The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เล่มพระปริตรเข้าห่วง 10-4-67 ok

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sarinya_viriya, 2024-04-09 21:59:29

เล่มพระปริตรเข้าห่วง 10-4-67 ok

เล่มพระปริตรเข้าห่วง 10-4-67 ok

พรŒอมคำแปล คู‹มืออุบาสก-อุบาสิกา ทำวัตรสวดมนต


¤Ø³§ÒÁ¤ÇÒÁ´Õã´¾Ö§à¡Ô´¢Ö鹨ҡ¡ÒèѴ·íÒ˹ѧÊ×ÍÊÇ´Á¹µàÅ‹Á¹Õé ¢Í¹ŒÍÁºÙªÒ¾ÃФس¢Í§ ¾Ãоط¸à¨ŒÒ·Ø¡¾ÃÐͧ¤ ¾Ãл˜¨à¨¡¾Ø·¸à¨ŒÒ·Ø¡¾ÃÐͧ¤ ¾ÃиÃÃÁ ¾ÃÐÍÃÔÂʧ¦ÊÒÇ¡ ÃÇÁ·Ñé§ºÔ´Ò ÁÒÃ´Ò ¤ÃÙºÒÍÒ¨ÒÏ·Ø¡·‹Ò¹ ¢ÍºØÞ¡ØÈÅáÅмÅÒ¹Ôʧʏ Íѹà¡Ô´¨Ò¡¡ÒÃ㪌˹ѧÊ×ÍàÅ‹Á¹Õé ¨§à»š¹¾ÅÇ»˜¨¨Ñ ໚¹ÍØ»¹ÔÊѵÒÁÊ‹§ãËŒà¡Ô´»˜ÞÞÒÞÒ³ ¨¹¶Ö§¤ÇÒÁÊÔé¹ä»áË‹§·Ø¡¢ ã¹Í¹Ò¤µ¢ŒÒ§Ë¹ŒÒ¹Õé áÅШ§ÍíҹǼÅãËŒ»ÃÐà·Èä·Â ¾Ãоط¸ÈÒÊ¹Ò áÅÐʶҺѹ¾ÃÐÁËÒ¡ÉѵÃԏ »ÃÐʺᵋ¤ÇÒÁËÁàÂç¹ áÅж֧¤ÇÒÁÇѲ¹ÒʶҾà µÅÍ´¡ÒÅà·ÍÞ ¹Ò§ÍÒÀó ¡ÇԹ͹ѹµ áÅФÃͺ¤ÃÑÇ òø ÁÕ¹Ò¤Á òõö÷


สารบัญ บทสมาทานศีล ๕ คำ�บูชาพระรัตนตรัย ๕ คำ�กราบพระรัตนตรัย ๕ คำ�ขอขมาพระรัตนตรัย ๖ คำ�อาราธนาศีล ๕ ๖ คำ�แปลอาราธนาศีล ๕ ๖ นมัสการพระพุทธเจ้า ๗ ไตรสรณคมน์ ๗ คำ�สมาทานศีล ๕ ๘ ภาค ๑ ทำ วัตรเช้า-เย็น ทำ วัตรเช้า คำ�บูชาพระรัตนตรัย ๑๐ ปุพพะภาคะนะมะการะ ๑๑ พุทธาภิถุติ ๑๑ ธัมมาภิถุติ ๑๒ สังฆาภิถุติ ๑๓ ระตะนัตตะยัปปะณามะคาถา ๑๔ สังเวคะปะริกิตตะนะปาฐะ ๑๕ ปัตติทานะคาถา (กรวดนํ้าตอนเช้า) ๑๘ ทำ วัตรเย็น คำ�บูชาพระรัตนตรัย ๒๐ ปุพพะภาคะนะมะการะ ๒๑ พุทธานุสสะติ ๒๑ พุทธาภิคีติ ๒๒ ธัมมานุสสะติ ๒๓ ธัมมาภิคีติ ๒๔ สังฆานุสสะติ ๒๖ สังฆาภิคีติ ๒๗ อุททิสสะนาธิฏฐานะคาถา (กรวดนาํ้ตอนเย็น) ๒๙ ภาค ๒ บทสวดมนต์ (แปล) คำ�อาราธนาพระปริตร ๓๒ ชุมนุมเทวดา ๓๓ ชุมนุมเทวดา (แปล) ๓๔ นมัสการพระพุทธเจ้า ๓๕ ติสะระณะคะมะนะปาฐะ ๓๕ นะมะการะสิทธิคาถา ๓๖ นะมะการะสิทธิคาถา (แปล) ๓๗ สัมพุทเธ ๓๘ สัมพุทเธ (แปล) ๓๙ นะโมการะอัฏฐะกะคาถา ๔๐ นะโมการะอัฏฐะกะคาถา (แปล) ๔๐ ๑. มังคลปริตร (มงคลสูตร) ๔๑ มังคะละสูตร ๔๑ มังคะละสูตร (แปล) ๔๓ เมตตปริตร (เมตตสูตร, กรณีเมตตสูตร) ๔๕ ๒. กะระณียะเมตตะสุตตัง ๔๖ กะระณียะเมตตะสุตตัง (แปล) ๔๗ ๓. รัตนปริตร (รตนสูตร) ๔๘ ระตะนะสุตตัง ๔๙ ระตะนะสุตตัง (แปล) ๕๑ ๔. ขันธปริตร (อหิราชกสูตร) ๕๔ ขันธะปะริตตัง ๕๔ ขันธะปะริตตัง (แปล) ๕๕ ๕. โมรปริตร ๕๖ โมระปะริตตัง ๕๖ โมระปะริตตัง (แปล) ๕๗ ๖. ธชัคคปริตร ๕๘ ธะชัคคะปะริตตัง ๕๘ ธะชัคคะปะริตตัง (แปล) ๖๑ ๗. อาฏานาฏิยปริตร ๖๔ อาฏานาฏิยะปะริตตัง ๖๕ อาฏานาฏิยะปะริตตัง (แปล) ๖๙ ๘. วัฏฏกปริตร ๗๓ วัฏฏะกะปะริตตัง ๗๓ วัฏฏกะปะริตตัง (แปล) ๗๔ ๙. อังคุลิมาลปริตร ๗๕ อังคุลิมาละปะริตตัง ๗๕ อังคุลิมาละปะริตตัง (แปล) ๗๕ ๑๐. โพชฌังคปริตร ๗๖ โพชฌังคะปะริตตัง ๗๗ โพชฌังคะปะริตตัง (แปล) ๗๗ ๑๑. อภยปริตร ๗๙ อะภะยะปะริตตัง ๗๙ อะภะยะปะริตตัง (แปล) ๗๙ ๑๒. ชยปริตร ๘๐ ชะยะปะริตตัง ๘๐ ชะยะปะริตตัง (แปล) ๘๑


เทวะตาอุยโยชะนะคาถา ๘๒ เทวะตาอุยโยชะนะคาถา (แปล) ๘๒ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ๘๓ บทขัดธัมมะจักกัปปะวัตตะนะสุตตัง ๘๓ ธัมมะจักกัปปะวัตตะนะสุตตัง ๘๔ ธัมมะจักกัปปะวัตตะนะสุตตัง (แปล) ๘๙ อนัตตลักขณสูตร ๙๒ บทขัดอะนัตตะลักขะณะสุตตัง ๙๒ อะนัตตะลักขะณะสุตตัง ๙๓ อะนัตตะลักขะณะสุตตัง (แปล) ๙๖ อาทิตตปริยายสูตร ๙๘ บทขัดอาทิตตะปะริยายะสุตตัง ๙๘ อาทิตตะปะริยายะสุตตัง ๙๙ อาทิตตะปะริยายะสุตตัง (แปล) ๑๐๒ อานิสงส์การสวดพระปริตร ๑๐๔ ภาค ๓ บทสวดมนต์พิเศษ คำอาราธนา และถวายทานที่ใช้บ่อยๆ บทสวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย ๑๐๖ บทสวดพระพุทธคุณ (ทำ�นองสรภัญญะ) ๑๐๖ บทสวดพระธรรมคุณ (ทำ�นองสรภัญญะ) ๑๐๗ บทสวดพระสังฆคุณ (ทำ�นองสรภัญญะ) ๑๐๘ พุทธะชะยะมังคะละคาถา ถวายพรพระ ๑๐๙ ถวายพรพระ (แปล) ๑๑๐ พุทธชัยมงคลคาถา ๑๑๑ พุทธชัยมงคลคาถา (แปล) ๑๑๓ บทสวดชัยน้อย (นะโมเม) ๑๑๕ ความหมายของบทสวดชัยน้อย (นะโมเม) ๑๑๘ บารมี๓๐ ทัศ (แบบครูบาศรีวิชัย) ๑๑๙ อธิบายบารมี๓๐ ทัศ ๑๒๑ บารมี๓๐ ทัศ ได้แก่ ๑๒๑ คาถาโพธิบาท (ป้องกันภัยสิบทิศ) ๑๒๒ พระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก ๑๒๔ ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก ๑๒๕ พระคาถาชินบัญชร ๑๓๑ ชินบัญชรคาถา ๑๓๑ ชินบัญชรคาถา (แปล) ๑๓๓ อานิสงส์การสวดพระคาถามหาจักรพรรดิ ๑๓๕ สารบัญ พระคาถามหาจักรพรรดิ ๑๓๖ คำ�อธิษฐานก่อนสวด ๑๓๗ คาถาบูชาหลวงปู่ทวด ๑๓๘ คาถาบูชาหลวงปู่ดู่ ๑๓๘ คาถาบูชาหลวงตาม้า ๑๓๘ บทขอขมาพระรัตนตรัย ๑๓๙ วิธีการสวด ๑๓๙ บทสวดพระคาถามหาจักรพรรดิ ๑๔๐ คำ�อธิษฐานแผ่บุญ ๑๔๑ ประวัติพระโพธิสัตว์กวนอิม ๑๔๒ คาถาบูชาเจ้าแม่กวนอิม ๑๔๔ คำ�อธิษฐานขอพร ๑๔๕ พรหมวิหาระผะระณะ ๑๔๕ บทพิเศษ ๑๔๖ คำ�อธิบายพรหมวิหาร ๑๔๖ บทแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย ๑๔๙ บทแผ่เมตตาให้ตนเอง ๑๔๙ บทแผ่ส่วนกุศล ๑๕๐ บทแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวร ๑๕๐ คำ�ขอขมาและอธิษฐานจิต ๑๕๑ คำอาราธนา และถวายทาน คำ�อาราธนาธรรม ๑๕๒ คำ�ถวายสังฆทาน (สามัญ) ๑๕๒ คาถาบูชา ๔ สังเวชนียสถาน ลุมพินี(คำ�บูชาแดนประสูติ) ๑๕๓ พุทธคยา (คำ�บูชาสถานที่ตรัสรู้) ๑๕๔ ธัมเมกขะสถูป (คำ�บูชาธัมเมกขะสถูป) ๑๕๖ กุสินารา (คำ�บูชาองค์พระพุทธปรินิพพาน) ๑๕๗ คำ�กราบบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ๑๕๘ ภาค ๔ หลักการภาวนา วิธีเดินจงกรมภาวนา (หลวงตามหาบัว) ๑๖๐ วิธีนั่งสมาธิภาวนา ๑๗๐ การออกจากสมาธิภาวนา ๑๘๓ ตามหาตัวผู้รู้(พระอาจารย์วัน) ๑๘๗ พระธรรมคำ�สอน (พระอาจารย์มั่น) ๑๙๑ พระธรรมคำ�สอน (หลวงปู่ดู่) ๑๙๔ พระธรรมคำ�สอน (หลวงพ่อชา) ๑๙๘


5 บทสมาทานศีล ๕ ก่อนที่เราจะทำ�การสวดมนต์นั้น จะต้องชำ�ระใจให้บริสุทธิ์ โดยการระลึกถึง พระรัตนตรัย ขอขมาพระรัตนตรัย และสมาทานศีล ๕ เพราะพื้นฐานของมนุษย์ จะต้องมีศีล ๕ เพื่อตั้งมั่นในศีลในธรรม หากหมั่นสวดมนต์อย่างสม่ำ�เสมอ จิตใจผู้ สวดมนต์ย่อมมีอานิสงส์คือ มีความสะอาด มีความสงบ มีสมาธิและเกิดสติปัญญา แม้การแผ่เมตตาแผ่บุญกุศลย่อมมีพลังมีอานิสงส์มาก การชำ�ระศีลเปรียบเสมือน การมีภาชนะที่สะอาดรองรับเอาซึ่งพระธรรมอันประเสริฐ เมื่อเรารู้และเข้าใจพระธรรม แล้ว มีความเพียรนำ�ไปสู่การปฏิบัติตามคำ�สั่งสอนที่พระพุทธเจ้าชี้ทางไว้ย่อมจะถึง พระธรรม คือการพ้นทุกข์อันเป็นจุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนาได้ คำ บูชาพระรัตนตรัย อิมินา สักกาเรนะ ตัง พุทธัง อะภิปูชะยามะ. ขอบูชาพระพุทธด้วยเครื่องสักการะนี้ อิมินา สักกาเรนะ ตัง ธัมมัง อะภิปูชะยามะ. ขอบูชาพระธรรมด้วยเครื่องสักการะนี้ อิมินา สักกาเรนะ ตัง สังฆัง อะภิปูชะยามะ. ขอบูชาพระสงฆ์ด้วยเครื่องสักการะนี้ คำกราบพระรัตนตรัย อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ. พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์บริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง ทั้งหลายได้ตรัสรู้ถูกถ้วนดีแล้วข้าพเจ้าขออภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน (กราบ) ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ. พระธรรมคือศาสนา อันพระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงไว้ดีแล้ว ข้าพเจ้าขอนมัสการ พระธรรม (กราบ) สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ. หมู่พระสงฆ์ผู้เชื่อฟังคำ�สอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าปฏิบัติดีแล้ว ข้าพเจ้าขอ นอบน้อมพระสงฆ์(กราบ)


6 คำขอขมาพระรัตนตรัย วันทามิ พุทธัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอกราบไหว้พระพุทธเจ้า เพื่อขอขมาโทษทั้งปวง ขอพระองค์จงประทานอภัยโทษแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด. วันทามิ ธัมมัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต. ข้าแต่พระธรรมอันเจริญ ข้าพเจ้าขอกราบไหว้พระธรรม เพื่อขอขมาโทษทั้งปวง ขอพระธรรมจงให้อภัยโทษแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด. วันทามิ สังฆัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต. ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอกราบไหว้พระสงฆ์ เพื่อขอขมาโทษทั้งปวง ขอพระสงฆ์จงให้อภัยโทษแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด. คำอาราธนาศีล ๕ มะยัง ภันเต (วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ)๑ ติสะระเณนะ สะหะ, ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ. ทุติยัมปิมะยัง ภันเต (วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ)๑ ติสะระเณนะ สะหะ, ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ. ตะติยัมปิมะยัง ภันเต (วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ)๑ ติสะระเณนะ สะหะ, ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ. คำแปลอาราธนาศีล ๕ ข้าแต่พระผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายขอศีล ๕ ประการ พร้อมทั้งไตรสรณคมน์ (เพื่อรักษาต่างๆ กัน)๑ ข้าแต่พระผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายขอศีล ๕ ประการ พร้อมทั้งไตรสรณคมน์ (เพื่อรักษาต่างๆ กัน)๑ ข้าแต่พระผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายขอศีล ๕ ประการ พร้อมทั้งไตรสรณคมน์ (เพื่อรักษาต่างๆ กัน)๑ หมายเหตุ : คำ�ที่ขีดเส้นใต้ถ้ารับศีลคนเดียวเปลี่ยน มะยัง เป็น อะหัง เปลี่ยน ยาจามะ เป็น ยาจามิ


7 นมัสการพระพุทธเจ้า นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ. (ว่า ๓ หน) ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้นฯ ไตรสรณคมน์ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ. ข้าพเจ้าถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ. ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ. ข้าพเจ้าถือเอาพระธรรมเป็นสรณะ. สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ. ข้าพเจ้าถือเอาพระสงฆ์เป็นสรณะ. ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ. แม้ครั้งที่สอง ข้าพเจ้าถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ. ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ. แม้ครั้งที่สอง ข้าพเจ้าถือเอาพระธรรมเป็นสรณะ. ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ. แม้ครั้งที่สอง ข้าพเจ้าถือเอาพระสงฆ์เป็นสรณะ. ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ. แม้ครั้งที่สาม ข้าพเจ้าถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ. ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ. แม้ครั้งที่สาม ข้าพเจ้าถือเอาพระธรรมเป็นสรณะ. ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ. แม้ครั้งที่สาม ข้าพเจ้าถือเอาพระสงฆ์เป็นสรณะ.


8 คำสมาทาน ศีล ๕ ๑. ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ. ข้าพเจ้าขอสมาทานซึ่งสิกขาบท โดยเว้นจากการฆ่าสัตว์. ๒. อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ. ข้าพเจ้าขอสมาทานซึ่งสิกขาบท โดยเว้นจากการลักฉ้อสิ่งที่เจ้าของเขาไม่ให้. ๓. กาเมสุมิจฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ. ข้าพเจ้าขอสมาทานซึ่งสิกขาบท โดยเว้นจากการประพฤติกรรมที่เป็นข้าศึก แก่พรหมจรรย์. ๔. มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ. ข้าพเจ้าขอสมาทานซึ่งสิกขาบท โดยเว้นจากการเจรจาคำ�เท็จล่อลวงผู้อื่น. ๕. สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ. ข้าพเจ้าขอสมาทานซึ่งสิกขาบท โดยเว้นจากการดื่มสุราเมรัย อันเป็นเหตุที่ตั้ง แห่งความประมาท


ภาค ๑ ทำาวัตรเช้า - เย็น


10 ทำ วัตรเช้า คำ บูชาพระรัตนตรัย อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา, พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์ บริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสเครื่องเศร้า หมองทั้งหลาย, ได้ตรัสรู้ถูกถ้วนดีแล้ว อิเมหิ สักกาเรหิ ตัง ภะคะวันตัง ข้าพเจ้าบูชาซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น, อะภิปูชะยามิ. ด้วยเครื่องสักการะเหล่านี้ (กราบพร้อมกัน ๑ ครั้ง) ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, พระธรรมคือศาสนา อันพระผู้มี พระภาคเจ้าแสดงไว้ดีแล้ว อิเมหิ สักกาเรหิ ตัง ธัมมัง ข้าพเจ้าบูชาซึ่งพระธรรมเจ้านั้น, อะภิปูชะยามิ. ด้วยเครื่องสักการะเหล่านี้ (กราบพร้อมกัน ๑ ครั้ง) สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, หมู่พระสงฆ์ผู้เชื่อฟังคำ�สอน ของพระผู้มีพระภาคเจ้าปฏิบัติดีแล้ว อิเมหิ สักกาเรหิ ตัง สังฆัง ข้าพเจ้าบูชาซึ่งหมู่พระสงฆ์เจ้านั้น, อะภิปูชะยามิ. ด้วยเครื่องสักการะเหล่านี้, (กราบพร้อมกัน ๑ ครั้ง) ( ๎ ) สัญลักษณ์นี้อยู่บนพยัญชนะใด ให้ออกเสียงพยัญชนะนั้นเป็นเสียงอะกึ่งเสียง เช่น ส๎วากขาโต อ่านว่า สะ-หวาก-ขา-โต


11 ปุพพะภาคะนะมะการะ (นำ�) หันทะทานิ มะยันตัง ภะคะวันตัง วาจายะ อะภิถุตุง ปุพพะภาคะนะมะการัง กะโรมะ เส ฯ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ฯ (ว่า ๓ หน) ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาค อรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น ฯ พุทธาภิถุติ (นำ�) หันทะ มะยัง พุทธาภิถุติง กะโรมะ เส ฯ โย โส ตะถาคะโต, พระตถาคตเจ้านั้น พระองค์ใด อะระหัง, เป็นผู้ไกลจากกิเลส เป็นผู้ควรไหว้ควรบูชา สัมมาสัมพุทโธ, เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง วิชชาจะระณะสัมปันโน, เป็นผู้บริบูรณ์แล้วด้วยวิชชาและจรณะ สุคะโต, เป็นผู้ไปดีแล้ว โลกะวิทู, เป็นผู้ทรงรู้โลก อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ, เป็นผู้ฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า สัตถา เทวะมะนุสสานัง, เป็นผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พุทโธ, เป็นผู้เบิกบานแล้ว ภะคะวา, เป็นผู้จำ�แนกธรรม โย พระองค์ใด อิมัง โลกัง สะเทวะกัง สะมาระกัง ทำ�ให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว สอนโลกนี้ สะพ๎รัห๎มะกัง สัสสะมะณะพ๎ราห๎มะณิง กับทั้งเทวดา มาร พรหม และหมู่สัตว์พร้อมทั้ง ปะชัง สะเทวะมะนุสสัง สะยัง สมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม, อะภิญญา สัจฉิกัต๎วา ปะเวเทสิ, โย, พระองค์ใด


12 ธัมมัง เทเสสิ, ทรงแสดงแล้วซึ่งธรรม อาทิกัล๎ยาณัง, ไพเราะในเบื้องต้น มัชเฌกัล๎ยาณัง, ไพเราะในท่ามกลาง ปะริโยสานะกัล๎ยาณัง, ไพเราะในที่สุด สาตถัง สะพ๎ยัญชะนัง เกวะละ ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถะ พร้อมทั้ง ปะริปุณณัง ปะริสุทธัง พ๎รัห๎มะจะริยัง พยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง ปะกาเสสิ, ตะมะหัง ภะคะวันตัง อะภิปูชะยามิ, ข้าพเจ้า ขอบูชาโดยยิ่ง ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น ตะมะหัง ภะคะวันตัง สิระสา นะมามิ. ข้าพเจ้า ขอนอบน้อม ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น ด้วยเศียรเกล้า. (กราบระลึกถึงพระพุทธคุณ) ธัมมาภิถุติ (นำ�) หันทะ มะยัง ธัมมาภิถุติง กะโรมะ เส ฯ โย โส ส๎วากขาโต พระธรรมนั้นอันใด อันพระผู้มีพระภาคเจ้า ภะคะวะตา ธัมโม, ได้ตรัสไว้ดีแล้ว สันทิฏฐิโก, เป็นของอันบุคคลพึงเห็นเอง อะกาลิโก, เป็นของไม่มีกาลเวลา เอหิปัสสิโก, เป็นของจะร้องเรียกผู้อื่นให้มาดูได้ โอปะนะยิโก, เป็นของอันบุคคลพึงน้อมเข้ามาใส่ใจ ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ, เป็นของอันวิญญูชนทั้งหลายพึงรู้เฉพาะตัว ตะมะหัง ธัมมัง อะภิปูชะยามิ, ข้าพเจ้าขอบูชาโดยยิ่ง ซึ่งพระธรรมอันนั้น ตะมะหัง ธัมมัง สิระสา นะมามิ. ข้าพเจ้านอบน้อมซึ่งพระธรรมอันนั้น ด้วยเศียรเกล้า (กราบระลึกถึงพระธรรมคุณ)


13 สังฆาภิถุติ (นำ�) หันทะ มะยัง สังฆาภิถุติง กะโรมะ เส ฯ โย โส สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น (หมู่ใด, ) สาวะกะสังโฆ, เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า, (หมู่ใด,) สาวะกะสังโฆ, เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า, (หมู่ใด,) สาวะกะสังโฆ, เป็นผู้ปฏิบัติถูกแล้ว สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า, (หมู่ใด,) สาวะกะสังโฆ, เป็นผู้ปฏิบัติชอบแล้ว ยะทิทัง คือ จัตตาริ ปุริสะยุคานิ, คู่แห่งบุรุษทั้งหลาย ๔ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา, บุรุษบุคคลทั้งหลาย ๘ เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, นี่แหละพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า อาหุเนยโย, ท่านเป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขานำ�มาบูชา ปาหุเนยโย, ท่านเป็นผู้ควรแก่การต้อนรับ ทักขิเณยโย, ท่านเป็นผู้ควรแก่ทักษิณาทาน อัญชะลิกะระณีโย, ท่านเป็นผู้ควรแก่อัญชลีกรรม อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสะ, ท่านเป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ตะมะหัง สังฆัง อะภิปูชะยามิ, ข้าพเจ้าขอบูชาโดยยิ่ง ซึ่งพระสงฆ์หมู่นั้น ตะมะหัง สังฆัง สิระสา นะมามิ. ข้าพเจ้านอบน้อม ซึ่งพระสงฆ์หมู่นั้น, ด้วยเศียรเกล้า, (กราบระลึกถึงพระสังฆคุณ)


14 ระตะนัตตะยัปปะณามะคาถา (นำ�) หันทะ มะยัง ระตะนัตตะยัปปะณามะคาถาโย เจวะ สังเวคะวัตถุปะริทีปะกะปาฐัญจะ ภะณามะ เส ฯ พุทโธ สุสุทโธ กะรุณามะหัณณะโว, พระพุทธเจ้าพระองค์ใด, เป็นผู้หมดจดดีแล้ว โยจจันตะสุทธัพพะระญาณะโลจะโน, มีพระกรุณาดุจห้วงมหรรณพ, มีพระปัญญา จักษุหมดจดแล้ว โดยส่วนเดียว โลกัสสะ ปาปูปะกิเลสะฆาตะโก, ฆ่าบาปและอุปกิเลสแห่งโลก วันทามิ พุทธัง อะหะมาทะเรนะ ตัง. ข้าพเจ้าขอไหว้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น โดยความเคารพ ธัมโม ปะทีโป วิยะ ตัสสะ สัตถุโน, พระธรรมของพระศาสดาจารย์เจ้า พระองค์นั้น ราวกับประทีป โย มัคคะปากามะตะเภทะภินนะโก, พระธรรมอันใดต่างโดยประเภท คือ มรรคผลและนิพพาน โลกุตตะโร โย จะ ตะทัตถะทีปะโน, เป็นธรรมข้ามโลก และธรรมอันใด ส่องเนื้อความแห่งโลกุตตรธรรมนั้น วันทามิ ธัมมัง อะหะมาทะเรนะ ตัง. ข้าพเจ้าขอไหว้พระธรรมอันนั้น โดยความเคารพ สังโฆ สุเขตตาภ๎ยะติเขตตะสัญญิโต พระสงฆ์หมู่ใดจัดเป็นนาดียิ่งกว่านาที่ดีมีความ โย ทิฏฐะสันโต สุคะตานุโพธะโก, ระงับอันประจักษ์แล้ว รู้ตามเสด็จพระสุคตเจ้า โลลัปปะหีโน อะริโย สุเมธะโส, มีกิเลสโลเลอันละได้แล้ว เป็นอริยเจ้ามีปัญญาดี วันทามิ สังฆัง อะหะมาทะเรนะ ตัง. ข้าพเจ้าขอไหว้พระสงฆ์หมู่นั้น โดยความเคารพ อิจเจวะเมกันตะภิปูชะเนยยะกัง บุญอันใด ที่ข้าพเจ้าไหว้วัตถุ ๓ ซึ่งเป็นของ วัตถุตตะยัง วันทะยะตาภิสังขะตัง ควรบูชาโดยส่วนเดียว สั่งสมแล้วอย่างนี้ๆ ปุญญัง มะยา ยัง มะมะ สัพพุปัททะวา ขอสรรพอุปัทวะทั้งหลาย จงอย่ามี มา โหนตุ เว ตัสสะ ปะภาวะสิทธิยา. ด้วยประสิทธานุภาพ แห่งบุญนั้นแล.


15 สังเวคะปะริกิตตะนะปาฐะ อิธะ ตะถาคะโต โลเก อุปปันโน ในโลกนี้พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ, ได้เกิดขึ้นแล้ว ธัมโม จะ เทสิโต, และธรรมอันพระตถาคตเจ้าทรงแสดงแล้ว นิยยานิโก, เป็นไปเพื่อนำ�สัตว์ออก อุปะสะมิโก, เป็นไปเพื่อความสงบระงับ ปะรินิพพานิโก, เป็นไปเพื่อความดับรอบ สัมโพธะคามี, ให้ถึงความตรัสรู้ สุคะตัปปะเวทิโต, พระสุคตประกาศแล้ว มะยันตัง ธัมมัง สุต๎วา เอวัง ชานามะ, เราได้ฟังธรรมนั้นแล้ว จึงรู้อย่างนี้ว่า ชาติปิ ทุกขา, แม้ความเกิด เป็นทุกข์ ชะราปิ ทุกขา, แม้ความแก่ เป็นทุกข์ มะระณัมปิ ทุกขัง, แม้ความตาย เป็นทุกข์ โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัส แม้ความแห้งใจ ความร่ำ�ไรเพ้อ ความทุกข์ สุปายาสาปิ ทุกขา, ความเสียใจ ความคับแค้นใจ เป็นทุกข์ อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข, ความประจวบสิ่งอันไม่เป็นที่รัก เป็นทุกข์ ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข, ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก เป็นทุกข์ ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ปรารถนาอยู่ย่อมไม่ได้แม้อันใด ตัมปิ ทุกขัง, แม้อันนั้น เป็นทุกข์ สังขิตเตนะ ปัญจุปาทา นักขันธา โดยย่อ อุปาทานขันธ์๕ เป็นทุกข์ ทุกขา, เสยยะถีทัง, กล่าวคือ รูปูปาทานักขันโธ, อุปาทานขันธ์คือ รูป เวทะนูปาทานักขันโธ, อุปาทานขันธ์คือ เวทนา สัญญูปาทานักขันโธ, อุปาทานขันธ์คือ สัญญา


16 สังขารูปาทานักขันโธ, อุปาทานขันธ์คือ สังขาร วิญญาณูปาทานักขันโธ, อุปาทานขันธ์คือ วิญญาณ เยสัง ปะริญญายะ ธะระมาโน โส เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ยังดำ�รงพระชนม์อยู่ ภะคะวา เอวัง พะหุลัง สาวะเก ย่อมแนะนำ�สาวกทั้งหลายเพื่อให้กำ�หนดรู้ วิเนติ, อุปาทานขันธ์๕ อย่างนี้โดยมาก เอวัง ภาคา จะ ปะนัสสะ ก็แลอนุสาสนีเป็นอันมากของ ภะคะวะโต สาวะเกสุ พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น อะนุสาสะนี พะหุลา ปะวัตตะติ, เป็นไปในสาวกทั้งหลาย มีส่วนอย่างนี้ รูปัง อะนิจจัง, รูป ไม่เที่ยง เวทะนา อะนิจจา, เวทนา ไม่เที่ยง สัญญา อะนิจจา, สัญญา ไม่เที่ยง สังขารา อะนิจจา, สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยง วิญญาณัง อะนิจจัง, วิญญาณ ไม่เที่ยง รูปัง อะนัตตา, รูป ไม่ใช่ตัวตน เวทะนา อะนัตตา, เวทนา ไม่ใช่ตัวตน สัญญา อะนัตตา, สัญญา ไม่ใช่ตัวตน สังขารา อะนัตตา, สังขารทั้งหลาย ไม่ใช่ตัวตน วิญญาณัง อะนัตตา, วิญญาณ ไม่ใช่ตัวตน สัพเพ สังขารา อะนิจจา, สังขารทั้งหลายทั้งปวง ไม่เที่ยง สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ, ธรรมทั้งหลายทั้งปวง ไม่ใช่ตัวตน ดังนี้ เต๑ (ตา)๒ มะยัง โอติณณาม๎หะ เราทั้งหลายเป็นผู้อัน ชาติชรา มรณะ โสกะ ชาติยา ชะรามะระเณนะ โสเกหิ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัส อุปายาส ครอบงำ�แล้ว ปะริเทเวหิ ทุกเขหิ โทมะนัสเสหิ อุปายาเสหิ, ๑. บุรุษว่า เต มะยัง ๒. สตรีว่า ตา มะยัง


17 ทุกโขติณณา, ชื่อว่าเป็นผู้มีทุกข์ครอบงำ�แล้ว ทุกขะปะเรตา, มีทุกข์เป็นเบื้องหน้าแล้ว อัปเปวะนามิมัสสะ เกวะลัสสะ ทำ�ไฉน การทำ�ที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้จะพึง ทุกขักขันธัสสะ อันตะกิริยา ปรากฏแก่เราได้ดังนี้ ปัญญาเยถาติ. จิระปะรินิพพุตัมปิ ตัง ภะคะวันตัง เราถึงแล้วซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ปรินิพพาน สะระณัง คะตา, นานแล้ว พระองค์นั้นเป็นสรณะ ธัมมัญจะ, ซึ่งพระธรรมด้วย ภิกขุสังฆัญจะ, ซึ่งภิกษุสงฆ์ด้วย ตัสสะ ภะคะวะโต สาสะนัง กระทำ�ในใจอยู่ ปฏิบัติตามอยู่ ซึ่งคำ�สอนของ ยะถาสะติ ยะถาพะลัง มะนะสิ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ตามสติกำ�ลัง กะโรมะ อะนุปะฏิปัชชามะ, สา สา โน ปะฏิปัตติ, ขอความปฏิบัตินั้นๆ ของเรา อิมัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ จงเป็นไปเพื่อการกระทำ�ที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งมวล อันตะกิริยายะ สังวัตตะตุ. นี้เทอญ. กาเยน สํวโร สาธุ สาธุ วาจาย สํวโร มนสา สํวโร สาธุ สาธุ สพฺพตฺถ สํวโร สพฺพตฺถ สํวุโต ลชฺชี รกฺขิโตติ ปวุจฺจตีติ ฯ การสำ รวมด้วยกายเป็นการดีการสำ รวมด้วยวาจาเป็นการดีการสำ รวมด้วยใจเป็นการดี การสำ รวมในที่ทั้งปวงเป็นการดีบุคคลสำ รวมในที่ทั้งปวงแล้วมีความละอายต่อบาป เรากล่าวว่า เป็นผู้รักษาตน ฯ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ทุติยสังคามวัตถุสูตรที่ ๕


18 ปัตติทานะคาถา (กรวดนํ้าตอนเช้า) (นำ�) หันทะ มะยัง ปัตติทานะคาถาโย ภะณามะ เส ฯ (รับ)ยา เทวะตา สันติ วิหาระวาสินี, ถูเป ฆะเร โพธิฆะเร ตะหิง ตะหิง, เทพยดาทั้งหลายเหล่าใด มีปกติอยู่ในวิหาร สิงสถิตอยู่ที่เรือนพระสถูปที่เรือน โพธิ์ในที่นั้นๆ ตา ธัมมะทาเนนะ ภะวันตุ ปูชิตา, โสตถิง กะโรนเตธะ วิหาระมัณฑะเล, เทพยดาทั้งหลายเหล่านั้น เป็นผู้อันเราทั้งหลายบูชาแล้วด้วยธรรมทาน ขอจงทำ� ซึ่งความสวัสดีความเจริญในมณฑลวิหารนี้ เถรา จะ มัชฌา นะวะกา จะ ภิกขะโว, สารามิกา ทานะปะตี อุปาสะกา, พระภิกษุทั้งหลายที่เป็นพระเถระก็ดี ที่เป็นปานกลางก็ดี ผู้บวชใหม่ก็ดีอุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย ที่เป็นทานาธิบดีพร้อมด้วยอารามิกชนก็ดี คามา จะ เทสา นิคะมา จะ อิสสะรา, สัปปาณะภูตา สุขิตา ภะวันตุ เต, ชนทั้งหลายเหล่าใด ที่เป็นชาวบ้านก็ดีที่เป็นชาวต่างประเทศก็ดีที่เป็นชาวนิคมก็ดี ที่เป็นอิสระเป็นใหญ่ก็ดีขอชนทั้งหลายเหล่าใด จงเป็นผู้มีความสุขทุกเมื่อเถิด ชะลาพุชา เยปิ จะ อัณฑะสัมภะวา, สังเสทะชาตา อะถะโวปะปาติกา, สัตว์ทั้งหลายที่เกิดจากครรภ์ก็ดีที่เกิดจากฟองไข่ก็ดีที่เกิดจากเถ้าไคลก็ดีที่เกิด ขึ้นโตทีเดียวก็ดี นิยยานิกัง ธัมมะวะรัง ปะฏิจจะ เต, สัพเพปิ ทุกขัสสะ กะโรนตุ สังขะยัง, สัตว์ทั้งหลายแม้ทั้งปวงเหล่านั้นได้อาศัยซึ่งธรรมอันประเสริฐเป็นนิยยานิกธรรม ประกอบในอันนำ�ผู้ปฏิบัติให้ออกจากสังสารทุกข์ จงกระทำ�ซึ่งความสิ้นไปพร้อม แห่งทุกข์เถิด ฐาตุ จิรัง สะตัง ธัมโม ธัมมัทธะรา จะ ปุคคะลา, ขอธรรมของสัตบุรุษทั้งหลายจงตั้งอยู่นาน อนึ่งขอบุคคลทั้งหลายผู้ทรงไว้ ซึ่งธรรมจงดำ�รงอยู่นาน.


19 สังโฆ โหตุ สะมัคโค วะ อัตถายะ จะ หิตายะ จะ, ขอพระสงฆ์จงมีความสามัคคีพร้อมเพรียงกันในการทำ�ประโยชน์และสิ่งอันเกื้อกูล กันเถิด อัมเห รักขะตุ สัทธัมโม สัพเพปิ ธัมมะจาริโน, ขอพระสัทธรรม จงรักษาพวกเราทั้งหลายแล้วจงรักษาไว้ซึ่งบุคคลทั้งหลาย แม้ทั้งปวง วุฑฒิง สัมปาปุเณยยามะ ธัมเม อะริยัปปะเวทิเต, ขอเราทั้งหลายพึงถึงพร้อม ซึ่งความเจริญในธรรมที่พระอริยเจ้าประกาศไว้เถิด ปะสันนา โหนตุ สัพเพปิ ปาณิโน พุทธะสาสะเน, แม้สรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จงเป็นผู้เลื่อมใสแล้วในพระพุทธศาสนา สัมมา ธารัง ปะเวจฉันโต กาเล เทโว ปะวัสสะตุ, ขอฝนทั้งหลาย จงหลั่งลงตกต้องตามฤดูกาล วุฑฒิ ภาวายะ สัตตานัง สะมิทธัง เนตุ เมทะนิง, ขอฝนจงนำ�ความสำ�เร็จมาสู่พื้นปฐพีเพื่อความเจริญแก่สัตว์ทั้งหลาย มาตา ปิตา จะ อัต๎ระชัง นิจจัง รักขันติ ปุตตะกัง, มารดาและบิดาย่อมถนอมบุตรน้อย อันเกิดในตนเป็นนิจฉันใด เอวัง ธัมเมนะ ราชาโน ปะชัง รักขันตุ สัพพะทา. พระราชาทั้งหลายจงปกครองประชาชน โดยชอบธรรม ในกาลทุกเมื่อ ฉันนั้น ตลอดกาลเทอญ. อ้างอิง : มนต์พิธีชาวพุทธ แปล, คณาจารย์โรงพิมพ์เลี่ยงเซียง, กรุงเทพมหานคร ๒๕๕๑. หน้า ๓๑.


20 ท ําวัตรเย็น คำ บูชาพระรัตนตรัย อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา, พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์บริสุทธิ์ หมดจดจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย, ได้ตรัสรู้ถูกถ้วนดีแล้ว อิเมหิ สักกาเรหิ ตัง ภะคะวันตัง ข้าพเจ้าบูชาซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น, อะภิปูชะยามิ. ด้วยเครื่องสักการะเหล่านี้ (กราบพร้อมกัน ๑ ครั้ง) ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, พระธรรมคือศาสนา อันพระผู้มีพระภาคเจ้า แสดงไว้ดีแล้ว อิเมหิ สักกาเรหิ ตัง ธัมมัง ข้าพเจ้าบูชาซึ่งพระธรรมเจ้านั้น, อะภิปูชะยามิ. ด้วยเครื่องสักการะเหล่านี้ (กราบพร้อมกัน ๑ ครั้ง) สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, หมู่พระสงฆ์ผู้เชื่อฟังคำ�สอน ของพระผู้มีพระภาคเจ้าปฏิบัติดีแล้ว อิเมหิ สักกาเรหิ ตัง สังฆัง ข้าพเจ้าบูชาซึ่งหมู่พระสงฆ์เจ้านั้น, อะภิปูชะยามิ. ด้วยเครื่องสักการะเหล่านี้. (กราบพร้อมกัน ๑ ครั้ง)


21 ปุพพะภาคะนะมะการะ (นำ�) หันทะทานิ มะยัง ตัง ภะคะวันตัง วาจายะ อะภิคายิตุง, ปุพพะภาคะนะมะการัญเจวะ พุทธานุสสะตินะยัญจะ กะโรมะ เส ฯ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ฯ (ว่า ๓ หน) ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาค อรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้นฯ พุทธานุสสะติ (นำ�) หันทะ มะยัง พุทธานุสสะตินะยัง กะโรมะ เส ฯ ตัง โข ปะนะ ภะคะวันตัง เอวัง ก็กิตติศัพท์อันงาม ของพระผู้มีพระภาคเจ้า กัล๎ยาโณ กิตติสัทโท อัพภุคคะโต, พระองค์นั้นแล ฟุ้งเฟื่องไปดังนี้ว่า อิติปิ โส ภะคะวา, แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น อะระหัง, เป็นผู้ไกลจากกิเลส เป็นผู้ควรไหว้ควรบูชา สัมมาสัมพุทโธ, เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง วิชชาจะระณะสัมปันโน, เป็นผู้บริบูรณ์แล้วด้วยวิชชาและจรณะ สุคะโต, เป็นผู้ไปดีแล้ว โลกะวิทู, เป็นผู้ทรงรู้โลก อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ, เป็นผู้ฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า สัตถา เทวะมะนุสสานัง, เป็นผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พุทโธ, เป็นผู้เบิกบานแล้ว ภะคะวาติ. เป็นผู้จำ�แนกธรรม ดังนี้.


22 พุทธาภิคีติ (นำ�) หันทะ มะยัง พุทธาภิคีติง กะโรมะ เส ฯ พุทธ๎วาระหันตะวะระตาทิคุณา- พระพุทธเจ้า เป็นผู้ประกอบแล้ว ด้วยพระคุณ ภิยุตโต, มีความเป็นอรหันต์เป็นต้น สุทธาภิญาณะกะรุณาหิ มีพระอัธยาศัย ประกอบด้วยพระบริสุทธิคุณ สะมาคะตัตโต, พระปัญญาคุณและพระกรุณาคุณ โพเธสิ โย สุชะนะตัง กะมะลังวะ สูโร, พระองค์ใด ยังประชุมชนให้เบิกบานแล้ว ดังดวงพระอาทิตย์ยังดอกบัวให้บานฉะนั้น วันทามะหัง ตะมะระณัง สิระสา ข้าพเจ้า ขอไหว้พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ชิเนนทัง, ผู้ไม่มีข้าศึก ผู้เป็นจอมชนะ ด้วยเศียรเกล้า พุทโธ โย สัพพะปาณีนัง สะระณัง พระพุทธเจ้าพระองค์ใดเป็นสรณะอันเกษมสูงสุด เขมะมุตตะมัง, ของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ปะฐะมานุสสะติฏฐานัง วันทามิ ตัง ข้าพเจ้าขอไหว้พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น สิเรนะหัง, ผู้เป็นที่ตั้งแห่งอนุสสติที่ ๑ ด้วยเศียรเกล้า พุทธัสสาหัส๎มิ ทาโส๑ (ทาสี) ๒ วะ ข้าพเจ้าขอเป็นทาส(ทาสี)ของพระพุทธเจ้าเทียว พุทโธ เม สามิกิสสะโร, พระพุทธเจ้า เป็นเจ้านายของข้าพเจ้า พุทโธ ทุกขัสสะ ฆาตา จะ พระพุทธเจ้า เป็นผู้กำ�จัดทุกข์ด้วย วิธาตา จะ หิตัสสะ เม, เป็นผู้ทำ�ซึ่งประโยชน์เกื้อกูลแก่ข้าพเจ้าด้วย พุทธัสสาหัง นิยยาเทมิ ข้าพเจ้าขอมอบกายถวายชีวิตอันนี้ สะรีรัญชีวิตัญจิทัง, แด่พระพุทธเจ้า วันทันโตหัง๑ (วันทันตีหัง) ๒ จะริสสามิข้าพเจ้าไหว้อยู่ จักประพฤติตาม พุทธัสเสวะ สุโพธิตัง, ซึ่งความตรัสรู้ดีของพระพุทธเจ้าทีเดียว ๑. บุรุษว่า ๒. สตรีว่า


23 นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง สรณะอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พุทโธ เม สะระณัง วะรัง, พระพุทธเจ้าเป็นสรณะอันประเสริฐของข้าพเจ้า เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ ด้วยการกล่าวคำ�สัตย์นี้ขอข้าพเจ้า วัฑเฒยยัง สัตถุสาสะเน, พึงเจริญในพระศาสนาของพระศาสดา พุทธัง เม วันทะมาเนนะ๑ บุญใด อันข้าพเจ้าไหว้พระพุทธเจ้า ได้ขวนขวาย (วันทะมานายะ) ๒ ยัง ปุญญัง แล้วในที่นี้ ปะสุตัง อิธะ, สัพเพปิ อันตะรายา เม แม้สรรพอันตรายทั้งหลาย อย่าได้มีแก่ข้าพเจ้า มาเหสุง ตัสสะ เตชะสา. ด้วยเดชแห่งบุญนั้น. (หมอบลงแล้วกล่าวว่าดังนี้) กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา, กรรมน่าเกลียดอันใด ที่ข้าพเจ้าได้กระทำ�แล้ว พุทเธ กุกัมมัง ปะกะตัง มะยา ยัง, ในพระพุทธเจ้าด้วยกาย วาจา หรือใจ พุทโธ ปะฏิคคัณหะตุ อัจจะยันตัง, ขอพระพุทธเจ้าจงทรงงดโทษนั้น กาลันตะเร สังวะริตุง วะ พุทเธ. เพื่อความสำ�รวมระวังต่อไป ในพระพุทธเจ้า. ธัมมานุสสะติ (นำ�) หันทะ มะยัง ธัมมานุสสะตินะยัง กะโรมะ เส ฯ ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว สันทิฏฐิโก, เป็นของอันบุคคลพึงเห็นเอง อะกาลิโก, เป็นของไม่มีกาลเวลา เอหิปัสสิโก, เป็นของจะร้องเรียกผู้อื่นให้มาดูได้ โอปะนะยิโก, เป็นของอันบุคคลพึงน้อมเข้ามาใส่ใจ ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ. เป็นของอันวิญญูชนทั้งหลาย พึงรู้เฉพาะตัวดังนี้. ๑. บุรุษว่า ๒. สตรีว่า


24 ธัมมาภิคีติ (นำ�) หันทะ มะยัง ธัมมาภิคีติง กะโรมะ เส ฯ ส๎วากขาตะตาทิคุณะโยคะวะเสนะ พระธรรมเป็นของอันประเสริฐ ด้วยอำ�นาจอัน เสยโย, ประกอบด้วยคุณมีความเป็นสวากขาตะ เป็นต้น โย มัคคะปากะปะริยัตติวิโมกขะเภโท, อันใด ต่างด้วยมรรคผล ปริยัติและวิโมกข์ ธัมโม กุโลกะปะตะนา ตะทะธาริธารี, พระธรรมกันผู้ทรงธรรมนั้น จากความตกไป ในโลกที่ชั่ว วันทามะหัง ตะมะหะรัง วะระธัมมะเมตัง, ข้าพเจ้าขอไหว้พระธรรมอันขจัดความมืดอันนั้น ธัมโม โย สัพพะปาณีนัง สะระณัง พระธรรมใด เป็นสรณะอันเกษมสูงสุดของ เขมะมุตตะมัง, สรรพสัตว์ทั้งหลาย ทุติยานุสสะติฏฐานัง วันทามิ ตัง ข้าพเจ้าขอไหว้พระธรรมอันนั้น ซึ่งเป็นที่ตั้ง สิเรนะหัง, แห่งอนุสสติที่ ๒ ด้วยเศียรเกล้า ธัมมัสสาหัส๎มิ ทาโส๑ (ทาสี) ๒ วะ ข้าพเจ้าขอเป็นทาส(ทาสี) ของพระธรรมเทียว ธัมโม เม สามิกิสสะโร, พระธรรม เป็นเจ้านายของข้าพเจ้า ธัมโม ทุกขัสสะ ฆาตา จะ พระธรรม เป็นธรรมกำ�จัดทุกข์ด้วย วิธาตา จะ หิตัสสะ เม, เป็นธรรมทำ�ซึ่งประโยชน์เกื้อกูลแก่ข้าพเจ้าด้วย ธัมมัสสาหัง นิยยาเทมิ ข้าพเจ้าขอมอบกายถวายชีวิตอันนี้ สะรีรัญชีวิตัญจิทัง, แด่พระธรรม วันทันโตหัง๑ (วันทันตีหัง) ๒ จะริสสามิ ข้าพเจ้าไหว้อยู่ จักประพฤติตาม ธัมมัสเสวะ สุธัมมะตัง, ซึ่งความเป็นธรรมดีแห่งพระธรรมทีเดียว นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง สรณะอื่นของข้าพเจ้าไม่มี ธัมโม เม สะระณัง วะรัง, พระธรรมเป็นสรณะอันประเสริฐของข้าพเจ้า ๑. บุรุษว่า ๒. สตรีว่า


25 เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ ด้วยการกล่าวคำ�สัตย์นี้ขอข้าพเจ้า วัฑเฒยยัง สัตถุสาสะเน, พึงเจริญในพระศาสนาของพระศาสดา ธัมมัง เม วันทะมาเนนะ๑ บุญใด อันข้าพเจ้าไหว้พระธรรม ได้ขวนขวาย (วันทะมานายะ)๒ ยัง แล้วในที่นี้ ปุญญัง ปะสุตัง อิธะ, สัพเพปิ อันตะรายา เม แม้สรรพอันตรายทั้งหลาย อย่าได้มีแก่ข้าพเจ้า มาเหสุง ตัสสะ เตชะสา. ด้วยเดชแห่งบุญนั้น. (หมอบลงแล้วกล่าวว่าดังนี้) กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา, กรรมน่าเกลียดอันใดที่ข้าพเจ้า ได้กระทำ�แล้ว ธัมเม กุกัมมัง ปะกะตัง มะยา ยัง, ในพระธรรม ด้วยกาย วาจา หรือใจ ธัมโม ปะฏิคคัณหะตุ อัจจะยันตัง, ขอพระธรรมจงงดโทษนั้น กาลันตะเร สังวะริตุง วะ ธัมเม. เพื่อความสำ�รวมระวังต่อไป ในพระธรรม ๑. บุรุษว่า ๒. สตรีว่า สพฺพปาปสฺส อกรณํ กุสลสฺสูปสมฺปทา สจิตฺตปริโยทปนํ เอตํ พุทฺธาน สาสนํ ฯ การไม่ทำ บาปทั้งปวง การทำกุศลให้ถึงพร้อม การทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว นี้คือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ -สุตตนิบาต อานันทเถรปัญหวัตถุฯ


26 สังฆานุสสะติ (นำ�) หันทะ มะยัง สังฆานุสสะตินะยัง กะโรมะ เส ฯ สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า สาวะกะสังโฆ, เป็นผู้ปฏิบัติถูกแล้ว สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า สาวะกะสังโฆ, เป็นผู้ปฏิบัติชอบแล้ว ยะทิทัง คือ จัตตาริ ปุริสะยุคานิ, คู่แห่งบุรุษทั้งหลาย ๔ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา, บุรุษบุคคลทั้งหลาย ๘ เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, นี่แหละพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า อาหุเนยโย, ท่านเป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขานำ�มาบูชา ปาหุเนยโย, ท่านเป็นผู้ควรแก่การต้อนรับ ทักขิเณยโย, ท่านเป็นผู้ควรแก่ทักษิณาทาน อัญชะลิกะระณีโย, ท่านเป็นผู้ควรแก่อัญชลีกรรม อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ. ท่านเป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่น ยิ่งกว่า ดังนี้.


27 สังฆาภิคีติ (นำ�) หันทะ มะยัง สังฆาภิคีติง กะโรมะ เส ฯ สัทธัมมะโช สุปะฏิปัตติคุณาทิยุตโต, พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ เกิดจากพระสัทธรรม ประกอบแล้วด้วยคุณ มีสุปฏิบัติคุณ เป็นต้น. โยฏฐัพพิโธ อะริยะปุคคะละสังฆะเสฏโฐ, พวกใดเป็นหมู่แห่งพระอริยบุคคลอันประเสริฐ สุด ๘ จำ�พวก สีลาทิธัมมะปะวะราสะยะกายะจิตโต, มีกายและจิต อาศัยธรรมอันประเสริฐมีศีล เป็นต้น วันทามะหัง ตะมะริยานะคะณัง สุสุทธัง, ข้าพเจ้าขอไหว้หมู่พระอริยะทั้งหลายเหล่านั้น ซึ่งหมดจดสะอาด สังโฆ โย สัพพะปาณีนัง สะระณัง พระสงฆ์หมู่ใด เป็นสรณะอันเกษมสูงสุด เขมะมุตตะมัง, ของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ตะติยานุสสะติฏฐานัง วันทามิ ตัง ข้าพเจ้าขอไหว้พระสงฆ์หมู่นั้น ผู้เป็นที่ตั้ง สิเรนะหัง, แห่งอนุสสติที่ ๓ ด้วยเศียรเกล้า. สังฆัสสาหัส๎มิ ทาโส๑ (ทาสี) ๒ วะ ข้าพเจ้าขอเป็นทาส(ทาสี)ของพระสงฆ์เทียว สังโฆ เม สามิกิสสะโร, พระสงฆ์เป็นเจ้านายของข้าพเจ้า สังโฆ ทุกขัสสะ ฆาตา จะ พระสงฆ์เป็นผู้กำ�จัดทุกข์ด้วย วิธาตา จะ หิตัสสะ เม, เป็นผู้ทำ�ซึ่งประโยชน์เกื้อกูลแก่ข้าพเจ้าด้วย. สังฆัสสาหัง นิยยาเทมิ ข้าพเจ้าขอมอบกายถวายชีวิตอันนี้ สะรีรัญชีวิตัญจิทัง, แด่พระสงฆ์ วันทันโตหัง๑ (วันทันตีหัง) ๒ จะริสสามิข้าพเจ้าไหว้อยู่ จักประพฤติตาม สังฆัสโสปะฏิปันนะตัง, ซึ่งความประพฤติแห่งสงฆ์ ๑. บุรุษว่า ๒. สตรีว่า


28 นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง สรณะอื่นของข้าพเจ้าไม่มี สังโฆ เม สะระณัง วะรัง, พระสงฆ์เป็นสรณะอันประเสริฐของข้าพเจ้า เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ ด้วยการกล่าวสัตย์นี้ขอข้าพเจ้า วัฑเฒยยัง สัตถุสาสะเน, พึงเจริญในพระศาสนาของพระศาสดา, สังฆัง เม วันทะมาเนนะ๑ บุญใดอันข้าพเจ้าไหว้พระสงฆ์ได้ขวนขวายแล้ว (วันทะมานายะ) ๒ ยัง ปุญญัง ในที่นี้ ปะสุตัง อิธะ, สัพเพปิ อันตะรายา เม แม้สรรพอันตรายทั้งหลาย อย่าได้มีแก่ข้าพเจ้า มาเหสุง ตัสสะ เตชะสา. ด้วยเดชแห่งบุญนั้น. (หมอบลงแล้วกล่าวว่าดังนี้) กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา, กรรมน่าเกลียดอันใดที่ข้าพเจ้าได้กระทำ�แล้ว สังเฆ กุกัมมัง ปะกะตัง มะยา ยัง, ในพระสงฆ์ด้วยกาย วาจา หรือใจ สังโฆ ปะฏิคคัณหะตุ อัจจะยันตัง, ขอพระสงฆ์จงงดโทษนั้น กาลันตะเร สังวะริตุง วะ สังเฆ. เพื่อความสำ�รวมระวังต่อไป ในพระสงฆ์. ๑. บุรุษว่า ๒. สตรีว่า ยญฺจ กโรติ กาเยน วาจาย อุทเจตสา ตํ หิ ตสฺส สกํ โหติ ตญฺจ อาทาย คจฺฉติ ตญฺจสฺส อนุคํ โหติ ฉายาว อนุปายินี ตสฺมา กเรยฺย กลฺยาณํ นิจยํ สมฺปรายิกํ ปุญฺญานิ ปรโลกสฺมึ ปติฏฺฐา โหนฺติ ปาณินนฺติ ฯ ก็บุคคลทำกรรมใดด้วยกายด้วยวาจา หรือด้วยใจกรรมนั้นแหละเป็นของๆเขาและเขาย่อม พาเอากรรมนั้นไป อนึ่งกรรมนั้นย่อมติดตามเขาไป เหมือนเงาติดตามตน ฉะนั้น เพราะฉะนั้นบุคคล ควรทำกรรมดีสั่งสมไว้สำ หรับภพหน้า บุญทั้งหลายย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายในโลกหน้า ฯ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ทุติยาปุตตกสูตรที่ ๑๐


29 อุททิสสะนาธิฏฐานะคาถา (กรวดนํ้าตอนเย็น) (นำ�) หันทะ มะยัง อุททิสสะนาธิฏฐานะคาถาโย ภะณามะ เส ฯ (รับ) อิมินา ปุญญะกัมเมนะ, ด้วยบุญนี้อุทิศให้ อุปัชฌายา คุณุตตะรา, อุปัชฌาย์ผู้เลิศคุณ อาจะริยูปะการา จะ, และอาจารย์ผู้เกื้อหนุน มาตา ปิตา จะ ญาตะกา, (ปิยา มะมัง)* ทั้งพ่อแม่และปวงญาติ สุริโย จันทิมา ราชา, สูรย์จันทร์และราชา คุณะวันตา นะราปิ จะ, ผู้ทรงคุณหรือสูงชาติ พ๎รัห๎มะมารา จะ อินทา จะ, พรหมมารและอินทราช โลกะปาลา จะ เทวะตา, ทั้งทวยเทพและโลกบาล ยะโม มิตตา มะนุสสา จะ, ยมราชมนุษย์มิตร มัชฌัตตา เวริกาปิ จะ, ผู้เป็นกลาง ผู้จองผลาญ สัพเพ สัตตา สุขี โหนตุ, ขอให้เป็นสุขศานต์ทุกทั่วหน้าอย่าทุกข์ทน ปุญญานิ ปะกะตานิ เม, บุญผองที่ข้าทำ� จงช่วยอำ�นวยศุภผล สุขัง จะ ติวิธัง เทนตุ, ให้สุขสามอย่างล้น ขิปปัง ปาเปถะ โวมะตัง, ให้ลุถึงนิพพานพลัน อิมินา ปุญญะกัมเมนะ, ด้วยบุญนี้ที่เราทำ� อิมินา อุททิเสนะ จะ, แลอุทิศให้ปวงสัตว์ ขิปปาหัง สุละเภ เจวะ, เราพลันได้ซึ่งการตัด ตัณหุปาทานะเฉทะนัง, ตัวตัณหา อุปาทาน เย สันตาเน หินา ธัมมา, สิ่งชั่ว ในดวงใจ ยาวะ นิพพานะโต มะมัง, กว่าเราจะถึงนิพพาน นัสสันตุ สัพพะทา เยวะ, มลายสิ้นจากสันดาน * ปิยา มะมัง หมายถึง บุคคลอันเป็นที่รักทั้งในชาตินี้และชาติที่ผ่านๆ มา


30 ยัตถะ ชาโต ภะเว ภะเว, ทุกๆ ภพที่เราเกิด อุชุจิตตัง สะติปัญญา, มีจิตตรงและสติทั้งปัญญาอันประเสริฐ สัลเลโข วิริยัมหินา, พร้อมทั้งความเพียรเลิศเป็นเครื่องขูด กิเลสหาย มารา ละภันตุ โนกาสัง, โอกาสอย่าพึงมีแก่หมู่มารสิ้นทั้งหลาย กาตุญจะ วิริเยสุ เม, เป็นช่อง ประทุษร้าย ทำ�ลายล้าง ความเพียรจม พุทธาทิปะวะโร นาโถ, พระพุทธผู้บวรนาถ ธัมโม นาโถ วะรุตตะโม, พระธรรมที่พึ่งอุดม นาโถ ปัจเจกะพุทโธ จะ, พระปัจเจกะพุทธสมสังโฆ นาโถตตะโร มะมัง, ทบพระสงฆ์ที่พึ่งผยอง เตโสตตะมานุภาเวนะ, ด้วยอานุภาพนั้น มาโรกาสัง ละภันตุ มา, ขอหมู่มาร อย่าได้ช่อง ทะสะปุญญานุภาเวนะ, ด้วยเดชบุญทั้งสิบป้อง มาโรกาสัง ละภันตุ มา๑ อย่าเปิดโอกาสแก่มาร เทอญ. อิมินา ปุญญะกัมเมนะ ด้วยเดชะบุญกุศลผลบุญแห่งข้าพเจ้าได้อุทิศไปนี้ ขอจงไปค้ำ�ชูอุดหนุน บิดา มารดา ครูอุปัชฌาย์อาจารย์พระมหากษัตริย์ญาติสนิท มิตรสหายสัตว์ตัวน้อยใหญ่พระภูมิเจ้าที่ เจ้ากรุงพาลีพระนางธรณีพระนางคงคา พญามัจจุราช นายนิรยบาล นายพันธุละ-เสนาบดีศิริคุตอำ�มาตย์กับทั้งท้าวจตุโลกบาล ทั้งสี่ชั้นจาตุมหาราชิกา เบื้องบนจนถึงที่สุดมหาพรหม เบื้องต่ำ�ตั้งแต่อเวจีขึ้นมาจนถึง มนุษยโลก โดยรอบสุดขอบจักรวาล อนันตจักรวาล ท่านทั้งหลายที่ต้องทุกข์ ขอให้พ้นจากทุกข์ท่านทั้งหลายที่มีสุข ขอให้มีสุขยิ่งๆขึ้นไป ด้วยเดชะกุศลผลบุญ แห่งข้าพเจ้าได้อุทิศไปนี้ ขอจงเป็นอุปนิสัย และเป็นปัจจัย เพื่อจะทำ�ให้แจ้งซึ่ง พระนิพพาน ขอจงสมดังปณิธานของข้าพเจ้าทั้งหลายทุกประการเทอญ. ๑. ถ้าสวดคนเดียวเปลี่ยน มา เป็น เม.


ภาค ๒ บทสวดมนต์ (แปล)


32 บทสวดมนต์ คำอาราธนาพระปริตร วิปัตติปะฏิพาหายะ สัพพะสัมปัตติสิทธิยา สัพพะ ทุกขะ วินาสายะ ปะริตตัง พ๎รูถะ มังคะลัง วิปัตติปะฏิพาหายะ สัพพะสัมปัตติสิทธิยา สัพพะ ภะยะ วินาสายะ ปะริตตัง พ๎รูถะ มังคะลัง วิปัตติปะฏิพาหายะ สัพพะสัมปัตติสิทธิยา สัพพะ โรคะ วินาสายะ ปะริตตัง พ๎รูถะ มังคะลัง ขอท่านทั้งหลาย จงสวดพระปริตรอันเป็นมงคลเพื่อป้องกันความวิบัติ เพื่อความสำ�เร็จแห่งสมบัติทั้งปวง เพื่อให้ทุกข์ทั้งหมดพินาศไป เพื่อให้ภัยทั้งหมด พินาศไป เพื่อให้โรคทั้งหมดพินาศไป โย จ โข ภิกฺขเว มาตาปิตโร อสฺสทฺเธ สทฺธาสมฺปทาย สมาทเปติ นิเวเสติ ปติฏฺฐาเปติ ทุสฺสีเล สีลสมฺปทาย สมาทเปติ นิเวเสติ ปติฏฺฐาเปติ มจฺฉรี จาคสมฺปทาย สมาทเปติ นิเวเสติ ปติฏฺฐาเปติ ทุปฺปญฺเญ ปญฺญาสมฺปทาย สมาทเปติ นิเวเสติ ปติฏฺฐาเปติ เอตฺตาวตา โข ภิกฺขเว มาตาปิตุนฺนํ กตญฺจ โหติ ปฏิกตญฺจาติ ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุตรคนใดยังมารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธา ให้สมาทานตั้งมั่นในศรัทธาสัมปทา ยังมารดาบิดาผู้ทุศีลให้สมาทานตั้งมั่นในศีลสัมปทายังมารดาบิดาผู้มีความตระหนี่ให้สมาทานตั้งมั่น ในจาคสัมปทา ยังมารดาบิดาทรามปัญญา ให้สมาทานตั้งมั่นในปัญญาสัมปทา ด้วยเหตุมีประมาณ เท่านี้แล การกระทำอย่างนั้นย่อมชื่อว่าอันบุตรนั้นทำแล้ว และทำตอบแทนแล้ว แก่มารดาบิดา ฯ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต


33 ชุมนุมเทวดา (สะรัชชัง สะเสนัง สะพันธุง นะรินทัง ปะริตตานุภาโว สะทา รักขะตูติ,)๑ (ผะริต๎วานะ เมตตัง สะเมตตา ภะทันตา อะวิกขิตตะจิตตา ปะริตตัง ภะณันตุ,)๒ (สะมันตา จักกะวาเฬสุ อัต๎ราคัจฉันตุ เทวะตา สัทธัมมัง มุนิราชัสสะ สุณันตุ สัคคะโมกขะทัง.)๓ สัคเค กาเม จะ รูเป คิริสิขะระตะเฏ จันตะลิกเข วิมาเน, ทีเป รัฏเฐ จะ คาเม ตะรุวะนะคะหะเน เคหะวัตถุมหิ เขตเต, ภุมมา จายันตุ เทวา ชะละถะ ละวิสะเม ยักขะคันธัพพะนาคา, ติฏฐันตา สันติเก ยัง มุนิวะระวะจะนัง สาธะโว เม สุณันตุ. ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา. (พุทธทัสสะนะกาโล อะยัมภะทันตา) (ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา) (สังฆะปะริรูปาสะนะกาโล อะยัมภะทันตา)๔ หมายเหตุ ๑. ใช้เฉพาะในพระราชพิธีและรัฐพิธี ๒. ใช้สวด ๗ ตำ�นาน ๓. ใช้สวด ๑๒ ตำ�นาน ๔. ถ้าเป็นงานพิธีของพระโดยตรง เช่น พิธีเข้าพรรษา ออกพรรษา มาฆบูชา วิสาขบูชา หรือพิธีหล่อพระ เป็นต้น ท่านนิยมเปลี่ยนตอนท้าย


34 ชุมนุมเทวดา (แปล) ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ผู้มีเมตตา จงแผ่ไมตรีจิต ด้วยคิดว่าขออานุภาพ พระปริตรจงรักษาพระราชา ผู้เป็นเจ้าแห่งนรชน พร้อมด้วยราชสมบัติ พร้อมด้วย ราชวงศ์พร้อมด้วยเสนามาตย์อย่ามีจิตฟุ้งซ่าน ตั้งใจสวดพระปริตร ขอเชิญเทวดาทั้งหลายในจักรวาลทั้งหลายโดยรอบ จงมาประชุมกัน ณ ที่นี้ ขอเชิญฟังพระสัทธรรมที่ชี้ทางไปสู่สวรรค์และนิพพานของพระจอมมุนีเจ้ากันเถิด ขอเชิญเหล่าเทพเจ้า ซึ่งสถิตอยู่ในสวรรค์ชั้นกามภพก็ดีรูปภพก็ดีและภุมเทวดา ซึ่งสถิตอยู่ในวิมานหรือยอดภูเขาและหุบผาในอากาศก็ดีในเกาะก็ดีในแว่นแคว้น ก็ดีในบ้านก็ดีในต้นพฤกษาและป่าชัฏก็ดีในเรือนก็ดีในไร่นาก็ดีเทพยดาทั้งหลาย ซึ่งสถิตตามภาคพื้นดิน รวมทั้งยักษ์ คนธรรพ์ และพญานาค ซึ่งสถิตอยู่ในนํ้า บนบกและที่อันไม่ราบเรียบก็ดีซึ่งอยู่ในที่ใกล้เคียง จงมาประชุมพร้อมกันในที่นี้ คำ�ใดเป็นของพระมุนีผู้ประเสริฐ ท่านสาธุชนทั้งหลาย จงสดับคำ�ข้าพเจ้านั้น ดูก่อน ท่านผู้เจริญทั้งหลาย กาลนี้เป็นกาลฟังธรรม ดูก่อน ท่านผู้เจริญทั้งหลาย กาลนี้เป็นกาลฟังธรรม ดูก่อน ท่านผู้เจริญทั้งหลาย กาลนี้เป็นกาลฟังธรรม สพฺพา ทิสา อนุปริคมฺม เจตสา เนวชฺฌคา ปิยตรมตฺตนา กฺวจิ เอวํ ปิโย ปุถุ อตฺตา ปเรสํ ตสฺมา น หึเส ปรํ อตฺตกาโมติ ฯ บุคคลค้นหาด้วยจิตตลอดทิศทั้งหมดไม่ได้พบใครซึ่งเป็นที่รักยิ่งกว่าตนในที่ไหนๆเลยสัตว์ ทั้งหลายเหล่าอื่นก็รักตนมากเช่นนั้นเหมือนกัน ฉะนั้น ผู้รักตนจึงไม่ควรเบียดเบียนสัตว์อื่น ฯ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค มัลลิกาสูตรที่ ๘


35 นมัสการพระพุทธเจ้า นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ. (ว่า ๓ หน) ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ซึ่งทรงเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เองฯ ติสะระณะคะมะนะปาฐะ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ.ข้าพเจ้าถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ. ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ.ข้าพเจ้าถือเอาพระธรรมเป็นสรณะ. สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ.ข้าพเจ้าถือเอาพระสงฆ์เป็นสรณะ. ทุติยัมปิพุทธังสะระณัง คัจฉามิ.แม้ครั้งที่สอง ข้าพเจ้าถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ. ทุติยัมปิธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ.แม้ครั้งที่สอง ข้าพเจ้าถือเอาพระธรรมเป็นสรณะ. ทุติยัมปิสังฆัง สะระณัง คัจฉามิ.แม้ครั้งที่สอง ข้าพเจ้าถือเอาพระสงฆ์เป็นสรณะ. ตะติยัมปิพุทธัง สะระณัง คัจฉามิ.แม้ครั้งที่สาม ข้าพเจ้าถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ. ตะติยัมปิธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ.แม้ครั้งที่สาม ข้าพเจ้าถือเอาพระธรรมเป็นสรณะ. ตะติยัมปิสังฆัง สะระณัง คัจฉามิ.แม้ครั้งที่สาม ข้าพเจ้าถือเอาพระสงฆ์เป็นสรณะ. น อนฺตลิกฺเข น สมุทฺทมชฺเฌ น ปพฺพตานํ วิวรํ ปวีสํ น วิชฺชตี โส ชคติปฺปเทโส ยตฺรฏฺฐิโต มุญฺเจยฺย ปาปกมฺมาฯ บุคคลที่ทำกรรมชั่วไว้หนีไปแล้วในอากาศ ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้, หนีไปในท่ามกลาง มหาสมุทรก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้, หนีเข้าไปสู่ซอกแห่งภูเขาก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้, (เพราะ) เขาอยู่แล้วในประเทศแห่งแผ่นดินใด พึงพ้นจากกรรมชั่วได้, ประเทศแห่งแผ่นดินนั้น หามีอยู่ไม่ฯ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ปาปวรรคที่ ๙


36 นะมะการะสิทธิคาถา โย จักขุมา โมหะมะลาปะกัฏโฐ สามัง วะ พุทโธ สุคะโต วิมุตโต มารัสสะ ปาสา วินิโมจะยันโต ปาเปสิ เขมัง ชะนะตัง วิเนยยัง พุทธัง วะรันตัง สิระสา นะมามิ โลกัสสะ นาถัญจะ วินายะกัญจะ ตันเตชะสา เต ชะยะสิทธิ โหตุ สัพพันตะรายา จะ วินาสะเมนตุ. ธัมโม ธะโช โย วิยะ ตัสสะ สัตถุ ทัสเสสิ โลกัสสะ วิสุทธิมัคคัง นิยยานิโก ธัมมะธะรัสสะ ธารี สาตาวะโห สันติกะโร สุจิณโณ ธัมมัง วะรันตัง สิระสา นะมามิ โมหัปปะทาลัง อุปะสันตะทาหัง ตันเตชะสา เต ชะยะสิทธิ โหตุ สัพพันตะรายา จะ วินาสะเมนตุ. สัทธัมมะเสนา สุคะตานุโค โย โลกัสสะ ปาปูปะกิเลสะเชตา สันโต สะยัง สันตินิโยชะโก จะ ส๎วากขาตะธัมมัง วิทิตัง กะโรติ สังฆัง วะรันตัง สิระสานะมามิ พุทธานุพุทธัง สะมะสีละทิฏฐิง ตันเตชะสา เต ชะยะสิทธิ โหตุ สัพพันตะรายา จะ วินาสะเมนตุ.


37 นะมะการะสิทธิคาถา (แปล) ท่านพระองค์ใด มีพระปัญญาจักษุขจัดมลทิน คือโมหะเสียแล้ว ได้ตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าโดยลำ�พังพระองค์เอง เสด็จไปดีพ้นไปแล้ว ทรงเปลื้องชุมชน อันเป็นเวไนยจากบ่วงแห่งมาร นำ�มาให้ถึงความเกษม ข้าพระพุทธเจ้าขอถวาย นมัสการพระพุทธเจ้าผู้บวรพระองค์นั้น ผู้เป็นนาถะและเป็นผู้นำ�แห่งโลกด้วยเดช แห่งพระพุทธเจ้านั้น ขอความสำ�เร็จแห่งชัยชนะจงมีแก่ท่าน และขออันตราย ทั้งมวลจงถึงความพินาศ. พระธรรมเจ้าเป็นดุจธงชัยแห่งพระศาสดาพระองค์นั้น แสดงทางแห่งความ บริสุทธิ์ให้แก่โลก เป็นคุณอันคุ้มครองชนผู้ทรงธรรม ประพฤติดีแล้วนำ�ความสุข มาทำ�ความสงบให้เกิดขึ้น ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายนมัสการพระธรรมอันบวรนั้น อันทำ�ลายโมหะระงับความเร่าร้อน ด้วยเดชแห่งพระธรรมเจ้านั้น ขอความสำ�เร็จ แห่งชัยชนะจงมีแก่ท่าน และขออันตรายทั้งมวลจงถึงความพินาศ. พระสงฆเจ้าใดเป็นเสนาประกาศพระสัทธรรม ดำ�เนินตามพระศาสดาผู้เสด็จ ไปดีแล้ว ผจญเสียซึ่งอุปกิเลสอันลามกของโลก เป็นผู้สงบเองด้วย ประกอบผู้อื่น ไว้ในความสงบด้วย ย่อมทำ�พระธรรมอันพระศาสดาตรัสไว้ดีแล้ว ให้มีผู้รู้ตาม ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายนมัสการ พระสงฆเจ้าผู้บวรนั้น ผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า มีศีลและทิฏฐิเสมอกัน ด้วยเดชแห่งพระสงฆเจ้านั้น ขอความสำ�เร็จแห่งชัยชนะ จงมีแก่ท่าน และขออันตรายทั้งมวลจงถึงความพินาศ.


38 สัมพุทเธ* สัมพุทเธ อัฏฐะวีสัญจะ ท๎วาทะสัญจะ สะหัสสะเก ปัญจะสะตะสะหัสสานิ นะมามิ สิระสา อะหัง เตสัง ธัมมัญจะ สังฆัญจะ อาทะเรนะ นะมามิหัง นะมะการานุภาเวนะ หันต๎วา สัพเพ อุปัททะเว อะเนกา อันตะรายาปิ วินัสสันตุ อะเสสะโต. สัมพุทเธ ปัญจะปัญญาสัญจะ จะตุวีสะติสะหัสสะเก ทะสะสะตะสะหัสสานิ นะมามิ สิระสา อะหัง เตสัง ธัมมัญจะ สังฆัญจะ อาทะเรนะ นะมามิหัง นะมะการานุภาเวนะ หันต๎วา สัพเพ อุปัททะเว อะเนกา อันตะรายาปิ วินัสสันตุ อะเสสะโต. สัมพุทเธ นะวุตตะระสะเต อัฏฐะจัตตาฬีสะสะหัสสะเก วีสะติสะตะสะหัสสานิ นะมามิ สิระสา อะหัง เตสัง ธัมมัญจะ สังฆัญจะ อาทะเรนะ นะมามิหัง นะมะการานุภาเวนะ หันต๎วา สัพเพ อุปัททะเว อะเนกา อันตะรายาปิ วินัสสันตุ อะเสสะโต. * (ถ้าไม่สวด สัมพุทเธ จะสวด นะมะการะสิทธิคาถา แทนก็ได้)


39 สัมพุทเธ (แปล) ข้าพเจ้าขอนอบน้อมสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย๕แสน๑หมื่น๒พัน ๒๘ พระองค์นั้น ด้วยเศียรเกล้า ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระธรรมและพระอริยสงฆ์ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้นโดยความเคารพ ด้วยอานุภาพแห่งการ กระทำ� ความนอบน้อมต่อพระรัตนตรัย จงขจัดเสียซึ่งอุปัทวะทั้งปวงให้หมดไป แม้อันตรายทั้งหลายทั้งปวง จงพินาศไปโดยไม่เหลือ. ข้าพเจ้าขอนอบน้อมสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ๑ ล้าน ๒ หมื่น ๔ พัน ๕๕ พระองค์ด้วยเศียรเกล้า ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระธรรมและพระอริยสงฆ์ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้นโดยความเคารพ ด้วยอานุภาพแห่งการ กระทำ� ความนอบน้อมต่อพระรัตนตรัย จงขจัดเสียซึ่งอุปัทวะทั้งปวงให้หมดไป แม้อันตรายทั้งหลายทั้งปวง จงพินาศไปโดยไม่เหลือ. ข้าพเจ้าขอนอบน้อมสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย๒ล้าน๔หมื่น๘พัน ๑๐๙ พระองค์นั้น ด้วยเศียรเกล้า ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระธรรมและพระอริยสงฆ์ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้นโดยความเคารพ ด้วยอานุภาพแห่งการ กระทำ� ความนอบน้อมต่อพระรัตนตรัย จงขจัดเสียซึ่งอุปัทวะทั้งปวงให้หมดไป แม้อันตรายทั้งหลายทั้งปวง จงพินาศไปโดยไม่เหลือ.


40 นะโมการะอัฏฐะกะคาถา นะโม อะระหะโต สัมมา- สัมพุทธัสสะ มะเหสิโน นะโม อุตตะมะธัมมัสสะ ส๎วากขาตัสเสวะ เตนิธะ นะโม มะหาสังฆัสสาปิ วิสุทธะสีละทิฏฐิโน นะโม โอมาต๎ยารัทธัสสะ ระตะนัตต๎ยัสสะ สาธุกัง นะโม โอมะกาตีตัสสะ ตัสสะ วัตถุตต๎ยัสสะปิ นะโมการัปปะภาเวนะ วิคัจฉันตุ อุปัททะวา นะโมการานุภาเวนะ สุวัตถิ โหตุ สัพพะทา นะโมการัสสะ เตเชนะ วิธิมหิ โหมิ เตชะวา. นะโมการะอัฏฐะกะคาถา (แปล) ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้แสวงหาซึ่ง ประโยชน์อันใหญ่ ขอนอบน้อมแด่พระธรรมอันสูงสุดในพระศาสนานี้ที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว ขอนอบน้อมแด่พระสงฆ์หมู่ใหญ่ ผู้มีศีลและทิฏฐิอันหมดจด ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย ที่ปรารภแล้วว่าโอม (คือ อ.อุ.ม.) ให้สำ�เร็จ ประโยชน์ ขอนอบน้อม แม้แต่หมวดวัตถุ ๓ (พระรัตนตรัย) อันล่วงพ้นโทษตํ่าช้านั้น ด้วยความประกาศการกระทำ�ความนอบน้อม อุปัทวะทั้งหลายจงพินาศไป ด้วยอานุภาพ แห่งการกระทำ�ความนอบน้อม, ขอความสวัสดีจงมีทุกเมื่อ ด้วยเดชแห่งการกระทำ�ความนอบน้อม, เราจงเป็นผู้มีเดชในมงคลพิธีเถิด. อ้างอิง : สวดมนต์แปล, พระศาสนโสภน, วัดมกุฏกษัตริยาราม กรรมการมหามกุฏราชวิทยาลัย, 2547 หน้า 46 - 49.


41 ๑. มังคลปริตร (มงคลสูตร) เรื่องย่อที่มาของ มงคลสูตรก่อนที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก มีปัญหาเกิด ขึ้นในหมู่มนุษย์และเทวดาว่า อะไรเป็นมงคลในโลกกลายเป็นข้อถกเถียงที่หาบท สรุปไม่ได้นานถึง ๑๒ ปีครั้นพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นและทรงตรัสรู้ท้าวสักกะได้ มอบหมายให้เทวดาตนหนึ่งเข้าทูลถามปัญหาว่า อะไรเป็นมงคลซึ่งพระพุทธองค์ ก็ได้ให้คำ�ตอบว่าสิ่งอันเป็นมงคลในชีวิตมี๓๘ ประการ หรือที่ชาวพุทธรู้จักในนาม มงคล ๓๘ นั่นเอง เช่น ไม่คบคนพาลคบบัณฑิตวาจาเป็นสุภาษิตฯลฯ ซึ่งธรรม อันเป็นมงคลนี้ทรงแสดงข้อธรรมตั้งแต่ต้นจนถึงพระนิพพาน พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ว่ามนุษย์หรือเทวดาปฏิบัติก็ล้วนเป็นสิริมงคลแก่ตัวทั้งสิ้น และเป็นมงคล อันสูงสุดคือพระนิพพาน. มังคะละสูตร เอวัมเม สุตัง. เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม. อะถะโข อัญญะตะรา เทวะตา อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา เกวะละกัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสต๎วา เยนะ ภะคะวา เตนุปะสังกะมิ อุปะสังกะมิต๎วา ภะคะวันตัง อะภิวาเทต๎วา เอกะ มันตัง อัฏฐาสิ. เอกะมันตัง ฐิตา โข สา เทวะตา ภะคะวันตัง คาถายะ อัชฌะภาสิ. พะหู เทวา มะนุสสา จะ มังคะลานิ อะจินตะยุง อากังขะมานา โสตถานัง พ๎รูหิ มังคะละมุตตะมัง อะเสวะนา จะ พาลานัง ปัณฑิตานัญจะ เสวะนา ปูชา จะ ปูชะนียานัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง


42 ปะฏิรูปะเทสะวาโส จะ ปุพเพ จะ กะตะปุญญะตา อัตตะสัมมาปะณิธิ จะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง พาหุสัจจัญจะ สิปปัญจะ วินะโย จะ สุสิกขิโต สุภาสิตา จะ ยา วาจา เอตัมมังคะละมุตตะมัง มาตาปิตุอุปัฏฐานัง ปุตตะทารัสสะ สังคะโห อะนากุลา จะ กัมมันตา เอตัมมังคะละมุตตะมัง ทานัญจะ ธัมมะจะริยา จะ ญาตะกานัญจะ สังคะโห อะนะวัชชานิ กัมมานิ เอตัมมังคะละมุตตะมัง อาระตี วิระตี ปาปา มัชชะปานา จะ สัญญะโม อัปปะมาโท จะ ธัมเมสุ เอตัมมังคะละมุตตะมัง คาระโว จะ นิวาโต จะ สันตุฏฐี จะ กะตัญญุตา กาเลนะ ธัมมัสสะวะนัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง ขันตี จะ โสวะจัสสะตา สะมะณานัญจะ ทัสสะนัง กาเลนะ ธัมมะสากัจฉา เอตัมมังคะละมุตตะมัง ตะโป จะ พ๎รัห๎มะจะริยัญจะ อะริยะสัจจานะ ทัสสะนัง นิพพานะสัจฉิกิริยา จะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง ผุฏฐัสสะ โลกะธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ นะ กัมปะติ อะโสกัง วิระชัง เขมัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง เอตาทิสานิ กัต๎วานะ สัพพัตถะมะปะราชิตา สัพพัตถะ โสตถิง คัจฉันติ ตันเตสัง มังคะละมุตตะมันติ.


43 มังคะละสูตร (แปล) อันข้าพเจ้า (คือพระอานนทเถระ) ได้สดับมาแล้วอย่างนี้. สมัยหนึ่ง สมเด็จ พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จประทับอยู่ ที่เชตวันวิหารอารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้เมืองสาวัตถีครั้งนั้นแล เทพยดาองค์ใดองค์หนึ่ง ครั้นราตรีปฐมยามล่วงไป แล้ว มีรัศมีอันงามยิ่งนัก ยังเชตวันวิหารทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระ ภาคเจ้าถึงที่ประทับ จึงถวายอภิวาทแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า หมู่เทวดาและมนุษย์เป็นอันมาก ผู้หวัง ความสวัสดีได้พากันคิดหามงคลทั้งหลาย ขอพระองค์จงเทศนามงคลอันสูงสุด. สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสพระคาถาว่า ความไม่คบคนพาลทั้งหลาย ๑ ความคบบัณฑิตทั้งหลาย ๑ ความบูชาบุคคล ที่ควรบูชาทั้งหลาย ๑ ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด ความอยู่ในประเทศอันสมควร ๑ ความเป็นผู้มีบุญอันกระทำ�แล้วในกาลก่อน ๑ ความตั้งตนไว้ชอบ ๑ ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด ความได้ฟังแล้วมาก ๑ ศิลปศาสตร์ ๑ วินัยอันชนศึกษาดีแล้ว ๑ วาจา อันชนกล่าวดีแล้ว ๑ ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด ความบำ�รุงมารดาบิดา ๑ ความสงเคราะห์บุตรภรรยา ๑ การงานอันไม่อากูล ๑ ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด ความให้๑ ความประพฤติธรรม ๑ ความสงเคราะห์ญาติ๑ กรรมอันไม่มี โทษ ๑ ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด ความงดการเว้นจากบาป ๑ ความสำ�รวมจากการดื่มน้ำ�เมา ๑ ความไม่ ประมาทในธรรมทั้งหลาย ๑ ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด ความเคารพ ๑ ความประพฤติถ่อมตน ๑ ความยินดีด้วยของอันมีอยู่ ๑ ความเป็นผู้รู้อุปการะอันท่านทำ�แล้วแก่ตน ๑ ความฟังธรรมโดยกาล ๑ ข้อนี้เป็น มงคลอันสูงสุด


44 ความอดทน ๑ ความเป็นผู้ว่าง่าย ๑ ความเห็นสมณะทั้งหลาย ๑ ความสนทนาธรรมโดยกาล ๑ ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด ความเพียรเผากิเลส ๑ ความประพฤติอย่างพรหม ๑ ความเห็นอริยสัจ ทั้งหลาย ๑ ความกระทำ�นิพพานให้แจ้ง ๑ ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด จิตของผู้ใดอันโลกธรรมทั้งหลายถูกต้องแล้วย่อมไม่หวั่นไหว ๑ ไม่เศร้าโศก ๑ ปราศจากธุลี๑ เป็นจิตเกษม ๑ ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายกระทำ�มงคลทั้งหลายเช่นนี้แล้ว เป็นผู้ไมพ่ายแพ้ ในที่ทั้งปวง ย่อมถึงความสวัสดีในที่ทั้งปวง ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด ของเทพดา และมนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้นแล. อ้างอิง : พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท. เย ภิกฺขเว สตฺตา ปุพฺพณฺหสมยํ กาเยน สุจริตํ วฺยตฺโต ฯ อิโต ปรํ อีทิสเมว ฯ จรนฺติ วาจาย สุจริตํ จรนฺติ มนสา สุจริตํ จรนฺติ สุปุพฺพโณฺห ภิกฺขเว เตสํ สตฺตานํ เย ภิกฺขเว สตฺตา มชฺฌนฺติกสมยํ กาเยน สุจริตํ จรนฺติ วาจาย สุจริตํ จรนฺติ มนสา สุจริตํ จรนฺติ สุมชฺฌนฺติโก ภิกฺขเว เตสํ สตฺตานํ เย ภิกฺขเว สตฺตา สายณฺหสมยํ กาเยน สุจริตํ จรนฺติ วาจาย สุจริตํ จรนฺติ มนสา สุจริตํ จรนฺติ สุสายโณฺห ภิกฺขเว เตสํ สตฺตานนฺติ ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลายสัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย ประพฤติสุจริตด้วยวาจา ประพฤติ สุจริตด้วยใจ ในเวลาเช้า เวลาเช้าก็เป็นเวลา เช้าที่ดีของสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริต ด้วยกาย ประพฤติสุจริตด้วยวาจา ประพฤติสุจริตด้วยใจในเวลาเที่ยง เวลาเที่ยงก็เป็นเวลาเที่ยงที่ ดีของสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย ประพฤติสุจริตด้วยวาจา ประพฤติสุจริต ด้วยใจ ในเวลาเย็น เวลาเย็นก็เป็นเวลาเย็นที่ดีของสัตว์เหล่านั้น พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๒ อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาตร สุปุพพัณหสูตร


45 เมตตปริตร (เมตตสูตร, กรณียเมตตสูตร) เรื่องย่อที่มาของบท เมตตสูตรกรณียเมตตสูตรเป็นพระสูตรที่พระพุทธองค์ ได้ตรัสสอนพระภิกษุ ๕๐๐ รูปที่ได้เรียนกัมมัฏฐานแล้ว คิดจะหาสถานที่สงบ บำ�เพ็ญธรรม เมื่อเดินทางไปถึงหมู่บ้านหนึ่ง ชาวบ้านเห็นก็เลื่อมใสยินดีนิมนต์ให้ อยู่ปฏิบัติธรรมพร้อมทั้งสร้างกุฏิให้ปรากฏว่าทำ�ให้เทวดาที่อยู่ละแวกนั้นเดือดร้อน ไม่มีที่อยู่จึงได้แสดงอาการน่ากลัวต่างๆ มาหลอกพระภิกษุเมื่อพระภิกษุเห็นก็เกิด ความหวาดกลัวไม่อาจทำ�จิตใจให้เป็นสมาธิได้จึงพากันไปเฝ้าพระพุทธองค์พระองค์ จึงได้สอนกรณียเมตตสูตร อันมีเนื้อความว่า ขอให้บุคคลเป็นผู้อาจหาญ ซื่อตรง ว่าง่าย อ่อนโยน ไม่หยิ่งยะโส มีสันโดษ ไม่ประกอบกรรมที่ผู้รู้ติเตียน อย่าดูหมิ่น หรือหาทุกข์ให้กัน ฯลฯ เมื่อพระภิกษุกลับไปและนำ�ไปสวดสาธยาย เหล่าเทวดา ก็เกิดความเมตตาแก่พระภิกษุมิได้สำ�แดงอาการอย่างใดอีก ทำ�ให้พระภิกษุบำ�เพ็ญ ธรรมได้เต็มที่ พระสูตรบทนี้ถือเป็นบทแนะนำ�วิธีสร้างเมตตามหานิยม สร้างเสน่ห์แก่ ตนเอง มีมหาเสน่ห์ ๑๖ ประการ คือ ๑. องอาจกล้าหาญ ๒. ซื่อตรงจริงใจ ๓. เคร่งครัดมีวินัย ๔. ว่าง่ายสอนง่าย เปิดใจรับฟังผู้อื่น ๕. อ่อนน้อมถ่อมตน ๖. ไม่เย่อหยิ่ง ยกตนข่มท่าน ๗. สันโดษ พอใจสิ่งที่มีตามฐานะ ความสามารถ ๘. กินง่ายอยู่ง่ายไม่เรื่องมาก ๙. ไม่วุ่นวายเรื่องคนอื่น ๑๐. ไม่ทำ�ตัวเป็นที่ หนักใจแก่ผู้อื่น ๑๑. สำ�รวม รู้จักวางตัวให้เหมาะสม ๑๒. รู้จักเสียสละ ละความ เห็นแก่ตัว ๑๓. ไม่คะนองเกินงาม ๑๔. มีความเกรงใจ ไม่ถือวิสาสะเกินควร ๑๕.ไม่ทำ�สิ่งที่น่าติเตียน ๑๖. มีเมตตา ปรารถนาให้ผู้อื่นมีสุข


46 ๒. กะระณียะเมตตะสุตตัง กะระณียะมัตถะกุสะเลนะ ยันตัง สันตัง ปะทัง อะภิสะเมจจะ สักโก อุชู จะ สุหุชู จะ สุวะโจ จัสสะ มุทุ อะนะติมานี สันตุสสะโก จะ สุภะโร จะ อัปปะกิจโจ จะ สัลละหุกะวุตติ สันตินท๎ริโย จะ นิปะโก จะ อัปปะคัพโภ กุเลสุ อะนะนุคิทโธ นะ จะ ขุททัง สะมาจะเร กิญจิ เยนะ วิญญู ปะเร อุปะวะเทยยุง สุขิโน วา เขมิโน โหนตุ สัพเพ สัตตา ภะวันตุ สุขิตัตตา เย เกจิ ปาณะภูตัตถิ ตะสา วา ถาวะรา วา อะนะวะเสสา ทีฆา วา เย มะหันตา วา มัชฌิมา รัสสะกา อะณุกะถูลา ทิฏฐา วา เย จะ อะทิฏฐา เย จะ ทูเร วะสันติ อะวิทูเร ภูตา วา สัมภะเวสี วา สัพเพ สัตตา ภะวันตุ สุขิตัตตา นะ ปะโร ปะรัง นิกุพเพถะ นาติมัญเญถะ กัตถะจิ นัง กิญจิ พ๎ยาโรสะนา ปะฏีฆะสัญญา นาญญะมัญ ญัสสะ ทุกขะมิจเฉยยะ มาตา ยะถา นิยัง ปุตตัง อายุสา เอกะปุตตะมะ นุรักเข เอวัมปิ สัพพะภูเตสุ มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง เมตตัญจะ สัพพะโลกัส๎มิง มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง อุทธัง อะโธ จะ ติริยัญจะ อะสัมพาธัง อะเวรัง อะสะปัตตัง ติฏฐัญจะรัง นิสินโน วา สะยาโน วา ยาวะตัสสะ วิคะตะมิทโธ เอตัง สะติง อะธิฏเฐยยะ พ๎รัห๎มะเมตัง วิหารัง อิธะมาหุ ทิฏฐิญจะ อะนุปะคัมมะ สีละวา ทัสสะเนนะ สัมปันโน กาเมสุ วิเนยยะ เคธัง นะ หิ ชาตุ คัพภะเสยยัง ปุนะเรตีติ.


47 กะระณียะเมตตะสุตตัง (แปล) กุลบุตรผู้ฉลาดในประโยชน์ปรารถนาจะตรัสรู้บทอันสงบแล้วอยู่ พึงบำ�เพ็ญ ไตรสิกขา กุลบุตรนั้นพึงเป็นผู้อาจหาญเป็นผู้ตรง ซื่อตรง ว่าง่าย อ่อนโยน ไม่เย่อหยิ่ง สันโดษ เลี้ยงง่าย มีกิจน้อย มีความประพฤติเบา มีอินทรีย์อันสงบ ระงับ มีปัญญาเครื่องรักษาตน ไม่คะนอง ไม่พัวพันในสกุลทั้งหลายไม่พึงประพฤติ ทุจริตเล็กน้อยอะไรๆ ซึ่งเป็นเหตุให้ท่านผู้รู้เหล่าอื่นติเตียนได้ พึงแผ่ไมตรีจิต ในสัตว์ทั้งหลายว่า ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้มีสุข มีความเกษม มีตนถึงความสุขเถิด สัตว์มีชีวิตเหล่าใดเหล่าหนึ่งมีอยู่ เป็นผู้สะดุ้งหรือเป็นผู้มั่นคง ผอมหรือพีและ สัตว์เหล่าใดมีกายยาวหรือใหญ่ ปานกลางหรือสั้น ที่เราเห็นแล้วหรือมิได้เห็นอยู่ ในที่ไกลหรือที่ใกล้ที่เกิดแล้วหรือแสวงหาที่เกิดขอสัตว์ทั้งหมดนั้นจงเป็นผู้มีตน ถึงความสุขเถิด สัตว์อื่นไม่พึงข่มขู่สัตว์อื่น ไม่พึงดูหมิ่นอะไรเขาในที่ไหนๆ ไม่พึง ปรารถนาทุกข์แก่กันและกันเพราะความกริ้วโกรธ เพราะความเคียดแค้น มารดาถนอมบุตรคนเดียวผู้เกิดในตน แม้ด้วยการยอมสละชีวิตได้ ฉันใด กุลบุตรผู้ฉลาดในประโยชน์พึงเจริญเมตตามีในใจไม่มีประมาณในสัตว์ทั้งปวง แม้ฉันนั้นก็กุลบุตรนั้น พึงเจริญเมตตามีในใจไม่มีประมาณไปในโลกทั้งสิ้น ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ�เบื้องขวางไม่คับแคบไม่มีเวรไม่มีศัตรูกุลบุตรผู้เจริญเมตตานั้น ยืนอยู่ก็ดีเดินอยู่ก็ดีนั่งอยู่ก็ดีนอนอยู่ก็ดีพึงเป็นผู้ปราศจากความง่วงเหงาเพียงใด ก็พึงตั้งสตินี้ไว้เพียงนั้น บัณฑิตทั้งหลายกล่าววิหารธรรมนี้ว่า เป็นพรหมวิหาร ในธรรมวินัยของพระอริยเจ้านี้กุลบุตรผู้เจริญเมตตา ไม่เข้าไปอาศัยทิฐิเป็นผู้มีศีล ถึงพร้อมด้วยทัศนะ กำ�จัดความยินดีในกามทั้งหลายออกได้แล้ว ย่อมไม่ถึง ความนอนในครรภ์อีกโดยแท้แล. อ้างอิง : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท- อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต.


48 ๓. รัตนปริตร (รตนสูตร) เรื่องย่อที่มาของบท รตนสูตร ครั้งหนึ่งเมืองเวสาลีเกิดภัยสามประการ คือ ๑. ทุพภิกภัยฝนแล้งข้าวยากหมากแพง คนล้มตายเพราะความอดอยาก ๒. พวกอมนุษย์หลอกหลอนประชาชนประหวั่นใจไม่เป็นปกติสุข ๓. เกิดโรค ระบาดร้ายแรงผู้คนล้มตายเป็นจำ�นวนมาก ประชาชนก็ไปร้องต่อพระเจ้าแผ่นดิน พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้ประชาชนตรวจสอบพระองค์ว่าผิดธรรมข้อใดหรือเปล่า จึงเกิดเหตุเช่นนี้ก็ปรากฏว่าไม่ผิดธรรมข้อใดแม้ชาวเมืองจะช่วยกันทำ�พลีบวงสรวง บนบานศาลกล่าวเทพยดาอารักษ์ที่นับถือก็ไม่สำ�เร็จ ในที่สุดมีความเห็นร่วมกันว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระพุทธาภินิหารมาก หากเสด็จมายังเมืองนี้ภัยอาจ สงบได้ด้วยพุทธานุภาพ จึงพากันไปอาราธนาพระพุทธเจ้ามาเมืองเวสาลีเมื่อ พระพุทธองค์เสด็จมาถึงเพียงย่างพระบาทแตะแผ่นดิน ฝนที่ไม่เคยตกมาหลายปี ก็กระหน่ำ�ตกลงมาพัดพาเอาซากศพและสิ่งปฏิกูลทั้งหลายลงทะเล ครั้นนั้น พระพุทธองค์ได้ตรัสเรียกพระอานนท์ให้มาเรียนรัตนสูตรอันมีเนื้อความสรรเสริญ แก้ววิเศษ ๓ ประการที่ไม่มีแก้วอื่นใดเสมอเหมือน คือพุทธรัตนะ ธัมมรัตนะและ สังฆรัตนะและทำ�ให้ผู้สวด ผู้ฟัง ผู้บูชา และผู้ระลึกถึงประสบแต่ความสวัสดีซึ่งเมื่อ พระอานนท์เรียนจากพระพุทธองค์ก็นำ�บาตรน้ำ�มนต์ของพระพุทธเจ้าไปประพรม ทั่วนครเวสาลีเมื่อน้ำ�พระพุทธมนต์ไปถูกพวกปีศาจๆ ก็หนีไป ไปถูกมนุษย์ที่ เจ็บป่วย โรคเหล่านั้นก็หายสิ้น แต่นั้นมาชาวเมืองก็มีความสงบสุขตลอดมา สจฺจํ กิเรวมาหํสุ นรา เอกจฺจิยา อิธ กฏฺฐํ นิปฺผวิตํ เสยฺโย น เตฺวเวกจฺจิโย นโรติ ฯ ได้ยินว่า นรชนบางพวกในโลกนี้ได้กล่าวความจริงไว้อย่างนี้ว่า การเก็บไม้ที่ลอยนํ้าขึ้นมา ยังดีกว่า ช่วยคนอกตัญญูบางคนขึ้นจากนํ้า ฯ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑ สัจจังกิรชาดก


Click to View FlipBook Version