The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลวงปู่เทสก์ ปุจฉา-วิสัชนาในต่างประเทศ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ทีมงานกรุธรรม, 2023-10-27 23:08:35

หลวงปู่เทสก์ ปุจฉา-วิสัชนาในต่างประเทศ

หลวงปู่เทสก์ ปุจฉา-วิสัชนาในต่างประเทศ

Keywords: หลวงปู่เทสก์ ปุจฉา-วิสัชนาในต่างประเทศ

ปุจฉาวิสัชนาตางประเทศ โดย พระนิโรธรังสีคัมภีรปญญาจารย  (เทสก  เทสรังสี) วัดหินหมากเปง อําเภอศรีเชียงใหมจังหวดหนองคายั


สารบัญ คํานํา สิงคโปร คร ั้ งท ี่ ๑ วันท ี่๘ - ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๑๙ ออสเตรเลีย วันที่๑๙ พฤศจิกายน - ๑๒ ธันวาคม ๒๕๑๙ สิงคโปร คร ั้ งท ี่ ๒ วันที่๑๕ – ๒๔ ธันวาคม ๒๕๑๙ อินโดนีเซีย วันท ี่๒๕ ธันวาคม - ๑๗ มกราคม ๒๕๒๐ สิงคโปร คร ั้ งท ี่ ๓ วันที่๑๘ – ๒๒ มกราคม ๒๕๒๐ สิงคโปร คร ั้ งท ี่๔ วันที่๒๐ – ๓๑ มีนาคม ๒๕๒๐ คํานํา หนังสือที่ทานถืออยูในมือน ี้ เป นหนงสั ือที่ขาพเจ  าเขียนเม ื่อไดมีโอกาสไปเที่ ยวตางประเทศ ขณะเดียวกันก็มีเวลาไดสนทนาธรรมกับคนตางชาติดวย เพราะคนตางชาติเวลาน ี้ เขากําลังสนใจ เร ื่องการปฏิบัติธรรมกันโดยมาก แท  จริงหนังสือการเท ี่ ยวตางประเทศของข าพเจ  าน ั้นได เขียน มาแล  วเร ื่ องหนึ่ง แตในหนังสือเลมน ั้ นกลาวเฉพาะแตเร ื่ องการเท ี่ ยวเฉย ๆ ไมไดกล  าว ถึงเร ื่ อง การสนทนาธรรมะกันเลย เพราะข  าพเจ  าต ั้งใจไววา หัวข อสนทนาธรรมน ั้นจะเอาไว เขียน


อีกเลมหน ึ่ งตางหาก แตเวลาก็ลวงเลยมานานกวาปแลว จึงเขียนออกมาได เพราะมีอุปสรรค บางอยาง ทําใหไมสามารถจะทําหนังสิอออกมาได แตถึงอยางนั้น ขาพเจ  าก ็ พยายามที่สุดท ี่ จะ ทําหนังสือน ี้ออกมาใหจงได เพราะเห็นวาจะเปนประโยชน แกผูสนใจพอสมควร เอาเถิด ถึง หนังสือจะออกมาช  าบ  างก ็คงไมเปนไร ธรรมะเปนของเกาท ี่ไมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา จะ ออกมาช  าหรือเร็ว รสชาติของธรรมะยอมไมจืดจางไปไหน ใครไดรับรสชาติแล  วยอมเอมโอชอยู อยางเดิม อนึ่ง ขาพเจ าไปตางประเทศครั้ งน ี้ ไดมีโอกาสไดไปเที่ยวหลายประเทศและอยูนาน โดยเฉพาะสิงคโปรได อยูนานกวาเขาต ั้ งแรมเดือน จึงมีโอกาสไดสนทนาธรรมและแกปญหาธรรม แกเขาเหลาน ั้ นมากพอ สมควร ชื่อของผูถาปญหาจําไดบาง ไมไดบางหวังวาคงไมเปนอุปสรรคแกทานผูอานท ั้ งหลาย เพราะหนังสือนี้มุงเอาธรรมเปนใหญ คนชาวตางประเทศกับคนไทยยอมมีมติคล  าย ๆ กัน เว  นแตเขาถือศาสนาท ี่ เชื่อในพระเจา ทําอะไรดีหรือช ั่วยกให พระเจ าเปนผูสั่งการ ฉะนั้นปญหา ที่เขาถามโดยมากมักจะมีดังน ี้ ๑. ปญหาเก ี่ ยวดวยการภาวนา ( เขามีภาวนาด  วยเหมือนกัน) โดยเฉพาะ ๒. ปญหาท ี่ เก ี่ ยวด  วยการภาวนาบ  าง แตคิดคาดคะเนวาจะเป นอยางน ั้ นอยางน ี้ มากกวา ๓. ปญหาชีวิตประจําวันท ี่ เขาคิดไมตก ทั้งสามข อน ี้ได ลงเลข ๑ ,๒,๓ กํากับไว แลว เพ ื่อจะได ตรวจดูใหรูวา ขอไหนหมายความวา อยางไร หนังสือเลมนี้ขาพเจ าได รวบรวมเอาคําถามคําตอบ มาลงไวดวยความลําบากยากเข ็ ญและ ดวยสติปญญาอันนอย ขออุทิศกุศลน ี้ ถวายแดสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ าทุกพระองค  แหง พระบรมราชจักรีวงศ  และพระบรมวงศานุวงศทุกๆ พระองค  ซึ่งไดลวงลับไปแล วทพระองค ี่ ได ทรงเสียสละอุทิศพระวรกายและพระราชทรัพย  พร  อมด วยสติปญญาเพ ื่อปกป องรักษาผืนแผนดิน ไทยใหเป นมรดกตกทอดตลอดมาจนลูกหลานมาจนบัดน ี้ ถายังทรงสถิตอยูในภูมิใดแลว ขอจงได ทอดพระเนตรดูเขตแดนไทยทรงคุมครองและชวยใหคนไทยมีใจเมตตา กรุณา ปราณี สามัคคีเปน อันหน ึ่งใจเดียวกัน แล  วจงทรงชวยปกป องอยาใหภัยวิบัติเกิดข ึ้นในแผนดินไทย อันรมรื่นดวยพระ บวรพุทธศาสนาและพระมหากษัตริยผูทรงเป นเอกอัครศาสนูปถัมภกนี้ตอไป


ความหมายของเลขหนาคําถาม เลข ๑ เปนคําถามในเรื่องการภาวนาโดยเฉพาะ เลข ๒ เปนคําถามเก ี่ ยวกับการภาวนาบ  างแตผูถามมักคิดคาดคะเนวา จะเป นอยางน ั้ นอยางน ี้ เลข ๓ เปนคําถามเก ี่ ยวกับชีวิตประจําวันที่ผูถามคิดไมตก สิงคโปร คร ั้ งท ี่ ๑ วันที่๘ – ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๙ วันที่๘ พฤศจิกายน ๒๕๑๙ (เวลาบาย ) สนทนาธรรม ทานอาจารย  ใครมีเร ื่องอะไรสนทนาก็ เชิญ ๑. ผูถาม ไดอานวิธีปฏิบัติธรรมแบบพมา ทานอาจารย  แล วเวลาปฏิบัติปฏิบัติอยางไร ๑. ผูถาม ที่ไดรับอบรมมานั้น เวลาน ั่ งภาวนาพยายามท ี่ จะขจัดอารมณ ไมใหมารบกวน พอขจัด อารมณ  สงบลงพักหนึ่ง จะมีอารมณ ใหมเกิดขึ้น จะเป นอารมณ อะไรก็ แล  วแตพอเห็นวาเกิดอารมณ 


ขึ้นแลว ก็พยายามทําใจใหวางก ็ สงบอีก ทําอยูอยางน ี้ เห ็ นวาเป นการทําใหสงบไดไมนาน ขอกราบ เรียนถามวา ทําอยางไรถึงจะทําใหสงบได นานๆ ทานอาจารย  การขับไลอารมณ ใหออกไปไดนั้นดีแลว แตยังจับหลักไมถูกตอง  จับความสงบของจิตใจให ไดจึงจะสงบไดนาน ๆ ๑. ผูถาม เม ื่ อทําความสงบแลว แตพออารมณ  เกิดขึ้น ก็พยายามจับอารมณนั้นเม ื่ อจับอารมณนั้นได แล  วก็สามารถทําความสงบอีกได มันจะเป นอยูอยางน ี้ และพยายามทําอยูอยางน ี้ ทานอาจารย  ใหไปจับเอาต  นเหตุคือผูคิดนึกกอนท ี่เป นอารมณ  อารมณทั้งหลายก ็หายไปแลวสงบอยู อยางเดียว จับเอาความสงบน ั้นใหได ๑.ผูถาม เม ื่ ออารมณ  เกิดขึ้น ทานอาจารย ให พยายามจับอารมณนั้นใชไหมคร  ับ ทานอาจารย  ใหพิจารณาจับอารมณนั้น จับที่ตรงเหตุคือผูไปคิดนึกเป นเหตุนั่นแหละจับเอาตรง นั้นแหละใหได ๑. ผูถาม ไดพยายามจับอารมณนั้นเหมือนกัน แตมันก็ดับไปกอน ทานอาจารย  ให เข าใจอยางน ี้ ใจเป นกลาง ผูคิดผูสงไปเป นอารมณนั้นคือจิต ใหจับเอาจิตผู เป นเหตุนี้ใหไดจึงจะหมดเร ื่ อง


๑.ผูถาม ที่ทําภาวนาน ี้ไมตองการอะไรทั้ งสิ้น ตองการทําใจใหวางตลอดเวลา ทานอาจารย  มันไมวางนะ ซิ ถึงวางก ็ไปยึดความวางนั้น ก็เลยไมวาง ๑. ผูถาม จะพยายามละอุปาทานได อยางไร ทานอาจารย  มันยังมากมาย ขอใหพิจารณาอัตตาน ี้ เสียกอนเม ื่ อพิจารณาอัตตาน ี้ เห ็ นชัดเจนแลว จนไมมี อัตตา สิ่งท ั้งปวงทั้งหมดเป นอนัตตา นั่นแหละจึงจะละอุปาทานได ๑ .ผูถาม ขอทานอาจารย โปรดอธบายคิ ําตอบสุดท  ายอีกคร ั้ งหน ึ่ งครับ ทานอาจารย  ขอใหใชสติควบคุมปญญาพิจารณา รูป-นาม คือกาย กับ ใจ อันนี้ให เห ็ นแจ  งชัดเจนด วยใจ ของตนเอง แล  วมองเห ็ นส ิ่ งท ั้งปวงมีสภาพเหมือนกันหมด นี้ก็เปนอุบายอันหน ึ่ งของอุบาย หลายๆ อยางด  วยกัน ซึ่งจะทําให ละ อุปาทานได อุปาทานไมใชอันเดียว มีหลายอยางแตไป ชัดอุบายอันเดียว แล  วเรองอ ื่ ื่นก็ดวยกันทั้งหมด ๑.ผูถาม ที่ทานอาจารย ใหพิจารณากายนั้น ควรจะพิจารณาสวนไหนครับ ทานอาจารย  จะพิจารณาสวนใดสวนหน ึ่ งก ็ได แล  วแตถนัด เม ื่ อมันชัดแลวส วนอื่น ก็ชัดตามกันไปหรือ จะชัดเฉพาะแตสวนที่พิจารณาก ็ เอา อยาไปอยากใหมันชัดท ั้ งหมด ประเดี๋ยวใจมันจะถอนออกมา เสีย ส ิ่ งที่ชัดจะหายไปเสีย สิ่งท ี่ไมชัดก็เลยไมชัดตามกันไปด วย


๑.ผูถาม เม ื่ อพิจารณาอนิจจัง หรอนามธรรมอื ื่น อันใดจะชัดกวาครับ ทานอาจารย  เม ื่ อพิจารณาอนิจจัง ขอใหลงถึงใจจริง ๆ เถิดเปนชัดด  วยกันทั้งน ั้นไมวารูปและนาม ๑.ผูถาม เวลาทําความสงบมีอารมณ  เล ็ กน  อย มันจะไปยึดเอาแตความสงบนั้น ทานอาจารย  ก็ตองเป นอยางนั้น ความสงบเป นความสุขอยางยิ่ง แตความไมสงบเปนสัญชาติญาณ มันยัง มีอยูและไมมีความสุขจงทําความสงบใหมากจนไมมีอารมณ  แล  วอยูเปนสุข ๑.ผูถาม เวลาที่ทําสมาธิโดยกําหนดลมหายใจ และเม ื่ อจิตสงบน ิ่ งดีแลว กลับมาพิจารณากายโดยคิด ไปวา นาจะเปนโรคอันนั้นอันน ี้ ซึ่งก ็อาจจะเปนไปได แตเม ื่ อคิดวาขณะกําลังพิจารณาอานา ปานสติอยู ก็นับหนึ่ง-สอง-สาม---- จนถึงสิบแทนการกําหนดลมหายใจ ความรูสึกนั้นก็หายไป ทําอยางนี้จะถูกหรือไม ทานอาจารย  จิตยังไมสงบเต ็ มที่ยังไมเข  าถึงธรรมจึงต  องหวงแหนรางกายอยู กลัวจะเกิดโรคนั้นโรคนี้ อยู ถาจิตเข  าถึงสมาธิเต ็ มท ี่ แล  วและเข  าถึงธรรม ความวิตกกังวลเชนนั้นจะไมมีเลย ๑.ผูถาม ผมเข าใจวาเม ื่อใจจะเป นฌานตองวางอารมณเสียกอน เม ื่ อวางแล  วก ็เป นฌาน หลังจากนั้น ผมพยายามจับอาการสามสิบสองมาพิจารณาใหม ทานอาจารย 


ฌานก็ตองมีอารมณ  ไมมีอารมณ  จะเรียกฌานได อยางไร อารมณ  ของฌานคืออานาปานสติ อสุภ กสิณ ทั้งหลาย เปนตน ที่จับเอาอาการสามสิบสองมาพิจารณาน ั้ นดีแลว ขอใหพิจารณาไป เถิด เป นอยางไรชางมัน ขอใหมันเปนก็แล  วกัน ๑.ผูถาม เวลาอารมณ อะไรมาแทรกขณะที่กําลังพิจารณาอยู ใจก็มักจะเข  าหาฌานแตถาเม ื่อใดใจจด จองแตอารมณ  เดียว เวลาจับเอาอารมณนั้นมาพิจารณากาย จิตใจก็ จะต ั้ งม ั่ นอยูที่กาย ทานอาจารย  ฌานเป นอารมณขี้ขลาด เหตุนั้นเม ื่ อมีอารมณ  มาแทรกจึงหลบเข าฌานเสีย สมาธิ เป นอารมณ  กล  าหาญ เม ื่ ออารมณ ใดเข ามาแทรกจะต  องจดจ  องเพงพิจารณาอยูที่กายแหงเดียว ๑.ผูถาม เม ื่ อกอนน ี้ ผมคิดวาการเรียนหมอน ี้เป นหลัก วิชาท ี่ไดเปรียบในเรื่ องการพิจารณาแตเด ี๋ ยวน ี้ ทราบวาเข าใจผิด การไปเพงดูโรคตาง ๆ แล  วเอามาพิจารณานั้นมันยังเป นการเพงภายนอก ทานอาจารย  เราเพงอันนั้นนับวาดีแลว เราจับจุดไดวามีโรคอะไรเกิดข ึ้นในที่นั้น เราเพงเรียกวา เพงออกไปภายนอก เรียกสมาธิเหมือนกัน เม ื่ อจิตใจจดจออยูอันเดียวเรียกสมาธิ แตเปน สมาธิสงนอก บรรดาวิชาท ั้ งหลายท ี่ เรียนรูมาแล วในโลกนี้ และนําออกมาใชทั้งหมด ลวนแตเกิด จากสมาธิอันนี้ทั้งนั้น แตในทางพุทธศาสนาใหยอนกลับมาพิจารณาภายใน ใครเปนผูพิจารณา ใจ เปนผูพิจารณา จับใจนั้ นแหละมาพิจารณาออ…….ผูนี้เองเปนผูพิจารณา แล  วเรามาพิจารณาใจวา มันมีอะไรอยูตรงนี้บาง เวลาเราคิดนึกสงสายมันไปหาอะไร จับตรงน ี่ แหละข ึ้ นมาพิจารณา อยูตรงน ี้ ตั้งสติควบคุมทําความรูสึกไว เอาแคนี้เสียกอน เม ื่ อสมาธิเกิด มันตองวางอารมณอัน นั้นตามหลักพระพุทธศาสนาถาหากไปติดอารมณนั้นอยูเป นสมาธิเหมือนกันแตเป นสมาธิสงนอก ๑. ผูถาม เม ื่ อกอนน ี้ เวลาภาวนา พิจารณาเห ็ นสมองของคนอ ื่ นอยูขางหน าปจจุบันนี้พยายามพิจารณา ใหเป นสมองของตัวเองบ างจะเป นอยางไรครับ


ทานอาจารย  มันก็ดีละซี เห ็ นภายนอกแล  วน  อมเข าภายในกายของตน ไมใหสงออกไปภายนอก ไมวา แตสมองละอื่น ๆ ก็ใหนอมเข  าอยางน ั้ นเหมือนกันก็ใชได ๑.ผูถาม เราจะต  องแยกจิตออกจากอารมณ ใชไหมครับ ทานอาจารย  แยกหรือไมแยกเราไมตองพูด เม ื่ ออารมณทั้งหลายมีรูปเปนตน ที่ตามีประสาทเป นผูรับรู อยางภาษาสมัยใหมเรียกวา เซลลประสาทก  ็ดีเซลลอื่นก็ดีเป นแตเคร ื่ องรับ ผูรูนั้นคือธาตุรูสภาพ ที่รูนั้นแหละจับใหได เม ื่ อจับตัวน ั้นได แลว สิ่งอื่นก็หายไปหมด ก็เปนอันแยกอารมณกับจิต ออกจากกันได แลว ๑. ผูถาม เม ื่ อเวลาภาวนา จะไดยินอะไรหรือได เห็นอะไรในขณะนั้น เราทําเปนไมสนใจ ทําเปนไม รู ปลอยวางอารมณ ให เฉย ๆ เสียจะไดไหมครับ ทานอาจารย  นั่นเปนวิธีวางอารมณ  ชําระอารมณ  คือเวลาที่มีอารมณ  เรารูจักชําระอยางน ี้ หากอารมณ  อื่นเกิดข ึ้ นมาอีกก็ตองใช แบบน ี้ แตปรกติธรรมดา ถาไมมีสิ่งใดจะพิจารณา เราต  องมา พิจารณาอารมณอันนี้อีกเหมือนกัน ตองใหมีความชํานาญ ถามันไมมีอะไรจิตอยูเฉย ตอง ยอนกลับมาคนคิดอยูอีก ให อยูกับอารมณที่เกิดน ี้ ถาไมอยางน ั้ นแล  วจิตจะสงไปในที่ตาง ๆ ๒. ผูถาม เวลาพิจารณาอาการ ๓๒ สวนใดสวนหน ึ่ งจนชัดเจนเห ็นตามเป นจริง แตมันไมสลด สังเวชแลเบ ื่ อหนาย มันยังเห็นตอไปวา กลัวจะเกิดโรคอยางนี้อีกด  วย ผมกลัววาจะไมถูกทางพน ทุกข  ทางที่ถูกจะทําอยางไร


ทานอาจารย  อันนี้มันยังอยูที่เรียกตามหลักวิชาที่ศึกษามา เลยเห ็ นเพียงสักแตวาธรรมดา ไมยึด ไมถือ เห ็นเป นธรรมดา เหมือนกับทอนไมทอนฟน เห ็นไมใชเราไมใชเขาเห ็ นเพียงแคนั้นใจของ เรายังไมทันเป นสมาธิ ถาเป นสมาธิเห ็นประจักษ  แจ งวางปุบ ซึ่งตําราท ั้ งหมด แลวเห  ็ นเฉพาะ ตนเอง มันก็สลดสังเวช อันนี้มันไมเข ามาในใจ มันไปอยูที่อื่นเสียจึงไมเกิดสลดสังเวช ๒. ผูถาม ผมกลัววาจะไปติดทางวิชาเกาคือวิชาแพทย  เปนหมอไมได อบรมทางพุทธศาสนากลัววาจะ ไมทราบไมเข าใจความพนทุกข  เพียงพอเพ ื่ อท ี่ จะเข าสูหลักไดจึงอยากจะกราบเรียนถามทานอาจารย  วา ควรจะแก ไขใหมดี หรือวาเอาอารมณอันเกามาพิจารณา ทานอาจารย  อารมณ  เกาหรืออารมณ ใหมไมสําคัญ ขอแตให เพงพิจารณาแนวแนลงเฉพาะท ี่ เดียว เพงพิจารณาอะไรขอให อยู ณ ที่นั้นให เกิดความรูขึ้นเฉพาะตน อยาไปเอาความรูจากตํารา หรืออ ื่นมาใช เปนอันใชไดทั้งนั้น (วันนี้หมดเวลาไมไดนั่งภาวนา) วันที่๙ พฤศจิกายน ๒๕๑๙ (เวลาบาย) สนทนาธรรม ๑. ผูถาม ผมเคยหัดภาวนาโดยบริกรรม พุทโธ ๆ ตอมารูสึกวาจิต มันนิ่งและคําบริกรรมก ็หายไป ทานอาจารย  ที่ภาวนา พุทโธ ๆ จิตมันรวมมันวางหมด พุทโธก็หายไปเหลือแตผูรูใหกําหนดเอาผูที่รูวา มันหายไปนั้น อยาไปวา พุทโธ อีก นี่ภาวนาเป นแลวเม ื่อเป นเชนนั้นแล  วมันสุขหรือไม


๑. ผูถาม รูสึกเฉยๆ ไมรูสึกวาเปนสุขอะไรไมเห็นวาตนเองดีอกดีใจอะไร ทานอาจารย  เพราะไมรูจักความสุขชนิดน ี้มีแตสุขเพราะความยึดถือ สุขวางๆอยางนี้ยังไมเคยมี ๑.ผูถาม คนที่ปฏิบัติภาวนาเปนนั้น เพราะกรรมที่เขาสรางสมมาท ี่ เรียกวาบารมีชาติกอนท ี่ สรางไวใช หรือไมหรือจะเป นเพราะวิริยะที่ทําความเพียรชาตินี้เอง ทานอาจารย  ถ าภาวนาเป นแลว บุญก ็ มาวาสนาก็สงใหอะไร ๆ ก็ดีไปหมด ถาภาวนาไมเป นแลว อะไร ๆ มันก็ตันตื้นไปหมดภาวนาเป นแล  วถึงขนาดนั้น มันก ็ไมพน ขี้เกียจอยูดีๆ นั่นเอง ๑.ผูถาม ทําไมทานอาจารย  สอนจึงเข าใจ แตอื่นพูดไมเข าใจ ทานอาจารย  นั่นเรียกวาบุญมาวาสนาสงแลว เพราะเราก็มีศรัทธา แลวก  ็มีครูบาอาจารย มาสอนให ดวย เราทําตามคําสอนของทานก ็เปนไปตามปรารถนา บุญ คือทุนเดิมมีอยูแลว ศรทธาเพั ิ่ มบุญ ให เจริญย ิ่ งๆ ขึ้นไป เอาบุญมาสรางบุญยิ่ง ๆ ขึ้น ในสิงคโปรนี้จะมีที่ไหนที่ สร างบ  านแล  วมีพระ มาอยูให อยางน ี้ ๑. ผูถาม ไดพิจารณากายใหเปน ธาตุดินธาตุลม ธาตุน้ํา ธาตุไฟ เม ื่ อมองดูตัวของตนเองแลว มี ความรูสึกวามันเปนตัวอะไรก็ไมทราบ ทานอาจารย 


มันก็แนละซิเม ื่ อพิจารณาเห ็นเป นธาตุแลว มันก็ไมมีตัวมีตน เห ็นเปนสักแตวาธาตุ เทานั้น ที่เราเรียกตามสมมุติวาคน วาสัตว  แทที่จริงไมใชทั้งนั้น เป นแตธาตุเฉย ๆ ๑. ผูถาม ผมกลัวตาย ทานอาจารย  มันมีแตเห ็นตามเป นจริงอยางนั้น แตความรูมันไมพร  อม ตองเห ็ นพร  อมด  วยความรูดวยคือ เห็นชัดด วยปญญาแล วใจมันสงบอยูณ ที่เดียว มันจึงไมตองตาย ๑. ผูถาม เม ื่ อกําหนดลมหายใจแล วนับลมหายใจ แล  วตอจากนั้นก็วางลมหายใจหรือวามันจะวางเอง การทําอยางน ี้ไดประโยชนอะไร ทานอาจารย  กําหนดลมหายใจจนสงบแลววางเอง มีประโยชนคือเปนสื่อให เข  าถึงความสงบน ั้ นเอง เพราะความสงบเป นความสุขท ี่ แท  จริง ๑. ผูถาม ขอทราบเรียนถามเร ื่ อง ผูรู ทานอาจารย  เคยแนะนําใหจับ ผูรู เม ื่ อผมพิจารณาอะไรคือผูรู ผมบอกวาผมเปน ผูรู ถาหากวาผมเปนผูรูมันก็ตรงกันขามกับอนัตตาไป ทานอาจารย  ตอนนี้มันเปนอัตตาเสียกอน อยาเพ ิ่งเป นอนัตตากอนเลยให เห็นอัตตาชัดแนเสียกอน เรา ปฏิบัติอัตตาไปหาอนัตตา อยางตัวเราน ี้ เราถือวาเรา เม ื่ อพิจารณากันจริงจังแล  วมันไมมีสาระ อะไรเลย แล วปลอยมันเสีย ถึงแมผูรูนั้นก็หาสาระอะไรไมได รูสักแตวารูเฉย ๆ แล  วก ็ เท ี่ยวไปรู นั่นรูนี่หาสาระไมได ๑. ผูถาม


ผมสนใจในทางศาสนาพุทธมานานแลวแตไมมีครูบาอาจารย  อธิบายใหฟง เม ื่ อแมชีชวน กลับมาบ  านพักหนึ่ง ก็ไดมาสนทนากับแมชีชวนบ  าง แลวก  ็ มาหัดน ั่ งภาวนาตามตําราบอกวาพอ เกิดภาพนิมิตหรืออะไรอื่น เราหลงไปยึดมันแล วอาจเปนอันตรายกับเราก ็ได ผมกลัววาจะหลงภาพ นิมิตหรือหลงอยางอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้น ปจจุบันนี้ ผมน ั่ งภาวนาวันละคร ึ่ งช ั่วโมง กําหนดลม หายใจเขา ออกเพราะมีครูบาอาจารย  อยูใกล ๆ ถาทานอาจารย ไปแล วผมกลัวจะเกิดสัญญาวิปลาส ผมขอกราบเรียนถามวาถ  าหากเกิดสัญญาวิปลาสขึ้นหรือมีการหลงเร ื่ องนิมิตหรืออะไรตออะไร จะ มีทางแก ไขอยางไรครับ ทานอาจารย  มันไมเปนงาย ๆ หรอก ตั้งเปนรอย ๆ พัน ๆ คนท ี่ ภาวนา ก็ไมเห ็นเป นบา กอน จะเป นภาวนามันก็ยากอยูแลว ภาวนาเป นแล  วจะเกิดวิปลาสตอนนี้ไมใชงาย ๆ เปรียบอุปมาที่ เขา เลาลือวาเสือกินคน ไมทราบก ี่สิบปกี่รอยปจะมีเสือกินคนสักคนพากันกลัวเสือจะกิน ไมเปนไร หรอกขอใหทําเถิด การหัดสติใหดีมันจะเปนบาได อยางไรคนเปนบาคือคนไมมีสติตางหาก ๑.ผูถาม ผมเคยหัดภาวนามาหลายปแล  วรูสึกได ผลดีเวลาน ั่ งเด ี๋ ยวน ี้ เข  าถึงความสงบไดงาย ผมจะ ทราบได อยางไรวาการปฏิบัติของผมก  าวหน  าหรือไมและจะต  องทําอะไรตอไปไป หรือทําอยูอยาง นี้ตลอดไป ทานอาจารย  ดีแล  วที่ทําภาวนาให เข  าถึงความสงบได เพราะคนเรามาติดขัดตรงท ี่จะให เข  าถึงความ สงบน ี่ แหละ เม ื่ อเข  าถึงความสงบได แลว ใหจําหลักวิธีที่ให เข  าถึงความสงบนั้นใหมั่นคง แลว ปฏิบัติใหมันชํานาญ ทําอยูอยางน ี้ แหละ เม ื่ อชํานาญแล  วความก  าวหน  าจะเกิดข ึ้นเปนไปเอง เหมือนกับตนไมรักษาต นไวใหมั่นคงตอไป มันแกแล  วออกดอกออกผลของมันเอง มันเป นเองแต อยางไรก็ดีเร ื่ องท ี่จะให เกิดผลนั้น มันยากท ี่ จะรูตัวเหมือนกัน บางทีเกิดผลแล  วรูตัว เชนหัดทํา ความสงบไดบอย ๆ พอเราหัดทําความสงบไดชํานาญแล  วคราวน ี้ เรามองเห็นสิ่งท ี่ไมสงบเลยทํา ให เกิดความสงสาร เกิดอุบายปญญาเห ็นโทษทุกข  ของเร ื่องความไมสงบ อันนี้เรียกวาผลของ ความสงบ บางทีเกิดอะไรแปลก ๆ ตาง ๆ เปนของมห  ัศจรรย  เรียกวาการปฏ  ิบัติเจริญก  าวหนา ขอใหทําอยูอยางน ี้แหละตลอดไป มันเกิดอะไรหรือไมก็อยาไปคํานึงถึงมัน


๑. ผูถาม ความสงบท ี่ เกิดขึ้นทําใหมีความสุข แตความสุขน ั้ นอยูไมนานแล วหายไป เหมือนกับนอน หลับครับผม ทานอาจารย  ความสงบสุขเกิดขึ้นก็เป นผลเหมือนกัน ความสุขอันน ั้นไมมีอามิสเป นผลของความ สงบ ที่มันหายไปนั้นยิ่งเป นความสุขมาก ไมเข าใจตามเป นจริง มันมีปรากฏการณ ของมันอยู คือ อยางน ี้ บางอยางซึ่งเราเคยเห็นมาแลว เชนความพอใจยินดีในทรัพยสินเงินทองหรือส ิ่งใดที่ได มาแลว เราก็ดีใจจนเหลือประมาณ คราวน ี้ เม ื่ อเราทําความสงบ เรารูสึกเฉย ๆ ในสมบัติเหลานั้น มันก็เปนของแปลกประการหนึ่ง หรือมิฉะนั้นสิ่งท ี่ เรารักหรือพอใจ ชอบใจ สิ่งน ั้ นเส ื่ อมสูญ หายไปมันวิบัติไปมาตอนหลังน ี้ ความเสียใจจะไมมี อยากไปอยูในความสงบที่เคยฝกหัด อันนี้ เปนผลพลอยไดของความสงบ ของอยางนี้ก็มีเหมือนกัน ผูทําความสงบตองเป นอยางนี้ทุกคน เป นอยางน ี้ หรือไม ๑. ผูถาม ผมยังไมเคยคิดและไมเข าใจในเรื่ องเหลาน ี้ มากอน ทานอาจารย  ความสงบสุขเกิดจากประสบการณทั้งหลายเหลาน ี้ เน ื่ องจากความสงบมันจึงไมมีการ หว ั่นไหว ไมมีการเดือดร  อน มีความกล  าหาญ อันนี้เปนผลพลอยไดจากความสงบ คุณไมเข าใจไม เคยสังเกตแตความสุขสงบท ี่ไดรับทําใหอดปฏิบัติไมไดัผลก ็ เลยเกิดข ึ้ นมาอยางนั้น ๑. ผูถาม จะทําอยางไรถึงจะก  าวหน  าตอไป ทานอาจารย  คิดดูแตแรกเราทําไมได มันขี้เกียจข ี้ คร  าน บางทีมันก็อยากทําบางทีก็ไมอยากทํา พอ ตอนนี้มันชอบใจ คือมันเห็นความสุขความสงบก ็อดชอบใจอดอยากทําไมได นี้เรียกวาความ


เจริญมันคอยก  าวหน  าขึ้น ความรูตาง ๆ ซึ่งแตกอนมันของอยูในใจ ก็ตองละไดทั้งได มันจึงคอย สงบ ถาท ิ้งไมไดมันก็ไมสงบ นี่เรียกวามันเจริญในทางปฏิบัติมันเจริญไมรูตัว เพราะเราไมเคย ศึกษาและไมชํานาญในเรื่ องเหลาน ี้ ๑ . ผูถาม ผมหัดเข  าถึงความสงบได แตไมเคยมีความรูความเข าใจเกิดขึ้น ถาจะใหไดรับประสบการณ ของความรูเกิดข ึ้ นจะทําไต อยางไรจะต  องมีการคิดคนกอนภาวนาใชหรือไม ทานอาจารย  อยาไปแสสายหาความรูในเมื่ อมันสงบแลว ความสงบน ั้ นมันจะหายไปมันจะเกิดความรู ขึ้นมาเอง ถามันไมเกิดก ็ใหรักษาความสงบไวกอนจะนานแสนนานก็ชางมัน ความคิดค  นหา ความรูโดยปราศจากความสงบแลวเปนของปลอม นานหนักเข าความสงบก ็หายไป แล  วจะ ยังเหลือแตความคิดคราวน ี้ แหละจะเดือดร อนใหญ ๒. ผูถาม คนท ี่อยากภาวนาใหได อยางเต ็ มท ี่ ทานอาจารย จะสอนให เขามีกําลังใจ เพ ื่อใหทําได เต ็ มท ี่ อยางไร ทานอาจารย  อาจารย เองเป นแตผูสอน คนท ี่ ภาวนานั้นตางหากตางหากทําเอง คือทําให เกิดศรัทธาพอใจ ในอุบายท ี่ อาจารย  สอนน ั้นให เต ็ มท ี่ ก็ภาวนาได เต ็ มท ี่ เทาน ั้ นเอง ๒.ผูถาม อะไรคือความดีอะไรเปนอุปสรรคของความดีจะแกไขอยางไร ทานอาจารย  การกระทําดีในทางที่พุทธศาสนานิยมคือ ทําส ิ่งใดไมเปนภัยตนเองและคนอื่น นั้นเรียกวา ทางที่ดีอุปสรรคที่ไมใหทําความดีไดมันก็มีหลายอยางเหมือนกัน แตถาหากผูใดเห็ นคุณคาในการ


ทําความดีก็อาจจะฝาฝนอุปสรรคนั้นไปได ความเช ื่ ออยางเดียว สามารถฝาฝนอุปสรรคใหลุลวง ไปได ๒. ผูถาม พวกที่ไมมีโอกาสพบพระพุทธศาสนา เขาจะเจริญก  าวหน าได อยางไรครับ ทานอาจารย  ธรรมะมีอยูทั่วไป ทุกคนต  องมีธรรมะท ั้ งนั้น แตมีคนละอยางกัน ที่ไมได พบพระ พุทธศาสนาหรือไมไดพบศาสนาท ี่ แสดงสัจธรรมอันแท  จริง ยากที่จะเจริญก  าวหน าได เจริญได แต ที่จะใหถึงที่สุดทุกขนั้นเปนไปไมได ( เวลาค่ํา ) แสดงธรรมเทศนา พุทธศาสนาสอนสัจธรรมของจริงของแท  เม ื่ อจะศึกษาพุทธศาสนาจึงควรคิดค  นหา ของจริงวาอะไรเปนของจริงของแท  เด ี๋ยวจะไปเขาใจเอาวาของจริงเปนของไมจริง แท  จริงของทั้ง ปวงมันเป นจริงของมันอยูแลวตามธรรมชาติแตคนไปเขาใจเอาตามมติของตนเองวาไมจริง ตางหาก เชนพระองค  สอนวา คนเราเกิดมาเป นอนิจจํ ไมเทียงมั่นยื่นยงแปรสลายไปทนอยูไม นาน ทุกข ํ เปนทุกขอย  างนี้ทุกถ  วนหนา บอกไมไดหามก ็ไมฟงคําใคร หากเปนไปตามสภาพ ของสังขาร มีเกิดแล  วก็มีการดับไปเปนธรรมดาอยางนั้น นี้เปนความจร  ิงและความจริงนี้ก็มีอยูใน โลกแตไหนแตไรมา ใครจะดัดแปลงแกไขอยางไรก็ไมได แพทย  เยียวยารักษาของที่มันแตกไมดีมัน ชํารุดแล  วเพ ื่อให กลับคืนดีเปนปรกติตามเดิม ก็ไดบางไมไดบาง ในที่สุดก็ตองแตกสลายไปสู สภาพเดิมของมัน หมอเองก็ตองเป นเชนนั้นเหมือนกัน ของจริงมีอยูอยางน ี้ คนเกิดมามีแตกลัวความตาย แตหาได กลัวต  นเหตุคือความเกิดไม จึง หาเร ื่ องแก  แตความเจ็บ ความตาย แก ไมถูกจึงวุนวายกันไมรูจักจบสิ้นสักทีแก  เจ็บปวดเมื่อยตรงน ี้ หายไปแล วอีกหนอยก ็ เจ ็บปวดเมื่อยตรงโนนอีกตอไป แก ตนเองได แล  วยังคนอื่นอีก เชน


ลูกหลาน คนโนน คนน ี้ ไมรูจักจบสิ้นสักทีตายแลวกลับมาเกิดอีกก ็เป นอยูอยางน ี้ เชนเดิม เรียกวาวัฏฏะ ไมมีที่สุดลงได พระพุทธเจ  าจึงสอนให แก  ตรงจุดเดิม คือ ผูเป นเหตุใหนํามาเกิดได แกจิตที่ยังหุมหอด  วย สรรพกิเลสท ั้งปวงใหใสสะอาดไมมีมลทิน นั้นแลจึงจะหมด เกิด แกเจ็บ ตาย ไมตองวุนวายอีก ตอไป พระพุทธองค สอนให เข  าถึงต  นเหตุให เกิดคือใจและสรรพกิเลสท ั้งปวงอันปรุงใหจิตคิดนึก สงสายตาง ๆ แล  วทําใหจิตเศร าหมองมืดมิดจึงไมรูจักผิด ถูกดี ชั่ว ตามเป นจริง พระองค สอนใหทําจิตน ั้นใหใสสะอาดปราศจากความมัวหมองซึ่งกองกิเลสท ั้งปวง มี ปญญาสวางรูแจงแทงตลอดกิเลสท ี่เป นอดีตอนาคตมารวมลงปจจุบันเปนปจจัตตัง อยางไมมี อะไรปกบิดแล  วจึงจะหมดกิเลส พนจากความเกิดแกเจ็บ ดายไมตองวุนวายอีกตอไป พึงเข าใจวาธรรมะเป นของพนจากความแก ความเจ็บ ความตาย แล  วก ็ ตามแตรูปอันนี้ ประกอบดวยธาตุสี่ยังไมแตกสลาย ขันธหายังใชการได อยู อายตนะผัสสะ ยังจําเป นจะต  อง ปรารภเรื่ องนั้น ๆ อันเปนเหต  ุปจจัยอยู แตทานผูรูทั้งหลายปรารภแล วก ็ แลวไป  เร ื่ องเหลาน ั้ นแต สักวา ไมทําใหทานกังวลด วยประการใด ๆ ทั้งสิ้น ทานอาจารย  พาน ั่ งภาวนาพร  อมท ั้ งอบรมธรรมนํากอน ภาวนา ก็คือวิธีอบรมใจใหไดรับความสงบ เพราะเราไมเคยสงบต ั้ งแตไหนแตไรมา ใจที่ ไมไดรับความสงบแลว ก็ไมมีพลังท ี่ จะเกิดความรู คือ ความนึกคิดอะไรตางๆใหเห ็ นของจริงได เหตุนั้นการภาวนาจึงเป นการสร างพลังใจ ใหใจสงบอยูที่เดียว จะอยูไดนานสักเทาใดก็ขอให อยู ไปเสียกอน แตใจเปนของไมมีตัว เหมือนลมกระทบส ิ่ งหน ึ่ งจึงปรากฏวามีลม ใจก็ เชนเดียวกัน เราจะต องให กระทบวัตถุใดวัตถุหน ึ่ งเชนให กระทบท ี่ปลายจมูก เอาลมหายใจนั้นเป นเคร ื่ องวัด ใหใจไปรูเฉพาะลมหายใจกระทบปลายจมูกก ็ได หรือเราจะเพงพิจารณาอยูเฉพาะตัวของเราให เห็น สักแตวาธาตุสี่ดิน น้ํา ไฟ ลม อยูอยางนั้นตลอดเวลาก็ได แล  วแตจะถนัดอยางไหน เม ื่อใจมัน กระทบอยูนั้น จะเห ็นใจชัดข ึ้ นมาทีเดียววา ใจอยูหรือไมอยู เม ื่อไมอยูก็ดึงเอามาไวให อยูในที่ เดียว เม ื่ ออยูแล  วก็คุมสติเพงพิจารณาอยูอยางนั้น เม ื่ อทําอยูอยางน ี้ใจก็ จะคอยออนลง ๆ แล  วผล ที่สุดก ็รวมลงเป นเอกัคตารมณ  มีใจเป นอารมณอันหน ึ่งได


ตอบปญหาธรรมภายหลังจากน ั่ งภาวนา 1.ผูถาม ถาหากมีอารมณ  เกิดขึ้น ในขณะที่ เราไมไดนั่งภาวนา แตเราพยายามคิดค  นหาเหตุผลนั้น แตคิดไมตกแก ไมได ทําอยางไรจึงจะแกไขได ทานอาจารย  การคิดค  นหาเหตุผลเรียกวาปญญา การทําความสงบเรียกวา สมถะ ถาหากวาเราคิดคน เร ื่ องน ั้นไมตก แสดงวาสมถะน อยหรือไมมี ปญญาก ็ไมเฉ ียบแหลมคือตัดไมขาด เวลาเกิด อารมณ  หรืออุปสรรคใดขึ้ นมา ใหหย  ิบยกเอาอารมณนั้นมาเพงพิจารณาอยูในจุดเดียว อยาใหมัน ฟุงซาน มันก็เปนสมถะอยูในตัว เกิดความรูชัดข ึ้ นแก ไขอุปสรรคนั้นไดทันทีนั้นแหละเรียกวา ปญญา 2.ผูถาม ผมสนใจพุทธศาสนามานานแลว แตไมมีครูบาอาจารย  อาศัยการอานหนังสือพร  อมกับ การปฏิบัติไปด วย ทานอาจารยมีความคิดเห ็ นอยางไรในเรื่ องนั้น และขอคําแนะนําจากทานอาจารย  ดวย ทานอาจารย  ผูหัดภาวนาต องอาศัยบัญญัติตําราเสียกอนเป นแนวทางเบ ื้ องตน เรียกวา อนุมานหริออนุ โลมไปตามนั้นเชน เราพิจารณาเห ็ นความตาย เห ็นของเป อยเนาปฏิกูลของรางกายเปนของไมเท ี่ ยง เปนทุกข  เป นอนัตตา ในไตรลักษณ  เราก็ตองอาศัยอันนั้นเสียกอน แตเวลาปฏิบัติเรากําหนดจับ ตัวใจใหได คือใจผูพิจารณา แล  วมนวางเองั ตราบใดถาไมวางตําราคือบัญญัติจะภาวนาไมลง ถาเวลาภาวนาลงสนิทมันวางหมดปรากฏเฉพาะใจที่ เรากําหนดอยางเดียว ถึงอยางไรก็ ตาม เมื่อ เกิดความรูจากการภาวนาแลว มันผิดกับตําราที่วาไว มันชัดไปกวาตําราเสียอีก 3.ผูถาม


เร ื่ องวัตถุภายนอกหรืออารมณตางๆ สามารถปลอยวางไดงาย แตวาเร ื่ องเก ี่ ยวกับครอบครัว ปลอยวางยาก เชน ผมมีที่แหงหนึ่งผมจะต  องจัดการเพ ื่ อลูกเมียถ าหากปลอยวางเสียหมด มันจะ ไมขัดกับหน  าที่ที่ผมมีกับครอบครัวหรือครับ ทานอาจารย  ครอบครัวน ั้ นแหละคืออารมณภายนอก อารมณ ภายในนั้ นเกิดขึ้นที่ใจแหงเดียวไมเก ี่ ยว ของกับคนอื่น เชน ความวิตกวิจารณ ในเหตุการณ  ความแกความตาย ความสุขทุกข ของตนเป นตน ครอบครัวของเราเราสรางมาแล  วต  องแก ไขให เรียบร อยเสียกอนจึงคอยไป ถาไมเรียบร  อยก็ตองเปน อยางน ั้ นเองกําลังศรัทธายังไมเต ็ มท ี่ ถาศรัทธาเต ็ มท ี่ แล  วของเหลาน ั้นเป นของเล ็ กน  อยนิดเดียว วันที่๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๙ (เวลาบาย ) สนทนาธรรม ๑.ผูถาม ผมเคยหัดภาวนามากอนแลว เวลาบริกรรมไปเรื่อยๆ คําบริกรรมมันหายไปแล วมันอยูเฉยๆ ไมมีอะไรผมควรทําอยางไรตอไปครับ ทานอาจารย  สติตามจิตไมทัน จิตสงบนอมไปสูความสุข สติเลยสงบไปด วย ถาสติดึงเอาจิตกลับมาสู อารมณพิจารณาในอารมณนั้น จิตจะเบิกบานมีเคร ื่ องอยูตอไปแลวไมเพิกเฉยไปเหมือนอยางท ี่เปน อยูนี้ ๑.ผูถาม ผมเคยกราบเรียนวาถึงความสงบแลว และทานอาจารย  สอนวาต  องพิจารณากาย แตเม ื่ อคน อื่นมากราบเรียนทานอาจารยวาเขาถึงความสงบแลว ทานอาจารย  อธิบายกับเขาวาให พิจารณาวา ใครเปนผูที่เข  าถึงความสงบนั้น คือ พิจารณาความสงบ ผมอยากทราบวาอันใดถูก ตอง พิจารณาตัวเราหรือพิจารณาความสงบ


ทานอาจารย  ถูกท ั้ งสองอยาง คือสงบแลวไมใหติดความสงบมันจะวางเฉยเสีย จึงต  องพิจารณา กาย หรือจิต เป นเคร ื่ องอยูตอไป ๑. ผูถาม เวลากําหนดหรือพิจารณาเชน กําหนดกระดูกบางทีความรูสึกน ั้นหายไปตอนนั้นมีนิมิต ปรากฏขึ้น จึงสนใจในนิมิตน ั้ นแล  วก็ยึด จนเบอไม ื่ อยากจะเห็นนิมิติตอไป ไมทราบวาจะทํา ใหใจกลับมาท ี่ เดิมอยางไร จะจับจุดเดิมได อยางไร ทานอาจารย  เคยอธิบายอยูเสมอวา มันจะติดอยูอยางไรก็ ตาม ติดอยูในความสุขติดอยูในความเบื่ อหนาย หรือความไมพอใจก็ ตาม ใหรูจักใจผูที่ไปติด ผูที่ไปเพงผูที่ไปเห็น ผูที่ไปรูที่ใจ เม ื่อเป นเชนนั้น เราท ิ้ งอารมณ ของใจแล  วมากําหนดลงที่ตัวใจ ก็รูวาจิตมันวางนิมิต นิมิตมันติดตรงน ั้ นแหละ พูด อีกนัยหนึ่ง ใจไมมีอารมณ  เป นกลาง ๆ จิตตางหาแสหาอารมณ  แล  วก็ติดอารมณ  เป นอาการ ของจิต เม ื่ อจะย  อนกลับมาหาจุดเดิมจงจับจุดตรงใจใหได ๑. ผูถาม เวลาจะย  อนกลับมาหาจุดเดิม ตองพิจารณานามธรรมกอนครับ ทานอาจารย  มันอยูดวยกัน พิจารณารูปมันเห็นงายเม ื่ อเห็นรูปแลวใครเป นคน เห็นรูป ก็ทราบไดวาใจ เป นคนเห็น ก็เห ็นใจไปในตัว ๑. ผูถาม เวลากําหนดอาการ ๓๒ เชนพิจารณาผม เม ื่ อเพงพิจารณา ผมก ็หายไปบางทีหายแบบไฟ ไหม เม ื่ อมันหายไป ก็พยายามเอาอารมณ  แบบเกามาพิจารณาแตใจไมยอมจับอารมณที่กาย มันจะ ไปหาอานาปานสติ พายามพิจารณากระดูกหรืออาการตางๆ ใจไมยอมมันจะไปจับลมหายใจอยาง เดียวอยากจะทราบวาทําไมถึงไปจับท ี่ลมหายใจ เพราะอะไร


ทานอาจารย  ดีแลว มันไปจับเอาลมก ็ให อยูตรงน ั้นไปกอน จนกวาจะชํานาญจงคอยพิจารณาอยางอื่น ตอไป ถาไมชํานาญพิจารณาอยางอื่นก็เหลว ขอน ั้ นควรจําไว ๑.ผูถาม ผมเห็นวาผมต  องหัดภาวนาทุกอยาง คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาผมเห ็ นอนิจจังและทุกขัง แตไมเห ็ นอนัตตา มันเห ็ นเฉย ๆ ไมเห ็ นความสําคัญของอนัตตา ทานอาจารย  นั่นซิ ดังอธิบายมาแลว ความไมชํานาญเป นเหตุใหพิจารณาไมชัด ถามันชัดแลว พิจารณาเป นอันเดียว คือเห ็ นอนัตตาก ็ เห ็ นอนิจจัง ทุกขัง เห็นทุกขังก ็ เห ็ นอนิจจังและอนัตตา เห ็ นอนิจจังก ็ เห็นทุกขังอนัตตาไปด วยกัน ๑.ผูถาม เวลาเกิดความโกรธขึ้น ความสงบยังมีอยูภายในใจ ละได ไมสนใจในความโกรธตัดได ทานอาจารย  ก็นั่นละซิ คนที่ทําอยางนี้จึงจะเป นคนดีได ๑.ผูถาม เวลาน ั่ งภาวนาอยูในห องนอนติดแอร  กําหนดลมหายใจ ถาหากวาใจสงสายไปที่อื่น รางกายมันเย็น รูตัววาเย็นก็พิจารณาความเย็น ดูวาสวนไหนเย็น ความเย ็นเปนอะไรรูสึกตรงไหน แลวกลับไปจับลมหายใจอยากทราบวาถูกหนทางหรือเปลา ทานอาจารย  ถูก แตไมถนัด ที่ถนัดแทตองเข  ามาท ี่ใจ ใจเปนผูรู เย็น จะจับใจใหไดรูตัวเย็น เห็นตัว เย็น จับตัวน ั้นได แล  วก ็ หมดเร ื่ อง


๑. ผูถาม เวลาท ี่ เราแยกกายออกจากความรูสึก ความรูสึกจะหายไป และเม ื่ อน ั่ งสมาธิบางทีขาชาไมมี ความรูสึก เวลาเพงความรูสึกนั้น เชน กําหนดกายตรงขา ความรูสึกตรงขาก ็หายไป ทานอาจารย  นี่แหละวิธีแยกกายออกจากใจ แยกใจออกจากกาย เม ื่อใจถึงความสงบเราจับตัวความสงบ ได แลว กายมันเปนอีกสวนหนึ่ง ที่เขาพูดกันวาประสาทหรือเซลล เป นคนส ั่งการใหรูสึกน ั้นไมจริง ถาเห ็ นตรงน ี้ แล วไมจริงเลยเปนเพราะใจไมเขาไปย  ึด ประสาทก็ เทานั้น มันอีกสวนหนึ่ง ตางหาก มองเทาไรก็ไมเห็น แตวาเร ื่ องท ี่เรามองไมเห็นนี่แหละเป นหลักท ี่ เราจะต  องชําระ เวลา เราเจ ็บไขไมสบาย หรือเวลาจะแตกดับ เราไมเข าไปยึดถอนอุปาทานเสีย นี่แหละวิธีละ อุปาทาน หัดแบบนี้ก็เรียกวาละอุปาทาน จึงจะไมเปน ทุกข  เวลาเม ื่ อกายอยู หรือเวลากายแตกดับ ไปแลว ๑. ผูถาม เวลาทานอาจารย  บางองค  เทศน ใหฟง พยายามเข าใจคําส ั่ งสอนของทาน ขณะนั้นมี ความรูสึกแปลกๆ คล  ายมีเคร ื่ องดึงดูดให กายยืน รูสึกคล  าย ๆ วาเรายืนขึ้น มันไมดีเพราะทาน อาจารยกําลังเทศน  เรายืนมันไมถูกต  อง ลืมตามองดูกายก็ยังเห็นนั่งอยู อยากทราบวาเป นเพราะ อะไร ทานอาจารย  นั่นปติ ปติมันมีมากอยาง แสดงใหเห ็นความไมดีของเราก ็ได เชนกรณีนี้คล  ายกับเรายืน แตเม ื่ อมองดูจริง ๆ แล  วเรายังน ั่ งอยู นี้อาจเปนเพราะเราแสดงความไมเคารพในอาจารยก็ได จง ตั้งใจสํารวมเสียใหม ๑. ผูถาม ปติเปนสิ่งท ี่แปลก ทานอาจารย 


ดี มันไมรูตัว เราฝกความสงบ เม ื่ อความสงบเกิดขึ้นนิดเดียวปติก็ปรากฏขึ้น แตเราตามรู ไมทัน เปนบอย ๆ ลักษณะน ั้นจะหายไปทีนี้เราก ็ ตามรูเอาซิ เป นเร ื่ องที่ดีเหมือนกัน ๑.ผูถาม เคยมีประสบการณวา เม ื่ อกําหนดท ี่กะโหลกศรษะี กะโหลกศรีษะแตกออกเป นชิ้น ๆ แล  วช ิ้นกะโหลกศรีษะกลับติดกันอีก แล วแตกสลายออกไปอีกจนปนปเป นภาพเห็นชัด ตอมาภาพ ที่เห็นนั้นก็หายไป แล วไมรูอะไรอึกเป นแบบนอนหลับ อยางน ี้เป นสภาพเอกัคตาจิตหรือเปลา ทานอาจารย  เปนปฏิภาคนิมิต เป นเอกัคตารมณ  ไมใชเอกคตาจั ิต เพราะเพงอยูแตอารมณปฏิภาคนิมิต เทานั้น ภาพนั้นหายไปเลยเขาภวังค  เหมือนกับนอนหลับหายไปเลย อยางน ี้เปนอัปนาฌานเปน เอกัคตาจิต ๑. ผูถาม คิดวาถึงเอกัคตาจิต แล  วนอนหลับไป เข าใจวาเวลาถึงเอกัคตาจิตแล  วถึงจะหลับได เวลา ออกจากสภาพน ี้ แล  วควรจะพิจารณาหรืออยางไร ทานอาจารย  นั้นเปนจิตเข าสูนิทรารมณ  คล  ายกับเอกัคตาจิต แตไมใชเอกัคตาจิต เอกัคตาจิตมีสองอยาง เอกัคตาจิตของฌาน ก็คืออัปนาฌานนั้ นเองอยางหนึ่ง เอกัคตาสมาธิก็คืออัปนาสมาธินั้นเองมีสติ รูตัวอยูเฉพาะมันเอง ไมไปรูของภายนอก แลพูดออกมาไมได ๑.ผูถาม เข าใจวาตนเองหลับ ทานอาจารย  จะเรียกวาหลับก็ใชเพราะไมมีสติ แตยังน ั่ งอยูคือเวลาใจรวมเขาไปสติมันหายไปถาสติตาม รูอยูตลอดเวลาก็ไมเข  าภวังค  ถึงเข  ามันก็เปนอัปนาสมาธิไป


๑. ผูถาม การภาวนาในทางศาสนาพุทธต องเอาสติมาใชใชหร ือไม เวลาใชสติเราต  องกําหนดอารมณ  ที่เปนกุศล ลดอารมณที่เปนสวนอกุศลใหมันนอยลง เม ื่ อทําเชนนั้นอารมณที่จะมาแทรกในการ ภาวนาไมมี สามารถปลอยวางได แล  วอยูเฉย ๆ ได เวลาอยูเฉย ๆ ยังยดความคึ ิดวายังน ิ่ งภาวนา อยูในห อง พอปลอยวางความคิดน ี้ ทําใหตกใจกลับมายึดความคิดวาน ั่ งภาวนาอยูในห องอีก ถา หากปลอยวางเต ็ มที่มันยังจะมิสติอยูอีกหรือไม ทานอาจารย  ที่สามารถปลอยวางอารมณ ได แล  วอยูเฉยๆ แตยังยึดความคิดวาน ั่ งภาวนาอยูในห องน ั้นเปน จิตท ี่ อยูในเอกัคตารมณ  เม ื่อปลอยวางความคิดที่วาน ั่ งภาวนาอยูในห องแลว มันเป นเอกัคตาจิต แตอยูไมได นาน จึงตกใจเลยย อนมาคิดวาเราน ั่ งอยูในห อง ธรรมดาคนเรามันตองมีเคร ื่ องอยู เมื่อ ปลอยจนหมดแล วไมมีอะไรเป นเคร ื่ องอยูเลยตกใจ คนเราจึงละเคร ื่ องผูกพันไดยากภาวนาเป น ไปถึงข ั้ นละแล  วก็ยังกลบมายั ึดอยูอีก ๑. ผูถาม เวลาน ั่ งภาวนาเห ็ นภาพนิมิต เม ื่ อเห ็ นภาพนิมิตน ั้ นแล วเราไปบอกคนอื่น ภาพอันนั้นมัน จะคืนกลับมาหรือเปลา หรือจะหายไปเด็ ดขาด ทานอาจารย  ถาหากเราไปเลาถึงภาพท ี่ เกิดข ึ้นให คนอื่นฟง บางคนก ็ เส ื่อมหายไปบางคนไมเส ื่ อม เลาก ็ อยูเชนนั้น ไมเลาก ็ อยูเชนนั้น ยิ่งเลาย ิ่งไปใหญเหตุที่มันเส ื่ อมเพราะ เกาแล วปติมันออนลง ทําไมเส ื่ อมเพราะเกาแล วปติยิ่งมากขึ้น ๒. ผูถาม ขอกราบเรียนถามเร ื่ องภวังค  ทานอาจารย  บอกวาเวลาเข  าฌานจิตเป นภวังค  ตามหลัก อภิธรรมบอกวาเวลาหลับสนิทไมไดฝน ไปได หมายความวาใจมันเป นภวังค  สงสัยวาเวลาหลับจิต มันอยูในสภาพของฌานหรือเปลา ทานอาจารย 


เวลานอนหลับเรียกวาจิตเข าสูนิทรารมณ  ไมได เรียกวาจิตเข  าภวังค  ๒ .ผูถาม ธรรมะคืออะไร ทานอาจารย  พูดเร ื่ องธรรมมันกว  างมาก ธรรม คือ ธรรมดา สภาพอันหน ึ่ งซ ึ่งเป นของจริงเรียกวา ธรรมะ มันกว  าง แตเม ื่ อเรามาพูดกันเร ื่ องธรรมมะท ี่เราปฏิบัติโดยเฉพาะคือปฏิบัติสุจริต ทํา ชอบ ทําดีนั่นเรียกวา ธรรมะ ทําช ั่ วก ็ เรียกวา ธรรมเหมือนกัน แตเราไมนิยมจะเอาคําน ั้ นมาพูด คําวา ธรรมกว  างมาก ดีก็เรียกวา ธรรม ชั่วก ็ เรยกวี า ธรรม ไมดีไมชั่วก ็ เรียกวา ธรรม ในตัว ของเราท ั้ งหมดคือรูปธรรม นามธรรม ก็เรียกธรรม ถาพูดเฉพาะทางปฏิบัติเรียกวาปฏิบัติธรรม เพ ื่อให เราดี เพ ื่อเราจะไดรับความสุข ๒. ผูถาม การฝนที่เห ็ นอยางชัดเจนแจมแจ  งนั้น มันจะเป นความจริงหรือเปลาเพราะบางทีมันก ็ จริง บางทีมันก็ไมจริง ทานอาจารย  กอนจะหลับถาเรามีสติเต ็ มท ี่ เม ื่อฝนมักจะมีความจริงมากกวา ถาหาสติไมได แล  วความ ฝนก็เหลวไหล ๒. ผูถาม เวลาเราฝนรูสึกตัวเหมือนกับเราลอยอยูในอากาศ เม ื่ อรูสึกตัวควรจะทําอยางไรตอไป ทานอาจารย  นั่นแสดงถึงเร ื่องฌานโดยเฉพาะ เราหัดความวาง ไมมีอะไร ไมมีอารมณ ในเวลาเรา หัดภาวนา ที่นี้เม ื่ อเราหลับและฝนก็แสดงถึงเร ื่องเราไมมีอะไร มันวางคือมันลอยอยูใน


อากาศแสดงถึงขณะของจิตท ี่ไมมีอะไร ปลอยมันใหอย  ูอยางน ั้ นแหละ รูสึกแล  วมันไมมี อะไร ฝนก็เป นแตความฝนทําอะไรไมได ๒. ผูถาม ผมมีศรัทธาเตรียมพร  อมท ี่จะใหไปถึงปลายทางใหจงได ทานอาจารย  ศรัทธา นั้นดีสําหรับที่จะพาเราไปสูจุดหมายปลายทาง แตทางท ี่เราจะไปนั้ นเรายังไม เคยไป ไมทราบวาใกล หรือไกล ยาก งาย อยางไร จงเพียรพยายามไปเถิดจะถึงแนไมวัน ใดก็วันหนึ่ง ละ 3. ผูถาม ขอถามเร ื่ องตายแล  วเกิด ศาสนาคริสต  สอนอัตตา เม ื่ อเราตายแล  วตัวของเราก็มี อีกสวนหน ึ่ งท ี่จะไปเกิดสวรรค  ไปอยูกับพระเจา ถาเราทําช ั่ วเราก็ตองไปอยูในนรก ตลอดกาลสวนศาสนาฮินดูเขาสอนวา เราเกิด-ตายๆ แตวามีสวนท ี่ เรียกวาอัตตาท ี่ตายไปแล วเกิด ใหม ศาสนาพุทธก ็ สอนถึงเร ื่ องตายแล  วเกิด ผมอยากทราบวาเม ื่ อตายแล วอะไรเปนสิ่งท ี่ เกิดใหม ในทางพุทธศาสนา คืออัตตาหรือเปลา ทานอาจารย  ก็อัตตาละซิ คือจิตเปนผูไปเกิด แตไมได แยกเหมือนคริสตศาสนาไปตกนรกและขึ้น สวรรคก็ไปหมด คือจิตผูเดียวเปนผูไป ถาแยกกันได แลว เม ื่ อมาเกิดเป นคนก็ตองเปน สอง, สาม คนไปละซิ 3. ผูถาม อะไรคืออัตตา ทานอาจารย  ที่พูดอยูนี่คืออัตตา ที่พูด เกิด-ดับ นี้ก็คืออัตตา ไมใชอนัตตา


3. ผูถาม การทําบุญทําทานน ี้ เราก็ทําเพ ื่ อตัวเราเอง คือเพ ื่อจะไดบุญไดกุศลนี่ก็หมายความวายังๆ ยึดเร ื่ องตัวเราอยูใชหรือไม ทานอาจารย  การกระทํามันตองมีตัวตน ถาไมมีตัวตนเสียแลวก็ตองเลิกการกระทํา ทําบุญมันเก ี่ ยวข  อง ถึงเร ื่ องตัวตนอยูจึงต  องทํา 3. ผูถาม เวลาเราทํากุศลเราถือวาเป นเราที่ทํากุศล เพราะเราเปนผูทํากุศลและเปนผูสะสมกุศล เอาไว เพ ื่ ออนาคต เพ ื่ อจุดหมายปลายทางของเรา ทานอาจารย  ทํากุศลก็ตองมีการมุงหวังอยางนั้น เหมือนกับคนข  ามน ้ํ าต องอาศัยเรือแพ เม ื่ อถึงฝงแล  ว เราก็ทิ้งเรือแพนั้น เดินขึ้นฝงแตตัวเปลามิได เอาเรือแพไปด วย 3. ผูถาม ทางศาสนาฮินดูสอนวาเราจะต  องหัดใช ความคิดเสียกอนถ  าเราชนะความคิดแล  วเราจะมี ความรูเกิดขึ้น เม ื่ อมีความรูเกิดข ึ้ นแลว ปญญามันก็เกิดขึ้น อยากทราบเปรียบเทียบกับทางศาสนา พุทธ ตอนน ี้ผมเปนนักคิด จะทําอยางไรตอไปจึงจะก  าวหน  าครับ ทานอาจารย  ในทางศาสนาพุทธนั้น ความคิด คือ ตัวปญญาคิดคนอะไรสิ่งท ั้งปวงเป นตัวปญญาเมื่อ เข าใจเหตุผลนั้นคือวิชชา ทีแรกเรยกตี ัวปญญาคิดค  นหาเหตุผล พอชัดข ึ้ นเรียกวาวิชชาเชนนี้ เรียกวาเจริญก  าวหนา ดังเราคิดเลข เขามีปญหาถามใหคิดเลข เราพยายามคิดด  วยวิธีตาง ๆเปน ปญญา เมอค ื่ ิดไดพอตอบได เรียกวาไดวิชชา แตในทางพุทธศาสนาจะเอาชนะความคิดน ั้นไมได เด ็ ดขาด ถาคิดเชนนั้นมีแตจะแพร่ําไปหาความก าวหน าไมได


3. ผูถาม พระพุทธรูปนี้จะต  องมีการปลุกเศกเสยกี อนจึงจะกราบไหวบูชาได หรืออยางไรครับ ทานอาจารย  การปลุกเศกเป นเร ื่องทางไสยศาสตร พุทธศาสนาไมมีเราเล ื่อมใสแลวกราบไหวไปเถิดได บุญท ั้ งนั้น 3. ผูถาม พระพุทธรูปโดยมากเขา อยากใหมีการปลุกเศก ถือวาเป นของขลังศักดิ์สิทธิ์ และสามารถ ที่จะกันภัยอันตรายตลอดจนภูติผีปศาจได ถาไมปลุกเศกไมนากราบไหว ทานอาจารย  เพราะความถือน ั่ นเอง พอไมมีการปลุกเศกก ็ไมขล ัง ความจริงพระพุทธรูปมิใชของขลัง เป นแตพยานให ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ  าตางหาก คนถือของขลังอะไร ๆ ก็เลยเปน ของขลังไปหมด กระท ั่ งก  อนอิฐก อนปนก อนหินเป นของขลังไปทั้ งนั้น ถาพุทธาภิเศกแลว ขลังท ั้ งนั้น 3. ผูถาม เม ื่อคนตายกลายเป นศพแลว เขาจะต  องจัดใหมีพิธีสงวิญญาณไปเกิดอันนี้มันเท ็ จจริง อยางไรครับ ทานอาจารย  นั้นมันเป นเร ื่ องของศาสนาคริสต  ฮินดู หรือ อิสลาม ตางหาก ถาหากสงไปเกิดได แลว ใครจะทําดีทําช ั่ วอยางไรก็ ตาม ตายแล  วจะต องสงไปเกิดสวรรคดวยกันทั้งน ั้นไมตองระวังบาป อะไรใหลําบาก แตนี่ทางศาสนาคริสต  ฮินดู ก็ยังต  องระวังบาปอยูเหมือนกัน อนึ่ง ตายไปแลวเปนผีไมเห ็ นตัว ไปสงจะต องไปกับอะไร และสวรรคนั้นเลาใครไปมาแล ววาอยูใน สถานที่ใด จะไปสงกันอยางไรจึงจะไปถูก 3. ผูถาม


บางคนมีพระพุทธรูปไวในตัวแล วแสดงอาการตาง ๆ คล  ายกับคนบา ทานอาจารย  นั่นแหละดีนัก อยางโบราณทานวาไว อวดตนแกดิน อวดกินแกขี้อวดดีแกตาย อวดสบายแกโรค นั่งโงกงมแกเหลียวแลวาตน รูปตนคือผี เห ็ นอยางไร วันที่๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๑๙ (เวลาค่ํา) แสดงธรรมเทศนา ความสุขทางกายใครก็ตองการทุกคน บํารุงปรนเปรอรักษาทุก ๆ วิถีทาง แตก็ไมไดรับ ความสุขเทาท ี่ ควร คือไมพอแกความตองการสักที แก ไขนี่ แล  วยังเหลือโนน บํารุงน ี่ แลว ยังเหลือนั่น แก ไขบํารุงสักเทาไร ๆ ก็ไมพอ ความต องการในที่นี้มิใชใจหร  ือใจอยากไดโนนได นี่ไมมีที่สิ้นสุด สวนกายมันมีความรูสึกอะไร คนตายแล  วมันรูสึกหิวอาหารหรือไม เปลาท ั้ งนั้น ฉะน ั้นความอยากในที่นี้คือใจนั่ นเอง คําวา สุขกาย จึงเปนคําไมจริง ความจริงคือสุขใจ ดังคํา เขาพูดวาทุกข ใจกลุมใจ รอนใจ เสียใจ เจ ็บใจ ฯลฯ ดังน ี้เปนตน หรือคําวาสุขใจ ดีใจ ปลื้ม ใจ ชอบใจ ถูกใจ ฯลฯ ดังน ี้เปนตน ไมเคยไดยินใครพูดวา ทุกข  กาย สุขกาย ดีกาย เสียกาย ชอบกาย เพราะใจเป นผูรับรูสุขทุกข  ของกายท ั้งปวงเมื่ อยังมีชีวิตอยูคือยังไมตายจิตจะต  องรับรูทุก สิ่งทุกอยางของกาย กายเป นเคร ื่ องรับ ใจเปนผูรูตางหาก ใจเปนผูรับรูจึงไมรูจักอ ิ่ มรูจักพอเปน สักที รูแลวก  ็หายไปเรื่ องอ ื่นมาใหรูอีกเป นอยางน ี้ อยูร่ําไป จึงไมรูจักพอเป นบางคนมีเงินเปนรอย ๆ ลานใชจายวันหน ึ่ งก ็ไมกี่สตางค  เหลือจากน ั้ นก ็ เก ็บไว แตก็ยังไมพออีกตอไป ความสุขของใจนั้นมันอยูที่ความพอ คือวา “พอ” มันก็หยุดทันที อะไรทั้ งหมดหยุด หมด จะมี จะจนหยุดหมด คําวา “ พอ” ในที่นี้มิใชไมหา หาแตเป นผูรูจักพอเปน หาไปทําไม ตายแล วเอาไปดวยไมได เม ื่ อยังมีชีวิตเป นอยูก็ตองหาต  องรับประทาน ไมหาก ็ไมมี รับประทานรับประทานพออยูได เม ื่อไมรับประทานก็ตองตาย ชีวิตความเป นอยูมันบังคับใหตอง ทําอยางน ั้ นแตเมื่อตายแลวก ็ไมเอาอะไรไปด วย เพียงแตเกิดมายุงเก ี่ ยวด  วยเร ื่ องตางๆ ใหทําความชั่ว นานาชนิดแล  วท ิ้งไวใหจิตรับเคราะห  กรรมคนเดียว ดังนั้นทุกคนจึงควรคิด


ที่สุดน ี้ ขอความสุขความเจริญจงมีแกชาวพุทธทุกถ  วนหนา ขอศาสนาพุทธจงงอกงาม เจริญจิรังถาวรอยูในสิงคโปรชั่วกาลอวสานเทอญ ทานอาจารย  พาน ั่ งภาวนาพรอมท ั้ งเทศนาอบรมธรรมนํากอน ภาวนา คือหัดทําใหรูจักวาใจคืออะไร จิตคืออะไร ถึงจะรูของจริง ที่จะทําใหถึงของจริงรู ของจริงน ี้เอาปจจุบัน อยาไปคิดอะไรให มากมาย ใหทําในปจจุบัน ความนึกความคิดอะไรตาง ๆ งานการภาระท ั้งปวงทั้ งหมดทอดท ิ้ งเสียกอนเวลาน ี้ทําความสงบอบรมจิตให อยูกับลมหายใจ สติคุมจิตให อยูกับลมหายใจถายเดียว ไมใหนึกคิดสงสายปรารถนาโนนนี่อะไรทั้ งหมด เอาเฉพาะคุมจิตให อยูกับลมหายใจอันเดียว ( นั่งภาวนาประมาณ ๒๐ นาที ) สนทนาธรรมภายหลังนงภาวนา ั่ ทานอาจารย  ถาม เทาท ี่ อธิบายมาเข าใจหรือไม 2.ผูถาม เราสามารถที่จะกําหนดท ี่ของใจไดไหม ทานอาจารย  ใจไมมีที่ ไมมีสถานที่ ความรูสึกคือตัวใจ ไมมีสถานที่ใด ๆ ทั้งปวงหมดอยูไหน ก็ได รูสึกตรงไหนคือใจตรงนั้น อยางพวกโยคีเขาหัดเอาใจไปไวที่ไม สงไปไวที่ไม หรือหิน สามารถทําใหไม หรือหินสะเทือนได


2 . ผูถาม ขอใหทานอาจารย  อธิบายเร ื่องใจ และเร ื่ องจิต ทานอาจารย  ลองกลั้นลมไวสักพักหนึ่ง แล  วมีความรูสึกอันหนึ่ง ไมมีอะไรสงสายใชไหม มีความรูสึก เฉย ๆ เราก็จับได แล  ววานั้นคือใจ อันที่มันคิดถึงนั้นมันเปนอาการของใจที่ เรียกวา จิต แตนี้เรา เห ็ นแต จิต เราไมเห ็นใจ เรารูแตเร ื่ องจิต แล  วเราก ็ใชจิต ใจเราไมไดใช คือสําหรับเก ็บไวพักใจ เปนที่พัก หมายความวาตัวเดิมจะไดรับความสุขสงบก ็โดยการเข าถึงใจ ที่เรามายุงหรือ เดือดร  อนวุนวายกระสับกระสายเปนทุกข  เพราะจิต เหตุนั้นจิตท ี่เราใชจึงเปนทุกข  เม ื่ อเราเห็นจิต อยางเดียวไมเห ็นใจจึงเข าไมถึงความสุขสงบคือใจ 2. ผูถาม เวลาภาวนาเชนกําหนด'ลมหายใจเรากําหนดเพราะเหตุจะใหรูใจ หรือลมหายใจ ทานอาจารย  คือจิตมันยังฟุงซานอยู เรายังจับไมได จึงให เข าไปอยูในลมหายใจอันเดียว เม ื่ อจับไดจุด เดียวมันจึงจะเข  าถึงใจและลมหาบใจได วันที่๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๑๙ (เวลาค่ํา) สนทนาธรรม ทานอาจารย  พาน ั่ งภาวนา พรอมท ั้ งอบรมธรรมกอน เราไมตองระลึกอะไรทั้ งสิ้น ให ระลกเอาสึ ิ่ งเดียวท ี่ลมหายใจซึ่งเป นของกลางมีอยูทุกคนไม เอนเยงไปทางไหนทั้ งหมด ทุกคนมีลมหายใจด วยกันทั้งนั้น คนเรากลวตายถั าไมมีลมหายใจก็ ตองตาย เหตุนั้นมากําหนดท ี่ลมหายใจ สติควบคุมจิตใหรูสึกเฉพาะท ี่ปลายจมูก จิตไปอยูตรง นั้น รูสึกตรงนั้น สติก็คุมอยูตรงนั้น ไมใหสงไปนอกจากนั้น ถามันสงออกไปแลวก็ดึงมาอยู


อยางน ี้ ตลอดเวลา ถาหากเราฝกฝนไปนานๆ หนักเขา ที่มันฟุงซานจะคอยซาลงออนลงคอยเบา ลงนอยลงๆ จนกระทั่งหายวับไป ไมมีอะไรเลย ยังเหลอแตื ผูรู สติกับผูรูมาอยูรวมกันในที่ เดียวกัน (นั่งอยูประมาณ ๒๐ นาที) ตอบปญหาธรรมหลังน ั่ งภาวนา ๑.ผูถาม ได พยายามจะจับใจใหอยู เวลาเกิดอารมณ อะไรขึ้นมาจะพยายามไมยึดปลอยมันทิ้งไป ทานอาจารย  ความหมายของพุทธศาสนาหรือทุกศาสนาสอนเร ื่องใจทั้ งนั้น ตองการ สํารวมใจอบรมใจด วยกันทั้งนั้น จะแยกกันก็ตอนปลายขอใหจับตัวใจใหไดกอนแล  วจึงคอย พูดเร ื่ องอื่นตอไป ถาหากจับใจไมได แล  วจะพูดเร ื่ องอื่นก็พูดไมถูก เพราะทุกส ิ่ งทุกอยางมันเกิด จากใจ กายเป นเคร ื่องใชของใจตางหาก ๑.ผูถาม ถาหากวาเรากําหนดจิต แล  วเห็นจิต เกิด-ดับ กําหนดอยูเชนนั้นนาน ๑-๒ ชั่วโมงแลว รูสึกเหน ื่ อยควรกําหนดความเหน ื่ อยหรือควรท ี่ จะผลักออก ทานอาจารย  เหน ื่ อยเราก็กําหนด เกิด-ดับ เหมือนกัน เวทนาก ็ เกิด-ดับเหมือนกัน ความสุขความทุกข  มัน เกิด-ดับ เวลาเหน ื่ อยก็กําหนด เกิด-ดับ ๆ จนกระทงม ั่ ันวางความเหน ื่อยได แลว จะไป รวมอยูอันหน ึ่ งของมันตางหาก นั้นมันจึงจะหมดเหนื่อย มันยังไมทันถึงท ี่ มันเพียงแตเห ็ นการ เกิด-ดับ ๆ มันอยูกับการ เกิด-ดับเฉย ๆ ยังไมทันวางการเกิด-ดับ ถาหากวาเรากําหนดความเกิด ดับอยูอยางน ี้ เรารูจักคนท ี่ไปกําหนดความ เกิด-ดับ เราเห ็ นความ เกิด-ดับ เรียกวาใจ เกิด-ดับ ผู


เห ็นใจ เกิด-ดับ ยังมีอีกผูหนึ่ง จนกระท ั่ งเห็นผูนี้แล  ววางความ เกิด-ดับไปอยูอันหน ึ่ งของมัน ตางหาก นั่นมันจึงคอยเป นภาวนาแท  อนึ่ง นั่งนานรูสึกมันเหน ื่ อยพึงเข าใจวา จิตมันถอนแล วใจมันไมมิเคร ื่ องอยู หรือ อารมณ  จะอยูตอไป ฉะน ั้ นควรทําความพอใจในอารมณที่จิตยึดอยูนั้นให เกิดความพอใจยินดียิ่ง ก็ เป นเคร ื่ องอยูตอไป ๑.ผูถาม ที่เรามองเห็นผูนึกผูคิดอยางนั้น เพราะใจไปจดจองลมหายใจใชหรือเปลาครับ ทานอาจารย  ใช เม ื่ อเราเข าใจเชนนั้นแลว คือวาผูไปเห็นลมหายใจเข าออกอันนั้น คือจิตใจจดจองอัน เดียว สติเราไปคุมเร ื่ องน ั้นเราไปเห็ นเร ื่ องน ั้ นอยู เม ื่ อเราคุมเร ื่ องน ั้ นอยูนาน ๆ หนักเราแลว มันจะ วางเอง เวลามันวางจะมีความรูสึกอันเดียว ผูที่รูสึกกับสติมันรวมเข  าอยูอันหน ึ่ งของมันตางหาก วา มันจะปลอยวางท ั้งลมหายใจด วย ของพรรคนี้อยาไปแตงมันเป นเอง แตงไมเป นแน ๑. ผูถาม สติคืออะไร ผูรูผูคิดคืออะไร ทําอยางไรจึงจะสามารถมองเห็น และจะรูได อยางไรวา ความเห ็ นของเราจะถูกหรือผิด สติอันนั้นคือตัวรูใชหรือไม ทานอาจารย  สติคือผูระวัง ผูรูคือ ปญญา ผูคิดคือจิตเราต องฝกที่จิตให เกิดปญญาจึงสามารถมองเห็น และจะรูวาความเห ็ นของตนถูกหรือผิดได สติมิใชตัวรู ปญญาตางหากคือตัวรู ๑. ผูถาม เวลาหัดภาวนาด  วยการอนุมานทุกส ิ่ งทุกอยางก ็ อยูในหลัก อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไมมี แกนสารสาระอะไรทั้ งสิ้น นี่เป นเพียงอนุมาน ยังไมทันเห็นชัดแจ งภายในใจ เพราะเห ็ นอยางน ี้ เวลาอยูในสภาพธรรมดา ๆ บางทึกสามารถยับยั้งความโกรธไดคือสํารวมใจไดหรือระลึกถึงส ิ่ งน ี้ ได บางทีสติไมทันความโกรธก็เกิดขึ้น เพราะฉะน ั้ นเราต  องพยายามระลึกถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เสมอตลอดเวลาอยูธรรมดา ๆ จึงจะยับยั้งกิเลสท ั้งหลายไดใชไหมครับ


ทานอาจารย  ใชได เหมือนกัน อยางนั้นก็ได อยางนั้นก็ถูกแลว มันหลายเร ื่ องคือเราหัดท ี่ใจ ความ โกธรมันเกิดท ี่ใจ เราไปจับที่ใจได หัดอีกอยางหน ึ่ งคือ พอโกรธขึ้ นมาแล  วคิดวา คนเราก ็ จะต  อง ตาย ความโกรธไมมีประโยชนอะไร หลายเร ื่ องหลายอยางสุดแท  แตจะระงับไดโดยอุบาย ใดวิธีไหนก็ เอา รวม ๆ กันไว หลายอยาง เวลาเราจะใชวิธีใดก็นํามาใชได ๑. ผูถาม ผมหัดภาวนามาเป นเวลา ๑๒ ปครึ่ง ทานอาจารย  ก็นับวาดีแลว อยาไปทอดทิ้ง ทํามาขนาดนี้ก็เห ็ นผลดีถึงขนาดน ี้ แล  วหัดใหรูจักวิธีละโกรธ จนเข าใจแลว ดีแลว ขอใหทําไปเรื่ อย ๆ ๒.ผูถาม ในขนบธรรมเนียมของศาสนาพุทธ การสอนการอบรมศาสนาพุทธเปนของพระโดยเฉพาะ หรือ ฆราวาสสอนได หรือไม ทานอาจารย  ศาสนาพุทธเปนพื้นฐานของความดีที่มีอยูในโลกทั้ งหมด ถาหากใครต องการตี ไมวาพระ และฆราวาสสอนไดทั้งนั้น แตบุคคลผูสอนนั้นมีกิเลส เมอสอนเข ื่  าแล  วจึงเป นเหตุให เข  าข  างตัว เชน พระพุทธเจ าสอนให งดเวนฆาสัตว  บางศาสนาสอนวาฆาสัตวที่ไมมีเจาของหวงแหนไมเปน บาป พระพุทธศาสนาสอนให เข  าถึงใจ คนมใจจ ี ึงทําบาปเปนบาป เจตนาคือใจของผูนั้น เป นอกุศลอยูแลว จะเปนสัตวที่มีเจ  าของอยูแล  วหรือไมก็ตามยอมเปนบาปอยูนั่นเอง หรือสอนวา เวลาฆาใหภาวนาใหสัตวนั้นไปเกิดในสวรรค อยางน ี้เปนตน แตใจของเราเป นนรกอยูไมอยากไป สวรรคสักที ฉะนั้นผูมีใจอยากพ นจากความช ั่วพระสอนไดทั้งนั้น คนเรามีใจหรือไม รูจักใจ หรือเปลา ผูอื่นตอบแทน


เขานับถือศาสนาคริสต  อยางม ั่ นคง เวลาเข าโบสถ ศาสนาคริสตหัดภาวนาด วยโดยพยายาม ทําความสงบสัก ๕ นาที จึงเข าใจวาทุกศาสนาสอนให เข  าถึงจุดเดียวกันเหตุนั้นจึงอยากทราบวิธี อบรมภาวนา ทานอาจารย  นั่นคือวิธีอบรบภาวนาแลว จงเจริญให มาก ทําใหมากใหชํานาญเถิดจะเกิดความรูอยาง อัศจรรยขึ้นมาในนั้ นเอง ๒. ผูถาม กอนท ี่จะฝกภาวนาไดตองครูบาอาจารย  หรือเปลา ทานอาจารย  ตองมี เราเป นสาวกของพระพุทธเจ  าน ี่ เราปฏิบัติไมมีครูบาอาจารยอาจจะผิดได แตทั้งที่มี ครูอาจารยยังผิดได เลย บางทีปฏิบัติไป ๆ อาจมีความเห ็ นผิดเกิดข ึ้ นแล  วเข าใจวาเปนคําสอนของ พระพุทธเจ  าก็มี ความเห ็ นคนอ ื่นเปนผิดไปหมด แล  วจากลัทธินั้นออกมาต ั้งเปนนิกายขึ้น เร ื่ องมี มาก จึงควรระวังตัวใหดี อยาทําโดยไมมีครูอาจารย  จะผิดไปใหญ ผิดแล  วแก  ยาก ๒. ผูถาม ถาเข าใจโลกุตระ ถามีอภินิหารหรือมีญาณเกิดขึ้น เราจะหยิบมาใช หรือจะใหมัน ทรงไว อยางน ั้ นเฉย ๆ ทานอาจารย  อยาไปพูดถึงเร ื่ องนั้นกอนเลย แตโลกยะกี ็ยังทําไมได เวลาได จริงๆ เข  าก ็ จะรูดวยตนเอง 3. ผูถาม เร ื่ องดีเร ื่ องช ั่ วมีอยูทั่วไป แตวาบางสังคมอาจจะเปลี่ยนแปลงไป เชน การฆาสัตวถือวา เป นความดี เม ื่ อสังคมเขาเขาใจกันอยางน ี้ จะทําให เขาเข าใจได อยางไรวาเร ื่ องน ี้เปนความชั่วไมใช ความดี


ทานอาจารย  ความนิยมไปตามสังคมแล  วแตเขาจะนิยม แตหลักความดีที่พระพุทธเจ าสอนน ั้ นมี เคร ื่ องวัดอยูวา ถาหากทําอะไรลงไปเป นเร ื่ องเบียดเบียนตนทําตนใหลําบากก็ดี หรือเบียดเบียนคน อื่นทําให คนอื่นลําบากก็ดี ทั้งเบียดเบียนตนและคนอื่นก็เหมือนกัน อันนั้นเปนของไมดีที่ เราเข าใจวาดีมันเข  าตัวเอง ถาหากเราเอาหลักอันนี้มาวัดแลว เรียกวาความดี ในหลักพุทธศาสนา จะไมกระทบความ คิดความเห ็นของใครทั้งหมดในโลก 3. ผูถาม ผมเป นคนข ี้ กลัว ทําอยางไรจึงจะหายกลัว ทานอาจารย  ยอมตายก ็ หายกลัว วันที่๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๑๙ (เวลาบาย ) สนทนาธรรม ๑. ผูถาม เวลาน ั่ งภาวนาบางทีก็๑๐ นาที ๒๐ นาทีหรือเปนชั่วโมง ก็เกิดภาพข ึ้ นมา ภาพท ี่ เกิดไมใช ความนึกคิดข ึ้ นมา มันเป นภาพเฉยๆ บางทีก็เป นภาพอวกาศ บางทีก็เป นภาพคนแกและอาจจะมี ภาพอะไรตางๆ เกิดขึ้น การเกิดภาพตางๆ นี้เปนปรากฏการณ ของการเร ิ่ มต  นภาวนาหรือ อยางไร ทานอาจารย  พูดเร ื่ องภาวนาเสียกอน ตอเน ื่องมาจากปญหาแรก การถภาวนานั้นมิไดหมาเอาอะไร มากมาย หมายความวาเราทําใจใหสงบ เพงพิจารณาเฉพาะความเกิดความดับ คือเห ็ นสภาพตาม ความเป นจริง ถาหากใจไมสงบมันก ็ไมเห ็นตามเป นจริง ทั้ง ๆ ที่ความเกิด ความดับของเรามีอยู ในตัวของเรา นี่คือความมุงในการภาวนา อยาไปเขาใจวามันพิสดารกวานั้น สวนที่มันจะพิสดาร


จิตมันจะละเอียดขนาดไหนเปนอีกเร ื่ องหนึ่ง สวนภาพท ี่ จะเกิดข ึ้ นมาอยางท ี่ ถามนี้มันก็เป นเร ื่ อง หน ึ่ งแล  วแตบางคน บางคนก ็เป นบางคนก ็เปน ภาพท ี่ เกิดข ึ้ นมานั้น บางคนจิตรวมนิด เดียวภาพก ็ปรากฏ บางคนรวมยังไปกวานั้นมันก็ไมมี อันภาพน ั้นไมเปนปญหาให เห็นวาเปน เคร ื่ องวัดความสงบ ให เข าใจแคนั้นก็พอแลว อยาไปสงตามภาพ นอมเข ามาหาใจคือผูที่ ไปเห็ นภาพนั้น อยาไปเอาภาพนั้นเป นอารมณ  เม ื่ อเราจับใจผูไปเห็ นภาพแล  วภาพก ็จะหายไป เอง เราก ็จะได หลักภาวนาที่ดียิ่งขึ้น ๑.ผูถาม สมมติวากอนเราน ั่ งภาวนาเราทราบวาอีก ๒-๓ วันเราจะไปที่นั้นหรือท ี่โนน เวลาน ั่ งภาวนา เห็นสถานที่นั้น และสงใจไปตามนิมิตนั้น สามารถที่จะทําใหอนาคตเปลี่ยนแปลงได หรือไม ทานอาจารย  ถาจิตของเรายังไมทันแนนอนมันสงสาย ยังไมมีอํานาจ ไมสามารถจะเปลี่ ยนสภาพ นั้นได เพราะยังไมมีกําลังพอท ี่จะเปลี่ยนไดถาจะใหดีอยูกับที่เสียกอน ใหจิตแนวแนเต ็ มท ี่ไมมี ภาพอดีตอนาคต มีพลังเต ็ มท ี่ แลว ถาหากจะใช เราก็นอมเพ ื่อเปลี่ยนแปลงสภาพอันนั้นอาจจะ เปนไปไดในบางกรณียแล  วแตบุคคล ๑.ผูถาม บุคคลท ี่ เห ็ นภาพนิมิตจะเจริญภาวนาไดดีกวาบุคคลท ี่ไมเห ็ นภาพนิมิตหรือเปลา ทานอาจารย  ภาพตางๆ มันเป นของจริงบ างไมจริงบ  าง เพราะจิตเรารักษาความสงบไมเข  าถึง ที่ สัญญา สังขาร มันปรงกอนเสีย ฉะนั้นผูมีภาพมักจะติดภาพนั้น จึงภาวนาไมดีเทาท ี่ ควร ๒.ผูถาม ถาหากวาคนที่มีความชํานิชํานาญในการภาวนา คนน ั้นสามารถจะใหความรูเกิดข ึ้ นแกคน อื่นได หรือไมหรือวาความรูตองเกิดกับตัวเขาเอง ทานอาจารย 


ก็สามารถละซีอยางพระพุทธเจ  าทานรูเห ็ นแลว สาวกท ั้ งหลายทานรูเห ็ นแล  วเข าใจ ตามเป นจริงแล  วจึงสอนคนอื่นให เห ็ นตาม แตวาจะไปดลบันดาลใหคนอ  ื่ นเห ็นตามไมได จะทํา ให คนอ ื่ นเกิดความรูโดยมิไดสั่งสอนอะไรแกเขาผูนั้นเลยไมได ๒ .ผูถาม เวลาหัดทําภาวนาจะทําอยางไรจึงจะทราบวาทําถูกทางหรือไม พระพุทธเจ  ามีหลักสอน อยางไรที่จะให ทราบวาเราทําถูกทาง ทานอาจารย  ที่จะเข าใจวาถูกหนทางหรือผิดน ั่ นเราจะสังเกตไดวา ถาเรามาพิจารณาน อมมาในตัวของเรา เพ ื่ อชําระกาย เพ ื่ อชําระใจของตนนั้ นจงถูกหนทาง พระพุทธเจ าสอนให เราชําระกายวาจาและใจ 3. ผูถาม บางคนภาวนาเพ ื่อจะได ฤทธ ิ์ไดปาฏิหาริย บางคนภาวนาแล วปาฏิหาริยมาเองเมื่อเรา พยายามหัดภาวนาเพ ื่อจะไดปาฏิหาริยจะถูกต  องหรือไม หรอตื องใหปาฏิหาริยมาเอง ทานอาจารย  เร ื่องปาฏิหาริยเปนสิ่งอัศจรรย  คนชอบ แตก็หาไดเปนไปตามประสงคทุกคนไม เพราะ เร ื่องปาฏิหาริยโดยมากมนเบั ึนตามนิสัยวาสนาบารมิที่เคยสรางสมอบรมมาแตกอน ถาหากบารมี ไมมีแล  วจะหัดเทาไร ๆ ก็ไมเปนไปได ในทางพุทธศาสนาพระพุทธเจ  าทานก ็ไมปฏิเสธ แตก็ไม ทรงสอนทางนั้น สอนให ละความชั่ว ทําใจใหบริสุทธิ์สะอาด สวนปาฏหาริ ิยนั้น บางทาน บาง องคจิตใจบริสุทธิ์สะอาดเต ็ มท ี่ แตไมมีปาฏิหาริย เม ื่ อมีปาฏิหาริยขึ้นมาทานก ็ ชม เม ื่อไมมี ปาฏิหาริยทานก ็ไมวา 3. ผูถาม ฉันอาหารเน ื้อจะเป นเหตุให การภาวนาไมดีอยางพวกโยคีเขาถือกันเร ื่ องน ี้ จะมีขอเท ็ จจริง อยางไร ทานอาจารย 


มันก็มีสวนอยูบาง อาหารบางอยางซ ึ่ งมันแสลงกับโรคเมื่ อฉันเข าไปแล วก็ทําใหไมสบาย บางทีเน ื้ อน ั้นโรคของบางคนยังต  องการอยู ไมไดรับประทานเนื้อภาวนาไมได มีสวนเก ี่ ยวข  อง กันเหมือนกัน ถาหากกําลังใจกล าเพียงพอยอมสละทุกขณะไมเห ็ นแกรางกาย จิตใจมันเหนือกวา รางกายแล  วทอดท ิ้ งหมด ก็ไมมีอุปสรรคอะไรในการภาวนา 3.ผูถาม พวกโยคีเขาสอนวาเวลาเราฆาสัตว  เม ื่ อสัตวกําลังจะตายภายในใจของมันมีความกลัว ความโกรธ และความเจ ็บปวด เพราะฉะน ั้ นเน ื้ อสัตวนั้นมันมีอาการของสวนเก ี่ ยวเน ื่ องกับความ กลัว ความโกรธ ดังนั้น เม ื่ อเรารับประทานเนื้ อสัตวนั้นก็เป นผลทําใหเราโกรธ เรากลัว เรา เปนทุกข  เร ื่ องน ี้ จริงหรือไม ทานอาจารย  สัตว  เวลามันจะตายจะต  องมีความกลัว ความโกรธ ความเจ ็บปวด เขาบอกวามีสารเคมี ชนิดหน ึ่ งเข าไปปนอยูในเนื้ อสัตวดวย คนกินเข าไปจะต องมีความกลัวความโกรธและเจ็บปวด นี้เป นความเห็นของพวกมังสะวิรัต หากสารเคมีเม ื่ อถูกความร อนของไฟแล วยังไมสลายตัว ยังคงอยู มนุษย  เรากินเน ื้ อสัตว  เข าไปแล วถายออกมา เปนผักเป นหญ าเปนพืชผลตาง ๆแม  แตน้ํา ธรรมดา ๆ คนท ั้ งหลายพร  อมท ั้ งพวกมังสะวิรัตกินเข าไปก็ จะต  องกลัว ตองโกรธ และ เจ ็บปวด ไมมีที่สิ้นสุดลงได ผูปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเม ื่ อยังมีการบริโภคอยู ก็ทําที่สุดแหงการพน ทุกข ไมไดโยคีเปนนักคิดคน คือยังไมบรรลุถึงนิพพาน ยังไมสิ้นอาสวะกิเลสก ็ เลยคิดคนที่เรียกวา จินตมยปญญา หมุนไปจนเลยขอบเขต พระพุทธเจ าไดศึกษาและทรงทําตามมาแล  วถึง ๖ พรรษาท ี่ เรียกวา ทุกกรกิริยา และทรงปฏิบัติแล  วทุกลัทธิ ไมเปนไปเพื่ อสําเร ็ จมรรคผลและนิพพาน ทรง ทราบเร ื่ องท ั้ งหลายเหลาน ี้ เม ื่ อพระพุทธองค  ตรัสรูและเห็นวาอันนั้นมันไรสาระจึงมาปฏิบัติภายใน ใจ จึงสอนใหปฏิบัติมัชฌิมาปฏิปทาคือ ทางกลางๆ ใหฉันเน ื้ อท ี่ปราศจากโทษ ๓ ประการ ดังน ี้ได เห ็ นเขาฆาเพ ื่ อภิกษุ๑ ไดยินวาเขาฆาเพ ื่ อภิกษุ๑ และสงสัยวาเขาฆาเพ ื่ อภิกษุ๑ เพราะชีวิตพระเป นอยูไดดวยคนอื่น ถาหากวาไปฉันเจเสียแลว ก็คนสวนมากไมรับประทาน เจ ตกลงก ็ไปไหนไมรอด มันอยูในบังคับแตนี่พระเข าได หมดเขาฉันเจก็ฉันได เขาฉันเน ื้ อก ็ ฉันได นี่เปนมัชฌิมาปฏิปทา พระองค  เห ็ นแล  วพระองคจึงบัญญัติอยางน ี้คือบัญญัติดวยความรู ไมใชบัญญัติดวยความคิด คือทดสอบฝกฝนนอบรมมาแล วด  วย และเป นของจริงด  วย พวก


ที่บัญญัติมังสะวิรัตบัญญัติแล วปฏิบัติกันมาจนปานนี้ ก็ยังไมปรากฏมีใครบรรลุมรรคผลนิพพาน สักคนเดียว 3.ผูถาม จําเป นหรือไมที่จะต  องมีการดัดเสนบริหารรางกาย ทานอาจารย  ก็ไมมีปญหาอะไร การดดเสั นเป นการบริหารรางกาย การเดินจงกรม การเปลี่ ยนอิริยาบถ ทั้ง ๔ ก็เปนการต  ัดเสนไปในตัว คือ หัดสติใหอบรมสมาธิไปในตัวในอิริยาบถ ๔ ไมจะน ั่ งแตทา เดียว 3. ผูถาม เคยรูจักนักภาวนาคนหน ึ่ งซ ึ่ งหัดไป ๆ เลยกลายเปนบา นี่คงเป นเพราะเดินผิดหลงทางใช หรือไมจึงทําใหเปนบา หรือเป นเพราะกรรมของเขา ทานอาจารย  การหัดภาวนาในทางที่ถูกไมเปนไปเพื่ อเสียจริต ยิ่งหัดเข าไปก็ยิ่งทําให คนมีสติ มีปญญา มีความสงบเสง ี่ ยมเรียบร อยสุภาพขึ้น ถาหากวาไมถูกหนทาง หัดภาวนาไปบางทีมันอาจจะเกิดภาพ นิมิตต ื่นตระหนกตกใจ แลวกลัวสงออกไปภายนอก ไมไดนอมเข ามาภายในใจของเรา นั่นอยาง หน ึ่ งเสียได เหมือนกัน อีกอยางหน ึ่ งคนน ั้นอาจเปนโรคประสาทอยูกอนแล  วก ็ได เม ื่ อทําความเพียร ภาวนาก ็ เลยเกิดมโนภาพหลอกขึ้นมา ทําให กลัวแล วตกอกตกใจเลยหวาดหวั่นตั้งสติไมอยู หรืออีก นัยหน ึ่ งจะเรียกวากรรมก็ถูก ถาทางที่ถูกแล วไมมีเสียคน ที่เป นเชนนั้นไมใชเปนงายๆ คนนับ ลานๆ จะเกิดเปนบาสักคนเดียว ก็กลัวเสียแลว สวนคนเมาเหลา เมากามเปนบากันอยูทุกวันนี้ไม กลัวกันเลย (ชวงน ี้ หมดเวลาไมไดนั่งภาวนา) (เวลาค่ํา )


สนทนาธรรม ๑.ผูถาม การพิจารณาทางฌาน กับการพิจารณาทางสมาธิแตกตางกันอยางไร ทานอาจารย  ผูเพงพิจารณาแตเร ื่ องฌาน บางทีไปเห็ นแตอสุภะหรือโครงกระดูกเข าเลยไปติดอยูแคนั้น ไปอยากพิจารณาเร ื่ องอ ื่ นตอไป ผูมีปญญาเห ็นโทษทุกข  ความเกิด แม  แตรับประทานอาหารอยูก็ เปนทุกข  เม ื่ อพิจารณาอยูอยางนี้จิตยอมหนายในความเกิด เม ื่ อเบ ื่ อหนายก ็ คบลายกําหนัดในยินดี ในภพความเกิดและภพชาติตอไป ฌานกับสมาธิมีการเพงพิจารณาผิดแผกกันอยางน ี้ ๑.ผูถาม เทาท ี่เคยไดรับการอบรมมาและจากากรที่ไดอานพบในหนังสือเก ี่ ยวกับเร ื่ อภาวนาและตาม ความเข าใจเองวา การภาวนาต  องกําหนดอารมณอันเดียว เชน กําหนดลมหายใจ แตขณะท ี่ กําหนดลมหายใจนั้ นจะต  องรูสิ่งแวดล อมไวดวย และส ิ่ งแวดล  อมต องไมมารบกวนการภาวนานั้น ดวย โดยจะกําหนดไดทั้งสองอยางในขณะเดียวกัน ทานอาจารย  อารมณอันเดียวหมายความวา ไมตองคิด ไมตองรูสิ่งแวดล  อม ไมตองสงออกไปจึงจะ เรียกวาอารมณอันเดียว ให วางหมดทุกส ิ่ งทุกอยาง ให เหลืออันเดียวจริงๆ ถาหากอยากไป กําหนดส ิ่ งแวดล  อมอยูก็จะเปนปกติธรรมดาเหมือนกับไมได ภาวนา ๑.ผูถาม เข าใจวาเม ื่อใจสงบถึงที่สุดแล  วจึงไดรับเสียงท ี่ เบาที่สุด เพราะไดรับการส ั่ งสอน อบรมมา อยางนั้น ทานอาจารย 


ยังไมถูก ยิ่งสงบเทาไร เสียงก็ยิ่งสงบจนหายไปเลยไมปรากฏ ณ ที่นั้น ๑.ผูถาม จากการภาวนาที่ใหกําหนดแตลมหายใจนี้ ในครั้ งแรกจะทําใหมีความรูสึกตาง ๆ ในกาย เม ื่ อความรูสึกน ั้ นเกิดขึ้นก็ไปกําหนดท ี่ ความรูสึกนั้น เม ื่ อความรูสึกหายไปกลับกําหนดท ี่ ลมหายใจใหม สับเปลี่ ยนกันไปเชนนั้นจะเป นการทําที่ถูกต  องหรือไม หรือปลอยวางความรูสึก อันนั้นเสีย มุงแตเฉพาะลมหายใจนั้ นแตอยางเด ียว สองอยางน ี้ อยางไหนจะเปนฝายถูกต  อง ทานอาจารย  ให พยายามตัดออกไป เร ื่ องอื่นที่เกิดข ึ้นใหพยายามสละเสีย คือตัดออกไปเสียเพราะ ตองการจะให อยูในจุดเดียว เพงพิจารณาอยูที่ผูรูแตอยางเดียว ทั้งลมและความรูสึกก ็ จะ หายไป แล  วจะคงเหลือแตผูรูอยางเดียว ๑. ผูถาม ไดภาวนาโดยกําหนดเอาอานาปานสติเวลาลมละเอียดขึ้นมักจะมีอารมณ  อยางอ ื่ นเข  ามา แทรกอยูเสมอ รูสึกวาการกําหนดลมหายใจเขา – ออกน ี้ บางทีก็เปนอุปสรรคในการเจริญภาวนา ดังน ั้ นเวลาลมละเอียดข ึ้นเลยไมอยากจะกําหนดลมหายใจ อยากอยูเฉย ๆ ฉะน ั้ นเวลาลม หายใจละเอียดควรท ี่จะปลอยหรือควรท ี่ จะกําหนด ทานอาจารย  กําหนดไมถูก ความจริงน ั้ นถ  าหากลมมันละเอียดลงไปแลว เราตามลมละเอียดลงไปที่ อารมณอื่นจะมาแทรกน ั้นไมมีเราจับลมน ั้นได จนกระท ั่ งลมมันละเอียดน อมไปตามความละเอียด ของลมอารมณอื่นจะไมมีที่จะเข  ามาแทรก จนกระท ั่ งมันละเอียดเต ็ มท ี่ แล  วมันวางเองวางลมอัน นั้นแล  วเข าไปอยูในอารมณอันหน ึ่ งของมันตางหาก มีความรูสึกเฉพาะของมันตางหากนั้นจึง เรียกวาละเอียด ๑. ผูถาม เม ื่ อกําหนดลมหายใจ ลมละเอียดที่สุดจนปลอยวางลมหายใจ ตอนน ั้นลมหายใจมันมี หรือไมถาเราอยากจะสัมผัสลมหายใจเราจะสามารถสัมผัสได หรือไม


ทานอาจารย  ในตอนนั้ นเกือบจะไมมีความรูสึกลมปรากฏ ถาหากเราต ั้ งสติจริงๆ จังมีลมแผว ๆ นิดเดียว ถาหากสติเราไมละเอียด ก็คล  ายกับเหมือนไมมีในตอนนั้นถึงแม จะไมปรากฏลมแต ลมยังระบายตามรางกาย ถาจิตละเอียดลมก ็ ละเอียด บางทานบางองค ไมปรากฏทางจมูกเลย แตวาลมมันระบายทางรางกาย ตามขุมขนได อยู ๑.ผูถาม เวลากําหนดลมหายใจ บางทีลมหายใจละเอียดมากจนบางทีเห ็นลมหายใจเกิดข ึ้ นแล  วดับไป บางทีก็มีอารมณ  เกิดข ี้ นพร  อมกับลมหายใจเกิดข ึ้ นแล  วดับไปพร อมกับลมหายใจ อยาก จะทราบวาอยางนี้ถูกต  องหรือเปลา ทานอาจารย  ถูกเหมือนกันแตมันยังไมทันละเอียดจนวางลม เม ื่อลมหายใจละเอียดออนลงไป อารมณ อะไรมาแทรกนดเดิ ียวมันก็ปรากฏเห็นชัดข ึ้ นมา ถูกเหมือนกัน แตมันยังไมทัละเอียด ถึงกับวางลม ถาละเอียดเต ็ มท ี่ หายหมด ลมนี้ก็จะไมปรากฏเลย เหตุที่วางไมลงเพราะยังไป เข าใจวาอันนั้นมันเป นของดีแตก็ตองใหทําอยางน ี้ อยูเร ื่อยไป มันจะวางของมันเอง วางลม แล  วก ็ไมรูจะไปยึดอะไร มันเลยวางไมลงตรงน ั้ นแหละ ๑.ผูถาม แล  วจะแกไขไดอยางไร ทานอาจารย  แก ไขอยางน ี้ พอลมละเอียดเข  าแล  วอยาไปเอาลมมาเป นอารมณ  ใหไปจับเอาจิตผูไป พิจารณาลมนั้นก็จะวางเปลาจากอาการใดหมด จิตก ็ จะรวมเข าเป นหน ึ่งจะไมมีอาการใด ทั้งหมด ๑. ผูถาม


กอนท ี่ จะน ั่ งภาวนาทําใจใหสบายเสียกอน แล  วกําหนดรูวาตนเองเวลานี้กําลังน ั่ งภาวนา อยูประมาณ ๑๐-๑๕ นาที มีความรูสึกสบาย มีความสุขทั้งกายและใจ แล  วความรูสึกนั้นก็ หายไป มีแตความวางในใจ เป นอยูประมาณ ๕-๑๐ นาที แล  วคอยรูสึกตัวพร  อมท ั้ งรูสึกสุสบาย ทั้งกายและใจปรากฏขึ้นอีก มีความเข าใจวาเวลาภาวนาก ็ ตองมีอารมณ  เราจะต  องมีสิ่งใดสิ่ งหนึ่ง ที่จะพิจารณา ถาหากวางอยางท ี่เป นอยูและปลอยใหมันเยือกเย ็ นสบายจะถูกต  องหรือไม ทานอาจารย  การท ี่ อธิบายมาท ั้ งหมดนั้นถูกต  องดีแลว แตที่ปลอยวางใหมันเยือกเย ็ นอยูเฉย ๆ นั้นยัง ไมถูกต  องดีนัก เพราะสมาธิตองมีอารมณอันหน ึ่งเป นเคร ื่ องยึดเหน ี่ ยวจึงจะม ั่ นคงดี ในที่นี้ขอยึด เอากายเป นอารมณ  คือให เห ็นเปน อนิจจัง ทุกขังอนัตตา อยูเปนนิจ ๑. ผูถาม ความรูสึกท ี่ เข  าถึงเอกัคตารมณนั้น เป นอยางไร ทานอาจารย  ความรูสึกปลอยวางวางอยูของมันนั้นแหละเรียกวาเอกัคตารมณ  แตถารวมวูบเขาไปแลว รูตัวอยูแตไมทราบวาอยูที่ไหนเปน เอกัคตาจิต หรือภวังคจิต ๑. ผูถาม เวลานั้นรูอยูวาเหมือนกับเราอยูที่ไหนก็ไมทราบ แตรูวามีตัวเรากับมีที่อยูเทานั้น ทานอาจารย  ใช น ั้นเป นความรูดวยตนเองวาไมมี แตมันยังมีอยู เรียกเอกคตาจั ิตไปพูดให คนอื่นฟงไม รูเร ื่ อง ๒.ผูถาม คนท ี่ไมชํานาญในเรื่ องภาวนา ขณะที่กําลังภาวนามีเสียงอะไรมารบกวน ทําใหกําหนด ลมหายใจไมได จิตใจเกิดวอกแวก ทําอยางไรถึงจะแก ใหหายได จะต องพยายามให อารมณ  อยูที่ลม หายใจหรือวาภาวนาแล  วกําหนดเอาเสียง


ทานอาจารย  ใหกําหนดลมหายใจอยางเดียว เสียงไมตองกังวลใหสละปลอยวางเลย ให แยกวาน ั้นเปน ภัยเปนอันตรายแกภาวนา ให แนวอยู ในอารมณ อยางเดียวคือลมหายใจ ไมตองต องไปคํานึงถึง มัน ๒.ผูถาม ไดรับคําอธิบายวา ถาไปอยูในที่ สงบสงัดก ็ จะสามารถกําหนดลมหายใจไดสะดวกกวาท ี่ จะ อยูในที่มีสิ่งแวดล  อมอันกอให เกิดเสียงได หรือวาจะทําไดในสิ่ งแวดล  อมท ั้ งสอง ทานอาจารย  เสียงนั้นมีใชวาจะเป นคนท ั้ งหมด บรรดาเสียงท ั้งหลายไมวาจะเสียงสัตว  เสียงคนเสียง ลมหรือเสียงอะไรตออะไร ยอมเป นเสียงท ั้ งหมด อยูที่ไหน ๆ ก็มีเสียงเหมือนกันที่จะไมใหได ยินเสียงเพ ื่อจะปลอยวางธุระไดก็ดวยใจยอมสละทิ้งปลอยวางให อยู ณ ที่หน ึ่ งตางหาก จิตจะต  องอยู ที่ลมอยางเดียว มันจะหายไปเอง ถาจิตแวบลงแล  วก ็ จะ ไมมีเสียงใด ๆ ท ั้ งสิ้น เสียงน ั้นไมใชมัน ไมมี มันมีอยูแตจิตมันไมได เข าไปยึด เหมือนกับเราดูหนังสือท ี่เราชอบใจ หรือดูภาพยนตร  หรือดู อะไรก็ ตามท ี่เราชอบใจ ติดใจ ยินดีในเรื่ องนั้น ๆ คนอ ื่ นจะมาเรียกหรือใครจะทําอะไรก็ ตาม มัน ไมมารบกวนเลย เสียงก ็ อยูตามสภาพของมัน หากจิตลงแนวแนในอันเดียวแล วเสียงก ็จะไมมา รบกวน มิใชมันหายไป ใจมันอยูในอารมณอันเดียวตางหาก จิตจะไมถูกรบกวนเลย เด ็ ดขาด ๒. ผูถาม สมัยน ี้ เสียงมันมาก สารพัดเสียงท ี่ จะเกิดขึ้น นาจะกําหนดเสียงมากกวาลมหายใจ ทานอาจารย  ก็เพราะเสียงมากนะ ถากําหนดเสียงมันก็จะไมหายสักที เพราะเสียงมากน ั่ นแหละจึงต  อง กําหนดลมหายใจ เพ ื่อไมใหเสียงมันรบกวน เด ี๋ยวจะเปนโรคประสาทตายกันหมด เรา ชําระเสียงแตเข าไปอยูในเสียง ยากที่จะเอาชนะมันได กําหนดลมหายใจไมไปยึดเอาเสียงมาเปน อารมณจึงจะชําระเสียงได


๒.ผูถาม การทําภาวนาจะต  องทํากสิณกอนหรือไม ทานอาจารย  ไมตองทํากสิณก็คือการทําจิตให อยูในจุดเดียวเหมือนกัน เราพิจารณาอานาปานสติใหจิต อยูในอารมณอันเดียว อยูในพวกกสิณเหมือนกัน การทํากสิณต องไปทําวงกลมใหมันลําบากเปลา า ๓. ผูถาม เข าใจวา ถาจะไมสนใจในสิ่ งแวดล  อมเลย บางทีอาจเกิดอันตรายก ็ได เชนอาจ ถึงกับตายมีคนมาฆาเอาก ็ได ทานอาจารย  อยางนั้นยังไมเรียกวาภาวนา ยังไมเข  าถึงภาวนา ยังพาวนอยู พาวนกลัวตายอยู ๓. ผูถาม จะต  องจุดธูปเทียนบูชาพระในวันพระหรือไม ทานอาจารย  ไมวาวันพระหรือวันปรกติธรรมดา ดอกไมธูปเทียนเป นอามิสบูชา ถาหากวาไมมี มัน จําเปนก็แล วไป ดอกไมธูปเทียนเป นเคร ื่ องบูชา อยาประมาทเป นการดี คือทําต ั้ งแตหยาบไปหา ละเอียด ถาหากไมมีก็จําเปน การทําเปนประจําคือวาทําทุกคร ั้ งกอนจะหลับนอนด  วยความ เล ื่อมใสเคารพนับถืออยางยิ่ง จะเปนประโยชนๆ ให อยูเย ็นเปนสุข ตลอดถึงการทํามาหากินก็จะ เจริญงอกงาม นอนก ็ หลับสนิทและตื่นงาย มีประโยชนหลายอยาง นี่เป นเบ ื้ องตน หัดใหเปน นิสัย ถาหากวันใดไมทําพลั้งเผลอจะไมสบายใจ ทําแล  วทําใหสบายใจจึงควรทําประจําเปน นิจ การหัดภาวนารักษาศีล หรือรักษาสัจจะ ความซ ื่ อสัตยสุจริตตามหลักธรรมคาสอนํ ชองพระพุทธเจ  าเรียกวา “ ปฏิบัติบูชา “ การที่มีดอกไมธูปเทียนกราบไหวบูชานี่ เรยกวี า “อามิส


บูชา”ทั้งสองอยางน ี้เปนผลประโยชนดวยกันทั้งนั้น จึงวาไมควรประมาทควรไดทําเปนนิจ การมี ชีวิตอยูวันหน ึ่ งๆ ควรทําผลประโยชน อยาได ขาด ๓.ผูถาม ทุกขนั้นเป นอยางไร ทานอาจารย  เอาไฟจี้ดูซิ กระโดดโหยงเลย นั้นทุกข  แลว มันทนไมไหวคือทุกข  ๓. ผูถาม มายาคืออะไร ทานอาจารย  มายาคือของไมจริง อยางตัวของคนเราน ี้ แทที่จริงมนไม ั ใชคน มันเป นเคร ื่ องหลอกวา จริง ความจริงมันเปนวัตถุธาตุที่ประกอบขึ้นมาเปนตัวคน แล  วก็ตองแปรปรวนสลายไปตามเดิม วัตถุธาตุนั้นปรากฏขึ้ นมาแล  วก ็จะแปรสภาพไปตามเดิม ไมใชของจริง เรียกวามายา ๓. ผูถาม ตามคําสอนของศาสนาฮินดูวา สิ่งมีชีวิตเป นของเจริญเติบโตก าวหน าไปเรื่อยๆอยากทราบ วา ตามหลักพุทธศาสนามีวาอยางไรเกี่ ยวกับเร ื่ องน ี้ เพราะตามหลักทางศาสนาฮินดูใชคําวา อาตมันหรือ อัตตา แปลวาเจริญก  าวหนา แตทางพุทธศาสนาสอนอนัตตา เปนที่แตกตางกัน อยางไร ทานอาจารย  ทางศาสนาฮินดู พูดถึงเซลลมันเจริญเติบโตและเปลี่ยนสภาพไปในตัว คือวาเจริญ แต ศาสนาพุทธถือวาการท ี่ เจริญนั้นมีเส ื่อมไปในตัวมิใชวาจะเจริญตลอดเวลา มีเจริญแลวก  ็ เส ื่อมไปมี อันอื่นมาแทน อันนั้นก็คืออนัตตา คือส ิ่ งท ี่ไมถาวรเรียกวา อนัตตาไมใชของไมมีของมีแตไม มีสาระเรียกวา อนัตตา เขาถือวาน ั้ นแหละความเจริญอยางคนเราท ี่ เกิดมาน ี้ นับตั้งแตเป นเด็ก เติบโตขึ้นมาจนเปนผูใหญเขาเรียกวา เจริญ แตตามหลักธรรมเรียกวาเส ื่อมไปหาตาย


ทานอาจารย  พาน ั่ งภาวนา พรอมท ั้ งอบรมธรรมนากํ อน จิตเป นของอันเดียงไมใชของมาก เรามาอบรมภาวนาก็คือเราต  องการเข  าถึงจิตอันเดียว คือ เข  าถึงจิตเดิมน ั่ นเอง จิตเป นของท ี่ เร ็ วที่สุดตามไมทัน ที่วาจิตมากเพราะไปวิ่ งตามมัน เหมือนกับ เงาถ าไปวิ่ งมันวิ่งด  วย ถาหยุดแล  วมันก็หยุดด  วยเรา (นั่งอยูประมาณ ๒๐ นาที) วันที่๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๑๙ เวลาบาย สนทนาธรรม ๑.ผูถาม หัดภาวนาครั้งแรกรูสึกฟุงซาน หาความสงบไมได ทุกขเวทนาก็มากหาความสบายมิได ทานอาจารย  ไมวาใครทั้งหมดเรื่องภาวนาไมใชของเปนงายๆ คนท ี่เป นเองเรียกวาวาสนาสูงสงที่สุด โดยมากที่อยากจะภาวนาก็เห็นทุกขทั้งหลายอยางน ี้ แหละ ตองฝาฝนอุปสรรคเพื่ อท ี่จะใหพนทุกข  คือหัดทําความสงบ ถาไมเห็นทุกข  อยางน ี้ แล วไมมีใครอยากภาวนาใหพนจากทุกข  เลย ภาระมีกัน ทุกคน แม  แตพระอยางเราๆ เห็นกันอยูนี่แหละก็มีภาระ พระพุทธเจ  าย ิ่ งมีภาระย ิ่ งกวานี้อีกไมมีใคร สักคนท ี่ไมมีภาระ ปญหาประจําฆราวาสเป นอยางหนึ่ง ของพระเปนอีกอยางหนึ่ง มีเทาๆ กันนั่น แหละ แตพระพุทธเจ  าหรือผูรูทั้งหลายทานทําได แล วสละท ิ้งไดไมของอารมณนั้น ๆ ๑.ผูถาม การพิจารณาสวนใดสวนหน ึ่ งของรางกาย ถาไมชัดควรกลับมากําหนดลมหายใจดี หรือ วาควรพิจารณาไตรลักษณดี


ทานอาจารย  ให วกกลับมาพิจารณาลมหายใจใหสงบเสียกอน จึงจะพิจารณาพระไตรลักษณ  ๑. ผูถาม กอนท ี่ จะทําความสงบได จะต  องพิจารณากายเสียกอนเสมอ จะเปนไปได หรือไมถาหากจะ เข าความสงบเลย โดยปลอยวางเฉย ๆ ไมพิจารณาอะไร ทานอาจารย  ได แตตองอาศัยความชํานาญกอน ใหพิจารณากายใหชํานาญเสียกอนมันจึงจะมีหลัก ถาปลอยวางเฉย ๆ อีกหนอยม ันจะไมมีหลักยึดเส ื่อมไดงาย ๑.ผูถาม บางคร ั้ งเวลาพิจารณากายอยูเกิดไฟเผาจนไมมีอะไรเหลือรูสึกวาชัดเจนเหลือเกิน ทานอาจารย  นั้นเปนปฏิภาคนิมิต อยาไปถือเอาเป นจริงเปนจังเลย ขอใหถือเพียงเป นเคร ื่ องวัดของจิต เทานั้นก็พอแลว คือแนวแนเป นสมาธิแล  วจึงเกิดแตมิใชเกิดท ั่วไป เปนได แตละบุคคลเทาน ั้ นบาง คนจิตจะสงบเทาไร ๆ ก็ไมเกิด ๑.ผูถาม บางคร ั้ งเดินภาวนาอยูเห็นนองสาวกําลังเดินจงกรม ไฟลุกไหมเผาเส ื้ อผ  าของผูนั้นหมด แตเขาหาไดมีความร  อนรนเพราะถูกไฟเผาไม นี่เป นเพราะเหตุอะไร หมายความวาอยางไร ทานอาจารย  คนพิสดาร เห ็นโนนเห็นนี่แล  วก ็ เพลินไปตาม ไมมีอะไร เปนนิมิตภาวนาเฉย ๆ ไฟเผา รางกายถ  าจะอธิบายก็กิเลสเผากายแตมันไมรอนแสดงถึงไมกระทบใจนั่ นเอง


๑.ผูถาม มีอุปทานมากในการเห็นโนนเห็นนี่ บางคร ั้ งออกขากภาวนาแล  วจิตใจยังไปครุนคิด กับ นิมิตท ี่ เห ็ นอยู ไมยอมปลอยท ิ้ งงาย ทานอาจารย  ไมเข าใจดูใจตน คือไมเข าไปดูผูที่ไมเห็น ถาจับไดอันนี้แล  วมันก็วาง จิตตอนนี้มันกําลัง สบาย เห ็นโนนเห็นนี่ยิ่งชอบใจ เลยลืมน  อมเข  าหาตนเอง ๑.ผูถาม บางครั้งอยากจะจับจิตเข าไปในขวด ทานอาจารย  สงออกนอกแล วไมไดการหาใจตองหาภายในซิผูรูกับสิ่งท ี่ไปรูไปเห็นมันเป นคนละอยาง กัน ใหจับเอาตัวผูรูผูเห็นนั่นแหละจึงจะถูก สิ่งที่รูที่เห็นนั้นจะหายหมด ๑.ผูถาม ขณะน ี้ เข าใจดี ถาหากมีอะไรเกิดข ึ้ นจะรีบไปภาคอิสาน ทานอาจารย  ถาหากไปไมทันแล  วจะวาอยางไร การภาวนาต  องพ ึ่ งตนเอง การท ี่ จะหวังพ ึ่ งคนอื่นมันจะ ไหวหรือหัดพ ึ่งตนเองใหไดในปจจุบันเด ี๋ ยวนี้แหละ จึงเรียกวาภาวนามีหลัก ถายังพ ึ่งตนเองไมไดก็ ยังไมมีหลัก ใหจับอยางน ี้ หลัก คือ ตัวใจของเรา เรามาจับอันน ี้ใหได แล วไดชื่อวาพ ึ่ งตนเอง นี้ อะไรกันพอมันเส ื่ อมก็วิ่งแจ นไปภาคอิสาน ๑.ผูถาม แตกอนไมเข าใจ เม ื่ อทานอาจารย  อธิบายอยางน ี้ แลวจะพยายามทํา ทานอาจารย 


Click to View FlipBook Version