93 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 สมุนไพรรสยา/สรรพคุณงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จันทน์แดงชมเย็น ฝาดเล็กน้อย แก้ไข้ทุกชนิด แก้กระสับกระส่าย แก้ร้อนดับพิษไข้ทุก ชนิด แก้ร้อนในกระหายน�้ำ ลดความร้อน ท�ำให้หัวใจ ชุ่มชื่น แก้เหงื่อตก กระสับกระส่าย แก้ไออันเกิดจาก ซางและดี บ�ำรุงหัวใจ แก้พิษฝีที่มีอาการอักเสบและปวด บวม แก้บาดแผล Dracaena loureiroi Gagnep. พบฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเชื้อแบคทีเรีย ฤทธิ์ลดปวด ต้าน การอักเสบ กระตุ้นภูมิคุ้มกัน และช่วยซ่อมแซมผิวหนัง25 โกฐหัวบัวขมมัน เหง้า แก้ลมในกองริดสีดวง กระจายลมทั้งปวง ขับลม แก้ปวดศีรษะ ปวดข้อ ปวดกระดูก จีนใช้โกฐหัวบัว เป็นยาแก้หวัด แก้ปวดศีรษะ แก้โรคโลหิตจาง โรคเข้าข้อ Ligusticum sinense Oliv.cv.chuanxiong พบฤทธิ์ต้านการอักเสบในการทดลองในสัตว์ทดลอง จากสารส�ำคัญชนิด ligustilides chuanxiongnolide, chuanxiongdiolide และอนุพันธ์26 โกฐกระดูกขม หวาน มัน รากแก้เสมหะและลม แก้หืด หอบ แก้ลมในกอง เสมหะ บ�ำรุงหัวใจให้ชุ่มชื้น บ�ำรุงกระดูก แก้ลมวิง เวียน หน้ามืด ตาลาย แก้ปวด ต�ำรายาไทยใช้ปรุง เป็นยาหอมรับประทานแก้ลมวิงเวียนหน้ามืดตาลาย ขับลมในล�ำไส้ แก้โรคโลหิตจาง Saussurea lappa C.B.Clarke พบฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็ง ฤทธิ์ต้านการอักเสบ และ กระตุ้นภูมิคุ้มกันในหลอดทดลองและสัตว์ทดลอง27
94 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงานสมุนไพรรสยา/สรรพคุณงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเทียนด�ำรสเผ็ดขม เมล็ด ขับเสมหะให้ลงสู่คูถทวาร ขับลมในล�ำไส้ ช่วยย่อย แก้ท้องอืด เฟ้อ แก้อาเจียน บ�ำรุงโลหิต ขับน�้ำนม ขับปัสสาวะ ขับระดู บีบมดลูก แก้โรคลม ขับพยาธิ Nigella sativa L. พบฤทธิ์กดภูมิคุ้มกันจากสารสกัดจากเมล็ดของเทียนด�ำในสัตว์ทดลอง28-29เทียนข้าวเปลือกรสหวาน และเผ็ดร้อน ใช้เป็นยาบ�ำรุงก�ำลัง ขับผายลม ขับเสมหะ แก้ชีพจรอ่อนหรือพิการ แก้นอนสะดุ้ง แก้คลั่ง แก้เส้นศูนย์กลางท้องพิการ Foeniculum vulgare Miller subsp. var. vulgare พบฤทธิ์กดภูมิคุ้มกันและสามารถรักษาโรคผิวหนังชนิดเรื้อรังจากน�้ำมันหอมระเหย ซึ่งประกอบด้วยน�้ำมันระเหยง่ายร้อยละ 1.5-8.6 เรียกว่า น�้ำมันเทียนข้าวเปลือก น�้ำมันนี้มีtrans-anethole อยู่ในปริมาณสูง นอกนั้นมี fenchone, estragole (methyl chavicol), limonene , camphene, alpha-pinene, anisic acid, anisic, aldehyde สาร กลุ่มคูมาริน เช่น umbelliferone สารกลุ่ม flavonoid เช่น quercetin-3-glucurunide, rutin, isoquercitrin, quercetin-3-arabinosideนอกจากนี้ยังพบฤทธิ์ ลดปวด ต้านการอักเสบ ต้านจุลชีพ และต้านอนุมูลอิสระ30
95 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 จากตารางจะพบว่าสมุนไพรที่ถูกเลือกมาใช้ในต�ำรับ มีฤทธิ์ทาง ชีวภาพที่หลากหลาย แต่สามารถแบ่งกลุ่มได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ 1) กลุ่มยาสมุนไพรที่ออกฤทธิ์เกี่ยวกับการปรับธาตุ การขับถ่าย ของเสียในร่างกาย และพบฤทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกัน ต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ หัวข้าวเย็นเหนือ หัวข้าวเย็นใต้ โกฐและเทียนต่าง ๆ ใบมะกา ขันทอง พยาบาท รงทอง ตองแตก ก�ำแพงเจ็ดชั้น หนอนตายหยาก และตรีผลา เป็นต้น ซึ่งยาเหล่านี้ส่วนมากจะปรุงเป็นยาชนิดรับประทาน 2) กลุ่มยาสมุนไพรที่ออกฤทธิ์หลักในการรักษาอาการทาง ผิวหนัง เช่น ฤทธิ์ลดอาการอักเสบ คัน และฆ่าเชื้อจุลชีพที่ผิวหนัง สมุนไพร ที่พบฤทธิ์เหล่านี้ (ซึ่งสอดคล้องกับการใช้ในศาสตร์การแพทย์แผนไทยและ การแพทย์พื้นบ้าน) เช่น เหงือกปลาหมอ ดอกค�ำไทย ค�ำฝอย ทองพันชั่ง พญายอ ก�ำแพงเจ็ดชั้น และหมาก ซึ่งยาเหล่านี้จะปรุงเป็นยาชนิดทา ภายนอก อย่างไรก็ตาม การรักษาดังกล่าวเป็นแค่การรักษาชั่วครั้งชั่วคราว อาการสามารถก�ำเริบขึ้นมาใหม่ได้ หากการปฏิบัติตัวไม่เหมาะสม ซึ่งการ รักษาโดยใช้ต�ำรับยาจากสมุนไพร จึงเป็นการรักษาทางเลือกหนึ่งของผู้ป่วย ที่แพ้ หรือเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากยาแผนปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม หาก ใช้ยาสมุนไพรแล้วไม่เกิดอาการข้างเคียงก็นับว่าเป็นผลดีต่อสุขภาพของ ผู้ป่วย เนื่องจากลดความเสี่ยงต่อการใช้เคมีบ�ำบัด และนอกจากนี้ยังเป็นการ สนับสนุนการใช้ยาจากธรรมชาติที่สามารถหาได้จากในประเทศอีกด้วย
96 เอกสารอ้างอิง 1. Ruangnoo S, Itharat A. Antioxidant and cytotoxic activities of Thai medicinal plants named Hua-Khao-Yen. Thai J Pharmacol. 2010;32(1):115-8. 2. Reanmongkol W, Itharat A, Bouking P. Evaluation of the anti-inflammatory, antinociceptive and antipyretic activities of the extracts from Smilax corbularia Kunth rhizomes in mice and rats (in vitro). Songklanakarin J. Sci. Technol. 2007;29(1):59-67. 3. Ittharat A, Ruangnoo S, Makchuchit S, Panthong S. Anti-inflam- matory compounds of Smilax corbularia Kunth. [internet]. [2018 Feb 10]; Available from: https://www.researchgate.net/ publication/275147114_Anti- inflammatory_compounds_of_Smi- lax_corbularia _Kunth 4. Zhang H, Li L, Li B, Zhao A, TSAO R. Polyphenolic Profiles and Antioxidant Activities of Smilax glabra Roxb. And S. china L. Lat. Am. J. Pharm. 2013;32(10):1558-64. 5. Dong L, Zhu J, Du H, Nong H, He X, Chen G. Astilbin from Smilax glabra Roxb. Attenuates Inflammatory Responses in Complete Freund’s Adjunt-Induced Arthritis Rats. Evidence-Based Complementary and Alternative Medicine. [internet]. [2018 Feb 10]; 2017. Available from: https://www. hindawi.com/journals/ecam/2017/ 8246420/ 6. Sittiwet C, Niamsa N, Puangpron P. Antimicrobial Activity of Acanthus ebracteatus Vahl. Aqueous Extract: The Potential for Skin Infection Treatment. : [Internet]. [2018 Feb 10]; Available from: https://www.researchgate.net/publication/251065339_
97 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 Antimicrobial_Activity_of_Acanthus_ebracteatus_Vahl_ Aqueous_Extract_The_Potential_for_Skin_Infection_ Treatment 7. Somchaichana J, Bunprasert T, Patumraj S. Acanthus ebracteatus Vahl. Ethanol Extract Enhancement of the Efficacy of the Collagen Scaffold in Wound Closure: A Study in a Full-Thickness-Wound Mouse Model. Journal of Biomedicine and Biotechnology. 2012. Available Online:http:// dx.doi.org/10.1155/2012/754527 8. นิธิวดี วัชรากร และ กุลภิสสร์ เลิศนยต์ชีพ. การศึกษาและเปรียบเทียบ องค์ประกอบทางเคมีในส่วนต่าง ๆ ของเหงือกปลาหมอชนิดดอกสี ม่วงกับชนิดดอกสีขาว. โครงการพิเศษจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะ วิทยาศาสตร์. [ออนไลน์]. 2531. [10 กุมภาพันธ์ 2561]; ที่มา: http://www. pharmacy.mahidol.ac.th/medplantdatabase/dtl_research. asp?hidKeyLink=19880034. 9. Slam UI, Bakhtiar SM, Khalid H, et al. Antimicrobial, antioxidant, and cytotoxic activities of Bixa Orellana Linn. Lat. Am. J. Pharm. 2011;30(6):1126-34. 10. Zhao FR, MB, Tu PF. Simultaneous determination of four nucleosides in Carthamus tinctorius L. and Safflower injection using highperformance liquid chromatography. J Chin Pharmaceut Sci (Chin) 2009; 18: 326–330. 11. Hiramatsu M, Takahashi T, Komatsu T, Kido T, Kasahara Y. Antioxidant and neuroprotective activities of mogami-benibana (Safflower, Carthamus tinctorius Linne). Neurochem Res. 2009; 34:795–805. 12. Kannaiyan M, VN Manuel, V Raja, P Thambidurai, S Mickymaray, Nooruddin T. Antimicrobial activity of the ethanolic and aqueous extracts of Salacia chinensis Linn. against human pathogens. Asian Pac J Trop Dis. 2012;2(1):416-20.
98 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน 13. Fouedjou RT, Teponno RB, Quassinti L, Bramucci M, Petrelli D, Vitali LA, et al. Steroidal saponins from the leaves of Cordyline fruticosa (L.) A. Chev. and their cytotoxic and antimicrobial activity. Phytochemistry Letters. 2014;7:62-8. 14. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย - จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. “โกฐน�้ำเต้า”. (วิทยา บุญวรพัฒน์). หน้า 108. 15. Yang W-Q, Song Y-L, Zhu Z-X, Su C, Zhang X, Wang J, et al. Anti-inflammatory dimeric furanocoumarins from the roots of Angelica dahurica. Fitoterapia. 2015;105:187-193. 16. Hasan M, Uddin N, Hasan R. Analgesic and Anti - Inflammatory Activities of Leaf Extract of Mallotus repandus (Willd.) Muell. Arg. Biomed Research International. 2014. Article ID 539807. Available online:https://www.hindawi.com/journals/ bmri/2014/539807/. 17. Carounanidy U, Satyanarayanan R, Velmurugan A. Use of an aqueous extract of Terminalia chebula as an anticaries agent: A clinical study. Indian Journal of Dental Research. 2017; 18(4):152-6. 18. Terminalia chebula: Health benefit of Terminalia chebula fruit. [Internet]. [2018 Feb 8]; Available from: https://jonbarron.org/ herbal- library/herbs/ terminalia-chebula-fruit. 19. Amalraj A, Gopi S. Medicinal properties of Terminalia arjuna (Roxb.) Wight & Arn. J of Tradit Complement Med. 2017;7(1): 5-78. 20. Luqman S, Kumar R, Kaushik S, et al. Antioxidant potential of the root of Vetiveria zizanioides (L.) Nash. Indian J Biochem Biophys. 2009;46(1):122-5.
99 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 21. คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. มะกา. สารานุกรมสมุนไพร เล่ม 1 สมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. กรุงเทพฯ: บริษัท อมรินทร์ บุ๊ค เซ็นเตอร์ จ�ำกัด; 2539. หน้า 66. 22. ชูจิตร อนันตโชค, ทรรศนีย์ พัฒนเสร, วจีรัตน์ บุญญะปฏิภาค. การใช้ประโยชน์จากป่าชุมชนเขาตายิ้ม อ.เมือง จ.ตราด, ส�ำนักวิจัยการ จัดการป่าไม้และผลิตผลป่าไม้ กรมป่าไม้ พ.ศ. 2549. “มัดกา, มะกา”. [ออนไลน์]. [10 กุมภาพันธ์ 2561]; ที่มา: forprod.forest.go.th/ forprod/chemistry/pdf/1.66.pdf. 23. โสภา ค�ำมี, นิวรรณ อินทรักษา. “ฤทธิ์ต้านเชื้อจุลินทรีย์ของสารสกัดจาก ใบสายหยุด และ แก่นแกแล”. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. สงขลา. 2549. 24. Nirmal NP, Rajput MS, Prasad GSV, Ahmad M. Brazilin from Caesalpinai sappan heartwood and its pharmacological activities: A review. Asian Pacific Journal of Tropical Medicine. 2015;8(6): 421–430. 25. Fan J-Y, Yi T, Sze-To C-M, Zhu L, Peng W-L, Zhang Y-Z, et al. A systematic review of the botanical, phytochemical and pharmacological profile of Dracaena cochinchinensis, a plant source of the ethnomedicine “Dragon’s Blood”. Molecules. 2014;19:10650-10669. 26. Huang J. Lu XQ, Zhang C, Lu J, Li GY, Lin RC, Wang JH. Anti-inflammatory ligustilides from Ligusticum chuanxiong Hort. Fitoterapia. 2013;91:21-27. 27. Zahara K, Tabassum S, Sabir S, Muhammad A, Rahmatullah Q, Arshad M, Quresh R, et al. A review of therapeutic potential of Saussurea lappa - An endangered plant from Himalaya. Asian Pacific Journal of Tropical Medicine. 2014;7(1):S60-S69. 28. Islam SN, Begum P, Ahsan T, Huque S, Ahsan M. Immunosuppressive and cytotoxic properties of Nigella sativa. 2004;18(5):395-8.
100 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน 29. Kamal ED, Hussein ET, DDana MBt. The Black Seed Nigella sativa Linnaeus - A Mine for Multi Cures: A Plea for Urgent Clinical Evaluation of its Volatile Oil. Journal of Taibah University Medical Sciences. 2006;1(1):1 - 19. 30. Shamkant BB, Vainav P, Atmaram B. Foeniculum vulgare Mill. A Review of Its Botany, Phytochemistry, Pharmacology, Contemporary Application, and Toxicology. Biomed Research International. 2014. Article ID 842674.
101 กลุ่มโรคและอาการบาดเจ็บจากการท�ำงาน (Office syndrome) ปราณี ลิมป์วรวรรณ และคณะ อาการบาดเจ็บจากการท�ำงาน (Office syndrome) คือ กลุ่มอาการ ที่เกิดขึ้นกับคนที่ท�ำงานในออฟฟิศ เนื่องจากลักษณะงานที่ต้องนั่งหน้า คอมพิวเตอร์หรือท�ำงานอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยท่าทางซ�้ำ ๆ ต่อเนื่อง เป็นเวลานาน จนอาจส่งผลให้เกิดโรคและอาการผิดปกติในระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ ระบบการย่อยอาหาร และการดูดซึมระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบฮอร์โมน นัยน์ตาและ การมองเห็น โดยอาการที่เกิดขึ้นมักเกิดกับระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ เป็นส่วนใหญ่ อาการทางระบบกระดูกและกล้ามเนื้อที่เกิดจากการท�ำงาน ที่พบได้บ่อยและสามารถดูแลโดยนักกายภาพบ�ำบัด 1. กล้ามเนื้ออักเสบเรื้อรัง (myofascial pain syndrome) 2. เอ็นรัดข้อมืออักเสบกดทับเส้นประสาท (carpal tunnel syndrome) 3. ความผิดปกติของความตึงตัวของเส้นประสาท (nerve tension) 4. กล้ามเนื้อบริเวณแขนท่อนล่างด้านนอกอักเสบ (tennis elbow) 5. ปลอกหุ้มเอ็นกล้ามเนื้อบริเวณฐานนิ้วโป้งอักเสบ (De Quervain’s tendonitis) 6. นิ้วล็อก (trigger finger) 7. เอ็นกล้ามเนื้ออักเสบ (tendinitis)
102 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน 8. ปวดหลังจากท่าทางผิดปกติ (postural back pain) 9. หลังยึดติดในท่าแอ่น (back dysfunction) สาเหตุของการเกิดออฟฟิศซินโดรม การนั่งหน้าคอมพิวเตอร์หรือท�ำงานอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยท่าทาง ซ�้ำ ๆ ต่อเนื่องเป็นเวลานานมากกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน หรือ ท่าทางในการ ท�ำงานที่ไม่เหมาะสม เช่น การนั่งหลังค่อม ท่าก้มหรือเงยคอมากเกินไป สภาพแวดล้อมหรืออุปกรณ์ในการท�ำงานไม่เหมาะสม สภาพร่างกายที่อาจ ส่งผลต่ออาการเจ็บป่วย เช่น ภาวะเครียดจากงาน การอดอาหาร การพักผ่อน ไม่เพียงพอ ซึ่งส่งผลให้ร่างกายต้องแบกรับความตึงเครียดปราศจากการ ผ่อนคลาย ตารางการสังเกตอาการออฟฟิศซินโดรมและแนวทางแก้ไข ระดับของอาการ การสังเกตอาการ แนวทางแก้ไข ระดับที่ 1 อาการเกิดขึ้น เมื่อท�ำงาน ไประยะหนึ่ง พักแล้วดีขึ้น ทันที - พักสลับท�ำงานเป็นระยะ ๆ - ยืดกล้ามเนื้อเพื่อผ่อนคลาย - นวดผ่อนคลาย - ออกกาลังกาย ระดับที่ 2 อาการเกิดขึ้น พักนอนหลับ แล้วแต่ยังคงมีอาการอยู่ - ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการ ท�ำงาน - รับการรักษาที่ถูกต้อง ระดับที่ 3 อาการปวดมากแม้ท�ำงาน เพียงเบา ๆ พักแล้วอาการ ก็ยังไม่ทุเลาลง - พักงาน/ปรับเปลี่ยนงาน - รับการรักษาที่ถูกต้อง
103 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 แนวทางการรักษากลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม 1) การรักษาด้วยยา 2) การรักษาด้วยวิธีทางเวชศาสตร์ฟืนฟูและก้ารท�ำกายภาพบ�ำบัด เพื่อยืดกล้ามเนื้อและปรับอิริยาบถให้ถูกต้อง 3) การปรับสถานที่ พื้นที่การท�ำงาน สภาพแวดล้อมในการ ท�ำงาน และลักษณะงานให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล 4) การออกก�ำลังกายเพื่อเพิ่มสมรรถภาพร่างกายโดยรวม 5) การรักษาด้วยศาสตร์ทางเลือกอื่น เช่น การฝังเข็ม การนวดแผนไทย ฯลฯ เป้าหมายในการดูแลทางกายภาพบ�ำบัดในผู้ป่วยกลุ่มอาการ ออฟฟิศซินโดรม 1) ลดอาการปวดที่เกิดจากการอักเสบของกล้ามเนื้อ/เอ็นกล้ามเนื้อ 2) ลดการเคลื่อนไหวของข้อต่อนั้น ๆ (immobilization) ด้วย อุปกรณ์ 3) ช่วยพยุงต่าง ๆ รวมถึงถ้ายังจ�ำเป็นต้องใช้งานต่อเนื่องจาก ภาระงาน 4) ให้ค�ำแนะน�ำที่ถูกต้องเพื่อลด/หลีกเลี่ยงการใช้งานบริเวณที่มี การอักเสบ 5) ให้ความรู้ในการแก้ไขปัจจัยอื่นที่กระตุ้นให้เกิดอาการ ได้แก่ - การปรับท่าทางให้ถูกต้อง - การปรับหรือแก้ไขความผิดปกติของโครงสร้างร่างกาย - การลดการกดทับของกล้ามเนื้อหรือการหดสั้นของกล้ามเนื้อ - การปรับสภาพแวดล้อมของเครื่องมือและสิ่งแวดล้อมในที่ ท�ำงานให้เหมาะสมในแต่ละบุคคล
104 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน - การออกก�ำลังกายเพื่อการป้องกันและส่งเสริมการท�ำงาน ของกล้ามเนื้อ - การยืดกล้ามเนื้อ - การออกก�ำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ - การออกก�ำลังกายเพื่อเพิ่มความทนทานของกล้ามเนื้อและ ระบบหัวใจและหลอดเลือด - การออกก�ำลังกายเพื่อการผ่อนคลาย - การออกก�ำลังกายเพื่อปรับการทรงท่า (postural correction) อย่างไรก็ดี การรักษากลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรมด้วยวิธีต่าง ๆ นั้น เป็นเพียงการรักษาที่ปลายเหตุ เพื่อรักษาอาการกล้ามเนื้ออักเสบหรือรักษา พังผืดในกล้ามเนื้อ วิธีการที่ดีที่สุดที่จะป้องกันอาการจากออฟฟิศซินโดรม จ�ำเป็นต้องท�ำร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การปรับอิริยาบถในการ ท�ำงานให้ถูกต้อง รวมถึงการเสริมสร้างสุขภาพกายและใจให้สมบูรณ์แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด และออกก�ำลังกายอย่างสม�่ำเสมอ ซึ่ง จะช่วยลดการเกิดอาการบาดเจ็บต่าง ๆ ที่จะมาบั่นทอนคุณภาพชีวิตและ ประสิทธิภาพในการท�ำงานได้อย่างถาวร การดูแลผู้ป่วยออฟฟิศซินโดรมด้วยการแพทย์ผสมผสาน เทคนิควิธีการหรือศาสตร์การแพทย์ทางเลือกที่น�ำมาใช้ในการดูแล ปัญหาออฟฟิศซินโดรมนั้นมี 2 ลักษณะ คือ เป็นเทคนิควิธีการหรือศาสตร์ที่ ผู้ป่วยสามารถบ�ำบัดได้ด้วยตนเองและเป็นสิ่งที่ผู้ป่วยต้องไปรับการบ�ำบัดกับ ผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ความช�ำนาญในเทคนิค หรือ ศาสตร์นั้น ๆ โดยในบทนี้ จะกล่าวถึง เทคนิควิธีการหรือศาสตร์การแพทย์ทางเลือกที่มีและนิยมใช้ใน ประเทศไทย โดยศาสตร์หรือเทคนิควิธีการเหล่านี้จะแก้ไขอาการปวดของ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ที่ คอ บ่า - ไหล่ หลัง ซึ่งท�ำให้ปวด ศีรษะ ปวดคอ ปวดไหล่ รวมถึงอาการปวดหลัง โดยพบอาการเหล่านี้มากในออฟฟิศซินโดรม
105 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 ตารางแสดงศาสตร์หรือเทคนิคของการแพทย์ทางเลือกที่ช่วยแก้ อาการออฟฟิศซินโดรม เทคนิค/ศาสตร์การแพทย์ผสมผสาน การปฏิบัติ ปรับสมดุลโครงสร้าง + กดจุดบ�ำบัด + มณีเวช / กดจุดสะท้อนเท้า + โยคะ / ผ่าตัดเทียมพังผืด + ดุลยภาพบ�ำบัด / + หมายถึง ปฏิบัติได้ด้วยตนเองในบางอาการถ้าได้รับการฝึกทักษะ / หมายถึง ส่วนใหญ่ท�ำได้ด้วยตนเอง นวดปรับสมดุลโครงสร้าง นวดปรับสมดุลโครงสร้างเป็นการนวดโดยใช้การสัมผัสให้ถึง ลักษณะอาการ ซึ่งดูลักษณะโครงสร้างร่างกาย ซึ่งสันนิษฐานได้จากการเดิน เข้ามารับการนวด การสัมผัสอุณหภูมิของร่างกาย เพื่อให้รู้ถึงอาการและ ความเจ็บป่วยเบื้องต้น โดยหลักการนวดที่ท�ำให้ร่างกายไม่เกิดการบีบเบียด กดทับ คือ เมื่อกล้ามเนื้อบีบตัวจะมีอาการเกร็ง บีบรัดเส้นประสาท เส้นเลือด จะรู้สึกไม่สบายตัว ปวดตึงบริเวณที่กล้ามเนื้อบีบรัด เส้นเอ็นเบียดเมื่อขยับ ตัวจะรู้สึกเจ็บแป๊บ ๆ เมื่อมีการเบียดเส้นประสาท กระดูกกดเส้นประสาท จะมีอาการปวด แต่ถ้ากระดูกหรือเส้นเอ็นทับเส้นประสาทจะมีอาการชา ตามอวัยวะต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งการนวดในหลักการปรับสมดุลโครงสร้าง ช่วยผู้ป่วยที่มีปัญหาออฟฟิศซินโดรมได้ เช่น
106 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน นวดแก้ปวดตึงบริเวณศีรษะ-คอ-บ่า กดจุดบ�ำบัด (Acupressure) การกดจุดบ�ำบัดมีหลักการและแนวคิดพื้นฐานเช่นเดียวกับ การฝังเข็มของจีนซึ่งมีมานานกว่า 4,000 ปี ต่างกันตรงที่การฝังเข็มจะใช้เข็ม ขนาดเล็ก ๆ บาง ๆ ฝังเข้าไปตรงจุดส�ำคัญต่าง ๆ ในร่างกาย แต่การกดจุดบ�ำบัด จะใช้นิ้วหัวแม่มือของผู้บ�ำบัดกดไปตรงจุดส�ำคัญซึ่งเป็นจุดเดียวกับจุดฝังเข็ม แทนการใช้เข็ม ซึ่งการกดจุดบ�ำบัดสามารถแก้ไขอาการออฟฟิศซินโดรม ได้เช่นกัน
107 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 มณีเวช4-5 เป็นศาสตร์เกี่ยวกับการจัดสมดุลโครงสร้างร่างกายที่ท่านอาจารย์ ประสิทธิ์ มณีจิระประการ เป็นผู้ค้นพบโดยใช้ผสมผสานวิชาแพทย์แผนไทย จีนและอินเดีย มาประยุกต์ต่อยอดและพัฒนาการรักษามาเป็นของไทย เราเมื่อโครงสร้างของกระดูกในร่างกายที่อยู่ในลักษณะสมดุลจะท�ำให้การ ไหลเวียนของเลือด ลม น�้ำเหลือง และระบบประสาท เป็นไปอย่างสะดวก แต่หากโครงสร้างไม่อยู่ในลักษณะสมดุล การไหลเวียนต่าง ๆ ก็จะบกพร่อง ซึ่งเป็นสาเหตุของการผิดปกติ ไม่สบายต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งสามารถแก้ไข ได้ด้วยท่ากายบริหาร วิธีปฏิบัติ 1) ให้ยืนเท้าขนานกันเป็นเลข 11 ให้พนมมือประสานบริเวณกลาง หน้าอก ให้มือประสานกันแน่น และให้ข้อมืองอตั้งฉากกับแขนกดแน่น พอควรมือทั้งสองอยู่ห่างหน้าอกเล็กน้อยหายใจเข้าช้า ๆ 2) ประสานนิ้วมือสองข้าง 3) ดันมือทั้งสองลงล่างไปตรง ๆ จนข้อศอกตรงทั้งสองข้าง หายใจ ออกช้า ๆ 4) ยกมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะ โดยไม่งอข้อศอกให้สูงที่สุด มองตามมือพร้อมหายใจเข้าช้า ๆ ให้เต็มปอด 5) แยกมือสองข้างออกจากกัน ให้ข้อมือแอ่นออก 90 องศา คล้าย ท่าร�ำละครผายมือทั้งสองไป ด้านหลังเท่าที่ท�ำได้ พร้อมหายใจออกช้า ๆ
108 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน 1. ท่าโม้แป้ง วิธีปฏิบัติ 1) ก�ำมือทั้งสองตั้งตรงข้างหน้าคล้ายจับท่อนไม้ที่ตั้งฉากกับพื้น ข้อมือทั้งสองแอ่นออกเล็กน้อย ยกมือสูง ระดับไหล่ มือทั้งสองห่างกัน ประมาณหนึ่งฝ่ามือ หายใจเข้าช้า ๆ 2) ดันมือทั้งสองไปข้างหน้าตรงๆ หายใจออกช้า ๆ 3) เมื่อสุดแขน ก็แยกมือทั้งสองออกจากกันเหมือนเปิดม่าน ข้อศอกตึงตรงหายใจเข้าช้า ๆ 4) เมื่ออ้าแขนออกจากกัน ให้งอข้อศอกดึงกลับไปข้างหลัง พยายามให้ท่อนแขนอยู่ระดับไหล่ ตอนดึงกลับดึงกลับช้า ๆ หายใจออกช้า ๆ 5) ให้มือและแขนกลับมาท่าเริ่มต้นใหม่ 2. ท่าถอดเสื้อ วิธีปฏิบัติ 1) ก�ำมือสองข้าง ยกแขน งอข้อศอก 90 องศา ให้แขนทั้งสองข้าง ขนานกันและอยู่ระดับเดียวกันบริเวณหน้าอกอย่าให้แขนซ้อนกัน จะยก ข้างไหนไว้ข้างหน้าก่อนก็ได้ 2) ยกแขนสองข้างช้า ๆ ขึ้นเหนือศีรษะ ให้แขนสองข้างอยู่ระดับ เดียวกัน อย่าให้แขนซ้อนกันหรือแยกออกจากกัน ให้แขนอยู่ระดับเดียวกัน จนถึงกลางศีรษะ หายใจเข้าช้า ๆ 3) ชูแขนให้สูง โดยให้แขนแนบหู หลังมือประกบกัน
109 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 4) กระดกข้อมือขึ้น แบมือที่ก�ำออก แอ่นมือ 90 องศาเหมือนท่า ร�ำละคร 5) วาดแขนสองข้างไปข้างหลัง แต่ปลายนิ้วชี้ลงพื้น หายใจออก ช้า ๆ 3. ท่าหมุนแขนหรือท่ากรรเชียง วิธีปฏิบัติ 1) ยืนตรง ปล่อยแขนข้างล�ำตัวตามปกติ ให้ฝ่ามือไปข้างหลัง 2) ยกแขนทีละข้าง อาจจะยกแขนข้างใดก่อนก็ได้ 3) ยกแขนไปข้างหน้าชูขึ้นเหนือศีรษะและหมุนกลับมา ด้านหลัง ยกแขนหมุน 180 องศา แบบกรรเชียงว่ายน�้ำ หายใจเข้า ช้า ๆ เมื่อยกแขนขึ้น หายใจออกช้า ๆ เมื่อยกแขนลง เมื่อหมุนครบ แขนกลับมาข้างตัว ให้ฝ่ามือหันไปด้านหน้า พลิกฝ่ามือกลับก่อนยกต่อ ให้ท�ำทีละข้างสลับกันไปข้างละ 3 ครั้ง 4. ท่าปล่อยพลัง วิธีปฏิบัติ 1) ยืนตรง ปล่อยแขนและมือ ไว้ข้างตัว 2) ยกมือเหยียดไปข้างหน้าพร้อมกันสองข้าง ให้ฝ่ามือคว�่ำ 3) ยกแขนขึ้นไปเหนือศีรษะตรง ๆ หายใจเข้าช้า ๆ ลึก ๆ เหยียดแขนให้สุด ข้อศอกตรง ฝ่ามือจะแบ ไปด้านหน้า หายใจเข้าช้า ๆ 4) งอข้อศอก ออกด้านข้างให้ฝ่ามือเลื่อน ลงมาตรง ๆ เหมือน ลูบกระจกลงมาถึงระดับไหล่
110 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน 5) ดันฝ่ามือทั้งสองข้างไปข้างหน้าแรง ๆ พร้อมหายใจ ออกแรง ๆ เป็นการปล่อยพลัง จบท่าที่ 5 ให้ท�ำซ�้ำ 3 ครั้ง กดจุดสะท้อนเท้า (Foot reflexology)6 การกดจุดสะท้อนเท้า (Foot reflexology) เป็นศาสตร์ที่ถือก�ำเนิด มาจากชาวอียิปต์และชาวจีนโบราณมากกว่า 5,000 ปี และได้แพร่หลาย ไปยังประเทศต่าง ๆ รวมทั้งประเทศไทย “เท้า” นับว่าเป็นอวัยวะหนึ่งที่ ส�ำคัญของร่างกายที่ช่วยรับรองน�้ำหนักตัว อีกทั้งเท้ายังมีต�ำแหน่งการตอบ สนอง ต่าง ๆ สัมพันธ์กับอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย การกดจุดสะท้อนเท้า จึงเป็นศาสตร์การดูแลสุขภาพได้อีกแนวทางหนึ่งในแนวทางของการแพทย์ ทางเลือก หลักการ การกดจุดสะท้อนฝ่าเท้าเป็นเรื่องของการถ่ายทอดพลังผ่านเส้น โคจรพลัง (Meridian line) พลังนั้นต้องถ่ายทอดให้ถูกทิศ โดยมีหลักการว่า การนวดนั้นต้องมีทิศทางที่ไปเสริมให้พลังชี่ (Chi) เดินทางเข้าสู่หัวใจได้ดีขึ้น เพื่อให้การไหลเวียนของพลังหมุนเวียนได้ดี ในศาสตร์การแพทย์แผนจีน มองว่าถ้าพลังในร่างกายไหลเวียนดีไม่ติดขัด บุคคลผู้นั้นจะมีสุขภาพดีและ แข็งแรง ดังนั้น การได้กดนวดกระตุ้นที่เท้าจึงสามารถช่วยแก้อาการปวด และความไม่สุขสบายของร่างกายได้ เพราะช่วยท�ำให้ระบบการไหลเวียน ของพลังไม่ติดขัด ซึ่งในกลุ่มอาการปวด คอ หลัง บ่าไหล่ หลัง หรืออาการ ปวดศีรษะของกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรมสามารถแก้อาการเหล่านี้ได้
111 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 1. กดจุดสะท้อนเท้า (Foot reflexology) แก้อาการปวดศีรษะ7 ขั้นตอนการกดนวด ล�ำดับที่1 จุดสะท้อนที่ 1 สมองใหญ่ ศีรษะ อยู่พื้นที่ด้านบน ด้านในนิ้วโป้งที่ติดกับนิ้วชี้ ให้นวดจากด้านบนลงมาด้านล่าง ล�ำดับที่2 จุดสะท้อนที่ 3 สมองเล็กส่วนความจ�ำ อยู่พื้นที่ ด้านล่าง ด้านในของนิ้วโป้งที่ติดกับนิ้วชี้ (อยู่ด้านล่างของจุดสะท้อนที่ 1) ให้นวดจากด้านบนลงมาด้านล่าง ล�ำดับที่3 จุดสะท้อนที่ 2 สมองส่วนหน้าผาก อยู่พื้นที่ของปลาย นิ้วทุกนิ้ว (นิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง และนิ้วก้อย) ให้นวดจากด้านซ้าย มาด้านขวาและนวดจากด้านขวาไปด้านซ้าย ล�ำดับที่4 จุดสะท้อนที่ 5 ขมับ อยู่พื้นที่ด้านข้างด้านในของนิ้ว โป้งที่ติดกับนิ้วชี้ ให้นวดจากด้านบนลงมาด้านล่าง ล�ำดับที่5 จุดสะท้อนที่ 7 คอ (ท้ายทอย) อยู่พื้นที่ข้องอหรือ ข้อพับของนิ้วโป้ง วัดจากข้อพับหรือข้องอขึ้นมา ½ ซ.ม. ให้นวดจากด้านใน ออกมาด้านนอกจากด้านนอกเข้าไปด้านใน (จุดสะท้อนของเท้าในอวัยวะที่ เกี่ยวกับสมอง ศีรษะจะแสดงความสัมพันธ์ตรงข้ามกันคือซ้ายเป็นอวัยวะ ด้านขวา จุดสะท้อนของเท้าขวาเป็นอวัยวะด้านซ้าย) ล�ำดับที่6 จุดสะท้อนที่ 4 ต่อมใต้สมอง อยู่พื้นที่ทั้งด้านบนและ ด้านล่างของพื้นที่นิ้วโป้งด้านนอกให้นวดจากด้านบนลงมาด้านล่าง โดยนวดตามล�ำดับประมาณ วันละ 10 - 15 นาที
112 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน 2. กดจุดสะท้อนเท้า (Foot reflexology) แก้อาการปวดคอ บ่า ไหล่7 ขั้นตอนการกดนวด ล�ำดับที่ 1 จุดสะท้อนที่ 7 คอ (ท้ายทอย) อยู่พื้นที่ข้องอหรือข้อ พับของนิ้วโป้ง วัดจากข้อพับหรือข้องอขึ้นมา ½ ซ.ม. ให้นวดจากด้านใน ออกมาด้านนอกจากด้านนอกเข้าไปด้านใน (จุดสะท้อนของเท้าในอวัยวะที่ เกี่ยวกับสมอง ศีรษะจะแสดงความสัมพันธ์ตรงข้ามกันคือ ซ้ายเป็นอวัยวะ ด้านขวา จุดสะท้อนของเท้าขวาเป็นอวัยวะด้านซ้าย) ล�ำดับที่ 2 จุดสะท้อนที่ 10 ไหล่ อยู่พื้นที่เนินใต้นิ้วก้อยที่ฝ่าเท้า และเท้าด้านนอกให้นวดจากด้านบนลงมาด้านล่าง และให้เน้นตรงร่อง ระหว่างนิ้วนางกับนิ้วก้อย ล�ำดับที่ 3 จุดสะท้อนที่ 11 บ่า (กล้ามเนื้อไหล่) พื้นที่เนินเท้าใต้ นิ้วทั้ง 4 ให้นวดจากนิ้วชี้ไปทางนิ้วก้อย และให้นวดในแนวตั้งจากด้านบน ลงมาด้านล่างใต้พื้นที่นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนาง โดยนวดตามล�ำดับประมาณ วันละ 10 - 15 นาที 3. กดจุดสะท้อนเท้า (Foot reflexology) แก้อาการปวดต้นคอ ปวดหลัง ปวดเอว และก้นกบ ขั้นตอนการกดนวด จุดสะท้อนที่ 53 กระดูกต้นคอ อยู่ข้องอนิ้วโป้งของเท้าด้านใน ให้งอนิ้วโป้งจะเห็นรอยหยักด้านข้างนิ้วโป้งให้ขีดเส้นรอยด้านบนและ รอยด้านล่าง (จะอยู่ต่อจากจุดสะท้อนที่ 7) ให้นวดจากด้านบนลงมา ด้านล่างการแบ่งพื้นที่เท้าก่อนการหาจุดสะท้อนที่ 54, 55, 56 ใช้นิ้วโป้ง วางไว้ที่ต�ำแหน่งจุดสะท้อนที่ 53 เลื่อนนิ้วลงมาให้ตกเนินกระดูกใช้ปากกา
113 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 ขีดเส้นขนาน ใช้นิ้วชี้วางไว้ใต้แนวกระดูกของเท้าด้านในใช้ปากกาทาจุด สัญลักษณ์ไว้ แล้วค่อย ๆ ไล่ลงไปจนถึงส้นเท้า ใช้ปากกาลากเส้นตามจุด สัญลักษณ์จนสุดส้นเท้า วัดจากเส้นแรกลงมาประมาณ 1 ซ.ม ลากเส้น ขนานกับเส้นแรก (ในการวางนิ้ว ไม่ควรวางนิ้วบนแนวกระดูก และให้ระวัง เวลาไล่ใต้แนวกระดูกจนมาถึงช่วงโค้งใต้ตาตุ่มจนสุดส้นเท้า จุดตรงนี้จะ ผิดพลาด) จุดสะท้อนที่ 54 กระดูกหลัง ใช้นิ้วชี้วางไว้บนแนวกระดูกเลื่อน นิ้วลงมาตามแนวกระดูกจะเจอกับข้อต่อกระดูกให้ขีดเส้นลงมา (แนวข้อ ต่อกระดูกจะอยู่เหนือตาตุ่มมองจากปลายนิ้วลงไป) ให้นวดจากบนลงด้าน ล่าง ใต้แนวกระดูกเท้าด้านใน จุดสะท้อนที่ 55 กระดูกเอว ต่อจากต�ำแหน่งจุดสะท้อนที่ 54 ลงมาถึงกึ่งกลางโค้งใต้ตาตุ่มเท้าด้านใน ให้นวดต่อจากจุดสะท้อนที่ 54 ลงมาตามใต้แนวกระดูกเท้าด้านใน จุดสะท้อนที่ 56 กระดูกก้นกบ ต่อจากจุดสะท้อนที่ 55 จนสุด ส้นเท้าที่ฝ่าเท้าให้นวดต่อจากจุดสะท้อนที่ 55 ลงมาตามใต้แนวกระดูก จนสุดส้นเท้าที่ฝ่าเท้าโดยนวดตามล�ำดับประมาณ วันละ 10 - 15 นาที โยคะ (Yoga)8,9 โยคะมีต้นก�ำเนิดในประเทศอินเดีย เมื่อหลายพันปีมาแล้ว โดย ยกย่องให้นักปราชญ์ชาวฮินดูชื่อว่า มหาปตัญชลี เป็นบิดาของโยคะ ซึ่ง ค�ำว่าโยคะมาจากศัพท์ของค�ำว่า “ยุชิร” หรือ ยุช ซึ่งแปลว่า เทียมแอก ผูกมัด ประกอบอีกนัยหนึ่งของโยคะ คือ การเพ่ง หรือการควบคุมสมาธิ เพื่อควบคุมความปรวนแปรของจิต มิใช่การออกกาลังกายอย่างที่เข้าใจกัน แต่เป็นการฝึกเพื่อพัฒนาร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ เป็นการเตรียมกายใจ ให้พร้อมเพื่อเสริมสร้างสมดุลให้เกิดขึ้นทั้งร่างกายและจิตใจ
114 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน หลักการ โยคะ เป็นการสร้างความสมดุลของร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ โดยรวมให้เป็นหนึ่งเดียวซึ่งการฝึกโยคะจะประกอบด้วยส่วนส�ำคัญ 3 ประการ ได้แก่ การฝึกท่าโยคะ การหายใจหรือลมปราณ และการท�ำสมาธิ โดยการฝึกท่าโยคะจะกระตุ้นอวัยวะและต่อมต่าง ๆ ในร่างกายให้ท�ำงานดี ขึ้นเกิดความสมดุล สุขภาพจึงดีขึ้นการปฏิบัติอาสนะของโยคะในบางท่าจะ ทาให้ร่างกายสมดุล และสามารถแก้อาการปวด ผ่อนคลายความตึงเครียด ในกลุ่มอาการของออฟฟิศซินโดรม ได้ เช่น แก้อาการปวดศีรษะ อาการปวด คอ บ่า ไหล่ หลัง ซึ่งมีวิธีปฏิบัติในท่าโยคะดังนี้ ท่าที่ 1 พวันมุกตาสนะ (wind releasing pose) วิธีปฏิบัติ 1) นอนราบแขนแนบล�ำตัว ขาเหยียดตรง 2) หายใจเข้ายกขาทั้งสองข้างขึ้นในแนว 90 องศา 3) หายใจออกงอเข่าชิดอก 4) ยังหายใจออกอยู่ใช้มือทั้งสองกอดเข่า 5) หายใจเข้ายกศีรษะขึ้น 6) หายใจออกวางศีรษะลง 7) หายใจเข้าชูขาทั้งสองข้างขึ้นหายใจออกวางขาทั้งสอง ข้างลง (นอนในท่านอนราบ) (ท�ำต่อเนื่อง ครบประมาณ 5 รอบ) ท่าที่ 2 ท่าปลา (matsyasana) วิธีปฏิบัติ 1. นั่งเหยียดขาสองข้างไปด้านหน้า ทามุม 90 องศากับล�ำตัว
115 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 2. พับขาสองข้างในท่าขัดสมาธิ 3. เอนล�ำตัวนอนลง แล้วใช้มือสองข้าง (ปลายนิ้วมือชี้ไปทาง ปลายเท้า) ดันพื้นเพื่อยกให้ศีรษะแหงนขึ้น 4. เลื่อนมือมาจับปลายเท้าแต่ละข้าง เมื่อท�ำถึงท่าที่ 4 แล้ว ให้ค้างไว้ หายใจเข้าลึก หายใจออกยาว ประมาณ 1 - 2 นาที ท�ำแค่ 1 รอบ ท่าที่ 3 ท่างู (bhujangasana) วิธีปฏิบัติ 1. นอนคว�่ำ 2. ใช้มือสองข้างวางข้างล�ำตัวในแนวระดับอก 3. หายใจเข้าพร้อมใช้มือ 2 ที่วางในแนวระดับอกดันล�ำตัว ขึ้นค้างไว้ 10 - 15 วินาที 4. หายใจออกลดแขนลง ท�ำซ�้ำตั้งแต่ขั้นตอนที่ 1 - 4 ประมาณ 5 รอบ ท่าที่ 4 ท่าบิดตัว (บิดสันหลัง) (twist pose (bhadhasana) ) วิธีปฏิบัติ 1. นั่งเหยียดขาสองข้างไปด้านหน้า ท�ำมุม 90 องศากับล�ำตัว 2. ตั้งขาซ้าย หรือ ขา ขวา ขึ้น และใช้มือ 2 ข้าง ยันไปด้าน หลังโดยให้ปลายนิ้วชี้ออกนอกล�ำตัว 3. ใช้แขนขวา วางค่อมขาซ้าย หรือขาขวา (ที่ตั้งขาไว้) พร้อม กับหันหน้าไปตามทิศของมือซ้ายหรือ มือขวา ที่ใช้ยันพื้น ท�ำค้างไว้ หายใจ เข้าลึก ออกยาว ประมาณ 15 - 30 วินาที ท�ำซ�้ำโดยสลับขาขวา หรือขาซ้าย ข้างละ 3 รอบ
116 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน การผ่าตัดเทียมพังผืด (Artificial Operation of Fibrosis)10 หลักการ การผ่าตัดเทียมพังผืดเป็นชื่อเรียกเฉพาะที่ผู้คิดค้น คือ นายประทีป ไวค�ำนวณ ได้ตั้งชื่อนี้ไว้ ซึ่งการผ่าตัดเทียมพังผืดเป็นวิธีการสลายพังผืดที่ เกาะตามเนื้อเยื่อหรือเกาะตามอวัยวะต่าง ๆ พังพืดเป็นขบวนการซ่อมแซม เนื้อเยื่อตามธรรมชาติเมื่อร่างกายได้รับบาดเจ็บ แต่พังพืดเหล่านี้ที่สร้างขึ้น บางส่วนอาจไปกดทับ เบียดบัง เส้นประสาท หลอดเลือด ท�ำให้เกิดอาการ ปวด ชาได้ ดังนั้น การท�ำให้พังผืดสลายหรือขาดออกจากกันจึงสามารถ บรรเทาอาการปวด หรือชาในอาการเหล่านี้ได้ วิธีการผ่าตัดเทียมพังผืด คือ การก�ำจัดพังผืด (Fibrosis) ส่วนเกินที่เป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหว ของเส้นเอ็น มุ่งตรงในการแก้ปัญหาพังผืดที่ยึดเส้นเอ็น (Tendon) และ ลิกาเมนท์ (Ligament) ให้เป็นอิสระ โดยใช้เครื่องมือชนิดแท่งแข็งแรง ไม่ยืดหยุ่น ความยาวประมาณ 8 นิ้ว ด้านปลายมน ไม่คม เส้นผ่านศูนย์กลาง ส่วนปลายมน มีขนาดไม่เกิน 0.5 เซนติเมตร กดในบริเวณกล้ามเนื้อลาย บริเวณจุดปวดที่ไวต่อการกระตุ้นจุดกดเจ็บ (Trigger Point) ด้วยความแรง ไม่เกิน 11 ปอนด์ เป็นเวลา 20 - 30 วินาที/จุด โดยไม่มีการผ่าตัดและ ไม่มีบาดแผลภายนอก โดยหลักการนี้ได้น�ำมาใช้บ�ำบัดผู้ป่วยที่มีปัญหา ของกล้ามเนื้อเส้นเอ็น และน�ำมาใช้ในผู้ป่วยที่มีปัญหาอาการปวดกล้ามเนื้อ คอ บ่า ไหล่ และนิ้วล็อก ในกลุ่มอาการของออฟฟิศซินโดรมได้ ซึ่งการใช้ การบ�ำบัดด้วยวิธีนี้ให้ท�ำกับผู้เชี่ยวชาญ ผู้ป่วยไม่สามารถท�ำได้ด้วยตนเอง ดุลยภาพบ�ำบัด11 ดุลยภาพบ�ำบัด คือ คือการรักษาโดยยึดหลักสมดุลตามแนวทาง ธรรมชาติของมนุษย์ โดยค�ำนึงถึง โครงสร้าง หน้าที่ ของอวัยวะทุกระบบ สภาพจิตใจ อาชีพ อิริยาบถประจ�ำวัน อาหารตลอดจนสภาพภูมิอากาศ
117 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 สิ่งแวดล้อม ฉะนั้นการบ�ำบัดรักษาจึงจ�ำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพิจารณาทุกอย่าง ที่กล่าวมาร่วมกัน เรียกว่า “การพิจารณาแบบองค์รวม” (Holistic approach) ท่ากายบริหารเบื้องต้นแนวดุลยภาพบ�ำบัด12 ท่าเตรียม 1) นั่ง 1 ใน 3 ของเก้าอี้ หลังตรง คอตรง หน้าตรง 2) วางเท้าขนานให้เป็นเลข 11 3) เท้าและเข่าอยู่ในแนวเดียวกันกับไหล่ทั้ง 2 ข้าง 4) มือทั้ง 2 ข้าง จับด้านข้างของเก้าอี้ ท่าที่ 1 นั่งในท่าเตรียม 1) มือทั้ง 2 ข้างจับข้างเก้าอี้ ในลักษณะดึงขึ้น 2) นั่งตัวตรง หลังตรง หน้าตรง แขนทั้ง 2 ข้างตึงและตรง 3) ยืดคอขึ้น พร้อมกดคางลงเล็กน้อย 4) หายใจเข้าอย่างช้า ๆ ให้เต็มที่พร้อมแขม่วหน้าท้อง ขมิบทวารหนัก 5) หายใจออกอย่างช้า ๆ พร้อมกับผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ที่เกร็งอยู่ให้คลายทั่วตัว 6) บริหารในท่านี้ประมาณ 5 - 10 ครั้ง ประโยชน์ 1) ช่วยให้หายใจได้ลึกและสะดวกขึ้น 2) ท�ำให้กล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่ แข็งแรงขึ้น 3) ท�ำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น 4) ช่วยบรรเทาและป้องกันริดสีดวงทวาร 5) กระดูกสันหลังยืดตรงขึ้น (หรือเหยียดตรงขึ้น) ช่วยลด อาการปวดหลัง 6) ท�ำให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น
118 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน ท่าที่ 2 นั่งในท่าเตรียม 1) มือข้างใดข้างหนึ่งจับเก้าอี้ มือและแขนอีกข้างหนึ่งค่อย ๆ กางออก 2) และยกขึ้นไปทางด้านข้างล�ำตัว เฉียงขึ้น 45 องศา จากแนวหัวไหล่ 3) กางนิ้วมือข้างที่ยกขึ้นทุกนิ้วให้แยกจากกันให้มากที่สุด เท่าที่ท�ำได้ 4) พร้อมกับหายใจเข้าให้ลึกให้เต็มที่ พร้อมทั้งแขม่วท้อง 5) หายใจออกช้า ๆ พร้อมกับค่อย ๆ ลดมือลงวางข้างล�ำตัว 6) เปลี่ยนมืออีกข้างจับข้างเก้าอี้ ท�ำเหมือนเดิม 7) บริหารในท่านี้ประมาณ 5 - 10 ครั้ง (ซ้าย -ขวา นับ 1 ครั้ง) ประโยชน์ 1) บรรเทาอาการไหล่ติดระยะเริ่มต้น 2) บริหารบ่อย ๆ ท�ำให้ไม่เกิดอาการของไหล่ติด ไหล่ไม่ห่อ หัวใจไม่ถูกเบียด 3) เพิ่มการไหลเวียนโลหิตไปเลี้ยงที่นิ้วมือได้ดีขึ้น 4) ช่วยระบบการหายใจได้ดีขึ้น ท่าที่ 3 นั่งในท่าเตรียม 1) เหยียดแขนข้างใดข้างหนึ่งไปข้างหน้าให้อยู่ต�่ำกว่าระดับ หัวไหล่เล็กน้อย ใช้มืออีกข้างหนึ่งจับนิ้วมือของข้างที่เหยียดออกเฉพาะ นิ้วนาง นิ้วกลาง นิ้วชี้ บริเวณโคนนิ้ว 2) ให้ข้อมือของแขนที่เหยียดออกตั้งขึ้น ในลักษณะหลังมือ ตั้งฉากกับข้อมือ ให้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วก้อยกางออกด้านข้างให้สุดให้ตึง
119 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 3) ดันมือที่เหยียดออกให้เต็มที่ ส่วนมือที่จับให้ดึงเข้า ออกแรงต้านกันโดยให้แขนขนานกับพื้น 4) นับ 1 ถึง 10 แล้วปล่อยมือที่จับวางลงบนหน้าขา ส่วนแขนข้างที่เหยียดและตั้งข้อมือนั้นให้กางนิ้วออกให้เต็มที่เกร็งนิ้วและ คว�่ำข้อมือกดลงจนรู้สึกตึง (เกร็ง) นิ้วมือถึงข้อมือโดยแขนขนานกับพื้น 5) กรีดนิ้ว เริ่มจาก นิ้วนาง นิ้วกลาง นิ้วชี้ ท�ำซ�้ำ 3 ครั้ง 6) เริ่มท�ำอีกข้างเหมือนเดิม 7) บริหารในท่านี้ประมาณ 3 - 5 ครั้ง (ท�ำซ้าย - ขวา นับ 1 ครั้ง) ประโยชน์ 1) เพิ่มการไหลเวียนโลหิตไปเลี้ยงปลายมือได้ดีขึ้น 2) บรรเทาอาการนิ้วล็อค และป้องกันไม่ให้เป็นนิ้วล็อค ป้องกันการปวดข้อมือ ลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อที่แขน 3) ลดอาการปลายนิ้วมือชา 4) ท�ำให้กล้ามเนื้อที่แขนแข็งแรง 5) ปรับสมดุลของกล้ามเนื้อบ่า คอ แขนทั้งด้านในและ ด้านนอก ท่าที่ 4 นั่งในท่าเตรียม 1) มือทั้ง 2 ข้างจับด้านข้างของเก้าอี้ เหยียดแขนทั้ง 2 ข้าง ให้ตึงพร้อมผายไหล่ออก 2) เหยียดเท้าข้างใดข้างหนึ่งเฉียงออกไปด้านข้างประมาณ 30 - 45 องศา จากแนวกลางล�ำตัว
120 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน 3) เหยียดเข่าให้ตึง ยึดตัวให้หลังตรง 4) ยกส้นเท้าเหนือพื้นเล็กน้อย จิกปลายเท้าลง กางนิ้วเท้า ทั้ง 5 นับ 1 - 10 (ถ้าจิกเท้าลงแล้วเป็นตะคริว ไม่ต้องท�ำขั้นตอนนี้) 5) กระดกปลายเท้าเข้าหาตัว เบนเท้าไปทางด้านนิ้วก้อยให้ รู้สึกน่องตึง เกร็งเท้าไว้นับ 1 - 10 ผ่อนคลาย 6) จากนั้นหมุนข้อเท้าให้เป็นวงกลมให้รอบ โดยหมุนไปทาง ซ้าย 5 รอบและหมุนไป ทางขวา 5 รอบ ช้า ๆ 7) สลับเท้า ท�ำการบริหารท่านี้ 5 - 10 ครั้ง (ซ้าย - ขวา นับ 1 ครั้ง) ประโยชน์ 1) เพิ่มการไหลเวียนโลหิตไปเลี้ยงที่ปลายเท้าได้ดีขึ้น 2) ลดอาการปวดที่ขาทั้ง 2 ข้าง 3) ป้องกันและบรรเทาอาการปวดเข่า 4) ท�ำให้กล้ามเนื้อขาแข็งแรง 5) รักษาและป้องกันตะคริวที่น่องและปลายนิ้ว 6) ป้องกันและชะลอการเสื่อมของข้อเข่า ข้อเท้า สรุป อาการเจ็บป่วยที่ เรียกว่า ออฟฟิศซินโดรม นอกจากวิธีการรักษา ตามแนวทางของแพทย์แผนปัจจุบันแล้ว ยังมีการแพทย์แผนไทยและการ แพทย์ทางเลือก ที่สามารถน�ำมาผสมผสาน ในการดูแลสุขภาพจากความ เจ็บป่วยของกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรมได้ เพราะหลักการของการแพทย์ ทางเลือกเหล่านี้ มุ่งเน้นการบ�ำบัดที่ไม่ใช้ยาและส่งเสริมสุขภาพ สามารถใช้ บ�ำบัดอาการจากออฟฟิศซินโดรม อาทิ อาการปวดคอ บ่า ไหล่ หลัง เอว บางรายมีอาการทางระบบประสาทร่วมด้วย เช่น ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ
121 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 เป็นต้น ซึ่งการแพทย์ทางเลือกที่น�ำมาใช้ในกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม ในหนังสือเล่มนี้มีหลายเทคนิคหลายวิธี โดยส่วนใหญ่เทคนิคเหล่านี้เป็นการ ปรับให้โครงสร้างร่างกายเกิดความสมดุล เมื่อร่างกายสมดุล สุขภาพก็ดีตาม ไปด้วย เช่น การนวดปรับสมดุลโครงสร้างร่างกาย โยคะ มณีเวช ดุลยภาพ บ�ำบัด ส่วนเทคนิควิธีที่แก้ไขปัญหาตามจุดที่มีพยาธิสภาพ เช่น การกดจุด บ�ำบัด การผ่าตัดเทียมพังผืด กดจุดสะท้อนเท้า เป็นต้น ส่วนใหญ่เทคนิควิธี เหล่านี้เน้นการส่งเสริมดูแล ป้องกันที่ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงได้และสามารถ พึ่งตนเองได้
122 เอกสารอ้างอิง 1. โรงพยาบาลบ�ำรุงราษฎร์. อาการออฟฟิศซินโดรม. [ออนไลน์] [1 พฤษภาคม 2560]; ที่มา: https://www.bumrungrad. com/th/rehabilitation-clinicsathorn/conditions/officesyndromes#Symptoms 2. ประสพสุข อิงควาระ. พื้นฐานการนวดสัมผัสปรับสมดุลโครงสร้าง ร่างกาย (150 ชั่วโมง). เอกสารประกอบการสอนหลักสูตรการนวดปรับ สมดุล โครงสร้างร่างกายของสานักการแพทย์ทางเลือก. 2551. 3. กิตติพงษ์ ปังศรีวินิจ. การกดจุดบ�ำบัด. เอกสารประกอบการสอน หลักสูตรการกดจุดบ�ำบัด. 2552. 4. นภดล นิงสานนท์. Love Life Balance. [ออนไลน์]. [25 พฤษภาคม 2560]; ที่มา: http://www.childrenhospital.go.th/html/2014/ sites/default/files/Maneevej.pdf 5. คลินิคชุมชน นพ.เกรียงศักดิ์ - พญ.พิพธพร หลิวจันทร์พัฒนา. บ�ำบัด ร่างกายด้วยวิชามณีเวช. [ออนไลน์]. [25 พฤษภาคม 2560]; ที่มา: https://www.organicbook.com/health/%E0%B8%A7%E0%B8 %B4%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%93%E 0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%8A/ 6. ไกรสิงห์ รุ่งโรจน์สกุลพร. หนังสือเรียน วิชาการนวดกดจุดสะท้อนเท้า (เพื่อสุขภาพ) หลักสูตร 60 ชั่วโมง. เอกสารประกอบการอบรมนวดกด จุดสะท้อนเท้า. 2549.
123 โรคกล้ามเนื้อบาดเจ็บจากการท�ำงาน ในมุมมองของแพทย์แผนไทย บุษราภรณ์ ธนสีลังกูร, พทป. โรคกล้ามเนื้อบาดเจ็บจากการท�ำงาน คือ กลุ่มอาการเจ็บป่วย ที่เกิดจากการท�ำงานของกล้ามเนื้อที่ไม่เหมาะสมในท่าใดท่าหนึ่งซ�้ำ ๆ เป็นเวลานาน ท�ำให้เกิดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ ข้อต่อ เส้นเอ็น หรือ เส้นประสาท ส่งผลให้มีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเรื้อรัง และอาจส่งผล ให้มีความผิดปกติของร่างกายส่วนอื่น ๆ ร่วมด้วย1 เป็นกลุ่มอาการที่พบ ได้บ่อยในผู้ที่ท�ำงานในส�ำนักงาน จึงเรียกรวม ๆ ว่า โรคออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) หรือ กลุ่มอาการบาดเจ็บจากการท�ำงาน สาเหตุ ส่วนใหญ่เกิดจากสภาพแวดล้อมในที่ท�ำงานไม่เหมาะสม เช่น สภาพโต๊ะ ไม่เป็นระเบียบ ท�ำให้ต้องเอื้อมมือหยิบสิ่งของ หรือต้องใช้การเอี้ยวตัว อยู่ตลอด ลักษณะของเก้าอี้ เช่น ไม่มีพนักพิงที่รองรับแผ่นหลัง ความสูง - ต�่ำ จนเกินไป เป็นต้น หรือเกิดจากท่าทางการท�ำงานในอิริยาบถเดิม ๆ ติดต่อกัน เป็นระยะเวลานาน ๆ โดยไม่ค่อยมีการเคลื่อนไหวร่างกาย ท่าทางในการ ท�ำงานที่ไม่ถูกต้อง เช่น นั่งหลังค่อม การใช้คอมพิวเตอร์ที่ผิดสุขลักษณะ นอกจากนี้ยังรวมถึงภาวะความเครียดจากการท�ำงาน พอนานเข้าร่างกายไม่ สามารถที่จะทนรับสภาวะนั้นได้ จึงเกิดการเสียสมดุล น�ำมาสู่อาการบาดเจ็บ ของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น ในทางการแพทย์แผนไทยเรียกโรคที่เกิดจากการ บาดเจ็บของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นว่า“โรคลมปลายปัตคาต” หมายถึง โรค ลมชนิดหนึ่ง เกิดจากเลือดและลมเดินไม่สะดวก ท�ำให้มีอาการปวด บวม แข็ง และตึงที่กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น เยื้อหุ้มกระดูก และริมหัวข้อต่อ เป็นต้น2 ท�ำให้ เกิดอาการ เช่น ปวดเมื่อย ปวดบ่า ปวดคอ ปวดหลัง ปวดศีรษะ มีการอักเสบ ของเส้นเอ็นและพังผืด ชาบริเวณข้อนิ้วและนิ้วมือ โดยเฉพาะผู้ที่ท�ำงาน
124 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน หน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ จะมีปัญหาทางด้านสายตาด้วย เช่น ปวดเบ้าตา ตาแห้ง น�้ำตาไหล ระคายเคืองตา ตามัว ปรับภาพได้ช้าลง เมื่อเป็นนาน ๆ เข้าหากยังไม่ได้รับการรักษาจะมีอาการบาดเจ็บสะสมทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลให้เกิดโรคอื่น ๆ ตามมาได้ ต�ำราการแพทย์แผนไทยได้กล่าวถึงโรคที่ท�ำให้เกิดความเจ็บป่วย ของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น ดังนี้ คัมภีร์โรคนิทานกล่าวถึงความเจ็บป่วยของกล้ามเนื้อว่าเกิดแต่ เส้นเอ็น กล่าวคือ “...ณะหารูร้าวราญ ก�ำเริบเปนโรคต่าง ๆ คือ ให้จับสะบัดร้อน กลับย้อนหนาวให้เมื่อยคราง ปวดเศียร กระกลหมาง บ่อมีศุขในอินทรีย์ อ�ำมพฤกษ์ก�ำเริบกร้า อาหาราบ่อภุญชี ถึงโอชะอันเลิศดี จะสูบเสพย์ก็เสื่อ มรศ เส้นใหญ่วิกลบ่อย เส้นน้อย ๆ ก็พลอยหมด ที่นั้นจึงปรากฏ เป็นก้อน ผ่านในครรภา บางทีเป็นล�ำเถา แข็งขึงเอารอบอุรา รวบรัดมัดกายา เมื่อลุก นั่ง ทั้งยอกแทง ให้ระหวยระทวยใจ บ่อหลับได้ให้ถอยแรง ที่ขอดก็ ขอด แข็ง เป็นเกลียวกลึงขึงไปมา...” เมื่อถอดความจะเห็นถึงอาการเมื่อนหารู พิการปรากฏอาการคือ ท�ำให้รู้สึกหวาดไปทั้งสรีรกาย เช่น ยอก เมื่อยขบ ปวดเสียว กายภายนอกแข็งตึง รัดแน่นเข้ากระทบหัวใจเหมือนร่างกายถูก รัดรึงตึงผูกดวงใจให้ร่างกายสวิงสวาย (วิงเวียน) และอ่อนหิว (อ่อนเพลีย) ปวดเจ็บตามเส้นเอ็นทั่วร่างกาย ที่กล้าก็กล้า ที่แข็งก็แข็ง ที่ตั้งดานก็ตั้งดาน ที่ ขอดก็ขอดเข้าเป็นก้อนเถาโทษนั้นกระทบมังสังก่อนแล้วแปรเข้ากายภายใน3 สาเหตุ การเกิดโรคออฟฟิศซินโดรม ทางการแพทย์แผนไทยมีสาเหตุ มาจาก พฤติกรรมหรือมูลเหตุการเกิดโรค ได้แก่ 1. อิริยาบถ: การไม่เปลี่ยนแปลงอิริยาบถ หรือท่าทางในการท�ำงาน ไม่ถูกต้อง เช่น การนั่งอยู่ในท่าเดิม นั่งหลังงอหรือหลังค่อม นั่งไขว่ห้าง
125 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 การใช้คอมพิวเตอร์ต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน หรือจากสภาพแวดล้อมของ สถานที่ท�ำงานไม่เหมาะสม เช่น การจัดวางโต๊ะ เก้าอี้ เอกสาร อุปกรณ์การ ท�ำงานต่าง ๆ ไม่เป็นระเบียบ ยากต่อการเอื้อมมือหยิบจับสิ่งของ ท�ำให้ต้อง เอี้ยวตัวผิดท่าทางอยู่เสมอ 2. อาหาร: การรับประทานอาหารรสเผ็ดร้อนจัด (เช่น พริกไทย ดีปลี พริก สะค้าน กระชาย เป็นต้น) รสเย็นจัด (เช่น แตงกวา แตงโม บวบ ฟัก เป็นต้น) รสขมจัด (เช่น สะเดา ขี้เหล็ก มะระ บวบขม เป็นต้น) มากจน เกินไป อาหารบูดเน่า อาหารไม่สะอาด รวมถึงการสูบบุหรี่ และดื่มสุรา 3. อากาศ: อยู่ในที่ที่ต้องสัมผัสอากาศเย็นอยู่เสมอ เช่น การนั่ง ท�ำงานในห้องแอร์เป็นเวลานาน ๆ ท�ำให้พื้นผิวของร่างกายต้องสัมผัสกับ ความเย็นอยู่ตลอด มีผลให้การไหลเวียนเลือดไม่สะดวกได้ 4. การอด: การอดนอน หรือการพักผ่อนไม่เพียงพอ 5. การท�ำงานเกินก�ำลัง: ท�ำให้เกิดความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อ 6. การมีโทสะอยู่เสมอ: ส่งผลให้เกิดภาวะความตึงเครียด น�ำมาสู่ อาการต่าง ๆ ได้หลากหลาย เช่น นอนไม่หลับ ปวดศีรษะ ปวดบ่า ปวดคอ เป็นต้น นอกจากนี้โรคออฟฟิศซินโดรม อาจมีสาเหตุมาจากการได้รับ อุบัติเหตุแล้วท�ำให้เกิดอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อก็ได้ สาเหตุต่าง ๆ ดังที่กล่าวมานั้นจะกระทบกับธาตุที่อยู่ภายในร่างกาย กล่าวคือ ในวันหนึ่ง ๆ บุคคลมักจะมีอิริยาบถเดิมซ�้ำ ๆ เช่น การนั่งอยู่ในท่า เดิมนาน ๆ การหยิบจับสิ่งของหรือการเอี้ยวตัวผิดท่าทาง การใช้คอมพิวเตอร์ ต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ส่งผลกระทบต่อการไหลเวียนของธาตุลม ได้แก่ ลมอโธคมาวาตา (ลมพัดลงสู่เบื้องล่าง) ลมอุทธังคมาวาตา (ลมพัดขึ้น เบื้องบน) และลมอังคมังคา นุสารีวาตา (ลมพัดทั่วกาย) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
126 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน ลมอังคมังคานุสารีวาตา เมื่อมีการพัดไหลที่ไม่ราบรื่น ก็จะส่งผลกระทบไป ถึงไฟสันตัปปัคคี (ไฟอุ่นกาย) ซึ่งถูกพัดพาไปด้วยลมอังคมังคานุสารีวาตานั้น ไม่สามารถเคลื่อนไปตามปกติ เกิดการกระทบต่อธาตุน�้ำ ในส่วนของโลหิตัง (น�้ำเลือด) ที่เป็นองค์ประกอบอยู่ภายในธาตุดินในส่วนของมังสัง (กล้ามเนื้อ) และนหารู (เส้นเอ็น) มีผลให้กล้ามเนื้อมัดนั้น ๆ เกิดการอักเสบ บวม อาการ แข็ง ตึง เป็นล�ำ เป็นเถา เป็นต้น นอกจากนี้การท�ำงานที่อยู่ภายในห้อง ท�ำงานที่เปิดเครื่องปรับอากาศตลอดทั้งวัน ท�ำให้ร่างกายส่วนพื้นผิวได้รับ ความเย็นมากขึ้น กระทบต่อการไหลเวียนของธาตุลมและธาตุไฟให้หย่อน ก�ำลังลง ท�ำให้กล้ามเนื้อแข็งเกร็งเพิ่มมากขึ้น โรคออฟฟิศ ซินโดรม ส่วนใหญ่มักเริ่มต้นด้วยอาการปวดซึ่งเป็น สมุฏฐานวาตะ คือธาตุลมเกิดความพิการหรือก�ำเริบ อาจเกิดจากเหตุที่ท�ำให้ ธาตุลมผิดปกติเอง หรือเป็นผลจากธาตุอื่นที่ผิดปกติมาก่อนแล้วส่งผลกระทบ กับธาตุลม ธาตุลมที่ก�ำเริบหรือมีมากเกินไปท�ำให้เกิดอาการปวด จะปวดที่ใด ก็ขึ้นกับว่าลมกระท�ำต่ออวัยวะหรือร่างกายส่วนใด ความรุนแรงของอาการ ปวดขึ้นกับอิทธิพลของธาตุลมที่เปลี่ยนแปลง เช่น ลมอังคมังคานุสารีวาตา ลมอุทธังคมาวาตา และลมอโธคมาวาตา หากพิการจะส่งผลกับระบบการ ไหลเวียนเลือด มีการติดขัดตามข้อต่อ เกิดความรู้สึกตึง ๆ หนัก ๆ เมื่อยล้า จนถึงมีอาการปวด ปวดเมื่อย ปวดร้าว หรืออาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ชา อ่อนแรง และรุนแรงจนเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต ส่งผลให้ธาตุดิน (มังสัง, นหารู) เกิดพิการและก�ำเริบตามมา อาการของโรคกล้ามเนื้อบาดเจ็บจาก การท�ำงาน เช่น อาการปวดบ่า ปวดคอ ปวดหลัง ปวดข้อมือ ปวดขา ปวดเข่า กระดูกสันหลังคด อัมพฤกษ์ อัมพาต ยอกหลัง ข้อเท้าแพลง เป็นต้น
127 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 อาการ อาการของโรคออฟฟิศซินโดรม ได้แก่ กลุ่มอาการของโรคทางลม ที่เรียกว่า โรคลมปลายปัตคาต มีอาการปวด บวม กล้ามเนื้อเกร็งแข็งเป็น ก้อนเป็นล�ำ บางครั้งเกิดการอักเสบสัมผัสได้ถึงความร้อนบริเวณผิวหนัง โรคกล้ามเนื้อบาดเจ็บจากการท�ำงานที่พบได้บ่อย ได้แก่ 1. โรคลมปัตคาตบ่า (ปวดบ่า) หมายถึง อาการปวดที่เกิดขึ้นบริเวณบ่า หรือบริเวณหลังช่วงบน (upper back pain) ซึ่งอาจแสดงถึงการมีพยาธิสภาพในบริเวณนั้น โดยเฉพาะกลุ่มกล้ามเนื้อมัดใหญ่ที่ใช้ในการเคลื่อนไหวศีรษะ หัวไหล่ และสะบัก อาการนี้พบได้ตั้งแต่วัยหนุ่มสาว และเป็นภาวะที่ไม่มีอันตราย ร้ายแรง และมักจะหายได้เอง แต่อาจเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรังได้ อาการปวดบ่า ทางหัตถเวชกรรมไทยจัดเป็นโรคลมชนิดหนึ่ง เรียกว่า “ลมปัตคาตบ่า” ท�ำให้กล้ามเนื้อบ่าแข็งเกร็ง มีอาการปวดเสียวกล้ามเนื้อบริเวณบ่า 2. โรคลมปลายปัตคาตหลัง (ปวดหลัง) อาการปวดหลัง สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดคือกล้ามเนื้อหลังเกร็งหรือ เคล็ดจากการท�ำงานรองลงมาได้แก่ข้อต่อกระดูกสันหลังเสื่อม การวินิจฉัย สาเหตุของอาการปวดหลังส่วนใหญ่ท�ำได้โดยการซักประวัติและตรวจ ร่างกายมีเพียงส่วนน้อยที่จ�ำเป็นต้องส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม เพื่อช่วยวินิจฉัย 3. โรคลมปลายปัตคาตคอ (ปวดคอ) อาการปวดคอ ซึ่งมีสาเหตุมาจากความเครียด จากท่าทางการ ท�ำงานที่ไม่เหมาะสม เช่น การใช้คอมพิวเตอร์ในการท�ำงาน หรือจากการ นอนหมอนสูงหรือแข็งจนเกินไป
128 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน 4. ปวดศีรษะ อาการปวดศีรษะ ซึ่งมีสาเหตุมาจากความเครียด วิตกกังวล อารมณ์ ขุ่นมัว นอนไม่หลับ ท�ำงานหนักจนเกินไป พักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกาย อ่อนเพลีย ใช้สายตามาก ภาวะสมองล้า เป็นต้น การวินิจฉัย โรคออฟฟิศซินโดรม ในทางการแพทย์แผนไทยสามารถเทียบเคียง ได้กับโรคลมปลายปัตคาต ซึ่งเป็นกลุ่มของโรคลมที่มีสาเหตุความเจ็บป่วยมา จากเลือดและลมเดินไม่สะดวก เกิดจากการขาดความสมดุลในการท�ำงาน ของธาตุทั้ง 4 ในร่างกาย เมื่อร่างกายอยู่ในท่าทางหรืออิริยาบถที่ไม่เหมาะสม นาน ๆ จะท�ำให้กล้ามเนื้อส่วนใดส่วนหนึ่งท�ำงานมากเกินไปจนส่งผลให้มี อาการปวดตามกล้ามเนื้อ (มังสัง) และเส้นเอ็น (นหารู) เกิดการแข็งเกร็ง ขัด ตึง จนขัดขวางการเคลื่อนที่ของระบบการไหลเวียนเลือด (โลหิตัง) และลมที่พัดขึ้นสู่เบื้องบน (อุทธังคมาวาตา), ลมพัดลงสู่เบื้องล่าง (อโธคมา วาตา) และลมที่พัดทั่วกาย (อังคมังคานุสารีวาตา) ท�ำให้การไหลเวียนเลือด ไม่สะดวก เกิดการอุดกั้นตามเส้นทางการไหลเวียนเลือด ท�ำให้ผิวบริเวณนั้น มีอุณหภูมิสูงขึ้น ก่อให้เกิดอาการอักเสบของกล้ามเนื้อส่งผลกระทบต่อไฟ อุ่นกาย (สันตัปปัคคี) เมื่อเกิดอาการติดขัดของระบบการไหลเวียนเลือดบ่อย ๆ จะท�ำให้ธาตุลมไม่สามารถที่จะเคลื่อนไหวได้จึงเกิดการคั่งค้างของลม ในบริเวณใดบริเวณหนึ่งมากเกินไป ศัพท์ทางการแพทย์แผนไทยเรียกว่า “อั้นลม” ท�ำให้มีอาการปวดตึงบริเวณกล้ามเนื้อส่วนนั้น ๆ การรักษา การแพทย์แผนไทยเชื่อว่าความเจ็บป่วยของร่างกายมาจากการเสีย สมดุลของธาตุทั้ง 4 หากมีธาตุใดธาตุหนึ่งท�ำงานผิดปกติไปก็จะท�ำให้ธาตุที่
129 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 เหลือขาดสมดุลในการท�ำงานไปด้วย และแสดงออกมาเป็นความเจ็บป่วย รูปแบบต่าง ๆ ดังนั้นกลไกการรักษาโรคออฟฟิศซินโดรม จึงมุ่งเน้นไปใน ทางปรับสมดุล โดยอาจใช้การรักษาได้หลากหลาย วิธี ได้แก่ 1. ยาสมุนไพร สามารถเลือกใช้ยาสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ โดยพิจารณาให้สอดคล้องกับอาการและสมุฏฐานการเกิดโรคของคนไข้ ได้แก่ ยาเถาวัลย์เปรียง ยาผสมเถาวัลย์เปรียง ยาผสมโคคลาน ยากษัยเส้น ยาธรณีสัณฑะฆาต และยาที่ใช้ภายนอก ได้แก่ ยาพริก ยาไพล ยาน�้ำมันไพล ยาขี้ผึ้งไพล ยาประคบ เป็นต้น4 2. การนวด โดยทั่วไปการรักษาโรคออฟฟิศซินโดรม จะใช้การนวด รักษาแบบราชส�ำนัก สูตรที่ใช้ในการนวดแต่ละโรคจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับอาการที่ได้จากการการซักประวัติและการตรวจประเมินร่างกาย โดยแพทย์แผนไทย ระยะเวลาในการนวดประมาณ 45 นาที ถึง 1 ชั่วโมง ตามดุลยพินิจของแพทย์ ตัวอย่างสูตรการนวดราชส�ำนักรักษาโรคออฟฟิศ ซินโดรม ได้แก่ สูตรนวด แก้อาการปวดศีรษะ ปวดตา ปวดบ่า ปวดคอ และ ปวดหลังส่วนบน 1. พื้นฐานบ่า 2. สัญญาณ 4, 5 หลัง 3. สัญญาณ 4 หัวไหล่ 4. พื้นฐานโค้งคอและศีรษะ 3 จุด 5. พื้นฐานหลัง 6. พื้นฐานแขนด้านใน 7. พื้นฐานแขนด้านนอก
130 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน สูตรนวด แก้อาการปวดหลังช่วงล่าง ขา และบั้นเอว 1. พื้นฐานหลัง 2. สัญญาณ 1 - 3 หลัง 3. สัญญาณ 1 - 5 ขาด้านนอก 4. สัญญาณ 1 - 5 ขาด้านใน 3. การประคบสมุนไพร ความร้อนจากลูกประคบสมุนไพรซึ่งมีตัวยาสมุนไพรจะช่วย บรรเทาอาการปวดเมื่อย ลดอาการบวม และอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ข้อต่อลดอาการติดขัดและช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดให้ดีขึ้น และกลิ่นของน�้ำมันหอมระเหยจากสมุนไพรจะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย 4. การอบไอน�้ำสมุนไพร ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนได้ดีขึ้น ท�ำให้กล้ามเนื้อคลายการหดเกร็ง รู้สึกผ่อนคลายจากความตึงเครียด ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น การป้องกัน 1. จัดสภาพแวดล้อมในการท�ำงานให้เป็นระเบียบ เหมาะสม 2. ควรหยุดพัก หรือมีการปรับ/เปลี่ยนอิริยาบถในการท�ำงาน เช่น ลุกยืน เดินยืดเส้นยืดสาย บริหารกล้ามเนื้อ ทุก 1 ชั่วโมง ควรมีการ หยุดพักประมาณ 10 - 15 นาที 3. พักสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ทุก 10 นาที วางข้อมือ ในต�ำแหน่งที่ตรง ไม่บิดงอ 4. ลดความเครียด หาวิธีการผ่อนคลายร่างกาย 5. บริหารจัดการเวลาระหว่างการท�ำงานและการพักผ่อนให้ สมดุล
131 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 ค�ำแนะน�ำการปฏิบัติตัวของผู้ป่วย 1. การประคบความร้อน วันละ 2 ครั้ง เช้า - เย็น ครั้งละ 10 - 15 นาที 2. หลีกเลี่ยงอาหารแสลง เช่น ข้าวเหนียว หน่อไม้ เครื่องในสัตว์ ของหมักดอง เหล้าเบียร์ 3. หลีกเลี่ยงอิริยาบถที่ท�ำให้เกิดโรค เช่น การนั่งท่าเดิมนาน ๆ ยืนนาน ๆ การยกของหนัก เป็นต้น 4. การออกก�ำลังกายโดยการบริหารร่างกายด้วยท่าฤๅษีดัดตน ที่เหมาะสม เช่น ท่าแก้ปวดท้องและข้อเท้า และแก้ลมปวดศีรษะ ท่าแก้แขน ขัด และแก้ขัดแขน ท่าแก้ไหล่ ขา และแก้เข่า ขา 5 และการบริหารเฉพาะโรค 5. รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง และปฏิบัติตามค�ำแนะน�ำผู้ให้ บริการ
132 เอกสารอ้างอิง 1. สาขาชีววิทยา สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. สรีรวิทยากับออฟฟิศซินโดรม. [ออนไลน์]. ที่มา: http://biology.ipst. ac.th/?p=33242. 2. ส�ำนักงานราชบัณฑิตยสภา และกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข. พจนานุกรม ศัพท์แพทย์และเภสัชกรรม แผนไทย ฉบับราชบัณฑิตยสภา พ.ศ. 2559 เนื่องในโอกาสมหามงคล เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ 70 ปี 9 มิถุนายน 2559. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ส�ำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ, 2560. 3. มูลนิธิฟื้นฟูส่งเสริมการแพทย์ไทยเดิมฯ และโรงเรียนอายุรเวทธ�ำรง สถานการแพทย์แผนไทยประยุกต์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล. ต�ำราแพทย์ไทยเดิม (แพทยศาสตร์สงเคราะห์ ฉบับอนุรักษ์) เล่ม 1 ฉบับช�ำระ พ.ศ.2550 เนื่องในมหามงคลวโรกาสเฉลิม พระชนมายุ 80 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: ศุภวนิชการพิมพ์, 2555. 4. ประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ เรื่อง บัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ. 2559 ประกาศ ณ วันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 คัดจาก ราชกิจ จานุเบกษา เล่ม 133 ตอนพิเศษ 86 ง วันที่ 12 เมษายน 2559. 5. สถาบันการแพทย์แผนไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการ แพทย์ทางเลือก. ขยับการสบายชีวีด้วยกายบริหารแบบไทยฤๅษีดัดตน. พิมพ์ครั้งที่ 8. กรุงเทพฯ: ส�ำนักกิจการโรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ ทหารผ่านศึก ในพระบรมราชูปถัมภ์; 2552.
133 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 นวัตกรรมโรค “Office Syndrome” จากส่วนภูมิภาค 1. ชื่อนวัตกรรม : “ชุดสมุนไพรลดปวด - วังเฮิร์บ” โรงพยาบาล : วังน�้ำเย็น จังหวัดสระแก้ว วิธีการใช้: 1. น�ำถุงถั่วเขียวเข้าในไมโครเวฟ 600 วัตต์ นาน 1 นาที 2. น�ำถุงถั่วเขียวออกจากไมโครเวฟแล้วใส่ในถุงประคบ 3. ฉีดสเปรย์ลูกประคบลงในแผ่นส�ำลีแล้ววางบนถุง 4. น�ำถุงประคบไปประคบบริเวณที่มีอาการปวด
134 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน 2. ชื่อนวัตกรรม : “เปิดปุ๊บปิดปั๊บระงับปวด” โรงพยาบาล : สมเด็จพระยุพราชสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ส่วนประกอบ: 1. ไพล 4 ส่วน 2. พริกไทย 2 ส่วน 3. เปราะหอม 2 ส่วน 4. เอื้องหมายนา 2 ส่วน 5. พิมเสน 1 ส่วน 6. การบูร 1 ส่วน 7. น�้ำมันระก�ำ 1 ส่วน วิธีการใช้: ใช้พลาสเตอร์ไพลแปะบริเวณที่มีอาการปวด
135 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 3. ชื่อนวัตกรรม : “เชือกแก้ปวดยืดกล้ามเนื้อคลายเส้น (เชือกยืดเอ็น)” โรงพยาบาล : สมเด็จพระยุพราชหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ส่วนประกอบ: เชือกที่สามารถยืดได้ วิธีการใช้: 1. งอศอกซ้ายไปทางด้านหลัง แล้วมือจับเชือกไว้มือขวาจับเชือกไว้ ทางด้านหลังใช้มืออีกข้างดึกเชือกลงด้านล่างให้มากที่สุดแล้วค้างไว้ 10 วินาที ท�ำเช่นเดียวกันกับแขนฝั่งตรงข้าม ท�ำซ้ายขวาสลับกันอย่างน้อย ข้างละ 3 - 5 ครั้ง
136 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน 2. ใช้มือซ้ายจับเชือกไว้ด้านหลัง แล้วใช้มือขวาจับเชือกอีกข้าง แล้วดึงขึ้นด้านบนให้มากที่สุดแล้วค้างไว้ 10 วินาที ท�ำเช่นเดียวกันกับแขน ฝั่งตรงข้าม ท�ำซ้ายขวาสลับกันอย่างน้อยข้างละ 3 - 5 ครั้ง 3. ใช้มือ 2 ข้าง จับเชือกไว้ด้านบน แล้วยืดไปทางด้านหลังให้ได้ มากที่สุด ท�ำค้างไว้ 10 วินาที ท�ำซ�้ำ 3 - 5 ครั้ง
137 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 4. ใช้มือสองข้างจับเชือกไว้ทางด้านหลังแล้วยกขึ้นด้านบนให้มาก ที่สุดแล้วค้างไว้ 10 วินาที ท�ำซ�้ำท่าละ 3 - 5 ครั้ง 5. ใช้มือสองข้างจับเชือกแล้วชูขึ้นด้านบนแล้วใช้มือข้างที่อยู่ ด้านล่างดึงพร้อมพร้อมเอนตัวมาข้างที่ดึงให้มากที่สุด ท�ำค้าง ไว้ 10 วินาที ท�ำซ�้ำ 3 - 5 ครั้ง
138 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน 6. สอดข้อมือซ้ายไว้ในห่วงเชือกไปทางด้านหลังแล้วใช้มือข้างขวา ดึงเชือกไปทางด้านขวาให้มากที่สุดแล้วค้างไว้ 10 วินาที ท�ำเช่นเดียวกันกับ แขนฝั่งตรงข้าม ท�ำซ้ายขวาสลับกันอย่างน้อยข้างละ 3 - 5 ครั้ง ค�ำแนะน�ำ: อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง (กินได้แต่ไม่บ่อย) ได้แก่ ข้าวเหนียวมูล แอลกอฮอล์ เครื่องในสัตว์ ยอดผักที่ก�ำลังออก
139 สรุปผลการจัดงาน การสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก ครั้งที่ 1 4. ชื่อนวัตกรรม : “งูงับขยับข้อ” โรงพยาบาล : พนัสนิคม จังหวัดชลบุรี ส่วนประกอบ: ใบลาน วิธีการใช้: สวมงูงับ (ใบลานที่สานไขว้เป็นปลอกหุ้มนิ้วมือ) เข้าบริเวณนิ้วที่ล็อค แล้วดึงยืดให้ตึง ที่นิ้วจะมีการกระตุกเหมือนจังหวะหัวใจเต้น รอจนกว่า จังหวะเต้นที่นิ้วจะเบาและหายไป ประมาณ 10 - 15 นาที หากต้องการ ถอดก็ดันงูงับไปที่โคนนิ้วแล้วค่อย ๆ ถอดออก ช่วยให้เพิ่มการเคลื่อนไหว ของนิ้วมือและกล้ามเนื้อ ช่วยการไหลเวียนของเลือดในนิ้วมือ และช่วยให้ เส้นเอ็นบริเวณนิ้วได้ยืดและคลายตัวออก
141 การวิเคราะห์ต�ำรับยารักษาอาการบาดเจ็บ จากการท�ำงานและหลักฐานเชิงประจักษ์ที่เกี่ยวข้อง ดวงแก้ว ปัญญาภู ภบ., ภม.(เภสัชกรรมคลินิก), วท.ด.เภสัชศาสตร์) รสรินทร์ ไพฑูรย์, พทป. ปัจจุบัน การท�ำงานมีความเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ซึ่งการนั่งท�ำงาน หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์นาน ๆ ถือว่าเป็นความเสี่ยงของคนท�ำงานในส�ำนักงาน อาการบาดเจ็บจากการท�ำงาน (Office Syndrome) มีสาเหตุมาจาก การท�ำงานในสภาวะที่ไม่เหมาะสม อาจเกิดจากการนั่งท�ำงานในอิริยาบถ เดียวนานจนเกินไป ท�ำให้กล้ามเนื้อเกิดการบาดเจ็บ ปัจจุบันพบได้ถึงร้อยละ 60 - 70 ของกลุ่มคนท�ำงานในวัยกลางคน ซึ่งถือว่าเป็นภาวะที่คุกคาม สุขภาพของคนในกลุ่มนี้เป็นอย่างยิ่ง การดูแลสุขภาพเบื้องต้นสามารถ ท�ำได้ โดยการเปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ หรือมีการออกก�ำลังกายที่เหมาะสม เพื่อเป็นการผ่อนคลายความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อ ส�ำหรับการรักษาด้วย ยาสามารถใช้ได้ทั้งยาแผนปัจจุบัน เช่น ยาในกลุ่มยาต้านการอักเสบที่ ไม่ใช่ สเตียรอยด์ (NSAIDs) และยาคลายกล้ามเนื้อ (Muscle relaxant) ซึ่งยากลุ่มนี้จะมีข้อจ�ำกัดในคนบางประเภทที่มีอาการแพ้ยาหรือ ไม่สามารถทน (Tolerance) ต่ออาการข้างเคียงที่พบบ่อย เช่น การระคาย เคืองกระเพาะอาหาร ดังนั้นยาในกลุ่มยาทาภายนอกน่าจะเป็นค�ำตอบ ส�ำหรับผู้ป่วยที่ทนต่อยาได้น้อย ส�ำหรับการใช้ยาสมุนไพรหรือต�ำรับยาไทย อาจเป็นทางเลือกหนึ่งส�ำหรับผู้ป่วยที่มีข้อจ�ำกัดเรื่องการใช้ยาแผนปัจจุบัน
142 กลุ่มงานวิชาการและคลังความรู้ กองวิชาการและแผนงาน ในศาสตร์การแพทย์แผนไทยได้เปรียบอาการบาดเจ็บจากการ ท�ำงาน (Office Syndrome) ได้กับโรคลมปลายปัตคาต ตามมูลเหตุ การ เกิดโรคเกิดจากอิริยาบถ และการท�ำงานหนัก ซึ่งอิริยาบถได้แก่ การมีท่าทาง การนั่ง การยืน การเดินที่ไม่ถูกต้อง อาทิ การนั่งหลังค่อม เป็นสาเหตุท�ำให้ ปวดหลัง หรือการท�ำงานหนัก ซึ่งน�ำมาสู่ความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ เหล่านี้ล้วนแต่เป็นมูลเหตุท�ำให้เกิดโรคทั้งสิ้น โดยในทางการแพทย์แผนไทย ธาตุดิน ได้แก่ เนื้อหรือมังสัง (กล้ามเนื้อ) เกิดการกระทบ ท�ำให้ธาตุลม ที่อาศัยอยู่ในธาตุดินเกิดการก�ำเริบ หย่อน หรือพิการ (แล้วแต่กรณี) โดยธาตุลมที่ผิดปกติไป ส่วนใหญ่จะเกิดจากลมอุทธังคมาวาตา (ลมเบื้องสูงพัดลงสู่เบื้องต�่ำ) หรือลมอโธคมาวาตา (ลมเบื้องล่างพัดสู่เบื้องสูง) ไม่พัดไปในทิศทางที่ควรจะเป็น ก่อให้เกิดลมในร่างกายอั้นอยู่ตามจุดต่างๆ ที่มีอาการปวด อาทิ หลังส่วนล่าง บั้นท้าย บ่า คอ ข้อศอก ข้อมือ (ในทาง แผนปัจจุบัน คือกล้ามเนื้อหดเกร็ง) ท�ำให้เกิดอาการอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุ ของอาการปวด บวม แดง ร้อน จึงมีการใช้ยารสร้อน ท�ำหน้าที่กระจายลม ซึ่งเมื่อพิจารณาจากต�ำรับยาที่ใช้ในหน่วยบริการส่วนภูมิภาค จะพบว่า ใช้หลักการของการเคลื่อนลมโดยใช้ยาที่มีรสร้อนเป็นหลัก เช่นกัน โดย สมุนไพรที่ใช้เป็นหลัก ได้แก่ ไพล พริกไทย ดีปลี ว่านน�้ำ ซึ่งจะช่วยเรื่อง กระจายลม ขับลมที่อั้น นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณแก้เส้นอัมพฤกษ์อัมพาต โดยตัวยาประกอบอื่น ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นยากลุ่มบ�ำรุงธาตุ บ�ำรุงร่างกาย ดังนี้