วารสารวิจัยการศึกษา โรงเรียนปากเกร็ด Journal of Educational Research Pakkred Secondary School ฉบับที่ 1 ปีการศึกษา 2564 Volume 1 Academic years 2021
วารสารฉบับนี้เป็นวารสารวิจัยการศึกษา โรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่ 1 ปีการศึกษา 2564 ที่จัดท าขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้ แนวความคิดทางการศึกษา และการแก้ไขปัญหาการจัดการเรียน การสอนภายในโรงเรียนปากเกร็ด เพื่อส่งเสริมให้ครู และบุคลากรทางการศึกษาของโรงเรียนมี ส่วนร่วมในการเผยแพร่ และบริการความรู้ทางด้านวิชาการแก่ชุมชน และสังคม อีกทั้งยังเป็น สื่อกลางในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และประชาสัมพันธ์ความเคลื่อนไหว ความก้าวหน้า ทางการศึกษา และการจัดการเรียนการสอน ซึ่งสาระของบทความวิจัยของวารสารฉบับนี้ ครอบคลุมการจัดการศึกษาในระดับมัธยมศึกษา 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ รวมไปถึงงานแนะแนว และงานเทคโนโลยี ทั้งในด้านวิธีการจัดการเรียนการสอน การพัฒนาความรู้ ความสามารถ สมรรถนะ พัฒนาการและพฤติกรรมของนักเรียนที่ผู้อ่านสามารถติดตามได้ในวารสารเล่มนี้ ทางกองบรรณาธิการวารสารวิจัยการศึกษา โรงเรียนปากเกร็ด ขอขอบพระคุณครู และบุคลากรทางการศึกษาทุกท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดท าวารสารให้ประสบผลส าเร็จ ให้ความอนุเคราะห์ และสนับสนุนเพื่อให้เกิดการท างานอย่างราบรื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขอ ข อบ คุณ ค รู ผู้ เ ขี ย นบท ค ว า ม วิ จั ยที่ท าให้ ส า ร ะใน ว า ร ส า รเ กิ ด ค ว าม ส มบู รณ์ โดยกองบรรณาธิการวารสารจะพัฒนาคุณภาพการจัดท าวารสารวิจัยการศึกษา โรงเรียนปาก เกร็ดให้เกิดการเผยแพร่ความรู้ที่เป็นประโยชน์แก่วงการการศึกษาต่อไป บรรณาธิการวารสารวิจัยการศึกษา โรงเรียนปากเกร็ด วารสารวิจัยการศึกษา โรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่ 1 ปีการศึกษา 2564 บรรณาธิการแถลง
วารสารวิจัยการศึกษา โรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่ 1 ปีการศึกษา 2564 สารบัญ หน้า บรรณาธิการแถลง สารจากผู้อ านวยการ 1 สารจากรองผู้อ านวยการ 2 สรุปผลการประกวดงานวิจัยทางการศึกษา โรงเรียนปากเกร็ด 4 ผลงานวิจัยทางการศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย 6 ผลงานวิจัยทางการศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ 39 ผลงานวิจัยทางการศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 90 ผลงานวิจัยทางการศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 151 ผลงานวิจัยทางการศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา 187 ผลงานวิจัยทางการศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ 206 ผลงานวิจัยทางการศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ 220 ผลงานวิจัยทางการศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ 243 ผลงานวิจัยทางการศึกษางานแนะแนว 291 ผลงานวิจัยทางการศึกษางานเทคโนโลยี 301 รายชื่อกองบรรณาธิการวารสารวิจัยทางการศึกษา โรงเรียนปากเกร็ด 306
โรงเรียนปากเกร็ดเป็นโรงเรียนมาตรฐานสากล ซึ่งมีการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และที่ปรับปรุง พ.ศ.2560 โดยการจัดการเรียนการ สอนของคุณครูโรงเรียนปากเกร็ด มีการจัดการเรียนการสอนที่หลากหลายตามความเหมาะสมและ ความแตกต่างระหว่างบุคคลและมุ่งเน้นนักเรียนเป็นส าคัญดังนั้นกระบวนการวิจัยเป็นเครื่องมือส าคัญ วารสารวิจัยการศึกษา โรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่ 1 ปีการศึกษา 2564 นางสาววิณัฐธพัชร โพธิ์เพชร ผู้อ านวยการโรงเรียนปากเกร็ด สารจากผู้อ านวยการ 1 ในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนของครู และพัฒนานักเรียนให้เป็น มนุษย์ที่สมบูรณ์ ในการจัดท าวารสารงานวิจัยโรงเรียนปากเกร็ด ผอ.จึง หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นพื้นที่ในการเผยแพร่งานวิจัยในชั้น เรียนของครู และเป็ นพื้นที่ส าหรับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ กระบวนการวิจัยของครู เพื่อน าไปสู่การแก้ปัญหา และพัฒนา นักเรียนซึ่งเป็นเป้าหมายส าคัญของการจัดการเรียนการสอน ของโรงเรียน ผอ.ขอขอบคุณคุณครูทุกท่านที่ให้ความส าคัญในการใช้ กระบวนการวิจัยมาพัฒนาคุณภาพนักเรียนของเรา และเห็น ความส าคัญในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ วิธีการแก้ปัญหาและ พัฒนานักเรียนของเรา ขอขอบคุณค่ะ
วารสารวิจัยการศึกษา โรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่ 1 ปีการศึกษา 2564 2 การวิจัยในชั้นเรียน เป็นการท าวิจัยเพื่อพัฒนากระบวนการเรียนการ สอน และเป็นกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ทั้งนักเรียนและครู การที่โรงเรียน ปากเกร็ดได้เล็งเห็นความส าคัญของการวิจัยในชั้นเรียนและได้ท าวารสาร เผยแพร่ผลงานวิจัยของครูทุกคน นับว่าเป็นการส่งเสริม สนับสนุนให้ครูใช้ กระบวนการวิจัยเป็นเครื่องมือในการพัฒนากระบวนการเรียนการสอน เปิด โอกาสการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และสร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ จากการ ปฏิบัติงาน ได้แก้ปัญหาเกี่ยวกับผู้เรียนและพัฒนาวิธีการจัดการเรียนรู้ที่ เหมาะสมกับความแตกต่างของผู้เรียนให้ดียิ่งขึ้น เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด ต่อผู้เรียน ขอบคุณครูทุกท่านที่เล็งเห็นความส าคัญของการวิจัยในชั้นเรียน หวัง เป็นอย่างยิ่งว่าผลการวิจัยในชั้นเรียนจะส่งต่อทิศทางที่พึงประสงค์ของ ผู้เรียน และเป็นไปตามความคาดหวังของสังคม การจัดการเรียนการสอนคือส่วนส าคัญของการท าหน้าที่ความ เป็นครู ซึ่งในกระบวนการนั้นต้องมีการพัฒนาเพื่อให้เกิด ประสิทธิภาพสูงสุด การท าวิจัยจึงเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาและ ใช้แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากการจัดการเรียนการสอน วารสารวิจัยเล่มนี้ เกิดขึ้นจากความตั้งใจของคุณครูทุกท่านที่ ต้องการพัฒนาสร้างสรรค์นักเรียนให้บรรลุตามเป้าประสงค์ รวบรวมเอางานวิจัยของคุณครูที่มีประสบการณ์มาไว้ ซึ่ง ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างยิ่ง ขอบคุณคุณครูทุกท่านที่ท าให้เกิดวารสารที่มีคุณค่าเล่มนี้ สารจากรองผู้อ านวยการ นางสาวดาราณีย์โกพลรัตน์ รองผู้อ านวยการกลุ่มบริหารกิจการนักเรียน นางสายไหม ดาบทอง รองผู้อ านวยการกลุ่มบริหารวิชาการ
วารสารวิจัยการศึกษา โรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่ 1 ปีการศึกษา 2564 3 การวิจัยของครูเป็นกระบวนการสร้างนวัตกรรมที่มีคุณภาพใน โรงเรียน ซึ่งเป็นส่วนส าคัญในการช่วยพัฒนาศักยภาพครูในการ จัดการเรียนรู้ และรวมถึงการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีให้เกิด ขึ้นกับนักเรียน ตลอดจนเป็นการพัฒนาวิชาชีพของตนเองอย่าง ต่อเนื่อง ให้เป็นครูที่ดีมีคุณภาพ การวิจัยในชั้นเรียนท าให้ครูได้มีโอกาสเรียนรู้และได้รับความรู้ ใหม่จากการปฏิบัติงาน ได้แก้ปัญหาเกี่ยวกับผู้เรียนและพัฒนา วิธีการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับความแตกต่างของผู้เรียน วารสารวิจัยการศึกษา จัดท าขึ้นเพื่อรวบรวมงานวิจัยของ คุณครูไว้เป็นแนวทางในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับเทคนิค วิธีการในการแก้ไขปัญหาผู้เรียนและเสริมสร้าง ความร่วมแรงร่วมใจระหว่างกันได้ในทุกสถานที่และทุกเวลาที่ ต้องการ อันน าไปสู่การสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ และขับเคลื่อนให้สถาบัน การศึกษาเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ ตลอดเวลา นางสาวธนัดดา ขีดเขียน รองผู้อ านวยการกลุ่มบริหารงบประมาณ และบุคคล สารจากรองผู้อ านวยการ นายปิยวัฒน์ อัครพรกุลฉัตร์ รองผู้อ านวยการกลุ่มบริหารทั่วไป
สรุปผลการประกวดงานวิจัยทางการศึกษา โรงเรียนปากเกร็ด การนำเสนองานวิจัย ครั้งที่ 1 : นวัตกรรมการศึกษา เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียน The 1st educational research conference: Educational Innovation for the quality of learners ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 รางวัลชนะเลิศ การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบผสมผสานโดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับบทเรียนออนไลน์ รายวิชา เทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ระดับชั้น ม.1 สายพิน งามสง่า รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1 การศึกษาผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเพื่อพัฒนาความสามารถในการจำแนก ประเภทเครื่องดนตรีไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนปากเกร็ด ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 วรางคณา เต้พันธ์ รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ โดยวิธีการสอนแบบการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problembased Learning: PBL) ร่วมกับการเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้แบบ 5E (The 5 E’s of Inquiry-Based Learning) เรื่องการถ่ายโอนพลังงานความร้อน รายวิชาวิทยาศาสตร์ รหัสวิชา ว21103 สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สุทธาทิพย์ ชอบธรรม รางวัลชมเชย การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการอ่านสะกดคำที่ไม่ตรงตามมาตรา โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่าน และการเขียนภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนปากเกร็ด บูรณา สนริ้ว การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเสริมทักษะคณิตศาสตร์2 เรื่องพหุนาม โดยใช้แบบฝึกทักษะสำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปิยะนุช บุตรมาก ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 รางวัลชนะเลิศ การแก้ไขปัญหาการย่ำเท้าไม่ตรงจังหวะในการปฏิบัติท่ารำ รำวงมาตรฐาน เพลงชาวไทยของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2/12 โรงเรียนปากเกร็ด ปีการศึกษา 2564 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน รังสิมา ไทยวัฒน์ รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1 การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง โครงสร้างภายในโลก สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2/4 โรงเรียนปากเกร็ด ที่ได้จากการจัดการเรียนรู้ด้วยชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ รายวิชา วิทยาศาสตร์ 4 รหัสวิชา ว22103 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 วิภาดา สุขวิพัฒน์ รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2 การศึกษาความพึงพอใจในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์4 ค22102 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาค เรียนที่2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนปากเกร็ด ผ่านการเรียนรู้ระบบออนไลน์ ประภัสสร รักษาภักดี รางวัลชมเชย แนวทางการแก้ไขปัญหาทักษะการเขียนสะกดคำ โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ การเขียนสะกดคำควบคู่กับ ทักษะการเขียนเรียงความด้วยเทคนิคบันได 4 ขั้น ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนปากเกร็ด ธัญประภา ดาวังปา การศึกษาความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้ผ่านเว็บไซต์ Pakkred Learning Cyber ของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนปากเกร็ด รายวิชาเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) อาทิตยา เฟื่องสำรวจ 4
ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 รางวัลชนะเลิศ วิจัยและพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ทางออนไลน์รายวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง วงกลม โดยใช้สื่อประสม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่3 โรงเรียนปากเกร็ด ชื่นจิต โฉมอุดม รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1 การแก้ปัญหาการส่งงานโดยใช้เกมมิฟิเคชั่นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/12 โรงเรียนปากเกร็ด อนุสรา สินธุสุข รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2 การพัฒนาสมรรถนะทางวิทยาศาสตร์ของผู้เรียนตามแนวทาง PISA ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาด ของเชื้อไวรัสโคโรน่า (Covid-19) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนปากเกร็ด โดยใช้แผนการ จัดการเรียนรู้ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5E) รายวิชาวิทยาศาสตร์ 6 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ณัชวดี ไชนโรจน์ รางวัลชมเชย การศึกษาความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้ผ่านเว็บไซต์ Pakkred Learning Cyber ของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนปากเกร็ด รายวิชาเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 พีรภัทร ฉัตรสุวรรณ แนวทางการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุกรูปแบบออนไลน์ เรื่อง พระอภัยมณี ตอน หนีนางผีเสื้อ เพื่อส่งเสริม ความสามารถในศตวรรษที่ 21 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนปากเกร็ด ปิยวัฒน์ ฤทธิ์มาก ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 รางวัลชนะเลิศ การพัฒนาทักษะการเขียนประโยคความเดียวตามโครงสร้างไวยากรณ์ตัวชี้(조사) ด้วยเทคนิคการสอน แบบจิ๊กซอว์ (Jigsaw) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนปากเกร็ด ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ฐิติรัตน์ เกียรติสกุลขจร รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1 การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนเพื่อพัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์ เรื่องสมดุลกล ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา พัชราภรณ์ บุณยทรรศนีย์ รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2 - รางวัลชมเชย การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์เรื่องวงกลม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดย การจัดการเรียนรู้ใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-based learning หรือ PBL) กับการจัดการเรียนรู้ แบบปกติ ศศิธร สิงหธรรม การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนปากเกร็ด โดยใช้รูปแบบการ สอนแบบแบ่งปันความคิด Think-Pair-Share วสันต์ ศักดิ์ดาศักดิ์ การแก้ปัญหาการส่งงานวิชาสุขศึกษา (พ31102) โดยใช้วิธีการส่งงานผ่านระบบห้องเรียนออนไลน์ (Google Classroom) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนปากเกร็ด นนทบุรี วรรณิภา ศรีนาค 5
ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 รางวัลชนะเลิศ การจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านด้วยสื่อวีดิโอแบบมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ที่ใช้กลวิธีการสอนทางวิทยาศาสตร์ เรื่องระบบหมุนเวียนเลือกและระบบน้ำเหลือง รายวิชาชีววิทยา 4 รหัสวิชา ว30244 ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 กานต์นารี ธรรมครบุรี รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1 รูปแบบการให้ข้อมูลย้อนกลับ เพื่อส่งเสริมทักษะการเขียนเชิงวิเคราะห์ สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่5 โรงเรียนปากเกร็ด ชนกพร ฟักสังข์ รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ เรื่อง นโยบายการเงินและนโยบายการคลังกับการ พัฒนาประเทศของไทย ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค ผังกราฟิก นวพรรษ ศุภวรางกูล รางวัลชมเชย การพัฒนาบทเรียนออนไลน์ เรื่องการใช้สำนวน Nがわかる บนแพลตฟอร์ www.Pakkred Learning Cyber วิชาภาษาญี่ปุ่น 4 หน่วยที่ 3 พิมชนก วิริยะจารี การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้ชิงรุก โดยการใช้สื่อสาธิตการฝึก ปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 นิธิดา พลายแก้ว ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 รางวัลชนะเลิศ การพัฒนาสื่อการเรียนรู้ผ่านวีดีโอแบบมีปฏิสัมพันธ์บน Edpuzzle เรื่อง Wishes and Regrets เพื่อ พัฒนาทักษะการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนปากเกร็ด จังหวัด นนทบุรี นวลอนงค์ ยศสาย รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา ค33202 คณิตศาสตร์เพิ่มเติม 6 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) พรพิรุณ ใจวงศ์ รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2 ผลของการเรียนแบบร่วมมือในการอ่านที่มีต่อการอ่านพิจารณาวรรณกรรมร้อยแก้ว ประเภทบันเทิงคดี ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนปากเกร็ด อทิตยา เวียงวีระเกียรติ รางวัลชมเชย ผลการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานผ่าน Pakkred Learning Cyber เรื่อง โครงสร้างและสมบัติของพอ ลิเมอร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนปากเกร็ด วรรษมน ตังอ่วม ผลการเรียนด้วยกระบวนการกลุ่มที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ 2 ของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 นวพล เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา 6
วารสารวิจัยการศึกษาโรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่1 ปีการศึกษา 2564 ……………………..…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….............. ผลงานวิจัยทางการศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย หน้า การพัฒนาความสามารถด้านการอ่านจับใจความสำคัญของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียน ปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ โชติกา พูลทรัพย์ 9 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง “การอ่าน” ตามรูปแบบสัมมนา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนปากเกร็ด บูรณา สนริ้ว 11 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการอ่านสะกดคำที่ไม่ตรงตามมาตรา โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่าน และการเขียนภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนปากเกร็ด สุนิษา ปาโน 13 การพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ โดยใช้วิธีการสอนแบบ SQ3R สำหรับผู้เรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 รายวิชาภาษาไทยพื้นฐาน 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จันทร์จรัส ศิริวาลย์ 15 การพัฒนาความสามารถด้านการอ่านจับใจความสำคัญ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/10 โรงเรียนปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรีโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ ศิริรัตน์ ป้องปิด 17 แนวทางการแก้ไขปัญหาทักษะการเขียนสะกดคํา โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ การเขียนสะกดคําควบคู่กับทักษะการเขียนเรียงความด้วยเทคนิคบันได 4 ขั้น ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนปากเกร็ด ธัญประภา ดาวังปา 19 การเขียนเรียงความ โดยใช้เทคนิคการสอนแบบ Hybrid learning และฝึกปฏิบัติ สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนปากเกร็ด น้ำฝน ทะกลกิจ 21 แนวทางการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุกรูปแบบออนไลน์ เรื่อง พระอภัยมณี ตอน หนีนางผีเสื้อ เพื่อส่งเสริมความสามารถในศตวรรษที่ 21 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนปากเกร็ด ปิยวัฒน์ ฤทธิ์มาก 23 การพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนปากเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี พิริยะ นึกมั่น 25 การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนปากเกร็ด โดยใช้รูปแบบการสอนแบบแบ่งปันความคิด Think-Pair-Share วสันต์ ศักดาศักดิ์ 27
วารสารวิจัยการศึกษาโรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่1 ปีการศึกษา 2564 ……………………..…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….............. ผลงานวิจัยทางการศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย (ต่อ) หน้า การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนปากเกร็ด โดยใช้รูปแบบการสอนแบบแบ่งปันความคิด Think-Pair-Share วันวิสาข์ ดวงประทีป 29 รูปแบบการให้ข้อมูลย้อนกลับ เพื่อส่งเสริมทักษะการเขียนเชิงวิเคราะห์ สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนปากเกร็ด ชนกพร ฟักสังข์ 31 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ รายวิชาหลักภาษา โดยวิธีการสอนแบบอุปนัย (Inductive Method) ร่วมกับการบันทึกการเรียนรู้ สายพิณ ศรีเพ็ง 33 ผลของการเรียนแบบร่วมมือในการอ่านที่มีต่อการอ่านพิจารณาวรรณกรรมร้อยแก้ว ประเภทบันเทิงคดีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนปากเกร็ด อาทิตยา เวียงวีระเกียรติ 35 การพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคํา โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนปากเกร็ด ชาคริต กิมสร้าง 37 8
วารสารวิจัยการศึกษาโรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่1 ปีการศึกษา 2564 ……………………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. การพัฒนาความสามารถด้านการอ่านจับใจความสำคัญของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรีโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ โชติกา พูลทรัพย์* บทคัดย่อ การศึกษาค้นคว้าในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาความสามารถด้านการอ่านจับใจความสำคัญคำ ประพันธ์ประเภทกลอน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ขาดทักษะในการอ่านจับใจความสำคัญคำประพันธ์ ประเภทกลอนและเพื่อหาความพึงพอใจต่อการใช้แบบฝึก ทักษะการอ่านจับใจความสำคัญคำประพันธ์ประเภทกลอน ในการอ่านจับใจความสำคัญคำประพันธ์ประเภทกลอนของ นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนปากเกร็ด จังหวัด นนทบุรีก่อนและหลังจากการพัฒนาทักษะการอ่านจับ ใจความสำคัญคำประพันธ์ประเภทกลอนโดยใช้แบบฝึก ทักษะการอ่านจับใจความสำคัญคำประพันธ์ประเภทกลอน ผู้วิจัยได้ทำการสร้างแบบฝึกเพื่อพัฒนาการอ่าน จับใจความสำคัญคำประพันธ์ประเภทกลอน ซึ่งได้นำไป ทดลองกับกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรีปีการศึกษา 2564 โดย ทดลองกับกลุ่มตัวอย่างที่ได้มาจากการสุ่มแบบง่าย ผลการศึกษาพบว่า 1. ความสามารถในการอ่านจับใจความ สำคัญคำประพันธ์ประเภทกลอน ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังจากที่ได้รับฝึกทักษะโดยใช้แบบฝึก ทักษะการอ่านจับใจความสำคัญคำประพันธ์ประเภทกลอน มากกว่าก่อนใช้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมุติฐาน 2. ระดับความพึงพอใจที่มีต่อ การใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความคำประพันธ์ ประเภทกลอนอยู่ในระดับมากที่จุด 8 ข้อ และ ระดับมาก 2 หัวข้อ โดยสรุปอยู่ในระดับดีมาก คำสำคัญ : การอ่านจับใจความสำคัญ บทนำ ภาษา คือ เครื่องมือที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารกัน เพื่อให้เกิดความเข้าใจเป็นอันเดียวกัน มนุษย์ทุกแห่งในโลก ล้วนแต่ใช้ภาษาในการติดต่อสื่อสาร ดังนั้นภาษาจึงมี ความสำคัญต่อการดำเนินชีวิต เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม หากขาดภาษาก็ไม่สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ กรมวิชาการ ( 2545, หน้า 9) ในการจัดกิจกรรม การเรียนการสอนภาษาไทย ผู้เรียนต้องมีความสามารถใน การใช้ภาษาในการสื่อสารได้เป็นอย่างดี สามารถอ่าน เขียน ฟัง ดู และพูดได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความคิด สร้างสรรค์ คิดอย่างมีเหตุผล และคิดอย่างเป็นระบบ * ครู วิทยฐานะ ชำนาญการ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี มีนิสัยรักการอ่าน การเขียน การแสวงหาความรู้ ใช้ภาษา ในการพัฒนาตน และสร้างสรรค์งานอาชีพ ตลอดจน ตระหนักในวัฒนธรรมการใช้ภาษาและความเป็นไทย มีความภูมิใจและชื่นชมในวรรณคดีและวรรณกรรม ซึ่งเป็น ภูมิปัญญาของคนไทย สามารถนำทักษะทางภาษามา ประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และถูกต้อง ตามสภาพการณ์และบุคคล อีกทั้งเป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี และสร้างความสามัคคี ภูมิใจในความเป็นไทย มีคุณธรรม จริยธรรม วิสัยทัศน์ที่กว้างไกล และลึกซึ้ง วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่านจับใจความคำ ประพันธ์ประเภทกลอนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โดยใช้แบบฝึกทักษะ การอ่านจับใจความคำประพันธ์ประเภทกลอน 2. เพื่อสำรวจความพึงพอใจต่อการใช้ใช้แบบฝึก ทักษะการอ่านจับใจความคำประพันธ์ประเภทกลอน วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้รูปแบบการวิจัยแบบ One group pretest-posttest design เพื่อเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์การอ่านจับใจความสำคัญคำประพันธ์ประเภท กลอน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียน ปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.ประชากรที่ใช้ใน การวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/8 โรงเรียนปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2564 จำนวน 1 ห้องเรียน รวม 44 คน 2. กลุ่ม ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 โรงเรียนปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ภาคเรียนที่2 ปี การศึกษา 2564 ซึ่งได้จากการเลือกแบบเจาะจง ( Purposive Selection ) มา 1 ห้องเรียน จำนวน 44 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1. แบบฝึก ทักษะการอ่านจับใจความสำคัญคำประพันธ์ประเภทกลอน จำนวน 7 บท ซึ่งแต่ละบทจะมีเนื้อหาแตกต่างกันไป 2. แผนการจัดการเรียนรู้การอ่านจับใจความสำคัญ คำประพันธ์ประเภทกลอน จำนวน 7 แผน แผนละ 1 ชั่วโมง 3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การอ่านจับใจความ สำคัญคำประพันธ์ประเภทกลอน ก่อนเรียนและหลังเรียน 9
วารสารวิจัยการศึกษาโรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่1 ปีการศึกษา 2564 ……………………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ขั้นตอนการสร้างเครื่องมือ 1) ศึกษาตำราและเอกสารที่เกี่ยวข้อง 2) ศึกษา หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 3) ศึกษาเนื้อหาเกี่ยวกับคำประพันธ์ที่มีคุณค่าและเหมาะสม กับนักเรียน 4) รวบรวมคำประพันธ์ที่มีคุณค่าและเหมาะสม กับนักเรียน 5) นำคำประพันธ์ที่มีคุณค่าและเหมาะสมกับ นักเรียนที่รวบรวมมาสร้างเป็นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ด้านการอ่านจับใจความคำประพันธ์ประเภทกลอนและแบบ ฝึกทักษะการอ่านจับใจความคำประพันธ์ประเภทกลอน 6) นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่านจับใจความคำ ประพันธ์ประเภทกลอนและแบบฝึกทักษะการอ่านจับ ใจความคำประพันธ์ประเภทกลอนมาปรับความยากง่ายให้ เหมาะสมกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผลการวิจัย ตอนที่1 ผลการประเมินแบบทดสอบการอ่านจับ ใจความสำคัญคำประพันธ์ประเภทกลอนผลการสำรวจความ คิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อแบบทดสอบ ก่อนเรียน - หลัง เรียน ในแต่ละข้อมีความเหมาะสม สามารถนำไปทดสอบได้ ตอนที่ 2 ผลการประเมินแบบฝึกทักษะและแผนการจัด การเรียนรู้การอ่านจับใจความสำคัญคำประพันธ์ประเภท กลอน พบว่า ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อแบบฝึก ทักษะการอ่านจับใจความสำคัญคำประพันธ์ประเภทกลอน และแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 10 ข้อ พบว่า แบบฝึก ทักษะการอ่านจับใจความสำคัญคำประพันธ์ประเภทกลอน และแผนการจัดการเรียนรู้ สามารถนำไปใช้ในการทดสด สอบและสามารถใช้ในการศึกษาได้ ตอนที่ 3 ผลการ ประเมินความพึงพอใจที่มีต่อแบบฝึกทักษะการอ่านจับ ใจความสำคัญคำประพันธ์ประเภทกลอน พบว่า ความพึง พอใจที่มีต่อแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญคำ ประพันธ์ประเภทกลอนอยู่ในระดับมาก – มากที่สุด ตอนที่ 4 ผลการเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านจับใจความ สำคัญคำประพันธ์ประเภทกลอน ก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่า คะแนนหลังเรียนของนักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้ แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความคำประพันธ์ประเภทกลอน สูงกว่าก่อนเรียน สรุปผลการวิจัย 1) แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความคำประพันธ์ ประเภทกลอน มีความเหมาะสมมาก โดยมีค่าเฉลี่ยที่ 4.6 – 5 โดยมีความเหมาะสมมากในทุกหัวข้อในการแสดงความ คิดเห็น 2) ความสามารถในการอ่านจับใจความคำประพันธ์ ประเภทกลอน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/8 หลังจากที่ได้รับฝึกทักษะโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับ ใจความมากกว่าก่อนใช้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ นัยสำคัญ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมุติฐาน อภิปรายผลการวิจัย จากการศึกษาพบว่า คะแนนความสามารถใน การอ่านจับใจความคำประพันธ์ประเภทกลอน หลังเรียน ด้วยการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความคำประพันธ์ ประเภทกลอน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/8 ได้สูง กว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิตที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้ แสดงว่าแบบฝึกทักษะ การอ่านจับใจความคำประพันธ์ประเภทกลอน สามารถ พัฒนาความสามารถทางการเรียนรู้เรื่องการอ่านจับใจความ คำประพันธ์ประเภทกลอนสูงขึ้น ข้อเสนอแนะ 1) แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความคำประพันธ์ ประเภทกลอน สามารถทดลองกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1 สำเร็จ แต่อาจนำไปพัฒนาเพื่อใช้ในการเรียนการสอน กับนักเรียนที่อยู่ระดับชั้นอื่น ๆ ได้2) ผู้ที่จะทำการวิจัยใน ครั้งต่อไปอาจนำไปเป็นแนวทางในการศึกษาวิจัยเพื่อต่อ ยอดการศึกษาได้ บรรณานุกรม กรมวิชาการ. (2544ข). หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ กระทรวงฯ. กรมวิชาการ. (2545ก). คู่มือการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทย. กรุงเทพฯ : กรมฯ. กรมวิชาการ. กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน. (2545). พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, กรมวิชาการ. (2546). การจัดสาระการเรียนรู้กลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทย ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภา ลาดพร้าว จุไรลักษณ์ ลักษณศิริ. (2543 ). ภาษากับการสื่อสาร นครปฐม : มหาวิทยาลัยศิลปากรณ์ ฉวีลักษณ์ บุณยะกาญจน. ( 2547). จิตวิทยาการอ่าน. กรุงเทพฯ : ธารอักษร. ฉวีวรรณ คูหาภินันท์. (2542). การอ่านและการส่งเสริม การอ่าน. กรุงเทพฯ : โสภณการพิมพ์ ฐะปะนีย์นาครทรรพและประภาศรี สีหอำไพ. (2539). คู่มือการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย. บันไดเก้าขั้นเพื่อจรรโลงภาษาไทย. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว 10
วารสารวิจัยการศึกษาโรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่1 ปีการศึกษา 2564 ……………………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง “การอ่าน” ตามรูปแบบสัมมนา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนปากเกร็ด บูรณา สนริ้ว* บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษา ความสามารถในการอ่านคำไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 โรงเรียนปากเกร็ด เพื่อเปรียบเทียบความสามารถใน การอ่านคำไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียน ปากเกร็ด ก่อนและหลังเรียนในรูปแบบการเรียนการสอน แบบสัมมนา ประชากรที่ใช้ในการศึกษา คือ นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนปากเกร็ด สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 3 ที่กำลังเรียนในภาค เรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 14 ห้องเรียน รวม ทั้งสิ้น 630 คน และทำการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จากกลุ่มประชากร ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1 ห้องเรียน 44 คน ผลวิจัยพบว่า การเรียนการสอนโดยใช้ วิธีการสัมมนา จะทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สูงกว่าการเรียนการสอนแบบปกติ คำสำคัญ : การอ่าน, รูปแบบสัมมนา บทนำ ภาษามีความสำคัญต่อการสื่อสารเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะภาษาไทย ซึ่งเป็นภาษาที่มีเอกลักษณ์ของตนเอง ภาษาไทยภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติเป็นสมบัติ ทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ และ เสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็น เครื่องมือในการติดต่อสื่อสารความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ ดีต่อกัน การพัฒนาการอ่านในระดับมัธยมศึกษาก็เป็นเรื่อง สำคัญและอีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือ นักเรียนระดับ มัธยมศึกษามีความโตขึ้นมาอีกขึ้นหนึ่งการเรียนรู้ที่เป็น แบบเดิมหรือการถ่ายทอดจากครูแบบป้อนข้อมูลจึงเป็น การเรียนรู้ที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาทักษะ การเรียนรู้ของนักเรียน ดังนั้นการเรียนรู้ของนักเรียนที่จะ สามารถพัฒนาทักษะการเรียนรู้รวมถึงการใส่ใจในการเรียน นำความรู้ที่มีมาแลกเปลี่ยนกับผู้อื่น เกิดการเรียนรู้โดยกลุ่ม ที่มีความต้องการหาคำตอบหรือเกิดการที่จะเรียนรู้ในเรื่อง เดียวกัน การพัฒนาการอ่านในระดับมัธยมศึกษานั้นเป็น เรื่องที่สำคัญเพราะการอ่านจะเป็นการแสวงหาความ แสวงหาความรู้ต่างๆท่าจะส่งผลต่อการนำความรู้ไปใช้ใน การทำงานและศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย * ครู วิทยฐานะ - กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ในขั้นตอนการการจัดกระบวนการเรียนรู้ก็เป็นสิ่ง สำคัญจากข้อมูลนโยบายเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ที่เน้น ผู้เรียนเป็นสำคัญ นำมาสู่การทำความเข้าใจเรื่องหลักการ จัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ จึงก่อให้เกิด การเรียนการสอนแบบสัมมนาขึ้น โดยวิธีการเรียนการสอน แบบนี้จะทำให้นักเรียนระดับมัธยมมีความสนใจใน การเรียนรู้มากขึ้นเพราะมีการแลกเปลี่ยนความคิดหรือ วิธีการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน การสัมมนาจะคล้ายการประชุม แบบหนึ่ง ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ความ คิดเห็น วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อศึกษาความสามารถในการอ่านคำไทยของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนปากเกร็ด 2. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านคำ ไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนปากเกร็ด ก่อนและหลังเรียนในรูปแบบการเรียนการสอนแบบสัมมนา วิธีดำเนินการวิจัย การดำเนินการพัฒนาและใช้การเรียนการสอนแบบ สัมมนาในเรื่อง การอ่านในการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง การอ่านคำไทย สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เป็นการวิจัยเชิงทดลองเพื่อ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียน โดยรูปแบบสัมมนา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษาเขต 3 มีรายละเอียดขั้นตอนการดำเนินงาน สมมติฐาน การเรียนการสอนโดยใช้วิธีการสัมมนา จะทำให้ ผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 สูงกว่าการเรียนการสอนแบบปกติอย่างนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .05 ประชากรและกลุ่มตัวอย่างนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนปากเกร็ด ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี จำนวน 630 คน นักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนปากเกร็ดคิดเป็น 8% จาก 630 คน จะได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 44 คน และเลือกกลุ่มตัวอย่าง แบบเจาะจง (Purposive Sampling) ทั้ง 44 คน เป็นกลุ่ม ตัวอย่างนักเรียนที่เรียนอยู่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/9 ของ โรงเรียนปากเกร็ดซึ่งเป็นนักเรียนที่มีผลการเรียนอยู่ใน ระดับกลางของระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 20 ชั่วโมง 11
วารสารวิจัยการศึกษาโรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่1 ปีการศึกษา 2564 ……………………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ขั้นตอนการดำเนินการ ก่อนการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ จะทำการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Pretest) เรื่องการพัฒนาการอ่านคำไทย กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ใช้เวลาทั้งสิ้น 4 คาบ จัดกิจกรรมการเรียนรู้กับนักเรียนกลุ่ม ตัวอย่างตามแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องการพัฒนาการอ่าน คำไทยด้วยวิธีการเรียนการสอนแบบสัมมนา โดยใช้เวลาสอน ทั้งสิ้น 6 ชั่วโมง แเมื่อจัดกิจกรรมการเรียนรู้ครบทุกแผนแล้วจะ ดำเนินการทดสอบเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Posttest) กับกลุ่มตัวอย่างโดยใช้แบบวัดชุดเดียวกันกับที่ใช้ ทดสอบก่อนเรียน ใช้เวลาทั้งสิ้น 4 คาบ ผลการวิจัย การทดลอง n คะแนน เต็ม S.D. t pvalue ก่อนเรียน หลังเรียน 44 44 15 15 6.36 12.94 1.225 1.038 27.314 .000 สรุปผลการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัย เพื่อเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางเรียนจากการใช้การจัดการเรียนรู้ตามเทคนิค การสอนแบบสัมมนาก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนปากเกร็ด สำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศึกษา เขต 3 สรุปผลการวิจัยดัง นี้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากการใช้การจัดการเรียนรู้ตาม เทคนิคการสอนแบบสัมมนา ใบเรื่อง การอ่านของนักเรียนหลัง เรียนมีคะแนนทดสอบสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญ .05 อภิปรายผลการวิจัย การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากการใช้ เทคนิคการสอนแบบสัมมนาก่อนเรียนและหลังเรียน ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนปากเกร็ด สำนักงานเขต พื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 3 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จากการใช้การจัดการเรียนรู้ตามเทคนิคการสอนแบบสัมมนา ใบเรื่อง การอ่านของนักเรียนหลังเรียนมีคะแนนทดสอบสูงกว่า ก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญ .05 ผลค่าเฉลี่ยก่อนทดลอง 6.36 ผลค่าเฉลี่ยหลังทดลอง 12.94 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า รูปแบบการเรียนรู้เทคนิคการสอน แบบสัมมนาทำให้นักเรียนมีผลการเรียนรู้ เรื่อง การอ่านที่ดีขึ้น ข้อเสนอแนะ ก่อนสร้างแบบฝึกการออกเสียงคำควบกล้ำ ควรมี การสำรวจหรือสอบถามปัญหากับผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น ส่งแบบ สำรวจไปยังครูผู้สอนเพื่อสอบถามคำควบกล้ำที่มีปัญหาด้าน การออกเสียงบ่อย ๆหรือสอบถามนักเรียนเกี่ยวกับปัญหา ด้านการออกเสียงคำควบกล้ำ โดยเฉพาะนักเรียนที่อยู่ใน จังหวัดที่ใช้ภาษาถิ่น ซึ่งมักพบปัญหาการออกเสียงควบ “ว” ไม่ชัด เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อที่จะได้ทราบปัญหาอย่างแท้จริง และนำมาเป็นพื้นฐานในการสร้างแบบฝึกได้ ควรนำแบบฝึกที่สร้างขึ้นไปทดลองใช้กับนักเรียน โรงเรียนอื่น ในระดับชั้นเดียวกันด้วย เพื่อหาประสิทธิภาพ ของแบบฝึกและสามารถนำข้อบกพร่องมาปรับปรุงแก้ไขให้ มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้นในโอกาสต่อไป บรรณานุกรม กมล ดิษฐกมล. (2509). “กลวิธีการสอนวิชาทักษะ” ศูนย์ ศึกษา. 13 (1): 12 – 13. กาญจนา นาคสกุล, ดร. (2524). ระบบเสียงภาษาไทย. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ชลธิรา กลัดอยู่; และคณะ. (2521). การใช้ภาษา. กรุงเทพฯ: เคล็ดไทย. ชัยยงค์พรหมวงศ์. (2526). เอกสารการสอนชุดวิชาสื่อการ สอนระดับประถมศึกษา. นนทบุรี: สาขาศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ฐะปะนีย์นาครทรรพ. (2517). “ข้อสังเกตในการสอนการใช้ ภาษา” เอกสารประกอบการบรรยาย การสอนวิชาภาษาไทยชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น. คณะ ครุศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 12
วารสารวิจัยการศึกษาโรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่1 ปีการศึกษา 2564 ……………………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการอ่านสะกดคำที่ไม่ตรงตามมาตรา โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่าน และการเขียนภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนปากเกร็ด สุนิษา ปาโน* บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อพัฒนาแบบฝึก ทักษะการอ่านและเขียนสะกดคำที่ไม่ตรงตามมาตราและ พัฒนาผลสัมฤทธิ์ด้านการเขียนสะกดคำของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนปากเกร็ด โดยใช้แบบฝึกทักษะ การอ่าน และการเขียนภาษาไทยชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่ม ตัวอย่าง คือ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนปากเกร็ด เป็นจำนวน 1 ห้องเรียน มีนักเรียนจำนวน 44 คน ซึ่งได้มาจากการเลือก ตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ใช้เวลาใน การทดลอง 10 คาบเรียน คาบเรียนละ 50 นาที เครื่องมือที่ ใช้ในการวิจัย คือแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียน ภาษาไทยชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน คำสำคัญ : อ่านสะกดคำที่ไม่ตรงตามมาตรา บทนำ ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ เป็นสมบัติ ทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพและเสริมสร้าง บุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย อีกทั้งยังเป็น เครื่องมือในการติดต่อสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจและ ความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน คนไทยจะต้องทำความเข้าใจและ ศึกษาหลักเกณฑ์ทางภาษา หมั่นฝึกฝนให้มีทักษะการฟัง พูด อ่านและเขียนภาษาไทยให้มีประสิทธิภาพ เพื่อนำไปใช้ใน การสื่อสารการเรียนรู้สิ่งต่างๆ และการสร้างความเข้าใจอันดี ต่อกันให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง ชุมชน สังคมและ ประเทศชาติ ดังนั้นภาษาไทยจึงเป็นสมบัติของชาติที่ควรค่า แก่การเรียนรู้อนุรักษ์และสืบสานให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป (กรมวิชาการ. 2552 : 1) การอ่านซึ่งถือว่าเป็นทักษะพื้นฐานที่จำเป็นที่สุด การอ่านเป็นทักษะของการรับสารและเป็นทักษะที่สำคัญใน การแสวงความรู้ด้านต่างๆผู้เรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1ถือว่าเป็นวัยที่จำเป็นต้องได้รับคำแนะนำอบรมสั่งสอนฝึกฝ นการอ่านอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องผู้วิจัยจึงมีความสนใจ ที่จะพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การอ่านสะกดคำที่ ไม่ตรงมาตราของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้แบบ ฝึกทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทย เพื่อให้เข้าใจ หลักการใช้ภาษาไทย สามารถอ่านสะกดคำที่ไม่ตรงมาตรา ได้อย่างถูกต้องและยังส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น * ครู วิทยฐานะ - กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านและเขียน ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียน ปากเกร็ด 2. เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่านสะกดคำที่ไม่ ตรงตามมาตราของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียน ปากเกร็ด โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนภาษาไทย วิธีดำเนินการวิจัย กลุ่มเป้าหมาย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 รายวิชา ภาษาไทย 2 (ท21102) จำนวน 44 คน ตัวแปรอิสระ แบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนสะกดคำที่ไม่ ตรงตามมาตรา ตัวแปรตาม ความสามารถในการอ่านสะกดคำของนักเรียน ตัวแปรควบคุม จำนวนนักเรียน สมมติฐานในการวิจัย แบบฝึกวิชาภาษาไทยเรื่องการอ่านและเขียนสะกดคำที่ไม่ตรง ตามมาตรา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนปาก เกร็ดมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร (Population) ประชากรที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2564 ของโรงเรียน ปากเกร็ด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี กลุ่มตัวอย่าง (Samples) เป็นนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1/12 โรงเรียนปากเกร็ด ที่เรียนในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ที่ได้จากการสุ่มแบบเจาะจง จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 44 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. แบบฝึกวิชาภาษาไทยเรื่องการอ่านและเขียน มาตราตัวสะกดที่ไม่ตรงตามมาตรา ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 4 ชุดแบบฝึก 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์เรื่องการอ่านสะกดคำ ที่ไม่ตรงตามมาตรา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ชนิด เลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ ผลการวิจัย ผลการวิจัยในครั้งนี้เป็นไปตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้ แสดงว่าการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนและอ่านสะกดคำที่ไม่ ตรงตามมาตราทำให้นักเรียนมีความสามารถในการอ่านสะกด คำที่ไม่ตรงตามมาตราได้สูงขึ้น 13
วารสารวิจัยการศึกษาโรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่1 ปีการศึกษา 2564 ……………………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. สรุปผลการวิจัย 1. สรุปผลการวิจัยจากบทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล จากตารางที่ 4.3 พบว่า คะแนนเฉลี่ยของผลการสอบก่อน เรียนได้คะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 14.80 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เ ท ่ า ก ั บ 0 . 9 0 แ ล ะ ค ะ แ น น เ ฉ ล ี ่ ย ข อ ง ผ ล การสอบหลังเรียนได้คะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 18.36 ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 0.85 2. สรุปผลการวิจัยจากบทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน หลังการใช้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการเขียนสะกดคำ ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทย เรื่องการอ่านและ เขียนสะกดคำที่ไม่ตรงตามมาตรา สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ 10 คะแนน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และได้ ค่าสถิติทดสอบ t = 4.32 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการพัฒนาแบบฝึกวิชาภาษาไทย เรื่องการอ่านและเขียนสะกดคำที่ไม่ตรงตามมาตรา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนปากเกร็ด ใน ระหว่างเรียนและหลังเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยแบบฝึก จากตารางที่ 7 พบว่ามีประสิทธิภาพ เท่ากับ 74.00/91.80 ซึ่ง สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้ คือ 80/80 อภิปรายผลการวิจัย ผลการวิจัยจากการจัดการเรียนรู้โดยการใช้แบบฝึก ทักษะการอ่านและเขียนสะกดคำที่ไม่ตรงตามมาตราสามารถ ทำให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้น ข้อเสนอแนะ การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะในการนำ ผลการวิจัยไปใช้และข้อเสนอแนะสำหรับการทำวิจัยครั้ง ต่อไป ดังนี้ 1.ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้ 1.1 ก่อนการจัดการเรียนรู้ครูผู้สอนควรศึกษา มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้ รวมถึง ระดับชั้นของผู้เรียนก่อน เพื่อให้กำหนดจุดประสงค์ใน การจัดการเรียนรู้ได้ตรงกับผู้เรียนและบรรลุเป้าหมายอย่างมี ประสิทธิภาพ 1.2 ครูผู้สอนควรศึกษาเนื้อหาที่นำมาสร้างแบบ ฝึกให้เข้าใจ และควรกำหนดให้เหมาะสมกับ เพศ วัย และ ระดับความสามารถของผู้เรียน เพื่อให้กระตุ้นผู้เรียน เกิดความกระตือรือร้นมากยิ่งขึ้น 1.3 ครูผู้สอนควรศึกษาเนื้อหาที่เป็นเนื้อเรื่อง เกี่ยวกับการเขียนสะกดคำให้เข้าใจ และกระบวนการสร้าง แบบฝึกที่ดี รวมถึงการหาประสิทธิภาพของแบบฝึก เพื่อนำไปเป็นแนวทางในการจัดสร้างแบบฝึกให้มีความ หลากหลายและช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจ เข้าใจเนื้อหาได้ดี ยิ่งขึ้น บรรณานุกรม กรมวิชาการ. (2552). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น พื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. 14
วารสารวิจัยการศึกษาโรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่1 ปีการศึกษา 2564 ……………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………......................................................... การพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ โดยใช้วิธีการสอนแบบ SQ3R สำหรับผู้เรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 รายวิชาภาษาไทยพื้นฐาน 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จันทร์จรัส ศิริวาลย์* บทคัดย่อ การศึกษาค้นคว้าในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาความสามารถด้านการอ่านจับใจความสำคัญคำ ประพันธ์ประเภทกลอน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ขาดทักษะในการอ่านจับใจความสำคัญ และเพื่อหาความ พึงพอใจต่อการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญใน การอ่านจับใจความสำคัญของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนปากเกร็ด ก่อนและหลังจากการพัฒนาทักษะการ อ่านจับใจความสำคัญโดยใช้วิธีการสอนแบบ SQ3R ผล การศึกษาพบว่า 1. ความสามารถในการอ่านจับใจความ สำคัญโดยใช้วิธีการสอนแบบ SQ3R ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังจากที่ได้รับฝึกทักษะโดยใช้แบบฝึก ทักษะการอ่านจับใจความสำคัญคำประพันธ์ประเภทกลอน มากกว่าก่อนใช้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ 0.5 ซึ่งเป็นไปตามสมมุติฐาน 2. ระดับความพึงพอใจที่มีต่อ การใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความโดยใช้วิธีการสอน แบบ SQ3R อยู่ในระดับมากที่จุด 8 ข้อ และ ระดับมาก 2 หัวข้อ โดยสรุปอยู่ในระดับดีมาก คำสำคัญ : วิธีการสอนแบบSQ3R, การอ่านจับใจความ สำคัญ บทนำ กระทรวงวิชาการ (2546, หน้า 188) การอ่านที่ดี และมีประสิทธิภาพ จะต้องอ่านจับใจความสำคัญได้ สรุป สาระสำคัญของเรื่องที่อ่านได้แต่จากการสำรวจ การประเมิน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนพบว่า ปัญหาที่สำคัญใน การอ่านของผู้เรียนคือ อ่านแล้วจับใจความสำคัญไม่ได้ ไม่ สามารถสรุปประเด็นสำคัญได้ ไม่สามารถแยกความรู้ ข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น ไม่สามารถแยกใจความสำคัญ หลัก กับใจความรองได้ ทำให้ไม่ได้รับประโยชน์จากการอ่าน เท่าที่ควร ทั้งยังเป็นปัญหาอุปสรรคต่อการเรียนรู้และ การศึกษาวิชาต่าง ๆ ด้วย จากการศึกษาวิธีสอนอ่านในการฝึกทักษะการอ่าน จับใจความสำคัญ ผู้วิจัยพบว่าวิธีการสอนอ่านด้วยกลวิธี SQ3R เป็นวิธีที่น่าสนใจ และน่าจะสามารถนำมาต่อยอดเพื่อ พัฒนาความสามารถในการอ่านให้สูงขึ้นได้ เนื่องจากเป็นวิธี สอนอ่านที่มีขั้นตอนการอ่านที่มุ่งการอ่านจับประเด็นสำคัญ อ่านอย่างมีจุดมุ่งหมาย และอ่านเพื่อความเข้าใจโดยลำดับ ขั้นตอนการอ่าน 5 ขั้นดังนี้ คือ ขั้นสำรวจ ขั้นตั้งคำถาม ขั้นอ่าน ขั้นอ่านทบทวน และจากการศึกษาพบว่า เป็น กิจกรรมที่จะช่วยพัฒนาทักษะการสื่อสาร คือ นักเรียนจะได้ *ครู วิทยฐานะ ชำนาญการ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี มีโอกาสอ่านหนังสือ เอกสาร นิทาน หนังสือพิมพ์ จดหมาย คำสั่ง ซึ่งจะเป็นการพัฒนาทักษะการอ่านของนักเรียนจาก แหล่งข้อมูลที่หลากหลาย ส่งผลให้ความสามารถในการอ่าน ของนักเรียนสูงขึ้น ดังนั้นเพื่อตอบสนองความต้องการของ หลักสูตรและเป็นประโยชน์กับผู้เรียนในการพัฒนาการอ่าน ระดับสูงขึ้นต่อไป ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษา ผลของวิธีการสอน อ่านจับใจความสำคัญโดยใช้เทคนิค SQ3R ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาชั้นปีที่ 2 โรงเรียนปากเกร็ด วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่านจับใจความของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่2 โรงเรียนปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โดยใช้วิธีการสอนแบบ SQ3R 2. เพื่อศึกษาพัฒนาการของนักเรียนภายหลังจากครูใช้วิธี การสอนแบบ SQ3R เพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านจับใจความ สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้รูปแบบการวิจัยแบบ One group pretest-posttest design เ พ ื ่ อ เ ป ร ี ย บ เ ท ี ย บ ผลสัมฤทธิ์การอ่านจับใจความสำคัญด้วยการสอนอ่านด้วย กลวิธี SQ3R ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนปาก เกร็ด จังหวัดนนทบุรีจำนวน 40 คน ด้วยวิธีการสังเกต ผลสัมฤทธิ์การอ่านจับใจความสำคัญด้วยการสอนอ่านด้วย กลวิธี SQ3R ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยเครื่องมือที่ใช้ใน การวิจัยประกอบด้วย 1.แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความด้วยการสอน อ่านด้วยกลวิธี SQ3R จำนวน 4 ชุด ซึ่งแต่ละชุดจะมีเนื้อหา แตกต่างกันไป 2. แผนการจัดการเรียนรู้การอ่านจับใจความสำคัญ ด้วยการสอนอ่านด้วยกลวิธี SQ3R จำนวน 5 แผน แผนละ 1 ชั่วโมง 3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การอ่านจับใจความ สำคัญด้วยการสอนอ่านด้วยกลวิธี SQ3R ก่อนเรียนและหลัง เรียน ซึ่งได้จากการคัดเลือกแบบทดสอบทางการศึกษา ระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการที่ต้องการ ยกระดับคุณภาพการศึกษาเข้าสู่มาตรฐานสากล 15
วารสารวิจัยการศึกษาโรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่1 ปีการศึกษา 2564 ……………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………......................................................... ผลการวิจัย ผู้วิจัยเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 ผลการสำรวจความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อ แบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียน ในแต่ละข้อมีความ เหมาะสม สามารถนำไปทดสอบได้ ตอนที่ 2 ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อแบบฝึกทักษะ การอ่านจับใจความสำคัญด้วยการสอนอ่านด้วยกลวิธี SQ3R และแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 10 ข้อ พบว่า แบบฝึก ทักษะการอ่านจับใจความสำคัญด้วยการสอนอ่านด้วยกลวิธี SQ3R และแผนการจัดการเรียนรู้ สามารถนำไปใช้ในการทด สดสอบและสามารถใช้ในการศึกษาได้ ตอนที่ 3 ความพึงพอใจที่มีต่อแบบฝึกทักษะการอ่านจับ ใจความสำคัญด้วยการสอนอ่านด้วยกลวิธี SQ3R อยู่ในระดับ มาก – มากที่สุด ตอนที่ 4 คะแนนหลังเรียนของนักเรียนที่ได้รับการสอนโดย ใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความด้วยการสอนอ่านด้วย กลวิธี SQ3R สูงกว่าก่อนเรียนมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ นัยสำคัญ 0.5 สรุปผลการวิจัย 1. แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความด้วยการสอนอ่าน ด้วยกลวิธี SQ3R มีความเหมาะสมมาก โดยมีค่าเฉลี่ยที่ 4.6 – 5 โดยมีความเหมาะสมมากในทุกหัวข้อในการแสดงความ คิดเห็น 2. ความสามารถในการอ่านจับใจความด้วยการสอนอ่าน ด้วยกลวิธี SQ3R ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังจาก ที่ได้รับฝึกทักษะโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความ มากกว่าก่อนใช้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ 0.5 ซึ่งเป็นไปตามสมมุติฐาน อภิปรายผลการวิจัย จากการศึกษาพบว่า คะแนนความสามารถในการอ่านจับ ใจความด้วยการสอนอ่านด้วยกลวิธี SQ3R หลังเรียนด้วย การใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความด้วยการสอนอ่าน ด้วยกลวิธี SQ3R สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ได้สูง กว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิตที่ระดับ 0.5 ซึ่งเป็นไป ตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้ แสดงแบบฝึกทักษะการอ่านจับ ใจความด้วยการสอนอ่านด้วยกลวิธี SQ3R สามารถพัฒนา ความสามารถทางการเรียนรู้เรื่องการอ่านจับใจความด้วย การสอนอ่านด้วยกลวิธี SQ3R สูงขึ้น ข้อเสนอแนะ 1. แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความด้วยการสอนอ่านด้วย กลวิธี SQ3R สามารถทดลองกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 2 สำเร็จแต่อาจนำไปพัฒนาเพื่อใช้ในการเรียนการสอน กับนักเรียนที่อยู่ระดับชั้นอื่น ๆ ได้ 2. ผู้ที่จะทำการวิจัยในครั้งต่อไปอาจนำไปเป็นแนวทางใน การศึกษาวิจัยเพื่อต่อยอดการศึกษาได้ บรรณานุกรม กระทรวงวิชาการ. (2546). การจัดสาระการเรียนรู้กลุ่ม สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ตามหลักสูตรการศึกษาขั้น พื้นฐาน พุทธศักราช 2544. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ คุรุสภาลาดพร้าว. ไชยยศ เรืองสุวรรณ. (2547). เทคโนโลยีการศึกษาหลัก และแนวปฏิบัติ. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒมหาสารคาม 16
วารสารวิจัยการศึกษาโรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่1 ปีการศึกษา 2564 ……………………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. การพัฒนาความสามารถด้านการอ่านจับใจความสำคัญ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/10 โรงเรียนปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ ศิริรัตน์ ป้องปิด* บทคัดย่อ การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ความสามารถด้านการอ่านจับใจความสำคัญ สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/10 ที่ขาดทักษะในการอ่าน จับใจความสำคัญ และเพื่อหาความพึงพอใจต่อการใช้แบบ ฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญคำ ก่อนและหลังจาก การพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความสำคัญโดยใช้แบบฝึก ทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ ผู้วิจัยได้ทำการสร้างแบบ ฝึกเพื่อพัฒนาการอ่านจับใจความสำคัญ ผลการวิจัยปรากฏ ดังนี้ 1. ความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญคำ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/10 หลังจากที่ได้รับฝึก ทักษะโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ มากกว่าก่อนใช้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐาน 2. ระดับความพึงพอใจที่มีต่อการใช้แบบฝึกทักษะ การอ่านจับใจความสำคัญ อยู่ในระดับมากที่สุด 8 ข้อ และ ระดับมาก 2 หัวข้อ โดยสรุปอยู่ในระดับดีมาก คำสำคัญ : การอ่านจับใจความ, การใช้แบบฝึกทักษะ บทนำ กระทรวงศึกษาธิการ (2545, หน้า 9) ในการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนภาษาไทย ผู้เรียนต้องมี ความสามารถในการใช้ภาษาในการสื่อสารได้เป็นอย่างดี สามารถอ่าน เขียน ฟัง ดู และพูดได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความคิดสร้างสรรค์ คิดอย่างมีเหตุผล และคิดอย่างเป็น ระบบ มีนิสัยรักการอ่าน การเขียน การแสวงหาความรู้ ใช้ภาษาในการพัฒนาตน และสร้างสรรค์งานอาชีพ ตลอดจนตระหนักในวัฒนธรรมการใช้ภาษาและความเป็น ไทย มีความภูมิใจและชื่นชมในวรรณคดีและวรรณกรรม ซึ่งเป็นภูมิปัญญาของคนไทย สามารถนำทักษะทางภาษามา ประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และถูกต้อง ตามสภาพการณ์และบุคคล อีกทั้งเป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี และสร้างความสามัคคี ภูมิใจในความเป็นไทย มีคุณธรรม จริยธรรม วิสัยทัศน์ที่กว้างไกล และลึกซึ้ง ดังนั้น การจัดการเรียนการสอนภาษาไทย จำเป็นต้องมุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีทักษะทั้ง 4 ด้าน คือ การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียนอย่างสัมพันธ์กัน เรียนรู้เรื่อง ต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถอ่านออกเสียง และอ่าน ในใจเรื่องราวต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ เน้นการอ่านได้ รวดเร็ว ตามเวลาที่กำหนด อธิบายซักถามรายละเอียด * ครู วิทยฐานะ - กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ความคิดเห็นตลอดจนใจความสำคัญและนัยของข้อความ และเรื่องที่อ่าน เพื่อให้มีความรู้เกี่ยวกับหลักเกณฑ์ใน การอ่าน มีทักษะในการอ่านในใจ และอ่านออกเสียงได้ ถูกต้องคล่องแคล่ว รวดเร็ว สามารถถ่ายทอดอารมณ์ และ ความรู้สึกจากเรื่องราวที่อ่านได้ สามารถจับใจความสำคัญ คิดเชิงวิจารณ์และวิเคราะห์ใจความสำคัญ ปฏิบัติตนจนเป็น นิสัยที่ดีในการอ่านหนังสือและรักการอ่าน กระทรวงศึกษาธิการ (2545, หน้า 188) การอ่าน ที่ดีและมีประสิทธิภาพ จะต้องอ่านจับใจความสำคัญได้ สรุปสาระสำคัญของเรื่องที่อ่านได้ แต่จากการสำรวจ การประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนพบว่า ปัญหา ที่สำคัญในการอ่านของผู้เรียนคือ อ่านแล้วจับใจความสำคัญ ไม่ได้ ไม่สามารถสรุปประเด็นสำคัญได้ ไม่สามารถแยก ความรู้ข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น ไม่สามารถแยกใจความสำคัญ หลักกับใจความรองได้ ทำให้ไม่ได้รับประโยชน์จากการอ่าน เท่าที่ควร ทั้งยังเป็นปัญหาอุปสรรคต่อการเรียนรู้และ การศึกษาวิชาต่างๆด้วย ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยเกิดความคิดที่จะ พัฒนาความสามารถทางการเรียนวิชาภาษาไทยด้าน การอ่านจับใจความสำคัญ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/10 โรงเรียนปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ให้ดีขึ้น จึงจัดทำ แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญขึ้นเพื่อใช้เป็น เครื่องมือในการพัฒนาความสามารถทางการเรียนวิชา ภาษาไทยด้านการอ่านจับใจความสำคัญคำประพันธ์ ประเภทกลอนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/10 ให้ดีขึ้น และหวังว่าการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญนี้ จะสามารถพัฒนาความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญ ดีขึ้น วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่านจับใจความ สำคัญของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/10 โรงเรียน ปากเกร็ด จังหวัด นนทบุรี โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่าน จับใจความสำคัญ 2. เพื่อสำรวจความพึงพอใจต่อการใช้ใช้แบบฝึก ทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ 17
วารสารวิจัยการศึกษาโรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่1 ปีการศึกษา 2564 ……………………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. วิธีดำเนินการวิจัย ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ปีการศึกษา 2564 จำนวน 4 ห้องเรียน รวม 152 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/10 โรงเรียนปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ปีการศึกษา 2564 ซึ่งได้จากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Selection) มา 1 ห้องเรียน จำนวน 44 คน เนื่องจากเป็นห้องที่มีผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่านจับใจความ สำคัญค่อนข้างต่ำ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แบบฝึก ทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ จำนวน 7 บท ซึ่งแต่ละ บทจะมีเนื้อหาแตกต่างกันไป 2)แผนการจัดการเรียนรู้ การอ่านจับใจความสำคัญ โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับ ใจความสำคัญ จำนวน 7 แผน แผนละ 1 ชั่วโมง 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การอ่านจับใจความสำคัญ ก่อนเรียนและหลังเรียน ซึ่งได้จากการคัดเลือกคำประพันธ์ ต่าง ๆ นิทาน บทเพลง และบทความ ที่มีคุณค่าเหมาะสมแก่ การเรียนรู้ สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการที่ ต้องการยกระดับคุณภาพการศึกษาเข้าสู่มาตรฐานสากล การสร้างและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ1) สร้าง แบบฝึกทักษะการจับใจความ 2) สร้างแผนการจัดการเรียนรู้ การอ่านจับใจความสำคัญ 3) สร้างแบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์การจับใจความก่อนเรียนและหลังเรียน วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล 1) นำแบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ด้านการอ่านจับใจความสำคัญไปทดสอบก่อนเรียน กับนักเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง 2)ดำเนินการสอนกับกลุ่ม ตัวอย่างโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญตาม แผนการจัดการเรียนรู้จำนวน 7 แผน แผนละ 1 ชั่วโมง 3)นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่านจับใจความ สำคัญไปทดสอบหลังเรียนกับนักเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง 4) นำข้อมูลที่ได้จากการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนมา วิเคราะห์เพื่อโดยใช้วิธีการหาค่าทางสถิติเพื่อทดสอบสมติ ฐานที่ตั้งไว้ ผลการวิจัย 1. ความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญคำ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/10 หลังจากที่ได้รับฝึก ทักษะโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญมากกว่า ก่อนใช้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐาน 2. ระดับความพึงพอใจที่มีต่อการใช้แบบฝึกทักษะ การอ่านจับใจความสำคัญ อยู่ในระดับมากที่สุด 8 ข้อ และ ระดับมาก 2 หัวข้อ โดยสรุปอยู่ในระดับดีมาก สรุปผลการวิจัย 1. แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ มีความ เหมาะสมมาก โดยมีค่าเฉลี่ยที่ 4.6 – 5 โดยมีความเหมาะสม มากในทุกหัวข้อในการแสดงความคิดเห็น 2. ความสามารถในการอ่านจับใจความสำคัญ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/10 หลังจากที่ได้รับฝึก ทักษะโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความมากกว่าก่อนใช้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ .05 ซึ่งเป็นไปตาม สมมติฐาน อภิปรายผลการวิจัย จากการศึกษาพบว่า คะแนนความสามารถใน การอ่านจับใจความสำคัญ หลังเรียนด้วยการใช้แบบฝึกทักษะ การอ่านจับใจความสำคัญ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/10 ได้สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิตที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้ แสดงแบบฝึกทักษะ การอ่านจับใจความสำคัญ สามารถพัฒนาความสามารถ ทางการเรียนรู้เรื่องการอ่านจับใจความสำคัญ ข้อเสนอแนะ 1. แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ สามารถ ทดลองกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/10 สำเร็จ และอาจ นำไปพัฒนาเพื่อใช้ในการเรียนการสอนกับนักเรียนที่อยู่ ระดับชั้นอื่น ๆ ได้ 2. ผู้ที่จะทำการวิจัยในครั้งต่อไปอาจนำไปเป็น แนวทางในการศึกษาวิจัยเพื่อต่อยอดการศึกษาได้ บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. 2545. หลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐาน. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์. พูนศรี อิ่มประไพ. (2540). การศึกษาข้อบกพร่องในการ อ่านออกเสียงภาษาไทยและการสร้างแบบฝึกซ่อม เสริมสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่3ในเขต กรุงเทพมหานคร. ปริญญานิพนธ์การศึกษา มหาบัณฑิต (การประถมศึกษา).กรุงเทพฯ: บัณฑิต วิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร. ถ่ายเอกสาร สุวรรณารัตนธรรมเมธี. (2543). การพัฒนาการอ่านจับ ใจความ. ปริญญามหาบัณฑิตครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา 18
วารสารวิจัยการศึกษาโรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่1 ปีการศึกษา 2564 ……………………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. แนวทางการแก้ไขปัญหาทักษะการเขียนสะกดคํา โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ การเขียนสะกดคําควบคู่กับทักษะการเขียนเรียงความด้วยเทคนิคบันได 4 ขั้น ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนปากเกร็ด ธัญประภา ดาวังปา* บทคัดย่อ การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อแก้ปัญหา การเขียนภาษาไทยที่ไม่ถูกต้องของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะการเขียนสะกดคําควบคู่กับ ทักษะ การเขียนเรียงความด้วยเทคนิค บันได 4 ขั้น 2) เพื่อ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการเขียนสะกดคําของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลังได้รับการพัฒนา 3. เพื่อสร้างแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำ ดำเนินการโดย 1. ทดสอบนักเรียนในกลุ่มตัวอย่างก่อนการฝึกแบบ การเขียนสะกดคำ 2. ให้นักเรียนฝึกแบบเขียนสะกดคำ ควบคู่กับทักษะ การเขียนเรียงความด้วยเทคนิค บันได 4 ขั้น 3. ทดสอบนักเรียนในกลุ่มตัวอย่างหลังการฝึกแบบ การเขียนสะกดคำ 4. นำข้อมูลมาวิเคราะห์และหาข้อสรุปผการศึกษาพบว่า การใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำทำให้ผลสัมฤทธิ์ใน การเขียนสะกดคำ ภายหลังการทดลองสูงกว่าผลสัมฤทธิ์ใน การเขียนสะกดคำก่อนทดลอง ร้อยละ 86.95 อยู่ในเกณฑ์ดี มาก เพิ่มขึ้นจากเดิม ร้อยละ 36.2 คำสำคัญ : เขียนสะกดคำ, เทคนิคบันได 4 ขั้น บทนำ จากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในวิชาภาษาไทย พบว่า นักเรียนส่วนหนึ่งมีทักษะด้านการเขียนไม่เพียงพอ ทำให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ในการเรียนต่ำ เพราะผู้เรียนขาด ทักษะต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการเขียน เช่น การเลือกใช้ถ้อยคำ สำนวน การเรียบเรียงประโยค การลำดับเนื้อความให้ สละสลวยและที่สำคัญคือการเขียนที่ถูกต้องเพื่อการสื่อสาร ความหมายที่ตรงประเด็น เป็นต้น ด้วยเหตุผลดังกล่าว ครูผู้สอนจึงสนใจจะแก้ไขปัญหาทักษะการเขียนสะกดคำ โดยครูผู้สอนจะใช้วิธีการปรับประยุกต์ด้วยแบบฝึกเสริม ทักษะการเขียนสะกดคำ วิชาภาษาไทย ควบคู่กับทักษะ การเขียนเรียงความด้วยเทคนิค บันได 4 ขั้น สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เพื่อเป็นการเสริมทักษะ การเขียนสะกดคำให้ถูกต้องและเพิ่มการสื่อสารความหมาย ต่อผู้รับสารพร้อมเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางเรียนให้สูงขึ้น ซึ่งนอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อนักเรียนโดยตรงแล้วยังเป็น * ครู วิทยฐานะ - กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี แนวทางสำหรับครูในการพัฒนากิจกรรมการเขียนสะกดคำ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น วัตถุประสงค์การวิจัย เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการเขียนสะกด คำของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลังได้รับ การพัฒนาโดยใช้แนวทางปรับประยุกต์ด้วยแบบฝึกเสริม ทักษะการเขียนสะกดคำ ควบคู่กับทักษะการเขียนเรียงความ ด้วยเทคนิค บันได 4 ขั้น วิธีดำเนินการวิจัย กลุ่มเป้าหมาย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 รายวิชา ภาษาไทย 4 (ท22102) จำนวน 44 คน ตัวแปรอิสระ แบบฝึกเสริมทักษะการเขียนสะกดคําควบคู่กับ ทักษะการเขียนเรียงความด้วยเทคนิค บันได 4 ขั้น ตัวแปรตาม ความสามารถในการเขียนสะกดคำของนักเรียน ตัวแปรควบคุม จำนวนนักเรียน สมมติฐานในการวิจัย ความสามารถในการเรียนรู้เรื่องการเขียนสะกดคํา ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 2 หลังการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค แนวทางปรับประยุกต์ด้วยแบบฝึกเสริมทักษะการเขียนสะกด คํา ควบคู่กับทักษะการเขียนเรียงความด้วยเทคนิค บันได 4 ขั้น สูงกว่าก่อนเรียนรู้ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร (Population) เป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 โรงเรียนปากเกร็ด ที่เรียนในภาคเรียนที่2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 5 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 205 คน กลุ่มตัวอย่าง (Samples) เป็นนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2/12 โรงเรียนปากเกร็ด ที่เรียนในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ที่ได้จากการสุ่มแบบเจาะจง จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 44 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. แบบวัดทักษะการเขียนสะกดคําโดยใช้แนวทางปรับ ประยุกต์ด้วยแบบฝึกเสริมทักษะการเขียนสะกดคําควบคู่กับ ทักษะการเขียนเรียงความด้วยเทคนิค บันได 4 ขั้น 2 ตอน ได้แก่ ตอนที่ 1 การเขียนสะกดคํา จำนวน 30 คะแนน ตอนที่ 2 การเขียนสะกดคําจากเรียงความ จำนวน 30 คะแนน 19
วารสารวิจัยการศึกษาโรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่1 ปีการศึกษา 2564 ……………………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 2. แผนจัดการเรียนรู้การเขียนสะกดคําโดยใช้แนวทาง ปรับประยุกต์ด้วยแบบฝึกเสริมทักษะการเขียนสะกดคําควบคู่ กับทักษะการเขียนเรียงความด้วยเทคนิคบันได 4 ขั้นจำนวน 4 แผน ผลการวิจัย ผลการวิจัยในครั้งนี้เป็นไปตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้แสดงว่า การใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำ ทำให้นักเรียนมี ความสามารถในการเขียนสะกดคำสูงขึ้น สรุปผลการวิจัย จากการวิจัยพฤติกรรมของนักเรียนที่เขียนสะกดคำไม่ ถูกต้องของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่2 รายวิชาภาษาไทย 4 (22102) ของโรงเรียนปากเกร็ด จำนวน 44 คน พบว่าการใช้ แบบฝึกทักษะการเขียน สะกดคำ ทำให้ผลสัมฤทธิ์ในการเขียน สะกดคำภายหลังการทดลองสูงกว่าผลสัมฤทธิ์ในการเขียน สะกดคำก่อน ทดลองร้อยละ 86.95 อยู่ในเกณฑ์ดีมาก เพิ่มขึ้น จากเดิม ร้อยละ 36.2 อภิปรายผลการวิจัย หลังดำเนินการคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนมีคะแนนรวม ร้อยละ 86.95 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ ดีมาก หมายความว่านักเรียนเมื่อ ฝึกแบบทดสอบการสะกดคำแล้วทำให้สามารถเขียนสะกดคำ ได้ดีขึ้น ข้อเสนอแนะ จากผลการวิจัย พบว่า แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำ ยากทำให้นักเรียนเกิดการ เรียนรู้ได้อย่าง มีประสิทธิภาพ จึงควรได้รับการส่งเสริมให้ครูผู้สอนได้มีการสร้างแบบ ฝึกโดยวิเคราะห์คำมาก่อนว่าคำใดเป็น คำยากสำหรับ นักเรียนและใช้แบบฝึกเข้าช่วยในการสอนสะกดคำจะเป็น การช่วยลดภาระและเวลาในการ สอนของ ครูลงไปได้เพราะ แบบฝึกลักษณะนี้สามารถใช้สอนนอกเวลาได้และเด็กเรียน ด้วยตนเองเป็น รายบุคคล ได้อีกด้วย บรรณานุกรม บังอร แก่นจันทร์. (2544). กาสร้างหนังสือและแบบ ฝึกทักษะประกอบการเรียนภาษาไทย แบบมุ่งประสบการณ์ภาษา เรื่อง เที่ยว งานพนมรุ้ง ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. บุญชม ศรีสะอาด. (2545). กาวิจัยเบื้องต้น. (พิมพ์ ครั้งที่ 7). กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาส์น. วรรณ แก้วแพรก (2526). คู่มือการสอนเขียนชั้น ประถมศึกษา. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์ 20
วารสารวิจัยการศึกษาโรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่1 ปีการศึกษา 2564 ……………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………................................................................ การเขียนเรียงความ โดยใช้เทคนิคการสอนแบบ Hybrid learning และฝึกปฏิบัติ สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนปากเกร็ด น้ำฝน ทะกลกิจ* บทคัดย่อ การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์วิชาภาษาไทย โดยใช้แบบ ฝึกทักษะการเขียนเรียงความ โดยใช้เทคนิคการสอนแบบ Hybrid learning และฝึกปฏิบัติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 2. เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้แบบฝึกทักษะ การเขียนเรียงความ โดยใช้เทคนิคการสอนแบบ Hybrid learning และฝึกปฏิบัติ 3. เพื่อศึกษาความถึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 ที่มีต่อการเรียนวิชาภาษาไทย โดยใช้แบบฝึกทักษะ การเขียนเรียงความ โดยใช้เทคนิคการสอนแบบ Hybrid learning และฝึกปฏิบัติ ดำเนินการวิจัยโดย 1. ก่อนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จะทำการทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Pretest) เรื่องการพัฒนาการ เขียนเรียงความ กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2565 ถึง วันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2565 ใช้ เวลาทั้งสิ้น 2 คาบ 2. จัดกิจกรรมการเรียนรู้กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างตาม แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องการพัฒนาการเขียนเรียงความ ตั้งแต่วันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2565 ถึง วันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2565 โดยใช้เวลาสอนทั้งสิ้น 6 ชั่วโมง 3. เมื่อจัดกิจกรรมการเรียนรู้ครบทุกแผนแล้วจะ ดำเนินการทดสอบเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Posttest) กับกลุ่มตัวอย่างโดยใช้แบบวัดชุดเดียวกันกับที่ ใช้ทดสอบก่อนเรียน ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 ถึง วันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 ใช้เวลาทั้งสิ้น 1 คาบ คำสำคัญ : การเขียนเรียงความ, Hybrid learning บทนำ การเขียนเป็นทักษะที่สำคัญยิ่งในการเรียนการสอน ภาษาไทยซึ่งเป็นวิชาบังคับของหลักสูตร ดังจะเห็นได้ว่าใน ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นได้กำหนดจุดประสงค์ใน การพัฒนาความสามารถทางการเขียนไว้ว่า “ต้องการให้ ผู้เรียนใช้กระบวนการเขียนเขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อ ความ และเขียนเรื่องราวในรูปแบบต่างๆ เขียนรายงาน ข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้าอย่างมี ประสิทธิภาพ” จากรายงานการวิจัยและประเมินคุณภาพ การศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการที่ประเมินผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาภาษาไทยซึ่งเป็นภาษาของชาติ และเป็น * ครู วิทยฐานะ ชำนาญการพิเศษ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี พื้นฐานสำคัญของผู้เรียนนั้น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ ผู้เรียนยังอยู่ในเกณฑ์ที่ควรปรับปรุง ประกอบกับผู้วิจัยได้ ทดสอบวัดความรู้ภาษาไทยสำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผลปรากฏว่านักเรียนยังทำคะแนนได้ไม่ดีเท่าที่ควร จึงคิดพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทยด้วยการทำ แบบฝึกทักษะการเขียนเรียงความ โดยใช้เทคนิคการสอน แบบ Hybrid learning และฝึกปฏิบัติมาแก้ปัญหา วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อศึกษาความสามารถในการเขียนเรียงความ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนปากเกร็ด 2. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการเขียนของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนปากเกร็ด ก่อนและ หลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการเขียนเรียงความ วิธีดำเนินการวิจัย กลุ่มเป้าหมาย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 รายวิชา ภาษาไทย 4 (ท22102) จำนวน 44 คน ตัวแปรอิสระ การเขียนเรียงความ โดยใช้เทคนิค การสอนแบบ Hybrid learning และฝึกปฏิบัติ ตัวแปรตาม ความสามารถในการเขียนเรียงความของ นักเรียน ตัวแปรควบคุม จำนวนนักเรียน สมมติฐานในการวิจัย การเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึก ทักษะตการเขียนเรียงความ โดยใช้เทคนิคการสอนแบบ Hybrid learning และฝึกปฏิบัติ จะทำให้ผลสัมฤทธิ์ทาง การอ่านของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 สูงกว่าการเรียน การสอนแบบปกติอย่างนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร (Population) เป็นนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนปากเกร็ด ที่เรียนในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 2 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 88 คน กลุ่มตัวอย่าง (Samples) เป็นนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2/6 โรงเรียนปากเกร็ด ที่เรียนในภาคเรียน ที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ที่ได้จากการสุ่มแบบเจาะจง จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 44 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. การเขียนเรียงความ โดยใช้เทคนิคการสอนแบบ Hybrid learning และฝึกปฏิบัติ 21
วารสารวิจัยการศึกษาโรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่1 ปีการศึกษา 2564 ……………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………................................................................ ตอนที่ 1 การเขียนพื้นฐาน จำนวน 30 คะแนน ตอนที่ 2 การเขียนเรียงความ จำนวน 30 คะแนน 2. แผนจัดการเรียนรู้การเขียนเรียงความโดยใช้เทคนิค การสอนแบบ Hybrid learning และฝึกปฏิบัติ ผลการวิจัย ผลการวิจัยในครั้งนี้เป็นไปตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้แสดง ว่าการใช้การเขียนเรียงความ โดยใช้เทคนิคการสอน แบบ Hybrid learning และฝึกปฏิบัติ ทำให้นักเรียน มีความสามารถในการเขียนสูงขึ้น สรุปผลการวิจัย จากการวิจัยพฤติกรรมของนักเรียนที่เขียนเรียงความ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่2 รายวิชาภาษาไทย 4 (22102) ของโรงเรียนปากเกร็ด จำนวน 44 คน พบว่าผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนจากการใช้การจัดการเรียนรู้ตามเทคนิคการสอน แบบ Hybrid learning และฝึกปฏิบัติ เรื่อง การเขียน เรียงความของนักเรียนหลังเรียนมีคะแนนทดสอบสูงกว่าก่อน เรียน อย่างมีนัยสำคัญ .05 อภิปรายผลการวิจัย เมื่อนักเรียนเรียนรู้วิธีการเขียนเรียงความ โดยใช้เทคนิค การสอนแบบ Hybrid learning และฝึกปฏิบัติแล้วทำให้ นักเรียนมีพัฒนาการด้านการเขียนเรียงความที่ดีขึ้น เห็นได้ จากการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ของการทำแบบฝึกปฏิบัติทั้ง 4 ชุด ซึ่งผลปรากฏว่าสามารถส่งเสริมทักษะการเขียนแก่นักเรียนได้ เป็นอย่างดี ข้อเสนอแนะ จากผลการวิจัย พบว่า การเขียนเรียงความ โดยใช้เทคนิค การสอนแบบ Hybrid learning และฝึกปฏิบัติทำให้นักเรียน เกิดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพจึงควรส่งเสริมให้ ครูผู้สอนได้มีการสร้างแบบฝึกการเขียนพื้นฐานให้นักเรียนได้ เรียนรู้เรื่องการใช้คำและการเขียนย่อหน้าก่อนที่จะเรียนเรื่อง การเขียนเรียงความ ทั้งนี้การสอนแบบ Hybrid learning นั้น หากสิ้นสุดการระบาดของโรคโควิด-19 แล้วยังใช้สอนนอก เวลาและเด็กสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองได้อีกด้วย บรรณานุกรม ฉลาด สมพงษ์. (2547). การสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะ การเขียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสายธาร วิทยา อำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ สังกัดกรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ. ปรีชา ช้างขวัญยืน. (2542). เทคนิคการเขียนและผลิต ตำรา. กรุงเทพฯ: โครงการตำราคณะอักษร- ศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. วีรวัฒน์ อินทรพร. (2545). ทักษะการเขียน. สงขลา : มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่. อัญชลี ทองเอม. (2541). การพัฒนาการเขียน. กรุงเทพฯ : ศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษามหาวิทยาลัยธุรกิจ บัณฑิต. 22
วารสารวิจัยการศึกษาโรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่1 ปีการศึกษา 2564 ……………………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. แนวทางการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุกรูปแบบออนไลน์เรื่อง พระอภัยมณี ตอน หนีนางผีเสื้อ เพื่อส่งเสริมความสามารถในศตวรรษที่ 21 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนปากเกร็ด ปิยวัฒน์ ฤทธิ์มาก* บทคัดย่อ งานวิจัยเชิงสำรวจนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความคิดเห็นของ นักเรียนที่มีต่อการเรียนวรรณคดีออนไลน์และนำข้อมูลที่ได้มา ออกแบบแนวทางการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุกรูปแบบออนไลน์ เรื่อง พระอภัยมณี ตอน หนีนางผีเสื้อเพื่อส่งเสริมความสามารถ ในศตวรรษท ี ่ 21 ของน ั กเร ี ยนช ั ้ นม ั ธยมศ ึ กษา ปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนปากเกร็ด กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/3จำนวน 43 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียน สถิติที่ ใช้ในงานวิจัยคือ สถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า นักเรียนส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงทุกคนมี อินเทอร์เน็ตในการใช้งานอุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียนออนไลน์ คือ โทรศัพท์สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และไอแพด/แท็บเล็ต ปัญหาของนักเรียนเวลาที่เรียนออนไลน์ พบว่า ส่วนใหญ่ไม่มี ปัญหา บางส่วนมีเรื่องภาระงานอื่น ๆ ที่กระทบการเรียนออนไลน์ เช่น ช่วยงานผู้ปกครอง ส่วนรูปแบบการเรียนวรรณคดีที่นักเรียน ชอบ พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่ชอบให้มีกิจกรรมส่งเสริม บรรยากาศในชั้นเรียนให้มีความน่าสนใจ มีกิจกรรมส่งเสริมให้ นักเรียนสามารถเข้าใจวรรณคดีได้ดีขึ้น และมีกิจกรรมที่ทำให้เกิด ความสนุกสนานผลความคิดเห็นเกี่ยวกับการเรียนการสอน วรรณคดีไทยรูปแบบออนไลน์ พบว่า รูปแบบการเรียนการขาด ความน่าสนใจและต้องการให้มีกิจกรรมที่หลากหลายมากขึ้น จากข้อมูลความคิดเห็นผู้วิจัยได้นำมาออกแบบแนวทาง การจัดการเรียนการสอนออนไลน์ ดังนี้ 1) การพัฒนากิจกรรม การเรียนการสอนให้มีความน่าสนใจ สนุกสนาน 2) การเชื่อมโยงบูรณา การและชี้ให้เห็นคุณค่าของการศึกษาวรรณคดี3) ใช้วรรณคดีเป็น เครื่องมือในการฝึกทักษะการคิดในศตวรรษที่ 21 คำสำคัญ : การจัดการเรียนรู้เชิงรุก, การเรียนการสอน รูปแบบออนไลน์, ความสามารถในศตวรรษที่21 บทนำ วรรณคดีเปรียบได้กับกระจกเงาที่ส่องสะท้อน บางแง่มุมของสภาพสังคมและวัฒนธรรม ผู้อ่านจึงควรศึกษาเพื่อ จะได้เรียนรู้เรื่องราวความเป็นมา ความคิด และค่านิยมของคนในสังคม ในแต่ละสมัย และเข้าใจคุณค่าของศิลปวัฒนธรรมของไทย ซึ่งเป็น เครื่องแสดงให้เห็นถึงความเป็นชาติ การวิจักษ์วรรณคดีจึงช่วยเสริมสร้างลักษณะนิสัยอันดี ให้แก่ผู้วิจักษ์ทำให้เป็นผู้มีเหตุผลมีความยุติธรรม และมี * ครู วิทยฐานะ – กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี วิจารณญาณอันเป็นคุณสมบัติที่สงผลสะท้อนไปถึงประโยชน์ส่วน อื่นในการดำเนินชีวิต ดังนั้น ผู้อ่านที่หวังจะได้รับประโยชน์จาก การอ่านวรรณคดี จึงควรอ่านอย่างพินิจพิเคราะห์ ผู้วิจัยจึงมีความสนใจในการศึกษาความคิดเห็น ของนักเรียนเกี่ยวกับความต้องการในการเรียนวรรณคดี รูปแบออนไลน์เพื่อนำข้อมูลที่ได้จากการศึกษาไปออกแบบ แนวทางการจัดการเรียนรู้ วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อศึกษาความคิดเห็นแนวการจัดการเรียนรู้แบบ เชิงรุกรูปแบบออนไลน์ 2. เพื่อให้ได้แนวการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก รูปแบบออนไลน์ วิธีดำเนินการวิจัย 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรเป็นนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนปากเกร็ด จำนวน 5 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 209 คน กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3/3 จำนวน 43 คน 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) แบบสอบถามความคิดเห็น เกี่ยวกับการสอนเรื่อง พระอภัยมณี ตอน หนีนางผีเสื้อ 2) แบบวิเคราะห์แนวการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุกรูปแบบ ออนไลน์ เรื่อง พระอภัยมณี ตอน หนีนางผีเสื้อ ในการส่งเสริมความสามารถในศตวรรษที่ 21 ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 3. การเก็บรวบรวมข้อมูล1) ผู้วิจัยจัดทำแบบสอบถามออนไลน์ 2) เก ็ บข ้ อม ู ลของผ ู ้ ตอบแบบสอบถาม 3) นำผล ของแบบสอบถามมาตรวจสอบความถูกต้องและนำไป วิเคราะห์ผลต่อไป 4. การวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลโดยการใช้วิธีทางสถิติด้วยโปรแกรม คอมพิวเตอร์มีรายละเอียด ดังนี้1) ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบ แบบสอบถามและข้อมูลเกี่ยวกับสภาพปัจจุบันของการจัด การเรียนการสอนวรรณคดี วิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ความถี่ และร้อยละ 2. ข้อมูลข้อเสนอแนะหรือแนวคิดเกี่ยวกับแนวทาง การจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุกรูปแบบออนไลน์ เรื่อง พระอภัยมณี ตอน หนีนางผีเสื้อเพื่อส่งเสริมความสามารถในศตวรรษที่ 21 แบบ 23
วารสารวิจัยการศึกษาโรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่1 ปีการศึกษา 2564 ……………………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. เขียนบรรยายตอบ และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยใช้ การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัย ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถามและข้อมูลเกี่ยวกับ สภาพปัจจุบันของการจัดการเรียนการสอนวรรณคดีรูปแบบ ออนไลน์ น ั กเร ี ยนท ี ่ ตอบแบบสอบถามส ่ วน ให ญ่ เป็นเพศหญิงร้อยละ 74.4 โดยนักเรียนทุกคนมีอินเทอร์เน็ต ในการใช้งาน ด้านอุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียนออนไลน์ พบว่า นักเรียน ใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟน มากที่สุด ร้อยละ 65.1 รูปแบบ การเรียนวรรณคดีที่นักเรียนชอบ พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่ชอบ ให้มีกิจกรรมส่งเสริมบรรยากาศในชั้นเรียนให้มีความน่าสนใจคิด เป็นร้อยละ 74.4 สรุปผลการวิจัย ผลจากการศึกษา 1) การพัฒนากิจกรรมการเรียน การสอนให้มีความน่าสนใจ สนุกสนาน 2)การเชื่อมโยงบูรณาการและ ชี้ให้เห็นคุณค่าของการศึกษาวรรณคดี3) ใช้วรรณคดีเป็น เครื่องมือในการฝึกทักษะการคิด ข้อเสนอแนะ จากการศึกษา สามารถนำข้อมูลไปใช้ออกแบบ การจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุกรูปแบบออนไลน์ เรื่อง พระอภัยมณี ตอน หนีนางผีเสื้อเพื่อส่งเสริมความสามารถในศตวรรษที่ 21 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนปากเกร็ด ตรงกับความต้องการของผู้เรียน และสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงบางประการที่เกิดขึ้น ในสังคมอันจะส่งผลกระทบทำให้ไม่สามารถจัดการเรียน การสอนในรูปแบบปกติได้ โดยผู้สนใจสามารถพัฒนา เป็นงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนารูปแบบการจัด การเรียนการสอนออนไลน์ การพัฒนาบทเรียนออนไลน์ วิธีการสอนหรือรูปแบบการสอนแบบออนไลน์ หรือผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนในรูปแบบออนไลน์ที่ได้พัฒนาขึ้นจากผลการศึกษา ของงานวิจัยนี้ บรรณานุกรม ชลธิชา หอมฟุ้ง. (2560). การพัฒนาแนวการจัด การเรียนรู้วิชาภาษาไทยโดยใช้วรรณกรรม ท้องถิ่นเป็นฐานร่วมกับการเรียนรู้แบบเชิงรุก เพื่อส่งเสริมความสามารถในศตวรรษที่ 21 ของผู้เรียน, (คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัย ศิลปากร) เผชิญ กิจระการ. (2546). “ดัชนีประสิทธิผล” ใน เอกสารประกอบการสอน. หน้า 1 – 6. มหาสารคาม : ภาควิชาเทคโนโลยีการศึกษา คณะ ศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัย มหาสารคาม. สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (2562). แนวทางการนิเทศเพื่อพัฒนาและส่งเสริม การจัดการเรียนรู้เชิงรุก. (ม.ป.ท.) 24
วารสารวิจัยการศึกษาโรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่1 ปีการศึกษา 2564 ……………………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. การพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนปากเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี พิริยะ นึกมั่น* บทคัดย่อ การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนปากเกร็ด 2. เพื่อศึกษาหาประสิทธิภาพแบบฝึกทักษะการอ่าน จับใจความสำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่สร้างขึ้นตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 การดำเนินการ 1. ทดสอบนักเรียนในกลุ่มตัวอย่างก่อนการใช้แบบฝึก ทักษะการอ่านจับใจความ 2. ให้นักเรียนฝึกอ่านจับใจความ ควบคู่กับการใช้แบบฝึก ทักษะการอ่านจับใจความ 3. ทดสอบนักเรียนในกลุ่มตัวอย่างหลังการใช้แบบฝึก ทักษะการอ่านจับใจความ 4. นำข้อมูลมาวิเคราะห์และหาข้อสรุปผการศึกษาพบว่า ความสามารถในการอ่านจับใจความของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ การอ่านจับใจความสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 สูงกว่าก่อนเรียน และประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ การอ่านจับใจความสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ (E1/E2) เท่ากับ 79.69/81.38 ซึ่งตรงตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 80/80 คำสำคัญ : แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความ บทนำ จากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในวิชาภาษาไทย พบว่า นักเรียนส่วนหนึ่งมีทักษะด้านการอ่านไม่เพียงพอ ทำให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ในการเรียนต่ำ เพราะผู้เรียนขาด ทักษะต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการอ่าน ด้วยเหตุผลดังกล่าว ครูผู้สอนจึงสนใจจะแก้ไขปัญหาทักษะการอ่านจับใจความ โดยครูผู้สอนจะใช้วิธีการปรับประยุกต์ด้วยแบบฝึกเสริม ทักษะการอ่านจับใจความ วิชาภาษาไทย สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เพื่อเป็นการพัฒนาทักษะการอ่าน จับใจความและเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางเรียนให้สูงขึ้น ซึ่งนอกจาก จะเป็นประโยชน์ต่อนักเรียนโดยตรงแล้วยังเป็นแนวทาง สำหรับครูในการพัฒนากิจกรรมการอ่านจับใจความให้มี ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น * ครู วิทยฐานะ - กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านจับใจความ โดยใช้แบบฝึกทักษะของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนปากเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี 2. เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่าน จับใจความ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่สร้างขึ้นตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/8 วิธีดำเนินการวิจัย กลุ่มเป้าหมาย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียน ปากเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี จำนวน 35 คน ตัวแปรอิสระ แบบฝึกทักษะการการอ่านจับใจความ ตัวแปร ตาม ทักษะการอ่านจับใจความของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 สมมติฐานในการวิจัย 1.หลังจากการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนปากเกร็ด มีทักษะ การอ่านจับใจความที่พัฒนาขึ้นสูงกว่าก่อนใช้แบบฝึกทักษะ การอ่านจับใจความ 2.ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีมาตรฐานตามเกณฑ์ ที่ตั้งไว้ 80/80 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนปากเกร็ด อำเภอ ปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี จำนวน 35 คน กลุ่มตัวอย่าง (Samples) เป็นนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนปากเกร็ด เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความ แบบฝึกชุดที่ 1 การอ่านจับใจความจากวรรณคดีในบทเรียน แบบฝึกชุดที่ 2 การอ่านจับใจความจากเรื่องสั้น/บทความ แบบฝึกชุดที่ 3 การอ่านจับใจความจากบันทึกเหตุการณ์ ผลการวิจัย ผลการวิจัยในครั้งนี้เป็นไปตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้แสดงว่า การใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความ ทำให้นักเรียน มีความสามารถในการอ่านจับใจความสูงขึ้น 25
วารสารวิจัยการศึกษาโรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่1 ปีการศึกษา 2564 ……………………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. สรุปผลการวิจัย 1. ความสามารถในการอ่านจับใจความของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนปากเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี หลังการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่าน จับใจความสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 สูงกว่า ก่อนเรียน 2. ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น มีประสิทธิภาพ (E1/E2) เท่ากับ 79.69/81.38 ซึ่งตรงตาม เกณฑ์ที่กำหนดไว้ 80/80 อภิปรายผลการวิจัย จากผลการวิจัยพบว่าความสามารถในการอ่านจับใจความ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนปากเกร็ด อำเภอ ปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี หลังการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ การอ่านจับใจความ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 8.45 และค่าส่วน เบี่ยงเบน เท่ากับ 1.72 ซึ่งสูงกว่าก่อนเรียนโดยใช้แบบฝึก ทักษะการอ่านจับใจความ มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.55 และค่าส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 1.38 อย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .05 ทั้งนี้อาจเนื่องมาจาก แบบฝึกทักษะการอ่าน จับใจความที่สร้างขึ้นซึ่งประกอบด้วย 3 เรื่อง 3 ชุดแบบฝึก ผู้วิจัยได้สร้างขึ้นตามสภาพปัญหา ความสนใจ ความต้อง การ และความพร้อมของผู้เรียน การนำจิตวิทยาการเรียนรู้ ของธอร์นไดค์มาใช้ในการสร้างแบบฝึกทักษะ การนำเทคนิค การสอนและสื่อการสอนสอดแทรกลงไปในแบบฝึกทักษะ การอ่านจับใจความ การเรียงลำดับความยากง่ายของเรื่องและ เนื้อเรื่องมีความเหมาะสมกับวัยของนักเรียน ทำให้นักเรียน เกิดการเรียนรู้ในแต่ละเรื่องได้อย่างเข้าใจ ข้อเสนอแนะ 1) ข้อเสนอแนะที่ได้จากการทำวิจัย 1.1 ครูผู้สอนอาจเลือกเนื้อหาของแบบฝึกใหม่ให้สอดคล้อง กับสภาพปัจจุบันเพื่อให้นักเรียนมีทักษะในการอ่านที่ หลากหลาย 1.2 ครูผู้สอนควรเข้าไปแนะนำช่วยเหลือนักเรียนที่เรียนช้า ส่งเสริมนักเรียนที่เรียนดีให้มีส่วนเข้าไปช่วยเหลือและให้ กำลังใจกับนักเรียนที่เรียนด้อย 1.3 ครูผู้สอนควรแจ้งคะแนนผลการฝึกให้นักเรียนทราบ ทุกครั้งเพื่อเป็นการกระตุ้นแรงจูงใจในการฝึกครั้งต่อไป 2) ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 2.1 ควรมีการเปรียบเทียบการสอนภาษาไทย เรื่องการอ่านจับใจความระหว่างการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะ กับการสอนด้วยวิธีอื่น ๆ เพื่อค้นหาวิธีการสอนที่เหมาะสม ที่สุด 2.2 ควรมีการวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาการอ่านโดยใช้สื่อ ลักษณะอื่น ๆ เช่น คอมพิวเตอร์ ช่วยสอน เพื่อให้มี นวัตกรรมสำหรับการพัฒนาศักยภาพของนักเรียนมากยิ่งขึ้น บรรณานุกรม กรมวิชาการ. (2546). แผนพัฒนาคุณภาพการเรียนการ สอนภาษาไทยและการใช้ภาษาไทย. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว. ธีรญา เหงี่ยมจุล. (2547). การพัฒนาแบบฝึกการอ่าน จับใจความสำคัญสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 6. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศิลปากร. สุพรรณี วราทร. (2545). การอ่านอย่างมีประสิทธิภาพ. กรุงเทพฯ: โครงการเผยแพร่ผลงานวิชาการ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 26
วารสารวิจัยการศึกษาโรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่1 ปีการศึกษา 2564 ……………………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนปากเกร็ด โดยใช้รูปแบบการสอนแบบแบ่งปันความคิด Think-Pair-Share วสันต์ ศักดาศักดิ์* บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะการคิด วิเคราะห์ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนปากเกร็ด โดยใช้รูปแบบการสอนแบบแบ่งปันความคิด Think-PairShare ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ซึ่งเป็น การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนมัธยมศึกษาปี ที่ 4 โดยใช้รูปแบบการสอนแบบแบ่งปันความคิด ThinkPair-Share และเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ของการทดสอบ ก่อนเรียนหลังเรียน ของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างกับเกณฑ์ร้อย ละ 75 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนปากเกร็ดที่เรียนในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 2 ห้องเรียน (ห้อง ม.4/4, ม.4/8) รวมจำนวน 80 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ 1) แผนการจัด การเรียนรู้ 2) แบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียน ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการศึกษาผลสัมฤทธิ์ การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์โดยใช้วิธีการสอนรูปแบบ Think-Pair-Share ของนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง หลังเรียน สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 พบว่า การทดสอบก่อนการจัด การเรียนรู้มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 10.54 การทดสอบหลัง การจัดการเรียนรู้มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 17.42 และเมื่อ เปรียบเทียบผลการสอบก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ พบว่านักเรียนมีการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์สูงกว่า เกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ด้านการพัฒนาทักษะ การคิดวิเคราะห์โดยใช้วิธีการสอนรูปแบบ Think-PairShare ของนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง พบว่าผลการพัฒนาทักษะ การคิดวิเคราะห์ของนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง การทดสอบก่อน การจัดการเรียนรู้มีค่าเฉลี่ย 10.54 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.48 คิดเป็นร้อยละ 52.70 การทดสอบหลังการจัด การเรียนรู้มีค่าเฉลี่ย 17.42 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.54 คิดเป็นร้อยละ 87.10 โดยมีผลต่างคิดเป็นร้อยละ 34.40 คำสำคัญ การคิดวิเคราะห์, การสอนแบบแบ่งปันความคิด Think-Pair-Share บทนำ จากการจัดการเรียนการสอนรายวิชาภาษาไทย พื้นฐาน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนปากเกร็ด ผู้สอนได้วิเคราะห์สภาพปัญหา จากการสังเกตพฤติกรรม * ครู วิทยฐานะ - กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ของนักเรียนในขณะการจัดการเรียนการสอน พบว่านักเรียน บางคนในชั้นเรียน ขาดทักษะสำคัญในการฝึกคิดวิเคราะห์ ผู้สอนจึงอยากให้นักเรียนเหล่านี้ได้ “ฝึกคิด”ผู้สอนเลยคิด แก้ปัญหาดังกล่าว โดยการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์โดย การกระตุ้นคิดนักเรียน ผ่านวิธีการสอนรูปแบบ“แบ่งปัน ความคิด” (Thing-Pair-Share) ควบคู่กับการทำแบบฝึก พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ ซึ่งวิธีการสอนดังกล่าว เป็นเทคนิคที่ผู้สอนตั้งคำถาม กำหนดปัญหา กำหนด สถานการณ์ให้แก่ผู้เรียน และให้ผู้เรียนทุกคนคิดวิเคราะห์ หาคำตอบเองก่อน แล้วจับคู่/จับกลุ่มเพื่ออภิปรายคำตอบ ร่วมกัน เมื่อเห็นร่วมกันว่าคำตอบใดถูกหรือโดดเด่น จึงนำ คำตอบไปอธิบายให้เพื่อนในชั้นเรียนฟัง จากนั้นทุกคนในชั้น เรียนจะร่วมกันคิดวิเคราะห์และอภิปรายแลกเปลี่ยนความ คิดเห็นหาข้อสรุปร่วมกัน เมื่อผู้เรียนทุกคนได้เรียนรู้ตาม กระบวนการแล้วจะได้พัฒนาความสามารถด้านการคิด มีโอกาสแสดงความคิดของตนเอง มีโอกาสแสดงความ คิดเห็นในคำตอบของเพื่อน ได้พูดแสดงความคิดของตนเอง ผู้เรียนที่ไม่เคยมีโอกาสได้คิดก็จะได้คิด ผู้เรียนที่ไม่เคย มีโอกาสได้พูดก็จะได้พูด และยังเป็นการจัดการเรียนรู้ที่เน้น ผู้เรียนเป็นสำคัญ ตามแนวคิดการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning วัตถุประสงค์การวิจัย 1) เพื่อพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์สำหรับ นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 4 2) เพื่อศึกษาพัฒนาการทางผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 วิธีดำเนินการวิจัย 1) ศึกษาเนื้อหา กิจกรรมการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ ที่คาดหวัง คำอธิบายรายวิชากลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เพื่อสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นกระบวนการ พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ โดยใช้รูปแบบการสอน Think-Pair-Share 2) นำแผนการจัดการเรียนรู้และแบบทดสอบก่อน เรียน-หลังเรียนให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ และปรับปรุงให้ เหมาะสมตามข้อเสนอแนะ 3) ให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 2 ห้องเรียน (4/4,4/8) รวมจำนวน 80 คน ทำแบบทดสอบก่อนเรียนเรื่อง บทละคร 27
วารสารวิจัยการศึกษาโรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่1 ปีการศึกษา 2564 ……………………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. เรื่อง หัวใจชายหนุ่ม และดำเนินการจัดการเรียนการสอน บทเรียนเรื่อง บทละครเรื่อง หัวใจชายหนุ่ม จำนวน 2 แผน รวม 3 ชั่วโมง 4) ให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่างทำแบบทดสอบหลังเรียน จำนวน 20 ข้อ กับกลุ่มตัวอย่าง 5) นำแบบทดสอบก่อนเรียน หลังเรียนที่ได้ทำการ ทดสอบแล้ว มาดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ 1) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การแจกแจงความถี่ (frequency) การหาค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และค่าเฉลี่ย (̅ ) 2) วิเคราะห์การพัฒนาทักษะ การคิดวิเคราะห์ร่วมกับรูปแบบการสอน Think-Pair-Share ของนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง กับเกณฑ์ร้อยละ 75 3) นำข้อมูล ที่ได้มาเขียนสรุปอภิปรายผล ผลการวิจัย ผลการวิจัยเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ด้านการพัฒนา ทักษะการคิดวิเคราะห์โดยใช้วิธีการสอนรูปแบบ Think-PairShare ของนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง แสดงได้ดังตาราง ดังนี้ หมายเหตุ มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สรุปผลการวิจัย ผลการทดสอบก่อนเรียนของนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ก่อนการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ ร่วมกับการใช้รูปแบบการสอนแบบ Think-Pair-Share สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่4 มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 10.54 (S.D. = 0.48) หลังการจัดการเรียนรู้มีผลการทดสอบ ค่าเฉลี่ย เท่ากับ 17.42 (S.D. = 0.54) และเมื่อเปรียบเทียบผล การทดสอบก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ พบว่า นักเรียนมี การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์โดยก่อนจัดการเรียนรู้มี ค่าเฉลี่ยร้อยละ 52.70 และหลังการจัดการเรียนรู้มีค่าเฉลี่ย ร้อยละ 87.10 ซึ่งมีผลการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์สูงกว่า เกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 อภิปรายผลการวิจัย ผลการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนปากเกร็ด โดยใช้รูปแบบการสอน Think-Pair-Share เป็นไปตามสมมติฐานการวิจัย ดังนี้ 1) ผลการศึกษาผลสัมฤทธิ์ด้านการพัฒนาทักษะ การคิดวิเคราะห์โดยใช้วิธีการสอนรูปแบบ Think-PairShare ของนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง หลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อย ละ 75 พบว่า การทดสอบก่อนการจัดการเรียนรู้ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 10.54 การทดสอบหลังการจัดการเรียนรู้มี ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 17.42 และเมื่อเปรียบเทียบผลการสอบก่อน และหลังการจัดการเรียนรู้ พบว่านักเรียนมีการพัฒนาทักษะ การคิดวิเคราะห์สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 2) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ด้านการพัฒนา ทักษะการคิดวิเคราะห์โดยใช้วิธีการสอนรูปแบบ ThinkPair-Share ของนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง พบว่าผลการพัฒนา ทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง การทดสอบก่อนการจัดการเรียนรู้มีค่าเฉลี่ย 10.54 ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.48 คิดเป็นร้อยละ 52.70 การทดสอบ หลังการจัดการเรียนรู้มีค่าเฉลี่ย 17.42 ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน 0.54 คิดเป็นร้อยละ 87.10 โดยมีผลต่างคิดเป็น ร้อยละ 34.40 ข้อเสนอแนะ 1) ควรมีการนำแผนการเรียนรู้นี้ไปประยุกต์ใช้กับใน รายวิชาอื่นที่ผู้เรียนมีปัญหาด้านการคิดวิเคราะห์ 2) ควรนำแผนการจัดการเรียนรู้นี้ไปใช้ทดลองกับ นักเรียนในกลุ่มต่าง ๆ เพื่อได้ข้อมูลที่มีความหลากหลายมาก ขึ้น บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. (2545). หลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมนุม สหกรณ์. ณัฐวรรณ สุวรรณศิลป์. (2556). การสร้างแบบทดสอบของ การสอนแบบเพื่อนคู่คิด. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ : อักขราการพิมพ์. มณชัย เทียนทอง. (2551). ออกแบบการจัดการเรียนการ สอนการเรียนรู้แบบเพื่อนคู่คิด (think-pair- share). กรุงเทพฯ : สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือ. ระวีวรรณ ศรีคร้ามครัน. (2553). เทคนิคการสอน. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคำแหง. วัฒนาพร สินสกุลชัย. (2559). การสอนโดยใช้เทคนิคการ แบ่งปันความรู้และความคิด. ขอนแก่น : บูมพริ้นติ้ง โรงพิมพ์. ทักษะ การคิด วิเคราะห์ จำนวน นักเรียน คะแนน เต็ม ̅ S.D. เกณฑ์ร้อยละ 75 ก่อน เรียน 80 20 10.54 0.48 52.70 หลังเรียน 80 20 17.42 0.54 87.10 28
วารสารวิจัยการศึกษาโรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่1 ปีการศึกษา 2564 ……………………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนปากเกร็ด โดยใช้รูปแบบการสอนแบบแบ่งปันความคิด Think-Pair-Share วันวิสาข์ ดวงประทีป* บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะ การคิดวิเคราะห์ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียน ปากเกร็ด โดยใช้รูปแบบการสอนแบบแบ่งปันความคิด Think-Pair-Share ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ผลการวิจัยพบว่า ผลการศึกษาผลสัมฤทธิ์ด้านการพัฒนา ทักษะการคิดวิเคราะห์โดยใช้วิธีการสอนรูปแบบ ThinkPair-Share ของนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ผลการวิจับพบว่า การทดสอบก่อนการจัดการเรียนรู้มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 11.92 การทดสอบหลังการจัดการเรียนรู้มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 18.35 และเมื่อเปรียบเทียบผลการสอบก่อนและหลังการจัด การเรียนรู้ พบว่านักเรียนมีการพัฒนาทักษะการคิด วิเคราะห์สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 คำสำคัญ : การคิดวิเคราะห์, Think-Pair-Share บทนำ จากการจัดการเรียนการสอนรายวิชาภาษาไทย พื้นฐาน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่5 โรงเรียนปากเกร็ด ผู้สอน ได้วิเคราะห์สภาพปัญหา จากการสังเกตพฤติกรรมของ นักเรียนในขณะการจัดการเรียนการสอน พบว่านักเรียนบาง คนในชั้นเรียน ขาดทักษะสำคัญในการฝึกคิดวิเคราะห์ ผู้สอนจึงอยากให้นักเรียนเหล่านี้ได้ “ฝึกคิด”ผู้สอนเลยคิด แก้ปัญหาดังกล่าว โดยการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์โดย การกระตุ้นคิดนักเรียน ผ่านวิธีการสอนรูปแบบ“แบ่งปัน ความคิด” (THING-PAIR-SHARE) ควบคู่กับการทำแบบฝึก พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ ซึ่งวิธีการสอนดังกล่าว เป็นเทคนิคที่ผู้สอนตั้งคำถาม กำหนดปัญหา กำหนด สถานการณ์ให้แก่ผู้เรียน และให้ผู้เรียนทุกคนคิดวิเคราะห์ หาคำตอบเองก่อน แล้วจับคู่/จับกลุ่มเพื่ออภิปรายคำตอบ ร่วมกัน เมื่อเห็นร่วมกันว่าคำตอบใดถูกหรือโดดเด่น จึงนำ คำตอบไปอธิบายให้เพื่อนในชั้นเรียนฟัง จากนั้นทุกคนในชั้น เรียนจะร่วมกันคิดวิเคราะห์และอภิปรายแลกเปลี่ยนความ คิดเห็นหาข้อสรุปร่วมกัน ซึ่งถ้าทำตามขั้นตอนแล้ว ผู้เรียน ทุกคนจะได้พัฒนาความสามารถด้านการคิดมีโอกาสแสดง ความคิดของตนเอง มีโอกาสแสดงความคิดเห็นในคำตอบ ของเพื่อน ได้พูดแสดงความคิดของตนเอง ผู้เรียนที่ไม่เคยมี โอกาสได้คิดก็จะได้คิด ผู้เรียนที่ไม่เคยมีโอกาสได้พูดก็จะได้ * ครู วิทยฐานะ ชำนาญการ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี พูด และยังเป็นการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ตามแนวคิดการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning วัตถุประสงค์การวิจัย 1) เพื่อพัฒนาพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5 2) เพื่อศึกษาพัฒนาการทางผลสัมฤทธิ์ของ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 วิธีดำเนินการวิจัย สมมติฐานการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ของ นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนปากเกร็ดโดยใช้รูปแบบ การสอนแบบแบ่งปันความคิด Think-Pair-Share สูงกว่า เกณฑ์ร้อยละ 75 กลุ่มตัวอย่าง นักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนปากเกร็ดที่เรียนในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 2 ห้องเรียนในสัปดาห์ของ การเรียนรูปแบบ On-site รวมจำนวน 48 คน การได้มาซึ่ง กลุ่มตัวอย่างการเลือกอย่างเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ใน การวิจัย 1) แผนการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการคิด วิเคราะห์ร่วมกับการใช้เทคนิคการสอนแบบเพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 3 แผน 2) แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนเพื่อ วัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ จำนวน 1 ชุด มีข้อคำถาม 20 ข้อ เป็นข้อสอบปรนัยเลือกตอบ 4 ตัวเลือก โดยเป็นการทดสอบออนไลน์ผ่าน Website Pakkred Learning Cyber การเก็บรวบรวมข้อมูล 1) ใช้แบบทดสอบ ก่อนเรียน ฉบับจริงจำนวน 20 ข้อ กับกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 2 ห้องเรียน (5/1,5/3) รวมจำนวน 48 คน ดำเนินการจัดการเรียนการสอน บทเรียนเรื่อง บทละครพูดคำฉันท์เรื่อง มัทนะพาธา จำนวน 3 แผน ใช้เวลาแผนละ 2 ชั่วโมง รวม 6 ชั่วโมง 3) ใช้ แบบทดสอบหลังเรียน ฉบับจริงจำนวน 20 ข้อ กับกลุ่ม ตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 2ห้องเรียน (5/1,5/3) รวมจำนวน 48 คน 4) นำแบบทดสอบ ก่อนเรียน หลังเรียนที่ได้ทำการทดสอบแล้วมาดำเนินการ วิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล 1) นำข้อมูลที่ได้ มาวิเคราะห์โดย ใช้การแจกแจงความถี่ (frequency) การหาค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และค่าเฉลี่ย (̅ ) 2) วิเคราะห์การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ร่วมกับ 29
วารสารวิจัยการศึกษาโรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่1 ปีการศึกษา 2564 ……………………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. รูปแบบการสอน Think-Pair-Share ของนักเรียนกลุ่ม ตัวอย่าง กับเกณฑ์ร้อยละ 75 3) นำข้อมูลที่ได้มาเขียนสรุป อภิปรายผล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลค่าความถี่, ค่าร้อยละ,ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย สรุปผลการวิจัย การทดสอบก่อนการจัดการเรียนรู้ ผลสัมฤทธิ์ การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ ร่วมกับการใช้รูปแบบ การสอนแบบ Think-Pair-Share สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ11.92 การทดสอบหลัง การจัดการเรียนรู้ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 18.35 และเมื่อ เปรียบเทียบผลการทดสอบก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ พบว่า นักเรียนมีการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์สูงกว่า เกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 อภิปรายผลการวิจัย ผลการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์โดยใช้ รูปแบบการสอน Think-Pair-Share เป็นไปตามสมมติฐาน การวิจัย ดังนี้ 1) ผลการศึกษาผลสัมฤทธิ์ด้านการพัฒนาทักษะ การคิดวิเคราะห์โดยใช้วิธีการสอนรูปแบบ Think-PairShare ของนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง หลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อย ละ 75 พบว่าการทดสอบก่อนการจัดการเรียนรู้มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ11.92 การทดสอบหลังการจัดการเรียนรู้มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 18.35 และเมื่อเปรียบเทียบผลการสอบก่อนและ หลังการจัดการเรียนรู้ พบว่านักเรียนมีการพัฒนาทักษะการ คิดวิเคราะห์สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .05 2) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ด้านการพัฒนา ทักษะการคิดวิเคราะห์โดยใช้วิธีการสอนรูปแบบ ThinkPair-Share ของนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง พบว่าผลการพัฒนา ทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง การทดสอบก่อนการจัดการเรียนรู้มีค่าเฉลี่ย 11.92 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 3.68 คิดเป็นร้อยละ59.58 การทดสอบหลังการจัดการเรียนรู้มีค่าเฉลี่ย 18.32 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2.36 คิดเป็นร้อยละ 91.77 โดยมี ผลต่างคิดเป็นร้อยละ 32.19 ข้อเสนอแนะ รูปแบบการสอน Think-Pair-Share สามารถ พัฒนาการทักษะด้านการคิดวิเคราะห์ของนักเรียน ให้มาก ขึ้นกว่าเดิม สามารถนำไปปรับใช้กับรายวิชาอื่นได้ตาม เนื้อหาและความเหมาะสม บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. 2545. หลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐาน. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์. ณัฐวรรณ สุวรรณศิลป์. 2556. การสร้างแบบทดสอบของ การ สอนแบบเพื่อนคู่คิด. พิมพ์ครั้งที่ 2 กรุงเทพมหานคร: อักขราการพิมพ์. ทัศนีย์ วงกังวาน. ความพึงพอใจในการสอน. กรุงเทพ. วารสารครุศาสตร์ปริทัศน์. มีนาคม 2560. มณชัย เทียนทอง. 2551 ออกแบบการจัดการเรียนการ สอนการเรียนรู้แบบเพื่อนคู่คิด (think-pair-share). กรุงเทพมหานคร: สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือ. ระวีวรรณ ศรีคร้ามครัน. 2553. เทคนิคการสอน. กรุงเทพ มหานคร. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง วัฒนาพร สินสกุลชัย. 2559. การสอนโดยใช้เทคนิคการ แบ่งปันความรู้และความคิด. ขอนแก่น: บูมพริ้นติ้ง โรงพิมพ์ 30
วารสารวิจัยการศึกษาโรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่1 ปีการศึกษา 2564 ……………………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. รูปแบบการให้ข้อมูลย้อนกลับ เพื่อส่งเสริมทักษะการเขียนเชิงวิเคราะห์ สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนปากเกร็ด ชนกพร ฟักสังข์* บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาการจัด การเรียนรู้ โดยการให้ข้อมูลย้อนกลับ และศึกษาพัฒนาการ ของนักเรียนภายหลังจากที่ใช้การให้ข้อมูลย้อนกลับ เพื่อ ส่งเสริมทักษะการเขียนเชิงวิเคราะห์ สำหรับนักเรียน มัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้รูปแบบการวิจัยปฏิบัติการในชั้น เรียน มีขั้นตอนการวิจัย 4 ขั้นตอน ประกอบด้วย 1) ขั้น วางแผน โดยผู้วิจัยออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้ซึ่ง ประกอบไปด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 3 ขั้น คือ ขั้นนำ ขั้นสอน และขั้นสรุป โดยแต่ละขั้นบูรณาการการให้ ข้อมูลย้อนกลับ 2) ขั้นปฏิบัติ ผู้วิจัยจัดการเรียนรู้ตาม แผนการจัดการเรียนรู้แก่กลุ่มนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 40 คน 3) ขั้นสังเกตการณ์ ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลด้วย แบบฝึกทักษะ ทั้ง 4 แบบฝึกทักษะ 4) ขั้นสะท้อนผลการปฏิบัติ ผู้วิจัยนำ ข้อมูลจากแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ และแบบฝึกทักษะ เพื่อให้เห็นถึงพัฒนาการว่านักเรียนสามารถพัฒนาทักษะ การเขียนเชิงวิเคราะห์ของตนเองได้มากน้อยอย่างไร ผลการวิจัยพบว่า 1) การจัดการเรียนรู้โดยการให้ข้อมูล ย้อนกลับ ประกอบด้วย ขั้นแจ้งจุดประสงค์ในการเรียน ขั้นตรวจสอบความเข้าใจเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ขั้นการให้ ข้อมูลย้อนกลับ และขั้นให้คำแนะนำ ชี้แนะแนวทาง 2) นักเรียนมีพัฒนาการการเขียนเชิงวิเคราะห์ระดับกลางขึ้น ไป คำสำคัญ : การเขียนเชิงวิเคราะห์, การให้ข้อมูลย้อนกลับ บทนำ การให้ข้อมูลย้อนกลับ (feedback) เป็นองค์ประกอบที่ สําคัญในการส่งเสริมการเรียนรู้ และการประเมินเพื่อการ เรียนรู้ (assessment for learning) ซึ่งการจัดการเรียนรู้ใน ยุคปัจจุบันต้องการให้นักเรียนมีส่วนร่วมในกระบวน การเรียนรู้ แนวคิดนี้ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการเรียน ระหว่างนักเรียน และครู เพื่อพัฒนาความรู้ ความสามารถ ของนักเรียนโดยมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของนักเรียนใน ระยะยาว การให้ข้อมูลย้อนกลับกับนักเรียนเป็น องค์ประกอบสำคัญในการประเมินเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ (โชติมา หนูพริก, 2560) จากการศึกษา และการจัดการเรียนการสอนของผู้วิจัย พบว่า นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ในโรงเรียน ปากเกร็ดซึ่งเป็นโรงเรียนที่ผู้วิจัยจัดการเรียนการสอนอยู่นั้น นักเรียนมีปัญหาด้านทักษะ การเขียน ดังจะเห็นได้จาก ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในเนื้อหาที่เกี่ยวกับการเขียน * ครู วิทยฐานะ - กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี นอกจากนี้จากการปรึกษา อภิปรายร่วมกันกับคณะครูกลุ่ม สาระการเรียนรู้ภาษาไทยพบว่า การจัดการเรียนการสอน แบบเดิมนั้น คือการตัดสินนักเรียนผ่านคะแนนเพียงอย่าง เดียว ครูผู้สอนยังไม่มีการให้ข้อมูลย้อนกลับแก่นักเรียน เพื่อช่วยชี้แนะปรับปรุงงานเขียนของนักเรียน และส่งเสริม ให้นักเรียนมีพัฒนาการ ช่วยให้นักเรียนทราบแนวทางการ ปรับปรุงทักษะการเขียนของตนเองให้ดียิ่งขึ้น ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาการให้ข้อมูลย้อนกลับเพื่อ ส่งเสริมทักษะการเขียนเชิงวิเคราะห์ สำหรับนักเรียน มัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยมีเป้าหมายคือ เพื่อให้ผลการประเมิน นั้นนําไปสู่การขัดเกลาความสามารถที่แฝงอยู่ภายในตัว นักเรียนอันเป็นส่วนหนึ่งที่จะนําไปสู่ความก้าวหน้าใน การจัดการเรียนรู้ให้กับนักเรียน วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้ โดยการให้ข้อมูล ย้อนกลับ เพื่อส่งเสริมทักษะการเขียนเชิงวิเคราะห์ สำหรับ นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5 2. เพื่อศึกษาพัฒนาการของนักเรียนภายหลังจากที่ใช้การ ให้ข้อมูลย้อนกลับ เพื่อส่งเสริมทักษะการเขียนเชิงวิเคราะห์ สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5 วิธีดำเนินการวิจัย ประชากร นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียน ปากเกร็ดที่เรียนในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 1 ห้องเรียน รวมทั้งสิ้น 40 คน ได้มาจากการเลือกอย่าง เฉพาะเจาะจง (purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการ จัดการเรียนรู้จำนวน 4 แผน เรื่อง เกาะเกร็ด งามระบือ, เลื่องลือ ทุเรียนนนท์, งามน่าชม เจดีย์เอียง และเคียงตำนาน พระนางเรือล่ม 2) แบบฝึกทักษะการเขียนบรรยาย และการ เขียนเชิงวิเคราะห์ พร้อมเกณฑ์การให้คะแนน จำนวน 4 แบบฝึกทักษะ การสร้างและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ 1) แผนการ จัดการเรียนรู้ผู้วิจัยดำเนินการวิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ของสาระการเรียนรู้ศึกษาเอกสาร และ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เขียนแผนการจัดการเรียนรู้รายหน่วย การเรียนรู้ รวมทั้งสิ้น 12 คาบ และนําแผนการจัดการเรียนรู้ ให้ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญให้ความคิดเห็นว่า แผนการจัดการเรียนรู้มีความเหมาะสมในทุกประเด็น 31
วารสารวิจัยการศึกษาโรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่1 ปีการศึกษา 2564 ……………………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. เพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไข 2) แบบฝึกทักษะการเขียนบรรยาย และการเขียนเชิงวิเคราะห์พร้อมทั้งเกณฑ์การประเมินผล ผู้วิจัยศึกษานิยามการเขียนเชิงวิเคราะห์ วิเคราะห์มาตรฐาน การเรียนรู้ และผลการเรียนรู้ในแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ ดำเนินการสร้างแบบฝึกทักษะการเขียนเชิงวิเคราะห์ที่ สอดคล้องกับนิยามการเขียนเชิงวิเคราะห์ และผลการเรียนรู้ ในแผนการจัดการเรียนรู้และนำแบบฝึกทักษะการเขียนเชิง วิเคราะห์ให้ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการวัดและประเมินผลรายวิชา ภาษาไทย 3 ท่าน ตรวจสอบความถูกต้อง จากนั้นนำผล การพิจารณามาคำนวณค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ข้อคำถามที่ใช้ได้ต้องมีค่ามากกว่า .50 และปรับปรุงแก้ไข วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยจัดการเรียนรู้แก่นักเรียน ตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่ได้ออกแบบไว้ พร้อมกับเก็บ รวบรวมข้อมูลจากแบบฝึกทักษะทั้ง 4 เรื่อง หลังจากเสร็จ สิ้นการจัดการเรียนรู้ในแต่ละเรื่อง ผู้วิจัยประเมินนักเรียน โดยใช้แบบฝึกทักษะทั้ง 4 เรื่อง พร้อมกับทําการคำนวณเพื่อ หาคะแนนพัฒนการของนักเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย ค่าเฉลี่ย (X) ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการวัดคะแนนพัฒนาการ สัมพัทธ์ (ศิริชัย กาญจนวาสี, 2532) หลังจากที่ได้เรียนโดย ใช้เทคนิคการให้ข้อมูลย้อนกลับในแต่ละแบบฝึกทักษะ ผลการวิจัย 1. การจัดการเรียนรู้ โดยการให้ข้อมูลย้อนกลับ เพื่อ ส่งเสริมทักษะการเขียนเชิงวิเคราะห์ สำหรับนักเรียน มัธยมศึกษาปีที่ 5 มีแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ ได้แก่ มาตรฐานการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ สาระ การเรียนรู้ และการจัดการเรียนรู้โดยการให้ข้อมูลย้อนกลับ 2. พัฒนาการของนักเรียนภายหลังจากที่ใช้การให้ข้อมูล ย้อนกลับ พบว่าผลสัมฤทธิ์เฉลี่ยในการเขียนเชิงวิเคราะห์ของ นักเรียนเพิ่มขึ้นมากกว่าผลสัมฤทธิ์เฉลี่ยก่อนที่จะได้รับข้อมูล ย้อนกลับ กล่าวคือแบบฝึกทักษะที่ 1, แบบฝึกทักษะที่ 2 และ แบบฝึกทักษะที่ 3 นักเรียนมีพัฒนาการอยู่ในระดับกลาง ส่วนแบบฝึกทักษะที่ 4 นักเรียนมีพัฒนาการอยู่ในระดับสูง สรุปผลการวิจัย 1. การจัดการเรียนรู้โดยการให้ข้อมูลย้อนกลับ เพื่อส่งเสริมทักษะการเขียนเชิงวิเคราะห์ สำหรับนักเรียน มัธยมศึกษาปีที่ 5 สามารถช่วยพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเขียน เชิงวิเคราะห์ให้กับนักเรียนได้ โดยองค์ประกอบของแผน การจัดการเรียนรู้ประกอบไปด้วย มาตรฐานการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ และการจัดการเรียนรู้โดย การให้ข้อมูลย้อนกลับ 2. พัฒนาการทักษะการเขียนเชิงวิเคราะห์ของนักเรียนจาก การจัดการเรียนรู้โดยการให้ข้อมูลย้อนกลับ ผู้วิจัยจัด การเรียนรู้แก่นักเรียนตามแผนการจัดการเรียนรู้ พร้อมเก็บ รวบรวมข้อมูล เพื่อวิเคราะห์พัฒนาการของนักเรียนภาย หลังจากที่ใช้การให้ข้อมูลย้อนกลับ พบว่า แบบฝึกทักษะที่ 1, แบบฝึกทักษะที่ 2 และแบบฝึกทักษะที่ 3 นักเรียนมีพัฒนาการ อยู่ในระดับกลาง ส่วนแบบฝึกทักษะที่ 4 นักเรียนมีพัฒนาการ อยู่ในระดับสูง อภิปรายผลการวิจัย 1. ผลการวิจัยจากการจัดการเรียนรู้โดยการให้ข้อมูล ย้อนกลับสามารถพัฒนาทักษะการเขียนเชิงวิเคราะห์ของ นักเรียนให้ดีขึ้น โดยผู้วิจัยใช้กระบวนการหรือกิจกรรม การประเมินผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ต่าง ๆ เพื่อให้ข้อมูล ย้อนกลับ (feedback) แก่นักเรียน 2. พัฒนาการจากการจัดการเรียนรู้ นักเรียนมีพัฒนาการ ด้านการเขียนเชิงวิเคราะห์ที่ดีขึ้นเห็นได้จากการวิเคราะห์ ผลสัมฤทธิ์ของการทำแบบฝึกทักษะทั้ง 4 แบบฝึก สอดคล้อง กับ Douglas Fisher and Nancy Frey (2007) ที่ระบุว่า การจัดการเรียนรู้โดยการให้ข้อมูลย้อนกลับจะสามารถส่งเสริม ให้นักเรียนเกิดทักษะในด้านต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะที่ได้จากการทำวิจัย ครูผู้สอนในรายวิชา อื่น ๆ ที่มีเนื้อหาแตกต่างออกไปสามารถนำขั้นตอนการจัด การเรียนรู้ดังกล่าวไปปรับใช้ในรายวิชาของตนเอง โดยควร ดำเนินการตามขั้นตอนการดำเนินการวิจัย คือ 1) ขั้นวางแผน 2) ขั้นปฏิบัติ 3) ขั้นสังเกตการณ์ และ 4) ขั้นสะท้อนผล ให้ครบถ้วนเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพที่ดีในการจัดการเรียนรู้ 2) ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป ควรมีการนำเครื่องมือ แบบฝึกทักษะ หรือแบบทดสอบที่มีมาตรฐานในการวัดทักษะ การเขียนเชิงวิเคราะห์ เพื่อนำมาใช้ในการศึกษา หรือ เปรียบเทียบพัฒนาทั้งก่อน และหลังการจัดการเรียนรู้โดย การให้ข้อมูลย้อนกลับ ให้มีความชัดเจน และเห็นภาพมาก ยิ่งขึ้น บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. 2545. หลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐาน. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์. โชติมา หนูพริก. 2559. “การประเมินเพื่อการเรียนรู้: การตั้งคำถามและการให้ข้อมูลย้อนกลับเพื่อส่งเสริม การเรียนรู้.” วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัย ศิลปากร 13 (2): 18-30. ศิริชัย กาญจนวาสี. 2532. มิติใหม่ของการวิจัยทาง การศึกษา. วารสารวิธีวิทยาการวิจัย. 4 (1): 1-8. Fisher, D. and N. Frey. 2007. “Checking for understanding: Formative assessment techniques for your classroom.” Alexandria. VA: ASCD. 32
วารสารวิจัยการศึกษาโรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่1 ปีการศึกษา 2564 ……………………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ รายวิชาหลักภาษา โดยวิธีการสอนแบบอุปนัย (Inductive Method) ร่วมกับการบันทึกการเรียนรู้ สายพิณ ศรีเพ็ง* บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาการจัด การเรียนรู้ โดยศึกษาการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ รายวิชาหลักภาษา เรื่อง การสร้างคำในภาษาไทย โดยวิธีการสอนแบบอุปนัย (Inductive Method) ร่วมกับการบันทึกการเรียนรู้ มีขั้นตอนการวิจัย 4 ขั้นตอน ประกอบด้วย 1) ขั้นวางแผน โดยผู้วิจัยออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งประกอบไป ด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 5 ขั้น ตอน ดังนี้ 1. ขั้นเตรียมการ ทบทวนความรูเดิมเพื่อเราความสนใจที่จะ รับความรูใหม 2. ขั้นสอน โดยผูสอนนําเสนอตัวอยาง เพื่อใหผูเรียนจัดกลุม 3.ขั้นเปรียบเทียบ ผูเรียนทําการสังเกต คนหา วิเคราะหรวบรวม เปรียบเทียบความคลายคลึงกัน ขององคประกอบในตัวอยาง แยกแยะขอแตกตาง มองเห็น ความสัมพันธในรายละเอียดที่เหมือนกันตางกัน 4. ขั้นสรุป ผูเรียนนํา ขอสังเกตตาง ๆ จากตัวอยาง มาสรุปเปนหลักการ กฎเกณฑหรือนิยามดวยตัวผูเรียนเอง 5. ขั้นนําไปใชเพื่อให ผูเรียนนําความรูขอสรุปไปใช้ในการวิเคราะห์ข้อสอบ 2) ขั้น ปฏิบัติ ผู้วิจัยจัดการเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้แก่ กลุ่มนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 37 คน 3) ขั้นสังเกตการณ์ ผู้วิจัย เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการทำแบบทดสอบก่อนเรียน หลัง เรียน วิชาหลักภาษา หน่วยที่ 2 เรื่องการสร้างคำใน ภาษาไทย และเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนหลัง 4) ขั้น สะท้อนผลการปฏิบัติ ผู้วิจัยนำข้อมูลจากผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนก่อนเรียน และหลังเรียน มาวิเคราะห์ผลการพัฒนา ผลการวิจัยพบว่า การจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยร่วมกับ การทำบันทึกการเรียนรู้ ซี่งประกอบด้วย ขั้นเตรียมการ ขั้นสอน ขั้นเปรียบเทียบ ขั้นสรุป และขั้นนำไปใช้ ทำให้ นักเรียนมีการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาหลัก ภาษา เรื่องการสร้างคำในภาษาไทยในระดับดี คำสำคัญ : การสอนแบบอุปนัย, การบันทึกการเรียนรู้ บทนำ จากประสบการณ์การสอนในรายวิชาภาษาไทยชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6 และผลการทดสอบระดับชาติ (O-Net ) ย้อนหลัง ปี 2562 - 2563 วิชาภาษาไทย พบว่า นักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนปากเกร็ด มีผลคะแนนเฉลี่ย ใน มาตรฐาน ท 4.1 สาระหลักภาษา ของโรงเรียนต่ำกว่า คะแนนเฉลี่ยระดับประเทศ ซึ่งสาเหตุเนื่องจากสาระหลัก * ครู วิทยฐานะ ชำนาญการพิเศษ - กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ภาษาเป็นสาระที่มีเนื้อหารายละเอียดมาก อีกทั้งบางเรื่อง เป็นเนื้อหาที่ผู้เรียนได้เรียนตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ทำให้ไม่สามารถจดจำเนื้อหาได้ดีพอ นอกจากนั้นยังขาด การทบทวนที่ต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ผู้สอนจึงคิดว่าควรต้อง หาทางพัฒนาการจัดการเรียนการสอนเพื่อยกระดับ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาภาษาไทย สาระ หลักภาษาให้สูงขึ้น ด้วยการพัฒนาทักษะการคิดรวบยอด และการสร้างองค์ความรู้ด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบอุปนัย (Inductive Method) ซึ่งเป็นการเรียนรู้ที่เน้นให้นักเรียน รู้จักสังเกต แยกแยะรายละเอียดจากตัวอย่างที่หลากหลาย และนำข้อสังเกตมาสรุปเป็นหลักการด้วยตนเอง นอกจากนั้นการที่ผู้เรียนได้สรุปความรู้ด้วยการจดบันทึกใน รูปแบบต่าง ๆ จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาทักษะการคิด และสามารถสรุปความรู้ได้ด้วยตนเอง จะทำให้ผู้เรียนจดจำ เนื้อหาได้อย่างแม่นยำยั่งยืนมากยิ่งขึ้น วัตถุประสงค์การวิจัย เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชา หลักภาษา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยการจัด การเรียนรู้แบบอุปนัยร่วมกับการทำบันทึกการเรียนรู้ วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เรื่องการสร้างคําในภาษาไทย โดยจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยร่วมกับบันทึกการเรียนรู้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เรื่อง การสร้างคําในภาษาไทย โดยจัดการเรียนรู้แบบอุปนัย ร่วมกับบันทึกการเรียนรู้ เป็นการวิจัยแบบแผนการทดลอง ขั้นพื้นฐาน (Pre-Experimental Design) แบบหนึ่งกลุ่ม สอบก่อนและสอบหลัง (One Group Pretest- Posttest Design) ข้อมูลประกอบด้วย ค่าเฉลี่ย (X) ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) ประชากร นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนปากเกร็ด ที่เรียนในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 1 ห้องเรียน รวมทั้งสิ้น 37 คน ได้มาจาก การเลือกอย่างเฉพาะเจาะจง (purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการ จัดการเรียนรู้ จำนวน 4 แผน เรื่อง คำมูล ,การสร้างคำซ้ำ, การสร้างคำซ้อน , การสร้างคำประสม 2) กิจกรรม 33
วารสารวิจัยการศึกษาโรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่1 ปีการศึกษา 2564 ……………………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. การบันทึกการเรียนรู้ 3) แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนเรื่องการสร้างคำในภาษาไทย โดยเปรียบเทียบคะแนนความแตกต่างก่อนเรียน และหลังเรียน และนำมาวิเคราะห์คะแนน ได้แก่ การหา ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และร้อยละโดยมี วิธีดำเนินการดังนี้ 1) นำแผนการจัดการเรียนรู้แบบอุปนัย ร่วมกับการบันทึกการเรียนรู้ไปใช้กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ตามขั้นตอน ได้แก่ ทดสอบก่อนเรียนกับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6/11 โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนเรื่อง การสร้างคำในภาษาไทยจำนวน 10 ข้อ และทดลองการใช้แผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง การสร้างคำใน ภาษาไทย โดยวิธีการสอนแบบอุปนัย ตามขั้นตอนดังนี้ 1.ขั้นเตรียมการคือการทบทวนความรู้เดิม เป็นการกระตุ้น ความสนใจของนักเรียน 2.ขั้นสอน โดยนำเสนอตัวอย่าง 3.ขั้นเปรียบเทียบ ให้ผู้เรียนสังเกต ค้นหา วิเคราะห์ เปรียบเทียบความคล้ายคลึงกันขององค์ประกอบในตัวอย่าง และแยกแยะข้อแตกต่างและรายละเอียดที่เหมือนกัน 4. ขั้นสรุป ผู้เรียนนำข้อสังเกต มาสรุปเป็นหลักการด้วย ตนเอง โดยใช้รูปแบบบันทึกการเรียนรู้ที่ตนเองสนใจ ผลการวิจัย จากการวิจัยพบว่า การทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/11 มีคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 4.49 คะแนน และ 7.38 คะแนน ตามลำดับ และเมื่อ เปรียบเทียบระหว่างคะแนนก่อนและหลังเรียนพบว่า คะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สรุปผลการวิจัย ผลการวิเคราะห์ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/11 โดยสอนแบบอุปนัย ร่วมกับกิจกรรมบันทึกการเรียนรู้ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 พอจะสรุปได้ว่ากิจกรรมบันทักการเรียนรู้มีประสิทธิภาพอยู่ ในระดับสูงเป็นที่น่าพอใจ อภิปรายผลการวิจัย ผลการวิจัยครั้งนี้ปรากฏว่า การจัดการเรียนรู้โดยวิธี อุปนัยร่วมกับกิจกรรมบันทึกการเรียนรู้มีประสิทธิภาพอย่าง ดียิ่ง เป็นไปตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้ผู้เรียนมีการพัฒนา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการสร้างคำในภาษาไทย นักเรียนสามารถเรียนรู้เนื้อหา คิดวิเคราะห์ เปรียบเทียบ ความเหมือน ความต่าง จนกระทั่งสรุปองค์ความรู้ด้วย ตนเองได้ ส่งผลให้นักเรียนสามารถวิเคราะห์ข้อสอบได้ ข้อเสนอแนะ 1. ควรมีการศึกษาวิจัยโดยใช้เนื้อหาอื่น ๆ ในการสอนแบบ วิธีอุปนัย 2. มีการศึกษารูปแบบการจดบันทึกการเรียนรู้ใน รูปแบบที่หลากหลายเพื่อความเหมาะสมกับนักเรียน 3. ควรมีการวิจัยและพัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบอุปนัย ร่วมกับแบบฝึกทักษะ บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. 2545. หลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐาน. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์. กัลสร ผดุงวงษ์จันทร์.(2555).“การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน การคิดวิเคราะห์และแรงจูงใจใฝ่ สัมฤทธิ์ เรื่อง สำนวนไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดย การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบอุปนัยและแบบนิร นัย.” วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. เสาวนีย์ โพธิ์เต็ง.(2557). “การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่องการ สร้างคำในภาษาไทยโดยจัดการเรียนรู้แบบอุปนัย ร่วมกับแบบฝึกทักษะ” วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษา มหาบัณฑิต. ภาควิชาหลักสูตรและวิธีสอน บัณฑิต วิทยาลัย. มหาวิทยาลัยศิลปากร. 34
วารสารวิจัยการศึกษาโรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่1 ปีการศึกษา 2564 ……………………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ผลของการเรียนแบบร่วมมือในการอ่านที่มีต่อการอ่านพิจารณาวรรณกรรมร้อยแก้ว ประเภทบันเทิงคดีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนปากเกร็ด อาทิตยา เวียงวีระเกียรติ* บทคัดย่อ การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผล ของการเรียนแบบร่วมมือในอ่านที่มีต่อการอ่านพิจารณา วรรณกรรมร้อยแก้วประเภทบันเทิงคดีเป็นการวิจัยเชิง ทดลองแบบกลุ่มตัวอย่างกลุ่มเดี่ยว โดยทดสอบก่อนเรียน แล้วดำเนินการเรียนแบบร่วมมือ หลังจากเสร็จสิ้นการเรียน ก็ทดสอบหลังเรียนอีกครั้ง จากนั้นนำข้อมูลมาวิเคราะห์และ หาข้อสรุป ผลการศึกษาพบว่าการเรียนแบบร่วมมือส่งผลให้ การอ่านพิจารณาวรรณกรรมร้อยแก้วประเภทบันเทิงคดี สูงขึ้นกว่าก่อนเรียนแบบร่วมมือ โดยมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 คำสำคัญ : การเรียนแบบร่วมมือ, การอ่านพิจารณา วรรณกรรมร้อยแก้วประเภทบันเทิงคดี บทนำ ในการสอนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 วิชา พินิจวรรณกรรม 2 (ท 30220) หน่วยการเรียนรู้เรื่อง การอ่านพิจารณาวรรณกรรมร้อยแก้วประเภทบันเทิงคดี ผู้วิจัยได้พบว่านักเรียนส่วนใหญ่ไม่สามารถอ่านพิจารณา วรรณกรรมร้อยแก้วประเภทบันเทิงคดีได้อย่างถูกต้อง หากไม่แก้ไขจะเป็นอุปสรรคในการเรียนหน่วยการเรียนรู้นี้ และนักเรียนจะไม่ได้พัฒนาทักษะการอ่านพิจารณา วรรณกรรมร้อยแก้วประเภทบันเทิงคดี สาเหตุอาจเกิดจาก นักเรียนไม่เข้าใจความคิดและวัตถุประสงค์ของผู้เขียนอัน เป็นเป้าหมายในการอ่านที่สำคัญได้ ซึ่งสามารถนำไป ประยุกต์ใช้กับการอ่านเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้เป็น อย่างดียิ่ง ผู้วิจัยจึงคิดแก้ปัญหาโดยการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือขึ้น การเรียนแบบร่วมมือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ ต่อการฝึกกิจกรรมทางด้านความรู้ความเข้าใจ ซึ่งรูปแบบ การเรียนแบบร่วมมือนั้นจะพบเห็นเพื่อนนักเรียนคนอื่น ๆ ที่มีความแตกต่างหลากหลายออกไปในเรื่องของขั้นการ เรียนรู้ทางปัญญา และการฝึกร่วมกับผู้อื่นจะช่วยให้เขาได้รับ ความคิดต่าง ๆ ของผู้อื่น และพยายามพัฒนาตนเองขึ้นมา จากการศึกษาพบว่า การเรียนแบบร่วมมือให้ผลที่เกิดขึ้นทั้ง ทางบวก ไม่ว่าทั้งต่อผลสัมฤทธิ์ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ที่นอกเหนือจากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแล้วคือ มีแรงจูงใจ ในการเรียนสูงขึ้น ทั้งนี้ในการเรียนแบบร่วมมือจะแบ่ง นักเรียนออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ สมาชิกในกลุ่มจะต้องช่วยเหลือ ซึ่งกันและกัน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ จากที่กล่าวมาจะเห็นว่า การเรียนแบบร่วมมือ สามารถช่วยเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ช่วยให้ผู้เรียนมี * ครู วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี แรงจูงใจในการเรียนสูงขึ้น ช่วยพัฒนาสังคมและจิตใจ การเรียนแบบร่วมมือสามารถนำมาสอนวิชาที่เป็นทักษะได้ เช่นการอ่าน ดังนั้นผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะนำ วิธีการ เรียนแบบร่วมมือ มาใช้ในการพัฒนาการอ่านพิจารณา วรรณกรรมร้อยแก้วประเภทบันเทิงคดีของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6 วัตถุประสงค์การวิจัย เพื่อศึกษาผลของการเรียนแบบร่วมมือในอ่านที่มี ต่อการอ่านพิจารณาวรรณกรรมร้อยแก้วประเภทบันเทิงคดี วิธีดำเนินการวิจัย กลุ่มเป้าหมายในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนปากเกร็ด ที่กำลังศึกษาใน รายวิชาพินิจวรรณกรรม 2 (ท30220) ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2564 จำนวน 37 คน มีตัวแปรอิสระ คือ การเรียนแบบร่วมมือในการอ่าน และตัวแปรตาม คือ การ อ่านพิจารณาวรรณกรรมร้อยแก้วประเภทบันเทิงคดีโดยได้ ตั้งสมมติฐานในการวิจัยครั้งนี้ คือการทดลองการจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือจะมีค่าเฉลี่ยของคะแนนการอ่านพิจารณา วรรณกรรมร้อยแก้วประเภทบันเทิงคดีไม่แตกต่างกว่าก่อน การทดลองการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เครื่องมือสำหรับ ใช้ในการทดสอบคือ นวนิยายเรื่องหน้าต่างบานแรก ผลการวิจัย ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังการเรียน แบบร่วมมือ พบว่าการเรียนแบบร่วมมือส่งผลให้การอ่าน พิจารณาวรรณกรรมร้อยแก้วประเภทบันเทิงคดีสูงขึ้นกว่า ก่อนเรียนแบบร่วมมือ โดยมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 สรุปผลการวิจัย จากการทดสอบแบบที พบว่า t = 9.197 , Pvalue = 0.00 < = 0.05 ดังนั้นปฏิเสธสมมติฐานหลัก ผลการวิจัยพบว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้ การเรียนแบบร่วมมือในการอ่านพิจารณาวรรณกรรมร้อย แก้วประเภทบันเทิงคดีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนปากเกร็ด ที่เรียนในรายวิชา ท 30220 พินิจ วรรณกรรม 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 แตกต่างกัน และพบว่าคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยก่อน เรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 35
วารสารวิจัยการศึกษาโรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่1 ปีการศึกษา 2564 ……………………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. อภิปรายผลการวิจัย จากสมมติฐานที่ตั้งไว้ว่าการทดลองการจัด การเรียนรู้แบบร่วมมือจะมีค่าเฉลี่ยของคะแนนการอ่าน พิจารณาวรรณกรรมประเภทบันเทิงคดีไม่แตกต่างกว่าก่อน การทดลองการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ผลการวิจัยพบว่า สมมติฐานได้รับการปฏิเสธคือนักเรียนมีค่าเฉลี่ยของคะแนน การอ่านพิจารณาวรรณกรรมร้อยแก้วประเภทบันเทิงคดีสูง กว่าก่อนเรียนแบบร่วมมือ จากเหตุผลดังกล่าว จึงปฏิเสธผลการวิจัยในครั้งนี้ คือ นักเรียนที่ฝึกด้วยการเรียนรู้แบบร่วมมือ สามารถช่วย เพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านพิจารณาวรรณกรรมร้อยแก้ว ประเภทบันเทิงคดีได้ ข้อเสนอแนะ 1. สำหรับนักเรียนกลุ่มที่มีความสามารถในการอ่าน น้อยเนื่องจากพื้นฐานในการอ่านน้อยควรให้นักเรียนกลุ่มนี้ เรียนเพิ่มเติมในช่วงพักกลางวัน หรือหลังเลิกเรียน หรือใน วันหยุด และให้ทำกิจกรรมการอ่าน การเขียนเพิ่มมากขึ้น โดยครูมอบหมายงานให้เป็นพิเศษ 2. กระตุ้นนักเรียน ให้รักการอ่านและเห็นประโยชน์ ของการอ่าน โดยชี้ให้เห็นผลของการอ่านพิจารณา วรรณกรรมร้อยแก้วประเภทบันเทิงคดีว่าสามารถทำให้ นักเรียนได้รับความรู้ และสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ได้ ทำให้นักเรียนสามารถแยกแยะ และเข้าใจปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างแท้จริง 3. โรงเรียนควรจัดกิจกรรม โครงการส่งเสริมทักษะ การพิจารณาวรรณกรรมร้อยแก้วประเภทบันเทิง เพื่อเป็น การส่งเสริมสนับสนุนและให้นักเรียนเห็นแบบอย่าง เช่น จัดกิจกรรมรณรงค์ให้นักเรียนอ่านนวนิยายสำหรับเยาวชน จัดนิทรรศการส่งเสริมการใช้ห้องสมุด บรรณานุกรม ขวัญเรือน โพธิ์วิเชียร์. 2537.ผลของการเรียนแบบร่วมมือ โดยใช้โปรแกรม ซี ไอ อาร์ ซี ที่มีต่อความสามารถ ในการอ่านเข้าใจความภาษาไทย ของนักเรียน ระดับประถมศึกษา. วิทยานิพนธ์ปริญญา มหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. บรรพต ศิริชัย. 2544. การอ่านและพิจารณาวรรณกรรม. กรุงเทพมหานคร:โรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิชย์. 36
วารสารวิจัยการศึกษาโรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่1 ปีการศึกษา 2564 ……………………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. การพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคํา โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนปากเกร็ด ชาคริต กิมสร้าง* บทคัดย่อ การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. สร้างและหา ประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ทักษะการเขียนสะกดคำ โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่6 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2. ศึกษาค่าดัชนี ประสิทธิผลของการเรียนรู้ทักษะการเขียนสะกดคำโดยใช้ แบบฝึกเสริมทักษะสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 3. เพื่อเปรียบเทียบทักษะการเขียนสะกดคำก่อนและหลัง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย แผนกการจัดการเรียนรู้ จำนวน 12 แผน แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำ จำนวน 12 ชุด แบบทดสอบวัดทักษะการเขียนสะกดคำก่อนและหลัง ผลการวิจัยพบว่า 1. ประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ทักษะการ เขียนสะกดคำโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะสำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่6 มีประสิทธิภาพ 91.13/95.54 สูงกว่า เกณฑ์ที่ตั้งไว้ 2. ค่าดัชนีประสิทธิผลของการเรียนรู้ทักษะการ เขียนสะกดคำโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะสำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6 เท่ากับ 0.91 หรือคิดเป็นร้อยละ 91 3. เปรียบเทียบทักษะการเขียนสะกดคำโดยใช้ แบบฝึกเสริมทักษะสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 พบว่าหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ระดับ .05 คำสำคัญ : การเขียนสะกดคำ บทนำ ภาษาเป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารเพื่อสร้างความ เข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แสดงถึงความเป็น เอกลักษณ์ประจำชาติ เป็นสมบัติทางวัฒนธรรม ภาษาไทย จึงเป็นทักษะภาษาที่สำคัญและเป็นพื้นฐานของการเรียนใน ทุกรายวิชา เด็กนักเรียนจึงควรจะมีทักษะ ในการอ่านและ การเขียนได้ถูกต้อง จากการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนของเด็กนักเรียนที่เรียนใน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 พบว่ามีนักเรียนกลุ่มหนึ่งที่เขียนคำในภาษาไทยไม่ถูกต้อง จึงเป็นปัญหาที่จะต้องแก้ไขและพัฒนาให้ดีขึ้น ดังนั้นจึงต้องมีการคิดวิธีการที่จะแก้ไขปัญหานี้ โดย การนำแบบฝึกเสริมทักษะการเขียนสะกดคำมาให้นักเรียน ได้ฝึกทำ เพื่อจะได้พัฒนาทักษะทางด้านการเขียนภาษาไทย ได้ถูกต้องมากขึ้น และที่สำคัญจะช่วยพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทาง * ครู วิทยฐานะ - กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี การเรียนให้ดีขึ้นเพื่อเป็นประโยชน์ในการเรียนต่อราบวิชา อื่น ๆ วัตถุประสงค์การวิจัย 1. สร้างและหาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ ทักษะการเขียนสะกดคำโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะสำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2. ศึกษาค่าดัชนีประสิทธิผลของการเรียนรู้ทักษะ การเขียนสะกดคำโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะสำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่6 3. เพื่อเปรียบเทียบทักษะการเขียนสะกดคำก่อน และหลัง วิธีดำเนินการวิจัย กลุ่มเป้าหมาย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 รายวิชาภาษาไทย 6 (ท33102) จำนวน 37 คน ตัวแปรอิสระ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทักษะ การเขียนสะกดคำโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ ตัวแปรตาม ทักษะการเขียนสะกดคำและความ พึงพอใจ ตัวแปรควบคุม จำนวนนักเรียน สมมติฐานในการวิจัย ทักษะการเขียนสะกดคำ ของนักเรีย นชั้ น มัธยมศึกษาปีที่ 6 หลังการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ สูงกว่าก่อนเรียน ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร (Population) เป็นนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนปากเกร็ด ที่เรียนในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 7 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 276 คน กลุ่มตัวอย่าง (Samples) เป็นนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6/11 โรงเรียนปากเกร็ด ที่เรียนในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ที่ได้จากการสุ่มแบบเจาะจง จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 37 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 12 แผน ใช้เวลา แผนละ 1 ชั่วโมง 2. แบบฝึกเสริมทักษะการเขียนสะกดคำ จำนวน 12 ชุด 37
วารสารวิจัยการศึกษาโรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่1 ปีการศึกษา 2564 ……………………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 3. แบบทดสอบวัดทักษะการเขียนสะกดคำ เป็นแบบทดสอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ สถิติที่ใช้ใน การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ และ t-test (Dependent Samples) ผลการวิจัย ผลการวิจัยในครั้งนี้เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ แสดงว่าการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำ ทำให้นักเรียน มีความสามารถในการเขียนสะกดคำสูงขึ้น สรุปผลการวิจัย 1. ประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ทักษะ การเขียนสะกดคำโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะสำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่6 มีประสิทธิภาพ 91.13/95.54 สูงกว่า เกณฑ์ที่ตั้งไว้ 2. ค่าดัชนีประสิทธิผลของการเรียนรู้ทักษะ การเขียนสะกดคำโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะสำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่6 เท่ากับ 0.91 หรือคิดเป็นร้อยละ 91 3. เปรียบเทียบทักษะการเขียนสะกดคำของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ระหว่างก่อนเรียนและหลัง เรียน โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะสำหรับ พบว่าหลังเรียนมี คะแนนเฉลี่ย (X = 19.18 , S.D. = 1.56 ) สูงกว่าก่อน เรียน (X = 10.71 , S.D. = 2.74 ) อภิปรายผลการวิจัย หลังดำเนินการเปรียบเทียบทักษะการเขียนสะกด คำของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ระหว่างก่อนเรียนและ หลังเรียน โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะสำหรับ พบว่าหลังเรียน มีคะแนนเฉลี่ย (X = 19.18 , S.D. = 1.56 ) สูงกว่าก่อน เรียน (X = 10.71 , S.D. = 2.74 ) ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐาน ที่ตั้งไว้ แสดงว่า การจัดการเรียนรู้เรื่อง ทักษะการเขียน สะกดคำ โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะมีผลต่อการพัฒนา ความสามารถในการเขียนสะกดคำได้สูงขึ้น ข้อเสนอแนะ จากผลการวิจัย พบว่า ครูผู้สอนควรเตรียมสื่อการเรียน การสอนที่จำเป็นให้แก่นักเรียน และใช้วัสดุ อุปกรณ์ ใบงาน ใบความรู้ ให้มีจำนวนที่เหมาะสมแก่ผู้เรียน หมั่นฝึกฝนและ พัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำอยู่เป็นประจำต่อเนื่องเพื่อ ผลลัพธ์ที่แน่นอนพร้อมแนะนำวิธีทำแบบฝึกทักษะและเฉลย ให้ผู้เรียนหลังจากที่ทำเรียบร้อยแล้วเพื่อให้เห็น ความก้าวหน้าและการพัฒนาของตนเอง บรรณานุกรม กมล ชูกลิ่น. (2550). การพัฒนาแบบฝึกทักษะการ เขียนสะกดคำภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี กรรณิการ์พวงเกษม. (2545). ปัญหาและกลวิธีการ สอนภาษาไทยในโรงเรียนประถมศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ไทย วัฒนาพานิช. ดวงใจ ไทยอุบุญ (2549). ทักษะการเขียน ภาษาไทย. (พิมพ์ครั้งที่3). กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 38
วารสารวิจัยการศ ึกษาโรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่1 ปีการศึกษา 2564 ……………………..…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….............. ผลงานวิจัยทางการศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ หน้า การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเสริมทักษะคณิตศาสตร์2 เรื่องพหุนาม โดยใช้แบบฝึกทักษะ ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปิยะนุช บุตรมาตย์ 42 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ 2 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้การ จัดการเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์ พิตตนันท์ กิติพัฒนาวุฒิ 44 ศึกษาความพึงพอใจในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ 2 เรื่อง อัตราส่วนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) เมลดา รุ่งเรือง 46 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ 2 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้การ จัดการเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์ ศิริพร คนซื่อ 48 การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง การแยกตัวประกอบพหุนามดีกรีสอง โดยใช้ การจัดการเรียนการสอนแบบใช้ชุดฝึกทักษะ ส าหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนปากเกร็ด ญาณุสิทธิ์ ภูหนองโอง 50 การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เรื่อง “สถิติ” โดยใช้ชุดฝึกและกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวทาง Active Learning นิกข์นิฌา ศรีบุตรตา 52 การศึกษาความพึงพอใจในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ 4 ค22102 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนปากเกร็ด ผ่านการเรียนรู้ระบบออนไลน์ ประภัสสร รักษาภักดี 54 วิจัยและพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ทางออนไลน์ รายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง วงกลม โดยใช้สื่อประสม ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนปากเกร็ด ชื่นจิต โฉมอุดม 56 ผลการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ผ่าน Interactive Liveworksheets เรื่องพีระมิด กรวยและทรงกลม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 เถาวัลย์ โกเม 58
วารสารวิจัยการศ ึกษาโรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่1 ปีการศึกษา 2564 ……………………..…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….............. การศึกษาความพึงพอใจในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ 6 ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนปากเกร็ด ผ่านการเรียนรู้ระบบออนไลน์ อนันต์ วิกล 60 พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ 6 เรื่องอัตราส่วนตรีโกณมิติของนักเรียน ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนปากเกร็ด โดยการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน อรวรรณ เกลี้ยงเกิด 62 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่องวงกลม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยการจัดการเรียนรู้ใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-based learning หรือ PBL) กับการจัดการเรียนรู้ แบบปกติ ศศิธรสิงหธรรม 64 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ 2 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้การ จัดการเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์ วัชรีภรณ์ เขตสกุล 66 ผลการจัดการเรียนรู้แบบออนไลน์ร่วมกับเอกสารประกอบการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ภาคตัด กรวย (วงกลม) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 68 เมธี ชราศรี การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/9 ในรายวิชาคณิตศาสตร์ อนุชิต เนตรจุ้ย 70 รายงานการวิจัยในชั้นเรียนการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน โดยใช้วิธีการสอนแล้ว สอบของนักเรียนห้องเรียนพิเศษ (วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม) ระดับชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 4 โรงเรียนปากเกร็ด นายธานี เวียงวีระเกียรติ 72 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ 4 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้การจัดการเ รียนรู้ ผ่านระบบออนไลน์ เดือน บุญจวง 74 ผลการจัดการเ รียนรู้แบบ ร่วมมือ (Cooperative Learning) โดยใช้เทคนิคการสอนแบบ Student Teams Achievement Divisions ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ฟังก์ชันตรีโกณมิติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนปากเกร็ด เตือนตา สุพรรณทอง 76 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง หลักการนับเบื้องต้น รายวิชาคณิตศาสตร์เพิ่มเติม 4 รหัสวิชา ค32202 ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 นุชจรี คงโพธิ์น้อย 79 40
วารสารวิจัยการศ ึกษาโรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่1 ปีการศึกษา 2564 ……………………..…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….............. ศึกษาพฤติกรรมแล ะปัจจัยคว ามส าเ ร็จก ารเ รียนวิช าคณิตศ าสต ร์ในช่วงวิกฤต COVID 19 ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนปากเกร็ด ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ธนิตทัต รักษาศรี 81 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา ค33202 คณิตศาสตร์เพิ่มเติม 6 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยการ จัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) พรพิรุณ ใจวงค์ 84 การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการเรียนคณิตศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง การวิเคราะห์และน าเสนอข้อมูลเชิงปริมาณ สุฎารัช ฤทธิ์นุช 87 41
วารสารวิจัยการศ ึกษาโรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่1 ปีการýึกþา 2564 ……………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………................................................................ การýึกþาผลÿัมฤทธิ์ทางการเรียนüิชาเÿริมทักþะคณิตýาÿตร์2เรื่องพĀุนาม โดยใช้แบบฝึกทักþะ ÿ าĀรับนักเรียนชั้นมัธยมýึกþาปีที่ 1 ปิยะนุช บุตรมาตย์* บทคัดย่อ การüิจัยครั้งนี้มีüัตถุประÿงค์การüิจัยในครั้งนี้มี üัตถุประÿงค์เพื่อýึกþาผลÿัมฤทธิ์ทางการเรียนüิชาเÿริม ทักþะคณิตýาÿตร์2 เรื่องพĀุนาม โดยใช้แบบฝึกทักþะ ÿ าĀรับนักเรียนชั้นมัธยมýึกþาปีที่ 1 Āลังการได้รับการÿอน โดยใช้แบบฝึกทักþะ กับเกณฑ์ร้อยละ 70 และýึกþาคüาม พึงพอใ จข องนักเ รียนที่ มีต่ อก า รใ ช้แบบ ฝึก ทั ก þ ะ ประกอบการเรียนüิชาเÿริมทักþะคณิตýาÿตร์2 เรื่อง พĀุ นาม ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมýึกþาปีที่ 1 โดยจัดกิจกรรม การเรียนการÿอน 8 คาบเรียน ระยะเüลาคาบละ 50 นาที เครื่องมือที่ใช้ในการüิจัย ได้แก่ แบบทดÿอบüัดผลÿัมฤทธิ์ ทางการเรียน เรื่องพĀุนาม ชั้นมัธยมýึกþาปีที่ 1และ แบบÿอบถามค üามพึงพอใจต่อก ารใ ช้แบบฝึกทักþะ ผลการýึกþาผลÿัมฤทธิ์ทางการเรียนüิชาเÿริม ทักþะคณิตýาÿตร์2 เรื่อง พĀุนาม โดยใช้แบบฝึกทักþะ ÿ าĀรับนักเรียนชั้นมัธยมýึกþาปีที่ 1 ร้อยละ 85.7 ของ นักเรียนทั้งĀมดผ่านเกณฑ์คะแนนร้อยละ 70 ของคะแนน ÿอบ ซึ่งÿอดคล้องกับÿมมติฐานการüิจัยที่ตั้งไü้และคüามพึง พอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนการÿอนเรื่อง พĀุ นาม โดยใช้แบบฝึกทักþะ ÿ าĀรับนักเรียนชั้นมัธยมýึกþ าปี ที่ 1 พบü่านักเรียนกลุ่มตัüอย่างมีคüามพึงพอใจในระดับมาก ขึ้นไป ซึ่งÿอดคล้องกับÿมมติฐานการüิจัยที่ตั้งไü้ ค าÿ าคัญ : คณิตýาÿตร์, การเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์ บทน า การýึกþาในýตüรรþที่ 21 ที่มีการเปลี่ยนแปลง รอบด้านอยู่เÿมอโดยผู้ÿอนไม่เพียงที่จะมุ่งพัฒนาแต่ผู้เ รียน ทั้งนี้ผู้ÿอนจะต้องมุ่งพัฒน าตนเองอยู่เÿมอใĀ้เท่ า ทัน ÿถานการณ์ต่างๆ เพื่อปรับตัüและน าไปประยุกต์ใช้ในก าร พัฒนาผู้เรียนใĀ้เกิดการเรียนรู้อย่างรอบด้าน ในการเตรียม ผู้เรียนใĀ้พร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆที่จะเกิดขึ้น ในอนาคตทั้งกับชีüิต ÿังคม เป็นเรื่องÿ าคัญ ผู้üิจัยจึงÿนใจที่ จะýึกþาผลÿัมฤทธิ์ทางการเรียนüิชาเÿริมทักþะคณิตýาÿต ร์ 2 เรื่องพĀุนาม โดยใช้แบบฝึกทักþะ ÿ าĀรับนักเรียนชั้น * ครู üิทยฐานะ – กลุ่มÿาระการเรียนรู้คณิตýาÿตร์ โรงเรียนปากเกร็ด จังĀüัดนนทบุรี มัธยมýึกþาปีที่ 1 เพื่อýึกþาü่าĀลังจากที่ใช้เอกÿ า ร ประกอบการเรียนในการเรียนการÿอนüิชาเÿริมทักþะ คณิตýาÿตร์2 แล้ü นักเรียนมีผลÿัมฤทธิ์ทางการเรียนไป ในทางที่ดีขึ้นĀรือไม่ และนักเรียนมีคüามพึงพอใจในก ารใช้ เ อกÿ ารป ระกอบก ารเรียนใน การเ รียน การÿอนüิชา คณิตýาÿตร์มากน้อยเพียงใด ที่จะÿ่งผลต่อการเรียนรู้ที่มี ประÿิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อใĀ้ผู้เรียนเรียนคณิตýาÿตร์ด้üย คüามเข้าใจจึงÿ่งผลใĀ้ผู้เรียนเกิดคüามÿนใจในการเรียน คณิตýาÿตร์มากยิ่งขึ้น และผลการüิจัยในครั้งนี้ÿามารถ น ามาเป็นแนüทางในการจัดการเรียนรู้ เพื่อเพิ่มผลÿัมฤทธิ์ ทางการเรียนüิชาคณิตýาÿตร์ เรื่อง พĀุนาม เป็นแนüทางใน การปรับปรุงพัฒนาการเรียนการÿอน และพัฒนาýักยภาพ ของผู้เรียนใĀ้มีประÿิทธิภาพมากยิ่งขึ้น üัตถุประÿงค์การüิจัย 1. เพื่อýึกþาผลÿัมฤทธิ์ทางการเรียนüิชาเÿริม ทักþะคณิตýาÿตร์2 เรื่องพĀุนาม โดยใช้แบบฝึกทักþะ ÿ าĀรับนักเรียนชั้นมัธยมýึกþาปีที่ 1 2. เพื่อýึกþาระดับคüามพึงพอใจของการใช้แบบ ฝึกทักþะประกอบการเรียนüิชาเÿริมทักþะคณิตýาÿตร์2 เรื่อง พĀุนาม ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมýึกþาปีที่ 1 üิธีด าเนินการüิจัย ป ระช าก รใ ช้ใ น ก า รüิ จัย คือ นักเ รียน ชั้ น มัธยมýึกþาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการýึกþา 2564 โรงเรียน ปากเกร็ด จ านüน 4 Ā้องเรียน รüมทั้งÿิ้นจ านüน 176 คน ซึ่งได้จากการเลือกแบบÿุ่มอย่างง่าย (Simple random sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการüิจัย ได้แก่ 1) แบบทดÿอบ üัดผลÿัมฤทธิ์ทางการเรียน 2) แบบÿอบถามคüามพึงพอใ จ ต่อการใช้แบบฝึกทักþะ ผลการüิจัย 1. ผลÿัมฤทธิ์ทางการเรียนüิชาค21202เÿริมทักþะ คณิตýาÿตร์2 ของนักเรียนชั้นมัธยมýึกþาปีที่ 1ดังตาราง 42
วารสารวิจัยการศ ึกษาโรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่1 ปีการýึกþา 2564 ……………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………................................................................ * แทน ระดับนัยÿ าคัญทางÿถิติที่ระดับ .05 จากตารางพบü่าĀลังการจัดการเรียนรู้โดยแบบฝึก ทักþะ üิชาเÿริมทักþะคณิตýาÿตร์2 เรื่อง พĀุนาม ชั้น มัธยมýึกþาปีที่ 1 ผู้เรียนมีผลÿัมฤทธิ์ทางการเรียนÿูงกü่า เกณฑ์ทั้งตั้งไü้ (ร้อยละ 70) เมื่อพิจารณาจากค่าเฉลี่ยข อง คะแนนการทดÿอบผลÿัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน พบ ü่ า คะแนน ก ารทดÿอบĀลังเ รียนüิช าเÿริมทักþะ คณิตýาÿตร์2 โดยใช้แบบฝึกทักþะ เรื่อง พĀุนาม ของ นักเรียนชั้นมัธยมýึกþาปีที่ 1 มีคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 7.68 และÿ่üนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 1.59 ÿรุปผลการüิจัย ผ ล ÿัมฤท ธิ์ท างก า รเ รียน üิ ช า เ ÿ ริ ม ทั ก þ ะ คณิตýาÿตร์2 เรื่องพĀุนาม โดยใช้แบบฝึกทักþะ ÿ าĀรับ นักเรียนชั้นมัธยมýึกþาปีที่ 1 Āลังได้รับการจัดการเรียนรู้ โดยใช้แบบฝึกทักþะ ÿูงกü่าเกณฑ์ที่ก าĀนดร้อยละ 70 ระดับคüามพึงพอใจของการใช้แบบฝึกทักþะประกอบก าร เรียนเÿริมทักþะคณิตýาÿตร์2 เรื่อง พĀุนาม ของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมýึกþาปีที่ 1 อยู่ในระดับดีมาก อภิปรายผลการüิจัย จากก ารüิจัย ค รั้งนี้เป็นการýึกþ าผ ลÿัมฤทธิ์ ทางการเรียนเÿริมทักþะคณิตýาÿตร์2 เรื่องพĀุนาม โดยใช้ แบบฝึกทักþะ ÿ าĀรับนักเรียนชั้นมัธยมýึกþาปีที่ 1 ผู้üิจัย อภิปรายผลการüิจัยดังนี้ ผลÿัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องพĀุ นาม โดยใช้แบบฝึกทักþะ ÿ าĀรับนักเรียนชั้นมัธยมýึกþ าปี ที่ 1 ซึ่งก่อนเรียนได้คะแนนเฉลี่ย 2.45 คะแนน ÿ่üน เบี่ยงเบนมาตรฐาน 1.68 และĀลังจากได้รับการจัดการ เรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักþะแล้ü ได้คะแนนเฉลี่ย 7.68 คะแนน ÿ่üนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 1.59 แÿดงü่า ผลÿัมฤทธิ์ ทางการเรียนเป็นไปตามเกณฑ์ที่ก าĀนด ร้อยละ 70 ของ จ านüนนักเรียนทั้งĀมด อย่างมีนัยÿ าคัญทางÿถิติที่ระดับ .01 ซึ่งเป็นไปตามÿมมติฐานที่ตั้งไü้ ข้อเÿนอแนะ 1. จากการýึกþาผลÿัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้ แบบฝึกทักþะ ÿ าĀรับนักเรียนชั้นมัธยมýึกþาปีที่ 1พบü่า ผลÿัมฤทธิ์ทางการเรียนผ่านเกณฑ์ที่ก าĀนดร้อยละ 70 ดังนั้นคüรมีการน าการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักþะ มา ประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการÿอนเรื่องอื่น ๆ ต่อไป 2. ครูคüรใช้เทคนิคการÿอนที่ĀลากĀลายในก าร จัดการเรียนรู้ 3. ครูคüรกระตุ้นใĀ้นักเรียนได้ทดลองท าโจทย์ และแบบฝึกĀัดด้üยตนเองก่อน โดยครูท าĀน้าที่เป็นเพียงผู้ ชี้แนะĀรือใĀ้ค าปรึกþา เพื่อเปิดโอกาÿใĀ้นักเรียนได้เรียน รู้ อย่างเต็มที่ บรรณานุกรม กรทรüงýึกþาธิการ. (2551). Āลักÿูตรแกนกลางการýึกþ า ขั้นพื้นฐาน พุทธýักราช 2551. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุม ÿĀกรณ์การเกþตรแĀ่งประเทýไทย กรมคüบคุมโรค. (2563). มาตรการและแนüทางการ ด าเนินการเพื่อเฝ้าระüัง ป้องกัน และคüบคุมโรค ติดเชื้อไüรัÿโคโรนา 2019 Āรือโคüิด 19 (COVID-19). (2565, 8 กุมภาพันธ์). https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/file/im_co mmands/im_commands06.pdf จินตüีร์ คล้ายÿังข์. (2553). โครงการüิจัยรูปแบบเü็บไซต์ และรูปแบบบทเรียนอิเล็กทรอนิกÿ์ที่เĀมาะÿม ÿ าĀรับการ เรียนการÿอนแบบอีเลิร์นนิงในระดับอุดมýึกþา. ÿ านัก คณะกรรมการการอุดมýึกþา กระทรüงýึกþาธิการ. การทดÿอบ n K µ % of Mean % of students passed Āลังเข้าร่üม กิจกรรม 44 10 7.68 1.59 76.82 75.00 43
วารสารวิจัยการศ ึกษาโรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่1 ปีการýึกþา 2564 ……………………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. การพัฒนาผลÿัมฤทธิ์ทางการเรียนüิชาคณิตýาÿตร์ 2 ของนักเรียนชั้นมัธยมýึกþาปีที่ 1 โดยใช้การจัดการเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์ พิตตนันท์ กิติพัฒนาüุฒิ* บทคัดย่อ การüิจัยครั้งนี้มีคüามมุ่งĀมายเพื่อเปรียบเทียบ ค่าเฉลี่ยก่อนเรียนและĀลังเรียนของผู้เรียนที่ได้รับกาจัดการ เรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์ ประชากรที่ใช้ในการüิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมýึกþาปีที่ 1 โรงเรียนปากเกร็ดที่ เ รียนใ นภ าคเ รียนที่ 2 ปีก ารýึกþ า 2564 จ านüน 15 Ā้องเรียน จ านüน 625 คน เครื่องมือที่ใช้ในการüิจัย ค รั้งนี้ คือ ÿื่อการเรียนรู้ระบบออนไลน์ ผ่านเü็บไซต์ www.pakkredlearningcyber.com รายüิชา คณิตýาÿตร์ 2 และแบบüัดผลÿัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบเลือกตอบ 4 ตัüเลือก จ านüน 20 ข้อ ÿถิติที่ใช้ในการüิเคราะĀ์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ÿ่üนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการüิจัย พบü่า นักเรียน ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์มีผลÿัมฤทธิ์ ทางการเรียนเ รียนĀลังเ รียนÿูงกü่ าก่อนเ รียน อย่ าง มี นัยÿ าคัญทางÿถิติที่ .05 ค าÿ าคัญ : คณิตýาÿตร์, การเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์ บทน า จากĀลักÿูต รแ กน กล างก ารýึกþ าขั้นพื้นฐาน พุทธýักราช 2551 ที่มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนทุกคนซึ่งเป็นก าลัง ของชาติใĀ้เป็นมนุþย์ที่มีคüามÿมดุลทั้งด้านร่างกาย คüามรู้ คุณธรรม มีจิตÿ านึกในคüามเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึด มั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมĀากþัต ริย์ ทรงเป็นประมุข มีคüามรู้และทักþะพื้นฐาน รüมทั้งเจตคติที่ จ าเป็นต่อการýึกþาต่อ การประกอบอาชีพและการเรียนรู้ ตลอดชีüิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นÿ าคัญบนพื้นฐานคüามเชื่อü่า ผู้เรียนทุกคนÿามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตาม ýักยภาพ (Āลักÿูตรแกนกลางการýึกþาขั้นพื้นฐาน 2551) ใน ปัจจุบันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไüรัÿโคโรนา 2019 (COVID-19) เป็นÿถานการณ์ที่รุนแรง ท าใĀ้มีมาตรการที่ ÿ าคัญ คือ การเü้นระยะĀ่างทางÿังคม (Social Distancing) (กรมคüบคุมโรค, 2563) การเรียนการÿอนแบบอีเลิร์นนิ่ง * ครู üิทยฐานะ – กลุ่มÿาระการเรียนรู้คณิตýาÿตร์ โรงเรียนปากเกร็ด จังĀüัดนนทบุรี (E-Learning) ได้รับการยอมรับü่าเป็นกลไกÿ าคัญที่ÿนับÿนุน ÿ่งเÿริมประÿิทธิภาพการเรียนการÿอนของนักเรียนนักýึกþา โดยเฉพาะเมื่อน ามาใช้ในด้านการýึกþาจะท าใĀ้ผู้ýึกþ า ÿามารถเข้าถึงแĀล่งคü ามรู้ และองค์คüามรู้ รüมไปถึง คüามÿามารถที่จะเรียนรู้ด้üยตนเองเป็นไปอย่างรüดเร็üและมี ประÿิทธิภาพ ยิ่งกü่านั้นยังÿามารถตอบÿนองต่อระบบการ เรียนรู้แบบมีผู้เรียนเป็นýูนย์กลาง ผู้เรียนÿามารถคüบคุมก าร เรียนรู้ได้ด้üยตัüเอง 2 (Self-Directed Learning) และÿนับÿนุนการเรียนรู้แบบ ทุกคน ทุกเüลา ทุกÿถานที่ จากเĀตุผลดังกล่าü ผู้üิจัยจึง เล็งเĀ็นคüามÿ าคัญของระบบบริĀารจัดการการเรียนรู้แĀ่ง อนาคต เพื่อýึกþาผลÿัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้น มัธยมýึกþาปีที่ 1 üิชาคณิตýาÿตร์ 2 จึงได้พัฒนาบทเรียน ออนไลน์บนแพลตฟอร์ม Pakkred Learning Cyber เพื่อใช้ ÿ าĀรับการเรียนการÿอน มีบทเรียนออนไลน์เป็นของตนเอง ครูÿามารถเข้าร่üมจัดการเรียนรู้ได้ ผู้เรียนÿามารถเข้ามา เรียนรู้เนื้อĀาได้ตลอดเüลา ÿามารถพูดคุยÿนทนา แลกเปลี่ยน คüามคิดเĀ็นระĀü่างผู้เรียน ผู้เรียนกับผู้ÿอน ÿามารถÿอบถาม ปัญĀาทั้ง ทางด้านการเรียนการÿอน ด้านเนื้อĀา ตลอดจน ร่üมท ากิจกรรมการเรียนรู้ต่าง ๆ ที่จัดผ่านเü็บไซต์ได้ทุกที่ ทุก เüลา ตลอดจนการüัดและประเมินผลออนไลน์ เพื่อตรüจÿอบ ผลการเรียนรู้ อันจะเป็นการช่üย เÿริมÿร้างคุณลักþณะผู้เรียน ใĀ้เป็นบุคคลแĀ่งการเรียนรู้ และการเรียนการÿอนในรูปแบบ นี้ยังเป็นการ ÿ่งเÿริมทักþะการเรียนรู้ตลอดชีüิต (Life long learning) อีกด้üย (จินตüีร์ คล้ายÿังข์, 2553) üัตถุประÿงค์การüิจัย เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยก่อนเรียนและĀลังเรียนของ ผู้เรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์ 44
วารสารวิจัยการศ ึกษาโรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่1 ปีการýึกþา 2564 ……………………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. üิธีด าเนินการüิจัย ประชากรใช้ในการüิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมýึกþา ปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการýึกþา 2564 โรงเรียนปากเกร็ด จ านüน 3 Ā้องเรียน รüมทั้งÿิ้นจ านüน 132 คน ซึ่งได้จากการ เลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ใน การüิจัย ได้แก่ 1) ÿื่อการเรียนรู้ระบบออนไลน์ รายüิชา คณิตýาÿตร์2 ผ่านเü็บไซต์ www.pakkredlearningcyber.com 2) แบบüัดผลÿัมฤท ธิ์ ทางการเรียน แบบเลือกตอบ 4 ตัüเลือก จ านüน 20 ข้อ ผลการüิจัย ผลÿัมฤทธิ์ทางการเรียนüิชาค21102คณิตýาÿตร์2 ของนักเรียนชั้นมัธยมýึกþาปีที่ 1 ดังตาราง กลุ่มตัüอย่าง N x S.D. T Sig. Āลังเรียน 132 14.18 3.81 14. 87* 0.000 ก่อนเรียน 132 9.04 3.29 * แทน ระดับนัยÿ าคัญทางÿถิติที่ระดับ .05 จากตารางพบü่า ผลÿัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเ รียน เรื่อง ÿมการเชิงเÿ้นองตัüแปร ÿ าĀรับนักเรียนชั้มัธยมýึกþา ปีที่ 1 ได้คะแนนเฉลี่ย 9.04 คะแนน ÿ่üนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 3.81 แต่Āลังจากได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการ เรียนเรียนรู้แบบออนไลน์ ได้คะแนนเฉลี่ย 14.18 คะแนน ÿ่üนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 3.24และทดÿอบคüามแตกต่ างของ ค่าเฉลี่ย โดยการทดÿอบค่าที (t-test) แบบ (Dependent Sample) พบü่าค่า t เท่ากับ 14.87 และ sig เท่ากับ 0.00 แÿดงü่า ผลÿัมฤทธิ์ทางการเรียนĀลังเรียนÿูงกü่าก่อนเรียน อย่างมีนัยÿ าคัญทางÿถิติที่ระดับ .05 ÿรุปผลการüิจัย นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์ มีผลÿัมฤทธิ์ทางการเรียนเรียนĀลังเรียนÿูงกü่าก่อนเรียนอย่าง มีนัยÿ าคัญทางÿถิติที่ .05 และมีผลÿัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ คงทน เนื่องจากผลÿัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนมีคüาม แตกต่างกับĀลังเรียนและการüัดซ้ า อย่างมีนัยÿ าคัญทางÿถิติ ที่ .05 และผลÿัมฤทธิ์ทางการเรียนĀลังเรียนและการüัดซ้ าไม่มี คüามแตกต่างกัน อภิปรายผลการüิจัย ผลการเปรียบเทียบผลÿัมฤทธิ์ทางการเรียนĀลัง เรียนÿูงกü่าก่อนเรียน แÿดงใĀ้เĀ็นü่า ผู้เรียนÿามารถเ รียนรู้ เนื้อĀารายüิชาได้จากการเรียนด้üยบทเรียนออนไลน์แล ะก าร ท ากิจกรรมต่าง ๆ ผ่านระบบออนไลน์ได้ด้üยตนเอง ผู้เรียน ÿามารถเรียนได้ทุกที่ทุกเüลาเพราะบทเ รียนออนไ ลน์ไ ด้ จัดระบบการเรียนการÿอนที่ใĀ้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างอิÿระ ผู้เรียนจะมีผลÿัมฤทธิ์ทางการเรียนĀลังเรียนÿูงกü่าก่อนเ รียน ด้üยบทเรียนออนไลน์อย่างเĀ็นได้ชัด ÿอดคล้องกับüาÿนา ทองดี (2553)ไ ด้ท าก ารüิจัย เ รื่อง ก ารพัฒน าบทเ รียน คอมพิüเตอร์ช่üยÿอนเรื่องระบบในร่างกาย ÿ าĀรับนักเรียนชั้น มัธยมýึกþาปีที่ 2 โรงเรียนÿüนแตงüิทยา จังĀüัดÿุพรรณบุ รี ผลการüิจัยพบü่าผลÿัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียน ด้üยบทเรียนคอมพิüเตอร์ช่üยÿอนมีคะแนนผลÿัมฤทธิ์ทางการ เรียนĀลังเรียนÿูงกü่าก่อนเรียนอย่างมีนัยÿ าคัญทางÿถิติที่ ระดับ .05 ข้อเÿนอแนะ (1) ก่อนที่จะน าบทเรียนออนไลน์ไปใช้ ครูผู้ÿอนคüร ýึกþาเนื้อĀาของบทเรียน และแผนการÿอนอย่างละเอีย ด เพื่อÿามารถน าไปปฏิบัติได้อย่างมีประÿิทธิภาพ (2) ครูผู้ÿอนคüรเน้นเรื่องคüามร่üมมือในการเรียน และคüามซื่อÿัตย์ในการท าแบบฝึกĀัดระĀü่างเรียนและ แบบทดÿอบĀลังการเรียน เพื่อได้มาซึ่งผลการüิจัยที่มี ประÿิทธิภาพ บรรณานุกรม กรทรüงýึกþาธิการ. (2551). Āลักÿูตรแกนกลางการýึกþา ขั้นพื้นฐาน พุทธýักราช 2551. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุม ÿĀกรณ์การเกþตรแĀ่งประเทýไทย กรมคüบคุมโรค. (2563). มาตรการและแนüทางการ ด าเนินการเพื่อเฝ้าระüัง ป้องกัน และคüบคุมโรค ติดเชื้อไüรัÿโคโรนา 2019 Āรือโคüิด 19 (COVID-19). (2565, 8 กุมภาพันธ์). จินตüีร์ คล้ายÿังข์. (2553). โครงการüิจัยรูปแบบเü็บไซต์ และรูปแบบบทเรียนอิเล็กทรอนิกÿ์ ที่เĀมาะÿม ÿ าĀรับการ เรียนการÿอนแบบอีเลิร์นนิงในระดับอุดมýึกþา. ÿ านัก คณะกรรมการการอุดมýึกþา กระทรüงýึกþาธิการ. 45
วารสารวิจัยการศ ึกษาโรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่1 ปีการýึกþา 2564 ……………………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ศึกษาความพึงพอใจในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ 2 เรื่อง อัตราส่วน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) เมลดา รุ่งเรือง* บทคัดย่อ การüิจัยครั้งนี้มีคüามมุ่งĀมายเพื่อเปรียบเทียบ ค่าเฉลี่ยก่อนเรียนและĀลังเรียนของผู้เรียนที่ได้รับการ จัดการเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์ ประชากรที่ใช้ในการüิจัย ครั้งนี้คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมýึกþาปีที่ 1 โรงเรียนปาก เกร็ดที่เรียนในภาคเรียนที่ 2 ปีการýึกþา 2564 จ านüน 15 Ā้องเรียน จ านüน 625 คน เครื่องมือที่ใช้ในการüิจัย ค รั้งนี้ คือ ÿื่อการเรียนรู้ระบบออนไลน์ ผ่านเü็บไซต์ www.pakkredlearningcyber.com รายüิชา คณิตýาÿตร์ 2 และแบบüัดผลÿัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบเลือกตอบ 4 ตัüเลือก จ านüน 20 ข้อ ÿถิติที่ใช้ในการüิเคราะĀ์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ÿ่üนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการüิจัย พบü่านักเรียน ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์มีผลÿัมฤทธิ์ ทางการเรียนเ รียนĀลังเ รียนÿูงกü่ าก่อนเ รียน อย่ าง มี นัยÿ าคัญทางÿถิติที่ .05 ค าส าคัญ : คณิตýาÿตร์, จัดการเรียนรู้แบบผÿมผÿาน บทน า การจัดการเรียนรู้ÿ าĀรับผู้เรียนเป็นการจัดการเรียน รู้เพื่อ พัฒนาผู้เรียนตามýักยภาพ และใĀ้เป็นมนุþย์ที่ÿมบูรณ์ ตาม พระราชบัญญัติการýึกþาแĀ่งชาติ ปี พ.ý.2542 แก้ไข เพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ý.2545และ (ฉบับที่ 3) พ.ý.2553 มาตรา 6 ü่า การจัดการýึกþาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทย ใĀ้เป็นมนุþย์ที่ÿมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ ÿติปัญญา คüามรู้ และคุณธรรม มีจริยธรรมและüัฒนธรรมในการด ารงชีüิต ÿามารถอยู่ร่üมกับผู้อื่นได้อย่างมีคüามÿุข (พระราชบัญญัติ การýึกþาแĀ่งชาติ, 2553) ดังนั้นการจัดการýึกþา ครูผู้ÿอน จึงจ าเป็นต้องพัฒนาผู้เรียนใĀ้ได้คุณภาพตามýักยภาพข อง นักเรียนและมีประÿิทธิภาพÿูงÿุดไüรัÿโคโรนา 2019 เป็น โรคอุบัติใĀม่ซึ่งมีการแพร่ระบาดเป็นüงกü้าง อีกทั้งยังเป็น โรคติดต่อที่มีการแพร่เชื้อในมนุþย์ผ่านÿารคัดĀลัง เช่น น้ ามูก น้ าลาย จึงท าใĀ้โรคนี้มีการแพร่ระบาดได้โดยง่าย * ครู üิทยฐานะ – กลุ่มÿาระการเรียนรู้คณิตýาÿตร์ โรงเรียนปากเกร็ด จังĀüัดนนทบุรี รüดเร็üและไม่มีüัคซีนÿ าĀรับการรักþาโรคดังกล่าüโดยต รง นอกจากนี้ÿถานการณ์ระบาดของโรคนี้ท าใĀ้มีผู้ติดเชื้อทั้งใน ประเทýไทยและทั่üโลกมีจ านüนมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะมีการ รักþาตามอาการได้ÿ าเร็จ แต่การรักþาดังกล่าüก็ไม่ÿามารถ รักþาชีüิตผู้ติดเชื้อได้อย่างเพียงพอ ท าใĀ้มีประชากรได้ เÿียชีüิตจากการติดโรคดังกล่าüเพิ่มมากขึ้นดังนั้น เพื่อ ป้องกันการแพร่ระบาดของไüรัÿโคโรนา 2019 รัฐบาลจึงได้ มีการประกาýÿถานการณ์ฉุกเฉินในüันที่25 มีนาคม พ.ý. 2563 แ ล ะป ระก าýมาต รการเ ร่งด่ üนใ นก ารป้องกัน üิกฤติการณ์จากโรคติดเชื้อไüรัÿโคโรนา2019 ของกระทรüง ÿาธารณÿุข ÿ่งผลใĀ้มีการงดการจัดการเรียนการÿอนข อง ÿถาบันการýึกþาตั้งแต่üันที่ 18 มีนาคม 2563 และปรับ üิธีการจัดการเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์ÿ าĀรับนักเรียน จนกü่าจะมีการเปิดเรียนได้ตามปกติจากการÿถานการณ์ใน ปัจจุบันที่มีการปรับการจัดการจัดการเรียนรู้ในĀ้องเ รียนÿู่ การจัดการเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์นั้นจึงจับเป็นต้องมีการ ปรับตัüทั้งผู้เรียน ครูผู้ÿอนและระบบบริĀารจัดการด้าน üิชาการของโรงเรียนเป็นอย่างมาก ซึ่งการจัดการเรียนรู้ผ่าน ระบบออนไลน์เป็นเรื่องใĀม่ÿ าĀรับการจัดการเรียนรู้ใน โรงเรียนที่มีการจัดการเรียนรู้ในระดับมัธยม อีกทั้งการ จัดการเรียนรู้ยังต้องมีการพัฒนาใĀ้มีคüามเĀมาะÿมต่อ ผู้รับบริการซึ่งก็คือ ผู้เรียน และýักยภาพในการเรียน รู้ข อง ผู้เรียนแต่ละคนการจัดการเรียนรู้นั้นจะเกิดประÿิทธิภ าพไ ด้ ต้องเกิดจากผู้เรียนเกิดแรงจูงใจในการเรียน โดยแรงจูงใ จ เป็นแรงขับเคลื่อนที่อยู่ภายในตัüบุคคล ที่จะกระตุ้นใĀ้บุคคล นั้นเกิดการกระท า แรงขับดังกล่าüเกิดจากคüามต้องการ พื้นฐาน (Needs) แรงผลัก/พลังกดดัน (Drives) Āรือคüาม ปรารถนา (Desires) อันเนื่องมาจากÿิ่งล่อใจ (Incentives) คüามคาดĀüัง (Expectancy) Āรือการตั้งเป้าĀมาย (Goal Setting) ซึ่งขüัญฤทัย นาคดี(2556) ได้กล่าüü่า แรงจูงใจใน การเรียนนั้นมีคüามพึงพอใจในการเรียนเป็นปัจจัยĀนึ่ง ดังนั้นĀากนักเรียนเกิดคüามพึงพอใจจะท าใĀ้นักเรียนเกิด 46
วารสารวิจัยการศ ึกษาโรงเรียนปากเกร็ด ฉบับที่1 ปีการýึกþา 2564 ……………………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. แรงจูงใจในการเรียนและจะท าใĀ้การจัดการเรียนรู้เกิด ประÿิทธิภาพ ดังนั้น ในเบื้องต้นครูผู้ÿอนจึงท าการÿ ารü จ คüามพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ในüิชาคณิตýาÿตร์ 2 ระดับชั้นมัธยมýึกþาปีที่ 1 ü่าเมื่อนักเรียนได้เรียนแล้üมี คüามพึงพอใจĀรือไม่ เพื่อเป็นแนüทางในการปรับปรุงแล ะ พัฒนาการจัดการเรียนรู้ วัตถุประสงค์การวิจัย เพื่อÿ ารüจคüามพึงพอใจในการเรียนüิชาคณิตýาÿตร์ 2 เรื่อง อัตราÿ่üน ของนักเรียนชั้นมัธยมýึกþาปีที่ 1 โดยการ จัดการเรียนรู้แบบผÿมผÿาน (Blended Learning) วิธีด าเนินการวิจัย ป ระช าก ร เป็นนักเรียนระดับชั้นมั ธย มýึกþ าปีที่ 1 โรงเรียนปากเกร็ดที่เรียนในภาคเรียนที่ 2ปีการýึกþา 2564 จ านüน 1 Ā้องเรียน จ านüน 44 คน ซึ่งได้จากการเลือกแบบ เจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการüิจัย ได้แก่ แบบÿ ารüจคüามพึงพอใจในการเรียนüิชาคณิตýาÿตร์ 2 เรื่องอัตราÿ่üน ผลการวิจัย üิเคราะĀ์แบบประเมินýึกþาคüามพึงพอใจในการ เรียนüิชาคณิตýาÿตร์ 2เรื่อง อัตราÿ่üน ของนักเรียนชั้น มัธยมýึกþาปีที่ 1 โดยการจัดการเรียนรู้แบบผÿมผÿาน (Blended Learning) ดังตาราง สรุปผลการวิจัย นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์ มีผลÿัมฤทธิ์ทางการเรียนเรียนĀลังเรียนÿูงกü่าก่อนเรียนอย่าง มีนัยÿ าคัญทางÿถิติที่ .05 และมีผลÿัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ คงทน เนื่องจากผลÿัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนมีคüาม แตกต่างกับĀลังเรียนและการüัดซ้ าอย่างมีนัยÿ าคัญทางÿถิติที่. 05และผลÿัมฤทธิ์ทางการเรียนĀลังเรียนและการüัดซ้ าไม่มี คüามแตกต่างกัน อภิปรายผลการวิจัย การüิจัยในครั้งนี้เป็นÿ ารüจýึกþาคüามพึงพอใจในการเรียน üิชาคณิตýาÿตร์ 2เรื่อง อัตราÿ่üน ของนักเรียนชั้นมัธยมýึกþาปี ที่ 1 โดยการจัดการเรียนรู้แบบผÿมผÿาน (Blended Learning) จากผลการüิจัยพบü่า นักเรียนที่เรียนüิชาคณิตýาÿตร์ 1 เรื่อง อัตราÿ่üน มีคüามพึงพอใจในการเรียนที่ระดับมากทั้งนี้การ จัดการเรียนรู้ในภาคเรียนที่ 2 ปีการýึกþา 2564 นั้นเป็นการ จัดการเรียนรู้ที่ต้องมีการปรับตัüเนื่องจากÿถานการณ์การ ระบาดของโรคไüรัÿโคโรนา 2019 อีกทั้งต้องแข่งกับเüลา เนื่องจากในภาคเรียนนี้ ซึ่งท าใĀ้ไม่ÿามารถจัดการเรียนรู้ ตามปกติได้ และต้องท าใĀ้มีการปรับแผนการจัดการเรียน รู้อยู่ ตลอดเüลานอกจากนี้การจัดการเรียนรู้ในÿาระภูมิýาÿตร์ เป็น การจัดการเรียนรู้ที่ต้องใช้เüลาในการจัดการเรียนการÿอนมาก เนื่องจากมีเนื้อĀาตามÿาระการเรียนรู้แกนกลางเป็นจ านüนมาก และĀากต้องการÿอนใĀ้ผู้เรียนเกิดกระบüนการคิดüิเคราะĀ์ จะต้องใĀ้เüลาผู้เรียนได้คิด ได้ตอบค าถามและได้ใĀ้ผลÿะท้อน กลับนักเรียนเป็นรายบุคคล ดังนั้นการจัดการเรียนรู้ครั้งนี้จึง ไม่ได้รับคüามพึงพอใจในระดับดีขึ้นไป ข้อเสนอแนะคüรมีการÿ ารüจÿภาพปัญĀาของการจัดการ เรียนการÿอนผ่านระบบออนไลน์ บรรณานุกรม กระทรüงýึกþาธิการ. (2539) . เอกÿารเÿริมคüามรู้ คณิตýาÿตร์ระดับประถมýึกþา เรื่องการแก้ปัญĀาเชิง ÿร้างÿรรค์. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุÿภาลาดพร้าü.. (2544). คู่มือการจัดการเรียนรู้กลุ่มÿาระการเรียนรู้คณิตýาÿตร์ พุทธýักราช 2544. ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : องค์การรับÿ่ง ÿินค้าและพัÿดุภัณฑ์ (ร.ÿ.พ.). (2544 ). Āลักÿูตรการýึกþาขั้นพื้นฐานพุทธýักราช 2544. ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ :โรงพิมพ์ คุรุÿภาลาดพร้าü. 47