143 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 สมุนไพรหลักที่ใช้ใน Office Syndrome สมุนไพรรส/สรรพคุณงานวิจัย ไพล เผ็ดร้อน แก้เคล็ดขัดยอก ฟกบวม เส้นตึง เมื่อยขบ เหน็บชา และสมานแผล Zingiber montanum (J. Koenig) Link ex A. Dietr. ฤทธิ์ลดการอักเสบ เมื่อทดลองน�ำครีมไพล (ไพลจีซาล) (น�้ำมัน ไพลร้อยละ 14) ไปใช้ในผู้ป่วยข้อเท้าแพลง โดยให้ทาวันละสองครั้ง เมื่อใช้ไปได้ 4 วัน พบว่าสามารถลดการปวดบวมได้ มากกว่ากลุ่มควบคุม คือ piroxicam gel และสาร (E)-1-(3, 4-dimethoxyphenyl) butadiene (DMPBD) พบว่ามีฤทธิ์ ยับยั้งอาการบวมของหูหนูแรทได้ดีกว่ายา Oxyphenbutazone และ Phenidone นอกจากนี้พบว่า DMPBD และ Diclofenac มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกันในการยับยั้งการ อักเสบของเท้าหนูแรทที่เกิดจาก carrageenan การทดสอบ สาร phenylbutenoids ในไพลจ�ำนวน 7 ชนิด ต่อการยับยั้ง เอนไซม์ cyclooxygenase-2 พบว่ามีสาร 4 ชนิดที่มีฤทธิ์ ยับยั้งเอนไซม์ดังกล่าว พิมเสนท�ำให้ความร้อนในร่างกายลดลง กระจายลม แก้ลม บ�ำรุงหัวใจ บ�ำรุงธาตุ แก้โลหิตพิการ Borneol จาก Dryobalanops aromatica Gaertn.หรือ Blumea balsamifera DC. มีการศึกษาพบว่า พิมเสน มีฤทธิ์ลดปวดและการอักเสบใน หนูทดลอง (mice)2
144 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงานสมุนไพรรส/สรรพคุณงานวิจัยพริกไทยเผ็ดร้อน แก้จุกเสียด แน่นท้อง ขับลมในล�ำไส้ให้ผายเรอ ช่วยเจริญอาหาร แก้กองลม บ�ำรุงธาตุ แก้ลมอัมพฤกษ์ แก้มุตกิต แก้ลมสุตถกะวาตะ แก้ลมอันเนื่องจากอวัยวะสืบพันธุ์ แก้ลมมุตตฆาต แก้เสมหะ Piper nigrum L.พบว่าสารส�ำคัญกลุ่มเอไมด์อย่างน้อย 3 ชนิด อาทิ piperine, pellitorine, 3,4-dimethyinenedioxycinnamoyl -piperidine และß-sitesterol ในสารสกัดในเอทานอลมีฤทธิ์ลดปวด ลดการอักเสบ ยับยั้งการสังเคราะห์พลอสตาแกลนดิน ลดอาการบวม คลายกล้ามเนื้อเรียบ กระตุ้นกล้ามเนื้อลาย3 ขมิ้นชัน เผ็ดร้อน แก้โรคเหงือกบวมเป็นหนอง รักษาแผลสด แก้โรค กระเพาะ แก้ไข้คลั่งเพ้อ แก้ไข้เรื้อรังผอมเหลือง แก้โรคผิวหนัง แก้ท้องร่วง แก้บิด พอกแผลแก้เคล็ด ขัดยอก ขับผายลมคุมธาตุ หยอดตาแก้ตาบวม ตาแดง ทาแผลถลอก แก้โรคผิวหนังผื่นคัน แก้ท้อง อืดท้องเฟ้อ รักษาแผลในกระเพาะอาหาร Curcuma longa L. พบว่าน�้ำมันจากขมิ้นชัน (Tumeric oil) อาทิ ar-turmerone (61.79%), curlone (12.48%), และ ar-curcumene (6.11%) มีฤทธิ์ลดปวด ต้านการอักเสบ และ ต้านอนุมูลอิสระ มีการศึกษาทางคลินิกหลายการศึกษาที่พบว่าขมิ้นชันสามารถ รักษาอาการข้อเข่าอักเสบ แก้ปวด ลดการอักเสบได้ดี4-5
145 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 สมุนไพรรส/สรรพคุณงานวิจัย มะกรูด รสปร่าหอมร้อน แก้นำ้ลายเหนียว กัดเสมหะในคอ กัดเถาดาน ในท้อง แก้ประจำเดือนเสีย ฟอโลหิต ขับลมในลำไส้ ขับผายลม Citrus hystrix DC. สารคูมารินจากเปลือกผิว ชื่อ bergamottin และ นำ้มันหอมระเหยที่ประกอบด้วย citronella, linalool, และอื่นๆ มีฤทธิ์ยับยั้งอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ6 เจตมูลเพลิง ร้อน ราก มีรสร้อน บ�ำรุงไฟธาตุ บ�ำรุงโลหิต ขับลม ในล�ำไส้ และกระเพาะอาหารให้ผายเรอ ขับประจ�ำเดือนสตรี แก้ริดสีดวงทวาร เกลื่อนฝี ให้ ความอบอุ่นแก่ร่างกาย กระจายเลือดลม แก้บวม แก้ปวดบวม กระจายลมในทรวงอก แก้ปวดศีรษะ แก้ปวดท้อง ท้องเสีย มีฤทธิ์บีบมดลูกท�ำให้แท้งได้ ทาแก้โรคกลากเกลื้อน Plumbago indica L. การสกัดรากของเจตมูลเพลิง และแยกสารบริสุทธิ์โดยใช้ คอลัมน์ โครมาโตกราฟฟี พบว่าสารส�ำคัญที่แยกได้มีฤทธิ์ต้าน การอักเสบได้ในหลายความเข้มข้น7 องค์ประกอบทางเคมีของรากเจตมูลเพลิงแดง พบว่ามีหลาย ชนิด อาทิ แนฟธาควิโนน (naphthaquinone) ชื่อ plum- bagin, 3-chloroplumbagin, 6-hydroxyplumbagin, plumbaginol8
146 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงานสมุนไพรรส/สรรพคุณงานวิจัย สมอไทยฝาด ผล เป็นยาฝาดสมาน แก้โรคลม แก้ลมจุกเสียด แก้ในกองลม เป็นยาเจริญอาหาร บ�ำรุงธาตุ แก้เจ็บคอ ขับน�้ำเหลืองเสีย แก้พิษโลหิตและดี แก้พิษร้อนภายในถ่ายพิษไข้ Terminalia chebula Retz.ผลมีฤทธิ์ลดปวด ต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ9 ดีปลี เผ็ดร้อน ผล เป็นยาบ�ำรุงธาตุ แก้ลม ขับลมให้กระจาย แก้ธาตุไม่ปกติ แก้ปฐวีธาตุพิการ แก้ท้องเสีย ขับรกหลังคลอดแก้เส้นสุมนา แก้เส้นอัมพฤกษ์อัมพาต ดับพิษ ปัตตะฆาต แก้เส้นปัตตะฆาต แก้พิษอัมพฤกษ์ แก้ปวดเมื่อยตามตัว Piper retrofractum Vahl. พบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ และกระตุ้น ภูมิคุ้มกันโรค10 ว่านน�้ำ เผ็ดร้อน ใช้แก้ปวด ขับลม ขับเสมหะ แก้ธาตุพิการ แก้ลมจุก แน่นทรวงอก แก้ลมที่อยู่ในท้องแต่นอก บ�ำรุงธาตุน�้ำ แก้ข้อกระดูกหักแพลง บ�ำรุงธาตุ แก้โรคลม แก้ปวด ข้อ ปวดกล้ามเนื้อ Acorus calamus L. ยับยั้งการหดเกร็งของกล้ามเนื้อเรียบ11
147 เอกสารอ้างอิง 1. Zingiber cassumunar. [Internet]. Thailand: [updated 2018 Feb 22; cited 2018 Feb 22]. Available online:http://medplant. mahidol.ac.th/pubhealth/zincus.html 2. Almeida JR, Souza GR, Silva JC, et al. Borneol, a Bicyclic Monoterpene Alcohol, Reduces Nociceptive Behavior and Inflammatory Response in Mice. 2013. The Scientific World Journal. 2013. Article ID 808460. 3. Hu SL, Ao P, Tan HG. Pharmacognostical studies on the roots of Piper nigrum L. II: Chemical and pharmacological studies. Acta Hortic. 1996;426:175-8. 4. Liju VB, Jeena K, Kuttan R. An evaluation of antioxidant, anti-inflammatory, and antinociceptive activities of essential oil from Curcuma longa. L. Indian J Pharmacol. 2011;43(5):526-31. doi: 10.4103/0253-7613.84961. 5. Srivastana S, Saksena AK, Kumar S, Dagur RS. Curcuma longa extract reduces inflammatory and oxidative stress biomarker in osteoarthritis of knee: a four-month, double-blind, ran- domized, placeble-controlled trial. Inflammopharmacol. 2016;24(6):377-88. 6. Balz R, Dandrieus Ba, Lartuad D. The Healing Power of Essen- tial Oils. Motilal Banarsidass Publishers Private Limited. Delhi. 1996. 7. Remya R, Abin S, Kunjamma TJ, Linku A, Devi TTC. Isolation, Characterization and In-vitro Anti-inflammatory Activity of
148 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน Plumbago indica Linnn. Advances in Pharmacology & Toxicology. 2014;15 (1):13-17. 8. เจตมูลเพลิงแดง. [อินเทอร์เนต] สืบค้นจาก : ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. http://www.phargarden. com/main.php?action=viewpage&pid=38. 9. Terminalia chebula: Health benefit of Terminalia chebula fruit. Available online: https://jonbarron.org/herbal-library/ herbs/terminalia-chebula-fruit. 10. Biswas SM, Chakraborty N, Chakraborty P, Sarkar S. Antioxidant and Antimicrobial Activities of the Hot Pungent Chabbarin are Responsible for the Medicinal Properties of Piper chaba, Hunt- er. Research Journal of Medicinal Plant. 2012; 6(8):574-586. 11. Opdyke DLJ. Calamus oil. Food Cosmet Toxicol 1977;4: 234-9.
149 โรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจส่วนต้น (Allergic rhinitis) ณัฐพล สุวัชรังกูร, พบ. บทน�ำ ในที่นี้ โรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจส่วนต้น หมายถึง “โรคจมูกอักเสบ จากภูมิแพ้ (Allergic rhinitis)” ซึ่งเป็นโรคที่พบได้บ่อยในเวชปฏิบัติ เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันชนิดที่ 1 (IgE mediated type I hypersensitivity reaction) พบในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ โดยอุบัติการณ์ใน ประเทศไทยพบประมาณร้อยละ 43.2 - 57.4 ในเด็ก และร้อยละ 21.9 - 26.3 ในผู้ใหญ่ ท�ำให้มีอาการแสดงที่เยื่อบุโพรงจมูก เช่น คัดจมูก น�้ำมูกไหล จาม เป็นต้น ซึ่งอาการจะหายได้เองหรือหลังได้รับการรักษาก็ได้ อาจมีอาการ ตั้งแต่เล็กน้อยจนถึงมีอาการมาก แม้จะไม่ท�ำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตแต่อาจท�ำให้ คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยแย่ลง จากการศึกษาโดยการวัดผลกระทบของโรค ต่อคุณภาพชีวิตผู้ป่วยโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ในสหรัฐอเมริกาพบว่ามีผลต่อ คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมากถึงร้อยละ 62 ของจ�ำนวนผู้ป่วยโรคจมูกอักเสบจาก ภูมิแพ้ทั้งหมด โดยส่วนใหญ่จะมีผลต่อการนอนหลับ ท�ำให้ช่วงเวลากลางวันมี อาการอ่อนเพลีย ท�ำงานได้ไม่เต็มที่และอาจจะต้องหยุดโรงเรียนในเด็กอีกด้วย นอกจากนี้โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ยังอาจพบร่วมกับภาวะแทรกซ้อนอื่น เช่น โรคหอบหืด โรคไซนัสอักเสบ โรคริดสีดวงจมูก โรคหูชั้นกลางอักเสบ โรคทาง เดินหายใจส่วนล่างอักเสบ เป็นต้น ท�ำให้มีค่าใช้จ่ายสูงในการรักษาโรคนี้ โดย ข้อมูลขององค์การโรคภูมิแพ้โลก (World Allergy Organization, WAO) ในปี พ.ศ. 2548 แสดงค่าใช้จ่ายทางตรงของโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ในประเทศ สหรัฐอเมริกาเป็นเงินมากกว่า 11,200 ล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐต่อปี
150 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน และท�ำให้ผลผลิตลดลงโดยประมาณ 600 เหรียญดอลล่าร์สหรัฐต่อคนต่อปี ซึ่งมากกว่าค่าใช้จ่ายทางตรงในโรคเบาหวาน หรือโรคเส้นเลือดหัวใจ และ จากการศึกษาใน 8 ประเทศภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก พบว่าค่าใช้จ่ายทางตรงใน โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้อยู่ระหว่าง 108 - 1,010.62 เหรียญดอลล่าร์สหรัฐ ต่อคนต่อปี แต่อย่างไรก็ตามข้อมูลดังกล่าวข้างต้นยังเป็นข้อมูลที่ต�่ำกว่าความ เป็นจริงอยู่มาก ในประเทศไทยมีข้อมูลที่ได้จาก The Index of Medical Specialties ก็แสดงให้เห็นว่าในปี พ.ศ. 2547 ค่ายาที่ใช้รักษาโรคจมูกอักเสบ จากภูมิแพ้เป็นเงินสูงถึง 1,087 ล้านบาทต่อปี พยาธิสรีรวิทยา เริ่มจากระยะ “Sensitization phase” คือเมื่อมีสารก่อภูมิแพ้ (Antigen) มาสัมผัสกับเยื่อบุโพรงจมูก หลังจากนั้น Antigen presenting cells จะน�ำสารก่อภูมิแพ้นั้นไปเสนอต่อ T helper cell และ B cell โดย Interleukin (IL) -4 และ IL -13 จะกระตุ้น B cell สร้าง IgE จ�ำเพาะต่อสาร ก่อภูมิแพ้ขึ้นมา และไปจับอยู่บน mast cells หรือ basophils ต่อมาเมื่อผู้ป่วย สัมผัส กับสารก่อภูมิแพ้อีกครั้ง สารก่อภูมิแพ้จะไปจับกับ IgE จ�ำเพาะบน mast cells หรือ basophils ที่เคยสร้างไว้แล้วนั้นให้หลั่งสารตัวกลาง (Mediator) ที่ส�ำคัญ ออกมาในระยะเฉียบพลัน (Acute phase) คือฮิสตามีน (histamine) ซึ่งมักจะเกิดขึ้นภายใน 30 นาทีหลังสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ส่งผลต่อเยื่อบุโพรง จมูกท�ำให้มีอาการน�้ำมูกไหล คันคอ จาม และในระยะท้าย (Late phase) จะมีการหลั่ง Cytokine ที่ส�ำคัญ เช่น Interleukin -4 และ Interleukin -13 ซึ่งจะดึงดูด Eosinophils และเซลล์อื่นๆ เช่น Basophils, Mononuclear cells และ T cells ให้เคลื่อนที่ออกมาที่บริเวณโพรงจมูกแล้วแตกตัวหลั่งสาร ECP (Eosinophilic cationic protein) และ MBP (Major basic protein) ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการคัดจมูกในระยะต่อมาหลังจากระยะเฉียบพลันประมาณ 4 - 8 ชั่วโมง พบได้ประมาณร้อยละ 50 ของผู้ป่วย
151 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 รูปที่ 1 แผนภูมิแสดงพยาธิสรีรวิทยาของโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ อาการและอาการแสดง อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่ น�้ำมูกใส คันจมูก คัดจมูก จาม โดยอาจมี อาการที่อวัยวะอื่น เช่น อาการคันตาคันหู คันคอ น�้ำมูกไหลลงคอ ไอเรื้อรัง เจ็บคอเรื้อรัง ผื่นคันผิวหนัง หูอื้อ เสียงในหู หรืออาจมีอาการหอบหืด ร่วมด้วย อาการแสดงที่อาจตรวจพบได้ เช่น ใต้ขอบตาล่างคล�้ำ (Allergic shiner) ดันปลายจมูกขึ้น (allergic salute) รอยย่นที่สันจมูก (Allergic nasal crease) ใบหน้าส่วนล่างยาวกว่าปกติ (Long - face syndrome) หายใจทางปาก (mouth breathing) และอาจตรวจพบความผิดปกติที่ อวัยวะอื่น ได้แก่ ผื่นแพ้ผิวหนัง หลอดลมตีบ
152 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน รูปที่ 2 (ซ้าย) รูปแสดงใต้ขอบตาล่างคล�้ำ (Allergic shiner) และ (ขวา) รูปแสดงการดันปลายจมูกขึ้น (allergic salute) การตรวจทางหู คอ จมูก โดยตรวจโพรงจมูกด้านหน้า (Anterior rhinoscopy) จะพบว่าเยื่อบุจมูกบวมโต ซีด หรือม่วงคล�้ำ มีน�้ำมูกใส จ�ำนวนมาก และตรวจโพรงหลังจมูกอาจพบเยื่อบุช่องคอขรุขระ (Cobblestone) ต่อมอะดีนอยด์หรือเนื้อเยื่อน�้ำเหลืองโต (Lymphoid hyperplasia) ชนิดของโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ เดิมมีการแบ่งชนิดของโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ตามระยะเวลา ที่ผู้ป่วยมีอาการแสดง ได้แก่ 1. ชนิดที่มีอาการเฉพาะฤดู (Seasonal allergic rhinitis) คือ ผู้ป่วยมีอาการบางฤดูเท่านั้น สารก่อภูมิแพ้มักเป็นสารก่อภูมิแพ้ ที่อยู่นอกบ้าน (Outdoor allergens) เช่น เกสรของต้นหญ้า เกสรดอกไม้ 2. ชนิดที่มีอาการตลอดทั้งปี (Perennial allergic rhinitis) คือ ผู้ป่วยมีอาการได้ตลอดทั้งปี สารก่อภูมิแพ้มักเป็นสารก่อภูมิแพ้ที่อยู่ในบ้าน (Indoor allergens) เช่น ไรฝุ่น ขนสัตว์ แมลง แต่ปัจจุบันคณะท�ำงานขององค์การอนามัยโลก (WHO - ARIA) เห็นควรแบ่งชนิดของโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ตามความถี่ของอาการ โดยแบ่งเป็น
153 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 1. มีอาการเป็นครั้งคราว (Intermittent allergic rhinitis) หมายถึง ผู้ป่วยมีอาการน้อยกว่า 4 วันต่อสัปดาห์ หรือมีอาการติดต่อกัน น้อยกว่า 4 สัปดาห์ 2. มีอาการติดต่อกัน (Persistent allergic rhinitis) หมายถึง ผู้ป่วยมีอาการไม่น้อยกว่า 4 วัน ต่อสัปดาห์ ร่วมกับมีอาการติดต่อกัน ไม่น้อยกว่า 4 สัปดาห์ นอกจากนี้ยังได้แบ่งความรุนแรงของอาการว่ามีผลต่อคุณภาพชีวิต ของผู้ป่วยมากน้อยเพียงใด โดยแบ่งเป็น 1. อาการน้อย (mild) คือ - สามารถนอนหลับได้ตามปกติ - ไม่มีผลต่อกิจวัตรประจ�ำวัน การใช้เวลาว่าง และการเล่นกีฬา - ไม่มีผลต่อการเรียน หรือการท�ำงาน - ไม่ท�ำให้ผู้ป่วยร�ำคาญ 2. อาการปานกลางถึงอาการมาก (moderate to severe) คือ มีอาการข้อใดข้อหนึ่ง ได้แก่ - ไม่สามารถนอนหลับได้ตามปกติ - มีผลต่อกิจวัตรประจ�ำวัน การใช้เวลาว่าง และการเล่นกีฬา - มีผลต่อการเรียน หรือการท�ำงาน - ท�ำให้ผู้ป่วยร�ำคาญ
154 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน การวินิจฉัยแยกโรค • Rhinosinusitis with or without nasal polyps • Mechanical factors - Deviated nasal septum - Hypertrophic turbinate - Adenoid hypertrophy - Anatomical variants in the ostiomeatal complex - Foreign bodies - Choanal atresia • Tumours - Benign - Malignant • Granulomas - Wegener’s granulomatosis - Sarcoidosis - Infectious - Malignant-midline destructive granuloma • Ciliary defects • Cerebrospinal rhinorrhea
155 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 การวินิจฉัยโรค การวินิจฉัยโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ ประกอบด้วยการซักประวัติ และการตรวจร่างกายที่เข้าได้กับโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ดังกล่าวมาแล้ว ข้างต้น ร่วมกับการทดสอบภูมิแพ้เพื่อยืนยันการวินิจฉัย ซึ่งมีวิธีการตรวจ หลายวิธี ที่ได้รับความนิยม คือ 1. การทดสอบผิวหนัง (Allergy skin test) โดยดูปฏิกิริยาเกิดเป็นรอยนูน (wheal) หรือแดง (flare) โดยใช้ น�้ำยาที่ใช้สกัดสารก่อภูมิแพ้เป็นตัวควบคุมลบ (negative control) เช่น phenol และ buffered saline เป็นต้น ส่วนน�้ำยาที่ใช้เป็นตัวควบคุมบวก (positive control) คือ histamine dihydrochloride /phosphate อ่าน ผลในเวลา 15 - 20 นาที หลังการทดสอบ ถ้ามีรอยนูน (wheal) ขนาดเส้น ผ่านศูนย์กลางมากกว่าหรือเท่ากับ 3 มิลลิเมตรเมื่อเทียบกับตัวควบคุมลบ ถือว่าให้ผลบวกต่อการทดสอบ มี 2 วิธี คือ 1.1 วิธีสะกิดผิวหนัง (Skin prick test) ใช้น�้ำยาสกัดจากสาร ก่อภูมิแพ้ หยดลงบนผิวหนังที่แขน แล้วใช้เข็มสะกิดบริเวณที่หยดน�้ำยา เพื่อเปิดผิวหนังชั้นบน 1.2 วิธีฉีดเข้าในชั้นผิวหนัง (Intradermal test) ใช้น�้ำยาสกัด จากสารก่อภูมิแพ้ ฉีดเข้าชั้นผิวหนัง ให้ท�ำเฉพาะรายที่สงสัยมากๆ และ ท�ำการทดสอบโดยวิธีสะกิด (Skin prick test) แล้วได้ผลลบเนื่องจากเจ็บ มากกว่าและมีโอกาสเกิด systemic reaction ได้บ่อยกว่า นอกจากนี้ยังมี โอกาสเกิดผลบวกลวงได้มากกว่า ถึงแม้ว่าวิธีนี้จะเป็นวิธีที่มีความไวมากกว่า การทดสอบด้วยวิธีสะกิดผิวหนังก็ตาม 2. ตรวจเลือดวัดระดับภูมิคุ้มกันที่จ�ำเพาะต่อสารก่อภูมิแพ้ แต่ละตัว (Serum allergen-specific IgE)
156 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน 3. การพ่นสารก่อภูมิแพ้เข้าในโพรงจมูก (Nasal provocation test) แล้วเกิดอาการแพ้ต่อสารนั้น 4. ใช้เครื่องมือขูดเซลล์เยื่อบุจมูก (Nasal cytology) ออกมาตรวจ พบ Eosinophil มากกว่าคนปกติ แนวทางการรักษา แนวทางการรักษาโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ ประกอบด้วย การให้ความรู้แก่ผู้ป่วยเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ (Patient education) แนะน�ำให้ หลีกเลี่ยงจากสารก่อภูมิแพ้และควบคุมสิ่งแวดล้อม (Allergen avoidance and environmental control) การรักษาด้วยยา (Pharmacotherapy) การรักษาด้วยการฉีดวัคซีนภูมิแพ้ (Allergen specific immunotherapy) การรักษาด้วยการผ่าตัด (Surgical treatment) 1. การให้ความรู้แก่ผู้ป่วย การให้ความรู้แก่ผู้ป่วยเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ (Patient education) แนะน�ำให้หลีกเลี่ยงจากสารก่อภูมิแพ้และควบคุมสิ่งแวดล้อม (Allergen avoidance and environmental control) เป็นการรักษาที่ดีที่สุด เพราะ เป็นการรักษาที่ต้นเหตุ โดยสังเกตตนเองว่าสัมผัส รับประทานอาหาร หรือ อยู่ในสิ่งแวดล้อมใดแล้วเกิดอาการแพ้ เช่น เมื่อสัมผัสเกสรดอกไม้แล้วมี อาการของโรคภูมิแพ้ ก็ให้สงสัยว่าจะแพ้เกสรดอกไม้และหลีกเลี่ยงการ สัมผัสเกสรดอกไม้ เป็นต้น
157 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 2. การรักษาด้วยยา (Pharmacotherapy) ยาที่ใช้ในการรักษาโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้แบ่งออกเป็น 2.1 ยาต้านฮิสตามีน (H1 receptor antagonist) ออกฤทธิ์ระงับการหลั่งฮิสตามีนโดยการแย่งจับกับตัวรับ ฮิสตามีน (histamine receptor) ช่วยลดอาการน�้ำมูกใส คัน จาม โดยแบ่งออกเป็น 2.1.1 ยาต้านฮิสตามีนรุ่นแรก (First generation) เช่น chlorpheniramine, diphenhydramine, cyproheptadine, hydroxyzine, bromphenilamine, tripolidine ยากลุ่มนี้ท�ำให้น�้ำมูกแห้งเร็วแล้ว ยังมีฤทธิ์ต้านระบบประสาทชนิด โคลิเนอจิก (anticholinergic) ด้วย ทําให้เกิดอาการปากแห้ง คอแห้ง เสมหะ และน�้ำมูกเหนียวข้น และมีผลท�ำให้ง่วงนอนจึงมักใช้ในโรคหวัดมากกว่า โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ รูปที่ 3 แสดงกลไกการออกฤทธิ์ของยาต้านฮิสตามีน (ซ้าย) ก่อนได้รับยา ต้านฮิสตามีนและ (ขวา) หลังได้รับยาต้านฮิสตามีน
158 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน ตารางที่ 1 แสดงชนิด ระยะเวลาการออกฤทธิ์ และปริมาณยาของ ยาต้านฮิสตามีนรุ่นแรก 2.1.2 ยาต้านฮิสตามีนรุ่นที่ 2 (Second generation) เช่น Cetirizine, Loratadine, Desloratadine, Fexofenadine, evocetirizine เป็นยาที่พัฒนามาจากยาต้านฮิสตามีน รุ่นแรก (First generation) มีข้อดีกว่ายาต้านฮิสตามีนรุ่นแรกคือ มีฤทธิ์ ต้านการอักเสบได้ และออกฤทธิ์ได้นาน เพราะจับกับตัวรับฮิสตามีนได้ แน่นและนานขึ้น และไม่มีผลข้างเคียงเหมือนยาต้านฮิสตามีนรุ่นแรก โดย Fexofenadine, Desloratadine และ levocetirizine แม้จะอยู่ ในกลุ่มนี้ แต่เป็นยาที่พัฒนาขึ้นให้สามารถออกฤทธิ์ได้ทันทีเนื่องจากเป็น Active metabolite ไม่ต้องผ่านการเมตาบอลิซึมที่ตับ อีกทั้งยังใช้ปริมาณ ยาน้อยกว่า
159 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 ตารางที่ 2 แสดงชนิด รูปแบบ และปริมาณยาของยาต้านฮิสตามีน ยาต้านฮิสตามีนรุ่นที่ 2 ชนิดรับประทาน ตารางที่ 3 แสดงชนิด รูปแบบ และปริมาณยาของยาต้านฮิสตามีนเฉพาะที่
160 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน 2.2 ยา Corticosteroid 2.2.1 ยาสเตียรอยด์ชนิดรับประทาน (Systemic corticosteroid) มีข้อบ่งชี้ในการรักษาโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ เช่น มีอาการคัดจมูกมาก จมูกไม่ได้กลิ่น (Anosmia) มีริดสีดวงจมูกขนาดเล็ก ร่วมด้วย คัดแน่นจมูกที่สัมพันธ์กับ rhinitis medicamentosa เป็นต้น โดยพิจารณาใช้ oral corticosteroids เช่น Prednisolone ไม่เกิน 5 วัน และไม่เกิน 30 มิลลิกรัมต่อวัน ไม่แนะน�ำให้ใช้ชนิดฉีด 2.2.2 ยาสเตียรอยด์ชนิดพ่นจมูก (Intranasal topical corticosteroid) เป็นยาที่ออกฤทธิ์ต้านการอักเสบของเยื่อบุจมูกเฉพาะที่ ได้ดีมาก โดยถือเป็นการรักษามาตรฐาน มีประสิทธิภาพในการรักษา มากที่สุด จึงใช้ในการรักษาและป้องกันอาการของโรคจมูกอักเสบ จากภูมิแพ้ อย่างไรก็ตามยาในกลุ่มนี้เริ่มออกฤทธิ์ช้า ต้องใช้เวลา ประมาณ 2 - 4 สัปดาห์จึงออกฤทธิ์ได้เต็มที่ โดยใช้ยาในปริมาณที่น้อยที่สุด ที่สามารถคุมอาการทางจมูกได้ ยากลุ่มนี้มีผลข้างเคียงและดูดซึม เข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิตน้อยมาก จึงมีผลข้างเคียงของยาชนิดนี้ ไม่เกินร้อยละ 10 อาการที่อาจพบได้ เช่น แสบจมูก จมูกแห้ง เลือดก�ำเดาไหล เชื้อราในโพรงจมูก เป็นต้น 2.3 ยาอื่นๆ 2.3.1 Anti-leukotriene ยากลุมนี้ไดแก Montelukast, Zafirlukast และ Pranlukast ซึ่งออกฤทธิ์โดยการแยงจับกับตัวรับ Cysteinyl Leukotriene (CysLts) จึงมีผลตานการอักเสบ (antiinflammatory) ช่วยลดอาการคัดจมูกได้ดี เหมาะสําหรับใชในการรักษาผูปวยที่มีโรค ภูมิแพทางจมูกรวมกับโรคหอบหืด
161 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 2.3.2 Anticholinergic ยาในกลุ่มนี้ ได้แก่ Ipratropium bromide เป็นยาที่ออกฤทธิ์ตานฤทธิ์ของ Cholinergic โดยแยง acetylcholine จับกับ muscarinic receptor ที่มาเลี้ยง seromucinous gland ทําใหการหลั่งสารคัดหลั่ง (secretion) ลดลง เป็นยาที่ช่วยลดน�้ำมูก ได้ดีในรายที่ให้การรักษาด้วยยาอื่นแล้วยังมีอาการน�้ำมูกไหล แต่ไม่มีผล ต่ออาการคัดจมูก จาม คันจมูก การใช้เป็นเวลานานอาจท�ำให้จมูกแห้ง เลือดก�ำเดาไหล ปัสสาวะคั่ง (Urinary retention) ต้อหิน (Glaucoma) เป็นต้น 2.3.3 Mast cell stabilizer ยาในกลุ่มนี้ เช่น Cromolyn sodium ออกฤทธิ์ช้า และมีฤทธิ์สั้น โดยออกฤทธิ์ยับยั้งไม่ให้เซลล์หลั่งสาร ที่กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ต่างๆ เช่น histamine, leukotriene เป็นต้น มีประสิทธิภาพน้อยกว่า intranasal topical corticosteroids และ intranasal H1 antihistamine และตองใชวันละ 3 - 4 ครั้ง จึงไมใช เปนยาหลักในการรักษา 2.3.4 Decongestants ออกฤทธิ์กระตุนระบบประสาท sympathetic โดยกระตุ้น α- adrenergic Stimulation ท�ำให้เกิดการ หดตัวของหลอดเลือด และเนื้อเยื่อในจมูกยุบบวม จึงมีฤทธิ์ลดอาการ คัดแนนจมูก สามารถจําแนกยาตามการออกฤทธิ์ไดเปน ยากลุม α 1 adrenergic agonist เชน phenylephrine ย ากลุม α 2 adrenergic agonist เช่น Oxymetazoline, Xylomethazoline, Naphazoline และยากลุม noradrenaline releaser เช่น Ephedrine, Pseudoephedrine และ Phenylpropanolamine โดยแบ่งเป็น 2 รูปแบบ คือ 1) ชนิดรับประทานออกฤทธิ์ทั้งร่างกาย ใช้ในกรณีที่ต้องใช้ยาใน กลุ่มนี้ติดต่อกันเป็นเวลานานกว่า 3 - 5 วัน ผลข้างเคียงที่อาจพบได้ เช่น หงุดหงิด นอนไม่หลับ และอาจท�ำให้ความดันโลหิตสูง
162 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน 2) ชนิดออกฤทธิ์เฉพาะที่ ยาที่ใช้บ่อย เช่น Ephedrine, Oxymetazoline, Phenylephrine ออกฤทธิ์เร็วและได้ผลมากกว่าชนิดรับประทาน อีกทั้งผลข้างเคียงพบน้อย มาก โดยใช้ในระยะเวลาสั้นๆ ไม่ควรใช้ติดต่อกันนานกว่า 1 สัปดาห์เนื่องจาก เกิดภาวะเส้นเลือดขยายตัว (rebound vasodilatation) และ Rhinitis medicamentosa ตารางที่ 4 แสดงชวงเวลาการออกฤทธิ์ของ Topical nasal decongestants กลุ่มยา ชื่อยา ความแรง ช่วงเวลาออก ฤทธิ์ (ชม.) Short-acting Ephedrine 0.5%, 0.25% มากถึง 4 Phenylephrine 1%, 0.5%, 0.25%, 0.125% มากถึง 4 Intermediate –acting Naphazoline 0.025%, 0.05% 4 - 6 Long-acting Oxymetazoline 0.025%, 0.05% มากถึง 12 Xylomethazoline 0.1%, 0.05% มากถึง 12
163 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 ตารางที่ 5 แสดงชนิด รูปแบบ และปริมาณยาที่ใช้ในผู้ใหญ่และเด็กของยา กลุ่ม Intranasal topical steroid, mast cell stabilizer และ anticholinergic 3. การรักษาด้วยการฉีดวัคซีนภูมิแพ้ (Allergen specific immunotherapy) เป็นการรักษาโดยเลือกสารก่อภูมิแพ้ที่ท�ำให้ผู้ป่วยมีอาการแพ้ ท�ำให้เจือจางน�ำมาสกัดท�ำเป็นวัคซีน แล้วฉีดให้แก่ผู้ป่วยทีละน้อยประมาณ อาทิตย์ละ 1 - 2 ครั้ง เป็นเวลาประมาณ 6 เดือน เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถสร้าง ภูมิคุ้มกัน (Blocking antigen) ต่อสารก่อภูมิแพ้จนผู้ป่วยไม่เกิดอาการแพ้ หลังจากนั้นให้ผู้ป่วยมารับการฉีดวัคซีนทุกเดือน ต่อเนื่องกันเป็นเวลา 3 - 5 ปี หรือผู้ป่วยมีอาการลดลงอย่างน้อย 2 ปี ข้อบ่งชี้ในการพิจารณาให้การ รักษาโดยวิธีนี้คือ ผู้ป่วยไม่สามารถหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้นั้นๆ ได้ หรือ ผู้ป่วยมีอาการมากตลอดทั้งปี ไม่สามารถควบคุมอาการให้ดีขึ้นได้โดยการ ใช้ยาหรือผู้ป่วยมีผลข้างเคียงจากการใช้ยา การรักษาวิธีนี้เป็นการรักษา วิธีเดียวที่มีโอกาสหาย แต่มีข้อเสียคือเรื่องของค่าใช้จ่ายที่มีราคาแพง ผู้ป่วยต้องมารับการรักษาต่อเนื่องเป็นเวลานาน และมีโอกาสเกิด Systemic
164 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน reaction ได้ถึงแม้จะไม่มากก็ตาม ปัจจุบันได้มีการพัฒนารูปแบบอื่นๆ ของวัคซีน เช่น การอมใต้ลิ้น (Sublingual specific immunotherapy) และการพ่นจมูก (Nasal immunotherapy) ซึ่งให้ผลการรักษาดีเช่นกัน รูปที่ 5 แสดงแนวทางการรักษาโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ด้วยยา 4. การรักษาด้วยการผ่าตัด (Surgical treatment) เป็นการรักษาเสริม ได้ผลดีในผู้ป่วยที่มีอาการคัดจมูกมากแล้ว รักษาด้วยยาอย่างเต็มที่แล้วอาการยังไม่ดีขึ้น เช่น laser turbinoplasty, radiofrequency turbinolasty, microdebrider - assisted turbinoplasty, ultrasonic bone aspirator turbinoplasty เป็นต้น
165 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 ข้อบ่งชี้ในการส่งต่อผู้ป่วยให้แพทย์ผู้ช�ำนาญเฉพาะทาง โสต ศอ นาสิกแพทย์ 1. มีอาการทางจมูกด้านเดียว 2. Nasal perforations, ulceration หรือ Collapse 3. มีเลือดปนในน�้ำมูก 4. ตกสะเก็ดในโพรงจมูกส่วนบน 5. มีภาวะแทรกซ้อนติดเชื้อเป็นประจ�ำ 6. Periorbital cellulitis ข้อบ่งชี้ในการส่งต่อผู้ป่วยให้แพทย์ผู้ช�ำนาญเฉพาะทางโรค ภูมิแพ้ 1. ไม่สามารถควบคุมอาการได้หลังจากได้รับการรักษา 2. ประเมิน/ตรวจหาสารก่อภูมิแพ้เพื่อการวินิจฉัยที่แน่นอน 3. ประเมินความเป็นไปได้ในการรักษาอาการภูมิแพ้ทางจมูก ด้วยการฉีดวัคซีนภูมิแพ้ 4. เป็นริดสีดวงจมูกซ�้ำๆ บ่อยๆ 5. มีอาการแพ้ในหลายระบบ เช่น อาการทางจมูกร่วมกับ โรคหอบหืด 6. จมูกอักเสบจากการประกอบอาชีพ (Occupational rhinitis)
166 เอกสารอ้างอิง 1. AI notes. Practical Allergy/Immunology Notes: Intranasal Medications. [Internet]. [2018 Feb 5]; Available from: http://ainotes.wikispaces.com/Rhinitis+Medications?show Comments=1#Intranasal Medications.. 2. Australasian Society of Clinical Immunology and Allergy (ASCIA). Allergic Rhinitis Clinical. [Internet]. [2018 Feb 5]; Available from: https://www.allergy.org.au/images/stories/pospapers/ ar/ASCIA_HP_Clinical_Update_Allergic_Rhinitis_2017.pdf. 3. Betul Sin, Alkis Togias. Pathophysiology of Allergic and Nonal- lergic Rhinitis. Proceedings of the American thoracic society. 2011;8:106-14 4. Brozek JL, Bousquet J, Agache I, Agarwal A, Bachert C, BosnicAnticevich S, et al. Allergic Rhinitis and its Impact on Asthma (ARIA) guidelines-2016 revision. The Journal of allergy and clinical immunology. 2017;140(4):950-8. 5. Cas Motala. H1 antihistamines in allergic disease. Current Allergy & Clinical Immunology. 2009;22(2):71-4. 6. Natalya M, Michael A. In-Depth Review of Allergic Rhinitis: [Internet]. 2015 [2018 Jan 10]; Available from: http://www. worldallergy.org/professional/allergic_diseases_center/rhinitis/ rhinitis_indepth.php. 7. Seidman MD, Gurgel RK, Lin SY, Schwartz SR, Baroody FM, Bonner JR, et al. Clinical practice guideline: Allergic rhinitis. Otolaryngology--head and neck surgery : official journal of
167 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 American Academy of Otolaryngology-Head and Neck Surgery. 2015;152(1 Suppl):S1-43. 8. Suneeta Kochhar. Management of allergic rhinitis: a 10-minute update. British Journal of Family Medicine. 2014; 2(2):23-6. 9. ปารยะ อาศนะเสน. โรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ (Allergic rhinitis): [ออนไลน์]. 2017 [21 กุมภาพันธ์ 2561]; ที่มา: http://www.rcot.org/pdf/allergic_rhinitis31-7-2017.pdf. 10. พงศกร ตันติลีปิกร. โรคหืด จมูกอักเสบภูมิแพ้ และไซนัสอักเสบ (Asthma, Allergic Rhinitis and Rhinosinusitis). ใน: สมบูรณ์ จันทร์ สกุลพร, เบญจมาศ ช่วยชู, อรพรรณ โพชนุกูล, ธีระศักดิ์ แก้วอมตวงศ์, บรรณาธิการ. ต�ำราโรคหืด. กรุงเทพฯ: ห้างหุ้นส่วนจ�ำกัด ภาพพิมพ์; 2556. หน้า 211-26. 11. สงวนศักดิ์ ธนาวิรัตนานิจ. Current Practice and Guidance in Allergic Rhinitis management. Srinagarind Med J. 2554;26 (Suppl):20-6. 12. สมาคมแพทย์โรคจมูก (ไทย). แนวทางการพัฒนาการตรวจรักษาโรค จมูกอักเสบภูมิแพ้ในคนไทย (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2554). กรุงเทพฯ: บริษัท ซาโนฟี่-อเวนตีส (ประเทศไทย) จ�ำกัด, บริษัทแกล็กโซสมิทไคล์น (ประเทศไทย) จ�ำกัด, บริษัท เอ็มเอสดี (ประเทศไทย) จ�ำกัด; 2554. 80 หน้า.
169 โรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจส่วนต้น ตามศาสตร์การแพทย์แผนไทย อัจฉรา เชียงทอง และคณะ นิยามทางการแพทย์แผนไทย ทางการแพทย์แผนไทยไม่ได้มีการกล่าวถึงโรคภูมิแพ้โดยตรง แต่มี กลุ่มอาการที่เกี่ยวกับระบบศอเสมหะ ซึ่งมักมีอาการคันจมูก จาม คัดจมูก น�้ำมูกใส ไม่มีไข้ และมีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของอากาศ กระทบร้อน กระทบเย็น กลิ่นควันบุหรี่และน�้ำหอม สัมผัสเกสรดอกไม้ ขนสัตว์ ฝุ่น ไรฝุ่น เป็นต้น ท�ำให้มีอาการ ศอเสมหะก�ำเริบ และสิงฆานิกาพิการ โดยเฉพาะในตอนเช้า ส่วนใหญ่มักเรียกอาการเหล่านี้ว่า หวัดแพ้อากาศ กลไกการเกิดโรคทางการแพทย์แผนไทย ภูมิแพ้เกิดได้จากหลายสาเหตุตั้งแต่วัยแรกเกิดที่ไม่ได้รับการรักษา ตานซาง และสาเหตุอื่นๆ ที่เป็นเหตุให้ธาตุทั้งสี่ไม่สมดุลท�ำให้ระบบภูมิคุ้มกัน บกพร่อง ทางการแพทย์แผนไทย ภูมิแพ้เป็นอาการปรากฏทางเสมหะ เกิดจาก มีสิ่งเร้าผิดมากระตุ้นหรือมากระทบตรีธาตุท�ำให้เสมหะก�ำเริบ ปิตตะ วาตะ ลดลง (หย่อน) จากอากาศหรือภูมิประเทศเปลี่ยนแปลง เช่น ฤดูสมุฏฐาน เปลี่ยนแปลงกระทบต่อศอเสมหะและอุระเสมหะ ท�ำให้เสมหะกลายเป็น ปะระเมหะ (เมือก มูกต่างๆ) เป็นตะกรันในทางเดินแห่งลมอัสสาสะปัสสาสะ วาตา หรือเป็นผลจาก ปับผาสะกระทบกับความเย็นภายนอก ท�ำให้ไฟอุ่น กายไม่ปกติ เสมหะจับเป็นเมหะที่ข้นเหนียวในทางเดินของลมหายใจและ
170 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน เป็นไข้ ไอ หอบ หรือเป็นไข้ หวัด มีน�้ำมูก ครั้นป่วยเป็นนานวันเข้าแปรให้เป็น โรคหนักมีอาการก�ำเริบมากกว่าปกติ ให้ หอบ ไอ เหนื่อย จัดเป็นตรีโทษ หรือโรคเข้าสันนิบาตรักษายาก เป็นอสาธิยโรค ทั้งนี้โรคจะก�ำเริบขึ้นจาก อชินโรค อชินธาตุ หมายถึงโรคที่ไม่ชนะ เพราะเหตุมาจากอากาศ น�้ำ อาหาร อายุ อาชีพ อิริยาบถ อารมณ์ และธาตุก�ำเนิดท�ำให้โรคที่เป็นอยู่ ก�ำเริบมากขึ้นและแสดงอาการออกมาปรากฏเป็นอชินโทษ การรักษาทางการแพทย์แผนไทย 1. การรักษาด้วยยาสมุนไพร อาการจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ มักมีน�้ำมูก จามบ่อยๆ คัดจมูก และ คันจมูก เป็นอาการทางอาโปธาตุ (ธาตุน�้ำ) ต�ำรับยาที่ใช้มักเป็นกลุ่มยารส ร้อนเป็นหลัก 1) ยาสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ. 2558 ที่ใช้ในการ รักษาโรค ดังตารางต่อไปนี้
171 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 ตารางแสดงยาสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติที่ใช้รักษาโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจส่วนต้น ตำรับยาอาการ/สรรพคุณขนาด วิธีใช้ข้อห้าม ข้อควรระวัง ปราบชมพูทวีปรสร้อน บรรเทาอาการหวัดในระยะ แรก และอาการเนื่องจาก การแพ้อากาศ รับประทานครั้งละ 750 มิลลิกรัม - 1.5 กรัม วันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหาร และก่อนนอน ข้อห้าม - ห้ามใช้เมื่อพบภาวะแทรกซ้อนจากภาว การณ์แพ้อากาศ เช่น ไซนัสอักเสบ หรือ ติดเชื้อจากแบคทีเรียซึ่งจะมีอาการเจ็บ บริเวณไซนัส ไข้สูง น�้ำมูกและเสมหะ เขียว - ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่มีไข้ เด็ก ข้อควรระวัง - ควรระวังการบริโภคในผู้ป่วยโรค ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ผู้ป่วยโรค แผลเปื่อยเพปติก และกรดไหลย้อน เนื่องจากเป็นต�ำรับยารสร้อน อาการไม่พึงประสงค์ - แสบร้อนยอดอก
172 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน ตำรับยาอาการ/สรรพคุณขนาด วิธีใช้ข้อห้าม ข้อควรระวัง ประสะเปราะใหญ่รสร้อนสุขุม ถอนพิษไข้ตานซางส�ำหรับ เด็ก - หมายเหตุ ตัวยาหลักในต�ำรับนี้ คือเปราะหอม ซึ่ง มีรสร้อน หอม เผ็ดเล็กน้อย มีสรรพคุณ ขับลมในล�ำไส้ ให้ผายเรอ ช่วยกระจาย เลือดลมให้เดินสะดวก บรรเทาอาการหวัด ชนิดผงและชนิดเม็ด เด็ก อายุ 1 - 5 ขวบ รับประทานครั้งละ 500 มิลลิกรัม - 1 กรัม ละลายน�้ำกระสายยา ทุก 3 - 4 ชั่วโมง น�้ำกระสาย ยาที่ใช้ คือ น�้ำดอกไม้เทศหรือ น�้ำสุก ชนิดเม็ดและชนิดแคปซูล เด็ก อายุ 6 - 12 ปี รับประทาน ครั้งละ 1 กรัม ทุก 3 - 4 ชั่วโมง ข้อควรระวัง - ควรระวังในการรับประทานร่วมกับ ยาใ น ก ลุ ่ ม สาร กั น เ ลื อ ด เ ป ็ น ลิ่ ม (anticoagulant) และยาต้านการจับตัว ของเกล็ดเลือด (antiplatelets) - ควรระวังการใช้ยาในผู้ป่วยที่แพ้ละออง เกสรดอกไม้ - ไม่แนะน�ำให้ใช้ในผู้ที่สงสัยว่าเป็นไข้เลือดออก เนื่องจากอาจบดบังอาการ ของไข้เลือดออก - หากใช้ยาเป็นเวลานานเกิน 3 วัน แล้ว อาการไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ จันทน์ลีลา รสขม สุขุมหอม ร้อน บรรเทาอาการไข้ตัวร้อน ไข้เปลี่ยนฤดู ชนิดผง ผู้ใหญ่ รับประทานครั้งละ 1 - 2 กรัม ละลายน�้ำสุก ทุก 3 - 4 ชั่วโมง เมื่อมีอาการ เด็ก อายุ 6 - 12 ปี รับประทาน ครั้งละ 500 มิลลิกรัม - 1 กรัม ข้อควรระวัง - ไม่แนะน�ำให้ใช้ในผู้ที่สงสัยว่าเป็นไข้เลือดออก เนื่องจากอาจบดบังอาการ ของไข้เลือดออก - หากใช้ยาเป็นเวลานานเกิน 3 วัน แล้ว อาการไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์
173 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 ตำรับยาอาการ/สรรพคุณขนาด วิธีใช้ข้อห้าม ข้อควรระวัง ตรีผลารสเปรี้ยว ฝาด หวาน บรรเทาอาการไอ ขับ เสมหะ ชนิดชง รับประทานครั้งละ 1 - 2 กรัม ชงน�้ำร้อนประมาณ 120 - 200 มิลลิลิตร ทิ้งไว้ 3 - 5 นาที ดื่มในขณะยังอุ่น เมื่อมีอาการไอ ทุก 4 ชั่วโมง ชนิดเม็ด ชนิดลูกกลอน และ ชนิดแคปซูล รับประทานครั้งละ 300 - 600 มิลลิกรัม เมื่อมี อาการไอ วันละ 3 - 4 ครั้ง ข้อควรระวัง - ควรระวังการใช้ในผู้ป่วยที่ท้องเสียง่าย อาการไม่พึงประสงค์ - ท้องเสีย
174 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน 2) ยาต�ำรับปรุงเฉพาะราย เป็นการใช้ยาตามภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ พื้นบ้าน ที่มีอยู่ในต�ำราหรือในท้องถิ่นที่มีการใช้ต่อกันมา โดยพิจารณาตาม อาการและการวินิจฉัยโรคของผู้ป่วยแต่ละราย ดังนี้ ต�ำรับ/สมุนไพร วิธีใช้ สรรพคุณ ใบกะเพราแดง ต�ำคั้นเอาน�้ำผสมกับน�้ำผึ้ง เกลือ (เหล้าโรง 3 - 5 หยด) รับประทาน วันละครั้งติดต่อกัน 1 - 2 สัปดาห์ ท�ำให้ทางเดินหายใจ สะดวก เพิ่มความ อบอุ่นให้กับร่างกาย ขิง + กระเทียม + หอมแดง น�ำสมุนไพรสดทั้ง 3 ชนิด โขลก รวมกัน คั้นเอาน�้ำผสมน�้ำผึ้งและ น�้ำมะนาวเล็กน้อย ดื่มวันละ 2 ครั้ง เช้า - ก่อนนอน ติดต่อกัน 1 - 2 สัปดาห์ ท�ำให้ทางเดินหายใจ สะดวก บรรเทา อาการคัดจมูก ขับเสมหะ ว ่า น ห อ ม แ ด ง (หัวหอมแดง) ว่านหอมแดง หรือหัวหอมแดงสด 1 - 2 หัว ทุบพอแหลก ห่อด้วย ผ้าขาวบาง วางไว้บนต�ำแหน่ง กระหม่อมหรือหน้าผาก ท�ำให้ทางเดินหายใจ สะดวก บรรเทา อาการน�้ำมูกไหล ว ่า นหอมแดง +เปราะหอม ว่านหอมแดงและเปราะหอมสด 1 - 2 หัว ทุบพอแหลก ห่อด้วย ผ้าขาวบาง วางไว้บนต�ำแหน่ง กระหม่อมหรือหน้าผาก ท�ำให้ทางเดินหายใจ สะดวก บรรเทา อาการน�้ำมูกไหล
175 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 ต�ำรับ/สมุนไพร วิธีใช้ สรรพคุณ ผิวมะกรูด +การบูร+ น�้ำร้อน หั่นผิวมะกรูดสด 1 - 2 ลูก ใส่ใน น�้ำร้อน 1 แก้วกาแฟ โรยการบูร ลงไป 1 หยิบมือ ใช้สูดดมเวลามี อาการ ท�ำให้ทางเดินหายใจ สะดวก บรรเทา อาการน�้ำมูกไหล พิมเสนน�้ำ ใช้สูดดมเวลามีอาการ ท�ำให้ทางเดินหายใจ สะดวก บรรเทา อาการน�้ำมูกไหล ยาดมส้มโอมือ ใช้สูดดมเวลามีอาการ ท�ำให้ทางเดินหายใจ สะดวก บรรเทา อาการน�้ำมูกไหล 2. การอบสมุนไพร เพื่อบรรเทาอาการคัดจมูก ช่วยให้หายใจโล่ง โดยใช้สูตรการ อบสมุนไพรแบบทั่วไป สามารถเพิ่มหรือลดสัดส่วนสมุนไพรในกลุ่มที่มี สารส�ำคัญออกฤทธิ์เป็นน�้ำมันหอมระเหย ช่วยให้หายใจสะดวก ได้แก่ ว่านหอมแดง เปราะหอม หอม ผิวมะกรูด และ กลุ่มที่มีสารส�ำคัญในการ ต้านฮีสตามีน ได้แก่ ไพล ทั้งนี้ให้เหมาะสมกับอาการของผู้ป่วยแต่ละราย และขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์
177 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 นวัตกรรมโรค “ภูมิแพ้ทางเดินหายใจส่วนต้น” จากส่วนภูมิภาค 1. ชื่อนวัตกรรม : “ยาสุมสมุนไพร” โรงพยาบาล : สูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา ส่วนประกอบ: 1. ขิง 15 กรัม ข่า 15 กรัม ตะไคร้ 15 กรัม มะกรูด 15 กรัม กะเพรา 15 กรัม เปราะหอม 5 กรัม พิมเสน 3 กรัม มะนาว 15 กรัม หอมแดง 15 กรัม น�้ำร้อน ผ้าคลุมศีรษะ กระติกสุมยา วิธีการเตรียม: 1. น�ำสมุนไพรมาล้างท�ำความสะอาด 2. ชั่งน�้ำหนักสมุนไพรตามสูตร 3. หั่นสมุนไพรให้มีขนาดเล็ก หรือ ต�ำพอแหลก เพื่อให้น�้ำมัน หอมระเหยกระจายตัวได้ดีขึ้น 4. ใส่สมุนไพรทั้งหมดลงในกระติก 5. เทน�้ำต้มเดือดลงในกระติกให้ท่วมยา
178 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน 6. โรยพิมเสน 7. ปิดฝายาสุมไว้ 5 นาที วิธีการใช้ • สุมยาจะใช้ผ้าคลุมศีรษะ ให้สูดไอยาสุม ครั้งละ 5 - 10 นาที พัก 5 นาที แล้วสุมซ�้ำอีก 1 ครั้ง • โดยสุมยาวันละ 1 ครั้ง • ประเมินอาการหลังจากสุมยา โดยการซักถามอาการ และ การฟังเสียงปอด ข้อห้าม - ข้อควรระวัง 1. ห้ามสุมยาในผู้ที่มีอาการหอบเหนื่อยรุนแรง 2. ห้ามสุมยาในผู้ที่มีอาการไข้มากกว่า 37.5 องศาเซลเซียส 3. ห้ามสุมยาในผู้ที่แพ้สมุนไพรยาสุม 4. ควรระวังน�้ำร้อนในกระติกสุมยา โดยดูแลผู้สุมยาอย่างใกล้ชิด 5. ควรระวังผู้สุมยาไม่ให้สูดยาใกล้จนเกินไป อาจท�ำให้มีอาการ แสบร้อนใบหน้า 6. ยาสุมสมุนไพรมีฤทธิ์สุมขมออกร้อน ไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคมะเร็ง ระบบทางเดินหายใจ เนื่องจากโรคมะเร็งทางแพทย์แผนไทย เป็นโรคที่มีความร้อนสูง (ปิตตะ)
179 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 2. ชื่อนวัตกรรม : “การสุมยาแก้โรคหวัดภูมิแพ้” โรงพยาบาล : การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน (ยศเส) ส่วนประกอบ: ตะไคร้ หัวหอมแดง มะกรูด (ใบมะกรูด, ผิวมะกรูด) มะนาว (ผิวมะนาว) ใบกะเพรา ขิง ข่า พิมเสน การบูร น�้ำมันยูคาลิปตัส น�้ำมัน สะระแหน่ น�้ำมันดอกปีบ โรคหรืออาการที่สามารถบ�ำบัดรักษาด้วยการสุมยา: - โรคภูมิแพ้ที่ไม่รุนแรง - เป็นหวัด คัดจมูก น�้ำมูกไหล ไอ จาม - เป็นโรคหอบหืด ในระยะเริ่มต้น ที่ไม่มีอาการรุนแรง
180 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน 3. นวัตกรรม : “ยาพ่นดอกปีบ” โรงพยาบาล : สมเด็จพระยุพราชบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี
181 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 ส่วนประกอบ: ยาพ่นดอกปีบ 3 มิลลิลิตร วิธีการใช้: พ่นจ�ำนวน 3 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 15 นาที นัดจ�ำนวน 5 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 7 วัน
182 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน 4. ชื่อนวัตกรรม : “กระโจมจิ๋วลดหวัดคลายอาการคัดจมูก” โรงพยาบาล : ส่งเสริมสุขภาพต�ำบลโพธิ์กระสังข์ จังหวัดศรีสะเกษ ส่วนประกอบ: ผ้าด้ายดิบ หมวกไม้ไผ่ เข็มด้าย เชือก และสมุนไพร (ข่า ตะไคร้ ขิง ไพล หอมแดง ใบมะกรูด มะนาว มะกรูด การบูร และพิมเสน) วิธีการใช้: ให้เข้าสุมยาเป็นเวลา 5 นาที หลังจากนั้นออกมาพัก 2 นาที และ เข้าสุมยาต่ออีก 5 นาที
183 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 5. ชื่อนวัตกรรม : “สุ่มสุมยาสมุนไพร” โรงพยาบาล : ส่งเสริมสุขภาพต�ำบลโพสังโฆ จังหวัดสิงห์บุรี ส่วนประกอบ: หอมแดง 200 กรัม ผิวมะกรูด 200 กรัม ขิง 100 กรัม ข่า 100 กรัม ตะไคร้ 100 กรัม มะนาว 100 กรัม พิมเสน 50 กรัม การบูร 50 กรัม วิธีการเตรียม: มัดรวมส่วนประกอบทั้งหมดในผ้าขาว แล้วน�ำลงไปต้มในหม้อหุง ข้าวขนาดเล็ก จากนั้น จึงน�ำสุ่มที่มีช่องส�ำหรับให้หน้าโผล่มาครอบ วิธีการใช้: 1. ให้ผู้ป่วยนั่งตัวตรง แขนทั้งสองข้างวางบนโต๊ะ และฝึกการ สูดลมหายใจเข้า - ออก เป็นจ�ำนวน 3 ครั้ง 2. เมื่อสุ่มเริ่มมีไอน�้ำเกาะ ให้ผู้ป่วยยื่นใบหน้าเข้าไปในช่อง อุปกรณ์สุมยา เป็นเวลา 5 นาที เมื่อครบก�ำหนดเวลา ให้ผู้ป่วยหยุดพักการสุมยาเป็นเวลา 1 นาที และท�ำซ�้ำอีก 2 รอบ
184 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน 3. การสุมยาด้วยสมุนไพร เป็นเวลา 3 วันต่อเนื่อง วันละ 3 รอบ รอบละ 1 - 2 นาที โดยประเมินผลของการสุมยากับผู้ป่วย ด้วยแบบประเมิน CCQ ก่อนสุมยาวันแรกและหลังการสุมยา เมื่อครบ 3 ครั้งที่มารับบริการ 6. ชื่อนวัตกรรม : “ท่อสุมยา” โรงพยาบาล : แม่สรวย จังหวัดเชียงราย วิธีการใช้: น�ำสายออกซิเจนมาใช้เฉพาะราย เพื่อให้สูดดมตัวยาที่มีท่อต่อมา จากหม้อต้มยา ซึ่งมียาฮมสมุนไพรต้มไว้
185 การวิเคราะห์ต�ำรับยารักษาโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจส่วนต้น และหลักฐานเชิงประจักษ์ที่เกี่ยวข้อง ดวงแก้ว ปัญญาภู, ภบ., ภม.(เภสัชกรรมคลินิก), วท.ด.(เภสัชศาสตร์) ประดิษฐา ดวงเดช, พทป. โรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจส่วนต้น เป็นโรคที่เกิดจากร่างกายมีการ ตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมหรือสิ่งแปลกปลอม (antigens หรือ allergens) ที่เข้ามาในร่างกาย เช่น ฝุ่นบ้าน เกสรดอกไม้ ซึ่งอาการที่พบมัก ได้แก่ อาการไอ จาม น�้ำมูกไหล เป็นต้น ซึ่งอาการดังกล่าวมีผลกระทบต่อ การด�ำเนินชีวิตประจ�ำวัน และเนื่องจากเป็นโรคที่พบได้ในทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่เด็กทารกไปจนถึงผู้สูงอายุ และเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาด ได้ ท�ำให้มีความจ�ำเป็นที่จะต้องรู้จักวิธีการดูแลตัวเองเบื้องต้น ซึ่งตาม ภูมิปัญญาการดูแลสุขภาพของคนไทยที่มีมาช้านาน ได้น�ำสมุนไพรหลายชนิด มาใช้เพื่อบรรเทาอาการจากโรคภูมิแพ้ อาทิ อาการคัดจมูก น�้ำมูกไหล ไอ จาม เป็นต้น จากการวิเคราะห์ต�ำรับยาปราบชมพูทวีป ซึ่งเป็นต�ำรับยาในบัญชี ยาหลักแห่งชาติ ที่มีข้อบ่งใช้ในการรักษากลุ่มอาการภูมิแพ้ทางเดินหายใจ ต�ำรับนี้ประกอบด้วยสมุนไพรจ�ำนวน 23 ชนิด ได้แก่ ลูกจันทร์ ดอกจันทร์ ลูกกระวาน การบูร ดอกดีปลี ลูกพิลังกาสา ล�ำพันหางหมู โกฐสอ โกฐเขมา เทียนด�ำ เทียนแดง เทียนตาตั๊กแตน เทียนแกลบ ขิงแห้ง เจตมูลเพลิงแดง เนื้อสมอไทย เนื้อสมอเทศ หัวบุกรอ ดอกกานพลู หัศคุณเทศ ใบกัญชา พริกไทยด�ำ และเหงือกปลาหมอ พบว่าสมุนไพรส่วนใหญ่มีรสร้อน ซึ่งสามารถ เพิ่มความอบอุ่นแก่ร่างกาย และสมุนไพรหลายชนิด เช่น ลูกจันทน์ ดอกจันทน์
186 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน มีฤทธิ์ลดปวด ลดอาการอักเสบ1-2 และพริกไทย ขิง เจตมูลเพลิงขาว และกานพลู พบว่ามีฤทธิ์ต้านการอักเสบเช่นกัน3-6 ส่วนเนื้อสมอไทย และสมอเทศ8-9 มีรสเปรี้ยวอมฝาด ประกอบด้วยสารกลุ่มฟีนอลิกและแทนนิน7-8 สามารถ ละลายและช่วยขับเสมหะได้ และนอกจากนี้สมุนไพรทั้งสองชนิดยังอุดม ไปด้วยวิตามินซี และสารกลุ่มฟีนอลิคและแทนนิน ที่มีคุณสมบัติเป็นสาร ต้านอนุมูลอิสระ สามารถช่วยป้องกันหวัดและลดอาการภูมิแพ้และมีฤทธิ์ กระตุ้นภูมิคุ้มกัน9 อีกด้วย ส�ำหรับการศึกษาฤทธิ์ต้านภูมิแพ้ ต้านการอักเสบ และต้านอนุมูล อิสระของต�ำรับยาปราบชมพูทวีป ซึ่งผลการศึกษาพบว่า สามารถยับยั้งการ หลั่งของเอนไซม์ β - hexosaminidase (เอนไซม์ที่มักพบเมื่อมีอาการแพ้) จากเซลล์ไลน์ชนิด RBL - 2H3 รวมทั้งยับยั้งการหลั่งสารก่อภูมิแพ้จาก basophil ซึ่งมีผลท�ำให้ตรวจพบสารก่อภูมิแพ้ อาทิ สารประเภท histamine และ เอนไซม์ β - hexosaminidase ได้น้อยลง และนอกจากนี้ ยังพบว่าต�ำรับยาปราบชมพูทวีปมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ ที่แรงด้วย10 ปัจจุบันมีหลายหน่วยบริการในส่วนภูมิภาค ได้น�ำองค์ความรู้ เกี่ยวกับสมุนไพรไทยมาประยุกต์ใช้ดูแลผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ เช่น แพทย์/แพทย์แผนไทยจากหลายโรงพยาบาล อาทิ โรงพยาบาลสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา โรงพยาบาลกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ โรงพยาบาลอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ได้มีการน�ำต�ำรับยาปราบชมพูทวีปมาร่วมรักษาในผู้ป่วย โรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจส่วนต้น ซึ่งผลการรักษาพบว่าเป็นที่น่าพอใจ ส�ำหรับในส่วนงานแพทย์แผนไทยนิยมน�ำสมุนไพรมาใช้ในรูปแบบ ยาสุม ซึ่งหากวิเคราะห์สมุนไพรที่ใช้ในการสุมยา ตามศาสตร์การแพทย์แผนไทย จะพบว่าส่วนใหญ่เป็นสมุนไพรที่มีรสร้อน และตัวยาหลัก เช่น กระเพรา ขิง
187 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 ข่า ไพล หอมแดง มีฤทธิ์เพิ่มให้ปิตตะให้ร้อนมากขึ้น ความร้อนที่มากขึ้น กระท�ำให้ระบบวาตะมากขึ้น ลมวิ่งแรงขึ้น กระจายตัวได้ดีขึ้น ตัวยารอง รสหวาน เช่น ปีบ เตยหอม จับเข้าระบบเสมหะ ท�ำให้เสมหะนั้นเพิ่ม มากขึ้น ซึ่งมีผลให้วาตะท�ำงานได้มากขึ้น การท�ำงานของระบบไหลเวียนเลือด ให้ท�ำงานได้ดีขึ้น ส่งผลให้สุขภาพแข็งแรง ส�ำหรับสมุนไพรที่นิยมน�ำมาใช้ ในปัจจุบัน เป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่สามารถหาได้ทั่วไป และส่วนหนึ่งเป็น สมุนไพรที่มีอยู่ในครัวของทุกบ้าน ดังนี้
188 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงานสูตร/ชื่อสมุนไพรรส/สรรพคุณงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกะเพราเผ็ดร้อน ต�ำรายาไทย :ใช้ใบและยอดกะเพราขับเสมหะ ขับเหงื่อOcimum tenuiflorum L.องค์ประกอบทางเคมี :ใบมีน�้ำมันระเหยง่าย 1.7% ประกอบด้วย methyl eugenol (37.7%), caryo- phylllene, methyl chavicol, linalool11การบูรรสร้อนปร่าเมา ใช้ทาถูนวดแก้ปวด แก้เคล็ดบวม ขัดยอก แพลง แก้กระตุก แก้ปวดข้อ แก้ปวดเส้น ประสาท Cinnamomum camphora (L.) J.Preslมีการใช้เป็นยาลดอาการปวด โดยใช้ 3% การบูร ร่วมกับตัวยาที่มีคุณสมบัติ counterirritants อื่น ๆ12 พบฤทธิ์ในการเป็นสารต้านการอักเสบ โดยจะไปลดระดับกระบวนการสร้างสารก่อการอักเสบ และลดระดับของอนุมูลอิสระ13 ข่าเผ็ด ปร่า สรรพคุณทางต�ำรายาไทย :ใช้เหง้าแก่รส เผ็ดร้อน ขม รับประทานเป็นยาขับลม บ�ำรุง ธาตุ เป็นยาระบายอ่อนๆ แก้ไอ และโรค หลอดลมอักเสบ Alpinia galanga (L.) Willd. การศึกษาในสัตว์ทดลอง พบว่า เหง้าข่ามีฤทธิ์ต้านการ อักเสบ และภูมิแพ้ โดยองค์ประกอบทางเคมี พบน�้ำมัน ระเหยง่ายมีกลิ่นฉุน และรสเผ็ด ประกอบด้วย eugenol cineol camphor methyl cinnamate14
189 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 สูตร/ชื่อสมุนไพรรส/สรรพคุณงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ขิงเผ็ดZingiber officinale Roscoe สารส�ำคัญที่ออกฤทธิ์ ได้แก่อนุพันธ์ของ gingerol shogaol และ diarylheptanoids มีฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกัน15 ตะไคร้ Cymbopogon citratus (DC.) Stapf. องค์ประกอบทางเคมี : พบ tannins, saponins, flavonoids, phenols, anthraquinones, alkaloids, deoxysugars, และ essential oil พบฤทธิ์ฆ่าเชื้อจุชีพ และต้านการ อักเสบ16-17
190 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงานสูตร/ชื่อสมุนไพรรส/สรรพคุณงานวิจัยที่เกี่ยวข้องปีบรสหวานขมหอม ในต�ำรับยาไทยน�ำต้นปีบมาใช้รักษาโรคได้หลายชนิด เช่น ราก ใช้เป็นยาบ�ำรุงปอด รักษาวัณโรค แก้อาการหอบหืด ดอก ใช้รักษาอาการหอบหืด ไซนัสอักเสบ น�ำดอกแห้งผสมยาสูบมวนเป็นบุหรี่ สูบแก้ริดสีดวงจมูก และรักษาอาการหอบหืด ใบ ใช้มวนบุหรี่สูบแทนฝิ่น ใช้รักษาอาการหอบหืด ประเทศแถบเอเชียใต้(อินเดีย จีน พม่า) ใบและรากใช้แก้หืด ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ใบฆ่าเชื้อแบคทีเรีย แก้ไข้ แก้ไซนัสอักเสบ ล�ำต้นบ�ำรุงปอด และแก้ไอดอกใช้รักษา หืด ไซนัสอักเสบ ใช้ใส่ในยาสูบเพื่อรักษาโรคที่ล�ำคอ Millingtonia hortensis L.f. พบว่ามีฤทธิ์ฆ่าเชื้อจุลชีพหลายชนิดและสามารถ ลดการจับหอบได้18 ยูคาลิปตัสใบ เป็นยาธาตุ ขับเสมหะ แก้ติดเชื้อ ขับลม แก้ไข้ แก้ฟกบวม ทาคอแก้ไอ ดม แก้หวัด คัดจมูก(19) Eucalyptus globulus Labill. พบฤทธิ์ต้านการอักเสบของหลอดลม และฤทธิ์ยับยั้งเชื้อจุลชีพ19
191 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 สูตร/ชื่อสมุนไพรรส/สรรพคุณงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง สะระแหน่รสเผ็ด ใบ ชับลม ผายลม แก้ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ แก้ ปวดท้อง แก้ท้องเสีย เจริญอาหาร บ�ำรุงธาตุ แก้ซางชัก แก้ลมหละ แก้หละขึ้นในปาก แก้ หละซาง แก้ปวดฟัน แก้หืด แก้อาการเกร็ง ของกล้ามเนื้อ ขับเหงื่อ(21) Metha cordifolia Opiz. Ex Fresen พบฤทธิ์ลดปวด และพบสารส�ำคัญในสะระแหน่ ได้แก่ β-sitosterol, β-sitosteryl และ β-D-glucoside21 มะกรูดสรรพคุณทางต�ำรายาไทย :ผิว มีรสปร่าหอม ร้อน เป็นยาขับลมในล�ำไส้ แก้แน่น แก้ จุกเสียดลักปิดลักเปิด Citrus hystrix DC. องค์ประกอบทางเคมี : ผิวมะกรูดมีน�้ำมันหอม ระเหยร้อยละ 4 มีองค์ประกอบหลักเป็น เบตาไพนีน (beta-pinene), Citronellal, L-Linalool, 1,8-Cineole , α-Terpeneol และ α-Cadinene เช่น Citrusosides-A และ furanocoumarines นอกจากนี้ ยังพบสารกลุ่มโพลิฟีนอลิกส์ เช่น ฟลาโวนอยด์ ซึ่ง สารกลุ่มดังกล่าวพบฤทธิ์ต้านอนุมูล อิสระ ต้านการอักเสบ ยับยั้งการเจริญของเชื้อจุลชีพ 21
192 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงานสูตร/ชื่อสมุนไพรรส/สรรพคุณงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเปราะหอม สรรพคุณทางต�ำรายาไทย: หัวใต้ดิน รสเผ็ดขม สุมศีรษะเด็ก แก้หวัดคัดจมูก รับประทานขับลมในล�ำไส้ แก้เสมหะ เจริญไฟธาตุ แก้โลหิตซึ่งเจือด้วยลมพิษ Kaempferia galanga L.พบสารส�ำคัญ เช่น ethyl-p- methoxycinnamate (31.77%), methylcinnamate (23.23%), carvone (11.13%), eucalyptol (9.59%) และpentadecane (6.41%)ซึ่งสารส�ำคัญดังกล่าว พบว่ามีฤทธิ์ต้านเชื้อจุลชีพ (inhibition zone ขนาด 8-31 มม. เมื่อทดสอบด้วยวิธี agar disc diffusion method)22พิมเสนต�ำรายาแผนโบราณใช้พิมเสนเป็นยาขับเหงื่อ ขับเสมหะ กระตุ้นการหายใจ กระตุ้นสมอง บ�ำรุงหัวใจ ใช้เป็นยาระงับความ กระวนกระวาย ท�ำให้ง่วงซึม แก้ลมวิงเวียน หน้ามืด หัวใจอ่อน บ�ำรุงหัวใจ ท�ำให้ชุ่มชื่น ขับผายลม แก้จุกเสียดแน่นเฟ้อ Borneol จาก Dryobalanops aromatica Gaertn.หรือ Blumea balsamifera DC. มีการศึกษาพบว่า พิมเสน มีฤทธิ์ลดปวดและการอักเสบใน หนูทดลอง (mice)23