The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การใช้สันติวิธีกับการแก้ปัญหาความขัดแย้ง/ผศ.ดร.นฤทธิ์ ดวงสุวรรณ์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by usaman.whangsani, 2022-06-13 12:09:07

การใช้สันติวิธีกับการแก้ปัญหาความขัดแย้ง

การใช้สันติวิธีกับการแก้ปัญหาความขัดแย้ง/ผศ.ดร.นฤทธิ์ ดวงสุวรรณ์

Keywords: สันติวิธี,ความขัดแย้ง

137

113377
กรกฎาคม ค.ศ. 2005 กลุ่มติดอาวุธ IRA วางอาวุธและยุติการเคลื่อนไหวท้ังหมด ไอร์แลนด์เหนือจึง
กกลรกับฎมาาคสมงบคส.ขุศ.(G2O00O5UกTลุ่มSตEEิดอWาOวุธRLIRDA, 2ว0า2งอ0า) วซุธง่ึ แชลละัทยปุตริกะาเรทเคือลงร่ือัตนนไาหว(2ท5ั้ง5ห5ม)ดไดไ้ศอกึ รษ์แาลรนาดย์เลหะนเอือียจดึง
กขขออลงงบั สสมถถาาาสนนงกกบาาสรรขุ ณณ(์์GแแOลละะOนนUาาเเTสสนนSEออEกกรรWะะบบOววRนนLกกDาา,รร2สส0ันัน2ตต0ิิภภ) าาซพพง่ึ ชททล่ี่เีเกกัทดดิิ ปขข้้ึนึนระดดเังงัทตตือ่่อองไไรปปตั นนน้้ีี า (2555) ได้ศึกษารายละเอียด

1ก1))ารเปปขรร้าะะมเเาดดย็น็นึดปปคัญัญรอหหงาาขคคอววงอาาังมมกขขฤดัดั ษแแยยทง้้งาให้ชาวอังกฤษและสก็อตแลนด์ ซ่ึงนับถือศาสนาคริสต์นิกาย
โปรเตสแกตานรตเ์ขเ้รา่ิมมเาขย้าึดไคปรตอั้งงถขน่ิ อฐงาอนังอกยฤใู่ ษนตทอานใเหห้ชนาอื วขออังงกเฤกษาะแไลอะรสแ์ กล็อนตดแ์ ตล้งันแดต์ ่ใซน่ึงชนว่ ับงถพือุทศธาศสตนวารครษริสทต่ี 2์น2ิกาซยงึ่
มโปีปรรเะตชสาแกตรนดตั้ง์ เเดริมิ่มเเปข้า็นไชปาตวง้ั ไถอ่ินรฐิชาทน่ีนอับยถู่ในือศตอาสนนเหานคอืรสิขตอ์นงเิกกาายะคไอารท์แอลลนิกดแ์ ลตะ้งั รแู้สตึก่ในว่าชตว่ นงพเอุทงธถศูกตรวุกรรราษนทจ่ี ึง2ม2ีกซารึง่
มต่อีปตระ้านชาเพกื่อรดแั้งยเกดติมัวเจปา็นกชกาาวรไปอรกิชคทรอ่ีนงับขถอืองศอาังสกนฤาษคใรนิสปตี์นพิก.ศาย.2ค4า6ท4ออลังิกกแฤลษะแรลู้สะึกไวอ่ารต์แนลเนองดถ์ไดูก้มรุกีกราารนลงจนึงมามีกใานร
สตน่อตธิส้านัญเญพาื่อกแายรกปตกัวคจราอกงกไาอรรป์แกลคนรดอ์ ง(Gขอoงvอeังrnกmฤษenในt ปoีfพIr.eศl.a2n4d64) ใอหัง้ ก2ฤ6ษแแคลวะ้นไรอวรมแ์ เลปน็นดร์ไัฐดอ้มิสีกราะรไลองรน์แาลมนในด์
ใสนนขธณิสัญะทญี่อาีกกา6รปแคกวค้นรอทงาไงอตรอ์แนลเนหดน์อื (Gยังoคvงeเrปn็นmสe่วnนtหoนfึ่งขIrอelงaสnหd)ราใหชอ้ 2า6ณแาจคักว้รนตร่อวมไปเปส็นัญรัฐญอาิสดรังะกไลอ่ารว์แทลานใหด์้
ตใสไตตไตนออาััััววววรรขธเเเเออออ์์แแาณรงงงงลละณววววนนท่่่่าาาารดด่ีอฐัUU์์เเNNีกหหไnnaaอนน6ttiiรooืืiiออ์แooแnnซซลnnคii่ึ่ึงงนssaaวกกttดll้นiiลลซซss์ ทาาtt่ึึ่งงยยามมซซงเเีีออ่ึึ่งงปปตมมยยอ็็นนูู่่ีีรรออนพพ้้ออยยเื้ื้นนยยูู่่รรห้้ลลออททนะะยยี่่ีแแือลลหหย66ะะ่่ังงง00คคค44ซซงวว00เ่ึึ่งงาาปตตมมทท็น้้ออขขี่ี่ตตสงงััดด้้ออกก่วแแงงนาากกยยรรหาา้้งงเเนปปรรรรแแุุ่ึงนน็็นนขยยแแสสอกก่่ววรรงตตนนงงััววรรสหหะะเเหนนปปหหร่ึึ่งง็็นนววาขขออ่่าาชออิิสสงงองงกกรรออาะะลลณัังงออุุ่่มมกกาออคคฤฤจกกษษนนักจจออตตราาตัั่่อองงกกกก่อไไออปปฤฤไัังงปษษกกกกโโสฤฤัับบปปัญษษกกรรเเลลญเเพพตตุุ่่มมา่ืื่ออสสคคดผผแแาาังนนตตททกววนนออลกกลล่าตตเเวิิกก์์ขขทเเเเ้้าารรรรากกีียยยียี ใัับบหกกกก้
สาธารณรฐั ไอรแ์ ลนด์

ทท่ี่มีมาา::ภภhhาาttพพttppททss::่ีี่//44//tt--hh11eessแแttaaผผtteeนนssททttii่ปีปี่mmรรeeะะssเเ..ccททooศศmmไไออ//ppรรoo์แแ์ ssลลtt//นน22ดด00์เ์เ22หห11นน0044ือือ11880077

138 138

เมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2515 ชาวไอริชคาทอลิกจานวนหน่ึงได้ชุมนุมกันเพ่ือประท้วง
รัฐบาลทหารอังกฤษได้ยิงเข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงในเมือง Derry ทาให้มีผู้เสียชีวิต 13 คน ซ่ึงเป็น
ชาวไอริชคาทอลิกท้ังหมด เหตุการณ์คร้ังน้ีทาให้มวลชนต่างหันมาสนับสนุน กองกาลังติดอาวุธของ
ชาวไอริช (Irish Republican Army - IRA) เมื่อความขัดแย้งรุนแรงได้ขยายตัวมากข้ึนรัฐบาลอังกฤษ
จึงไดใ้ ช้อานาจสว่ นกลางเข้าควบคุมการบริหารงานท้องถ่ินของไอร์แลนด์เหนือโดยตรง (Direct Rule)
ส่งกองกาลังทหารจานวนมากเข้าควบคุมสถานการณ์ และรัฐบาลอังกฤษพยายามเสนอทางออกโดย
ให้ทั้งสองฝ่ายได้บริหารปกครองไอร์แลนด์เหนือร่วมกัน แต่ท้ังสองฝ่ายไม่ยอมรับ จึงมีการต่อต้าน
ประท้วงปะทะกันต่อไป รวมถึงชาวไอริชคาทอลิก 10 คนเสียชีวิตเนื่องจากการอดอาหารประท้วง
ในช่วง ปี พ.ศ. 2523-24 ทั้งสองกลุ่มใช้กาลังกันผา่ นกลุ่ม Loyalist (ฝ่ายเดียวกับUnionist) กับ กลุ่ม
Republican (ฝ่ายเดียวกับ Nationalist) และยังมีการต่อสู้กันทางการเมืองด้วย โดยกลุ่ม Unionist
มีพรรคการเมืองหลัก คือพรรค DUP (Democratic Unionist Party) และกลุ่ม Nationalist น้ัน มี
พรรคการเมืองหลกั คอื พรรคชินเฟน (SinnFein - SF)

สาเหตุที่สาคัญของความขัดแย้งมาจาก นโยบายทางการเมืองและมาตรการทางสังคมต่าง ๆ
ที่กาหนดโดยคนอังกฤษโปรเตสแตนต์ทงั้ ในเรื่องของการมีส่วนรว่ มทางการเมอื ง การจดั สรรที่อยู่อาศัย
การจ้างงาน การศึกษา และการเข้าถึงทรัพยากรต่าง ๆ ในสังคม การจัดสรรท่ีอยู่อาศัย การแบ่งเขต
เลือกตั้งในลักษณะที่เอื้อต่อฝ่าย Unionist ให้ครองเสียงข้างมากในสภาท้องถิ่น การวางระบบกีดกัน
คนไอริชคาทอลิกไม่ให้เป็นตารวจหรือไม่ให้เป็นข้าราชการระดับสูง สาเหตุของความขัดแย้งใน
ไอร์แลนด์เหนือจึงไม่ใช่ประเด็นทางศาสนา แต่เป็นประเด็นชาตินิยมที่ถูกทาให้ชัดเจนรุนแรงขึ้นจาก
ความไมเ่ ปน็ ธรรมทางการเมือง เศรษฐกจิ และสังคม

2) กระบวนการสันติภาพ
การแสวงหาทางออกรว่ มกนั ของไอรแ์ ลนด์เหนือแบง่ ออกเป็น 3 ช่วง ด้วยกัน คอื 1. ขอ้ ตกลง
Sunningdale 2. ขอ้ ตกลงองั กฤษ-ไอรชิ และ 3. ขอ้ ตกลง Good Friday หรอื Belfast Agreement
1. ข้อตกลง Sunningdale รัฐบาลอังกฤษพยายามท่ีจะพูดคุยเจรจากับส่วนของพรรค UUP
ของฝ่าย Unionist และพรรค SDLP ของฝ่าย Nationalist เกิด ข้อตกลง 3 ข้อ ได้แก่ การยอมรับใน
หลักการเคารพเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนไอร์แลนด์เหนือ จัดต้ังสภาแห่งไอร์แลนด์ (Council of
Ireland) และตกลงจะมีการดาเนินคดีกับผู้ที่ก่อความรุนแรงโดยรัฐบาล ไอร์แลนด์จะให้ความร่วมมือ
ในการนาตวั บคุ คลเขา้ สกู่ ระบวนการยุตธิ รรม แตข่ ้อตกลงดังกลา่ วก็ไมเ่ ป็นทยี่ อมรบั ของฝา่ ย Unionist
และทาง IRA ก็ต่อต้านข้อตกลงดังกล่าวเช่นเดียวกันโดยได้ ก่อเหตุระเบิดบ่อยคร้ังข้ึนเพ่ือแสดงความ
ไมเ่ ห็นดว้ ยกบั เนือ้ หาข้อตกลง

113399

2. ข้อตกลงอังกฤษ-ไอริช รัฐบาลอังกฤษและรัฐบาลไอร์แลนด์ได้ลงนามร่วมกัน ในวันท่ี 15
พฤศจิกายน พ.ศ. 2528 ซ่ึงมีสาระสาคัญได้แก่ 1) การเปลี่ยนแปลงใด ๆ ต่อสถานะของไอร์แลนด์
เหนือจะต้องมาจากความยินยอมของประชาชนส่วนใหญ่ในไอร์แลนด์เหนือเท่านั้น 2) จัดการประชุม
ระหวา่ งรฐั บาลองั กฤษกบั ไอรแ์ ลนด์ (British-Irish Intergovernmental Conference, IGC) ข้นึ อยา่ ง
สม่าเสมอเพื่อ สะท้อนความต้องการของคนไอริชคาทอลิกและรว่ มกันแก้ไข 3) ออกกฎหมายเพื่อถ่าย
โอนอานาจรับผิดชอบในภารกิจบางด้าน ซ่ึงเป็นของ IGC ให้แก่สภาท้องถิ่นไอร์แลนด์เหนือ 4) จัดตั้ง
กองทุนระหว่างประเทศสาหรับไอร์แลนด์ ( International Fund for Ireland) เพื่อส่งเสริม
ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคม และสนับสนุนกระบวนการพูดคุยปรองดองท่ัวเกาะไอร์แลนด์
ภายหลังจากการลงนามในข้อตกลงดังกล่าว สถานการณ์ความมั่นคงก็ยังไม่ได้ดีข้ึน ฝ่าย Unionist
โดยมองว่าจะเป็นการก้าวไปสู่การแยกดินแดนในท่ีสุด จึงต่อต้านอย่างหนักแม้ทาง Nationalist
โดยทว่ั ไปจะเหน็ ดว้ ยกับขอ้ ตกลงก็ตาม

3. ข้อตกลง Good Friday หรือ Belfast Agreement ก่อนท่ีจะบรรลุข้อตกลงดังกล่าว ได้มี
การพูดคยุ กนั หลายฝ่าย โดยมีแนวทางการแกป้ ัญหาร่วมกนั 3 มติ ิ คอื ความสัมพันธร์ ะหวา่ งฝ่ายตา่ ง ๆ
ภายในไอร์แลนด์เหนือ ความสัมพันธ์ระหวา่ งไอร์แลนด์เหนือกับประเทศไอร์แลนด์ และความสัมพันธ์
ระหว่างอังกฤษกับไอร์แลนด์ การทางานทางความคิดภายในกลุ่ม และข้ามกลุ่ม ตลอดจนการ
กระบวนการพูดคุยระหว่างนักโทษการเมืองของท้ังสองฝา่ ยในเรือนจา ซึ่งเป็นทั้งตัวแทนความคิดของ
กลุ่มคนที่มีอานาจในการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ก็ตาม ซ่ึงก่อให้เกิดความเข้าใจระหว่างกันและอาจเกิด
การปรับความคิดท่ีทาให้เห็นทางออกร่วมกันได้มากขึ้นจนกระท่ังเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
ของอังกฤษในเดือน เมษายน พ.ศ. 2540 พรรคแรงงาน นาโดยนายโทน่ี แบลร์ ได้รับเลือกตั้งด้วย
คะแนนเสียงท่วมท้น ทาให้รัฐบาล มีความเข้มแข็งทางการเมืองได้แสดงความมุ่งม่ันที่จะเร่งผลักดัน
กระบวนการสันติภาพในไอร์แลนด์เหนือ และได้เปิดการเจรจากับฝ่ายต่าง ๆ ต่อไป จนทาให้ ทุกฝ่าย
โดยเฉพาะกลุ่มขบวนการติดอาวุธ IRA ยอมรับว่า “ในสุดแล้วก็ไม่มีเหตุผลอะไรมากไปว่าการมองว่า
การพูดคยุ กนั นา่ จะเป็นวิธกี ารท่ีดีกว่าท่ีใช้อยู่ เพราะเห็นแลว้ วา่ การต่อส้ดู ้วยอาวุธไมส่ ามารถแก้ปัญหา
ให้จบได้จริง”

ขอ้ ตกลง Good Friday (Good Friday Agreement, 1998) ในปี พ.ศ. 2541 ท่ีนามาซง่ึ การ
ยุติความรุนแรงที่เกิดข้ึนมาเป็นเวลา 30 ปีนั้น ต้ังอยู่บนฐานคิดท่ีสาคญั คือหลกั การประชาธปิ ไตยและ
สันตวิ ธิ ี โดยตกลงใจทจ่ี ะให้การตัดสินอนาคตทางการเมืองของไอรแ์ ลนดเ์ หนือขนึ้ อยู่กบั เสียงส่วนใหญ่
ของคนในพื้นท่ี โดยมีสาระสาคัญหลักคือการท่ีท้ังสองฝ่ายตกลงที่จะแบ่งอานาจการปกครอง
ไอร์แลนด์เหนือร่วมกัน (Power Sharing) ในคณะผู้บริหารเพื่อให้สะท้อนถึงความเป็นตัวแทนทาง
การเมืองจากทั้งสองฝา่ ย ตลอดจนการปฏริ ปู สถาบันท่ีมีส่วนในการสร้างเงื่อนไขของความไม่เป็นธรรม
ในอดีตเพ่ือท่ีจะป้องกันมิให้เกิดการกระทาดังกล่าวอีกในอนาคต ข้อตกลงนี้ได้ก่อให้เกิดการปฏริ ปู เชงิ

140 140

โครงสร้างทางการปกครองและกระบวนการยุติธรรม และสร้างกลไกสาหรับการจัดการความสัมพันธ์
ระหว่างฝ่ายต่าง ๆ เพื่อขจัดเงื่อนไขความรุนแรงที่เป็นสาเหตุรากเหง้าเชิงโครงสร้างและเป็นการ
จัดการกบั ความขัดแยง้ มใิ ห้ขยายตัวเป็นความรุนแรงอีกในอนาคตอยา่ งแท้จรงิ

POLDEJ DIARY (2554) ได้สรุปบทเรียน การคล่ีคลายปัญหาความรุนแรงในไอร์แลนด์เหนือ
มีกุญแจความสาเร็จอยู่ 5 ดอก ท่ีมีการทางานแบบบูรณาการเข้าหากัน ได้แก่ 1) ประเทศอังกฤษมี
กลไกที่เรยี กวา่ กระทรวงไอร์แลนด์เหนือ เปน็ หน่วยงานสว่ นกลางท่ีรวมศูนย์การกากับดแู ลงานของทุก
กระทรวงท่ีลงมาในพื้นที่แคว้นไอร์แลนด์เหนือ เป็นกลไกกระทรวงประจาพ้ืนท่ีซึ่งบ้านเรายังไม่มี แต่
เวลานกี้ ็มแี นวคิดการตงั้ ทบวงชายแดนใต้เกดิ ข้ึนบา้ งแลว้ 2) รฐั บาลโทนี แบลร์ (พรรคเลเบอร)์ ทาการ
ถ่ายโอนอานาจเป็นการพิเศษให้กับรัฐบาลท้องถิ่นที่แคว้นไอร์แลนด์เหนือ (devolution) ซึ่งนามาสู่
การตกลงหยุดยิง (Ceasefire) 3) ชุมชนท้องถ่ินในไอร์แลนด์เหนือโชคดีท่ีมีการจัดต้ังมูลนิธิกองทุน
ชุมชนเพื่อไอร์แลนด์เหนือซึ่งต่อมาได้กลายเป็นกลไกสาคัญในการฟื้นฟูและสร้างเสริมสันติภาพใน
ระดบั ฐานล่างของสังคมที่นัน่ 4) บทบาทของ BBC ซงึ่ เป็นสือ่ สาธารณะท่ีปฏบิ ัตหิ นา้ ท่ีอย่างเข้มแข็งใน
การเฝา้ ระวังและตดิ ตามรายงานขา่ วให้สาธารณชนคนอังกฤษและประชาคมโลกมีความเขา้ ใจและรับรู้
ข้อมูลความขัดแย้ง และความรุนแรงท่ีน่ันอย่างอิสระตรงไปตรงมาโดยไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใดรวมทั้ง
รัฐบาลอังกฤษ 5) การช่วยเหลอื ของชาวอเมริกนั ไอริชที่ลดการสนับสนนุ ทางการเงินต่อกองกาลงั IRA
ลงและทาหน้าที่เป็นสะพานเช่ือมให้เกิดการเจรจาพูดคุยกัน และทานองเดียวกันในมุมมอง
เปรยี บเทยี บกบั การแก้ปญั หาชายแดนภาพใต้ของไทยโดย ธนชาติ แสงประดบั ธนโชติ (2557) ว่า สง่ิ
สาคัญท่ีทาให้กระบวนการสันติภาพในไอร์แลนด์เหนือประสบผลสาเร็จ เพราะทุกฝ่ายที่เก่ียวข้องกับ
ความขัดแยง้ เริ่มเบ่ือหน่ายกับเหตุการณ์ที่รา้ ยแรงเร่ิมตระหนักถึงปัญหารุนแรงต่างๆ เร่มิ มีความเข้าใจ
ถงึ ปัญหาผลกระทบของความขัดแย้ง เริม่ มีความไวว้ างใจฝ่ายตรงข้ามเพราะได้มีโอกาสรบั ฟังความคิด
ต่อกัน มีการสร้างความเท่าเทียมให้ทุกฝ่ายท้ังในด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และศาสนา ที่สาคัญ
รัฐบาลอังกฤษยอมขอโทษที่ได้กระทาผิดต่อประชาชน ซึ่งถือเป็นจุดที่ทาให้ ขบวนการ IRA (Irish
Republic Army) เรม่ิ ไวใ้ จรัฐบาล จนยอมเขา้ มามีสว่ นร่วมสร้างกระบวนการสันตภิ าพ หลงั จากนน้ั ได้
เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างเต็มที่โดยเลือกบุคคลเข้าไปร่างข้อตกลงร่วมกัน
เปดิ พื้นทท่ี างการเมืองให้คขู่ ัดแย้งทั้งสองฝ่ายได้มสี ว่ นร่วมอย่างเสมอภาค มกี ารจดั ตง้ั สภาชมุ ชนสัมพันธ์
เพอ่ื ทาการฟ้ืนฟูความสัมพันธ์ท่ีขาดว่ินมาอย่างยาวนาน ดงั น้ันการเปิดใจพูดคยุ การช่วยเหลือของทุก ๆ
ฝ่าย และความจริงใจในการแก้ไขปัญหา จะนาไปสู่ความไว้วางใจซ่ึงกันและกัน “การสร้างสันติภาพ
ด้วยสันติวธิ ีแม้ไม่ง่ายนักแตม่ ันได้เกิดข้ึนแล้วในไอร์แลนดเ์ หนือ แล้วสังคมไทยคิดอย่างไรกับการแก้ไข
ปญั หาความขัดแย้งยดื เยื้อในพน้ื ท่ภี าคใต้ซ่งึ ไม่ต่างอะไรกบั ไอแลนด์เหนือ สนั ติภาพท่ีเกดิ ขน้ึ จากสันติวิธี
นา่ จะเป็นทางออกของสงั คมไทยบนปลายดา้ มขวาน”

114411

4.2 ความขัดแย้งและสันตภิ าพในประเทศรวนั ดา

รวนั ดาเป็นประเทศที่ไมม่ ีทางออกทะเล ทศิ เหนอื ตดิ กับยูกันดา ทศิ ใตต้ ิดกับบรุ ุนดี ทิศตะวันตก
ติดกับ สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (ซาอีร์) ทิศตะวันออกติดกับแทนซาเนีย มีเมืองหลวงคือ
กรุงคิกาลี (Kigali) มีประชากร 10.9 ล้านคน (2554) นับถือศาสนาคริสต์ โรมันคาทอลิก 56.5%
โปรเตสแตนท์ 26% คริสต์(Adventist) 11.1% อิสลาม 4.6% ความเชื่อด้ังเดิม 0.1% ไม่นับถือ
ศาสนา 1.7% (กระทรวงตา่ งประเทศ, 2554)

1) สถานการณค์ วามขดั แย้ง
ประชากรในประเทศรวันดา แบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลักคือ ฮูตู ตุ๊ดซ่ี ปี๊กมี่ และทวา ประมาณ
3 เปอร์เซ็นต์ โดยประชากรของฮูตูมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ตุ๊ดซี่มีประมาณ 8 เปอร์เซ็นต์ โดยทั้งสอง
กลุ่มชาติพันธ์ุพูดภาษาเดียวกัน มีวัฒนธรรมเดียวกัน และนับถือศาสนาคริสต์เหมือนกัน ประชากร
รวันดามากกว่า 85 เปอร์เซ็นต์เป็นแรงงานอยู่ในภาคเกษตรกรรม ชลัท ประเทืองรัตนา (2555) ได้
รายงานสถานการณ์ความขดั แย้งรวนั ดา ดังต่อไปน้ี
ในยุคอาณานิคมช่วงแรกรวันดาถูกปกครองโดยประเทศเยอรมันในช่วงปี ค.ศ.1897 เม่ือ
เยอรมันแพส้ งครามโลกกห็ มดอานาจ ประเทศเบลเยียมเขา้ มาปกครองแทนตัง้ แต่ปี ค.ศ. 1918-1962
โดยให้อานาจกลุ่มตุ๊ดซ่ีในการปกครองต่อ ท้ังในระดับชาติและท้องถ่ิน กลุ่มฮูตูก็จะเป็นผู้ถูกปกครอง
และถูกปลดออกจากการเป็นผู้นาชุมชนด้วย แม้แต่การครอบครองวัวฮูตูก็จะครอบครองได้น้อยกว่า
กลมุ่ ตดุ๊ ซี่ ตอ่ มาในปี ค.ศ.1962 มกี ารเปลีย่ นโครงสร้างการปกครองมีกลุ่มฮูตูขึ้นมามีอานาจแทน กลมุ่
ตุ๊ดซจี่ งึ กลายเป็นผู้ถกู ปกครองแทน
หลังจากได้รับเอกราชรัฐบาลฮูตูได้สถาปนาอานาจและเน้นการเลอื กปฏิบัติต่อชาวตุ๊ดซี่อยา่ ง
ต่อเนื่อง เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เพ่ือตอบโต้การกระทาของชาวตุ๊ดซ่ีในอดีต ชาวตุ๊ดซี่ต้องอพยพไปยัง
ประเทศคองโก บูรุนดี แทนซาเนีย และอูกันดา ถึงประมาณ 400,000 คน ในปี ค.ศ.1990 ชาวตุ๊ดซ่ี
จานวน 4,000 คน ได้จัดตั้งกองกาลัง the Rwandan Patriotic Front (RPF) และกลับเข้าไปยึด
อานาจในประเทศรวันดา แต่ก็ไม่ประสบความสาเร็จ ถึงแม้ว่าประธานาธิบดีจูเวนัล ฮับยาริมานา
(Juvenal Habyarimana) ผู้นาชาวฮูตูถูกกดดันจากนานาประเทศให้เปล่ียนการปกครองไปสู่สังคม
ประชาธิปไตย แต่ก็ไม่เป็นผล การสังหารชาวต๊ดุ ซ่ียังคงปรากฎอยา่ งต่อเนื่อง ในปี ค.ศ.1992 ได้มีการ
ทาขอ้ ตกลงหยดุ ยิงโดยการไกล่เกล่ียจาก the Organization of African Unity - RPF และรฐั บาลฮูตู
ได้ลงนาม ใน Arusha Accord ในเดือนสิงหาคม ค.ศ.1993 เนื่องจากประธานาธิบดีฮับยาริมานาถูก
กดดันจากแหล่งทุนต่างชาติและธนาคารโลก และเกรงว่าเงินสนับสนุนจากต่างชาติซ่ึงมีถึง 70
เปอร์เซ็นต์ของการลงทุนจะถูกระงับ Arusha Accord เป็นการแบ่งปันอานาจในการปกครองกัน
ระหว่างชาวฮูตูกับตุ๊ดซ่ีในด้านการทหาร รวมถึงการให้ผู้ลี้ภัยอพยพกลับประเทศรวันดา และจัดให้มี

142 142

การเลือกต้ังในปี ค.ศ.1995 โดยมีการตรวจสอบโดยกองกาลังของนานาชาติเพ่ือผลักดันให้ข้อตกลง
ได้รับการปฏิบัติ และสหประชาชาติโดย the United Nation Assistance Mission in Rwanda -
UNAMIR เข้ามารักษาสันติภาพด้วยการทาให้มีการหยุดยิง และพื้นที่ปลอดอาวุธ (Demilitarized
Zone) ในเมอื งคิกาลี

แม้ว่าจะมีการลงนามข้อตกลง Arusha Accord แต่ก็ยังมีวางแผนในการกาจัดกลุ่มตุ๊ดซ่ี
รวมถึงกาจัดกลุ่มฮูตูพวกเดียวกันท่ีเป็นสายกลาง มีการใช้ส่ือ Radio-Television Libres des Milles
Collines (RTLM) ของกลุ่มฮูตู มีเนื้อหาให้ทาลายล้างชาวตุ๊ดซี่ รวมถึงการปฏิเสธไม่ให้ยอมรับข้อตกลง
Arusha Accord จุดท่ีเป็นข้ออ้างคร้ังสาคัญและนามาสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุตุ๊ดซี่จากเหตุการณ์
ประธานาธิบดีฮับยาริมานา ถูกยงิ เครือ่ งบินตกเสียชีวติ สถานีวทิ ยุ Mille Collines เรียกรอ้ งใหม้ ีการล้าง
แค้น มีการโฆษณาชวนเชื่อ รัฐบาลฮูตูแจกจ่ายอาวุธให้คนในชุมชน กระตุ้นให้มีการสังหารกลุ่มตุ๊ดซ่ี
นามาสู่การฆ่าชาวตดุ๊ ซ่ีและฮูตูบางสว่ นอย่าง กว้างขวาง ทั่วประเทศ มีผู้เสียชีวติ นับลา้ นคน มีผู้อพยพ
อีกสี่ล้านคนไปที่ประเทศเพื่อนบ้าน บูรุนดี แทนซาเนีย ซาอีร์ นับเป็นประชากรนับล้านคนได้รับ
ผลกระทบจากการขาดแคลนอาหารในรวันดา นอกจากนีม้ ผี ้หู ญิงถูกข่มขืนประมาณ 250,000 คน คน
ทถี่ กู ฆา่ นบั ลา้ นคนส่วนมากเป็นตุ๊ดซี่และพวกฮูตสู ายกลางทีส่ นับสนนุ ชาวตุ๊ดซี่ ในช่วงเหตกุ ารณก์ ารฆ่า
ลา้ งเผ่าพนั ธ์ุชาวต๊ดุ ซี่ กองกาลังของสหประชาชาติ UNAMIR ไมส่ ามารถปฏิบัติงานได้บรรลุตามเป้าหมาย
เน่ืองจากการขาดการสนับสนุนกาลังพล รวมถึงอาวธุ แมก้ ระทั่งขาดอาหารให้กับทหาร ขณะเดียวกัน
กองกาลัง Rwandan Patriotic Front (RPF) ของชาวตุ๊ดซ่ีสามารถเข้ายึดเมอื งหลวงและจัดตงั้ รัฐบาล
ได้ และได้เร่มิ จบั กมุ ผ้ตู ้องสงสยั เข้าสู่กระบวนการยตุ ิธรรม

ชาวฮูตูมากกว่า 1 ล้านคนได้ล้ีภัยออกจากประเทศ กองกาลังของฮูตูก็ได้อพยพไปอยู่ที่
ประเทศซาอีร์ (คองโก) ใช้ฐานประเทศซาอีร์ในค่ายผู้ล้ีภัยเป็นสถานที่ในการสู้รบกับรัฐบาลตุ๊ดซี่ โดย
รัฐบาลซาอรี ์ใหก้ ารสนับสนุน รัฐบาลตดุ๊ ซ่ีกส็ ่งกองกาลังบุกคองโกจนกระทั่งในปี ค.ศ. 1997 กองกาลัง
ตุ๊ดซี่ล้มรัฐบาลโมบูตู และได้แต่งตั้งคาบิลลาข้ึนมาเป็นประธานาธิบดีคองโก กองกาลังทหารของ
รัฐบาลตุ๊ดซ่ีทาลายค่ายผู้ล้ีภัยในซาอีร์ตะวันออก สังหารชาวรวันดาฮูตูและคองโกไปเป็นจานวนมาก
ในปี ค.ศ.1998 คาบิลลาเปลี่ยนจุดยืนกลับมาต่อต้านรัฐบาลตุ๊ดซ่ีอีก รัฐบาลรวันดาได้บุกประเทศ
คองโกอีกคร้งั โดยความรว่ มมือกับประเทศอกู ันดาและบูรนุ ดี แต่คราวน้ีถกู ต่อตา้ นจากแนวร่วมอีกฝ่าย
ประกอบด้วยประเทศแองโกลา นามเี บีย ซมิ บับเว การสู้รบมีระยะเวลามากกวา่ 5 ปี เป็นสงครามคร้ัง
ใหญ่ทส่ี ดุ คนนบั ล้านพลัดถน่ิ และพลเรอื นถกู สงั หารมากกว่า 3 ลา้ นคน

114433

ภาพที่ 4-2 แผนที่ประเทศรวันดา

ทีม่ า: https://www.dek-d.com/board/knowledge/3482253/

รัฐบาลแซมเบียเข้ามาไกล่เกลี่ยและมีการลงนามใน Lusaka Peace Accord ในเดือน
กรกฎาคม ค.ศ.1999 โดยการไกล่เกล่ียได้ข้อตกลงให้ถอนกองกาลังทหารออกจากคองโก จัดต้ัง
คณะกรรมการการทหารร่วมกัน (Joint Military Commission) และกองกาลังรักษาสันติภาพของ
สหประชาชาติ MONUC และเห็นตรงกันให้ส่งผู้ต้องสงสัยว่ามีการฆ่าลา้ งเผา่ พันธ์ุไปสกู่ ารพิจารณาใน
ศาลอาญาระหว่างประเทศสาหรับรวันดา International Criminal Tribunal for Rwanda (ICTR)
ประเทศแอฟริกาใต้ได้เข้ามาช่วยกระบวนการพูดคุย นาไปสู่ข้อตกลง Sun City Accord ในเดือน
เมษายน ค.ศ. 2002 ลงนามโดยหลายฝ่ายที่เก่ียวข้องยกเว้นบางกลุ่ม เช่น Rally for Congolese
Democracy เป็นต้น ต่อมาในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2002 มีการลงนามใน Pretoria Agreement
รัฐบาลรวันดาให้คาสัญญาว่าจะถอนกาลังทหารทั้งหมดออกนอกประเทศคองโก และรัฐบาลคองโกก็
ให้คาสญั ญาวา่ จะปลดอาวุธและส่งกองกาลังฮตู ูออกนอกประเทศคองโก จานวน 15,000-20,000 คน
ต่อมาได้มีการเลือกต้ังโดยโจเซฟ คาบิลลา (Joseph Kabila) ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ในปี
ค.ศ. 2006 การถอนกองกาลงั ทหารออกจากคองโกไม่ได้ยตุ ิการสู้รบในคองโก การสู้รบดาเนนิ ต่อไปใน
คิวู ไอตูรี และคาตางกาเหนือ ในปี ค.ศ.2007 รัฐบาลรวันดาและคองโกได้ลงนามข้อตกลงสันติภาพ

144 144

ร่วมกันในประเทศเคนยา เพื่อยุติการสู้รบนาไปสู่สันติภาพร่วมกันในทวีปแอฟริกา โดยรัฐบาลคองโก
จะปลดอาวุธกลุ่ม Forces Army of Rwanda และอินเตราแฮมเว (Interahamwe)ของฮูตู และ
สง่ กลบั ประเทศรวนั ดา แต่ถา้ ใครไมป่ ระสงค์จะกลบั ประเทศรวันดา จะถกู สง่ ไปทค่ี ่ายผลู้ ภี้ ัยตอ่ ไป

อรไท โสภารัตน์ (2546) ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า มูลเหตุที่ทาให้การปฏิบัติการรักษาสันติภาพ
แห่งสหประชาชาติไม่ประสบความสาเร็จในเบื้องต้น เนื่องจากอานาจของการปฏิบัติการมีอยู่อย่าง
จากัดคือต้องปฏิบัติตามกฎบัตรสหประชาชาติมาตราท่ี 6 ที่ไม่สามารถใช้ความรุนแรงเพื่อการตอบโต้
ยกเว้นเพ่ือการป้องกันตัวเอง ในเวลาเดียวกันได้มีการถอนกาลังปฏิบัติการรักษาสันติภาพชุดแรกคือ
UNAMIR I (United Nations Assistance Military for Rwanda) ออกไปในขณะท่ีความรุนแรงใน
รวนั ดาเพม่ิ สงู ขึ้น แตใ่ นเวลาต่อมากไ็ ดส้ ่งกองกาลงั UNAMIR II เขา้ รวนั ดาเพื่อฟื้นฟู บรู ณะประเทศจน
เกิดความสงบข้นึ สาหรับบทบาทของประชาคมระหวา่ งประเทศคือไม่แสดงความจริงจังในการเข้าร่วม
แกไ้ ขปัญหาและบางประเทศกลับใหก้ ารสนับสนุนฝ่ายใดฝา่ ยหนึง่ เพ่ือต่อสู้กบั ฝา่ ยตรงข้าม

2) กระบวนการสันตภิ าพในรวันดา

ชลัท ประเทอื งรตั นา (2555) การสรู้ บดังกลา่ วตั้งแต่ในประเทศและลุกลามไปถงึ ประเทศเพ่ือ
บ้าน ซ่งึ นามาส่คู วามสูญเสยี ทั้งดา้ นเศรษฐกิจและสังคมอย่างมหาศาล การเปล่ยี นผา่ นจากสังคมท่ีเกิด
ความสูญเสยี ที่มกี ารสู้รบกันอย่างโหดร้ายนาไปส่สู ังคมท่ีสามารถอยู่รว่ มกันได้อย่างสนั ติ การนามาซึ่ง
ความยุตธิ รรมในระยะเปลีย่ นผ่าน เพื่อกา้ วข้ามพ้นจากวกิ ฤตการณ์มีหลากหลายวธิ ี จุดเนน้ ทีส่ าคัญคือ
การลงโทษผู้กระทาผิด (Retributive Justice) รวมถึงการให้ผู้กระทาผิดได้สารภาพถึงความผิดท่ีได้
กระทาไป (Confess Their Crimes) นามาสู่การได้รับความจริงของเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึน เพ่ือได้รับ
ลดหย่อนการพิจารณาโทษจากศาล นอกจากนี้มีการเยียวยาความรู้สึกของผู้สูญเสีย การได้รับการขอ
โทษ การสานกึ ผิดจากผูก้ ระทา การละเมิดสิทธิมนุษยชน การบอกให้รู้ถงึ สถานที่ที่นาชิ้นส่วนของผู้ถูก
สังหารไปซ่อนไว้ เพื่อจะได้นาศพไปประกอบพิธีกรรมอย่างสมเกียรติ มีกระบวนการกลไกในการสร้าง
ความปรองดอง ดังตอ่ ไปนี้

1. กระบวนการยตุ ธิ รรมสมานฉนั ท์โดยศาลกาชาชา
กระบวนการของศาลกาชาชาในช่วงก่อนการพิพากษาคดี เป็นการให้เหย่ือและผู้เสียหายได้
เรียนรคู้ วามจรงิ ของการเสยี ชีวิตของคนในครอบครวั และให้โอกาสผู้กระทาผดิ ไดส้ ารภาพถงึ เหตุการณ์
ที่ได้กระทา โดยแสดงความสานึกผิดและขอรับการใหอ้ ภัยจากชมุ ชน เมื่อผ่านกระบวนการนี้แล้วศาล
ชุมชนกาชาชาก็จะพิพากษาลดโทษให้ผู้กระทาผิดข้ึนอยู่กับการกระทาผิดท่ีได้ทาลงไป นอกจากน้ี
ศาลกาชาชาได้ใช้กระบวนการยุติธรรมสมานฉันท์ภายหลังจากการรับโทษแล้ว การฟื้นคืนดีปรากฏ
เมอื่ ผถู้ ูกคุมขังพน้ โทษและได้กลบั คืนส่ชู ุมชน โดยตอ้ งไปเจอกับเหยือ่ ทง้ั ชุมชนจะรบั ผดิ ชอบรว่ มกันใน
การฟื้นคืนดี เม่ือผู้กระทาผิดได้กลับสู่ชุมชนจะต้องแก้ไขกับสิ่งท่ีได้ทาให้คนอื่นเจ็บปวด ใช้

114455

กระบวนการทที่ าใหผ้ กู้ ระทาผดิ และเหย่ือได้มานั่งร่วมกัน เปน็ การเปดิ พ้นื ที่ ใหท้ งั้ สองฝ่ายได้มาพบกัน
มีโอกาสจะไดค้ ุยกัน และเรียนรู้ท่จี ะอยู่ร่วมกนั เหย่อื และญาติต้องการรบั รคู้ วามจรงิ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับ
คนท่ีรัก โดยการสารภาพจากผู้กระทาผิด เขาต้องการให้ผู้กระทาผิดขอโทษ หรือเสนอว่าจะทางาน
ชดใช้ นอกจากท่ีกล่าวมา ศาลกาชาชาสามารถแก้ไขปัญหาคนล้นคุก คดีล้นศาล เพราะว่าความ
ยตุ ิธรรมท่ลี ่าชา้

2. การผลกั ดันใหเ้ กดิ ความเปน็ เอกภาพและความปรองดองในสังคมโดยคณะกรรมการ
เพอื่ ความเป็นเอกภาพและปรองดอง

คณะกรรมการดังกล่าว ได้จัดกิจกรรมต่าง ๆ ท้ังวิจัย อบรม และประชุมเพื่อวิเคราะห์ถึง
รากเหง้าของปัญหา กระบวนการและกลไกในการสร้างความเป็นเอกภาพและความปรองดองให้
เกิดขึ้น โดยปฏิเสธการย่ัวยุให้เกิดความรุนแรงในทุกรูปแบบ โดยร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ในสังคม
นอกจากนี้ได้จัดค่ายอินแกนโด เพอื่ คนื ผู้ลีภ้ ยั สู่สงั คมใหส้ ามารถใช้ชวี ติ ได้อย่างปกตเิ หมือนคนธรรมดา
ทั่วไปด้วยการให้ความรู้และทักษะในด้านการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ โดยได้ขยายการอบรมและ
แลกเปล่ยี นความรู้ไปสู่กลุ่มเป้าหมายที่กว้างขวางขึ้นเพ่ือกระตุ้นใหท้ ั้งสังคมครุ่นคิดถงึ การข้ามพ้นอดีต
อนั เจบ็ ปวดไปสู่อนาคตอนั สดใสรว่ มกัน

3. การส่งเสริมและสนับสนนุ จากองคก์ ารพฒั นาเอกชนในการจัดต้งั หมู่บ้านสมานฉนั ท์
องค์การพัฒนาเอกชนเช่น Prison Fellowship International ส่งเสริมให้ผู้ที่เคยกระทาผิด
ได้มาอยู่ร่วมกันกับผู้ถูกกระทาบนพื้นฐานความสมัครใจว่าจะอยู่ร่วมกัน แต่ก่อนที่จะมาอยู่ร่วมกันได้
ต้องมีกระบวนการการขอรับการให้อภัย โดยผู้ท่ีเคยกระทาผิดขออภัยต่อผู้ถูกกระทาและญาติ โดยได้
บอกถึงสถานที่ท่ีได้นาศพไปทิ้งไว้เพื่อจะได้นาศพไปทาพิธี และเมื่อผ่านกระบวนการเยียวยาแล้ว ได้
อาศัยอย่รู ่วมกันตอ่ ไปในหมู่บา้ นสมานฉนั ท์
4. การกดดนั จากฝา่ ยท่ีสามใหเ้ กดิ สันติภาพ
สหประชาชาติและสหรัฐอเมริกากดดันให้รวันดายุติการสู้รบ นาไปสู่การลงนามและทาตาม
บันทึกข้อตกลง The Pretoria Accord ยุติการสู้รบในประเทศคองโก โดยให้รวันดาถอนทหารออก
จากประเทศคองโก และให้รัฐบาลคองโกส่งกลุ่มขบวนการฮูตูขึ้นสู่กระบวนการยุติธรรม โดยถ้าไม่ทา
ตามข้อตกลงสันติภาพก็จะไม่ให้การสนบั สนุนดา้ นงบประมาณจากแหล่งทนุ ต่างชาติ
5. ช่องทางในการกลบั คนื สูส่ ังคม
มีการจัดทาโปรแกรมการปลดอาวุธ ปลดประจาการและการกลับคืนสู่สังคม (Disarmament,
demobilization and reintegration Program) (DDR) เน้นให้อดีตกองกาลังทหารของทั้ง 2 กลุ่ม
ชาติพันธุ์ ปลดอาวุธ ปลดประจาการ และสามารถกลับคืนสู่สังคมได้โดยไม่ต้องรับโทษ ซ่ึงเป็น
โปรแกรมต้ังแต่ปี ค.ศ.1995-2007 มีระยะเวลาประมาณ 12 ปี โดยมีงบประมาณช่วยเหลือจาก
รัฐบาลรวนั ดาและต่างประเทศ โดยมที หารประมาณ 54,000 นาย ต้งั แต่ปี ค.ศ. 1995 ปลดประจาการ

146 146

และกลับคืนสู่สังคม เน้นให้อดีตกองกาลังทหารของท้ัง 2 กลุ่มชาติพันธ์ุปลดอาวุธ ปลดประจาการ
และสามารถกลับคืนสู่สงั คมได้โดยไม่ตอ้ งรบั โทษ

บีบีซีไทย (2019) ได้รายงานเพ่ิมเติมว่ากรณีความขัดแย้งในรวันดามีใครถูกลงโทษบ้าง โดย
ระบุว่า ศาลอาญาระหว่างประเทศเพ่ิงก่อต้ังข้ึนเมื่อปี ค.ศ. 2002 หลังจากเหตุการณ์ในคร้ังน้ันเป็น
เวลานานจึงไม่สามารถดาเนนิ คดีได้ คณะมนตรคี วามมน่ั คงแห่งสหประชาชาติตง้ั ศาลยุติธรรมระหว่าง
ประเทศสาหรบั คดีอาญาในรวนั ดา ในเมืองอรุสชา ของทานซาเนีย เพ่อื ดาเนินคดกี ับผนู้ ากลุ่มผู้สังหาร
ชาวฮูตู 93 คนถูกต้ังข้อหา และเจ้าหน้าทีร่ ะดับสูงหลายสิบคนถูกตัดสินมีความผิดฐานฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
หลงั จากการพจิ ารณาคดีทีย่ ดื ยาวและเสยี ค่าใชจ้ า่ ยมาก ในรวนั ดาไดม้ ีศาลระดับชมุ ชน หรอื ทเี่ รยี กกัน
ว่า gacaca ถูกตั้งขึ้นเพ่ือดาเนินคดีผู้ต้องหาที่นับแสนคนท่ีรอการพิจารณาคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อยู่ โดย
ระบุว่ามีผู้ต้องหามากถึงหมื่นคนท่ีเสียชีวิตในเรือนจาขณะรอพิจารณาคดีในระหว่างปี ค.ศ. 2002-
2012 ศาลระดับชมุ ชน 12,000 แหง่ ในหมบู่ า้ นทวั่ ประเทศมีการพบปะกันสัปดาหล์ ะครั้ง พิจารณาคดี
มากกว่า 1.2 ล้านคดี บีบีซีไทย ได้รายงานสถานการณ์ล่าสุดของรวันดาว่า ตอนน้ีประธานาธิบดีคากาเม
ได้รับการช่นื ชมว่าสามารถเปล่ยี นใหป้ ระเทศเล็ก ๆ ซง่ึ ถูกทาลายลา้ งกลับมามีความเจริญกา้ วหน้าทาง
เศรษฐกิจได้ด้วยการใช้นโยบายต่าง ๆ เขายังได้เปลี่ยนให้ประเทศกลายเป็นศูนย์กลางทางเทคโนโลยี
ด้วย ในปี ค.ศ. 2017 นายคากาเม ชนะการเลือกตั้งเป็นสมัยท่ี 3 ด้วยคะแนนเสียงถึง 98.63
เปอร์เซ็นต์ และบีบีซีไทยสรุปท้ิงท้ายว่า “แน่นอน การฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุยังเป็นประเด็นอ่อนไหวใน
รวันดา และก็เป็นเร่ืองผิดกฎหมายที่จะพูดเร่ืองชาติพันธุ์ รัฐบาลบอกว่าน่ันเป็นหนทางท่ีจะป้องกัน
คาพูดท่ีสร้างความเกลียดชังและไม่ให้มีการนองเลือดอีก แต่บางฝ่ายมองว่านั่นเป็นอุปสรรคของการ
ประนปี ระนอมท่ีแท้จริง”

114477

4.3 ความขดั แย้งและสันตภิ าพในอสิ ราเอล

1) สถานการณค์ วามเป็นมาความขดั แยง้
The Standard (2017) ได้สรุปความเป็นมาของความขัดแย้งว่า จุดเริ่มต้นในนครเยรูซาเลม
บนดินแดนปาเลสไตน์ ซึ่งเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อในคัมภีร์โทราห์ของศาสนายูดาห์ คัมภีร์
ไบเบิลของศาสนาคริสต์ และคัมภีร์อัลกุรอานของศาสนาอิสลาม ชาวคริสต์เชื่อว่าพระเยซูถูกตรึงไม้
กางเขนที่นครเยรูซาเลม และพระองค์จะทรงเสดจ็ กลับมายังเมืองน้ีอกี ครง้ั หลังจากทีส่ ิ้นพระชนม์ สว่ น
ชาวมสุ ลมิ เชอ่ื ว่านบมี ูฮมั มัด ศาสดาของศาสนาอิสลามไดเ้ ดินทางสู่ฟากฟ้าจากมัสญดิ อลั -อักซอในนคร
เยรูซาเลม ขณะที่ชาวฮิบรูหรือชาวยิวเช่ือว่าดินแดนซึ่งเป็นท่ีตั้งของปาเลสไตน์เดิมหรืออิสราเอลใน
ปจั จุบันเป็นดนิ แดนแหง่ พนั ธสัญญาท่พี ระยาห์เวห์ พระผเู้ ปน็ เจ้าทรงประทานใหแ้ ก่ชาวอิสราเอล
ความศรัทธาอันแรงกล้าทางศาสนาท่ีต่างก็หวังจะครอบครองนครศักดิ์สิทธิ์แห่งน้ี ได้นาไปสู่
การทาสงครามศาสนาระหว่างชาวคริสต์และชาวมุสลิม หรือท่ีรู้จักกันว่าสงครามครูเสด ซ่ึงเริ่มต้นขึ้น
ในปี ค.ศ.1096 เม่ือพระสันตะปาปาเออร์บันท่ี 1 ผู้นาศาสนจักรคาทอลิกเวลาน้ันได้รวบรวมกองทัพ
นักรบชาวคริสต์ บุกโจมตีชาวมุสลิมเพ่ือแย่งชิงนครเยรูซาเลม จากนั้นชาวคริสต์ได้สร้างชุมชนข้ึนหลาย
แห่งในปาเลสไตน์ ผลกระทบจากสงครามครูเสดทาใหช้ าวยิวในยโุ รปและเยรซู าเลมลม้ ตายเปน็ จานวน
มาก ขณะที่บางส่วนซ่ึงตั้งชุมชนอยู่ในปาเลสไตน์ต้องพลัดถิ่นฐานและระหกระเหินเรร่ ่อน การกระจัด
กระจายของชาวยิวท่ีอพยพล้ภี ยั ไปอยู่ในดนิ แดนต่างๆ ทง้ั ในทวปี ยโุ รป เอเชีย และอเมริกา ทาใหล้ ัทธิ
ไซออนิสต์ก่อกาเนิดขึ้นในยุโรปในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1857-1900 โดยมีจุดประสงค์เพ่ือรวบรวมชาวยิว
พลดั ถิน่ ให้กลบั คืนสู่มาตุภูมิในปาเลสไตน์ เพื่อฟ้นื ฟคู วามเจรญิ ร่งุ เรืองของชนชาติเหมือนในอดตี
ในชว่ งปลายสงครามโลกคร้ังที่ 1 เกดิ กระแสต่อตา้ นชาวยิวข้ึนในยโุ รป โดยเฉพาะในเยอรมนี
เน่ืองจากเกิดความหวาดระแวงวา่ ชาวยวิ อาจอยู่เบือ้ งหลังการปฏิวตั ิบอลเชวกิ ภายใต้การนาของวลาดิ
เมียร์ เลนิน เพ่ือเปล่ียนแปลงการปกครองของรัสเซียให้เป็นคอมมิวนิสต์ในปี ค.ศ.1917 นอกจากน้ี
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นาพรรคนาซีเยอรมันยังกล่าวหาชาวยิวด้วยว่าเป็นต้นเหตุท่ีทาให้เยอรมนีพ่ายแพ้
สงครามโลกคร้ังท่ี 1 และได้ชูนโยบายกวาดล้างยิว จนนาไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุชาวยิวในช่วงสมัย
สงครามโลกครงั้ ที่ 2

148

148

ภาพที่ 4-3 แผนท่ปี ระเทศอิสราเอล

ที่มา: https://www.bbc.com/thai/international-54180830

ภายหลังสิ้นสุดสงครามโลกคร้ังที่ 2 เม่ือชาวยิวจานวนมากเดินทางกลับมายังดินแดน
ปาเลสไตน์อีกคร้ังภายใต้ความเห็นชอบจากอังกฤษ ซึ่งปกครองดินแดนปาเลสไตน์ในเวลานั้น ต่อมา
องค์การสหประชาชาติได้มีมติให้อิสราเอลก่อตั้งรัฐข้ึนได้บนดินแดนปาเลสไตน์ที่ถูกแบ่งออกเป็น 2
ส่วน โดยปาเลสไตน์เหลือดินแดนเพียงฉนวนกาซาและเขตเวสต์แบงก์ (ซึ่งรวมพ้ืนท่ีเยรูซาเลม
ตะวันออก) มติดังกล่าวสร้างความไม่พอใจแก่ชนพื้นเมืองชาวปาเลสไตน์และชาวอาหรับในประเทศ
ใกล้เคียงเป็นอย่างยิ่ง จนกระท่ังนายเดวดิ เบนกูเรียน นายกรัฐมนตรีคนแรกของอิสราเอลไดป้ ระกาศ
สถาปนารัฐอสิ ราเอลข้นึ อย่างเป็นทางการในวนั ท่ี 14 พฤษภาคม ปี ค.ศ. 1948 ซึง่ กลายเปน็ จุดเริ่มต้น
ของความขดั แย้งระหวา่ งอิสราเอลกบั ปาเลสไตนแ์ ละโลกอาหรับในยคุ สมัยใหม่

WAY (2021) ได้สรุปสถานการณ์ความขัดแย้งในยุคหลังการประกาศสถาปนารัฐอิสราเอล
และบทบาททอ่ี งค์การสหประชาชาติ และสหรฐั อเมรกิ าเขา้ ไปรว่ มแกป้ ญั หาดังตอ่ ไปน้ี

149

149

ตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1799 ได้มีความพยายามในการสร้างฐานที่มั่นของชาวยุโรปข้ึนในดินแดน
ตะวันออกกลาง ขณะที่มีชาวยวิ ประมาณ 3,000 คนเท่านัน้ ที่อาศัยอยู่ในปาเลสไตน์ในเวลาน้นั ชนช้นั
ร่ารวยผมู้ อบเงนิ ทุนบางคน เชน่ บารอน เอด็ มอนด์ เดอ รอธไชลด์ (Baron Edmond de Rothschild)
ขุนนางชาวฝรั่งเศสเริ่มให้การสนับสนุนแก่คนอ่ืนท่ัวไปจากยุโรปเพื่อเข้าร่วมกับพวกเขาแล้วเข้าไปต้ัง
ถ่ินฐาน ที่โดดเด่นที่สุดคือชุมชน Rishon Le Zion ซึ่งก่อตั้งข้ึนเม่ือ ปี ค.ศ. 1882 และชุมชน Rishon
Le Zion เม่ือปี ค.ศ.1890 และมีนักเขียนชาวออสเตรีย นาธัน เบิร์นบอม (Nathan Birnbaum) เป็น
ผู้บัญญัติศัพท์คาว่า ‘ไซออนนิสม์’ (Zionism) ขึ้นในปีค.ศ. 1885 ขณะที่ชาวยิวโดยเฉพาะจากยุโรป
ตะวนั ออกจานวนหน่ึงยงั คงทยอยเดนิ ทางมายงั ดนิ แดนปาเลสไตน์

การปะทุของสงครามโลกคร้ังท่ี 1 ทาให้อังกฤษไม่ไว้วางใจชาวอาหรับ และหันไปเพ่ิมความ
สนใจในการพฒั นาความสมั พันธก์ ับพนั ธมติ รในปาเลสไตน์ อย่างน้อยก็เพ่ือเสรมิ สร้างอิทธิพลท่ีมุ่งไปสู่
คลองสุเอซ รัฐบาลอังกฤษประกาศ ‘ปฏิญญาบัลโฟร์’ (Balfour Declaration) เมื่อ 9 พฤศจิกายน
ค.ศ. 1917 โดยระบุอย่างเป็นทางการว่าสนับสนุนการจัดต้ัง ‘ถ่ินฐานแห่งชาติสาหรับชาวยิว’ ใน
ปาเลสไตน์ หนึ่งเดือนต่อมา 11 ธันวาคม ค.ศ. 1917 ทหารอังกฤษได้เข้ายึดครองนครเยรูซาเล็ม ปี
ค.ศ.1922 องค์การสันนิบาตชาติได้ยอมรับอาณัติของอังกฤษในการปกครองปาเลสไตน์ภายใต้เขต
อานาจของซามูเอล ซ่ึงตอนนี้เป็นผู้บัญชาการระดับสูงซ่ึงมีส่วนสาคัญในการออกกฎหมายอย่างน้อย
100 ฉบับ เพื่อเสริมสร้างสถานะของชาวยิวรวมถึงการยอมรับภาษาฮิบรูเป็นภาษาทางการ และ
อนุญาตให้แยกระบบการศึกษาของชาวยิวกับกองทัพของชาวยิว มหาวิทยาลัยฮิบรู และสหภาพ
แรงงานชาวยวิ ได้กอ่ ตง้ั ขึ้นภายในปี ค.ศ.1925

หลังจากน้ันเกิดการประท้วงหลายครั้งเพื่อต่อต้านการอพยพของชาวยิว แต่ก็ไร้ผล ชาวปาเล
สติเนียนชักธงสีดาข้ึนเสาเม่ือบัลโฟร์เดินทางไปเยือนกรุงเยรูซาเล็ม ชาวยิวและชาวอาหรับเกือบ 250
คนถูกสังหารและบาดเจ็บอีกจานวนมากเม่ือ เดือนสิงหาคม ค.ศ. 1929 ท่ีกาแพงร่าไห้ (Wailing
Wall) ในโศกนาฏกรรมท่ีกลายเป็นที่รู้จักในนาม Buraq Revolt ชายมุสลิมสามคนถูกประหารชีวิต
โดยทางการอังกฤษเน่ืองจากมสี ว่ นในเหตุการณ์ความไม่สงบเพื่อยับยั้งการลุกฮือขึ้นสู้ แตก่ ารประท้วง
ยังคงดาเนินต่อไปจนถึงข้ันสูงสดุ ในปี ค.ศ. 1933 เนื่องจากมีผู้อพยพชาวยิวจานวนมากข้ึนเดินทางมา
แสวงหาท่ีอยู่อาศัย การไหลบ่าเข้ามาเพิ่มข้ึนจาก 4,000 คน ในปี ค.ศ. 1931 เป็น 62,000 คน ในปี
ค.ศ. 1935 ในปีเดียวกนั นัน้ ชีค อิซ แอด-ดนิ อัล-กัสซาม (Sheikh Izz ad-Din al-Qassam) ผู้นาการ
ปฏิวัติมุสลิมถูกทหารองั กฤษยงิ เสียชวี ิตที่เนินเขาเหนอื เมอื งเจนนิน

ในปี ค.ศ. 1936 ความรุนแรงของการต่อต้านการปกครองอาณานิคมของอังกฤษท่ีบังคับใช้
ปฏิญญาบัลโฟร์กับประชาชนในพ้ืนท่ีซ่ึงก่อความชิงชังอย่างหนัก ทาให้มีการนัดหยุดงานท่ัวไปเป็น
เวลาหกเดือนซ่ึงส่งผลกระทบรุนแรง ทาให้เกิดมาตรการโต้ตอบด้วยการทาลายบ้านท่ีอยู่อาศัยของ

150 150

ชาวปาเลสติเนยี น และอีก 3 ปีตอ่ มา (ค.ศ. 1939) หลายประเทศเข้าตอ่ สูก้ บั นาซีเยอรมนีของ อดอล์ฟ
ฮติ เลอร์ ซึ่งในทา้ ยท่ีสุดนาซีเยอรมนีไดล้ งมือประหตั ประหารชาวยิวไปกว่าหกลา้ นคนในคา่ ยกักกนั

2) สหประชาชาติกับการแกป้ ญั หาความขดั แย้งและผลกระทบ
ในปี ค.ศ.1947 สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้จัดให้ลงมติที่ 181 โดยสมัครใจซึ่งเสนอให้
แบ่งเขตรัฐใหม่จากดินแดนปาเลสไตน์ทางทิศตะวันตกของแม่น้าจอร์แดน โดยมอบแก่ชาวยิวที่อยู่
อาศัยสว่ นหนงึ่ อกี สว่ นหนึ่งแกช่ าวอาหรบั มตดิ ังกล่าวได้รบั การรบั รอง แตห่ ลงั จากการลงคะแนนโดย
ถูกกล่าวหาว่าเป็นผลมาจากแรงกดดนั ทางการทูตจากสหรัฐ แตช่ าวปาเลสติเนียนบอกปฏิเสธ ซ่ึงพวก
เขาโต้แย้งว่าชาวยิวเป็นเจ้าของที่ดินไม่เกินร้อยละ 5.5 ในเวลาน้ัน และไม่น่าจะมีสิทธิได้รับถึงร้อยละ
56 นอกเหนือจากความชอบธรรมระหว่างประเทศที่แถมให้มาด้วย แล้วสงครามกลางเมืองก็ปะทุขึ้น
ตามมา แต่ในที่สุดรัฐอิสราเอลก็ก่อตั้งขึ้นจนได้ภายใต้การนาของนายกรัฐมนตรี เดวิด เบน-กูเรียน
(David Ben-Gurion) เมอื่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1948 โดยส้ินสดุ การอยู่ภายใตอ้ าณตั ขิ องอังกฤษ แลว้
ได้รบั การรับรองจากสหรัฐอเมริกา และสหภาพโซเวียตในทันที แตก่ ระตุ้นใหเ้ กดิ การปะทุของสงคราม
นองเลือด อาหรบั -อิสราเอล ซ่ึงมีนักรบ 3,000 คน ลกุ ฮอื ข้ึนต่อสู้กับชาติก่อต้ังใหม่ สภาพสงครามบังคับ
ให้ชาวปาเลสติเนียน 700,000 คน อพยพหนีการสู้รบโดยแสวงหาท่ีหลบภัยในจอร์แดน เลบานอน ซีเรยี
เวสต์แบงค์ และฉนวนกาซา โดยไม่มีผู้ใดได้รับสัญชาติของประเทศเหล่านั้น และเดวิด เบน-กูเรียน
นายกรฐั มนตรีอสิ ราเอลคนแรกไดป้ ระกาศต้งั รฐั อิสราเอลอย่างเปน็ ทางการในเทลอาวีฟ ปี ค.ศ.1948
เมื่อเดือน ธันวาคม ค.ศ. 1948 ท่ีประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้ลงมติท่ี 194 โดย
ตระหนักว่าชาวปาเลสไตน์ “ท่ีต้องการกลับไปสู่ถ่ินฐานเดิมและอยู่ร่วมกับเพ่ือนบ้านอย่างสันติควร
ได้รับสิทธิในการดาเนินการดังกล่าวโดยเร็วที่สุด” แต่อิสราเอลปฏิเสธแนวคิดน้ีระบุว่าเป็นภัยคุกคาม
ต่อลักษณะเฉพาะของชาวยิวในรัฐใหม่ และอีกหน่ึงปีต่อมาสมัชชาน้ีได้จัดตั้งหน่วยงานบรรเทาทุกข์
และการทางานแหง่ สหประชาชาติ (UNRWA) ขน้ึ สาหรับช่วยผ้ลู ้ีภยั ชาวปาเลสตเิ นยี นในเขตตะวนั ออก
เพ่อื สนับสนุนผู้พลัดถิน่ ต่อไป
‘องค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์’ (Palestinian Liberation Organisation – PLO) ได้รบั การ
ก่อตั้งขึ้นในกรุงไคโรเมื่อปี ค.ศ. 1964 พร้อมกับคาประกาศอุทิศตนต่อสู้เพ่ือ ‘ปลดปล่อยปาเลสไตน์’
ผ่านการปฏิวัติด้วยอาวุธ แทนท่ีจะมุ่งเน้นไปท่ีประเด็นด้านสิทธิพลเมือง ท่าทีของ PLO ไม่ได้
เปลี่ยนแปลงจนถึงปี ค.ศ. 1993 และถูกนับว่าเป็นองค์กรก่อการร้ายโดยท้ังอิสราเอลและสหรัฐอเมริกา
แต่ได้รับการยอมรับว่าเป็นตัวแทนของชาวปาเลสติเนียนโดยสนั นิบาตอาหรับ (Arab League) ต้ังแต่
ปี ค.ศ.1974 สถานการณ์สงครามปี ค.ศ.1967ได้มีการรุกคืบทางทหารของอิสราเอลในฉนวนกาซา
เขตเวสต์แบงค์ ทีร่ าบสงู โกลัน และทะเลทรายไซนายของอียิปต์จดุ ประกายการนองเลอื ดครั้งใหม่ และ
ทาให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติผ่านมติ 242 สั่งให้อิสราเอลถอนตัวออกจากดินแดน

115511

ดังกล่าว แต่มติของคณะมนตรีถูกเพิกเฉย หลังจากเหตุการณ์สู้รบกับทหารปาเลสไตน์ในจอร์แดนใน
เหตุการณ์ ‘กันยายนทมิฬ’ (Black September) เมื่อปี ค.ศ. 1970 คณะมนตรีความม่ันคงลงมติท่ี
338 เรยี กร้องให้หยดุ ยิง และเรยี กรอ้ งใหอ้ ิสราเอลถอยห่างออกจากการรุกรานอีกครงั้ และเป็นอกี คร้ัง
หนึง่ ท่อี ิสราเอลปฏเิ สธ

3) บทบาทของสหรัฐอเมรกิ าในกระบวนการสันตภิ าพ
เริ่มความก้าวหน้าด้านสันติภาพในตะวันออกกลางเกิดขึ้นเม่ือ 17 กันยายน ค.ศ. 1978 เม่ือ
นายกรฐั มนตรี เมนาเชม เบกิน (Menachem Wolfovich Begin) ของอิสราเอลพบกับประธานาธิบดี
อันวาร์ ซาดัต (Muhammad Anwar al-Sadat) ของอียิปต์ เพื่อลงนามในความตกลงแคมป์เดวิดที่
สถานพักผ่อนของประธานาธิบดี จิมมี คาร์เตอร์ ในมลรัฐแมรีแลนด์ หน่ึงในกรอบข้อตกลงคือการ
ประสานความสัมพันธ์ที่กลมกลืนระหว่างท้ังสองชาติ และทาให้ผู้ลงนามท้ังสองได้รับรางวัลโนเบล
สาขาสันติภาพ ต่อมาก็ถูกสหประชาชาติประณามเนื่องจากได้ทาข้อตกลงไปโดยปราศจากการมีส่วน
ร่วมของคณะผแู้ ทนปาเลสไตน์
อสิ ราเอลได้บกุ เลบานอนในปี ค.ศ. 1982 ขณะทกี่ ารลกุ ฮืออินทฟิ าดา (Intifada) ครง้ั แรก ใน
ดินแดนปาเลสไตน์ปะทุข้ึนต่อต้านการยึดครองในช่วงปลายทศวรรษ อย่างไรก็ตามข้ันตอนท่ีพัฒนา
ไปสู่สันติภาพเกิดข้ึนเม่ือ PLO ยอมรับมติของสหประชาชาติท่ี 242 และ 338 โดยยอมรับอย่างเป็น
ทางการเก่ียวกับรัฐอิสราเอล แต่การพูดคุยหยุดชะงักอีกครั้งในปี ค.ศ. 1991 และ 1992 โดยไม่มีมติ
อย่างใดเกิดขึ้น จากน้ันในฤดูร้อนปี ค.ศ. 1993 ความตกลงออสโลครั้งที่ 1 (Oslo I Accord) ได้รับ
การลงนามโดยนายกรัฐมนตรี ยิตซัค ราบิน (Yitzhak Rabin) ของอิสราเอล กับ ยัสเซอร์ อาราฟัต
(Yasser Arafat) ประธาน PLO เพ่อื กอ่ ต้งั หน่วยปกครองตนเองชั่วคราวของปาเลสตเิ นียน ‘หนว่ ยงาน
แห่งชาติปาเลสไตน์’ (Palestinian National Authority) และการถอนกองกาลังทหารอิสราเอลออก
จากโซนที่ยังถือว่าเป็นการยึดครองอย่างกว้างขวาง ข้อตกลงออสโลครั้งท่ี 2 (Oslo II) ตามมาในปี
ค.ศ. 1995 ซ่ึงให้สิทธิการปกครองตนเองของชาวปาเลสติเนียนในบางส่วนของเวสต์แบงค์และฉนวน
กาซา แตก่ เ็ ปน็ อีกคร้งั หน่ึงทไี่ ม่ได้เสนอความเปน็ รฐั ให้แก่ชาวปาเลสติเนยี น
เม่ืออิสราเอลกลับมายึดครองเขตเวสต์แบงค์ในปี ค.ศ. 2002 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ล่อแหลม
อาจจะเลวร้ายลงอีกเนื่องจากการเสียชีวิตของอาราฟัตในปี ค.ศ. 2004 ซ่ึงส่งผลกระทบอย่างมากต่อ
แนวทางเพ่ืออนาคตของชาวปาเลสติเนียน นับต้ังแต่นั้นเป็นต้นมาความรุนแรงก็หวนกลับมาอีกเป็น
คร้ังคราว อิสราเอลประกาศสงครามกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ (Hezbollah) ในเลบานอน ปี ค.ศ.2006
และเร่มิ การโจมตีกลมุ่ ฮามาส (Hamas) ในฉนวนกาซาซา้ แลว้ ซ้าอีก รวมถงึ ปฏิบัติการทางทหารหลาย
คร้ัง เช่น Operation Cast Lead (2008), Operation Pillar of Defense (2012) และ Operation

152 152

Protective Edge (2014) ความรุนแรงเพ่ิมข้ึนอีกใน ‘วันนัคบา’ ทั้งของปี ค.ศ. 2017 และ 2018 ซึ่ง
รนุ แรงมากพอทจี่ ะได้รับการสอบสวนว่าเขา้ ขา่ ยอาชญากรรมสงครามโดยหน่วยงานของสหประชาชาติ

ชูชาติ พุฒเพ็ง (2563) หลังจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ ปี
ค.ศ. 2017 ได้มีการจัดทาแผนสันติภาพตะวันออกกลางฉบับใหม่ภายใต้ความเห็นชอบของ
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัล ทรัมป์ กับ เบนยามิน เนเทนยาโฮ นายกรัฐมนตรีอิสราเอล มีช่ือเรียก
อย่างเป็นทางการว่า “Peace to Prosperity : A Vision to Improve the Lives of the Palestinian
and Israeli People” แต่มักเรียกขานแบบไม่เป็นทางการว่า “the Trump Peace Plan” หรือ “the
Deal of the Century” โดยแผนสนั ตภิ าพดังกล่าว เปน็ การขับเคลอ่ื นของสหรัฐฯ และอิสราเอล โดย
มีกลไกและเครื่องมือสนับสนุนจากพันธมิตรโลกอาหรับ อย่างซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
และอียิปต์ หวังนาวิสัยทัศน์ด้านการพัฒนาระบบโครงสร้างพ้ืนฐานและยกระดับระบบเศรษฐกิจ และ
การจ้างงานเพื่อให้ชาวปาเลสไตน์มีสภาพความเป็นอยู่ท่ีดีข้ึน เพื่อให้เกิดกระแสการเปลี่ยนแปลงเชิง
ยุทธศาสตร์ในพ้ืนที่ และลดความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล และปาเลสไตน์ แต่หลายฝ่ายมองว่าเป็น
การดาเนินการฝ่ายเดียว (Unilateral) และขาดการมีส่วนร่วมจากฝ่ายปาเลสไตน์ในการกาหนดชะตา
กรรมของตนเอง ทาลายความพยายามในการแก้ปัญหาแบบสองรฐั (two–state solution) เนอ่ื งจาก
ประเด็นท่ีเป็นข้อเรียกร้องของฝ่ายปาเลสไตน์ท่ีเคยเรียกร้องมาโดยตลอดถูกปิดตายทั้งการยอมรับรัฐ
ปาเลสไตนบ์ นเส้นแบง่ เขตแดนปี ค.ศ.1967 การตง้ั เยรซู าเล็มตะวนั ตกเปน็ เมืองหลวง รวมทง้ั สิทธิการ
กลับคนื สู่ดนิ แดน แตท่ ้ังหมดกลบั ถกู จากัดภายใต้กรอบแนวคิดทางการตลาด ทาใหฝ้ า่ ยปาเลสไตนเ์ กิด
ความหวาดระแวงจนเกิดเป็นคาถามและประเด็นข้อสงสัยมากมายเกิดข้ึนระหว่างทางตามท่ีฝ่ายหน่ึง
เป็นผูข้ ีดเส้นไว้ หากยอมเดนิ ตามเส้นทางของแผนสนั ตภิ าพฉบับนจี้ นถงึ ท่สี ดุ แล้วจะพบว่าอธปิ ไตยของ
ปาเลสไตน์ยังคงอยู่ภายใต้ปีกของอิสราเอลตลอดไปไม่จบส้ิน ไร้อานาจการบริหารประเทศโดย
สมบูรณ์ พลเมืองปาเลสไตน์จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบในทุกมิติ และจากท่าทีการประชุมสหภาพ
รัฐสภาอาหรับ (Arab Inter–Parliamentary Union) ซึ่งจัดขึ้นณ กรุงอัมมาน ประเทศจอร์แดน เมื่อ
เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.2020 ท่ีผ่านมา ได้ออกถ้อยแถลงเห็นพ้องกันด้วยการไม่เห็นชอบและไม่รับแผน
สันติภาพฉบับน้ี และเตือนผู้เก่ียวข้องทุกฝ่ายว่า อาจสุ่มเสี่ยงจนทาให้เกิดสงครามศักดิ์สิทธ์ิ หรือ
สงครามศาสนา โดยเฉพาะประเด็นการยึดครองกรงุ เยรซู าเลม็

115533

4.4 ความขดั แย้งและสันตภิ าพในแคชเมียร์

แคชเมียร์มีพ้ืนที่ท้ังหมดประมาณ 222,236 ตารางกิโลเมตร ในจานวนนี้พื้นท่ีส่วนใหญ่อยู่
ภายใต้การปกครองของอินเดีย หรือ 101,437 ตารางกิโลเมตร อยู่ในเขตยึดครองของปากีสถาน
ประมาณ 78,114 ตารางกิโลเมตร และเป็นของจีนอีก 42,685 ตารางกิโลเมตร แคว้นชัมมูและแคช
เมียร์ในฝ่ังอินเดียมีประชากรท้ังหมดประมาณ 12 ล้านคน ภาษาหลักในท้องถิ่นที่พูดกันมีภาษาอุรดู
(Urdu), แคชเมียรี (Kashmiri), ฮินดิ (Hindi), โดกรี (Dogri), ปาการี (Pakari) และลาดกั ชี (Ladakhi)
แบ่งออกเป็น 3 เขตปกครอง ได้แก่ 1).แคชเมียร์ เป็นดินแดนเหนือสุดของอินเดีย ล้อมรอบด้วยภูเขา
ต้ังอยู่ระหว่างเทือกเขา Pir Panjal และ Panjri ประกอบไปด้วย 6 เมือง ได้แก่ Anantnag, Baramulla,
Budgam, Kupwara, Pulwama และ Srinagar มีประชากรประมาณ 6.88 ล้านคน โดยร้อยละ 96
นับถือศาสนาอิสลาม ร้อยละ 2.45 นับถือศาสนาฮินดู 2) ชัมมู เป็นพ้ืนท่ีราบที่อยู่บริเวณต่าลงมาทาง
ทิศตะวันตกของเทือกเขา Pir Panjal ซ่ึงก้ันระหว่างหุบเขาแคชเมียร์กับท่ีราบชัมมูประกอบไปด้วย 6
เมือง ได้แก่ Kathua, Jammu, Udhampur, Doda, Rajouri และ Poonch มีประชากรประมาณ
5.37 ล้านคน ร้อยละ 62.55 นับถือศาสนาฮินดู, ร้อยละ 33.45 นับถือศาสนาอิสลาม และร้อยละ 4
นับถือศาสนาอื่นๆ และ 3) ลาดักห์ (Ladakh) เป็นชายแดนสุดด้านตะวันออกของรัฐชัมมูและแคชเมียร์
อยู่ติดกับทิเบต ประกอบด้วย 2 เมือง ได้แก่ Leh และ Kargil มีประชากร 2.7 แสนคน ร้อยละ 50
นับถือศาสนาพุทธ, ร้อยละ 46 นับถือศาสนาอิสลาม และร้อยละ 3.1 นับถือศาสนาอ่ืนๆ (มาโนชญ์
อารีย์, 2019)

1) สถานการณ์ความขดั แยง้
National Geographic Asia (2019) ได้ประมวลสถานการณ์ความขัดแยง้ ในแคว้นแคชเมยี ร์
และการเจรจาสันติภาพบางช่วงของสถานการณ์ โดยระบุว่าทัง้ สองแควน้ น้ีเดิมอยู่ภายใต้การปกครอง
ของชาวซิกข์ในช่วงต้นคริสศตวรรษที่สิบเก้า ในปี ค.ศ.1846 อังกฤษได้รุกรานและครอบครองซิกข์
และให้อานาจการปกครองกับ มหาราชา ฮาริ สิงห์ โดกรา (Hari Singh Dogra) ขณะนั้นมหาราชาจงึ
ไม่ตัดสนิ ใจทจ่ี ะรวมแคว้นชมั มูและแคชเมยี ร์เขา้ กบั ประเทศใดประเทศหนง่ึ แตก่ ลบั ลงนามในข้อตกลง
สงบศึกชว่ั คราวกบั ปากีสถานเพื่อที่ประชาชนในแควน้ ยังสามารถทาการค้า การเดนิ ทางท่องเท่ียวและ
การติดต่อสอ่ื สารกับประชาชนของปากีสถานได้ แตไ่ ม่ไดม้ กี ารลงนามข้อตกลงใดๆ กบั ประเทศอนิ เดีย

154 154

ภาพที่ 4-4 แผนท่ีแควน้ แคชเมยี ร์

ทมี่ า: https://hmong.in.th/wiki/Kashmir_Division

ในช่วงเดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 1947 ชนเผ่าปัชตุน (Pashtun) จากชายแดนทางด้านตะวันตก
เฉียงเหนือของปากีสถานเข้ารุกรานแคว้นแคชเมียร์ และเกิดความไม่สงบจากต่อต้านกลุ่มท่ีนับถือ
ศาสนาอิสลามท่ีพยายามจะรวมเข้ากับปากีสถาน จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทาให้มหาราชา ฮาริ สิงห์
ตัดสินใจนาแคว้นชัมมูและแคชเมียร์เข้าร่วมกับอินเดีย โดยแลกกับความช่วยเหลือด้านกาลังพลและ
อาวุธจากอินเดีย โดยลงนามในการส่งมอบสัตยาบันกับผู้แทนนายกรัฐมนตรีอิน ชวาร์ลัล เนรู เมื่อ
วันที่ 26 ตุลาคม 1947 ในเช้าวันต่อมา (27 ตุลาคม) กองกาลังอินเดียเคล่ือนพลทางอากาศเข้าสู่กรุง
Srinagar หรือศรีนคร เมืองใหญ่ที่สุดในแคชเมียร์ นับตั้งแต่น้ันมาความขัดแย้งระหว่างอินเดีย-
ปากีสถาน ได้ทวีความรุนแรงข้ึนและต่อเน่ืองยาวนานจนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 50 ปี แคว้นชัมมู
และแคชเมียร์เป็นต้นตอขอข้อพิพาทในภูมิภาคเอเชียใต้ตลอดมา และเป็นชนวนเหตุสงครามระหวา่ ง
อินเดียและปากสี ถานถงึ 4 ครัง้ ดงั นี้

คร้ังที่ 1 ระหว่างปี ค.ศ. 1947-1949 หรือที่เรียกว่า “The First Kashmir War” เมื่อวันท่ี
22 ตุลาคม ปี ค.ศ.1947 ปากีสถานให้การสนับสนุนวาร์ซิรี (Warxiri) และมาอูซุด (Mausud) นา
ทหารชาวเขาจากชายแดนภาคตะวันตกเฉียงเหนือโดยอ้างว่ามาทาการปลดปล่อยชาวแคชเมียร์จาก

115555

มหาราชา ฮาริ สงิ ห์ และสามารถยดึ ครองดินแดนได้ถงึ 1 ใน 3 ของแควน้ ทาให้มหาราชาตัดสนิ ใจขอ
ความช่วยเหลือจากรัฐบาลอินเดีย และรัฐบาลอินเดียได้ส่งทหารบกลาเลียงทางอากาศลงที่ศรีนคร
(เมืองหลวงแคชเมียร์) เมื่อวันท่ี 27 ตุลาคม ค.ศ. 1947 เวลา 09.00 ได้ทันก่อนที่ปากีสถานจะเข้ายึด
สนามบิน เกิดการปะทะกันหลายครั้ง หลังจากน้ันรัฐบาลอินเดียย่ืนประท้วงต่อคณะรัฐมนตรีความ
มนั่ คงแห่งสหประชาชาติ ซึง่ องคก์ ารสหประชาชาติมมี ตใิ ห้ท้ัง 2 ฝ่ายหยดุ ยิงเมือ่ วนั ที่ 1 มกราคม ค.ศ.
1949 โดยกาหนดแนวหยุดยิง (Line of Control) แบ่งแคชเมียร์ตะวันออก ชัมมู และลาดัคห์ เป็น
เขตยึดครองของอนิ เดยี ส่วนแคชเมียรต์ ะวนั ตก (ปากสี ถาน เรยี กว่า “อาซคั ” หมายถงึ แคชเมียร)์ เป็น
เขตยดึ ครองของปากีสถาน

คร้งั ท่ี 2 ระหวา่ งปี ค.ศ. 1965-1966 หรอื ทเ่ี รยี กวา่ “The Second Kashmir War” สงคราม
แคชเมียร์ครั้งที่ 2 เร่ิมต้นขึ้นเม่ือวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1965 เม่ือปากีสถานส่งกาลังทหารเข้าโจมตี
Runn of Kachehh โดยอ้างว่าเป็น “วันปลดปล่อยแคชเมียร์” (Kashmir Revolt Day) ซ่ึงตรงกับ
การฉลองครบรอบ 12 ปีที่ เชค อับดุลลาห์ ผู้นาการเคล่ือนไหวเพ่ือเสรีภาพชาวแคชเมียร์ถูกจับกุม
ปากีสถานส่งหน่วยคอมมานโดพร้อมอาวุธทันสมัยรุกเข้ายึดศรีนครทาลายส นามบินปาธาน-
กฏอดัมขปูร์ และฮัลวารา พร้อมท้ังส่งกาลังพลร่มเข้าสู่ปัญจาบ รัฐบาลอินเดียได้ยื่นประท้วง
สหรัฐอเมริกากล่าวหาปากีสถานใช้อาวุธทันสมัยละเมิดแนวหยุดยิงรุกรานแคชเมียร์ในเขตยึดครอง
อินเดีย สหรัฐฯ จึงได้ระงับการขายอาวุธให้ปากีสถาน ในวันท่ี 8 กันยายน ค.ศ. 1965 และประกาศ
วางตัวเป็นกลาง อินเดียส่งกาลังทหารตอบโต้สามารถยึดดินแดนกลับคืนมาได้ และรุกคืบหน้าใกล้ถึง
เมืองละฮอร์ (Lahore) ของปากีสถาน จนทาให้ปากีสถานต้องยอมหยุดยิงและเจรจาสงบศึก (The
Tashkent Declaration) เมื่อ ค.ศ. 1966 ทีเ่ มอื ง Tashkent

ครั้งที่ 3 ในปี ค.ศ. 1971 เป็นสงครามท่ีไม่มีความเก่ียวพันกับแคชเมียร์ แต่เกี่ยวพันกับ
สงครามการแยกตัวของปากีสถานตะวันออก หรือ บังคลาเทศในปัจจุบัน (Bangladesh Liberation
War) ดนิ แดนทางทศิ ตะวนั ออกของปากีสถานซงึ่ ประชากรสว่ นใหญ่เช้ือสาย Bengali ตอ้ งการแยกตัว
เป็นอิสระจากปากีสถาน ด้วยเหตุความรุนแรงในวงกว้างที่เกิดขึ้น ทาให้ผู้อพยพชาว Bengali หลาย
ล้านคนหนีตายมายังประเทศอินเดีย ในครั้งน้ันอินเดียร่วมกับกองกาลังต่อสู้เพ่ืออิสรภาพของบังคลา
เทศ (Mukti Bahini หรือที่รู้จักกันในนามของ “Freedom Fighter”) สามารถเอาชนะกองกาลัง
ปากีสถาน ผลของสงครามครัง้ น้ีทาให้เกดิ ประเทศบังคลาเทศ

ครั้งท่ี 4 สงครามคาร์กิล ระหว่างวันท่ี 26 พฤษภาคม – 26 กรกฎาคม ค.ศ. 1999 หรือที่
เรียกว่า “Kargil War” ปากีสถานเปล่ียนยุทธวิธีการรบจากการใช้กาลังเผชิญหน้ามาเป็นการใช้
ยุทธวิธีในการทาให้อินเดีย Bleed through a thousand cuts เหมือนกับที่ปากีสถานได้ทากับอดีต
สหภาพโซเวียตในช่วงท่ีเข้ายึดครองอัฟกานิสถาน และในที่สุดโซเวียตก็พ่ายแพ้ ปากีสถานใช้นักรบ
ศักด์ิสิทธ์ของพระผู้เป็นเจ้า หรือ “Jihad” ต่อสู้กับพวกนอกศาสนาคืออินเดีย โดยเปิดค่าย

156 156

ผู้ก่อการร้ายในเขตแคชเมียร์ของปากีสถาน ในสงครามครั้งนี้แม้อินเดียจะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ แต่
อินเดียพบกับความสูญเสียมหาศาล ทหารอินเดียหลายกองพันต้องสังเวยชีวิตส่วนปากีสถานสามารถ
เรียกรอ้ งใหน้ านาชาติหันมาสนใจปัญหาแคชเมยี ร์ได้ในระดับหน่งึ

2) สันติภาพเกิดขน้ึ ระหวา่ งความขัดแยง้
จรัญ มะลูลีม (2562) ได้ระบุว่าหนึ่งในข้อเสนอว่าด้วยสันติภาพในเดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ.
2000 เป็นการปูทางไปสู่กรอบการประนีประนอม หลังจากมีการเจรจาอย่างลับๆ กับฝ่ายต่าง ๆ ท่ี
เก่ียวข้องของอินเดีย ได้มีการเจรจาสามฝ่ายเกิดข้ึน ได้แก่ กลุ่มฮิซบุลมุญาฮิดีน (Hizbul Mujahideen)
ลัชการี ฎอยยิบะฮ์ (Lashkar-e-Toyeba) และกลุ่มปลดปล่อยจัมมูและแคชเมียร์ (Jammu and
Kashmir Liberation Front) อย่างไรก็ตามข้อเสนอดังกล่าวไม่ได้รับผลตอบรับจากอินเดีย และกอง
กาลังขนาดใหญ่ของฮิซบุล มุญาฮิดีน ประกาศการหยุดยิงแต่ฝ่ายเดียว ในปี ค.ศ.2003 การหยุดยิง
ตามเส้นการควบคุมถูกประกาศอีกคร้ัง ซึ่งนาไปสู่การเจรจาระหว่างอินเดียกับรัฐบาลปากีสถานซึ่ง
เร่ิมต้นในปี ค.ศ. 2004 ทาให้ความก้าวหน้าท่ีเกิดขึ้นนาไปสู่การค้าขายชายแดนและการเคล่ือนไหว
ของผ้คู นตามชายแดนของสองประเทศ อยา่ งไรก็ตามการเจรจาต้องมาหยุดชะงักในปี ค.ศ. 2008 เมื่อ
เมืองมุมไบ (Mumbai) ถูกโจมตี ซ่ึงปากีสถานยอมรบั ว่าเป็นผู้เริ่มโจมตีก่อนและเปน็ ส่วนหนึ่งของการ
วางแผนท่ีมาจากปากีสถาน การกระทาดังกล่าวนาไปสู่ความรุนแรงที่เพ่ิมข้ึนอย่างต่อเนื่อง และ
แนวโน้มการเจรจาท่ีเป็นไปในทางบวกเกิดขึ้นในเดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ. 2012 เม่ืออดีตนายกรัฐมนตรี
มานโมฮัน ซิง (Manmohan Sing) และประธานาธิบดีอซีฟ อะลี ซาร์ดารี (Asif Ali Zardari) จัดการ
เจรจาระดับสงู ข้ึนในรอบ 7 ปี

VOA (2021) รายงานเมื่อเดือน กุมภาพันธ์ ค.ศ.2019 ว่า ปากีสถานและอินเดียบรรลุ
ข้อตกลงยุติข้อพิพาททางการทหารบริเวรแคว้นแคชเมียร์ โดยจะนาข้อตกลงพักรบเมื่อปี ค.ศ. 2003
กลับมาใช้เพื่อลดความตึงเครียดระหว่างประเทศ โดยมีแถลงการณ์ที่จัดทาร่วมกันระหว่างผู้แทนของ
สองประเทศระบุว่า ผบู้ ัญชาการทหารระดับสูงของอนิ เดยี และปากสี ถานไดเ้ จรจากนั ผ่านช่องทางการ
ส่ือสารเร่งด่วนท่ีจัดทาขึ้นและทบทวนสถานการณ์เกี่ยวกับแนวเขตการปกครองแคว้นแคชเมียร์ท่ี
จัดสรรกันไว้ระหว่างสองฝ่าย โดย "ท้ังสองฝ่ายตกลงให้เคารพข้อตกลงทุกฉบับที่มีอยู่อย่างเข้มงวด
รวมทั้งทาความเข้าใจและหยุดยิงตามแนวเขตการปกครองตลอดจนภาคส่วนอื่น ๆ โดยมีผลตั้งแต่
เท่ยี งคนื วนั ท่ี 24 ต่อเนอ่ื งถงึ เช้าวนั ที่ 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2021 เป็นต้นไป"

115577

4.5 ความขดั แย้งและสันติภาพในประเทศเนปาล

ประเทศเนปาลหรือสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเทือกเขาหิมาลัย
ทิศเหนือติดกับแคว้นทิเบตของจีน ทิศใต้ติดกับอินเดีย เมืองหลวงคือ กรุงกาฐมาณฑุ (Kathmandu)
มีประชากร ประมาณ 29.9 ล้านคน (2554) ประกอบด้วยมองโกลอยด์จากทิเบต และอินโดอารยัน
จากทางตอนเหนือของอินเดีย โดยนับถือศาสนาฮินดู ร้อยละ 86 พุทธ ร้อยละ 7.8 และอื่นๆ ร้อยละ
7 (กระทรวงตา่ งประเทศ, 2554) ประเทศเนปาลปกครองดว้ ยระบอบประชาธิปไตยแบบรฐั สภาและมี
พระมหากษัตรยิ ภ์ ายใต้รฐั ธรรมนูญซงึ่ ไดร้ บั การฟน้ื ฟูมาในช่วงทศวรรษที่ 1990 ก่อนหน้านั้นเนปาลอยู่
ภายใต้ระบอบการปกครองในแบบอัตตาธิปไตยที่องค์กษัตริย์ทรงมีอานาจเด็ดขาดสมบรู ณ์ พรรคฝ่าย
ซ้ายกลางเป็นส่วนหนึ่งของรัฐสภา แต่พรรคฝ่ายซ้ายสุดขั้วท่ีนิยมลัทธิเหมาคิดว่าระบบรัฐสภานั้นไม่
เหมาะสมสาหรับประเทศ ดังน้ันพวกเขาจึงเปิดฉากสงครามท่ีเรียกว่า “สงครามประชาชน” เมื่อปี
ค.ศ. 1996 (พิษณุ สรรพโกตา, 2557)

ภาพที่ 4-5 แผนที่ประเทศเนปาล

ทม่ี า: http://www.freemapviewer.org/th/map/Map-World_1479.html

158 158

สถานการณค์ วามขัดแยง้
ไชยนั ต์ ไชยพร (2563) ไดส้ รปุ สถานการณ์ความขัดแยง้ ของเนปาลว่า เกดิ ความไรเ้ สถียรภาพ
ทางการเมืองของเนปาลที่ยืดเยื้อยาวนานที่มีสาเหตุจากการแข่งขันกันมีอานาจนาระหว่างสามฝ่ าย
น่ันคือ สถาบันพระมหากษัตริย์ พรรคการเมืองที่ช่ือเนปาลีคองแกรสที่เป็นพรรคการเมืองใหญ่พรรค
แรกทีไ่ ด้จดั ตัง้ รฐั บาลหลังเนปาลเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษัตริย์เป็น
ประมุขในปี ค.ศ.1959 และกลุ่มคอมมิวนิสต์แนวเหมาอิสต์ โดยท่ีกลุ่มกบฏเหมาอิสต์ออกมาต้ังพรรค
การเมืองของตนต่างหากในนามของพรรคคอมมิวนิสต์เนปาลสายเหมาอิสต์ในปี ค.ศ. 1994 หันหลัง
ให้การต่อสู้ในวิถีทางรัฐสภาที่ผ่านการเลือกต้ัง ส่งผลให้พรรคกลายเป็นกลุ่มกบฏ และหันมาต่อสู้ด้วย
กลยุทธ์การใช้กาลังความรุนแรงเพ่ือนาการต่อสู้เพ่ือคนยากจนในชนบทและสนั บสนุนให้ล้มสถาบัน
พระมหากษตั ริย์ และเมอื่ ถงึ ต้นศตวรรษทย่ี ี่สิบเอ็ด การตอ่ สู้ของพรรคคอมมวิ นสิ ต์เหมาอิสต์ได้กลายเป็น
ภัยคกุ คามร้ายแรงต่อรฐั บาลและนาเนปาลเข้าสสู่ ภาวะสงครามกลางเมือง
ความขัดแย้งในราชวงศ์ก็ได้สร้างปัญหาซ้าเติมเข้าไปอีก น่ันคอื เมื่อวนั ที่ 1 มิถุนายน ค.ศ 2001
ได้เกิดเหตุการณ์สังหารหมู่พระราชวงศ์แห่งเนปาลขึ้นภายในพระราชวังในกรุงกาฐมาณฑุ เป็นผลให้
พระมหากษัตริย์พิเรนทรพีรพิกรมศาหเทวะและสมเด็จพระราชินีไอศวรรยาราชยลักษมีเทวีศาหะ
เสดจ็ สวรรคต พร้อมด้วยสมาชิกพระราชวงศ์อีก 7 พระองค์ โดยมกุฎราชกุมารดิเพนทรา พระมหากษัตริย์
พระองค์ใหม่คือ เจ้าชายชญาเนนทร พระอนุชาของพระมหากษัตริย์พิเรนทรา พระมหากษัตริย์
พระองค์ใหม่พยายามพยายามเข้าไปควบคุมรัฐบาลด้วยพระองค์เอง พระองค์ยุบสภา และเข้าไปมี
อานาจอิทธิพลในรัฐบาลด้วยพระองค์โดยตรงอย่างเต็มที่ และในช่วงระหว่าง ค.ศ. 2002-2005
พระองค์ทรงเลือกและปลดนายกรัฐมนตรีถึงสามคน พระองค์ตดั สินใจยึดอานาจในวันท่ี 1 กุมภาพันธ์
ค.ศ. 2005 สง่ ผลใหเ้ กดิ ความไม่พอใจจากพรรคการเมืองต่าง ๆ ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2006 พนั ธมิตร
พ ร ร ค ก า ร เ มื อ ง เ จ็ ดพ ร รค ร ว ม ทั้ งพ ร รค เ ห ม า อิ ส ต์ ไ ด้ ร่ว ม กั น ปร ะ ท้ ว ง ต่ อ ต้า น ก าร ปก ค ร อ ง ของ
พระมหากษัตริย์ชญาเนนทร ต่อมาในวันที่ 21 เมษายน มีผู้ประท้วง 23 คนเสียชีวิต หัวหน้าพรรค
การเมืองทั้งเจ็ดเรียกร้องให้พระองค์ตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญข้ึนมาเพ่ือกาหนดบทบาทในการเมืองของ
พระมหากษตั ริย์ หลงั จากทีน่ ายคิริชา ประสาท โกอริ าลาไดร้ ับการแต่งต้งั ให้เปน็ นายกรฐั มนตรีรัฐบาล
รักษาการ จึงได้มีหาข้อตกลงเกี่ยวกับสถานะจุดยืนของพระมหากษัตริย์ และในท่ีสุดในวันท่ี 10
มิถุนายน ค.ศ. 2006 รัฐสภาเนปาลได้ยกเลิกอานาจท่ีสาคัญๆของพระมหากษัตริย์ ในวันท่ี 28

115599

พฤษภาคม ค.ศ. 2008 สภาร่างรัฐธรรมนูญประกาศอย่างเป็นทางการว่าในรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขจะ
ไมม่ ีสถาบันพระมหากษัตรยิ อ์ กี ต่อไป และเนปาลจะเปลี่ยนไปเปน็ สาธารณรัฐ

การสร้างสนั ตภิ าพในประเทศเนปาล
พิษณุ สรรพโกตา (2557) ได้อธิบากระบวนการสันติภาพในเนปาลว่า ใน เดือนพฤศจิกายน
ค.ศ. 2006 ได้มีการลงนามในข้อตกลงสันติภาพ “ข้อตกลงสันติภาพท่ีครอบคลุมรอบด้าน
(Comprehensive Peace Agreement: CPA) อยา่ งไรก็ตามเนปาลยังไม่ได้บรรลขุ อ้ ตกลงสนั ติภาพท่ี
มีเสถียรภาพ แต่ก็มาถึงจุดที่ไม่เกิดเหตกุ ารณ์การฆ่ากัน แต่ก่อนที่กระบวนการสันติภาพจะเสร็จส้ินได้
มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญสาธารณรัฐ ซ่ึงสภาประชาชนที่มาจากการเลือกตั้งทาหน้าท่ี
เป็นสภาร่างรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐฉบับใหม่ ในปี ค.ศ. 2008 โดยในสภาร่างรัฐธรรมนูญประกอบ
ไปด้วยตัวแทนพรรคการเมืองต่าง ๆ อยู่ในวาระ สองปีแล้วก็ยังไม่สามารถยกร่างรัฐธรรมนูญได้
เน่ืองจากไม่มีพรรคการเมืองใดมีเสียงส่วนใหญ่ แม้ว่าขยายวาระสภาร่างรัฐธรรมนูญไปเป็นเวลา 4 ปี
แต่สภาดังกล่าวยังประสบกบั ความล้มเหลว จนทาใหเ้ กิดภาวะสุญญากาศทางการเมือง ไม่มรี ัฐสภาไม่มี
สภาร่าง และไม่มกี ารเลือกต้ัง จนผา่ นไปปคี ร่งึ จึงมีการเลือกตัง้ สภาร่างรฐั ธรรมนญู อีกคร้ังในปี ค.ศ. 2013
และอีกประการหนึ่งที่สาคัญคือ องค์การสหประชาชาติได้ดาเนินการ และติดตามตรวจสอบ
กลุ่มนักรบของกลุ่มลัทธิเหมา 31,000 คน โดยเร่ิมกระบวนการช่วยเหลือให้กลับคือสู่สังคมและได้รับ
การฟน้ื ฟูเยยี วยาและในทีส่ ุดสามารถดาเนินการกับนักรบทเี่ กษียณตนเองโดยสมัครใจจานวน 15,624
คน และอีก 1,422 คน เข้าร่วมเปน็ สว่ นหนงึ่ ของกองทัพแห่งชาติของประเทศเนปาล โดยมีการส่งมอบ
อาวธุ คืนใหร้ ัฐ และการรบั การชดเชยเยยี วยาเปน้ การตอบแทนและกลบั บ้าน

160 160

4.6 ความขัดแย้งและสนั ติภาพในประเทศศรลี ังกา

ประเทศศรีลังกา หรือชื่ออย่างเป็นทางการ ‘สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา’
เป็นประเทศที่มีลักษณะเป็นเกาะกลางทะเล ต้ังอยู่ในมหาสมุทรอินเดียโดยในทางภูมิรัฐศาสตร์จัดอยู่
ในกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียใต้ มีพรมแดนติดกับอินเดียทางตะวันตกเฉียงเหนือและมัลดีฟส์ทาง
ตะวันตกเฉียงใต้ ศรลี งั กามปี ระชากรทั้งหมดประมาณ 22 ลา้ นคน สว่ นใหญก่ วา่ 70.1% เป็นชาวสิงหล
ที่นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท รองลงมา 12.6% คือชาวทมิฬนับถือศาสนาฮินดู ชาวมุสลิม 9.4%

และคริสเตียน 7.4% (The Standard, 2019) ศรลี งั กาเผชิญกับสงครามกลางเมืองมาตลอด 30 ปี นับ

แต่ปี ค.ศ.1986 จนถงึ ปี ค.ศ. 2009 สาเหตุของความรุนแรงมาจากความขดั แย้งทางชาติพนั ธุ์ ระหวา่ ง
ชาวสิงหลกับชาวทมิฬ นับเป็นเวลาเกือบ 10 ปีหลังจากเหตุความรุนแรงได้ยุติลงในปี ค.ศ. 2009
อยา่ งไรก็ตามกย็ งั เกิดเหตุจลาจลต่อชาวมุสลิมในปี ค.ศ. 2018 และเหตุก่อการร้ายในปี ค.ศ. 2019 ใน
ประเทศศรีลังกา Friedrich-Naumann-Stiftung (2021) ได้สรุป สถานการณ์ความขัดแย้งและ
กระบวนสันติภาพในประเทศศรลี งั กา ดงั ต่อไปนี้

1) สถานการณ์ความขัดแยง้
ความขดั แย้งในประเทศศรีลังกา เปน็ ความขดั แย้งเรื่องการเมือง อานาจทางการเมือง อตั ลักษณ์
ของประเทศศรีลังกา ความแตกต่างระหว่างกลุ่มชนต่างๆ แม้ว่าชาวสิงหลเป็นคนส่วนมากในประเทศ
ศรีลังกา แต่ในบริบทภูมิภาคเอเชียใต้จะพบว่าชาวทมิฬเป็นกลุ่มท่ีมีจานวนมากกว่าและยังมีอิทธิพล
ต่อรัฐบาลอินเดีย หากมองมิติประวัติศาสตร์ท่ียาวไกลชาวเช้ือสายอินเดียเข้ามาในประเทศศรีลังกา
ตั้งแต่แรกเริ่ม และมีความสาคัญในประเทศศรีลังกามาโดยตลอด ขณะท่ีชาวสิงหลท่ีเป็นคนกลุ่มใหญ่
ในประเทศศรีลังกาแต่เป็นคนกลุ่มน้อยในทวีปเอเชียใต้ เกิดความกลัวท่ีจะกลายสภาพจากคนกลุ่ม
ใหญ่เป็นคนกลุ่มนอ้ ย ความกลัวนี้เองเป็นแรงผลักทน่ี าไปสู่ความขดั แย้ง
ความขัดแย้งเร่ืองอัตลักษณ์ในศรีลังกาเร่ิมต้ังแต่ปี ค.ศ. 1931 เมื่อเจ้าอาณานิคมอังกฤษ
รับรองสิทธิการเลือกตั้งแบบ 1 คน 1 สิทธิ 1 เสียง (Universal suffrage) ให้กับศรีลังกาเป็นท่ีแรก
นามาสู่ความคิดและโครงสร้างการเมืองและโครงสร้างผู้แทนว่าควรเป็นไปตามภูมิศาสตร์ หรือควร
เปน็ ไปตามกลุ่มชาติพันธุ์ นอกจากนใ้ี นช่วงปลายทศวรรษที่ 1930 ศรลี ังกาเริ่มมีการเคล่ือนไหวให้เกิด
การปกครองตนเอง (self-government) ในปี ค.ศ. 1948 ประเทศศรีลังกาได้รับอิสรภาพจากการ
ปกครองอาณานคิ มอังกฤษ กลมุ่ ชนช้ันนาในศรลี ังกาเร่ิมกระบวนการร่างรฐั ธรรมนญู โดยให้ผู้มสี ว่ นได้
ส่วนเสียมีส่วนรว่ ม ภายใต้การกากับดูแลของอังกฤษ จากนั้นเมื่อเริ่มออกแบบระบบรฐั สภา ทาให้เกิด
ความขัดแย้งในการจัดสรรจานวนผู้แทนว่าควรเป็นแบบใด ความไม่ลงรอยน้ี นาไปสู่การร่าง
รัฐธรรมนูญใหม่ท่ีมีหลักการสาคัญคือ รัฐธรรมนูญต้องไม่ให้ประโยชน์กับกลุ่มใดกลุ่มหน่ึง หรือเลือก
ปฏิบัตติ อ่ กล่มุ อนื่ ๆ ซง่ึ นบั เปน็ ฉันทามตใิ นการตรารฐั ธรรมนูญ

116611

ภาพท่ี 4-6 แผนท่ีประเทศศรีลงั กา

ทมี่ า : https://intsharing.co/democratic-socialist-republic-of-sri-lanka

ประเดน็ ผู้ไร้สญั ชาตเิ ป็นอีกประเดน็ ท่ีเปน็ สาเหตุของความขัดแยง้ ในตอนเหนือของศรลี ังกามี
ชาวทมิฬอินเดียอาศัยและทางานในภาคการเกษตรมากว่า 200 ปี แต่พวกเขาไม่ได้รับการรับรอง
สัญชาติ ซึ่งผู้ที่กีดกันการรับรองสัญชาติ คือ ชาวทมิฬศรีลังกา ทาให้เห็นว่านอกจากความขัดแย้งทาง
ชาติพันธุ์ระหว่างชาวทมิฬกับชาวสิงหล ยังมีความขัดแย้งระหว่างชาวทมิฬศรีลังกากับชาวทมิฬใน
ชนบทดว้ ย อยา่ งไรก็ตามชาวทมิฬในตอนเหนือได้รับการรับรองสัญชาตจิ ากการตรากฎหมายพลเมือง
(Citizenship Act) ในปี ค.ศ. 1986-2003

162 162

ต่อมาในช่วงกลางทศวรรษที่ 1950 รัฐบาลจากการเลือกตั้งได้ประกาศให้ภาษาสิงหลเป็น
ภาษาราชการ แต่เกิดการชุมนุมต่อต้านเพราะประกาศน้ีให้ประโยชน์กับชาวสิงหล ขณะเดียวกันก็
กลืนภาษาทมิฬไปประเด็นเหลา่ นเี้ ปน็ สาเหตุความขัดแย้งในประเทศศรลี ังกา ท่ีคนกลุ่มหนึง่ (สงิ หล) มี
ความรูส้ ึกว่าพวกเขาต้องปกป้องอัตลักษณ์ของพวกเขา ขณะทีอ่ ีกกลุ่ม (ทมฬิ ) รู้สกึ วา่ พวกเขาถูกเบียด
ขบั ออกจากส่วนกลางโดยไมร่ ับฟังเสียงของพวกเขา ขอ้ กังวลของเขาไม่ไดร้ บั การแก้ไขนามาสู่ประเด็น
ถกเถียงว่าศรีลังกาควรปกครองแบบรัฐเด่ียว (unitary state) หรือสหพันธรัฐ (federal state) แต่
สุดท้ายแนวคิดการปกครองแบบสหพันธรัฐก็ตกไป แต่ได้มีการกระจายอานาจการปกครอง แต่ก็เป็น
การกระจายอานาจที่ไม่เท่าเทียมกันระหว่างกลุ่มต่าง ๆ กลายเป็นสาเหตุที่สาคัญนาไปสคู่ วามขัดแย้ง
ในปี ค.ศ.1970 มีเหตุการณ์สาคัญเกิดขึ้นได้แก่ การตรารัฐธรรมนูญ 2 ฉบับ ฉบับหน่ึงมีแนวทาง
สนับสนุนทุนนยิ ม ขณะที่อีกฉบับมีแนวทางสนับสนุนสงั คมนิยม แต่ส่ิงที่เกิดข้ึนในการตรารัฐธรรมนญู
คือมีการให้สิทธิพิเศษกับภาษาสงิ หลกับศาสนาพุทธ นอกจากน้ีรัฐบาลกลางยังรวมอานาจสู่ศูนย์กลาง
(Centralization) ทาให้ชาวทมิฬย่ิงรู้สึกว่าถูกชาวสิงหลรังแก ขณะนั้นเยาวชนชาวทมิฬก็เห็นว่าการ
เจรจาไม่เป็นผล เพราะสุดท้ายเสียงส่วนมากก็ชนะอยู่เสมอในรัฐสภานาไปสู่การรวมตัวและเริ่มใช้
กาลัง ความขัดแย้งซับซ้อนขึ้นเมื่อรัฐบาลอินเดียเข้ามามีส่วนในการเจรจาระหว่างชาวทมิฬและชาว
สิงหล ในปี ค.ศ. 1980 เกิดสงครามกลางเมอื งในศรลี ังกาอย่างเตม็ รปู แบบ

แม้วา่ รัฐบาลอนิ เดียเข้ามาชว่ ยเจรจา แตก่ ลมุ่ เยาวชนทมิฬไม่ยอมรับการเจรจา ในปี ค.ศ.1989
สงครามกลางเมืองรุนแรงข้ึนในพ้ืนที่ตอนเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ สงครามกลางเมืองท่ีเกิดข้ึน
ในระยะเวลา 30 ปี นามาสู่ผลกระทบมหาศาล แมว้ า่ สงครามกลางเมืองจะจบลง จากการท่ีกองทัพใช้
กาลังเข้าปราบปรามกองกาลังในปี ค.ศ. 2009 แต่ความขัดแย้งไม่ได้จบลงด้วย กลับเป็นการเคลื่อน
จากระยะหน่ึงไปสู่อีกระยะหน่ึง แม้ว่าผู้คนจะเร่ิมกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกตหิ ลงั จากสงครามกลางเมอื ง
สน้ิ สดุ แตค่ วามเปน็ อยขู่ องชาวศรีลงั การกย็ งั ไมป่ กติสขุ

สรุปสาเหตุและพลวัตความขัดแย้ง ดังน้ี 1) การกระจายอานาจที่ไม่เท่าเทียม และโครงสร้าง
การถือครองอานาจทางการเมือง และการถือครองทรัพยากร ที่เอื้อประโยชน์ให้กับคนบางกลุ่ม
2) การแทรกแซงโดยการใช้ความรุนแรงจากกองทัพ 3) เมื่อขาดกลไกและหน่วยงานรับผิดชอบการ
สมานฉันท์ ทาใหบ้ อกได้ยากวา่ ใครเปน็ ผรู้ ับผิดชอบต่อความรุนแรงที่เกิดขน้ึ 4) ประเด็นการชว่ ยเหลือ
ด้านมนุษยธรรม และ 5) การใช้ประทษุ วาจาและการโจมตชี าวมสุ ลมิ และชาวทมิฬในตอนเหนอื

2) การสร้างสนั ติภาพและสมานฉันทใ์ นศรีลังกา
ในช่วงหลังสงครามกลางเมือง แนวคิดชาตินิยมของศรีลังการะลอกใหม่น้ีก็ยังเป็นอุปสรรคใน
การทาความเข้าใจและยอมรับความหลากหลายของสังคม พร้อมทั้งมีความพยายามท่ีจะสร้างคุณค่า
และสร้าง “ชาติ” ท่ีเป็นหนึ่งเดียวกัน แม้ว่าตอนนี้ไม่ได้มีเหตุการใช้ความรุนแรงในประเทศศรีลังกาก็

116633

ตาม แต่ศรีลังกาจาเป็นที่จะต้องเรียนรอู้ ีกมากเพื่อสร้างสันติภาพเชิงบวก (positive peace) เพื่อการ
ยอมรบั วัฒนธรรมท่ีหลากหลาย และสรา้ งความเป็นหนงึ่ เดยี วอย่างย่ังยืนในตอนนี้ (ค.ศ.2021) ถกู มอง
ว่าเป็นกิจการของฝ่ายรัฐเพียงฝ่ายเดียว เพราะกระบวนการไม่ครอบคลุมผู้คน-ชุมชนที่เก่ียวข้องใน
ความขัดแย้ง โดยเฉพาะกลุ่มคนทางตอนเหนือ การสมานฉันท์จากรัฐบาลปิดก้ันโอกาสในการเรียนรู้
ประสบการณ์ในอดีตที่หลากหลาย และขาดกระบวนการเรียนร้รู ่วมกัน ทีจ่ ะนาไปสู่ความเข้าอกเข้าใจ
ระหว่างผู้คน นอกจากน้ีในระหว่างการระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 ทาให้ความขัดแย้งระหว่าง
ศาสนาตงึ เครยี ดยิ่งขึน้ เพราะรัฐบาลออกข้อกาหนดใหต้ ้องเผาศพผู้ทีเ่ สยี ชวี ติ

หน่วยงานภาคประชาสังคมได้เริ่มจัดทาฐานข้อมูลเพ่ือเป็นส่วนหน่ึงในการสร้างความทรงจา
ร่วม และภาครัฐได้ต้ังกลไกมาประสานงานด้านการสมานฉันท์ เพ่ือรับมือกับปัญหาการแบ่งแยกและ
เลือกปฏิบัติ แต่ในปี 2019 พบว่าองค์กรเหล่าน้ันได้ถูกยุบไป ตอนน้ีจึงเป็นความท้าทายในการสร้าง
ความสมานฉันท์ เพราะยากท่ีจะบอกวา่ หนว่ ยงานใดเป็นผรู้ ับผิดชอบในการสมานฉันท์ หนึ่งในวิธีที่ใช้
กระบวนการสมานฉันท์ คือ กระบวนการเล่าเรื่อง (storytelling) ในฐานะเป็นพ้ืนที่ท่ีเหยื่อหรือผู้ก่อ
ความรุนแรงได้เปล่งเสียงออกมา กระบวนการเล่าเร่ืองเป็นเครื่องมือในการรับฟัง สร้างความเข้าใจ
และเยียวยาชุมชน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2015 “เรามีเสียงและเราต้องการถูกรับฟัง” เป็นคาท่ีสร้างแรง
บันดาลใจให้ Sarah ในการเขยี นหนงั สือ Voices of Peace หนงั สือ Voices of Peace เปน็ เคร่อื งมือ
ที่ส่งเสียงมุ่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับนโยบาย และสนับสนุนกระบวนการสันติภาพ หนังสือบอก
เล่าเร่ืองราวจากการสัมภาษณ์ทหาร 10 คน และอดีตพยัคฆทมิฬ 10 คน หนังสือเล่มน้ีคืนความเป็น
มนษุ ย์ใหผ้ ้ทู ี่อยู่ในความขดั แย้งหลายๆ ครั้งเรามกั ตดั สนิ กนั อยา่ งผวิ เผนิ แตก่ ารได้ยนิ เร่ืองราวของพวก
เขาผ่านเร่ืองเล่าพวกเขาแบ่งปันเร่ืองส่วนตัว สาเหตุท่ีเข้ามา และความหวังต่ออนาคตเป็นการสร้าง
ความเข้าอกเข้าใจมากกว่าที่จะแบ่งเขาแบ่งเรา และถามกลับกับตัวเองว่าหากเราอยู่ในสถานการณ์
เชน่ น้ัน เราจะทาอย่างไร

ณัชชารีย์ เลิศสินฐิติกุล (2558) ได้ต้ังข้อสังเกตว่า แม้ว่าศรีลังกาจะได้ประธานาธิบดีคนใหม่
คือนายรณสิงเห เปรมาดาไปแล้วก็ตาม แต่นายเปรมาดา ก็มีภาระหนักในอันที่จะต้องแก้ไข
สถานการณ์เฉพาะหน้า 2 ประการ ประการแรกคือหาทางเจรจาให้อินเดียถอน ทหารจานวนประมาณ
70,000 คนออกไปจากศรีลังกา เพ่ือทาให้การก่อการร้ายและต่อต้านรัฐบาลลดลงงาน สาคัญเร่งด่วน
อีกประการหน่ึงก็คือการแก้ไขเศรษฐกิจของประเทศที่กาลังเข้าขั้นวิกฤต เนื่องจากอัตราทาง เศรษฐกิจ
ลดลง ร้อยละ 6 เม่ือปี ค.ศ. 1987 เหลือเพียงร้อยละ 1.5 ใน ค.ศ. 1988 ขณะที่อัตราเงินเฟูอสูงขึ้น
ประมาณร้อยละ 20 ธุรกิจการท่องเท่ียวตกต่าลงถึงขีดสุด และการลงทุนจากต่างประเทสก็ลดลงจน
แทบจะไม่มีเลย ส่วนปัญหาความขัดแย้งระหว่างชาวทมิฬและสิงหลก็ยังคงเป็นปัญหาเร้ือรังท่ีจะต้อง
หาทางแกไ้ ขต่อไป งาน ดงั กลา่ วจงึ เป็นงานทา้ ทายของนายเปรมาดาสาอยา่ งมาก

164 164

นอร์เบิร์ต โรเปอร์ส (2557) ผู้ท่ีมีประสบการณ์การทางานด้านสันติภาพในศรีลังกา ช่วงปี
ค.ศ.2002-2008 ได้บทเรียนจากกระบวนสนั ติภาพในศรีลงั กา 10 ประการ ดงั ตอ่ ไปน้ี

บทเรียนประการแรก เป็น “เร่ืองของภาษา”วิธีท่ีผู้คนได้พูดคุยกัน เก่ียวกับความขัดแย้งที่มี
อิทธิพลเหนือสิ่งท่ีพวกเขาคิด หากพูดถึงเร่ืองความขัดแย้งเฉพาะจากมุมมองในด้านความมั่นคงและ
การทหาร เม่ือมีเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดข้ึนก็จะนาไปสู่การเพ่ิมมาตรการด้านความม่ันคง อย่างมี
ความชอบธรรม แต่ประสบการณ์จากพ้ืนท่ีความขัดแย้งต่าง ๆ จะมีมิติต่างในการอธิบาย และการ
จัดการแก้ปญั หา แทนที่ติดอยู่กบั ภาษาของความมั่นคงอย่างเดียว จงึ ควรระมดั ระวงั ในการใช้ภาษาใน
การสอื่ สาร

บทเรียนประการท่ีสอง มีความจาเป็นท่ีต้องตระหนักรู้ถึงรากเหง้าของความขัดแย้ง ปัญหา
แกนกลางของความขดั แย้งในพืน้ ที่แห่งนี้ว่าเป็นปญั หาเรอ่ื ง อะไร

บทเรียนประการท่ีสาม ความขัดแย้งไม่สามารถที่จะคล่ีคลายปัญหาได้โดยฝ่ายใดฝ่ายหน่ึง
เท่านั้นผูส้ ร้างสนั ติภาพกต็ ้องมาจากหลายฝ่ายและมแี นวทางทห่ี ลากหลาย

บทเรียนประการที่สี่ การสร้างกระบวนการสันติภาพโดยไม่ต้องรอให้เกิดปัญหาสุกงอมก่อน
เราสามารถท่ีจะบ่มเพาะความสุกงอมของสถานการณ์ได้โดยไม่จาเป็นต้องรอมัน ไม่จาเป็นต้องรอ
จนกระทง่ั ผู้คนกาลงั จะตายมากขึ้น หรือจนกระทงั่ ความรุนแรงเพิ่มข้นึ

บทเรยี นประการท่ีหา้ กระบวนการสรา้ งสันติภาพสามารถเร่ิมตน้ จากอีกฝา่ ยหนงึ่ ได้เลย นอร์
เบอรต์ เรยี กวา่ “อานาจของการริเริ่มกระทาการฝา่ ยเดยี ว”การริเร่ิมกระทาการบางอย่างจะต้องมาจาก
อีกฝ่ายหน่ึงได้แม้ว่าจะแก้ปัญหาไม่ได้เลย แต่เป็นกระบวนการท่ีได้มีการริเร่ิม ดึงให้อีกฝ่ายเข้ามาร่วม
กระบวนการได้ในอนาคต

บทเรียนประการที่หก ต้องผนวกรวมเอาผู้ที่ยงั ระแวงสงสัยภายในแต่ละฝ่ายให้มีสว่ นรว่ มต่อ
การสร้างความพยายามเพ่ือสันตภิ าพจากทัง้ สองฝา่ ย

บทเรียนประการที่เจ็ด ต้องมีรูปแบบการทางานท่ีเพื่อนาไปสู่สันติภาพเชิงลบ (Negative Peace)
และสันติภาพเชิงบวก (Positive Peace) ควบคู่กันไป และหลังจากท่ีเราได้บรรลุสันติภาพในเชิงลบแล้ว
ตอ่ มาเราก็จะสามารถก้าวต่อไปข้างหน้าไดโ้ ดยการสร้างสันติภาพทย่ี ่ังยนื ซึ่งเปน็ สนั ติภาพในเชิงบวก

บทเรียนประการท่ีแปด การทากระบวนการสันติภาพไม่ต้องประสบกับความล้มเหลวโดย
การทาใหม้ กี ารสนับสนนุ จากสาธารณะทุกฝา่ ยที่เพยี งพอ

บทเรียนประการทเ่ี ก้า การใช้ “อานาจแบบอ่อน (soft power)” ของคนนอกอย่างชาญฉลาด
บทเรียนประการท่ีสิบ การมองเห็นความจาเป็นของการเช่ือมโยงทุกฝ่ายและผู้มีส่วนได้ส่วน
เสียเข้าไว้ด้วยกันภายในส่ิงที่เรียกว่า “พื้นท่ีกลาง (common space)”อันเป็นพื้นท่ีซ่ึงสร้างความ
เป็นไปได้ในการเปล่ียนผ่านจากความขัดแย้งในแบบท่ีต้องมีผู้แพ้-ชนะ มาสู่การสร้างความพยายาม
ร่วมกนั ท่ีจะแก้ปญั หา

116655

4.7 ความขดั แย้งและสนั ตภิ าพในเมยี นมาร์

ประเทศพม่าหรือเมียนมาร์ ท่ีต้ัง ทิศเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือติดกับจีน ทิศตะวันออก
เฉยี งใตต้ ิดกบั ลาว และไทย ทศิ ตะวันตกตดิ กับอนิ เดยี และบังกลาเทศ ทิศใตต้ ิดกบั ทะเลอันดามันและ
อ่าวเบงกอล เมืองหลวงช่ือ เนปิดอว์ (Nay Pyi Taw) มีประชากร 58.38 ล้านคน (2552) นับถือ
ศาสนาพุทธ ร้อยละ 89 ศาสนาครสิ ต์ รอ้ ยละ 5 ศาสนาอสิ ลาม ร้อยละ 4 อื่น ๆ (ร้อยละ 2) (กระทรวง
ต่างประเทศ, 2555) พม่ามีกลุ่มชาติพันธ์ุราว 135 กลุ่ม แต่ถูกแบ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หลัก 8 กลุ่ม
ได้แก่ชาวพุทธบะหม่า ซ่ึงมีจานวน 2 ใน 3 ของประชากรในเมียนมา ส่วนกลุ่มอ่ืน ๆ ได้แก่ คะฉ่ิน, ไท
ใหญ่, ชิน, ยะไข,่ คะยา, กะเหรี่ยง และมอญ (บีบซี ไี ทย, 2021)

1) สถานการณค์ วามขดั แยง้ ในพมา่

หลังจากท่ีพม่าได้รับเอกราชจากสหราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2491 ภาย
ประเทศเกิดการแบ่งฝ่ายออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ กลุ่มคอมมิวนิสต์นาโดยพรรคคอมมิวนิสต์
พม่า (CPB) และกลุ่มชาตินิยมกะเหรี่ยงซึ่งนาโดยสหภาพแห่งชาติกะเหร่ียง (KNU) ซ่ึงในอดีตท้ัง 2
กลุ่มเคยร่วมกนั ต่อสู้กบั อังกฤษ กบั กองทัพจักรวรรดิญีป่ ุ่นมาแล้ว หลังประกาศเอกราช KNU ตอ้ งการ
แยกตวั เป็นรฐั เอกราชท่ีปกครองโดยชาวกะเหร่ียง แต่ยังปจั จุบนั ยังคงอยู่สถานะเปน็ รฐั ปกครองตนเอง
อยู่ภายใต้ระบบของรฐั บาลกลาง

ในปี ค.ศ. 1962 คณะนายทหารพม่า (Myanmar Armed Forces) นาโดยนายพลเนวิน ทา
การรัฐประหารโค่นล้มรฐั บาลระบอบรัฐสภาและจัดตั้งรัฐบาลทหารขึ้นมาแทน และมีข้อกล่าวหาเรือ่ ง
การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง มีการจับกุมชนกลุ่มน้อยควบคุมตัวโดยไม่มีการพิจารณาคดี ทา
ให้ชนกลุ่มน้อยกลุ่มอ่ืน ๆ เริ่มก่อตัวขึ้นเป็นกลุ่มกบฏที่ใหญ่ขึ้นเช่นกองทัพเอกราชคะฉ่ินเพื่อต่อต้าน
รัฐบาล และต้องการนาระบอบสหพันธรัฐมาใช้ ในปี ค.ศ. 1967 ได้มีการแพร่กระจายอุดมการณ์การ
ปฏิวัติทางวัฒนธรรมของประเทศจีน ทาให้เกิดการจลาจลระหว่าง กลุ่มคนพม่ากับชุมชนชาวจีนใน
กรุงย่างกุ้งและเมืองอื่น ๆ ทาให้มีผู้เสียชีวิต 31 ราย และทาให้จีนเริ่มให้การสนับสนุนพรรค
คอมมิวนิสต์พม่าอย่างเปิดเผย ในปี พ.ศ. 2515 นายพลเนวิน ได้ก่อรัฐประหารอีกครั้งหนึ่ง และได้
จัดการเจรจาสันติภาพกับฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล แต่ก็ล้มเหลวถึง 2 คร้ัง พรรคสังคมนิยมพม่า (BSPP)
กอ่ ต้งั ขึน้ ในปี พ.ศ. 2517 และนายพลเนวิน จดั ตั้งรัฐบาลเพ่ือปกครองประเทศภายใต้ระบบพรรคเดียว
ท้งั สน้ิ 26 ปี ประเทศพมา่ จึงถูกโดดเดีย่ วและเปน็ หนง่ึ ในประเทศท่ีพฒั นาน้อยทสี่ ดุ ในโลก

166

166

ภาพที่ 4-7 แผนท่ีประเทศสาธารณรฐั แหง่ สหภาพเมียนมาร์

จาก: https://www.v-servelogistics.com/media/vserve2017/clmm_myanmar.php

ในวันท่ี 12 มีนาคม พ.ศ. 2531 นักศึกษาได้เริ่มเดินขบวนประท้วงในย่างกุ้ง เพ่ือต่อต้านการ
ปกครองแบบเผด็จการของนายพลเนวินและพรรคสังคมนิยมพม่า (BSPP) การประท้วงลุกลามไปทั่ว
ประเทศอย่างรวดเร็วและในที่สุดรัฐบาล BSPP ก็ถูกปฏิวัติรัฐประหารโดยกองทัพเมื่อวันท่ี 18
กันยายน พ.ศ. 2531 จากน้ันกองทัพได้จัดต้ังสภาฟื้นฟูกฎหมายและระเบียบแห่งรัฐ (SLORC) และ
ปราบปรามผู้ประท้วงอย่างรนุ แรงโดยยุติการประทว้ งท้ังหมดภายในวนั ท่ี 21 กันยายน พ.ศ. 2531 ซง่ึ

116677

ทาให้ผู้เสียชีวิตเป็นจานวนมาก ในช่วงน้ีเอง อองซานซูจี ก็ร่วมเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลพม่า ซ่ึงเป็น
สัญลักษณ์ของการเคล่ือนไหวเพื่อประชาธิปไตยของเมียนมาร์ และได้เป็นผู้นาพรรคฝ่ายค้านที่ใหญ่
ที่สุดของประเทศคือพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพ่ือประชาธิปไตย (NLD) รัฐบาลทหารจัดให้มีการ
เลือกต้ังทั่วไปในปี พ.ศ. 2533 ซึ่งพรรค NLD ได้คะแนนเสียงข้างมาก แต่คณะรัฐบาลทหารปฏิเสธท่ี
จะรบั ร้ผู ลและไดส้ งั่ ใหอ้ องซานซจู ีกักบริเวณแทน

หลังจากผลการเลือกต้ังในปี พ.ศ. 2533 เป็นโมฆะ รัฐบาลทหารได้รวบอานาจการปกครอง
แทนทีด่ ้วยสภาสันติภาพและการพัฒนาแห่งรฐั (SPDC) ซง่ึ ประกอบด้วยนายทหารระดับสูงสิบเอ็ดคน
ในปี พ.ศ. 2549 กองทัพพม่าได้เปิดฉากการรุกทางทหารคร้ังใหญ่ต่อกองกาลังติดอาวุธของ KNU คือ
กองทัพปลดปล่อยแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNLA) การปะทะกันดังกล่าวส่งผลให้พลเรือนหลายแสนคนใน
รัฐเคย์อินต้องพลัดถิ่น ในปี ค.ศ.2007 พระสงฆ์จานวนมากออกมาประท้วงต่อต้านการปกครองของ
รัฐบาลทหารและเรยี กร้องใหม้ ีการเลือกตง้ั เสรีแลเรยี กร้องสิทธขิ องชนกล่มุ น้อย

รัฐบาลประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในปี พ.ศ. 2554 และได้มีการปล่อยตัวนักโทษ
การเมอื งหลายพันคน รวมท้งั อองซานซูจี ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2557 พรรค NLD พยายามแก้ไข
รัฐธรรมนูญเพ่ือทา ให้ อองซ านซู จีมีสิทธิ์ เป็น ปร ะธ านา ธิบดี เ มียน มา ร์ หา กพรร คของเธ อช น ะก า ร
เลือกตั้ง แต่ก็ทาไม่ได้ หลังจากสิ้นสุดการปฏิรูปทางการเมืองในปี พ.ศ. 2558 พรรค NLD ของ ออง
ซานซูจีชนะการเลือกตั้งและจัดต้ังรัฐบาล มีนาย ถ่ินจอ เป็นประธานาธิบดีและ อองซานซูจี เป็นที่
ปรึกษาแหง่ รฐั รฐั มนตรีกระทรวงต่างประเทศ และรัฐมนตรีสานักงานประธานาธิบดี (sawadee.wiki,
2022)

2) กระบวนการสนั ตภิ าพในพมา่

ประเด็นท่ีสาคัญในการแก้ปัญหาความขัดแย้งในประเทศพม่า ได้แก่ ความขัดแย้งทาง
การเมือง ความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ และการแก้ปัญหาโรฮิงญา (ธงพล พรหมสาขา ณ สกลนคร,
2561) ไดส้ รปุ ใน 3 ประเดน็ ดังกล่าวดงั ต่อไปนี้

การแก้ปัญหาทางการเมืองของพม่า โดยเรม่ิ ต้นอย่างเป็นทางการเม่ือปี พ.ศ. 2553 ทพ่ี ม่าจัด
ใหม้ ีการเลือกตั้งทั่วไปเปน็ ครั้งแรกในรอบ 20 ปี ผลการเลอื กตั้ง พรรคสามคั คีและการพฒั นาได้รับชัย
ชนะ ทาให้นายพลเต็ง เส่ง หัวหน้าพรรคได้เป็นประธานาธบิ ดี ซึ่งมีพลเรือนเข้าไปร่วมรัฐบาลด้วย แต่
ทหารยังคงมีอานาจและอิทธิพลอยู่เช่นเดิม รัฐบาลของ นายพลเต็ง เส่ง ได้มีการปฏิรูปการเมืองและ
เศรษฐกิจ สร้างความสมานฉันท์กับกลุม่ ท่ีสนับสนุนประชาธิปไตย ได้ออกกฎหมายส่งเสริมให้ตา่ งชาติ
เข้ามาลงทุนในประเทศ การปล่อยตัวนักโทษทางการเมือง รวมถึง อองซานซูจีด้วย จนกระทั้งมีการ
เลอื กตั้งทว่ั ไปในวันท่ี 8 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2558

168 168

การแกป้ ัญหาความขัดแยง้ ทางชาติพนั ธุ์กับชนกลุ่มน้อยในประเทศพม่า รัฐบาลพม่าชดุ ต่าง ๆ
ได้มีการเจรจาหยุดยิงทั่วประเทศระหว่างรัฐบาลพม่ากับกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยหลายครั้ง
ตัวอยา่ งในปี พ.ศ. 2558 ประธานาธิบดเี ตง็ เส่ง ได้ลงนามขอ้ ตกลงหยุดยิงกับกองกาลังชนกลุ่มน้อย 8
กลุ่มท่ีเนปิดอร์ แต่การสู้รบระหว่างทหารพม่ากับกองกาลังชนกลุ่มน้อยยังมีอยู่เช่น การสู้รบกับกอง
กาลังกะเหรี่ยงพุทธท่ี เมืองเมียวดี และเมืองพญาตองซู ในปี พ.ศ. 2559 กองกาลังทหารพม่าสู้รบกับ
กองกาลังไทใหญ่ในพ้ืนท่ีรัฐฉานเหนือ และในยุคของรัฐบาลที่มี อองซานซูจีเป็นแกนนาก็ได้มีการเจรจา
สนั ตภิ าพกบั กลุม่ ติดอาวุธชนกลุม่ นอ้ ยตา่ ง ๆ 17 กลุ่ม โดยมขี อ้ เสนอที่จะนาไปสู่การปกครองพม่าแบบ
สหพันธรัฐ แต่ชนกลุ่มน้อยเองก็ไม่ไว้วางใจกองทัพพม่า และในขณะเดียวกันชนกลุ่มน้อยเองก็ยังไม่
เป็นเอกภาพ ชนกลุ่มน้อย 4 กลุ่มได้ถอนตัวออกจากการประชุมในครั้งน้ีไป กระบวนการสันติภาพใน
พม่าก็อยู่ในลกั ษณะ การเจรจาสนั ตภิ าพไปพร้อม ๆ กบั การสู้รบกันดว้ ยอาวุธเป็นระยะ ๆ ซงึ่ มีชนกลุ่ม
น้อยบางกลุม่ ทม่ี ขี อ้ ตกลงหยดุ ยงิ กับทหารพม่า และบางกลมุ่ กย็ งั มีการต่อสกู้ บั ทหารพม่าตอ่ ไป

การแก้ปัญหาโรฮิงญา ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2559 สานักงานของ นางอองซาซูจี ได้จัดต้ัง
คณะที่ปรึกษาเพื่อยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชนในรัฐยะไข่ ซ่ึงเป็นพ้ืนที่ความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง
ระหว่างชาวพุทธและชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมโรฮิงยา โดยมีนายโคฟี อันนัน อดีตเลขาธิการองค์การ
สหประชาชาติเป็นประธานคณะกรรมการท่ีปรึกษา แต่กลุ่มชาวพุทธหัวรุนแรงในรัฐยะไข่และในพม่า
ต่อต้าน ไม่เห็นด้วยกับการให้ต่างชาติแทรกแซงกิจการภายในของพม่า และทาให้มีการละเมิดสิทธิ
มนุษยชนต่อชาวชาวโรฮิงญาอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง อองซานซูจี ก็เล่ียงการจัดการปัญหาโรฮิงญา
เพอื่ ลดความไม่พอใจจากกลุ่มชาวพทุ ธ ซงึ่ อาจจะมีผลตอ่ คะแนนนิยมทางการเมืองในอนาคต ถึงแมว้ ่า
พมา่ จะถูกกดดนั จากนานาชาติก็ไม่ทาใหส้ ถานการณ์ปญั หาโรฮิงญาดีข้นึ จนมาถึงปัจจบุ นั

3) ความขดั แย้งทางการเมืองพม่ากลับมาอกี ครั้ง

บีบีซีไทย (2021) รายงานว่าวันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2021 กองทัพเมียนมาร์นากาลัง
เขา้ ควบคุมตวั ออง ซาน ซู จี ที่ปรึกษาแห่งรัฐ (State Counsellor) และผู้นาพรรคสนั นบิ าตแห่งชาติ
เพ่ือประชาธิปไตย (National League for Democracy - NLD) ประธานาธิบดี วิน มยิ้น และผู้นา
ระดับสูงในพรรค NLD อีกหลายคน และกองทัพเมียนมาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยอ้างว่าเพ่ือ
จัดการกบั ปัญหาการเลือกตง้ั ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2020 ซง่ึ NLD คว้าชัยกวาดทนี่ ่งั ไปได้กว่าร้อย
ละ 71 ของท่ีน่ังท้ังหมด และเม่ือกองทัพกลับเข้ามาควบคุมการเมืองได้อย่างเด็ดขาดอีกครั้ง จึงเกิด
การต่อต้านรัฐประหารข้ึนทันที ประชาชนพร้อมใจกันตีหม้อไหในบ้านของตนเองเพ่ือประกาศขับไล่
ความช่วั รา้ ย บคุ ลากรทางการแพทย์ ครอู าจารย์ ขา้ ราชการ และคนในอกี หลากหลายอาชีพ พร้อมใจ
กันนัดหยุดงานประท้วง ประชาชนจานวนมากออกมารวมตัวกันเพื่อแสดงพลงั ต่อต้านรัฐประหาร แต่
กองทัพเลือกตอบโต้ประชาชนที่ออกมาเดินขบวนประท้วงอย่างสงบด้วยความรุนแรง มีประชาชน

116699

เสียชีวิตจากการปราบปรามของกองทัพไปแล้ว 1,490 คน มีผู้ถูกจับกุมไปแล้ว 8,762 คน และมีผู้ถูก
ศาลพพิ ากษาให้ประหารชวี ติ 43 คน (สถิติวนั ท่ี 24 มกราคม 2022)

การปราบปรามฝ่ายต่อต้านอย่างหนัก ไม่เว้นแม้แต่เด็กและเยาวชน ผลักดันให้กลุ่มที่ต่อตา้ น
รัฐประหารบางส่วน หนีออกจากเมือง และไปเข้าร่วมกับกองกาลังกลุ่มชาติพันธุ์ แล้วเกิดเป็นกอง
กาลังพิทักษ์ประชาชน (People's Defence Force - PDF) และกลุ่มพันธมิตรระหว่าง PDF กับกอง
กาลังกลุ่มชาติพันธ์ุ โดยเฉพาะกองทัพคะเรนนี และกองกาลังกลมุ่ อืน่ ๆ ทงั้ ในรฐั กะเหรีย่ ง กะฉิน่ และ
ฉิ่น และเร่ิมโจมตีกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะฐานที่ม่ันของทหารและตารวจ ปฏิบัติการของ PDF และ
พันธมิตรสร้างความเสียหายให้กับกองทัพและคณะรัฐประหาร จนต้องเปิดฉากโจมตีฐานปฏิบัติการ
ของ PDF และกองกาลังกลุ่มอ่ืน ๆ ตั้งแต่รัฐกะฉิ่นในภาคเหนือ จรดรัฐกะเหร่ียงทางตอนกลาง เม่ือ
การสู้รบในเมียนมารุนแรงขึ้นเรอ่ื ย ๆ ทาให้มีคล่ืนผู้อพยพท่ีหนีภัยสงครามเข้ามาในไทย ในการปะทะ
กันระหว่างกองทัพเมียนมากับกองกาลังกะเหรี่ยงแถบชายแดนจงั หวดั เมียวดีกับอาเภอแม่สอด ทาให้
มีผู้อพยพจากเมียนมาหนีเข้ามาในไทยราว 4,000 คน และยังมีท่ีรอเข้ามาอีกหลายพันคน นับต้ังแต่
เกิดรัฐประหารในต้นปี ค.ศ. 2021 ท่าทีของหลายชาติในอาเซียนต่อเมียนมาเป็นไปในเชิงแข็งกร้าว
ในช่วงแรก ผู้นาอาเซียนพยายามหาทางเจรจาเพื่อให้กองทัพเมียนมาเลิกใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม
ประท้วง จนเกิดเป็น "ฉันทามติ 5 ข้อ" ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2021 และบรูไนในฐานะประธาน
อาเซียนประจาปี 2021 ก็เดินทางเข้าไปในเมียนมาเพ่ือไกล่เกล่ียและหาทางเจรจาเพื่อให้เมียนมา
กลับมาสู่สถานการณ์ปกติ แต่ผลที่ได้กลับไม่เป็นดังท่ีอาเซียนหวัง เพราะคณะรัฐประหารกีดกันไม่ให้
คณะทางานจากอาเซยี นเข้าพบผู้นาพรรค NLD และกลมุ่ ผูต้ อ่ ตา้ นคณะรัฐประหาร จนนาไปส่กู ารคว่า
บาตรเมียนมาในการประชมุ สุดยอดผู้นาอาเซยี นครั้งล่าสดุ ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2021

170

170

4.8 ความขดั แย้งและสนั ตภิ าพในมินดาเนา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์

ประเทศฟิลิปปินส์ หรือ สาธารณรัฐฟลิ ิปปินส์ ท่ตี ั้งอยทู่ ี่ทศิ ตะวนั ตกและทศิ เหนือติดกับทะเล
จีนใต้ ทิศตะวันออกและทิศใต้ติดกับมหาสมุทรแปซิฟิก มีเมืองหลวงคือ กรุงมะนิลา มีประชากร 98
ล้านคน นับถือศาสนาโรมันคาธอลิกร้อยละ 83 โปรเตสแตนท์ร้อยละ9 มุสลิมร้อยละ 5 (กระทรวง
ต่างประเทศ, 2555) ฟลิ ปิ ปนิ สม์ ชี นพ้ืนเมือง 18 กลมุ่ และมีชาติพันธช์ าวมุสลิม 13 กลุ่ม ซ่ึงชาติพันธ์ุ
ดังกลา่ วมีสมาชิกท่ีเป็นครสิ เตียนรวมอยู่ดว้ ย มภี าษาและจารตี วฒั นธรรมอิงอยุ่กับพื้นท่ีที่ตนเองอาศัย
อยู่ ความหลากหลายดังกล่าวทำให้ฟิลิปปินส์ มีความขัดแย้ง และความซับซ้อนในกระบวนการ
สันตภิ าพไปด้วย (ซซู าน ดี รสั เซล, 2557)

1) ความเปน็ มาของความขัดแยง้
ชลัท ประเทืองรัตนา (2561) ได้สรุปสถานการณ์ความขัดแย้งท่ีเกิดขึ้นว่า ฟิลิปปินส์มีปญั หา
กับมุสลิมภาคใต้มานานนับศตวรรษ ปัญหาเกิดจากสเปนเข้าครอบครองฟิลิปปินส์ และพยายามให้
มุสลิมซึ่งอยู่ทางใต้เป็นสเปน (Hispanization) แต่ไม่สำเร็จ สิ่งที่สเปนทำได้คอื ส่งชาวฟิลิปปินส์ที่เป็น
คริสเตียนหรือชาวสเปนเข้าไปครอบครองที่ดินส่วนใหญ่ของมินดาเนา และในช่วงที่สหรัฐฯเข้า
ครอบครอง แม้สหรฐั ฯจะไม่สามารถนำชาวฟลิ ิปปินสแ์ ละชาวอเมรกิ นั ไปกลอ่ มเกลามุสลิมได้กต็ าม แต่
กไ็ ด้สง่ เสรมิ ให้บรรษัทขา้ มชาตขิ องอเมริกนั เข้าไปลงทนุ มากมาย ทำให้เกิดปญั หาสะสมในภาคใต้ เช่น
ชาวมุสลิมต้องเผชิญความไม่เป็นธรรมหลาย ๆ อย่าง ได้แก่ การบริการพื้นฐานของรัฐที่ทำให้ชาว
มุสลิมมีอัตราการยากจนที่สุด การแย่งชิงการถือครองที่ดินของชาวคริสต์กับมุสลิมจนสู้รบกันอย่าง
รุนแรง กระบวนการยุติธรรมไม่สามารถตอบสนองกับปัญหาอย่างทันท่วงทีในกรณีที่เกิดปัญหาสัง
หาญหมู่และการเผามสั ยดิ จงึ เปน็ ที่มาของความคดิ ในการแบง่ แยกดินแดน
ในสมัยประธานาธิบดีแมกไซไซ รัฐบาลออกกฎหมายใหจ้ ดั ต้ัง Mindanao state University
ในเมืองมาราวี เพื่อศึกษาวัฒนธรรมของภาคใต้ ในเวลาต่อมาคณะกรรมาธิการบูรณาการแห่งชาติได้
ร่างกฎหมายเข้าสู่สภาและได้หยั่งเสียงประชามติประชาชนในมินดาเนาว่า จะอยู่ในเขตปกครอง
ตนเองหรือไม่ปรากฏว่ามปี ระชาชนเพยี ง 3 จงั หวดั เท่านัน้ ทีต่ อ้ งการคือ โกตาบาโต ลาเนาเดลซรู ์ และ
ซูลู กฎหมายได้ผ่านสภาใน ค.ศ. 1957 ในสมัยประธานาธิบดีการ์เซีย รัฐบาลได้ออกกฎหมายเลขที่
3034 เพือ่ จดั ต้ังหน่วยงานพัฒนามนิ ดาเนาแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ ส่วนกลมุ่ มสุ ลมิ ก็มีการจัดตั้งขบวนการ
เพ่อื ต่อสู้กับรัฐบาลฟิลิปปนิ ส์ 2 กลุ่ม ไดแ้ ก่
1. กลุ่ม MNLF-Moro National Liberation Front แนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติโมโร หรือ
ขบวนการแบ่งแยกดนิ แดนภาคใต้ เริ่มเคลอื่ นไหวตงั้ แต่ปี ค.ศ. 1960 และมีบทบาทมากตง้ั แต่มาร์กอส

117711

เรมิ่ ประกาศกฎอัยการศึก ในช่วงแรกเปน็ การเคล่ือนไหวเรยี กร้องการแบ่งแยกดนิ แดน ต่อมาก็เปล่ียน
มาเป็นข้อเรียกร้องมาเป็นอานาจในการปกครองตนเองภายใต้รัฐบาลฟิลิปปินส์ ใช่วงปี ค.ศ. 1971-
1976 เกิดการสู้รบระหว่างกองกาลงั ทหารฟิลิปปินส์กับกลมุ่ MNLF เกิดการสูญเสีย กว่า 60,000 คน
และประชาชนตอ้ งอพยพไปทางตอนใตข้ องซาบ้าถงึ 300,000 คน

2. กลุ่ม MILF-Moro Islamic Liberation Front เป็นกลุ่มท่ีเกิดจากความแตกแยกทาง
ความคิดในระหว่างกลุ่มมุสลิมด้วยกัน ซาลามัด ฮาชิม (Salamat Hashim) แกนนาคนสาคัญคนหน่ึง
ใน MNLF ในขณะนั้นไม่เห็นด้วยกับ MNLF ท่ีจะให้ภาคใต้เป็นการปกครองตนเอง (autonomous)
เขาต้องการให้ภาคใต้ทั้งหมดเป็น “รัฐอิสลาม” จึงแยกตัวออกมาต้ังขบวนการ MILF (Moro Islamic
Liberation Front) ขึ้นในปี ค.ศ. 1984 โดยไปตั้งฐานของตัวเองท่ีเมือง ลาฮอร์ ประเทศปากีสถาน
กลุ่มนี้มีกองกาลังมากกว่า 12,000 คน ในค่าย 13 แห่ง และ 33 หน่วยย่อย ด้วยการท่ีผู้นาระดับสูง
เป็นผู้นาศาสนาด้วยทาให้ได้แนวรว่ มทีอ่ าศยั อยใู่ นใจกลางเกาะมินดาเนา

2) การเจรจาสันตภิ าพ
สานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร (2558) ได้ประมวลสถานการณ์ต่าง ๆ จนถึง
กระบวนการท่ีทาให้สามารถยุติความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลฟิลิปปินสก์ ับแนวร่วมปลดปลอ่ ยแห่งชาติ
โมโรได้ว่า ในสมัยประธานาธิบดีมาร์กอส ค.ศ. 1972 นูร์ มิซูอาริ เป็นผู้นากลุ่มแนวร่วมปลดปล่อย
แห่งชาติโมโร (Moro National Liberation Front – MNLF) เรียกร้องให้รัฐบาลแบ่งแยกดินแดน
บางส่วนให้มสุ ลมิ ปกครองตนเองในขณะน้นั ผู้ร่วมเจรจามี 3 ฝา่ ย คือ ประธานาธบิ ดมี าร์กอส, องคก์ าร
ความร่วมมืออิสลาม (OIC) และอินโดนีเซียเป็นตัวกลางเจรจา ซึ่งได้บรรลุข้อตกลงที่ตริโปลีว่าจะช่วย
พัฒนาภาคใต้ แต่ประธานาธิบดีมาร์กอสก็มิได้ดาเนินการตามข้อตกลง ทาให้เกิดความขัดแย้งรุนแรง
มากขนึ้
ในสมัยประธานาธิบดีคอราซอน อากีโน ได้มีแนวคิดที่จะแก้ไขปัญหาภาคใต้ พร้อม ๆ กับการ
แกไ้ ขรฐั ธรรมนูญของสมัยประธานาธิบดีมาร์กอสด้วย จึงไดบ้ รรจุเขตปกครองตนเองแห่งมุสลิมมินดาเนา
(Autonomous Region of Muslim Mindanao - ARMM) ไว้ในรัฐธรรมนูญโดยได้ดาเนินการเหมือน
การปกครองท้องถิ่น พร้อมระบุให้มีการเลือกต้ังผู้ว่าราชการจังหวัดในเขตปกครองตนเองแห่งมุสลิมมิน
ดาเนา (ARMM) รวมทั้งได้กาหนดกรอบกว้าง ๆ ของการพัฒนาซึ่งไม่ต่างจากกรอบท่ีแนวร่วมปลดปล่อย
อสิ ลามโมโร (Moro Islamic Liberation Front – MILF) เรียกร้อง เพียงแตก่ ารทากรอบข้อตกลงเป็นข้อ
ผูกมัดท่ีแตกรายละเอียดจากหัวข้อกว้าง ๆ ออกไปให้ชัดเจนย่ิงข้ึนเท่านั้น การดาเนินการตามกรอบ
รฐั ธรรมนญู ค.ศ. 1987 ไดม้ กี ารหยัง่ เสยี งประชามติประชาชนทีต่ ้องการอยู่ในเขตปกครองตนเองดว้ ย

172 172

ภาพที่ 4-8 แผนที่แสดงเขตปกครองตนเองบังซาโมโร เกาะมนิ ดาเนา ประเทศของฟลิ ิปปินส์

ท่มี า : https://prachatai.com/journal/2012/10/43172 อา้ งจาก เวบ็ ไซต์ The Phillipines Inquirer

ซึง่ มีอยู่ 4 จงั หวัด กบั อกี 1 เมือง ไดป้ ระสบความสาเร็จในสมัยประธานาธิบดรี ามอส ใน ค.ศ. 1997 โดย
รัฐบาลได้ต้ังคณะกรรมการศึกษาประวัติศาสตร์ของชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ ศึกษาความขัดแย้งและ
ดาเนินการพัฒนาเศรษฐกิจ อีกท้ังได้นาภาคประชาชนลงไปทางานเพ่ือกล่อมเกลาชาวฟิลิปปินส์ที่นบั
ถือคาทอลิกกับมุสลิมและชนเผ่าอื่น ๆ ให้เข้าใจกัน ยอมรับกันและได้สร้างหลักสูตร Peace
Education ข้ึน รวมท้ังพัฒนาเศรษฐกิจโดยได้ขอให้องค์กรระหว่างประเทศ เช่น องค์กรเพื่อการ
พัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐ (USAID), องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศญี่ปุ่น (JICA),
องคก์ ารเพอ่ื การพัฒนาระหวา่ งประเทศแหง่ แคนาดา (CIDA) ไปชว่ ย ซง่ึ นบั วา่ ไดผ้ ลเป็นอยา่ งยงิ่

ส่วนกลุ่มแนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโร (Moro Islamic Liberation Front – MILF) ซึ่ง
เป็นกลุ่มท่ีไม่เห็นด้วยกับจังหวัดที่เป็นเขตปกครองตนเองท่ีกลุ่มแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติโมโร

117733

(Moro National Liberation Front – MNLF) ตกลงกับรัฐบาลอยู่แล้ว กลุ่มนี้ต้องการขยายเขตให้
ครอบคลุมมากไปกว่าน้ัน ในสมัยประธานาธิบดีอาร์โรโย ได้ขอร้องให้มาเลเซียเป็นตัวกลางการเจรจา
โดยมีกลุ่มองค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) และประเทศต่าง ๆ สังเกตการณ์การเจรจา ใน ค.ศ. 2008
กลุ่มแนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโร (Moro Islamic Liberation Front – MILF) ได้เรียกร้องขอขยาย
ดินแดนออกไปโดยได้ร่าง “บันทึกความเข้าใจแห่งข้อตกลงว่าด้วยเขตธรณีของบรรพบุรุษมุสลิม”
(Memorandum of Agreement on the Muslim Ancestral Domain - MOA-AD) เสนอรัฐบาล
เพ่ือยกร่างกฎหมายหลักของตนเอง โดยได้ระบุเรื่องการจัดการกับกองกาลังของตนเองรวมท้ังระบบ
การเงิน การคลัง การศึกษา และความมั่นคง ภายใน ซึ่งในคร้ังน้ันรัฐบาลอาร์โรโยได้นาเข้าสภาเพ่ือ
พิจารณา และเซ็นข้อตกลงหลังจากการประชมุ แต่ศาลสูงให้หยุดการเซ็นข้อตกลง ด้วยเสียง 8–7 โดย
ได้ประกาศว่าบางเขตเป็นเขตท่ีมีกลุ่มคริสเตียนและชนกลุ่มน้อยอ่ืน ๆ อาศัยอยู่ และเป็นการขัดต่อ
รัฐธรรมนญู ซง่ึ ได้ระบุเขตปกครองพิเศษแหง่ มสุ ลมิ มินดาเนา (ARMM) ไว้ในรฐั ธรรมนญู ค.ศ. 1987

จากเหตุนี้ทาให้เกิดการโจมตีจากกลุ่มแนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโร (Moro Islamic
Liberation Front – MILF) ต่อชุมชนคริสเตียนในมินดาเนา ทาให้มีผู้อพยพไปในที่พักพิงใหม่
ประมาณ 750,000 คน และเสียชีวิต 400 คน เหตุการณ์ในคร้ังน้ันเป็นช่วงปลายสมัยของ
ประธานาธิบดีอาร์โรโย มาในสมัยประธานาธิบดีอากีโน ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2010 ได้ทาการ
เจรจาใหม่โดยได้ขอร้องให้ Marvic Leonen อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยฟิลปิ ปนิ ส์ เป็น
ประธานการเจรจาจากฝ่ายรัฐบาล มาเลเซียเป็นตัวกลางการเจรจา (facilitator - Third party) และ
ได้เดินทางไปพบ Murad Ebrahim ท่ีโตเกียว ซึ่งท้ังสองได้บรรลุข้อตกลงรว่ มกันโดยมีการเจรจากันท่ี
มาเลเซียหลายรอบจนกระท่ังวันท่ี 5 ธันวาคม ค.ศ. 2010 เพ่ือให้เกิดสันติสุขในฟิลิปปินส์
ประธานาธิบดีอากีโนก็ได้ประกาศท่ีจะเพ่ิมจังหวัดจากท่ีเคยมีอยู่ในเขตปกครองตนเองแห่งมุสลิมมิน
ดาเนา (ARMM) จงึ นามาซึ่งการเซ็นกรอบข้อตกลงร่วมกันในวนั ท่ี 15 ตุลาคม ค.ศ. 2012 โดยมกี ารลง
นามร่วมกัน 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายรัฐบาลมีประธานฝ่ายเจรจา คือ Marvic Leonen ผู้เจรจาคือ Teresita
Delesและประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ เบนิกโน อากีโนที่ 3 ฝ่ายกลุ่มแนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโร
(Moro Islamic Liberation Front – MILF) มีประธานการเจรจาคือ Murad Ebrahim ผู้เจรจาคือ
Mohagher Iqbalฝ่ายมาเลเซีย ประธานผู้ไกล่เกล่ียคือ นายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค ผู้ไกล่เกล่ียคือ
DatoTengko Abdul Ghafar การลงนามในคร้ังน้ีมีพยานเป็นสมาชิกสภา สมาชิกสภาสูงนาโดย
Juan Ponce Enile และEnrile ประธานสภาล่างนาโดย Fellciano Belmonte รวมท้ังผู้ว่าราชการ
จังหวัดเขต ARMM และจังหวัดใกล้เคียง ตัวแทนจากประเทศมาเลเซีย ตัวแทนจากกลุ่ม MNLF และ
กลุ่ม MILF และตัวแทนจากอเมริกายุโรป ญ่ีปุ่น สวีเดน อังกฤษ ตุรกี ซาอุดีอาระเบีย รวมท้ังองค์กร
พัฒนาเอกชนระหวา่ งประเทศ เชน่ CentesFor Humanitarian Dialogue, Asia Foundation, JICA,
USAID และ Muhamadiyah

174 174

กรอบข้อตกลงดังกล่าวถือเปน็ แนวทางแรกเพ่ือมุ่งไปสู่การยตุ ิความขัดแย้งทางการเมืองระหว่าง
รัฐบาลฟิลิปปินส์ และกลุ่มแนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโร (Moro Islamic Liberation Front - MILF)
นาไปสกู่ ารสร้างหลกั การ กระบวนการ และกลไกรว่ มกันเพ่อื เปล่ยี นผา่ นไปสหู่ นว่ ยการปกครองตนเอง
บังซาโมโรภายใน พ.ศ. ค.ศ. 2016 จากการท่ีรัฐบาลฟิลปิ ปินสแ์ ละกลุ่มแนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโร
(Moro Islamic Liberation Front – MILF) ประกาศขอ้ ตกลงยุติการก่อความไม่สงบท่ียดื เย้ือมานาน
และมกี ารลงนามประกาศฯดังกลา่ วในวันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ. 2012

ทัง้ นกี้ ระบวนการเจรจาสนั ตภิ าพในฟิลิปปินส์เปน็ ลักษณะของความพงึ พอใจท้ัง 2 ฝา่ ย (Win-
Win Solution) โดยฝ่ายรัฐบาลได้รับการยอมรับจากนานาชาติและเป็นการส่งผลดีต่อคะแนนนิยม
ขณะที่กลุ่มแนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโร (Moro Islamic Liberation Front – MILF) ก็ยังคง
อานาจในการปกครองท้องถิ่นของตนไว้ได้เช่นกัน กระบวนการเจรจาดังกล่าวถือเป็นตัวแบบหน่ึงใน
การแก้ไขปัญหาแบบสันติวิธี (Peace Process) ซึ่งรัฐบาลฟิลิปปินส์มีนโยบายชัดเจนที่จะเจรจาและเปน็
แนวทางท่ีทุกฝ่ายยอมรับ จึงนาไปสู่การเจรจาสันติภาพด้วยสันติวิธีได้ อย่างไรก็ตามหากดาเนินการไป
แลว้ ไม่เปน็ ไปตามเง่ือนไขทต่ี ่างตกลงกันไว้ก็อาจจะนาไปสู่สถานการณ์ส้รู บกันอีกคร้ังหน่ึง

ซูซาน ดี รัสเซล (2557) ได้กล่าวถึงบทเรียนการสร้างสันติภาพในมินดาเนาว่า ส่วนหน่ึงเกิด
จากความร่วมมือของ มหาวิทยาลัยต่าง ๆ และองค์กรเอกชน ซ่ึงเข้าไปทางานกับเยาวชนในโรงเรียน
และพยายามสร้างสะพานเชื่อมต่อสายสัมพนั ธ์ระหว่างชาติพันธ์และศาสนา โดยมาร่วมกนั ทากิจกรรม
ต่าง ๆ เช่น กิจกรรมรักษาสิ่งแวดล้อม การให้คาปรึกษาเก่ียวกับนโยบายรัฐบาล การสานเสวนาข้าม
สาสนา และการจัดค่ายเป็นต้น พวกเขาเป็นคนสาคัญที่สามารถทางานข้ามเส้นแบ่งต่าง ๆ ระหว่าง
ศาสนาและชาติพันธุ์ นอกจากน้ียังมีคลินิกเพื่อการอ่านประจาสัปดาห์ การแจกจ่ายยาและอาหารใน
พ้นื ทยี่ ากจนเป็นระยะ ๆ การมนี กั เรยี นพยาบาลหรือเยาวชนทีป่ ระกอบวชิ าชีพต่าง ๆ เขา้ ไปให้บริการ
ทาใหช้ ุมชนเร่มิ ต้อนรบั ซงึ่ เปน้ ยทุ ธศาสตร์สาคญั ในการอยรู่ ว่ มของกลุ่มคนท่ีมีความแตกต่างกัน หวั ใจ
สาคัญของการสร้างสันติภาพจึงอยู่ที่การมีส่วนร่วมของเยาวชนในการบริการชุมชนและกิจกรรม
อาสาสมัคร นอกจากนั้นก็มีความพยายามให้กลุ่มผู้หญิงชาวพื้นเมืองคริสเตียนและมุสลิมทากิจกรรม
ด้วยกัน และกลายมาเป็นผู้สนับสนุนสันติภาพอย่างเปิดเผยในชุมชนเหล่าน้ี และเป็นเรื่องสาคัญท่ีจะ
พัฒนาศักยภาพกลุ่มภาคประชาชนดังกล่าวให้เข้มแข็งและเป็นกาลังหลักในการขยายผลการสร้าง
สันตภิ าพในระดบั รากหญ้าในพ้นื ทห่ี า่ งไกลของ มนิ ดาเนา สาธารณรฐั ฟิลปิ ปนิ ส์

117755

4.9 ความขดั แย้งและสนั ตภิ าพในอาเจะห์ สาธารณรัฐอนิ โดนเี ซยี

อาเจะห์ (Aceh) ต้ังอยู่ตอนเหนือสุดของเกาะสุมาตราทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ
อินโดนีเซีย นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าศาสนาอิสลามได้เผยแพร่เข้าสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ผ่านทางอาเจะห์เป็นแห่งแรกช่วงพุทธศตวรรษที่ 13 ในยุคสมัยก่อนถึงพุทธศตวรรษที่ 22 อาเจะห์มี
การปกครองโดยสุลตา่ นทเ่ี ป็นอิสระ มคี วามเจรญิ รงุ่ เรอื งสืบตอ่ กนั มาเปน็ ศูนย์กลางของวฒั นธรรมและ
ศาสนาอสิ ลาม รวมถงึ การคา้ ระหว่างประเทศ ปี พ.ศ. 2416 ดัตช์ได้สง่ กาลงั ทหารเข้ามาเพือ่ ยดึ ครอง
อาเจะห์เป็นอาณานิคม ได้เกิดการสู้รบกันเรื่อยมาจนกระท่ังสิ้นสุดสงครามโลกคร้ังท่ีสอง ในปี พ.ศ. 2492
ดัตช์ได้ลงนามในสัญญายกอาเจะห์ให้เป็นส่วนหน่ึงของประเทศอินโดนีเซียด้วยความช่วยเหลือจาก
ประเทศองั กฤษ ในขณะนน้ั สร้างความไมพ่ อใจใหช้ าวอาเจะหเ์ ปน็ อย่างมาก เนื่องจากพวกเขาไม่มีส่วน
ร่วมในออกความคิดเห็นใด ๆ เลย เมธัส อนุวัตรอุดม (2555) ได้สรุปสถานการณ์ความขัดแย้งและ
กระบวนสันติภาพระหวา่ ง อาเจะหก์ บั รัฐบาลกลางอินโดนีเซยี ดังต่อไปน้ี

1) สถานการณค์ วามขัดแยง้
กรณีของอาเจะห์เป็นความขัดแย้งหลักระหว่างรัฐบาลอินโดนีเซียรวมถึงกองทัพอินโดนีเซีย
(Tentara Nasional Indonesia – TNI) กับอีกฝ่ายหน่ึงคือกลุ่มขบวนการปลดปล่อยอาเจะห์ (GAM)
ซ่งึ มีเปา้ หมายการต่อสู้อยู่ท่ีการเรียกร้องเอกราชให้อาเจะห์เป็นอิสระจากประเทศอนิ โดนีเซียเน่อื งจาก
การสานกึ ของความเป็นชาตนิ ยิ มในทางประวัติศาสตร์ท่ีเคยเปน็ รัฐอิสระเจริญรุ่งเรืองมาก่อน โดยพวก
เขามีจุดยืนทางอุดมการณ์ที่แตกต่างจากรัฐบาลรวมศูนย์ของอินโดนีเซีย โดยต้องการเป็นรัฐอิสลาม
และไม่ต้องการรัฐท่ีก่ึงแยกกิจการศาสนาอย่างที่อินโดนีเซียต้องการ และเกิดกบฏรอบแรกหรือกบฏ
ดารุลอิสลาม (Darul Islam) ในช่วงปี ค.ศ. 1953-1961 ซ่ึงเป็นส่วนหน่ึงของความเคล่ือนไหวดารุล
อสิ ลามแห่งชวาตะวนั ตก
ขบวนการอาเจะห์เสรี หรือ GAM ก่อตั้งเม่ือ ค.ศ. 1976 เพื่อต้องการอิสรภาพจากการเป็น
อาณานิคมของอินโดนีเซีย โดยมีการเคล่ือนไหวแบบกองโจรกลุ่มเล็ก ๆ ที่ขับเคล่ือนโดยกลุ่ม
ปัญญาชน แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับกองทับอินโดนีเซีย หรือ TNI ทาให้ผู้นาต้องหนีไปปักหลักต้ังรัฐบาล
พลัดถ่ินอยู่ท่ปี ระเทศสวเี ดน ในช่วงต้นทศวรรษท์ ่ี 1980 เกดิ กบฏโดย GAM อกี คร้งั หน่ึง โดยมนี ักรบที่
ฝึกมาจากลิเบียเข้าร่วมพร้อมกันกับการสนับสนุนจากประชาชนอ าเจะห์ท่ีเดือดร้อนจา กทหาร ใน
กองทัพอินโดนีเซียกดข่ีข่มเหง แต่ในที่สุดกบฏก็ต้องประสบกับความพ่ายแพ้ ในระหว่างปี ค.ศ. 1989 -
1998 กองทัพอินโดนีเซียกาหนดให้อาเจะห์เป็นพ้ืนท่ีปฏิบัติการทางการทหารซ่ึงเป็นช่วงท่ีทหารของ
กองทัพอินโดนีเซียก่อละเมิดทาร้ายประชาชนอาเจะห์อย่างร้ายแรง ทั้งทาร้ายร่างกาย ทาลาย
ทรพั ย์สิน ตั้งด่านรีดไถเงนิ จากชาวอาเจะห์ เปน็ ตน้

176 176

ภาพท่ี 4-9 แผนที่แสดงเขตปกครองตนเองอาเจะห์ (Aceh) ที่อยู่เหนือสุดของเกาะสมุ าตรา

ทีม่ า : https://pantip.com/topic/32638207

นอกจากน้ันความไม่เป็นธรรมในการจัดสรรผลประโยชน์จากทรพั ยากรธรรมชาติในเขตพน้ื ที่
อาเจะห์ โดยอุตสาหกรรมน้ามันและแก๊สธรรมชาติที่ดาเนินการในอาเจะห์ทารายได้มหาศาลสูงถึง
2,000-3,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯต่อปีแก่รัฐบาลอินโดนเี ซีย โดยประเมินรายได้ต่อหัวของคนอาเจะห์
ต่อผลผลิตภายในประเทศสูงเป็นลาดับสามของประเทศ แต่คนอาเจะห์ไม่ได้ประโยชน์กับความม่ังค่ัง
เหล่าน้ี ประเด็นหลักของความขัดแย้งจะมุ่งเน้นไปที่การจัดสรรทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่เป็นธรรม
ประกอบเข้ากับอัตลักษณ์วัฒนธรรมที่แตกต่างไปจากวัฒนธรรมชวาซ่ึงเป็นวัฒนธรรมของประชากร
ส่วนใหญ่ของประเทศ และสานึกทางประวัติศาสตร์ท่ีเคยรุ่งเรืองของอาเจะห์ ทาให้ย่ิงเป็นการตอกย้า
ความไม่เป็นธรรมในความรู้สึกของชาวอาเจะห์ให้ทวีความเข้มข้นมากขึ้น บริษัทธุรกิจจากส่วนกลาง
และต่างประเทศได้เข้ามาใช้ประโยชน์จากทรพัยากรในอาเจะห์โดยที่รายได้ไม่ถึงมือของคนในท้องถ่นิ
อย่างเป็นธรรมและย่ิงเมื่อถูกปราบปรามอยา่ งหนักจากรัฐบาลและกองทัพก็ย่ิงเพ่ิมความชอบธรรมใน
การตอ่ สูม้ ากขึ้น

117777

2) กระบวนการสนั ตภิ าพในอาเจะห์
กระบวนการสนั ติภาพครั้งแรก เกิดขนึ้ เม่ือปี พ.ศ.2542 นาไปสู่ ข้อตกลง CoHa ท่ีกรงุ เจนีวา
โดยมีจุดเริ่มต้นต้ังแต่การพ้นจากอานาจของประธานาธิบดีซูฮาร์โตในเดือนพฤษภาคมปี พ.ศ. 2541
ซ่ึงถือว่าเป็นการหลุดพ้นจากระบอบเผด็จที่ครอบงามาอย่างยาวนานถึง 31 ปี เหตุปัจจัยท่ีทาให้ท้ัง
สองฝ่ายพูดคุยเจรจากันได้เป็นครั้งแรก คือ บรรยากาศทางการเมืองท่ีเปิดพื้นที่ทางการเมืองให้แก่
ประชาชนมากข้ึน มีการเชื่อม ประสานของภาคประชาสังคมและนักศึกษาเพื่อเชื่อมต่อรัฐบาลและ
ฝ่าย GAM ให้ริเริ่มการพูดคุย และการเปิดโอกาสให้องค์กรท่ีสามได้เข้ามาทาหน้าที่เป็นคนกลางใน
การเจรจาพูดคุย ซ่ึงเป็นองค์กรระหวา่ งประเทศคือ HDC ซ่ึงทางานช่วยเหลอื ด้านมนษุ ยธรรมในพนื้ ที่
อยู่กอ่ นหนา้ น้ี
เงอื่ นไข: บรรยากาศทางการเมอื ง

การเปล่ียนจากประธานาธิบดีซูฮาร์โต มาเป็นการบริหารประเทศของประธานาธิบดียูซุฟ
ฮาบิบ้ี โดยให้ความสาคัญกับการกระจายอานาจ และพยายามท่ีจะจากัดบทบาทของทหารในทาง
การเมือง ต่อมาเป็นการเข้ามาสู่ตาแหน่งของประธานาธิบดี อับดุลเราะห์มาน วาฮิด ซ่ึงเป็นประธานาธิบดี
อนิ โดนีเซยี คนแรกที่มาจากการเลือกต้ัง ปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ ดังกลา่ วสะทอ้ นให้เหน็ ถึงบรรยากาศทาง
การเมืองที่เปดิ พ้ืนท่ีให้กบั ประชาชนมากขึ้น และเป็นการสง่ สัญญาณจากผู้นารัฐบาลว่ามีแนวโน้มที่จะ
ใช้สันติวิธีมากข้ึน ได้ทาให้ภาคประชาสังคม องค์กรพัฒนาเอกชนต่าง ๆ นักศึกษา มีการเคล่ือนไหว
และแสดงออกทางการเมืองมากขึ้นกว่าในอดีต กล้าที่จะริเริ่มดาเนินการในสิ่งที่ตนเองคิดว่าจะทาให้
เกิดสันติสุขข้ึนได้ในอาเจะห์แก่นแท้สาคัญตรงน้ีอยู่ท่ีการเปิดพ้ืนท่ีทางการเมืองและการรับฟังความ
คิดเห็นของประชาชนในพ้ืนท่ี จิตใจที่เป็นประชาธิปไตยของผู้นาทางการเมืองสาหรับประธานาธิบดี
อนิ โดนีเซีย คือ ซูซิโล บัมบัง ยโู ดโยโน เองซึง่ ในอดีตนั้นเป็นนายทหารระดับสูงในกองทัพกลับเป็นบุคคล
ท่ีมีบทบาทสาคัญอย่างย่ิงใน การผลักดันและส่งเสริมกระบวนการสร้างสันติภาพในอาเจะห์ต้ังแต่ครั้ง
เป็นรัฐมนตรเี มื่อปี พ.ศ.2542 เร่ือยมา จนกระท่งั ถึงทส่ี ุดแลว้ ก็ประสบความ สาเร็จในปี พ.ศ. 2548

เงื่อนไข: การเคลอ่ื นไหวของภาคประชาสังคม

เมื่อบรรยากาศทางการเมืองเอ้ือต่อกระบวนการสร้างสันติภาพ ก็ทาให้ภาคประชาสังคมใน
พ้ืนที่สามารถริเริ่มติดต่อให้ทั้งสองฝ่ายคือรัฐบาลและกลุ่มขบวนการได้พูดคุยกัน และทาให้องค์กร
พัฒนาเอกชน ภาคประชาสังคม ตลอดจนนกั ศึกษาในพ้ืนท่ีจะสามารถสื่อสารเชื่อมต่อถงึ กันได้มากขึ้น
และสามารถร่วมมือกันทางานด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและชุมชน นอกจากน้ันองค์กรต่าง ๆ เหล่านี้
พยายามเชื่อมประสานให้ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่าย GAM ได้มาพบปะพูดคุย ต้ังแต่ปี พ.ศ. 2542 ก่อน
หน้าท่ี HDC จะเข้ามาทาหน้าท่ีคนกลางเมทัช อ้างใน เนอร์ จูล่ี (Nur Djuli, 2551) อดีตแกนนา

178 178

ระดับสูงและหนึ่งในคณะผู้เจรจาของฝ่าย GAM ทั้งในการ เจรจาสันติภาพที่เจนีวาและเฮลซิงกิ ได้
อธิบายบทบาทการเชื่อมประสานของกลุ่มเอ็นจีโอและภาคประชาสังคม เริ่มจากการให้มีการพบกัน
ระหว่างรัฐบาลและฝ่าย GAM ครั้งแรกที่กรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. 2542 ในการสัมมนาที่จัดโดยฟอร่ัม
เอเชยี มีทง้ั สมาชกิ รัฐสภาอนิ โดนเี ซีย องค์กรพฒั นาเอกชน และสมาชกิ GAM จำนวน 24 คน โดยตัว
เขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย ทางเจ้าภาพได้จัดให้ GAM กับฝ่ายรัฐบาลได้นั่งรับประทาน อาหารโต๊ะ
เดียวกัน ซึ่งบางคนยอมนั่งด้วยกัน แต่บางคนก็ไม่ยอม แต่ วิธีการนี้ก็ทำให้เกิดการพูดคุยสื่อสารกัน
เป็นครั้งแรกระหวา่ งฝ่าย GAM กับ ฝ่ายรัฐบาล ซึ่งแม้เขาเองจะรู้สึกวา่ ผลสรุปทีไ่ ด้จากการพบกันคร้ัง
น้ีคอื แค่ “เห็นด้วยว่าเหน็ ตา่ ง” (agree to disagree) แต่อย่างน้อยก็เปน็ พน้ื ฐานสำคญั ของการพูดคุย
กนั ในอกี หลายคร้ังถัดมาทค่ี อ่ ยๆ ขยายตวั ออกไปเป็นลูกโซ่

เงอื่ นไข: การเปิดโอกาสให้องคก์ รท่ีสามมาทำหน้าท่ีคนกลาง

นอกจากบรรยากาศทางการเมืองจะเริ่มเปิดกว้างโดย ประชาชนเริ่มมีสิทธิและเสรีภาพมาก
ขึ้น ประธานาธิบดีวาฮิด และรัฐมนตรีกระทรวงการเมืองและ ความมั่นคงในสมัยนั้นคือยูโดโยโน ได้
เปิดโอกาสให้ HDC ซึ่งทำงานด้าน มนุษยธรรมอยู่ในพื้นที่ ได้เข้ามาเป็นคนกลางในการจัดการพูดคุย
ในช่วง เดอื นพฤศจกิ ายน พ.ศ. 2542 อันนำไปส่กู ารพูดคุยกันเป็นครั้งแรกระหวา่ งฮัสซนั ดิ ตโิ รกับทูต
ของอินโดนีเซียที่กรุงเจนีวาในวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2543 จากความพยายามในการเชื่อมร้อย
ฝ่ายรัฐบาลและฝ่าย GAM เข้าด้วยกันขององค์กรพัฒนาเอกชนและภาคประชาสังคมในช่วงแรก และ
การเข้ามาเป็นคนกลางอยา่ งเต็มตวั ของ HDC ในเวลาต่อมานน้ั ได้ทำใหเ้ กดิ ข้อตกลง CoHA ขน้ึ ในที่สดุ
อันเป็นข้อตกลงสันติภาพฉบับแรกในประวัติศาสตร์ความขัดแย้งของอาเจะห์ อย่างไรก็ตามข้อกลง
ดังกล่าวเกิดขึ้นภายใต้สภาวการณ์ความขัดแย้งที่ยังไม่สุกงอม กล่าวคือ เป็นข้อตกลงที่ตั้งอยู่บนฐาน
ความสัมพนั ธท์ ่ีไม่มัน่ คงและความไม่ไว้วางใจระหว่างกันของท้ังสองฝ่ายที่ยังมอี ยูส่ ูง เมื่อสลับกับความ
รุนแรงที่เกิดขึ้น เป็นระยะ กระบวนการสันติภาพจึงได้สะดุดหยุดลงในวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ.
2546 นบั จากการลงนามในข้อตกลงมาเพยี ง 5 เดือน

ในช่วงที่ผ่านมามีการปราบปราม GAM จากฝ่ายรัฐบาลเป็นระยะ ๆ และระหว่างเดือน
พฤษภาคม พ.ศ. 2546 ถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2547 ก็ได้มีความพยายามครั้งใหม่ที่จะรื้อฟื้นการ
พูดคุยขึ้น โดยแกนนำบางคนในรัฐบาลและทีมงานขององค์กรการริเริ่มการจัดการภาวะวิกฤต (Crisis
Management Initiative: CMI) ท่ีตามมาดว้ ยการประกาศหยุดยงิ โดยฝ่าย GAM ในวนั ท่ี 29 ธนั วาคม
พ.ศ.2547 สามวันให้หลังเหตุการณส์ ึนามิ การเจรจาสันติภาพรอบสองระหว่างรัฐบาลและฝ่าย GAM
เกิดข้ึนอย่างเป็นทางการในเดือนมกราคม พ.ศ. 2548 โดยมี CMI ทำหน้าทเ่ี ป็นคนกลางภายใต้การนำ
ของอดีตประธานาธิบดีฟินแลนด์ มาร์ตติ อาห์ติซารี ที่กรุงเฮลซิงกิ อันนำไปสู่การลงนาม MOU ใน
วนั ท่ี 15 สิงหาคม พ.ศ. 2548 ซึง่ เป็นการยุติความรุนแรงในอาเจะห์

117799

ในทานองเดียวกัน สกสว. (2562) ได้สรุปว่า เหตุปัจจัยสาคัญท่ีทา ให้อินโดนีเซียประสบ
ความสาเร็จในการเจรจากับกลุ่ม GAM ได้แก่เจตจานงทางการเมือง (Political Will) ท่ีมีความ
ต่อเน่ืองมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลของประธานาธิบดีวาฮิดถึงซูซิโล บัมบัง ยูโดโยโน การมีตัวกลางเจรจา
และกลไกที่มีประสิทธิภาพ มีเครือข่ายซ่ึงสามารถสร้างความไว้วางใจของท้ังสองฝ่าย การโน้มน้าวให้
กองทัพท่ีมีท่าทีไม่เห็นด้วยให้มาสนับสนนุ การเจรจาสันตภิ าพ รวมทั้งการบริหารสถานการณ์ภายหลัง
ความตกลงสันติภาพเป็นไปอย่างดี และแอนเรีย เค โมลนาร์ (2557) ได้กล่าวถึงอีกปัจจัยหน่ึงที่เป็น
ตัวกระตุ้นให้เกิดการเจรจา ได้แก่ เหตุการณ์สึนามิท่ีเกิดขึ้นในวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ซ่ึงทาให้
ประการแรก ความเสียหายและความทุกยากในอาเจะห์ถึงระดับทาให้ GAM รู้สึกว่าเป็นเร่ืองไร้
ศีลธรรมเกินไปถ้าหากพวกเขาจะย่ิงเพิ่มความทกข์ยากด้วยการกระทารุนแรงต่อไป ประการท่ีสอง
พวกเขาได้สูญเสียฐานการส่งกาลังบารุงไปเป็นจานวนมาก ซึ่งเป็นผลมาจากการสุญเสียทางด้าน
เศรษฐกิจ ประการท่ีสาม การที่ชุมชนระหว่างประเทศเข้ามาอยู่ในพื้นท่ีและแสดงเจตนาท่ีจะอยู่ช่วย
อาเจะห์ฟ้ืนฟูในระยะยาว ทาให้ GAM เกิดความเช่ือม่ันว่านานาชาติมีความตั้งใจจริงที่จะทาให้เกิด
สันติภาพในอาเจะห์ ประการที่ส่ี นานาชาติกดดันทั้งรัฐบาลอินโดนีเซียและ GAM บรรลุข้อตกลงกัน
ให้ได้ มิฉะนน้ั พวกเขาจะไมช่ ว่ ยเหลอื ในรปู ของเงนิ ทุนเพ่ือการฟืน้ ฟูความเสยี หาย

กอบธรรม ลีนะไพจิตร (2017) ได้อธิบายเพ่ิมเติมถึงปัจจัยความสาเร็จของกระบวนการ
สันติภาพโดยเน้นไปที่การดาเนินนโยบายของรัฐบาลซูซิโล บัมบัง ยูโดโยโน เป็นสาคัญคือการยก
ประเด็นอาเจะห์ให้เป็นประเด็นระหว่างประเทศ คือการทาให้เกิดสันติภาพในอาเจะห์และเกิดความ
ร่วมมือกับประชาคมระหว่างประเทศ ตลอดจนภาพลักษณ์ที่ดีขึ้นของอินโดนีเซียในเวทีโลก โดยท่ี
รัฐบาล ยโู ดโยโน พสิ จู น์ให้ประชาคมระหว่างประเทศไดป้ ระจักษ์คืออินโดนเี ซียประสบความสาเร็จใน
การเปล่ียนผ่านสู่ประชาธิปไตยได้อย่างแท้จริงนับตั้งแต่การข้ึนดารงตาแหน่งด้วยการเลือกตั้ง
ประธานาธิบดีโดยตรงคนแรกในประวัติศาสตร์ การเมืองอินโดนีเซีย การกระจายอานาจ การแก้ไข
ความขัดแย้งในประเทศด้วยกระบวนการ สันติภาพ เป็นต้น กรณีอาเจะห์และการต่างประเทศ
อินโดนีเซีย สามารถเป็นบทเรียนให้กับการแก้ไขความขัดแย้งในพื้นท่ีอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดีว่า
กระบวนการแก้ไขความขัดแย้งและการต่างประเทศหากดาเนินควบคู่ไปในแนวทางเดียวกันแล้ว การ
เปดิ รบั ความร่วมมอื จากประชาคมระหวา่ งประเทศอาจมิใชก่ ารสญู เสยี อานาจอธปิ ไตยเสมอไป แต่อาจ
นามาซ่ึงโอกาสในการดาเนินกิจการระหว่างประเทศในระยะยาวดังที่รัฐบาล ยูโดโยโน ประสบ
ความสาเร็จในกรณีอาเจะห์

180 180

4.10 สรปุ ทา้ ยบท

ในบทท่ี 4 น้ี เปน็ การยกตวั อย่างความขดั แย้งและสนั ติภาพในต่างประเทศทนี่ ักวชิ าการหลาย
ท่านได้ค้นคว้าเป็นกรณีศึกษาเอาไว้ ผู้เขียนได้นามาประมวล สรุป และเผยแพร่ เพ่ือให้นักศึกษา และ
ผู้อ่านทั่วไปในสังคมของไทยเราได้เรียนรู้ ตระหนักและเป็นบทเรียนในการอยู่ร่วมกันท่ามกลางความ
หลากหลายในมิติต่าง ๆ และได้ศกึ ษากระบวนการการจัดความขดั แยง้ โดยสนั ติวธิ ีที่ประเทศเหล่าน้ีได้
ดาเนินการไปตามพื้นฐานและบรบิ ททางสังคมของประเทศน้ัน ๆ โดยมีทั้งหมด 9 ประเทศด้วยกัน ใน
ทวีปยโุ รป 1 ประเทศคือ ไอรแ์ ลนดเ์ หนอื ในแอฟริกา 1 ประเทศ คือ รวันดา ในทวีปเอเชยี 7 ประเทศ
ได้แก่ อิสราเอล เนปาล แคชเมียร์ (อินเดีย) ศรีลังกา เมียนมาร์ มินดาเนา (ฟิลิปปินส์) และอาเจะห์
(อินโดนีเซีย) ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น สาเหตุที่สาคัญของตัวอย่างประเทศกรณีศึกษาน้ีได้แก่ ความ
แตกต่างของ ชาติพันธ์ุชนกล่มุ น้อย ลัทธิศาสนา ชาตินิยม และอุดมการณ์ทางการเมือง ทาให้เกิดการ
ใช้กองกาลังติดอาวุธทาร้าย ปราบปราม โจมตี การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ปฏิวัติรัฐประหาร การจับกุม การ
กักบรเิ วณทอ่ี ยู่ ท่ามกลางความขดั แย้งดังกล่าวยงั มกี ระบวนการเจรจาสนั ติภาพเพื่อ หยดุ และลดความ
ขัดแยง้ ซ่ึงมีหลายประเทศทส่ี ามารถยุติปัญหาได้ เช่น ไอรแ์ ลนดเ์ หนือ รวันดา มินดาเนา อาเจะห์ และ
ยังไม่สามารถยุติความขัดแย้งได้ ได้แก่ ประเทศอิสราเอล-ปาเลสไตน์ แคชเมียร์และเมียนมาร์ มี
สาระสาคญั แต่ละประเทศ ดงั นี้

ไอร์แลนด์เหนือ: กลุ่มคาทอลิกซ่ึงเป็นกลุ่มดั้งเดิมในไอร์แลนด์เหนือ จัดตั้งกลุ่มแนวร่วมของ
IRA(Irish Republic Army) เป็นขบวนการตอ่ สู่เพ่อื ชาตนิ ิยมไอร์แลนด์ต่อตา้ นกองกาลังของอังกฤษซ่ึง
สนับสนนุ กลมุ่ โปรเตสแตนต์อย่างรนุ แรง วถิ ชี วี ติ ของชมุ ชนทงั้ ที่อยู่อาศัยและโรงเรียนถูกแบ่งแยกออก
จากกันอย่างชัดเจน นอกจากน้ียังเกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยเจา้ หน้าที่ของรัฐที่สลายการชุมนุม
และการตรวจค้นจับกุมรวมทั้งความไม่ไว้วางใจระหวา่ งนักการเมืองจากพรรคท้ังสองฝา่ ยอกี ดว้ ย สว่ น
กระบวนการสนั ตภิ าพน้นั มคี นกลางเปดิ เวทใี ห้แตล่ ะฝา่ ยพูดอย่างอิสระทัง้ ความรูส้ ึก และผลกระทบท่ี
เกิดขึ้นและทาให้ทั้งสองฝ่ายรู้สึกว่าเป็นผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกันหรือต่างฝ่ายต่างก็เป็นเหยื่อ (Vitim)
ของความขัดแย้ง มีหน่วยงาน Community Relations Council (CRC) ส่งเสริมให้เกิดการ
ประนีประนอมและความเข้าใจกัน ลดความรุนแรงและให้ประชาชนมีวิสัยทัศน์สาหรับอนาคตของ
ไอร์แลนด์เหนือในระดับชุมชน สร้างโอกาสให้ประชาชนได้มีการพูดคุยกันและเข้าใจวัฒนธรรมซ่ึงกัน
และกัน สรา้ งกิจกรรมทท่ี ง้ั 2 ฝ่ายสนใจใหท้ ารว่ มกันระหว่างคาทอลกิ และโปรเตสแตนต์ เช่น กิจกรรม

118811

ทเี่ กยี่ วกบั กีฬาและผู้หญิง จงึ จะสามารถชักจงู ใหเ้ กิดความร่วมมือ และไว้วางใจซึ่งกันละกัน รฐั บาลขอ
โทษประชาชน และเปิดให้กลุ่มตา่ ง ๆ เข้ามามีสว่ นร่วมในกระบวนการสนั ติภาพ

ประเทศรวันดา: ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มชาติพันธ์ุฮูตูซึ่งเป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่กับกลุ่มตุ๊ดซ่ี
เริ่มต้นจากการท่ีประเทศเจ้าอาณานิคมเบลเย่ียม ให้อานาจตุ๊ดซ่ีปกครองรวันดาต่อ ตุ๊ดซ่ีก็เริ่มเอา
เปรยี บกลมุ่ ฮตู ูดว้ ยวิธีการต่าง ๆ ทัง้ ปลดออกจากตาแหน่ง ลดปรมิ าณการครอบครองทรพั ยส์ ินน้อยลง
เวลาต่อมาเมื่อกลุ่มฮูตูได้เป็นผู้ปกครอง การแก้แค้นเอาคืนกลุ่มตุ๊ดซ่ีก็เกิดขึ้น เช่นการใช้อานาจเลือก
ปฏิบัติต่อตุ๊ดซี่ การฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุเกิดขึ้น ตุ๊ดซ่ีต้องอพยพออกนอกประเทศถึง 400,000 คน และมี
การการส่ือสารเพ่ือกระพือความโกรธแค้นระหว่างท้ังสองฝ่ายเพ่ิมข้ึน จนกระท่ังกองกาลัง Rwandan
Patriotic Front (RPF) ของชาวตุ๊ดซ่ียึดอานาจรฐั บาลของกลุ่มฮูตูได้อีกคร้ัง กลุ่มฮูตูก็เป็นฝ่ายถูกตาม
ฆ่าต้องลี้ภัยไปประเทศคองโกง รัฐบาลของตุ๊ดซี่ส่งกองกาลังบุกประเทศคองโก และล้มรัฐบาลคองโก
ได้ ตั้งคาบิลล่าเป็นประธานาธิบดีแทนและสังหารชาวรวนั ดาฮูตูในคองโกตายไปเป็นจานวนมาก และ
ต่อมาคาบิลล่ากลับมาต่อต้านรัฐบาลตุ๊ดซ่ี รวันดาก็เป็นปฏิปักษ์กับคองโก และต่างฝ่ายต่างหา
พนั ธมติ รมาทาสงครามกันเปน็ ระยะเวลา 5 ปี มีคนพลัดถิ่นและพลเรือนถูกสังหารมากกว่า 3 ล้านคน
ในกระบวนการสันติภาพ รัฐบาลแซมเบียเข้ามาไกล่เกล่ียนเมื่อ ค.ศ. 1999 ตั้งคณะกรรมการร่วมได้
ข้อตกลงให้ถอนกาลังออกจากคองโก ให้กองกาลังท้ังสองฝ่ายปลดอาวุธ รัฐบาลรวันดาและคองโกได้
ลงนามข้อตกลงสันติภาพร่วมกันในประเทศเคนยาเพ่ือยุติการสู้รบ และมีวิธีการสร้างสันติสุขใน
ประเทศด้วยวิธีการท่ีหลากหลาย ที่สาคัญคือการลงโทษผู้กระทาผิด (Retributive Justice) รวมถึง
การให้ผู้กระทาผิดได้สารภาพถึงความผิดที่ได้กระทาไป (Confess Their Crimes) นามาสู่การได้รับ
ความจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพ่ือได้รับลดหย่อนการพิจารณาโทษจากศาล นอกจากนี้มีการ
เยียวยาความรู้สึกของผู้สูญเสีย การได้รับการขอโทษ การสานึกผิดจากผู้กระทาการละเมิดสิทธิ
มนุษยชน การบอกให้รู้ถึงสถานท่ีที่นาชิ้นส่วนของผู้ถูกสังหารไปซ่อนไว้เพื่อจะได้นาศพไปประกอบ
พิธกี รรมอยา่ งสมเกยี รติ เป็นตน้

ประเทศอิสราเอล เร่ิมต้นจากสงครามครูเสดต้ังแต่ปี ค.ศ. 1096 ผู้นาศาสนจักรคาทอลิกบุก
โจมตีเพ่ือแย่งชิงนครเยรูซาเลม ทาให้ชาวยิวในยุโรปและเยรูซาเลมล้มตายเป็นจานวนมาก ขณะที่
บางส่วนซึ่งต้ังชุมชนอยู่ในปาเลสไตน์ต้องพลัดถ่ินฐาน ชาวยิวต้องอพยพลี้ภัยไปอยู่ในดินแดนต่าง ๆ
ทาให้ลัทธิไซออนิสต์ก่อกาเนิดขึ้นในยุโรปในช่วงปี ค.ศ. 1857-1900 เพ่ือรวบรวมชาวยิวพลัดถ่ินให้
กลบั คนื สูม่ าตภุ ูมิในปาเลสไตน์ ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งท่ี 1 เกดิ กระแสต่อตา้ นชาวยวิ ขึน้ ในยุโรป
โดยเฉพาะในเยอรมนี จนนาไปสู่การฆ่าล้างเผา่ พนั ธ์ุชาวยวิ ในชว่ งสมยั สงครามโลกครงั้ ที่ 2

182 182

หลังสงครามโลกคร้ังที่ 2 เม่ือชาวยิวจานวนมากเดินทางกลับมายังดินแดนปาเลสไตน์อีกครง้ั
โดยความเห็นชอบของอังกฤษที่ปกครองปาเลสไตน์ในขณะนั้น และองค์การสหประชาชาติได้มีมติให้
อิสราเอลก่อต้ังรัฐข้ึนได้บนดินแดนปาเลสไตน์ท่ีถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน สร้างความไม่พอใจแก่ชน
พ้ืนเมืองชาวปาเลสไตน์ซ่ึงเป็นชาวอาหรับ รัฐอิสราเอลได้ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในเทลอาวีฟ
ภายใต้การนาของนายกรัฐมนตรี เดวิด เบน-กูเรียน (David Ben-Gurion) เมื่อ 14 พฤษภาคม ค.ศ.
1948 และในปี ค.ศ.1964 ‘องค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์’ (Palestinian Liberation Organisation
– PLO) ได้รับการก่อต้ังขึ้นในกรุงไคโรเพ่ือต่อสู้เพื่อชาวอาหรับในอิสราเอลโดยใช้กองกาลังทางอาวุธ
สงครามนองเลือดระหว่างอิสราเอลกับอาหรับก็เกิดขึ้นอย่างต่อเน่ืองแม้ว่าองค์การสหประชาชาติ
พยายามยุติปัญหา เช่น ปี ค.ศ. 1993 ความตกลงออสโลครั้งท่ี 1 (Oslo I Accord) และครั้งท่ี 2 ในปี
ค.ศ. 1995 เพ่ือให้สิทธิการปกครองตนเองของชาวปาเลสติเนียนในบางสว่ นของเวสต์แบงค์และฉนวน
กาซา แต่อิสราเอลกลับมายึดครองเขตเวสต์แบงค์ในปี ค.ศ. 2002 อีก ยัตเซอร์ อาราฟัต ผู้นา PLO
เสยี ชวี ติ ในปี ค.ศ. 2004 ซึง่ ส่งผลกระทบอยา่ งมากต่อแนวทางเพื่ออนาคตของชาวปาเลสติเนียน ความ
รุนแรงก็หวนกลับมาอีก อิสราเอลประกาศสงครามกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ (Hezbollah) ในเลบานอน
ปี ค.ศ.2006 และเริ่มการโจมตีกลุ่มฮามาส (Hamas) ในฉนวนกาซาซ้าแล้วซ้าอีก รวมถึงปฏิบัติการ
ทางทหารหลายครั้ง จนมาถึง ค.ศ. 2017 โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ
โดนัล ทรัมป์ ร่วมกับ เบนยามิน เนเทนยาโฮ นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ทาแผนสันติภาพ “the Deal
of the Century” เพื่อการขับเคล่ือนของสหรัฐฯ และอิสราเอล หวังนาการพัฒนาระบบโครงสร้าง
พื้นฐานและยกระดับระบบเศรษฐกิจชาวปาเลสไตน์ให้มีสภาพความเป็นอยู่ท่ีดีขึ้น แต่ขาดการมีส่วน
ร่วมจากฝ่ายปาเลสไตน์ ทาลายความพยายามในการแก้ปัญหาแบบสองรัฐ (two–state solution)
และจากท่าทีการประชุมสหภาพรัฐสภาอาหรับ (Arab Inter–Parliamentary Union) ซ่ึงจัดขึ้น ณ
กรุงอมั มาน ประเทศจอร์แดน เมอ่ื เดือนกมุ ภาพันธ์ ค.ศ. 2020 ท่ีผา่ นมา ได้ออกถ้อยแถลงเหน็ พ้องกัน
ด้วยการไม่เห็นชอบและไม่รับแผนสนั ติภาพฉบับน้ี และเตือนผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายว่า อาจสุ่มเส่ียงจนทา
ให้เกิดสงครามศักดิ์สิทธ์ิ หรือสงครามศาสนา โดยเฉพาะประเด็นการยึดครองกรุงเยรูซาเล็ม ความตึง
เครียดท่ีต่อมาปะทุขึ้นอีกคร้ังในฉนวนกาซา และส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มข้ึนจากการโจมตีด้วยจรวดที่
ฝา่ ยอิสราเอลและฮามาสกระหนา่ เข้าใส่กนั

แคชเมียร์ ในปี ค.ศ.1846 อังกฤษได้ครอบครองแคว้นชัมมูและแคชเมียร์ และให้อานาจการ
ปกครองกับ มหาราชา ฮาริ สิงห์ โดกรา (Hari Singh Dogra) ในช่วงเดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 1947
ชนเผ่าปัชตุน (Pashtun) จากชายแดนทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของปากีสถานเข้ารุกรานแคว้น
แคชเมียร์ และเกิดความไม่สงบจากการต่อต้านกลุ่มท่ีนับถือศาสนาอิสลามท่ีพยายามจะรวมเข้ากับ
ปากีสถาน จากเหตุการณ์ดังกล่าวทาให้มหาราชา ฮาริ สิงห์ ตัดสินใจนาแคว้นชัมมูและแคชเมียร์เข้า

118833

ร่วมกับอินเดีย หลังจากนั้นความขัดแย้งระหวา่ งอินเดยี -ปากีสถาน ได้ทวีความรุนแรงขึ้นและต่อเนอ่ื ง
ยาวนานจนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 50 ปี แคว้นชัมมูและแคชเมียร์ เป็นชนวนเหตุสงครามระหว่าง
อนิ เดียและปากีสถานอย่างนอ้ ย 3 ครั้ง ดงั น้ี

เร่ิมจากครั้งแรกปากีสถานให้การสนับสนุนทหารชาวเขาจากชายแดนภาคตะวันตกเฉียง
เหนือ บุกแคชเมียร์ และสามารถยึดครองดินแดนได้ถึง 1 ใน 3 ของแคว้น มหาราชาตดั สินใจขอความ
ช่วยเหลือจากรัฐบาลอินเดีย และรัฐบาลอินเดียได้ส่งทหารเข้าไปปะทะสู้รบกันหลายคร้ัง รัฐบาล
อินเดียย่ืนประท้วงต่อสหประชาชาติ และมีมติให้ทั้ง 2 ฝ่ายหยุดยิง เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1949
โดยกาหนดแนวหยุดยิงท่ีชัดเจน ต่อมาวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1965 เม่ือปากีสถานส่งกาลังทหารเข้า
โจมตี โดยอ้างว่าเป็น “วันปลดปล่อยแคชเมียร์” ซึ่งตรงกับการฉลองครบรอบ 12 ปีที่เชค อับดุลลาห์
ผู้นาการเคล่ือนไหวเพื่อเสรีภาพชาวแคชเมียร์ถูกจับกุม รัฐบาลอินเดียได้ย่ืนประท้วงสหรัฐอเมริกาว่า
ละเมิดแนวหยุดยงิ สหรัฐฯจึงได้ระงบั การขายอาวธุ ให้ปากีสถาน อินเดียส่งกาลังทหารตอบโต้สามารถ
ยึดดินแดนกลับคืนมาได้จนทาให้ปากีสถานต้องยอมหยุดยิงและเจรจาสงบศึกเมื่อ ค.ศ. 1966 ท่ีเมือง
Tashkent และช่วงระหว่างวันท่ี 26 พฤษภาคม – 26 กรกฎาคม ค.ศ. 1999 เรียกว่า “Kargil War”
ปากสี ถานเปลย่ี นยทุ ธวิธกี ารรบโดยใชน้ ักรบศักด์ิสิทธิ์ของพระผเู้ ป็นเจ้า หรอื “Jihad” ตอ่ สกู้ ับอนิ เดีย
จัดต้ังค่ายผู้ก่อการร้ายในเขตแคชเมียร์ของปากีสถาน ในสงครามคร้ังน้ีแม้อินเดียจะเป็นฝ่ายได้รับชัย
ชนะ แตอ่ ินเดียพบกับความสญู เสียมหาศาล

ช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ท้ังสองประเทศเปิดการเจรจาสันติภาพหลายครั้ง และได้มีการเปิด
เส้นทางรถโดยสารระหว่าง 2 ฝากฝ่ังแคชเมียร์ในปี ค.ศ. 2005 ขณะที่ในปี ค.ศ. 2006 ได้มีการเปิด
เส้นทางรถไฟและเส้นทางการค้าหลังจากปิดมา 60 ปี ต่อมาในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 2008 เกิด
เหตุการณ์การก่อการร้ายท่ีกรุงมุมไบ ความสัมพันธ์ระหว่างท้ังสองประเทศเร่ิมย่าแย่ลงอีกครั้ง และ
เมื่อวันท่ี 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 จากเหตุระเบิดฆ่าตัวตายในเขตพูลวามาซึ่งเป็นดนิ แดนแคชเมียร์
ในส่วนที่อยู่ในการควบคุมของอินเดีย ทาให้เจ้าหน้าท่ีกองกาลังตารวจกึ่งทหารเสียชีวิต 46 นาย
นับเป็นเหตุรุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ และในต้นปี ค.ศ.2021 ปากีสถานและอินเดียบรรลุ
ข้อตกลงยุติข้อพิพาททางการทหารบริเวรแคว้นแคชเมียร์ โดยมีแถลงการณ์ที่จัดทาร่วมกันระหว่าง
ผู้แทนของสองประเทศระบุ "ท้ังสองฝ่ายตกลงให้เคารพข้อตกลงทุกฉบับท่ีมีอยู่อย่างเข้มงวด รวมทั้ง
ทาความเข้าใจและหยุดยิงตามแนวเขตการปกครองตลอดจนภาคส่วนอ่ืน ๆ โดยมีผลต้ังแต่เที่ยงคืน
วันที่ 24 ตอ่ เน่ืองถงึ เชา้ วนั ที่ 25 กมุ ภาพนั ธ์ ค.ศ. 2021 เปน็ ต้นไป"

ประเทศเนปาล:มีความขัดแย้งทางอุดมการทางการเมืองระหว่างพรรคฝ่ายกลางที่สนับสนุน
แนวทางประชาธิปไตยซึ่งมีสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญกับพรรคนิยมลัทธิเหมาซ่ึง
ต้องการร่างรัฐธรรมนูญตามตามแนวทางทางการเมืองของตน จนความขัดแย้งเร่ิมบานปลาย รัฐ

184 184

เนปาล อินเดีย สหรัฐอเมริกา และประเทศสาคัญๆ ก็ประกาศให้กลุ่มผูน้ ิยมลัทธิเหมาตกอย่ใู นสถานะ
ผ้กู ่อการร้าย ในระยะ 10 ปีของความขัดแยง้ ทาให้มผี คู้ นถูกสงั หารเสยี ชีวติ เกือบ 14,000 คน และเม่ือ
พระอนุชาของกษัตริย์ท่ีถูกปลงพระชนม์ขึ้นเป็นกษัตริย์พระองค์ใหม่ของเนปาล กลายเป็นเผด็จการ
รวบอานาจไว้เบ็ดเสร็จ ก็นาไปสู่ความขัดแย้งท่ีมีอยู่เดิมเพ่ิมข้ึน จนในท่ีสุดเมื่อปี ค.ศ. 2005 พรรค
การเมืองในรัฐสภาและกลุ่มผู้นิยมลัทธิเหมา ได้จับมือร่วมกันต่อสู้กับกษัตริย์เผด็จการ ส่วนการสร้าง
สันติภาพน้ัน ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2006 ได้มีการลงนามในข้อตกลงสันติภาพ “ข้อตกลง
สันติภาพท่ีครอบคลุมรอบด้าน (Comprehensive Peace Agreement: CPA) และได้มีการเลือกต้ัง
สภาร่างรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐฉบับใหม่ ในปี ค.ศ. 2008 จนสาเร็จเมื่อปี 2013 ขณะเดียวกัน
องค์การสหประชาชาติได้ดาเนินการชว่ ยเหลือ กลุ่มนักรบของกลุ่มลทั ธิเหมา 31,000 คน ให้กลบั คือสู่
สังคมและได้รับการฟื้นฟูเยียวยา และในท่ีสุดนักรบท่ีเกษียณตนเองโดยสมัครใจจานวน 15,624 คน
และอีก 1,422 คน เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพแห่งชาติของประเทศเนปาล โดยมีการส่งมอบ
อาวุธคนื ให้รัฐ และการรบั การชดเชยเยียวยาเป็นการตอบแทนและกลับบา้ น

ประเทศศรีลังกา: เป็นความขดั แยง้ เรื่องเร่ืองอัตลักษณ์ในศรลี ังกา ของชาวสงิ หลกับชาวทมิฬ
โดยชาวทมิฬรู้สึกว่าถูกรัฐบาลกลางเอาใจชาวสิงหลและเบียดขับชาวทมิฬเช่น การปประกาศให้ใช้
ภาษาสิงหลเป็นภาษาราชการ การกระจายอานาจท่ีไม่เท่าเทียมกันจึงเกิดการต่อต้าน ชาวทมิฬได้
อพยพไปรวมตัวกนั อยทู่ างภาคเหนือรว่ มเคล่ือนไหวเพ่ือแยกดินแดนเป็นอสิ ระจากศรีลังกา เรม่ิ จากตั้ง
ขบวนการแนวร่วมปลดปล่อยทมิฬ (Tamil United Liberation Front) จนพัฒนาเป็นกองกาลังติด
อาวุธท่ีเป็นที่รู้จักอย่างกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬอีแลม (LTTE) ซึ่งต่อสู้กับรัฐบาลศรีลังกาจนกลายเป็นสงคราม
กลางเมืองอยู่ 30 ปี ส่วนการสร้างสันติภาพนั้น หลังสงครามกลางเมืองก็มีกระบวนการสร้างความ
สมานฉนั ทท์ เ่ี ร่ิมต้นจากรัฐบาลแต่ยงั ไม่ไดร้ บั การยอมรับมากนกั หน่วยงานภาคประชาสังคมได้เริ่มเข้า
ไปสานสัมพันธ์โดยวิธีการ จัดทาฐานข้อมูลเพื่อสร้างความทรงจา และกระบวนการเล่าเร่ือง
(storytelling) ในฐานะเป็นพ้ืนที่ท่ีเหยื่อหรือผู้ก่อความรุนแรงได้เปล่งเสียงออกมา เพื่อรับฟัง สร้าง
ความเข้าใจ และเยียวยาชุมชน ต้ังแตป่ ี ค.ศ. 2015 “เรามีเสียงและเราตอ้ งการถูกรับฟัง” ผา่ นหนังสือ
Voices of Peace เป็นเคร่ืองมือที่ส่งเสียงมุ่งให้เกิดการเปล่ียนแปลงระดับนโยบาย และสนับสนุน
กระบวนการสันติภาพ สิ่งเหล่าน้ีเป็นการสรา้ งสภาพแวดลอ้ มท่ีเอ้ือให้เกิดสันติภาพ และกระบวนการ
เหลา่ น้ียังต้องได้รับความรว่ มมอื และคาสัญญาจากรัฐบาล เพอ่ื ให้เกิดผลกระทบในวงกวา้ งตอ่ ไป

ประเทศพมา่ หรอื เมยี นมาร์ ความขัดแย้งทเ่ี กิดขนึ้ อย่างต่อเน่ืองในพม่าไดแ้ กร่ ัฐบาลของพม่า
กบั ชาตพิ นั ธชุ์ นกลมุ่ น้อยตา่ ง ๆ โดยเฉพาะหลังจากการยึดครองของสหราชอาณาจักรในปี พ.ศ. 2491
และในช่วงท่ีนายพลเนวิน ก่อรัฐประหารได้จัดต้ังรัฐบาลปกครองพม่าแบบระบบพรรคเดียวต้ังแต่ปี
พ.ศ. 2517 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนกับชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยอย่างรุนแรง จนถึงช่วงปี
พ.ศ. 2531 มีการประท้วงต่อต้านรัฐบาลเผด็จการของนายพลเนวินโดยกลุ่มนักศึกษา การต่อต้าน

118855

ขยายตัวไปท่ัวประเทศ ในปีเดียวกันนี้กองทัพก็ทาการรัฐประหาร และจัดต้ังสภาฟื้นฟูกฎหมายและ
ระเบียบแห่งรัฐ (SLORC) และได้ทาการปราบปรามผู้ประท้วงอย่างรุนแรงทาให้ผู้เสียชีวิตเป็นจานวน
มาก ในช่วงน้ีเอง อองซานซูจี ก็ได้ออกมาร่วมเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลพม่าร่วมกับ ประชาชนท่ัว
ประเทศ ต่อมาซูจีได้เป็นผู้นาพรรคฝ่ายค้านที่ใหญ่ท่ีสุดของประเทศคือพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อ
ประชาธิปไตย (NLD) เมื่อรัฐบาลทหารจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในปี พ.ศ. 2533 พรรค NLD ได้
คะแนนเสียงข้างมาก แต่คณะรัฐบาลทหารปฏิเสธท่ีจะรับรู้ผลและได้สั่งให้อองซานซูจีกักบริเวณแทน
ทาให้ผลการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นโมฆะ รัฐบาลทหารก็รวบอานาจปกครองด้วยสภาสันติภาพและการ
พัฒนาแห่งรัฐ (SPDC) ต่อไป และเกิดการสู้รบคร้ังใหญ่กับกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติกะเหร่ียง
(KNLA) การปะทะกนั ดังกล่าวสง่ ผลให้พลเรอื นหลายแสนคนในรัฐเคยอ์ ินต้องพลดั ถน่ิ ในปี พ.ศ. 2558
พรรค NLD ของ อองซานซูจี จัดต้ังรัฐบาลได้สาเร็จหลังจากมีการปฏิรูปการเมืองเม่ือปี พ.ศ. 2554
โดยชนะการเลือกต้ัง มีนาย ถ่ินจอ เป็นประธานาธิบดีและ อองซานซูจี เป็นท่ีปรึกษาแหง่ รัฐ รัฐมนตรี
กระทรวงต่างประเทศ และรัฐมนตรีสานักงานประธานาธิบดี การที่พรรคฝ่ายค้านสามารถจัดต้ัง
รัฐบาลเสียงข้างมากเป็นผลมามาจากการปฏิรูปการเมืองของรัฐบาลนายพลเต็ง เส่ง เพื่อสนับสนุน
ประชาธิปไตย ส่วนในด้านการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางชาติพันธุชนกลุ่มน้อย รัฐบาลพม่าพยายาม
เจรจาหยุดยิงท่ัวประเทศหลายครั้ง ทั้งในสมัยรัฐบาลของนายพลเต็ง เส่ง และรัฐบาลท่ีมี ซูจีเป็นแกน
นา โดยการลงนามข้อตกลงหยุดยิงกับกองกาลังชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ แต่ก็ยังมีการสู้รบกับบางกลุ่มบาง
พ้ืนท่ีต่อไป ส่วนวิกฤตการณ์โรฮิงยาซึ่งเป็นที่สนใจของนานาชาติ รัฐบาลของนางอองซานซูจีได้จัดต้ัง
คณะที่ปรึกษาเพ่ือแก้ปัญหาโดยม่ีนายโคฟี อันนันเป็นประธาน แต่ชาวพุทธหัวรุนแรงท้ังในรัฐยะไข่
และทั่วประเทศไม่เห็นด้วย การละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชาวโรฮิงญาก็ยังเกิดข้ึนอย่างรุนแรงและ
ตอ่ เนอ่ื ง โดยอองซานซูจี ไมไ่ ดม้ บี ทบาทในการแกป้ ัญหาทช่ี ดั เจน

การเลือกต้ังในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2563 พรรค NLD คว้าชัยกวาดท่ีน่ังไปได้กว่าร้อยละ
71 ของท่ีนั่งท้ังหมด และเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564 กองทัพพม่านากาลังเข้าควบคุมตัว ออง
ซาน ซู จี ที่ปรึกษาแห่งรัฐ (State Counsellor) และผู้นาพรรค NLD ประธานาธิบดีวิน มยิ้น และ
ผู้นาระดับสูงในพรรคอีกหลายคน กองทัพพม่าประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยระบุว่าเพ่ือจัดการกับ
ปัญหาการเลือกต้ัง และรวบอานาจจัดตั้งรัฐบาลทหารพม่าอีกคร้ังหนึ่ง ทาให้มีการประท้วงต่อต้าน
ของประชาชนท่ัวประเทศ และทหารมีการปราบปรามอย่างรุนแรง มีผู้เสียชีวิตถูกจับกุมเป็นจานวน
มาก ชาติพันธุช์ นกลุ่มน้อยก็เริ่มโจมตสี ร้างความเสียหายกับฐานท่มี ั่นทหารและตารวจ รวมถงึ เกิดการ
ปะทะกันระหว่างกองทัพเมียนมากับกองกาลังกะเหร่ียงแถบชายแดนจังหวัดเมียวดีกับอาเภอแม่สอด
ทาใหม้ ผี อู้ พยพจากเมยี นมาหนเี ขา้ มาในไทยราว 4,000 คน และยังมที ร่ี อเข้ามาอีกหลายพันคน

186 186

มิดาเนา สาธารณรฐั ฟิลิปปินส์:ชาวมุสลิมในมิดาเนาถูกกระทาต้ังแตเ่ จ้าอาณานิคมเข้ามายึด
ครองฟลิ ปิ ปนิ ส์ ทง้ั การพยายามกลนื ชาติความเปน็ มุสลิม การไมร่ ับความไมเ่ ป็นธรรมจากรัฐบาลกลาง
การแย่งชิงการยึดครองที่ดิน การสังหาญหมู่ทาให้ชาวมุสลิมบาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจานวนมาก มี
การจัดต้ังขบวนการเพื่อต่อสู้กับรัฐบาลฟิลิปปินส์ 2 กลุ่ม ได้แก่ แนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติโมโร
(MNLF) และแนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโร (MILF) เพ่ือต่อรองและต่อสู้กับรัฐบาลกลาง ส่วน
กระบวนการสันติภาพ ได้เร่ิมต้นเจรจาเพ่ือยุติความขัดแย้ง โดยองค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC)
เป็นตัวกลาง ต่อมามีการบรรจุเขตการปกครองตนเองแห่งมุสลิมมิดาเนาในรัฐธรรมนูญและหย่ังเสียง
ประชามติสาเร็จในสมัยประธานาธิบดีรามอส ปี ค.ศ.1997 มีการตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆเพ่ือฟื้นฟู
ความสัมพันธ์และพัฒนาด้านเศรษฐกิจโดยการช่วยขององค์กรระหว่างประเทศจาก สหรัฐอเมริกา
(USIAD) ญปี่ นุ่ (JICA) และแคนาดา (CIDA) พร้อม ๆ กับการเจรจากับกลุ่มแนวร่วมปลดปล่อยอิสลาม
โมโร จนสามารถบรรลขุ ้อตกลงและดาเนนิ การเขตการปกครองตนเองบังซาโมโน ในปี ค.ศ. 2016

อาเจะห์ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย: เป็นความขัดแย้งหลักระหว่างรัฐบาลอินโดนีเซียรวมถึง
กองทัพอินโดนีเซีย (Tentara Nasional Indonesia – TNI) กับกลุ่มขบวนการปลดปล่อยอาเจะห์
(GAM) ซ่ึงก่อตั้งเม่ือ ปี ค.ศ.1976 เพื่อต้องการอิสรภาพจากการเป็นอาณานิคมของอินโดนีเซีย
เนื่องจากอาเจะห์เคยเป็นรฐั อิสระท่ีเจริญรุ่งเรืองมาก่อน และความไมเ่ ป็นธรรมในการจัดสรรผลประโยชน์
จากทรพั ยากรน้ามันและแกส๊ ธรรมชาติในเขตพ้ืนที่อาเจะห์ของรฐั บาลอินโดนีเซยี ประกอบกับอัตลักษณ์
วัฒนธรรมที่แตกต่างไปจากวัฒนธรรมชวาซ่ึงเป็นวัฒนธรรมของประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ กลุ่ม
GAM ต่อต้านรัฐบาลอินโดนีเซีย ถูกกองทัพปราบปรามอย่างหนักและต้องพ่ายแพ้ในที่สุด แต่ก็ยังคง
ยืนยันท่ีจะต่อสู้เพ่ือการปกครองตนเองต่อไป กระบวนการสันติภาพ เกิดขึ้นเม่ือหมดยุคระบอบเผด็จ
การของประธานาธิปดีซูฮาร์โต ปี พ.ศ. 2541 ทาให้บรรยากาศการเมืองเปิดในการเจรจาโดย
ประธานาธิบดีซูซิโล บัมบัง ยูโดโยโน เป็นบุคคลที่มีบทบาทสาคัญใน การผลักดันและส่งเสริม
กระบวนการสร้างสันติภาพในอาเจะห์ตั้งแต่คร้ังเป็นรัฐมนตรีเม่ือปี พ.ศ. 2542 เรื่อยมา จนกระทั่ง
ประสบความ สาเร็จในปี พ.ศ. 2548 พรอ้ มกบั มีองค์กรระหว่างประเทศคือ HDC เขา้ มาทาหน้าที่เป็น
คนกลางในการเจรจา และเกิดขอ้ ตกลง CoHA ข้ึนในทส่ี ดุ อนั เป็นขอ้ ตกลงสนั ติภาพฉบบั แรกหลังจาก
ชะงักลงจากการประกาศกฎอยั การศึกของประธานาธบิ ดเี มกาวาตีเมื่อ ปี พ.ศ. 2546 ซึง่ ขณะน้นั มกี าร
ปราบปราม GAM เป็นระยะ ๆ และก็ได้มีการเจรจากันในรอบสองจากแกนนาของรัฐบาลและองค์กร
การริเริ่มการจัดการภาวะวิกฤต (Crisis Management Initiative: CMI) และมีการประกาศหยุดยิง
โดยฝ่าย GAM ในวันท่ี 29 ธันวาคม 2547 สามวันให้หลังเหตุการณ์สึนามิ การเจรจาสันติภาพรอบ
สอง เกดิ ขนึ้ อย่างเป็นทางการในเดือนมกราคม 2548 โดยมี CMI ทาหน้าที่เปน็ คนกลางภายใต้การนา
ของอดีตประธานาธิบดีฟินแลนด ์ มาร์ตติ อาห์ติซารี ที่กรุงเฮลซิงกิ อันนาไปสู่การลงนาม MOU ใน
วนั ที่ 15 สงิ หาคม 2548 ซงึ่ เป็นการยตุ คิ วามรนุ แรงในอาเจะห์


Click to View FlipBook Version