนินเช่นกัน ได้แก่เป็นการสั่งลง
มาโดยรัฐ การขาดกระบวนการมีส่วนร่วมอย่างรอบคอบรอบด้าน กลไกในการประเมินผลกระทบต่อ
สิ่งแวดล้อมในโครงการข้างต้นขาดความครบถ้วน ตลอดจนกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของ
ประชาชนเป็นเพียงการจัดทาเพื่อให้ครบขั้นตอนตามกฎหมายไม่ได้แสดงความจริงใจท่ีจะรับฟัง และ
บางโครงการสร้างความขัดแย้งรุนแรงท้ังในแนวด่ิงระหว่างรัฐกับประชาชน และระหว่างประชาชนที่
เหน็ ด้วยกับประชาชนทีค่ ดั คา้ นโครงการ (สถาบนั พระปกเกลา้ , 2560)

อุทัย ปริญญาสุทธินันท์ และคณะ (2555) ได้สรุปผลกระทบจากโครงการขนาดใหญ่ ได้แก่

ประการแรก ข้อมูลการตรวจสอบของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติบ่งช้ีว่าโครงการขนาด
ใหญข่ องรัฐจานวนมากละเมิดต่อสทิ ธขิ องชุมชนโดยในกระบวนการประเมินผลกระทบดา้ นสังคม หรอื

ด้านส่ิงแวดล้อม หรือด้านสุขภาพมีลักษณะการดาเนินการท่ีไม่สมบูรณ์ และขาดความโปร่งใส

ประการท่ีสอง หลายชุมชนไดร้ ับผลกระทบด้านสุขภาพอย่างรุนแรง หรือตอ้ งเผชิญกับส่ิงแวดล้อมท่ีมี
มลพิษ หรือการสูญเสียทรัพยากรสาคัญและกระทบต่อวิถีการดารงชีวิตของชุมชน ซ่ึงส่ิงเหล่าน้ี

สะทอ้ นถงึ ความไม่เปน็ ธรรมใน การแบง่ ปันและเขา้ ถึงทรัพยากร ประการทส่ี าม การละเมดิ ต่อสทิ ธิขั้น
พื้นฐานในการ รับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชนโดยส่วนใหญ่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับโครงการต่าง ๆ

ขาดความชัดเจนและไม่ครอบคลุมทุกมิติของผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น ประการที่สี่ การเข้าถึง
กระบวนการยุติธรรมยังไม่มีทั่วถึงเท่าที่ควร โดยตั้งข้อสังเกตจากจานวนคดีความขัดแย้งด้าน

สิ่งแวดล้อมที่เกิดข้ึนอย่างต่อเนื่องเป็นจานวนมาก ขณะที่พัฒนาการของกระบวนการยุติธรรมด้าน

สงิ่ แวดลอ้ มเป็นไปอยา่ งลา่ ชา้ และประการสุดทา้ ย โครงการขนาดใหญข่ องรฐั ยังคงเกิดขน้ึ เพื่อผลิตซ้า
ความบอบช้าของชมุ ชน


Click to View FlipBook Version