199 นั่ง มันสงบก็ดูความสงบไป ที่มันไม่สงบก็ดูความไม่สงบไป ที่มันสงบนั้น ก็เป็นเรื่องของจิต มันเป็นอย่างนั้นไม่ได้เป็นอย่างอื่นมันสงบแล้วก็สงบไป ถ้าไม่สงบก็ไม่สงบไปเราจะไปทุกข์เพราะมันไม่สงบไม่ได้ เราจะดีใจเพราะจิตสงบมัน ก็ไม่ถูก การฝึกจิตหรือการภาวนานี้ ถ้าจิตสงบแล้วเราจะออกจากเพื่อน ไม่อยาก คลุกคลี เพื่อนมาหาก็รำ คาญ คนที่จิตยังไม่สงบจะชอบอยู่กันหลายคน พูดมาก วุ่นวาย บางองค์จิตไม่อยู่นึกถึงองค์นั้นก็ไปหา นึกถึงเรื่องนั้นก็ชวนคุย เป็นไป ตามคำสั่งตามอาการของกิเลสตัณหา ผู้ประพฤติปฏิบัติจริงอยู่กันร้อยสองร้อย ก็ไม่มีเสียงคุย มรรคผลนิพพานมีอยู่..... แต่สิ่งเหล่านั้นเกิดจากการปฏิบัติเกิดจากการ ทรมาน กล้าหาญ กล้าฝึก กล้าหัด กล้าคิด กล้าแปลง กล้าทำ การทำ นั้นทำ อย่างไร ท่านให้ฝืนใจตัวเอง ใจเราคิดไปทางนี้ท่านให้ไปทางโน้น ใจเราคิดไปทาง โน้นท่านให้ไปทางนี้ ทำ ไมท่านจึงให้ฝืนใจ เพราะใจถูกกิเลสเข้าพอกเต็มที่แล้ว มันยังไม่ได้ฝึกหัดดัดแปลง ยังไม่เป็นศีลเป็นธรรม ใจมันยังไม่แจ้งจะไปเชื่อมัน ได้อย่างไร ฝึกให้ได้ว่าถึงเวลาวางก็ให้มันวางให้มันเป็นคนละอย่าง คนละอย่าง คนละ อันกัน ทำก็ได้วางก็ได้ ให้มันขาดกันไปเลย ฝึกไปก็ค่อยเบาไป ง่ายขึ้น ทำอะไร ก็หัดตัวเองอย่างนั้น ทำก็ได้วางก็ได้ เลยได้รู้จักเหตุให้เกิดทุกข์ และทีนี้เหตุที่ทุกข์เกิดก็รู้จักแล้วธรรมเกิดเพราะ เหตุรู้จักแล้ว เห็นแล้ว เกิดอย่างนี้นี่เอง จากนั้นมาไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน ก็มี แต่ความสนุกเบิกบาน ผู้ใดมีสติอยู่ทุกเวลา ผู้นั้นก็จะได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าเมื่อตามองเห็นรูปก็เป็นธรรมะ หูได้ยินเสียงก็เป็นธรรมะ จมูกได้กลิ่นก็ เป็นธรรมะ ลิ้นได้รสก็เป็นธรรมะ ธรรมารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจ นึกขึ้นได้เมื่อใดเป็น ธรรมะเมื่อนั้น ฉะนั้น ผู้มีสติจึงได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่า จะยืน เดิน นั่ง นอน มันมีอยู่ทุกเวลาเพราะอะไร ? เพราะเรามีความรู้อยู่ ในเวลานี้
200 เราจึงเรียนอยู่กลางธรรมะ จะเดินไปข้างหน้าก็ถูกธรรมะ จะถอยไปข้างหลังก็ถูก ธรรมะ ท่านจึงให้มีสติถ้ามีสติแล้วมันจะเห็นกำ ลังใจของตน เห็นจิตของตน ความรู้สึกนึกคิดของตัวเองเป็นอย่างไรก็ต้องรู้ รู้ถึงที่แล้ว ก็รู้แจ้งแทงตลอด เมื่อมันรอบรู้อยู่เช่นนี้การประพฤติปฏิบัติมันก็ถูกต้องดีงามเท่านั้นแหละ เรื่องธรรมะที่แท้จริงนั้น ต้องทิ้งเหตุทิ้งผลคือธรรมะมันสูงกว่าธรรมะที่ พระพุทธองค์ท่านตรัสรู้ ระงับกิเลสทั้งหลายได้นั้นมันอยู่นอกเหตุเหนือผล ไม่อยู่ ในเหตุอยู่เหนือผลทุกข์มันจึงไม่มี สุขมันจึงไม่มี ธรรมนั้นท่านเรียกว่าระงับ ระงับ เหตุระงับผล ถ้าพวกใช้เหตุผลอยู่อย่างนี้เถียงกันตลอดจนตาย เหมือนคนที่เถียง กันว่าไก่กับไข่อะไรเกิดก่อน เป็นต้น ธรรมที่พระพุทธองค์ท่านตรัสรู้ต้องอยู่นอกเหตุเหนือผลนอกสุขเหนือทุกข์ นอกเกิดเหนือตายธรรมนี้เป็นธรรมที่ระงับ คนเราก็มาสงสัยอยู่นี่แหละผู้ชายยิ่ง สงสัยมากความสงสัยนี้ตัวสำ คัญมีเหตุผลอย่างนั้นอย่างนี้ มันจะตายอยู่แล้วมัน ไม่ใช่ธรรมของพระพุทธองค์ ธรรมนั้นเป็นข้อปฏิบัติ เป็นทางเดิน เดินไปเท่านั้น ถ้ามัวคิดว่าเมื่อไปถึงนี้ฉันนี้สุขเหลือเกิน ไม่ได้ ฉันนี้ทุกข์เหลือเกิน ไม่ได้ แต่ถ้าฉัน ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ นี่คือระงับแล้ว สงสัยไม่มี เมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้ธรรมทรงเทศน์เป็นปฐมเทศนาเลยตรงนี้ ทางหนึ่งเป็น ทางสุขของกาม ทางหนึ่งเป็นทางทุกข์ทรมานตน สองทางนี้ไม่ใช่ทางที่สงบ ท่าน พูดว่าไม่ใช่ทางของสมณะ สมณะนี้คือความสงบ สงบจากสุขทุกข์ ไม่ใช่มีความสุข แล้วมันสงบ ไม่ใช่มีความทุกข์แล้วมันสงบ ต้องปราศจากสุขหรือทุกข์มันจึงเป็น เรื่องความสงบ ถ้าเราทำอย่างนั้นแล้วมีสุขใจเหลือเกิน อันนี้ก็ไม่ใช่ธรรมะที่ดีนะแต่ต้องวางสุขหรือทุกข์ไว้สองข้าง ความรู้สึกต้อง ไปเป็นกลางๆ เดินผ่านมันไปกลางๆ เราก็มองดู สุขก็เห็น ทุกข์ก็เห็น แต่เราไม่ ปรารถนาอะไร เดินมันเรื่อยไป เราไม่ต้องการสุข เราไม่ต้องการทุกข์ เราต้องการ ความสงบจิตใจของเรา ไม่ต้องแวะไปหาความสุข ไม่ต้องแวะไปหาความทุกข์ ก็เดินมันไปเรื่อยเป็นสัมมาปฏิปทา มีมรรค มีองค์แปด มีสัมมาทิฏฐิ ความเห็น ชอบเกิดขึ้นแล้ว สัมมาสังกัปปะคือ ความดำ ริ วิตก วิจารมันก็ชอบทั้งนั้นอันนี้ เป็นสัมมามรรคเป็นมรรคปฏิปทา