The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เล่มพระปริตรเข้าห่วง 10-4-67 ok

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sarinya_viriya, 2024-04-09 21:59:29

เล่มพระปริตรเข้าห่วง 10-4-67 ok

เล่มพระปริตรเข้าห่วง 10-4-67 ok

149 การสวดมนต์ การแผ่เมตตา เป็นสิ่งที่โบราณจารย์ครูบาอาจารย์ราชบัณฑิต ทั้งหลายได้ประพฤติปฏิบัติต่อกันมาตามลำ�ดับ เพราะเห็นประโยชน์ว่า การสวดมนต์ บทแผ่เมตตานี้ จะทำ�ให้ผู้ปฏิบัติเป็นประจำ� มีจิตใจอ่อนโยนเยือกเย็นลงได้และ ทำ�ให้เรามองเห็นว่า การที่มนุษย์หวังดีปรารถนาดีต่อกันนั้น เป็นหนทางทำ�ให้โลก เกิดสันติสุขได้และเมื่อตัวเองได้รับความสุขแม้เพียงเล็กน้อยก็ย่อมต้องการให้ เพื่อนร่วมโลกได้รับความสุขเช่นนั้นบ้าง จึงได้แผ่กระแสจิตอันเยือกเย็นและ อ่อนโยนนั้นไปยังผู้อื่น บทแผ เมตตาใหสรรพสัตวทั้งหลาย สัพเพ สัตตา. สรรพสัตวทั้งหลาย ที่เปนเพื่อนทุกข เกิด แก เจ็บ ตาย ดวยกันทั้งสิ้น. อะเวรา โหนตุ. จงเปนสุขเปนสุขเถิด อยาไดมีเวรแกกันและกันเลย. อัพ๎ยาปชฌา โหนตุ. จงเปนสุขเปนสุขเถิด อยาไดเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย. อะนีฆา โหนตุ. จงเปนสุขเปนสุขเถิด อยาไดมีความทุกขกายทุกขใจเลย. สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ. จงมีความสุขกาย สุขใจ รักษาตนใหพนจากทุกขภัยทั้งสิ้นเทอญ. บทแผ เมตตาให้ตนเอง อะหัง สุขิโต โหมิ. ขอใหขาพเจามีความสุข. อะหัง นิททุกโข โหมิ. ขอใหขาพเจ้าปราศจากความทุกข. อะหัง อะเวโร โหมิ. ขอใหขาพเจ้าปราศจากเวร. อะหัง อัพ๎ยาปัชโฌ โหมิ. ขอใหขาพเจ้าปราศจากอุปสรรคอันตรายทั้งปวง. สุขี อัตตานัง ปะริหะรามิ. ขอให้ข้าพเจ้าจงมีความสุขกาย สุขใจ รักษากาย วาจา ใจ ใหพนจากทุกขภัย ทั้งปวงเถิด.


150 บทแผ  ส  วนกุศล อิทัง เม มาตาปตูนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ มาตาปตะโร. ขอสวนบุญนี้ จงสําเร็จแกมารดาบิดาของขาพเจา ขอใหมารดาบิดาของขาพเจามีความสุข. อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย. ขอสวนบุญนี้จงสําเร็จ แกญาติทั้งหลายของขาพเจา ขอใหญาติทั้งหลายของขาพเจามีความสุข. อิทัง เม คุรูปัชฌายาจะริยานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ คุรูปัชฌายาจะริยา. ขอสวนบุญนี้จงสําเร็จแกครูอุปชฌายอาจารยของขาพเจา ขอใหครูอุปชฌาย อาจารยของขาพเจามีความสุข. อิทัง สัพพะเทวะตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เทวา. ขอสวนบุญนี้ จงสําเร็จแกเทวดาทั้งหลายทั้งปวง ขอใหเทวดาทั้งหลายทั้งปวงมีความสุข. อิทัง สัพพะเปตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เปตา. ขอสวนบุญนี้ จงสําเร็จแกเปรตทั้งหลายทั้งปวง ขอใหเปรตทั้งหลายทั้งปวงมีความสุข. อิทัง สัพพะเวรีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพเวรี. ขอสวนบุญนี้จงส  ําเร็จแก เจากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวงขอใหเจ ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวงมีความสุข. อิทัง สัพพะสัตตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ สัตตา. ขอสวนบุญนี้ จงสําเร็จแกสัตว  ทั้งหล ายทั้งปวงขอใหสัตว  ทั้งหล ายทั้งปวงมีความสุขทั่วหนากันเทอญ. บทแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวร ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศล จากการสวดมนต์เจริญภาวนานี้ ให้แก่เจ้ากรรม นายเวรทั้งหลายของ (ข้าพเจ้า)..........................กรรมใดที่..................ได้เคย ล่วงเกินท่านด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติ ท่านจะอยู่ภพใดหรือภูมิใดก็ตาม ขอให้ท่านได้รับผลบุญนี้แล้วโปรดอโหสิกรรม และอนุโมทนาบุญแก่ (ข้าพเจ้า)..................ด้วยอำ�นาจบุญนี้ด้วยเทอญ.


151 คำขอขมาและอธิษฐานจิต นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (ว่า ๓ จบ) สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต, อุกาสะ ทะวารัตตะเยนะ กะตัง, สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต, ขะมามิ ภันเต. หากข้าพเจ้าจงใจ หรือประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินบิดา-มารดา ครูบาอาจารย์ พระพุทธ พระธรรม พระอรหันต์ทุกพระองค์ พระอริยสงฆ์เจ้า ตลอดจน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย และเทพเทวดาทั้งหลาย รวมถึงผู้มีพระคุณและท่าน เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายจะด้วยกายก็ดีจะด้วยวาจาก็ดีจะด้วยใจก็ดีขอได้โปรด อโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้าด้วย หากข้าพเจ้ามีเจ้าของในตัวติดตามมา ข้าพเจ้าขออนุญาต มีคู่มีครอบครัวได้เหมือนคนปกติทั่วไป ข้าพเจ้าขอถอนคำ�สาบานที่ติดตามคู่ ข้าพเจ้าในอดีต ขอให้ต่างฝ่ายต่างเป็นอิสระต่อกัน ข้าพเจ้าจะประพฤติตนในทางที่ถูก ที่ชอบ ที่ควร ขอบุญบารมีในอดีตกาล ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้ จงส่งผลให้ข้าพเจ้าและครอบครัว ตลอดจนบริวาร ที่เกี่ยวข้อง จงเจริญด้วย อายุวรรณะ สุขะ พละ ลาภ ยศ สรรเสริญ สติปัญญา ปฏิภาณ ธนสารสมบัติอุปสรรคใดๆ โรคภัยใด ๆ ขอให้มลายสิ้นไป ขอให้ข้าพเจ้า จงมีแต่ความสุข ความสว่าง ทั้งทางโลก ทางธรรม ตั้งแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่ พระนิพพาน หากมีผู้ใดเคยสร้างเวรสร้างกรรมกับข้าพเจ้า ไม่ว่าชาติภพใดก็ตาม ข้าพเจ้า ยินดีอโหสิกรรมให้ข้าพเจ้าขอถอน ความพยาบาท ความอามาต และคำ�สาปแช่ง ในทุกชาติทุกภพ ขอให้ข้าพเจ้าพ้นจากคำ�สาปแช่งของปวงชน ของเจ้ากรรม นายเวร ขอให้ข้าพเจ้าพ้นจากนรกภูมิให้พบกับแต่แสงสว่าง ทั้งทางโลกและ ทางธรรมด้วยเทอญ


152 คำอาราธนา และถวายทาน (ก่อนอาราธนา บูชา ถวาย ต้องภาวนาด้วย นะโม ๓ จบก่อนเสมอ) คำอาราธนาธรรม พ๎รัห๎มา จะ โลกาธิปะตี สะหัมปะติ กัตอัญชะลี อันธิวะรัง อะยาจะถะ สันตีธะ สัตตาปปะระชักขะชาติกา เทเสตุ ธัมมัง อะนุกัมปิมัง ปะชัง. คำถวายสังฆทาน (สามัญ) อิมานิ มะยัง ภันเต, ภัตตานิ, สะปะริวารานิ, ภิกขุสังฆัสสะ, โอโณชะยามะ, สาธุ โน ภันเต, ภิกขุสังโฆ อิมานิ, ภัตตานิ, สะปะริวารานิ, ปะฏิคคัณหาตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ. คำแปล ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ,ข้าพเจ้าทั้งหลาย,ขอน้อมถวาย, ภัตตาหาร,กับทั้งบริวาร ทั้งหลายเหล่านี้,แด่พระภิกษุสงฆ์,ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับ,ซึ่งภัตตาหารกับทั้งเครื่อง บริวารทั้งหลายเหล่านี้,ของข้าพเจ้าทั้งหลาย, เพื่อประโยชน์และความสุข,แก่ข้าพเจ้า ทั้งหลาย, ตลอดกาลนานเทอญ.


153 คาถาบูชา ๔ สังเวชนียสถาน ÅØÁ¾Ô¹Õ(แดนประสูติ) คำาบูชาแดนประสูติ วันทามิ ภันเต ภะคะวา อิมัง สังเวชะนียัง ฐานัง, ยัตถาคะโตม๎หิ, สัทธัสสะ กุละปุตตัสสะ ทัสสะนียัง, อิธะ ลุมพินีวะเน ตะถาคะเตนะ มัชฌิเมสุ ชะนะ ปะเทสุ อะริยะเกสุ มะนุสเสสุ อุปปันนัง ฯ ภาสิตา จะ อาสะภิวาจา อัคโคหะ มัส๎มิ โลกัสสะ เชฏโฐหะมัส๎มิ โลกัสสะ, เสฏโฐหะมัส๎มิ โลกัสสะ, อะยะมันติมา เม ชาติ, นัตถิทานิ ปุนัพภะโวติ ฯ สาธุ โน ภันเต, อิเมหิ สักกาเรหิ อะภิ ปูชะยามิ, ส๎วากขาตัญจะ นะมามิ, มัยหัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ. คำาแปล ข้�แต่พระผู้มีพระภ�คเจ้�ผู้เจริญ ข้�พระพุทธเจ้� ได้จ�ริกต�มรอยบ�ท พระศ�สด� ม�ถึงแล้ว ขอถว�ยอภิว�ทสังเวชนียสถ�นที่กุลบุตร ผู้มีศรัทธ� ควรทัสสน� (ควรเห็น) อันเป็นสถ�นที่ที่พระตถ�คตเจ้� เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ในหมู่ มนุษย์ช�วอริยกะ ในมัชฌิมชนบท ณ สวนลุมพินีนี้ และได้ตรัสอ�สภิว�จ�ว่� “เร�จะเป็นผู้เลิศที่สุดในโลก เร�จะเป็นผู้เจริญที่สุดในโลก เร�จะเป็นผู้ประเสริฐ ที่สุดในโลก ก�รเกิดของเร�นี้เป็นช�ติสุดท้�ย บัดนี้ จะไม่มีภพใหม่อีก” ข้�แต่ พระองค์ผู้เจริญ ข้�พระพุทธเจ้�ขอบูช�โดยยิ่ง ด้วยเครื่องสักก�ระเหล่�นี้ และ ขอน้อมระลึกถึงพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ดีแล้ว ขอก�รบูช�สักก�ระในครั้งนี้ จงเป็น ไปเพื่อประโยชน์ เพื่อคว�มสุขแก่ข้�พระพุทธเจ้� ตลอดก�ลน�น เทอญ ฯ.


154 คำาอธิษฐาน ณ แดนประสูติ ด้วยอำ�น�จแห่งบุญกุศล ที่ข้�พเจ้�ได้จ�ริกธรรม บำ�เพ็ญบุญม�ตลอดเส้นท�ง สังเวชนียสถ�น ทั้งสี่ตำ�บลครบบริบูรณ์ ด้วยศรัทธ�เลื่อมใสต่อพระสัมม�สัมพุทธเจ้� ในครั้งนี้ ขอจงเป็นบ�รมี อำ�นวยผล ให้ชีวิตของข้�พระพุทธเจ้� จงบังเกิดคว�มสำ�เร็จ เจริญรุ่งเรือง ในหน้�ที่ก�รง�น ห�กเวียนว่�ยต�ยเกิดในวัฏสงส�ร ขอให้ข้�พเจ้� จงเกิดในตระกูลดี มีสัมม�ทิฎฐิ ได้พบพระพุทธศ�สน� ในทุกภพทุกช�ติ ได้พบพระ พุทธเจ้� ได้ฟังธรรม มีปัญญ�รู้ธรรมที่ทรงแสดงแล้ว จนได้บรรลุถึงซึ่งคว�มพ้นทุกข์ คือพระนิพพ�นด้วยเทอญ... ฯ ¾Ø·¸¤ÂÒ (คำาบูชาสถานที่ตรัสรู้) วันทามิ ภันเต ภะคะวา อิมัง โพธิรุกขะเจติยัง, สังเวชะนียัง ฐานัง, ยัตถาคะโตม๎หิ, สัทธัสสะ กุละปุตตัสสะทัสสะนียัง, อิธะ คะยาสีเส, ตะถา คะเตนะ สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพ๎รัห๎มะเก สัสสะมะณะพ๎ราห๎มะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทธังฯ สาธุ โน ภันเต อิเมหิ สักกาเรหิ อะภิปูชะยามิ ส๎วากขาตัญจะ นะมามิ มัยหัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ.


155 คำแปล ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้า ได้จาริกตามรอยบาทพระ ศาสดามาถึงแล้ว ขอถวายอภิวาท ต้นพระศรีมหาโพธิ์ และพระเจดีย์นี้อันเป็น สังเวชนียสถานที่กุลบุตรผู้มีศรัทธา ควรมาเห็นเป็นสถานที่พระตถาคตเจ้าตรัสรู้ พร้อมเฉพาะแล้วซึ่งอนุตตระสัมมาสัมโพธิญาณในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลกในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ณ ตำ�บล คยาสีสะประเทศแห่งนี้ฯ ข้า แต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้า ขอบูชาโดยยิ่ง ด้วยเครื่องสักการะเหล่านี้ และขอน้อมระลึกถึงพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ดีแล้ว ขออานุภาพแห่งการสักการะในครั้งนี้ จงเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข แก่ข้าพระพุทธเจ้า ตลอดกาลนาน เทอญ ฯ. คำอธิษฐานใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ขอเดชะด้วยอำ�นาจแห่งบุญกุศล เจตนาอันมุ่งมั่น ความเพียรอันบริสุทธิ์ ที่ข้าพระพุทธเจ้าตั้งใจเดินทางจาริกมาในครั้งนี้ เพื่อน้อมกราบนมัสการองค์ พระพุทธ ด้วยศรัทธาต่อการตรัสรู้ธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยบุญ กุศลนี้ขอจงเป็นบารมีเป็นพลวะปัจจัยอนุสัยตามส่งให้ข้าพเจ้า ได้เกิดปัญญาญาณ ได้ดวงตาเห็นธรรม รู้แจ้งเห็นจริงรู้ยิ่งเห็นตาม ซึ่งพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงตรัสรู้ชอบแล้ว ณ สถานที่แห่งนี้หากแม้นว่าถ้าข้าพระพุทธเจ้า ยังเวียนว่าย ตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารขอให้ข้าพเจ้าจงประสบความบริบูรณ์ด้วยศีลและโภคทรัพย์ พร้อมด้วยสติปัญญา มีบุญที่จักได้บำ�เพ็ญธรรมตามรอยบาทแห่งองค์พระศาสดา จนถึงความพ้นทุกข์คือพระนิพพานในอนาคตกาล..ต่อกาลไม่นานด้วยเทอญ สาธุ..สาธุ..สาธุ


156 ¸ÑÁàÁ¡¢Ðʶٻ (สถานที่แสดงปฐมเทศนา) คำาบูชาธัมเมกขะสถูป วันทามิ ภันเต ภะคะวา อิมัง ธัมเมกขะเจติยัง สังเวชะนียัง ฐานัง, ยัตถาคะโตม๎หิ, สัทธัสสะ กุละปุตตัสสะทัสสะนียัง, อาสาฬ๎หะปุณณะมิยัง, อิธะ พาราณะสิยัง อิสิปะตะเน มิคะทาเย ตะถาคะเตนะ ปัญจะวัคคิยานัง ภิกขูนัง อะนุตตะรัง ธัมมะจักกัง ปะฐะมัง ปะวัตเตต๎วา จัตตาริ อะริยะสัจจานิ ปะกาสิตานิฯ สาธุ โน ภันเต, อิเมหิ สักกาเรหิ อะภิปูชะยามิ, ส๎วากขาตัญจะ นะมามิ, มัยหัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ. คำาแปล ข้�แต่พระผู้มีพระภ�คเจ้�ผู้เจริญ ข้�พระพุทธเจ้�ได้จ�ริกต�มรอยบ�ท พระศ�สด�ม�ถึงแล้ว ขอถว�ยอภิว�ท ธัมเมกขะสถูปนี้อันเป็นสังเวชนียสถ�น ที่กุลบุตรผู้มีศรัทธ� ควรม�เห็นเป็นสถ�นที่พระตถ�คตเจ้� ได้ยังพระธรรมจักร ให้เป็นไปแก่พระภิกษุปัญจวัคคีย์ ที่ป่�อิสิปตนมฤคท�ยวัน แขวงเมืองพ�ร�ณสีนี้ ในวันอ�ส�ฬหปุณณมีฯ ข้�แต่พระองค์ผู้เจริญ ข้�พระพุทธเจ้�ขอบูช�โดยยิ่งด้วย เครื่องสักก�ระเหล่�นี้ และขอน้อมระลึกถึงพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ดีแล้ว ขออ�นุภ�พ แห่งก�รบูช�สักก�ระในครั้งนี้ จงเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อคว�มสุขแก่ข้�พระพุทธเจ้� ตลอดก�ลน�นเทอญฯ


157 คำาอธิษฐานที่ธัมเมกขะสถูป พุทธองค์ ทรงประสบคว�มสำ�เร็จในก�รแสดงธรรม ทรงได้บริว�รเป็น อริยส�วกผู้ได้ดวงต�เห็นธรรมองค์แรกและได้บริว�รชุดแรก ด้วยอำ�น�จศรัทธ�ที่ มุ่งมั่นตั้งใจเดินท�งม�ไหว้สถ�นที่นี้ ขอจงเป็นบ�รมี ก�รได้ดวงต�เห็นธรรม รู้แจ้ง เห็นจริงต�มธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงแล้ว จงบังเกิดมีแก่ข้�พเจ้�ด้วย ขอบุญ กุศลนี้จงประท�นพร ให้ลูกหล�น บริว�ร ญ�ติมิตรของข้�พเจ้� (ระบุชื่อ... ... .) มีสติ ปัญญ� เจริญรุ่งเรือง ประสบคว�มสุข สำ�เร็จ สมหวัง (เรื่องระบุ... ... .) ด้วยเทอญ . ¡ØÊÔ¹ÒÃÒ (แดนปรินิพพาน) คำาบูชาองค์พระพุทธปรินิพพาน วันทามิ อิมัง พุทธะปะฏิมัง, อิมัส๎มิง กุสินารายัง สาละวะโนทะเย พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปะรินิพพานัฏฐาเน, อะยัง วันทะนา อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ. คำาแปล ข้�พเจ้� ขอกร�บไหว้พระพุทธปฏิม�นี้ ณ ส�ลวโนทย�นที่เมืองกุสิน�ร�นี้ อันเป็นสถ�นที่เสด็จดับขันธปรินิพพ�น ของพระสัมม�สัมพุทธเจ้� ขอก�ร กร�บไหว้นี้ จงเป็นไปเพื่อประโยชน์เพื่อคว�มสุข คว�มเจริญ แก่ข้�พเจ้�ทั้งหล�ย เทอญฯ. อ้�งอิง : พระวิเทศโพธิคุณ, พระพุทธมนต์ฉบับต�มรอยบ�ทพระศ�สด�อินเดีย-เนป�ล,


158 คำกราบบูชาพระบรมสารีริกธาตุ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (สวด ๓ จบ) อะหัง วันทามิ ธาตุโย อะหัง วันทามิ สัพพะโส อะหัง สุขิโต โหมิ ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่ง ข้าพเจ้า ขอกราบนอบน้อมบูชาพระคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงเสีย สละสั่งสมบารมีนับชาติไม่ถ้วน ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ประกาศ ธรรมนำ�เวไนยสัตว์ออกจากสังสารวัฏ เปี่ยมด้วยพระมหากรุณาธิคุณ บริสุทธิคุณ และปัญญาธิคุณ พร้อมกราบพระธรรมและพระอริยสงฆ์ ขออานิสงส์แห่งผลบุญนี้ จงเป็นปัจจัยให้ถึงซึ่งพระนิพพานในกาลอันควร ด้วยเทอญ แม้ต้องเกิดในภพชาติใดๆขอเกิดภายใต้ร่มเงาแห่งบวรพระพุทธศาสนา ได้พบสัตบุรุษผู้รู้ธรรมอันเป็นประเสริฐ มีกรรมสัมพันธ์ที่ดี ได้เกิดท่ามกลาง กัลยาณมิตร ห่างไกลจากพาล มีโอกาสได้ฟังธรรม ประพฤติธรรม จนเป็นปัจจัย ให้เจริญด้วยสติและปัญญาญาณ ตามส่งชาตินี้และชาติต่อๆไป จนถึงพระนิพพาน ในกาลอันควรเทอญ. กรรมใดๆ ที่เคยล่วงเกิน ต่อพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ และ สรรพสัตว์ทั้งหลายในอดีตชาติก็ตาม ปัจจุบันชาติก็ตาม กราบขออโหสิกรรม ทั้งหมดทั้งสิ้น ขออทิศกุศลผลบุญให้แก่ท่านผู้มีพระคุณ ญาติพี่น้อง เทวดา พรหม ที่เมตตาปกปักคุ้มครองรักษาข้าพเจ้าและครอบครัว เจ้ากรรมนายเวร ตลอดจน ท่านที่ขวนขวายในกิจที่ชอบในการดำ�รงไว้ซึ่งประเทศชาติพระพุทธศาสนา และ พระมหากษัตริย์ ทั้งที่เป็นมนุษย์และอมนุษย์ ขอให้ท่านทั้งหลายที่กล่าวมา แล้วนั้น จงมีแต่ความสุข ทั่วหน้ากันเทอญ.


ภาค ๔ หลักการภาวนา


160 วิธีเดินจงกรมภาวนา ปฏิปทาของพระธุดงคกรรมฐาน สายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต โดย ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน การเดินจงกรมกลับไปกลับมาไม่ช้านักไม่เร็วนัก พองามตางามมรรยาท ตามเยี่ยงอย่างประเพณีของพระผู้ทำ�ความเพียร ท่าเดินในครั้งพุทธกาลเรียกว่า เดินจงกรมภาวนา เปลี่ยนจากวิธีนั่งสมาธิภาวนามาเป็นเดินจงกรมภาวนา เปลี่ยนจากเดินมายืน เรียกว่ายืนภาวนา เปลี่ยนจากยืนมาเป็นท่านอน เรียกว่า ท่าสีหไสยาสน์ภาวนา เพราะฝังใจว่าจะภาวนาด้วยอิริยาบถนอนหรือสีหไสยาสน์ การทำ�ความเพียรในท่าใดก็ตาม แต่ความหมายมั่นปั้นมือก็เพื่อชำ�ระกิเลส ตัวเดียวกันด้วยเครื่องมือชนิดเดียวกัน มิได้เปลี่ยนเครื่องมือคือธรรมที่เคย ใช้ประจำ�หน้าที่และนิสัยเดิม ก่อนเดินจงกรมพึงกำ�หนดหนทางที่ตนจะพึงเดินสั้น หรือยาวเพียงไรก่อน ว่าเราจะเดินจากที่นี่ไปถึงที่นั้นหรือถึงที่โน้น หรือตกแต่งทาง จงกรมไว้ก่อนเดินอย่างเรียบร้อย สั้นหรือยาวตามต้องการ วิธีเดินจงกรม ผู้จะเดินกรุณาไปยืนที่ต้นทางจงกรมที่ตนกำ�หนดหรือตกแต่ง ไว้แล้วนั้น พึงยกมือทั้งสองขึ้นประนมไว้เหนือระหว่างคิ้ว ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย คือพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ที่ตนถือเป็นสรณะคือที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยว ของใจ และระลึกถึงคุณของบิดามารดา อุปัชฌาย์อาจารย์ ตลอดท่านผู้เคยมี พระคุณแก่ตน จบลงแล้วรำ�พึงถึงความมุ่งหมายแห่งความเพียรที่กำ�ลังจะทำ� ด้วยความตั้งใจเพื่อผลนั้นๆ เสร็จแล้วปล่อยมือลงเอามือขวาทับมือซ้ายทาบกัน ไว้ใต้สะดือตามแบบพุทธรำ�พึง เจริญพรหมวิหาร ๔ จบแล้วทอดตาลงเบื้องต่ำ� ท่าสำ�รวม ตั้งสติกำ�หนดจิตและธรรมที่เคยนำ�มาบริกรรมกำ�กับใจหรือพิจารณา ธรรมทั้งหลายตามแบบที่เคยภาวนามาในท่าอื่นๆ เสร็จแล้วออกเดินจงกรมจาก ต้นทางถึงปลายทางจงกรมที่กำ�หนดไว้เดินกลับไปกลับมาในท่าสำ�รวม มีสติอยู่ กับบทธรรมหรือสิ่งที่พิจารณาโดยสม่ำ�เสมอ ไม่ส่งจิตไปอื่นจากงานที่กำ�ลังทำ�อยู่ ในเวลานั้น


161 การเดินไม่พึงเดินไกวแขน ไม่พึงเดินเอามือขัดหลัง ไม่พึงเดินเอามือกอดอก ไม่พึงเดินมองโน้นมองนี่อันเป็นท่าไม่สำ�รวม การยืนกำ�หนดรำ�พึงหรือพิจารณา ธรรมนั้น ยืนได้โดยไม่กำ�หนดว่าเป็นหัวทางจงกรมหรือย่านกลางทางจงกรม ยืนนานหรือไม่ ตามแต่กรณีที่ควรหยุดอยู่หรือก้าวต่อไป เพราะการรำ�พึงธรรม นั้นมีความลึกตื้นหยาบละเอียดต่างกันที่ควรอนุโลมตามความจำ�เป็น จนกว่า จะเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วก้าวเดินต่อไป บางครั้งต้องยืนพิจารณาร่วมชั่วโมงก็มี ถึงจะเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วก้าวเดินต่อไป การเดินกำ�หนดคำ�บริกรรมหรือพิจารณา ธรรมไม่นับก้าวเดิน นอกจากจะถือเอาก้าวเดินนั้นเป็นอารมณ์แห่งความเพียร ก็นับก้าวได้การทำ�ความเพียรในท่าใดสติเป็นสิ่งสำ�คัญประจำ�ความเพียรท่านั้นๆ การขาดสติไปจากงานที่ทำ�เรียกว่าขาดความเพียรในระยะนั้นๆ ผู้บำ�เพ็ญพึงสนใจ สติให้มาก เท่ากับสนใจต่อธรรมที่นำ�มาบริกรรม การขาดสติแม้คำ�บริกรรม ภาวนาจะยังติดต่อกันไป เพราะความเคยชินของใจก็ตาม แต่ผลคือความสงบของ จิตจะไม่ปรากฏตามความมุ่งหมาย การเดินจงกรมจะเดินเป็นเวลานานหรือไม่เพียงไร ตามแต่จะกำ�หนดเอง การทำ�ความเพียรในท่าเดินก็ดี ท่ายืนก็ดี ท่านอนก็ดี ท่านั่งก็ดีอาจเหมาะกับ นิสัยในบางท่านที่ต่างกัน การทำ�ความเพียรในท่าต่างๆ นั้นเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถ ไปในตัวด้วย ไม่เพียงมุ่งกำ�จัดกิเลสโดยถ่ายเดียว เพราะธาตุขันธ์เป็นเครื่องมือ ทำ�ประโยชน์จำ�ต้องมีการรักษา เช่น การเปลี่ยนอิริยาบถท่าต่างๆ เป็นความ เหมาะสมสำ�หรับธาตุขันธ์ที่ใช้งานอยู่เป็นประจำ� ถ้าไม่มีการรักษาด้วยวิธีต่างๆ ธาตุขันธ์ต้องกลับมาเป็นข้าศึกแก่เจ้าของจนได้คือต้องพิกลพิการไปต่างๆ สุดท้ายก็ทำ�งานไม่ถึงจุดที่มุ่งหมาย พระธุดงค์ท่านถือการเดินจงกรมเป็นงานประจำ�ชีวิตจิตใจจริงๆ โดยมาก ท่านเดินครั้งละหนึ่งชั่วโมงขึ้นไป ตอนเช้าหลังจังหันแล้วท่านเริ่มเข้าทางจงกรม กว่าจะออกมาก็ ๑๑ นาฬิกา หรือเที่ยง แล้วพักเล็กน้อย บ่ายหนึ่งโมงหรือ สองโมงก็เข้าทางและเดินจงกรมต่อไปอีกจนถึงเวลาปัดกวาดที่พัก อาบน้ำ�


162 เสร็จแล้วเข้าเดินจงกรมอีกจนถึงหนึ่งถึงสองทุ่ม ถ้าไม่ใช่หน้าหนาวก็เดินต่อไป จนถึงสี่ถึงห้าทุ่ม ถึงจะเข้าที่พักทำ�สมาธิภาวนาต่อไป อย่างไรก็ตามการเดิน จงกรมกับนั่งสมาธิ ท่านต้องเดินนานนั่งนานเสมอเป็นประจำ�ไม่ว่าจะพักอยู่ ในที่เช่นไรและฤดูใด ความเพียรท่านเสมอตัวไม่ยอมลดหย่อนผ่อนตัวให้กิเลส เพ่นพ่าน ก่อกวนทำ�ความรำ�คาญแก่ใจท่านนัก ท่านพยายามห้ำ�หั่นอยู่ทุกอิริยาบถ จึงพอเห็นผลจากความเพียรบ้าง ต่อไปก็เห็นผลไปโดยลำ�ดับ ขั้นเริ่มแรกที่ฤทธิ์กิเลสกำ�ลังแข็งแรงนี้ลำ�บากอยู่บ้าง ดีไม่ดีถูกมันจับมุด ลงหมอนสลบครอกไปไม่รู้สึก กว่าจะรู้สึกตัวขึ้นมามันเอาเครื่องในไปกินจนอิ่ม และหนีไปเที่ยวรอบโลกได้หลายทวีปแล้ว จึงจะงัวเงียตื่นขึ้นมาและบ่นให้ตัวเองว่า เผลอตัวหลับไปงีบหนึ่งวันหลังจะเร่งความเพียรให้เต็มที่วันนี้ความโงกง่วงทำ�พิษ จึงทำ�ให้เสีย ความจริงคือกิเลสทำ�พิษนั่นเอง วันหลังยังไม่มองเห็นหน้ามันเลย ถูกมันจับมัดเข้าอีกแต่ไม่เข็ดเจ็บก็เจ็บแต่ไม่เข็ดคือกิเลสเฆี่ยนคนนี่แล นักภาวนา เคยถูกมันดัดมาพอแล้ว บ่นกันยุ่งว่าลวดลายไม่ทันมัน สมกับมันเคยเป็นอาจารย์ ของคนและสัตว์ทั้งโลกมาเป็นเวลานาน ตอนเริ่มฝึกหัดความเพียรทีแรกนี่แลตอนกิเลสโมโห พยายามบีบบังคับ หลายด้านหลายทาง พยายามทำ�ให้ขี้เกียจบ้าง ทำ�ให้เจ็บที่นั่นปวดที่นี่บ้าง ทำ�ให้ ง่วงเหงาหาวนอนบ้าง ทำ�หาเรื่องว่ายุ่งไม่มีเวลาภาวนาบ้าง จิตกระวนกระวายนั่ง ภาวนาไม่ได้บ้าง บุญน้อยวาสนาน้อยทำ�ไม่ได้มากนั่งไม่ได้นานบ้าง ทำ�ให้คิดว่า มัวแต่นั่งหลับตาภาวนาจะไม่แย่ไปละหรือ อะไรๆ ไม่ทันเขา รายได้จะไม่พอกับ รายจ่ายบ้าง ราวกับว่าก่อนแต่ยังไม่ได้ฝึกหัดภาวนาเคยมีเงินเป็นล้านๆ พอจะ เริ่มภาวนาเข้าบ้าง ตัว “เริ่มจะ” เอาไปกินเสียหมด ยิ่งถ้าพอถูกกิเลสเท่านี้เข้า เกิดคันคายเจ็บปวดระบมไปทั้งตัว สุดท้ายยอมให้มันพาเถลไถลไปทางที่เข้าใจว่า ไม่มียักษ์มีมาร แต่เวลากลับกระเป๋ามีเท่าไรเรียบวุธ ไม่ทราบอะไรมาเอาไป คราวนี้ไม่บ่นเพราะไม่รู้จักตัวผู้มาขโมย ไม่ทราบว่าเป็นใคร เพราะกระเป๋า ก็ติดอยู่กับตัวไม่เผลอไผลวางทิ้งไว้ที่ไหนพอขโมยจะมาลักไปได้ เป็นอันว่าเรียบ


163 ตามเคยโดยไม่รู้จักต้นสายปลายเหตุ วันหลังไปใหม่ก็เรียบกลับมาอีก แต่จับ ตัวขโมยไม่ใด้ นี่แลทางเดินของกิเลสมันชอบเดินแต้มสูงๆ อย่างนี้แล จึงไม่มี ใครจับตัวมันได้ง่ายๆ แม้พระธุดงค์ไม่มีสมบัติอะไรก็ยังถูกมันขโมยได้คือขโมย สมาธิจิตจนไม่มีสมาธิวิปัสสนาติดตัวนั่นแล ท่านเคยถูกมาแล้ว จึงได้รีบเตือน พี่น้องชาวพุทธทั้งหลายโปรดพากันระวังตัวเวลาเริ่มเข้าวัดเข้าวาหาศีลหาธรรม หาสมาธิภาวนา กลัวว่ามันจะมาขโมยหรือแย่งเอาตัวไปต่อหน้าต่อตา แล้วจับตัว ไม่ได้ไล่ไม่มีวันจน ดังพระท่านถูกมาแล้ว ถ้าทราบไว้ก่อนบ้างจะพอมีทางระวังตัว ไม่สิ้นเนื้อประดาตัวไปเปล่าแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยขับกล่อมให้อาณัติสัญญาณว่า กิเลส มากอบโกยเอาของดีไปใช้ไปทานเสียจนหมดตัว ท่านที่เริ่มฝึกหัดใหม่กรุณากำ�หนดเวลาในการเดินจงกรมเอาเองแต่กรุณา กำ�หนดเผื่อไว้บ้าง เวลากิเลสตัวร้อยเล่ห์พันลวงมาแอบขโมยเอาสิ่งของจะได้ เหลือคำ�ภาวนาติดตัวไว้บ้างขณะเดินจงกรมพึงกำ�หนดสติกับคำ�บริกรรมให้กลมกลืน เป็นอันเดียวกัน ประคองความเพียรด้วยสติสัมปชัญญะ มีใจแน่วแน่ต่อธรรมที่ บริกรรม เช่น กำ�หนดพุทโธให้จิตรู้อยู่กับพุทโธทุกระยะที่ก้าวเดินไปและถอย กลับมา ชื่อว่าผู้มีความเพียรในท่านั้นๆ ไม่ขาดวรรคขาดตอนไปในระหว่างตามที่ ตนเข้าใจว่าบำ�เพ็ญเพียร ผลคือความสงบเย็น ถ้าจิตไม่เผลอตัวไปสู่อารมณ์อื่น ในระหว่างเสียก่อน ผู้ภาวนาต้องหวังได้ครองความสุขใจในขณะนั้นหรือขณะใด ขณะหนึ่งแน่นอน ข้อนี้กรุณาเชื่อไว้ก่อนก็ได้ว่า พระพุทธเจ้าและครูอาจารย์ที่ท่าน สอนจริงๆด้วยความเมตตาอนุเคราะห์ท่านไม่โกหกให้เสียเวลาและเปล่าประโยชน์ แน่นอน ก่อนท่านจะได้ธรรมมาสั่งสอนประชาชน ท่านก็คือผู้ล้มลุกคลุกคลานมา ด้วยความลำ�บากทรมานผู้หนึ่งก่อนเรา ผู้กำ�ลังฝึกหัดจึงไม่ควรสงสัยท่านว่าเป็น ผู้ล้างมือคอยเปิปมาก่อนท่าเดียวโดยไม่ลงทุนลงรอนมาก่อน ทุนของพระพุทธเจ้า ก็คือความสลบไสลไปสามหน ทุนของพระสาวกบางองค์ก็คือฝ่าเท้าแตกและเสีย จักษุไปก็มีต่างๆ กัน แต่ได้ผลที่พึงทั้งเลิศทั้งประเสริฐทั้งอัศจรรย์เหนือโลก


164 เป็นเครื่องสนองตอบแทนสิ่งที่เสียไปเพราะความเพียรอันแรงกล้านั้นๆ ท่าน ข้ามโลกไปได้โดยตลอดปลอดภัยไร้ทุกข์ทั้งมวล ทั้งนี้เพราะการยอมเสียสละสิ่งที่ โลกรักสงวนกัน ถ้าท่านยังมัวหึงหวงห่วงความทุกข์ความลำ�บากอยู่ก็คงต้องงมทุกข์ บุกโคลนโดนวัฏฏะอยู่เช่นเราทั้งหลายนี้แล จะไม่มีใครแปลกต่างกันในโลกมนุษย์ เราจะเอาแบบไหนดิ้นวิธีใดบ้าง จึงจะหลุดพ้นจากสิ่งไม่พึงปรารถนาทั้งหลาย ที่มีเกลื่อนอยู่ในท่านในเราเวลานี้ควรฝึกหัดคิดอ่านตัวบ้างในขณะที่พอคิดได้อ่าน ได้เมื่อเข้าสู่ที่คับขันและสุดความสามารถจะดิ้นรนได้แล้ว ไม่มีใครสามารถเข้าไป นั่งทำ�บุญให้ทานรักษาศีลทำ�สมาธิภาวนาอยู่ในกองฟืนกองฟอนในเตาแห่งเมรุ ได้ เห็นมีแต่ไฟทำ�งานแต่ผู้เดียวจนร่างกายเป็นเถ้าเป็นถ่านไปถ่ายเดียวเท่านั้น เราเคยเห็นอยู่ต่อหน้าต่อตาด้วยกัน ซึ่งควรสลดสังเวชและน่าฝังใจไปนาน การเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาคือการกลั่นกรองหาสิ่งที่เป็นสารคุณใน ตัวเรา ซึ่งเป็นงานสำ�คัญและมีผลเกินคาดยิ่งกว่างานอื่นใดจึงไม่ควรยอมให้กิเลส ตัณหาอวิชชามาหลอกเล่นให้เห็นเป็นงานล่อลวงล่มจมป่นปี้ไม่มีชิ้นดีความจริง ก็คือตัวกิเลสเสียเองนั่นแลเป็นผู้ทำ�คนและสัตว์ให้ฉิบหายป่นปี้เรื่อยมา ถ้าหลงกล อุบายมันจนไม่สำ�นึกตัวบ้างการกลั่นกรองจิตด้วยสมาธิภาวนาก็คือการกลั่นกรอง ตัวเราออกเป็นสัดเป็นส่วน เพื่อทราบว่าอันไหนจริงอันไหนปลอม อันไหนจะพา ให้เกิดทุกข์ อันไหนจะพาให้เกิดสุข อันไหนจะพาไปนรก อันไหนจะพาไปสวรรค์ และอันไหนจะพาไปนิพพานสิ้นทุกข์ทั้งมวลนั่นเอง ความจำ�เป็นที่เราทุกคนจะต้องเผชิญนี้มิใช่งานของพระพุทธเจ้า มิใช่งาน ของพระสาวกองค์ใด และมิใช่งานของศาสนาจะพึงโฆษณาให้คนเชื่อและนับถือ เพื่อหวังผลจากการนั้น ธรรมประเสริฐสามดวงที่กล่าวถึงนั้นป็นความสมบูรณ์ ตลอดกาลอยู่แล้ว ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียจากใครและอะไรแม้แต่น้อย งานนั้นจึงตก เป็นงานของเราของท่านผู้ต้องเผชิญกับความจำ�เป็นอยู่เฉพาะหน้า จะพึงแสวงหา ทางหลบหลีกปลีกตัวเต็มสติกำ�ลังความสามารถของแต่ละรายเพื่อแคล้วคลาดไป ได้เป็นพักๆ มิใช่จะนั่งนอนคอยสิ่งน่ากลัวทั้งหลายอยู่โดยไม่คิดอ่านอะไร


165 บ้างเลย ราวกับหมูคอยขึ้นเขียงด้วยความเพลิดเพลินในแกลบรำ�เพราะเห็น แก่ปากแก่ท้องเพียงเท่านั้น เพราะชาติมนุษย์กับชาติสัตว์ตัวไม่รู้จักคิดอ่าน ไตร่ตรองอะไรเลยนั้น ผิดกันลิบลับราวกับฟ้ากับดิน ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะปล่อยให้ ร่างกายจิตใจ ไปทำ�หน้าที่ระคนคละเคล้ากันกับสัตว์ที่ไม่มีความหมายในสารคุณ อะไร นอกจากกระเทียมและหัวหอมที่เป็นของคู่ควรกันกับสัตว์เหล่านั้นเท่านั้น การกล่าวทั้งนี้มิได้มุ่งติเตียนทำ�ลายท่านสุภาพชนทั้งหลายด้วยอรรถธรรม ที่กล่าวมา แต่กล่าวมาเพื่อช่วยพยุงส่งเสริมจิตใจกายวาจาที่กำ�ลังถูกสิ่งลามกตก โคลนมาทำ�หน้าที่เป็นนายเขียงสับยำ�เป็นอาหารอันอร่อยของมันต่างหากเพื่อสติ ปัญญาจะได้สะดุดตัวทราบว่าเวลานี้เราตกอยู่ในสภาพเช่นไร จึงพยายามด้วย อุบายที่เห็นว่าจะพอเป็นเครื่องช่วยให้พ้นภัยจากมันบ้างสมเป็นพุทธศาสนิกชน ทางที่พอจะทราบได้ก็คือการหัดอ่านตัวเองด้วยสมาธิภาวนา ซึ่งเป็นอุบายที่ควร ทราบได้ง่ายกว่าวิธีอื่น เพราะกิจนี้อยู่กับตัวทำ�หน้าที่อยู่ในตัวและคิดอ่านเรื่องของ สัตว์โลกไปในตัวโดยตรง ผิดกับถูกดีกับชั่วสุขกับทุกข์ก็มีอยู่กับตัว เมื่ออ่านบ่อยๆ ก็ค่อยทราบไปเอง เมื่อทราบตัวเองก็ต้องทราบเรื่องทุกข์ที่เกิดกับตัว จิตใจก็นับวัน จะเด่นดวงและมีคุณค่าขึ้นราวกับสินค้าขึ้นราคานั่นแล ใครหัดคิดหัดอ่านตัวเองมากๆ ผู้นั้นจะทราบหนทางหลบหลีกปลีกทุกข์ ไม่เหมาะกันไปตลอดกาลดังที่เคยเป็นมา ความเห็นภัยในทุกข์ที่มีอยู่กับตัวก็นับ วันจะเห็นไปโดยสม่ำ�เสมอมีหนทางหลบหลีกภัยไปเรื่อยๆ พ้นไปได้โดยลำ�ดับ การเห็นทุกข์ก็เห็นอยู่กับตัวไปทุกระยะที่ทุกข์เกิดขึ้น แม้การพ้นทุกข์ก็ทราบว่า พ้นอยู่กับตัวด้วยกำ�ลังสมาธิสติปัญญา พูดถึงความทุกข์ความเป็นความตายและ ภพชาติที่จะเผชิญกันมากน้อยเพียงไรก็ไม่วิตกกังวล เพราะได้ประมวลมารู้เห็น ในขันธ์เฉพาะหน้าที่รวมรับรู้อยู่กับดวงใจเดียวที่กำ�ลังฝึกซ้อมตัวอยู่ขณะนี้แล้ว ยังเป็นอยู่ก็เย็นใจเพราะคุณธรรมอยู่กับตัวแม้ตายไปก็มีสุคโตเป็นที่อยู่เสวยนี่คือ ผลของการทำ�สมาธิเดินจงกรมภาวนา สามารถยังผู้บำ�เพ็ญให้เกิดความรื่นเริง อาจหาญได้ผิดคาดผิดหมาย จึงเป็นกิจที่ควรทำ�เพื่อตัวเราเองไม่ควรประมาท ซึ่งอาจเป็นภัยอย่างคาดไม่ถึง


166 การกำ�หนดจิตตั้งสติในเวลาเดินจงกรมกรุณาทำ�เป็นล่ำ�เป็นสัน สมที่เจตนา มุ่งหน้าหาของดีการเดินจงกรมภาวนาเป็นการแสวงหาของดีที่ถูกทางไม่มีข้อควร ตำ�หนินักปราชญ์ชมเชยกันทั่วโลก ควรพยายามทำ�จิตใจให้สงบในเวลานั้นจนได้ อย่าสักแต่ว่าทำ� จะเห็นความประเสริฐอัศจรรย์ของตัวเอง คือจิตที่ถูกห่อหุ้มด้วย ของเศษเดนทั้งหลาย จนขาดความสนใจว่าสิ่งที่ถูกหุ้มห่อนั้นไม่สำ�คัญ ยิ่งกว่า สิ่งเศษเดนที่หุ้มห่อ จึงมักพากันหลงไปกับสิ่งนั้นจนลืมสำ�นึกตัว ความจริง พระพุทธ พระธรรม พระสงม์ที่กระเดื่องเลื่องลือในไตรภพตลอด มานั้นก็ออกจากใจที่เป็นทั้งเหตุและผลอัศจรรย์ดังกล่าวมา คือใจดวงหลุดลอยจาก ของเศษเดนทั้งหลายออกมาแล้วนั่นแลที่มีพระนามว่าพระพุทธบ้าง พระสงฆ์บ้าง ตามอาการของผู้ทรง เมื่อปราศจากผู้ทรงแล้วก็เป็นธรรมล้วนๆ ไม่มีคำ�ว่าจิตว่า พระพุทธเจ้าอันเป็นสมมุติขั้นสูงสุดอยู่ในนั้นอีกเลย เหลือแต่คำ�ว่า “ธรรม” พระนามนี้ก็เป็นสมมุติขั้นสูงสุดอีกพระนามหนึ่ง แต่จำ�ต้องทรงพระนามนี้ไว้เป็น หลักใหญ่ของโลกผู้หวังพึ่งธรรม จนกว่าได้บรรลุถึงความไม่หวังพึ่งสิ่งใดแล้ว คำ�ว่าธรรมกับผู้นั้นก็ทราบกันเองไม่มีทางสงสัยแม้ไม่เคยทราบมาก่อน ดังนั้นคำ�ว่า “จิต” ทั้งจิตท่านจิตเราย่อมเป็นเช่นเดียวกันทั้งโลก แต่สิ่งที่ ทำ�ให้จิตผิดกันไปต่างๆจนคาดไม่ออกบอกไม่ถูก มองไม่เห็น พิสูจน์ไม่ได้ในสังคม สามัญของคนมีกิเลสนั้น เพราะสิ่งแวดล้อมทั้งหลายซึ่งมีมากและต่างๆ กันจน พรรณนาไม่จบเข้าเกี่ยวข้องพัวพัน จิตที่ถูกสิ่งเหล่านั้นปกคลุมคละเคล้าจนเป็น อันเดียวกันจึงเป็นจิตที่ผิดกันมากจนไม่อาจทราบได้ว่าจิตนั้นมีความหนาบางจาก สิ่งดังกล่าวมากน้อยเพียงไร และพิสูจน์ไม่ได้ว่าจิตของผู้นั้นเดิมมาจากภพชาติ อะไรบ้าง มีอะไรปกคลุมหุ้มห่อมากที่สุด บรรดาที่มีนามว่ากิเลสหรือของเศษเดน แห่งท่านผู้วิเศษทั้งหลาย ท่านผู้ใดพยายามชำ�ระแก้ไขสิ่งดังกล่าวออกได้มากน้อยเพียงไรย่อมได้รับ ความสุขมากน้อยตามเหตุที่ชำ�ระได้ ถึงขั้นบริสุทธิ์ก็เป็นผู้สิ้นทุกข์ทางใจใน ท่ามกลางแห่งขันธ์ที่กำ�ลังครองอยู่ ดังพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่านที่ตรัสรู้


167 และบรรลุธรรมแล้ว ย่อมทรงเสวยและเสวยวิมุตติสุขในขณะนั้นโดยไม่อ้างกาล สถานที่เลย ขอแต่กิเลสที่เป็นตัวข้าศึกแก่จิตใจได้สิ้นสูญไปก็พอแล้ว ฉะนั้นจึงมี เพียงกิเลสอย่างเดียวกั้นกางมรรคผลนิพพานไม่ให้จิตบรรลุถึงได้ นอกนั้นไม่มี อะไรหรือผู้ใดมีอำ�นาจกั้นกางได้การสอนธรรมจึงสอนลงที่จิตซึ่งเป็นที่ซ่องสุมของ กิเลสทั้งมวล ด้วยธรรมปฏิบัติคือ ศีล สมาธิปัญญา อันเป็นหลักใหญ่ในบรรดา ธรรมแก้ไขบุกเบิก การเดินจงกรม จึงเป็นวิธีหนึ่งที่จะสามารถทำ�กิเลสให้หลุดลอยออกจากใจ ได้เช่นวิธีทั้งหลาย มีการนั่งสมาธิภาวนาเป็นต้น จึงควรสนใจฝึกหัดทำ�แต่ บัดนี้เป็นต้นไป เช่นเดียวกับงานทางโลกอันเป็นงานอาชีพ และงานเพื่อเกียรติ แห่งสังคมมนุษย์ที่นิยมกัน ส่วนงานคือการทำ�ความดีมีการเดินจงกรมเป็นต้น ดังกล่าวมา เป็นงานพยุงตนทั้งภายในและภายนอกและเป็นงานพยุงเพื่อนมนุษย์ และสัตว์ในโลกอีกด้วย ตามแต่กำ�ลังความดีของแต่ละท่านละคนจะแผ่ความสุข ให้โลกได้รับมากน้อยเพียงไร เช่น พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ทรงทำ�ความ ร่มเย็นแก่โลกทั้งสามได้มากมหามากไม่มีท่านผู้ใดกล้าเป็นคู่แข่งได้พระอรหันต์ แต่ละองค์ทำ�ความร่มเย็นให้แก่โลกได้มากพอประมาณรองพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ลงมา และมากกว่าสามัญชนทำ�ต่อกัน สุภาพชนถ้าเป็นผู้ใหญ่มีอำ�นาจวาสนามาก ก็ทำ�ประโยชน์แก่ประชาชน ราษฎรได้มาก ราษฎรเคารพนับถือและยกย่องเป็นพ่อพระแม่พระผู้หนึ่ง และ รักมากราวกับพ่อแม่ของตนจริงๆ ยิ่งมีผู้ใหญ่เป็นคนดีจำ�นวนมากเพียงไร ก็เป็น การแสดงออกแห่งความเจริญรุ่งเรืองของหมู่ชนมากเพียงนั้น ศาสนาและ ผู้ประกาศสอนธรรมการสงเคราะห์โลกด้วยวิธีต่างๆ โดยไม่คิดค่าตอบแทนใน ทางอามิสและสินจ้างรางวัลใดๆชื่อว่าผู้สร้างความกระหยิ่มปริ่มด้วยความเมตตา วิหารธรรม และจงรักภักดีแก่ประชาชนได้รับไม่มีวันจืดจางอิ่มพอ หลับและตื่น เขาย่อมระลึกบูชาเป็นขวัญตาขวัญใจอยู่ตลอดเวลา ไปที่ไหนไม่เป็นภัยแก่โลก นอกจากสร้างบุญสร้างคุณแก่ผู้อื่นให้เต็มตื้นไปด้วยความปีติยินดีโดยทั่วกัน ถ่ายเดียวเท่านั้น


168 ศาสนากับผู้สงเคราะห์โลกด้วยธรรมและอามิส จึงเป็นเหมือนนายแพทย์ และนางพยาบาลที่มีความสงสารเมตตาเที่ยวแจกยา และรักษาโรคให้หมู่ชน ผู้จำ�เป็นที่ชีวิตอยู่กับยาและหมอ แม้เขาหายโรคแล้วแต่บุญคุณที่เขาระลึกต่อ หมอผู้มีคุณนั้นจะไม่มีวันลืมเลย นี่แลอำ�นาจของความดีไม่เลือกชาติชั้นวรรณะ ย่อมมีความปรารถนาทั่วหน้ากัน ความดีและศาสนาจึงมิได้เป็นของล้าสมัย ดังที่บางคนเข้าใจ ทั้งที่เขาก็ยังหวังพึ่งผู้อื่นอยู่ด้วยความกระหายต่อความเมตตา อารีของท่านผู้ใจบุญทั้งหลาย อันมีศาสนาเป็นแหล่งผลิตคนดี เพราะศาสนา เป็นแหล่งแห่งความดีทั้งมวลถ้ามิใช่คนดีจะนำ�ศาสนาออกสอนโลกไม่ได้แน่นอน หลักศาสนาอย่างน้อยก็คือหัวใจของคนดีนั่นแล ยิ่งกว่านั้นก็คือหัวใจของท่านที่ บริสุทธิ์วิมุตติธรรมทั้งดวง ดังศาสดาของศาสนาพุทธเป็นต้น จะเป็นใครอื่นมาจากที่ไหนที่จะมีแก่ใจและความสามารถ ใครบ้างที่มีแก่ ใจเสียสละเพื่อหมู่ชนเหมือนหัวใจของเจ้าของศาสนาผู้นำ�ธรรมออกสอนโลก ดังพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ทรงเสียสละเต็มพระทัยแล้ว และพระสาวกอรหันต์ ของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ที่ทำ�ประโยชน์แก่หมู่ชน ถ้าไม่ใช่ท่านผู้มีใจขาว สะอาดปราศจากความเห็นแก่ตัวแล้ว จะยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อโลกไม่ได้เลย ข้อนี้น่าเชื่อเหลือเกิน แม้ไม่มีใครเชื่อด้วยก็ยอมโง่เชื่อคนเดียว เพราะเราท่าน เกิดมาในโลกนี้ก็นานพอจะทราบความคับแคบ ความกว้างขวางความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ผู้อื่น เพื่อนฝูงที่เป็นมนุษย์ด้วยกันได้ดีเพราะต่างก็อยู่โลกอันเดียวกัน ความทุกข์สุกดิบเกี่ยวเนื่องกันอยู่ทุกวันเวลาอย่างแยกไม่ออกจะไม่ทราบเรื่องของ กันนั้นเป็นไปไม่ได้ต้องทราบแน่นอน คนที่เบื่อหน่ายเกลียดชังกันก็เพราะทราบเรื่องของกัน คนที่รักชอบขอบใจ ตายใจเชื่อสนิทต่อกันก็เพราะทราบเรื่องของกัน การแสดงออกแห่งศาสนา ของศาสดาแต่ละองค์ ซึ่งเป็นการสะเทือนโลกธาตุ เพราะการปลุกปลอบใจสัตว์ ทั้งหลายให้ตื่นจากหลับ ที่เคยจมอยู่ในกองกิเลสทั้งหลายให้ฟื้นตื่นตัวด้วย ธรรมจักร ที่หมุนไปด้วยอริยสัจของจริงอันประเสริฐ ทำ�ไมจะทราบไม่ได้ว่าบุคคล เช่นไรเป็นผู้ประกาศและประกาศด้วยอัธยาศัยที่สัมปยุตด้วยอะไรถ้าไม่สัมปยุตด้วย


169 พระเมตตามหาคุณล้นโลกแล้ว ผู้เขียนก็ไม่ทราบจะเรียนอย่างไรจึงจะสมใจ ของท่านผู้อ่านทั้งหลาย ถ้าท่านเป็นเสมือนเราๆ ท่านๆ ที่ขุดค้นดูในตัวในใจ เห็นแต่ความคับแคบตีบตัน ความเห็นแก่ตัวแบบเข้ากับใครไม่ได้นี้แล้ว ศาสนา และศาสดาจะไม่มีวันอุบัติขึ้นมาให้โลกได้กราบไหว้บูชาเป็นขวัญตาขวัญใจได้เลย เท่าที่โลกยังเป็นโลกและมีคนดีคนชั่วสับปนกันอยู่ ไม่สูญปราชญ์ราช บัณฑิตไปจากพันธุ์มนุษย์ก็เพราะอาศัยร่มเงาแห่งใจที่ขาวสะอาดของท่านผู้ไม่เห็น แก่ตัวกลัวคนอื่นจะดีกว่า มาชุบเลี้ยงชโลมไว้ด้วยศาสนธรรมนั่นเอง จึงพอ มีคนดีไว้ประดับโลกการเกิดมาเป็นมนุษย์จึงไม่ควรคิดเอาง่ายๆว่าเป็นภพที่เกิด ได้ง่ายและตายยาก แต่อาจเป็นภพที่เกิดง่ายตายง่าย และเกิดยากตายง่ายเช่น เดียวกับสัตว์ทั่วไป เพราะชีวิตเป็นอยู่กับธาตุขันธ์เหมือนกัน ลมหายใจหยุดหมด ความสืบต่อก็คือคนตายสัตว์ตายนั่นแล จะเรียกอย่างไรให้ยิ่งกว่านั้นไปอีกได้ จะมีความเที่ยงทนถาวรที่ไหนพอจะประมาทนอนใจไม่คิดอ่านเรื่องของตัว พอเป็น สุคตินิสัยสืบไปในอนาคต


170 วิธีนั่งสมาธิภาวนา การกล่าววิธีเดินจงกรมมาก็มากพอควร จึงขอเริ่มอธิบายวิธีนั่งสมาธิ ภาวนาต่อไปพอเป็นหลักฐานของผู้เริ่มฝึกหัด เพราะงานทุกแขนงทุกชนิดย่อม มีแบบฉบับเป็นเครื่องดำ�เนิน งานสมาธิภาวนาก็จำ�ต้องมีแบบฉบับเป็นหลักเกณฑ์ วิธีนั่งสมาธิภาวนาท่านสอนไว้ว่า พึงนั่งขัดสมาธิคือนั่งขัดสมาธิตามแบบพระพุทธ รูปองค์แทนศาสดา เอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย วางมือทั้งสองไว้บน ตักหรือบนสมาธิตั้งกายให้ตรงธรรมดา อย่าให้ก้มนักเงยนัก อย่าให้เอียงซ้าย เอียงขวาจนผิดธรรมดา ไม่กดหรือเกร็งอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งอันเป็นการบังคับ กายให้ลำ�บาก ปล่อยวางอวัยวะทุกส่วนไว้ตามปกติธรรมดา แต่เวลาทำ�หน้าที่ภาวนาต่อไปแล้ว กรุณาทำ�ความสนใจกับหน้าที่นั้น อย่างเดียว ไม่พึงกลับมาทำ�ความกังวลรักษาท่าสมาธิที่กำ�หนดไว้เดิม โดยเกรง ท่านั่งนั้นจะเคลื่อนจากอาการเดิม เป็นการก้มเกินไปหรือเงยเกินไป เอียงซ้าย เกินไป เอียงขวาเกินไป ซึ่งเป็นการกังวลกับอาการทางกายมากกว่าทางจิตสมาธิ ภาวนาจะดำ�เนินไปไม่สะดวก ดังนั้น พอเริ่มต้นทางจิตตภาวนาแล้ว จึงไม่ควร เป็นกังวลกับทางกายตั้งหน้าทำ�งานทางจิตต่อไป จนถึงวาระสุดท้ายแห่งการออก จากที่สมาธิภาวนา การเริ่มต้นทางจิตตภาวนาพึงตั้งความรู้สึกคือ จิตลงเฉพาะหน้าที่เรียกว่า ปัจจุบันธรรม อันเป็นทางรู้ความเคลื่อนไหวของจิตของธรรมารมณ์ต่างๆ ดีชั่วได้ ดีในเวลานั้นมากกว่าเวลาอื่นๆ คือ ตั้งจิตลงเฉพาะหน้า มีสติคือ ความระลึกรู้ อยู่กับใจอันเป็นการเตือนตนให้รู้ว่าจะเริ่มทำ�งานในขณะนั้น กรุณาระวังไม่ให้จิต ส่งออกไปสู่อารมณ์ต่างๆ ทั้งอดีตอนาคต ทั้งดีและชั่ว ที่นอกจากงานบริกรรม ภาวนาซึ่งกำ�ลังทำ�อยู่ในเวลานั้น วิธีตั้งสติเฉพาะหน้า จิตเป็นผู้รู้โดยธรรมชาติเท่านั้น ไม่มีความแยบคาย ใคร่ครวญในตัวเอง เป็นเพียงรู้คิด รู้นึก รู้เย็น รู้ร้อน จากสิ่งสัมผัสต่างๆ เท่านั้น ไม่มีความแยบคายใคร่ครวญ ไม่รู้การพินิจพิจารณาและตัดสินว่าอะไรถูกอะไรผิด


171 ลงไปได้คือ ไม่รู้จักผิดถูกชั่วดีโดยลำ�พังตนเอง จึงต้องอาศัยสติและปัญญาตัวรู้ ตัววินิจฉัยใคร่ครวญกำ�กับรักษา เพราะสติปัญญามีอำ�นาจเหนือจิตสามารถรู้เท่าทัน จิตที่คิดไปในอารมณ์ต่างๆได้ดีฉะนั้นพึงกำ�หนดเอาสติคือความระลึกรู้ชนิดหนึ่ง ที่มีอำ�นาจเหนือจิตนั้นมาไว้เฉพาะหน้า ทำ�หน้าที่กำ�หนดรู้และรักษาจิตไม่ให้ส่งไป อื่นจากอารมณ์ที่ภาวนา การมีสติรักษาจิตอยู่ทุกระยะนั้น สติสัมปชัญญะจะพึงเป็น สมบัติที่ควรได้รับในวาระนั้นหรือวาระต่อไปแน่นอน การภาวนาด้วยบริกรรมกับ ธรรมบทใดบทหนึ่งนั้น พึงให้เป็นไปตามจริตไม่ควรฝืนธรรมบทใดเป็นที่สบายใจ ในเวลานั้น พึงนำ�ธรรมบทนั้นมาบริกรรมภาวนาสืบต่อไปดังที่เคยอธิบายมาแล้ว วิธีนึกคำ�บริกรรมภาวนา การนึกคำ�บริกรรมภาวนานั้น จะนึกกับธรรมบทใด บทหนึ่งตามนิสัยชอบดังกล่าวแล้วก็ได้เช่น พุทโธ ธัมโม สังโฆๆๆ ๓ จบ แล้ว กำ�หนดเอาเพียงบทเดียวติดต่อกันไปด้วยความมีสติแต่จะกำ�หนดธรรมบทใด ก็ตามนอกจากสามบทนี้ก่อนจะเจริญธรรมบทนั้นๆ ทุกครั้งควรเจริญรำ�ลึกธรรม สามบท คือ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ๓ ครั้ง อันเป็นองค์พระรัตนตรัยก่อน จากนั้น ค่อยบริกรรมบทที่ตนต้องการต่อไป เช่น อานาปานสติหรืออัฐิหรือตโจ เป็นต้น การที่ท่านให้มีคำ�บริกรรมภาวนาเป็นบทๆ กำ�กับใจในเวลานั้นหรือเวลาอื่น ก็เพื่อเป็นอารมณ์เครื่องยึดของใจในเวลาต้องการความสงบ เพราะใจเป็นของ ละเอียดตามธรรมชาติ ทั้งยังไม่สามารถพึ่งตัวเองได้ เนื่องจากจิตยังไม่เป็นตัว ของตัวโดยสมบูรณ์ดังพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่าน จำ�ต้องมีบทเป็นคำ�บริกรรม เพื่อผูกใจหรือเพื่อเป็นอารมณ์ของใจเวลานั้น การบริกรรมภาวนาในธรรมบทใดก็ตาม กรุณาอย่าคาดหมายผลที่จะพึงเกิด ขึ้นในเวลานั้น เช่น ความสงบจะเกิดขึ้นในลักษณะนั้น นิมิตต่างๆจะเกิดขึ้นในเวลา นั้น หรืออาจจะเห็นนรกสวรรค์ขุมใดหรือชั้นใดในเวลานั้น เป็นต้น นั้นเป็นการ คาดคะเนหรือด้นเดาซึ่งเป็นการก่อความไม่สงบให้แก่ใจเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์ อะไรจากการวาดภาพนั้นเลยและอาจทำ�ใจให้ท้อถอยหรือหวาดกลัวไปต่างๆซึ่งผิด จากความมุ่งหมายของการภาวนาโดยถูกทางที่ท่านสอนไว้


172 ที่ถูกควรตั้งจิตกับสติไว้เฉพาะหน้า มีคำ�บริกรรมเป็นอารมณ์ของใจเพียง อย่างเดียวเท่านั้น โดยมีใจกับสติสืบต่ออยู่กับคำ�บริกรรม เช่น พุทโธๆ สืบเนื่อง กันไปด้วยความมีสติและพยายามทำ�ความรู้สึกตัวอยู่กับคำ�บริกรรมนั้นๆ อย่าให้ จิตเผลอตัวไปสู่อารมณ์อื่น ระหว่างจิตสติกับคำ�บริกรรมมีความสืบต่อกลมกลืน กันได้เพียงไร ยิ่งเป็นความมุ่งหมายของการภาวนาเพียงนั้น ผลคือความสงบเย็น หรืออื่นๆ ที่แปลกประหลาดไม่เคยพบเคยเห็น อันจะพึงเกิดขึ้นให้ชมตามนิสัย วาสนาในเวลานั้นจะเกิดขึ้นเอง เพราะอำ�นาจของการรักษาจิตกับคำ�บริกรรมไว้ ด้วยสตินั่นแล จะมีอะไรมาบันดาลให้เป็นขึ้นไม่ได้ ข้อควรสังเกตและระวังในขณะภาวนา โดยมากมักคิดและพูดกันเสมอว่า ภาวนาดูนรกสวรรค์ ดูกรรมดูเวรของตนและผู้อื่น ข้อนี้ท่านที่มุ่งต่ออรรถธรรม สำ�หรับตัวจริงๆ กรุณาสังเกตขณะภาวนาว่า จิตได้มีส่วนเกี่ยวข้องผูกพันกับ เรื่องดังกล่าวเหล่านี้บ้างหรือไม่ ถ้ามีควรระวังอย่าให้มีขึ้นได้สำ�หรับผู้ภาวนา เพื่อความสงบเย็นเห็นผลเป็นความสุขแก่ใจโดยถูกทางจริงๆ เพราะสิ่งดังกล่าว เหล่านั้นมิใช่ของดีดังที่เข้าใจ แต่เป็นความคิดที่ริเริ่มจะไปทางผิด เพราะจิตเป็น สิ่งที่น้อมนึกเอาสิ่งต่างๆ ที่ตนชอบได้แม้ไม่เป็นความจริง นานไปสิ่งที่น้อมนึก นั้นอาจปรากฏเป็นภาพขึ้นมาราวกับเป็นของจริงก็ได้นี่รู้สึกแก้ยากแม้ผู้สนใจใน ทางนั้นอยู่แล้วจนปรากฏสิ่งที่ตนเข้าใจว่าใช่และชอบขึ้นมาด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำ�ความ มั่นใจหนักแน่นขึ้นไม่มีทางลดละ จะไม่ยอมลงกับใครง่ายๆ เลย จึงได้เรียนเผดียงไว้ก่อนว่าควรสังเกตระวังอย่าให้จิตนึกน้อมไปในทางนั้น จะกลายเป็นนักภาวนาที่น่าทุเรศเวทนา ทั้งที่ผู้นั้นยังทะนงถือความรู้ความเห็น ของตัวว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องอยู่ และพร้อมจะสั่งสอนผู้อื่นให้เป็นไปในแนวของตน อีกด้วย จิตถ้าได้นึกน้อมไปในสิ่งใดแล้ว แม้สิ่งนั้นจะผิดก็ยังเห็นว่าถูกอยู่นั่นเอง จึงเป็นการลำ�บากและหนักใจแก่การแก้ไขอยู่ไม่น้อย เพราะจิตเป็นของละเอียด มากยากที่จะทราบได้กับบรรดาอารมณ์ที่จิตเข้าเกาะเกี่ยว ว่าเป็นอารมณ์ดีหรือ ชั่วประการใด นอกจากท่านที่เชี่ยวชาญทางด้านภาวนา ซึ่งเคยผ่านเหตุการณ์ ต่างๆ มาแล้วอย่างโชกโชน เช่นอาจารย์มั่นเป็นต้นนั้น ท่านพอตัวเสียทุกอย่าง


173 ไม่ว่าภายในภายนอก ท่านคลี่คลายดูโดยละเอียดทั่วถึงไม่มีทางสงสัยจึงสมนาม ที่ท่านเป็นอาจารย์หรือครูชั้นเอกในการสอนธรรมกรรมฐานแก่บรรดาศิษย์ ท่านผู้ใดจะมีความรู้ความเห็นในด้านภาวนามากน้อย ทั้งภายในภายนอก มาเพียงไรเวลาเล่าถวายท่านจบลงแล้ว จะได้ยินเสียงท่านแสดงออกด้วยความ เข้มข้นมั่นใจในความรู้ความเห็นของท่านเองอย่างจับใจและหายสงสัย ทั้งท่าน ที่มาเล่าถวายและบรรดาศิษย์ที่แอบฟังอยู่ที่นั้น ทั้งเกิดความรื่นเริงในธรรมนั้น สุดจะกล่าวแม้ผู้นั้นจะยังสงสัยในบางแขนงขณะท่านอธิบายจบลงแล้ว ได้แยกแยะ เรียนความรู้ความเห็นของตนให้ท่านฟังซ้ำ�อีก ท่านจะชี้แจงเหตุผลของสิ่งนั้นๆ ให้ฟังทันทีด้วยความมั่นใจที่ท่านเคยผ่านมาแล้ว ท่านจะว่าท่านองค์นั้นว่าท่านลงไปงมกองมูตรกองคูถอยู่ทำ�ไม ผมเคยงมมา ก่อนท่านแล้ว และล้างมือด้วยสิ่งซักฟอกต่างๆ ตั้งสามวันก็ยังไม่หายกลิ่น และ ท่านยังขยันนำ�สิ่งนั้นมาทาตัวชโลมศีรษะโดยเข้าใจว่าเป็นน้ำ�หอมอยู่หรือ นั่นคือ กองมูตรคูถที่เขาถ่ายมาได้สองสามวันแล้วซึ่งกำ�ลังส่งกลิ่นฉุนเต็มที่ ท่านอย่า กล้าหาญอวดเก่งไปสูดดมเล่นเดี๋ยวน้ำ�ในบ่อจะหมด แต่สิ่งที่ท่านนึกว่าหอมนั้น จะยังไม่หายกลิ่นจะว่าผมไม่บอก ผมเคยโดนมาแล้วจึงได้เข็ดและรีบบอกกลัวท่าน จะโดนเข้าไปอีกถ้าไม่มีน้ำ�ล้างอาจร้ายกว่าผมที่เคยโดนมา ทั้งที่มีน้ำ�ล้างยังแย่และ เข็ดอยู่จนป่านนี้ดังนี้ซึ่งเป็นคำ�ที่ออกรสอย่างยิ่งสำ�หรับผู้เขียนซึ่งมีนิสัยหยาบ ท่านผู้มีนิสัยละเอียดอาจเกิดความขยะแขยงไม่น่าฟัง แต่การที่ท่านแสดงเช่นนั้น เป็นคำ�ยืนยันอย่างหนักแน่นแม่นยำ�ในใจ ทั้งทางผิดและทางถูกที่ท่านเคยผ่าน มาให้ผู้มาศึกษาฟัง และหายสงสัยในสิ่งที่ตนยังเห็นว่าถูกว่าดีนั้น แล้วพยายาม ติดตามท่านด้วยความแน่ใจ จะไม่โดนกองมูตรกองคูถอีก ซึ่งร้ายกว่าคำ�ที่ท่าน ชี้แจงให้ฟังที่คิดว่าเป็นคำ�หยาบเสียอีก การยกธรรมท่านมาแทรกบ้าง ก็เพื่อท่านนักอบรมทั้งหลายจะได้นำ�ไป เป็นข้อคิดว่าความรู้ทางด้านภาวนานี้ไม่สิ้นสุดอยู่กับผู้ใดที่พอจะยืนยันได้ทีเดียว โดยมิได้ไตร่ตรองหรือไต่ถามผู้รู้มาก่อนเสียก่อน นอกจากท่านที่ชำ�นิชำ�นาญ มาอย่างเต็มภูมิแล้ว นั่นไม่นับเข้าในจำ�พวกที่กำ�ลังเห็นกองมูตรคูถที่ท่านตำ�หนิ


174 ว่าเป็นของดีแล้วชื่นชมในความรู้ความเห็นของตน แม้ผู้เขียนเองก็เคยอวดเก่ง ในความหางอึ่งของตนและถกเถียงท่านแบบตาแดงมาแล้ว จนไม่อาจนับได้ว่า กี่ครั้งกี่หนเพราะทำ�อยู่เสมอรู้ขึ้นมาอยู่เสมอและสำ�คัญตัวว่าถูกอยู่เสมอคำ�ถกเถียง ท่านทุกประโยคที่ตนเข้าใจว่าถูกต้องดีแล้ว เหมือนยื่นไม้แต่ละชิ้นให้ท่านตีเอาๆ จนแทบศีรษะไม่มีผมเหลือค้างอยู่นั่นแล จึงจะได้ความฉลาดอันแหลมคมและ ความดีจากปัญหาขุยไม้ไผ่ (ปัญหาฆ่าตัวเอง) ของตนที่ถือว่าถูกว่าดีมาจากที่ไหน นอกจากท่านตีเอาอย่างถนัดมือ แล้วก็ยื่นยาใส่แผลที่ถูกตีมาให้ไปใส่แผลเอาเอง เท่านั้นจะได้ดีกรีอะไรมาจากความฉลาดหางอึ่งนั้นเล่า ที่ว่าท่านยื่นยามาให้ไปใส่แผลเอาเองนั้น ได้แก่ท่านแก้ความรู้ความเห็น ทางด้านภาวนาที่ตนสำ�คัญผิดไปนั้น แล้วเรากลับยอมเห็นตามท่าน กว่าจะยอมลง ได้ด้วยเหตุและผล ก็ถูกท่านเข่นเอาเจ็บพอเข็ดหลาบที่เรียกว่าถูกตีนั่นแล ฉะนั้น จึงเรียนไว้เพื่อทราบว่าคนที่รู้แล้วกับคนที่ยังหลงอยู่ในกองกิเลสนั้นผิดกันอยู่มาก ถ้าไม่ใช่ผู้รู้มาแก้ความรู้ความเห็นผิดนั้น ปล่อยให้เฉพาะพวกที่เก่งๆ แก้กันเอง ที่นั้นจะต้องกลายเป็นเวทีมวยฝีปากที่ไม่ยอมลงกันได้แบบไม่มีใครกล้าจองตั๋ว เข้าฟังด้วยได้แน่นอน เพราะกลัวจะไปเหยียบน้ำ�ลายของนักมวยฝีปากบนเวที เสียจนลื่นและเลอะไปทั้งตัวโดยไม่มีผลดีอะไรติดตัวมาบ้างเลย ทั้งนี้เพราะความรู้ภายในจากการภาวนาเป็นความสลับซับซ้อนมากยากจะ กำ�หนดได้ว่าอันไหนถูกอันไหนผิด ผู้ปฏิบัติที่ไม่มีครูอาจารย์คอยอบรมสั่งสอน ต้องลูบคลำ� ผิดก็คลำ� ถูกก็คลำ�คลำ�ทั้งน้ำ�ทั้งเนื้อ ทั้งเปลือกทั้งกระพี้ทั้งรากแกัว รากฝอย ทั้งกิ่งทั้งใบเอาไปทำ�บ้านเรือน คือเครื่องอยู่ของจิตที่ภาคภูมิใจด้วย ไม้ทั้งต้น แล้วก็ชมว่าสวยงามเอาเองทั้งที่คนอื่นดูไม่ได้การปฏิบัติภาวนาที่ไม่ ใช้วิจารณญาณก็เป็นทำ�นองนี้เหมือนกัน อะไรๆ ก็จะเหมาเอาเสียว่าถูกไปหมด เวลาระบายออกมาให้ผู้อื่นฟังกับปากกับหูตัวเองซึ่งอยู่ใกล้ๆแทบติดกัน ก็ไม่ยอม ฟังว่าที่พูดไปนั้นถูกหรือผิดประการใดบ้าง แต่จะเข้าใจว่าถูกและพูดฟุ้งไปทีเดียว ความเสียหายจึงไม่เปื้อนเฉพาะผู้ไม่พิจารณาสำ�รวมให้รอบคอบและรู้จักประมาณ เพียงเท่านั้น ยังมีส่วนแปดเปื้อนเลอะเลือนแก่วงพระศาสนาอันเป็นจุดส่วนรวม อีกด้วยจึงควรสำ�รวมระวังไว้ให้มากเป็นการดี


175 ขณะนึกคำ�บริกรรมภาวนาที่เป็นความถูกต้อง ท่านนักภาวนาควรสนใจ กับคำ�บริกรรมของตน โดยเฉพาะในขณะนั่งบริกรรมภาวนาไม่ควรเป็นกังวลกับ ท่านั่งที่กำ�หนดไว้ถูกต้องแต่ต้นแล้ว คือขณะภาวนาที่กำ�ลังทำ�ความกำ�หนด จดจ่อกับงานที่ทำ�นั้น กายอาจเอียงหน้าเอียงหลังเอียงซ้ายเอียงขวาไปบ้าง เพราะ ขาดความสนใจกับกาย เวลานั้นมีความสนใจกับการภาวนาโดยเฉพาะ ดังนั้นแม้ กายจะเอียงไปบ้างก็ตาม แต่จิตขออย่าให้เอียงไปจากอารมณ์ภาวนาเป็นการดี เพราะจุดสำ�คัญที่ต้องการจริงๆ อยู่กับภาวนา ถ้าจิตมากังวลกับกายอยู่เรื่อยๆ กลัวจะเอนหน้าเอียงหลัง ทำ�ให้จิตเผลอตัวจากคำ�ภาวนา ไม่อาจเข้าสู่ความ ละเอียดเท่าที่ควรได้ตามกำ�ลังของตน เพื่อให้จิตได้ทำ�หน้าที่เต็มความสามารถของตนในเวลานั้น จึงไม่ควรกังวล กับกายภายนอก แต่ควรทำ�ความจดจ่อต่อคำ�ภาวนาอย่างเดียว จนจิตสงบและ รู้เหตุรู้ผลของตนได้ตามความมุ่งหมาย แม้ขณะที่จิตสงบรวมลงสู่ภวังค์คือที่ พักผ่อน ตัวหมดความรู้สึกกับสิ่งภายนอกมีกายเป็นต้นก็ตาม เวลาจิตถอนขึ้นมา แล้วเห็นกายเอนเอียงไปในลักษณะต่างๆ ก็ไม่ควรสงสัยข้องใจว่ากายนั่นไม่เที่ยง ตรงตามที่กำ�หนดไว้การกังวลทางกายและกังวลทางใจ นอกจากก่อความวุ่นวาย ให้แก่จิตที่ไม่รู้หน้าที่ของตนแล้ว ผลที่จะพึงได้รับเวลานั้นจึงไม่มีอะไรปรากฏยิ่ง ไปกว่า กายกับใจเกิดยุ่งกันในเวลาภาวนาโดยไม่รู้สึกตัว จึงควรทำ�ความเข้าใจไว้ แต่ขณะเริ่มลงมือภาวนา ที่ตั้งฐานสูงต่ำ�แห่งอารมณ์ของจิตกรรมฐานบางประเภทอันเป็นอารมณ์ของ จิตย่อมมีฐานเป็นตัวอยู่แล้ว เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน มีฐานเป็นของตัวอยู่โดยเฉพาะ ส่วนหนังบางส่วนที่ถูกกำ�หนดเป็นฐาน ย่อมทราบว่าอยู่ในที่เช่นไรสิ่งที่ถูกกำ�หนด นั้นๆ พึงทราบไว้ว่ามีอยู่อารมณ์แห่งกรรมฐานในที่เช่นนั้นๆสูงหรือต่ำ�ประการใด สิ่งนั้นๆ มีฐานของตนที่เป็นอยู่ตายตัว เช่น ฟันมีอยู่ในมุขทวาร ผมตั้งอยู่บนศีรษะ มีส่วนสูงเป็นที่อยู่ นอกนั้น เช่น หนัง ผม ขน เอ็น กระดูก มีอยู่ในที่ทั่วไปตามแต่ จะกำ�หนดเอาอาการใดเป็นอารมณ์แห่งกรรมฐาน และอาการนั้นๆตั้งอยู่ในที่เช่นไร เวลากำ�หนดสิ่งนั้นๆ เป็นอารมณ์ตามฐานของตนที่ตั้งอยู่สูงหรือต่ำ�ประการใด กรุณาทราบไว้ตามฐานของสิ่งนั้นๆ


176 เวลากำ�หนดอาการใดอาการหนึ่งที่กล่าวมาเป็นอารมณ์ในขณะภาวนา พึงกำ�หนดเฉพาะอาการนั้นเป็นสำ�คัญกว่าความสูงหรือต่ำ�ที่กำ�หนดไว้เดิม เช่น เดียวกับท่านั่งสมาธิที่เอนเอียงไปบ้างไม่สำ�คัญ ความสูงหรือต่ำ�ที่เรากำ�หนดไว้เดิม อย่างไรก็ปล่อยตามสภาพเดิม อย่ายกกรรมฐานที่เคยกำ�หนดแล้วว่าอยู่ในที่ เช่นนั้นมาตั้งใหม่เรื่อยๆโดยเข้าใจว่าเคลื่อนจากที่เดิม ถ้ายกมาตั้งใหม่ตามความ สำ�คัญของใจ จะทำ�ให้เป็นกังวลไปกับฐานนั้นๆ ไม่ป็นอันกำ�หนดภาวนากับ กรรมฐานบทนั้นได้อย่างถนัดชัดเจน เช่น กำ�หนดกระดูกศีรษะและเพ่งสิ่งนั้น เป็นอารมณ์ จนปรากฏเห็นเป็นภาพชัดเจนเหมือนกับดูด้วยตาเนื้อ แต่แล้วเกิด ความสำ�คัญขึ้นว่ากระดูกศีรษะนั้นได้เคลื่อนจากฐานบนมาอยู่ฐานล่างซึ่งผิดกับ ความจริง แล้วกำ�หนดใหม่ ดังนี้เป็นต้น ซึ่งเป็นการสร้างความลูบคลำ�สงสัยให้ แก่ใจอยู่เสมอ ไม่มีเวลาพิจารณาอาการนั้นๆ ให้แนบสนิทลงได้ ที่ถูกควรกำ�หนดอาการนั้นๆ ให้อยู่ในความรู้สึกหรือความเห็นภาพแห่ง อาการนั้นๆด้วยความรู้สึกทางสติไปตลอดสายแม้ภาพของอาการนั้นๆจะแสดง อาการใหญ่ขึ้นหรือเล็กลงหรือแสดงอาการแตกสลายไป ก็ควรกำ�หนดรู้ไปตาม อาการของมัน โดยไม่คำ�นึงถึงความสูงต่ำ�ที่เคยกำ�หนดไว้เดิม การทำ�อย่างนี้จะ ทำ�ให้จิตแนบสนิทและเกิดความสลดสังเวชไปกับอาการที่กำ�หนดซึ่งแสดงอาการ แปรสภาพให้เห็นอย่างเต็มใจ การกำ�หนดลมหายใจและฐานที่ตั้งของลมก็เหมือนกัน เมื่อกำ�หนดลมทีแรก ได้กำ�หนดไว้ในที่เช่นไร เช่น กำ�หนดที่ดั้งจมูกเป็นต้น เวลาดูลมเพลินไปด้วย ความสนใจอาจเกิดความสงสัยขึ้นมาในเวลานั้นได้ว่า ลมได้เคลื่อนจากดั้งจมูก ไปอยู่ในฐานอื่นเป็นต้น แล้วตั้งลมที่ดั้งจมูกใหม่ดังนี้ เรียกว่าก่อกวนตัวเองด้วย ความสำ�คัญ จะไม่เกิดผลได้เลยเพราะความสงสัยมาแย่งเอาไปเสียหมดเพื่อความ ถูกต้องและหายกังวลในฐานต่างๆ จึงควรปฏิบัติตามที่กล่าวมาในอาการอื่นๆ คือ พึงทำ�ความรู้ชัดในกองลมที่ผ่านเข้าผ่านออกด้วยสติทุกระยะไปจนถึงที่สุดของลม แม้ฐานของลมจะปรากฏว่าสูงต่ำ� หรือผิดฐานเดิมไปตามความเข้าใจก็ตาม จะไม่ ทำ�ให้การกำ�หนดนั้นเสียไปแม้แต่น้อยเลยยิ่งจะทำ�ให้จิตกับลมสนิทแนบต่อกันไป ตลอดที่สุดของการภาวนาหรือที่สุดของลม


177 ลมหายใจดับไปในความรู้สึกขณะภาวนาอานาปานสติในบางครั้ง ที่สุดของ ลมคือดับไป ที่สุดของใจคือรวมลงสนิท หมดความรับผิดชอบกับลม ตั้งอยู่เป็น เอกจิตคือมีอารมณ์เดียว เพียงรู้อย่างเดียวไม่เกี่ยวกับสิ่งใดต่อไปอีก ที่เรียกว่า จิตรวมสนิททางสมาธิภาวนา แต่ผู้ภาวนาอานาปานสติเมื่อเข้าถึงลมละเอียด และลมดับไปในความรู้สึกขณะนั้น เกิดตกใจด้วยความคิดหลอกตัวเองว่า “ลมดับ ต้องตาย”เพียงเท่านี้ลมก็กลับมีมา และกลายเป็นลมหยาบไปตามเดิม จิตก็หยาบ สุดท้ายการภาวนาก็ไม่ก้าวไปถึงไหน คงได้เพียงขั้นกลัวตายแล้วถอยจิตถอยลม ขึ้นมาหาที่ที่ตนเข้าใจว่าจะไม่ตายนี้เท่านั้น การภาวนาแบบนี้มีมากรายในวง ปฏิบัติจึงได้เรียนไว้บ้าง เพราะอาจเกิดมีแก่ท่านที่ภาวนาอานาปานสติเป็น บางราย แล้วอาจเสียท่าให้กับความหลอกลวงนี้ได้ การภาวนาเพื่อเห็นความจริงกับลมในอานาปานสติกรุณากำ�หนดลมด้วย สติจนถึงที่สุดของลมและของจิต จะเห็นความอัศจรรย์อย่างเด่นชัดขณะผ่าน ความกลัวตายในระยะที่เข้าใจว่าลมดับไปแล้วด้วยความกล้าหาญ คือ ขณะเจริญ อานาปานสติไปถึงลมละเอียดและลมดับไปในความรู้สึกขณะนั้น โปรดทำ�ความ เข้าใจว่า แม้ลมจะดับไปจริงๆ ก็ตามเมื่อความรู้สึกคือใจยังครองตัวอยู่ในร่างนี้ อย่างไรก็ไม่ตายแน่นอน ลมจะดับก็จงดับไป หรืออะไรๆ ในกายจะดับไปตามลม ก็จงดับไปตามธรรมชาติของตน สำ�หรับใจผู้ไม่ดับไม่ตายไปกับสิ่งเหล่านั้น จะกำ�หนดดูให้รู้ทุกอย่างบรรดาที่ผ่านเข้ามาในความรู้สึกขณะนี้แต่จะไม่เป็นกังวล กับอะไรที่เป็นสภาพเกิดๆ ดับๆ เพียงเท่านี้จิตจะตัดความกลัวและกังวลต่างๆ ที่เคยสั่งสมไว้ออกได้ อย่างไม่คาดฝัน และสงบลงถึงฐานของสมาธิโดยไม่มีอะไรมากีดขวางได้เลย สิ่งที่เป็นอุปสรรคกีดขวางขณะลมจะดับหรือขณะลมดับไป ก็มีเฉพาะความกลัว ตายเท่านั้นเอง พอผ่านอุปสรรคนี้ไปได้ด้วยอุบายดังกล่าวเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ครั้งต่อไปความกลัวหายหน้าไปเลยไม่อาจกลับมาหลอกได้อีก เราจึงพอมองเห็น เล่ห์เหลี่ยมของกิเลสได้ชัดตอนนี้แล ครั้นแล้วเราก็ไม่เห็นตายดังความคาคคิด ก็ยิ่งทำ�ให้เห็นตัวมารที่แสนปั้นเรื่องขึ้นหลอกได้ชัดเจน ฉะนั้นท่านที่ภาวนา


178 อานาปานสติกรุณาจำ�หน้ามารตัวนี้ไว้ด้วยดีเวลาเจอกันในวันข้างหน้าจะได้ทราบวิธี หลบหลีกแก้ไข และดำ�เนินไปได้โดยสะดวกจนถึงฝั่งแห่งความปลอดภัยไร้ทุกข์ ทั้งมวลดังองค์ศาสดาท่านที่ทรงดำ�เนินธรรมบทนี้มาก่อนจนได้ตรัสรู้และนิพพาน ด้วยธรรมบทนี้เป็นบาทฐาน ภวังคจิต คำ�ว่าจิตตกภวังค์ บางท่านอาจไม่เข้าใจ จึงขออธิบายไว้บ้าง เล็กน้อยคำ�ว่า ภวังค์แปลอย่างป่าๆตามนิสัยที่ถนัดใจ จึงขอแปลว่า องค์แห่งภพ หรือเรือนพักเรือนนอนของอวิชชามาตั้งแต่ดึกดำ�บรรพ์แสนกัปนับไม่ถ้วน คำ�ว่า จิตตกภวังค์คือ อวิชชารวมตัวเข้าไปอยู่ในที่แห่งเดียว ไม่ทำ�งานและไม่ใช้สมุนให้ ออกเที่ยวล่าเมืองขึ้นตามสายทางต่างๆ นั่นแล ทางออกทางเข้าของสมุนอวิชชา คือ ตา หูจมูก ลิ้น กาย เมืองขึ้นของอวิชชา คือ รูปร้อยแปด เสียงร้อยแปด กลิ่นร้อยแปดรสร้อยแปดเครื่องสัมผัสร้อยแปดซึ่งล้วนเป็นที่รักชอบของอวิชชา ทั้งสิ้น สมุนของอวิชชา คือราคะตัณหาโดยอาศัยสัญญา สังขาร วิญญาณ เหล่านี้ เป็นเครื่องมือช่วยจัดการงานต่างๆ ให้เป็นไปตามความหวัง ขณะที่จิตตกภวังค์ด้วยกำ�ลังของสมาธิอวิชชาก็พักงานไปชั่วระยะหนึ่ง พอจิตถอนขึ้นมาก็เริ่มทำ�งานอีกตามหน้าที่ของตน แต่ไม่รุนแรงเหมือนที่ยังไม่ ถูกหักแข้งหักขาจากสมาธิภาวนา ดังนั้นสมาธิภาวนาจึงเป็นเครื่องมือตัดกำ�ลัง ของอวิชชาได้ดี เพื่อปัญญาจะได้ทำ�การกวาดล้างไปโดยลำ�ดับ จนไม่มีอวิชชา เหลืออยู่ภายในใจ คำ�ว่าภวังคจิตนี้เริ่มทราบได้จากการภาวนาเมื่อจิตรวมสงบตัว ลงไป พอถอนออกมาเรียกว่าจิตออกจากภวังค์ และเริ่มยุ่งไปกับเรื่องร้อยเปด ที่อวิชชาเป็นผู้บงการ ไม่มีวันสำ�เร็จเสร็จสิ้นลงไป ฉะนั้นจึงไม่มีงานใดจะยืดยาว จนสืบสาวราวเรื่องหาเหตุผลต้นปลายไม่ได้ เหมือนงานของอวิชชาที่แผ่กระจาย ไปทุกแห่งหนตำ�บลหมู่บ้านตลอดโลกสงสาร และกล้าได้กล้าเสียต่องานของตน รักชังเกลียดโกรธ เป็นงานประจำ�ของอวิชชาไม่มีรังเกียจ พอใจทั้งรักทั้งชัง พอใจทั้งเกลียดทั้งโกรธ แม้จะมีความทุกข์ทรมานแก่ผู้รับใช้เพียงไร อวิชชาเป็น ไม่ยอมให้ถอย ยุให้รักให้ชัง ให้เกลียดให้โกรธ จนผู้รับผลเกิดความฉิบหายป่นปี้


179 ไปเพราะสิ่งเหล่านี้ อวิชชาก็ไม่ยอมเห็นใจและสงสาร บังคับให้ทำ�จนผู้รับใช้ แหลกลาญไปกับมัน นั่นแลคือความเป็นธรรมของอวิชชาทุกๆอวิชชาที่มีอยู่ในใจ สัตว์โลกงานที่อวิชชาพาให้ทำ�นั้นไม่มีวันสิ้นเสร็จสำ�เร็จเหมือนงานอื่นๆ นอกจาก แตกแขนงกว้างขวางออกไปเรื่อยๆ ไม่มีวันเวลาเป็นกฎเกณฑ์ขอบเขตเท่านั้น ผู้มีธรรมในใจ เช่น ผู้มีสมาธิปัญญาบ้าง จึงพอเห็นโทษของอวิชชาที่พา ทำ�งานไม่หยุด ดังนั้นเมื่อจิตรวมลงสู่ภวังค์ที่เรียกว่าอวิชชาพักงานชั่วคราว จึงปรากฏมีความสุขสบายหายห่วงไปพักหนึ่งตอนที่จิตพักงานนี้แลที่พอเห็นโทษ แห่งความหมุนของตนที่มีอวิชชาอยู่หลังฉาก ซึ่งความหมุนนั้นผิดธรรมดาที่ อยู่ในภวังค์มากมาย ขณะที่จิตถอนขึ้นมาใหม่ๆ ใจก็ยังมีความสงบเย็นอยู่ด้วย กำ�ลังของสมาธิหล่อเลี้ยง จิตมีความสงบเพราะสมาธิมากเพียงไร ก็เห็นโทษแห่ง ความวุ่นวายของอวิชชาเป็นเหตุมากเพียงนั้น ด้วยเหตุนี้ผู้ปฏิบัติจึงมักติดสมาธิ จนไม่สนใจจะแก้ด้วยวิธีใดๆ เพราะเป็นความสงบเย็นมากพอให้ติดได้สุดท้าย จิตกลับเห็นโทษแห่งความวุ่นวายเพราะอวิชชา แต่ก็ติดในสมาธิซึ่งเป็นบ้านพัก เรือนนอนของอวิชชาจนได้ เพราะไม่มีทางออกซึ่งเห็นว่าดีกว่านี้ นี่แลผู้ปฏิบัติ จะเห็นคุณของสติปัญญาอย่างถึงใจก็มาเห็นตอนพยายามถอดถอนทำ�ลายอวิชชา นี่แล เพราะนอกจากสติกับปัญญาแล้วไม่มีเครื่องมือใดสามารถทำ�ลายได้ ภวังคจิตจะสูญสิ้นไปได้เมื่อไร ภวังคจิตไม่มีวันสูญสิ้นไปโดยลำ�พัง เพราะ เป็นแหล่งสร้างภพสร้างชาติสร้างกิเลสตัณหามานาน และทางเดินของอวิชชา ก็คือการสร้างภพชาติบนหัวใจสัตว์โลกอยู่ตลอดไป ไม่มีวันเกียจคร้านและอิ่มพอ ผู้ปฏิบัติถ้ายังรักสงวนภวังคจิตและรักฐานแห่งสมาธิของตนอยู่ ไม่คิดหาทาง ขยับตัวเข้าสู่ปัญญา เพื่อสอดส่องดูตัวอวิชชาที่เปรียบเหมือนนางบังเงาอยู่ในจิต หรือในภวังคจิตในสมาธิก็เท่ากับเป็นสมุนของภพชาติอยู่เรื่อยไปไม่มีวันพ้นไปได้ ถ้าต้องการหลุดพ้น ก็ต้องสร้างสติปัญญาขึ้นกับใจจนคล่องแคล่วแกล้วกล้า สามารถทำ�ลายภวังคจิตอันเป็นตัวภพชาตินั้นเสีย ภวังคจิตก็สลายหายซากไปเอง ผู้จะทราบภวังคจิตได้ต้องเป็นผู้มีสมาธิอันมั่นคงและมีสติปัญญาอันแหลมหลัก


180 เข้าเขตข่ายแห่งมหาสติมหาปัญญานั่นแล นอกนั้นไม่สามารถทราบได้แม้เรียนจบ พระไตรปิฎกก็ไม่พ้นจากความพกเอาความรู้อวิชชาไว้อย่างเต็มพุงไปได้เครื่องมือ อันยอดเยี่ยมก็คือมหาสติมหาปัญญา นี่แลเป็นเครื่องสังหารทำ�ลายภวังคจิต ภวังคอวิชชา พระป่าก็เขียนไปตามนิสัยป่าอย่างนั้นเอง กรุณาอย่าได้ถือสาและ ยึดเป็นหลักเป็นเกณฑ์นักเลย เพราะพูดไม่มีแบบมีฉบับเป็นเครื่องยืนยันรับรอง เวลาปฏิบัติก็อยู่ในป่า เวลาเรียนก็เรียนในป่า ธรรมจึงเป็นธรรมป่า รวมแล้วมีแต่ เรื่องป่า ไม่มีคำ�ว่าคัมภีร์แฝงอยู่บ้างเลย การอธิบายวิธีเดินจงกรมกับวิธีนั่งสมาธิไม่ค่อยเป็นแถวเป็นแนว เนื่อง จากความเกี่ยวโยงแห่งแขนงธรรมต่างๆ ที่ควรอธิบายมีสัมผัสกันเป็นตอนๆ จึงเขียนวกเวียนซํ้าซากไปตามความจำ�เป็น ผู้เริ่มฝึกหัดใหม่อาจเป็นปัญหาและ ทำ�ให้เกิดความรำ�คาญอยู่บ้างแต่อาจเกิดผลในวาระต่อไป จึงขอสรุปวิธีการทั้งสอง ลงว่า ถ้าเห็นว่าการเดินจงกรมเหมาะกับนิสัย และได้รับความสงบหรือเกิดอุบาย ต่างๆขึ้นมากกว่าวิธีนั่งสมาธิก็ควรเดินมากกว่านั่งถ้าการนั่งจิตได้รับผลมากกว่า ก็ควรนั่งมากกว่าเดิน แต่ไม่ควรปิดทางของการเปลี่ยนอิริยาบถ ซึ่งเป็นความ สำ�คัญสำ�หรับกายที่เป็นเครื่องมือทำ�งาน ทั้งสองนี้จะเป็นวิธีใดก็คือการทำ�ลาย กิเลสสิ่งพอกพูนภพชาติและกองทุกข์ทั้งมวลภายในใจอันเดียวกันนั่นแล กรุณาทำ�ความสนใจกับจิตซึ่งเป็นสิ่งสำ�คัญของโลกด้วย โลกกับเราจะอยู่ ด้วยกันเป็นผาสุก ไม่อยู่ด้วยความเดือดร้อนนอนครางนัก เพราะจิตได้รับการ อบรมพอ มีเครื่องป้องกันหลบซ่อนบ้าง ดีกว่าที่ไม่มีอะไรในตัวเลย เวลาดับขันธ์ จะได้อาศัยพึ่งร่มพึ่งเงาความดีภายในตัวที่สั่งสมไว้สัตว์โลกเป็นไปกับกรรมดี กรรมชั่วและเสวยผลเป็นสุขบ้างทุกข์บ้างตลอดมา ไม่เคยมีสัตว์ตัวใดหรือผู้ใดหลีก พ้นไปได้โดยไม่ยอมเสวยผลที่ไม่พึงปรารถนา แม้ในโลกมนุษย์เราก็รู้เห็นกันอยู่ อย่างเต็มตาเต็มใจทั้งท่านและเราตลอดสัตว์ซึ่งมีสุขบ้างทุกข์บ้างเจือปนกันไปเป็น คราวๆในรายหนึ่งๆการอบรมความดีมีศีลสมาธิปัญญาเป็นต้น เพื่อเป็นเรือนใจ อันเป็นสิ่งที่ผู้บำ�เพ็ญจะพึงรู้เห็นในปัจจุบัน วันนี้ชาตินี้ไม่สงสัย เช่นเดียวกับสมัย


181 พุทธกาล ส่วนขณะจิตที่รวมลงเป็นสมาธิซึ่งมีหลายขณะต่างๆ กันตามนิสัยนั้น ไม่ขอแสดงไว้ณ ที่นี้ เกรงว่าท่านที่เริ่มปฏิบัติจะคิดคาดหมายไปต่างๆ ซึ่งมิใช่ ความจริงที่เป็นเองจากสมาธินิสัยของตน ที่อธิบายวิธีเดินจงกรมและนั่งสมาธิภาวนาที่ผ่านมานี้อธิบายเป็นกลางๆ นำ�ไปปฏิบัติได้ทั้งพระและฆราวาสส่วนผลคือความเป็นของจิตที่เกิดจากการเดิน จงกรมหรือนั่งสมาธินั้น ส่วนใหญ่คือความสงบของจิต เวลารวมลงไปถึงที่แล้ว จิตเป็นหนึ่งมีอารมณ์เดียวกัน ส่วนย่อยที่อาจเป็นไปตามนิสัยนั้นผิดกัน ผู้ปฏิบัติ จึงไม่ควรเป็นกังวลเมื่อได้ทราบจากเพื่อนฝูงเล่าให้ฟังว่า จิตเขาเป็นอย่างนั้น รู้อย่างนั้น เห็นอย่างนั้น และรู้เห็นนิมิตต่างๆ อย่างนั้น โปรดถือหลักใหญ่คือ ความสงบ ขณะที่จิตรวมลงเป็นสำ�คัญนี้เป็นหลักรับรองผลของสมาธิโดยทั่วไป ท่านที่มีความเพียรพยายามอยู่แล้วไม่นิยมว่าเป็นนักบวชหรือสาธุชนย่อมจะเห็น ความอัศจรรย์ของจิตจากสมาธิภาวนาในวันหนึ่งแน่นอน ข่าวที่เคยอ่านในประวัติของอริยสาวกทั้งหลายจะกลายมาเป็นข่าวของตนใน วันหนึ่งจนได้เพราะสิ่งที่เป็นกิเลสบาปกรรมและธรรมเครื่องแก้กิเลสนั้นมีอยู่กับ ทุกคนและทั้งครั้งโน้นครั้งนี้ไม่ลำ�เอียง ผู้ปฏิบัติเป็นสามีจิกรรมชอบในสมาธิวิธี ผลเป็นที่พอใจเหมือนอริยสาวกในครั้งพุทธกาลได้รับ ตนจะพึงได้รับเช่นกัน ข้อสำ�คัญอย่าคาดกาลสถานที่ว่าเป็นที่เกิดแห่งมรรคผลนิพพาน ยิ่งไปกว่าการ ปฏิบัติตนด้วยมรรคโดยชอบธรรมเถิด นี่แลเป็นเครื่องปลดเปลื้องกิเลสกองทุกข์ ทางใจออกได้โดยสิ้นเชิง และมรรคนี่แลคือธรรมแก้กิเลสโดยตรงเรื่อยมาแต่ ครั้งโน้นถึงครั้งนี้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง กรุณานำ�มาแก้จิตซึ่งเป็นที่เกิดที่อยู่ แห่งกิเลสทั้งมวลให้เห็นประจักษ์ขึ้นกับใจ ว่าใจได้เปลี่ยนตัวจากความเคยเป็น ภาชนะแห่งกิเลสทั้งหลาย มาเป็นภาชนะแห่งธรรมโดยลำ�ดับจนเป็นธรรมทั้ง ดวงใจถ้าลงได้เป็นธรรมทั้งดวงแล้ว อยู่ที่ไหนๆ ก็อยู่เถิด ความเกิดทุกข์ทางใจ จะไม่มีมาเยี่ยมมาผ่านอีกเลย นอกจากธาตุขันธ์อันเป็นเรือนของทุกข์โดยตรง อยู่แล้ว ขันธ์ก็เป็นขันธ์และทุกข์ก็เป็นทุกข์ไปตามเคยจนถึงวันสุดท้ายปลายแดน


182 แล้วก็สิ้นซากจากความเป็นขันธ์เป็นทุกข์ไปตามกัน คำ�ว่าอวิชชาที่เคยเรืองอำ�นาจ บนหัวใจก็สิ้นอำ�นาจขาดความหมายไป ในขณะที่จิตกลายเป็นธรรมทั้งดวงไปแล้ว นี่แลงานของธรรมมีความสิ้นสุดยุติและหลุดพ้นไปได้ ไม่เหมือนงานของอวิชชา ซึ่งแผ่กระจายไปทั่วโลกสงสารไม่มีประมาณและเวลาจบสิ้นลงได้จึงพอนำ�ผลมา เทียบกันดูว่างานหนึ่งไม่มีประมาณและเวลาจบสิ้นลงได้แม้จะทำ�ไปกี่กัปกี่กัลป์ ก็พาให้หมุนเวียนอยู่ตลอดไป แต่งานหนึ่งมีทางเสร็จสิ้นลงได้ ไม่ต้องวกวน ขนทุกข์ให้แบกหามอยู่เรื่อยไป ทั้งสองงานนี้ผู้เคยผ่านมาพอจะทราบผลที่ผิดกัน เป็นคนละโลก ถ้าให้เลือกด้วยความเป็นธรรมะเอางานไหน เพียงเท่านี้ก็พอมี ทางออกได้ไม่ติด จมอยู่กับงานวนงานเวียนนั้น จนลืมสนใจคิดถึงธรรมสมบัติ เพื่อตนเองในกาลต่อไป น ตํ ทฬฺหํ พนฺธนมาหุ ธีรา ยทายสํ ทารุชํ ปพฺพชญฺจ สารตฺตรตฺตา มณิกุณฺฑเลสุ ปุตฺเตสุ ทาเรสุ จ ยา อเปกฺขา. เอตํ ทฬฺหํ พนฺธนมาหุ ธีรา โอหารินํ สิถิลํ ทุปฺปมุญฺจํ เครื่องจองจำ ใด เกิดแต่เหล็ก เกิดแต่ไม้และเกิดแต่หญ้าปล้อง ผู้มีปัญญาทั้งหลาย หากล่าวเครื่องจองจำ นั้น ว่าเป็นของมั่นคงไม่. ความกำ หนัดใดของชนทั้งหลายผู้กำ หนัด ยินดียิ่งนัก ในแก้วมณีและตุ้มหูทั้งหลาย และความเยื่อใยในบุตร แลในภรรยาทั้งหลายใด, นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวความกำ หนัดและความเยื่อใยนั่นว่า เป็นเครื่องจองจำอันมั่นคง มีปกติเหนี่ยวลง อันหย่อน (แต่) เปลื้องได้โดยยาก. พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๕ สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค


183 การออกจากสมาธิภาวนา เวลาจะออกจากที่ภาวนา พึงออกด้วยความมีสติประคองใจ ถ้าจิตยังสงบ อยู่ในภวังค์นั้นมิใช่ฐานะจะบังคับให้ถอนขึ้นมาแล้วออกจากที่ภาวนา แม้ถึงเวลา จะต้องไปทำ�งานการหรือออกบิณฑบาตก็ไม่ควรรบกวน ปล่อยให้รวมสงบอยู่ จนกว่าจะถอนขึ้นมาเอง งานภายนอกแม้จำ�เป็นก็ควรพักไว้ก่อนในเวลาเช่นนั้น เพราะงานของภวังคจิตสำ�คัญกว่ามากมายจนนำ�มาเทียบกันไม่ได้ หากไปบังคับ ให้ถอนขึ้นมาทั้งที่จิตยังไม่ชำ�นาญในการเข้าการออก จะเป็นความเสียหายแก่ จิตในวาระต่อไป คือจิตจะไม่รวมสงบลงได้อีกดังที่เคยเป็นแล้ว จะเสียใจภายหลัง เพราะเรื่องทำ�นองนี้เคยมีเสมอในวงปฏิบัติจึงควรระมัดระวังอย่าให้เรื่องซ้ำ�รอย กันอีก การออกถ้าจิตรวมสงบอยู่ก็ต้องออกในเวลาที่จิตถอนขึ้นมาแล้ว หรือเวลา ที่รู้สึกเหนื่อยขณะออกก็ควรมีสติไม่ควรออกแบบพรวดพราดไร้สติสัมปชัญญะ ซึ่งเป็นธรรมประดับตัวตามกิริยาที่เคลื่อนไหว ก่อนออกควรนึกถึงวิธีทำ�ที่ตนเคย ได้ผลในขณะที่ทำ�สมาธิก่อนว่า ได้ตั้งสติกำ�หนดจิตอย่างไร นึกคำ�บริกรรมบทใด ช้าหรือเร็วขนาดใดใจจึงรวมสงบลงได้ หรือเราพิจารณาอย่างไรด้วยวิธีใด ใจจึง มีความแยบคายได้อย่างนี้ เมื่อกำ�หนดจดจำ�ทั้งเหตุและผลที่ตนทำ�ผ่านมาได้ ทุกระยะแล้ว ค่อยออกจากสมาธิภาวนา การที่กำ�หนดอย่างนี้เพื่อวาระหรือคราว ต่อไป จะทำ�ให้ถูกต้องตามรอยเดิมและง่ายขึ้น เฉพาะนักบวชที่เป็นนักปฏิบัติอยู่แล้ว แม้ออกจากสมาธิมาแล้ว สติที่เคย ประคองจิตก็ไม่ควรปล่อยวางในอิริยาบถต่างๆ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน และทำ� ข้อวัตรหรือทำ�งานอะไรอยู่ก็ควรมีสติกำ�กับคำ�บริกรรม หรือมีสติสัมปชัญญะอยู่ กับตัว ไม่ปล่อยใจให้ส่ายแส่ไปตามอารมณ์ต่างๆตามนิสัยของจิตที่เคยต่ออารมณ์ การมีสติอยู่กับคำ�บริกรรมหรือมีสติอยู่กับตัว กิริยาที่แสดงออกต่างๆ ทางกาย วาจาย่อมไม่ผิดพลาด และเป็นความงามไม่แสลงหูแสลงตาผู้อื่น แม้จะมีนิสัย เชื่องช้าหรือรวดเร็วประการใดก็อยู่ในกรอบแห่งความน่าดูน่าฟังและงามตา


184 ขณะทำ�สมาธิภาวนาจิตก็สงบลงได้เร็ว เพราะสติเครื่องควบคุมใจและงานที่ตน กระทำ�อยู่กับตัว ถ้าเป็นสัตว์ก็อยู่ในความอารักขาจะจับมาใช้งานเมื่อไรก็ง่าย ภัยก็ไม่ค่อยเกิดได้ง่ายเหมือนปล่อยไปตามยถากรรม จิตที่พยายามรักษาอยู่ทุกเวลาแม้ไม่รวมสงบลงได้ดังใจหวังก็ไม่ค่อยเที่ยว ก่อกรรมทำ�เข็ญใส่ตัวเหมือนที่ปล่อยไปตามยถากรรม การรักษาจิตได้แทบทุกครั้ง หรือได้ทุกเวลานั้น เป็นการบำ�รุงสติและจิตเพื่อควรแก่งานทางด้านสมาธิภาวนา และงานอื่นๆ ได้ดีงานใดก็ตามที่ผู้ทำ�ทำ�ด้วยความจงใจ มีสติจดจ่ออยู่กับงาน งานนั้นย่อมเป็นที่น่าดูไม่ค่อยผิดพลาด ตัวเองก็ไม่เป็นคนเผลอเรอ เป็นคนหรือ พระที่อยู่ในระดับ ไม่ลดฐานะและการงานให้เป็นของน่าเกลียด ที่ว่า “สติจำ�ต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง” นั้น ถูกต้องเหมาะสมอย่างยิ่งหาที่ คัดค้านไม่ได้ทั้งนี้เราจะเห็นความจำ�เป็นของสติในเวลาทำ�สมาธิภาวนา หรือการ พิจารณาธรรมภาคทั่วไป สติจำ�ต้องตามกิจการนั้นๆ อยู่ทุกระยะ จึงจะทราบเรื่อง ราวของจิตของธรรมได้ละเอียดลออสมความมุ่งหมาย ยิ่งผู้มีภูมิจิตภูมิธรรมสูง มากเพียงไร สติก็ยังเป็นธรรมจำ�เป็นทุกระยะโดยปราศจากไม่ได้เลย ปัญญาจะ คมกล้าสามารถเพียงไร ย่อมขึ้นอยู่กับสติเป็นเครื่องพยุงส่งเสริม แม้ปัญญาจะ ก้าวขึ้นสู่ภูมิมหาปัญญาก็เป็นการแสดงถึงสติว่า ต้องก้าวขึ้นสู่ภูมิมหาสติเช่น เดียวกัน เพราะสติเป็นธรรมเครื่องนำ�ทางของงานทุกชนิดคนเราธรรมดาสามัญ เพียงขาดสติไปบ้างเป็นบางเวลา กิริยาที่แสดงออกไม่น่าดูเลย ยิ่งปล่อยให้ขาดไป มากแบบไม่สนใจเลยแล้ว ก็นับว่าจวนจะเข้า..แน่นอนไม่สงสัย ด้วยเหตุนี้นักปฏิบัติที่บรรลุธรรมช้าหรือเร็วแม้จะต่างกันตามนิสัยวาสนา ก็ยังขึ้นอยู่กับสติปัญญาเป็นของสำ�คัญอยู่ด้วย ผู้เร่งรัดทางสติมากสมาธิก็ปรากฏ ได้เร็ว คิดอ่านทางปัญญาก็ไปได้เร็วผิดกัน เราคิดเพียงงานเขียนหนังสือก็พอ ทราบได้คือถ้าวันใดสติเลื่อนลอยเพราะความคิดสับสนมาก วันนั้นเขียนหนังสือ ก็ผิดๆ ถูกๆ ทั้งขีดทั้งฆ่ายุ่งไปหมด แต่ถ้าวันใดใจไม่ยุ่ง สติมีอยู่กับตัวบ้าง วันนั้น เขียนหนังสือก็ถูกดีไม่ค่อยขีดฆ่าอะไรนักเลย ท่านที่มีชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณ


185 ในทางจิตทางธรรมโดยมากมักเห็นความสำ�คัญของสติ ท่านพยายามตั้งสติอยู่ ตลอดมาไม่ยอมให้พลั้งเผลอไปได้ยิ่งเวลาทำ�สมาธิภาวนาและพิจารณาธรรม ทั้งหลายด้วยแล้วสติกับปัญญาต้องกลมกลืนเป็นอันเดียวกันไปโดยตลอดไม่ยอม ให้ขาดวรรคขาดตอนได้ ผู้เช่นนั้นทำ�อะไรอยู่ที่ใดก็คือผู้มีชาครธรรมเครื่องตื่น อยู่กับตัว เป็นผู้มีเครื่องป้องกันตัวอย่างแน่นหนามั่นคง ข้าศึกยากจะเข้าถึงได้ ภัยทางใจจึงไม่มีผิดกับผู้ไม่มีสติซึ่งเป็นพวกกอบโกยทุกข์เป็นไหนๆ มีเท่าไรรับ เหมาจนหมด ท่านอาจารย์มั่นท่านสั่งสอนเน้นหนักทางสติมากไม่ว่าความเพียรในท่าใด อิริยาบถใด ไม่ว่าผู้เริ่มอบรมใหม่หรือเก่า ท่านเป็นต้องสอนสติตามไปกับโอวาท เพื่อภูมิจิตภูมิธรรมของผู้มาศึกษานั้นไม่ลดละเลย ท่านว่าท่านเคยเห็นโทษแห่ง ความขาดสติและเห็นคุณในความมีสติทั้งในระยะเริ่มต้นแห่งความเพียรตลอดไป ถึงที่สุดจุดหมายปลายทางมาแล้ว ว่าเป็นสิ่งสำ�คัญด้วยกันทั้งสองอย่าง ประมาท ไม่ได้ โดยให้ความมั่นใจแก่นักปฏิบัติว่า นักปฏิบัติในเพศใดวัยใดก็ตาม ถ้าเป็น ผู้สนใจกับสติอยู่เสมอ ไม่ให้ขาดวรรคขาดตอนในอิริยาบถและอาการต่างๆ นักปฏิบัตินั้นจะพึงมีหวังได้ชมสมาธิสมาบัติมรรคผลนิพพาน ไม่พ้นมือไปได้ เริ่มแรกแต่การอบรม ขอให้มีสติเป็นพี่เลี้ยงรักษาเถิด ความรู้สึกตนและ รู้สึกผิดถูก ชั่วดีที่เกิดกับตนและผู้อื่นนั้น อย่างไรต้องทราบได้ตามลำ�ดับที่สติอยู่ กับตัว ไม่ยอมพลั้งเผลอ ปล่อยให้กิเลสฉุดลากและล้วงเอาของดีไปกินเสีย ย่อมมี หวังแน่นอน โดยมากผู้ปฏิบัติธรรมกลายเป็นนักตำ�หนิธรรมว่าไม่ให้ผลเท่าที่ควร หรือไม่ให้ผลแก่ตนในเวลาบำ�เพ็ญนั้นเพราะกิเลสตัวพาให้เผลอนั้นแลแอบมาทำ� หน้าที่ก่อนสติซึ่งเป็นผู้นำ�และแอบทำ�หน้าที่แฝงไปกับจิต ทั้งเวลาประกอบความ เพียรและเวลาธรรมดา จึงทำ�ให้ผิดหวังไม่ได้ดังใจหมายแล้วแทนที่จะตำ�หนิตัว ผู้เสียท่าให้กิเลส แต่กลับไปตำ�หนิธรรมว่าไร้ผลไปเสีย จึงมีแต่เรื่องขาดทุนโดย ถ่ายเดียว ในข้อนี้เป็นเพราะผู้ปฏิบัติไม่สนใจสังเกตกิเลสตัวพาให้เผลอนั้นเป็น ภัยต่อตนและความเพียร เจ้าตัวนี้จึงได้โอกาสออกหน้าออกตาอยู่กับนักปฏิบัติ โดยผู้นั้นไม่รู้สึกว่าตนได้ถูกมันลากจูงอยู่ตลอดเวลา


186 ถ้าเป็นนักสังเกตอยู่บ้าง จะพอทราบได้ในช่วงระยะเวลาไม่ถึงนาทีเลย คือ ขณะเริ่มประกอบความเพียรด้วยท่าต่างๆ โดยเริ่มตั้งสติต่อความเพียรนั่นแล เป็นขณะที่จะทราบได้ว่าความตั้งสติกับความเผลอสติจะรบกันให้ผู้ปฏิบัติดูและ ไม่นานเลยความเผลอสติอันเป็นฝ่ายกิเลสที่คอยจดจ้องมองอยู่จะเป็นฝ่ายชนะ และฉุดลากจิตหายเงียบไปเลย จากนาทีนั้นก็มีแต่ร่างของนักปฏิบัติผู้ไม่มีสติ ทำ�ความเพียรอยู่เปล่าๆ ถ้าเดินจงกรมก็สักแต่กิริยาว่าเดิน ถ้านั่งสมาธิอยู่ก็สัก แต่กิริยาว่านั่ง ถ้ายืนเป็นท่ารำ�พึงธรรมก็สักแต่กิริยาว่ายืนอยู่เท่านั้น เหมือนหุ่น หรือตุ๊กตาเราดีๆ นี้เอง หาเป็นความเพียรตามองค์ของผู้บำ�เพ็ญอย่างแท้จริงไม่ เพราะสติที่เป็นองค์ความเพียรอันจะยังผลนั้นๆ ให้เกิด ได้ถูกกิเลสตัวเผลอเรอ เอาไปกินเสียสิ้นแล้ว เหลือแต่ร่างซึ่งเป็นเพียงกิริยาแห่งความเพียรอยู่เท่านั้น นี่แล กิเลสทำ�ลายคน ทำ�ลายความเพียรของนักปฏิบัติมันทำ�ลายต่อหน้า ต่อตาและทำ�เอาอย่างสดๆ ร้อนๆ ด้วยวิธีกล่อมให้หลับสนิทขณะกำ�ลังทำ�ความ เพียรนั่นเองถ้าอยากทราบว่ากิเลสประเภทต่างๆ มีความสามารถอาจเอื้อมเพียงไร ย่อมจะทราบได้ทุกระยะแม้ขณะเริ่มจะทำ�ความเพียรก็ทราบได้ไม่ยากเย็นอะไรเลย แต่โดยมากไม่อยากทราบกันอยากทราบแต่สมาธิสมาบัติมรรคผลนิพพาน อย่างเดียว หาทราบไม่ว่าธรรมเหล่านี้จะปรากฏขึ้นมาได้เพราะอะไร ถ้าไม่ใช่ เพราะสติกับปัญญาเป็นเครื่องมือบุกเบิกอันสำ�คัญหาใช่เพราะความเผลอเรอ ไม่พอที่จะสนใจระวังมัน อันเป็นตัวทำ�ลายธรรมทั้งหลายที่ตนพึงประสงค์ดังนี้ คัดลอกจาก หนังสือปฏิปทาของพระธุดงคกรรมฐาน สายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต โดย ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน


187 ตามหาตัวผู้รู้ พระอุดมสังวรวิสุทธิเถร (วัน อุตฺตโม) วัดถ้ำอภัยดำ รงธรรม จ.สกลนคร การภาวนาก็คือการค้นหาตัวผู้รู้ซึ่งตัวผู้รู้ได้ตกอยู่ในสภาพของผู้หลง คือ หลงตามภพ ตามชาติหลงตามกิเลส โดยที่ถือว่าสิ่งที่รู้เห็นทั้งหลายซึ่งเกิดจาก ความรู้สึกสำ�นึกของวิญญาณเป็นของจริง เราถือว่าความรู้สึกสำ�นึกรู้เห็นทั้งหลาย เหล่านั้นเป็นของจริง เป็นของที่น่าปรารถนา จึงได้หลงตามที่มีความรู้สึกสำ�นึกแต่ ความรู้สึกสำ�นึกทั้งหลายเหล่านั้นเกิดจากวิญญาณ ไม่ใช่ความรู้ที่เกิดจากปัญญา ฉะนั้น ความรู้ที่เกิดจากวิญญาณจึงเป็นสิ่งที่หลอกลวงความรู้ความเห็นให้สำ�คัญ ผิดไป ท่านจึงกล่าวว่า มายูปวิญญาณํ คือ ตัววิญญาณนั้นเป็นเจ้ามารยา มีการ หลอกลวง มีการกลับกลอก ทำ�ให้ความรู้ความเห็นทั้งหลายเหล่านั้นไม่เป็นไป ตามความจริง คือว่าความรู้ก็ถูกวิญญาณนี้หลอกลวงด้วยกลมารยา ฉะนั้น เราจึงได้ยึดถือในภพชาติที่เราได้เกิดแล้วเกิดอีกนี้ว่าเป็นคน ตัวของเรา เป็นของ ของเรา เป็นสิ่งที่น่ารักน่าชอบน่าปรารถนาน่าอยากได้แล้วก็เกิดความทะเยอ ทะยานอยากแสวงหา ได้มาแล้วก็ยึดครองในสิ่งนั้น แต่สิ่งที่เรายึดเราถือกลับส่งผล คือความทุกข์ให้แก่ตัวเอง โดยเฉพาะรูปร่างกายของเราซึ่งเรายึดเราถือว่าเป็นเรา เป็นของของเรา เมื่อเรายึดเราถือแล้ว เราก็ต้องหวง ต้องมัวเมา ต้องปรารถนา ว่าจงเป็นอย่างนี้จงอย่าเป็นอย่างนั้น ทั้งที่สภาพของความเป็นจริงมีอยู่แต่ความ รู้สึกสำ�นึกของเราเกิดฝ่าฝืนสภาพของความเป็นจริงคือคิดว่าจะเป็นไปได้ตามความ ต้องการของเรา ครั้นไม่เป็นไปตามความต้องการของเราแล้ว เราก็เกิดความเศร้า โศกเสียใจ เกิดความพิไรรำ�พัน เกิดความคับแค้นแน่นในจิตใจของเรา ได้เสวย ความทุกข์เพราะสิ่งนั้นไม่เป็นไปตามความต้องการของเรา ฉะนั้น เราจึงได้เสวย ความทุกข์กับรูปร่างกายของเรานี้ตลอดชั่วระยะชีวิตของเราที่มีอยู่แต่ละวันความ ทุกข์ซึ่งปรากฏให้เราเป็นผู้เสวยมีหลายอย่าง ทั้งที่เราได้เสวยความทุกข์เพราะรูป ร่างกายนี้แต่เราก็ไม่ได้สำ�นึกถึงโทษถึงภัยของรูปร่างกาย


188 หลักคำ�สอนของพระพุทธเจ้าจึงได้ชี้แสดงถึงความทุกข์ถึงโทษของรูป ร่างกายนี้ไว้ว่า เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วเราก็ทุกข์กับการเกิดนั้น ความเกิดจึงเป็นทุกข์ภัย ที่น่ากลัวก็เกิดมาในความเกิดนั้น ท่านจึงว่าชาติทุกข์ชาติภัยความเกิดมีทั้งทุกข์ มีทั้งภัย ชราความแก่เมื่อเกิดแล้ว รูปนี้ก็แปรสภาพไป คือ เปลี่ยนสภาพทุกวัน ทุกคืน ความเปลี่ยนแปลงของร่างกายก็ทำ�ให้เกิดทุกข์จึงเรียกว่า ชราทุกข์หรือ ชราภัย ต่างคนต่างก็วิตกกังวล เกรงกลัวความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ในขณะ ที่รูปร่างของเรามีความเปลี่ยนแปลง ความทุกข์ทั้งหลายก็เกิดขึ้น อาจจะเกิด จากความเจ็บไข้ได้ป่วย คือร่างกายทำ�งานไม่สม่ำ�เสมอ แต่ละหน้าที่ที่มันจะต้อง ประสานงานกัน เมื่องานของรูปร่างกายนี้ไม่เป็นไปโดยสม่ำ�เสมอไม่ได้สัดส่วน ความเจ็บไข้ได้ป่วยก็ย่อมเกิดขึ้น ฉะนั้น ความเจ็บไข้ได้ป่วยจึงเป็นทุกข์จึงเป็นภัย เรียกว่า พยาธิทุกข์ พยาธิภัย เป็นสิ่งที่ทำ�ให้เราได้รับความลำ�บาก ครั้นในที่สุด ของชีวิตที่รูปร่างกายนี้จะถึงขั้นแตกดับ ความเปลี่ยนแปลงทุกส่วนก็ย่อมจะเกิดขึ้น นั้นเรียกว่าเป็นภัยใหญ่ เป็นภัยที่เปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงซึ่งเกิดขึ้น ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่ามรณทุกข์ หรือมรณภัย เป็นสิ่งที่เราจะได้รับความลำ�บากความ อยู่ยากและก็ทำ�ให้วิตกกังวล เกรงกลัวต่อความทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้ แต่ว่าเมื่อเราไม่ตามกำ�หนดไม่พิจารณาให้ละเอียดถี่ถ้วนแล้ว เราก็จะหลง ยึดหลงถือในรูปร่างกายนี้ว่าเป็นตัวเรา เป็นของของเราโดยกลมารยาของวิญญาณ ที่เกิดความรู้สึกสำ�นึก เกิดความรู้ความเห็นโดยที่กิเลสทั้งหลายนั้นปิดบังจิตใจ จิตใจนี้เกิดความเศร้าหมองไม่ผ่องใสแล้วก็ทำ�ให้ความรู้ความเห็นนั้นไม่เป็นไป ตามความเป็นจริง เมื่อเกิดความทุกข์ก็เป็นแต่เพียงรู้เสวยทุกขเวทนา ยังไม่รู้แจ้ง เห็นจริงในทุกขเวทนานั้น คือยังไม่เห็นทุกข์เพียงแต่การเสวยยังไม่จัดว่าเป็น การรู้เห็น ฉะนั้น เราจะต้องใช้ปัญญามากำ�หนดพิจารณาทบทวนเข้าไปหา ตัวผู้รู้คือให้เลยเข้าไปหาตัวผู้รู้ซึ่งอยู่ภายใน ในจากสิ่งที่ปกปิดหุ้มห่อคือกิเลส เราพิจารณาลึกเข้าไปกว่าที่กิเลสปิดบังอยู่ แล้วจึงจะรู้จะเห็นในทุกข์นี้ตามความ เป็นจริง ฉะนั้น เราจึงค่อยกำ�หนดค่อยพิจารณา เรียกว่า เปิดทางเข้าไปโดยลำ�ดับ ค้นเข้าไปภายใน เป็นโอปนยิกธรรม คือน้อมเข้าไปหาจิต เข้าไปหาตัวผู้รู้หาธาตุ รู้ซึ่งมีอยู่ภายในจิต


189 เมื่อเราค้นเข้าไปถึงตัวผู้รู้แล้ว เราจึงจะได้รู้ความทุกข์ทั้งหลายตามสภาพ ของความเป็นจริงคือ เห็นทุกข์เป็นทุกข์ เห็นในลักษณะของความทุกข์ อาการ ของความทุกข์ที่มันส่อแสดงขึ้นมา ตลอดถึงที่อยู่ที่อาศัยของทุกข์แต่ละอย่างนั้น จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่รู้ทุกข์เห็นทุกข์คือทั้งรู้ทั้งเห็น ครั้นเมื่อเห็นอย่างนี้ท่านจึง เรียกว่า เป็นญาณปริญญา กำ�หนดรู้ด้วยความรู้ของเรา เมื่อเราเห็นด้วยความรู้ ภายในอย่างนี้ เราได้พิจารณาจนเห็นความทุกข์นี้แจ้งชัดแล้ว เราจึงจะได้รู้สึก สำ�นึกตัวของเรา จึงจะได้หาทางพ้นเสียจากความทุกข์ ท่านจึงอุปมาเหมือนกัน กับว่าร่างกายของเรานี้ถูกไฟเผาอยู่ ถูกไฟเผาอยู่ทั้งกลางวันทั้งกลางคืนเมื่อรู้ว่า ร่างกายนี้เต็มไปด้วยไฟคือกองทุกข์แผดเผาอยู่แล้ว เราก็จะต้องหาทางหนีให้พ้น ไปเสียจากความทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้ แต่ทว่าวิธีหนีมิใช่ว่าเป็นการหนีได้ง่ายไม่เหมือนเราหนีจากบ้านที่ถูกไฟไหม้ การหนีจากกองทุกข์ไม่ได้หนีในลักษณะนั้น หนีด้วยการละถอนอาสวกิเลสซึ่งเป็น ต้นเหตุให้เกิดทุกข์จึงเป็นการตามหาต้นเหตุที่ให้เกิดความทุกข์ไปละไปถอนต้น เหตุที่ให้เกิดทุกข์นั้นออกจากจิตใจของเรา ก็คือตามรู้ตามเห็นลงไปนั่นเอง เพราะ เหตุที่ทุกข์ไม่ได้อยู่ที่อื่นอยู่ที่จิตของเราแต่ละคน เราก็ต้องค้นเข้าไปหาตัวจิตนี้ อีกแล้วจะเห็นที่กิเลสตัณหาทั้งหลายจับเกาะที่จิตของเรา ทำ�ให้จิตของเรานี้เกิด ความมืดเกิดความเศร้าหมอง เราก็จะตามเข้ารู้เข้าเห็น เมื่อตามรู้ตามเห็นเข้าไป การละการถอนมันก็เป็นไปในตัว เรียกว่าเป็นโดยอัตโนมัติได้เพราะจิตได้พิจารณา รู้แจ้งเห็นจริงแล้วการละถอนอาสวกิเลสก็เกิดเป็นอัตโนมัติขึ้นมา จึงไม่ยากต่อการ ละการถอนอาสวกิเลสนั้น จะยากก็ในระยะเวลาที่เราเพียรพยายามค้นคิดติดตาม เข้าไปให้รู้ให้เห็นนี่เป็นการยากในระหว่างนี้เท่านั้น ฉะนั้น เมื่อเราตามรู้ตามเห็น เข้าไปถึงต้นตอของกิเลสแล้ว ก็เป็นการง่ายเหมือนกันกับเราเดินทาง จะยากจะ ลำ�บากก็ในระหว่างที่เราพยายามเดิน ครั้นไปถึงที่แล้วมันก็ไม่ยาก ฉะนั้น การปฏิบัติท่านจึงว่าดำ�เนินมรรค ก็หมายความว่าประกอบความ พากเพียรพยายามของเรานั้นเองกว่าจะถึงฐานของความรู้ถึงที่อยู่ของกิเลสก็ต้อง


190 ใช้เวลา ต้องเพียรพยายาม ครั้นถึงที่ที่กิเลสจับเกาะอยู่แล้ว การที่ละถอนให้เกิด ชัยชนะต่อกิเลสได้ก็เป็นการง่ายไม่ต้องใช้ความพยายามมาก เพราะพยายาม เข้าถึงแล้วกิเลสทั้งหลายก็จะไม่มีทางต่อสู้เพราะเข้าถึงตัวของมัน ที่จะมีการต่อสู้ กับเราก็ในระหว่างที่เราเพียรพยายามเข้าไปนั้นเอง เพราะมันมีค่ายคูประตูหอ รบของมันสำ�หรับต่อสู้อยู่แล้ว ทีนี้เมื่อเราล่วงเลยเข้าไปเลยจากค่ายคูประตูหอ รบของมันไปแล้ว มันก็ไม่มีทางที่จะต่อสู้เรา เรียกว่าเข้าถึงตัว ฉะนั้น การภาวนาของเราก็คือ เพียรพยายามตามหาตัวผู้รู้ของเราตามไปๆ แล้วเราก็จะเห็นตัวหลง เมื่อเห็นตัวหลง เราก็จึงจะได้ถึงตัวรู้ถึงธาตุรู้นี่เป็นหน้าที่ ที่เราจะต้องพยายามจะต้องประกอบความพากความเพียรจนกว่าจะผ่านพ้นความ หลงไปได้แม้ว่าผ่านพ้นด้วยการละถอนกิเลสยังไม่ได้แต่เราก็ผ่านพ้นความเชื่อถือ เรียกว่า ศรัทธา จะได้เกิดศรัทธา ความเชื่อมั่นข้อปฏิบัติของเราก็จะยั่งยืนมั่นคง เราจะได้ถือมั่นในข้อปฏิบัติไว้ไม่เป็นคนปฏิบัติลูบคลำ� ปฏิบัติจริงได้เพราะความ เชื่อมั่น ศรัทธาก็มีเหตุมีผลไม่มีการหวั่นไหว ไม่เป็นไปเพื่อความเสื่อม เราก็ไม่ได้ หลงในปฏิปทา ดำ�เนินข้อปฏิบัติโดยไม่งมงายเชื่อมั่นในตัวเอง ไม่ได้ยินดียินร้าย ตามโลกธรรม เพราะเรารู้เราเห็นในความดีความชอบของข้อปฏิบัติของเราอยู่ แม้คนจะตำ�หนิติเตียนเราก็ไม่ได้เสียใจ มีคนมายกย่องสรรเสริญเราก็ไม่ได้ดีใจ จิตของเราก็จะปกติมั่นคงอยู่ในข้อปฏิบัติ นี้คือเราได้ผ่านความหลงด้วยความเชื่อมั่นของเรา ความเชื่อมั่นอย่างนี้จึง จะทำ�ให้ปฏิปทาข้อปฏิบัติดำ�เนินก้าวหน้าไปได้ผลสำ�เร็จตามความเพียรพยายาม ของเรา เท่าที่เราเพียรพยายามไปได้เท่าใด ผลก็จะเกิดขึ้นได้เท่านั้น นี้เป็นวิธีที่เรา ภาวนาอย่างหนึ่งหรือเป็นแง่ธรรมะที่เราจะต้องค้นต้องคิดในการดำ�เนินข้อปฏิบัติ ฉะนั้น ต่อนี้ไปพึงสำ�รวมจิตใจให้มีความสงบต่อไป คัดลอกจาก หนังสือโพธิญาณ (หน้า ๓๒-๓๔)


191 พระธรรมคำสอน ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต วัดป่าสุทธาวาส ถนนสุขเกษม ตำ�บลธาตุเชิงชุม อำ�เภอเมืองสกลนคร จ.สกลนคร คัดจากหนังสือ... ขันธะวิมุติสะมังคีธรรมะ * ผู้สนใจศึกษาปฏิบัติธรรม คือผู้สนใจหาความรู้ความฉลาดเพื่อคุณงาม ความดีทั้งหลาย ที่โลกเขาปรารถนากันเพราะคนเราจะอยู่และไปโดยไม่มีเครื่อง ป้องกันตัวย่อมไม่ปลอดภัย ต่ออันตรายทั้งภายนอกภายใน เครื่องป้องกันตัวคือ หลักธรรมมีสติปัญญาเป็นอาวุธสำ�คัญ จะเป็นเครื่องมั่นคงไม่สะทกสะท้านมีสติ ปัญญาแฝงอยู่กับตัวทุกอิริยาบถ จะคิด-พูด-ทำ�อะไรไม่มีการยกเว้น มีสติปัญญา สอดแทรกอยู่ด้วยทั้งภายในและภายนอก มีความเข้มแข็งอดทน มีความเพียรที่จะ ประกอบคุณงามความดีคนอ่อนแอโง่เง่าเต่าตุ่นวุ่นวายอยู่กับอารมณ์เครื่องผูกพัน ด้วยความนอนใจ และเกียจคร้านในกิจการที่จะยกตัวให้พ้นภัย * การตำ�หนิติเตียนผู้อื่น ถึงเขาจะผิดจริงก็เป็นการก่อกวนจิตใจตนเองให้ ขุ่นมัวไปด้วย ความเดือดร้อนวุ่นวายใจที่คิดตำ�หนิผู้อื่นจนอยู่ไม่เป็นสุขนั้น นักปราชญ์ถือเป็นความผิดและบาปกรรม ไม่มีดีเลย จะเป็นโทษให้ท่านได้สิ่ง ไม่พึงปรารถนามาทรมานอย่างไม่คาดฝัน การกล่าวโทษผู้อื่นโดยขาดการไตร่ตรอง เป็นการสั่งสมโทษและบาปใส่ตนให้ได้รับความทุกข์ จึงควรสลดสังเวชต่อ ความผิดของตน งดความเห็นที่เป็นบาปภัยแก่ตนเสีย ความทุกข์เป็นของ น่าเกลียดน่ากลัว แต่สาเหตุที่ทำ�ให้เกิดทุกข์ทำ�ไมพอใจสร้างขึ้นเอง * ผู้เห็นคุณค่าของตัว จึงเห็นคุณค่าของผู้อื่น ว่ามีความรู้สึกเช่นเดียวกัน ไม่เบียดเบียนทำ�ลายกัน ผู้มีศีลสัตย์เมื่อทำ�ลายขันธ์ไปในสุคติในโลกสวรรค์ ไม่ตกต่ำ�เพราะอำ�นาจศีลคุ้มครองรักษาและสนับสนุน จึงควรอย่างยิ่งที่จะพากัน รักษาให้บริบูรณ์ธรรมก็สั่งสอนแล้วควรจดจำ�ให้ดีปฏิบัติให้มั่นคง จะเป็นผู้ทรง คุณสมบัติทุกอย่างแน่นอน


192 * ศีล นั้นอยู่ที่ไหนมีตัวตนเป็นอย่างไร ใครเป็นผู้รักษาแล้วก็รู้ว่า ผู้นั้นเป็น ตัวศีล ศีลก็อยู่ที่ตนนี้ เจตนาเป็นตัวศีล เจตนาคือจิตใจ คนเราถ้าจิตใจไม่มี ก็ไม่เรียกว่าคน มีแต่กายจะทำ�อะไรได้ร่างกายกับจิตต้องอาศัยซึ่งกันและกัน เมื่อจิตไม่เป็นศีล กายก็ประพฤติไปต่างๆ มีโทษต่างๆ ผู้มีศีลแล้วไม่มีโทษ จะเป็น ปกติแนบเนียนไม่หวั่นไหว ไม่มีเรื่องหลงหา หลงขอคนที่หา คนที่ขอต้องเป็นทุกข์ ขอเท่าไหร่ยิ่งไม่มียิ่งอดอยากยากเข็ญ กายกับจิตเราได้มาแล้ว มีอยู่แล้ว ได้มา จากบิดามารดาพร้อมบริบูรณ์จะทำ�ให้เป็นศีลก็รีบทำ� ศีลมีอยู่ที่เราแล้ว รักษาได้ ไม่มีกาล ได้ผลไม่มีกาล ผู้มีศีลย่อมเป็นผู้องอาจกล้าหาญ ผู้มีศีลย่อมมีความสุข ผู้จักมั่งคั่งบริบูรณ์ไม่อด ไม่ยาก ไม่จน ก็เพราะรักษาศีลให้สมบูรณ์จิตดวงเดียว เป็นศีล เป็นสมาธิเป็นปัญญา ผู้มีศีลแท้เป็นผู้หมดเวรหมดภัย *คุณธรรม ยังมีผู้เข้าถึงให้เป็นผู้ฉลาดปราดเปรื่องเลื่องระบือ มีความฉลาด กว้างขวางในอุบายวิธีไม่มีคับแค้นจนมุม *การปฏิบัติธรรม เป็นการทำ�ตามคำ�สั่งสอนของพระพุทธเจ้า ทรงตรัสสอน เรื่องกาย วาจา จิต มิได้สอนเรื่องอื่น ทรงสอนให้ปฎิบัติฝึกหัดจิตใจ ให้เอา จิตพิจารณากาย เรียกว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน หัดสติให้มากในการค้นคว้า เรียกว่า ธัมมวิจยะ พิจารณาให้พอทีเดียว เมื่อพิจารณาพอจนเป็นสติสัมโพชฌงค์ จิตจึงจะเป็นสมาธิรวมลงเอง การประกอบความพากเพียรทำ�จิตให้ยิ่ง เป็นการ ปฏิบัติตามคำ�สอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ความไม่ยั่งยืนเป็นสิ่งที่ ยิ่งใหญ่และแน่นอน ความยิ่งใหญ่คือความไม่ยั่งยืน ชีวิตที่ยิ่งใหญ่คือชีวิตที่อยู่ ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญูชีวิตที่มีความดีอาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิต ที่ยิ่งใหญ่ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเท่านั้น *วาสนา นั้นเป็นไปตามอัธยาศัยคนที่มีวาสนาในทางที่ดีมาแล้วแต่คบคนพาล วาสนาก็อาจเป็นคนพาลได้ บางคนวาสนายังอ่อนเมื่อคบบัณฑิตวาสนาก็เลื่อน ขึ้นเป็นบัณฑิต ฉะนั้น บุคคลควรพยายามคบแต่บัณฑิตเพื่อเลื่อนภูมิวาสนาของ ตนให้สูงขึ้น


193 * ผู้มีปัญญา ไม่ควรให้สิ่งที่ล่วงแล้วตามมา ไม่ควรหวังในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ผู้มีปัญญาได้เห็นในธรรมซึ่งเป็นปัจจุบัน ควรเจริญความเห็นนั้นไว้เนืองๆควรรีบ ทำ�เสีย ผู้มีปัญญาซึ่งมีธรรมเป็นเครื่องอยู่ มีความเพียรแยกกิเลสให้หมดไป จะไม่ เกียจคร้าน ขยันหมั่นเพียรทั้งกลางวันและกลางคืน * จิต เป็นสมบัติสำ�คัญมากในตัวเราที่ควรได้รับการเหลียวแลด้วยวิธีเก็บ รักษาให้ดีควรสนใจรับผิดชอบต่อจิตอันเป็นสมบัติที่มีค่ายิ่งของตน วิธีที่ควร กับจิตโดยเฉพาะก็คือภาวนา ฝึกหัดภาวนาในโอกาสอันควร ตรวจดูจิตว่า มีอะไร บกพร่องและเสียไปจะได้ซ่อมสุขภาพจิต นั่งพินิจพิจารณาดูสังขารภายใน คือ ความคิดปรุงแต่งของจิตว่า คิดอะไรบ้าง มีสาระประโยชน์ไหม คิดแส่หาเรื่อง หาโทษ ขนทุกข์มาเผาตนอยู่นั้น พอรู้ผิด-ถูกของตัวบ้างไหม พิจารณาสังขาร ภายนอกว่า มีความเจริญขึ้นหรือเจริญลง สังขารมีอะไรใหม่หรือมีความเก่าแก่ ชราหลุดไป พยายามเตรียมตัวเตรียมใจเสียแต่เวลาที่พอจะทำ�ได้ตายแล้วจะ เสียการ ให้ท่องในใจอยู่เสมอว่า เรามีความแก่-เจ็บ-ตาย อยู่ประจำ�ตัวทั่วหน้ากัน * ทาน-ศีล-ภาวนา ธรรมทั้ง ๓ นี้ เป็นรากแก้วของความเป็นมนุษย์และ เป็นรากเหง้าของพระศาสนา ผู้เกิดมาเป็นมนุษย์ต้องเป็นผู้เคยสั่งสมธรรม เหล่านี้มาอยู่ในนิสัย ของผู้จะมาสวมร่างเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ด้วยมนุษย์อย่าง แท้จริง *ธรรม เป็นเครื่องปกครองสมบัติและปกครองใจถ้าขาดธรรมเพียงอย่างเดียว ความอยากของใจจะพยายามหาทรัพย์ได้กองเท่าภูเขาก็ยังหาความสุขไม่เจอ ไม่มีธรรมในใจเพียงอย่างเดียว จะอยู่ในโลกใดกองสมบัติใดก็เป็นเพียงโลกเศษเดน และกองสมบัติเดนเท่านั้น ไม่มีประโยชน์อะไรแก่จิตใจแม้แต่นิดความทุกข์ทรมาน ความอดทน ทนทาน ต่อสิ่งกระทบกระทั่งต่างๆไม่มีอะไรจะแข็งแกร่งเท่าใจถ้าได้ รับความช่วยเหลือที่ถูกทางใจจะกลายเป็นของประเสริฐให้เจ้าของได้ชมอย่างภูมิใจ ต่อเรื่องทั้งหลายทันที


194 พระธรรมคำสอน หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก ตำ�บลธนูอำ�เภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จากหนังสือ...ตามรอยธรรมย้ำ�รอยครูและการประมวลปฏิปทา ของจริง...ของปลอม เมื่อหลายปีก่อนได้เกิดไฟไหม้ที่วัดสะแกบริเวณกุฏิตรงข้ามกุฏิหลวงปู่แต่ไฟ ไม่ไหม้กุฏิท่าน เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ศิษย์และผู้ที่พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาด มีฆราวาสท่านหนึ่งคิดว่าหลวงปู่ท่านมีพระดีมีของดีไฟจึงไม่ไหม้กุฏิท่าน ผู้ใหญ่ ท่านนั้นได้มาที่วัดสะแกและกราบเรียนหลวงปู่ว่า “หลวงปู่ครับ ผมขอพระดีที่กัน ไฟได้หน่อยครับ” หลวงปู่ยิ้มก่อนตอบว่า “พุทธัง ธัมมัง สังฆัง ไตรสรณคมน์นี่ แหละพระดี” ผู้ใหญ่ท่านนั้นก็รีบบอกว่า “ไม่ใช่ครับ ผมขอพระเป็นองค์ๆ อย่าง พระสมเด็จฯ นะครับ” หลวงปู่ก็กล่าวยืนยันหนักแน่นอีกว่า “ก็พุทธัง ธัมมัง สังฆัง นี่แหละ มีแค่ นี้แหละ ภาวนาให้ดี”แล้วหลวงปู่ก็ไม่ได้ให้อะไร จนผู้ใหญ่ท่านนั้นกลับไป หลวงปู่ จึงได้ปรารภธรรมอบรมศิษย์ที่ยังอยู่ว่า “คนเรานี่ก็แปลกข้าให้ของจริงกลับไม่เอา จะเอาของปลอม” การบวชจิตบวชใน หลวงปู่เคยปรารภว่า “จะเป็นชายหรือหญิงก็ดีถ้าตั้งใจประพฤติปฏิบัติมีศีล รักในการปฏิบัติจิตมุ่งหวังเอาการพ้นทุกข์เป็นที่สุด ย่อมมีโอกาสเป็นพระกันได้ ทุกๆคน มีโอกาสที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานได้เท่าเทียมกันทุกคน ไม่เลือกเพศ เลือกวัยหรือฐานะแต่อย่างใดไม่มีอะไรจะมาเป็นอุปสรรคในความสำ�เร็จได้นอกจาก ใจของผู้ปฏิบัติเอง” ท่านได้แนะเคล็ดในการบวชจิตว่า ในขณะที่เรานั่งสมาธิเจริญ ภาวนานั้น คำ�กล่าวว่า “พุทธัง สรณัง คัจฉามิให้นึกถึงว่าเรามีพระพุทธเจ้า เป็นพระอุปัชฌาย์ ของเรา ธัมมัง สรณัง คัจฉามิให้นึกว่าเรามีพระธรรม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ สังฆัง สรณัง คัจฉามิให้นึกว่าเรามีพระอริยสงฆ์เป็นพระอนุสาวนาจารย์”


195 แล้วอย่าสนใจขันธ์ ๕ หรือร่างกายเรานี้ให้สำ�รวมจิตให้ดีมีความยินดีในการบวช ชายก็เป็นพระภิกษุ หญิงก็เป็นพระภิกษุณีอย่างนี้จะมีอานิสงส์สูงมากจัดเป็น เนกขัมบารมีขั้นอุกฤษฏ์ทีเดียว ต้องสำ เร็จ หลวงปู่เคยสอนว่า “ความสำ�เร็จนั้นมิใช่อยู่ที่การสวดมนต์อ้อนวอนพระเจ้า มาประทานให้หากแต่ต้องลงมือทำ�ด้วยตนเอง ถ้าตั้งใจทำ�ตามแบบแล้วทุกอย่าง ต้องสำ�เร็จไม่ใช่จะสำ�เร็จ พระพุทธเจ้าท่านวางแบบเอาไว้แล้วครูบาอาจารย์ทุกองค์ มีพระพุทธเจ้าเป็นที่สุด ก็ได้ทำ�ตามแบบเป็นตัวอย่างให้เราดูอัฐิท่านก็กลายเป็น พระธาตุกันหมด เมื่อได้ไตร่ตรองพิจารณาให้รอบคอบแล้ว ขอให้ลงมือทำ�ทันที ข้าขอรับรองว่าต้องสำ�เร็จ ส่วนจะช้าหรือเร็วนั้นอยู่ที่ความเพียรของผู้ปฏิบัติ” ขอให้ตั้งปัญหาถามตัวเองว่า “สิ่งนั้น บัดนี้เราได้ลงมือทำ�แล้วหรือยัง” วัดผลการปฏิบัติด้วยสิ่งใด ผู้ปฏิบัติหลายคนปฏิบัติไปนานๆ เริ่มไม่แน่ใจว่าปฏิบัติถูกต้องแล้วหรือไม่ ไม่ชัดเจนว่าตนปฏิบัติไปทำ�ไม หรือปฏิบัติไปเพื่ออะไร ดังครั้งหนึ่งเคยมีลูกศิษย์ กราบเรียนถามหลวงปู่ว่า ภาวนามาก็นานพอสมควรแล้ว รู้สึกว่ายังไม่ได้รู้ได้เห็น สิ่งต่าง ๆ มีนิมิตภายนอกแสงสีต่าง ๆ เป็นต้น ดังที่ผู้อื่นเขารู้เห็นกันเลย หลวงปู่ ท่านย้อนถามสั้น ๆว่า “ปฏิบัติแล้วโกรธ โลภ หลง ของแกลดน้อยลงหรือเปล่าล่ะ ถ้าลดลงข้าก็ว่าแกใช้ได้” แสงสว่างเป็นกิเลส มีคนเล่าให้หลวงปู่ฟังว่า มีผู้กล่าวว่าการทำ�สมาธิแล้วบังเกิดความสว่างหรือ เห็นแสงสว่างนั้นไม่ดีเพราะเป็นกิเลส มืด ๆ ถึงจะดีหลวงปู่ท่านกล่าวว่า “ที่ว่า เป็นกิเลสก็ถูก แต่เบื้องแรกต้องอาศัยกิเลสไปละกิเลส (อาศัยกิเลสส่วนละเอียด ไปละกิเลสส่วนหยาบ) แต่ไม่ได้ให้ติดในแสงสว่างหรือหลงแสงสว่าง แต่ให้ใช้แสง สว่างให้ถูก ให้เป็นประโยชน์เหมือนอย่างกับเราเดินผ่านไปในที่มืดต้องใช้แสงไฟ หรือจะข้ามแม่น้ำ� มหาสมุทร ก็ต้องอาศัยเรือ อาศัยแพ แต่เมื่อถึงฝั่งแล้วก็ไม่ได้


196 แบกเรือแบกแพขึ้นฝั่งไป” แสงสว่างอันเป็นผลจากการเจริญสมาธิก็เช่นกัน ผู้มี สติปัญญาสามารถใช้เพื่อให้เกิดปัญญาอันเป็นแสงสว่างภายใน ที่ไม่มีแสงใดเสมอ เหมือน ดังคำ�ที่ว่า “นัตถิปัญญา สมาอาภา แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี” อานิสงส์แห่งการภาวนา หลวงปู่ท่านเคยพูดเสมอว่า “อุปัชฌาย์ข้า (หลวงปู่กลั่น) สอนว่า ภาวนาได้ เห็นแสงสว่างเท่าปลายหัวไม้ขีดชั่วประเดี๋ยวเดียว เท่าช้างกระดิกหูงูแลบลิ้น ยังมี อานิสงส์มากกว่าตักบาตรจนขันลงหินทะลุ” ท่านจะพูดคอยให้กำ�ลังใจอยู่บ่อยๆว่า “หมั่นทำ�เข้าไว้หมั่นทำ�เข้าไว้ต่อไปจะได้เป็นที่พึ่งภายหน้า” จะเอาโลกหรือเอาธรรม บ่อยครั้งที่มีผู้มาถามปัญหากับหลวงปู่ โดยมักจะนำ�เอาเรื่องราวต่างๆ ที่ เกี่ยวกับหน้าที่การงาน สามี ภรรยา ลูกเต้า ญาติมิตร หรือคนอื่นมาปรารภ ให้หลวงปู่ฟังอยู่เสมอครั้งหนึ่งท่านได้ให้คติเตือนใจว่า “โลกเท่าแผ่นดิน ธรรมเท่า ปลายเข็ม”ซึ่งต่อมาท่านได้เมตตาขยายความให้ฟังว่า เรื่องโลกมีแต่เรื่องยุ่งของ คนอื่นทั้งนั้น ไม่มีที่สิ้นสุด เราไปแก้ไขเขาไม่ได้ส่วนเรื่องธรรมนั้นมีที่สุด มาจบ ที่ตัวเรา ให้มาไล่ดูตัวเองแก้ไขที่ตัวเราเองตนของตนเตือนตนด้วยตนเองถ้าคิด สิ่งที่เป็นธรรมแล้วต้องกลับเข้ามาหาตัวเองถ้าเป็นโลกแล้วจะมีแต่ส่งออกไปข้าง นอกตลอดเวลา เพราะธรรมแท้ๆ ย่อมเกิดจากในตัวของเรานี้ทั้งนั้น” จะตามมาเอง หลายปีมาแล้ว มีพระภิกษุรูปหนึ่งได้มาบวชปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดสะแก ก่อนที่จะลาสิกขาเข้าสู่เพศฆราวาส ท่านได้นัดแนะกับเพื่อนพระภิกษุที่จะสึกด้วย กันสามองค์ว่า เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนสึกพวกเราจะไปกราบขอให้หลวงปู่ พรมน้ำ�มนต์และให้พร ซึ่งต่อมาท่านได้เล่าว่า ขณะที่หลวงปู่พรมน้ำ�มนต์ให้พร อยู่นั้น ท่านก็นึกอธิษฐานอยู่ในใจว่า “ขอความร่ำ�รวยมหาศาล ขอลาภขอผล พูนทวีขอมีกินมีใช้ไม่รู้หมด จะได้แบ่งไปทำ�บุญมากๆ” หลวงปู่หันมามองหน้า


197 หลวงพี่ที่กำ�ลังคิดละเมอเพ้อฝันถึงความร่ำ�รวยนี้ก่อนที่หลวงปู่จะบอกว่า “ท่าน ที่ท่านคิดน่ะมันต่ำ�คิดให้มันสูงไว้ไม่ดีหรือแล้วเรื่องที่ท่านคิดน่ะจะตามมาทีหลัง” พระที่คล้องใจ เมื่อมีผู้ไปขอของดีจำ�พวกวัตถุมงคลจากหลวงปู่ไว้ห้อยคอหรือพกติดตัว หลวงปู่จะสอนว่า “จะเอาไปทำ�ไมของดีภายนอก ทำ�ไมไม่เอาของดีภายใน พุทธัง ธัมมังสังฆัง นี่แหละของวิเศษ” ท่านให้เหตุผลว่า “คนเรานั้น ถ้าไม่มีพุทธังธัมมัง สังฆัง เป็นของดีภายใน ถึงแม้จะได้ของดีภายนอกไปแล้วก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ทำ�อย่างไรจึงจะได้เห็นพระจริง ๆ เห็นมีแต่พระปูน พระไม้พระโลหะ พระรูปถ่าย พระสงฆ์ลองกลับไปคิดดู” คนดีของหลวงปู่ ธรรมะที่หลวงปู่นำ�มาอบรมศิษย์ทั้งหลาย เป็นธรรมที่สงบเย็น และไม่ เบียดเบียนใครด้วยกรรมทั้ง ๓ คือความคิดการกระทำ�และคำ�พูดครั้งหนึ่งท่าน เคยอบรมศิษย์เกี่ยวกับวิธีสังเกตคนดีสั้นๆ ประโยคหนึ่งคือ“คนดีเขาไม่ตีใคร” วัตถุมงคล วัตถุมงคลของท่าน ท่านสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ดังคำ�ที่ท่าน กล่าวว่า “ติดวัตถุมงคล ก็ยังดีกว่าติดวัตถุอัปมงคล” และเพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์ ต่อการปฏิบัติภาวนา ซึ่งแม้จะมีมากมายแต่ทว่าทั้งหมดก็ล้วนอยู่ในกรอบวงของ พระรัตนตรัย ทั้งแบบพิมพ์ที่สื่อถึงเรื่องราวในพุทธสมัยในกาลต่างๆ ท่านล้วน สร้างด้วยความปราณีต ละเอียด ให้เราได้สัมผัสถึงความเมตตา และให้ผู้ศรัทธา ได้เกิดความชัดเจนในสิ่งที่หลวงปู่ท่านเน้นหนัก คือเพื่อให้เราได้ใช้ในการค้นหา พระเก่าหรือที่ท่านเรียกว่า พระแท้คือ พระพุทธัง พระธัมมัง พระสังฆัง สำ�หรับ เป็นที่พึ่งอันสมบูรณ์ทั้งในปัจจุบันและในภายหน้า


198 พระธรรมคำสอน โดย หลวงพ่อชา สุภทฺโท วัดหนองป่าพง ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำ�ราบ จ.อุบลราชธานี มนุษย์เราทั้งหลายไม่ต้องการทุกข์ต้องการแต่สุข ความจริงสุขนั้นก็คือ ทุกข์อย่างละเอียดนั่นเองส่วนทุกข์ก็คือทุกข์อย่างหยาบ พูดอย่างง่ายๆสุขและทุกข์นี้ ก็เปรียบเสมือนงูตัวหนึ่ง ทางหัวมันเป็นทุกข์ ทางหางมันเป็นสุข เพราะถ้าลูบ ทางหัวมันมีพิษ ทางปากมันมีพิษ ไปใกล้ทางหัวมันมันก็กัดเอา ไปจับหางมันก็ดู เหมือนเป็นสุขแต่ถ้าจับไม่วางมันก็หันกลับมากัดได้เหมือนกัน เพราะทั้งหัวงูและ หางงูมันก็อยู่ในงูตัวเดียวกัน คือ ตัณหา ความลุ่มหลงนั่นเอง ฉะนั้น บางทีเมื่อมีสุขแล้วใจก็ยังไม่สบาย ไม่สงบทั้งที่ได้สิ่งที่พอใจแล้ว เช่น ได้ลาภ ยศ สรรเสริญได้มาแล้วก็ดีใจก็จริง แต่มันก็ยังไม่สงบจริงๆ เพราะยัง มีความเคลือบแคลงใจว่า มันจะสูญเสียไปกลัวมันจะหายไป ความกลัวนี่แหละ เป็นต้นเหตุให้มันไม่สงบ บางทีมันเกิดสูญเสียไปจริงๆ ก็ยิ่งเป็นทุกข์มาก นี่หมายความว่า ถึงจะสุขก็จริงแต่ก็มีทุกข์ดองอยู่ในนั้นด้วยแต่เราไม่รู้จักเหมือนกัน กับว่าเราจับงูถึงแม้ว่าเราจับหางมันก็จริงถ้าจับไม่วางมันก็หันกลับมากัดได้ฉะนั้น หัวงูก็ดี หางงูก็ดี บาปก็ดี บุญก็ดีอันนี้อยู่ในวงวัฏฏะ หมุนเวียนเปลี่ยนแปลง ดังนั้น ความสุข ความทุกข์ความดีความชั่ว ก็ไม่ใช่หนทาง ดูไม้ท่อนนี้ซิ.....สั้นหรือยาวสมมติว่า คุณอยากได้ไม้ที่ยาวกว่านี้..... ไม้ท่อนนี้ มันก็สั้น แต่ถ้าคุณอยากได้ไม้สั้นกว่านี้..... ไม้ท่อนนี้มันก็ยาว หมายความว่า “ตัณหา” ของคุณต่างหากที่ทำ ให้มีสั้น มียาว มีชั่ว มีทุกข์ มีสุข ขึ้นมา ลงท้ายแล้ว แนวทางการทำสมาธิภาวนาทุกแบบต้องเป็นไปเพื่อการปล่อยวาง ผู้ปฏิบัติต้อง ไม่ยึดมั่น..... แม้ในตัวอาจารย์แนวทางใดที่นำ ไปสู่การปล่อยวาง สู่การไม่ยึดมั่น ถือมั่นก็เป็นการปฏิบัติที่ถูกต้อง ถ้าเราเอาชนะตัวเองมันก็จะชนะทั้งตัวเอง ชนะ ทั้งคนอื่น ชนะทั้งอารมณ์ ชนะทั้งรูป ทั้งเสียง ทั้งกลิ่น ทั้งรส ทั้งโผฏฐัพพะเป็น อันว่า ชนะหมด อาการบังคับตัวเองให้กำ หนดลมหายใจ ข้อนี้เป็นศีล การกำ หนดลมหายใจ ได้และติดต่อไปจนจิตสงบ ข้อนี้เรียกว่าสมาธิ การพิจารณากำ หนดลมหายใจว่า ไม่เที่ยง ทนได้ยาก มิใช่ตัวตน แล้วรู้การปล่อยวาง ข้อนี้เรียกว่าปัญญา


Click to View FlipBook Version