The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เล่มพระปริตรเข้าห่วง 10-4-67 ok

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sarinya_viriya, 2024-04-09 21:59:29

เล่มพระปริตรเข้าห่วง 10-4-67 ok

เล่มพระปริตรเข้าห่วง 10-4-67 ok

99 อาทิตตะปะริยายะสุตตัง เอวัมเม สุตัง. เอกัง สะมะยัง ภะคะวา คะยายัง วิหะระติ คะยาสีเส สัทธิง ภิกขุสะหัสเสนะ. ตัต๎ระ โข ภะคะวา ภิกขู อามันเตสิ. สัพพัง ภิกขะเว อาทิตตัง. กิญจะ ภิกขะเว สัพพัง อาทิตตัง. จักขุง ภิกขะเว อาทิตตัง รูปา อาทิตตา จักขุวิญญาณัง อาทิตตัง จักขุสัมผัสโส อาทิตโต ยัมปิทัง จักขุสัมผัสสะปัจจะยา อุปปัชชะติ เวทะยิตัง สุขัง วา ทุกขัง วา อะทุกขะมะสุขัง วา ตัมปิ อาทิตตัง. เกนะ อาทิตตัง. อาทิตตัง ราคัคคินา โทสัคคินา โมหัคคินา อาทิตตัง ชาติยา ชะรามะระเณนะ โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทุกเขหิ โทมะนัสเสหิ อุปายาเสหิ อาทิตตันติ วะทามิ. โสตัง อาทิตตัง สัททา อาทิตตา โสตะวิญญาณัง อาทิตตัง โสตะสัมผัสโส อาทิตโต ยัมปิทัง โสตะสัมผัสสะปัจจะยา อุปปัชชะติ เวทะยิตัง สุขัง วา ทุกขัง วา อะทุกขะมะสุขัง วา ตัมปิ อาทิตตัง. เกนะ อาทิตตัง. อาทิตตัง ราคัคคินา โทสัคคินา โมหัคคินา อาทิตตัง ชาติยา ชะรามะระเณนะ โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทุกเขหิ โทมะนัสเสหิ อุปายาเสหิ อาทิตตันติ วะทามิ. ฆานัง อาทิตตัง คันธา อาทิตตา ฆานะวิญญาณัง อาทิตตัง ฆานะ สัมผัสโส อาทิตโต ยัมปิทัง ฆานะสัมผัสสะปัจจะยา อุปปัชชะติ เวทะยิตัง สุขัง วา ทุกขัง วา อะทุกขะมะสุขัง วา ตัมปิ อาทิตตัง. เกนะ อาทิตตัง. อาทิตตัง ราคัคคินา โทสัคคินา โมหัคคินา อาทิตตัง ชาติยา ชะรามะระเณนะ โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทุกเขหิ โทมะนัสเสหิ อุปายาเสหิ อาทิตตันติ วะทามิ. ชิวหา อาทิตตา ระสา อาทิตตา ชิวหาวิญญาณัง อาทิตตัง ชิวหาสัมผัสโส อาทิตโต ยัมปิทัง ชิวหาสัมผัสสะปัจจะยา อุปปัชชะติ เวทะยิตัง สุขัง วา ทุกขัง วา อะทุกขะมะสุขัง วา ตัมปิ อาทิตตัง. เกนะ อาทิตตัง. อาทิตตัง ราคัคคินา โทสัคคินา โมหัคคินา อาทิตตัง ชาติยา ชะรามะระเณนะ โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทุกเขหิ โทมะนัสเสหิ อุปายาเสหิ อาทิตตันติ วะทามิ.


100 กาโย อาทิตโต โผฏฐัพพา อาทิตตา กายะวิญญาณัง อาทิตตัง กายะ สัมผัสโส อาทิตโต ยัมปิทัง กายะสัมผัสสะ ปัจจะยา อุปปัชชะติ เวทะยิตัง สุขัง วา ทุกขัง วา อะทุกขะมะ สุขัง วา ตัมปิ อาทิตตัง. เกนะ อาทิตตัง. อาทิตตัง ราคัคคินา โทสัคคินา โมหัคคินา อาทิตตัง ชาติยา ชะรามะระเณนะ โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทุกเขหิ โทมะนัสเสหิ อุปายาเสหิ อาทิตตันติ วะทามิ. มะโน อาทิตโต ธัมมา อาทิตตา มะโนวิญญาณัง อาทิตตัง มะโนสัมผัสโส อาทิตโต ยัมปิทัง มะโนสัมผัสสะปัจจะยา อุปปัชชะติ เวทะยิตัง สุขัง วา ทุกขัง วา อะทุกขะมะสุขัง วา ตัมปิ อาทิตตัง. เกนะ อาทิตตัง. อาทิตตัง ราคัคคินา โทสัคคินา โมหัคคินา อาทิตตัง ชาติยา ชะรามะระเณนะ โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทุกเขหิ โทมะนัสเสหิ อุปายาเสหิ อาทิตตันติ วะทามิ. เอวัง ปัสสัง ภิกขะเว สุต๎วา อะริยะสาวะโก จักขุส๎มิงปิ นิพพินทะติ รูเปสุปิ นิพพินทะติ จักขุวิญญาเณปิ นิพพิน ทะติ จักขุสัมผัสเสปิ นิพพินทะติ ยัมปิทัง จักขุสัมผัสสะปัจจะยา อุปปัชชะติ เวทะยิตัง สุขัง วา ทุกขัง วา อะทุกขะมะสุขัง วา ตัส๎มิงปิ นิพพินทะติ. โสตัส๎มิงปิ นิพพินทะติ สัทเทสุปิ นิพพินทะติ โสตะวิญญาเณปิ นิพพิน ทะติ โสตะสัมผัสเสปิ นิพพินทะติ ยัมปิทัง โสตะสัมผัสสะปัจจะยา อุปปัชชะติ เวทะยิตัง สุขัง วา ทุกขัง วา อะทุกขะมะสุขัง วา ตัส๎มิงปิ นิพพินทะติ. ฆานัส๎มิงปิ นิพพินทะติ คันเธสุปิ นิพพินทะติ ฆานะวิญญาเณปิ นิพพิน ทะติ ฆานะสัมผัสเสปิ นิพพินทะติ ยัมปิทัง ฆานะสัมผัสสะปัจจะยา อุปปัชชะติ เวทะยิตัง สุขัง วา ทุกขัง วา อะทุกขะมะสุขัง วา ตัส๎มิงปิ นิพพินทะติ. ชิวหายะปิ นิพพินทะติ ระเสสุปิ นิพพินทะติ ชิวหาวิญญาเณปิ นิพพิน ทะติ ชิวหาสัมผัสเสปิ นิพพินทะติ ยัมปิทัง ชิวหาสัมผัสสะปัจจะยา อุปปัชชะติ เวทะยิตัง สุขัง วา ทุกขัง วา อะทุกขะมะสุขัง วา ตัส๎มิงปิ นิพพินทะติ.


101 กายัส๎มิงปิ นิพพินทะติ โผฏฐัพเพสุปิ นิพพินทะติ กายะวิญญาเณปิ นิพพินทะติ กายะสัมผัสเสปิ นิพพินทะติ ยัมปิทัง กายะสัมผัสสะปัจจะยา อุปปัชชะติ เวทะยิตัง สุขัง วา ทุกขัง วา อะทุกขะมะสุขัง วา ตัส๎มิงปิ นิพพินทะติ. มะนัส๎มิงปิ นิพพินทะติ ธัมเมสุปิ นิพพินทะติ มะโน วิญญาเณปิ นิพพิน ทะติ มะโนสัมผัสเสปิ นิพพินทะติ ยัมปิทัง มะโนสัมผัสสะปัจจะยา อุปปัชชะติ เวทะยิตัง สุขัง วา ทุกขัง วา อะทุกขะมะสุขัง วา ตัส๎มิงปิ นิพพินทะติ. นิพพินทัง วิรัชชะติ. วิราคา วิมุจจะติ. วิมุตตัส๎มิง วิมุตตะมีติ ญาณัง โหติ ขีณา ชาติ วุสิตัง พ๎รัห๎มะจะริยัง กะตัง กะระณียัง นาปะรัง อิตถัตตายาติ ปะชานาตีติ. อิทะมะโวจะ ภะคะวา. อัตตะมะนา เต ภิกขู ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทุง. อิมัส๎มิญจะ ปะนะ เวยยากะระณัส๎มิง ภัญญะมาเน ตัสสะ ภิกขุสะหัส สัสสะ อะนุปาทายะ, อาสะเวหิ จิตตานิ วิมุจจิงสูติ. นตฺถิ ราคสโม อคฺคิ นตฺถิ โทสสโม คโห นตฺถิ โมหสมํ ชาลํ นตฺถิ ตณฺหาสมา นที ฯ สุทสฺสํ วชฺชมญฺเญสํ อตฺตโน ปน ทุทฺทสํ ปเรสํ หิ โส วชฺชานิ โอปุนาติ ยถาภุสํ อตฺตโน ปน ฉาเทติ กลึว กิตวา สโฐ ฯ ไฟเสมอด้วยราคะไม่มีผู้จับเสมอด้วยโทสะไม่มีข่ายเสมอด้วยโมหะไม่มีแม่นํ้าเสมอด้วยตัณหา ไม่มีโทษของผู้อื่นเห็นได้ง่าย ส่วนโทษของตนเห็นได้ยาก เพราะว่า บุคคลนั้นย่อมโปรยโทษของ คนอื่น ดุจบุคคลโปรยแกลบ แต่ปกปิดโทษของตนไว้เหมือนพรานนกปกปิดอัตภาพด้วยกิ่งไม้ฉะนั้นฯ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต คาถาธรรมบท มลวรรคที่ ๑๘


102 อาทิตตะปะริยายะสุตตัง (แปล) ข้าพเจ้า (พระอานนท์) ได้ฟังมาดังนี้สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ที่ตำ�บลคยาสีสะ ใกล้แม่น้ำ�คยา พร้อมด้วยหมู่ภิกษุ๑,๐๐๐ รูป ณ ที่นั้นพระองค์ ได้ตรัสกับ ภิกษุ เหล่านั้นว่า “ภิกษุทั้งหลาย! สิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน” ที่ว่าสิ่งทั้งปวงเป็นของร้อนนั้น อะไรบ้าง ตาเป็นของร้อน รูปเป็นของร้อน ความรับรู้ทางตาเป็นของร้อน สัมผัสทางตา เป็นของร้อน แม้การเสวยอารมณ์เป็นสุข เป็นทุกข์หรือไม่สุข ไม่ทุกข์ที่เกิดขึ้น โดยอาศัยสัมผัสทางตาก็เป็นของร้อน ร้อนด้วยอะไรเล่า เรากล่าวว่า ร้อนด้วยไฟ แห่งราคะ ไฟแห่งโทสะ ไฟแห่งโมหะ ร้อนด้วยความเกิด ความแก่และความตาย ร้อนด้วยความเศร้าโศกรำ�พัน ความทุกข์กายทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ หูเป็นของร้อน เสียงเป็นของร้อน... จมูกเป็นของร้อน กลิ่นเป็นของร้อน... ลิ้นเป็นของร้อน รสเป็นของร้อน.... กายเป็นของร้อน สัมผัสทางกายเป็น ของร้อน... ใจเป็นของร้อน ธรรมารมณ์เป็นของร้อน ความรับรู้ทางใจเป็นของร้อน สัมผัสทางใจก็เป็นของร้อน แม้การเสวยอารมณ์เป็นสุขเป็นทุกข์หรือไม่สุขไม่ทุกข์ ที่เกิดขึ้นโดยอาศัยสัมผัสทางใจก็เป็นของร้อน ร้อนด้วยอะไรเล่า เรากล่าวว่าร้อน ด้วยไฟแห่งราคะ ไฟแห่งโทสะ ไฟแห่งโมหะ ร้อนด้วยความเกิด ความแก่และ ความตาย ร้อนด้วยความเศร้าโศกรำ�พัน ความทุกข์กายทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ อริยสาวกผู้ใดฟังมาแล้ว เมื่อเห็นอย่างนี้ย่อมเบื่อหน่ายในตา เบื่อในรูป เบื่อในการรับรู้ทางตา เบื่อในการสัมผัสทางตา เบื่อแม้ในการเสวยอารมณ์เป็นสุข เป็นทุกข์หรือไม่สุขไม่ทุกข์ที่เกิดขึ้นโดยอาศัยสัมผัสทางตา ย่อมเบื่อหน่ายในหูเบื่อในเสียง... ย่อมเบื่อหน่ายในจมูก เบื่อในกลิ่น... ย่อมเบื่อหน่ายในลิ้น เบื่อในรส... ย่อมเบื่อหน่ายในกาย เบื่อในสัมผัส ทางกาย...


103 ย่อมเบื่อหน่ายในใจ เบื่อในธรรมารมณ์ เบื่อในการรับรู้ทางใจ เบื่อในการ สัมผัสทางใจ เบื่อแม้ในการเสวยอารมณ์เป็นสุขเป็นทุกข์หรือไม่สุขไม่ทุกข์ที่เกิด ขึ้นโดยอาศัยสัมผัสทางใจ เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายกำ�หนัด เมื่อคลายกำ�หนัดย่อมหลุดพ้น เมื่อหลุด พ้นแล้ว ย่อมมีญาณรู้ว่า “หลุดพ้นแล้ว ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ�ได้ทำ�เสร็จแล้ว ไม่มีอะไรอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้ต่อไป” นี้แลคำ�ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ พระภิกษุเหล่านั้นรู้สึกเพลิดเพลิน ยินดีในภาษิตของพระองค์ และในขณะที่พระองค์ตรัสคำ�อธิบายนี้อยู่ จิตของ พระภิกษุ๑,๐๐๐ รูปเหล่านั้น ได้หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายเพราะหมดอุปาทาน ยึดมั่นถือมั่น ฯ อ้างอิง : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๐ สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค. สพฺเพ สตฺตา มริสฺสนฺติ มรณนฺตํ หิ ชีวิตํ ยถากมฺมํ คมิสฺสนฺติ ปุญฺญปาปผลูปคา นิรยํ ปาปกมฺมนฺตา ปุญฺญกมฺมา จ สุคตึ ตสฺมา กเรยฺย กลฺยาณํ นิจยํ สมฺปรายิกํ ปุญฺญานิ ปรโลกสฺมึ ปติฏฺฐา โหนฺติ ปาณินนฺติ ฯ สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงต้องตายเพราะชีวิตมีความตายเป็นที่สุด สัตว์ทั้งหลายจักไปตามกรรม เข้าถึงผลแห่งบุญและบาป คือ ผู้มีกรรมเป็นบาป จักไปสู่นรก ส่วนผู้มีกรรมเป็นบุญ จักไปสู่สุคติฯ เพราะฉะนั้น พึงทำกรรมงามอันจะนำ ไปสู่สัมปรายภพ สั่งสมไว้บุญทั้งหลายย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ ทั้งหลายในปรโลก ฯ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค อัยยิกาสูตรที่ ๒


104 อานิสงส์การสวดพระปริตร บทสวด ๗ ตำ�นาน ๑. มังคลปริตร สวดเพื่อให้เกิดสิริมงคล และปราศจากอันตราย ๒. รตนปริตร สวดเพื่อกำ�จัดเสนียดจัญไร โรคร้ายทั้งปวง ขับไล่ ภูติผีปีศาจ ๓. เมตตปริตร สวดเพื่อเจริญเมตตาไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ๔. ขันธปริตร ป้องกันภัยจากอสรพิษ และสัตว์ร้ายอื่นๆ ๕. โมรปริตร ป้องกันภัยจากผู้คิดร้าย แคล้วคลาดปลอดภัย ๖. ธชัคคปริตร ขจัดความหวาดกลัว การงานประสบความสำ�เร็จ ๗. อาฏานาฏิยปริตร ป้องกันภัยจากอมนุษย์ทำ�ให้มีสุขภาพดีและมีความสุข บทสวด ๑๒ ตำ�นาน ๘. วัฏฏกปริตร ทำ�ให้พ้นจากอัคคีภัย เกิดความสวัสดีมีชัย ๙. อังคุลิมาลปริตร ทำ�ให้คลอดบุตรง่าย และป้องกันอุปสรรคอันตราย ๑๐. โพชฌังคปริตร ทำ�ให้มีสุขภาพดีมีอายุยืน และพ้นจากอุปสรรคทั้งปวง ๑๑. อภยปริตร ทำ�ให้พ้นจากภัยพิบัติและไม่ฝันร้าย ๑๒. ชัยปริตร ทำ�ให้ประสบชัยชนะ และมีความสุขสวัสดี


ภาค ๓ บทสวดมนต์พิเศษ, คำาอาราธนา และถวายทานที่ใช้บ่อยๆ


106 บทสวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย บทสวดพระพุทธคุณ (ทำ นองสรภัญญะ) (นำ�) องค์ใดพระสัมพุทธ (รับพร้อมกัน) สุวิสุทธะสันดาน ตัดมูลเกลศมาร บ่ มิหม่นมิหมองมัว หนึ่งในพระทัยท่าน ก็เบิกบาน คือดอกบัว ราคีบ่ พันพัว สุวะคนธะกำ�จร องค์ใดประกอบด้วย พระกรุณาดังสาคร โปรดหมู่ประชากร มะละโอฆะกันดาร ชี้ทางบรรเทาทุกข์ และชี้สุขเกษมศานต์ ชี้ทางพระนฤพาน อันพ้นโศกวิโยคภัย พร้อมเบญจะพิธจัก- ษุจรัสวิมลใส เห็นเหตุที่ใกล้ไกล ก็เจนจบประจักษ์จริง กำ�จัดนํ้าใจหยาบ สันดานบาปแห่งชายหญิง สัตว์โลกได้พึ่งพิง มะละบาปบำ�เพ็ญบุญ ข้าฯ ขอประณตน้อม ศิรเกล้าบังคมคุณ สัมพุทธะการุญ- ญะ ภาพนั้น นิรันดร. (กราบ)


107 บทสวดพระธรรมคุณ (ทำ นองสรภัญญะ) (นำ�) ธัมมะคือคุณากร (รับพร้อมกัน) ส่วนชอบสาทร ดุจดวงประทีปชัชวาล แห่งองค์พระศาสดาจารย์ ส่องสัตว์สันดาน สว่างกระจ่างใจมล ธรรมใดนับโดยมรรคผล เป็นแปดพึงยล และเก้ากับทั้งนฤพาน สมญาโลกอุดรพิสดาร อันลึกโอฬาร พิสุทธิ์พิเศษสุกใส อีกธรรมต้นทางครรไล นามขนานขานไข ปฏิบัติปริยัติเป็นสอง คือทางดำ�เนินดุจคลอง ให้ล่วงลุปอง ยังโลกอุดรโดยตรง ข้าฯ ขอโอนอ่อนอุตมงค์ นบธรรมจำ�นง ด้วยจิตและกายวาจา. (กราบ)


108 บทสวดพระสังฆคุณ (ทำ นองสรภัญญะ) (นำ�) สงฆ์ใดสาวกศาสดา (รับพร้อมกัน) รับปฏิบัติมา แต่องค์สมเด็จภะคะวันต์ เห็นแจ้งจตุสัจเสร็จบรร- ลุทางที่อัน ระงับและดับทุกข์ภัย โดยเสด็จพระผู้ตรัสไตร ปัญญาผ่องใส สะอาดและปราศมัวหมอง เหินห่างทางข้าศึกปอง บ่ มิลำ�พอง ด้วยกายและวาจาใจ เป็นเนื้อนาบุญอันไพ- ศาลแด่โลกัย และเกิดพิบูลย์พูนผล สมญาเอารสทศพล มีคุณอนนต์ อเนกจะนับเหลือตรา ข้าฯ ขอนบหมู่พระศรา- พกทรงคุณา- นุคุณประดุจรำ�พัน ด้วยเดชบุญข้าอภิวันท์ พระไตรรัตน์อัน อุดมดิเรกนิรัติศัย จงช่วยขจัดโพยภัย อันตรายใดใด จงดับและกลับเสื่อมสูญ. (กราบ)


109 พุทธะชะยะมังคะละคาถา ถวายพรพระ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (ว่า ๓ หน) อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ. ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ. สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลี กะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ. อตฺตนา โจทยตฺตานํ ปฏิมํเสตมตฺตนา โส อตฺตคุตฺโต สติมา สุขํ ภิกฺขุ วิหาหิสิ. อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ อตฺตา หิ อตฺตโน คติ ตสฺมา สญฺญม อตฺตานํ อสฺสํ ภทฺรํว วาณิโช. เธอจงตักเตือนตนด้วยตน จงพิจารณาดูตนนั้น ด้วยตน, ภิกษุ เธอนั้นมีสติปกครองตน ได้แล้ว จักอยู่สบาย. ตนแหละ เป็นนาถะของตน, ตนแหละ เป็นคติของตน เพราะฉะนั้น เธอจง สงวนตนให้เหมือนอย่างพ่อค้าม้า สงวนม้าตัวเจริญฉะนั้น. พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต


110 ถวายพรพระ (แปล) เพราะเหตุอย่างนี้ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ไกลจากกิเลส และตรัสรู้ ด้วยพระองค์เองโดยชอบ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม เป็นผู้มีความเจริญ เป็นผู้จำ�แนกธรรมสั่งสอนสัตว์ดังนี้. พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติ พึงเห็นได้ด้วยตนเอง เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้และให้ผลได้ไม่จำ�กัดกาล เป็นสิ่งที่ควร กล่าวกับผู้อื่นว่าท่านจงมาดูเถิดเป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว เป็นสิ่งที่ผู้รู้พึงรู้ได้ เฉพาะตน ดังนี้. พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า หมู่ใด, ปฏิบัติดีแล้ว พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า หมู่ใด, ปฏิบัติตรงแล้ว พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า หมู่ใด, ปฏิบัติธรรมเป็นเครื่องออก จากทุกข์แล้ว พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า หมู่ใด, ปฏิบัติสมควรแล้ว ได้แก่ บุคคลเหล่านี้คือ คู่แห่งบุรุษ ๔ คู่ นับเรียงตัวบุรุษได้๘ บุรุษ นั่นแหละพระสงฆ์ สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านเป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขานำ�มาบูชา เป็นผู้ควร แก่สักการะที่เขาจัดไว้ต้อนรับ เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน เป็นผู้ที่บุคคลทั่วไปควร ทำ�อัญชลีเป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ดังนี้. สุขํ ยาว ชรา สีลํ สุขา สทฺธา ปติฏฺฐิตา สุโข ปญฺญาย ปฏิลาโภ ปาปานํ อกรณํ สุขํ. ศีลนำความสุขมาให้ตราบเท่าชรา, ศรัทธาที่ตั้งมั่นแล้วนำความสุขมาให้, การได้เฉพาะ ซึ่งปัญญานำความสุขมาให้, การไม่ทำบาปทั้งหลาย นำความสุขมาให้. พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต


111 พุทธชัยมงคลคาถา ๑. พาหุง สะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง ค๎รีเมขะลัง อุทิตะโฆระสะเสนะมารัง ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต๑ ชะยะมังคะลานิ.๒ ๒. มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง ขันตีสุทันตะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต๑ ชะยะมังคะลานิ.๒ ๓. นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง เมตตัมพุเสกะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต๑ ชะยะมังคะลานิ.๒ ๔. อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง ธาวันติโยชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต๑ ชะยะมังคะลานิ.๒ ๕. กัต๎วานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะนะกายะมัชเฌ สันเตนะ โสมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต๑ ชะยะมังคะลานิ.๒


112 ๖. สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกะวาทะเกตุง วาทาภิโรปตะมะนัง อะติอันธะภูตัง ปญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต๑ ชะยะมังคะลานิ.๒ ๗. นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต อิทธูปะเทสะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต๑ ชะยะมังคะลานิ.๒ ๘. ทุคคาหะทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง พ๎รัห๎มัง วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต๑ ชะยะมังคะลานิ.๒ เอตาป พุทธะชะยะมังคะละอัฏฐะคาถา โย วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตันที หิต๎วานะเนกะวิวิธานิ จุปททะวานิ โมกขัง สุขัง อะธิคะเมยยะ นะโร สะปญโญ. ๑. ถ้าสวดเพื่อตนเองให้เปลี่ยน “เต” เป็น “เม” ๒. ถ้าสวด มคธ ให้เปลี่ยนเป็น ชะยะมังคะลัคคัง ทุกบท สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ สพฺพํ รสํ ธมฺมรโส ชินาติ สพฺพํ รตึ ธมฺมรตี ชินาติ ตณฺหกฺขโย สพฺพทุกฺขํ ชินาติ. ธรรมทานย่อมชนะทานทั้งปวง รสแห่งธรรมย่อมชนะรสทั้งปวงความยินดีในธรรมย่อมชนะ ความยินดีทั้งปวง ความสิ้นไปแห่งตัณหาย่อมชนะทุกข์ทั้งปวง. พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต


113 พุทธชัยมงคลคาถา (แปล) ๑. พระจอมมุนี ได้ทรงชนะพญามารผู้เนรมิตแขนมากตั้งพัน ถืออาวุธ ครบมือ ขี่คชสารชื่อครีเมขละ พร้อมด้วยเสนามารโห่ร้องกึกก้อง ด้วยธรรมวิธี คือ ทรงระลึกถึงพระบารมี๑๐ ประการ ที่ทรงบำ�เพ็ญแล้ว มีทานบารมีเป็นต้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ท่าน ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้น ๒. พระจอมมุนีได้ทรงชนะอาฬวกยักษ์ ผู้มีจิตกระด้าง ดุร้ายเหี้ยมโหด มีฤทธิ์ยิ่งกว่าพญามาร ผู้เข้ามาต่อสู้ยิ่งนัก จนตลอดรุ่ง ด้วยวิธีที่ทรงฝึกฝนเป็น อันดีคือขันติบารมี(คือความอดทน อดกลั้น ซึ่งเป็น ๑ ในพระบารมี๑๐ ประการ) ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ท่าน ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้น ๓. พระจอมมุนีได้ทรงชนะพญาช้างตัวประเสริฐชื่อ นาฬาคิรีเป็นช้างเมามัน ยิ่งนัก ดุร้ายประดุจไฟป่า และร้ายแรงดังจักราวุธและสายฟ้า (ขององค์อินทร์) ด้วยวิธีรดลงด้วยน้ำ� คือ พระเมตตา ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ท่าน ด้วยเดช แห่งพระพุทธชัยมงคลนั้น ๔. พระจอมมุนี ทรงบันดาลอิทธิฤทธิ์ทางใจอันยอดเยี่ยม ชนะโจรชื่อ องคุลิมาล (ผู้มีพวงมาลัย คือ นิ้วมือมนุษย์) แสนร้ายกาจ มีฝีมือ ถือดาบ วิ่งไล่พระองค์ไปสิ้นทาง ๓ โยชน์ ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ท่าน ด้วยเดช แห่งพระพุทธชัยมงคลนั้น ๕. พระจอมมุนีได้ทรงชนะความกล่าวร้ายของนางจิญจมาณวิกา ผู้ทำ�อาการ ประดุจว่ามีครรภ์ เพราะทำ�ไม้สัณฐานกลม (ผูกติดไว้) ให้เป็นประดุจมีท้อง ด้วยวิธีสมาธิอันงาม คือความสงบระงับพระหฤทัย ท่ามกลางหมู่ชน ขอชัยมงคล ทั้งหลายจงมีแก่ท่าน ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้น ๖. พระจอมมุนีทรงรุ่งเรืองแล้วด้วยประทีป คือ ปัญญา ได้ชนะสัจจกนิครนถ์ (อ่านว่า สัจจะกะนิครนถ์, นิครนถ์ คือ นักบวชประเภทหนึ่งในสมัยพุทธกาล) ผู้มีอัชฌาสัยในที่จะสละเสียซึ่งความสัตย์ มุ่งยกถ้อยคำ�ของตนให้สูงล้ำ�ดุจยกธง เป็นผู้มืดมนยิ่งนัก ด้วยเทศนาญาณวิธีคือ รู้อัชฌาสัยแล้ว ตรัสเทศนาให้มอง เห็นความจริง ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ท่าน ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้น


114 ๗. พระจอมมุนีทรงโปรดให้พระโมคคัลลานะเถระพุทธชิโนรส นิรมิตกาย เป็นนาคราชไปทรมานพญานาคราชชื่อ นันโทปนันทะ ผู้มีความหลงผิดมีฤทธิ์มาก ด้วยวิธีให้ฤทธิ์ที่เหนือกว่าแก่พระเถระ ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ท่าน ด้วยเดช แห่งพระพุทธชัยมงคลนั้น ๘. พระจอมมุนีได้ทรงชนะพรหมผู้มีนามว่าพกาพรหม ผู้มีฤทธิ์สำ�คัญ ตนว่าเป็นผู้รุ่งเรืองด้วยคุณอันบริสุทธิ์ มีความเห็นผิดประดุจถูกงูรัดมือไว้อย่าง แน่นแฟ้นแล้ว ด้วยวิธีวางยาอันพิเศษ คือ เทศนาญาณ ขอชัยมงคลทั้งหลาย จงมีแก่ท่าน ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้น นรชนใดมีปัญญา ไม่เกียจคร้าน สวดก็ดีระลึกก็ดีซึ่งพระพุทธชัยมงคล ๘ บทนี้ทุกๆวัน นรชนนั้นจะพึงละเสียได้ซึ่งอุปัทวันตรายทั้งหลายมีประการต่างๆ เป็นอเนกและถึงซึ่งวิโมกข์(คือ ความหลุดพ้น) อันเป็นบรมสุขแล มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา มนสา เจ ปสนฺเนน ภาสติ วา กโรติ วา ตโต นํ สุขมเนฺวติ ฉายาว อนุปายินี ฯ ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐที่สุด สำ เร็จแล้วแต่ใจ ถ้าบุคคลมีใจผ่องใส กล่าวอยู่ก็ตามทำอยู่ก็ตาม สุขย่อมไปตามบุคคลนั้นเพราะสุจริต ๓ อย่าง เหมือนเงามีปรกติไปตาม ฉะนั้น พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ยมกวรรคที่ ๑


115 บทสวดชัยน้อย (นะโมเม) นะโม เม พุทธะเตชัสสา ระตะนะตะยะธัมมิกา เตชะประสิทธิ ปะสีเทวา นารายะบระเมสุรา สิทธิพ๎รัห๎มา จะ อินทา จะ จะตุโลกา คัมภีรักขะกา สะมุททา ภูตุงคังคา จะ สะห๎รัห๎มาชัยยะประสิทธิ ภะวันตุ เต ชัยยะ ชัยยะ ธระณิ ธระณี อุทะธิ อุทะธี นะทิ นะที ชัยยะ ชัยยะ คะคนละตนละนิสัย นิรัยสัยเสนนะ เมรุราชชะพล นระชี ชัยยะ ชัยยะ คัมภีระ โสมภี นาเคนทะนาคี ปีสาจจะ ภูตะกาลี ชัยยะ ชัยยะ ทุนนิมิตตะโรคี ชัยยะ ชัยยะ สิงคี สุทา ทานะ มุขะชา ชัยยะ ชัยยะ วะรุณณะ มุขะ สาตรา ชัยยะ ชัยยะ จัมปา ทินาคะ กุละ คัณถก ชัยยะ ชัยยะ คัชชะคนนะตุรง สุกระภุชง สีหะ เพียคฆะ ทีปา ชัยยะ ชัยยะ วะรุณณะ มุขะ ยาตรา ชิตะ ชิตะ เสนนารี ปุนะ สุทธิ นระดี ชัยยะ ชัยยะ สุขา สุขา ชีวี ชัยยะ ชัยยะ ธระณีตะเลสะทาสุชัยยา ชัยยะ ชัยยะ ธระณี สานติน สะทา ชัยยะ ชัยยะ มังกะราช รัญญา ภะวัคเค ชัยยะ ชัยยะ วะรุณณะ ยักเข ชัยยะ ชัยยะ รักขะเส สุระภุชะเตชา ชัยยะ ชัยยะ พ๎รัห๎มเมนทะคะณา ชัยยะ ชัยยะ ราชาธิราชสาชชัย ชัยยะ ชัยยะ ปะฐะวิง สัพพัง ชัยยะ ชัยยะ อระหันตา ปัจเจกะพุทธะสาวัง ชัยยะ ชัยยะ มะเหสุโร หะโรหะรินเทวา ชัยยะ ชัยยะ พ๎รัห๎มา สุรักโข ชัยยะ ชัยยะ นาโค วิรุฬ๎หะโก วิรูปักโข จันทิมา ระวิ อินโท จะ เวนะเตยโย จะ กุเวโร วะรุโณปิ จะ อัคคิ วาโย จะ ปาชุณ๎โห กุมาโร ธะตะรัฏฏะโก


116 อัฏฐาระสะ มะหาเทวา สิทธิตาปะสะอาทะโย อิสิโน สาวะกา สัพพา ชัยยะ ราโม ภะวันตุ เต ชัยยะ ธัมโม จะ สังโฆ จะ ทะสะปาโล จะ ชัยยะกัง เอเตนะ ชัยยะเตเชนะ ชัยยะ โสตถี ภะวันตุ เต เอเตนะ พุทธะเตเชนะ โหตุ เต ชัยยะมังคะลัง ชัยโยปิ พุทธัสสะ สิริมะโต อะยัง มารัสสะ จะ ปาปิมะโต ปะราชะโย อุคโฆ สะยัมโพธิมัณเฑ ปะโมทิตา ชัยยะ ตะทา พ๎รัห๎มะคะณา มะเหสิโน ฯ ชัยโยปิ พุทธัสสะ สิริมะโต อะยัง มารัสสะ จะ ปาปิมะโต ปะราชะโย อุคโฆ สะยัมโพธิมัณเฑ ปะโมทิตา ชัยยะ ตะทา อินทะคะณา มะเหสิโน ฯ ชัยโยปิ พุทธัสสะ สิริมะโต อะยัง มารัสสะ จะ ปาปิมะโต ปะราชะโย อุคโฆ สะยัมโพธิมัณเฑ ปะโมทิตา ชัยยะ ตะทา เทวะคะณา มะเหสิโน ฯ ชัยโยปิ พุทธัสสะ สิริมะโต อะยัง มารัสสะ จะ ปาปิมะโต ปะราชะโย อุคโฆ สะยัมโพธิมันเฑ ปะโมทิตา ชัยยะ ตะทา สุปัณณะคะณา มะเหสิโน ฯ ชัยโยปิ พุทธัสสะ สิริมะโต อะยัง มารัสสะ จะ ปาปิมะโต ปะราชะโย อุคโฆ สะยัมโพธิมัณเฑ ปะโมทิตา ชัยยะ ตะทา นาคาคะณา มะเหสิโน ฯ ชัยโยปิ พุทธัสสะ สิริมะโต อะยัง มารัสสะ จะ ปาปิมะโต ปะราชะโย อุคโฆ สะยัมโพธิมัณเฑ ปะโมทิตา ชัยยะ ตะทา สะพ๎รัห๎มะคะณา มะเหสิโน ฯ ชะยันโต โพธิยา มูเล สัก๎ยานัง นันทิวัฑฒะโน เอวัง ตะวัง วิชะโย โหหิ ชะยัสสุ ชะยะมังคะเล อะปะราชิตะปัลลังเก สีเส ปะฐะวิโปกขะเร อะภิเสเก สัพพะพุทธานัง อัคคัปปัตโต ปะโมทะติ สุนักขัตตัง สุมังคะลัง สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง สุขะโน สุมุหุตโต จะ สุยิฏฐัง พ๎รัห๎มะจาริสุ


117 ปะทักขิณัง กายะกัมมัง วาจากัมมัง ปะทักขิณัง ปะทักขิณัง มะโนกัมมัง ปะณิธี เต ปะทักขิณา ปะทักขิณานิ กัต๎วานะ ละภัณตัตเถ ปะทักขิเณ ฯ เต อัตถะลัทธา สุขิตา วิรุฬ๎หา พุทธะสาสะเน อะโรคา สุขิตา โหถะ สะหะ สัพเพหิญาติภิ สุณันตุ โภนโต เย เทวา อัส๎มิง ฐาเน อะธิคะตา ฑีฆายุกา สะทา โหนตุ สุขิตา โหนตุ สัพพะทา รักขันตุ สัพพะสัตตานัง รักขันตุ ชินะสาสะนัง ยา กาจิ ปัตถะนา เตสัง สัพเพ ปูเรนตุ มะโนระถา ยุตตะกาเล ปะวัสสันตุ วัสสัง วัสสา วะราหะกา โรคา จุปัททะวา เตสัง นิวาเรนตุ จะ สัพพะทา กายาสุขัง จิตตะสุขัง อะระหันตุ ยะถาระหัง (อิติ จุลละชัยยะสิทธิมังคะลัง สะมันตังฯ) โย พาโล มญฺญตี พาลฺยํ ปณฺฑิโต วาปิ เตน โส พาโล จ ปณฺฑิตมานี ส เว พาโลติ วุจฺจติ. บุคคลใดโง่ย่อมสำคัญความที่แห่งตนเป็นคนโง่ บุคคลนั้นจะเป็นบัณฑิตเพราะเหตุนั้นได้บ้าง ส่วนบุคคลใดเป็นคนโง่ มีความสำคัญว่าตนเป็นบัณฑิต บุคคลนั้นแล เราเรียกว่า ‘คนโง่’. พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท พาลวรรคที่ ๕


118 ความหมายของบทสวดชัยน้อย (นะโมเม) บทสวดพรรณนาชัยชนะของพระพุทธเจ้า เหนือหมู่มารทั้งปวง ทั้งล่วงพ้น อำ�นาจ ท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ และเป็นชัยชนะเหนือเทวดาทุกๆ ชั้น ทั้งเป็น ชัยชนะอมนุษย์ยักษ์ภูติผีปีศาจอาวุธทั้งหลายก็ทำ�อันตรายไม่ได้ทั้งชัยชนะ พญานาคราช ทั้งพระจันทร์พระอาทิตย์พระอินทร์พระพรหม ทั้งลมและไฟ ก็ทำ�อันตรายไม่ได้ ขอเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ ๑๘ พระองค์จงมารักษา ทั้งพระฤาษีพระสาวก พระธรรม พระสงฆ์จงมาอวยพรชัย ขอความสวัสดีมีชัยจงมีแด่ท่าน ด้วยเดช แห่งพระรัตนตรัยในครั้งนั้น มารผู้ชั่วช้าได้พ่ายแพ้ต่อพระรัศมีของพระพุทธเจ้า แล้วพระองค์ทรงตรัสรู้เองโดยชอบ พระพรหม พระอินทร์เทวดาทั้งหลายผู้มีเดชานุภาพมาก ทั้งหมู่พญานาค หมู่พญาครุท ผู้มีศักดายิ่งใหญ่ ต่างชื่นชมชอบใจในชัยชนะของพระพุทธเจ้า ต่อหมู่มาร ณ โพธิบัลลังก์ จึงเป็นชัยชนะที่เป็นอุดมมงคล ทั้งเป็นฤกษ์ดียามดีและขณะดี ที่ได้ ประกาศพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอความ สวัสดีมีชัย จงมีแก่ท่านด้วยเดชแห่งคุณพระรัตนตรัย ขอให้ท่านจงได้รับประโยชน์ และความสุข ทั้งเจริญรุ่งเรืองในพระพุทธ ศาสนา ขอให้มีอายุยืนยาว ปรารถนาสิ่งหนึ่งประการใดขอให้ได้ดั่งใจประสงค์ และปราศจากโรคภัยทั้งหลายทั้งปวง ทั้งห่างไกลความทุกข์ ขอให้ประสบสุข ทั้งกายและใจ เราทั้งหลายจงสวดพระปริตรนั้นเทอญ. หมายเหตุ ๑. ตัวอักษรที่ขีดเส้นสัญญประกาศไว้ข้างใต้คือ ตัว “ธ, บ, อ, น” นั้นเพื่อให้ถูกต้องตามเสียง นิยม ให้อ่านว่า” ธอ, บอ, ออ, นอ” เช่น ธอระณีเป็นต้น ๒. ตัว “ฑ” นั้นให้อ่านเป็นเสียงตัว “ด” เช่น โพธิมณเฑ ให้อ่านว่า โพธิมณเด เป็นต้น ๓. ตัวอักษรที่ไม่มี“สระ” หรือเครื่องหมายอย่างอื่นใดให้ถือว่าเป็นตัวสะกดทั้งหมดเช่น ธัมโม อ่านว่า ธัมโม, หรือ อินโท อ่านเป็น อินโท เป็นต้น


119 บารมี ๓๐ ทัศ (แบบครูบาศรีวิชัย) พระคาถานี้เป็นการนอบน้อมถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึก ที่เคารพ นับถือโดยอ้างถึงบารมี๓๐ ประการ ที่พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ได้ทรงบำ�เพ็ญมา เมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ ผู้ใดได้สวดทุกวัน ผู้นั้นจะพ้นจากภัย อันตรายทั้งปวง ปรารถนาสิ่งใดก็จะสำ�เร็จดังความมุ่งหมาย เป็นที่รักแก่เทวดา และมนุษย์ทั้งปวง เทวดาย่อมให้พรและตามรักษาบุคคลนั้น ผู้ใดได้ประพฤติบารมี ๓๐ ทัศ ให้บังเกิดมีแก่ตนย่อมประสบสมบัติ๓ ประการ คือมนุษย์สมบัติสวรรค์ สมบัตินิพพานสมบัติแม้จะปรารถนาเป็นพุทธภูมิปัจเจกภูมิสาวกภูมิอย่างใด อย่างหนึ่งก็จะสำ�เร็จ ๑. ทานะ ปาระมี สัมปันโน, ทานะ อุปะปาระมี สัมปันโน, ทานะ ปะระมัตถะปาระมี สัมปันโน, เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเบกขา ปาระมี สัมปันโน, อิติปิ โส ภะคะวา. ๒. สีละ ปาระมี สัมปันโน, สีละ อุปะปาระมี สัมปันโน, สีละ ปะระมัตถะ ปาระมี สัมปันโน, เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเบกขา ปาระมี สัมปันโน, อิติปิ โส ภะคะวา. ๓. เนกขัมมะ ปาระมี สัมปันโน, เนกขัมมะ อุปะปาระมี สัมปันโน, เนกขัมมะ ปะระมัตถะปาระมี สัมปันโน, เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเบกขา ปาระมี สัมปันโน, อิติปิ โส ภะคะวา. ๔. ปัญญา ปาระมี สัมปันโน, ปัญญา อุปะปาระมี สัมปันโน, ปัญญา ปะระมัตถะปาระมี สัมปันโน, เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเบกขา ปาระมี สัมปันโน อิติปิ โส ภะคะวา.


120 ๕. วิริยะ ปาระมี สัมปันโน, วิริยะ อุปะปาระมี สัมปันโน, วิริยะ ปะระมัตถะ ปาระมี สัมปันโน, เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเบกขา ปาระมี สัมปันโน, อิติปิ โส ภะคะวา. ๖. ขันติ ปาระมี สัมปันโน, ขันติ อุปะปาระมี สัมปันโน, ขันติ ปะระมัตถะ ปาระมี สัมปันโน, เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเบกขา ปาระมี สัมปันโน, อิติปิ โส ภะคะวา. ๗.สัจจะ ปาระมี สัมปันโน, สัจจะ อุปะปาระมี สัมปันโน, สัจจะ ปะระมัตถะ ปาระมี สัมปันโน, เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเบกขา ปาระมี สัมปันโน, อิติปิ โส ภะคะวา. ๘. อะธิฏฐานะ ปาระมี สัมปันโน, อะธิฏฐานะ อุปะปาระมี สัมปันโน, อะธิฏฐานะ ปะระมัตถะปาระมี สัมปันโน, เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเบกขา ปาระมี สัมปันโน, อิติปิ โส ภะคะวา. ๙. เมตตา ปาระมี สัมปันโน, เมตตา อุปะปาระมี สัมปันโน, เมตตา ปะระมัตถะปาระมี สัมปันโน, เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเบกขา ปาระมี สัมปันโน, อิติปิ โส ภะคะวา. ๑๐. อุเปกขา ปาระมี สัมปันโน, อุเปกขา อุปะปาระมี สัมปันโน, อุเปกขา ปะระมัตถะปาระมี สัมปันโน, เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเบกขา ปาระมี สัมปันโน, อิติปิ โส ภะคะวา. ทะสะ ปาระมี สัมปันโน, ทะสะ อุปะปาระมี สัมปันโน, ทะสะ ปะระมัตถะ ปาระมี สัมปันโน, เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเบกขา ปาระมี สัมปันโน, อิติปิ โส ภะคะวา. (พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ นะมามิหัง.)


121 อธิบายบารมี ๓๐ ทัศ การบำ�เพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ในชาตินั้นๆ บารมีที่บำ�เพ็ญนั้นคือ ทานบารมีศีลบารมีเนกขัมมบารมีปัญญาบารมีวิริยบารมีขันติบารมีสัจจบารมี อธิษฐานบารมีเมตตาบารมีและอุเบกขาบารมีรวมเรียกว่าบารมี๓๐ (๓ x ๑๐) โดยแบ่งเป็นบารมีชั้นธรรมดา ๑๐ (บารมี) ชั้นกลาง ๑๐ (อุปบารมี) และบารมี ชั้นสูง ๑๐ (ปรมัตถบารมี) รวมเป็น บารมี๓๐ ประการ บารมี ๓๐ ทัศ ได้แก่ ๑. ทานบารมี คือ จิตที่พร้อมจะให้ทาน การตั้งจิตสร้างทานบารมีจะสกัด การรวมตัวขึ้นมารับอารมณ์ของอกุศลเจตสิกกลุ่มโลภะได้อย่างชะงัด ๒. ศีลบารมี คือ จิตที่พร้อมในการทรงศีล สำ�รวมทั้งกาย วาจา และใจ จะช่วยตัดโทสะ (โกธะ) ๓. เนกขัมมบารมี คือ จิตที่พร้อมในการถือบวช เป็นการตัดอารมณ์ทาง กามคุณต่างๆ ความใคร่ความอยากทั้งหลาย ๔. ปัญญาบารมี สติและสมาธิในการสร้างปัญญา บารมีใช้เป็นเครื่องประหัต ประหารอวิชชา (ความโง่) ๕. วิริยบารมี คือ มีความเพียรอยู่ในใจเสมอ จะช่วยกำ�จัดเจตสิกกลุ่มถีนะ (หดหู่) และมิทธะ (ความซึมเซา) ๖. ขันติบารมี ทำ�ให้มีความอดทนอดกลั้นต่อสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ ๗. สัจจบารมี ตัดความไม่จริงใจ มีอารมณ์ใจกลับกลอก ทำ�ให้เจตสิกวิจิกิจฉา (ลังเล) ไม่สามารถแสดงผล ๘. อธิษฐานบารมี ตั้งจิตอธิษฐาน ระวังใจไว้ให้ตรง ทรงกำ�ลังไว้อย่างสมบูรณ์ ๙. เมตตาบารมี สร้างสมความดีไม่เป็นศัตรูกับใคร ปรารถนาให้ผู้อื่นมี ความสุข ๑๐. อุเบกขาบารมี การวางเฉย เข้าใจในธรรมชาติและความเป็นไปตาม ธรรมชาติไม่ยินดียินร้าย


122 คาถาโพธิบาท (ป้องกันภัยสิบทิศ) คาถาป้องกันภัย ๑๐ ทิศ หรือ “คาถาโพธิบาทป้องกันภัย ๑๐ ทิศ” เชื่อว่า เป็นคาถาป้องกันภัยที่คนไทยสมัยก่อนนิยมสวด พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต นิยมสวดเวลาออกเดินธุดงค์ก่อนเดินทางเข้าป่า เพื่อป้องกันอันตราย จากสัตว์ป่านานาชนิดและภูตผีปิศาจทั้งหลายได้ถ้าผู้ใดสวดเป็นประจำ�ก็จะอยู่เย็น เป็นสุข ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน และรอดพ้นจากภยันตรายทั้งหลาย มีสิริมงคลเกิดขึ้นกับชีวิตและครอบครัว บางคนก็อาจจะใช้พระคาถาป้องกันภัย ๑๐ ทิศ ในการสะเดาะเคราะห์แล้วตามด้วยอุทิศส่วนกุศลก็ได้เช่นเดียวกัน บูระพารัส๎มิง พระพุทธะคุณัง บูระพารัส๎มิง พระธัมเมตัง บูระพารัส๎มิง พระสังฆานัง ทุกขะโรคะภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข์ สัพพะโศก สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุ เม รักขันตุ สุรักขันตุ. อาคะเนย์รัส๎มิง พระพุทธะคุณัง อาคะเนย์รัส๎มิง พระธัมเมตัง อาคะเนย์รัส๎มิง พระสังฆานัง ทุกขะโรคะภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข์ สัพพะโศก สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุ เม รักขันตุ สุรักขันตุ. ทักษิณรัส๎มิง พระพุทธะคุณัง ทักษิณรัส๎มิง พระธัมเมตัง ทักษิณรัส๎มิง พระสังฆานัง ทุกขะโรคะภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข์ สัพพะโศก สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุ เม รักขันตุ สุรักขันตุ. หรดีรัส๎มิง พระพุทธะคุณัง หรดีรัส๎มิง พระธัมเมตัง หรดีรัส๎มิง พระสังฆานัง ทุกขะโรคะภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข์ สัพพะโศก สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุ เม รักขันตุ สุรักขันตุ.


123 ปัจจิมรัส๎มิง พระพุทธะคุณัง ปัจจิมรัส๎มิง พระธัมเมตัง ปัจจิมรัส๎มิง พระสังฆานัง ทุกขะโรคะภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข์ สัพพะโศก สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุ เม รักขันตุ สุรักขันตุ. พายัพรัส๎มิง พระพุทธะคุณัง พายัพรัส๎มิง พระธัมเมตัง พายัพรัส๎มิง พระสังฆานัง ทุกขะโรคะภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข์ สัพพะโศก สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุ เม รักขันตุ สุรักขันตุ. อุดรรัส๎มิง พระพุทธะคุณัง อุดรรัส๎มิง พระธัมเมตัง อุดรรัส๎มิง พระสังฆานัง ทุกขะโรคะภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข์ สัพพะโศก สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุ เม รักขันตุ สุรักขันตุ. อิสานรัส๎มิง พระพุทธะคุณัง อิสานรัส๎มิง พระธัมเมตัง อิสานรัส๎มิง พระสังฆานัง ทุกขะโรคะภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข์ สัพพะโศก สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุ เม รักขันตุ สุรักขันตุ. อากาศรัส๎มิง พระพุทธะคุณัง อากาศรัส๎มิง พระธัมเมตัง อากาศรัส๎มิง พระสังฆานัง ทุกขะโรคะภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข์ สัพพะโศก สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุ เม รักขันตุ สุรักขันตุ. ปฐวีรัส๎มิง พระพุทธะคุณัง ปฐวีรัส๎มิง พระธัมเมตัง ปฐวีรัส๎มิง พระสังฆานัง ทุกขะโรคะภะยัง วิวัญชัยเย สัพพะทุกข์ สัพพะโศก สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์ เสนียดจัญไร วิวัญชัยเย สัพพะธะนัง สัพพะลาภัง ภะวันตุ เม รักขันตุ สุรักขันตุ.


124 พระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก พระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก ประวัติต้นฉบับเดิมกล่าวว่า หนังสือ ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกนี้ มีคำ�กล่าวไว้ในหนังสือนำ�ว่าเป็นพุทธมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ ถ้าผู้ใดได้สวดมนต์ภาวนาทุกเช้าค่ำ�แล้ว เป็นการบูชารำ�ลึกถึงพระพุทธเจ้า ผู้นั้น จะไม่ไปตกอบายภูมิแม้ได้บูชาไว้กับบ้านเรือน ก็ป้องกันอันตรายต่างๆจะภาวนา พระคาถาอื่น ๆสัก ๑๐๐ ปีอานิสงส์ก็ไม่สูงเท่าภาวนาพระคาถานี้ครั้งหนึ่งถึงแม้ว่า อินทร์พรหม ยม ยักษ์ที่มีอิทธิฤทธิ์จะเนรมิตแผ่นอิฐเป็นทองคำ�ก่อเป็นพระเจดีย์ ตั้งแต่มนุษย์โลกสูงขึ้นไปจนถึงพรหมโลกอานิสงส์ก็ยังไม่เท่าภาวนายอดพระกัณฑ์ ไตรปิฎกนี้และมีคำ�อธิบายคุณความดีไว้ในต้นฉบับเดิมนั้นอีกนานับปการ ฯ พระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกกล่าวถึงอำ�นาจสมาธิญาณของพระพุทธองค์ เป็นไปในธาตุในจักรวาลในเทวโลกหรือในกามาวจรภูมิรูปาวจรภูมิอรูปาวจรภูมิ และในโลกุตรภูมิอันเป็นบ่อเกิดแห่งรูปฌาน อรูปฌาน อภิญญา เป็นการเจริญ วิปัสสนา อันเป็นบ่อเกิดแห่งมรรคผลนิพพาน เป็นการหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงฯ สาธยาย หัวใจพระวินัยปิฎก หัวใจพระสุตตันตปิฎก หัวใจพระอภิธรรมปิฎก และ เป็นหัวใจพระเจ้า ๕๐๐ ชาติพระเจ้า ๑๐ ชาติและหัวใจ อิติปิโส ตลอดทั้งหัวใจ อื่น ๆ อีกเป็นจำ�นวนมาก เมื่อสวดภาวนาแล้ว ย่อมบังเกิด มหาเตชัง มีเดชมาก มหานุภาวัง มีอานุภาพมากและมีลาภ ยศสุขสรรเสริญ ปราศจากทุกข์โศกโรคภัย อุปัทวันตราย และความพินาศทั้งปวง ตลอดทั้งหมู่มารร้ายและศัตรูคู่อาฆาต ไม่อาจแผ้วพานได้ พระคาถายอดพระกัณฑ์พระไตรปิฏก ขอให้ตั้งจิตมั่นในบทสวดมนต์จะมี เทพยดาอารักษ์ทั้งหลายร่วมอนุโมทนาสาธุการโบราณท่านว่า ผู้ใดได้พบ ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกนี้แล้ว ท่านว่า เป็นบุญอันประเสริฐนัก เมื่อพบแล้วให้ พยายามสวดภาวนาอยู่เป็นนิตย์ตราบเท่าชีวิต จนทำ�ลายขันธ์จากมนุษย์โลก แล้วก็จะไปยังเกิดในสัมปรายภพสวรรค์สุคติภพด้วยพระอานิสงส์เป็นแน่แท้


125 ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก ๑. อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง วะตะ โส ภะคะวา. อิติปิ โส ภะคะวา สัมมาสัมพุทโธ วะตะ โส ภะคะวา. อิติปิ โส ภะคะวา วิชชาจะระณะสัมปันโน วะตะ โส ภะคะวา. อิติปิ โส ภะคะวา สุคะโต วะตะ โส ภะคะวา. อิติปิ โส ภะคะวา โลกะวิทู วะตะ โส ภะคะวา. อะระหันตัง สะระณัง คัจฉามิ. อะระหันตัง สิระสา นะมามิ. สัมมาสัมพุทธัง สะระณัง คัจฉามิ. สัมมาสัมพุทธัง สิระสา นะมามิ. วิชชาจะระณะสัมปันนัง สะระณัง คัจฉามิ. วิชชาจะระณะสัมปันนัง สิระสา นะมามิ. สุคะตัง สะระณัง คัจฉามิ. สุคะตัง สิระสา นะมามิ. โลกะวิทุง สะระณัง คัจฉามิ. โลกะวิทุง สิระสา นะมามิ. ๒. อิติปิ โส ภะคะวา อะนุตตะโร วะตะ โส ภะคะวา. อิติปิ โส ภะคะวา ปุริสะทัมมะสาระถิ วะตะ โส ภะคะวา. อิติปิ โส ภะคะวา สัตถา เทวะมะนุสสานัง วะตะ โส ภะคะวา. อิติปิ โส ภะคะวา พุทโธ วะตะ โส ภะคะวา. อะนุตตะรัง สะระณัง คัจฉามิ. อะนุตตะรัง สิระสา นะมามิ. ปุริสะทัมมะสาระถิง สะระณัง คัจฉามิ. ปุริสะทัมมะสาระถิง สิระสา นะมามิ.


126 สัตถา เทวะมะนุสสานัง สะระณัง คัจฉามิ. สัตถา เทวะมะนุสสานัง สิระสา นะมามิ. พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ. พุทธัง สิระสา นะมามิ. อิติปิ โส ภะคะวา. ๓.อิติปิ โส ภะคะวา รูปะขันโธ อะนิจจะลักขะณะปาระมี จะ สัมปันโน. อิติปิ โส ภะคะวา เวทะนาขันโธ อะนิจจะลักขะณะปาระมี จะ สัมปันโน. อิติปิ โส ภะคะวา สัญญาขันโธ อะนิจจะลักขะณะปาระมี จะ สัมปันโน. อิติปิ โส ภะคะวา สังขาระขันโธ อะนิจจะลักขะณะปาระมี จะ สัมปันโน. อิติปิ โส ภะคะวา วิญญาณะขันโธ อะนิจจะลักขะณะปาระมี จะ สัมปันโน. ๔.อิติปิ โส ภะคะวา ปะฐะวีธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน. อิติปิ โส ภะคะวา อาโปธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน. อิติปิ โส ภะคะวา เตโชธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน. อิติปิ โส ภะคะวา วาโยธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน. อิติปิ โส ภะคะวา อากาสะธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน. อิติปิ โส ภะคะวา วิญญาณะธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน. อิติปิ โส ภะคะวา จักกะวาฬะธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน. ๕.อิติปิ โส ภะคะวา จาตุมมะหาราชิกาธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน. อิติปิ โส ภะคะวา ตาวะติงสาธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน. อิติปิ โส ภะคะวา ยามาธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน. อิติปิ โส ภะคะวา ตุสิตาธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน. อิติปิ โส ภะคะวา นิมมานะระตีธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน. อิติปิ โส ภะคะวา ปะระนิมมิตะวะสะวัตตีธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน. อิติปิ โส ภะคะวา กามาวะจะระธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน. อิติปิ โส ภะคะวา รูปาวะจะระธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน.


127 อิติปิ โส ภะคะวา อะรูปาวะจะระธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน. อิติปิ โส ภะคะวา โลกุตตะระธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน. ๖. อิติปิ โส ภะคะวา ปะฐะมะฌานะธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน. อิติปิ โส ภะคะวา ทุติยะฌานะธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน. อิติปิ โส ภะคะวา ตะติยะฌานะธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน. อิติปิ โส ภะคะวา จะตุตถะฌานะธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน. อิติปิ โส ภะคะวา ปัญจะมะฌานะธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน. ๗. อิติปิ โส ภะคะวา อากาสานัญจายะตะนะธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน. อิติปิ โส ภะคะวา วิญญาณัญจายะตะนะธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน. อิติปิ โส ภะคะวา อากิญจัญญายะตะนะธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน. อิติปิ โส ภะคะวา เนวะสัญญานาสัญญายะตะนะธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน. ๘. อิติปิ โส ภะคะวา โสตาปัตติมัคคะธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน. อิติปิ โส ภะคะวา สะกิทาคามิมัคคะธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน. อิติปิ โส ภะคะวา อะนาคามิมัคคะธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน. อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัตตะมัคคะธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน. อิติปิ โส ภะคะวา โสตาปัตติผะละธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน. อิติปิ โส ภะคะวา สะกิทาคามิผะละธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน. อิติปิ โส ภะคะวา อะนาคามิผะละธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน. อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัตตะผะละธาตุ สะมาธิญาณะสัมปันโน. ๙.กุสะลา ธัมมา อิติปิ โส ภะคะวา อะอา ยาวะชีวัง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ชัมพูทีปัญจะอิสสะโร กุสะลา ธัมมา นะโม พุทธายะ นะโม ธัมมายะ นะโม สังฆายะ ปัญจะ พุทธา นะมามิหัง อาปามะจุปะ ทีมะสังอังขุ สังวิธาปุกะยะปะ อุปะสะชะสะเห ปาสายะโส


128 โสโสสะสะอะอะอะอะนิ, เตชะสุเนมะภูจะนาวิเว, อะสัมวิสุโลปุสะพุภะ, อิส๎วาสุ, สุส๎วาอิ, กุสะลา ธัมมา จิตติ วิอัตถิ. อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง อะอา ยาวะชีวัง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ สา โพธิ ปัญจะ อิสสะโร ธัมมา. กุสะลา ธัมมา นันทะวิวังโก อิติ สัมมาสัมพุทโธ สุคะลาโน ยาวะชีวัง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ. ๑๐. จาตุมมะหาราชิกา อิสสะโร กุสะลา ธัมมา อิติ วิชชาจะระณะสัมปันโน อุอุ ยาวะชีวัง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ. ตาวะติงสา อิสสะโร กุสะลา ธัมมา นันทะปัญจะ สุคะโต โลกะวิทู มะหาเอโอ ยาวะชีวัง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ. ยามา อิสสะโร กุสะลา ธัมมา พ๎รัห๎มะสัททะ ปัญจะสัตตะ สัตตาปาระมี อะนุตตะโร ยะมะกะขะ ยาวะชีวัง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ. ตุสิตา อิสสะโร กุสะลา ธัมมา ปุยะปะกะ ปุริสะทัมมะสาระถิ ยาวะชีวัง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ. นิมมานะระตี อิสสะโร กุสะลา ธัมมา เหตุโปวะ สัตถา เทวะมะนุสสานัง ตะถา ยาวะชีวัง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ. ปะระนิมมิตะวะสะวัตตี อิสสะโร กุสะลา ธัมมา สังขาระขันโธ อะนิจจัง ทุกขัง อะนัตตา รูปะขันโธ พุทธะปะผะ ยาวะชีวัง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ. พ๎รัห๎มา อิสสะโร กุสะลา ธัมมา นัตถิปัจจะยา วินะปัญจะ ภะคะวะตา ยาวะนิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ. ๑๑. นะโม พุทธัสสะ นะโม ธัมมัสสะ นะโม สังฆัสสะ พุทธิลาโภ กะลา กะระกะนา เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหนตุ หุลู หุลู หุลู สะวาหายะ. นะโม พุทธัสสะ นะโม ธัมมัสสะ นะโม สังฆัสสะ วิตติ วิตติ วิตติ มิตติ มิตติ มิตติ จิตติ จิตติ วัตติ วัตติ มะยะสุ สุวัตถิ โหนตุ หุลู หุลู หุลู ส๎วาหายะ.


129 อินทะสาวัง มะหาอินทะสาวัง พ๎รัห๎มะสาวัง มะหาพ๎รัห๎มะสาวัง จักกะ วัตติสาวัง มะหาจักกะวัตติสาวัง เทวาสาวัง มะหาเทวาสาวัง อิสิสาวัง มะหา อิสิสาวัง มุนิสาวัง มะหามุนิสาวัง สัปปุริสะสาวัง มะหาสัปปุริสะสาวัง พุทธะ สาวัง ปัจเจกะพุทธะสาวัง อะระหัตตะสาวัง สัพพะสิทธิ วิชชาธาระณะสาวัง สัพพะโลกา อิริยานังสาวัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหนตุ. สาวัง คุณัง วะชะพะลัง เตชัง วิริยัง สิทธิกัมมัง ธัมมัง สัจจัง นิพพานัง โมกขัง คุยหะกัง ทานัง สีลัง ปัญญานิกขัง ปุญญัง ภาคะยัง ยะสัง ตัปปัง สุขัง สิริรูปัง จะตุวีสะติ เทสะนัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหนตุ หุลู หุลู หุลู สะวาหายะ. ๑๒. นะโม พุทธัสสะ อะนิจจัง ทุกขัง อะนัตตา รูปะขันโธ เวทะนาขันโธ สัญญาขันโธ สังขาระขันโธ วิญญาณะขันโธ นะโม อิติปิ โส ภะคะวา. นะโม ธัมมัสสะ อะนิจจัง ทุกขัง อะนัตตา รูปะขันโธ เวทะนาขันโธ สัญญาขันโธ สังขาระขันโธ วิญญาณะขันโธ นะโม ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม. นะโม สังฆัสสะ อะนิจจัง ทุกขัง อะนัตตา รูปะขันโธ เวทะนาขันโธ สัญญาขันโธ สังขาระขันโธ วิญญาณะขันโธ นะโม สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ วาหะปะริตตัง. นะโม พุทธายะ มะอะอุ อะนิจจัง ทุกขัง อะนัตตา ยาวะ ตัสสะ หาโย โมนะ อุอะมะ ทุกขัง อะนิจจัง อะนัตตา อุอะมะอะวันทา นะโม พุทธายะ นะอะกะติ นิสะระณะ อาระปะขุทธัง มะอะอุ อะนิจจัง ทุกขัง อะนัตตา


130 กรวดน้ำ (ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก) อิมินา ปุญญะกัมเมนะ ด้วยเดชะผลบุญแห่งข้าพเจ้า (ชื่อผู้สวด) ได้สวด ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกนี้ขออุทิศถวายกุศลแด่คุณพระศรีรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์และถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระมหากษัตริย์ทุกๆ พระองค์ และอุทิศส่วนกุศลให้แก่ บิดา มารดา ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ญาติสนิท มิตรสหาย ผู้มีพระคุณ และเทพเทวดาทั้ง ๑๖ ชั้นฟ้า ๑๕ ชั้นดิน เบื้องบนตั้งแต่ชั้นจาตุมหา ราชิกาจนถึงที่สุดพรหมา เบื้องล่างตั้งแต่อเวจีขึ้นมาจนถึงมนุษยโลก โดยรอบ สุดขอบจักรวาล อนันตจักรวาล ท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ สิริคุตอำ�มาตย์ ตลอดทั้ง อินทร์ พรหม ยม ยักษ์คนธรรพ์ นาคา พระพิรุณ พญายมราช นายนิรยบาล เจ้ากรุงพาลีแม่พระธรณีแม่พระคงคา แม่โพสพ พระเพลิง พระพาย พระภูมิ เจ้าที่ เพื่อนสาราสัตว์น้อยใหญ่ เจ้ากรรมนายเวร ท่านทั้งหลายที่ได้ทุกข์ ขอให้ พ้นจากทุกข์ท่านทั้งหลายที่ได้สุข ขอให้ได้สุขยิ่งๆ ขึ้นไป ด้วยเดชะผลบุญแห่งข้าพเจ้าอุทิศให้ไปนี้ จงเป็นอุปนิสัยปัจจัยให้ถึง พระนิพพานในปัจจุบันและอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ พุทธัง อะนันตัง ธัมมัง จักกะวาฬัง สังฆัง นิพพานะปัจจะโย โหตุ ฯ ทกฺขํ คหปตํ สาธุ สํวิภชฺชญฺจ โภชนํ อหาโส อตฺถลาเภสุ อตฺถพฺยาปตฺติ อพฺยโถ ผู้ครองเรือนขยัน ดีข้อหนึ่ง มีโภคทรัพย์แล้วแบ่งปันดีข้อสอง ถึงทีได้ผลสมหมาย ไม่มัวเมา ดีข้อสาม ถึงคราวสูญเสียประโยชน์ไม่หมดกำลังใจ ดีข้อสี่ พระไตรปิฏก เล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฏก ขุททกนิกาย ชาดก


131 พระคาถาชินบัญชร พระคาถาชินบัญชร เป็นคาถาที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก โดยเป็นการอัญเชิญพระ พุทธานุภาพแห่งพระบรมศาสดา สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้า ที่ได้เคยมาตรัสรู้ก่อน จากนั้นเป็นการอัญเชิญพระอรหันต์ขีณาสพ อันสำ�เร็จ คุณธรรมวิเศษ นอกจากนั้นยังได้อัญเชิญพระสูตรต่างๆ อันโบราณาจารย์เจ้า ถือว่าเป็นพระพุทธมนต์อันวิเศษแต่ละพระสูตรมารวมกัน สอดคล้องเป็นกำ�แพง แก้วคุ้มกัน ตั้งแต่กระหม่อมจอมขวัญของผู้ภาวนาพระคาถาลงมาจนล้อมรอบตัว จนกระทั่งหาช่องโหว่ให้อันตรายสอดแทรกเข้ามามิได้ผู้ใดได้สวดภาวนาพระคาถา ชินบัญชรนี้เป็นประจำ� จะทำ�ให้เกิดสิริมงคล สมบูรณ์พูนผล เหล่าศัตรูหมู่มาร ไม่กล้ากลํ้ากราย ไปทางใดย่อมเกิดเมตตามหานิยม เกิดลาภผลพูนทวีขจัดภัย จากภูตผีปีศาจตลอดจนคุณไสยต่างๆก่อนสวดพระคาถาให้ตั้งจิตให้เป็นสมาธิแล้ว ระลึกถึง สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสีแล้วตั้งนะโม ๓ จบ ปุตตะกาโม ละเภ ปุตตัง ธะนะกาโม ละเภ ธะนัง อัตถิ กาเย กายะญายะ เทวานัง ปยะตัง สุต๎วา อิติปิ โส ภะคะวา ยะมะราชาโน ท้าวเวสสุวัณโณ มะระณัง สุขัง อะระหัง สุคะโต นะโมพุทธายะ. ชินบัญชรคาถา ๑. ชะยาสะนาคะตา พุทธา เชต๎วา มารัง สะวาหะนัง จะตุสัจจาสะภัง ระสัง เย ปิวิงสุ นะราสะภา ๒. ตัณหังกะราทะโย พุทธา อัฏฐะวีสะติ นายะกา สัพเพ ปะติฏฐิตา มัยหัง มัตถะเก เต มุนิสสะรา ๓. สีเส ปะติฏฐิโต มัยหัง พุทโธ ธัมโม ทะวิโลจะเน สังโฆ ปะติฏฐิโต มัยหัง อุเร สัพพะคุณากะโร


132 ๔. หะทะเย เม อะนุรุทโธ สารีปุตโต จะ ทักขิเณ โกณฑัญโญ ปิฏฐิภาคัส๎มิง โมคคัลลาโน จะ วามะเก ๕. ทักขิเณ สะวะเน มัยหัง อาสุง อานันทะราหุโล กัสสะโป จะ มะหานาโม อุภาสุง วามะโสตะเก ๖. เกสะโต ปิฏฐิภาคัส๎มิง สุริโยวะ ปะภังกะโร นิสินโน สิริสัมปันโน โสภิโต มุนิปุงคะโว ๗. กุมาระกัสสะโป เถโร มะเหสี จิตตะวาทะโก โส มัยหัง วะทะเน นิจจัง ปะติฏฐาสิ คุณากะโร ๘. ปุณโณ อังคุลิมาโล จะ อุปาลี นันทะสีวะลี เถรา ปัญจะ อิเม ชาตา นะลาเต ติละกา มะมะ ๙. เสสาสีติ มะหาเถรา วิชิตา ชินะสาวะกา เอเตสีติ มะหาเถรา ชิตะวันโต ชิโนระสา ชะลันตา สีละเตเชนะ อังคะมังเคสุ สัณฐิตา ๑๐. ระตะนัง ปุระโต อาสิ ทักขิเณ เมตตะสุตตะกัง ธะชัคคัง ปัจฉะโต อาสิ วาเม อังคุลิมาละกัง ๑๑. ขันธะโมระปะริตตัญจะ อาฏานาฏิยะ สุตตะกัง อากาเส ฉะทะนัง อาสิ เสสา ปาการะสัณฐิตา ๑๒. ชินา นานา วะระสังยุตตา สัตตัปปาการะลังกะตา วาตะปิตตา ทิสัญชาตา พาหิรัชฌัตตุปัททะวา ๑๓. อะเสสา วินะยัง ยันตุ อะนันตะชินะเตชะสา วะสะโต เม สะกิจเจนะ สะทา สัมพุทธะปัญชะเร ๑๔. ชินะปัญชะระมัชฌัมหิ วิหะรันตัง มะหิตะเล สะทา ปาเลนตุ มัง สัพเพ เต มะหาปุริสาสะภา ๑๕. อิจเจวะมันโต สุคุตโต สุรักโข ชินานุภาเวนะ ชิตุปัททะโว ธัมมานุภาเวนะ ชิตาริสังโฆ สังฆานุภาเวนะ ชิตันตะราโย สัทธัมมานุภาวะปาลิโต จะรามิ ชินะปัญชะเรติ.


133 ชินบัญชรคาถา (แปล) ๑. พระพุทธเจ้าและพระนราสภาทั้งหลาย ผู้ประทับนั่งแล้วบนชัยบัลลังก์ ทรงพิชิตพระยามาราธิราชผู้พรั่งพร้อมด้วยเสนาราชพาหนะแล้ว เสวยอมตรสคือ อริยะสัจธรรมทั้งสี่ประการ เป็นผู้นำ�สรรพสัตว์ให้ข้ามพ้นจากกิเลสและกองทุกข์ ๒. มี๒๘ พระองค์คือ พระผู้ทรงพระนามว่า ตัณหังกรเป็นต้น พระพุทธเจ้า ผู้จอมมุนีทั้งหมดนั้น ๓. ข้าพระพุทธเจ้าขออัญเชิญมาประดิษฐานเหนือเศียรเกล้า องค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประดิษฐานอยู่บนศีรษะ พระธรรมอยู่ที่ดวงตาทั้งสอง พระสงฆ์ผู้เป็นอากรบ่อเกิดแห่งสรรพคุณอยู่ที่อก ๔. พระอนุรุทธะอยู่ที่ใจ พระสารีบุตรอยู่เบื้องขวา พระโมคคัลลาน์อยู่เบื้องซ้าย พระอัญญาโกณทัญญะอยู่เบื้องหลัง ๕. พระอานนท์กับพระราหุลอยู่หูขวา พระกัสสะปะกับพระมหานามะอยู่ที่หูซ้าย ๖. มุนีผู้ประเสริฐคือ พระโสภิตะผู้สมบูรณ์ด้วยสิริดังพระอาทิตย์ส่องแสงอยู่ ที่ทุกเส้นขน ตลอดร่างทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ๗. พระเถระกุมาระกัสสะปะผู้แสวงบุญทรงคุณอันวิเศษ มีวาทะอันวิจิตร ไพเราะอยู่ปากเป็นประจำ� ๘. พระปุณณะ พระองคุลิมาล พระอุบาลี พระนันทะ และพระสีวะลี พระเถระทั้ง ๕ นี้จงปรากฏเกิดเป็นกระแจะจุณเจิมที่หน้าผาก ๙. ส่วนพระอสีติมหาเถระที่เหลือผู้มีชัยและเป็นพระโอรสเป็นพระสาวกของ พระพุทธเจ้าผู้ทรงชัย แต่ละองค์ล้วน รุ่งเรืองไพโรจน์ด้วยเดชแห่งศีลให้ดำ�รงอยู่ ทั่วอวัยวะน้อยใหญ่ ๑๐. พระรัตนสูตรอยู่เบื้องหน้า พระเมตตาสูตรอยู่เบื้องขวา พระองคุลิมาล ปริตรอยู่เบื้องซ้าย พระธชัคคะสูตรอยู่เบื้องหลัง ๑๑. พระขันธปริตร พระโมรปริตร และพระอาฏานาฏิยสูตร เป็นเครื่องกาง กั้นดุจหลังคาอยู่บนนภากาศ


134 ๑๒. อนึ่งพระชินเจ้าทั้งหลาย นอกจากที่ได้กล่าวมาแล้วนี้ ผู้ประกอบพร้อม ด้วยกำ�ลังนานาชนิด มีศีลาทิคุณอันมั่นคง สัตตะปราการเป็นอาภรณ์มาตั้งล้อม เป็นกำ�แพงคุ้มครองเจ็ดชั้น ๑๓. ด้วยเดชานุภาพแห่งพระอนันตชินเจ้าไม่ว่าจะทำ�กิจการใดๆ เมื่อข้า พระพุทธเจ้าเข้าอาศัยอยู่ในพระบัญชรแวดวงกรงล้อม แห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอโรคอุปัทวะทุกข์ทั้งภายนอกและภายใน อันเกิดแต่โรคร้าย คือ โรคลมและ โรคดีเป็นต้น เป็นสมุฏฐานจงกำ�จัดให้พินาศไปอย่าได้เหลือ ๑๔. ขอพระมหาบุรุษผู้ทรงพระคุณอันล้ำ�เลิศทั้งปวงนั้น จงอภิบาลข้า พระพุทธเจ้า ผู้อยู่ในภาคพื้น ท่ามกลางพระชินบัญชร ข้าพระพุทธเจ้าได้รับการ คุ้มครองปกปักรักษาภายในเป็นอันดีฉะนี้แล ๑๕. ข้าพระพุทธเจ้าได้รับการอภิบาลด้วยคุณานุภาพแห่งสัทธรรม จึงชนะ เสียได้ซึ่งอุปัทวันตรายใดๆ ด้วยอานุภาพแห่งพระชินะพุทธเจ้า ชนะข้าศึกศัตรู ด้วยอานุภาพแห่งพระธรรม ชนะอันตรายทั้งปวงด้วยอานุภาพแห่งพระสงฆ์ ขอข้าพระพุทธเจ้าจงได้ปฏิบัติและรักษาดำ�เนินไปโดยสวัสดีเป็นนิจนิรันดรเทอญฯ. กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ กิจฺฉํ มจฺจาน ชีวิตํ กิจฺฉํ สทฺธมฺมสฺสวนํ กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปโทฯ การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็นับว่ายาก การดำ รงชีวิตอยู่ของเหล่าสัตว์ก็นับว่ายาก การที่จะได้ฟังสัทธรรมก็นับว่ายาก การที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายจะเสด็จอุบัติขึ้นก็ยิ่งยากฯ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย เอรกปัตตนาคราชวัตถุ


135 อานิสงส์การสวดพระคาถามหาจักรพรรดิ บทนี้เป็นการสวดไหว้พระพุทธเจ้าทั่วทั้งพระนิพพาน ตลอดจนถึงพระ ธรรมเจ้า พระโพธิสัตว์เจ้า พระอริยสงฆ์และสาวกทั้งมวลรวมถึงน้อมนำ�กำ�ลังของ เทพพรหม และพระอริยเจ้าทั้งหลาย โดยการสวดแต่ละครั้ง เป็นการดึงกำ�ลังของ พระเจ้าจักรพรรดิทุกๆ พระองค์ รวมถึงกำ�ลังของพระมหาโพธิสัตว์เจ้าอาราธนา รวมเข้าที่กายและจิตของเรา การสวดครั้งหนึ่งมีอานิสงส์แผ่ไปทั้งสามแดนโลกธาตุ สามารถแผ่บุญไปยังทุกสรรพสัตว์ ตลอดจนเทวดาประจำ�ตัวของเรา ญาติมิตร เพื่อนฝูงครอบครัว เจ้ากรรมนายเวร และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเกี่ยวพัน บทนี้เป็นการสร้างกำ�แพงแก้วคุ้มกันตัว รวมถึงอาราธนาบารมีครูบาอาจารย์ และเป็นการอัญเชิญพระรัตนตรัยเข้าตัวเพื่อป้องกันภัย อานิสงส์แก่ผู้สวดมี ทั้งมหาบุญ มหาลาภ เนื่องจากมีการกล่าวถึงพระสีวลี บทนี้มีพลังงานอย่างยิ่งในการเจริญพระกรรมฐาน หากนำ�ไปสวดบริกรรม ก่อน หรือระหว่างนั่งกรรมฐาน จะทำ�ให้การภาวนามีพุทธานุภาพเกิดเป็นวิมาน ทิพย์มาคลุมกายและจิตเรา (ครอบวิมานให้ตัวเองหรือสวดอธิษฐานครอบคนอื่น ก็ได้) เรื่องราวใดๆ ที่ติดข้องใจ หากสวดบทนี้สามารถอธิษฐานเรื่องราวใดๆ ที่ติด ข้องใจให้ผ่านพ้นไปได้อย่างทะลุปรุโปร่ง (แต่ต้องไม่เกินกรรมที่เคยทำ�มา) สรุปได้ว่าหากสวดพระคาถาจักรพรรดิของหลวงปู่ดู่นี้ จะก่อให้เกิดกำ�ลัง จักรพรรดิขึ้นรอบตัวเรา (พลังงานที่ดี) และในขณะสวดกายทิพย์เราจะทรง เครื่องจักรพรรดิ


136 พระคาถามหาจักรพรรดิ เคล็ดการปรับภพภูมิให้เจ้ากรรมนายเวร สวดแล้วชีวิตเปลี่ยน เรื่องร้ายกลายเป็นดี พระคาถามหาจักรพรรดิเป็นบทสวดที่น้อมกาย วาจา และใจ ถวายความ นอบน้อมแด่พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ทั้งในอดีตชาติปัจจุบัน และอนาคตตลอด ถึงพระธรรม พระโพธิสัตว์ พระอริยสงฆ์ทั้งหมดทั้งมวล รวมถึงน้อมนำ�กำ�ลัง ของเทวดา พระพรหม พระอริยเจ้า พระเจ้าจักรพรรดิทุกๆ พระองค์พระโพธิสัตว์ ทุกพระองค์ตั้งแต่อดีตชาติ ปัจจุบันชาติและอนาคตมารวมเข้าไว้ที่กายที่ใจ เพื่อป้องกันภัย เป็นบทสวดรวมพุทธคุณครอบจักรวาลมีอานุภาพมาก เป็นพระคาถา ศักดิ์สิทธิ์มาก สามารถช่วยให้เรื่องร้ายกลับกลายเป็นดีสามารถช่วยให้โชคชะตา และชีวิตเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ช่วยปรับภพภูมิวิญญาณเจ้ากรรมนายเวร เป็นพระ คาถาที่มีพลังครอบจักรวาล เมื่อปฏิบัติธรรมจะให้เกิดผลสำ�เร็จเร็วขึ้น เป็นการ เพิ่มบุญให้กับตนเอง ถ้าต้องการสวดเพื่อปรับภพภูมิแก่ดวงวิญญาณ ณ สถานที่ใดให้กำ�หนดจิต น้อมนึกถึงหลวงปู่ดู่แล้วจึงสวดพระคาถามหาจักรพรรดิน้อมจิตแผ่ออกไป จะช่วย ส่งดวงวิญญาณ ณ บริเวณนั้นให้มีภพภูมิที่สูงขึ้น หากต้องการช่วยเหลือคนที่หวัง ดีให้ได้ดีหรือต้องการให้ศัตรูกลับกลายเป็นมิตรให้กำ�หนดจิตสวดพระคาถานี้แผ่ ไปถึงเขา ขอให้เขามีจิตคลายความโกรธ ตั้งอยู่ในพรหมวิหารธรรม คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ก็จะสัมฤทธิ์ผลได้ดังปรารถนา พระคาถามหาจักรพรรดิ เป็นพระคาถาที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก “ชมพู ปติสูตร” ในตอนที่พระพุทธเจ้าได้เนรมิตพระองค์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิเพื่อ ปราบทิฏฐิพระยาชมภูบดี พระมหากษัตริย์ผู้มากด้วยอิทธิฤทธิ์ผู้ที่เรียบเรียง คาถานี้ขึ้นมาคือ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ แห่งวัดสระแก อำ�เภออุทัย จังหวัด พระนครศรีอยุธยา


137 ท่านเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรใบบุญที่แผ่กิ่งก้านให้แก่ศิษยานุศิษย์โดยไม่เลือก ชั้นวรรณะ พระคาถานี้เป็นพระคาถาหลัก ที่หลวงปู่ดู่ใช้รวมบารมีแผ่เมตตา ช่วยเหลือภพภูมิทั้งหลายทั่วทั้งสามแดนโลกธาตุ ในการอธิษฐานจิตปลุกเสก พระเครื่องทุกชนิดของท่านโดยท่านได้ถ่ายทอดความรู้ทั้งหลายรวมทั้งพระคาถา มหาจักรพรรดินี้ให้แก่พระอาจารย์วรงคต วิริยธโร (หลวงตาม้า)แห่งวัดถ้ำ�เมืองนะ อำ�เภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อช่วยทำ�หน้าที่ เพื่อความร่มเย็นเป็นสุข แก่มวลมนุษย์ทุกหมู่เหล่า และดวงวิญญาณทุกภพทุกชาติสืบต่อไป คำอธิษฐานก่อนสวด ข้าพเจ้าขอตั้งสัจจะอธิษฐาน ด้วยสัจจะอธิษฐานที่ข้าพเจ้าได้เคยสร้างบารมี มาตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และผลแห่งบุญที่จะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งหมดทั้งมวลไม่ว่า จะเป็นทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา รวมเป็นทศบารมี ด้วยสัจจะอธิษฐานนี้ ข้าพเจ้าขอกราบอาราธนาบารมีกำ�ลัง สมเด็จองค์ปฐมถึงองค์ปัจจุบัน บรมมหาจักรพรรดิทุกๆ พระองค์บารมีรวมพระ ปัจเจกพระโพธิสัตว์พระธรรม และพระอริยสงฆ์ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ทุกๆ พระองค์บารมีรวมเทพเทวดา ๖ ชั้นฟ้าทุกๆ พระองค์ พรหม ๒๐ ชั้นพรหม ทุกๆ พระองค์บารมีรวมถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในถ้ำ�เมืองนะทั้งหมดทั้งมวลโดยมีบารมี รวมหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ หลวงตาม้า วิริยธโร เป็นที่สุด ขอให้หลวงปู่ดู่ และหลวงตาม้า ช่วยแผ่บุญทั้งหมดทั้งมวลนี้ออกไปทั่ว ทั้งสามแดนโลกธาตุ แผ่ออกไปยังรูปลักษณ์ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าได้เคยสร้างขึ้นมา ตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติแผ่ไปยังบิดา มารดา ญาติพี่น้องของข้าพเจ้า ทุกๆ คน แผ่ไปยังเทพ พรหม เทวา เทวดาทุกๆ พระองค์ พระองค์ที่เกี่ยวข้อง กับข้าพเจ้า ตั้งแต่อดีตชาติปัจจุบัน และอนาคตทุกๆ พระองค์ แผ่ไปยังบุคคล ทุกคนที่มีพระคุณต่อข้าพเจ้า แผ่ไปยังบุคคลทุกคนที่เกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับปัญหา ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้า แผ่ไปยังเจ้ากรรมนายเวรที่เกี่ยวข้องกับข้าพเจ้า


138 ทั้งหมดแผ่ไปยังสัมมาอาชีพที่เกี่ยวข้องกับข้าพเจ้าทั้งหมดแผ่ไปยังภพภูมิทั้งหมด แผ่ไปยังบุคคลและวิญญาณทั้งหมดที่อธิษฐานจิตขอความช่วยเหลือแผ่ไปยังบุคคล ทุกคนที่ป่วย แผ่ไปยังบุคคลทุกคนที่ข้าพเจ้าอธิษฐานหรือนึกถึง และสถานที่ ทุกสถานที่ที่ข้าพเจ้าอธิษฐานหรือนึกถึง (จะแผ่ไปถึงใครเพิ่มเติมจากนี้ก็แล้วแต่ ผู้สวด) ขออัญเชิญเทพเทวดา ๖ ชั้นฟ้าทุกๆ พระองค์ พรหม ๒๐ ชั้นพรหมทุกๆ พระองค์ และสรรพสัตว์ทั่วทั้งสามแดนโลกธาตุมาร่วมสวดบทพระคาถามหา จักรพรรดิเพื่อเสริมกำ�ลังกับข้าพเจ้าซึ่งมีรูปและนาม คาถาบูชาหลวงปู่ทวด น้อมระลึกถึงหลวงปู่ทวดแล้วว่าคาถานี้ นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติ ภะคะวา นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติ ภะคะวา นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติ ภะคะวา คาถาบูชาหลวงปู่ดู่ น้อมระลึกถึงหลวงปู่ดู่แล้วว่าคาถานี้ นะโม โพธิสัตโต พรหมะปัญโญ นะโม โพธิสัตโต พรหมะปัญโญ นะโม โพธิสัตโต พรหมะปัญโญ คาถาบูชาหลวงตาม้า น้อมระลึกถึงหลวงตาม้าแล้วว่าคาถานี้ นะโม โพธิสัตโต วิริยะธะโร นะโม โพธิสัตโต วิริยะธะโร นะโม โพธิสัตโต วิริยะธะโร


139 บทขอขมาพระรัตนตรัย สวดเพื่อขอขมาโทษที่เราได้เคยล่วงเกินในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โย โทโส โมหะจิตเตนะ พุทธัสมิง ปาปะกะโต มะยา ขะมะถะ เม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ (นึกกราบขอขมาพระพุทธเจ้า) โย โทโส โมหะจิตเตนะ ธัมมัสมิง ปาปะกะโต มะยา ขะมะถะ เม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ (นึกกราบขอขมาพระธรรมคำ�สอน พระไตรปิฎก หนังสือสวดมนต์หนังสือธรรมะ) โย โทโส โมหะจิตเตนะ สังฆัสมิง ปาปะกะโต มะยา ขะมะถะ เม กะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินัสสันตุ (นึกกราบขอขมาพระสงฆ์) วิธีการสวด การสวดพระคาถามหาจักรพรรดิท่านมิได้กำ�หนดรูปแบบไว้ตายตัวว่า จะสวดกี่จบ แต่ที่นิยมสวดกันทั่วไปแบ่งได้๔ รูปแบบ คือ ๑) สวดวันละ ๓ หรือ ๙ จบ ในตอนเช้าหลังตื่นนอนและเย็นก่อนนอน ทุกวัน ๒) สวดตามกำ�ลังวัน หมายถึงสวดตามกำ�ลังวันเกิด คือตนเกิดวันอะไร ก็สวดตามกำ�ลังนั้นๆ ดังนี้ อาทิตย์ ๖ จบ พุธกลางคืน ๑๒ จบ จันทร์ ๑๕ จบ พฤหัสบดี ๑๙ จบ อังคาร ๘ จบ ศุกร์ ๒๑ จบ พุธ ๑๗ จบ เสาร์ ๑๐ จบ อีกอย่างหมายถึง ตนสวดตรงกับวันอะไรก็สวดตามกำ�ลังวันนั้นๆ เช่น สวดในวันอาทิตย์ก็สวด ๖ จบ สวดในวันจันทร์ก็สวด ๑๕ จบ สวดในวันอังคาร ก็สวด ๘ จบ สวดวันพุธตอนเช้าก็สวด ๑๗ จบ ถ้าสวดวันพุธกลางคืนก่อนนอน ก็สวด ๑๒ จบ เป็นต้น แบบนี้ก็ได้เช่นกัน ซึ่งถ้าสวดตามกำ�ลังแบบนี้ทุกวัน วันละครั้ง พอครบ ๑ อาทิตย์ก็จะได้เท่ากับ ๑๐๘ จบพอดี


140 ๓) สวดวันละ ๑๐๘ จบในตอนเช้าหรือก่อนนอน ๔) สวดทุกขณะที่นึกขึ้นได้คือสวดภาวนาตลอดทั้งวัน ระหว่างพักการงาน หรือทำ�กิจวัตรอื่นๆ ซึ่งการสวดแบบนี้จะไม่กำ�หนดว่าจะสวดกี่จบ เป้าหมายอยู่ที่ สวดให้ได้มากจบที่สุด หากทำ�ได้จนเคยชินจะมีผลานิสงส์เป็นอย่างมาก “ข้าพเจ้า...ขอตั้งสัจจะและอธิษฐาน ขอกราบอาราธนาบารมีหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ หลวงตาม้า เป็นที่สุด ข้าพเจ้า...ขอตั้งสัจจะ และอธิษฐานสวดพระคาถามหาจักรพรรดิไป ตลอดชีวิตของข้าพเจ้า และในทุกๆ วัน ในทุกอิริยาบถ ด้วยสัจจะอธิษฐาน ที่ข้าพเจ้าได้ตั้งสัจจะตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ขออานิสงส์ผลบุญแห่งสัจจะ อธิษฐานนี้ให้ข้าพเจ้ามีแต่ความสุข ความเจริญรุ่งเรือง อุดมด้วยโภคทรัพย์ มั่งคั่งด้วยทรัพย์สินเงินทอง ให้มีความคล่องตัวยิ่งๆ ขึ้นไปเทอญ ขอให้ข้าพเจ้า มีเงิน มีสมบัติตั้งแต่บัดนี้เวลานี้เป็นต้นไปเทอญ ด้วย อิมัง สัจจะวาจัง อะธิฏฐามิสาธุ สาธุ สาธุ บทสวดพระคาถามหาจักรพรรดิ (โดยสวดตามกำ�ลังวันที่สวด วันอาทิตย์ ให้สวด ๖ จบ จันทร์ ๑๕ จบ, อังคาร ๘ จบ, พุธ ๑๗ จบ, พฤหัส ๑๙ จบ, ศุกร์๒๑ จบ, เสาร์ ๑๐ จบ,) นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ ครั้ง) นะโมพุทธายะ, พระพุทธะไตรรัตนะญาณ, มะณีนพรัตน์, สีสะหัสสะ สุธรรมา, พุทโธ ธัมโม สังโฆ, ยะธาพุทโมนะ, พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา, อัคคีทานัง วะรังคันธัง, สีวะลี จะ มะหาเถรัง, อะหัง วันทามิ ทูระโต, อะหัง วันทามิ ธาตุโย, อะหัง วันทามิ สัพพะโส, พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ.


141 คำอธิษฐานแผ่บุญ พุทธัง อะธิฏฐามิ ธัมมัง อะธิฏฐามิ สังฆัง อะธิฏฐามิ. ข้าพเจ้า..........................ผู้ยอมรับนับถือพระพุทธศาสนา ยกพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งอันสูงสุดขอน้อมอาราธนาบารมีรวมแห่งพระพุทธเจ้า ทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ พระโพธิสัตว์ พระมหาจักรพรรดิทุกๆ พระองค์ นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และในอนาคต โดยที่ สุดบารมีรวมของหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ขอบารมีรวมอันหาที่สุดมิได้ทั้งหมดนี้โปรดจงแผ่ไปถึงภพภูมิต่างๆ ทั่วทั้ง ๓ แดนโลกธาตุ นับแต่อบายภูมิสูงขึ้นไป ถึงพรหมโลกชั้นสูงสุด ขอสรรพสัตว์ มนุษย์เทพเทวาทั้งหลายในหมื่นแสนโกฏิจักรวาล ทั้งหมดทั้งสิ้น พระสยามเทวาธิราช พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระราหูเจ้ากรุงพาลีโอปปาติกะแม่พระธรณีแม่พระ คงคา แม่พระโพสพ พระเพลิง พระพาย พระพิรุณ พญาครุฑ พญานาคพร้อม บริวาร คนธรรพ์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลายที่เอ่ยนามและมิได้ เอ่ยนาม ที่ยังเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร ๓๑ ภูมิทั้งหมดทั้งสิ้น ขอจงได้รับมหากุศล ผลบุญบารมีที่ข้าพเจ้าได้บำ�เพ็ญมาแล้ว โดยถ้วนทั่วทุกตัวตน..ทุกคน..ทุกท่าน.. เทอญ. (ตั้งใจน้อมนำ บุญและแผ่ออกไปด้วยบทสัพเพ) สัพเพ พุทธา สัพเพ ธัมมา สัพเพ สังฆา พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญจะ ยัง พะลัง อะระหันตานัญจะ เตเชนะ รักขัง พันธามิ สัพพะโส (๓-๕ จบ) พุทธัง อะธิฏฐามิ ธัมมัง อะธิฏฐามิ สังฆัง อะธิฏฐามิ


142 ประวัติพระโพธิสัตว์กวนอิม พระโพธิสัตว์กวนอิม (ประสูติ๑๙ เดือนยี่จีน) เดิมเป็นเทพธิดาซึ่งต้องการ ช่วยปลดเปลื้องทุกข์ภัยแก่มวลมนุษย์ ในชาติสุดท้ายจึงจุติลงมายังโลกมนุษย์ นามเจ้าหญิงเมี่ยวซ่าน เป็นพระราชธิดาองค์เล็กของกษัตริย์แห่งอาณาจักรซิงหลิง พระนามว่า พระเจ้าเมี่ยวจวงกับพระนางเซี่ยวหลิน (พระนางเป๋าเต๋อ) มีพระพี่นาง ๒ พระองค์คือ เจ้าหญิงเมี่ยวอิม และเจ้าหญิงเมี่ยวหยวน ในเยาว์วัย เจ้าหญิงเมี่ยวซ่านทรงเป็นพุทธมามกะ รู้แจ้งในหลักธรรมลึกซึ้ง ตั้งพระทัยแน่วแน่จะบำ�เพ็ญภาวนาเพื่อหลุดพ้นสังสารวัฏ ทรงออกบวชวันที่ ๑๙ เดือน ๙ พระเจ้าเมี่ยวจวงไม่เห็นด้วยจึงบังคับให้เลือกราชบุตรเขยเพื่อจะได้สืบทอด ราชบัลลังก์ต่อไป แต่เจ้าหญิงเมี่ยวซ่านไม่สนพระทัยเรื่องลาภ ยศ สรรเสริญ อันจอมปลอม แม้จะถูกพระบิดาดุด่าอย่างไรพระองค์ก็ไม่เคยนึกโกรธเคืองแต่ อย่างใด ต่อมาเจ้าหญิงเมี่ยวซ่านได้ถูกขับไปทำ�งานหนักในสวนดอกไม้เช่น หาบน้ำ� ปลูกดอกไม้ทั้งนี้เพื่อทรมานให้เปลี่ยนความตั้งใจ แต่ก็มีเหล่ารุกขเทวดามาช่วย ทำ�แทนให้ทั้งหมด เมื่อพระเจ้าเมี่ยวจวงเห็นว่าไม่ได้ผล จึงรับสั่งให้หัวหน้าแม่ชี นำ�เจ้าหญิงเมี่ยวซ่านไปอยู่ที่วัดนกยูงขาว และให้เอางานของแม่ชีทั้งวัดมอบให้ เจ้าหญิงเมี่ยวซ่านทำ�พระองค์เดียว แต่พระองค์มีพระทัยเด็ดเดี่ยวไม่เกี่ยงงาน การต่างๆ ก็มีเหล่าเทพารักษ์มาช่วยทำ�แทนให้อีก พระเจ้าเมี่ยวจวงเข้าพระทัยว่า พวกแม่ชีไม่กล้าเคี่ยวเข็ญใช้งานหนักก็ยิ่งทรงกริ้วหนักขึ้น สั่งให้ทหารเผาวัด นกยูงขาวจนวอดเป็นจุณไปพร้อมกับพวกแม่ชีทั้งวัด มีแต่เจ้าหญิงเมี่ยวซ่าน เท่านั้นที่ปลอดภัยรอดชีวิตมาได้ พระเจ้าเมี่ยวจวงทรงทราบดังนั้น จึงรับสั่งให้นำ�ตัวเจ้าหญิงเมี่ยวซ่านไป ประหารชีวิต เทพารักษ์คอยคุ้มครองเจ้าหญิงเมี่ยวซ่านอยู่ โดยเนรมิตทองทิพย์ เป็นเกราะห่อหุ้มตัวคมดาบของนายทหารจึงไม่อาจระคายพระวรกายดาบหักถึง ๓ ครั้ง ๓ ครา พระเจ้าเมี่ยวจวงทรงกริ้วยิ่งนักโดยเข้าพระทัยว่านายทหารไม่กล้า


143 ประหารจริงจึงให้ประหารนายทหารแทน แล้วรับสั่งให้จับเจ้าหญิงเมี่ยวซ่านไป แขวนคอ ทว่าผ้าแพรที่แขวนคอก็ขาดสะบั้นลงอีก ทันใดนั้นปรากฏมีเสือเทวดา ตัวหนึ่งได้นำ�เจ้าหญิงเมี่ยวซ่านขึ้นพาดหลังแล้วเผ่นหนีไปที่เขาเซียงซัน ต่อมา เทพไท่ไป๋ได้แปลงร่างเป็นชายชรามาโปรดเจ้าหญิงเมี่ยวซ่าน ชี้แนะเคล็ดวิธีการ บำ�เพ็ญเพียรเครื่องดับทุกข์จนสามารถบรรลุมรรคผลสำ�เร็จธรรม วันที่ ๑๙ เดือน ๖ ข้างฝ่ายพระเจ้าเมี่ยวจวงเข้าพระทัยว่า เจ้าหญิงเมี่ยวซ่านถูกเสือคาบไป กินเสียแล้วจึงไม่ได้ติดใจตามราวีอีก ต่อมาไม่นานบาปกรรมที่พระองค์ก่อไว้ส่งผล เกิดป่วยด้วยโรคร้ายแรง ไม่มียารักษาให้หายได้ เจ้าหญิงเมี่ยวซ่านได้ทรงทราบด้วยญาณวิถีว่า พระเจ้า เมี่ยวจวงกำ�ลังประสบเคราะห์กรรมอย่างหนัก ด้วยความกตัญญูกตเวทีเป็นเลิศ มิได้ถือโทษโกรธการกระทำ�ของพระบิดาแม้แต่น้อย ทรงได้สละดวงตาและ แขนสองข้างเพื่อรักษาพระบิดาจนหายจากโรคร้ายว่ากันว่า ภายหลังสำ�เร็จอรหันต์ ได้ดวงตาและพระกรคืนเคยแสดงปาฏิหาริย์เป็นปางกวนอิมพันมือ เจ้าหญิง เมี่ยวซ่านนั้นตอนแรกเป็นชาวพุทธ ตอนหลังเทพไท่ไป๋ได้มาโปรดชี้แนะหนทาง ดับทุกข์ เหตุนี้พระโพธิสัตว์กวนอิมจึงเป็นเทพทั้งฝ่ายพุทธและฝ่ายเต๋าในเวลา เดียวกัน การบำ�เพ็ญเป็นพระโพธิสัตว์ต้องบำ�เพ็ญจิตให้เข้มแข็งและกล้าแกร่งทุกขณะ จิต ย่อมให้เกิดประโยชน์ต่อสรรพสิ่งและสรรพชีวิต ไม่เห็นแก่ตัว, ไม่เห็นแก่ได้, ไม่เห็นแก่นอน, ไม่เห็นแก่กิน, ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ฯลฯ หากการบำ�เพ็ญ ยิ่งสูงขึ้นจนจิตไร้การยึดติดเกิดจิตที่เป็นอิสระยอมสละแม้กระทั่งเลือดเนื้ออวัยวะ น้อยใหญ่ และยอมเสียแม้ชีวิตของตน เป็นต้น คุณธรรมของพระโพธิสัตว์คือ ต้องมีสัจจะ มีธรรม สำ�รวจตรวจจิตตนเอง ไม่อวดตน มีอุเบกขา อารมณ์สงบนิ่ง มีความอดทน อารมณ์แห่งโพธิสัตว์คือเมตตา อภัยทาน ไม่ยึดติด ยอมรับกฎไตรลักษณ์ เข้าถึงสัจธรรมของความเป็นจริง เป็นต้น


144 คุณสมบัติของพระโพธิสัตว์คือเกิดปัญญาเห็นแจ้งในสัจธรรม ไม่ตกเป็นทาส กิเลส มีจิตเมตตากรุณาต่อสรรพสิ่งขยายน้ำ�ใจออกไปอย่างไม่มีขอบเขตที่สิ้นสุด มีอุบายวิธีการอันแยบคายในการสอนอย่างชาญฉลาด แนะนำ�สั่งสอนให้เห็น ความจริงของโลกและเข้าถึงสัจธรรม องค์สมมติพระโพธิสัตว์กวนอิมในปาง ต่างๆ ได้แก่ ปางพันเนตรพันกร ปางเหยียบมังกร ปางเหยียบปลามังกร ปางประทานพร ปางอุ้มบาตร ฯลฯ ตั้งจิตอธิษฐานให้แน่วแน่ ก็จะได้ผลสำ�เร็จอันพึงปรารถนาทุกประการ การบูชาที่บ้านก็ครั้งแรกให้ไหว้ด้วยดอกบัวสีชมพูหรือขาว ๙ ดอกธูป ๙ ดอก เทียน ๒ เล่ม ส้ม สาลี่อย่างละ ๔ ผลเพิ่มผลไม้อะไรก็ได้(ห้ามมะม่วง มังคุด พุทรา)ขนมเปี๊ยะหรือขนมไหว้พระจันทร์น้ำ�ชา ๔ ถ้วยซิ่วท้อด้วยก็ได้ถ้ามีเวลา สวดมนต์ก็ถวายประคำ�ด้วย ๑ เส้น ช่วยส่งเสริมความเป็นมงคล ประทานพร ด้านต่างๆให้สำ�เร็จสมใจปรารถนา ปัดเป่าความทุกข์ความชั่วร้ายเสริมโชค ลาภให้ร่ำ�รวยมั่งคั่งสุขภาพร่างกายแข็งแรงอยู่ดีกินดีมีสุขแนะนำ�ให้ท่องบูชา ๑๐๘ จบ หรือจะท่องชื่อท่านแล้วรำ�ลึกถึงก็ได้การันตีว่าได้รับความคุ้มครอง อย่างเต็มที่ คาถาบูชาเจ้าแมกวนอิม นําโมไตชื้อ ไตปุย กิวโคว กิวหลั่ง กวงไตเลงก้ำ กวงสี่อิมผูสัก (กราบ) นําโมไตชื้อ ไตปุย กิวโคว กิวหลั่ง กวงไตเลงก้ำ กวงสี่อิมผูสัก (กราบ) นําโมไตชื้อ ไตปุย กิวโคว กิวหลั่ง กวงไตเลงก้ำ กวงสี่อิมผูสัก (กราบ) นําโมฮูก นําโมหวบ นําโมเจ็ง นําโมกิ้วโคว กิวหลั่ง กวงสี่อิมผูสัก ทั่งจี้โต โอม เกียลอฮวดโต เกียลอฮวดโต เกียออฮวดโต ลอเกียฮวดโต ลอเกียฮวดโต ซําผอออ เทียงลอซิ้ง ตี่ลอซิ่ง นั้งลี่หลั่ง หลั่งลี่ซิง เจ็กเฉียก ใจเอียงหวยอุยติ๊ง นํามอมอ ออปอเยี้ย ปอหลอบิ๊ก


145 คำอธิษฐานขอพร ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ พระผู้เปี่ยมล้นด้วยมหาเมตตา มหากรุณาอันยิ่งใหญ่ไพศาล ขอได้โปรดบำ�บัดทุกข์โศก โรค ภัย อันตรายทั้งปวง ข้าพเจ้าขอน้อมถึง พุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ พระแม่กวนอิม มหาโพธิสัตว์ ขอได้โปรดขจัดปัดเป่าทุกข์ โศก โรค ภัย อันตรายทั้งปวงให้หมด สิ้นไปขอความสุขสมปรารถนาทุกประการจงมีแก่ข้าพเจ้า ขอเทพเจ้าเบื้องบนและ เทพเบื้องล่างทั้งหมด ได้โปรดปัดเป่าให้เวรกรรมและสรรพเคราะห์ทั้งมวลจงหมด สิ้นไป พรหมวิหาระผะระณะ (บทแผ่เมตตา ใช้สวดท้ายสุดทั้งเช้าและเย็น) อะหัง สุขิโต โหมิ, ขอใหขาพเจา จงมีความสุข นิททุกโข โหมิ, จงเป็นผู้ปราศจากทุกข อะเวโร โหมิ, จงเป็นผู้ปราศจากเวร อัพ๎ยาปชโฌ โหมิ, จงเป็นผู้ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน อะนีโฆ โหมิ, จงเป็นผู้ไม่มีทุกขกายทุกขใจ สุขี อัตตานัง ปะริหะรามิ. รักษาตนให้มีความสุขเถิด. สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ, สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จงเป็นผู้ถึงความสุข สัพเพ สัตตา อะเวรา โหนตุ, สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จงเป็นผู้ไม่มีเวร สัพเพ สัตตา อัพ๎ยาปัชฌา โหนตุ, สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จงเป็นผู้ไม่เบียดเบียนกัน สัพเพ สัตตา อะนีฆา โหนตุ, สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงจงเป็นผู้ไม่มีทุกขกายทุกขใจ สัพเพ สัตตา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ. สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จงรักษาตนให้อยู่เป็นสุขเถิด. สัพเพ สัตตา, สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง สัพพะทุกขา ปะมุจจันตุ, จงพ้นจากทุกข์ทั้งมวลเถิด


146 สัพเพ สัตตา, สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง มา ลัทธะสัมปัตติโต วิมุจจันตุ, จงอย่าไปปราศจากสมบัติอันตนได้แล้วเถิด สัพเพ สัตตา, สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง กัมมัสสะกา, มีกรรมเป็นของๆ ตน กัมมะทายาทา, มีกรรมเป็นผู้ให้ผล กัมมะโยนิ, มีกรรมเป็นแดินเกิด กัมมะพันธุ, มีกรรมเป็นผู้ติดตาม กัมมะปะฏิสะระณา, มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ยัง กัมมัง กะริสสามิ, จักทำ�กรรมอันใดไว้ กัล๎ยาณัง วา ปาปะกัง วา, เป็นบุญหรือเป็นบาป ตัสสะ ทายาทา ภะวิสสามิ. จักเป็นทายาท คือว่า จักต้องได้รับผล ของกรรมนั้นสืบไป. บทพิเศษ สัพเพ สัตตา สะทา โหนตุ ขอปวงสัตว์ทั้งหลาย จงเป็นผู้ไม่มีเวรต่อกัน อะเวรา สุขะชีวิโน, เป็นผู้ดำ�รงชีพอยู่เป็นสุขทุกเมื่อเถิด กะตัง ปุญญะผะลัง มัยหัง ขอสัตว์ทั้งสิ้นนั้น จงเป็นผู้มีส่วนได้เสวยผลบุญ สัพเพ ภาคี ภะวันตุ เต. อันข้าพเจ้าได้บำ�เพ็ญแล้วนี้เทอญ. คำอธิบายพรหมวิหาร พรหมวิหาร วิหาร แปลว่า ที่อยู่ พรหม แปลว่าประเสริฐ คำ�ว่า พรหมวิหาร หมายความว่า เอาใจจับอยู่ในอารมณ์แห่งความประเสริฐหรือเอาใจไปขังไว้ในความ ดีที่สุด ซึ่งมีคุณธรรม ๔ ประการคือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา คุณธรรม ๔ ประการนี้ นอกจากความเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐแล้ว ยังมีอานิสงส์ความสุข แก่ผู้ปฏิบัติถึง ๑๑ ประการ ดังนี้


147 ๑. นอนหลับเป็นสุข เหมือนนอนหลับในสมาบัติ ๒. ตื่นขึ้นมีความสุข ไม่มีความขุ่นมัวในใจ ๓. นอนฝัน ก็ฝันเป็นมงคล ๔. เป็นที่รักของมนุษย์เทวดา พรหม และภูมิผีทั้งหลาย ๕. เทวดา พรหม จะรักษาให้ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง ๖. จะไม่มีอันตรายจากเพลิง สรรพาวุธ และยาพิษ ๗. จิตจะตั้งมั่นในอารมณ์สมาธิปกติสมาธิที่ได้ไว้แล้วจะไม่เสื่อม มีแต่จะ เจริญยิ่งขึ้น ๘. มีดวงหน้าผุดผ่องเป็นปกติ ๙. เมื่อจะตาย จะมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ๑๐. ถ้ามิได้บรรลุมรรคผลในชาตินี้ ผลแห่งการเจริญพรหมวิหาร ๔ นี้ จะส่งผลให้ไปเกิดในพรหมโลก ๑๑. มีอารมณ์แจ่มใส จิตใจปลอดโปร่ง ทรงสมาบัติวิปัสสนา และทรงศีล บริสุทธิ์ เมตตา แปลว่า ความรัก หมายถึง รักที่มุ่งปรารถนาดีโดยไม่หวังผลตอบ แทนใดๆ จึงจะตรงกับคำ�ว่า เมตตาในที่นี้ถ้าหวังผลตอบแทนจะเป็นเมตตาที่ เจือด้วยกิเลส ไม่ตรงต่อเมตตาในพรหมวิหารนี้ลักษณะของเมตตา ควรสร้าง ความรู้สึกคุมอารมณ์ไว้ตลอดวัน ว่า เราจะเมตตา สงเคราะห์ เพื่อนที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย จะไม่สร้างความลำ�บากให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ความทุกข์ที่เขามี เราก็มีเสมอเขา ความสุขที่เขามีเราก็สบายใจไปกับเขา รักผู้อื่นเสมอด้วยรักตนเอง กรุณา แปลว่า ความสงสาร หมายถึง ความปราณี ปรารถนาให้ผู้อื่น พ้นทุกข์ ความสงสารปราณีนี้ก็ไม่หวังผลตอบแทนเช่นเดียวกัน สงเคราะห์ สรรพสัตว์ที่มีความทุกข์ให้หมดทุกข์ตามกำ�ลังกาย กำ�ลังปัญญา กำ�ลังทรัพย์ ลักษณะของกรุณา การสงเคราะห์ทั้งทางด้านวัตถุโดยธรรม ว่าผู้ที่จะสงเคราะห์นั้น ขัดข้องทางใด หรือถ้าหาให้ไม่ได้ก็ชี้ช่องบอกทาง


148 มุทิตา แปลว่า มีจิตอ่อนโยน หมายถึง จิตที่ไม่มีความอิจฉาริษยาเจือปน มีอารมณ์สดชื่นแจ่มใสตลอดเวลา คิดอยู่เสมอว่า ถ้าคนทั้งโลกมีความโชคดี ด้วยทรัพย์ มีปัญญาเฉลียวฉลาดเหมือนกันทุกคนแล้ว โลกนี้เต็มไปด้วยความ สุขสงบ ปราศจากอันตรายทั้งปวง คิดยินดีโดยอารมณ์พลอยยินดีนี้ไม่เนื่อง เพื่อผลตอบแทน การแสดงออกถึงความยินดีในพรหมวิหาร คือความไม่หวังผล ตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น อุเบกขาแปลว่า ความวางเฉย นั่นคือ มีการวางเฉยต่ออารมณ์ที่มากระทบ ความวางเฉยในพรหมวิหารนี้ หมายถึง เฉยโดยธรรม คือทรงความยุติธรรม ไม่ลำ�เอียงต่อผู้ใดผู้หนึ่ง คนที่มีพรหมวิหาร ๔ สมบูรณ์ ศีลย่อมบริสุทธิ์ คนที่มีพรหมวิหาร ๔ สมบูรณ์ ย่อมมีญานสมาบัติ คนที่มีพรหมวิหาร ๔ สมบูรณ์ เพราะอาศัยใจเยือกเย็น ปัญญาก็เกิด หีนชจโจปิเจ โหติอุฏฺฐาตา ธิติมา นโร อาจารสีลสมฺปนฺโน นิเส อคฺคีว ภาสติ คนเรา ถึงมีชาติกําเนิดตํ่า แต่หากขยันหมั่นเพียร มีปัญญา ประกอบด้วยอาจาระและศีล ก็รุ่งเรืองได้เหมือนอยู่ในคืนมืด ก็สว่างไสว พระไตรปิฏก เล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฏก ขุททกนิกาย ชาดก


Click to View FlipBook Version