The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เล่มพระปริตรเข้าห่วง 10-4-67 ok

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sarinya_viriya, 2024-04-09 21:59:29

เล่มพระปริตรเข้าห่วง 10-4-67 ok

เล่มพระปริตรเข้าห่วง 10-4-67 ok

49 ระตะนะสุตตัง ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ ภุมมานิ วา ยานิวะ อันตะลิกเข สัพเพ วะ ภูตา สุมะนา ภะวันตุ อะโถปิ สักกัจจะ สุณันตุ ภาสิตัง ตัส๎มา หิ ภูตา นิสาเมถะ สัพเพ เมตตัง กะโรถะ มานุสิยา ปะชายะ ทิวา จะ รัตโต จะ หะรันติ เย พะลิง ตัส๎มา หิ เน รักขะถะ อัปปะมัตตา. ยังกิญจิ วิตตัง อิธะ วา หุรัง วา สัคเคสุ วา ยัง ระตะนัง ปะณีตัง นะ โน สะมัง อัตถิ ตะถาคะเตนะ อิทัมปิ พุทเธ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ. ขะยัง วิราคัง อะมะตัง ปะณีตัง ยะทัชฌะคา สัก๎ยะมุนี สะมาหิโต นะ เตนะ ธัมเมนะ สะมัตถิ กิญจิ อิทัมปิ ธัมเม ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจ เจนะ สุวัตถิ โหตุ. ยัมพุทธะเสฏโฐ ปะริวัณณะยี สุจิง สะมาธิมานันตะริกัญญะมาหุ สะมาธินา เตนะ สะโม นะ วิชชะติ อิทัมปิ ธัมเม ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ. เย ปุคคะลา อัฏฐะ สะตัง ปะสัฏฐา จัตตาริ เอตานิ ยุคานิ โหนติเต ทักขิเณยยา สุคะตัสสะ สาวะกา เอเตสุ ทินนานิ มะหัปผะลานิ อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ. เย สุปปะยุตตา มะนะสา ทัฬ๎เหนะ นิกกามิโน โคตะมะสาสะนัมหิ เต ปัตติปัตตา อะมะตัง วิคัย๎หะ ลัทธา มุธา นิพพุติง ภุญชะมานา อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ. ยะถินทะขีโล ปะฐะวิง สิโต สิยา จะตุพภิ วาเตภิ อะสัมปะกัมปิโย ตะถูปะมัง สัปปุริสัง วะทามิ โย อะริยะสัจจานิ อะเวจจะ ปัสสะติ อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ.


50 เย อะริยะสัจจานิ วิภาวะยันติ คัมภีระปัญเญนะ สุเทสิตานิ กิญจาปิ เต โหนติ ภุสัปปะมัตตา นะ เต ภะวัง อัฏฐะมะมาทิยันติ อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ. สะหาวัสสะ ทัสสะนะสัมปะทายะ ตะยัสสุ ธัมมา ชะหิตา ภะวันติ สักกายะทิฏฐิ วิจิกิจฉิตัญจะ สีลัพพะตัง วาปิ ยะทัตถิ กิญจิ จะตูหะปาเยหิ จะ วิปปะมุตโต ฉะ จาภิฐานานิ อะภัพโพ กาตุง อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ. กิญจาปิ โส กัมมัง กะโรติ ปาปะกัง กาเยนะ วาจายุทะ เจตะสา วา อะภัพโพ โส ตัสสะ ปะฏิจฉะทายะ อะภัพพะตา ทิฏฐะปะทัสสะ วุตตา อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ. วะนัปปะคุมเพ ยะถา ผุสสิตัคเค คิมหานะมาเส ปะฐะมัส๎มิง คิมเห ตะถูปะมัง ธัมมะวะรัง อะเทสะยิ นิพพานะคามิง ปะระมัง หิตายะ อิทัมปิ พุทเธ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ. วะโร วะรัญญู วะระโท วะราหะโร อะนุตตะโร ธัมมะวะรัง อะเทสะยิ อิทัมปิ พุทเธ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ. ขีณัง ปุราณัง นะวัง นัตถิ สัมภะวัง วิรัตตะจิตตายะติเก ภะวัส๎มิง เต ขีณะพีชา อะวิรุฬ๎หิฉันทา นิพพันติ ธีรา ยะถายัมปะทีโป อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ. ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ ภุมมานิ วา ยานิวะ อันตะลิกเข ตะถา คะตัง เทวะมะนุสสะปูชิตัง พุทธัง นะมัสสามะ สุวัตถิ โหตุ. ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ ภุมมานิ วา ยานิวะ อันตะลิกเข ตะถา คะตัง เทวะมะนุสสะปูชิตัง ธัมมัง นะมัสสามะ สุวัตถิ โหตุ. ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ ภุมมานิ วา ยานิวะ อันตะลิกเข ตะถา คะตัง เทวะมะนุสสะปูชิตัง สังฆัง นะมัสสามะ สุวัตถิ โหตุ. หมายเหตุ : ผู้ประสงค์จะสวดย่อให้สวดตามเครื่องหมาย ด้านหน้าบทสวด


51 ระตะนะสุตตัง (แปล) ภูตเหล่าใด ประชุมกันแล้วในประเทศนี้ก็ดีหรือภุมมเทวดาเหล่าใดประชุม กันแล้วในอากาศก็ดีขอหมู่ภูตทั้งปวงจงเป็นผู้มีใจดีและจงฟังภาษิตโดยเคารพ ดูกรภูตทั้งปวง เพราะเหตุนั้นแล ท่านทั้งหลายจงตั้งใจฟัง ขอจงแผ่เมตตาจิต ในหมู่มนุษย์ มนุษย์เหล่าใด นำ�พลีกรรมไปทั้งกลางวันทั้งกลางคืน เพราะ เหตุนั้นแล ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่ประมาทรักษามนุษย์เหล่านั้น ทรัพย์เครื่อง ปลื้มใจอย่างใดอย่างหนึ่งในโลกนี้หรือในโลกอื่น หรือรัตนะใดอันประณีตในสวรรค์ ทรัพย์และรัตนะนั้น เสมอด้วยพระตถาคตไม่มีเลย พุทธรัตนะแม้นี้เป็นรัตนะ อันประณีต ด้วยสัจจวาจานี้ขอความสวัสดีจงมีแก่สัตว์เหล่านี้ พระศากยมุนีมีพระหฤทัยดำ�รงมั่น ได้บรรลุธรรมอันใดเป็นที่สิ้นกิเลส เป็นที่สำ�รอกกิเลส เป็นอมฤตธรรมอันประณีต ธรรมชาติอะไรๆ เสมอด้วย พระธรรมนั้นย่อมไม่มีธรรมรัตนะแม้นี้เป็นรัตนะอันประณีต ด้วยสัจจวาจานี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่สัตว์เหล่านี้ พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ทรงสรรเสริญแล้วซึ่งสมาธิใด ว่าเป็นธรรม อันสะอาด บัณฑิตทั้งหลายกล่าวซึ่งสมาธิใด ว่าให้ผลในลำ�ดับ สมาธิอื่นเสมอ ด้วยสมาธินั้นย่อมไม่มีธรรมรัตนะแม้นี้เป็นรัตนะอันประณีต ด้วยสัจจวาจานี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่สัตว์เหล่านี้ บุคคล ๘ จำ�พวก ๔ คู่ อันสัตบุรุษทั้งหลายสรรเสริญแล้ว บุคคลเหล่านั้น ควรแก่ทักษิณาทาน เป็นสาวกของพระตถาคต ทานที่บุคคลถวายแล้วในท่าน เหล่านั้น ย่อมมีผลมาก สังฆรัตนะแม้นี้เป็นรัตนะอันประณีตด้วยสัจจวาจานี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่สัตว์เหล่านี้ พระอริยบุคคลเหล่าใด ในศาสนาของพระโคดม ประกอบดีแล้ว (ด้วยกาย ประโยคและวจีประโยคอันบริสุทธิ์) มีใจมั่นคง เป็นผู้ไม่มีความห่วงใย (ในกาย และชีวิต) พระอริยบุคคลเหล่านั้น บรรลุอรหัตผลที่ควรบรรลุหยั่งลงสู่อมตนิพพาน ได้ซึ่งความดับกิเลสโดยเปล่า เสวยผลอยู่ สังฆรัตนะแม้นี้เป็นรัตนะอันประณีต ด้วยสัจจวาจานี้ขอความสวัสดีจงมีแก่สัตว์เหล่านี้


52 เสาเขื่อนที่ฝังลงดิน ไม่หวั่นไหวเพราะลมทั้งสี่ทิศ ฉันใด ผู้ใดพิจารณาเห็น อริยสัจทั้งหลายเราเรียกผู้นั้นว่าเป็นสัตบุรุษ ผู้ไม่หวั่นไหวเพราะโลกธรรมมีอุปมา ฉันนั้น สังฆรัตนะนี้เป็นรัตนะอันประณีต ด้วยสัจจวาจานี้ขอความสวัสดีจงมีแก่ สัตว์เหล่านี้ พระอริยบุคคลเหล่าใด ทำ�ให้แจ้งซึ่งอริยสัจทั้งหลาย อันพระศาสดาทรง แสดงดีแล้วด้วยปัญญาอันลึกซึ้ง พระอริยบุคคลเหล่านั้น ยังเป็นผู้ประมาทอย่าง แรงกล้าอยู่ก็จริง ถึงกระนั้น ท่านย่อมไม่ยึดถือเอาภพที่ ๘ สังฆรัตนะแม้นี้เป็น รัตนะอันประณีต ด้วยสัจจวาจานี้ขอความสวัสดีจงมีแก่สัตว์เหล่านี้ สักกายทิฏฐิและวิจิกิจฉา หรือแม้สีลัพพตปรามาส อันใดอันหนึ่งยังมีอยู่ ธรรมเหล่านั้น อันพระอริยบุคคลนั้นละได้แล้ว พร้อมด้วยความถึงพร้อมแห่งการ เห็น [นิพพาน] ทีเดียว อนึ่ง พระอริยบุคคลเป็นผู้พ้นแล้วจากอบายทั้ง ๔ ทั้งไม่ ควรเพื่อจะทำ�อภิฐานทั้ง ๖ [คืออนันตริยกรรม ๕ และการเข้ารีต] สังฆรัตนะแม้ นี้เป็นรัตนะอันประณีต ด้วยสัจจวาจานี้ขอความสวัสดีจงมีแก่สัตว์เหล่านี้ พระอริยบุคคลนั้นยังทำ�บาปกรรมด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจ ก็จริง ถึงกระนั้น ท่านไม่ควร เพื่อจะปกปิดบาปกรรมอันนั้น ความที่บุคคลผู้มีธรรม เครื่องถึงนิพพานอันตนเห็นแล้ว เป็นผู้ไม่ควรเพื่อปกปิดบาปกรรมนั้น พระผู้มี พระภาคตรัสแล้ว สังฆรัตนะแม้นี้เป็นรัตนะอันประณีตด้วยสัจจวาจานี้ ขอความ สวัสดีจงมีแก่สัตว์เหล่านี้ พุ่มไม้ในป่ามียอดอันบานแล้วในเดือนต้นในคิมหันตฤดูฉันใดพระผู้มีพระ ภาคได้ทรงแสดงธรรมอันประเสริฐยิ่ง เป็นเครื่องให้ถึงนิพพาน เพื่อประโยชน์ เกื้อกูลมีอุปมา ฉันนั้น พุทธรัตนะแม้นี้เป็นรัตนะอันประณีต ด้วยสัจจวาจานี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่สัตว์เหล่านี้ พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐทรงทราบธรรมอันประเสริฐ ทรงประทานธรรม อันประเสริฐ ทรงนำ�มาซึ่งธรรมอันประเสริฐ ไม่มีผู้ยิ่งไปกว่า ได้ทรงแสดงธรรม อันประเสริฐ พุทธรัตนะแม้นี้เป็นรัตนะอันประณีตด้วยสัจจวาจานี้ขอความสวัสดี จงมีแก่สัตว์เหล่านี้


53 พระอริยบุคคลเหล่าใดผู้มีจิตอันหน่ายแล้วในภพต่อไป มีกรรมเก่าสิ้นแล้ว ไม่มีกรรมใหม่เครื่องสมภพพระอริยบุคคลเหล่านั้น มีพืชอันสิ้นแล้ว มีความพอใจ ไม่งอกงามแล้ว เป็นนักปราชญ์ ย่อมนิพพาน เหมือนประทีปอันดับไป ฉะนั้น สังฆรัตนะแม้นี้เป็นรัตนะอันประณีต ด้วยสัจจวาจานี้ขอความสวัสดีจงมีแก่สัตว์ เหล่านี้ ภูตเหล่าใดประชุมกันแล้วในประเทศนี้ก็ดี หรือภุมมเทวดาเหล่าใดประชุม กันแล้วในอากาศก็ดี เราทั้งหลาย จงนมัสการพระพุทธเจ้าผู้ไปแล้วอย่างนั้น ผู้อันเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายบูชาแล้ว ขอความสวัสดีจงมีแก่สัตว์เหล่านี้ ภูตเหล่าใดประชุมกันแล้วในประเทศก็ดี หรือภุมมเทวดาเหล่าใด ประชุม กันแล้วในอากาศก็ดี เราทั้งหลาย จงนมัสการพระธรรม อันไปแล้วอย่างนั้น อันเทวดาและมนุษย์บูชาแล้ว ขอความสวัสดีจงมีแก่สัตว์เหล่านี้ ภูตเหล่าใดประชุมกันแล้วในประเทศนี้ก็ดี หรือภุมมเทวดาเหล่าใด ประชุมกันแล้วในอากาศก็ดีเราทั้งหลาย จงนมัสการพระสงฆ์ผู้ไปแล้วอย่างนั้น ผู้อันเทวดาและมนุษย์บูชาแล้ว ขอความสวัสดีจงมีแก่สัตว์เหล่านี้. อ้างอิง : พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ- ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาตรัตนสูตร ในขุททกปาฐะ. เย ตตฺถ อนุโมทนฺติ เวยฺยาวจฺจํ กโรนฺติ วา น เตน ทกฺขิณา โอนา เตปิ ปุญฺญสฺส ภาคิโน ตสฺมา ทเท อปฺปฏิวาณจิตฺโต ยตฺถ ทินฺนํ มหปฺผลํ ปุญฺญานิ ปรโลกสฺมึ ปติฏฺฐา โหนฺติ ปาณินนฺติ ฯ ชนเหล่าใดย่อมอนุโมทนา หรือช่วยเหลือในทักขิณาทานนั้น ทักขิณาทานนั้นย่อมไม่มี ผลบกพร่อง เพราะการอนุโมทนาหรือการช่วยเหลือนั้น แม้พวกที่อนุโมทนาหรือช่วยเหลือ ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งบุญ เพราะฉะนั้น ผู้มีจิตไม่ท้อถอยจึงควรให้ทานในเขตที่มีผลมาก บุญทั้งหลาย ย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายในปรโลก ฯ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต กาลทานสูตร


54 ๔. ขันธปริตร (อหิราชกสูตร) เรื่องย่อที่มาของ ขันธปริตร เกิดจากพระภิกษุรูปหนึ่งถูกงูกัดที่เท้า ทนพิษ ไม่ไหวถึงแก่มรณภาพ เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบเรื่อง จึงตรัสสอนให้พระภิกษุ รู้จักแผ่เมตตาแก่สกุลพญางูทั้งสี่คือ พญางูวิรูปักข์พญางูเอราบถ พญางูฉัพยา บุตร และพญางูกัณหาโคตมะ ซึ่งมีเนื้อความว่า ไมตรีของเราจงมีแก่สกุลพญางู ทั้งสี่ตลอดทั้งสัตว์สองเท้า สี่เท้า อย่าเบียดเบียนเรา สัตว์ทั้งหลายเช่น งูแมลงป่อง ตะขาบ เป็นต้น มีประมาณไม่มากเหมือนคุณพระรัตนตรัย เราทำ�การนอบน้อม พระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่ขอสัตว์ร้ายจงหลีกไป ในทางความเชื่อพระพุทธมนต์บทนี้ ใช้ภาวนาป้องกันอสรพิษทุกชนิดได้ ขันธะปะริตตัง วิรูปักเขหิ เม เมตตัง เมตตัง เอราปะเถหิ เม ฉัพ๎ยาปุตเตหิ เม เมตตัง เมตตัง กัณหาโคตะมะเกหิ จะ อะปาทะเกหิ เม เมตตัง เมตตัง ทิปาทะเกหิ เม จะตุปปะเทหิ เม เมตตัง เมตตัง พะหุปปะเทหิ เม มา มัง อะปาทะโก หิงสิ มา มัง หิงสิ ทิปาทะโก มา มัง จะตุปปะโท หิงสิ มา มัง หิงสิ พะหุปปะโท สัพเพ สัตตา สัพเพ ปาณา สัพเพ ภูตา จะ เกวะลา สัพเพ ภัท๎รานิ ปัสสันตุ มา กิญจิ ปาปะมาคะมา อัปปะมาโณ พุทโธ อัปปะมาโณ ธัมโม อัปปะมาโณ สังโฆ ปะมาณะ วันตานิ สิริงสะปานิ อะหิ วิจฉิกา สะตะปะที อุณณานาภี สะระพู มูสิกา กะตา เม รักขา กะตา เม ปะริตตา ปะฏิกกะมันตุ ภูตานิ โสหัง นะโม ภะคะวะโต นะโม สัตตันนัง สัมมาสัมพุทธานัง.


55 ขันธะปะริตตัง (แปล) ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับตระกูลพญางูชื่อว่า วิรูปักขะ ขอไมตรีจิตของเรา จงมีกับตระกูลพญางูชื่อว่า เอราปถะ ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับตระกูลพญางู ชื่อว่า ฉัพยาปุตตะ (และ) ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับตระกูลพญางูชื่อว่า กัณหา โคตมกะ ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับสัตว์ที่ไม่มีเท้า สัตว์ที่มี๒ เท้า สัตว์ที่มี๔ เท้า สัตว์ที่มีเท้ามาก ขอสัตว์ที่ไม่มีเท้า สัตว์ที่มี๒ เท้า สัตว์ที่มี๔ เท้า สัตว์ที่มีเท้า มาก อย่าได้เบียดเบียนเราเลย ขอสัตว์ผู้ข้องอยู่สัตว์ที่มีลมปราณ สัตว์ผู้เกิดแล้ว หมดทั้งสิ้นด้วยกัน จงประสบพบแต่ความเจริญทั่วกัน ความทุกข์อันชั่วช้า อย่าได้ มาถึงสัตว์ผู้ใดผู้หนึ่งเลย. พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีพระคุณหาประมาณมิได้ บรรดาสัตว์ เลื้อยคลาน คือ งูแมงป่อง ตะขาบ แมงมุม ตุ๊กแก และหนูเป็นสัตว์ประมาณได้ เราได้ทำ�การรักษาตัวแล้ว ป้องกันตัวแล้ว ขอสัตว์ทั้งหลายจงพากันหลีกไป ข้าพเจ้านั่นขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาค ขอนอบน้อมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๗ พระองค์อยู่. อ้างอิง : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑ อกฺโกจฺฉิ มํ อวธิ มํ อชินิ มํ อหาสิ เม เย จ ตํ อุปนยฺหนฺติ เวรํ เตสํ น สมฺมติ อกฺโกจฺฉิ มํ อวธิ มํ อชินิ มํ อหาสิ เม เย จ ตํ นูปนยฺหนฺติ เวรํ เตสูปสมฺมติ. ก็ชนเหล่าใด เข้าไปผูกความโกรธนั้นไว้ว่า “ผู้โน้นได้ด่าเรา ผู้โน้นได้ตีเรา ผู้โน้นได้ชนะเรา ผู้โน้นได้ลักสิ่งของของเราแล้ว” เวรของชนเหล่านั้นย่อมไม่ระงับได้, ส่วนชนเหล่าใด ไม่เข้าไป ผูกความโกรธนั้นไว้ว่า“ผู้โน้นได้ด่าเราผู้โน้นได้ติเราผู้โน้นได้ชนะเราผู้โน้นได้ลักสิ่งของของเราแล้ว” เวรของชนเหล่านั้น ย่อมระงับได้ฯ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต คาถาธรรมบท ยมกวรรคที่ ๑


56 ๕. โมรปริตร เรื่องย่อที่มาของ โมรปริตร สมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ วัดพระ เชตวัน เมืองสาวัตถีภิกษุรูปหนึ่งถูกความอยากในกามครอบงำ� กระสันอยากสึก พระพุทธเจ้าต้องการให้เห็นโทษของกามจึงทรงเล่าเรื่องอดีตเมื่อครั้งพระองค์เสวย ชาติเป็นพญานกยูงพระโพธิสัตว์ ทุกวันก่อนออกหากิน และก่อนเข้านอนจะ สวดมนต์โมรปริตรเป็นประจำ� ทำ�ให้พ้นจากการตามล่าของพรานป่านานถึง ๑๒ ปี วันหนึ่งพรานนำ�นางนกยูงมาล่อ ด้วยความหลงมัวเมาในกามทำ�ให้พญานกยูง ลืมท่องคาถาและถูกพรานจับได้ โมระปะริตตัง อุเทตะยัญจักขุมา เอกะราชา หะริสสะวัณโณ ปะฐะวิปปะภาโส ตัง ตัง นะมัสสามิ หะริสสะวัณณัง ปะฐะวิปปะภาสัง ตะยัชชะ คุตตา วิหะเรมุ ทิวะสัง เย พ๎ราห๎มะณา เวทะคุ สัพพะธัมเม เต เม นะโม เต จะ มัง ปาละ ยันตุ นะมัตถุ พุทธานัง นะมัตถุ โพธิยา นะโม วิมุตตานัง นะโม วิมุตติยา อิมัง โส ปะริตตัง กัต๎วา โมโร จะระติ เอสะนา. อะเปตะยัญจักขุมา เอกะราชา หะริสสะวัณโณ ปะฐะวิปปะภาโส ตัง ตัง นะมัสสามิ หะริสสะวัณณัง ปะฐะวิปปะภาสัง ตะยัชชะ คุตตา วิหะเรมุ รัตติง เย พ๎ราห๎มะณา เวทะคุ สัพพะธัมเม เต เม นะโม เต จะ มัง ปาละยันตุ นะมัตถุ พุทธานัง นะมัตถุ โพธิยา นะโม วิมุตตานัง นะโม วิมุตติยา อิมัง โส ปะริตตัง กัต๎วา โมโร วาสะมะกัปปะยีติ.


57 โมระปะริตตัง (แปล) พระอาทิตย์นี้ เป็นดวงตาของโลก เป็นเจ้าแห่งแสงสว่างอย่างเอกกำ�ลัง อุทัยขึ้นมา ทอแสงอร่ามสว่างไปทั่วปฐพีเพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าขอนอบน้อม พระอาทิตย์นั้น ซึ่งทอแสงอร่ามสว่างไปทั่วปฐพีข้าพเจ้าอันท่านช่วยคุ้มกันแล้ว ในวันนี้พึงอยู่เป็นสุขตลอดวัน พราหมณ์เหล่าใดผู้ถึงฝั่งแห่งเวทในธรรมทั้งปวง ขอพราหมณ์เหล่านั้น จงรับความนอบน้อมของข้าพเจ้า และขอจงคุ้มครองข้าพเจ้า ด้วย ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระ โพธิญาณ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่ท่านผู้หลุดพ้นแล้ว ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่ วิมุตติธรรมของท่านผู้หลุดพ้นแล้ว นกยูงนั้น เจริญพระปริตร์นี้แล้วจึงเที่ยวไป แสวงหาอาหาร. พระอาทิตย์นี้ เป็นดวงตาของโลก เป็นเจ้าแห่งแสงสว่างอย่างเอกส่องแสง สว่างไปทั่วปฐพีแล้วอัสดงคตไป เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระอาทิตย์ นั้น ซึ่งส่องสว่างไปทั่วปฐพีข้าพเจ้าอันท่านช่วยคุ้มครองแล้วในวันนี้พึงอยู่เป็นสุข ตลอดคืน พราหมณ์เหล่าใด ผู้ถึงฝั่งแห่งเวทในธรรมทั้งปวง ขอพราหมณ์เหล่า นั้น จงรับความนอบน้อมของข้าพเจ้า และขอจงคุ้มครองข้าพเจ้าด้วย ข้าพเจ้าขอ นอบน้อมแด่พระพุทธเจ้าทั้งหลายข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระโพธิญาณ ข้าพเจ้า ขอนอบน้อมแด่ท่านผู้หลุดพ้นแล้ว ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่วิมุตติธรรมของท่าน ผู้หลุดพ้นแล้ว นกยูงนั้นเจริญพระปริตร์นี้แล้วจึงสำ�เร็จการอยู่. อ้างอิง : พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๙ ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑.


58 ๖. ธชัคคปริตร เรื่องย่อที่มาของ ธชัคคปริตร พระภิกษุจำ�พวกหนึ่งไปเจริญสมณธรรมอยู่ ในที่ต่างๆเช่น ตามรุกขมูลคือโคนไม้บ้างตามป่าห่างบ้านบ้างตามเรือนร้างบ้าง ปล่อยใจไปตามอารมณ์เลิกทำ�ความเพียร พระพุทธเจ้าก็ทรงประสงค์จะเตือนภิกษุ ทั้งหลายให้อุตสาหะในธุระที่ทำ�นั้น จึงตรัสเล่าให้พระภิกษุฟังว่า เมื่อเทวดา กับอสูรรบกัน ท้าวสักกะซึ่งเป็นใหญ่ในหมู่เทวดา ได้แนะให้เหล่าเทวดาที่เกิด ความกลัว หวาดสะดุ้ง หรือขนพองสยองเกล้า ได้แลดูชายธงของเทวราชทั้งหลาย เพื่อให้คลายจากความกลัว แต่พระพุทธองค์กล่าวว่าการดูธงของเหล่าเทวราช อาจจะทำ�ให้หายหรือไม่หายกลัวก็ได้เพราะเหล่าเทวดายังไม่ละกิเลสอย่างไรก็ยัง ต้องมีความหวาดกลัวอยู่ดังนั้น จึงสอนให้พระภิกษุเชื่อและยึดถือพระรัตนตรัยเป็น ที่พึ่งแห่งจิตใจ จะทำ�ให้คลายจากความกลัวและรู้สึกปลอดภัยไม่หวั่นไหว เป็นบท สวดสรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้า ๙ ประการคุณของพระธรรม ๖ ประการและ คุณของพระสงฆ์๙ ประการ ธะชัคคะปะริตตัง เอวัมเม สุตัง. เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม. ตัต๎ระ โข ภะคะวา ภิกขู อามันเตสิ ภิกขะโวติ. ภะทันเตติ เต ภิกขู ภะคะวะโต ปัจจัสโสสุง ภะคะวา เอตะทะโวจะ. (หยุด) ภูตะปุพพัง ภิกขะเว เทวาสุระสังคาโม สะมุปัพ๎ยุฬ๎โห อะโหสิ. อะถะโข ภิกขะเว สักโก เทวานะมินโท เทเว ตาวะติงเส อามันเตสิ สะเจ มาริสา เทวานัง สังคามะคะตานัง อุปปัชเชยยะ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา มะเมวะ ตัส๎มิง สะมะเย ธะชัคคัง อุลโลเกยยาถะ มะมัง หิ โว ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา โส ปะหิยยิสสะติ โน เจ เม ธะชัคคัง อุลโลเกยยาถะ


59 อะถะ ปะชาปะติสสะ เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลเกยยาถะ ปะชา ปะติสสะ หิ โว เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา โส ปะหิยยิสสะติ โน เจ ปะชาปะติสสะ เทวะ ราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลเกยยาถะ. อะถะ วะรุณัสสะ เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลเกยยาถะ วะรุณัสสะ หิ โว เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิ ตัตตัง วา โลมะหังโส วา โส ปะหิยยิสสะติ โน เจ วะรุณัสสะ เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลเกยยาถะ. อะถะ อีสานัสสะ เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลเกยยาถะ อีสานัสสะ หิ โว เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา โส ปะหิยยิสสะตีติ. ตัง โข ปะนะ ภิกขะเว สักกัสสะ วา เทวานะมินทัสสะ ธะชัคคัง อุลโลกะ ยะตัง ปะชาปะติสสะ วา เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง วะรุณัสสะ วา เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง อีสานัสสะ วา เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา โส ปะหิยเยถาปิ โนปิ ปะหิยเยถะ ตัง กิสสะ เหตุ สักโก หิ ภิกขะเว เทวานะมินโท อะวีตะราโค อะวีตะโทโส อะวีตะโมโห ภิรุ ฉัมภี อุต๎ราสี ปะลายีติ. อะหัญจะ โข ภิกขะเว เอวัง วะทามิ สะเจ ตุม๎หากัง ภิกขะเว อะรัญญะ คะตานัง วา รุกขะมูละคะตานัง วา สุญญาคาระคะตานัง วา อุปปัชเชยยะ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา มะเมวะ ตัส๎มิง สะมะเย อะนุสสะ เรยยาถะ. อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ มะมัง หิ โว ภิกขะเว อะนุสสะระตัง ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา


60 ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา โส ปะหิยยิสสะติ โน เจ มัง อะนุสสะเรยยาถะ อะถะ ธัมมัง อะนุสสะเรยยาถะ. ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะ นะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ ธัมมัง หิ โว ภิกขะเว อะนุสสะระตัง ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา โส ปะหิยยิสสะติ โน เจ ธัมมัง อะนุสสะเรยยาถะ อะถะ สังฆัง อะนุสสะเรยยาถะ. สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะ สังโฆ ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลี กะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ. สังฆัง หิ โว ภิกขะเว อะนุสสะระตัง ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา โส ปะหิยยิสสะติ ตัง กิสสะ เหตุ ตะถาคะโต หิ ภิกขะเว อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วีตะราโค วีตะโทโส วีตะโมโห อะภิรุ อัจฉัมภี อะนุต๎ราสี อะปะลายีติ. อิทะมะโวจะ ภะคะวา อิทัง วัต๎วานะ สุคะโต อะถา ปะรัง เอตะทะโวจะ สัตถา อะรัญเญ รุกขะมูเล วา สุญญาคาเร วะ ภิกขะโว อะนุสสะเรถะ สัมพุทธัง ภะยัง ตุมหากะ โน สิยา โน เจ พุทธัง สะเรยยาถะ โลกะเชฏฐัง นะราสะภัง อะถะ ธัมมัง สะเรยยาถะ นิยยานิกัง สุเทสิตัง โน เจ ธัมมัง สะเรยยาถะ นิยยานิกัง สุเทสิตัง อะถะ สังฆัง สะเรยยาถะ ปุญญักเขตตัง อะนุตตะรัง เอวัมพุทธัง สะรันตานัง ธัมมัง สังฆัญจะ ภิกขะโว ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส นะ เหสสะตีติ.


61 ธะชัคคะปะริตตัง (แปล) สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่าน อนาถบิณฑิกมหาเศรษฐีเขตพระนครสาวัตถี ในกาลนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำ�รัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาค ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว สงครามระหว่าง เทวดากับอสูรประชิดกันแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลายครั้งนั้นแล ท้าวสักกะผู้เป็น จอมแห่งเทวดาตรัสเรียกเทวดาชั้นดาวดึงส์มาสั่งว่าแน่ะ ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย หากความกลัวก็ดีความหวาดเสียวก็ดีความขนพองสยองเกล้าก็ดีจะพึงเกิดขึ้น แก่พวกเทวดาผู้ไปในสงคราม สมัยนั้นพวกท่านพึงแลดูยอดธงของเราทีเดียว เพราะว่าเมื่อพวกท่านแลดูยอดธงของเราอยู่ความกลัวก็ดีความหวาดสะดุ้ง ก็ดีความขนพองสยองเกล้าก็ดีที่จักมีขึ้นก็จักหายไป ถ้าพวกท่านไม่แลดูยอดธง ของเรา ทีนั้นพวกท่านพึงแลดูยอดธงของท้าวปชาบดีเทวราชเถิด เพราะว่าเมื่อ พวกท่านแลดูยอดธงของท้าวปชาบดีเทวราชอยู่ความกลัวก็ดีความหวาดสะดุ้ง ก็ดีความขนพองสยองเกล้าก็ดีที่จักมีขึ้นก็จักหายไป หากพวกท่านไม่แลดูยอดธง ของท้าวปชาบดีเทวราช ทีนั้นพวกท่านพึงแลดูยอดธงของท้าววรุณเทวราชเถิด เพราะว่าเมื่อพวกท่านแลดูยอดธงของท้าววรุณเทวราชอยู่ ความกลัวก็ดีความ หวาดสะดุ้งก็ดีความขนพองสยองเกล้าก็ดีที่จักมีขึ้นก็จักหายไป หากพวกท่าน ไม่แลดูยอดธงของท้าววรุณเทวราช ทีนั้นพวกท่านพึงแลดูยอดธงของท้าวอีสาน เทวราชเถิดเพราะว่าเมื่อพวกท่านแลดูยอดธงของท้าวอีสานเทวราชอยู่ความกลัว ก็ดีความหวาดสะดุ้งก็ดีความขนพองสยองเกล้าก็ดีที่จักมีขึ้นก็จักหายไป ดูกรภิกษุทั้งหลายเมื่อพวกเทวดาแลดูยอดธงของท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่ง เทวดาก็ดีแลดูยอดธงของท้าวปชาบดีเทวราชอยู่ก็ดีแลดูยอดธงของท้าววรุณ เทวราชอยู่ก็ดีแลดูยอดธงของท้าวอีสานเทวราชอยู่ก็ดี ความกลัวก็ดีความหวาด


62 สะดุ้งก็ดีความขนพองสยองเกล้าก็ดีที่จักมีขึ้นพึงหายไปได้บ้าง ไม่ได้บ้างข้อนั้น เป็นเหตุแห่งอะไรดูกรภิกษุทั้งหลายเหตุว่า ท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเทวดา ยังเป็น ผู้ไม่ปราศจากราคะ ไม่ปราศจากโทสะ ไม่ปราศจากโมหะยังเป็นผู้กลัว หวาดสะดุ้ง หนีไปอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลายส่วนเราแลกล่าวอย่างนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากความ กลัวก็ดีความหวาดสะดุ้งก็ดีความขนพองสยองเกล้าก็ดีพึงบังเกิดแก่พวกเธอ ผู้ไปในป่าก็ดีอยู่ที่โคนไม้ก็ดีอยู่ในเรือนที่ว่างเปล่าก็ดีทีนั้นพวกเธอพึงตามระลึก ถึงเรานี้แหละว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้รู้ แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นจะยิ่งไปกว่า เป็นศาสดาของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้ตื่นแล้ว เป็นผู้จำ�แนกธรรม ดังนี้ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะว่า เมื่อพวกเธอตามระลึกถึงเราอยู่ความกลัวก็ดีความหวาดสะดุ้งก็ดี ความขนพองสยองเกล้าก็ดีที่จักมีขึ้นก็จักหายไป หากพวกเธอไม่ตามระลึกถึงเรา ทีนั้นพวกเธอพึงตามระลึกถึงพระธรรมว่าพระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว บุคคลพึงเห็นได้เอง ไม่ประกอบด้วยกาลควรเรียกให้มาดูได้ควรน้อมเข้าไปในตน อันวิญญูชนพึงรู้แจ้งได้เฉพาะตน ดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลายเพราะว่า เมื่อพวกเธอตามระลึกถึงพระธรรมอยู่ความกลัว ก็ดีความหวาดสะดุ้งก็ดีความขนพองสยองเกล้าก็ดี ที่จักมีขึ้นก็จักหายไป หากพวกเธอไม่ตามระลึกถึงพระธรรม ทีนั้นพวกเธอพึงตามระลึกถึงพระสงฆ์ว่า พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติตรง เป็นผู้ ปฏิบัติเป็นธรรม เป็นผู้ปฏิบัติชอบยิ่ง พระสงฆ์นั้นคือใคร ได้แก่คู่แห่งบุรุษสี่รวม เป็นบุรุษบุคคลแปด นี้คือพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเป็นผู้ควรแก่สักการะ ที่เขานำ�มาบูชา เป็นผู้ควรแก่ของต้อนรับ เป็นผู้ควรแก่ทักขิณา เป็นผู้ควรแก่การ ทำ�อัญชลีเป็นบุญเขตของโลก ไม่มีบุญเขตอื่นยิ่งไปกว่า เพราะว่า เมื่อพวกเธอ ตามระลึกถึงพระสงฆ์อยู่ความกลัวก็ดีความหวาดสะดุ้งก็ดีความขนพองสยองเกล้า ก็ดี ที่จักมีขึ้นก็จักหายไป ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุแห่งอะไร เพราะว่าพระตถาคต


63 อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ปราศจากราคะ ปราศจากโทสะ ปราศจากโมหะ ไม่เป็นผู้กลัว ไม่หวาด ไม่สะดุ้ง ไม่หนีไป พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายอยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดีอยู่ในเรือน ว่างเปล่าก็ดี พึงระลึกถึงพระสัมพุทธเจ้าเถิด ความกลัวไม่พึงมีแก่เธอทั้งหลาย ถ้าว่าเธอทั้งหลายไม่พึงระลึกถึงพระพุทธเจ้าผู้เจริญที่สุดในโลก ผู้องอาจกว่านรชน ทีนั้นเธอทั้งหลายพึงระลึกถึงพระธรรมอันนำ�ออกจากทุกข์ อันพระพุทธเจ้า ทรงแสดงดีแล้ว ถ้าเธอทั้งหลายไม่พึงระลึกถึงพระธรรมอันนำ�ออกจากทุกข์ อันพระพุทธเจ้าทรงแสดงดีแล้วทีนั้น เธอทั้งหลายพึงระลึกถึงพระสงฆ์ผู้เป็น บุญเขต ไม่มีบุญเขตอื่นยิ่งไปกว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอทั้งหลายระลึกถึง พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์อยู่ความกลัวก็ดีความหวาดสะดุ้งก็ดีความ ขนพองสยองเกล้าก็ดีจักไม่มีเลย. อ้างอิง : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ย จ วสฺส สตํ ชีเว กุสีโต หีนวีริโย เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย วิริยํ อารภโต ทฬหํ “ผู้ใดเกียจคร้าน หย่อนความเพียรถึงจะมีชีวิตอยู่ได้ร้อยปีก็ไม่ดีอะไรชีวิตของผู้มีความเพียร มั่นคง แม้เพียงวันเดียวก็ยังประเสริฐกว่า” พระไตรปิฏก เล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฏก ขุททกนิกาย ชาดก


64 ๗. อาฏานาฏิยปริตร เรื่องย่อที่มาของ อาฏานาฏิยปริตร เมื่อท้าวมหาราชทั้งสี่คือ ท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักข์และท้าวเวสสุวัณ ตั้งใจจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า แต่เกรงว่า หากพวกอสูรรู้ว่า บนดาวดึงส์ไม่มีใครอยู่ก็อาจถือโอกาสมากวน ซึ่งพวกตนก็อาจ กลับมาไม่ทัน จึงได้จัดตั้งกองทหารไว้๔ กองประกอบด้วยคนธรรพ์ยักษ์ นาค รักษาแต่ละทิศไว้แล้วพากันไปประชุมที่อาฏานาฏิยนคร แล้วผูกมนต์เป็นอาฏา นาฏิยปริตรขึ้น จากนั้นก็พากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมบริวารเป็นจำ�นวนมาก แต่ปรากฏว่าบริวารของท้าวมหาราชเหล่านี้ต่างก็มีปฏิกิริยาต่อพระพุทธองค์ ต่างๆ กัน เพราะบ้างก็นับถือ บ้างก็ไม่เชื่อถือ จนเป็นเหตุให้บรรดาสาวกของ พระพุทธเจ้า ที่ไปบำ�เพ็ญธรรมตามที่ต่างๆ ต้องถูกผีปีศาจ ยักษ์ ที่ไม่เลื่อมใส เหล่านี้รบกวนจนเจ็บไข้ได้ป่วย หรือเป็นอันตรายต่างๆ นานา ท้าวเวสสุวัณจึง ได้กราบทูล ขอให้พระพุทธองค์รับอาฏานาฏิยปริตรไว้ประทานแก่สาวกของ พระองค์ เพื่อป้องกันมิให้ยักษ์ และภูตผีปีศาจรบกวน ซึ่งเนื้อความเป็นการ สรรเสริญพระพุทธคุณของพระพุทธเจ้า ๗ พระองค์และขอนอบน้อมพระพุทธเจ้า เหล่านั้นด้วยกาย วาจา ใจ ไม่ว่าเวลานอน เดิน นั่ง หรือยืน ขอให้พระพุทธเจ้า เหล่านั้นได้คุ้มครองรักษาให้พ้นภัย พ้นโรค และความเดือดร้อนต่างๆ ปริตรบท นี้ใครเจริญภาวนาอยู่เป็นนิตย์เชื่อว่ายักษ์ผีปีศาจก็จะช่วยคุ้มครองให้มีความสุข ความเจริญ. น ชจฺจา วสโล โหติ น ชจฺจา โหติ พฺราหฺมโณ กมฺมุนา วสโล โหติ กมฺมุนา โหติ พฺรมหฺมโณ. บุคคลเป็นคนเลวเพราะชาติก็หาไม่ เป็นผู้ประเสริฐเพราะชาติก็หาไม่ (แต่) เป็นคนเลว เพราะการกระทำ เป็นผู้ประเสริฐก็เพราะการกระทำ . พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย วสลสูตร


65 อาฏานาฏิยะปะริตตัง วิปัสสิสสะ นะมัตถุ จักขุมันตัสสะ สิรีมะโต สิขิสสะปิ นะมัตถุ สัพพะภูตานุกัมปิโน เวสสะภุสสะ นะมัตถุ น๎หาตะกัสสะ ตะปัสสิโน นะมัตถุ กะกุสันธัสสะ มาระเสนัปปะมัททิโน โกนาคะมะนัสสะ นะมัตถุ พ๎ราห๎มะณัสสะ วุสีมะโต กัสสะปัสสะ นะมัตถุ วิปปะมุตตัสสะ สัพพะธิ อังคีระสัสสะ นะมัตถุ สัก๎ยะปุตตัสสะ สิรีมะโต โย อิมัง ธัมมะมะเทเสสิ สัพพะทุกขาปะนูทะนัง เย จาปิ นิพพุตา โลเก ยะถาภูตัง วิปัสสิสุง เต ชะนา อะปิสุณา มะหันตา วีตะสาระทา หิตัง เทวะมะนุสสานัง ยัง นะมัสสันติ โคตะมัง วิชชาจะระณะสัมปันนัง มะหันตัง วีตะสาระทัง (วิชชาจะระณะสัมปันนัง พุทธัง วันทามะ โคตะมันติ.) นะโม เม สัพพะพุทธานัง อุปปันนานัง มะเหสินัง ตัณหังกะโร มะหาวีโร เมธังกะโร มะหายะโส สะระณังกะโร โลกะหิโต ทีปังกะโร ชุตินธะโร โกณฑัญโญ ชะนะปาโมกโข มังคะโล ปุริสาสะโภ สุมะโน สุมะโน ธีโร เรวะโต ระติวัฑฒะโน โสภีโต คุณะสัมปันโน อะโนมะทัสสี ชะนุตตะโม ปะทุโม โลกะปัชโชโต นาระโท วะระสาระถี ปะทุมุตตะโร สัตตะสาโร สุเมโธ อัปปะฏิปุคคะโล สุชาโต สัพพะโลกัคโค ปิยะทัสสี นะราสะโภ


66 อัตถะทัสสี การุณิโก ธัมมะทัสสี ตะโมนุโท สิทธัตโถ อะสะโม โลเก ติสโส จะ วะทะตัง วะโร ปุสโส จะ วะระโท พุทโธ วิปัสสี จะ อะนูปะโม สิขี สัพพะหิโต สัตถา เวสสะภู สุขะทายะโก กะกุสันโธ สัตถะวาโห โกนาคะมะโน ระณัญชะโห กัสสะโป สิริสัมปันโน โคตะโม สัก๎ยะปุงคะโว. เอเต จัญเญ จะ สัมพุทธา อะเนกะสะตะโกฏะโย สัพเพ พุทธา อะสะมะสะมา สัพเพ พุทธา มะหิทธิกา สัพเพ ทะสะพะลูเปตา เวสารัชเชหุปาคะตา สัพเพ เต ปะฏิชานันติ อาสะภัณฐานะมุตตะมัง สีหะนาทัง นะทันเต เต ปะริสาสุ วิสาระทา พ๎รัห๎มะจักกัง ปะวัตเตนติ โลเก อัปปะฏิวัตติยัง อุเปตา พุทธะธัมเมหิ อัฏฐาระสะหิ นายะกา ท๎วัตติงสะลักขะณูเปตา สีต๎ยานุพ๎ยัญชะนาธะรา พ๎ยามัปปะภายะ สุปปะภา สัพเพ เต มุนิกุญชะรา พุทธา สัพพัญญุโน เอเต สัพเพ ขีณาสะวา ชินา มะหัปปะภา มะหาเตชา มะหาปัญญา มะหัพพะลา มะหาการุณิกา ธีรา สัพเพสานัง สุขาวะหา ทีปา นาถา ปะติฏฐา จะ ตาณา เลณา จะ ปาณินัง คะตี พันธู มะหัสสาสา สะระณา จะ หิเตสิโน สะเทวะกัสสะ โลกัสสะ สัพเพ เอเต ปะรายะนา เตสาหัง สิระสา ปาเท วันทามิ ปุริสุตตะเม วะจะสา มะนะสา เจวะ วันทาเมเต ตะถาคะเต


67 สะยะเน อาสะเน ฐาเน คะมะเน จาปิ สัพพะทา สะทา สุเขนะ รักขันตุ พุทธา สันติกะรา ตุวัง เตหิ ต๎วัง รักขิโต สันโต มุตโต สัพพะภะเยนะ จะ สัพพะโรคะวินิมุตโต สัพพะสันตาปะวัชชิโต สัพพะเวระมะติกกันโต นิพพุโต จะ ตุวัง ภะวะ. เตสัง สัจเจนะ สีเลนะ ขันติเมตตาพะเลนะ จะ เตปิ ตุมเห อะนุรักขันตุ อาโรค๎เยนะ สุเขนะ จะ ปุรัตถิมัส๎มิง ทิสาภาเค สันติ ภูตา มะหิทธิกา เตปิ ตุมเห อะนุรักขันตุ อาโรค๎เยนะ สุเขนะ จะ ทักขิณัส๎มิง ทิสาภาเค สันติ เทวา มะหิทธิกา เตปิ ตุมเห อะนุรักขันตุ อาโรค๎เยนะ สุเขนะ จะ ปัจฉิมัส๎มิง ทิสาภาเค สันติ นาคา มะหิทธิกา เตปิ ตุมเห อะนุรักขันตุ อาโรค๎เยนะ สุเขนะ จะ อุตตะรัส๎มิง ทิสาภาเค สันติ ยักขา มะหิทธิกา เตปิ ตุมเห อะนุรักขันตุ อาโรค๎เยนะ สุเขนะ จะ ปุริมะทิสัง ธะตะรัฏโฐ ทักขิเณนะ วิรุฬ๎หะโก ปัจฉิเมนะ วิรูปักโข กุเวโร อุตตะรัง ทิสัง จัตตาโร เต มะหาราชา โลกะปาลา ยะสัสสิโน เตปิ ตุมเห อะนุรักขันตุ อาโรค๎เยนะ สุเขนะ จะ อากาสัฏฐา จะ ภุมมัฏฐา เทวา นาคา มะหิทธิกา เตปิ ตุมเห อะนุรักขันตุ อาโรค๎เยนะ สุเขนะ จะ นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง พุทโธ เม สะระณัง วะรัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เต ชะยะมังคะลัง


68 นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง ธัมโม เม สะระณัง วะรัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เต ชะยะมังคะลัง นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง สังโฆ เม สะระณัง วะรัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เต ชะยะมังคะลัง ยังกิญจิ ระตะนัง โลเก วิชชะติ วิวิธัง ปุถุ ระตะนัง พุทธะสะมัง นัตถิ ตัส๎มา โสตถี ภะวันตุ เต ยังกิญจิ ระตะนัง โลเก วิชชะติ วิวิธัง ปุถุ ระตะนัง ธัมมะสะมัง นัตถิ ตัส๎มา โสตถี ภะวันตุ เต ยังกิญจิ ระตะนัง โลเก วิชชะติ วิวิธัง ปุถุ ระตะนัง สังฆะสะมัง นัตถิ ตัส๎มา โสตถี ภะวันตุ เต สักกัต๎วา พุทธะระตะนัง โอสะถัง อุตตะมัง วะรัง หิตัง เทวะมะนุสสานัง พุทธะเตเชนะ โสตถินา นัสสันตุปัททะวา สัพเพ ทุกขา วูปะสะเมนตุ เต สักกัต๎วา ธัมมะระตะนัง โอสะถัง อุตตะมัง วะรัง ปะริฬาหูปะสะมะนัง ธัมมะเตเชนะ โสตถินา นัสสันตุปัททะวา สัพเพ ภะยา วูปะสะเมนตุ เต สักกัต๎วา สังฆะระตะนัง โอสะถัง อุตตะมัง วะรัง อาหุเนยยัง ปาหุเนยยัง สังฆะเตเชนะ โสตถินา นัสสันตุปัททะวา สัพเพ โรคา วูปะสะเมนตุ เต สัพพีติโย วิวัชชันตุ สัพพะโรโค วินัสสะตุ มา เต ภะวัต๎วันตะราโย สุขี ทีฆายุโก ภะวะ อะภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง.


69 อาฏานาฏิยะปะริตตัง (แปล) ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระวิปัสสีพุทธเจ้า ผู้มีพระจักษุมีพระสิริขอนอบน้อม แด่พระสิขีพุทธเจ้า ผู้ทรงอนุเคราะห์แก่สัตว์ทั่วหน้า ขอนอบน้อมแด่พระเวสสภู พุทธเจ้า ผู้ทรงชำ�ระกิเลส มีความเพียร ขอนอบน้อมแด่พระกกุสันธพุทธเจ้า ผู้ทรงยํ่ายีมารและเสนามาร ขอนอบน้อมแด่พระโกนาคมนะพุทธเจ้า ผู้ลอย บาปไปแล้วอยู่จบพรหมจรรย์ ขอนอบน้อมแด่พระกัสสปพุทธเจ้า ผู้พ้นพิเศษ แล้วในธรรมทั้งปวง ขอนอบน้อมแด่พระอังคีรสพุทธเจ้าศากยบุตร ผู้มีพระสิริ พระพุทธเจ้าพระองค์ใด ได้ทรงแสดงธรรมนี้อันเป็นเครื่องบรรเทาทุกข์ทั้งปวง อนึ่ง พระพุทธเจ้าเหล่าใดผู้ดับแล้วในโลก ทรงเห็นแจ้งแล้วตามเป็นจริง พระพุทธเจ้า เหล่านั้น เป็นผู้ไม่ส่อเสียด เป็นผู้ยิ่งใหญ่ ปราศจากความครั่นคร้ามเทวดาและ มนุษย์ทั้งหลาย นอบน้อมพระพุทธเจ้าพระองค์ใด ผู้เป็นโคตมโคตร ผู้ทรงเกื้อกูล แก่ทวยเทพและมนุษย์ผู้ทรงถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้ยิ่งใหญ่ ปราศจาก ความครั่นคร้าม ข้าพเจ้าขอนมัสการพระพุทธเจ้าโคตม ผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชา และจรณะ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทั้งปวง ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ ซึ่งได้อุบัติแล้วคือพระตัณหังกรผู้กล้าหาญ พระเมธังกรผู้มียศใหญ่ พระสรณังกร ผู้เกื้อกูลแก่โลก พระทีปังกรผู้ทรงไว้ซึ่งปัญญาอันรุ่งเรือง พระโกณฑัญญะ ผู้เป็นประมุขแห่งหมู่ชน พระมังคละผู้เป็นบุรุษประเสริฐ พระสุมนะผู้เป็นธีรบุรุษมี พระหทัยงาม พระเรวตะผู้เพิ่มพูนความยินดี พระโสภิตะผู้สมบูรณ์ด้วยพระคุณ พระอโนมทัสสีผู้อุดมอยู่ในหมู่ชน พระปทุมะผู้ทำ�ให้โลกสว่าง พระนารทะผู้เป็น สารถีประเสริฐ พระปทุมุตตระผู้เป็นที่พึ่งของหมู่สัตว์ พระสุเมธะผู้หาบุคคล เปรียบมิได้ พระสุชาตะผู้เลิศกว่าสัตว์โลกทั้งปวง พระปิยทัสสีผู้ประเสริฐกว่า หมู่นรชน พระอัตถทัสสีผู้มีพระกรุณา พระธรรมทัสสีผู้บรรเทาความมืด พระสิทธัตถะ ผู้หาบุคคลเสมอมิได้ในโลก พระติสสะผู้ประเสริฐกว่านักปราชญ์ทั้งหลาย พระปุสสะ ผู้ประทานธรรมอันประเสริฐ พระวิปัสสีผู้หาที่เปรียบมิได้ พระสิขีผู้เป็นศาสดา


70 เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์พระเวสสภูผู้ประทานความสุข พระกกุสันธะผู้นำ�สัตว์ออกจาก กันดารคือกิเลส พระโกนาคมนะ ผู้หักเสียซึ่งข้าศึกคือกิเลส พระกัสสปะผู้สมบูรณ์ ด้วยสิริพระโคตมะผู้ประเสริฐแห่งหมู่ศากยราช พระพุทธเจ้าเหล่านี้ก็ดี เหล่าอื่นก็ดี หลายร้อยโกฏิ พระพุทธเจ้าเหล่า นั้นทั้งหมดเสมอกัน พระพุทธเจ้าเหล่านั้นล้วนมีฤทธิ์มาก ล้วนประกอบแล้ว ด้วยทศพลญาณ (ญาณอันเป็นกำ�ลังสิบประการ) ประกอบด้วยเวสารัชชญาณ (ญาณที่ทำ�ให้แกล้วกล้าอาจหาญ) พระพุทธเจ้าเหล่านั้นล้วนตรัสรู้แล้วซึ่งอาสภฐาน อันอุดม พระพุทธเจ้าเหล่านั้นเป็นผู้องอาจ ไม่ครั่นคร้าม บันลือสีหนาทในบริษัท ทั้งหลายยังพรหมจักรให้เป็นไป อันใครๆยังไม่เคยทำ�ให้เป็นไปในโลก พระพุทธเจ้า ทั้งหลายนั้น ประกอบแล้วด้วยพุทธธรรมทั้งหลาย ๑๘ เป็นนายก ผู้ประกอบด้วย พระลักษณะ ๓๒ ประการ และทรงซึ่งอนุพยัญชนะ ๘๐ มีรัศมีอันงามเป็นมณฑล ข้างละวา พระพุทธเจ้าเหล่านั้นล้วนเป็นมุนีอันประเสริฐ พระพุทธเจ้าเหล่านั้น ล้วนเป็นพระสัพพัญญู ล้วนเป็นพระขีณาสพผู้ชนะมีรัศมีมาก มีพระเดชมาก มีพระปัญญามาก มีพระกำ�ลังมาก มีพระกรุณามาก เป็นนักปราชญ์ นำ�สุขมา เพื่อสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง เป็นเกาะ เป็นที่พึ่ง และเป็นที่อยู่อาศัย เป็นที่ต้านทาน และเป็นที่เร้นของสัตว์ เป็นคติเป็นเผ่าพันธุ์ เป็นที่ยินดียิ่ง เป็นที่ระลึกและทรง แสวงหาผลประโยชน์พระพุทธเจ้าเหล่านั้น ล้วนเป็นเบื้องหน้าของสัตว์โลกและ เทวโลก ข้าพเจ้าขอวันทาพระบาทพระพุทธเจ้าเหล่านั้นด้วยเศียรเกล้า และขอ วันทาผู้เป็นบุรุษอันอุดม ขอวันทาพระตถาคตด้วยวาจาและด้วยใจ ในที่นอนด้วย ในที่นั่งด้วย ในที่ยืนด้วย แม้ในที่เดินด้วย ในกาลทุกเมื่อด้วย พระพุทธเจ้าผู้ทำ� ความระงับ จงรักษาท่านให้สุขในกาลทุกเมื่อ ท่านผู้พระพุทธเจ้าทรงรักษาแล้ว จงเป็นผู้ระงับพ้นแล้วจากภัยทั้งปวงและ พ้นแล้วจากโรคทั้งปวง เว้นแล้วจากความเดือดร้อนทั้งปวง ล่วงเสียซึ่งเวรทั้งปวง ท่านจงเป็นผู้ดับทุกข์ทั้งปวงด้วย ด้วยสัจจะ ด้วยศีล และด้วยกำ�ลังแห่งขันติและ เมตตาของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น แม้คุณธรรมเหล่านั้น จงตามรักษาซึ่งท่านทั้งหลาย ด้วยความเป็นผู้ไม่มีโรคและด้วยความสุข


71 คนธรรพ์ทั้งหลายมีฤทธิ์มาก มีอยู่ในด้านทิศบูรพา แม้คนธรรพ์เหล่านั้น จงตามรักษาซึ่งท่านทั้งหลาย ด้วยความเป็นผู้ไม่มีโรค และด้วยความสุข เทวดา ทั้งหลายมีฤทธิ์มาก มีอยู่ในด้านทิศทักษิณ แม้เทวดาเหล่านั้น จงตามรักษา ซึ่งท่านทั้งหลายด้วยความเป็นผู้ไม่มีโรคและด้วยความสุข นาคทั้งหลายผู้มีฤทธิ์ มาก มีอยู่ในด้านทิศปัจจิม แม้นาคเหล่านั้น จงตามรักษาซึ่งท่านทั้งหลาย ด้วย ความเป็นผู้ไม่มีโรค และด้วยความสุข ยักษ์ทั้งหลายมีฤทธิ์มาก มีอยู่ในด้านทิศ อุดร แม้ยักษ์เหล่านั้น จงตามรักษาซึ่งท่านทั้งหลาย ด้วยความเป็นผู้ไม่มีโรค และด้วยความสุข ท้าวธตรฐ อยู่ประจำ�ทิศบูรพา ท้าววิรุฬหกอยู่ประจำ�ทิศทักษิณ ท้าววิรูปักข์อยู่ประจำ�ทิศปัจจิม ท้าวกุเวรอยู่ประจำ�ทิศอุดร มหาราชทั้ง ๔ เหล่านั้น เป็นผู้มียศ รักษาโลก แม้มหาราชเหล่านั้น จงตามรักษาซึ่งท่านทั้งหลาย ด้วย ความเป็นผู้ไม่มีโรค และด้วยความสุข เทวดาและนาคทั้งหลาย ผู้มีฤทธิ์มาก ซึ่งสถิตอยู่ในอากาศก็ดีสถิตอยู่ในภาคพื้นก็ดีแม้เทวดาและนาคเหล่านั้น จงตาม รักษาซึ่งท่านทั้งหลาย ด้วยความเป็นผู้ไม่มีโรค และด้วยความสุข ที่พึ่งอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า ด้วยการกล่าวคำ�สัตย์นี้ขอชัยมงคลจงมีแก่ท่าน ที่พึ่งอื่นของข้าพเจ้าไม่มีพระธรรม เป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า ด้วยการกล่าวคำ�สัตย์นี้ขอชัยมงคลจงมีแก่ท่าน ที่พึ่งอื่นของข้าพเจ้าไม่มีพระสงฆ์เป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า ด้วยการกล่าว คำ�สัตย์นี้ขอชัยมงคลจงมีแก่ท่าน รัตนะอันใดอันหนึ่งในโลก มีมากมายหลายอย่างรัตนะที่เสมอพระพุทธรัตนะ ย่อมไม่มีเพราะเหตุนั้น ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่าน รัตนะอันใดอันหนึ่งในโลก มีมากมายหลายอย่างรัตนะที่เสมอพระธรรมรัตนะย่อมไม่มีเพราะเหตุนั้น ขอความ สวัสดีจงมีแก่ท่าน รัตนะอันใดอันหนึ่งในโลก มีมากมายหลายอย่าง รัตนะที่เสมอ ด้วยพระสังฆรัตนะย่อมไม่มีเพราะเหตุนั้น ขอความสวัสดีทั้งหลายจงมีแก่ท่าน เพราะทำ�ความเคารพพระพุทธรัตนะ อันเป็นดังโอสถอันอุดประเสริฐเป็น ประโยชน์แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ด้วยเดชแห่งพระพุทธเจ้า ขออุปัทวะ ทั้งหลายจงพินาศไป ขอทุกข์ทั้งหลายของท่าน จงสงบไปโดยสวัสดีเถิด เพราะ


72 ทำ�ความเคารพพระธรรมรัตนะ อันเป็นดังโอสถอันอุดมประเสริฐ สำ�หรับระงับ ความกระวนกระวายด้วยเดชแห่งพระธรรม ขออุปัทวะทั้งหลายจงพินาศไป ขอภัย ทั้งหลายของท่าน จงสงบไปโดยสวัสดีเถิด เพราะทำ�ความเคารพพระสังฆรัตนะ อันเป็นดังโอสถอันอุดมประเสริฐ ควรแก่การบูชา ควรแก่การต้อนรับ ด้วยเดช แห่งพระสงฆ์ขออุปัทวะทั้งหลายจงพินาศไป ขอโรคทั้งหลายของท่าน จงสงบไป โดยสวัสดีเถิด ความจัญไรทั้งปวง จงบำ�ราศไป โรคทั้งปวงของท่านจงหาย อันตราย อย่ามีแก่ท่าน ท่านจงเป็นผู้มีความสุข มีอายุยืน ธรรม ๔ ประการ คือ อายุ วรรณะสุขะ พละย่อมเจริญแก่บุคคลมีปกติกราบไหว้มีปกติผู้อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ เป็นนิตย์. อ้างอิง : อาฏานาฏิยสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค โภเค ปตฺถยมาเนน อุฬาเร อปราปเร อปฺปมาทํ ปสํสนฺติ ปุญฺญกิริยาสุ ปณฺฑิตา อปฺปมตฺโต อุโภ อตฺเถ อธิคฺคณฺหาติ ปณฺฑิโต ทิฏฺเฐ ธมฺเม จ โย อตฺโถ โย จตฺโถ สมฺปรายิโก อตฺถาภิสมยา ธีโร ปณฺฑิโตติ ปวุจฺจตีติ ฯ บุคคลผู้ปรารถนาโภคะอันโอฬารต่อๆ ไป พึงบำ เพ็ญความไม่ประมาท บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมสรรเสริญความไม่ประมาทในบุญกิริยาทั้งหลาย บัณฑิตผู้ไม่ประมาทย่อมยึดไว้ได้ซึ่งประโยชน์ ทั้ง ๒ คือประโยชน์ภพนี้และประโยชน์ภพหน้า เพราะยึดไว้ได้ซึ่งประโยชน์ผู้มีปัญญาจึงได้นามว่า “บัณฑิต” ฯ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ทุติยอัปปมาทสูตรที่ ๘


73 ๘. วัฏฏกปริตร เรื่องย่อที่มาของ วัฏฏกปริตร เมื่อครั้งที่พระโพธิสัตว์ถือกำ�เนิดเป็นลูก นกคุ่มนอนอยู่ในรัง วันหนึ่ง พ่อแม่ออกไปหาอาหาร เกิดไฟป่าลุกลามเข้ามาใกล้จะ ถึงรัง ลูกนกคุ่มมองไม่เห็นที่พึ่งอย่างอื่น จึงทำ�สัตยาธิษฐานว่า “ศีล สัจจะ ความหมดจด ความเอ็นดู เป็นธรรมที่มีคุณจริง ข้าพเจ้าขอน้อมเอาอานุภาพ แห่งธรรม อานุภาพแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ปีกและขาก็มีอยู่แต่ยังบินไม่ได้เดิน ไม่ได้พ่อแม่ก็ไม่อยู่ ด้วยอานุภาพแห่งคำ�สัตย์ทั้งหมดนี้ขอให้เปลวเพลิงจงหลีก ไป” เมื่อทำ�สัตยาธิษฐานจบ เปลวไฟได้เปลี่ยนทิศไปทางอื่นห่างออกไป ๑๖ กรีส (กรีส อ่านว่า “กะหฺรีด”เป็นชื่อมาตราวัดพื้นที่สมัยโบราณ ๑๖ กรีส = ประมาณ ๑.๒๔ กิโลเมตร) วัฏฏะกะปะริตตัง อัตถิ โลเก สีละคุโณ สัจจัง โสเจยยะนุททะยา เตนะ สัจเจนะ กาหามิ สัจจะกิริยะมะนุตตะรัง อาวัชชิต๎วา ธัมมะพะลัง สะริต๎วา ปุพพะเก ชิเน สัจจะพะละมะวัสสายะ สัจจะกิริยะมะกาสะหัง สันติ ปักขา อะปัตตะนา สันติ ปาทา อะวัญจะนา มาตา ปิตา จะ นิกขันตา ชาตะเวทะ ปะฏิกกะมะ สะหะ สัจเจ กะเต มัยหัง มะหาปัชชะลิโต สิขี วัชเชสิ โสฬะสะ กะรีสานิ อุทะกัง ปัต๎วา ยะถา สิขี สัจเจนะ เม สะโม นัตถิ เอสา เม สัจจะปาระมีติ.


74 วัฏฏะกะปะริตตัง (แปล) คุณคือศีล สัจจะ และชีวิตที่สะอาดบริสุทธิ์และความเอื้ออาทร มีอยู่ในโลก ด้วยความสัตย์จริงนั้น ข้าพเจ้าจักกระทำ�สัจกิริยาอันยอดเยี่ยม ข้าพเจ้าขอน้อม รำ�ลึกถึงอานุภาพแห่งพระธรรม และขอน้อมระลึกถึงพระพุทธเจ้าผู้พิชิตมารในอดีต ทั้งหลาย ได้ทำ�สัจกิริยา ยึดมั่นในกำ�ลังแห่งสัจจะที่ข้าพเจ้ามีอยู่ จึงขอทำ�สัจกิริยา ว่าปีกทั้งสองข้างของข้าพเจ้ามีอยู่ แต่ก็ยังไม่แข็งแรงพอที่จะบินหนีไปได้ เท้าทั้ง สองข้างของข้าพเจ้ามีอยู่ แต่ก็ยังไม่แข็งแรงพอที่จะเดินไปได้ พ่อแม่ก็พากันบิน หนีไปเสียแล้วพระเพลิงเอ๋ยขอท่านจงดับเสียเถิด พร้อมกับข้าพเจ้ากระทำ�สัจกิริยา อยู่นั้น เปลวเพลิงที่ลุกโชนอย่างร้อนแรง ก็ดับมอดไปสนิท ระยะห่าง ๑๖ กรีส เหมือนเปลวไฟตกถึงน้ำ�แล้วดับไป ฉะนั้น ไม่มีผู้ใดมีสัจจะบารมีเสมอกับข้าพเจ้า นี้คือสัจจะบารมีของข้าพเจ้า. พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ ขุททกนิกายชาดก ภาค ๑ อรรถกถา วัฏฏกชาดก น สพฺพโต มโน นิวารเย มโน ยตตฺตมาคตํ ยโต ยโต จ ปาปกํ ตโต ตโต มโน นิวารเย. บุคคลไม่ควรห้ามใจแต่อารมณ์ทั้งปวงที่เป็นเหตุให้ใจมาถึงความสำ รวม บาปย่อมเกิดขึ้น แต่อารมณ์ใดๆ บุคคลพึงห้ามใจแต่อารมณ์นั้นๆ. พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค มโนนิวารณสูตรที่ ๔


75 ๙. อังคุลิมาลปริตร เรื่องย่อที่มาของ อังคุลิมาลปริตร พระองคุลิมาลเดิมชื่อว่า อหิงสกะ เป็น บุตรของพราหมณ์ปุโรหิต ในแคว้นโกศล ถูกอาจารย์หลอกให้ฆ่าคนหนึ่งพัน คนเพื่อเป็นเครื่องสังเวยในการเรียนวิษณุมนต์อหิงสกะฆ่าคนไป ๙๙๙ คนแล้ว ตัดนิ้วมือมาร้อยเป็นมาลัย จนได้รับฉายาว่า จอมโจรองคุลิมาล(โจรมาลัยนิ้วมือ) ภายหลัง ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าและออกบวช วันหนึ่ง ขณะที่ออกบิณฑบาต หญิงท้องแก่คนหนึ่งเห็นท่านและจำ�ได้ว่าเป็นโจรองคุลิมาล ตกใจจะวิ่งหนีพอดี เกิดเจ็บครรภ์ขึ้นกะทันหันร้องโอดโอยด้วยความทรมาน พระองคุลิมาลเห็น ดังนั้นจึงได้ตั้งสัตยาธิษฐาน ด้วยแรงอธิษฐานทำ�ให้หญิงคนนั้นคลอดลูกได้โดยง่าย อังคุลิมาละปะริตตัง ยะโตหัง ภะคินิ อะริยายะ ชาติยา ชาโต นาภิชานามิ สัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปตา เตนะ สัจเจนะ โสตถิ เต โหตุ โสตถิ คัพภัสสะ. อังคุลิมาละปะริตตัง (แปล) ดูก่อนน้องหญิง ตั้งแต่เวลาที่เราเกิดแล้วโดยอริยชาติจะแกล้งปลงสัตว์ มีชีวิตจากชีวิตทั้งรู้หามิได้ด้วยสัจจวาจานี้ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่าน ขอความ สวัสดีจงมีแก่ครรภ์ของท่านเถิด. อ้างอิง :อังคุลิมาลสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๕ มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์.


76 ๑๐. โพชฌังคปริตร เรื่องย่อที่มาของ โพชฌังคปริตร โพชฌงคปริตรเป็นปริตรที่โบราณาจารย์ นำ�โพชฌงคสูตร ทั้ง ๓ สูตรคือ (๑) มหากัสปโพชฌงคสูตร (๒) มหาโมคคัลลาน โพชฌงคสูตร (๓) มหาจุนทโพชฌงคสูตร เนื้อหาโพชฌงคสูตรทั้ง ๓ นั้น กล่าวถึง หลักธรรม ๗ ประการคือ ๑. สติความระลึกได้๒. ธัมมวิจยะการเลือกเฟ้นธรรม ๓. วิริยะ ความเพียร ๔. ปีติความอิ่มใจ ๕. ปัสสัทธิความสงบ ๖. สมาธิความ ตั้งใจมั่น ๗.อุเบกขา ความวางเฉย มาประพันธ์เป็นคาถา เรียกว่า โพชฌงคปริตร เป็นคาถาสำ�หรับเจริญภาวนา โดยน้อมเป็นสัจกิริยา เพื่อให้พระปริตรเป็นธรรม โอสถบังเกิดพุทธานุภาพ ขจัดโรคภัยไข้เจ็บให้อันตรธานหายไป เกิดเป็นความสุข สวัสดี ภายหลังได้เกิดความนิยมว่า เมื่อเจ็บป่วยไม่สบาย ก็จะสวดโพชฌงคปริตร ซึ่งเป็นทั้งโอสถเป็นทั้งมนต์ เมื่อมีคนในบ้านเจ็บป่วยเป็นไข้หนัก ก็จะนิมนต์ พระสงฆ์มาสวดโพชฌงคปริตรให้ฟัง หรือไม่ลูกหลานก็จะสวดโพชฌงคปริตร ให้ฟังแม้ในงานทำ�บุญอายุพระสงฆ์ก็จะสวดพระปริตรบทนี้เพื่อเป็นการคุ้มครอง ป้องกันไม่ให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บและให้มีอายุยืน ผู้ไม่ต้องการเจ็บป่วยและปรารถนา ความเป็นผู้มีอายุยืน โดยปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ จึงควรเจริญโพชฌงคปริตรตาม แบบอย่างพุทธสาวก ตเถว กตปุญฺญมฺปิ อสฺมา โลกา ปรํ คตํ ปุญฺญานิ ปฏิคณฺหนฺติ ปิยํ ญาตีว อาคตํ ฯ บุญทั้งหลาย ย่อมต้อนรับแม้บุคคลผู้ทำ บุญไว้ซึ่งจากโลกนี้ไปสู่โลกอื่น ดุจญาติต้อนรับ ญาติที่รัก ผู้มาแล้ว ฉะนั้น พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ คาถาธรรมบท ปิยวรรคที่ ๑๖


77 โพชฌังคะปะริตตัง โพชฌังโค สะติสังขาโต ธัมมานัง วิจะโย ตะถา วิริยัมปีติปัสสัทธิ- โพชฌังคา จะ ตะถาปะเร สะมาธุเปกขะโพชฌังคา สัตเตเต สัพพะทัสสินา มุนินา สัมมะทักขาตา ภาวิตา พะหุลีกะตา สังวัตตันติ อะภิญญายะ นิพพานายะ จะ โพธิยา เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา. เอกัส๎มิง สะมะเย นาโถ โมคคัลลานัญจะ กัสสะปัง คิลาเน ทุกขิเต ทิส๎วา โพชฌังเค สัตตะ เทสะยิ เต จะ ตัง อะภินันทิต๎วา โรคา มุจจิงสุ ตังขะเณ เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา. เอกะทา ธัมมะราชาปิ เคลัญเญนาภิปีฬิโต จุนทัตเถเรนะ ตัญเญวะ ภะณาเปต๎วานะ สาทะรัง สัมโมทิต๎วา จะ อาพาธา ตัม๎หา วุฏฐาสิ ฐานะโส เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา. ปะหีนา เต จะ อาพาธา ติณณันนัมปิ มะเหสินัง มัคคาหะตะกิเลสา วะ ปัตตานุปปัตติธัมมะตัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา.


78 โพชฌังคะปะริตตัง (แปล) โพชฌงค์ ๗ ประการ คือ สติสัมโพชฌงค์ ธรรมวิจยะสัมโพชฌงค์ วิริยะ สัมโพชฌงค์ปีติสัมโพชฌงค์ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์สมาธิสัมโพชฌงค์และอุเบกขา สัมโพชฌงค์๗ ประการเหล่านี้เป็นธรรมอันพระมุนีเจ้า ผู้ทรงเห็นธรรมทั้งปวง ตรัสไว้ชอบแล้ว อันบุคคลเจริญแล้วกระทำ�ให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้และเพื่อนิพพาน ด้วยการกล่าวคำ�สัตย์นี้ขอความสวัสดีจงบังเกิด มีแก่ท่าน ตลอดกาลทุกเมื่อ ในสมัยหนึ่ง พระโลกนาถเจ้า ทอดพระเนตรเห็นพระโมคคัลลานะ และ พระมหากัสสปะเป็นไข้ ได้รับความลำ�บาก จึงทรงแสดงโพชฌงค์ ๗ ประการ ให้ท่านทั้งสองฟัง ท่านทั้งสองนั้น ชื่นชมยินดียิ่ง ซึ่งโพชฌงคธรรม โรคก็หายได้ ในบัดดล ด้วยการกล่าวคำ�สัตย์นี้ขอความสวัสดีจงบังเกิดมีแก่ท่าน ตลอดกาล ทุกเมื่อ ในครั้งหนึ่ง องค์พระธรรมราชาเอง (พระพุทธเจ้า) ทรงประชวรเป็นไข้หนัก รับสั่งให้พระจุนทะเถระ กล่าวโพชฌงค์นั้นนั่นแลถวายโดยเคารพ ก็ทรงบันเทิง พระหฤทัย หายจากพระประชวรนั้นได้โดยพลัน ด้วยการกล่าวคำ�สัตย์นี้ขอความ สวัสดีจงบังเกิดมีแก่ท่าน ตลอดกาลทุกเมื่อ ก็อาพาธทั้งหลายนั้น ของพระผู้ทรงคุณอันยิ่งใหญ่ทั้ง ๓ องค์นั้น หายแล้ว ไม่กลับเป็นอีก ดุจดังกิเลส ถูกอริยมรรคกำ�จัดเสียแล้ว ถึงซึ่งความไม่เกิดอีกเป็น ธรรมดา ด้วยการกล่าวคำ�สัตย์นี้ขอความสวัสดีจงบังเกิดมีแก่ท่าน ตลอดกาล ทุกเมื่อ. อ้างอิง : โพชฌังคปริตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕ อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต.


79 ๑๑. อภยปริตร ที่มาของ อภยปริตร นิยมเรียกว่า “คาถายันทุน”ยังไม่ได้พบหลักฐานที่มา สันนิษฐานว่าเป็นคาถาที่โบราณาจารย์ชาวเชียงใหม่ประพันธ์ขึ้นในสมัยเดียวกัน กับที่รจนาพระคาถาชินบัญชร โดยสังเกตได้จากการตั้งจิตอธิษฐานให้บาปเคราะห์ นิมิตร้าย และสิ่งที่เป็นอัปมงคลพินาศไปด้วยอานุภาพของพระรัตนตรัย ให้มา ช่วยพิทักษ์คุ้มครอง เมื่อมีลางร้าย ฝันไม่ดีดวงชะตาตกต่ำ� หรือเกิดสิ่งที่ไม่เป็น มงคลขึ้น (ที่มา : สวดมนต์ฉบับหลวง สมเด็จพระสังฆราช (ปุสฺสเทว) หน้า ๒๔) อะภะยะปะริตตัง ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ โย จามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโท ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง พุทธานุภาเวนะ วินาสะเมนตุ. ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ โย จามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโท ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง ธัมมานุภาเวนะ วินาสะเมนตุ. ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ โย จามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโท ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง สังฆานุภาเวนะ วินาสะเมนตุ. อะภะยะปะริตตัง (แปล) ลางชั่วร้ายอันใดและอวมงคลอันใดเสียงนกเป็นที่ไม่ชอบใจอันใดและบาป เคราะห์อันใด และความฝันร้ายอันไม่น่าพอใจอันใด ขอสิ่งเหล่านั้น จงถึงความ พินาศไป ด้วยอานุภาพพระพุทธเจ้า ลางชั่วร้ายอันใดและอวมงคลอันใดเสียงนกเป็นที่ไม่ชอบใจอันใดและบาป เคราะห์อันใด และความฝันร้ายอันไม่น่าพอใจอันใด ขอสิ่งเหล่านั้น จงถึงความ พินาศไป ด้วยอานุภาพพระธรรมเจ้า ลางชั่วร้ายอันใดและอวมงคลอันใดเสียงนกเป็นที่ไม่ชอบใจอันใดและบาป เคราะห์อันใด และความฝันร้ายอันไม่น่าพอใจอันใด ขอสิ่งเหล่านั้น จงถึงความ พินาศไป ด้วยอานุภาพพระสงฆเจ้า อ้างอิง : สวดมนต์แปล พระศาสนโสภณ วัดมกุฏกษัตริยาราม กรรมการมหามกุฏราชวิทยาลัย 2547.


80 ๑๒. ชยปริตร ชยปริตร เป็นหนึ่งในบทสวดสิบสองตำ�นาน แต่งขึ้นภายหลัง ยังไม่พบ หลักฐานว่าใครเป็นผู้แต่ง เป็นคาถาสวดเพื่อให้เกิดมีชัยมงคลในการทำ�พิธีมงคล ต่างๆโดยกล่าวถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าที่มีพระกรุณาเป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์ เป็นสัจวาจาให้เกิดชัยมงคลในมงคลพิธีดังที่พระพุทธองค์ได้ทรงชนะมารที่ โคนต้นโพธิพฤกษ์ฉะนั้น. ชะยะปะริตตัง มะหาการุณิโก นาโถ หิตายะ สัพพะปาณินัง ปูเรต๎วา ปาระมี สัพพา ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เต ชะยะมังคะลัง. ชะยันโต โพธิยา มูเล สัก๎ยานัง นันทิวัฑฒะโน เอวัง ต๎วัง วิชะโย โหหิ ชะยัสสุ ชะยะมังคะเล อะปะราชิตะปัลลังเก สีเส ปะฐะวิโปกขะเร อะภิเสเก สัพพะพุทธานัง อัคคัปปัตโต ปะโมทะติ. สุนักขัตตัง สุมังคะลัง สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง สุขะโณ สุมุหุตโต จะ สุยิฏฐัง พ๎รัห๎มะจาริสุ ปะทักขิณัง กายะกัมมัง วาจากัมมัง ปะทักขิณัง ปะทักขิณัง มะโนกัมมัง ปะณิธี เต ปะทักขิณา ปะทักขิณานิ กัต๎วานะ ละภันตัตเถ ปะทักขิเณ. ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะพุทธานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะธัมมานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะสังฆานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต.


81 ชะยะปะริตตัง (แปล) พระพุทธเจ้า ผู้เป็นที่พึ่งของสัตว์ ประกอบแล้วด้วยพระมหากรุณา ยังบารมี ทั้งหลายทั้งปวงให้เต็ม เพื่อประโยชน์แก่สัตว์สรรสัตว์ทั้งหลาย ถึงแล้วซึ่งความ ตรัสรู้อันอุดม ด้วยความกล่าวคำ�สัตย์นี้ขอชัยมงคลจงมีแก่ท่าน ขอท่านจงมีชัยชนะ ในมงคลพิธีเหมือพระจอมมุนีทรงชนะมารที่โคนโพธิพฤกษ์ ถึงความเป็นผู้เลิศ ในสรรพพุทธาภิเษก ทรงปราโมทย์อยู่บนอปราชิตบัลลังก์อันสูง เป็นจอมมหา ปฐมพีทรงเพิ่มพูนความยินดี แก่เหล่าประยูรญาติศากยวงศ์ฉะนั้น เทอญ เวลาที่สัตว์ประพฤติชอบ ชื่อว่าฤกษ์ดี มงคลดีสว่างดีรุ่งดีและขณะดี ครู่ดี บูชาดีแล้ว ในพรหมจารีบุคคลทั้งหลาย กายกรรม เป็นประทักษิณ ส่วนเบื้องขวา วจีกรรม เป็นทักษิณ ส่วนเบื้องขวา มโนกรรม เป็นประทักษิณ ส่วนเบื้องขวา ความปรารถนาของท่าน เป็นทักษิณ ส่วนเบื้องขวา สัตว์ทั้งหลาย ทำ�กรรม อันเป็นทักษิณ ส่วนเบื้องขวาแล้ว ย่อมได้ประโยชน์ทั้งหลาย อันเป็น ประทักษิณ ส่วนเบื้องขวา อ้างอิง : ท.ธีรานันท์. เจ็ดตำ�นานแปล, กรุงเทพฯ : บริษัท สหธรรมิก จำ�กัด ๒๕๔๐. อตีตํ นานฺวาคเมยฺย นปฺปฏิกงฺเข อนาคตํ ยทตีตมฺปหีนนฺตํ อปฺปตฺตญฺจ อนาคตํ ปจฺจุปฺปนฺนญฺจ โย ธมฺมํ ตตฺถ ตตฺถ วิปสฺสติ อสํหิรํ อสงฺกุปฺปํ ตํ วิทฺธา มนุพฺรูหเย อชฺเชว กิจฺจมาตปฺปํ โก ชญฺญา มรณํ สุเว ฯ บุคคลไม่ควรคำ นึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้วไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึงสิ่งใดล่วงไปแล้วสิ่งนั้นก็เป็น อันละไปแล้ว และสิ่งที่ยังไม่มาถึง ก็เป็นอันยังไม่ถึง ก็บุคคลใดเห็นแจ้งธรรมปัจจุบันไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้นๆ ได้บุคคลนั้นพึงเจริญธรรมนั้นเนืองๆ ให้ปรุโปร่งเถิด พึงทำความเพียร เสียในวันนี้แหละ ใครเล่าจะรู้ความตายในวันพรุ่งนี้. พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๔ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์วิภังควรรค ภัทเทกรัตตสูตร


82 เทวะตาอุยโยชะนะคาถา (ใช้สวดต่อท้ายเจ็ดตำ�นาน สิบสองตำ�นาน เพื่ออัญเชิญเทวดากลับ) ทุกขัปปัตตา จะ นิททุกขา ภะยัปปัตตา จะ นิพภะยา โสกัปปัตตา จะ นิสโสกา โหนตุ สัพเพปิ ปาณิโน เอตตาวะตา จะ อัมเหหิ สัมภะตัง ปุญญะสัมปะทัง สัพเพ เทวานุโมทันตุ สัพพะสัมปัตติสิทธิยา ทานัง ทะทันตุ สัทธายะ สีลัง รักขันตุ สัพพะทา ภาวะนาภิระตา โหนตุ คัจฉันตุ เทวะตาคะตา. สัพเพ พุทธา พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญจะ ยัง พะลัง อะระหันตานัญจะ เตเชนะ รักขัง พันธามิ สัพพะโส. เทวะตาอุยโยชะนะคาถา (แปล) ขอสัตว์ทั้งปวงที่ประสบทุกข์ จงพ้นจากทุกข์ ที่ประสบภัย จงพ้นจากภัย และที่ประสบความโศก จงพ้นจากความโศกเสียได้เถิด. และขอเทวดาทั้งปวง จงได้อนุโมทนา ซึ่งบุญสมบัติอันข้าพเจ้าทั้งหลาย ได้สร้างสมไว้แล้วนี้เพื่อความสำ�เร็จแห่งสมบัติทั้งปวงเถิด. ขอเทวดาทั้งหลายจงให้ทาน รักษาศีลและยินดีในการภาวนาด้วยใจศรัทธา ตลอดกาลทุกเมื่อ ขออัญเชิญทวยเทพทั้งหลายที่มาชุมนุมแล้ว จงกลับเถิด. ด้วยเดชแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้ทรงถึงพร้อมด้วยพละธรรม ด้วยเดช แห่งพละธรรมของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย และด้วยเดชแห่งพละธรรมของ พระอรหันต์ทั้งหลาย ขอให้ข้าพเจ้าจงคุ้มครองรักษาความดีไว้ได้โดยประการ ทั้งปวงเทอญ.


83 ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เป็นปฐมเทศนา คือเทศนากัณฑ์แรก พระพุทธองค์ ทรงแสดงแก่ปัญจวัคคีย์ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสีจนทำ�ให้ เกิดพระอริยสงฆ์สาวกรูปแรกคือ พระอัญญาโกณฑัญญะ ได้ดวงตาเห็นธรรม เป็นพระโสดาบัน วันนี้จึงเกิดพระรัตนตรัย ครบ ๓ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ�เดือน ๘ ของทุกปีเราเรียกวันนี้ว่า วันอาสาฬหบูชา นั่นเอง บทขัดธัมมะจักกัปปะวัตตะนะสุตตัง อะนุตตะรัง อะภิสัมโพธิง สัมพุชฌิต๎วา ตะถาคะโต ปะฐะมัง ยัง อะเทเสสิ ธัมมะจักกัง อะนุตตะรัง สัมมะเทวะ ปะวัตเตนโต โลเก อัปปะฏิวัตติยัง ยัตถากขาตา อุโภ อันตา ปะฏิปัตติ จะ มัชฌิมา จะตูส๎วาริยะสัจเจสุ วิสุทธัง ญาณะทัสสะนัง เทสิตัง ธัมมะราเชนะ สัมมาสัมโพธิกิตตะนัง นาเมนะ วิสสุตัง สุตตัง ธัมมะจักกัปปะวัตตะนัง เวยยากะระณะปาเฐนะ สังคีตันตัมภะณามะ เส.


84 ธัมมะจักกัปปะวัตตะนะสุตตัง เอวัมเม สุตัง. เอกัง สะมะยัง ภะคะวา พาราณะสิยัง วิหะระติ อิสิปะตะเน มิคะทาเย ตัต๎ระ โข ภะคะวา ปัญจะวัคคิเย ภิกขู อามันเตสิ. เท๎วเม (อ่านว่า ทะเวเม) ภิกขะเว อันตา ปัพพะชิเตนะ นะ เสวิตัพพา โย จายัง กาเมสุ กามะสุขัลลิกานุโยโค หีโน คัมโม โปถุชชะนิโก อะนะริโย อะนัตถะ สัญหิโต โย จายัง อัตตะกิละมะถานุโยโค ทุกโข อะนะริโย อะนัตถะสัญหิโต เอเต เต ภิกขะเว อุโภ อันเต อะนุปะคัมมะ มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถา คะเตนะ อะภิสัมพุทธา จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ. กะตะมา จะ สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ. อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค. เสยยะถีทัง. สัมมาทิฏฐิ สัมมา สังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมา สะติ สัมมาสะมาธิ. อะยัง โข สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ. อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขัง อะริยะสัจจัง. ชาติปิ ทุกขา ชะราปิ ทุกขา มะระณัมปิ ทุกขัง โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาปิ ทุกขา อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา.


85 อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง. ยายัง ตัณหา โปโนพภะวิกา นันทิราคะสะหะคะตา ตัต๎ระ ตัต๎ราภินันทินี. เสยยะถีทัง. กามะตัณหา ภะวะตัณหา วิภะวะตัณหา. อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง. โย ตัสสาเยวะ ตัณหายะ อะเสสะวิราคะนิโรโธ จาโค ปะฏินิสสัคโค มุตติ อะนาละโย. อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง. อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค. เสยยะถีทัง. สัมมาทิฏฐิ สัมมา สังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมา สะติ สัมมาสะมาธิ. อิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ. ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญเญยยันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ. ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญญาตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ. อิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ. ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ปะหาตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ.


86 ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ปะหีนันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ. อิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ. ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง สัจฉิกาตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ. ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง สัจฉิกะตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ. อิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ. ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาเวตัพ พันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ. ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาวิตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ. ยาวะกีวัญจะ เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ เอวันติปะริวัฏฏัง ท๎วาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง นะ สุวิสุทธัง อะโหสิ.


87 เนวะ ตาวาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพ๎รัห๎มะเก สัสสะ มะณะพ๎ราห๎มะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิง. ยะโต จะ โข เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ เอวันติปะริวัฏฏัง ท๎วาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง สุวิสุทธัง อะโหสิ. อะถาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพ๎รัห๎มะเก สัสสะมะณะ พ๎ราห๎มะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิง. ญาณัญจะ ปะนะ เม ทัสสะนัง อุทะปาทิ อะกุปปา เม วิมุตติ อะยะมันติมา ชาติ นัตถิทานิ ปุนัพภะโวติ. อิทะมะโวจะ ภะคะวา. อัตตะมะนา ปัญจะวัคคิยา ภิกขู ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทุง. อิมัส๎มิญจะ ปะนะเวยยากะระณัส๎มิง ภัญญะมาเน อายัส๎มะโต โกณฑัญญัสสะ วิระชัง วีตะมะลัง ธัมมะจักขุง อุทะปาทิ ยังกิญจิ สะมุทะยะ ธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติ. ปะวัตติเต จะ ภะคะวะตา ธัมมะจักเก ภุมมา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง เอตัมภะคะวะตา พาราณะสิยัง อิสิปะตะเน มิคะทาเย อะนุตตะรัง ธัมมะจักกัง ปะวัตติตัง อัปปะฏิวัตติยัง สะมะเณนะ วา พ๎ราห๎มะเณนะ วา เทเวนะ วา มาเรนะ วา พ๎รัห๎มุนา วา เกนะจิ วา โลกัส๎มินติ. ภุมมานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา จาตุมมะหาราชิกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง. จาตุมมะหาราชิกานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา ตาวะติงสา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง. ตาวะติงสานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา


88 ยามา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง. ยามานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา ตุสิตา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง. ตุสิตานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา นิมมานะระตี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง. นิมมานะระตีนัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา ปะระนิมมิตะวะสะวัตตี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง. ปะระนิมมิตะวะสะวัต ตีนัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา พ๎รัห๎มะกายิกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง. เอตัมภะคะวะตา พาราณะสิยัง อิสิปะตะเน มิคะทาเย อะนุตตะรัง ธัมมะ จักกัง ปะวัตติตัง อัปปะฏิวัตติยัง สะมะเณนะ วา พ๎ราห๎มะเณนะ วา เทเวนะ วา มาเรนะ วา พ๎รัห๎มุนา วา เกนะจิ วา โลกัส๎มินติ. อิติหะ เตนะ ขะเณนะ เตนะ มุหุตเตนะ ยาวะ พ๎รัห๎มะโลกา สัทโท อัพภุคคัจฉิ. อะยัญจะ ทะสะสะหัสสี โลกะธาตุ สังกัมปิ สัมปะกัมปิ สัมปะเวธิ. อัปปะมาโณ จะ โอฬาโร โอภาโส โลเก ปาตุระโหสิ อะติกกัมเมวะ เทวานัง เทวานุภาวัง. อะถะโข ภะคะวา อุทานัง อุทาเนสิ อัญญาสิ วะตะโภ โกณฑัญโญ อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญติ. อิติหิทัง อายัส๎มะโต โกณฑัญญัสสะ อัญญาโกณฑัญโญเต๎ววะ (อ่านว่า ตะเววะ) นามัง อะโหสีติ. น ตํ มาตา ปิตา กยิรา อัญเญ วาปิจ ญาตกา สมฺมาปณิหิตํ จิตฺตํ เสยฺยโส นํ ตโต กเร จิตที่ตั้งไว้ถูกต้อง ทําคนให้ประเสริฐประสบผลดียิ่งกว่าที่มารดาบิดา หรือญาติทั้งหลายใดๆ จะทําให้ได้ พระไตรปิฏก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฏก ขุททกนิกาย ชาดก


89 ธัมมะจักกัปปะวัตตะนะสุตตัง (แปล) ข้าพเจ้า (พระอานนท์) ได้ฟังมาดังนี้สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ป่าสวนกวางที่อิสิปตนะ ใกลักรุงพาราณสีณ ที่นั้นพระองค์ได้ตรัสกับภิกษุ ปัญจวัคคีย์ว่า “ภิกษุทั้งหลาย!ส่วนสุดโต่ง ๒ อย่างนี้เป็นสิ่งที่บรรพชิตไม่ควรเสพ คือการฝักใฝ่พัวพันด้วยกามสุขในกามทั้งหลายเป็นสิ่งที่เลว เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์๑ และการฝักใฝ่ในการ ทรมานตนเป็นทุกข์ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์๑” ส่วนทางสายกลางที่ไม่เข้าส่วนสุดโต่งทั้ง ๒ อย่างนั้น ซึ่งเราตถาคตได้ตรัสรู้ แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำ�ดวงตาให้เกิด ทำ�ญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้เพื่อนิพพาน ก็ทางสายกลางที่เราตถาคตได้ตรัสรู้นั้น เป็นอย่างไรเล่า ได้แก่อริยมรรคมี องค์๘ นี้แหละ คือความเห็นความถูกต้อง ๑ ความดำ�ริถูกต้อง ๑ วาจาถูกต้อง ๑ การงานถูกต้อง ๑ การเลี้ยงชีพถูกต้อง ๑ เพียรถูกต้อง ๑ ระลึกถูกต้อง ๑ ตั้งจิต ถูกต้อง ๑ นี้แลคือทางสายกลางนั้นที่เราตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำ�ดวงตาให้เกิด ทำ�ญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้เพื่อนิพพาน ภิกษุทั้งหลาย!ความจริงอันประเสริฐที่เป็นตัวทุกข์นั้นได้แก่ความเกิดก็เป็น ทุกข์ความแก่ก็เป็นทุกข์ความตายก็เป็นทุกข์การเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่เป็นที่รักก็ เป็นทุกข์การพลัดพรากจากสิ่งที่รักก็เป็นทุกข์ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ โดยย่อ อุปาทานขันธ์๕ เป็นทุกข์ ความจริงอันประเสริฐที่ทำ�ให้ทุกข์เกิด นั้นได้แก่ความอยากอันทำ�ให้เกิดอีก ประกอบด้วยความกำ�หนัดยินดีเพลิดเพลินในอารมณ์นั้นๆคือความอยากในกาม ความอยากให้มีอยากให้เป็น (อย่างนั้นๆ) ความจริงอันประเสริฐที่ทำ�ให้ทุกข์ดับ นั้นได้แก่ การดับโดยไม่มีเศษเหลือ ของความอยากนั้นด้วยอำ�นาจแห่งวิราคะ สละคืน ปล่อยไป ไม่พัวพัน


90 ความจริงอันประเสริฐที่เป็นปฏิปทาเพื่อความดับทุกข์ นั้นได้แก่ อริยมรรค มีองค์ ๘ นั้นแหละ คือความเห็นถูกต้อง ๑ ความดำ�ริถูกต้อง ๑ วาจาถูกต้อง ๑ การงานถูกต้อง ๑ การเลี้ยงชีพถูกต้อง ๑ เพียรถูกต้อง ๑ ระลึกถูกต้อง ๑ ตั้งจิต ถูกต้อง ๑ ภิกษุทั้งหลาย! ดวงตา ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนว่า นี้แลคือความจริงอันประเสริฐ ที่เป็นตัวทุกข์ ก็ความจริงอันประเสริฐที่เป็นตัวทุกข์นี้ควรกำ�หนดรู้ก็ความจริง อันประเสริฐที่เป็นตัวทุกข์เราได้กำ�หนดรู้แล้ว ดวงตา ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่างได้เกิดขึ้นแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เรา ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนว่า นี้คือความจริงอันประเสริฐที่ทำ�ให้ทุกข์เกิดก็ความจริง อันประเสริฐ ที่ทำ�ให้ทุกข์เกิดนี้ควรละ เราได้ละแล้ว ดวงตา ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่างได้เกิดขึ้นแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เรา ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนว่า นี้คือความจริงอันประเสริฐที่ทำ�ให้ทุกข์ดับ ก็ความจริง อันประเสริฐที่ทำ�ให้ทุกข์ดับนี้ควรทำ�ให้แจ้ง เราได้ทำ�ให้แจ้งแล้ว ดวงตา ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่างได้เกิดขึ้นแก่เราในธรรมทั้งหลาย ที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนว่า นี้คือความจริงอันประเสริฐที่เป็นปฏิปทาเพื่อ ความดับทุกข์ก็ความจริงอันประเสริฐที่เป็น ปฏิปทาเพื่อความดับทุกข์นี้ควรทำ�ให้ เกิดขึ้น เราได้ทำ�ให้เกิดขึ้นแล้ว ภิกษุทั้งหลาย! ญาณของเราอันรู้เห็นตามความเป็นจริงในความจริงอัน ประเสริฐ ๔ ข้อนี้โดย ๓ รอบ ๑๒ อาการ ยังไม่หมดจดดีตราบใด เราก็ยังยืนยัน ไม่ได้ว่าเราได้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ อันไม่มีสิ่งใดยิ่งกว่า ทั้งในโลกของเทพ มาร พรหม ทั้งในหมู่มนุษย์ พร้อมด้วยสมมติเทพ สมณพรหมณ์และประชาชน ทั้งหลายตราบนั้น แต่เมื่อญาณของเราอันรู้เห็นตามความเป็นจริงอันประเสริฐทั้ง ๔ ข้อนี้ โดย ๓ รอบ ๑๒ อาการหมดจดดีแล้วเราจึงยืนยันได้ว่า เราได้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ


91 อันไม่มีสิ่งใดยิ่งกว่า ทั้งในโลกของมาร พรหม ทั้งในหมู่มนุษย์พร้อมด้วยสมมติเทพ สมณพราหมณ์และประชาชนทั้งหลาย อนึ่งความรู้ความเห็นได้เกิดขึ้นแก่เราว่า “การหลุดพ้นของเราไม่กลับกำ�เริบ นี้คือชาติสุดท้าย ภพใหม่ต่อไปย่อมไม่มี” นี่แหละคือคำ�ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ภิกษุปัญจวัคคีย์รู้สึกเพลิดเพลิน ยินดีในภาษิตของพระองค์และในขณะที่พระองค์ตรัสคำ�อธิบายนี้อยู่ดวงตาเห็นธรรม อันปราศจากธุลีมลทินได้เกิดขึ้น แก่พระโกณทัญญะว่า “สิ่งใดเป็นธรรมชาติเกิด แก่เหตุสิ่งนั้นทั้งหมดเป็นธรรมชาติที่ต้องดับอย่างแน่นอน” เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำ�ธรรมจักรให้หมุนแล้ว เหล่าภุมมเทพได้บันลือ เสียงว่า “นั่น ธรรมจักรอันยอดเยี่ยม พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงทำ�ให้หมุนในป่า สวนกวาง ที่อิสิปตนะใกล้กรุงพาราณสีอันสมณพราหมณ์ เทพ มาร พรหม หรือ ใครๆ ในโลกจะทำ�ให้หยุดหมุนไม่ได้” เทวดาชั้นจาตุมหาราช ได้ยินเสียงของเหล่าภุมมเทพก็บรรลือเสียงต่อไป เทวดาชั้นดาวดึงส์ ได้ยินเสียงของเหล่าเทวดาชั้นจาตุมหาราช ก็บรรลือ เสียงต่อไป เทวดาชั้นยามะ...เทวดาชั้นดุสิต..เทวดาชั้นนิมมานรตี...เทวดาชั้นปรนิมมิต วสวัตตี.. เทวดาเนื่องในหมู่พรหมได้ยินเสียงของเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตีก็บันลือ เสียงต่อๆไปว่า “นั่นธรรมจักรอันยอดเยี่ยม พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงทำ�ให้หมุน ในป่าสวนกวางที่อิสิปตนะ ใกล้กรุงพาราณสีอันสมณพราหมณ์ เทพ มาร พรหม หรือใครๆ ในโลกจะทำ�ให้หยุดหมุนไม่ได้” ชั่วขณะเดียวนั้นแลเสียงกระฉ่อนขึ้นไปถึงพรหมโลกทั้งหมื่นโลกธาตุนี้ สะเทือน สะท้านหวั่นไหวไป ทั้งแสงโอภาสอันยิ่งใหญ่หาประมาณมิได้ก็ปรากฏขึ้น มาในโลก เกินกว่าอานุภาพของเทวดาทั้งหลายจะทำ�ได้ ลำ�ดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเปล่งอุทานว่า “โกณฑัญญะรู้แล้วหนอ โกณฑัญญะรู้แล้วหนอ!” เพราะเหตุนั้นชื่อของพระโกณฑัญญะจึงได้เปลี่ยนเป็น อัญญาโกณฑัญญะ คือ โกณฑัญญะผู้รู้แล้ว ด้วยประการฉะนี้ฯ


92 อนัตตลักขณสูตร อนัตตลักขณสูตร เป็นพระสูตรที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสีหรือในเขตเมืองสารนาถ ประเทศอินเดีย ในปัจจุบัน เมื่อพระชนมายุได้๓๕ พรรษา พระสูตรนี้โดยทรงแสดงต่อปัญจวัคคีย์ในวันแรม ๕ ค่ำ� เดือน ๘ หลังจาก ที่พระพุทธองค์ได้แสดงปฐมเทศนาคือ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ� เดือน ๘ จนพระอัญญาโกณฑัญญะ บรรลุโสดาบัน และในวันต่อๆ มา ทรงแสดง “ปกิณณกเทศนา”ยังผลให้พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะและพระอัสสชิ บรรลุโสดาบันตามลำ�ดับ และได้รับเป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ครั้นเมื่อถึงวันแรม ๕ ค่ำ� เดือน ๘ หลังจากสดับพระธรรมเทศนา อนัตตลักขณสูตร พระภิกษุปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ได้บรรลุพระนิพพานเป็นพระอรหันต์ พร้อมกันทั้ง ๕ รูป นับเป็นพระอรหันต์กลุ่มแรกในพระบวรพุทธศาสนา บทขัดอะนัตตะลักขะณะสุตตัง ยันตัง สัตเตหิ ทุกเขนะ เญยยัง อะนัตตะลักขะณัง อัตตะวาทาตตะสัญญานัง สัมมะเทวะ วิโมจะนัง สัมพุทโธ ตัง ปะกาเสสิ ทิฏฐะสัจจานะ โยคินัง อุตตะริง ปะฏิเวธายะ ภาเวตุง ญาณะมุตตะมัง ยันเตสัง ทิฏฐะธัมมานัง ญาเณนุปะปะริกขะตัง สัพพาสะเวหิ จิตตานิ วิมุจจิงสุ อะเสสะโต ตะถา ญาณานุสาเรนะ สาสะนัง กาตุมิจฉะตัง สาธูนัง อัตถะสิทธัตถัง ตัง สุตตันตัง ภะณามะ เสฯ


93 อะนัตตะลักขะณะสุตตัง เอวัมเม สุตัง. เอกัง สะมะยัง ภะคะวา พาราณะสิยัง วิหะระติ อิสิปะ ตะเน มิคะทาเย. ตัต๎ระ โข ภะคะวา ปัญจะวัคคิเย ภิกขู อามันเตสิ. รูปัง ภิกขะเว อะนัตตา. รูปัญจะหิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสะ นะยิทัง รูปัง อาพาธายะ สังวัตเตยยะ ลัพเภถะ จะ รูเป เอวัง เม รูปัง โหตุ เอวัง เม รูปัง มา อะโหสีติ. ยัส๎มา จะ โข ภิกขะเว รูปัง อะนัตตา ตัส๎มา รูปัง อาพา ธายะ สังวัตตะติ นะ จะ ลัพภะติ รูเป เอวัง เม รูปัง โหตุ เอวัง เม รูปัง มา อะโหสีติ. เวทะนา อะนัตตา. เวทะนา จะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสะ นะยิทัง เวทะนา อาพาธายะ สังวัตเตยยะ ลัพเภถะ จะ เวทะนายะ เอวัง เม เวทะนา โหตุ เอวัง เม เวทะนา มา อะโหสีติ. ยัส๎มา จะ โข ภิกขะเว เวทะนา อะนัตตา ตัส๎มา เวทะนา อาพาธายะ สังวัตตะติ นะ จะ ลัพภะติ เวทะนายะ เอวัง เม เวทะนา โหตุ เอวัง เม เวทะนา มา อะโหสีติ. สัญญา อะนัตตา. สัญญา จะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสะ นะยิทัง สัญญา อาพาธายะ สังวัตเตยยะ ลัพเภถะ จะ สัญญายะ เอวัง เม สัญญา โหตุ เอวัง เม สัญญา มา อะโหสีติ. ยัส๎มา จะ โข ภิกขะเว สัญญา อะนัตตา ตัส๎มา สัญญา อาพาธายะ สังวัตตะติ นะ จะ ลัพภะติ สัญญายะ เอวัง เม สัญญา โหตุ เอวัง เม สัญญา มา อะโหสีติ. สังขารา อะนัตตา. สังขารา จะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสังสุ นะยิทัง สังขารา อาพาธายะ สังวัตเตยยุง ลัพเภถะ จะ สังขาเรสุ เอวัง เม สังขารา โหนตุ เอวัง เม สังขารา มา อะเหสุนติ. ยัส๎มา จะ โข ภิกขะเว สังขารา อะนัตตา ตัส๎มา สังขารา อาพาธายะ สังวัตตันติ นะ จะ ลัพภะติ สังขาเรสุ เอวัง เม สังขารา โหนตุ เอวัง เม สังขารา มา อะเหสุนติ. วิญญาณัง อะนัตตา. วิญญาณัญจะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสะ นะยิทัง วิญญาณัง อาพาธายะ สังวัตเตยยะ ลัพเภถะ จะ วิญญาเณ เอวัง


94 เม วิญญาณัง โหตุ เอวัง เม วิญญาณัง มา อะโหสีติ. ยัส๎มา จะ โข ภิกขะเว วิญญาณัง อะนัตตา ตัส๎มา วิญญาณัง อาพาธายะ สังวัตตะติ นะ จะ ลัพภะติ วิญญาเณ เอวัง เม วิญญาณัง โหตุ เอวัง เม วิญญาณัง มา อะโหสีติ. ตัง กิง มัญญะถะ ภิกขะเว รูปัง นิจจัง วา อะนิจจัง วาติ. อะนิจจัง ภันเต. ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ. ทุกขัง ภันเต. ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง เอตัง มะมะ เอโสหะมัส๎มิ เอโส เม อัตตาติ. โน เหตัง ภันเต. ตัง กิง มัญญะถะ ภิกขะเว เวทะนา นิจจา วา อะนิจจา วาติ. อะนิจจา ภันเต. ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ. ทุกขัง ภันเต. ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง, เอตัง มะมะ เอโสหะมัส๎มิ เอโส เม อัตตาติ. โน เหตัง ภันเต. ตัง กิง มัญญะถะ ภิกขะเว สัญญา นิจจา วา อะนิจจา วาติ. อะนิจจา ภันเต. ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ. ทุกขัง ภันเต. ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง เอตัง มะมะ เอโสหะ มัส๎มิ เอโส เม อัตตาติ. โน เหตัง ภันเต. ตัง กิง มัญญะถะ ภิกขะเว สังขารา นิจจา วา อะนิจจา วาติ. อะนิจจา ภันเต. ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ. ทุกขัง ภันเต. ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง เอตัง มะมะ เอโสหะ มัส๎มิ เอโส เม อัตตาติ. โน เหตัง ภันเต. ตัง กิง มัญญะถะ ภิกขะเว วิญญาณัง นิจจัง วา อะนิจจัง วาติ. อะนิจจัง ภันเต. ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ. ทุกขัง ภันเต. ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง เอตัง มะมะ เอโสหะ มัส๎มิ เอโส เม อัตตาติ. โน เหตัง ภันเต. ตัส๎มาติหะ ภิกขะเว ยังกิญจิ รูปัง อะตีตานาคะตะปัจจุปปันนัง อัชฌัตตัง วา พะหิทธา วา โอฬาริกัง วา สุขุมัง วา หีนัง วา ปะณีตัง วา ยันทูเร สันติ เก วา สัพพัง รูปัง เนตัง มะมะ เนโสหะมัส๎มิ นะ เมโส อัตตาติ. เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปัญญายะ ทัฏฐัพพัง.


95 ยา กาจิ เวทะนา อะตีตานาคะตะปัจจุปปันนา อัชฌัตตา วา พะหิทธา วา โอฬาริกา วา สุขุมา วา หีนา วา ปะณีตา วา ยา ทูเร สันติเก วา สัพพา เวทะนา เนตัง มะมะ เนโสหะมัส๎มิ นะ เมโส อัตตาติ. เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปัญญายะ ทัฏฐัพพัง. ยา กาจิ สัญญา อะตีตานาคะตะปัจจุปปันนา อัชฌัตตา วา พะหิทธา วา โอฬาริกา วา สุขุมา วา หีนา วา ปะณีตา วา ยา ทูเร สันติเก วา สัพพา สัญญา เนตัง มะมะ เนโสหะมัส๎มิ นะ เมโส อัตตาติ. เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปัญญายะ ทัฏฐัพพัง. เย เกจิ สังขารา อะตีตานาคะตะปัจจุปปันนา อัชฌัตตา วา พะหิทธา วา โอฬาริกา วา สุขุมา วา หีนา วา ปะณีตา วา เย ทูเร สันติเก วา สัพเพ สังขารา เนตัง มะมะ เนโสหะมัส๎มิ นะ เมโส อัตตาติ. เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปัญญายะ ทัฏฐัพพัง. ยังกิญจิ วิญญาณัง อะตีตานาคะตะปัจจุปปันนัง อัชฌัตตัง วา พะหิทธา วา โอฬาริกัง วา สุขุมัง วา หีนัง วา ปะณีตัง วา ยันทูเร สันติเก วา สัพพัง วิญญาณัง เนตัง มะมะ เนโสหะมัส๎มิ นะ เมโส อัตตาติ. เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปัญญายะ ทัฏฐัพพัง. เอวัง ปัสสัง ภิกขะเว สุต๎วา อะริยะสาวะโก รูปัส๎มิงปิ นิพพินทะติ เวทะนายะปิ นิพพินทะติ สัญญายะปิ นิพพินทะติ สังขาเรสุปิ นิพพินทะติ วิญญาณัส๎มิงปิ นิพพินทะติ. นิพพินทัง วิรัชชะติ. วิราคา วิมุจจะติ. วิมุตตัส๎มิง วิมุตตะมีติ ญาณัง โหติ ขีณา ชาติ วุสิตัง พ๎รัห๎มะจะริยัง กะตัง กะระณียัง นาปะรัง อิตถัตตายาติ ปะชานาตีติ. อิทะมะโวจะ ภะคะวา. อัตตะมะนา ปัญจะวัคคิยา ภิกขู ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทุง. อิมัส๎มิญจะ ปะนะ เวยยากะระณัส๎มิง ภัญญะมาเน ปัญจะวัคคิยานัง ภิกขูนัง อะนุปาทายะ อาสะเวหิ จิตตานิ วิมุจจิงสูติ.


96 อะนัตตะลักขะณะสุตตัง (แปล) ข้าพเจ้า (พระอานนท์) ได้ฟังมาดังนี้สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ป่าสวนกวาง ที่อิสิปตนะ ใกลักรุงพาราณสีณ ที่นั่นพระองค์ได้ตรัสกับภิกษุ ปัญจวัคคีย์ว่า “ภิกษุทั้งหลาย! รูปไม่ใช่ตัวตน ถ้ารูปนี้เป็นตัวคนไซรัรูปนี้จะไม่เป็นไป เพื่ออาพาธและบุคคลจะได้ในรูปว่า รูปของเราจงเป็นอย่างนี้รูปของเราอย่าได้เป็น อย่างนั้นเลย แต่เนื่องจากว่า รูปไม่ใช่ตัวตน รูปจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคล ย่อมไม่ได้ในรูปว่า รูปของเราจงเป็นอย่างนี้รูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย” เวทนาไม่ใช่ตัวตน...สัญญาไม่ใช่ตัวตน...สังขารไม่ใช่ตัวตน...วิญญาณไม่ใช่ ตัวตน ถ้าวิญญาณนี้เป็นตัวตนไซร้วิญญาณนี้จะไม่เป็นไปเพื่ออาพาธและบุคคล จะได้ในวิญญาณว่า วิญญาณของเราจงเป็นอย่างนี้ วิญญาณของเราอย่าได้เป็น อย่างนั้นเลย แต่เนื่องจากว่าวิญญาณไม่ใช่ตัวตน วิญญาณจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้ในวิญญาณว่า วิญญาณของเราจงเป็นอย่างนี้วิญญาณของ เราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย “ภิกษุทั้งหลาย! พวกเธอสำ�คัญข้อนี้เป็นอย่างไร รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง” พระปัญจวัคคีย์ทูลว่า “ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า” พ. “ก็สิ่งใดที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์หรือสุขเล่า” ป. “เป็นทุกข์พระเจ้าข้า” พ. “ก็สิ่งใดที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา สมควร หรือเปล่าที่จะเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นคือเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา” ป. “ไม่สมควรเลย พระเจ้าข้า” พ. “พวกเธอสำ�คัญข้อนี้เป็นอย่างไร เวทนาเที่ยงหรือไม่เที่ยง...สัญญา... สังขาร...วิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง” ป. “ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า” พ. “ก็สิ่งใดที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า”


97 ป. “เป็นทุกข์พระเจ้าข้า” พ. “ก็สิ่งใดที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา สมควร หรือเปล่าที่จะเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นคือเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา” ป. “ไม่สมควรเลย พระเจ้าข้า” พ. “เพราะเหตุนั้น รูปอันใด...เวทนาอันใด...สัญญาอันใด...สังขารอันใด... วิญญาณอันใด เป็นอดีตอนาคตหรือปัจจุบัน ในภายในหรือภายนอก หยาบหรือ ละเอียดเลวหรือประณีตไกลหรือใกล้ทั้งหมดเธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอัน ถูกต้องตามความเป็นจริงว่านั้นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เรานั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา” อริยสาวกผู้ได้ฟังมาแล้ว เมื่อเห็นอย่างนี้ย่อมเบื่อหน่ายในรูป...ในเวทนา... ในสัญญา...ในสังขาร... และในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายกำ�หนัดเมื่อคลาย กำ�หนัดย่อมหลุดพ้น เมื่อพ้นแล้วย่อมมีญาณรู้ว่า “หลุดพ้นแล้ว ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์จบแล้ว กิจที่ควรทำ�ได้ทำ�เสร็จแล้ว ไม่มีอะไรอีก เพื่อความเป็นอยู่ อย่างนี้ต่อไป” นี้แลคำ�ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้พระภิกษุปัญจวัคคีย์รู้สึกเพลิดเพลิน ยินดีในภาษิตของพระองค์ และในขณะที่พระองค์ตรัสคำ�อธิบายนี้อยู่ จิตของ พระภิกษุปัญจวัคคีย์ได้หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะหมดอุปาทานยึดมั่น ถือมั่น ฯ สุทุทฺทสํ สุนิปุณํ ยตฺถ กามนิปาตินํ จิตฺตํ รกฺเขถ เมธาวี จิตฺตํ คุตฺตํ สุขาวหํ. ผู้มีปัญญา พึงรักษาจิต ที่เห็นได้แสนยาก ละเอียดยิ่งนัก มักตกไปในอารมณ์ตามความใคร่, (เพราะว่า) จิตที่คุ้มครองไว้ได้เป็นเหตุนำสุขมาให้. พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท จิตตวรรคที่ ๓


98 อาทิตตปริยายสูตร อาทิตตปริยายสูตร เป็นธรรมที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดง ธรรมแก่หมู่ภิกษุชฎิล ทั้ง ๑,๐๐๓ รูป ขณะที่พระบรมศาสดา ทรงแสดงพระธรรม เทศนาอยู่นั้น ภิกษุชฎิล ทั้ง ๑,๐๐๓ รูป ส่งกระแสจิตไปตามวาระแห่งพระธรรม เทศนา จิตของพวกเธอ ก็หลุดพ้นจากกิเลสาสวะทั้งปวง สำ�เร็จป็นพระอรหันต์ ขีณาสพด้วยกันทั้งหมด และพระภิกษุชฏิลทั้งหมดนั้นก็ได้เป็นกำ�ลังสำ�คัญใน การประกาศพระพุทธศาสนาที่เมืองราชคฤห์ เมืองหลวงแห่งแคว้นมคธ ทำ�ให้ แคว้นมคธเป็นฐานอำ�นาจสำ�คัญในการเผยแพร่พระพุทธศาสนาในเวลาต่อมา บทขัดอาทิตตะปะริยายะสุตตัง เวเนยยะทะมะโนปาเย สัพพะโส ปาระมิง คะโต อะโมฆะวะจะโน พุทโธ อะภิญญายานุสาสะโก จิณณานุรูปะโต จาปิ ธัมเมนะ วินะยัง ปะชัง จิณณาคคิปาริจะริยานัง สัมโพชฌาระหะโยคินัง ยะมาทิตตะปะริยายัง เทสะยันโต มะโนหะรัง เต โสตาโร วิโมเจสิ อะเสกขายะ วิมุตติยา ตะเถโวปะปะริกขายะ วิญญูนัง โสตุมิจฉะตัง ทุกขะตาลักขะโณปายัง ตัง สุตตันตัง ภะณามะ เส.


Click to View FlipBook Version