The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลวงปู่เทสก์ ปุจฉา-วิสัชนาในต่างประเทศ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ทีมงานกรุธรรม, 2023-10-27 23:08:35

หลวงปู่เทสก์ ปุจฉา-วิสัชนาในต่างประเทศ

หลวงปู่เทสก์ ปุจฉา-วิสัชนาในต่างประเทศ

Keywords: หลวงปู่เทสก์ ปุจฉา-วิสัชนาในต่างประเทศ

ทานอาจารย  เม ื่ อมาพิจารณาดูชีวิตของเรา ให เห ็นเปนของไมมีสาระมันเปนของไมถาวรม ั่ นคง อะไร มันเปนไปตามเรื่ องของมัน เม ื่ อเราพิจารณาอยางน ี้เราจะหายไปจากความเมาคือเมาในอายุวา เราจะมีอายุยืนนาน เมาในชีวิตวาเราจะไมตายเมาในความที่เราจะไมเจ ็บไมไขมันจะหายไปจาก ความเมาหมูนี้หมายความวาจะไมถือตัวถือตน มันจึงคอยปลอยวาง ที่พิจารณาได อยางนี้มันเปน ประโยชน อยางน ี้ จิตใจมันไปจดจองส ิ่งใดเห็นอะไรมันชัดเราพิจารณาจดจ  องอยูในเรื่ องน ั้นเป นอารมณ  นั้นแหละตัวภาวนาจะยืน เดิน นั่ง นอน คิดถึงเร ื่ องนั้น เอาอันนั้นเป นอารมณ โดยตลอด นั่นแหละ ตัวภาวนา เราเพงพิจารณาอยูอยางนี้ละดูอันนั้นละไมตองหลับหูหลับตา หรือถ  าหากเราจะคิดคน ไปถึงเร ื่องความเปลี่ยนแปลงของบ านเมืองของโลกความทุกข  ของมนุษยสัตว  ความเกิดความดับ ของเราเวียนวาตายเกิด พิจารณาคดคิ  นอยูอยางนั้น พอไปๆ มันชัดมันหายเองหรอกความงวงลืมตา พิจารณาข  างนอกอยางน ี้ แหละ พิจารณาความทุกข  ของสัตว  ความเกิดของมนุษย เปนทุกข ตัวของเรา เวียนวายตายเกิดเพราะเหตุนี้พิจารณาอยูอยางน ี้นี่แหละกลัวความเกิดความตายกลัวความทุกข  สงบจิตไมไดมันก็จะทุกข ใหญอีกละคราวน ี้ วันที่๑๘ ธันวาคม ๒๕๑๙เวลาค่ํา แสดงธรรมเทศนา พลังในทางพุทธศาสนาหัดด  วยวิธีการสํารวมใจใหมั่นคง สงบ ในเมื่อใจมันมีความสงบเต ็ มท ี่ แลวจะตอสูกับอารมณความคิดนึกท ั้งปวง พลังใจจะเกิดข ึ้นในขณะนั้น คําวา " พลังใจ " ในที่นี้ หมายความวา ใจกลา ใจแข็ง เด ็ ดเด ี่ยวในการที่ เราจะทําสมาธิใหมันแนวแนอยูไดเปนเวลานานๆ กายของเราก ็จะไมรูสึกเจ ็ บเม ื่ อยดวยประการตางๆ นี่พลังใจในทางพุทธศาสนาที่ทานสอน ที่ทานหัดอบรมฝกฝนตนได แลวเกิดพลังใจขึ้น จนกระท ั่ งน ั่ งอยูตั้งเจ ็ ดวัน ทานเรียกวาเขา นิโรธสมาบัติโดยที่ไมรูสึกหิวโหยหรือเหน ็ ดเหน ื่ อยด วยประการใดๆ เลยอันนี้เป นพลังของใจใน การทําความสงบ เปนการประหารหรอระงื ับหรือทําลายกิเลสท ั้งหลายได พระพุทธเจ  าจึงเทศนาวา ความสงบเป นความสุขอยางยิ่งการหัดทําความสงบนี่นะเม ื่ อเราทําชํานิชํานาญแลวอะไรเกิดขึ้น เชน โลภ โกรธ หลง สิ่งใดสิ่ งหน ึ่ งที่มันกระทบใหเราไมพอใจหรือดีใจเสียใจอันเป นเหตุนํามาซึ่ง ความเดือดร  อนวุนวายเราจะทําความสงบคือปลอยวาง ทําใจใหมันกล  าหาญ ได แกการตอสูที่เคย ชํานาญมาแลวเรียกวาเป นการบริหารสุขภาพทางใจ นี่แสดงถึงเร ื่องใจของเรามีศัตรูอยูรอบด  าน มี ศัตรูทุกขณะ หากเราไมไดหัดพลังของใจนี่ใหมั่นคง เราจะไมมีความสุข พระพุทธเจ  าจึงสอนใหเรา


หัดตอสูดวยพลังใจคือหัดพลังความสงบ ผูที่หัดทําความสงบอบรมพลังใจได แลวถึงแม  เราทําได ไมนาน ขณะท ี่ เราทําความสงบ นั่งภาวนาทําสมาธิครูหน ึ่ งขณะหน ึ่ งก ็ ตาม ก็จะเห ็ นคุณคาแหงความ สงบข ึ้ นมาแล  ววา เป นความสงบสุขแท  จริงท ี่ไดหัดทําความสงบ ในการแสวงหาความสุขทุกวิถีทางถึงแมวาจะเปนการกระทําด  วยกายหรือด วยใจก็ ตามแตก็ เป นของจําเปนที่จะต  องทํา หากวาเราสร างพลังใจดวยความสงบน ี้ พร  อมๆ กันไปในตัวจะไมนํา ความเดือดร อนเปนทุกขมาใหแกเราถายเดียวในที่นี้มิได หมายความวาน ิ่งนอนใจใหมันสงบอยูทา เดียวแตใหรูจักรักษาความสงบให อยูในอารมณอันเดียวถึงจะเป นการแสวงหาวัตถุภายนอกก ็ ตาม แตใหรูจักรักษาความสงบภายในใจไวอันเปนวัตถุภายนอกอันนี้เปนของภายใน ตองทําตัวรูเทา อยางน ี้ อยูเสมอ ศัตรูคือภัยอันตรายของคนเราท ี่ เกิดมา มีสองอยางท ี่ เราจะต  องตอสูคือทางกายและทางใจกาย ได แกเร ื่องปจจัยภายนอกท ี่ จะต  องนํามาบริหารถาหากขาดปจจัยภายนอกชีวิตก ็ จะอยูไมได แตศัตรู ภายในของใจถาหากเราไมมีพลังตอสูภายในใจคือ ทําความสงบรูจักปลอยวางอดทนตอสูไมได เราก ็จะไมมีความสุขคนเราโดยมากสูอยูดวยกาย ทางใจไมคอยจะสูดวยเทาไรนักเหตุนั้นความ ทุกขจึงเกิดขึ้นกับพวกเราโดยมาก ทานอาจารย  พาน ั่ งภาวนาพรอมท ั้ งอบรมธรรมนํากอน หัดภาวนาคือการสํารวมใจให มาอยูในที่ เดียวอยาใหจิตสงสายออกไปภายนอกเหมือนกับน้ํามี หลายสายเราปดใหมีสายเดียวมันก็มีพลังแรงขึ้น หรือมิฉะนั้นก็เปรียบเหมือนกับไฟฟ าของเรา ไฟฟ าถ าหากเปดหลายๆ ดวงมันก็หร ี่ลงไป ถาเปดดวงเดียวแล วแสงมันก็สวางจ  ามีพลังขึ้น ใจคนเรา ถาหากสงสายไปมากๆ พลังใจมันก็นอยไป ตานทานสูกับอารมณ ไมไดถาหากเราสํารวมอยูในจุด เดียวอารมณตางๆ ที่ผานไปผานมามันก็ไมปรากฏ ดวยอํานาจของพลังใจอยูในจุดเดียว เพราะฉะน ั้ นการทําภาวนาคือการสรางพลังใจของเราใหมีขึ้น ตอบปญหาธรรมภายหลังน ั่ งภาวนา ๑.ผูถาม บางทีทําไมมันมีภาพนิมิตเกิดขึ้น ทานอาจารย มันเป นบางคน บางคนก ็ เกิด บางคนก ็ไมเกิด ภาพนิมิตจะเกิดหรือไมเกิดไมเปนปญหา ขอใหชํานาญในการสํารวมใจทําความสงบได เร ็ วเทาใดได คลองแคลวเทาใด ชํานาญเทาใดยิ่ งดีนั่น


แหละเป นของสําคัญที่สุด ภาพนิมิตน ั้ นบางทีก็เปนอุปสรรคของการเจริญก  าวหน  าของการภาวนา อีกซ้ํา ภาพนิมิตบางทีเราชอบใจเกิดความพอใจขึ้ นเลยติดอยูเพียงแคนั้น ภาพนิมิตไมใชเป นของดี เสมอไป ถาหากใชเปนก็เปนประโยชนถาใชไมเปนก็เป นเหตุให เกิดโทษ ถาไมเห ็ นภาพนิมิต ภาวนาไมเปน โดยมากจะเขาใจอยางน ี้ พอเห ็ นภาพมันเลยสงออกไป เรียกวาสงนอก ๑.ผูถาม ทานอาจารย  คะกุศลกับอกุศลมันเป นธาตุอันหน ึ่ งๆ เม ื่ อจิตเปนกุศลมันสบายเม ื่ อจิตเปน อกุศลทําไมมันรอน ทานอาจารย ก็นั่นละซีกุศลเป นธาตุอกุศลก ็เป นธาตุเห ็ นอกุศลเป นธาตุรอน เรากลัวร  อนแล วจะได ละธาตุรอนน ั้ นเสียเห ็ นเชนนี้ดีนักถูกต  องตามธรรม เรียกวาเห็นดวยตนเอง วันที่๑๙ธันวาคม ๒๕๑๙เวลาค่ํา แสดงธรรมเทศนา ในสมัยเด ี๋ ยวนี้มีลัทธิสองลัทธิคือลัทธิคอมมูนิสตกับลัทธิประชาธิปไตยคอมมูนิสตพูดกัน งายๆ ก็เรียกสังคมนิยม สังคมนิยมพัฒนาด  านวัตถุสวนประชาธิปไตยหรือเสรีประชาธปไตย ิ หมายถึงเร ื่ องด  านจิตใจ ทั้งสองอยางนี้มันควบคูกันไป ถาหากไปแยกกันออกแล  วก ็ เดือดร  อน พุทธ ศาสนาสอนทั้งสองอยางเปนคูกันไป เราจะเห ็นไดที่พระพุทธเจ าสอนใหประกอบสัมมาอาชีวะคือ ทํามาหากินในทางสุจริต การท ี่ หากินสุจริต ประกอบสัมมาอาชีพนั้น ก็หมายถึงเร ื่ องการสงเสริมใน ดานวัตถุสวนในดานจิตใจนั้นทํามาหาเล ี้ ยงชีพโดยอิสระไมมีการบังคับ แตเม ื่อได มาแล  วก ็ใหรูจัก เฉลี่ยแบงปนวัตถุที่ได มานั้นดวยความเมตตาโอบอ อมอารีไมมีใครบีบบังคับ นี่พระพุทธเจ  าทาน สอนในหลักพุทธศาสนาคูกันไปอยางน ี้ พระพุทธเจ าได ตรัสรูเป นพระพุทธเจ  าแลวเผยแพรศาสนาสอนพุทธบริษัท มีพุทธสาวก สาวิกามากข ึ้ นมาแลวขนาดน ั้ นพระองคก็ไมไดถือสิทธิ์เสรีคนเดียวการบรหารสงฆิ มอบใหสงฆ  เปนใหญไมใชพระพุทธองคบริหารคนเดียว นี่แสดงถึงเร ื่องความเปนอิสระของสงฆ ไมใชของ บุคคลคนเดียวแม ในการทําสังฆกรรมบางอยางเชน พระรับกฐนเขาเอามาถวายเป ิ  นของสงฆ  แตวา สงฆทํากฐินไมไดตองมอบให องค ใดองค หน ึ่งเป นคนทํากฐิน กฐินจะสําเร ็จไดก็เพราะสงฆแตองค  เดียวเป นคนทํา สําเร ็จไดเพราะสงฆ  อยางน ี้ การบริหารประเทศที่ เรียกวา เสรีประชาธิปไตย มีนายก


เปนหัวหน  าก็ทํานองเดียวกันนี้เราจะเห ็นในทางสังคมนิยมในพุทธศาสนาไดเชน ของของสงฆที่มี ญาติโยมเอามาถวายแลว พระสงฆ  จะต  องแจกเฉล ี่ ยท ั่ วกันหมด นี่เรียกวาสังคมนิยมในทางพุทธ ศาสนาอยางสมบูรณบริบูรณ  แททุกประการเหตุนั้นจึงวาพุทธศาสนามีทั้งเสรีประชาธิปไตยและ สังคมนิยมพร  อมๆ กัน เพราะอะไรคนเรามีทั้งกายและใจกายนั้นพูดถึงเร ื่ องสังคมนิยมคือในดาน วัตถุสวนเสรีนั้นหมายถึงเร ื่ องจิตใจ พร  อมกันไปกับวัตถุคือวาจิตใจคิดไปโดยเสรีภาพทําอยูใน ขอบเขตศีลธรรม แตเด ี๋ ยวน ี้ คนเราเข าใจผิดคิดวา เสรีภาพน ั้นเปนอีกอยางหนึ่ง สังคมน ั้นเปนอีก อยางหนึ่ง มันเลยกลายเป นเร ื่ องแตกแยกกันไป เป นเร ื่ องยุงกันใหญถาเข าใจโดยนัยน ี้ แล วไมมีเร ื่ อง ยุงเลย สังคมนิยมกับเสรีประชาธิปไตยถ าแยกกันออกก ็ เหมือนกับคนเราตายแลวคือกายกับใจมัน แยกออกจากกันไมไดผูบริหารประเทศชาติจะเป นลัทธิใดก็ ตาม ถาหากไมเข าใจในเรื่ องท ั้ งหลาย เหลาน ี้ แล  วทําไมถูกไมดีทั้งนั้น เสรีมันก็กลายเปนสังคมไมรูตัวเหมือนกัน สังคมมันกลายเป นเสรี ไมรูตัว สังคมนิยมมันกลายเป นคอมมูนิสต ไปถ าทําไมถูกถาทาถํูกมันไมเป นคอมมูนิสต สังคม นิยมกับเสรีประชาธิปไตยอยูดวยกัน เปนไปดวยความสงบเรียบร อยสมบูรณบริบูรณ อันนี้พูดถึง การบ  านการเมือง เม ื่ อพูดถึงด  านธรรมคือตัวของเรานั้น ตัวของเราก ็ เหมือนกันกับประเทศชาติหนึ่ง ที่เราเกิดข ึ้ นมา มีทั้งสังคมนิยม มีทั้งเสรีประชาธปไตย ิ สังคมนิยมคืออะไรได แกตัวของเรา รูปอันน ี้ แหละจําเป นท ี่ จะต  องบํารุงด  วยวัตถุเม ื่ อบํารุงด  วยวัตถุจําเปนตองแสวงหาสิ่งท ี่เปนประโยชน แกรูป เชน อาหารเคร ื่ องนุงหม ที่อยูอาศัย หรือยาสําหรับแก โรคแกไขที่เรียกวาปจจัยชาติทั้งส ี่ หาท ั้ งส ี่ ประการนี้ มาบํารุงในทางที่ชอบในทางที่สุจริต ไมเปนไปเพื่ อเบียดเบียนตนและคนอื่น รางกายของ เราก ็ สมบูรณ ไมเปนทุกข และไมเดือดร  อนแกคนอื่นดวยอันนี้เรียกวาสังคมนิยม ในประเทศน อยๆ คือตัวของเรา เสรีประชาธิปไตยคือได แกใจเราจะต  องมีอิสระควบคุมใจของตนใหได อยาปลอยใจ ของเราใหมัวเมาประมาทลืมตัวใจถ าหากควบคุมไมไดมันดึงเราไป ชักจงไปในทางทูี่ผิดทุจริต ตางๆ โดยไมรูตัว มันก็เลยเกินขอบเขตเป นเหตุให ตนและคนอ ื่นไดรับความทุกข  และเดือดร  อน นี่ เรียกวาบริหารไมเปน เสรีประชาธิปไตยบริหารประเทศน อยๆ นี้ไมถูก พระพุทธเจ  าทานเทศนาไวตัวของเราคือเป นเมืองอันหนึ่ง มีพระเจ  าแผนดินชื่อพระยาจิตราช เปนผูครอบครองเมืองคือตัวเรา ตา หูจมูกลิ้น กายและใจเรียกวาทวารท ั้ งหกคือประตูพระนครทั้ง หกถาหากรักษาไมดีพวกโจรและขาศึกมันเข  ามาทําลายได แกเรารักษาทวารท ั้งหกไมไดความชั่ว มันรั่วไหลเขามาให เราทําผิดทุจริตส ิ่ งท ี่ไมดีไมงาม ถาหากเรารักษาใหดีรอบคอบรอบด  านด  วย อินทรียสังวรเมืองพระนครนั้นจึงจะอยูเย ็นเป นสุข ทุกคนจงพากันรักษาพระนครอันนี้แตละคนๆ รักษาพระนครของตนแลวอยูดวยกันก็เลยเปนสุขด  วยกัน มีกี่คนๆ มีความสุขด  วยกัน


ทั้งนั้น พระพุทธเจ  าทานสอนใหยอลงอีกงายๆ ในการรกษาพระนครอั ันนี้ถึงจะมีตา มีหูมี ลิ้น มีกายก็ตาม ถาหากสํารวมใจไมไดเสียแลว สวน ตา หูจมูกลิ้น กายก็สํารวมไมไดทานให สํารวมใจอันเดียวเม ื่ อสํารวมใจไดแลว ตา หูจมูกลิ้น กายเป นอันสํารวมได เอง เพราะฉะนันทาน จึงสอนใหสํารวมใจ ทานบอกวาใจนั่นแหละเปนของไมมีตนไมมีตัวเป นของเท ี่ยวไปไกลคนเดียว ได แตในผลที่สุดมันก็กลบมานอนทั ี่ กายน ี้ผูจะระวังสํารวมใจจงอยาไดวิ่งตามจิต คอยสกัดจับเอา ใจอยูที่กายน ี้คือคอยจับที่ทวารท ั้ งหก ทานอาจารย  พาน ั่ งภาวนาพรอมท ั้ งอบรมธรรมนํากอน ใหรูจัก มันคิดไปหาอะไร มันยึดอะไร มันสงไปหาอะไร ตั้งสติกําหนดใหรูจักตัวมัน ไปจับ ตัวน ั้นใหไดสติควบคุมใจใหมันอยูในที่ เดียวถาหากวาจับใจได อยางน ี้ แลวคําบริกรรมหรือไมมีคํา บริกรรมก็จะมีประโยชน เทากัน คําบริกรรมเป นเพียงแตเคร ื่ องลอใหใจเข ามารวมเหมือนเอาเหยื่อ ลอปลาให มากินเบ ็ ดฉะนั้น เม ื่อปลากินเบ ็ ดแลวเราไมตองการเหย ื่ ออีกไดปลาแล วก ็ พอ สนทนาธรรมตอ ๓.ผูถาม ในทางพุทธศาสนาไดพูดถึงเร ื่ องคนวิกลจริตอยางไรบ าง ทานอาจารย ในทางพุทธศาสนาทานพูดถึงอยูบางวาถาเป นกรรมพันธเกิดจากกรรมพันธ  เกิดจาก กรรมแล  วก ็ไมมีทางแก ไดถาเกิดจากสมาธิภาวนาเพราะอาจารย  สอนผิดหนทางก็พอแก ได แท  จริง การสอนภาวนาคือหัดสติใหสมบูรณ มิใชสอนใหวิกลจริต ๑.ผูถาม ขอโอกาสกราบเรียนถามทานอาจารยวา เวลาท ี่ จะเข  าถึงจุดเอกัคตาจิต คือวาจิตมันวาง ตอน นั้นมันไมมีอะไรเราก ็ไมยึดถือหรือสงส ายไปที่อื่น แตเรายังรูสึกตัววาเรากําลังน ั่ งภาวนา ทานอาจารย นั่นแหละที่พูดถึงเร ื่องใจเดิม ใจของกลางแทมันอยูอันเดียวคือไมมีอารมณ  หมายความ วามันไมไดใช งาน มันไมสงสายไปที่อื่น มันรูอยูอันหน ึ่ งของมันตางหากเราตองการเขาหาอันนั้น แหละเม ื่ อเราเข  าหาอันนั้นเร ื่ องอื่นๆ มันก็วางหมดทอดธุระหมดความเดือดร  อนวุนวาย กระสับกระสายท ั้ งหลายหายหมดเพราะเหตุเราเข  าถึงตรงนั้น จิตอันนั้นใชอะไรไมไดเป นแตไป


พักผอนเอาพลังไวตอสูกับอารมณตางๆ เทานั้น นี่จึงวาทําความเพียรภาวนาเพ ื่อให เข  าถึงความสุข คือตรงน ี้ เอง ๑.ผูถาม เราจะรูได อยางไรวาการภาวนาของเราจะก  าวหน  าหรือไมอยางไรครับ ทานอาจารย ดวยการหัดอยางน ี้ให เข  าถึงเอกัคตาจิตอยูบอย ๆจนชํานาญคลองแคลว นึกอยากจะเขา เมื่อไรก็ไดอันเป นเหตุให ระงับกิเลสท ั้ งหลาย มีนิวรณ  ธรรม เปนตน ตอน ั้นไปจะรูดวยตนเองวาเรา เจริญก  าวหน  าหรือถอยหลัง เพราะกิเลสเหลาน ี้ไมมีใครจะรูดีเทาตัวเอง ๑.ผูถาม เราสงบอยางนี้เรามีความรูวาเรากําลังน ั่ งอยูมันไมเหมือนกันกับที่เรารูวาเราคิดอยูแตวาพูด ไมถูก ทานอาจารย ใชธรรมดาใจมันตองมีผูรูหมายความวามันตองรูตัวของมันเอง ที่ไปรูนั่นรูนี่มิใชมัน รูตัวของมันเองคือมันสงออกไปรูของภายนอก มันไปยึดอันนี้มันไมไปยึดภายนอกแตมันรูตัวของ มันเอง นี่แสดงวาคุมใจได แลว มันอยในอ ู ํานาจของเราแลว หรือจะพูดให เข าใจไดงายๆ วาจิตกับ สติรวมเข  ามาอยูที่เดียวเรียกวาใจจะพูดก ็ไมถูกเพราะภาษาใจมันไมมีมีแตภาษาวาจา ๑.ผูถาม การท ี่ เราพิจารณาอะไรตางๆ นี้นี่เปนเพราะใจมันคิดค  นหรือวาเปนเพราะเราไปคิดมัน ตางหาก ทานอาจารย ถาจะหมายเอาใจเป นเราแลวใจที่วาน ี้ไมมีการพิจารณาผูพิจารณาน ั้นเปนตัวจิต ตางหากจิตนี้ถาสติคุมอยูแล  วจะพิจารณาอะไรก็เปนไปเพื่ อความเรียบร อยเป นธรรม รวมเรียกวาจิต ไปคิดใจไมไดคิด ๑.ผูถาม เวลาจิตมันเสียหลัก มันมีความรูสึกบอกไมถูก มันไมชัดเหมือนกอน พยายามตรวจดูวามัน เสียหลักเพราะอะไรแตนี้เข าใจวาจากปติมันทําใหสายอยางที่ทานอาจารยวา ทีนี้อยากจะระงับใน การที่มันมัวเมาอยูกับปตินี้ทําใหมันชัดอยางเดิมเราจะต  องทําอยางไรคะ ทานอาจารย คือท ิ้ งหมดคอยๆ จับตัวที่มันอยากใหชัดอยากใหระง  ับ หรืออยากใหอะไรตางๆ มัน อยากเปนนั่นเปนนี้ใหได นอกนั้นทิ้งหมดเสียกอน หรือผูที่วามัวเมาใครเปนคนไปมัวเมาอยู ตรงไหน นี่วาถึงผูอยากแก ถาไมอยากแก  แล  วก็ทิ้งไวหัดใหชํานาญแล  วมันหากจะแก  ของมันเอง


๑.ผูถาม เราบางทีอยากทําแตสิ่งที่ดีเจตนาเรามุงไปในทางที่ดีแตวามันอาจจะผิดก ็ไดเพราะไม เข าใจในเจตนาของตน ทานอาจารย คือวาส ิ่ งท ี่ เราทําอะไรลงไป นึกคิดอะไรเราเขาใจวาของเราดีทั้งนั้น เราจึงคอยคิดคอย นึกคอยทํา ใครๆ ทําโดยมากมันเป นอยางนั้น เหตุนั้นจึงวาใหมีเคร ื่ องวัดเคร ื่ องวัดในทางพุทธ ศาสนาทานใหวัดตรงที่วาคิดอันใดมันเปนประโยชนตนและคนอื่นเป นของดีถาหากเป นเคร ื่ อง เบียดเบียนตนและคนอื่น ทําให ตนและคนอ ื่ นเสียหายอันนั้นเปนของไมดีนี่แหละเป นเคร ื่ องมือวัด ๑.ผูถาม ถาหากมีการตกน้ําแตเรามีชูชีพ ถาเราเสียสละให คนอื่นมันก็เป นการเบียดเบียนตน ถาหาก เราชวยตัวเราเองมันก็จะเป นการเบียดเบียนคนอ ื่นไหม ทานอาจารย นี่เป นกรณีพิเศษ เราไมไดทําให เขาตกน ้ํ าน ี่ เขาตกก ็ เร ื่ องของเขา หากเราจะยอมสละ ชีวิตเพ ื่ อเขาแลวก็เปนทานบารม  ีของเราไมได เก ี่ ยวถึงเร ื่ องเบียดเบียนตนเบียดเบียนคนอื่น การ เบียดเบียนตนเบียดเบียนคนอื่นมันเก ี่ ยวถึงเร ื่องตนเป นเหตุจึงเรียกวาตนทําดีทําชั่วจึงเข าประเด็น นี้ วันที่๒๒ ธันวาคม ๒๕๑๙เวลาค่ํา แสดงธรรมเทศนา วันนี้จะอธิบายเร ื่องของคนเราไมมีสาระตอวันวานน ี้ที่อธิบายวาไมมีสาระน ั้ นหมายถึงหา ตัวตนไมไดเป นแคสักแตวาธาตุเฉยๆ เกิดมาก ็ เอาธาตุดิน น้ําไฟ ลมมาเกิดดับสลายไปก็ลงไป เปนดิน น้ําไฟ ลม ไมเห ็นไดอะไรและไมมีอะไรเหลืออยูที่เกิดมาถือตนวาเราวาเขาเพียงแตสมมุติ เรียกเอาเฉยๆ ไมมีสาระอะไรเลย เรียกธาตุสี่สมมุติธาตุสี่ใหเปนโนนเปนนี่แตแล  วธาตุสี่มันหาได เป นตามเรียกไมธาตุสี่นี้มันชางแปรสภาพหลอกลวงให คนเราเห ็นเป นตางๆ ดีนักเห ็นเปนคนเปน สัตว  เห ็นเป นหญิงเป นชายเห ็นเป นหนุมเป นแกเห ็นเปนบาวเป นสาวเห ็นเปนขาวเป นดํา เห ็นเปน ตางๆ เหลือท ี่จะพรรณนาใหสิ้นสุดลงได นอกจากไมมีสาระแลวเกิดมายังเบียดเบียนสรรพส ิ่ งและสัตวตางๆอีกด  วยเพราะมนุษย  เกิด มาแล  วต  องกินตองใชสิ่งตางๆ มากกวาสัตว  เหลาอื่น เปนตนวา ชีวิตอันนี้ตองเน ื่ องด  วยของภายนอก การกินตองกินเน ื้ อของผูอื่นเอามาแลกชีวิตของเราไวการใช เครองน ื่ ุงหมก็ตองเอาเปลือกไมใยไหม แลเสนดายเปนตน ที่อยูอาศัยต องใชไม มาทําเป นเรือนเปนรังอยูจะอยูโดดเดี่ ยวเหมือนสัตว  บาง


จําพวกไมได แมรางกายอันนี้เกิดพิการเจ ็บไขไดปวยไมสบายตองอาศัยหยูกยามามาบําบัดก็ไมพน จากเบียดเบียนของอ ื่ นและสัตวอื่นอีกน ั่ นแหละ ตกลงมนุษย  คนเราเกิดมามีดิน น้ําไฟ ลม ประสม เปนกอนแลว ตองเป นอยูดวยการเบียดเบียนคนอื่นและวัตถุสิ่งอื่นจึงจะอยูไดถาหาไมแล  วก ็ จะอยู ไมได เลยเด ็ ดขาด ยังอีกส ิ่ งหน ึ่ งซึ่งนอกเหนือจากธาตุสี่จะเบียดเบียนเขาเห ็ นอยูแลว สิ่งนั้นก็คือความเห ็ นแกตัว มักไดอิจฉาริษยา เห ็ นคนอื่นดีกวาตนด ิ้ นรนอยูไมไดคิดปองร ายทําลายให เขาฉิบหายยอยยับไป การทําเชนนั้นคิดวาตนทําถูกแล  วดีแลวแตแทที่จริงหากเป นการทําลายตนเอง ทําลายสุขภาพทั้ง กายและใจให เดือดร อนเปนทุกข  อยูตลอดเวลา มนุษย  คนเราเกิดมาต ั้งตนไวผิดคิดไมชอบแลวยอมไดรับผลกรรมทาให ํ  เดือดร  อนท ั้ งแกตน และคนอื่นดวย ฉะนั้นจึงควรคิดใหชอบประกอบตนใหสมกับเกิดมาเป นหนี้สิน บุญคณของดุิน น้ํา ไฟ ลม อยาเอาดิน น้ําไฟ ลม กอนนไปท ี้ ิ้งใสของสกปรกคือได มาแล  วอยาไปทิ้ งกองขยะด  วยการ ทําตัวเป นคนเลว ฆาสัตว  เบียดเบียนคนอ ื่นไดชื่อวาทําลายตนเองและเบียดเบียนคนอ ื่ นด  วยเกิดมา จะเป นคนมีคนจนก็ตองการมีชีวิตอยูดวยกันทั้งนั้น ไมตองการใหใครมาเบยดเบี ียนตน ของที่มีอยู เป นกรรมสิทธิ์ของตนใครก็ไมตองการใหใครมาลักขโมยเอาไปโดยเป นการขมเหงน ้ําใจของกัน ไม ชอบธรรมเลยของเราของเขาก ็ เชนเดียวกัน บุตรภรรยาสามีซึ่งเปนที่รักสุดใจใครมีแล วไดชื่อวา แก  วดวงหนึ่ง ใครมาทําให แตกร  าวหรือเศร าหมองก ็ เหมือนกันกับมาทําหัวใจให แตกร  าวหรือเศรา หมองไป ฉันนั้น ของเขาของเราก ็ เชนเดียวกัน จึงไมควรทําตนใหเปนภัยแกสังคม และภัยแกตนเอง ดวยถึงศีลขอ ๔ ยิ่งเปนภัยแกโลกมากการแกล  งกลาวคําเท ็จของไมจริงส ิ่ งท ี่ไรประโยชนยอมให เกิดโทษอยางร  ายแรง ตกลงคนกลาวคําเท ็ จแล วโทษอยางอื่นที่เขาจะไมทํายอมไมมีสุราพาให คน ชั่วนับไมถวน คนดีๆ พอด ื่ มสุราเข  าแล  วชักใหมีอาการวิปริตแปลกๆ อยางน  อยคนพูดไมเกงพอดื่ม สุราเข าไปแล วชักจะพูดเกงหรือจนเลยขอบเขตไปอีกด  วย ของเลวๆ ดังท ี่ อธบายมานิ ี้ใครก็ยอมรูดีอยแลู วแตนิสัยสันดารคนเรามันชอบตามใจตัวเอง เห ็ นของเลวๆ เปนการโก เกคนจึงเปนเลวมากกวาเปนดีฉะนั้นถาหากไมนึกถึงของดีมีคุณเสียแลว จะยับยั้งใจของตนไมได คุณคือดิน น้ําไฟ ลม ซึ่งเป นของมีอยูในตนนี้ทําให เราเกิดมาเป นคน มิได สรางให เรามาทําความชั่ว ตัวของเรา (คือจิตใจ) เข ามาอาศัยอยูแล  วบังคับให ธาตุดิน น้ําไฟ ลม กระทําความช ั่ วตางๆ เรียกวาเกิดมาเพราะคุณท ั้ งพอแมผูใหกําเนิดและดิน น้ําไฟ ลม ผูเปนวัตถุ ธาตุกอเกิดเปนตัวตนแล  วมาทําความช ั่ วตางๆ นานาจึงไดชื่อวาไมรูจักคุณของผูมีคุณ เป นคน เนรคุณ แล วโทษทั้ งหลายเหลานั้น ถึงแม  ธาตุทั้งส ี่โดยมีการบงคั ับกระทําลงไปแลวธาตุทั้งสี่ดับ สลายลงไปแลวยอมเป นของจิตแตผูเดียวจิตทําจิตใหไดรับผลกรรมนั้นๆ ตอไป


ทานอาจารย  พาน ั่ งภาวนาพรอมท ั้ งอบรมธรรมนํากอน หลักของธรรมที่อธิบายมาท ั้ งหมดจะเกิดข ึ้นไดก็จากความสงบ ถาไมมีความสงบแล วธรรมจะ ไมชัดถาหากจิตเราอบรมให เข  าถึงความสงบเสียกอน สิ่งท ี่ เราสงสัยมาแตกอนก ็ ตามหรือท ี่ เราจะคิด ตอไปก็ ตามจะชัดข ึ้นมาในที่นั้น เหตุนั้นจึงหัดทําความสงบเสียกอน นี่หลักฐานของธรรมจึงจะเกิด อยาพากันทิ้งอบรมความสงบใหได ตอบปญหาธรรม ๑.ผูถาม ขอกราบเรียนถามวาวิปสนาน ี่ จะอยูในขั้ นของอุปจารสมาธิหรืออัปนาสมาธิ ทานอาจารย  อุปจาระเปนภูมิของวิปสนาอัปนามันพิจารณาอะไรไมได อุปจาระในที่นี้มีความสงบ เข าไปในอารมณอันหนึ่งวางอารมณ  ภายนอกแล  วมันไปมีอารมณอันหน ึ่ งของมันเฉพาะตางหาก ถามันเจือไปด วยอารมณ  ภายนอกคือ ตามอายตนะทั้ง ๖ มีตาเปนตนธรรมดาๆน ี้ เองแตมันเห ็นได ชัดเปนไตรลกษณั ไปจึงเรียกวาวิปสสนา เข  าถึงอัปนาไมมีอารมณ  เสียแลวมันก็ไมเปนวิปสนาคําวา ชัดในที่นี้มันหมายความถึงวาอนิจจัง ทุกขังอนัตตาคือเห ็ นความเกิดดับของสังขารรางกายหรือสิ่ง สารพัดท ั้งปวงหมดจิตอันนั้นจึงคอยปลอยวางและเกิดความสลดสังเวชข ึ้นภายใน เม ื่ อเห็นชัดอยาง นึ้นั้นจึงเรียกวิปสนา ภูมิของวิปสนานั้นมีลักษณะอาการอยางที่วาน ี้ ละคือพิจารณาในตัวของเราให เห ็นเป นธาตุเปนขันธเปนอายตนะใหเห ็นเปนไตรลักษณ นี้เปนภูมิที่ตั้งของวิปสนา เราจะต  อง พิจารณาอยางน ี้ ละเม ื่ ออยูในภูมิของวิปสนาแลวเม ื่ อวิปสนาจะเกิดก ็ เกิดข ึ้ นเอง เราแตงเอาไมไดถา แตงก ็ไมเป นวิปสนา เหมือนลูกไมบํารุงตนดีแลวลูกเกิดเองสุกเองฉะนั้น ๑.ผูถาม พยายามระงับอารมณ  ภายนอกไมใหคิดอะไรสักอยางเดียวให อยูกับความสงบนั้น พอเรา จะคิดอะไรขึ้ นมา สภาพความสงบมันก ็หายไป ทานอาจารย มันก็อยางน ี้ ละซีคือเรารักษาความสงบใหมันมั่นคง เม ื่ อเรารักษาความสงบเราทิ้ง อารมณตางๆ อยาให อารมณ  เข ามาแทรกในขณะนั้น เม ื่ อจิตมันสงบแล วมันจึงคอยเห็นชัดขึ้นมาตรง นั้น สิ่งท ี่ เราเห็นชัดท ี่ เรียกวาวิปสนา พระไตรลักษณญาณมันเห็นชัดตรงนั้น ไมใชเราออกไป


พิจารณา มันชัดอยูในนั้น มันปรากฏอยูในนั้น ถาตามไปพิจารณาเป นเร ื่องออกไปข างนอก มันเปน เร ื่ องแตงปรุงท ั้ งนั้น ๑.ผูถาม พยายามรักษาความสงบอันนี้มานานแลวเวลาพยายามรักษาความสงบคล ายๆกับมันหลับ ไป ตอมาจึงรูตัววาเราหลับไป ไมมีความก  าวหน  าเลย มันอยูเฉยๆ ทานอาจารย ให อยูนั้นละใหรักษาอันนั้นเสียกอน ไมใชของงายๆ คือใหมันชํานาญ วาเราจะรักษา ความสงบอยางน ี้ไดดวยวิธีใดที่จะใหมั่นคงอยูอยางน ี้มีอุบายแยบคายพริบไหวในตัวให เข  าถึง ความสงบอยางน ี้ไดเสมอๆ คือ ชําระอารมณที่มันสอดแทรกมาภายนอกให อยูกับอันนี้เสียกอน อยาเพ ิ่ งสุกเร ็ วนัก มันจะรวงกอนสุก มันจะไมหวาน มันไมแนเหมือนกันเวลาพิจารณาไป ๆ บางคร ั้ งบางคราวมันชัดแลวรวมวูบลงไป หายสงสัยหมดเปนได เหมือนกันนิสัยไมเหมือนกัน หรอกดีที่สุดคือรักษาวิธีลูกไมอยาใหมันรวงถ  ามันไมรวงมันจะต องสุกและหวาน วันที่๒๓ ธันวาคม ๒๕๑๙เวลาค่ํา แสดงธรรมเทศนา ทุกศาสนาทุกลัทธินิกายสอนให คนทําดีไมใชสอนให คนถือเฉยๆ สอนใหรูจักคุณงามความดี ละชั่ว ทําดีเหตุนั้นเราถือศาสนาใดลัทธิใดจงพากันต ั้งใจปฏิบัติตามศาสนานั้นลัทธินั้นๆ โดยเฉพาะ ทางศาสนาพุทธเมืองสิงคโปรนี้มีพระมาสอนใหรูจักพุทธศาสนาหรือวัดวาก็มีนอยผูนับถือพุทธ ศาสนาไมมีโอกาสไปวัดไปวา เราอยูที่บานจงให พากันมีวัดภายในคือที่ตัวของเรา ที่บานของเรา ทุกๆ คน วัดคือสถานที่ที่เราจะต  องบําเพ ็ ญคุณงามความดีที่เรียกวาวัดเชน วัดในทางพุทธศาสนา มี กุฏิพระทานอยูมีโบสถมีวิหาร สําหรับทําสังฆกรรมหรือศาสนพิธีตางๆ หรือเปนสถานที่บําเพ็ญ บุญกุศลของศาสนิกชนท ั่วไป รวมความแล  ววาวัดคือสถานที่ที่จะต  องบําเพ ็ ญคุณงามความดีเม ื่อไป สถานที่นั้นแล  วทุกคนจะต  องพากันทําคุณงามความดีดวยการทํางาน ดวยการรักษาศีลดวยการไหว พระสวดมนต ดวยการเจริญภาวนาสมาธิเปนตน วัดอยางที่วาน ี้ แหละถาไมประกอบคุณงาม ความดีไมประพฤติดีในสถานที่ เชนนั้น ถึงแม  จะมีพระอยูก็ตาม หรือสรางเปนวัดใหญโตรโหฐานก็ ชางวัดท ี่ไมมีคนปฏิบัติประพฤติดีประพฤติชอบ วัดน ั้ นเรียกวาวัดร  าง เปนที่รังเกียจและเปนที่ เกลียดกลัวของคนท ั่ วๆ ไป ดังเขากลาวกันวาวัดร  างมีเปรต ก็หมายความวาไมมีของดีในที่นั้น นั่นเอง


วัดของฆราวาสก ็ใหมีเหมือนกันกับของพระสงฆ วัดของชาวบ  านก็คือวา มีบานมีเรือนรูจัก รักษาทําความสะอาด นี่เปนวัดอันหนึ่งรูจักรักษากิจวัตรคือวาทํางานประกอบอาชีพใหถูกต  องตาม กาลเวลาอันนี้ก็จัดเปนวัตรอันหนึ่งวัตรอีกอยางหน ึ่ งก็คือวารูจักปรองดองสามัคคีในครอบครัวถา แตกร าวไมปรองดองกัน ก็ชื่อวาวัดร  างเหมือนกัน เพราะฉะน ั้นเป นฆราวาสก ็จงใหมีวัตร เน ื่ องจาก เรามีวัดอยูที่บานของเราอยูแลวเราจึงไดไปอบรมนําเอาวัตรของพระมาไวที่บานของตน ดวยการ ทําทาน เรียกวา ทานวัตรดวยการรักษาศีลเรียกวาศีลวัตรดวยการภาวนา เรียกวา ภาวนาวัตรเอามา ไวที่บานของเรา เม ื่ อทุกคนมีวัตรอยูที่บานของตนอยางน ี้ แล  วก ็ เรียกวา เราเปนผูมีวัดอันสมบูรณ  เร ื่ องน ี้ แทที่จริงคนชาวพมาเขามีวัดที่ดีงามมาก ที่บานของเขาจําเป นจะต  องมีเคร ื่ องสักการะบูชาคือ มีพระพุทธรูปและมีดอกไมบูชาทุกๆ วัน เชา เย็น กอนจะออกไปทํางานหรือกิจใด ๆ ไหวพระสวด มนต  แล  วทําความสงบไมใหขาดเป นนิจวัดของชาวพมาเขาดีมาก ที่วาน ี้ แหละคือ ทานวัตรศีลวัตร ภาวนาวัตร ทั้งสามประการนี้โดยเฉพาะสิงคโปรไมเห็น พระออกบิณฑบาตรเลยก็ยากที่จะไดทําทานวัตรเพราะฉะน ั้ นที่ยังเหลือศีลวัตร ภาวนาวัตรก็จงพา กันรักษาวัตรท ั้ งสองน ี้ใหสมบูรณ ศีลในที่นี้เราไมจําเปนที่จะต องไปวัดไปสมาทานกับพระก ็ได เรารูจักข  องดเวนรูจักโทษนั้นๆ คือโทษหาประการเรียกวาศีลหาโทษแปดประการเรียกวาศีลแปด ขอให เข าใจงดเวนจากโทษเรียกวาศีลจิตเราต ั้ งเจตนางดเว นจากโทษนั้นๆ จึงจะเปนศีลไมใชเราอยู เฉยๆ เราจะเปนศีลเลยเราอยูเฉยๆ ไมไดทําอะไรเลยเรียกวาเปนศีลไมไดเราไมไดทํา เราตั้งเจตนา วาเราไมทําความช ั่ วหรือบาปนั้นๆ ขอ ๑ ถึง ๕ เราไมไดทําเรายินดีพอใจอยางนี้จึงจะเปนศีลศีล เป นเคร ื่ องวัดความดีของคนดังกลาวแลวคนเราหากไมมีศีลเสียเลยก ็ไมผิดอะไรกับสัตวทั่วๆ ไป คือบรรดาสัตวทั้งหลายเกิดข ึ้ นมาก็มีการหาเล ี้ ยงชีพตามประเภทของตนๆ มนุษย  ของเราก ็ เชนนั้น เหมือนกัน ก็ไมเห็นผิดแปลกอะไรกนเลยั ศีลจึงเป นเคร ื่ องวัดความดีของคน ผูที่มีศีลเรียกวามนุษย  อันสมบูรณ ผูไมมีศีลทานเปรียบอุปมามนุษย  เหมือนกับสัตว  ธรรมดาถามีศีลเรียกวามนุษย  แท  หรือ หากมีธรรม คือ หิริโอตตัปปะเป นเคร ื่ องอยูไดอีกเรียกวามนุษย  เหมือนกันกับเทวดายังไมทันไป เกิดชั้นฟาสวรรค  แตหากวาเป นมนุษย  เทวดาอยูในโลกอันนี้เหตุนั้นคนเราเกิดมา ที่ไดสมบัติคือ มนุษย  สมบูรณ  อยางน ี้ แล  วควรท ี่ จะรักษามนุษย  สมบัติอยาใหเส ื่ อม อยาให ถอยหลังลงไปเป นมนุษย  เหมือนกันกับสัตว จึงไดชื่อวาเรารูจักรักษาตัวของเรารักษาคุณธรรมของเราคือมนุษย  สมบัติไว แลว เจริญมนุษย  สมบัตินี้ใหยิ่งขึ้น จนมีหิริโอตตัปปะจึงจะเป นมนุษย  เทวบุตรตอไป ทานอาจารย  พาน ั่ งภาวนาพรอมท ั้ งอบรมธรรมนําดวย


โรคคือความไมสบายในกายความเจ็บความปวยไมสบายเรียกวาโรคเกิดขึ้นจากกาย โรค เกิดข ึ้นจากใจไมปกติเกิดความหว ั่นไหวเกิดความโลภความโกรธเกิดความเกลียดความรักความ ชัง เรียกวาโรคของใจโรคของใจนี่ แหละพระพุทธเจ าสอนให พากันรักษาด วยยาธรรมโอสถ ปฐม พยาบาลข ั้ นแรกคือปลอยท ิ้ งเสียอยาใหเป นอารมณ  อยาคิดถึงเร ื่ องนั้นทําใหใจสงบ นิ่งอยูในที่ เดียว หากมันไมอยูก็ใหนึกเอาพุทโธมาไวเป นอารมณ นี่เรียกวาปฐมพยาบาล ( นั่งภาวนาประมาณ ๓๐ นาที ) สนทนาธรรม ๓.ผูถาม ผมเป นหมอ บางทีเห็นวาคนไข บางคนต  องมีความศรัทธาเช ื่ อม ั่นในตัวหมอยิ่งเป นหมอท ี่ มีชื่อเสียงแล  วก็ยิ่งเปนกําลังใจแกคนไขไดดียิ่งขึ้น อยากจะกราบเรียนถามทานอาจารยวา เหตุที่เปน เชนนี้จะเป นเพราะพลังอํานาจในความเชื่ อมั่นนี้ชวยใหคนไข หายจากการเจ ็บไข เชนกันใชไหมครับ ทานอาจารย เปนไดที่จะทําใหหายปวยจากโรคไดไมใชตลอดไปเป นบางกรณีที่เปนโรคเล็ กๆ นอยๆ ก็อาจพอบรรเทาไดบางทีโรคติดตอหรือโรคเรื้ อรังก ็ไมอาจจะหายได หมอก ็เป นคนดีมี เมตตาหรือน ้ําใสใจจริงกับคนไขคนไขก็เล ื่อมใสกับหมอ ทั้งสองพลังรวมกันเข  าก ็ เลยทําใหทําให คนไขนั้นหายคือมันวางความเจ็บปวยน ั้นไปอยูกับความดีอันนั้น การปลอยวางน ั้ นแหละมันเปน พลังเหมือนกันกับเราหัดภาวนาทําสมาธิจะเจ ็ บจะเม ื่ อยก ็ ตาม ถาหากจิตมันยอมสละไปอยูในจุด เดียวจิตมันสงบไดมันก็หายเจ ็ บเม ื่อยไปได เหมือนกัน ๓.ผูถาม ขอกราบเรียนถามทานอาจารยวา บางทีมีคนรักษาคนไขที่เปนโรคมะเร็งโดยที่ เขาตัดเอา เน ื้ อท ี่เป นมะเร ็งของคนไข ออกแล  วเอาเน ื้ อที่ดีใสเข าไปแทน หลังจากน ั้นคนไขก็หายจากโรคนี้ เวลาไปให นายแพทย  ตรวจอีกก ็ไมพบมะเร็งและเวลาที่เขาผาตัดเอาเน ื้อของคนไข ออกนั้น เขาก ็ใช มีดธรรมดาไมคอยสะอาดและไมมีการเย ็บแผลใหคนไขอีกด  วยแตเวลาท ี่ เขากําลังทําอยูนั้นเขา จะต  องทําใจใหสงบ แล  วคล  ายกับวิญญาณของหมอเยอรมันมาเข  ารางเขาแล  วชวยเขาในการรักษา อีกด  วยโดยที่ เขาเองก ็ไมรูสึกตัวเลยเหตุใดจึงเป นเชนนี้


ทานอาจารย  เร ื่ องพรรคนี้มันตองหลายล  านคนกวาท ี่จะเปนไดสักคนหนึ่ง เร ื่ องมหัศจรรย  คนพิเศษ มันเป นของนอกเหนือจากเหตุผลเราเพียงแคไดยินแล  วนําเลาสูกันฟงอยางน ั้ นแหละแตใครจะทํา ไดที่ทําไดก็คือเรียนแพทย  เรียนหมอและทํากันอยูนี้แหละเร ื่ องหมอเยอรมันที่เลามาน ั้ นมันลวงเลย มาแล  วหลายร อยปแล  วก ็ไมมีใครทําได อยางเขาเสียด  วย นานๆ จึงจะโผลขึ้นมาสักคนหนึ่ง เป นคน นอกเหนือจากเหตุผลเอาอะไรมาพิสูจน ไมไดขอใหปลอยไปตามเรื่ องเสียดีกวา เอามาคิดก ็ไมได อะไรเสียเวลาเปลาคิดส ิ่ งท ี่จะเปนไปไดนี้พระพุทธเจ าสอนวาความไมมีโรคเป นลาภอยางยิ่ง เพราะคนเราตั้งแตเกิดมาก็มีโรคประจําอยูแลวเซลลทุกตัวเกิดจากดิน น้ําไฟ ลม ซึ่งเปนวัตถุธาตุ วัตถุธาตุนั้นแลเปนที่ตั้งเปนบอเกิดของโรคนานาชนิด นอกจากโรคจากเซลล แล วโรคอันหน ึ่ งซึ่ง หมอแผนปจจุบันคนไมพบก็คือโลภ โกรธ หลง มีหมอคือพระพุทธเจ  าองค  เดียวคนพบและรักษา ให หายข ั้ นเด ็ ดขาดและวิชานั้นยังสอนกันมาตราบเทาทุกวันน ี้เอาไหมจะสอนใหปฐมพยาบาลที แรกต  องหัดน ั่ งกําหนดจิตใหรูเร ื่ องของจิตกอน เพราะจิตเป นท ี่ เกิดของโรคนานาชนิดถาไมรูเร ื่ อง ของจิตโรคเกิดขึ้นก็ไมรูและไมทราบจะรักษากันที่ไหน จงต ั้ งสติกําหนดใหรูจักจิตของตนวาคิดดี คิดร  าย หยาบและละเอียดอยางไรให เห็นจิตของตนอยูทุกขณะการรูตัวอยูอยางน ี้เป นความรูที่ดีมี ประโยชนดีกวาไปรูเร ื่ องคนอื่นสิ่งอื่น นี่พระพุทธเจ าสอนปฐมพยาบาลโรคมีอยูแล  วทุกคนแตไม รูจักรักษาและไมเข าใจวาตนเปนโรคจนโรคกําเริบเต ็ มท ี่ แล  วจึงรูจักวาตนมีโรค หมดหนทางท ี่ จะ รักษาให หายแลว ๓.ผูถาม ตามตําราแพทย  เขาบอกวา เซลลตางๆ ทํางานรับรูสัมผัสตาง ๆเชนเราร ับในการเห็นรูป เปนตน ในพุทธศาสนาเร ื่ องนี้มีความเห ็ นอยางไร ทานอาจารย  เร ื่ องนี้ถายอมรับกันวาคนตายแล  วถ  ายังมีกิเลสอยูเกิดอีกจึงจะอธิบาย ๓.ผูถาม ยอมรับวาคนตายแล  วถ  ายังมีกิเลสอยูเกิดอีก ทานอาจารย  เซลล เปนวัตถุธาตุชนิดหน ึ่ งสําหรับรับรูทํางานอยูกับจิต คือผูรูถาหากเซลลทํางาน ไมได แลวเชนเซลลสวนใดสวนหน ึ่ งวิกาลเสียไมทํางานแตจิตนั้นยังทํางานอยู เชนตาเสียข  างหนึ่ง ไมทํางาน แตจิตนั้นยังมีความรูสึกอยูวาตานั้นยังมีอยูดังน ี้เปนตน เม ื่ อเซลลทั้งหลายพิการไป หมดแลว (คือตาย) จิตนั้นยังไปยึดเอาขันธ๕ วาเป นของกูๆ อยูยอมไปเกิดในขันธ๕ อีกตอไป ถา ยึดขันธ๔ ไปเกิดในขันธ๔ (แทที่จริงคือขันธ๕ แตรูปละเอียด) ยึดขันธหน ึ่ งก ็ไปเกิดขันธหนึ่งคือ มีแตรูป ( คือจิตมันก็มีอยูไมรูตัวแล วปลอยวางรูปไมได ) ไมทํางานแตจิตนั้นยังทํางานอยู เชนตา


เสียข  างหน ึ่งไมทํางานแตจิตนั้นยังมีความรูสึกอยูวาตานั้นยังมีอยูดังน ี้เปนตน เม ื่ อเซลลทั้งหลาย พิการไปหมดแลว (คือตาย) จิตนั้นยังไปยึดเอาขันธ๕ วาเป นของกูๆ อยูยอมไปเกิดในขันธ๕ อีก ตอไป ถายึดขันธ๔ ไปเกิดในขันธ๔ (แทที่จริงคือขันธ๕ แตรูปละเอียด) ยึดขันธหน ึ่ งก ็ไปเกิดใน ขันธหนึ่งคือมีแตรูป (คือจิตก็มีอยูไมรูตัวแล วปลอยวางรูปไมได) อนึ่งคนท ี่ ตายแล  วยอมสละท ิ้ งเซลลนี้ทั้งหมดแตจิตนั้นยังไปยึดขันธ๕ จึงไปเกิดในขันธ๕ แล  วก ็ได เซลล ใหมขึ้นมาอีกขันธ๕ ก็ดีเซลล ใหมก็ดียอมทํางานในหน าท ี่ เดิมตอไป เพราะจิตไปยึด ในขันธ๕ จึงไดขันธ๕ มิใชเซลล ไปยึดเซลล เป นแตเกิดแล  วก็ดับไป จิตผูรูถาหากรูเทาตามเปน จริงวา เซลล เปนผูรับรูจิตเปนผูรูดีรูชั่ว หยาบละเอียด บาปบุญคุณและโทษ สติควบคุมจิตให อยูใน อํานาจของตนไดไมปลอยไปตามอํานาจของกิเลส เซลล  และจิตทํางานรวมกันอยางน ี้ เม ื่ อแยกออก จากกันแล  วก ็ จะเห ็นเป นคนละอันกัน เซลล ไมไดไปตกนรกข  ึ้ นสวรรค จิตเทาน ั้นเปนผูไป เซลล  ทาง ศาสนาทานเรียกวา ปสาทะเปนวัตถุธาตุชนิดหน ึ่ งสําหรับรับรูเปน ปสาทรูป ทํางานรวมกันอยางน ี้ จึงเปนไปโดยเรียบร  อยถาเซลลวิกลสวนใดส  วนหนึ่งสามารถรักษาด วยยาได แตถาจิตวิกลรักษา ดวยยาไมหาย ตองรักษาด วยธรรมโอสถเม ื่ อรักษาดวยธรรมะสวนใจหายแลว สวนเซลลก็พลอย หายไปด วยเซลลนี้ในทางพุทธศาสนาสอนวา ปสาทะเปนวัตถุธาตุชนิดหน ึ่ งสําหรับรับรูจิตเปน นามธรรมสําหรับทํางานรวมกันกับปสาทะก็ไดสําหรับควบคุมจิตไมใหสงสายก ็ได เม ื่ อแยกออก จากกันแล  วเซลลยอมไมมีความหมายอะไรเลยจิตสามารถไปเกิดไดอีกหรือไปตกนรกหรือไปขึ้น สวรรคก็ได


อินโดนีเซีย วันที่๒๕ ธันวาคม ๒๕๑๙ - ๑๗ มกราคม ๒๕๒๐ วันที่๒๕ ธันวาคม ๒๕๑๙เวลาค่ํา แสดงธรรมเทศนา ที่วิหารอาโลกิเตศวรจาร  กาตา อาตมาเข ามาในประเทศอินโดนีเซียแลว มีความรูสึกวาชาวอินโดนีเซียสนใจในพุทธศาสนา มากเม ื่ อกอนอินโดนีเซียปกปดด  วยเมฆหมอกคือการเมืองจึงไมปรากฏวา ชาวอินโดนีเซียนับถือ พุทธศาสนา เม ื่ อเมฆหมอกนั้นคอยหายไป จึงปรากฏวา ชาวอินโดนีเซียยังนับถือพุทธศาสนาอยู ประมาณ ๑๐ กวาล านคนในจํานวนพลเมือง ๑๓ ลานคนท ั้ งๆ ที่พระเจ าพระสงฆก็ไมมีเลยแตยังคง รักษาความเปนพุทธมามกะไวไดในทามกลางของศาสนาคริสเตียน อิสลาม และฮินดูจึงนาชมเชย อยางยิ่ง ในประวัติศาสตรก็ได กลาวไววาอินโดนีเซียในสมัยโนนไดเปนคูแขงกันในเรื่ องถือ พระพุทธศาสนากับประเทศไทยแตก็ไมทราบวาไทยไดพุทธศาสนามากอนอินโดนีเซีย หรือ อินโดนีเซียไดพุทธศาสนามากอนไทย ในประวัติศาสตร  สองเลมแย  งกันอยูนี้เป นคนอ ื่ นเขียน ตางหาก มิใชชาวอินโดนีเซียเขียน ตําราเขาเผาท ิ้ งหมดหรือไมเชนนั้นชาวฮอลันดามาปกครองอยู ๓๐๐ กวาปเขาเก ็บไปเกลี้ ยงยังเหลือแตซากโบราณวัตถุแตก็เป นแบบฮินดูผสมพุทธเมืองยอร  คยา ภาคกลางของเกาะชวาเต ็มไปดวยโบราณวัตถุที่ใหญที่สุดในโลกคือ บุโรบโดุ ( หรือบรมพุทโธ ) ถึงอยางไรก็ดีอินโดนีเซียเวลานี้กําลังฟนฟูพุทธศาสนา พากันตั้งพุทธสมาคมข ึ้ นหลายแหง รัฐบาลก ็ สนับสนุนเป นอยางดีตั้งพระหรือหัวหน าศาสนานั้นๆ เปนผูแทนเข าประชุม ดานวัตถุก็ สรางปูชนียสถานที่ทํากิจในศาสนานั้นๆ คล  ายๆ กันกับเมืองโบราณของไทยไวในที่ แหงเดียวเปน ตนวาคริสตก็ตั้งหอสวดมนตไวอิสลามก็ตั้งสุเหราไว พุทธก ็ สร างที่สําหรับทํากิจของสงฆไวใครมี ธุระในศาสนาใดจะทํากิจในศาสนาของตนก็ทําไดไมหาม ถูกต องตามประสงคที่พระพุทธองค  สอน ไว คนทําดีไมไดหาม หามแตคนทําช ั่ วเบียดเบียนซ ึ่ งกันแลกัน นั้นหาม พุทธศาสนาสอนใหเปนคนใจกว างถึงตนเองไมสามารถจะแสดงออกมาภายนอกด วยเหตุ สิ่งแวดล  อม หรือยังไมพร  อม แตในใจก็นึกคิดอยูเสมอวา มนุษยสัตวทั้งหลายทุกตัวตน จงไดรับ


ความสุขๆ เถิดจงอยามีเวรภัยแกกันเลยจงรักษาตนใหพนจากทุกขทั้งปวงเทอญ พุทธศาสนายอม รวบยอดเอาทุกๆ ศาสนาและวิทยาศาสตรทุกแขนงเข ามาไวในอุดมการแหงพุทธศาสนาแหงเดียว เพราะพุทธศาสนาท ี่ เกิดและดับอยูที่ใจถึงวัตถุที่ไมมีใจ ( หมายถึงวิชาทางวิทยาศาสตร  ) ผูไป พิสูจนก็คือเอาใจนั้นเองไปพิสูจน  ศาสนาอ ื่ นและลัทธิอื่นถึงแม จะสอนถึงใจก็ไปยึดเอาเพียงแตใจ นั้นเองวาเป นสาระ สวนศาสนาพุทธสอนนอกเหนือออกไปกวานั้นอีกวาถาใจเป นของมีสาระแลว ใจก็ตองเป นอัตตายอมพ  นจากทุกข ไมได วันที่๒๖ธันวาคม ๒๕๑๙เวลาค่ํา แสดงธรรมเทศนา ที่บานคุณสุทธิพรกรรณสูตรจาร  กาตา วันนี้จะอธิบายถึงเร ื่ องศาสนามีทั้ง เปลือกและกระพ ี้ และแกน อยูดวยกัน ผูนับถือศาสนาตาง แสวงหาสาระในศาสนาไมเหมือนกัน บางคนพอเห ็นเปลือกก็พอใจยินดีเทานี้ก็พอแลว บางคนยัง ไมพอใจคิดวาต  องมีกระพ ี้ และดีกวาเปลือกแนพอเข าไปถึงกระพี้ก็พอใจแล วติดอยูเพียงแคนั้น บาง คนหาติดอยูเพียงแคนั้นไมธรรมดาไมตองมีแกนเปนที่ประสงค ของคนท ั้ งหลายเพราะแกนเปน ของทนนานแลมีประสิทธิภาพดีกวาอ ื่ นหมด พอเข  าถึงแกนตามประสงคก็พอใจยินดีอยางยิ่งแลติด อยูที่แกนนั้น พระพุทธเจ  าตรัสเทศนาวา เขาเหลานั้นยอมไมพนจากทุกข ไปได อะไรเปนเปลือกของพุทธศาสนาศาสนพิธีตางๆ เปนตนวา สังฆทาน ตางๆ พิธีเพ ื่อปลุกเสก พระพุทธรูปเพื่อใหศักดิ์สิทธิ์หรือขลัง ( เคร ื่ องรางของขลังตางๆ ไมเก ี่ ยวเปนของภายนอกศาสนา ) วิสาขบูชา มาฆบูชาอาสาฬหบูชา เปนตน แลศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ก็จัดเข  าจําพวกเปลือก เหมือนกัน แตถาผูมีใจศรัทธาเล ื่อมใสยิ่ง ตั้งใจทําด  วยความนอบน  อมระลึกเอาพระคุณเป นอารมณ  จริงๆ จนกระท ั่ งจิตแนวแนเป นเอกัคตารมณก็เข  าถึงกระพ ี้ได เหมือนกัน แตถาพอใจเพียงแคนั้น เข าใจวา นี้ก็ดีแล  วก ็ เลยติดอยูในเปลือก บางคนหาไดพอใจอยูเพียงแคนั้นไมศาสนายังมีความดีที่ละเอียดเข าไปกวานั้นอีก ตามคิดคน เข าไปถึงวาใหรักษาศีลและทําพิธีตางๆ นี้เพ ื่อประโยชนอันใดก็เข าใจวา เพ ื่อประโยชนความส  ุข ของใจเพื่อป องกันภัยพิบัติของชีวิต ( คือความทุกข  ) เม ื่อใจเชื่ อม ั่ นแนวแนไมหว ั่นไหวจนเปน เอกัคตารมณ  แลวยอมมีพลังเต ็ มท ี่สามารถไดรับความสุขได แม  แตพิธีปลุกเสกซ ึ่งเปนของไมใชทาง ศาสนาก็สามารถขลังอยูยงคงกระพันไดบางกรณีใจจึงนับวาเป นกระพ ี้ ของพระพุทธศาสนาคน ไมมีใจคือคนตายยอมรักษาศาสนาไวไมได บางคนเข  าถึงใจแล วก็ยินดีอยูเพียงแคนั้น ทุกส ิ่ งทุก อยางสําเร ็ จแล  วด วยใจ


บางคนยังคิดตอไปอีกวา ใจเปนของไมแนนอนคลอนแคลน เด ี๋ ยวคิดไปโนนไปนี่ไมนิ่งอยู กับที่ไดใจเป นอนัตตาหาไดมีสาระอะไรไมคิดอยากโกรธเกลียดใครก็ได แล  วนําความเดือดร  อน มาใหแกตัวเอง ใจเกลียดใจโกรธใจเปนโทษทุกขทรมานดวยตนเองจึงเห็นวาใจนี้ไมมีสาระแลว ไมเข าไปยึดเอาใจมาเป นของตัว ปลอยวางใจเสียเห ็นใจสักแตวาผูนึกคิดทําความรูเทาแล  วอยูเมื่อ อายตนะผัสสะยังมีอยูจําเป นจะต  องรูตองเห็น แตไมเข าไปทําความเศราหมองใหใจเม ื่ ออายตนะน ี้ ดับไปแลวผัสสะยอมไมปรากฏ ยอมดับไปด วยกัน อันนี้เป นแกนของพระพุทธศาสนา ตนไมตองอาศัยเปลือกกระพ ี้ และแกน เป นเคร ื่ องสนับสนุนอุดหนุนซึ่งกันแลกัน ตนไมนั้น จึงจะถาวรม ั่ นคงเจริญงอกงามไดถามีแตแกนเขาเรียกวา ตนไม ตายถามีแตกระพ ี้และเปลือก ตนไม นั้นก็จะไมคงทนก็ตองล มไป ถามีแตเปลือกแล  วย ิ่ งล  มงายตายเร ็ วที่สุดเชนตนมะละกอเปนตน พุทธศาสนาก ็ เชนนั้นเหมือนกัน ที่เจริญมาไดถึง ๒๕๒๐ ปก็เพราะพุทธศาสนาสมบูรณดวย เปลือกกระพ ี้ และแกน ดังอธิบายมาแลว วันที่๒๗ ธันวาคม ๒๕๑๙เวลาเชา หลังจังหัน แสดงธรรมเทศนา ที่บานเอกอัครราชฑูต การเดินทางมาอินโดนิเซียคร ั้ งน ี้นับวาเปนโชคดีของอาตมาและชาวอินโดนีเซียด  วยเปน เวลานานทีเดียวจึงจะได มาและตอไปก็ไมทราบวาจะได มาอีกหรือไมเพราะความคร ่ํ าคราชราของ ผูมาท ั้ งชาวอินโดนีเซียโอกาสจะไดพบเห็นเชนนี้ก็หาได ยาก พอดีกับฑูตทหารบก พ.อ.พงศ  สุรพัฒน  แลทานเอกอัครราชทูต คุณเถลิงไทย ชาติประเสริฐ ปรารภจะทําบุญขึ้นปใหมอยูแลวคณะ ของอาตมาเดินทางมาโดยมิได ทราบขาวเลยแตมาเจอกับเจตนารมณ  ของทานท ั้ งสองพอดีฉะน ั้ นจึง เปนโชคดีแลเปนศิริมงคลมหากุศลอันล้ําเลิศอยางหนึ่ง การทําบุญขึ้นปใหมของชาวพุทธพวกเราตามประเพณีนั้น พอถึงวันที่๑ เดือนมกราคม ตอง พากันตักบาตรทําบุญประจําทุกปความจริงการทําบุญพระพุทธเจ  าทานไมไดหาม การทําบุญคือ การทําความดีใหอิ่มอกอ ิ่มใจ ทําใจของเราด วยความราเริงบันเทิงด  วยความดีอยูเปนนิจ ฉะนั้นจึงไม ตองเลือกวาจะเป นเดือนไหนก็ทําไดทั้งนั้น มิใชวันที่๑ มกราคมของทุกปจึงจะเปนบุญ ประเพณีก็ ไวตามประเพณีแตจิตใจของเราอยาไปถือถามิฉะน ั้ นจะขาดบุญกุศลอันตนจะพึงไดขึ้นปใหมวันที่ ๑ มกราคม ของทุกปก็เปนวันครบรอบอายุของเรารอบส ั้ นเข าไปกวานั้นอีกคืออาทิตย  หนึ่ง ครบรอบหนึ่งก ็ ควรทําบุญ หรือย ิ่ งสนเข ั้ าไปอีกวันหนึ่ง ๆ รุงเช  าเกิดมาเราไมตายเป นคนอยูควรจะดี ใจยินดีกับการท ี่ เรายังเป นคนอยูแล  วทําบุญตักบาตรเสีย ทําอยางนี้ก็จะเป นมงคลอยางยิ่ง ทาน


เอกอัครราชทูตมาอยูอินโดนีเซียหาพระยากคิดจะทําบุญแตละทีก็ไมมีพระลําบากใจมากคราวน ี้ คิดจะทําบุญก ็ พอดีบังเอิญมีคณะของอาตมาเหมือนกับรับนิมนต ไว แตนานแลวจึงไดทําบุญตาม ปรารถนาถาหากคุณหญิงอยูดวยย ิ่งจะไดความปลาบปลื้มปติมากเทานี้ก็พอแกความต  องการแลว นี้เป นการทําบุญขึ้นปใหมทุกคนควรเข าใจอยางน ี้ ยังอีกทําบุญอายุตามธรรมเนียมของคนไทย เม ื่ ออายุครบรอบ ๖๐ ๗๐ ๘๐ ๙๐ จะมีการทําบุญ ฉลองอายุคร ั้ งหนึ่งแสดงวาเรามีอายุยืนนานมาถึงขนาดนี้ยังไมตายก็ฉลองอายุคร ั้ งหนึ่งขอเท ็ จจริง แล  วเราตายอยูทุกวัน ตายจากสภาพหน ึ่งเปนอีกสภาพหนึ่ง ตายแตยังอยูในครรภ มารดาจนกระทั่ง คลอดออกมาเป นเด็กเป นหนุม เป นสาวจนแกจนทุกวันนี้ความแกนั้นแลคือความแปรสภาพ เปนไปตางๆ นานาคือความตายแตไมถึงที่สุดคือแตกดับสลายไปเรียกวาอปฺปฏิจฺฉนฺน มรณะถา แตกดับสลายไปเรียกวา ปฏิจฺฉนฺน มรณะเม ื่อความตายไลเราเข  าหาท ี่ จนอยูอยางน ี้ ตลอดเวลาจึง ควรทําบุญอายุแยงเอาความดีจากความตายอยาให ความตายลากเอาชีวิตของเราไปถายเดียวจงทํามา หากินอยูในขอบเขต อยาไดคิดคดโกงเลี้ยงชีพกินแล วจะไดรับความเดือดรอนภายหลังอันจะยัง ชีวิตใหสั้นไมเปนคุณประโยชน แกรางกายเลยแทที่จริงรางกายมันก็มิไดบอกใหทําชั่วแตใจไปทํา เองรางกายมันก็เพียงแตธาตุสี่คือดิน น้ําไฟ ลม เทานั้น ใชใหมันทําก็ทําตามหน  าท ี่ ตายแล  วผล กรรม ที่มันทําก ็ตกมาเปนของใจผูใช เกิดมาอยูในโลกนจะอย ี้ ูคนเดียวไมได อยูหมูมากตองมีการแกงแยงกัน เอารัดเอาเปรียบกัน ถา วางตัวไมถูกจะอยูเปนทุกข  อายุจะส ั้ นตายงายโดยเฉพาะฆราวาสจะอยูคนเดียวไมได ชวนหาเพ ื่ อน คูรักเป นหมูกวาจะหาไดที่ชอบใจก็ นานหนักหนา ได มาก็ตองหาผูใหญมาเปนสักขีพยาน หาฤกษ  วันดีคืนดีพอได มาแล วไมกี่วันตางก ็ เร ิ่ มต ั้ งตัวเป นนักเทศน วาตัวมีความรูดีกวาเขา เร ิ่ มอารัมภบท ดวยคาถาเล ็ กๆ นอยๆ เม ื่อเขาไมฟงก ็เอาใหญภรรยาสามีทะเลาะกันดวยเร ื่องปากเรื่ องท  องดวย อยากเปนใหญมีอิสระเสรีตางคนก ็เปนนักเทศน ไมมีใครฟงใครแล วเทศนมันจะมีประโยชนอะไร ผลที่สุดก็พังกันทั้งสองฝาย ความอดกลั้นคือความทนทานเปนตปธรรมอยางยิ่ง เราเปนผูใหญมีการศึกษาดีรูจัดผิดถูกช ั่ วดี จงทําตนใหสมกับเปนผูใหญผิดนิดผิดหนอยคอยอดคอยกลั้นพิจารณาหาเหตุผลให เข าใจเอาช ั่ วมา ลบดีดูถายังเหลือเพียง ๕-๑๐-๒๐ เปอร เซ็นตพึงอดกล ั้นไปกอน ถาลดต ่ํ ากวาน ั้ นแล  วจึงท ิ้ งเสียแต ทั้งน ี้ อยาเอาตัวบุคคลซ ึ่ งตัวอุปาทานเขาไปเกี่ ยวก็จะแก ไขกันได คนเราผิดใจกันเพราะไมเข าใจซึ่ง กันแลกัน บางทีเข าใจกันดีอยูแตภาษาคําพูดนั้นผิดกันคนละทางจึงเป นเหตุใหผิดใหญผิดโต เม ื่ อจับ จุดอันนี้ได แลวก็จะอยูดวยกันอยางราบรื่น ความสุขกายด วยความไมทะเลาะกันทําหาเล ี้ ยงชีพก ็ อยู


เปนสุขไดมากมีนอยคอยเล ี้ ยงชีพตามอัตภาพก ็เปนสุข สร างความดีก็มีพลังให เกิดความสุขเต ็ มท ี่จึง ไดชื่อวาทําบุญอายุโดยแททําบุญอายุนี้ทําไดทุกเมื่อไมตองอายุ๖๐-๗๐-๘๐ปแล  วจึงทําถาทํามี ความเดือดร  อนเพราะลงทุนมากไมมีเงินก็ดีเกิดความวิวาทเพราะความไมสงบก็ดีหาเปนประโยชน ไม เวลาค่ํา แสดงธรรมเทศนา ณ พุทธสมาคม เม ื องบันดุง อาตมามาอินโดนีเซียเพราะระลึกถึงชาวอินโดนีเซียไดขาววาชาวอินโดนีเซียนับถือพุทธ ศาสนามีจํานวนมากและกําลังตื่นตัวอยากฟนฟูพุทธศาสนาให เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป เราชาวพุทธด  วน กันจึงอดคิดถึงไมไดไหน ๆ ก็ได มาแล  วจึงไปเยี่ ยมหมูเพ ื่ อนแลญาติโยมโดยลําดับ คือค  างอยู สิงคโปร ๑๐ คืน ไปออสเตรเลียเสยราวี๔ อาทิตย  แล  วย  อนกลบมาทั ี่สิงคโปรอีก ๑๐ วัน จึงได มา ที่นี่มาแล  วก ็ อยากอยูนาน ๆ ไมทราบโอกาสจะอํานวยหรือไมเทาท ี่โอกาสจะอํานวยน ี้ อาตมาจึง อยากจะอบรมภาวนาเพ ื่อเปนแนวทางปฏิบัติตอไป การอบรมภาวนานั้นหมายความวา ทําใจของตนใหเป นอารมณอันเดียวอยูในจุดเดียวใหรูใจ ของตนวาคิดดีคิดช ั่ วหยาบและละเอียดอยูตลอดเวลายืน เดิน นั่ง นอน คิดดีก็พยายามประครอง อารมณนั้นไวให เกิดปติอิ่มใจคิดช ั่ วก ็ พยายามละทิ้งอยาใหติดอยูกับใจ ทําความรูเร ื่องของใจเทาน ี้ เป นพอไมไปรูเร ื่ องอื่น เร ื่ องอ ื่ นของคนอ ื่นไมใชเร ื่ องของเราถาเราเข าไปเกี่ ยวข  องแล  วจะทําอะไร ใหเราไมได ภาวนาคือหัดทําความสงบของใจ รูใจของตนอยูเสมอวาคิดดีคิดช ั่ วหยาบและละเอียด ทุกอิริยาบถไมตองอยากรูโนนนี่ตาง ๆ นานา มันไมเป นภาวนาเสียแลวรูอะไรไมเทารูใจของ ตนเอง หากมันจะรูก็ใหมันเกิดเองเป นของมัน จะไปคิดปรุงแตงใหมันเกิดข ึ้นมาใชไมได เม ื่ อมัน เกิดขึ้นก็จงรักษาสติคุมใจให อยูก็แล  วกัน วันที่๒๘ ธันวาคม๒๕๑๙เวลาค่ํา แสดงธรรมเทศนา ณ พุทธสมาคม เม ื องบันดุง


เปนโอกาสอันดีที่อาตมาได มาที่นี่แตเปนเวลานอยเหลือเกินจะมีเวลาอยูสัก ๓ คืนเม ื่ อมาถึง แล  วเวลาน  อยก ็ไปเยี่ยมใหทั่วถึงกัน เพ ื่อจะไมใหเสียเวลาเม ื่ อมาแล  วก ็จะแสดงธรรมใหฟง เพ ื่อจะได นําไปปฏิบัติตอไป การแสดงธรรมในวันนี้จะแสดงเร ื่ องความอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ  าของเรา ตาม ประวัติวาพระพุทธเจ  าน ั้นเปนโอรสกษัตริยศากยราช ชื่อพระเจ าสุทโธทนะ นามเดิมเรียกวา สิทธัต ถะเสด ็ จออกบวชจากตระกูล บําเพ ็ ญทุกรกิริยาอยู๖ พรรษาจึงไดสําเร ็จเป นพระพุทธเจา นี่ตาม ประวัติวาไว อยางนั้น แตขอเท ็ จจริงพระพุทธเจ  าเกิดขึ้นที่พระทัยอันบริสุทธิ์ของพระสิทธัตถะราชกุมาร พระองค  มา ทําสมาธิให แนวแนจนเป นอารมณอันเดียวมิได เก ี่ ยวข  องเร ื่องโลกวิสัยจิตผองใสสะอาดเต็ มท ี่ แลว พิจารณาเห ็ นธรรมรูแจ  งตลอดทะลุปรุโปรงในธรรมทั้งปวงจึงไดเป นพระพุทธเจา เราท ั้ งหลายมา หัดภาวนาทําสมาธิอยูนี้ก็ตองการอยากเข  าถึงคุณของพระพุทธเจ  าท ี่ ตรงนั้น อยางน  อยเม ื่ อจิตของเรา เข  าถึงสมาธิแลวละอารมณทั้งหลายไดเป นคร ั้งเป นคราวก ็ไดชื่อวาดําเนินตามรอยพระบาทยุคลคือ ปฏิปทาที่ พระองค ไดดําเนินมาแลวเราท ั้ งหลายจึงควรยินดีดวยปฏิบัติตนเป นอยางยิ่ง เม ื่อไดทราบความเกิดของพระพุทธเจ  าแลวจงมาฟงธรรมท ี่ พระองค  สอน สอนท ี่ไหนบ าง ถึงแม  พระองค  จะทรงสอนพุทธบริษัทอยูนานถึง ๔๕ ปก็สอนที่มีคนฟงไมไดสอนสัตว  สาราสิงห  แลสอนท ี่ กายวาจา ใจให เห ็ นกายวาจา ใจของตน เม ื่ อเห ็ นแล วส ิ่ งที่ชั่วก ็ใหละเสีย สิ่งที่ดีก็ได เก็บ รักษาไว เห ็ นความสุขอันเกิดจากการปฏิบัติตาม เช ื่ อแนวแนดวยใจของตนอยางน ี้ แลวยอมตน ปฏิบัติดวยความสุจริตใจจึงไดชื่อวาพุทธบริษัทอันมีคุณธรรม ๕ ประการเป นเบ ื้ องตน คือ ๑. เช ื่ อม ั่นในพระพุทธเจ  าวาพระองค  ตรัสรูเป นสยัมภูดวยพระองค  เองจริง ๆ เปนผูพน จากกิเลสท ั้งปวง ทําพระทัยของพระองค ใหบริสุทธิ์ได แท  จริงแล วไมประมาทดูถูกถาประมาทดูถูก เหยียดหยามก ็ขาดจากความเปนอุบาสกอุบาสิกาผูนับถือพระศาสนาไป ๒. เช ื่ อม ั่นในพระธรรมคําสอนของพระพุทธเจ  าวา เปนนิยยานิกธรรม นําผูปฏิบัติให ได ผลดีได แท  จริงแล วไมประมาทเคารพนบน อมอยูเปนนิจถาประมาทก็ขาดจากเปนผูนับถือพระ ศาสนาไมไดชื่อวาเปนอุบาสกอุบาสิกาตอไป ๓. เช ื่ อม ั่นในพระสงฆ สาวกของพระผูมีพระภาคเจาผูปฏิบัติดีปฏิบัติตรงตอทาง นิพพานปฏิบัติเปนไปเพื่ อพ  นจากทุกข ปฏิบัตินากราบไหว แลบูชา เป นนาบุญของโลกและนําเอา ศาสนาน ั้ นมาเผยแพรใหพวกเราไดปฏิบัติตาม แล วไมประมาทดูถูกเหยียดหยาม ถาประมาทดูถูก เหยียดหยามก ็ ขาดจากอุบาสกอุบาสิกาในพระศาสนาตอไป ๔. เช ื่ อกรรมเช ื่ อผลของกรรม เราทําดีไดดีทําช ั่วไดชั่วไมมีใครจะมาบันดาลใหโชคลาภ หรือเคราะห  กรรมตาง ๆ ใหไดไมนับถือไสยศาสตรโหราศาสตรตาง ๆ ที่เรียกวา มงคลตื่นขาวถา


เช ื่ อหรือนับถือก ็ขาดจากพระไตรสรณคมน ๕. ไมนับถือศาสนาอ ื่ นนอกจากพุทธศาสนา ทั้งห าประการนี้เปนภูมิของอุบาสกอุบาสิกาถึงบวชสามเณรก็ถึงพระรัตนตรัยน ี้ เสียกอน จึงจะบวชพระได ๖. ถาผูมีศีลห าเปนนิจทานจัดวาเปน โสดาบันบุคคล ที่ได อธิบายมาในวันนี้ก็พอสรุปไดวา พระพุทธเจ  าเกิดขึ้นที่พระทัยของเจ าชายสิทธัตถะท ี่ บริสุทธิ์ผุดผองแลวจึงได พระนามวา พุทโธ ๆ ดังน ี้ เพราะพุทโธคําน ี้ หมายความเอาคุณนามท ี่ได ตรัสรูเองชอบนั้นตางหาก มิได หมายเอาตัวคนของพระสิทธัตถะเม ื่ อทราบความเกิดของ พระพุทธเจ  าแลว พระธรรมอันพระพุทธเจ าได ตรัสรูแล  วน ั้ นทรงนํามาสอนแกเหลาพุทธบริษัท ทรง สอนท ี่ไหน พระพุทธเจ าสอนธรรมที่ตัวคนเรา ตัวคนเรานี้ก็มีกายวาจาใจถาไมครบทั้งสามก ็สอนไมได เพราะศาสนาจะต ั้ งอยูไดก็ที่กายวาจา ใจคนตายแล วไมสามารถรักษาศาสนาไวไดสอนให คน ประพฤติกายวาจา ใจใหสุจริต โลกอันนี้จะเปนโลกขึ้ นมาก ็ เพราะคน คนสรางโลกให เกิดขึ้น ศาสนาตามมาสั่งสอนโลกเพื่อใหโลกอยูเปนสุขโลกจะฉิบหายเส ื่ อมสูญก ็เพราะคนเราไมมี ศีลธรรมให เข  าถึงข อปฏิบัติที่สุจริต เม ื่ อผูปฏิบัติฝกหัดตนจนเข  าถึงความสงบแลวจะเห ็ นความบริสุทธิ์ของใจผองใสสะอาดในที่ นั้น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ  ลงมารวมเข าเปนอันเดียวกัน หมดสงสัยในคุณพระรัตนตรัย เรียนมากยิ่งสงสัยมาก หากมีการปฏิบัติเข  าถึงความสงบแลวจะส ิ้ นสงสัยทันทีพระองค สอนให ปฏิบัติมิไดสอนให เรียนเฉย ๆ เรียนเฉย ๆ ไมมีการปฏิบัติเทากับอมอาหารไมกลืนกิน (หมดเวลาไมไดนั่งภาวนา) วันที่๓๐ธันวาคม ๒๕๑๙เวลาเท ี่ ยง แสดงธรรมเทศนา ณ วิหารธรรมะวิริยะเม ืองโกโรลาน วันนี้ชาวอินโดนีเซียจะได พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ ครบถวนแลว มีพระสงฆทั้งชาว ไทย ชาวฝรั่งและชาวอินโดนีเซีย พรอมท  ั้ งมีแมชีดวย มีมาอยูในที่นี้ครบถวนบร  ิบูรณอีกวาระหนึ่ง เม ื่ อราว ๒๐ ปกวามาแลวอินโดนีเซียเปนประเทศที่มืดอยูคือไมไดขาวพุทธศาสนาวามีในประเทศ นี้เลยเพราะเมฆหมอกแหงการเมือปกคลุมอยู เราได ทราบขาวแตประวัติศาสตรวาอินโดนีเซียนํา


พุทธศาสนาไปจากเมืองไทยแล  วก ็หายไปเราเขาใจวาอินโดนีเซียกลายเปนอิสลามไปหมดแลว หลังจาก ๒๐ บีมาแลวเมฆหมอกแหงการเมืองคอยจางไปจึงปรากฏวา มีเจดียสถานแลสถูปใหญโต รโหฐานอันเปนปูชนียวัตถุในทางพุทธศาสนา มีอยูในชาวภาคกลางแตไมมีพระสงฆ  และพุทธ บริษัทก็มีมากประมาณ ๑๐ กวาล  าน เราคิดถึงจึงได เดินทางมาสืบดูดวยตนเอง เม ื่ อเดินทางมาถึงแล  วก ็ได ทราบวาอินโดนีเซียเคยถือพุทธศาสนามาในสมัยหน ึ่ งซ ึ่ งมีพระเจา แผนดินเปนประธาน ทําใหพุทธศาสนารุงโรจน มาแล  วนับตั้งหลายร อยปทั้งน ี้ จะเห ็นไดจากปูชนีย วัตถุตาง ๆ ที่เมืองยอร  คยาน ี้ประวัติศาสตรยังไดยินมาวา บุโรบุโดนี้ สร างอยูถึง ๙๐ ปถามิใชพระ เจ  าแผนดินแล วไมมีใครทําไดโลกอันนี้มันแสหมุนไปหมุนมาเจริญแล  วก ็ เส ื่ อม เส ื่ อมแล  วก ็ เจริญอยู อยางน ี้ ยุคนจะเข ี้ าสูยุคเจริญด  านจิตใจอีกยุคหน ึ่ งก ็ไดโดยเฉพาะเมืองอินโดนีเซียท ี่ได เห ็นทรากปู ชนียวัตถุทางพุทธศาสนา ซึ่งเป นของเกาแกมานาน อดท ี่ จะอนุสรณถึงพระศาสนาไมไดจึงพร  อม กันตั้งใจสามัคคีรวมกันเข าเปนพุทธมามกะนับถือพุทธศาสนา เปนที่นาเห ็นใจอยางย ิ่ งทั้ง ๆ ที่ไมมี พระสงฆนําเลยก็ยังรวมกลุมกันไดดังจะเห ็นไดในวันนี้มารวมกันนับพัน ๆ อาตมาเห ็ นเข  าแล  วจน ขนลุกซูไมนึกเลยวาพุทธบริษัทจะพร  อมเพรียงกันอยางน ี้ เรานึกวาดภาพชาวอินโดนีเซียกอนจะมาวาเป นคนแขก ที่ไหนมาถึงเข  าแล  วมิใชคนแขก รูปรางหน  าตาเหมือนคนไทยดีๆ นี้แหละจะผิดแผกแตภาษาถึงอยางนั้นก็ดีหลาย ๆ คํากเหม ็ ือน ภาษาไทยขนบธรรมเนียมประเพณีคล  ายกันมากเห ็ นจะเพราะชาวอินโดนีเซียเคยนับถือพุทธ ศาสนามากอนแล  วก ็ได แท  จริงไมวาชาติไหนภาษาไหน เม ื่ อถือพุทธศาสนาแลวจะมีกิริยาวาจาออนนอมคลายกัน เพราะพุทธศาสนาสอนใหละสักกายทิฏฐิถึงจะไมหมดก็คอยลดหยอนลงบ  างคนถือพุทธศาสนาจึง ไดชื่อวาเป นธรรมทายาทรับนับถือพุทธศาสนาเป นอันเดียวกัน ถึงจะอยูถิ่นไกลแสนไกลก็เป นญาติ กันโดยธรรม ชาวอินโดนีเซียกับคนไทยเป นญาติกันโดยเชื้ อสายอาเซียน และเป นญาติโดยทาง ธรรมด วยประการฉะนี้ เวลาบาย แสดงธรรมเทศนา ที่วิหารสัจจะวิริยะธรรมะเม ืองโกโรลาน อุบาสกอุบาสิกาท ี่ มารวมกันในสถานที่ ณ ที่นี้เพ ื่ อต  อนรับอาตมาพร  อมด วยคณะขอแสดง ความดีใจขอขอบอกขอบใจมากซึ่งได เห ็ นชาวพุทธอินโดนีเซีย ซึ่งไมเคยคิดนึกวาจะมีชาวพุทธ พร  อมเพรียงสามัคคีกันมากมายขนาดน ี้ พอเห็นก็เกิดความปลื้มปติมากทีเดียวแตกอนมาจาก เมืองไทยในความคิดความเห ็ นหรือความฝนของคนไทยเขาใจวาชาวอินโดนีเซียท ั้งหมดเปน


อิสลามและฮินดูโดยเฉพาะเขาใจวาเป นแขกเสียด  วยซ้ํา เวลามาเห ็ นเข  าจริง ๆ จัง ๆ ชาวอินโดนีเซีย เป นชาวพุทธกันมากแลวก  ็ไมใชแขกด  วยดูลักษณะทาทีหน  าตาและจรรยามารยาทแมคําพูดบางคํา ก็เปนไทยเสียกันมากถาคนชาวอินโดนีเซียเข าไปในประเทศไทย หากไมพูดภาษาอินโดนีเซียก ็ จะ ไมมีใครทราบวาเป นชาวอินโดนีเซียคงจะเข าใจวาเปนคนไทยด วยกันทั้งนั้น เหตุนั้นเทาท ี่ มาเห็นนี้ จึงวา เปนที่ปลื้มปติอยางมากวา ชาวอินโดนีเซียและประเทศไทยไมใชไกลกันเลยจะเปนพี่นองกัน ดวยสายโลหิตก็วาไดคือผิวพรรณและหนาตาท ั้งการประพฤติปฏิบัติจรรยาไมตางกัน คล  ายคลึงกัน มาก นอกจากนั้นอีกยังเปนธรรมทายาทสัมพันธกันเก ี่ ยวข  องกันคือถือพุทธศาสนาด วนกัน เป นลาภอันดีมากที่ชาวพุทธอินโดนีเซียของเรา เม ื่ อตะกี้นี้ไดผานมาที่วิหารธรรมวิริยะก็รูสึก วามีประชาชนชาวพุทธมามากพอสมควร มาถึงที่นี้เข  าก็นึกวาไมมีเพราะอยูใกลกันนิดเดียว พอดีมา เห็นที่ไหนไดมากขึ้นกวาเกาอันนี้จึงไดชื่อวาเป นลาภอันใหญยิ่งของชาวพุทธของเรา ชาวพุทธท ี่ จะ ตั้งตัวและกอตัวข ึ้นมาในระยะเวลาหกเจ็ดปมีชาวพุทธข ึ้ นมาหนาแนนเชนนี้แสดงถึงเร ื่ องน ้ําใจ หนักแนนในพระรัตนตรัยคือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ  แตที่เม ื่ อกอนยังไมปรากฏตัวก็เพราะ เหตุที่วาไมมีคนมาชักชวนและแนะนํา พอดีมีพระสุภัทโตมาชี้แจงแสดงใหฟงจึงคอยพากันตื่นตัว รูตัวขึ้น จนได พากันมาปฏิญาณตนเปนพุทธมามกะเทาที่มีอยูแล  วเรียกวามากเหลือหูเหลือตา ตอไป ก็เข าใจวาจะมีตอ ๆ ไปอีก นี่ไดชื่อวาเปนโชคเป นลาภอันดีของชาวพุทธในที่นี้และขอให พากัน รักษาไวประเทศพมาไมตองพูดละ สวนประเทศที่พุทธศาสนาเส ื่ อมเหมือนกับประเทศอินโดนีเซีย เม ื่ อหนหลัง เชนประเทศลาวและประเทศเขมร นับวันที่จะเส ื่อมโทรมลงไปโดยลําดับ ถาชาว อินโดนีเซียของเราต ั้ งม ั่ นอยูในพุทธศาสนาตอไป จะได เทิดทูนประเทศชาติหรือเกียรติคุณของชาว อินโดนีเซียให เทียมทันประเทศเพื่ อนบานของเราที่มีศาสนาเจริญ เรียกวากูหน  าคืนมาจนไดขอให พากันระลึกถึงความข  อน ี้ จงมากศาสนาเป นของดีเส ื่ อมสูญไปนานแสนนานจนไมมีชื่อในประวัติวา เส ื่อมไปตั้ งแตเม ื่อไรเม ื่ อเรารูสึกตัวอยางน ี้ แลวขอจงพากันใหตั้งมั่นตอไปในศาสนาพุทธ ที่อธิบายใหฟงวาชาวอินโดนีเซียเปนผูมีโชคดีลาภดีคือได ของดีเบ ื้ องตนคือไดอัตตภาพเปน คน ถาหากวาไปเปนสัตวดิรัจฉานเสียแลวเราก ็ไมสามารถที่จะทําอะไรไดนี่เปนโชคดีเป นลาภดีอัน ที่หนึ่ง ซึ่งชาวอินโดนีเซียได มาแลวลาภท ี่ สองคือชาวอินโดนีเซียยังไดประสบพบพุทธศาสนาแลว ไดรับเอาคําาสอนของพระพุทธเจ ามาปฏิบัติอันนี้เป นลาภคือการไดประการที่ สองลาภท ี่ได ประการที่ สาม ได พระรัตนตรัยคือได พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ มีพร  อมแล วในเวลานี้ พระ ธรรมคือตัวของเราเราปฏิบัติอยูคุณงามความดีเราปฏิบัติเรียกวาพระธรรม พระสงฆก็มีพระสงฆ  ปรากฏขึ้ นมาแลวอันนี้เปนการไดอันที่สาม อันที่สี่การไดนมัสการภิกษุสามเณรในวันนี้ครบ รัตนตรัยคือมีภิกษุและท ั้ งสามเณร มีทั้งแมชีดวย ปรากฏพร อมแลวเข าใจวาอินโดนีเซียยังคงไมเคย


เห ็ นแมชีพระก ็ เคยเห ็ นมาเณรก ็ เคยเห ็ นมาวันนี้ยิ่งเปนของใหมอีกคือเห ็ นแมชีดวยอันนี้เปนสิ่ง หน ึ่ งท ี่ เรียกวาเป นลาภอันหน ึ่งและได ลาภอีกอันหนึ่งคือวาพระท ี่ได มาน ั่ งอยูในเวลานี้ละท ี่ พากัน กราบไหวนมัสการอยูนี้มีทั้งพระไทย มีทั้งฝรั่ง มีทั้งพระอินโดนีเซียครบบริบูรณ  หมด หายากที่สุดท ี่ จะได อยางน ี้ เวลาค่ํา แสดงธรรมเทศนา ที่วัดมัชฌิมศาสนวงศ  เม ื องเมนคุต อุบาสกอุบาสิกาท ั้ งหลายท ี่ มาต  อนรับอาตมาพร  อมด  วยคณะ ณ ที่นี้ขออนุโมทนาและยินดี ดวยในการที่ ชาวพุทธยังปรากฏอยูในอินโดนีเซีย หลังจากน ี้ไปในราว ๒๐ ปมาแล  วอินโดนีเซียอยู ในที่มืดคล  าย ๆ กับวาเร ื่ องพุทธศาสนาไมปรากฏในอินโดนีเซียเลยถึงแมวาอินโดนีเซียยังมี ถาวรวัตถุที่เก ี่ ยวเน ื่ องถึงเร ื่ องพุทธศาสนา เชน เจดียและวัดตาง ๆ เป นของเกาแกอยูโดยมากก็ดีชาว อินโดนีเซียพากันเคารพนับถือและปฏิบัติกันมาแตก็ยังมีเคร ื่องปกปดคือการบ  านการเมืองปกปดไว เปรียบเหมือนกันกับพระจันทรพระจันทรไมมีการเศร าหมอง เศร าหมองเพราะเหตุที่เมฆหมอกปก คลุมและปดบัง หากเมฆหมอกนั้นไหลเลื่ อนหนีไปแลว พระจันทรก็จะสวางแจมจาตามเดิม ฉันใด ชาวอินโดนีเซียในเวลานี้ การบ  านการเมืองก ็ไมไดปกคลุมแลวคือเราเปนเอกราชเป นชาติที่มีอิสระ มีสิทธเต ็ มที่ที่จะโฆษณาและปฏิบัติในเรื่ องพุทธศาสนา เหตุนั้นชาวอินโดนีเซียจึงไดปรากฏเดน ขึ้นมาวา ชาวพุทธในอินโดนีเซียยังมีเยอะและเจดียวัตถุที่เก ี่ ยวเน ื่ องถึงเร ื่ องพุทธศาสานท ี่ เกาแกก็ยัง มีมาก นี่เปนสิ่งที่นาชมและนายินดีกับชาวอินโดนีเซียอยางยิ่ง เพราะส ิ่ งเหลาน ี้ แสดงถึงพุทธศาสนา เคยรุงโรจน มาแล วในสมัยหนึ่งอินเดียเปนที่เกิดของพุทธศาสนาก ็ไมเหมือนอินโดนีเซียลังกาก ็ ไมได ทราบขาววามีเจดียวัตถุที่เก ี่ ยวเน ื่ องถึงเร ื่ องพุทธศาสนามากมายและถาวรอยางน ี้ในปจจุบัน เมืองไทยที่ เรียกวาศาสนารุงโรจน กวาทุกชาติทุกประเทศแตก็ยังสูอินโดนีเซียไมไดคือความใหญ ของบุโรบุโดในเมืองไทยไมมีที่ไหนใหญเทาแสดงถึงเร ื่องศาสนาในสมัยนั้นรุงโรจน มาก บางแหง บางตําราทานก ็ บอกวาศาสนาท ี่ จะเผยแพรไปสูเมืองไทยต องมาจากลังกาแล  วก ็ มาสูอินโดนีเซียแลว จึงคอยเข าไปสูประเทศไทยเหตุนั้นชาวอินโดนีเซียและชาวไทยนอกจากจะมีรูปรางลักษณะและ วัฒนธรรมคล  ายคลึงกันแลวก็จะต  องเก ี่ ยวเน ื่ องถึงเร ื่ องศาสนาคือเปนธรรมทายาทคําสอนของ ศาสนานําไปปฏิบัติเป นญาติในทางพุทธศาสนารวมกัน เม ื่อไดรับสิทธิ์เสรีที่ได พากันถือพุทธศาสนาไวเป นเครื่องประดับเป นเกียรติของตนแลวจง


อยาพากันนิ่งนอนใจได ของดีมารักษาไวไมใชไมเปนประโยชนศาสนาเป นของดีถาใครมาถือไว เฉย ๆ ไมเปนประโยชนแก  ตัวของเราเลยเพราะศาสนานั้นสอนเขาถึงจิตถึงใจไมได เพียงแตวาให มา ถือไว เฉย ๆ ถาถือไวก็เปรียบเหมือนกันกับแหวนท ี่เราใสไวในนิ้ วมือแตมันไมเข าไปถึงในใจถา หากไมเอามาปฏิบัติการปฏิบัตินี้พระพุทธเจ  าทานสอน ใหมีศีลใหมีสมาธิให เกิดปญญาศีลนั้นก็ พากันเข าใจดีอยูแลวศีลหาศีลแปดอันนั้นเรียกวาบริหารภายนอกรักษาเพียงกายวาจา สวนการ บริหารทางใจได แกการหัดสมาธิภาวนา เป นการทําความสงบอบรมใจเร ื่ องศาสนาทุกศาสนา จะต  องยึดเอาศาสดาคือผูตั้งศาสนาเป นสรณะศาสนาฮินดูอิสลาม คริสเตียน เขาก ็ เอาพระเจ  าของ เข ามาเปนที่พึ่งคือเอาพระเจ  าของเข ามาไวที่จิต ใหจิตแนวแนอยูในพระเจ าของเขาศาสนาพุทธเราก ็ เอาพระโคดมบรมครูมาเป นเคร ื่ องยึดใหจิตใจแนวแนอยูกับพระศาสดาของเรา เวลานี้ทานนิพพาน แลวเอาแตพระคุณมาไวที่ใจของตน คือนึกเอา พุทโธคําเดียวน ั่นแหละมาไวที่ใจใหใจไปจดจ อง อยูเฉพาะพุทโธอันนั้น สติคุมจิตไมใหสงไปที่อื่น ให จดจ  องแตเฉพาะพุทโธอันเดียว นี่วิธีทําสมาธิ ของเรา ในทางพุทธศาสนาสอนอยางน ี้ และอยาเข าใจวาภาวนานั้นตองการปฏิหาริยฤทธ ิ์ เดชอยาง นั้นอยางน ี้ได ความรูอะไรตาง ๆ อยาไปเขาใจอยางนั้น ให เข าใจวาการทําสมาธิคือการสํารวมใจ ใจสงบอยูไดก็เปนอันใชไดสวนอภินิหารเราไมตองพูดถึงผูจะเปนหากเป นเองผูไมเป นแล  วจะทํา สมาธิได มากหรือละเอียดสักเทาไรก็ไมเปนก็มีนี่วิธีทําสมาธิ ศาสนาพระพุทธเจ าสอนใหเราปฏิบัติไมใชสอนให   เราถือ บางแนวปฏิบัติก็ดังอธิบายมาให ฟงแลวคือศีล สมาธิปญญาศีลถึงแม  จะรักษาไมไดทั้งหมดใหไดทีละข อสองขอถามันมากนักเอา เดือนละขอเดือนหน ึ่งให งดเว นเสียจากข  อหนึ่งจะเอาข อไหนก็ได เม ื่ อหลายเดือนก ็ จะครบห  าขอ หรือเอาเปนปก็ไดให งดเวนปละขอ หมายความถึงการงดเว  นจากความชั่วความช ั่ วท ี่ เรางดเว นได เป นของดีเปนกําไรชีวิตของเราท ี่เราได ของดีขึ้นมาไวที่ในชีวิตของเราศีลนนได ั้ ปละสิกขาบท ๆ หา ปก็ครบทั้งห าสิกขาบท ศีลห  าของเราก็บริบูรณ ใหได จริง ๆ อยาไปสมาทานกับพระแล  วหนีจากวัด เลยท ิ้ งเสียไมปฏิบัติตาม ถาเป นอยางนี้ก็ไมมีเวลาพอไมมีเวลาเต ็ มสักทีศีลน ั้นเป นเคร ื่ องวัดความดี ของคน ความดีของคนจะดีมากดีนอยศีลน ั้นเป นเคร ื่ องวัด นี่ขอแรกขอสองก็หัดสมาธิภาวนาดัง อธิบายใหฟงมาแลว สมาธิภาวนาก็คือการสํารวมใจใหสงบ จะสงบมากนอยสักเทาใดก็ตามใจ ไมใชจะใหสงบถึงฌานสมาธิสมาบัติมรรคผลนิพพานจึงจะทําแทที่จริงเราหัดเบ ื้ องต  นหัดเล็ก ๆ นอย ๆ นี่แหละสงบได แคไหนก็ เอาช ั่ วครูหน ึ่ งก ็ เอา หัดทําความสงบใหไดถาเราไมทําก ็ไมมีใครทํา ใหนี่เปนงานประจําชีวิตของเราทุกคนท ี่ จะต องประกอบและทําถาไมทําเสียก ็ขาดจากการปฏิบัติ คุณงามความดีในชีวิต หาสิบ หกสิบ เจ ็ ดสิบปก็ตายท ิ้งเปลา ๆ พุทธศาสนาเลยไมเข  าถึงจิตใจสักที ธรรมะก ็ไมมีในตนเปนคนเปลาเสียจากความดีไมมีคาถึงจิตใจ


มาคร ั้ งนี้ก็ไปหลายแหงออกจากสิงคโปรไปออสเตรเลียออกจากออสเตรเลียกลับไป สิงคโปรอีกแล  วก ็ มาอินโดนีเซียกินเวลาไปตั้ งเดือนกวาแลวแตนี่เวลาไมอํานวยจึงเปนที่นา เสียดายเทาท ี่ไดผานมาจากสิงคโปรก็ดีออสเตรเลียก็ดีบรรดาชาวพุทธท ั้ งหลายมีมากและเรียบร  อย ดีสูอินโดนีเซียเราไมได เหตุนั้นจึงขอขอบใจและอนุโมทนาในความเรียบร อยและในความดีงาม ของชาวอินโดนีเซียอีกวาระหนึ่ง หวังวาพวกชาวพุทธคงเจริญรงเรุ ืองและม ั่ นคงตอไป วันที่๓๑ธันวาคม ๒๕๑๙ แสดงธรรมเทศนา ที่เม ื อง ศาลาติกะ อาตมาพร  อมด  วยคณะซ ึ่งได เดินทางมาจากประเทศไทย มาสิงคโปรเลยไปออสเตรเลียมาน ี่ เป นคร ั้ งสุดท  าย มาถึงอินโดนีเซียแลวได มาถึงสถานน ี้ มาเพ ื่ อเย ี่ ยมเยือนบรรดาอุบาสกอุบาสิกาพุทธ บริษัท ไดขาววาชาวพุทธท ั้ งหลายพากันอุดมสมบูรณดวยศรัทธาคือมีความเล ื่ อม ใสในพุทธศาสนา พร  อมเพรียงกันดีอาตมาก ็ อยากจะมาชม มาเห ็นตามความเป นจริงแลวจึงขออนุโมทนาและขอ แสดงความยินดีดวย ดีแล  วท ี่ พวกชาวอินโดนีเซียท ั้ งหมดด  วยกัน จะต  องพากันพัฒนาคือวา พากันพร อมใจกัน สามัคคีอุดหนุนเชิดชูเทิดทูนซึ่งพุทธศาสนาให เจริญรุงเรืองตอไป ตามประวัติศาสตรพุทธศาสนา ในอินโดนีเซียเคยรุงโรจน มาแล  วคร ั้ งหนึ่ง ซึ่งเราจะได เห ็ นเจดียวัตถุตาง ๆ ซึ่งหมายถึงเร ื่ องวัตถุ พุทธศาสนาท ี่ เคยรุงเรืองในสมัยนั้น ทุก ๆ ประเทศโดยสวนมากหายากที่สุดท ี่ จะเหมือนอินโดนีเซีย นี้แตแล  วก ็ เน ื่ องจากเหตุใดก็ไมทราบละเป นเพราะการบ  านการเมืองอะไรก็ไมทราบ ศาสนาจึงได เส ื่อมโทรมทรุดไปพักหนึ่งจนกระท ั่ งคนตางชาติหลาย ๆ ชาติเกือบจะไมทราบวาชาวอินโดนีเซียมี ชาวพุทธอยูในตัวอาตมาก ็ เข าใจเชนนั้นเหมือนกัน เข าใจวาอินโดนีเซียคงจะเปนแขกไปเสีย ทั้งหมดแตแทที่จริงแลว มาเห ็ นชาวอินโดนีเซียยังนับถือพุทธศาสนาอยูมากมาย ในสมัยนี้รัฐบาล ทานก ็ สนับสนุน ใครจะถือศาสนาใดก็ไดใหสิทธิ์เสรีแกทุกคน คือจะถือศาสนานั้น ๆ ได ตาม ปรารถนาเพราะฉะนั้นเปนโอกาสที่ชาวอินโดนีเซียของเราจะฟนฟูศาสนาท ี่ เคยรุงโรจน มาแล  วนั้น ให กลับพื้นคืนมาอีกให เทียมทันกับประเทศไทยหรือประเทศพมาหรือประเทศลังกา ซึ่งเขามีศาสนา อยูแล  วนั้นถาหากทุกคนคิดถึงเร ื่ องน ี้ อยูตลอดเวลาแลว หวังวาพุทธศาสนาจะเจริญรุงเรืองข ึ้ นมาอีก วาระหนึ่ง เร ื่ องการเผยแพรพุทธศาสนา พระไทยเชนเจ  าคุณวิน เป นตน ที่พระธรรมทูตสงมารุนแรกส ี่ องคดวยกัน ก็ได เผยแพรไปพอสมควร ตอน ั้นไปก็มีหัวหน  าพุทธสมาคมแตละสมาคมเปนหัวหนา เผยแพรชักชวน หมูเพ ื่อนให เข  ามานับถือพุทธศาสนา มากขึ้น ๆ โดยลําดับ ในระยะชั่วไมกี่ปนี้ก็


รูสึกวาพากันตื่นตัวเข ามาปฏิญาณตนเปนพุทธมามกะคือนับถือพุทธศาสนาเปนอันมากการ เผยแพรแบบนี้รูสึกวาเป นการเผยแพรที่ดีมาก หายากท ี่ จะมีที่อื่นเป นเชนนี้ถูกต  องดีมากทีเดียวแต วาทุกศาสนาเม ื่อปฏิญาณตนเป นศาสนิกชนในศาสนานั้น ๆ แลวก็จําเป นจะต  องมีกฏข  อบังคับไป ตามศาสนาลัทธิของตน ศาสนาของเราก็มีขอบังคับเหมือนกัน ผูที่จะถึงพระรัตนตรัยคือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ เป นสรณะที่พึ่งจริง ๆ นั้น ตองมีกฏข  อบังคับ อยางนี้คือ ขอ ๑ คือไมใหประมาทพระพุทธเจาคือให เช ื่ อพระพุทธเจ  าวาเป นพระสัมมาสัมพุทธ เจ  าตรัสรูเองชอบ เปนผูละบาปธรรมกิเลสได จริง ขอ ๒ พระธรรมคําสอนท ี่ พระพุทธเจ าเอามาสอนน ั้นเป นสวากขาตะธรรม และนิย ยานิกธรรม คือนําผูปฏิบัติให ละชั่ว ทําดีได จริง ๆ ขอ ๓ พระสงฆ  สาวกของพระผูมีพระภาคเจ าเปนผูปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแลว นําศาสนา ธรรมคําสอนของพระพุทธเจ  ามาเผยแพรแกปวงชนผูมีศรัทธาใหไดปฏิบัติตาม ขอ ๔ หามไมใหถือมงคลตื่นขาวคือให เช ื่ อกรรม เช ื่ อผลของกรรมวา ทําดีไดดีทําชั่ว ไดชั่วด  วยตนเอง ไมมีพระเจ  าองค ใดหรือส ิ่ งอื่นบันดาลให ขอ ๕ ไมถือลัทธิอื่นนอกจากพุทธศาสนา หากวาผูใดมีศีลห าเปนนิจคนนั้นก็จะยางเขา สูอริยภูมิเปนพระโสดาบัน มีขอบังคับอยูอยางน ี้ถาประมาทพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ ถือมงคลตื่นขาวไปเข าลัทธิ อื่น แตละขอ ๆ ใดข อหน ึ่ งก ็ขาดจากการเปนพุทธมามกะเพราะฉะนั้นการเผยแพรพุทธศาสนาจงให มีหลักเกณฑดังที่วาน ี้ เปนเวลาอันกระชั้นชิดเวลาไมพอที่อุบาสกอุบาสิกพุทธศาสนิกชนมาต  อนรับและมาฟงคํา ปราศัยไดใหโอวาทเพียงแคนี้ก็เรียกวาเวลาพอสมควร เห ็ นจะต  องเดินทางตอไปอีกจึงขอลาพวก พุทธศาสนิกชนทุกคน ขอจงมีความสุขความเจริญปราศจาดโรคภัยภยันตรายและขอจงบําเพ ็ ญพุทธ ศาสนาใหถาวรสืบไปตลอดกาลนาน เทอญ แสดงธรรมเทศนา ที่เม ื อง โกเปง เวลาตอมาในวันเดียวกัน ศาสนาเคยรุงโรจน เจริญมาแล  วพักหน ึ่งในประเทศอินโดนีเซียน ี้ มาตอนหลัง ๆ นี้ศาสนาก ็ได เส ื่ อมสูญไป เวลาน ี้เปนโชคดีของชาวพุทธท ั้ งหลายถึงกาลถึงเวลาแล  วคือพวกชาวพุทธท ั้งหลายได ตื่นตัวพร  อมท ั้ งรัฐบาลก ็ สนับสนุนใหถือศาสนาโดยเสรีไมมีการกีดกัน อน ึ่ งพระสงฆไทยก็เห ็นใจ ไดสงพระธรรมทูตมาเผยแพรที่ยังเหลืออยูเด ี๋ ยวนี้ก็ยังอยูตอมาและยังมีพระอินโดนีเซียเข าไปบวช ในเมืองไทยอีกอาตมามีความคิดหวังวาศาสนาในอินโดนีเซียจะเจริญรุงเรืองอีกตอไป หากวาชาว


พุทธพากันมั่นคงอยางท ี่เป นอยูทุกวันเด ี๋ ยวนี้ก็จะไมเส ื่ อมสูญอีกเพราะฉะน ั้ นขอชาวพุทธทุกคนจง พากันยึดมั่นในไตรสรณคมณถือเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ เปนสรณะให แนวแนมั่นคงจริง ๆ หวังวาพุทธศาสนาในอินโดนีเซียจะเจริญตอไป ที่พากันมาต  อนรับ เห ็ นความพร  อมเพรียงสามัคคีอยางดียิ่งสมเปนพุทธศาสนิกชนโดยแท ฉะน ั้ นขอความสวัสดิมงคลจงพากันมีความสุขเจริญงอกงามทุกผูทุกคน ศาสนาในอินโดนีเซียจง เจริญรุงโรจนโดยความมุงมาดของชาวพุทธทุกคน วันที่๑ มกราคม ๒๕๒๐เวลาค่ํา แสดงธรรมเทศนา ที่วิหารธรรมโลกา เม ื องสะมารัง เข าใจวาคงจะได ทราบถึงเร ื่ องหลักพุทธศาสนาพอสมควรแลวเพราะวาพระสุธัมโมได มาจํา พรรษาอยูที่นี่พากันอบรมดีพอสมควรแลวแตขอเพ ิ่ มเติมอีกในการที่จะเป นชาวพุทธอยางแท  จริง คือเปนอุบาสกอุบาสิกาท ี่ แท  จริงนั้น จะต องให ซาบซ ึ้ งเข  าถึงหลักพุทธศาสนาใหมั่นคง พุทธศาสนา สอนมีการกระทําไมไดสอนใหถือเอาเฉย ๆ คือทําดีละช ั่ วส ิ่ งท ี่ เราจะต  องทําดีนั้นมีขอบเขตอยาให มันดีดวยความเห็นของตนเองดีในการที่ทํานั้นทําลงไปแล วมันเปนประโยชนทั้งตนและคนอื่น ไม ทําความเดือดร อนเปนทุกข ให คนอ ื่ นและตนเองจึงเรียกวาดีความชั่วนั้นมันตรงกันขาม ทําส ิ่งใดลง ไปเป นเหตุให คนอ ื่นแลตนเองเปนทุกข  เดือดร  อน สิ่งน ั้นไมควรทํา พระพุทธเจ าสอนให ละช ั่ วทําดีมี หลักสําคัญอยูอยางน ี้ พระพุทธศาสนาคนที่ยังมีชีวิตอยูคือยังมีกายวาจา ใจใชไดทั้งสามประการเพราะสาม ประการนี้ละ ทั้งกายวาจา ใจจึงสามารถละช ั่ วทาดํ ีหรือทําดีละช ั่วได เหตุนั้นพระพุทธเจ  าจึงสอน ทั้งสามอยางเม ื่ อยังพร  อมกันอยูแล  วจึงสอนตัวของเรานี้คือกายวาจา ใจให เข าใจของจริงรูจักของ จริงในสิ่ งท ี่เป นจริง เชน เห็นชั่วเห็นดวยใจของตนจริง ๆ เห็นดีก็เห็นดวยใจของตนจริง ๆ เข าใจ ดวยใจของตนจริง ๆ จึงจะไดชื่อวาเข  าถึงพระพุทธศาสนาถาเพียงแตถือวาเราปฏิญาณตนถึง พระ พุทธ พระธรรม พระสงฆ เป นสรณะแตยังไมได ลงมือปฏิบัติแลวแต  ยังไมได เข  าถึงใจคือยังไมเห็น ที่ใจของตนที่ แท  จริงก็ยังไมชื่อวาเข  าถึงพระรัตนตรัยผูนั้นไดชื่อวาถือศาสนายังไมทันม ั่ นคงยัง ไมได หลักฐานท ี่ แนนอนและไมถึงแกนของพุทธศาสนา เหตุนั้นชาวพุทธของพวกเราท ี่ พากันริเริ่ม ฟนฟูพุทธศาสนาในอินโดนีเซียเพ ื่อใหมีหลักฐานม ั่ นคงและเจริญงอกงามตอไป จงต ั้งรากฝงให แนน ปฏิบัติอบรมใจของเราใหเข  าถึงสมาธิภาวนาจนเห ็ นการละช ั่ วทําดีวาเป นของดีอยาไปเชื่อ และถือคําพูดของคนอื่น เห็นวาถูกต  องดีแล  วรีบรักษาปฏิบัติไว หากวาทําดีและเห็นชัดด  วยตนเอง


แล วเป นการดีคนอ ื่นจะไมชมไมนิยมนับถือก ็ ตามจงต ั้งใจปฏิบัติใหมั่นคงถาวรตอไปอันนี้แหละท ี่ จะฝงรากพระพุทธศาสนาลงท ี่ กายวาจา ใจของตน พุทธศาสนาเป นศาสนาท ี่แปลกกวาศาสนาอื่น คือพระองคทําใจใหสงบแล วเกิดความรูขึ้นที่ ใจแล  วจึงเอาความรูนั้นมาเทศน  หรือส ั่ งสอนคนอื่นตอไป ถึงแมวามาในสมัยน ี้ใครจะเรียนถึงเร ื่ อง พุทธศาสนามากมายเทาใดก็ ตาม ถาหากใจมันยังไมทันสงบ ใจไมทันปลอดโปรง ใจไมทันสวาง มันยังมีเคร ื่ องหุมหอคือความกระสับกระสายวุนวายของใจ ที่เรียกวากิเลส จะมองเห็นพุทธศาสนา ที่แท  จริงไมได เหตุนั้นสัจธรรมคําสอนของพระพุทธเจ  าจึงยังไมปรากฏ ถาใจของเราสงบแลวใจจะ ผองใสเบิกบาน สามารถรูคําสอนของพระพุทธเจ าใหถูกต องโดยแท จริง นั่นแหละจึงเปนไปเพื่ อจะ ชําระจิตใจของตนไดโดยถี่ถวน ตามหลักที่วาละชั่ว ทําดีเห ็นประจักษ  แจ  งด  วยตนเอง นั่นแหละ เข  าถึงศาสนาท ี่ แท  จริง การทําสมาธิไมวาหญิงวาชายเด็ก หนุม แกทําได เหมือนกันทั้งนั้น มีความหมายเพียงวา สํารวมใจใหอยูในจุดเดียว นึกพุทโธอยูที่ใจของเรา ตั้งม ั่ นอยูที่พุทโธแหงเดียวสติคุมจิต สติคือผูที่ ระวังไปคุมจิตผูคิดผูนึกอยาใหคิดนึกสงไปที่อื่น ใหไปตั้ งม ั่ นอยูที่พุทโธแหงเดียว นี่เป นวิธีที่เรา ฝกหัดทําสมาธิหมายความวาสํารวมใจใหไดใจเรามีอยูแตวาเราสํารวมไมได เราจึงมาหัดสํารวมใจ ใจที่รวมไมไดมันไมสงบ นี่ละจึงพาให เราเดือดรอนเปนทุกข ที่จะใหพนจากทุกข ไดเพราะใจสงบ เราไมตองคิดนึกอะไรมากมายคิดวาจะให เห ็ นอยางน ั้นใหเป นอยางน ี้อะไรตาง ๆ ไมตองคิดนึกให คิดเฉพาะวาเราจะรวมใจใหสงบได เทานั้นก็พอเม ื่อเราสงบได แล  วน ั้ นมากน  อยเทาไรก็ใหรักษา ความสงบน ั้นไวใหมั่นคงตอไปจะเปนพื้นฐานของสมาธิภาวนา เม ื่ อเราทําไปบอย ๆ ความสงบนั้น มันจึงม ั่ นคงข ึ้นเปนลําดับ ๆ การน ั่ งผูหญิงผูชายจะน ั่ งอยางไรก็ ตาม สะดวกแบบใดนั่ งแบบนั้น เพราะการอบรมใจไมใชนั่งอยางเดียวใชอิริยาบถท ั้ งส ี่ขอสําคัญอยูที่สติคุมจิตให อยูในที่ เดียวก ็ แลว กัน ศาสนาพุทธสอนถึงอัตตา สอนอัตตาเสียกอนจึงคอยสอนอนัตตาอัตตาคือตัวตนทานสอน เบ ื้ องตน ใหพึ่งตนเอง ตนของตนเปนที่พึ่งของตน นี่เรียกวาสอนถึงตัวตน เม ื่ อสอนอัตตาแลวให คิดคนถึงตัวอัตตาที่วาเป นของตนของตัวนั้นมีอะไรเป นของแนนอนถาวรแล วเปนตนเปนตัวจริง ไหม คิดค นไปถึงอัตตาแลวไมมีอะไรเป นสาระเชน ขันธหารูปก็ไมใชถาวรแนนอนแกเเฒาชํารุด ทรุดโทรมไปเปนลําดับ หามไมไดบอกไมฟง ในผลที่สุดก็ดับสลายหายไป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป นนามธรรมก็ทํานองเดียวกัน เวทนาเกิดข ึ้ นเพราะมีเหตุปจจัยเม ื่ อเหตุปจจัยไมมีเวทนาก ็ หายไป สัญญา สังขารวิญญาณ ก็เสอมส ืู่ญไปหมดในผลที่สุดก ็ไมมีสิ่งใดที่ แนนอนถาวรเห็นขันธ หาเปนของไมแนนอนถาวรถึงจะวางได วางน ั้ นแหละค ื อตัวอนัตตา ปลอยวางค ื อตัวอนัตตาท ั้ งรูป


ทั้งนาม สอนเร ื่ องภาวนาจิตก ็เป นอนัตตา สอนไมไดหามไมฟงไมใหคิดนึกก็คิดนึก พอเราปลอย วางเราไมยึดเอาเป นของเราจิตที่คิดนึกสงสายก ็ เลยหมดเร ื่องไป ถาเราไปยึดก ็กลายเป นของเรา ขึ้นมาถาไมยึดก ็เลยเป นอนัตตา เม ื่ อถึงอนัตตาเม ื่อไรแล วจะรูสึกด  วยตนเองวาอะไรเป นอนัตตา อะไรเปนอัตตา เห็นชัดด  วยตนเองแตอัตตาหรืออนัตตาน ั่นแหละเป นเคร ื่ องวัดเทียบกันอยู ตลอดเวลาถามีแตอนัตตาถายเดียวไมมีอัตตาเสียแลวเราก ็จะไมมีเคร ื่ องวัดเคร ื่ องเทียบ เม ื่อไมมี เคร ื่ องวัดเคร ื่ องเทียบก ็ไมรูจักวาอะไรเปนอะไรอัตตามีสุขขนาดไหน มีทุกข ขนาดไหน วันที่๔ มกราคม ๒๕๒๐ สนทนาธรรม ที่วัดธรรมทีปาราม เม ื องมาลัง ๓. ผูถาม ที่ประเทศอินโดนีเซียชาวพุทธมีมากแตทําไมศาสนาพุทธไมเจริญครับ ทานอาจารย มันไมมีผูนําคือ พระแตนาชมที่พุทธศาสนาทรงอยูไดถึงขนาดน ี้อันนี้เนื่องมาจากวัตถุ โบราณเปนสิ่งสําคัญที่สุดคือวาเป นเคร ื่ องกระตุนเตือนใจใหระลึกถึงพุทธศาสนา เม ื่ อเข าไปเห็น แล  วก ็ อดท ี่ จะระลึกถึงพุทธศาสนาไมได คนจึงนับถือพุทธศาสนาตอมาแตไมเข าใจซาบซึ้ งถึงแกน แท  ของพุทธศาสนาคืออะไรกันแน ๓. ผูถาม เหตุใดพุทธศาสนาในอินโดนีเซียจึงไมเจริญ จะเป นเพราะพระสมัยกอนทานไมรักษาพระ วินัย หรือบวชแล วสึกออกไปเสีย ทานอาจารย ที่เส ื่อมไปแลวในสมัยกอนๆ ก็เพราะทางรัฐบาลไมสนับสนุนเหมือนประเทศไทย หรือประเทศพมาสมัยกอน พระก ็ปกครองกันไปเองตามยถากรรม การบรหารมิ ันตองใชทุนใชรอน  ใหอํานาจอันนี้พระไมมีอะไรผูหลักผูใหญตายไปก็ เส ื่ อมสูญไป ผูนอยก ็ไมสามารถรักษาธรรม วินัยเลอะเทอะเหลวใหลไปดวยประการตาง ๆ พอมาหลัง ๆ นี้พวกชาวตางประเทศมาปกครองมา บริหารประเทศเขาเหลานั้นก็ไมพอใจในศาสนาพุทธอยูแลวเขาอยากใหเปนฮินดูอิสลามอยูแลว เม ื่ อตางชาติมาปกครองเขามีอํานาจเขามาจึงทําตามชอบใจเหตุนั้นประวัติศาสตรจึงลบหมดเลยคน รุนหลังบวชเข  ามา มันเป นสมัยท ี่ เจริญในทางด านวัตถุแล  วคนท ี่ มาบวชมันยากท ี่ จะมีศรัทธาอยูได นาน ๆ ไปนากลัวมันจะเป นแบบอาตมาพูดจะเป นการเผยแพรอยางลัทธิบาทหลวงน ั้ นและ ทําบุญ ทําทานก ็ แล  วกันไป มันไมตั้งใจตามหลักธรรมหลักวินัย ตอ ๆ ไปมันอาจจะเป นอยางนั้น อาตมา คิดถึงตอนน ี้ แล วสลดใจมากแตยังดีกวาออสเตรเลียมากอยู เพราะวาอินโดนีเซียน ี้ มาบวชมากขึ้น ๆ


๓. ผูถาม ผมสังเกตเห ็ นวา พระท ี่ มาเผยแพรหลักธรรมะก ็ เท ี่ ยวเผยแพรไปเรื่ อย ๆ จนไมมีเวลาท ี่ จะ ปฏิบัติในเรื่ องสวนตัวของตนเองครับ ทานอาจารย ใชที่อาตมามาเด ี๋ ยวนี้ก็อยากจะมาเตือนหมูพรรคพวกน ี้ แหละคือวาใช เวลาทํางานสั่ง สอนมากกวาเวลาท ี่ จะมาสรางตนเองจุดนี้สําคัญ พูดกับทานสมบัติทานสมบัติก็คิดบ  างวาไมไดทํา ความเพียรสวนตัว มาคิดถึงหน  าท ี่ ของเราแล  วมันยังไมพร อมไมเพียงพออยางทานสุธัมโมนิสัยใจ คอก ็แปลกเพื่ อนอยูปฏิบัติไดดีถึงขนาดนั้นก็ออนใจเหมือนกันบางคร ั้ งบางคราว นี่ละถ  าพวกน ี้ไม ทํางานก ็ หมดเทาน ี้ เพราะมันเหลืออยูเทาน ี้ไมใชเผยแพรแตการปฏิบัติและการศึกษาถาเผยแพร ถายเดียวน ั้ นศาสนาเสื่อมเร็วที่สุดไปไมถึงไหนหรอก มันตองมีการปฏิบัติดวยคือตัวเราเองเปนผู ปฏิบัติเสียกอน แล  วคอยไปสอนคนอื่นใหปฏิบัติตาม พอได หลักปฏิบัติแล  วคอยเผยแพรปริยัติที่ หลัง หลักพุทธศาสนาเผยแพรตองเป นอยางนั้น คิดดูพระพุทธเจ  าตรัสรูคร ั้งแรกไมมีการปริยัติไมมี การศึกษาอะไรเลยคือต ั้งใจปฏิบัติเห็นสัจธรรมของจริงแล  วคอยเผยแพรธรรมะของจริงขั้นตอมา หมูสงฆ  สาวกมาก ๆ เข  าก็จําเป นจะต  องบริหารหมูคณะจึงมีการศึกษาคนมันไมสม ่ํ าเสมอกัน คนเรา ก็เหมือนกับลูกไมลูกปลายรสชาติมันก็คอยจืดจางไป ลูกสุดทายของม  ันก็จนไมมีรสชาติเสียเลย มันเป นธรรมดาท ี่ จะต องเป นอยางนั้น เพราะฉะน ั้ นเบ ื้ องต  นต  องมีการปฏิบัติเสียกอน ถาออกมา เผยแพรปริยติถายเดียวจะไปไมรอดเร ื่ องน ี้ขอใหคิดมาก ๆ ดวย ๓. ผูถาม การเป นฆราวาสมันมีธุระการงานมาก ทําอยางไรจึงจะสามารถแบงเวลาในการปฏิบัติ เพราะเด ี๋ ยวน ี้ ผมทํางานอยูงานการมีมากเวลาปฏิบัติก็นอยถึงกระนั้นก็พยายามเจียดเวลาในการ ปฏิบัติดังนั้นทั้งปริยัติและปฏิบัติผมจะต  องแบงเวลาอยางไรจึงจะดี ทานอาจารย มันตองอยางนี้ชิเกิดเป นคนมันตองตอสูภาวนาก็ตองสูกับกิเลส อยูเฉย ๆ ไมได เรา ตอสูเพ ื่ อเอาชนะคนไมตอสูก็คนตายแลวไมมีประโยชนอะไรเลย ชีวิตคือการตอสูเอาชนะใหได เราชนะเร ื่ องเหลาน ี้ได แล  วจะอยูเปนสุขอยายอมแพ โลกอยูเหนือโลกอยาใหโลกขึ้นขี่คอเราได ๒. ผูถาม ผมทํางานท ั้ งวันในบริษัท แตเวลามาทําสมาธิภาวนาทําราวประมาณ ๑๐ นาที๑๕ นาที ผมเห็นคุณคาประโยชนในการทําสมาธิมากเพราะเห็นอุปาทานมีมากเหลือเกินในการทํางานตลอด ทั้งวัน แตเวลามาทําความเพียรภาวนา มันเปนชวงระยะน  อยเหลือเกิน มันควรจะมีมากกวาน ี้ และ ผมสนใจในการกําหนดลมหายใจแบบในสติปฏฐาน


ทานอาจารย นั่นแหละก็หัดอยางน ี้ แหละถาหากเราภาวนามาก ๆ ปฏิบัติมาก ๆ เม ื่อปลอยอุปาทาน ไมไดมันก็ไมมีประโยชนถาหากเราปลอยวางอุปาทานนั่นนิดเดียวก ็ จะเห็นคุณคาประโยชน เพราะฉะน ั้ นเราต  องทําบอย ๆ อุปาทานมันมากกวามาก มันยึดมาไมรูกี่ภพกี่ชาติมาแลว ชาตินี้ก็ยึด วันหนึ่ง ๆ เรายึดไมทราบกี่มากนอยเราปลอยวางอุปาทานเห็ นคุณคาแลวเราก  ็ พยายามท ี่ จะทําใหมัน มากขึ้น อยางน  อย ๒๔ ชั่วโมงเราไดทําสักห  านาทีก็ดีอักโขแล วละ ๒. ผูถาม เวลาของผมน  อยแล  วเวลาหัดฝกทําสมาธิคร ั้งแรกใจมันเหมือนกับลิงไปโนนไปนี่ บางคร ั้ งกอนนอนแทนท ี่ จะคิดนั่นคิดน ี่สูมาสวดมนตและปฏิบัติดีกวา ทานอาจารย  สวดมนต ไหว พระอยูกับ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ  เอาคุณงามความดีเป นอารมณ  ทําจิตให แนวแนสูอารมณอันเดียวเป นสมาธิภาวนาได เหมือนกัน จับจุดตรงน ั้นไดก็อยูดวยความ สงบสุข นั่นเปนจุดประสงค ของการภาวนาแท  ๑. ผูถาม ผมไมทราบถึงเร ื่ องเหลาน ี้ไมทราบวาถูกหนทางหรือเปลาผมพยายามหนีไมให เข  าถึง ความสงบ เพราะกลัววามันจะไมถูกหนทาง ทานอาจารย  ถูกเบ ื้ องต  นถ  าเราทําความสงบแลวมันซึม หรือมนเฉยเสั ียจงพยายามอยาใหใจเขาสู ความสงบไดถาใจยังไมสงบหรือสงบแลวปลอดโปรงดีก็อยาหนีจากความสงบน ั้ นเลย ๑. ผูถาม ผมมีปญหาเวลาเข  าถึงความสงบแลวคล  าย ๆ กับเราชอบใจเรายินดีกับความสงบอันนั้น เราเลยไมอยากจะพิจารณาคือไมมีอะไรที่ จะบังคับให เรามาพิจารณาอารมณ  เกา เพราะวาเรายินดีกับ ความสงบ ก็เลยซึมเซอไป หรืองวงไปครับ ทานอาจารย ใหพิจารณาเห็นคุณคาแหงความสงบนั้นวา มันละความโลภ ความโกรธความหลงได อยางนี้เพราะความสงบ เม ื่ อกอนเราไมเป นอยางน ี้เราเป นอยางน ี้ อยูนาน ๆ เข  าก ็ จะพนทุกข ไปเอง แล  วก ็ เกิดปลมปื้ ติราเริงใจ ๑. ผูถาม ผมขอโอกาสถามวา ทุกคนภาวนาจะต  องมีเร ื่ องเหลาน ี้ เกิดข ึ้ นหรือเปลาคือวาจะต  องเบ ื่อใน การภาวนา หรือจะต  องงวงซึมเซอเวลาหัดภาวนาจะต องเปนไปอยางน ั้ นเสมอหรือเปลาครับ ทานอาจารย โดยมากมักเปนไปในทํานองนั้น คือไมมีอุบายท ี่ จะพิจารณาคนเราสวนมากเรียกวา ทํางานมาเหน ื่ อยแสนเหน ื่ อยทุกอยาง ทั้งกายและใจคราวน ี้พอมาไดความสงบแล วก ็ชอบใจ มัน


เป นอยางน ี้โดยมาก ชอบใจก็ เลยงวงซึมน ั่ งหลับไปตรงนั้ นแหละ ฉะนั้นจึงพิจารณาให เกิดความรา เริงปติขึ้น ณ ที่นั้นจึงจะไมนั่งหลับ วันที่๖ มกราคม ๒๕๒๐ แสดงธรรมเทศนา ที่วัดธรรมทีปาราม เม ื องมาลัง เปนโชคดีของอาตมาท ี่ได มาเย ี่ ยมพุทธบริษัทชาวอินโดนีเซีย ทีแรกมาเย ี่ ยมท ี่ จาร  กาตา มาเห็น ชาวพุทธอินโดนีเซียคร ั้ งแรกเกิดความรูสึกปลื้มปติมาก ท ี่ พากันกลมเกลียวเปนปกแผนแนนหนา แล  วก็ที่ยอรคจาร   กาตา เห ็ นชาวพุทธที่นี่แล  วย ิ่ งมีความพอใจอยางย ิ่ งเพราะที่นี่ไดสรางเปนวัดถาวร ขึ้น หวังวาพุทธศาสนาฝายหินยานจะต ั้ งม ั่ นถาวรตอไปในอนาคตข างหน  าน ี้ ขอชาวพุทธทุกคนจง พากันตั้งใจในการปฏิบัติศาสนาให เครงครัด พระศาสนาจึงจะต ั้ งม ั่ นและเจริญเร็ว พุทธศาสนานั้น เป นของดีถาหากได ของดีมาแล  วแตเราไมปฏิบัติตามของดีนั้นก็ไมเป นผลแกเราเลยเหมือนกับลิง ได แก  วฉะนั้น ธรรมดาลงนิ ั้ นชอบซุกซนใครใหอะไรมาก็เอาไปเลนเสียแก วเป นของดีมีคามาก พอ ลิงได มาก ็เอาไปโยนเลนเสียผลที่สุดก ็ แตกท ิ้งเปลา ซื้อขายก ็ไมเปนจะเอามาประดับกายก ็ไมได แก  วคือของดีในศาสนาพุทธมีหลายอยาง ในที่นี้จะแสดงใหสักอยางหนึ่งคือศีลศีลน ี้เอามาประดับ กายวาจา ใจแลวกายวาจา ใจจะสะอาดผองใสงดงามอยางอะไรเปลี่ยนไมไดของประดับ ภายนอกถากายวาจา ใจไมสะอาดแล วจะมีประโยชนอะไรแถมจะให เกิดโทษแกผูนั้นเสียอีกด  วย เชนประดับเข  าแล  วจะต  องระวังคนลักขโมยปลนจี้วิ่งราวหรือฆาเจ  าของเอาของเหลาน ี้เปนตน ลวน แล  วแตเกิดจากวัตถุภายนอกของเหลานี้ทั้งนั้น สวนศีลธรรมเขาไมกระทํากันดอกของไมสะอาดเชนนั้นมีแตจะงดเวนกันทั้งน ั้ นเชนเจตนา งดเว  นแตเบ ื้ องต  นแม  แตคิดจะฆาสัตวก็ไมมีเห็นสัตว  หรือบุคคลก ็ เกิดความสงสารมีเมตตาเห็นชีวิต เขาชีวิตเราเป นของมีคาเสมอกัน เห ็ นทรัพยสินเงินทองของคนอ ื่นเป นเหมือนของตนเอง ทรัพยสิน ทั้งหลายในโลกนี้เปนของสาธารณะใครมีความเพียรพยายามหายอมไดได มาแล  วก ็ใชไปตาม ปรารถนา หาไดเปนของใครไมถายังมีความหวงแหนอยูตราบใดการลักขโมยฉอโกงก็ยอมมีอยู ตราบนั้น บุตรภรรยาสามีเม ื่ อยังมีโลกนี้ อยูตราบใดก็ยังอยูตราบนั้น แตเขาเหลานั้นจําเปนตองมี สิทธิ์เสรีเฉพาะบุตรภรรยาสามีเขาผูมีวัฒนธรรมอันดีงามยอมไมละเมิดสิทธิของเขาอยางเด ็ ดขาดผู เคารพสิทธิ์เสรีของผูอื่นเปนผูเจริญแลวไมเหมือนสัตวที่ยังไมเจริญ สัมพันธกันในที่ สาธารณะไม มีหิริโอตตัปปะไมเลือกวาเปนบุตรภรรยาสามีของใคร เกิดลูกมาไมมีใครรับผิดชอบ เว  นแตแมรัก ลูกตามสัญชาติญาณ ความซ ื่ อสัตยก็เปนวัฒนธรรมอันดีงามอีกข  อหนึ่งผูเจริญแล  วยอมสรรหาแต


สิ่งท ี่เปนประโยชนพูดคําสัตยคําจริงไมโปปดพูดเท ็จไรสาระประโยชน เม ื่ อจะพูดคําไมจริงออกมา ละอายแกใจตนเอง ทั้ง ๆ ที่คนอ ื่นไมรูเลยคนพูดเท ็ จยอมทําบาปไดทุกประการ น้ําดองของมึนเมา ทําผูดื่มแล วใหขาดสติคนเราดีๆ อยูจะต องฝกสติใหมั่นคงจึงจะประกอบภาระนั้น ๆ ใหลุลวงไป ไดดวยดีแตเม ื่ อเพ ิ่ มเคร ื่ องมึนเมาเข  าแลว สติก็หายไปจึงรับทําภาระธระนุั้น ๆ ไมสําเร็จการด ื่ มสุรา เมรัยเป นเหตุใหทําช ั่วไดทุกอยางกรรมชั่ว ๆ เลว ๆ เปนตน วา ฆา ตีผูใหญที่เคารพนับถือมาแต กอนหรือครูอาจารย  ของตน เม ื่ อจะทําภัยของเหลานั้นตองด ื่ มสุราเสียกอน ดื่มสุราเข าไปแล วทําได หมดแม  แตมารดา บิดาบังเกิดเกล  าก ็ สามารถทําร ายไดนี้เพียงแตพูดแคศีลห  าข  อเทานั้น เปน เคร ื่องประดับกายวาจา ใจของผูใชเปน ยอมเป นของดีเลิศแลวถาหากเปนศีลแปดศีลสิบ แลศีล สองร อยยี่สิบเจ ็ ดเลาจะเป นเคร ื่องประดับให งามดียิ่งกวาน ี้ขนาดไหนขอใหพิจารณาเอาเอง ศีลเปนบอเกิดของการกุศลท ั้ งหลายผูมีศีลแล  วจะทําบุญได เมื่อถึงไมทําบุญ บุญในการรักษา ศีลก็มีอยูแลว บานเมืองใดประเทศใดจะเจริญรุงโรจนก็ตองมีศีลเป นฐานเสียกอน ถาปวงชนมีศีล สมบูรณทั้งห  าข  อบ  านเมืองนั้นก็เจริญยิ่งถามีเพียงข  อหนึ่งขอสองขอสาม ขอส ี่ก็มีความเจริญโดย ลําดับ ถาไมมีศีลเสียเลยก ็เปนบานเมืองของสัตว  คนก ็เป นแตเพียงยืมรางกายมนุษย มาใช เทานั้น แต จิตใจเป นของสัตว ไปหมดความเจริญด  านวัตถุจะมีประโยชนอะไรแก  เขาเหลานั้น วันที่๘ มกราคม ๒๕๒๐เวลาค่ํา แสดงธรรมเทศนา ที่วัดธรรมทีปาราม เม ื องมาลัง เม ื่ อเกิดมาแล  วจําเป นจะต  องมีที่พึ่งอาศัยจะอยูเปนสุขถาไมมีที่พึ่งแล วจะไดรับความทุกข  มาก ที่พึ่งนั้นถามีแตทางกายไมมีที่พึ่งทางใจด วยก ็ หาความสุขได ยาก มารดาบิดาคณาญาติและบ  านเรือน เปนที่พึ่งทางกาย เพราะกายเปนวัตถุธาตุจะต  องพ ึ่ งวัตถุธาตุดวยกันจึงจะมีความสุขการงานหนักเบา แบกหามต องอาศัยญาติพี่นองพอแมชวยเหลือแดดฝนดินฟาอากาศเย็นรอนต องอาศัยบ  านรือน ปกป องกําบังจึงจะมีความสุขอันนี้เรียกวาที่พึ่งภายนอกคือทางกาย สวนที่พึ่งภายในคือใจนั้น จะพ ึ่ งด  วยวัตถุนั้นไมไดเพราะใจเป นนามธรรมก็ตองพ ึ่ งด  วย นามธรรมถึงจะเปนวัตถุนามธรรมก็พึ่งไมไดตองกําหนดเอานามธรรม คือคุณงามความดีของ รูปธรรมนั้นมาเป นอารมณ  เชนพระพุทธเจ  าหมายถึงตัวพระองคคือพระสิทธัตถะแตเมื่อจะเอามา เปนที่พึ่งทางใจแลว ตองหมายถึงคุณธรรมระลกเอาพระคึุณของพระพุทธเจ ามาเปนที่พึ่งแท  จริง


พระสิทธัตถะนั้นคุณธรรมท ี่เปนพุทธเกิดข ึ้ นแลวคุณธรรมน ั้นเองเปนพุทธ มิใชพระสิทธัตถะเปน พุทธ ฉะน ั้ นเม ื่ อจะเอาพระคุณของพุทธมาเปนที่พึ่งแลวจึงต  องระลึกถึงคุณธรรมอันทําให เกิดเปน พุทธน ั้นมาเป นอารมณ  พระธรรมคือคําสอนของพระพุทธเจ  าก ็เป นนามธรรม สอนใหละช  ั่ วทําดี เราไดฟงคําสอนอันนั้นแล วปฏิบัตตามจนเป นผลสําเร็จก็เป นพระสงฆขึ้นมา สาวกผูฟงคําสอนของ พระพุทธะแล วปฏิบัติชอบตรงตอธรรม จึงถึงซ ึ่ งธรรม พระธรรมยอมเปนใหญเหนือส ิ่ งท ั้งปวงหมด รวมพระพุทธ พระสงฆ  เข  าถึงจุดเดียวคือพระธรรมเทานั้น นี้คือที่พึ่งทางใจของพุทธบริษัท พุทธ บริษัทผูถือพระรัตนตรัยควรใหมีที่พึ่งท ั้งกายแลใจไว อยางนี้จึงจะมีความสุขกายสุขใจถาหากหาท ี่ พึ่งแตกายใจไมทําที่พึ่งแลวเวลาตายไปก็ จะวางเปลาหาที่พึ่งไมได เม ื่ อเรานับถือพระพุทธศาสนาเราปฏิบัติตามคําสอนของพระพุทธเจาจําเป นต องปฏิบัติใหถูก ตามหลักคําสอนของพระพุทธเจาถาหาไมแล  วก ็จะไมสําเร ็ จผลอันใดเลยคําสอนท ี่ พระพุทธเจา สอนก็มีศีล สมาธิปญญาวันนี้จะมีอธิบายถึงเร ื่ องสมาธิตอจากศีลท ี่ได อธิบายแลวในวันวานน ี้ สมาธิหมายถึงการทําความสงบของใจให แนวแนอยูในอารมณอันเดียวจะทําภาวนาด  วยวิธี ใด ๆ ก็ตาม ถาจิตรวมลงเป นหน ึ่งได แล  วก ็ไดชื่อวาภาวนาท ั้ งนั้น จิตเปนของไมมีตัวตนแตเมื่อ อบรมได แล  วจะอยูนิ่งเปนสุขจิตนี้มักแสสายไปตามกระแสของอารมณตาง ๆ เปนลูกคลื่น เหมือนกับน้ําในทะเลกระทบแรงบ างไมแรงบ  าง (คือทุกข  และสุข)ไมอยูนิ่งได ฉะนั้นผูประสงค ความสุขจึงต องฝกอบรมใจใหสงบ เหมือนคล ื่นไมมีแล  วยอมปราศจากเสียงดังฉะนั้น เม ื่ อจิตสงบ แล  วก ็ มองเห็นตัวเอง (คือความสงบของใจ) นั้นแหละคือตัวเรา มองเห็นตัวเราแล  วจงรักษาตัวเรา นั้นไวใหมั่นคงดวยการทําสติกําหนดให แนวแนอยูเสมอทุกเมื่อ มันจะคิดดีคิดช ั่ วหยาบละเอียดก ็ รูอยูเสมอใหรักษาอยูอยางนี้จะนานแสนนานสักเทาไรก็ตามใจอยาไปอยากรูโนนรูนี่อะไรตาง ๆ นานา มันเปนตัณหาเด ี๋ ยวจิตจะเส ื่อมใชไมได วันที่๙ มกราคม ๒๕๒๐เวลาสาย สนทนาธรรม ๓. ผูถาม การบวชเปนชีวิตท ี่จะปฏิบัติได ยากแตสิ่งท ี่ ผมต  องการคืออยากจะทราบวาผมเองเปน อะไรใจคืออะไรแล วใจมีประโยชนอะไรบ   างและมีสาระอะไรผมเปนทหารและฝกฝนเพื่ อจะฆา คน ผมไมชอบ จึงอยากจะทราบวาสาระอันแท  จริงของชีวิตมันคืออะไร นี่เปนปญหาใหญที่ผม อยากจะทราบ


ทานอาจารย  พูดตามข  อเท ็ จจริงแลวเราคือธาตุสี่ดิน น้ําไฟ ลม ประสมกันเปนกอนข ึ้ นมาแล  วแตก สลายดับไปเทานั้น ไมมีสาระอะไรเลยใจเปนผูเข  ามาครองรูปอันนี้จึงทําให เคล ื่อนไหวได เม ื่ อก  อน อันนี้แตกดับไปแลวใจก็ไมสามารถจะใชกอนอันนี้ได กรรมคือส ิ่ งท ี่ใจใชใหกอนอันนี้กระทําท ั้ งดี และช ั่ วนั้น เม ื่ อก  อนอันนี้แตกดับแล วใจยอมรับผลกรรมน ั้ นแตผูเดียวใจมีประโยชน และสาระอยาง นี้เปนทหารฝกฝนไว เพ ื่ อฆาข าศึกก็เพียงแคนั้น เกิดมาก ็ เบียดเบียนกันไปกันมา หาวาเขาเบียดเบียน เรา เขาก ็ หาวาเราเบียดเบียนเขาแล  วก ็ เข าประหัตประหารกันลมตายกันไปเป นกอง ๆ ชีวิตของคนเรา มันเป นเสียอยางน ี้ พระพุทธเจ  าจึงสอนไมให เบียดเบียนกัน ใหมีเมตตาปราณีสงเคราะหชวยเหลือซึ่ง กันและกันจึงจะมีความสุขอยูในโลกด วยกันได วันที่๑๓ มกราคม พ.ศ.๒๕๒๐เวลาค่ํา แสดงธรรมเทศนา อบรมคณะที่ติดตาม ณ วัดพรหมวิหารเม ื องสิงหราช เรามาอินโดนีเซียเท ี่ ยวเกาะบาหลีได เห ็ นสภาพของบ านเมืองซ ึ่ งภัยธรรมชาติแผนดินไหวทํา เอาบ  านเมืองแลวัดวาวินาศเสียหายไปเปนอันมาก มีความรูสึกเศราสลดใจเป นอยางยิ่งแตก็ไมทราบ จะทําอยางไรได เราเกิดมาพ ึ่ งดินฟาอากาศเขาอยู เขาเปนไปตามสภาพของเขาแตเม ื่ อเราพ ึ่ งเขาอยู เราก็ตองไปตามเขา ที่อยูดีๆ มาต ั้งหลายปมีความสุขเพ ิ่ งมาเกิดแผนดินไหวทําให เดือดร อนเปน ทุกข  หนเดียวเทานั้น ขอใหอดทนสูไปคิดถึงแผนดินนี้ใหความสุขแกเรามาแลวนานแสนนาน บุญคุณนักหนา พึ่งมาไดรับทุกข  คร ั้ งเดียวเทาน ี้ เม ื่ อเอาความทุกขมาลบกับความสุขแลว สุขคงยัง เหลือมากกวา เราพออยูไปได เราคิดเสียอยางนี้จึงไมเปนทุกข ถึงทุกข  อยางไรของที่ เราเสียไปแล วก ็ ไมกลับคืนมาฉะน ั้ นจงอยาไปคิดถึงมันเลยจะดีกวา เรามีชีวิตอยูหาใหมยังพอได ชีวิตน ี้ เกิดมาเพ ื่ อการตอสูไหน ๆ เกิดมาเพ ื่ อสูแล วจงสูมันไปจนกวาจะถึงที่สุดเราสูสิ่งอ ื่ นคน อื่นไมสําคัญเทาสูตัวเราเองอายตนะทั้ง ๖ ของเรามีอยูครบครัน เราไปไหนเอาไปด วยขาศึกเกิดขึ้น ไดทุกเมื่อเพราะ ตาเห็นรูป หูฟงเสียงจมูกสูดกลิ่น ลิ้นถูกรส กายถูกสัมผัส ใจคิดนึกถึงส ิ่ งตาง ๆ แล  วก ็ เกิดความดีใจบ าง เสียใจบางไดทุกเมื่อยิ่งกวาข าศึกภายนอกเสียอีกเพราะมันเกิดไดทุกขณะ ไมวากลางวันกลางคืน แม  แตยืน เดิน นอน มันก็เกิดได เด ็ กผูใหญเกิดไดทั้งน ั้นไมเลือก ตกลงตัว ของเราเปนภัยแกเราเอง เกิดเป นคนมีอวัยวะครบครัน แทนท ี่จะเปนสุขอวัยวะน ั้ นแหละนําทุกข  มา ใหไมมีที่สุด นรกหกขุมน ี้ แวดล  อมหุมหอตัวของเราอยูหนีไปไหนก็ไมพนไหม อยูตลอดทั้ง กลางวันและกลางคืน นี่แหละมีของดีๆ ใชไมเปนจึงเปนทุกข 


พระพุทธเจ าสอนให เรารูจักใช ของเหลาน ั้นใหเปนประโยชนมีตาเห็นรูปดีแล  วถาไม  มีตาก ็ จะ ไมเห็นรูป มีหูไดยินเสียงก็ดีแลวถาไมมีหูก็จะไมไดยินเสียง บางคนยังเอาหูเทียมมาใสเพราะหูฟง ไมไดยิน มีจมูกไดดมกลิ่นก็ดีแลวถาไมมีจมูกก ็จะไมรูสึกกลนเหม ิ่ ็ นกล ิ่ นหอม มีกายไดรูจักสัมผัส เย็นรอนออนแข ็ งก็ดีแลวถาไมมีกายก ็จะไมรูสัมผัสเย็นรอนออนแข็ง มีใจไวคิดนึกส ิ่ งตาง ๆ ก็ดี แลวถาไมมีใจก็คือคนตายแล  วจะมีประโยชนอะไรแตมีของเหลาน ั้ นแล วใชใหเปนใหถูกตาม หน  าท ี่ ของมัน ถาใชกาวกายหน  าท ี่ ของกันแลกันแลว มันยุง ตกนรกท ั้งเปน และเห็นจําเปนที่จะต  อง ใชประจํา เม ื่อใช แล  วจงเก ็บไวใหดี(คือใชสักแตวาใช อยาเอามาเป นของตัว) ใช อยางน ี้ เรียกวาใชเปน เปนคุณเปนประโยชน แกตัวเอง ตา หูจมูกลิ้น กายใจของเรา เลยกลายเปนสวรรค  ๖ ชั้นขึ้นมาใน ตัวของเราน ี้ เราจะต  องตอสูกับขาศึกภายในอันเกิดจากอายตนะทั้ง หกโดยจับตัวผูสั่งการ (คือใจ) ได เสียกอน ถาผูสั่งการไมเอาเร ื่ องแลวอายตนะท ั้ งหกก ็ไปไมรอดอายตนะท ั้ งหกก็สักแตวาทํางาน ตามหน  าท ี่ไมไดทําใหใจนั้นมัวหมองเพราะรูเทาเสียแลว นี้วิธีเอาชนะข าศึกภายในดวยใจเย็น ๆ ทานอาจารย  พาน ั่ งภาวนาหลังแสดงธรรมเทศนาพรอมอบรมธรรมนํากอน เราจะภาวนาอะไรก็ตามใจเคยชํานาญเร ื่ องพิจารณาอานาปานสติหรือพุทธโธบางคนก็ ประสมกัน พุทธเขาโธออกก็ได เหมือนกัน คือเราใหจับอารมณใดอารมณหน ึ่งใหมั่น จิตใจให แนวแนอยูในอารมณอันเดียวคือใหสติคุมจิตให อยูในอารมณเดียว บริกรรมของเราน ั่นใหเปน อารมณ จิตแนบเนียนอยูตรงนั้น แนวแนอยูตรงนั้น จิตจะอยูตรงนั้นก็ใหรูจิตไมอยูตรงนั้นก็ใหรู ใหทําความรูสึกรูตัวเฉพาะอยูในเรื่ องนั้น ทําใหใจมั่ นคงทําความพอใจในเรื่ องท ี่ เราอบรมอยูนั้น คือ ถือวาเราอบรมทําภาวนาสมาธินี้นั้น มันเป นเร ื่ อสํารวมใจการฝกฝนใจเปนวิธีการท ี่เป นของพิเศษ ยากคนท ี่จะไดทําและยากท ี่ เราจะทําได เม ื่ อเราทําอยูนี้นั้น เรียกวาเป นของพิเศษอยูแลวจิตถึงแม  จะ ไมรวมสนิทเบ ื้ องตนก็เพียงเรารูเร ื่ องของจิตก็นับวาเป นของดีกวาท ี่เราไมรูเสียเลยไมได อบรม ฝกฝนเสียเลยเม ื่ อจิตของเรารวมไดสงบไดขนาดไหนเพียงไรก็ใหยินดีพอใจในเรื่ องท ี่ เราอบรม นั้นฝกฝนนั้น ใหทําอยูอยางน ั้ นอยูตลอดกาลเวลาอยาไปทะเยอทะยานอยากจะใหดียิ่ง ๆ ขึ้นไป แท  จริงก็คือความท ี่ เราทําสม ่ําเสมอไมทอถอยอันนี้ละเป นการทําให เจริญก  าวหน  าย ิ่ งข ึ้นโดยลําดับ ถาหากวาจะทําละเอียดสักเทาใดก็ ตามแตทําไมมั่นคงคือวาไมสามารถที่จะปลอบใจบํารุงศรัทธา ของเราใหมั่นคงในแนวปฏิบัติสักประเดี๋ยวประดาวก ็ เส ื่ อมจากคุณธรรมอันนั้นเสียใชไมได เหมือนกัน เหตุนั้นมีอะไรก็ใหยินดีในสิ่ งท ี่ ตนเองมีอยูก็จะเปนประโยชน อยางยิ่งขอสําคัญคือวา ให


สรางศรัทธาปสาทะให เกิดขึ้นในอารมณที่ตนภาวนาอยูนั้น ใหขมในสิ่ งท ี่ ควรขม สงเสริมศรัทธาให มันแกกล าในสิ่ งท ี่ ตนมีตนได อยูนั้นไมวามันจะมากหรือน  อยหยาบหรือละเอียด นี่อุบายวิธีที่เราจะ สรางสมาธิภาวนาของเราใหสม ่ํ าเสมอให เข าใจถึงเร ื่ องน ี้สวนที่มันจะเปนไปหยาบหรือละเอียด เอาไวสวนหน ึ่ งตางหากอยาไปทะเยอทะยานดิ้ นรนมันเลย (นั่งภาวนาประมาณ ๓๐นาที)


สิงคโปร วันที่๑๘ - ๒๒ มกราคม พ.ศ.๒๕๒๐ วันที่๑๙ มกราคม ๒๕๒๐เวลาค่ํา แสดงธรรมเทศนา ดีใจมากขอบใจทีเดียว พากันมาประชุมพร  อมกันในวันนี้มาคราวกอนไมมากอยางน ี้ มาวันน ี้ รูสึกวาหนาแนนมากคนด  วยกัน ทุกคนก ็ พากันสนใจถึงเร ื่ องศาสนาพุทธ ที่ไดศึกษาแล วไดฟงมา แตก็ยังไมทันไดรับคําแนะนําอยางแท  จริง มาวันน ี้ จะแนะนําทางศาสนาพุทธให เข าใจถี่ถวนถึงเร ื่ อง การจะปฏิบัติการที่ถือพทธศาสนาโดยสุวนมากเรามีเพียงแตคําวาถือยังไมใชเราลงมือปฏิบัติ ศาสนาท ี่ แท  จริงพระพุทธเจ าสอนใหเราปฏิบัติถือไว เฉยๆ ไมได ผลคุมคา เปรียบเหมือนของที่เรา รับประทาน รสชาติดีก็จริง หากวาเราไมไดรับประทาน ก็ไมรูจักรสชาติของอาหารนั้นๆ เราถือ ศาสนาโดยมากมักเพียงถือเฉย ๆ ยังไมไดประพฤติปฏิบัติจึงไมรูจักรสชาติของศาสนาที่แท  จริง ศาสนาพุทธสอนให คนผูทําผิดละส ิ่ งที่ผิดนั้น ๆ ที่ทําถูกแล  วก็สงเสริมใหทําถูกตอไป คือให ทําดีตอไป คนเราบางคนเข าใจวา ทําผิดแล วไมมีหนทางท ี่ จะแก ไข ทําช ั่ วแล วไมมีหนทางท ี่ จะกลับ ตัวไดอันเป นความเข าใจผิดแทที่จริงคนเราถ  าหากรูจักวาส ิ่งใดที่เปนของสกปรกนาเกลียด สิ่งนั้น เราก็รีบลางรีบชําระใหสะอาดเสียก ็ จะดีขึ้นไดทันทีคนที่ทําผิดคิดวาเป นของดีก็ไมผิดอะไรกลับ แมลงวันที่เห ็ นของเนาสกปรกเป นอาหารท ี่ เอร ็ ดอรอยถาหากเข าใจวาของช ั่วสกปรกเปนของน  า เกลียด หรือเปนสิ่งที่นาสพึงกลัวแล  วจะงดเว  นเอง พระพุทธเจ  าทานตรัสเทศนาไววา เหมือนกับไฟ ไหม ผมที่ศีรษะของคนเรา เม ื่ อมันรอนก็ตองรีบดับ ความชั่วและความผิดท ี่ คนทําไปแล วเห ็นโทษก็ เชนนั้นเหมือนกัน เหตุนั้นพุทธศาสนาจึงสอนใหคนละในสิ่งที่ผิดน ั้ นเสีย สิ่งที่ถูกก็สงเสริมใหทําดี ตอไป เม ื่ อเราเข าใจเชนนี้แล  วก ็ สรุปรวมเขาใจงาย ๆ วาพุทธศาสนาสอนที่ตัวของคนเราถาหากเรา นําเอาคําสอนน ั้นมาปฏิบัติก็เรียกวาศาสนาพุทธมาอยูที่ตัวของคนเราทุก ๆ คน ถึงแม จะไมได บวช ไมมีวัดเราไมได เข  าวัดเข  าวาแตหากเรานําเอาธรรมของพระพุทธเจ  าท ี่สอนให ละช ั่ วทําดีนั้นมาไวที่ ตัวของเราแลวศาสนาก ็ มาต ั้ งหรือประดิษฐานอยูที่ตัวของเราน ั่ นเองศาสนาไมได อยูในที่อื่น พุทธ ศาสนาสอนผิดจากศาสนาอื่น คือสอนแนะนําใหรูจักผิดรูจักดีรูจักชั่วแล  วชาระดํ วยตนเอง


พระพุทธเจ าไมไดไปชําระสะสางใหใครทั้ งหมด ทุกคนเห็นผิดด  วยตนเอง เห็นชั่วด  วยตนเองแลว ละดวยตนเองไฟไหมศรีษะตนเองจะไปให พระพุทธเจ  ามาชวยดับไมได เราต  องดับดวยตนเองจะ ไปคอยคนอื่ นมาดับให เราก ็ แยตองรีบดับดวยตนเองซิ ศาสนาพุทธสอนใหมีอิสระในตัวทุกคน ทุกคนเม ื่อไดฟงคําสอนของพระพุทธเจ  าแล  วจะต  อง คิดค  นเหตุผลด  วยตนเองแล  วก ็ประพฤติดวยตนเอง เห็นโทษแลวละส ิ่ งท ี่ไมดีเห็นคุณแล วประกอบ สิ่งที่ดีคือส ิ่ งท ี่เปนบุญเปนกุศลด วยตนเอง ไมใชไปคอยให คนอ ื่ นหรือพระเจ  าชวยเหลือตลอดเวลา ศาสนาพุทธสอนมีอิสระอยางน ี้ เพราะฉะนั้นทุก ๆ คนเม ื่ อมีอิสระในตัวของตนแลวจึงชอบในเรื่ อง ศาสนาพุทธถาหากผูไมมีอิสระในตัวจึงชอบศาสนาพระเจา หลักของการปฏิบัติในทางพุทธศาสนาคือมีศีลห  าหรือศีลแปดกรรมบถสิบ หรอศื ีลสิบ ศีล สองร อยยี่สิบเจ็ดก็แล  วแตความสามารถของตน นี่เป นหลักปฏิบัติเม ื่อเราปฏิบัติได เราจะเห ็ นวา เรา ละช ั่วไดขนาดไหนมีขอปฏิบัติศีลหาศีลแปดศีลสบประการเป ิ นตน นี่เป นเคร ื่ องวัดวาความช ั่ วเรา ละไดเพราะศีลน ั้ นแสดงถึงเร ื่ องความชั่วถาหากเราไมรักษาศีลเราไมปฏิบัติตามศีลก ็ หมายความวา ความช ั่ วของเรายังมีอยูถาเราปฏิบัติก็หมายความวาเราละความชั่วเปนขอ ๆ ไดมากไดนอยมีศีลเปน เคร ื่ องวัด นี่จะรักษาศีลไดก็เพราะปญญา ปญญาทใชี่ ตั้งแตเบ ื้ องตนตั้งแตทานมาถาไมมีปญญาแลว มีสมบัติมากหลายสักปานใดก็ไมสามารถจะทําทานไดศีลก ็ เชนเด ียวกัน ศีลหาศีลแปดศีลสิบ ศีล สองร อยยี่สิบเจ ็ ดรักษาไมไดทั้งนั้น ที่พูดถึงเร ื่ องศีล สมาธิปญญา เอาปญญาไวสุดท  ายนั้น ทาน หมายถึง ปญญาขั้นสูง ตอนท ี่ จะตัดกิเลสนั้นตางหาก หรือละนิวรณ บาปธรรมทั้ งหลายเปนตน ทานอาจารย ตอบปญหาธรรม ๓. ผูถาม การปฏิบัติศาสนาจําเปนตองเข  าวัดเข  าวาหรือไปหาพระ หรือทําที่บานเองก ็ได ทานอาจารย ไมตองเข  าวัดมันเข  าของมันเองวัดอยูที่ตัวของเราถาเราทําเปนกิจวัตรเป นนิจเรียกวา เข  าวัดถาเราเข  าวัดแตใจยังไมทันละช ั่ วก ็ เรียกวายังไมถึงวัดเหมือนกัน ระวังนะคนที่ถือแบบนี้วา ฉันมีศีลฉันมีธรรมแล  วฉันถือศาสนาในตัวแล วไมตองเข  าวัดก ็ได อยางนี้มีถมไป มันเปนคําอ  างเฉย ๆ เอาจริงเขา เราไมทําตามคําสอนของพระพุทธเจ  าก็มีมากเหมือนกัน พวกหมูนี้มักแอบแฝงหลอก คนอื่น ๒. ผูถาม หัดภาวนาโดยสวดมนตไปพร อม ๆ กัน แล  วยึดเอาคําสวดมนต เป นอารมณ ในการภาวนา อยากจะทราบวาวิธีอันนั้นถูกต  องหรือเปลา


ทานอาจารย มันเป นเพียงเบ ื้ องตน ถาหากเราสวดมนต ใจมันแนวอยูในอันเดียวเชน เราสวดถึงคุณ พระระลึกถงคึุณของพระเจ าเปนตน เราสวดไป ๆ ใจมันแนวอยูในอารมณอันเดียวก ็เป นสมาธิ เหมือนกัน แตมันละเอียดไมไดเป นเบ ื้ องตน ยังไมไดจัดวาหัดภาวนาจริง ๆ จัง ๆ ที่เรียกวาหัด ภาวนาจริง ๆ จัง ๆ ไมไดสวดอะไรม  ันวางหมดไมคิดนึกเร ื่ องอ ื่นใหมันเหลือแตใจอันเดียว สงบอยู ที่ใจอันเดียวจึงจะเขาภาวนาแท ๑. ผูถาม เวลาหัดภาวนา บางทีมีวิญญาณตาง ๆ มาวนเวียนอยูใกล ๆ แตไมเห็นดวยตา มันเกิดจาก ความรูสึก มันจะเป นเร ื่ องที่ปรุงแตงหรือเป นเร ื่ องจริง ทานอาจารย มันเป นเร ื่ องพิศดาร มันตองพูดเฉพาะผูที่เขาเปนมันจึงคอยรูเร ื่ องกัน พูดคนอื่นตอไป มันไมคอยรูเร ื่ องกัน บางทีก็เป นของจริงบางทีมันก ็หลอกเราให หลงเช ื่ อก ็เปนได เพราะจิตเราไมได มาตรฐานเช ื่อของเราไมไดไมเหมือนพระอริยเจ  าผูละเอียดแลว ทานเช ื่ อของทานไดทานอยากรู ทานก็รูไมอยากรูทานอยูเฉยเสีย ๓. ผูถาม ขอความกรุณาทานอาจารยชวยแนะวิธีในการหัดภาวนา ทานอาจารย วิธีภาวนาคือรวมใจใจคนเราตั้ งแตเกิดมายังไมเคยรวมอยูในจุดเดียวสักทีหัดภาวนาก ็ คือรวมใจให อยูในจุดเดียวคนเราเกิดข ึ้ นมาวุน คิดนึกตลอดวันยังค ่ําไมมีพักผอนเลยเพราะฉะนั้น พระพุทธเจ  าจึงสอนให เราพักใจบ างกายกับใจมีลักษณะคล  ายกัน กายถ  าเราทํางานตลอดเวลาไมมี การพักผอนนอนก ็ เหน ็ ดเหน ื่ อยใจของเราถ าหากมีแตคิดปรุงแตงสงสายตลอดท ั้ งกลางวันและ กลางคืน นานเข  าก ็ เรียกวาโรคเสนประสาทกลายเปนบาไป หากไมรูจักสํารวมใจ พระพุทธเจ าสอน ให เรารูจักสํารวมใจสงบอารมณให อยูในจุดเดียวใหกําหนดลมหายใจเขาออก หรือมิฉะนั้นก็ให กําหนดเอาพุทโธไวที่ใจเอาสติคุมให อยูในอารมณอันเดียวกันนั้น ใจคือผูนึกวาพุทโธแล วเอาสติ ตามกําหนดคือตามรักษาคุมอันนั้นไวไมไห หนีจากนั้น ถาหากมันหนีไปจากนั้นก็เอามารวมกันไว ไมให หนีนาน ๆ เข  ามันก็คอยซาคอยออนกําลังลงไป ในที่สุดมันก็จะมารวมอยูในจุดเดียวเปรียบ เหมือนกับสัตวที่เราจับมาจากปา เอามาทีแรกมันก็พยายามด ิ้ นรนเสียจนหมดเร ี่ ยวแรงอีกหนอยมัน ก็คอยอยูใจของเราก็ เชนเดียวกัน ๓. ผูถาม ในการหัดภาวนาจะต  องหัดในทาไหนและกาลเวลาใดจึงจะเหมาะ


ทานอาจารย เวลาไหนก็ไดทาไหนก็ได หมดเบ ื้ องต  นเราหัดน ั่ งขัดสมาธิเป นทาที่ดีกวาทาอื่น ๆ เมื่อ เราหัดใหชํานาญแล  วจะอยูในอริยาบถใดก็ไดกาลเวลาไหนก็ไดทั้งนั้น ขอแตใหจิตเราสงบอยูในจุด เดียวก ็เปนอันใชได ๓. ผูถาม แล วเราจะสามารถทําไดนานสักเทาใด ทานอาจารย มันก็แล  วแตใจของเราจะสงบไดนานสักเทาใดถาใจของเรามันสงบดีมันก็อยูได นาน ถาใจไมสงบมันก็อยูไมได ๓. ผูถาม แตบางทีมันก็หลับไป ทานอาจารย  หลับก็ดีกวาที่มันฟุง ๓. ผูถาม ใจมันจะมีขึ้นเปนชั้น ๆ หรอเปล ื า ทานอาจารย ไมไดขึ้นไปไหนหรอกอยูที่ใจของเรา ใจมันสงบเทาใดนั้ นแหละเรียกวาชั้น มันไมได ขึ้นไปชั้นสูง มันรวมไดก็เรียกวาชั้นสูง มันอยูดวยความสงบ ยิ่งสงบมันก็ยิ่งใสสะอาดขึ้นไปก็ เหมือนกับที่เราขัดเก  าอี้นั้นแหละยิ่งขัดเทาใดก็ยิ่งใสสะอาดยิ่ งข ึ้นไปเทานั้น ๓. ผูถาม ผมมีธุระการงานมากดังน ั้นในการหัดภาวนาควรท ี่จะหากาลเวลาภาวนาไมใหขัดกับการ งานใชไหมครับ ทานอาจารย นั่นแหละดีที่สุดจัดให เข  าระเบียบกับกาลเวลาท ี่ เราทํางาน อยาใหมันพลาดไดอันนี้ เป นของสําคัญที่สุดเราหัดอยางน ี้ไดวันหนึ่ง ๆ เรากําหนดเวลาจะน ั่งภาวนาไหวพระสวดมนตทํา สมาธิไดเวลาใดคือใหมันไดจังหวะอยูตลอดเวลาถาเราคิดถึงเรื่องงานประจําวันของเราจะเห็นวา วันหนึ่ง ๆ เวลาท ี่เราไมไดทําภาวนาอยางนี้มันมากมาย ทําภาวนาแมมันนิดเดียวเรามาสร างความดี นี้มันนิดเดียวความช ั่ วท ี่เราไมไดปลอยวางไมไดสํารวมมันมากตอมากนักเทียบกันแล  วมันขาดทุน เยอะแยะ นาเสียดายเวลาท ี่ ขาดทุนไปวันหนึ่ง ๆ ๓. ผูถาม อยากทราบวาในจักรวาลน ี้ พระเจ  ามีไหม


ทานอาจารย  พระเจ  าน ั้นไมทราบวาอยูตรงไหนกัน ผูแตงคัมภีรก็บอกวาพระเป นเจ  ามีแตแล  วผูแตง คัมภีรแลคนอื่น ๆ ก็ไมเคยเห ็นพระเป นเจาไมทราบวาจักรวาลน ี้ หรือจักรวาลอื่นมีพระเจ  าหรือไม ๓. ผูถาม ในตําราคัมภีรของพระพุทธศาสนาทานก็ยังพูดถึง เทวดาอินทรพรหม ภูตผีปศาจ ทานอาจารย มันเป นเร ื่ องของผูรูกับผูรูพูดกันจึงคอยรูเร ื่ องถึงในสมัยน ี้ใครจะเห็นมีเทวดาอินทร พรหม ก็เห ็ นเฉพาะตนเทานั้น จะพูดให คนอื่นฟงเขาก ็ไมเห็นดวยจึงเรียกวาไมมีเหตุผล พระพุทธเจ าสอนให เช ื่ อมีเหตุผลทําตามไดในคัมภีรทานเลานานแล วไมทราบวาทานได กลาวไวมี จุดประสงคอะไรเพื่ อคนภายหลังเราก ็ไมทราบได ๓. ผูถาม ในประวัติพระพุทธเจา ตอนท ี่ พระองค  ตรัสรูมารมาหลอกหลายวิธีมารเหลาน ี้ไมใชพวกผี ดุหรือ หรือไมได หมายความถึงเร ื่ องเหลาน ี้ แตหมายถึงเร ื่ องจิต ( คือกิเลส ) ทานอาจารย  เร ื่ องพุทธศาสนามันเป นเร ื่ องพิศดารถาจะพูดถึงเร ื่ องมารแลว พูดท ั้ งภายนอกด  วย พูด ทั้งภายในด วย พูดทางภายในได แกกิเลส ภายนอกคือเร ื่ องบุคคลาธิษฐาน เป นเร ื่ องเทียบเคียงกัน ถา หากวาเราจะเอาตําราน ั้ นมาพูดกันมันยืดยาว มันตองเรียนหลายด  านหลายทางอธิบายเป นธรรมะ ดวยเปนบุคคลด  วยในธรรมะพระองคสอนใหนอมเขามาในตนเปนสวนมากเพราะเป นเคร ื่ องชําระ กิเลสของตน สวนเร ื่องภายนอกเป นแตเพียงอุปกรณ ของจิตและอุบายเทานั้น ๓. ผูถาม คนท ี่ ตายต ั้ งแตยังหนุมยังสาวเป นเพราะเรื่องของกรรมหรืออยางไร ทานอาจารย ไมวาคนหนุมคนสาวแลคนแกตายแตยังหนุมหรือแกแล  วจึงตายก ็ ตาม มีกรรมด  วยกัน ทั้งนั้น แตไมทราบวากรรมอะไร ทําไว อยางไรแตในอดีต เป นแตรูวากรรมเพราะผลคือความทุกข  ๓. ผูถาม ขอถามปญหาเร ื่ องการแพทย  ผมทํางานใหรัฐบาลรัฐบาลสงไปทํางานในที่มีไขปา มาเลเรียมากและต  องฆายุง เพราะยุงเปนสัตวที่แพรเช ื้ อมาเลเรียการฆายุงผิดจากหลักของพุทธ ศาสนา ในอาชีพท ี่เป นหมอแล  วรัฐบาลส ั่งใหไปฆายุงผมจะทําอยางไรเพราะตองประกอบอาชีพ และน ี่เปนคําส ั่ งของรัฐบาลใหทํา ทานอาจารย  เราถือวารัฐบาลส ั่ งฆา เราอยาถือวาเราฆาก ็ หมดเร ื่ องถ  าเราฆาด  วยเจตนาหรือเพ ื่ ออาชีพ ก็ไมพนจากศีลขอ ปาณาติบาต


๓. ผูถาม ควรท ี่ จะยายไปอยูแผนกอื่นดีไหมครับ ทานอาจารย  แตเวลาน ี้ เขายังไมยายน ี่ จะวาอยางไรเราไปสั่ งเขาย  ายเราก ็เปนรัฐบาลละซี ๓. ผูถาม ผมพยายามไมฆาสัตว  ครับ มดแมลงสาบไมเคยฆาสักตัวเดียวแตเด ี๋ ยวน ี้ แมลงสาบกับมด มันอยูเต ็ มบ  านครับ ทานอาจารย พยายามหาหนทางไลมันไป มากรุงเทพ ฯคร ั้ งหลังนี้มีผูใหญถามด  วยคําถามแบบน ี้ ทหารนั่นจําเปนตองบริหารรักษาประเทศชาติถ  าหากวาข าศึกมาบุกรุกก็จําเป นจะต  องรบ รบจําเปน จะต  องมีการฆากัน แล  วจะผิดศีลหรือไมเราก ็ อธิบายวาผิดศีลนั้นผิดแนเพราะเหตุผิดที่ฆาสัตวดวย เจตนาแตวาในหลักธรรมมีอีกข  อหน ึ่ งที่วาใหรูจักกตัญูกตเวทีรูจักบุญคุณของประเทศชาติจึง ตองป องกันประเทศชาติเพราะฉะน ั้ นเราถือวาเราต องป องกันเขาไมให มารุกรานประเทศชาติของ เรา ฉันปองกันฉันไมไปรุกรานใคร ฉันเคารพรักประเทศชาติของฉัน ใครอยามารุกราน มาก็ตองได เร ื่ อง ๓. ผูถาม ในศาสนาคริสตถือวาพระเยซูเปนลูกของพระเจา ในศาสนาพุทธถือวาพระพุทธเจ าเปน อะไร ทานอาจารย  พระพุทธเจ  าก ็เปนลูกของพระเจ าสุทโธทนะกับพระนางสิริมหามายานั้นละซีไมได เปนลูกของพระเป นเจ  าองค ใด ๓. ผูถาม ในศาสนาคริสต ไดพูดถึงพระเจ  าผูสรางโลกขึ้ นมาแตในศาสนาพุทธทําไมไมเห ็ นพูดถึง เร ื่ องน ี้เป นเพราะเหตุใด ทานอาจารย  เม ื่ อพูดถึงพระเจ าสรางโลกแลว พระพุทธศาสนาไมไดพูดถึงเร ื่ องสรางโลกแตเมื่อ เทียบพุทธศักราชกับครสตศิ ักราชแล วไกลกันลิบลับ คือพุทธศักราชได๒๕๒๐ ปสวนคริสต ศักราชได เพียง ๑๙๗๗ ปเทานั้น ไกลกัน ๕๔๓ ปศาสนาคริสต  บอกวาพระเจ าสรางโลก ทาง วิทยาศาสตร  เขาบอกวาโลกกลม ศาสนาคริสต  เจ าโลกไมยอมเชื่อผลที่สุดก ็ ลงเอยกับ นักวิทยาศาสตร  เขา พระพุทธเจ  าบอกวาโลกนี้ กลมต ั้ งแตกอนวิทยาศาสตร ไมทันเจริญ แตถึงขนาด นั้นพระองคก็ไมสอนเร ื่องโลกเพราะไมเปนไปเพื่ อความพ  นจากทุกข  สอนท ี่ กายวาจา ใจอันเปน บอเกิดของกิเลส ชําระท ี่ กายวาจา ใจนี้ เพ ื่อใหพนจากทุกขทั้งปวงได


๓. ผูถาม เคยฟงคําสอนของพระวาถาเรายังไมเข  าถึงนิพพานเราจะต  องวนเวียน เกิด - ตายเกิด - ตายอยากจะทราบวาการเวียนวายตายเกิดเป นเร ื่ องจริงหรือไมจริง ทานอาจารย  เราสังเกตส ิ่ งที่มันเปนวัตถุใหปรากฏแล วก ็ แล  วกัน ตัวของเรานั่นมันไดสิ่งอะไรมา บํารุงคือวาไดจากอาหารเปนผักเปนขาวเปนปลา เอามาบํารุงหลอเล ี้ยงใหมันอยูได เวลามัน หมดอายุไปมันก็แตกสลายไปเปน ดิน น้ําลม ไฟ ผูที่มาเกิดมันก็เอาอันนั้นมาเกิดอีกเอามาใชอีก ใช แล  วก็ถายอีก พูดงาย ๆ อยางนี้ก็แล  วกัน เรากินอาหารถายเทลงไป ไปเปนดิน เปนน้ํา เปนผักเปน ไมคนไปเอามากินอีกกินแล  วมันก็ถายไปอีก นี่แหละมันวนอยูอยางน ี้นี่เราพูดถึงเร ื่ องวัตถุพูดถึง เร ื่องใจเราแตละคน วันนี้ใจดีคือชอบ รักเพ ื่อนฝูงลูกเมีย หรือลูกผัว นี่วันนี้รักวันหลังมาไมชอบ เกลียดโกรธวันหลังก ็ เกิดรักอีกก็คนเกาน ั่ นแหละเกลียดคนเกาท ี่ เคยรัก ทําไมมันจึงวนเวียนอยู อยางน ี้ไมเบ ื่ อสักทีนี่ใหสังเกตเอาไววามันเป นเร ื่ องจริงหรือไมจริง เพราะใจเปนผูเกิดเปนผูตาย สวนกายเป นแตวัตถุธาตุใหจิตอาศัยอยูเทานั้น ถาจิตไมมีแล  ววัตถุธาตุก็ไมสามารถปรุงแตงเปนตัว คนข ึ้นมาได ๒. ผูถาม เราเกิดมาเป นคนเราจะเจริญธรรมไดงายกวาเกิดเป นอยางอ ื่นใชหรือเปลา ทานอาจารย มันก็อยางนั้นละซีเราเจริญธรรมะคือพิจารณาในตัวของเราน ี่ เห ็ นความทุกข  หรือเกิด แกเจ็บ ตาย สังขารรางกายเปนของไมเท ี่ ยง หรือแม  เราจะพิจารณาเห ็ นอสุภะปฏิกูลในตวของเราจนั จิตใจมันชํานิชํานาญ ความรูอันนั้นมันชํานาญคลองตัวอยูตลอดเวลาถาหากวาเรายังไมทันถึงที่สุด คือยังไมทันถึงพระนิพพาน ตายแล  วเกิดใหมมันก็ลืมหมดเม ื่อไปเกิดแล  วมีคนใดคนหนึ่ งมาอธิบาย ใหฟง ซึ่งธรรมะมันตรงกับธรรมะท ี่ เราเคยพิจารณาแตเม ื่ อกอน เราจะพิจารณาได เร ็ วขึ้น ไดปญญา เร ็ วข ึ้ นกวาท ี่เราไมไดพิจารณามาแตกอน อานิสงส  ของการภาวนามันคืออยางน ี้ ๓. ผูถาม ถาหากวาเราทําอกุศลกรรมไว มากดังนั้นจึงพยายามสรางกุศลกรรมให เกิดข ึ้ นมาก ๆ เพื่อ ลบล  างกับอกุศลกรรมท ี่เราไดทําแลวจะเปนไปได หรือไม ทานอาจารย มันไมเหมือนกับที่เขาเรียนบัญชีเร ื่ องบุญเร ื่ องกุศลมันไมมีตนไมมีตัวมันปรากฏที่ใจ ประทับอยูที่ใจกรรมทางดีและช ั่ วถ  าหากเราทําไว แลว มันแยกบัญชีกัน บันทึกคนละบัญชีแล  วแต ใครต องการจะอานบัญชีไหนกอน บัญชีดีกอนหรอบื ัญชีชั่วกอน ทานอุปมาเปรียบเทียบเร ื่ องข  อน ี้ ดังน ี้ กรรม คือความดีและความชั่วท ี่ เราทําไวเปรียบเหมือนกับสุนัขสองตัวไลเนื้อถาตัวไหนฝเทา มันดีมันทันกอน ตัวฝเท าไมดีมันจะไปทันทีหลัง เหตุนั้นไมมีการลบล  างกันไดถึงแมทานได บรรลุ


ถึงอรหันตแลวจิตใจของพ นจากทุกข ไดก็จริงแตวาวิบากของเกาทานยังเหลืออยูกรรมมันตองตาม ทันอยูสวนใจนั้นตามไมทัน เหมือนกับบัญชีเราจดเอง เชน เราไปฆาคนสักคนหน ึ่งไว การท ี่เราไป ฆาคนเราก ็ เห็นวามันเปนของไมดีดวยความโทสะ มานะดวยความโกรธกริ้วจิตใจจะต องจารึก ความช ั่ วน ั้นไวในใจคนอ ื่นไมเห็นดวยแตตัวเห ็ นด  วยตนเองอันนั้นกรรมชั่วคราวน ี้เราไปสร าง โบสถ สร างวิหารหรือทําบุญไวใหญโตสักแหงหนึ่ง เราไดบุญมากเพราะความพอใจอิ่มใจของเรา มากนอยเทาใดคนอื่นก็จดใหไมได เราต องจดไวดวยตนเอง ในขณะที่เราทําไวนั้น สร างบุญกุศลอัน นั้นเราอาจจะลืมความช ั่ วอันนั้นก็ได แตเวลาที่ความดีใจอิ่มใจในความดีนั้นมันหายไป ความชั่ว อาจข ึ้ นมาอีกก ็ได เหตุนั้นจึงวามันคูเคียงกันอยูมันสามารถท ี่จะใหผลไดในเวลาใดเวลาหนึ่ง นี่พูด ถึงเม ื่ อยังไมทันถึงพระอรหันตกําลังสร างบุญสรางบาปอยู เรียกวามีบัญชจดจี ําเร ื่ องบุญเร ื่องบาปอยู เด ี๋ ยวน ี้ถาหากวาทานผูสําเร ็จเป นพระอรหันตทานไมมีบัญชีลบหมดเลยไมมีทั้งสองบัญชีคือบัญชี บุญและบาปฉีกท ิ้ งเลย ๑. ผูถาม การทําภาวนาน ี้ จะต องให เข  าถึงข ั้ นของอุปจารสมาธิและความสําคัญอยูในขั้นอุปจาร สมาธิใชไหมครับ ทานอาจารย คือเราใชอุบายอะไรก็ ตามเม ื่ อจับหลักไดแลว มันจะถึงอุปจารสมาธิหรืออัปนาสมาธิ มันจะต  องจับหลักอันเดียวเสียกอน เราจะไปเพงใหมันถึงอุปจารสมาธิหรืออัปนาสมาธิไมได จะต  องจับหลักเบ ื้ องตน คือเราจะกําหนดอะไรใหมันลงอันเดียวแนวเต ็ มที่ในหลักอนเดั ียวเสียกอน ถาไมเต ็ มที่มันก็จะเป นเพียงอุปจารสมาธิอุปจารสมาธินี้มันจะเปนปากทางของอัปนาสมาธิและ ของความฟุงซานก ็ไดถาสติมั่นคงก็จะแนวแนเข  าถึงอัปนาสมาธิไปเลยถาสติไมมั่นคงก ็จะฟุงซาน ไปใหญเสียจากอุปจารสมาธิก็ได ๑. ผูถาม ขณะท ี่ มาสนทนาธรรมกับทานอาจารย ขอเปรียบเหมือนกับภาวนาที่ริเร ิ่ มเบ ื้ องตน จิตก ็ แนวแนสมควรเม ื่อไดมาสนทนาธรรมแล วจิตใจยิ่งปลอดโปรงมากจนพูดไมถูกการสนทนาธรรม ผมเห็นวาสําคัญที่สุดใชไหม ทานอาจารย มันเปนได บางคน ผูที่สนใจในทางธรรมมันก็เป นอยางนั้น จิตใจมันแนวแนอยูใน ธรรมเสมอเม ื่อปรารภวาจะไปสนทนาธรรมกับอาจารยละจิตมันเกิดปลื้มปติขึ้นมามาก พอได สนทนาธรรมเข าจริง ๆ ความปตินั้นก็ยิ่งเพ ิ่ มทวีคูณข ึ้นไมทราบวาจะพูดอยางไรถูก ทานวาธมฺม สากจฺฉา เอตมฺมํคลมุตฺตมํการสนทนาธรรมเปนอุดมมงคลอยางยิ่งคือทําใหจิตหลุดพ  นจากกิเลส


ไปได อยางน  อยก ็เป นหนทางนําจิตหลุดพ นได แตตรงกันขามผูที่ไมสนใจกลับงวงเซอเลยนอน หลับเลย ๑. ผูถาม จิตใจคนเราอาจจะแบงออกเป นสองสวน สวนหน ึ่ งคืออารมณที่คิดรักคิดเกลียดคิดชอบ สวนอีกอารมณหน ึ่ งสามารถท ี่ จะคิดถึงเหตุผลรูดีรูชั่วและบางทีทั้งสองฝายอาจขัดแย  งกัน บางทีมัน ก็อาจจะตามกันไป แตถาหากตามอารมณ เปนสิ่งท ี่ไมดีพุทธศาสนาทานสอนเกี่ยวกับเร ื่ องพวกน ี้ อยางไรควรท ี่จะปลอยตามอารมณดีหรือวาควรท ี่ จะรักษาอารมณที่มีเหตุมีผลดีกวา ทานอาจารย  หลักพุทธศาสนาสอนถึงเร ื่องใจนั้นมันมีอันเดียวใจไมมีมากอยางดอกที่มันมากคือมัน ผสม เหมือนกับน้ําท ี่ ผสมดวยสีตาง ๆ สีดําใสเข าไปก็ เรียกวาน ้ํ าดํา สีแดงใสเข าไปก็ เรียกวาน ้ํ าแดง ทั้งดําท ั้ งแดงผสมกันเข  าก ็กลายเปนสีรา ๆ ไป ผสมสียิ่งมากเทาใดสีก็ยิ่งราไปหลายสีเทานั้น อารมณ  ที่เราไมอยากใหมันไปตามสิ่งไมดีนั้นคือตัวปญญามันเกิดข ึ้ นมา สวนอารมณนั้นเป นเร ื่องของใจ แทที่จริงปญญาก็คือใจอารมณก็คือใจเพราะฉะน ั้ นพระพุทธองคจึงสอนใหเราอบรมใจรักษาใจให มันเหลืออยูอันเดียวไมใหมีสองสาม เพราะใจเป นของท ี่ เร ็ วที่สุดยากที่จะจับไดถามันมีอาการ หลาย ๆ อยางมันยาก หากผูมาอบรมใจใหสงบเป นหน ึ่งลงไปได แล  วจะเห ็ นวามีไมมากใจอันเดียว แท  ๆ เหตุนั้นจะต  องอบรมจึงจะรูเร ื่ องพวกน ี้ จะอุปมาอยางนี้ก็ไดคือใหมันเป นหน ึ่ งอยางเรานับ หน ึ่ งเสียกอน ตอมา สอง สาม สี่หา หกแทที่จริงหน ึ่ งท ั้ งนั้น ถาหากเราจะใหเป นหน ึ่ งแลวเอาตัว หกใหเป นหน ึ่ งก ็ได แล  วแตเราจะนับตัวไหนกอนใหเป นหนึ่ง นับหน ึ่ งถึงหกคร ั้ งก ็ เรียกวาหกเทา นั้นเองถาหากเราอยากจะใหใจเป นหน ึ่ งเรามากล ั้นลมหายใจดูพอกลั้นใจไมหายใจสักพักหนึ่งไม มีความคิดความนึกไมสงไปนั่นนี่จะยังเหลืออันเดียวคือรูสึกวามีแตผูรูเพราะมันยุงมันวุนวายคุม จิตไมอยูฉะน ั้ นจงคุมจิตให อยูอันเดียวแล  วก ็ สบายเลย ๒. ผูถาม เร ื่ องของอารมณที่มันแบงออกเป นสองสวนนั้น สวนหน ึ่ งมันเปนไปตามอารมณตาง ๆ เชน ถามีญาติตาย มันก็อดท ี่ จะมีความเสียอกเสียใจไมไดสวนอีกอารมณมันมีเหตุผล ทั้งสองอยางน ี้ มันทําไมจึงแตกตางกัน ทานอาจารย เป นธรรมดาจิตของปุถุชนเม ื่ อกระทบอารมณ  เข  าแล  วจะต องเปลี่ยนแปลงไป เปนสุข บาง ทุกขบางอันเป นกลาง ๆ นั้นเกือบจะไมมีเสียเลยเม ื่ อเห ็ นญาติหรือคนที่รักใครตายก ็ อดท ี่ จะมี ความโศรกไมไดนั่นเพราะความเขาไปยึดวาเป นญาติของเราหรือคนสนิทของเรา เวลาใดเราใช ปญญาพิจารณาตามเหตุผลวา เกิดมาแล  วจะต  องตายด  วยกันทั้งนั้น เว นเสียแตตายช  าตายเร็วเหตุนั้น การท ี่ เราหัดภาวนาใหมีปญญาค  นคว  าหาเหตุผลให เห ็นตามความเป นจริงจึงเป นของมีคุณคาไมให


เราเปนทุกข  เศราโศกในเมื่ อเห ็ นญาติของเราตายหรือไดรับทุกข  ๑. ผูถาม เม ื่อใจเข าถึงความสงบแลว ตามธรรมดาใจมันจะต องไปยึดอยางน ั้ นนานที่สุดตามสภาพ ของใจใชหรือไม ทานอาจารย นั่นแหละ มันเป นกลาง ๆ มันอยูอันเดียวน ั่ นแหละใจมันตองมีเคร ื่ องยึด มันสงบ มันก็ ตองยึดสงบ มันรักมันก็ไปยึดรัก มันเกลียดมันโกรธมันก็ไปยดเกลึ ียดโกรธคราวนี้มันสงบ มันก็ไป ยึดความสงบ มันสงบมันทรงตัวของมันอยูเรียกวายึด ๑. ผูถาม ถาใจมันสงบแลวสภาพอันนั้นมันมีประโยชนอะไร ทานอาจารย  ตรงนั้นมันสุขไหม ๑. ผูถาม สุขมากเพราะกายกับใจมันเบา ทานอาจารย นั่นแหละมันมีประโยชนอย  างน ี้ แล  วเวลาเราคิดวุนวายเราไปเทียบกันดูซิเชนไปคิด เกลียดโกรธมาก ๆ อันไหนมันจะดีกวากัน ๓. ผูถาม ผมมีเพ ื่อนเปนชาวคริสต  เขาบอกวาคนเราเกิดมาแคหนเดียว ตายไปแลวอาจจะขึ้น สวรรค  หรือตกนรกดังนั้นตองพยายามทําดีให มาก ๆ สวนพุทธศาสนาสอนถึงเรื่องการเวียนวาย ตายเกิด มันตางกับคริสต  ศาสนาดังน ั้นคนอาจจะประมาทคิดวาตายแล  วเกิดใหมไดอีกจึงไม พยายามขวนขวายสรางความดีไว หากเขาถามเร ื่ องน ี้ เราจะตอบเขาอยางไร ทานอาจารย เขาไมรูจักความเกิดไปตกนรกแลขึ้นสวรรคนั้นแลคือความเกิดใหมของเขา พุทธ ศาสนาวา ตายแล  วเกิดเกิดแล วตายเปนทุกข ไปเกิดสวรรคก็เปนทุกข  คริสต  สอนวาไปเกิดสวรรค  เปนสุขนิรันดรพอแลว พุทธศาสนาสอนวายังมีเกิดอยูตราบใดยังไมพนจากทุกข  อยูตราบนั้น ฉะนั้นจึงสอนใหละสุขละทุกข  เสียจึงจะไมมีทุกขตอไป (วันนี้หมดเวลาไมไดนั่งภาวนา) วันที่๒๑ มกราคม ๒๕๒๐เวลาค่ํา แสดงธรรมเทศนา


การศึกษาพุทธศาสนาให เข าใจถึงเน ื้ อแท  ของพุทธศาสนาถาหาไมก็จะปฏิบัติผิด ๆ ถูก ๆ เพราะพุทธศาสนาสอนมีเหตุผลไมเหมือนศาสนาอื่น ซึ่งโดยมากเขาสอนตามความเห็ นของตนอัน หาเหตุมิได เชน สอนวาฆาสัตวที่มันทรมานทนทุกข ใหไปเกิดสวรรค  แตตนเองท ั้ งท ี่อยากจะไป สวรรคกับเขาอยูแตไมยอมให คนอ ื่ นมาฆาเพราะกลัวตายเปนตน ศาสนาพุทธทานรูเหตุของความ เกิดวา เปนทุกข ทานจึงสอนใหถอนความเขาไปถื อม ั่นในขันธนั้นเสียจึงจะไดรับความสุข ทานไม สอนวามันทุกขทรมานฆาเสียใหมันไปเกิดสวรรค  และผูนั้นจะไปเกิดในสวรรคได เพราะการฆาได อยางไรถาผูนั้นไมไดประกอบคุณงามความดีไวศาสนาพุทธสอนวาคนเราจะไปเกิดในสุคติแล ทุคติไดก็เพราะกรรม คือการกระทําของตน ทําให คนอื่น ( คือฆา ) แล วจะไดไปสวรรคก็หาไม พุทธศาสนาสอนกระทําคือกรรม ถาทํากรรมดีมากก็ไดรับความสุขมากกรรมชั่วมากก ็ ไดรับความทุกข  มาก สุขทุกข ในที่นี้มีคละกันไป สุขมากกวาทุกขก็เรียกวาสุขเสียถาทุกข  มากกวา สุขก ็ เรียกวาทุกข  เสีย ตราบใดยังไมละสุขและทุกข ใหสิ้นเชิงก็ยังเป นอยูอยางน ี้ อยูร่ําไป ทานสอนให ทําใจใหสงบอันเป นเหตุให ละความกังวลเก ี่ ยวข  องหมดแล วใจจะไดสงบน ิ่ งอยูคนเดียวใจสงบแลว สิ่งอื่น ๆ มันสงบไปเอง พุทธศาสนาสอนให เราเข  าถึงใจอยางเดียวกับคนท ั้ งหลายเข าใจเหมือนกัน แตคนท ั้ งหลายทําไมถูกหนทางจึงได แตพูดแตทําไมถูกเชนเขาพูดกันวากลมใจ ุ ทุกขหัวใจเจ ็บใจ มันแสบเข าถึงหัวใจดังน ี้เปนตน แตไมทราบวาใจที่ แท  จริงน ั้ นคืออะไรถาทราบใจที่ แท  จริงแลว เม ื่ อทุกข ใจกลุมใจเจ ็บใจก็เอาใจนั้ นออกจากเร ื่ องน ั้ นเสีย มันก็หมดเร ื่ อง เพราะคนเราไมสามารถ จะทําความสงบของใจไดจึงไมรูจักใจที่ แท  จริง เห ็ นแตผูนึกคิดนึกก ็ เข าใจเองวาน ั่ นแหละคือใจจึง ปลอยตามอาการของใจอาการของใจมันตองการอะไรก็ ตามมันทุกอยาง มันไดนี่แล  วก ็อยากได โนนอีกตอไป หาที่สิ้นสุดไมได แล  วมันก็จะไมมองดูขางหลังวาไดอะไรมาบ างแลว มีแตตองการ ร่ําไป พุทธศาสนาถึงแม จะสอนวาความสงบของใจเป นความสุขท ี่ แท  จริงก ็ จริงแลแตความสุข ที่วานี้ตองใชใหถูกพอดพองามถีูกต องตามกาลเทศะใหสมควรแกฐานะของตนจึงจะเปนสุข มิใช วาถึงความสงบสุขแล  วจะทอดท ิ้ งของภายนอกท ั้ งหมดก ็ หามิไดปากท องยังมีอยูยิ่งเป นฆราวาสผูมี ครอบครัวอยูจะต  องเล ี้ ยงดูรักษาตามสมควรแกอัตภาพของตน ถาท ิ้ งท ั้ งหมดเลยก ็ เดือดร  อนคนอยู ภายหลังแม  บางทีก็อาจเดือดร  อนถึงตัวเองด  วยเคยมีมาแล  วเหมือนกันคนในสมัยน ี้ เอง เม ื่ อจะบวชก ็ เอาอยางพระสิทธัตถะออกหนีแตเช  าเลยทีเดียวลูกเมียสมบัติไมหวงสละหมดแตเราก ็ไมเช ื่อใจ บวชเปนชีปะขาวให อยูมาไมกี่วัน คราวนี้จิตกลับเลยไมเป นพระสิทธัตถะราชกุมารเสียแลวจะไป ลาก็ละอายเลยขโมยหนไปเลย ี ใจของเราก็ จริงแลแตไมควรเช ื่ อท ั้ งหมดฝกฝนอบรมไปใหใจมันแก กล  าถูกกระทบกระเทือนตออารมณ จนไมหว ั่นไหวเชื่ อม ั่นในตัวเราได แลวจะอยูก็ไดจะไปก็ไดนั่น


แลจึงควรเช ื่อใจของตนเอง พุทธศาสนาคําสอนของพระพุทธเจ  าถ  าจะอุปมาก็ เหมือนกับเคร ื่องปรุงแกงมีเนื้อ ปลาผัก หัวหอม พริกเกลือ น้ําปลาครบบริบูรณ ไวใหผูประสงค จะทํารับประทาน แล  วก ็ สอนวาอาหารคาว ชนิดน ั้ นจะต องใสสิ่งนั้น ๆ จึงจะอรอยถามีผูประสงค จะรับประทานก็ทําตาม ถาหากไมทําตามคํา บอกเลาก ็จะไมไดรับประทานอาหารที่ อรอยสมปรารถนาแล  วอยาไปโทษวาผูสอนไมดีบอกวิธี ทําอาหารไมอรอยนะเราเปนพุทธมามกะเปนลูกศิษย  ของพระพุทธเจ  าผูไดชื่อวาเปนพระโคดมบรม ครูมีสมญาวา ปญญาธิกะคือเลิศปญญา เม ื่อไดฟงธรรมคําสอนของพระองค  แล  วจงนําไปปฏิบัติให เปนมัชฌิมาพอดีพองามจึงจะงามแกตนเองและคนอื่น ทั้งไมเดือดร  อนแกตนแลคนอื่นดวยเด ี๋ยวไป โทษพุทธศาสนาหาวาสอนให คนเห ็ นแกตัว บาปตาย ทานอาจารย  พาน ั่ งภาวนาพรอมท ั้ งอบรมธรรมนํากอน สํารวมใจใหสงบอยูในที่ เดียวเรียกวาภาวนา ใจนั้ นเรายังไมทันรูจักวาคืออะไร ตั้งเเตเกิด จนกระท ั่ งบัดนี้ยังจับตัวใจไมไดทั้ง ๆ ที่พูดถึงเร ื่องใจอยูทุกอยาง ใจดีใจร าย ทุกข ใจกลมใจ ุ แตก็ ยังไมรูจักตัวใจใจเปนของไมมีตัวแตรูสึกนึกคิดได เพราะฉะนั้นความรูสึกนึกคิดจับตัวน ั้ นเสียกอน อาการของใจคือความรูสึกนึกคิดเอามาไวในที่ เดียวระลึกอยูในที่ เดียวคิดอยูในที่ เดียวคือนึกคิดอยู ที่พุทโธ ตั้งใจใหนึกอยูในพุทโธ สติคุมใหนึกแนวอยูในพุทโธไมใหสงไปที่อื่น ถึงมันจะสงไป ไหนก็ดึงมันมาให อยูจนกระท ั่ งเราทําอยูนั้นนาน ๆ หนักเข  ามันจะหายหมดความคิดท ั้ งหลายที่นึก สงไปที่อื่น แม  แตพุทโธก็ จะหยุดไมนึกแตจะสงบอยูคนเดียวของมันตางหาก นี่วิธีทําภาวนาสมาธิมี แคนี้ (นั่งภาวนาประมาณ ๓๐ นาที) ตอบปญหาธรรม ๓. ผูถาม ที่ทานอาจารย  อธิบายใหฟงเก ี่ ยวกับเคร ื่ องแกงมีหลายรสผสมกัน ซึ่งเปรียบเทียบกับ หลักการปฏิบัติของพระพุทธศาสนาผมมีความเข าใจวาทานอาจารย  คงหมายถึงมรรคแปด มัชฌิมาปฏิปทา สวน ศีล สมาธิปญญา เป นเคร ื่องประกอบของเครื่ องแกง นอกจากน ั้ นจะมีอะไร อีกหรือเปลา


Click to View FlipBook Version