กลุมงานวิชาการและคลังความรู กองวิชาการและแผนงาน กรมการแพทยแผนไทยและการแพทยทางเลือก 2561 4 กลุมโรคเปาหมาย โรคขอเขาเสื่อม สะเก็ดเงิน อาการบาดเจ็บจากการทำงาน และภูมิแพทางเดินหายใจสวนตน การสรางสรรคนวัตกรรมดาน การแพทยแผนไทย การแพทยพื้นบาน และการแพทยทางเลือก สรุปผลการจัดงาน ครั้งที่ 1 สมุนไพร
สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 จัดท�ำโดย : ดร.เภสัชกรหญิงดวงแก้ว ปัญญาภูและคณะ พิมพ์ครั้งที่ 1 : พฤษภาคม 2561 จ�ำนวนพิมพ์ : 1,500 เล่ม พิมพ์ที่ : พุ่มทอง 10/2 ซอยอรุณอมรินทร์22 ถนนอรุณอมรินทร์ แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ 10700 โทรศัพท์02-411-4673 ISBN : 978-616-11-3704-5 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้กองวิชาการและแผนงาน กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข เลขที่ 88/23 หมู่4 ถนนติวานนท์ต.ตลาดขวัญ อ.เมือง จ.นนทบุรี11000 โทรศัพท์: (+66) 0-2591-7007 โทรสาร : (+66) 0-2591-7007
สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต หนังสือเล่มนี้จัดท�ำขึ้น เพื่อสรุปผลการจัดงานสร้างสรรค์นวัตกรรม ด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีแรก เนื้อหาในหนังสือเล ่มนี้จะครอบคลุมตั้งแต ่กระบวนการ การจัดการความรู้4 กลุ่มโรคเป้าหมายของการบริการด้านการแพทย์แผนไทย และการแพทย์แบบผสมผสานในสถานบริการ ซึ่งได้แก ่ โรคข้อเข ่าเสื่อม โรคสะเก็ดเงิน อาการบาดเจ็บจากการท�ำงาน และโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจส่วนต้น ซึ่งเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยการแพทย์แผนปัจจุบันเพียง อย่างเดียว ทำ� ให้ประชาชนเกิดการเสาะแสวงหาทางเลือกในการรักษาซึ่งสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือกก�ำลังเป็น ที่สนใจของประชาชนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ การแพทย์แผนไทย เป็นระบบการแพทย์ที่อยู่คู่กับคนไทยมายาวนาน มีการจดจารึกต�ำรับยาที่มีศักยภาพในอดีตไว้ในต�ำราที่ส�ำคัญของชาติหลายเล่ม อาทิตำ�ราพระโอสถพระนารายณ์ซึ่งเป็นต�ำราที่รวบรวมต�ำรับยาที่แพทย์หลวง ใช้ในสมัยกรุงศรีอยุธยา หรือ ต�ำราแพทยศาสตร์สงเคราะห์ซึ่งเป็นต�ำราที่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู ่หัว มีพระราชด�ำริให้มีการรวบรวม ต�ำรับยาในสมัยรัตนโกสินทร์ไว้เพื่อใช้เป็นต�ำราส�ำหรับประกอบการเรียนการสอน หลักสูตรแพทยศาสตร์ในช่วงที่มีการตั้งโรงเรียนแพทย์ครั้งแรกในประเทศไทย แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากระบบการแพทย์แผนไทยได้หายไปจากระบบการแพทย์ ของไทยไปเป็นร้อยปี ท�ำให้การพัฒนาทั้งด้านเครื่องไม้เครื่องมือและรูปแบบ ของยาไทยไม่มีการพัฒนาไปมากเท่าที่ควร สารจากอธิบดี ก
กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน เมื่อได้เล็งเห็นความส�ำคัญของการพัฒนาดังกล่าวกรมการแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือกจึงได้มีแผนการจัดการความรู้และเผยแพร่นวัตกรรม ในกลุ่มโรคที่ศาสตร์ด้านการแพทย์แผนไทยและสมุนไพรสามารถร่วมรักษาได้ดี ซึ่งได้แก่ โรคข้อเข่าเสื่อม โรคสะเก็ดเงิน อาการบาดเจ็บจากการท�ำงาน และ โรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจส่วนต้น ดังกล่าว ทั้งนี้เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และกระตุ้นการคิดสร้างสรรค์นวัตกรรมระหว่างผู้ประกอบการ นักวิชาการใน สถานศึกษา ตลอดจนผู้บริหารและบุคลากร สหสาขาวิชาชีพในหน่วยบริการ สาธารณสุขทุกระดับให้มากยิ่งขึ้น ในนามของกรมการแพทย์แผนไทยและ การแพทย์ทางเลือก ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่มีส่วนในการด�ำเนินการจัดงาน สร้างสรรค์นวัตกรรมจากสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 ให้ส�ำเร็จเรียบร้อยลงด้วยดีและขออวยพร ให้ผู้ที่มีส่วนร่วมในงานครั้งนี้ได้รับประโยชน์และแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ นวัตกรรมจากสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ ทางเลือก ให้สามารถพัฒนานวัตกรรมให้ส�ำเร็จตามวัตถุประสงค์ ได้เป็น ผลิตภัณฑ์และการบริการที่ดีที่ทันสมัยและได้มาตรฐานต่อไป นายแพทย์เกียรติภูมิวงศ์รจิต อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ข
สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 นายแพทย์สรรพงศ์ฤทธิรักษา ปัจจุบันเทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นสิ่งที่จ�ำเป็นมาก ในการพัฒนา ประเทศไปสู ่ประเทศไทย 4.0 ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขสนับสนุนนโยบายนี้ ด้วยการส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีและธุรกิจสุขภาพ ทั้งในด้านการให้บริการ และการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพของประชาชน กรมการแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือกเป็นกรมที่มีภารกิจหลักเกี่ยวกับการพัฒนางานด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทยการแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือกจึงร่วมกับเครือข่าย จัดงาน “สร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือกสู่ประเทศไทย 4.0” เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ กระตุ้นการประดิษฐ์นวัตกรรม และจัดแสดงผลงานสร้างสรรค์และนวัตกรรม ด้านผลิตภัณฑ์สมุนไพรการแพทย์แผนไทยการแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์ทางเลือก อันจะตอบสนองนโยบายการพัฒนาประเทศไทย4.0 ผมเชื่อว่าการจัดงานในครั้งนี้จะสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการสรรค์สร้าง นวัตกรรมที่จะเป็นประโยชน์ต ่อประเทศไทยต ่อไป ในนามของรองอธิบดี กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ผมขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่มี ส่วนร่วมในการจัดงานในครั้งนี้ด้วย นายแพทย์สรรพงศ์ ฤทธิรักษา รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก สารจากรองอธิบดี ค
กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน ดร.เภสัชกรหญิงดวงแก้ว ปัญญาภู หนังสือเล่มนี้จัดท�ำขึ้นมาเพื่อสรุปผลการด�ำเนินการจัดงาน “สร้างสรรค์ นวัตกรรมจากสมุนไพรไทย การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ ทางเลือกสู่ประเทศไทย 4.0 ครั้งที่ 1” ซึ่งเนื้อหาประกอบไปด้วยองค์ความรู้ ที่เกิดจากการจัดการความรู้4กลุ่มโรคเป้าหมายได้แก่โรคข้อเข่าเสื่อม สะเก็ดเงิน อาการบาดเจ็บจากการท�ำงาน และโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจส่วนต้น ซึ่งแต่ละ บทจะประกอบด้วยองค์ความรู้จากการแพทย์แผนปัจจุบัน การแพทย์แผนไทย และนอกจากนี้ยังมีในส่วนของการรวบรวมนวัตกรรมที่มาจากการสร้างสรรค์ จากหน่วยบริการในส่วนภูมิภาคและการวิเคราะห์ต�ำรับยาที่ใช้ในแต่ละโรคโดย เชื่อมโยงกับการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผู้นิพนธ์ทั้งหมดเป็นบุคลากรของ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก และเป็นผู้รับผิดชอบงาน ในแต่ละส่วน หวังว ่าหนังสือเล ่มนี้จะเป็นประโยชน์ต ่อบุคลากรทางการแพทย์ ที่ดูแลผู้ป่วย4กลุ่มโรคเป้าหมายแบบบูรณาการ และหากมีข้อผิดพลาดประการ ใดในหนังสือเล่มนี้ผู้จัดท�ำขอน้อมรับค�ำแนะน�ำที่เป็นประโยชน์ต่อการแก้ไขให้ ถูกต้องต่อไป ดร.เภสัชกรหญิงดวงแก้ว ปัญญาภู บรรณาธิการ บรรณาธิการแถลง ง
สารบัญ หน้า สารจากอธิบดี ก สารจากรองอธิบดี ค บรรณาธิการแถลง ง สารบัญ จ 1. บทสรุปเสนอผู้บริหาร 1 2. องค์ความรู้และนวัตกรรม 4 กลุ่มโรคเป้าหมาย 2.1 โรคข้อเข่าเสื่อม 2.1.1 โรคข้อเข่าเสื่อม 7 2.1.2 โรคข้อเข่าเสื่อมตามศาสตร์การแพทย์แผนไทย 17 2.1.3 นวัตกรรมโรคข้อเข่าเสื่อมจากส่วนภูมิภาค 27 2.1.4 การวิเคราะห์ต�ำรับยารักษาข้อเข่าเสื่อมและ 39 หลักฐานเชิงประจักษ์ที่เกี่ยวข้อง 2.2 โรคสะเก็ดเงิน 2.2.1 โรคสะเก็ดเงิน 65 2.2.2 โรคสะเก็ดเงินตามศาสตร์การแพทย์แผนไทย 71 2.2.3 นวัตกรรมโรคสะเก็ดเงินจากส่วนภูมิภาค 79 2.2.4 การวิเคราะห์ต�ำรับยาโรคสะเก็ดเงินและหลักฐาน 85 เชิงประจักษ์ที่เกี่ยวข้อง จ
กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน หน้า 2.3 อาการบาดเจ็บจากการท�ำงาน 2.3.1 กลุ่มโรคและอาการบาดเจ็บจากการท�ำงาน 101 2.3.2 โรคกล้ามเนื้อบาดเจ็บจากการท�ำงาน 123 ในมุมมองของแพทย์แผนไทย 2.3.3 นวัตกรรมโรค office sysdrome 133 จากส่วนภูมิภาค 2.3.4 การวิเคราะห์ต�ำรับยาอาการบาดเจ็บจากการท�ำงาน 141 และหลักฐานเชิงประจักษ์ที่เกี่ยวข้อง 2.4 โรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจส่วนต้น 2.4.1 โรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจส่วนต้น 149 2.4.2 โรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจส่วนต้นตามศาสตร์ 169 การแพทย์แผนไทย 2.4.3 นวัตกรรมโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจส่วนต้น 177 จากส่วนภูมิภาค 2.4.4 การวิเคราะห์ต�ำรับโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจส่วนต้น 185 และหลักฐานเชิงประจักษ์ที่เกี่ยวข้อง 3. ภาคผนวก: สรุปภาพกิจกรรม 209 ฉ
1 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 บทสรุปเสนอผู้บริหาร ดร.เภสัชกรหญิงอัญชลี จูฑะพุทธิ ผู้อ�ำนวยการกองวิชาการและแผนงาน ความเป็นมา “ประเทศไทย 4.0” เป็นวิสัยทัศน์เชิงนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจ ของประเทศไทย ที่ต้องการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ ไปสู่ “Value Based Economy”หรือ“เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม” เพื่อปรับแก้ จัดระบบ ปรับทิศทาง และสร้างแนวทางพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้า สามารถรับมือกับโอกาสและภัยคุกคามแบบใหม่ ๆ ที่เปลี่ยนแปลงอย่าง รวดเร็ว และรุนแรงในศตวรรษที่ 21 โดยมีฐานคิดหลัก คือ เปลี่ยนจาก การผลิตสินค้า “โภคภัณฑ์” ไปสู่สินค้าเชิง “นวัตกรรม” เปลี่ยนจากการ ขับเคลื่อนประเทศด้วยภาคอุตสาหกรรม ไปสู่การขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และปรับเปลี่ยนจากการเน้นภาคการผลิต สินค้า ไปสู่การเน้นภาคบริการมากขึ้น ดังนั้น “ประเทศไทย 4.0” จึงควร มีการเปลี่ยนวิธีการผลิตที่มีลักษณะส�ำคัญ คือ เปลี่ยนจากการเกษตรแบบ ดั้งเดิมในปัจจุบัน ไปสู่การเกษตรสมัยใหม่ ที่เน้นการบริหารจัดการและ เทคโนโลยี (Smart Farming) โดยเกษตรกรต้องพึ่งตนเองได้ และเป็น เกษตรกรแบบเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneur) เปลี่ยนจาก Traditional SMEs หรือ SMEs ที่มีอยู่และรัฐต้องให้ความช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา ไปสู่การเป็น Smart Enterprises และ Start up บริษัทเกิดใหม่ที่มี ศักยภาพสูง เปลี่ยนจาก Traditional Services ซึ่งมีการสร้างมูลค่า ค่อนข้างต�่ำ ไปสู่ High Value Services และเปลี่ยนจากแรงงานทักษะต�่ำ
2 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน ไปสู่แรงงานที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และทักษะสูง ซึ่งการพัฒนาวิทยาการ ความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนการวิจัย และพัฒนา แล้วต่อยอดในกลุ่มเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมเป้าหมายของ กลุ่มสาขาสาธารณสุข สุขภาพ และเทคโนโลยีทางการแพทย์ โดยเฉพาะ กลุ่มสมุนไพรและการบริการด้านการแพทย์แผนไทย ถือว่าเป็นหนึ่งกลุ่มที่ เป็นตัวขับเคลื่อนไปสู่ “ประเทศไทย 4.0” กระทรวงสาธารณสุข มีส่วนช่วยในการสนับสนุนนโยบายนี้ ด้วย เทคโนโลยีและธุรกิจสุขภาพ พัฒนาให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์และ การแพทย์แผนไทย ด้วยภูมิปัญญาไทย สร้างมูลค่าเพิ่มด้านการแพทย์ไทย พร้อมทั้งพัฒนาอุตสาหกรรมยา นวัตกรรมทางสุขภาพ และได้ตั้งเป้าหมาย ความเป็นเลิศใน 4 ด้าน คือ 1. การส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค (Prevention and Promotion Excellence) ที่เป็นนวัตกรรมสังคม มีหลักการในการให้ความรู้ แก่ประชาชน เพื่อดูแลสุขภาพตนเองอย่างถูกต้อง มีสุขภาพดี ซึ่งเป็นหัวใจของ การสาธารณสุข 2. ระบบบริการ (Service Excellence) ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เหมาะสมในการดูแลผู้ป่วยทุกระดับ 3. การพัฒนาคน (People Excellence) ฝึกอบรมบุคลากรทุกระดับ และ 4. ระบบบริหารจัดการ (Governance Excellence) หากประสบ ความส�ำเร็จทั้ง 4 ด้าน ก็จะเกิดเป็นนวัตกรรมของระบบการแพทย์และ สาธารณสุข เป็นตัวอย่างแก่นานาประเทศต่อไป กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ซึ่งมีภารกิจหลัก เกี่ยวกับการพัฒนางานด้านสมุนไพรและการแพทย์แผนไทย จึงร่วมกับ เครือข่ายจัดงาน “สร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือกสู่ประเทศไทย 4.0” เพื่อเป็นเวที
3 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 แลกเปลี่ยนเรียนรู้ กระตุ้นการประดิษฐ์และขึ้นทะเบียนนวัตกรรม และ จัดแสดงผลงานสร้างสรรค์และนวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย การจัดบริการการแพทย์ แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก อันจะตอบสนองนโยบายการพัฒนาประเทศไทย 4.0 ซึ่งในครั้งที่ 1 นี้มีการ เน้นนวัตกรรมใน 4 กลุ่มโรคเป้าหมาย ได้แก่ โรคข้อเข่าเสื่อม สะเก็ดเงิน อาการบาดเจ็บจากการท�ำงาน และโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจส่วนต้น วัตถุประสงค์ 1. เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมอง แนวโน้ม ทิศทาง เกี่ยวกับนวัตกรรมและ สิ่งประดิษฐ์ ด้านการแพทย์แผนไทยและสมุนไพรไทยที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 2. เพื่อพัฒนานวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ด้านสมุนไพร การแพทย์ แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือกของบุคลากรในระบบ บริการสุขภาพ ให้เกิดการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเหมาะสมในการดูแลผู้ป่วย ทุกระดับ และ 3. เพื่อช่วยกระตุ้นให้บุคลากรสาธารณสุข นักวิชาการ นักวิจัย พัฒนานวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ด้านการแพทย์แผนไทยและสมุนไพรไทย สู่การขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทย และการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนต่อไป วิธีการด�ำเนินการ 1. ศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการด�ำเนินงาน 2. ก�ำหนดรูปแบบเลือกกลุ่มโรคเป้าหมายและ แนวทางการด�ำเนินงาน 3. ขออนุมัติโครงการ/หนังสือราชการต่าง ๆ 4. ด�ำเนินการรวบรวมองค์ความรู้และนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับกลุ่ม โรคเป้าหมาย คือ โรคข้อเข่าเสื่อม สะเก็ดเงิน อาการบาดเจ็บจากการท�ำงาน และโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจส่วนต้น
4 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน 5. จัดงาน “สร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพรไทย การแพทย์ แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือกสู่ประเทศไทย 4.0” 6. ประเมิน/ประชุมทบทวนการด�ำเนินงาน 7. สรุปผลการด�ำเนินงานและเผยแพร่ผลการจัดงาน ผลการด�ำเนินการ มีจ�ำนวนผู้เข้าร่วมงานทั้งสิ้น 547 คน จากหลายส่วนงาน ได้แก่ ผู้บริหารสาธารณสุขจากส่วนกลางและส่วนภูมิภาค บุคลากรสาธารณสุข จากส่วนกลางและส่วนภูมิภาค บุคลากรจากมหาวิทยาลัย สื่อมวลชน ประชาชน และผู้ประกอบการ ที่มาร่วมออกบูทจ�ำนวนทั้งสิ้น 57 บูท โดย การจัดงานแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ การเสวนาจากผู้บริหารในส่วนภูมิภาค การสาธิตในห้องย่อย และการแสดงนิทรรศการ หลังจากประเมินความพึงพอใจในภาพรวมของการจัดงาน “สร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก สู่ประเทศไทย 4.0” จากแบบสอบถาม พบว่า ผู้ร่วมงานมีความพึงพอใจจากมากที่สุด มาก และน้อย คิดเป็นร้อยละ 54, 45, และ 1 ตามล�ำดับ และนอกจากนี้ พบว่าผู้ร่วมงานส่วนใหญ่เคยรับบริการ ทางการแพทย์แผนไทยมาก่อน ร้อยละ 96 จึงเห็นว่าผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร มีความปลอดภัยและจะแนะน�ำเพื่อนต่อไป เนื่องจากเป็นทางเลือกใหม่ และดีต่อสุขภาพ นอกจากนี้ การด�ำเนินการจัดงานในครั้งนี้ท�ำให้นโยบายการพัฒนา งานบริการด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน เกิดการสื่อสาร น�ำสู่การปฏิบัติ ท�ำให้เกิดการขยายตัวของรูปแบบและผลงานนวัตกรรมและ สิ่งประดิษฐ์ ด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการ แพทย์ทางเลือก ในสังคม และท�ำให้เกิดการเรียนรู้และแบ่งปันความรู้ โดยการ สาธิตวิธีการน�ำนวัตกรรมมาใช้ในแต่ละพื้นที่ก่อให้เกิดผลงานนวัตกรรมและ
5 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 สิ่งประดิษฐ์ โดยประชาชนชาวไทยสามารถน�ำไปใช้และดูแลสุขภาพตนเอง ได้ นอกจากนี้ยังช่วยพัฒนาแนวความคิดของหน่วยบริการให้เกิดการพัฒนา เทคโนโลยีที่ทันสมัยเหมาะสมในการดูแลผู้ป่วยทุกระดับ สามารถเผยแพร่ ความรู้ให้แก่ประชาชน เพื่อให้เกิดการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค และ การดูแลสุขภาพตนเองอย่างถูกต้อง เพื่อให้ประชาชนมีสุขภาพดี โดยนวัตกรรมที่น�ำมาเสนอภายในงานสร้างสรรค์นวัตกรรมฯ ในครั้งนี้ ประกอบไปด้วย นวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับโรคข้อเข่าเสื่อม สะเก็ดเงิน อาการบาดเจ็บจากการท�ำงาน และโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจส่วนต้น เช่น ยาพอกโรคข้อเข่าเสื่อม ที่ช่วยบรรเทาอาการปวด ดูดพิษร้อนในเข่า ต�ำรับยาพื้นบ้านรักษาโรคสะเก็ดเงิน นวัตกรรมตัวช่วยบรรเทาอาการ ปวดในกลุ่มโรคกล้ามเนื้อบาดเจ็บจากการท�ำงาน และนวัตกรรมสุ่มสุม ยาหรือกระโจมยาสมุนไพรที่ช่วยในโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจส่วนต้น ซึ่ง รายละเอียดของนวัตกรรมในแต่ละโรคจะแสดงในแต่ละบทในหนังสือเล่มนี้ ต่อไป สรุปผลการด�ำเนินการ การจัดงานในครั้งที่ 1 นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมนวัตกรรมใน 4 กลุ่มโรคจากหน่วยบริการทางสาธารณสุขส่วนภูมิภาค เพื่อน�ำเสนอ และ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้ปฏิบัติงานในแต่ละภูมิภาค และภาคีเครือข่าย จากภาคส่วนต่างๆ อาทิ สถาบันการศึกษา และองค์กรเอกชน เป็นการ เปิดมุมมองที่อาจท�ำให้มีการต่อยอดนวัตกรรมให้มีความหลากหลาย และ ใช้ประโยชน์ได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งสิ่งที่เห็นควรมีการสนับสนุนเพื่อให้นวัตกรรม ที่สร้างสรรค์ขึ้นมามีพัฒนาการที่ดี และมีประโยชน์ต่อสังคมในวงกว้างขึ้น ได้แก่ การให้ความรู้ด้านการศึกษาวิจัยด้านประสิทธิผลและความปลอดภัย ของผลิตภัณฑ์ ตลอดจนการน�ำเทคโนโลยีมาช่วยในด้านวิธีการพัฒนา ผลิตภัณฑ์ให้มีความทันสมัยและสะดวกต่อการใช้มากยิ่งขึ้น
6 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน แผนการด�ำเนินการต่อไป 1. จัดท�ำแนวทางเวชปฏิบัติทางการแพทย์แบบผสมผสานใน 4 กลุ่มโรค ได้แก่ โรคข้อเข่าเสื่อมเข่า (Osteoarthritis) โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) กลุ่มโรคกล้ามเนื้อบาดเจ็บจากการท�ำงาน (Office Syndrome) และโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจส่วนต้น (Allergic Rhinitis) 2. เผยแพร่องค์ความรู้ที่ได้จากการจัดงาน “สร้างสรรค์นวัตกรรม ด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก สู่ประเทศไทย 4.0” ในรูปแบบต�ำราและสื่ออิเล็กทรอนิกส์ 3. คัดเลือกนวัตกรรมที่มีศักยภาพ ท�ำการพัฒนาต่อยอด เพื่อน�ำไป สู่การจดทะเบียนนวัตกรรมและการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน 4. พัฒนาระบบบริการให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัย เหมาะสมในการดูแลผู้ป่วยทุกระดับ
7 โรคข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis) องอาจ ศิริกุลพิสุทธิ์, พบ., วว.(เวชศาสตร์ฟื้นฟู) 1. ลักษณะการด�ำเนินโรค 1.1 พยาธิสภาพ1 โรคข้อเข่าเสื่อม (osteoarthritis of knee) เป็นโรคที่มีการเปลี่ยนแปลง ไปในทางเสื่อมของข้อเข่า ตําแหน่งที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ในโรคนี้ ได้แก่ กระดูกอ่อนผิวข้อ (articular cartilage) ในข้อชนิดมีเยื่อบุ (diarthrodial joint) มีการทําลายกระดูกอ่อนผิวข้อ ซึ่งเกิดขึ้นช้า ๆ อย่าง ต่อเนื่องตามเวลาที่ผ่านไป มีการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมี (Biochemical) ชีวกลวิธาน (biomechanical) และชีวสัณฐาน (biomorphology) ของ กระดูกอ่อนผิวข้อ รวมถึงกระดูกบริเวณใกล้เคียง เช่น ขอบกระดูกในข้อ (subchondral bone) หนาตัวขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงของน�้ำไขข้อ ทําให้ คุณสมบัติการหล่อลื่นลดลง โรคนี้ส่วนใหญ่ พบในผู้สูงอายุ มีลักษณะเวชกรรมที่สําคัญ ได้แก่ ปวดข้อ ข้อฝืด มีปุ่มกระดูกงอกบริเวณข้อ การทํางานของข้อเสียไป การเคลื่อนไหวลดลง และหากกระบวนการนี้ดําเนินต่อไปจะมีผลทําให้ข้อ ผิดรูปและพิการในที่สุด
8 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน 1.2 สาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคข้อเข่าเสื่อม 1.2.1 ความเสื่อมที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของกระดูกอ่อน ผิวข้อตามวัย ได้แก่ • อายุ พบว่า อายุ 40 ปี เริ่มมีข้อเสื่อม และอายุ 60 ปี เป็น ข้อเข่าเสื่อมได้ถึงร้อยละ 40 • เพศ ผู้หญิงพบมากกว่าผู้ชาย 2-3 เท่า ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับ การท�ำงานของระบบต่อมไร้ท่อของร่างกาย • น�้ำหนักตัวที่เกิน น�้ำหนักตัวมีความสัมพันธ์อย่างมากกับ เข่าเสื่อม (แรงอัดที่เพิ่มขึ้นให้ข้อเข่า เช่น น�้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ยกของหนัก ทุก ๆ 1 กิโลกรัมที่น�้ำหนักเพิ่มขึ้น เข่าจะต้องแบกน�้ำหนักเพิ่มขึ้น ประมาณ 3 เท่า) 2 • การใช้งาน ท่าทาง กิจกรรมที่มีแรงกดต่อข้อเข่ามาก เช่น การนั่งคุกเข่า พับเพียบ ขัดสมาธิ ขึ้นลงบันไดบ่อย ๆ เป็นต้น • ความบกพร่องของส่วนประกอบของข้อ เช่น ข้อเข่าหลวม กล้ามเนื้อต้นขาอ่อนแรง 1.2.2 ความเสื่อมแบบทราบสาเหตุ เช่น เคยประสบอุบัติเหตุมีการบาดเจ็บที่ข้อต่อ เส้นเอ็น การบาดเจ็บเรื้อรังที่บริเวณข้อเข่าจากการท�ำงานหรือการเล่นกีฬา โรคข้ออักเสบ รูมาตอยด์ เกาต์ ข้ออักเสบติดเชื้อ โรคของต่อมไร้ท่อ เช่น อ้วน เป็นต้น 2. การวินิจฉัย1 2.1 เกณฑ์การวินิจฉัยโรคข้อเข่าเสื่อม ปวดข้อเข่าและภาพรังสีพบปุ่มกระดูกงอก (osteophytes) ประกอบกับมีปัจจัยอย่างน้อย 1 ใน 3 ประการ ดังต่อไปนี้: o อายุมากกว่า 50 ปี
9 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 o ระยะเวลาที่ข้อฝืดตึงช่วงเช้า (morning stiffness) ไม่เกิน 30 นาที o มีเสียงกรอบแกรบ (crepitus) เมื่อเคลื่อนไหว 2.2 การจําแนก (classification tree) โรคข้อเข่าเสื่อม o ปวดข้อเข่าและภาพรังสีพบปุ่มกระดูกงอก หรือ o ปวดข้อเข่าในบุคคลอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป และมีระยะเวลา ที่ข้อฝืดตึงช่วงเช้าไม่เกิน 30 นาที ประกอบกับมีเสียงกรอบแกรบเมื่อ เคลื่อนไหว 2.3 การประเมินความรุนแรงของโรค ภาพถ่ายรังสี ควรใช้ประเมินความรุนแรงของโรค เพื่อให้การรักษา ได้อย่างเหมาะสมตามแนวทางเวชปฏิบัติ หรือก่อนการผ่าตัด ภาพถ่ายรังสี ใช้ในการจําแนกระยะ (staging) โรคข้อเข่าเสื่อม ตามระบบขั้นเคแอล [Kellgren Lawrence: (KL) Grading system] โดย การวินิจฉัยโรคข้อเข่าเสื่อมเริ่มตั้งแต่ เคแอลขั้น 2 หรือสูงกว่า (ดูตาราง) ความรุนแรง ลักษณะที่พบ 0 ภาพรังสี ไม่ปรากฏลักษณะข้อเข่าเสื่อม 1 มีปุ่มกระดูกงอกไม่ชัดเจน ซึ่งมีนัยสําคัญทางคลินิกน้อย 2 มีปุ่มกระดูกงอกชัดเจน แต่ช่องข้อยังไม่ผิดปกติ 3 มีปุ่มกระดูกงอกชัดเจน และช่องข้อแคบลงปานกลาง 4 มีปุ่มกระดูกงอกชัดเจน รวมกับช่องข้อแคบลงรุนแรง และมีเนื้อ กระดูกใต้กระดูกอ่อนกระด้าง (subchondral sclerosis)
10 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน 3. การรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม 3.1 การบ�ำบัดโดยไม่ใช้ยา (Nonpharmocologic therapy) 3.1.1 การอุปนิเทศ (counceling) การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ให้การรักษาร่วมกันทั้งการไม่ใช้ยาและการใช้ยา ผู้ป่วย ข้อเข่าเสื่อมทุกราย ควรได้รับข้อมูลถึงวัตถุประสงค์ในการรักษา ความสําคัญ ในการเปลี่ยนลักษณะความเป็นอยู่ การออกกําลังกาย การทํากิจกรรม การลดน�้ำหนักและวิธีการอื่น ๆ เพื่อลดแรงกระทําที่ข้อเข่า ประเด็นหลัก คือ เน้นการให้ข้อมูลให้ผู้ป่วยเข้าใจและร่วมมือ ประเด็นรอง คือ การให้ผู้ป่วย ปฏิบัติตนอย่างต่อเนื่อง ด้วยวิธีการรักษาที่ไม่ใช้ยา ซึ่งได้แก่ การออกกําลัง กายบริหาร ควรมีการติดตาม ผลการรักษาอย่างสม�่ำเสมอ เพื่อประเมินการ บริบาลตนเอง (self care) และความสามารถในการทํากิจวัตรประจําวัน ของผู้ป่วย 3.1.2 การลดน�้ำหนัก ผู้ป่วยที่มีดัชนีมวลกายมากกว่า 23 กก./ตร.ม. ควรลด น�้ำหนักลงให้อยู่ในระดับใกล้เคียงมาตรฐาน หรืออย่างน้อยร้อยละ 5 ของน�้ำหนักตัว ขณะที่มีอาการปวดข้อ1 3.1.3 การฟื้นฟูสมรรถภาพข้อเข่า 3.1.3.1 ประเมินความสามารถในการประกอบกิจวัตร ประจําวันพื้นฐาน (basic ADL) และความสามารถใช้อุปกรณ์ (instrumental ADL) ซึ่งเป็นการใช้อุปกรณ์ช่วยในชีวิตประจําวัน เช่น การปรุงอาหาร การทําความสะอาดบ้าน การไปจ่ายตลาด การเดินทางโดยพาหนะ 3.1.3.2 ปรับเปลี่ยนรูปแบบชีวิตประจําวัน เช่น เลี่ยงการงอเข่า คุกเข่า หรือ ขัดสมาธิ แนะนําการขึ้นลงบันไดเท่าที่จําเป็น 3.1.3.3 การใช้อุปกรณ์เครื่องช่วยต่าง ๆ พิจารณาตาม ความรุนแรงของโรคและสภาวะผู้ป่วย4
11 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 การใช้กายอุปกรณ์เสริม เช่น ในผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมซึ่งมีเข่า ไม่มั่นคง ทั้งขาโก่ง (varus) หรือขาฉิ่ง (valgus) ที่ยังไม่ถึงระดับรุนแรง การสวมสนับเข่าแกนเหล็กด้านข้าง หรือใช้อุปกรณ์พยุงเข่า (knee brace / support) จะช่วยลดอาการเจ็บปวด เพิ่มความมั่นคง และลด ความเสี่ยงของการล้ม การใช้ไม้เท้าหรือร่มจะช่วยแบ่งเบาแรงกระท�ำต่อข้อเข่าได้ ประมาณร้อยละ 25 ของน�้ำหนักตัว ในกรณีที่ปวดมาก ควรถือไม้เท้าหรือ ร่มในมือด้านตรงข้ามกับข้างที่ปวด หากปวดเข่าทั้ง 2 ข้าง ให้ถือด้วยมือ ข้างที่ถนัด 3.1.3.4 การฝังเข็ม มีหลักฐานแสดงถึงประสิทธิศักย์ ทางคลินิกในผู้ป่วยซึ่งมีข้อที่เข่าเสื่อม จากแนวทางเวชปฏิบัติของ OARSI แสดงว่า ช่วยลดอาการปวดข้อติด และเพิ่มการใช้งานของข้อได้อย่างมี นัยสําคัญทางสถิติ มีการศึกษาทบทวนอย่างเป็นระบบจากการสุ่มตัวอย่าง ควบคุม 10 ฉบับเมื่อ พ.ศ. 2551 ในผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อม 1,456 คน พบว่า การฝังเข็ม มีประสิทธิภาพในการบําบัดอาการปวดและแก้ไขการทํางานข้อ ที่ผิดปกติได้ 3.1.3.5 การใช้วิธีการทางกายภาพบ�ำบัด ได้แก่ เลเซอร์ Transcutaneus electrical nerve stimulation (TENS) การใช้ความร้อน และการใช้สนามแม่เหล็ก (pulse electromagnetic field) อาจน�ำมาใช้ เพื่อบรรเทาอาการปวดและเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้ข้อเข่า วิธีการเหล่า นี้ควรให้แพทย์ผู้ช�ำนาญเฉพาะทางเป็นผู้พิจารณาสั่งการรักษา 3.1.4 กายบริหารบําบัด1,3,4 (Therapeutic exercise) แนะนําอย่างยิ่งให้ผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมได้รับการ สร้างเสริมให้ออกกําลังกายแบบใช้ออกซิเจนและการบริหารกล้ามเนื้อ ให้แข็งแรง อย่างสม�่ำเสมอ รูปแบบและวิธีการบริหาร ต้องพิจารณาเป็น
12 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน รายบุคคล ขึ้นกับความรุนแรง ระยะของโรค โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่ม ความแข็งแรงและความทนทานของกล้ามเนื้อรอบข้อ เพิ่มพิสัยการ เคลื่อนไหว และป้องกันการติดของข้อ แบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ 3.1.4.1 กายบริหารแบบใช้ออกซิเจนและแรงกระแทก ต�่ำ (low-impact aerobic exercise) เช่น การเดิน การปั่นจักรยาน การ ออกกําลังในน�้ำ เพื่อป้องกันแรงที่กระทําต่อข้อเข่ามากเกินไป 3.1.4.2 กายบริหารงอเหยียดข้อเข่า (ROM หรือ flexibility exercise) เพื่อป้องกันการยึดติดของข้อ 3.1.4.3 กายบริหารเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ หน้าขา (quadriceps exercise) เพื่อให้กล้ามเนื้อช่วยลดแรงกระทําต่อข้อเข่า 3.2 การบ�ำบัดด้วยยา (Medical treatment) 3.2.1 ยาทาเฉพาะที่ เช่น ยาทาเจลพริก (capsaicin) ยาทา เมทิลซาลิไซเลต (methyl salicylate) และ ยาทาต้านการอักเสบ (topical NSAIDs) ให้ผลดีพอควรและปลอดภัย พิจารณาให้ยาทาเป็นยาเสริมยาตัวอื่น หรือให้เดี่ยว ๆ ในกรณีที่กินยาไม่ได้ผล และไม่ต้องการยาฉีด 3.2.2 ยาแก้ปวด มีหลายชนิด ที่ปลอดภัยและลดอาการปวด ได้ดี คือ พาราเซตามอล (paracetamol) จึงเลือกใช้เป็นยาขนานแรก และใช้เป็นยาต่อเนื่องเพื่อบรรเทาปวดระยะยาว 3.2.3 ยาต้านการอักเสบ ลดอาการปวดและอักเสบได้ดี แต่ต้องใช้ยาในปริมาณที่น้อยที่สุด และต้องใช้อย่างระมัดระวัง ในผู้ป่วยที่มี หรือเสี่ยงต่อโรคทางเดินอาหาร หรือโรคหัวใจและหลอดเลือด 3.2.4 ยาพยุงหรือลดความเสื่อมของข้อ กลุ่ม SYSADOA (symptomatic slow acting drugs for OA) เช่น กลูโคซามีน ซัลเฟต (glucosamine sulfate), คอนดรอยติน ซัลเฟต (chondroitin sulfate)
13 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 และไดอะเซอเรน (diacerein) สามารถลดอาการปวดและอาจเปลี่ยน โครงสร้างกระดูกอ่อนของข้อต่อ ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ช้า ต้องใช้ติดต่อกัน เวลานาน จึงมีค่าใช้จ่ายสูง 3.2.5 ยาฉีดเข้าข้อ ได้แก่ สารทดแทนน�้ำหล่อเลี้ยงข้อ และ สเตียรอยด์ การฉีดสารทดแทนน�้ำหล่อเลี้ยงข้อ เป็นการฉีดยากรด ไฮยาลูโรนิกเข้าข้อ (Intraarticular hyaluronic acid) ท�ำเมื่ออาการไม่ดีขึ้น หลังจากได้รับการรักษาด้วยยาบรรเทาปวดหรือยาต้านการอักเสบ การฉีดยาสเตียรอยด์เข้าข้อ ท�ำในกรณีมีการบวมจากน�้ำ ซึมซ่านในข้อ เพื่อบรรเทาอาการปวดระยะสั้นเท่านั้น โดยเว้นระยะห่าง อย่างน้อย 3 เดือนต่อหนึ่งครั้ง และไม่แนะนําให้ใช้ เกินกว่า 1 ปี 3.3 การบ�ำบัดโดยการผ่าตัด1 (Surgical treatment) 3.3.1 การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียม ผู้ป่วยที่สมควรได้รับ การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมทั้งข้อ ต้องมีลักษณะซึ่งเป็นข้อบ่งชี้ทุกข้อ ดังต่อไปนี้ (1) ให้การรักษาอนุรักษ์ทั้งการไม่ใช้ยาและการใช้ยา ร่วมกันแล้วไม่ได้ผลเป็นระยะเวลามากกว่า 6 เดือน (2) มีผิวข้อเข่าทุกผิวเสื่อมอย่างรุนแรง (3) อายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป 3.3.2 การล้างข้อ (joint lavage) และการตัดแต่งเนื้อเยื่อ ในข้อด้วยการส่องกล้อง (arthroscopic debridement) ทําการส่องกล้อง ผ่าตัดในข้อ (arthroscopic surgery) เฉพาะในผู้ป่วยที่มีอาการทางกลวิธาน คือมีหมอนรองข้อเข่า (meniscus) หรือ กระดูกอ่อนหลวม (loose bodies) หรือมีแผ่นเนื้อ (flap) ทําให้ข้อเข่ายึดเหยียดงอไม่ได้ หรือเดินแล้วล้มเท่านั้น
14 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน 3.3.3 การผ่าตัดกระดูกเปลี่ยนแนว (osteotomy) และ หัตถการคงสภาพข้อ (joint preserving procedures) ผ่าตัดกระดูก จัดแนวแข้งด้านบนในผู้ป่วยอายุน้อยและยังมีกิจกรรมมาก โดย ผู้ป่วยต้อง มีลักษณะก่อนผ่าตัด ได้แก่ (1) งอเข่าได้อย่างน้อย 90 องศา (2) ยังมีกระดูกอ่อนผิวข้อด้านในคงเหลืออยู่ (3) ไม่มีการเสื่อมของกระดูกอ่อนผิวข้อเข่าด้านนอก และ กระดูกอ่อนผิวสะบ้าหรือมีน้อยมาก (4) เข่ายังมั่นคงดี หรือมีการเลื่อนไปด้านนอก หรือ ความไม่มั่นคงไม่มากนัก 3.3.4 การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมบางส่วน (Unicompartment knee replacement) ทําในผู้ป่วยที่มีข้อเข่าเสื่อมจํากัดอยู่ในส่วนเดียว (single compartment) ผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมประมาณหนึ่งในสาม ได้ถูกจํากัด ให้ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเพียงด้านเดียว ซึ่งผู้ป่วยเหล่านี้ ประมาณร้อยละ 30 เป็นโรคข้อเสื่อมบางส่วนที่พบบริเวณช่องด้านใน (medial compartment) ร้อยละ 3 พบที่บริเวณช่องด้านนอก (lateral compartment) และร้อยละ 69 มีพยาธิสภาพเกี่ยวข้องกับบริเวณข้อสะบ้ากับกระดูกต้นขา (patella-femoral joint)
15 เอกสารอ้างอิง 1. ราชวิทยาลัยแพทยออรโธปดิกสแหงประเทศไทย, สมาคมรูมาติสซั่ม แหงประเทศไทย, ราชวิทยาลัยแพทยเวชศาสตรฟนฟูแหงประเทศไทย. แนวปฏิบัติบริการสาธารณสุขโรคข้อเข่าเสื่อม พ.ศ. 2554 [ออนไลน์]. [14 กุมภาพันธ์ 2561]; ที่มา: http://www.chiangmaihealth.go.th/ cmpho_web/document/160610146554495425.pdf 2. วิไล ชินสกุล. เข่าเสื่อมกับกล้ามเนื้อที่ท�ำงานผิดปกติ. ใน: ธ�ำรงรัตน์ แก้วกาญจน์ และคณะ. เข่าเสื่อม. กรุงเทพฯ: มูลนิธิมหาวชิราลงกรณ์; 2545. หน้า 73 - 98. 3. วิโรจน์ กวินวงศ์โกวิท. คู่มือข้อเข่าเสื่อม [ออนไลน์]. [1 กุมภาพันธ์ 2561]; ที่มา: https://med.mahidol.ac.th/ortho/th/data/patientth 4. ส�ำนักพัฒนาวิชาการแพทย์ กรมการแพทย์. แนวทางเวชปฏิบัติการวินิจฉัย และรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม. [ออนไลน์]. [18 กุมภาพันธ์ 2561]; ที่มา: http://203.157.39.7/imrta/images/pdf_cpg/2548/12.pdf
17 โรคข้อเข่าเสื่อมตามศาสตร์การแพทย์แผนไทย วัชราภรณ์ นิลเพ็ชร์, พท. “โรคข้อเข่าเสื่อม” เป็นโรคในกลุ่มกระดูก ข้อ กล้ามเนื้อและเส้นเอ็น ทางการแพทย์แผนไทย กล่าวว่า ที่ตั้งที่แรกเกิดของโรค (สมุฏฐาน) เกิดจาก การเสียสมดุลของธาตุ (ธาตุสมุฏฐาน) ความเสื่อมตามอายุขัย (อายุสมุฏฐาน) อากาศ (อุตุสมุฏฐาน) กาลเวลาหรือ การเปลี่ยนแปลงในรอบ 24 ชั่วโมง (กาลสมุฏฐาน) สถานที่ถิ่นที่อยู่อาศัย (ประเทศสมุฏฐาน) และมูลเหตุหรือ พฤติกรรมการเกิดโรค ได้แก่ อิริยาบถ การกระทบความร้อนความเย็น การท�ำงานเกินก�ำลัง การบริโภคอาหารไม่เหมาะสม ส่งผลกระทบถึงตรีโทษ เกิดอาการปวด ขัด ตึง (วาตะสมุฏฐาน) เกิดการอักเสบเรื้อรังของข้อเข่า (ปิตตะสมุฏฐาน) อาจมีอาการปวด บวมรอบ ๆ ข้อเข่า (เสมหะสมุฏฐาน) เป็นเหตุให้ธาตุสมุฏฐาน เสียสมดุล ก�ำเริบ หย่อน พิการ นอกจากที่ตั้งที่แรกเกิดของโรคข้อเข่าเสื่อมตามที่ได้กล่าวมา บางรายที่เป็นโรคเกาต์ หรือโรครูมาตอยด์ ก็น�ำมาซึ่งโรคข้อเข่าเสื่อมได้ ตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งโรคเกาต์ในทางการแพทย์แผนไทยจัดเป็นโรคเกี่ยวกับ กระดูกพิการ เป็นโรคที่เกิดขึ้นภายใน (อันตโรโค) อาการบ่งบอกถึงสมุฏฐาน ปถวี พิกัดปิหกังพิการ อัฏฐิพิการ มังสังพิการ ตโจพิการ นหารูพิการ ไปถึง สมุฏฐานอาโป พิกัดลสิกาพิการ วสาพิการ ส่วนโรคปวดข้อรูมาตอยด์ เป็นโรคแทรกซ้อนที่กลายมาจากไข้ประดง 7 จ�ำพวก ที่วางยาดับพิษและ กระทุ้งพิษไม่ออกหรือออกไม่หมด ท�ำให้พิษเข้าในข้อในกระดูก แล้วเกิด อาการของลมจับโปงขึ้น
18 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน โรคข้อเข่าเสื่อมทางการแพทย์แผนไทยจัดอยู่ในโรคลมชนิดหนึ่ง คือ โรคลมจับโปงเข่า ค�ำว่าจับโปง หมายถึง โรคลมชนิดหนึ่ง ท�ำให้มีอาการ ปวดบวมตามข้อ มีน�้ำใสในข้อ โดยเฉพาะข้อเข่า และข้อเท้า โรคลมจับโปงเข่า แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้ 1. ลมจับโปงน�้ำเข่า มีการอักเสบรุนแรงของข้อเข่า ท�ำให้มีอาการ ปวด บวม แดง ร้อน และอาจมีไข้ร่วมด้วย จึงมักเรียกว่าไข้จับโปง 2. ลมจับโปงแห้งเข่า มีการอักเสบ เรื้อรังของข้อเข่า ท�ำให้มีอาการ ปวด บวมบริเวณข้อเล็กน้อย การเกิดโรคลมจับโปงเข่า ในระยะแรกจะเกิดลมในข้อเข่า มีการ อักเสบ ปวด บวม แดง ร้อน ทั้งข้อเข่า อาจจะมีอาการสะบ้าลอย สะบ้าหลวม ลงนํ้าหนักได้ไม่เต็มที่ บางคนอาจมีการอักเสบจนไข้ตัวร้อน (ไข้จับโปง) ในระยะแรกนี้เรียกว่า“ลมจับโปงน�้ำเข่า” ซึ่งเป็นระยะที่กระดูกไม่ได้เสื่อม แต่ที่เสื่อม คือ ผิวของกระดูกอ่อนภายในข้อเข่า ต่อมาเมื่อกระดูกอ่อนมีการ กระแทกกันบ่อย ๆ ชั้นผิวของกระดูกอ่อนจึงค่อย ๆ บางลงเรื่อย ๆ ในที่สุดผิว ของกระดูกอ่อนก็หายไป เมื่อไม่มีกระดูกอ่อนคอยดูดซับแรงแล้ว เนื้อกระดูก ภายในข้อเข่าของทั้งกระดูก femur และ กระดูก tibia จึงชนกันในขณะที่มี การใช้งานข้อเข่า เมื่อนานเข้าน�้ำไขข้อ มีปัญหา ส่งผลให้ระบบไหลเวียนเลือด ไม่ปกติ เกิดลมในข้อเข่าอักเสบเรื้อรัง จะมีอาการสะบ้าเจ่า (สภาวะลูกสะบ้า ติดแน่นไม่สามารถคลอนได้) ท�ำให้สะบ้ายึดติดไม่ไหวคลอน มีหินปูนเกาะ ขัดข้อเข่า เข่าบิดผิดรูป มีความพิการหลงเหลือให้เห็น เป็นขาโก่ง ขาเก ปวดตรงพับเข่าด้านใน เหมือนปลาตอด งอเข่าชิดสะโพกหรือนั่งยองไม่ได้ มีเสียงดังในข้อเวลาขยับข้อ และที่เนื้อกระดูกนั้นมีเส้นประสาทรับความ รู้สึกอยู่ ท�ำให้รู้สึกปวดเสียวในข้อ ระยะที่สองนี้ เรียก “ลมจับโปงแห้งเข่า” “โรคลมจับโปงเข่า” เกี่ยวข้องอวัยวะในร่างกาย ได้แก่ ปถวีธาตุ : อัฐิ (กระดูก) เป็นรูปร่างของข้อ และกระดูกข้อต่อ ที่จะท�ำให้ข้อขยับได้ดี หรือไม่ บาดเจ็บหรือเคลื่อนหลุดได้ง่ายหรือไม่ เมื่อพิการจะท�ำให้มีอาการ
19 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 ปวดเจ็บในแท่งกระดูก ปถวีธาตุ : มังสัง (เนื้อ) เป็นกล้ามเนื้อที่จะท�ำให้ข้อ เกิดการเคลื่อนไหว เกิดความแข็งแรงของข้อ ป้องกันอันตรายที่จะเกิดกับ ข้อและสิ่งที่อยู่บริเวณรอบข้อต่อ ปถวีธาตุ : นหารู (เส้นเอ็น) เป็นทาง เดินของลมที่จะท�ำให้ข้อท�ำงานได้ ช่วยในการเคลื่อนไหวและเสริมความ มั่นคงของข้อ เป็นหลอดเลือด และเส้นประสาทจะหล่อเลี้ยงเนื้อเยื่อ และ ท�ำให้เกิดการท�ำงาน เมื่อพิการ ท�ำให้กายรู้สึกตึงรัด ผูกดวงใจให้สวิงสวาย และอ่อนหิว ปวดเจ็บตาม เส้นเอ็นทั่วร่างกาย อาโปธาตุ :ลสิกา (น�้ำมันไขข้อ) ช่วยหล่อลื่นลดแรงเสียดทานขณะที่ข้อมีการเคลื่อนไหว หากนํ้าหล่อเลี้ยง ข้อน้อยลงก็จะท�ำให้ข้อต่อแห้ง ท�ำให้เกิดอาโปธาตุ : โลหิตตัง (น�้ำเลือด) คั่งตกตะกอน ถ้าเลือดคั่งตกตะกอนไม่มากก็จะมีเพียงอาการร้อน เจ็บเมื่อ สัมผัส แต่ถ้าเลือดคั่งและตกตะกอนอยู่นานก็จะมีอาการบวมแดงร่วมด้วย ปวดตลอดเวลาทั้งที่ไม่ได้สัมผัส ท�ำให้เกิด วาโยธาตุ : ลมสัตถกะวาตะ (ลมไหลเวียนตามแนววิถีผ่านของเส้นอิทา ปิงคลา) ลมจับโปง (ลมประจ�ำ เส้นอิทา) ลมรัตนาวาต (ลมประจ�ำเส้นปิงคลา) ค้างเวลาขยับข้อก็จะมีความ ฝืดขัด แต่ถ้านาํ้หล่อเลี้ยงข้อลดน้อยอยู่นานหรือแห้งเสื่อมมากขึ้น ก็จะท�ำให้ ข้อแห้งมากขึ้น ท�ำให้การขยับเคลื่อนไหวข้อติดขัด ท�ำให้กระทบปถวีธาตุอื่น ที่อยู่รอบข้อไปด้วย ถ้าหากตอนขยับข้อยังไม่มีเสียงดังแสดงว่าปถวีธาตุยังไม่ เสียมากนัก หากปถวีธาตุเสื่อมก็จะท�ำให้เมื่อขยับข้อจะเกิดการเสียดสีของ กระดูกข้อต่อท�ำให้ข้อต่อร้อนขึ้น
20 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน “โรคลมจับโปงเข่า” กับพระคัมภีร์ตามศาสตร์ทางการแพทย์แผนไทย ที่เกี่ยวข้อง มีดังนี้ พระคัมภีร์เวชศึกษา กล่าวถึงชื่อโรคที่เกี่ยวกับกระดูก ข้อ กล้ามเนื้อ และเส้นเอ็น เช่น อัฏฐิพิการ (กระดูกพิการ) อัฏฐิมิญชังพิการ (ไขกระดูกหรือเยื่อในกระดูกพิการ) ลสิกาพิการ (น�้ำไขข้อพิการ) มังสังพิการ (เนื้อพิการ) นหารูพิการ (เส้นเอ็นพิการ) กิโลมกังพิการ (พังผืดพิการ) พระคัมภีร์ชวดาร เป็นคัมภีร์ที่ว่าด้วยเรื่องเกี่ยวกับลม มีกล่าวถึง เส้นประธานสิบ ซึ่งโรคลมจับโปงเข่า เส้นประธานที่ผ่าน คือ เส้นอิทา เส้นปิงคลา ซึ่งจุดเริ่มต้นอยู่ห่างจากสะดือ ข้างซ้ายและขวา ประมาณ 1 นิ้วมือ (อิทาซ้าย ปิงคลาขวา) แล่นลงไปบริเวณหัวเหน่า ผ่านต้นขาด้านในไปยังเหนือหัวเข่า แล้ววกกลับขึ้นมาที่ต้นขาด้านนอก แล่นขึ้นแนบกระดูกสันหลังถึงต้นคอ ขึ้นไปบนศีรษะ แล้ววกกลับ ผ่านหน้าผากมาจรดที่ริมจมูก ซึ่งเส้นอิทา ปิงคลามีความสัมพันธ์กับระบบ ไหลเวียนเลือด ระบบประสาทสมอง ดังนั้นหากมีการติดขัดหรืออุดตันตาม แนววิถีผ่าน ก็จะท�ำให้มีอาการปวดขึ้นได้ การรักษาโรคลม พิจารณาว่า ลมนั้นบังเกิด ณ ที่ใด เกิดเพื่อเส้น เนื้อ โลหิต กระดูก ผิวหนัง หัวใจ แล้ว จึงพิจารณา ยาควรแก่โรคเป็นลมจ�ำพวกใดบังเกิดขึ้นในเส้น ชอบนวด และยาประคบ กินยาแก้ลมใน เส้นจึงหาย ในพระคัมภีร์ชวดาร กล่าวถึง ยารักษาลมปัถวีธาตุก�ำเริบ 1) ยาพระแสงจักร ให้เอาพริกล่อน สหัสคุณ เปล้าน้อย เบญจกูล ขิง เทียนทั้ง 5 ตรีผลา ไพล ดองดึง สมุลแว้งเท่ายา เจตมูลกึ่งยา สารส้มเท่ายา บดพอกลมจับแต่แม่เท้าจนศีรษะ แก้ลมกลิ้งในท้อง ลมมือตายเท้าตาย ลมจับเท้าเย็น อันมีพิษ 2) ยาแก้ ลมกร่อน ประกอบด้วย ผลผักคราด ผลผักชีล้อม เปล้าทั้ง 2 จุกโรหินี ผลมะตูมอ่อน ผลแตงกวา กุ่มบก บอระเพ็ด ตองแตก เอาเท่า ๆ กัน ใบสลอดเท่ายา ท�ำผงละลายน�้ำร้อน น�้ำสุรา กินแก้ลมทั้งหลาย ลมขัดตะโพก ลมพรรดึก ลมปวดท้อง ลมจุกอก ลมขัดข้อ พระคัมภีร์ตักศิลา กล่าวถึง ไข้ประดง หากเกิดไข้ประดง 7 มาก่อนแล้วรักษาไม่ครบไข้นั้นกระทุ้งพิษไม่หมด พิษกลับคุดเข้าข้อกระดูก ย่อมให้กลับกลายไปเป็นลมจับโปง
21 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 การรักษา“โรคลมจับโปงเข่า” หลักทั่วไปในการรักษาโรคเกี่ยวกับ กระดูก ข้อ กล้ามเนื้อ และเส้นเอ็น ตามแนวทางเวชกรรมแผนไทย ได้แก่ การใช้ยาที่ปรุงขึ้นโดยวิธีทางการแพทย์ไทย 28 วิธี ทั้งภายนอกและภายใน การนวด ช่วยท�ำให้กล้ามเนื้อคลายตัว กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดลมใน ร่างกายให้ไหลเวียนดีขึ้น ช่วยบรรเทา อาการปวด ท�ำให้ข้อเข่าเคลื่อนไหว ได้องศามากขึ้น การอบสมุนไพร เพิ่มการไหลเวียนเลือด ช่วยขจัดความ เมื่อยล้า บรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และเส้นเอ็นให้เบาบางลง การประคบสมุนไพร ช่วยบรรเทาอาการอักเสบ ปวดบวมตามกล้ามเนื้อ อาการฟกช�้ำด�ำเขียว อาการปวดข้อ ข้อบวม ข้ออักเสบ ข้อติด หินปูนเกาะ ตามข้อกระดูก เส้นขอด เส้นแข็งเป็นเถาเป็นดาน อัมพฤกษ์ อัมพาต ตลอดจน เพื่อฟืนฟูสมรรถภ้าพของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น เป็นต้น การบริหารข้อเข่า ท่านั่งยอง ๆ 90 องศา ท่ายืนเขย่งปลายเท้า และท่ากระดกปลายเท้าขึ้นลง การออกก�ำลังกายด้วยท่าฤๅษีดัดตน เช่น ท่าแก้ไหล่ ขา และแก้เข่าขา ท่าแก้เส้นมหาสนุกระงับ ท่าแก้กร่อน ท่าด�ำรงกายอายุยืน ท่าแก้ เข่าขัด เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีวิธีการอื่น ๆ เช่น การอาบหรือแช่สมุนไพร และวิธี การธรรมชาติบ�ำบัด เป็นต้น นอกจากนี้มียาในบัญชียาหลักแห่งชาติ ที่ใช้รักษากลุ่มโรคกล้ามเนื้อ และกระดูก กลุ่มยารับประทาน ได้แก่ ยากษัยเส้น สูตรต�ำรับประกอบด้วย ดอกดีปลี หนัก 40 กรัม เหง้าขิง หนัก 20 กรัม รากช้าพลู หนัก 24 กรัม เถา สะค้าน หนัก 12 กรัม รากเจตมูลเพลิงแดง หนัก 8 กรัม เถาโคคลาน ก�ำลังวัว เถลิง เถาวัลย์เปรียง เถาพริกไทย เถาม้ากระทืบโรง หัวกระชาย แก่นแสมสาร เหง้าไพล หนักสิ่งละ 10 กรัม การบูร หนัก 6 กรัม ลูกจันทน์ ดอกกานพลู เหง้าว่านน�้ำ เหง้ากะทือ ลูกกระวาน พริกไทยล่อน รากชะเอมเทศ เปลือกอบเชยเทศ หนักสิ่งละ 4 กรัม ดอกจันทน์ โกฐน�้ำเต้า ดอกมะลิ ดอกพิกุล ดอกบุนนาค ดอกสารภี เกสรบัวหลวง หนักสิ่งละ 2 กรัม ยาแก้ลมอัมพฤกษ์ ประกอบด้วย เหง้าไพล เหง้าขมิ้นอ้อย เหง้าข่า หัวกระเทียม รากเจตมูล
22 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน เพลิงแดง พริกไทยล่อน ลูกจันทน์ ดอกจันทน์ การบูร หนัก สิ่งละ 5 กรัม ผักเสี้ยนผี (ทั้งต้น) เปลือกต้นทองหลาง เปลือกต้นกุ่มบก เปลือกต้นกุ่ม น�้ำ เกลือสินเธาว์ หนักสิ่งละ 5 กรัม ยาธรณีสันฑะฆาต ประกอบด้วย พริกไทยล่อน หนัก 96 กรัม ยาด�ำสะตุ หนัก 20 กรัม เนื้อลูกสมอไทย มหาหิงคุ์ การบูร หนักสิ่งละ 6 กรัม รงทองประสะ หนัก 4 กรัม ผักแพวแดง เนื้อลูกมะขามป้อม หนักสิ่งละ 2 กรัม ลูกจันทน์ ดอกจันทน์ ลูกกระวาน ดอกกานพลู เทียนด�ำ เทียนขาว หัวดองดึง หัวบุก หัวกลอย หัวกระดาดขาว หัวกระดาดแดง ลูกเร่ว เหง้าขิง รากชะเอมเทศ รากเจตมูล เพลิงแดง โกฐกระดูก โกฐเขมา โกฐน�้ำเต้า หนักสิ่งละ 1 กรัม ยาผสมโคคลาน สูตรต�ำรับที่ 1 ประกอบด้วย เถาโคคลาน โด่ไม่รู้ล้ม ผลมะตูมอ่อน ทองพันชั่ง (ทั้งต้น) หนักสิ่งละ 25 กรัม สูตรต�ำรับที่ 2 ประกอบด้วย เถาโคคลาน หนัก 50 กรัม ส่วนเหนือดินทองพันชั่ง หนัก 25 กรัม โด่ไม่รู้ล้ม ผลมะตูมอ่อน หนัก สิ่งละ 15 กรัม สูตรต�ำรับที่ 3 ประกอบด้วย เถาโคคลาน เถาเอ็นอ่อน แก่นฝาง เถาสะค้าน หนักสิ่งละ 20 กรัม โด่ไม่รู้ล้ม ทองพันชั่ง (ทั้งต้น) หนักสิ่งละ 10 กรัม ยาผสมเถาวัลย์เปรียง สูตรต�ำรับที่ 1 ประกอบด้วย เถาวัลย์เปรียง แก่นดูกหิน (มะดูก) แก่นดูกใส (ขันทองพยาบาท) เหง้าไพล หนักสิ่งละ 25 กรัม สูตรต�ำรับที่ 2 ประกอบด้วย เหง้าไพล หนัก 40 กรัม เถาวัลย์เปรียง แก่นดูกหิน (มะดูก) แก่นดูกใส (ขันทองพยาบาท) หนักสิ่งละ 20 กรัม ยาสหัศธารา ประกอบด้วย พริกไทยล่อน หนัก 240 กรัม รากเจตมูล เพลิงแดง หนัก 224 กรัม ดอกดีปลี หนัก 96 กรัม หัศคุณเทศ หนัก 48 กรัม เนื้อลูกสมอไทย หนัก 104 กรัม รากตองแตก หนัก 80 กรัม เหง้าว่านน�้ำ หนัก 88 กรัม การบูร หนัก 14 กรัม ดอกจันทน์ หนัก 13 กรัม เทียนแดง หนัก 11 กรัม ลูกจันทน์ หนัก 12 กรัม เทียนตาตั๊กแตน มหาหิงคุ์ หนักสิ่งละ 10 กรัม เทียนสัตตบุษย์ หนัก 9 กรัม เทียนขาว รากจิงจ้อ หนักสิ่งละ 8 กรัม เทียนด�ำ หนัก 7 กรัม โกฐกักกรา หนัก 6 กรัม โกฐเขมาหนัก 5 กรัม โกฐก้านพร้าว หนัก 4 กรัม โกฐพุงปลา หนัก 3 กรัม
23 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 ยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ ที่ใช้รักษากลุ่มโรคกล้ามเนื้อ และกระดูก กลุ่มยาส�ำหรับใช้ภายนอก ได้แก่ ยาขี้ผึ้งไพล สูตรต�ำรับที่ 1 ประกอบด้วยตัว ยาส�ำคัญ น�้ำมันไพล 30 กรัม ที่ได้จากการทอดไพลกับน�้ำมันพืชในสัดส่วน น�้ำหนัก 2 ต่อ 1 น�้ำมันระก�ำ 10 กรัม สูตรต�ำรับที่ 2 ประกอบด้วยตัวยา ส�ำคัญ น�้ำมันไพลจากการ กลั่น 14 กรัม น�้ำมันระก�ำ 10 กรัม ยาประคบ มีทั้งแบบยาประคบสมุนไพรสด และยาประคบสมุนไพรแห้ง (รพ.) ประกอบ ด้วย เหง้าไพล 50 กรัม ใบมะขาม 30 กรัม ผิวมะกรูด 20 กรัม เหง้าขมิ้นชัน 10 กรัม ตะไคร้ (ล�ำต้น) 10 กรัม ใบส้มป่อย 10 กรัม เกลือเม็ด 1 ช้อนโต๊ะ การบูร 2 ช้อนโต๊ะ ยาพัฒนาจากสมุนไพร ที่ใช้รักษากลุ่มโรคกล้ามเนื้อ และกระดูก ยา ส�ำหรับรับประทาน ได้แก่ ยาเถาวัลย์เปรียง เป็นผงจากเถาของเถาวัลย์เปรียง (Derris scandens (Roxb.) Benth.) บรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ ลดการอักเสบของกล้ามเนื้อ ยาสารสกัดจากเถาวัลย์เปรียง ตัวยาส�ำคัญ คือ สารสกัดจากเถา ของเถาวัลย์เปรียงที่สกัดด้วย 50 เปอร์เซ็นต์ของ เอทิลแอลกอฮอล์ บรรเทาอาการปวดหลังส่วนล่าง (low back pain) และ อาการปวดจากข้อเข่าเสื่อม (Knee Osteoarthritis) ยาพัฒนาจากสมุนไพร ที่ใช้รักษากลุ่มโรคกล้ามเนื้อ และกระดูก ยาส�ำหรับใช้ภายนอก ได้แก่ ยาพริก เป็นยาที่มีสารสกัดจากผลพริกแห้ง (Capsicum frutescens L.) โดยควบคุมความแรงของสาร capsaicin ใน ผลิตภัณฑ์ส�ำเร็จรูปร้อยละ 0.025 โดยน�้ำหนัก (w/w) บรรเทาอาการปวด ข้อ ปวดกล้ามเนื้อ (musculoskeletal pain) ยาไพล เป็นยาที่มีปริมาณ น�้ำมันหอมระเหยง่ายจากเหง้าไพล (Zingiber montanum (J. Koenig) Link ex Dietr.) ร้อยละ 14 โดยปริมาตรต่อน�้ำหนัก (v/w) บรรเทาอาการ บวม ฟกช�้ำ เคล็ดยอก ยาน�้ำมันไพล ตัวยาส�ำคัญ คือ สารสกัดน�้ำมันไพล ที่ได้จากการทอด (hot oil extract) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ในต�ำรับ ใช้บรรเทาอาการบวม ฟกช�้ำ เคล็ดยอก
24 เอกสารอ้างอิง 1. คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ. บัญชียาหลักแห่งชาติ ปี พ.ศ. 2556 [ออนไลน์]. [14 กุมภาพันธ์ 2561]; ที่มา:http://drug.fda.moph. go.th:81/nlem.in.th/medicine/herbal/book#term-634 2. ปณิตา ถนอมวงษ์. โรคข้อเข่าเสื่อมตามศาสตร์การแพทย์แผนไทย. การประชุมวิชาการพัฒนาเครือข่ายการจัดการความรู้ เรื่องโรคข้อเข่าเสื่อม; 22 พฤศจิกายน 2560; กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก. นนทบุรี. 3. เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ. คู่มือเวชกรรมแผนไทย. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์สามเจริญพานิชย์; 2549. 4. มูลนิธิฟืนฟูส่งเสริมก้ารแพทย์ไทยเดิม อายุรเวทวิทยาลัย (ชีวกโกมารภัจจ์). ต�ำราการแพทย์ไทยเดิม (แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์) ฉบับอนุรักษ์. พิมพ์ครั้งที่2. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย; 2547. 5. ยส พฤกษเวช. คัมภีร์แพทย์แผนไทย : คัมภีร์ชวดาร. [ออนไลน์]. [14 กุมภาพันธ์ 2561]; ที่มา:https://prueksaveda1.blogspot.com/p/ blog-page_22.html 6. วุฒิ วุฒิธรรมเวช. ย่อเวชกรรมแผนไทย. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ศิลป์ สยามบรรจุภัณฑ์และการพิมพ์; 2557. 7. สถาบันการแพทย์แผนไทย. การอบรมโครงการปฏิบัติการฟื้นฟูความรู้ ส�ำหรับผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรนวดไทย 800 ชั่วโมง รุ่นที่ 3. กรมการ แพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก. 8. สุโขทัยธรรมธิราช. เวชกรรมแผนไทย 1 หน่วยที่ 6 โรคเกี่ยวกับ กระดูก ข้อ กล้ามเนื้อ และเส้นเอ็น. [ออนไลน์]. [14 กุมภาพันธ์ 2561]; ที่มา: https://be7herb.wordpress.com
25 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 9. อภิชาติ ลิมติยะโยธิน. โรคข้อเข่าเสื่อมตามศาสตร์การแพทย์แผนไทย. การประชุมวิชาการพัฒนาเครือข่ายการจัดการความรู้ เรื่อง โรคข้อเข่าเสื่อม; 22 พฤศจิกายน 2560; กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก. นนทบุรี. 10. อรรณพ เย็นใจ. ข้อเข่าเสื่อม โรคยอดฮิตวัยชรา. [ออนไลน์]. [14 กุมภาพันธ์ 2561]; ที่มา: http://www.doobody.com
26 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน
27 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 นวัตกรรมโรค “ข้อเข่าเสื่อม” จากส่วนภูมิภาค 1. ชื่อนวัตกรรม : “ยาพอกเข่าต�ำรับพ่อหมอบุญทอง บุตรธรรมมา” โรงพยาบาล : ขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ ส่วนประกอบ: 1. กลุ่มผงยาพอกเข่า มี ดองดึง 100 กรัม แป้งข้าวเจ้า 500 กรัม แป้งข้าวหมาก 2 ลูก และดินเหนียวท้องนาสมัยโบราณ หรือ ดินสอพอง 2. กลุ่มน�้ำยาพอกเข่า มี น�้ำมันไพลสกัด 1,000 มิลลิลิตร น�้ำมันงา 20 มิลลิลิตร น�้ำมันขิง 100 มิลลิลิตร การบูร 100 กรัม พิมเสน 50 กรัม และเมนทอล 25 กรัม 3. การท�ำน�้ำด่าง มี ปูนแดง 20 กรัม และน�้ำเปล่า 1 ลิตร
28 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน วิธีการเตรียม: น�ำส่วนผสมกลุ่มที่ 1 มาบดให้ละเอียด คลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วพักไว้ จากนั้นน�ำส่วนผสมกลุ่มที่ 1 (ผงยาพอก) และกลุ่มที่ 2 (น�้ำยาพอกเข่า) มาผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน ในอัตราส่วน ผง 70 กรัม ต่อ น�้ำยาพอกเข่า 1 ช้อนโต๊ะ แล้วจึงใช้มือนวดส่วนผสมทั้งสองส่วนให้เข้ากัน จากนั้น เติมส่วน ผสมน�้ำด่าง ปริมาณ 3 ช้อนโต๊ะ และนวดยาทั้ง 3 ส่วนให้เป็นเนื้อเดียวกัน จนเหนียวและนุ่มพอเหมาะ จึงน�ำไปพอกเข่า วิธีการใช้: (1) เริ่มจากการนวดเฉพาะจุดบริเวณเข่า 20 นาที (2) ประคบด้วยลูกประคบสมุนไพร ประมาณ 5 นาที เพื่อเปิดรูขุมขน (3) น�ำยามาพอกเข่าทิ้งไว้ 20 นาที ในท่านอนหงาย (4) เมื่อยาแห้ง ใช้ฝ่ามือตบบริเวณที่พอกยา แล้วใช้ฝ่ามือ ลูบตัวยาออก (5) หลังพอกเสร็จทุกครั้ง กระดกปลายเท้าขึ้นลง 50 ครั้ง และกอดเข่าชิดอก 20 ครั้ง สลับซ้าย - ขวา (6) กรณีพอกเองที่บ้าน ควรพอกวันละ 1 ครั้ง ติดต่อกัน 5 วัน และท�ำท่าบริหารเข่า งดอาหารแสลง คือ ข้าวเหนียวมูล ของหมักดอง หน่อไม้ เครื่องในสัตว์ปีก เหล้า เบียร์ ไข่มดแดง แม่มดแดง และแมลงทุกชนิด แต่ถ้ารับบริการที่โรงพยาบาลขุนหาญ จะนัดพอกวันเว้นวัน จนครบ 5 ครั้ง และรักษาต่อเนื่องด้วยวิธีการนวดรักษาสูตรจับโปงเข่าสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ติดต่อกัน 3 สัปดาห์
29 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 2. ชื่อนวัตกรรม : “ยาพอกสมุนไพร” โรงพยาบาล : หนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ ส่วนประกอบ: ยาพอกสมุนไพรสูตรเย็น 1. บอระเพ็ด 2. บัวบก 3. ใบเตย 4. ใบเตย 5. ดินสอพอง ยาพอกสมุนไพรสูตรร้อน 1. ข่า 2. ตะไคร้ 3. กระชาย 4. ขิง 5. ว่านชักมดลูก 6. ขมิ้น 7. ไพล 8. พิมเสน 9. การบูร วิธีการใช้: 1. ซักประวัติตรวจร่างกาย 2. นวดพื้นฐานขาข้างที่เป็น 3. กดจุดสัญญาณเข่า 3 จุด 4. พอกเข่าด้วยสมุนไพรที่ผสมแล้ว 20 - 30 นาที 5. เช็ดยาพอก ออกด้วยผ้าชุบน�้ำ
30 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน 3. ชื่อนวัตกรรม : “ยาพอกเข่า (จับโปงน�้ำ - จับโปงแห้ง)” โรงพยาบาล : คลินิกการแพทย์แผนไทยประยุกต์ วิทยาลัยการแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร จังหวัดปราจีนบุรี ส่วนประกอบ: ยาพอกเข่า (จับโปงน�้ำ) 1. แป้งข้าวเจ้า 500 กรัม 2. ผงหัวดองดึง 50 กรัม 3. ผงพริกไทยล่อน 50 กรัม 4. ตัวยาอื่น ๆ ยาพอกเข่า (จับโปงแห้ง) 1. ใบสะเดา 100 กรัม 2. ใบฟ้าทะลายโจร 50 กรัม 3. เถาบอระเพ็ด 50 กรัม 4. ตัวยาอื่นๆ
31 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 4. ชื่อนวัตกรรม : “แปะลดปวด” โรงพยาบาล : วังน�้ำเย็น จังหวัดสระแก้ว ส่วนประกอบ: 1. ยาเขียวหอม 2. ยา 5 ราก 3. ยาฟ้าทะลายโจร 4. ใบพิมเสนต้น (ปริมาณเท่า ๆ กันทั้ง 4 ชนิด) วิธีการเตรียม: 1. น�ำผงกากยาอย่างละเสมอภาคใส่ในถุงผ้า 2. น�ำไปใส่โหลแก้วหมักแอลกอฮอล์ 70% หมักไว้ระยะเวลา 1 เดือน 3. เตรียมยาแปะใส่ในบีกเกอร์ขนาดใหญ่ 4. ตัดส�ำลีขนาด 9 X 10 เซนติเมตร และบรรจุใส่ซองซิป 5. ตวงยาจ�ำนวน 10 ซีซี และฉีดยาใส่ซองซิปที่บรรจุส�ำลี ไว้แล้ว 6. ตรวจสอบความเรียบร้อย นับจ�ำนวนยา และเก็บยา ใส่ตู้เย็น
32 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน วิธีการใช้: น�ำแผ่นแปะสมุนไพรมาแปะบริเวณที่มีอาการ ทิ้งไว้จนแห้ง ท�ำครั้งละ 3 รอบ วันละ 2 ครั้ง เช้า - เย็น หรือเมื่อมีอาการ (ห้ามแปะ บริเวณที่มีแผลเปิด บริเวณผิวหนังที่บอบบาง เช่น ริมฝีปากและดวงตา ระวัง ในผู้ที่มีผิวบอบบางแพ้ง่าย)
33 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 5. ชื่อนวัตกรรม : “Ja - Pong Patch” โรงพยาบาล : อู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ส่วนประกอบ: 1. ต้นผักเสี้ยนผีทั้งห้า (ถอนทั้งต้นตลอดถึงราก) 2. ไพล 3. การบูร (ปริมาณเท่า ๆ กันทั้ง 3 ชนิด) 4. แอลกอฮอล์ 70% วิธีการเตรียม: 1. คัดเลือกสมุนไพร คือ ไพล ผักเสี้ยนผี การบูร 2. น�ำสมุนไพรไปอบแห้ง 3. น�ำสมุนไพรมาบดหยาบ ด้วยเครื่องบดลูกโม่ 4. ชั่งน�้ำหนักสมุนไพรที่ต้องการ โดย อัตราส่วนสมุนไพร ไพล : ผักเสี้ยนผี : การบูร = 1 : 1 : 1 5. น�ำสมุนไพรมาหมักด้วยแอลกอฮอล์ 70% เป็นเวลา 48 ชั่วโมง 6. น�ำผ้า ที่เตรียมไว้ ใส่ลงในซองฟอยล์ 7. ใส่สารสกัดสมุนไพรลงบนผ้า 30 มิลลิลิตร 8. ปิดซองฟอยล์ โดยไล่อากาศออกให้ได้มากที่สุด 9. น�ำเข้าเครื่องบรรจุสุญญากาศและปิดปากซอง 10.ติดฉลาก
34 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน วิธีการใช้: ใช้พอกบริเวณเข่าที่มีอาการปวด 15 - 20 นาที ครั้งละ 1 แผ่น ต่อการใช้ 1 ครั้ง 6. โรงพยาบาล : กุดชุม จังหวัดยโสธร ส่วนประกอบ: 1. ไพล 2. ผงเถาวัลย์เปรียง 3. กานพลู 4. ผักเสี้ยนผี 5. ผงขันทองพยาบาท 6. ผงดูกหิน 7. ขมิ้นชัน 8. ขิง 9. ผิวมะกรูด 10. ดีปลี 11. ผงพริกไทย 12. เกลือ 13. การบูร 14. พิมเสน
35 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 7. โรงพยาบาล : ห้วยยอด จังหวัดตรัง ส่วนประกอบ: 1. ปูนแดง 200 กรัม 2. ข้าวสาร 200 กรัม 3. ผักเสื้อนผี 100 กรัม 4. หัวไพล 100 กรัม น�ำปั่นและผสมกัน วิธีการใช้: นวดรักษาโรคจับโปงเข่า (ราชส�ำนัก) และพอกยาสมุนไพร (3 ชั่วโมง) กลับบ้าน แต่หากมีอาการคันหรือผื่นแดง ให้ล้างออก หรืออาการรุนแรง ควรพบแพทย์
36 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน 8. ชื่อนวัตกรรม : “โคลนสมุนไพรพอกเข่า” โรงพยาบาล : ท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช ส่วนประกอบ: สูตรที่ 1 1. ดองดึง 2. ไพล 3. ข่า 4. พริก 5. พิมเสน 6. การบูร 7. เมนทอล สูตรที่ 2 1. ดองดึง 2. ไพล 3. ข่า 4. พริก 5. พิมเสน 6. การบูร 7. เมนทอล 8. โคลน
37 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 9. ชื่อนวัตกรรม : “ผ้าขาวม้ากับยาพอกสมุนไพร” โรงพยาบาล : พนา จังหวัดอ�ำนาจเจริญ ส่วนประกอบ: 1. ผ้าขาวม้าขนาด 5 X 5 นิ้ว และขนาด 5 X 25 นิ้ว อย่างละ 2 ชิ้น/คน 2. ไพลสด 200 กรัม 3. ข่าแก่ 200 กรัม 4. แป้งข้าวเหนียว 100 กรัม 5. เหล้าขาว 40 ดีกรี 50 มิลลิลิตร วิธีการใช้: เช็ดท�ำความสะอาดข้อเข่าข้างที่ต้องการพอกก่อน แล้วจึงพอกเข่า ด้วยยาสมุนไพร จากนั้นใช้ผ้าขาวม้าพันข้อเข่า เป็นเวลานาน 30 นาที (ท�ำเช้า - เย็น ติดต่อกัน 1 เดือน)
38 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน 10. โรงพยาบาล : ขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ส่วนประกอบ: 1. ผงแห้ง ประกอบไปด้วย แป้งข้าวจ้าว 1 กก. ผสมน�้ำมันไพล 100 มล. ใช้ปริมาณ 6 ช้อนพูนต่อการพอก 2 เข่า 2. น�้ำด่าง ประกอบไปด้วย ปูนแดง 20 กรัมผสมกับน�้ำเปล่า 1 ลิตร ใช้ปริมาณ 3 ช้อนโต๊ะ ต่อการพอก 2 เข่า 3. น�้ำหมักสมุนไพร ประกอบไปด้วย ย่านาง รางจืด ใบสะเดา ใบเตย เสลดพังพอนตัวเมีย หญ้าขัดมอญ กระดูกไก่ด�ำ อย่างละ 1 ส่วน หมักด้วย แอลกอฮอล์ 95% พอท่วม เป็นเวลา 7 วัน ใช้ปริมาณ 3 ช้อนโต๊ะ ต่อการพอก 2 เข่า วิธีการใช้: 1. หัตถบ�ำบัด ใช้เวลาประมาณ 20 - 30 นาที 2. ประคบสมุนไพร ประคบร้อนชื้น ใช้เวลา 15 นาที 3. พอกยาสูตรชานุรักษ์ พอกไว้ 20 นาที แล้วทาด้วยน�้ำมันไพล และท�ำกายบริหาร
39 การวิเคราะห์ต�ำรับยารักษาโรคข้อเข่าเสื่อม และหลักฐานเชิงประจักษ์ที่เกี่ยวข้อง ดวงแก้ว ปัญญาภู ภบ., ภม.(เภสัชกรรมคลินิก), วท.ด.(เภสัชศาสตร์) รสรินทร์ ไพฑูรย์, พทป., ศตพร สมเลศ, ภบ. ภาวะข้อเข่าเสื่อมเป็นปัญหาสาธารณสุขที่ส�ำคัญ และเป็นภาวะ ที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุและมีแนวโน้มจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ จากการที่ประชากร สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในปัจจุบันประเทศไทยพบผู้ป่วยมากกว่า 6 ล้านคน ซึ่งผู้สูงอายุที่อายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป พบได้ถึงร้อยละ 50 สาเหตุส่วนใหญ่ เกิดจากน�้ำหนักตัวที่มาก ใช้เข่ามาก อาจใช้นานกว่าปกติ หรือผิดท่า ซึ่งผู้ที่มีภาวะข้อเข่าเสื่อมมาก ๆ จะมีอาการเจ็บหรือปวด ข้อเข่าผิดรูป ข้อฝืด หรือข้อติด เดินได้ไม่ปกติ การปฏิบัติภารกิจประจ�ำวันต่าง ๆ ท�ำได้ไม่ สะดวก ส่งผลให้เกิดความทุกข์ทรมานทั้งด้านร่างกายและจิตใจ การรักษา โรคข้อเข่าเสื่อมในปัจจุบันสามารถท�ำได้ทั้งในรูปแบบการรักษาแบบ ประคับประคอง และการผ่าตัด ซึ่งการรักษาแบบประคับประคอง ท�ำได้โดย การปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต ได้แก่ รับประทานอาหารที่เหมาะสม เพื่อควบคุมน�้ำหนักตัว ออกก�ำลังกายชนิดส่งแรงกระแทกข้อเข่าน้อย เป็นประจ�ำ เช่น ว่ายน�้ำ ปั่นจักรยาน เดิน เพื่อส่งเสริมให้ข้อเข่าแข็งแรงขึ้น ลดน�้ำหนักหากมีน�้ำหนักตัวมากเกินไป เพื่อลดแรงกดบนข้อเข่า รับประทาน ยาแก้ปวดและยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ กายภาพบ�ำบัด เช่น การใช้แผ่นรองด้านในรองเท้าและสนับเข่า เพื่อช่วยพยุงและลดแรงกระทบ ต่อเข่า 1 เป็นต้น
40 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน ในศาสตร์การแพทย์แผนไทย จะเรียกโรคที่มีอาการคล้ายโรคข้อเข่า เสื่อมว่าเป็น โรคลมจับโปงเข่า ซึ่งเชื่อว่าโรคนี้จะมีสาเหตุหลายประการ เช่น เกิดจากความผิดปกติของลมในร่างกาย หรือเกิดจากอุบัติเหตุ การเสื่อมตาม อายุขัย หรือท�ำงานหนัก เป็นต้น ซึ่งระยะของการด�ำเนินโรค แบ่งออกมา เป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะแรก เรียกว่า ลมจับโปงน�้ำเข่า หมายถึง เกิดลมคั่ง ที่ข้อเข่า แล้วเกิดการอักเสบของข้อเข่า ซึ่งอาการที่พบ ได้แก่ อาการปวด บวม แดง ร้อน ที่เข่ามากและเป็นทั้งข้อเข่า ระยะที่ 2 เรียกว่าลมจับโปงแห้งเข่า หมายถึง ลมข้อเข่าอักเสบเรื้อรัง จากการเสื่อมของข้อ2 ซึ่งการรักษามีทั้ง แบบใช้ยาและแบบไม่ใช้ยา คือใช้วิธีหัตถการ (การนวด) และการส่งเสริม การออกก�ำลังกาย เป็นต้น ส�ำหรับต�ำรับยาที่ปรากฏในต�ำราพบว่ามีความหลากหลาย แต่หาก วิเคราะห์ต�ำรับยาพอกส่วนหนึ่งที่แพทย์แผนไทยในหน่วยบริการในภูมิภาค น�ำมารักษาผู้ป่วยตามศาสตร์การแพทย์แผนไทย จะพบว่า ยาทาและพอกที่ ใช้ในโรงพยาบาลส่วนใหญ่เป็นสูตรร้อน รสยาที่น�ำคือ เผ็ดร้อน ผสมเปรี้ยว เมื่อผสมกับน�้ำมันต่าง ๆ ซึ่งมีรสมัน ซึ่งรสมันเมื่อจับกับระบบเสมหะจะท�ำให้ เสมหะนั้นจับตัวกันเป็นกลุ่มเหมือนดังกาวที่แผ่จับยึด สิ่งต่าง ๆ คล้ายดังเอ็น มารวมกันจนกระท�ำให้ระบบปิตตะนั้นสูงขึ้น เนื่องจากรสมันนั้นอมความ ร้อนได้ดี และรสมันเหมือนดังเชื้อเพลิงให้ความร้อนอยู่ได้นานมากขึ้น จึงท�ำให้ระบบวาตะมีก�ำลังแรงขึ้น ซึ่งสูตรนี้จะเหมาะกับผู้ป่วยที่เป็น เรื้อรัง คือมีอาการปวด แต่ไม่มีอาการอักเสบ และยาพอกเข่า สรรพคุณ โดยตรง คือดูดพิษความร้อนในหัวเข่า เมื่อศึกษาต�ำรับยาพอกเข่าในแต่ละ โรงพยาบาล พบว่า ตัวยาตรงในต�ำรับ จะประกอบด้วย ดองดึง ไพล และ ขมิ้นชันมีรสร้อนเมา สรรพคุณ แก้ลมจับโปง ลดอาการอักเสบ ลดอาการ ปวดบวมได้ดี นอกจากนี้รสเมาเบื่อ ยังมีสรรพคุณแก้พิษ เมื่อใช้พิษไปต่อสู้กับ พิษ แลัวจึงกระทุ้งออกมาทางพิษปิตตะ พิษวาตะ พิษเสมหะ นอกจากนี้ยังมี ตัวยาประกอบอื่น ๆ ที่ช่วยเสริมฤทธิ์ตัวยาหลัก ส่วนใหญ่จะมีรสเย็น ได้แก่
41 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 พิมเสน บัวบก ย่านาง ซึ่งสรรพคุณยาเย็นจะออกฤทธิ์ดับพิษร้อน ลดอาการ อักเสบได้ดี ส�ำหรับการรักษาด้วยต�ำรับยาสมุนไพรที่มีใช้ในหน่วยบริการของ ส่วนภูมิภาค สามารถรวบรวมรายชื่อสมุนไพรหลักที่นิยมใช้ ได้ดังนี้
42 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงานตารางแสดงรายชื่อสมุนไพรที่นิยมใช้ในการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง สูตร/ชื่อสมุนไพรรสยาและสรรพคุณงานวิจัยที่เกี่ยวข้องดองดึงรสร้อน ราก หัวดองดึงใช้แก้ลมจับโปง ลมเข้าข้อ (รูมาติซั่ม) หัวเข่าปวดบวมได้ดี Gloriosa superba L.เหง้า มีแอลคาลอยด์ colchicines3 ใช้เป็นยารักษาโรคเกาต์ไพล รสร้อน แก้เคล็ดขัดยอก ข้อเท้าแพลง แก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เป็นยาชาเฉพาะที่ รักษาอาการปวดเมื่อยเคล็ดขัดยอก ฟกช�้ำ ลดอาการอักเสบ บวม เส้นตึง เมื่อยขบ เหน็บชา และลดอาการปวด Zingiber montanum (J. Koenig) Link ex A. Dietr.พบสารที่ออกฤทธิ์ลดการอักเสบในสัตว์ทดลองคือ (E)-4(3’,4’-dimethylphenyl) butadiene (DMPBD)4 ขมิ้นชัน รสเผ็ดร้อน เหง้า มีฤทธิ์ ลดการอักเสบ อาจช่วยรักษาโรค รูมาตอยด์ได้ ในต�ำรายาจีนเรียกเจียวหวง (ภาษาจีน กลาง) หรือ เกียอึ้ง (ภาษาจีนแต้จิ๋ว) ใช้เป็นยา แก้ปวด เมื่อย แก้ปวดประจ�ำเดือน Curcuma longa L. สารกลุ่มเคอร์คิวมินนอยด์ (curcuminoids) ประกอบ ด้วย เคอร์คิวมิน (curcumin), demethoxycurcumin, bisdesmethoxycurcumin และน�้ำมันหอมระเหย (volatile oil) ที่มีสารหลักคือเทอร์เมอโรน (turmerone), ซิงจิเบอโรน (zingiberone) และ แอตแลนโตน (atlantone) ซึ่งเคอร์คิวมิน มีฤทธิ์ทั้งต้านอนุมูลอิสระ และต้านการอักเสบที่ดีทั้งในการทดลองในสัตว์ทดลอง และการทดลองทางคลินิก5-6