ทานอาจารย เม ื่ อมาพิจารณาดูชีวิตของเรา ให เห ็นเปนของไมมีสาระมันเปนของไมถาวรม ั่ นคง อะไร มันเปนไปตามเรื่ องของมัน เม ื่ อเราพิจารณาอยางน ี้เราจะหายไปจากความเมาคือเมาในอายุวา เราจะมีอายุยืนนาน เมาในชีวิตวาเราจะไมตายเมาในความที่เราจะไมเจ ็บไมไขมันจะหายไปจาก ความเมาหมูนี้หมายความวาจะไมถือตัวถือตน มันจึงคอยปลอยวาง ที่พิจารณาได อยางนี้มันเปน ประโยชน อยางน ี้ จิตใจมันไปจดจองส ิ่งใดเห็นอะไรมันชัดเราพิจารณาจดจ องอยูในเรื่ องน ั้นเป นอารมณ นั้นแหละตัวภาวนาจะยืน เดิน นั่ง นอน คิดถึงเร ื่ องนั้น เอาอันนั้นเป นอารมณ โดยตลอด นั่นแหละ ตัวภาวนา เราเพงพิจารณาอยูอยางนี้ละดูอันนั้นละไมตองหลับหูหลับตา หรือถ าหากเราจะคิดคน ไปถึงเร ื่องความเปลี่ยนแปลงของบ านเมืองของโลกความทุกข ของมนุษยสัตว ความเกิดความดับ ของเราเวียนวาตายเกิด พิจารณาคดคิ นอยูอยางนั้น พอไปๆ มันชัดมันหายเองหรอกความงวงลืมตา พิจารณาข างนอกอยางน ี้ แหละ พิจารณาความทุกข ของสัตว ความเกิดของมนุษย เปนทุกข ตัวของเรา เวียนวายตายเกิดเพราะเหตุนี้พิจารณาอยูอยางน ี้นี่แหละกลัวความเกิดความตายกลัวความทุกข สงบจิตไมไดมันก็จะทุกข ใหญอีกละคราวน ี้ วันที่๑๘ ธันวาคม ๒๕๑๙เวลาค่ํา แสดงธรรมเทศนา พลังในทางพุทธศาสนาหัดด วยวิธีการสํารวมใจใหมั่นคง สงบ ในเมื่อใจมันมีความสงบเต ็ มท ี่ แลวจะตอสูกับอารมณความคิดนึกท ั้งปวง พลังใจจะเกิดข ึ้นในขณะนั้น คําวา " พลังใจ " ในที่นี้ หมายความวา ใจกลา ใจแข็ง เด ็ ดเด ี่ยวในการที่ เราจะทําสมาธิใหมันแนวแนอยูไดเปนเวลานานๆ กายของเราก ็จะไมรูสึกเจ ็ บเม ื่ อยดวยประการตางๆ นี่พลังใจในทางพุทธศาสนาที่ทานสอน ที่ทานหัดอบรมฝกฝนตนได แลวเกิดพลังใจขึ้น จนกระท ั่ งน ั่ งอยูตั้งเจ ็ ดวัน ทานเรียกวาเขา นิโรธสมาบัติโดยที่ไมรูสึกหิวโหยหรือเหน ็ ดเหน ื่ อยด วยประการใดๆ เลยอันนี้เป นพลังของใจใน การทําความสงบ เปนการประหารหรอระงื ับหรือทําลายกิเลสท ั้งหลายได พระพุทธเจ าจึงเทศนาวา ความสงบเป นความสุขอยางยิ่งการหัดทําความสงบนี่นะเม ื่ อเราทําชํานิชํานาญแลวอะไรเกิดขึ้น เชน โลภ โกรธ หลง สิ่งใดสิ่ งหน ึ่ งที่มันกระทบใหเราไมพอใจหรือดีใจเสียใจอันเป นเหตุนํามาซึ่ง ความเดือดร อนวุนวายเราจะทําความสงบคือปลอยวาง ทําใจใหมันกล าหาญ ได แกการตอสูที่เคย ชํานาญมาแลวเรียกวาเป นการบริหารสุขภาพทางใจ นี่แสดงถึงเร ื่องใจของเรามีศัตรูอยูรอบด าน มี ศัตรูทุกขณะ หากเราไมไดหัดพลังของใจนี่ใหมั่นคง เราจะไมมีความสุข พระพุทธเจ าจึงสอนใหเรา
หัดตอสูดวยพลังใจคือหัดพลังความสงบ ผูที่หัดทําความสงบอบรมพลังใจได แลวถึงแม เราทําได ไมนาน ขณะท ี่ เราทําความสงบ นั่งภาวนาทําสมาธิครูหน ึ่ งขณะหน ึ่ งก ็ ตาม ก็จะเห ็ นคุณคาแหงความ สงบข ึ้ นมาแล ววา เป นความสงบสุขแท จริงท ี่ไดหัดทําความสงบ ในการแสวงหาความสุขทุกวิถีทางถึงแมวาจะเปนการกระทําด วยกายหรือด วยใจก็ ตามแตก็ เป นของจําเปนที่จะต องทํา หากวาเราสร างพลังใจดวยความสงบน ี้ พร อมๆ กันไปในตัวจะไมนํา ความเดือดร อนเปนทุกขมาใหแกเราถายเดียวในที่นี้มิได หมายความวาน ิ่งนอนใจใหมันสงบอยูทา เดียวแตใหรูจักรักษาความสงบให อยูในอารมณอันเดียวถึงจะเป นการแสวงหาวัตถุภายนอกก ็ ตาม แตใหรูจักรักษาความสงบภายในใจไวอันเปนวัตถุภายนอกอันนี้เปนของภายใน ตองทําตัวรูเทา อยางน ี้ อยูเสมอ ศัตรูคือภัยอันตรายของคนเราท ี่ เกิดมา มีสองอยางท ี่ เราจะต องตอสูคือทางกายและทางใจกาย ได แกเร ื่องปจจัยภายนอกท ี่ จะต องนํามาบริหารถาหากขาดปจจัยภายนอกชีวิตก ็ จะอยูไมได แตศัตรู ภายในของใจถาหากเราไมมีพลังตอสูภายในใจคือ ทําความสงบรูจักปลอยวางอดทนตอสูไมได เราก ็จะไมมีความสุขคนเราโดยมากสูอยูดวยกาย ทางใจไมคอยจะสูดวยเทาไรนักเหตุนั้นความ ทุกขจึงเกิดขึ้นกับพวกเราโดยมาก ทานอาจารย พาน ั่ งภาวนาพรอมท ั้ งอบรมธรรมนํากอน หัดภาวนาคือการสํารวมใจให มาอยูในที่ เดียวอยาใหจิตสงสายออกไปภายนอกเหมือนกับน้ํามี หลายสายเราปดใหมีสายเดียวมันก็มีพลังแรงขึ้น หรือมิฉะนั้นก็เปรียบเหมือนกับไฟฟ าของเรา ไฟฟ าถ าหากเปดหลายๆ ดวงมันก็หร ี่ลงไป ถาเปดดวงเดียวแล วแสงมันก็สวางจ ามีพลังขึ้น ใจคนเรา ถาหากสงสายไปมากๆ พลังใจมันก็นอยไป ตานทานสูกับอารมณ ไมไดถาหากเราสํารวมอยูในจุด เดียวอารมณตางๆ ที่ผานไปผานมามันก็ไมปรากฏ ดวยอํานาจของพลังใจอยูในจุดเดียว เพราะฉะน ั้ นการทําภาวนาคือการสรางพลังใจของเราใหมีขึ้น ตอบปญหาธรรมภายหลังน ั่ งภาวนา ๑.ผูถาม บางทีทําไมมันมีภาพนิมิตเกิดขึ้น ทานอาจารย มันเป นบางคน บางคนก ็ เกิด บางคนก ็ไมเกิด ภาพนิมิตจะเกิดหรือไมเกิดไมเปนปญหา ขอใหชํานาญในการสํารวมใจทําความสงบได เร ็ วเทาใดได คลองแคลวเทาใด ชํานาญเทาใดยิ่ งดีนั่น
แหละเป นของสําคัญที่สุด ภาพนิมิตน ั้ นบางทีก็เปนอุปสรรคของการเจริญก าวหน าของการภาวนา อีกซ้ํา ภาพนิมิตบางทีเราชอบใจเกิดความพอใจขึ้ นเลยติดอยูเพียงแคนั้น ภาพนิมิตไมใชเป นของดี เสมอไป ถาหากใชเปนก็เปนประโยชนถาใชไมเปนก็เป นเหตุให เกิดโทษ ถาไมเห ็ นภาพนิมิต ภาวนาไมเปน โดยมากจะเขาใจอยางน ี้ พอเห ็ นภาพมันเลยสงออกไป เรียกวาสงนอก ๑.ผูถาม ทานอาจารย คะกุศลกับอกุศลมันเป นธาตุอันหน ึ่ งๆ เม ื่ อจิตเปนกุศลมันสบายเม ื่ อจิตเปน อกุศลทําไมมันรอน ทานอาจารย ก็นั่นละซีกุศลเป นธาตุอกุศลก ็เป นธาตุเห ็ นอกุศลเป นธาตุรอน เรากลัวร อนแล วจะได ละธาตุรอนน ั้ นเสียเห ็ นเชนนี้ดีนักถูกต องตามธรรม เรียกวาเห็นดวยตนเอง วันที่๑๙ธันวาคม ๒๕๑๙เวลาค่ํา แสดงธรรมเทศนา ในสมัยเด ี๋ ยวนี้มีลัทธิสองลัทธิคือลัทธิคอมมูนิสตกับลัทธิประชาธิปไตยคอมมูนิสตพูดกัน งายๆ ก็เรียกสังคมนิยม สังคมนิยมพัฒนาด านวัตถุสวนประชาธิปไตยหรือเสรีประชาธปไตย ิ หมายถึงเร ื่ องด านจิตใจ ทั้งสองอยางนี้มันควบคูกันไป ถาหากไปแยกกันออกแล วก ็ เดือดร อน พุทธ ศาสนาสอนทั้งสองอยางเปนคูกันไป เราจะเห ็นไดที่พระพุทธเจ าสอนใหประกอบสัมมาอาชีวะคือ ทํามาหากินในทางสุจริต การท ี่ หากินสุจริต ประกอบสัมมาอาชีพนั้น ก็หมายถึงเร ื่ องการสงเสริมใน ดานวัตถุสวนในดานจิตใจนั้นทํามาหาเล ี้ ยงชีพโดยอิสระไมมีการบังคับ แตเม ื่อได มาแล วก ็ใหรูจัก เฉลี่ยแบงปนวัตถุที่ได มานั้นดวยความเมตตาโอบอ อมอารีไมมีใครบีบบังคับ นี่พระพุทธเจ าทาน สอนในหลักพุทธศาสนาคูกันไปอยางน ี้ พระพุทธเจ าได ตรัสรูเป นพระพุทธเจ าแลวเผยแพรศาสนาสอนพุทธบริษัท มีพุทธสาวก สาวิกามากข ึ้ นมาแลวขนาดน ั้ นพระองคก็ไมไดถือสิทธิ์เสรีคนเดียวการบรหารสงฆิ มอบใหสงฆ เปนใหญไมใชพระพุทธองคบริหารคนเดียว นี่แสดงถึงเร ื่องความเปนอิสระของสงฆ ไมใชของ บุคคลคนเดียวแม ในการทําสังฆกรรมบางอยางเชน พระรับกฐนเขาเอามาถวายเป ิ นของสงฆ แตวา สงฆทํากฐินไมไดตองมอบให องค ใดองค หน ึ่งเป นคนทํากฐิน กฐินจะสําเร ็จไดก็เพราะสงฆแตองค เดียวเป นคนทํา สําเร ็จไดเพราะสงฆ อยางน ี้ การบริหารประเทศที่ เรียกวา เสรีประชาธิปไตย มีนายก
เปนหัวหน าก็ทํานองเดียวกันนี้เราจะเห ็นในทางสังคมนิยมในพุทธศาสนาไดเชน ของของสงฆที่มี ญาติโยมเอามาถวายแลว พระสงฆ จะต องแจกเฉล ี่ ยท ั่ วกันหมด นี่เรียกวาสังคมนิยมในทางพุทธ ศาสนาอยางสมบูรณบริบูรณ แททุกประการเหตุนั้นจึงวาพุทธศาสนามีทั้งเสรีประชาธิปไตยและ สังคมนิยมพร อมๆ กัน เพราะอะไรคนเรามีทั้งกายและใจกายนั้นพูดถึงเร ื่ องสังคมนิยมคือในดาน วัตถุสวนเสรีนั้นหมายถึงเร ื่ องจิตใจ พร อมกันไปกับวัตถุคือวาจิตใจคิดไปโดยเสรีภาพทําอยูใน ขอบเขตศีลธรรม แตเด ี๋ ยวน ี้ คนเราเข าใจผิดคิดวา เสรีภาพน ั้นเปนอีกอยางหนึ่ง สังคมน ั้นเปนอีก อยางหนึ่ง มันเลยกลายเป นเร ื่ องแตกแยกกันไป เป นเร ื่ องยุงกันใหญถาเข าใจโดยนัยน ี้ แล วไมมีเร ื่ อง ยุงเลย สังคมนิยมกับเสรีประชาธิปไตยถ าแยกกันออกก ็ เหมือนกับคนเราตายแลวคือกายกับใจมัน แยกออกจากกันไมไดผูบริหารประเทศชาติจะเป นลัทธิใดก็ ตาม ถาหากไมเข าใจในเรื่ องท ั้ งหลาย เหลาน ี้ แล วทําไมถูกไมดีทั้งนั้น เสรีมันก็กลายเปนสังคมไมรูตัวเหมือนกัน สังคมมันกลายเป นเสรี ไมรูตัว สังคมนิยมมันกลายเป นคอมมูนิสต ไปถ าทําไมถูกถาทาถํูกมันไมเป นคอมมูนิสต สังคม นิยมกับเสรีประชาธิปไตยอยูดวยกัน เปนไปดวยความสงบเรียบร อยสมบูรณบริบูรณ อันนี้พูดถึง การบ านการเมือง เม ื่ อพูดถึงด านธรรมคือตัวของเรานั้น ตัวของเราก ็ เหมือนกันกับประเทศชาติหนึ่ง ที่เราเกิดข ึ้ นมา มีทั้งสังคมนิยม มีทั้งเสรีประชาธปไตย ิ สังคมนิยมคืออะไรได แกตัวของเรา รูปอันน ี้ แหละจําเป นท ี่ จะต องบํารุงด วยวัตถุเม ื่ อบํารุงด วยวัตถุจําเปนตองแสวงหาสิ่งท ี่เปนประโยชน แกรูป เชน อาหารเคร ื่ องนุงหม ที่อยูอาศัย หรือยาสําหรับแก โรคแกไขที่เรียกวาปจจัยชาติทั้งส ี่ หาท ั้ งส ี่ ประการนี้ มาบํารุงในทางที่ชอบในทางที่สุจริต ไมเปนไปเพื่ อเบียดเบียนตนและคนอื่น รางกายของ เราก ็ สมบูรณ ไมเปนทุกข และไมเดือดร อนแกคนอื่นดวยอันนี้เรียกวาสังคมนิยม ในประเทศน อยๆ คือตัวของเรา เสรีประชาธิปไตยคือได แกใจเราจะต องมีอิสระควบคุมใจของตนใหได อยาปลอยใจ ของเราใหมัวเมาประมาทลืมตัวใจถ าหากควบคุมไมไดมันดึงเราไป ชักจงไปในทางทูี่ผิดทุจริต ตางๆ โดยไมรูตัว มันก็เลยเกินขอบเขตเป นเหตุให ตนและคนอ ื่นไดรับความทุกข และเดือดร อน นี่ เรียกวาบริหารไมเปน เสรีประชาธิปไตยบริหารประเทศน อยๆ นี้ไมถูก พระพุทธเจ าทานเทศนาไวตัวของเราคือเป นเมืองอันหนึ่ง มีพระเจ าแผนดินชื่อพระยาจิตราช เปนผูครอบครองเมืองคือตัวเรา ตา หูจมูกลิ้น กายและใจเรียกวาทวารท ั้ งหกคือประตูพระนครทั้ง หกถาหากรักษาไมดีพวกโจรและขาศึกมันเข ามาทําลายได แกเรารักษาทวารท ั้งหกไมไดความชั่ว มันรั่วไหลเขามาให เราทําผิดทุจริตส ิ่ งท ี่ไมดีไมงาม ถาหากเรารักษาใหดีรอบคอบรอบด านด วย อินทรียสังวรเมืองพระนครนั้นจึงจะอยูเย ็นเป นสุข ทุกคนจงพากันรักษาพระนครอันนี้แตละคนๆ รักษาพระนครของตนแลวอยูดวยกันก็เลยเปนสุขด วยกัน มีกี่คนๆ มีความสุขด วยกัน
ทั้งนั้น พระพุทธเจ าทานสอนใหยอลงอีกงายๆ ในการรกษาพระนครอั ันนี้ถึงจะมีตา มีหูมี ลิ้น มีกายก็ตาม ถาหากสํารวมใจไมไดเสียแลว สวน ตา หูจมูกลิ้น กายก็สํารวมไมไดทานให สํารวมใจอันเดียวเม ื่ อสํารวมใจไดแลว ตา หูจมูกลิ้น กายเป นอันสํารวมได เอง เพราะฉะนันทาน จึงสอนใหสํารวมใจ ทานบอกวาใจนั่นแหละเปนของไมมีตนไมมีตัวเป นของเท ี่ยวไปไกลคนเดียว ได แตในผลที่สุดมันก็กลบมานอนทั ี่ กายน ี้ผูจะระวังสํารวมใจจงอยาไดวิ่งตามจิต คอยสกัดจับเอา ใจอยูที่กายน ี้คือคอยจับที่ทวารท ั้ งหก ทานอาจารย พาน ั่ งภาวนาพรอมท ั้ งอบรมธรรมนํากอน ใหรูจัก มันคิดไปหาอะไร มันยึดอะไร มันสงไปหาอะไร ตั้งสติกําหนดใหรูจักตัวมัน ไปจับ ตัวน ั้นใหไดสติควบคุมใจใหมันอยูในที่ เดียวถาหากวาจับใจได อยางน ี้ แลวคําบริกรรมหรือไมมีคํา บริกรรมก็จะมีประโยชน เทากัน คําบริกรรมเป นเพียงแตเคร ื่ องลอใหใจเข ามารวมเหมือนเอาเหยื่อ ลอปลาให มากินเบ ็ ดฉะนั้น เม ื่อปลากินเบ ็ ดแลวเราไมตองการเหย ื่ ออีกไดปลาแล วก ็ พอ สนทนาธรรมตอ ๓.ผูถาม ในทางพุทธศาสนาไดพูดถึงเร ื่ องคนวิกลจริตอยางไรบ าง ทานอาจารย ในทางพุทธศาสนาทานพูดถึงอยูบางวาถาเป นกรรมพันธเกิดจากกรรมพันธ เกิดจาก กรรมแล วก ็ไมมีทางแก ไดถาเกิดจากสมาธิภาวนาเพราะอาจารย สอนผิดหนทางก็พอแก ได แท จริง การสอนภาวนาคือหัดสติใหสมบูรณ มิใชสอนใหวิกลจริต ๑.ผูถาม ขอโอกาสกราบเรียนถามทานอาจารยวา เวลาท ี่ จะเข าถึงจุดเอกัคตาจิต คือวาจิตมันวาง ตอน นั้นมันไมมีอะไรเราก ็ไมยึดถือหรือสงส ายไปที่อื่น แตเรายังรูสึกตัววาเรากําลังน ั่ งภาวนา ทานอาจารย นั่นแหละที่พูดถึงเร ื่องใจเดิม ใจของกลางแทมันอยูอันเดียวคือไมมีอารมณ หมายความ วามันไมไดใช งาน มันไมสงสายไปที่อื่น มันรูอยูอันหน ึ่ งของมันตางหากเราตองการเขาหาอันนั้น แหละเม ื่ อเราเข าหาอันนั้นเร ื่ องอื่นๆ มันก็วางหมดทอดธุระหมดความเดือดร อนวุนวาย กระสับกระสายท ั้ งหลายหายหมดเพราะเหตุเราเข าถึงตรงนั้น จิตอันนั้นใชอะไรไมไดเป นแตไป
พักผอนเอาพลังไวตอสูกับอารมณตางๆ เทานั้น นี่จึงวาทําความเพียรภาวนาเพ ื่อให เข าถึงความสุข คือตรงน ี้ เอง ๑.ผูถาม เราจะรูได อยางไรวาการภาวนาของเราจะก าวหน าหรือไมอยางไรครับ ทานอาจารย ดวยการหัดอยางน ี้ให เข าถึงเอกัคตาจิตอยูบอย ๆจนชํานาญคลองแคลว นึกอยากจะเขา เมื่อไรก็ไดอันเป นเหตุให ระงับกิเลสท ั้ งหลาย มีนิวรณ ธรรม เปนตน ตอน ั้นไปจะรูดวยตนเองวาเรา เจริญก าวหน าหรือถอยหลัง เพราะกิเลสเหลาน ี้ไมมีใครจะรูดีเทาตัวเอง ๑.ผูถาม เราสงบอยางนี้เรามีความรูวาเรากําลังน ั่ งอยูมันไมเหมือนกันกับที่เรารูวาเราคิดอยูแตวาพูด ไมถูก ทานอาจารย ใชธรรมดาใจมันตองมีผูรูหมายความวามันตองรูตัวของมันเอง ที่ไปรูนั่นรูนี่มิใชมัน รูตัวของมันเองคือมันสงออกไปรูของภายนอก มันไปยึดอันนี้มันไมไปยึดภายนอกแตมันรูตัวของ มันเอง นี่แสดงวาคุมใจได แลว มันอยในอ ู ํานาจของเราแลว หรือจะพูดให เข าใจไดงายๆ วาจิตกับ สติรวมเข ามาอยูที่เดียวเรียกวาใจจะพูดก ็ไมถูกเพราะภาษาใจมันไมมีมีแตภาษาวาจา ๑.ผูถาม การท ี่ เราพิจารณาอะไรตางๆ นี้นี่เปนเพราะใจมันคิดค นหรือวาเปนเพราะเราไปคิดมัน ตางหาก ทานอาจารย ถาจะหมายเอาใจเป นเราแลวใจที่วาน ี้ไมมีการพิจารณาผูพิจารณาน ั้นเปนตัวจิต ตางหากจิตนี้ถาสติคุมอยูแล วจะพิจารณาอะไรก็เปนไปเพื่ อความเรียบร อยเป นธรรม รวมเรียกวาจิต ไปคิดใจไมไดคิด ๑.ผูถาม เวลาจิตมันเสียหลัก มันมีความรูสึกบอกไมถูก มันไมชัดเหมือนกอน พยายามตรวจดูวามัน เสียหลักเพราะอะไรแตนี้เข าใจวาจากปติมันทําใหสายอยางที่ทานอาจารยวา ทีนี้อยากจะระงับใน การที่มันมัวเมาอยูกับปตินี้ทําใหมันชัดอยางเดิมเราจะต องทําอยางไรคะ ทานอาจารย คือท ิ้ งหมดคอยๆ จับตัวที่มันอยากใหชัดอยากใหระง ับ หรืออยากใหอะไรตางๆ มัน อยากเปนนั่นเปนนี้ใหได นอกนั้นทิ้งหมดเสียกอน หรือผูที่วามัวเมาใครเปนคนไปมัวเมาอยู ตรงไหน นี่วาถึงผูอยากแก ถาไมอยากแก แล วก็ทิ้งไวหัดใหชํานาญแล วมันหากจะแก ของมันเอง
๑.ผูถาม เราบางทีอยากทําแตสิ่งที่ดีเจตนาเรามุงไปในทางที่ดีแตวามันอาจจะผิดก ็ไดเพราะไม เข าใจในเจตนาของตน ทานอาจารย คือวาส ิ่ งท ี่ เราทําอะไรลงไป นึกคิดอะไรเราเขาใจวาของเราดีทั้งนั้น เราจึงคอยคิดคอย นึกคอยทํา ใครๆ ทําโดยมากมันเป นอยางนั้น เหตุนั้นจึงวาใหมีเคร ื่ องวัดเคร ื่ องวัดในทางพุทธ ศาสนาทานใหวัดตรงที่วาคิดอันใดมันเปนประโยชนตนและคนอื่นเป นของดีถาหากเป นเคร ื่ อง เบียดเบียนตนและคนอื่น ทําให ตนและคนอ ื่ นเสียหายอันนั้นเปนของไมดีนี่แหละเป นเคร ื่ องมือวัด ๑.ผูถาม ถาหากมีการตกน้ําแตเรามีชูชีพ ถาเราเสียสละให คนอื่นมันก็เป นการเบียดเบียนตน ถาหาก เราชวยตัวเราเองมันก็จะเป นการเบียดเบียนคนอ ื่นไหม ทานอาจารย นี่เป นกรณีพิเศษ เราไมไดทําให เขาตกน ้ํ าน ี่ เขาตกก ็ เร ื่ องของเขา หากเราจะยอมสละ ชีวิตเพ ื่ อเขาแลวก็เปนทานบารม ีของเราไมได เก ี่ ยวถึงเร ื่ องเบียดเบียนตนเบียดเบียนคนอื่น การ เบียดเบียนตนเบียดเบียนคนอื่นมันเก ี่ ยวถึงเร ื่องตนเป นเหตุจึงเรียกวาตนทําดีทําชั่วจึงเข าประเด็น นี้ วันที่๒๒ ธันวาคม ๒๕๑๙เวลาค่ํา แสดงธรรมเทศนา วันนี้จะอธิบายเร ื่องของคนเราไมมีสาระตอวันวานน ี้ที่อธิบายวาไมมีสาระน ั้ นหมายถึงหา ตัวตนไมไดเป นแคสักแตวาธาตุเฉยๆ เกิดมาก ็ เอาธาตุดิน น้ําไฟ ลมมาเกิดดับสลายไปก็ลงไป เปนดิน น้ําไฟ ลม ไมเห ็นไดอะไรและไมมีอะไรเหลืออยูที่เกิดมาถือตนวาเราวาเขาเพียงแตสมมุติ เรียกเอาเฉยๆ ไมมีสาระอะไรเลย เรียกธาตุสี่สมมุติธาตุสี่ใหเปนโนนเปนนี่แตแล วธาตุสี่มันหาได เป นตามเรียกไมธาตุสี่นี้มันชางแปรสภาพหลอกลวงให คนเราเห ็นเป นตางๆ ดีนักเห ็นเปนคนเปน สัตว เห ็นเป นหญิงเป นชายเห ็นเป นหนุมเป นแกเห ็นเปนบาวเป นสาวเห ็นเปนขาวเป นดํา เห ็นเปน ตางๆ เหลือท ี่จะพรรณนาใหสิ้นสุดลงได นอกจากไมมีสาระแลวเกิดมายังเบียดเบียนสรรพส ิ่ งและสัตวตางๆอีกด วยเพราะมนุษย เกิด มาแล วต องกินตองใชสิ่งตางๆ มากกวาสัตว เหลาอื่น เปนตนวา ชีวิตอันนี้ตองเน ื่ องด วยของภายนอก การกินตองกินเน ื้ อของผูอื่นเอามาแลกชีวิตของเราไวการใช เครองน ื่ ุงหมก็ตองเอาเปลือกไมใยไหม แลเสนดายเปนตน ที่อยูอาศัยต องใชไม มาทําเป นเรือนเปนรังอยูจะอยูโดดเดี่ ยวเหมือนสัตว บาง
จําพวกไมได แมรางกายอันนี้เกิดพิการเจ ็บไขไดปวยไมสบายตองอาศัยหยูกยามามาบําบัดก็ไมพน จากเบียดเบียนของอ ื่ นและสัตวอื่นอีกน ั่ นแหละ ตกลงมนุษย คนเราเกิดมามีดิน น้ําไฟ ลม ประสม เปนกอนแลว ตองเป นอยูดวยการเบียดเบียนคนอื่นและวัตถุสิ่งอื่นจึงจะอยูไดถาหาไมแล วก ็ จะอยู ไมได เลยเด ็ ดขาด ยังอีกส ิ่ งหน ึ่ งซึ่งนอกเหนือจากธาตุสี่จะเบียดเบียนเขาเห ็ นอยูแลว สิ่งนั้นก็คือความเห ็ นแกตัว มักไดอิจฉาริษยา เห ็ นคนอื่นดีกวาตนด ิ้ นรนอยูไมไดคิดปองร ายทําลายให เขาฉิบหายยอยยับไป การทําเชนนั้นคิดวาตนทําถูกแล วดีแลวแตแทที่จริงหากเป นการทําลายตนเอง ทําลายสุขภาพทั้ง กายและใจให เดือดร อนเปนทุกข อยูตลอดเวลา มนุษย คนเราเกิดมาต ั้งตนไวผิดคิดไมชอบแลวยอมไดรับผลกรรมทาให ํ เดือดร อนท ั้ งแกตน และคนอื่นดวย ฉะนั้นจึงควรคิดใหชอบประกอบตนใหสมกับเกิดมาเป นหนี้สิน บุญคณของดุิน น้ํา ไฟ ลม อยาเอาดิน น้ําไฟ ลม กอนนไปท ี้ ิ้งใสของสกปรกคือได มาแล วอยาไปทิ้ งกองขยะด วยการ ทําตัวเป นคนเลว ฆาสัตว เบียดเบียนคนอ ื่นไดชื่อวาทําลายตนเองและเบียดเบียนคนอ ื่ นด วยเกิดมา จะเป นคนมีคนจนก็ตองการมีชีวิตอยูดวยกันทั้งนั้น ไมตองการใหใครมาเบยดเบี ียนตน ของที่มีอยู เป นกรรมสิทธิ์ของตนใครก็ไมตองการใหใครมาลักขโมยเอาไปโดยเป นการขมเหงน ้ําใจของกัน ไม ชอบธรรมเลยของเราของเขาก ็ เชนเดียวกัน บุตรภรรยาสามีซึ่งเปนที่รักสุดใจใครมีแล วไดชื่อวา แก วดวงหนึ่ง ใครมาทําให แตกร าวหรือเศร าหมองก ็ เหมือนกันกับมาทําหัวใจให แตกร าวหรือเศรา หมองไป ฉันนั้น ของเขาของเราก ็ เชนเดียวกัน จึงไมควรทําตนใหเปนภัยแกสังคม และภัยแกตนเอง ดวยถึงศีลขอ ๔ ยิ่งเปนภัยแกโลกมากการแกล งกลาวคําเท ็จของไมจริงส ิ่ งท ี่ไรประโยชนยอมให เกิดโทษอยางร ายแรง ตกลงคนกลาวคําเท ็ จแล วโทษอยางอื่นที่เขาจะไมทํายอมไมมีสุราพาให คน ชั่วนับไมถวน คนดีๆ พอด ื่ มสุราเข าแล วชักใหมีอาการวิปริตแปลกๆ อยางน อยคนพูดไมเกงพอดื่ม สุราเข าไปแล วชักจะพูดเกงหรือจนเลยขอบเขตไปอีกด วย ของเลวๆ ดังท ี่ อธบายมานิ ี้ใครก็ยอมรูดีอยแลู วแตนิสัยสันดารคนเรามันชอบตามใจตัวเอง เห ็ นของเลวๆ เปนการโก เกคนจึงเปนเลวมากกวาเปนดีฉะนั้นถาหากไมนึกถึงของดีมีคุณเสียแลว จะยับยั้งใจของตนไมได คุณคือดิน น้ําไฟ ลม ซึ่งเป นของมีอยูในตนนี้ทําให เราเกิดมาเป นคน มิได สรางให เรามาทําความชั่ว ตัวของเรา (คือจิตใจ) เข ามาอาศัยอยูแล วบังคับให ธาตุดิน น้ําไฟ ลม กระทําความช ั่ วตางๆ เรียกวาเกิดมาเพราะคุณท ั้ งพอแมผูใหกําเนิดและดิน น้ําไฟ ลม ผูเปนวัตถุ ธาตุกอเกิดเปนตัวตนแล วมาทําความช ั่ วตางๆ นานาจึงไดชื่อวาไมรูจักคุณของผูมีคุณ เป นคน เนรคุณ แล วโทษทั้ งหลายเหลานั้น ถึงแม ธาตุทั้งส ี่โดยมีการบงคั ับกระทําลงไปแลวธาตุทั้งสี่ดับ สลายลงไปแลวยอมเป นของจิตแตผูเดียวจิตทําจิตใหไดรับผลกรรมนั้นๆ ตอไป
ทานอาจารย พาน ั่ งภาวนาพรอมท ั้ งอบรมธรรมนํากอน หลักของธรรมที่อธิบายมาท ั้ งหมดจะเกิดข ึ้นไดก็จากความสงบ ถาไมมีความสงบแล วธรรมจะ ไมชัดถาหากจิตเราอบรมให เข าถึงความสงบเสียกอน สิ่งท ี่ เราสงสัยมาแตกอนก ็ ตามหรือท ี่ เราจะคิด ตอไปก็ ตามจะชัดข ึ้นมาในที่นั้น เหตุนั้นจึงหัดทําความสงบเสียกอน นี่หลักฐานของธรรมจึงจะเกิด อยาพากันทิ้งอบรมความสงบใหได ตอบปญหาธรรม ๑.ผูถาม ขอกราบเรียนถามวาวิปสนาน ี่ จะอยูในขั้ นของอุปจารสมาธิหรืออัปนาสมาธิ ทานอาจารย อุปจาระเปนภูมิของวิปสนาอัปนามันพิจารณาอะไรไมได อุปจาระในที่นี้มีความสงบ เข าไปในอารมณอันหนึ่งวางอารมณ ภายนอกแล วมันไปมีอารมณอันหน ึ่ งของมันเฉพาะตางหาก ถามันเจือไปด วยอารมณ ภายนอกคือ ตามอายตนะทั้ง ๖ มีตาเปนตนธรรมดาๆน ี้ เองแตมันเห ็นได ชัดเปนไตรลกษณั ไปจึงเรียกวาวิปสสนา เข าถึงอัปนาไมมีอารมณ เสียแลวมันก็ไมเปนวิปสนาคําวา ชัดในที่นี้มันหมายความถึงวาอนิจจัง ทุกขังอนัตตาคือเห ็ นความเกิดดับของสังขารรางกายหรือสิ่ง สารพัดท ั้งปวงหมดจิตอันนั้นจึงคอยปลอยวางและเกิดความสลดสังเวชข ึ้นภายใน เม ื่ อเห็นชัดอยาง นึ้นั้นจึงเรียกวิปสนา ภูมิของวิปสนานั้นมีลักษณะอาการอยางที่วาน ี้ ละคือพิจารณาในตัวของเราให เห ็นเป นธาตุเปนขันธเปนอายตนะใหเห ็นเปนไตรลักษณ นี้เปนภูมิที่ตั้งของวิปสนา เราจะต อง พิจารณาอยางน ี้ ละเม ื่ ออยูในภูมิของวิปสนาแลวเม ื่ อวิปสนาจะเกิดก ็ เกิดข ึ้ นเอง เราแตงเอาไมไดถา แตงก ็ไมเป นวิปสนา เหมือนลูกไมบํารุงตนดีแลวลูกเกิดเองสุกเองฉะนั้น ๑.ผูถาม พยายามระงับอารมณ ภายนอกไมใหคิดอะไรสักอยางเดียวให อยูกับความสงบนั้น พอเรา จะคิดอะไรขึ้ นมา สภาพความสงบมันก ็หายไป ทานอาจารย มันก็อยางน ี้ ละซีคือเรารักษาความสงบใหมันมั่นคง เม ื่ อเรารักษาความสงบเราทิ้ง อารมณตางๆ อยาให อารมณ เข ามาแทรกในขณะนั้น เม ื่ อจิตมันสงบแล วมันจึงคอยเห็นชัดขึ้นมาตรง นั้น สิ่งท ี่ เราเห็นชัดท ี่ เรียกวาวิปสนา พระไตรลักษณญาณมันเห็นชัดตรงนั้น ไมใชเราออกไป
พิจารณา มันชัดอยูในนั้น มันปรากฏอยูในนั้น ถาตามไปพิจารณาเป นเร ื่องออกไปข างนอก มันเปน เร ื่ องแตงปรุงท ั้ งนั้น ๑.ผูถาม พยายามรักษาความสงบอันนี้มานานแลวเวลาพยายามรักษาความสงบคล ายๆกับมันหลับ ไป ตอมาจึงรูตัววาเราหลับไป ไมมีความก าวหน าเลย มันอยูเฉยๆ ทานอาจารย ให อยูนั้นละใหรักษาอันนั้นเสียกอน ไมใชของงายๆ คือใหมันชํานาญ วาเราจะรักษา ความสงบอยางน ี้ไดดวยวิธีใดที่จะใหมั่นคงอยูอยางน ี้มีอุบายแยบคายพริบไหวในตัวให เข าถึง ความสงบอยางน ี้ไดเสมอๆ คือ ชําระอารมณที่มันสอดแทรกมาภายนอกให อยูกับอันนี้เสียกอน อยาเพ ิ่ งสุกเร ็ วนัก มันจะรวงกอนสุก มันจะไมหวาน มันไมแนเหมือนกันเวลาพิจารณาไป ๆ บางคร ั้ งบางคราวมันชัดแลวรวมวูบลงไป หายสงสัยหมดเปนได เหมือนกันนิสัยไมเหมือนกัน หรอกดีที่สุดคือรักษาวิธีลูกไมอยาใหมันรวงถ ามันไมรวงมันจะต องสุกและหวาน วันที่๒๓ ธันวาคม ๒๕๑๙เวลาค่ํา แสดงธรรมเทศนา ทุกศาสนาทุกลัทธินิกายสอนให คนทําดีไมใชสอนให คนถือเฉยๆ สอนใหรูจักคุณงามความดี ละชั่ว ทําดีเหตุนั้นเราถือศาสนาใดลัทธิใดจงพากันต ั้งใจปฏิบัติตามศาสนานั้นลัทธินั้นๆ โดยเฉพาะ ทางศาสนาพุทธเมืองสิงคโปรนี้มีพระมาสอนใหรูจักพุทธศาสนาหรือวัดวาก็มีนอยผูนับถือพุทธ ศาสนาไมมีโอกาสไปวัดไปวา เราอยูที่บานจงให พากันมีวัดภายในคือที่ตัวของเรา ที่บานของเรา ทุกๆ คน วัดคือสถานที่ที่เราจะต องบําเพ ็ ญคุณงามความดีที่เรียกวาวัดเชน วัดในทางพุทธศาสนา มี กุฏิพระทานอยูมีโบสถมีวิหาร สําหรับทําสังฆกรรมหรือศาสนพิธีตางๆ หรือเปนสถานที่บําเพ็ญ บุญกุศลของศาสนิกชนท ั่วไป รวมความแล ววาวัดคือสถานที่ที่จะต องบําเพ ็ ญคุณงามความดีเม ื่อไป สถานที่นั้นแล วทุกคนจะต องพากันทําคุณงามความดีดวยการทํางาน ดวยการรักษาศีลดวยการไหว พระสวดมนต ดวยการเจริญภาวนาสมาธิเปนตน วัดอยางที่วาน ี้ แหละถาไมประกอบคุณงาม ความดีไมประพฤติดีในสถานที่ เชนนั้น ถึงแม จะมีพระอยูก็ตาม หรือสรางเปนวัดใหญโตรโหฐานก็ ชางวัดท ี่ไมมีคนปฏิบัติประพฤติดีประพฤติชอบ วัดน ั้ นเรียกวาวัดร าง เปนที่รังเกียจและเปนที่ เกลียดกลัวของคนท ั่ วๆ ไป ดังเขากลาวกันวาวัดร างมีเปรต ก็หมายความวาไมมีของดีในที่นั้น นั่นเอง
วัดของฆราวาสก ็ใหมีเหมือนกันกับของพระสงฆ วัดของชาวบ านก็คือวา มีบานมีเรือนรูจัก รักษาทําความสะอาด นี่เปนวัดอันหนึ่งรูจักรักษากิจวัตรคือวาทํางานประกอบอาชีพใหถูกต องตาม กาลเวลาอันนี้ก็จัดเปนวัตรอันหนึ่งวัตรอีกอยางหน ึ่ งก็คือวารูจักปรองดองสามัคคีในครอบครัวถา แตกร าวไมปรองดองกัน ก็ชื่อวาวัดร างเหมือนกัน เพราะฉะน ั้นเป นฆราวาสก ็จงใหมีวัตร เน ื่ องจาก เรามีวัดอยูที่บานของเราอยูแลวเราจึงไดไปอบรมนําเอาวัตรของพระมาไวที่บานของตน ดวยการ ทําทาน เรียกวา ทานวัตรดวยการรักษาศีลเรียกวาศีลวัตรดวยการภาวนา เรียกวา ภาวนาวัตรเอามา ไวที่บานของเรา เม ื่ อทุกคนมีวัตรอยูที่บานของตนอยางน ี้ แล วก ็ เรียกวา เราเปนผูมีวัดอันสมบูรณ เร ื่ องน ี้ แทที่จริงคนชาวพมาเขามีวัดที่ดีงามมาก ที่บานของเขาจําเป นจะต องมีเคร ื่ องสักการะบูชาคือ มีพระพุทธรูปและมีดอกไมบูชาทุกๆ วัน เชา เย็น กอนจะออกไปทํางานหรือกิจใด ๆ ไหวพระสวด มนต แล วทําความสงบไมใหขาดเป นนิจวัดของชาวพมาเขาดีมาก ที่วาน ี้ แหละคือ ทานวัตรศีลวัตร ภาวนาวัตร ทั้งสามประการนี้โดยเฉพาะสิงคโปรไมเห็น พระออกบิณฑบาตรเลยก็ยากที่จะไดทําทานวัตรเพราะฉะน ั้ นที่ยังเหลือศีลวัตร ภาวนาวัตรก็จงพา กันรักษาวัตรท ั้ งสองน ี้ใหสมบูรณ ศีลในที่นี้เราไมจําเปนที่จะต องไปวัดไปสมาทานกับพระก ็ได เรารูจักข องดเวนรูจักโทษนั้นๆ คือโทษหาประการเรียกวาศีลหาโทษแปดประการเรียกวาศีลแปด ขอให เข าใจงดเวนจากโทษเรียกวาศีลจิตเราต ั้ งเจตนางดเว นจากโทษนั้นๆ จึงจะเปนศีลไมใชเราอยู เฉยๆ เราจะเปนศีลเลยเราอยูเฉยๆ ไมไดทําอะไรเลยเรียกวาเปนศีลไมไดเราไมไดทํา เราตั้งเจตนา วาเราไมทําความช ั่ วหรือบาปนั้นๆ ขอ ๑ ถึง ๕ เราไมไดทําเรายินดีพอใจอยางนี้จึงจะเปนศีลศีล เป นเคร ื่ องวัดความดีของคนดังกลาวแลวคนเราหากไมมีศีลเสียเลยก ็ไมผิดอะไรกับสัตวทั่วๆ ไป คือบรรดาสัตวทั้งหลายเกิดข ึ้ นมาก็มีการหาเล ี้ ยงชีพตามประเภทของตนๆ มนุษย ของเราก ็ เชนนั้น เหมือนกัน ก็ไมเห็นผิดแปลกอะไรกนเลยั ศีลจึงเป นเคร ื่ องวัดความดีของคน ผูที่มีศีลเรียกวามนุษย อันสมบูรณ ผูไมมีศีลทานเปรียบอุปมามนุษย เหมือนกับสัตว ธรรมดาถามีศีลเรียกวามนุษย แท หรือ หากมีธรรม คือ หิริโอตตัปปะเป นเคร ื่ องอยูไดอีกเรียกวามนุษย เหมือนกันกับเทวดายังไมทันไป เกิดชั้นฟาสวรรค แตหากวาเป นมนุษย เทวดาอยูในโลกอันนี้เหตุนั้นคนเราเกิดมา ที่ไดสมบัติคือ มนุษย สมบูรณ อยางน ี้ แล วควรท ี่ จะรักษามนุษย สมบัติอยาใหเส ื่ อม อยาให ถอยหลังลงไปเป นมนุษย เหมือนกันกับสัตว จึงไดชื่อวาเรารูจักรักษาตัวของเรารักษาคุณธรรมของเราคือมนุษย สมบัติไว แลว เจริญมนุษย สมบัตินี้ใหยิ่งขึ้น จนมีหิริโอตตัปปะจึงจะเป นมนุษย เทวบุตรตอไป ทานอาจารย พาน ั่ งภาวนาพรอมท ั้ งอบรมธรรมนําดวย
โรคคือความไมสบายในกายความเจ็บความปวยไมสบายเรียกวาโรคเกิดขึ้นจากกาย โรค เกิดข ึ้นจากใจไมปกติเกิดความหว ั่นไหวเกิดความโลภความโกรธเกิดความเกลียดความรักความ ชัง เรียกวาโรคของใจโรคของใจนี่ แหละพระพุทธเจ าสอนให พากันรักษาด วยยาธรรมโอสถ ปฐม พยาบาลข ั้ นแรกคือปลอยท ิ้ งเสียอยาใหเป นอารมณ อยาคิดถึงเร ื่ องนั้นทําใหใจสงบ นิ่งอยูในที่ เดียว หากมันไมอยูก็ใหนึกเอาพุทโธมาไวเป นอารมณ นี่เรียกวาปฐมพยาบาล ( นั่งภาวนาประมาณ ๓๐ นาที ) สนทนาธรรม ๓.ผูถาม ผมเป นหมอ บางทีเห็นวาคนไข บางคนต องมีความศรัทธาเช ื่ อม ั่นในตัวหมอยิ่งเป นหมอท ี่ มีชื่อเสียงแล วก็ยิ่งเปนกําลังใจแกคนไขไดดียิ่งขึ้น อยากจะกราบเรียนถามทานอาจารยวา เหตุที่เปน เชนนี้จะเป นเพราะพลังอํานาจในความเชื่ อมั่นนี้ชวยใหคนไข หายจากการเจ ็บไข เชนกันใชไหมครับ ทานอาจารย เปนไดที่จะทําใหหายปวยจากโรคไดไมใชตลอดไปเป นบางกรณีที่เปนโรคเล็ กๆ นอยๆ ก็อาจพอบรรเทาไดบางทีโรคติดตอหรือโรคเรื้ อรังก ็ไมอาจจะหายได หมอก ็เป นคนดีมี เมตตาหรือน ้ําใสใจจริงกับคนไขคนไขก็เล ื่อมใสกับหมอ ทั้งสองพลังรวมกันเข าก ็ เลยทําใหทําให คนไขนั้นหายคือมันวางความเจ็บปวยน ั้นไปอยูกับความดีอันนั้น การปลอยวางน ั้ นแหละมันเปน พลังเหมือนกันกับเราหัดภาวนาทําสมาธิจะเจ ็ บจะเม ื่ อยก ็ ตาม ถาหากจิตมันยอมสละไปอยูในจุด เดียวจิตมันสงบไดมันก็หายเจ ็ บเม ื่อยไปได เหมือนกัน ๓.ผูถาม ขอกราบเรียนถามทานอาจารยวา บางทีมีคนรักษาคนไขที่เปนโรคมะเร็งโดยที่ เขาตัดเอา เน ื้ อท ี่เป นมะเร ็งของคนไข ออกแล วเอาเน ื้ อที่ดีใสเข าไปแทน หลังจากน ั้นคนไขก็หายจากโรคนี้ เวลาไปให นายแพทย ตรวจอีกก ็ไมพบมะเร็งและเวลาที่เขาผาตัดเอาเน ื้อของคนไข ออกนั้น เขาก ็ใช มีดธรรมดาไมคอยสะอาดและไมมีการเย ็บแผลใหคนไขอีกด วยแตเวลาท ี่ เขากําลังทําอยูนั้นเขา จะต องทําใจใหสงบ แล วคล ายกับวิญญาณของหมอเยอรมันมาเข ารางเขาแล วชวยเขาในการรักษา อีกด วยโดยที่ เขาเองก ็ไมรูสึกตัวเลยเหตุใดจึงเป นเชนนี้
ทานอาจารย เร ื่ องพรรคนี้มันตองหลายล านคนกวาท ี่จะเปนไดสักคนหนึ่ง เร ื่ องมหัศจรรย คนพิเศษ มันเป นของนอกเหนือจากเหตุผลเราเพียงแคไดยินแล วนําเลาสูกันฟงอยางน ั้ นแหละแตใครจะทํา ไดที่ทําไดก็คือเรียนแพทย เรียนหมอและทํากันอยูนี้แหละเร ื่ องหมอเยอรมันที่เลามาน ั้ นมันลวงเลย มาแล วหลายร อยปแล วก ็ไมมีใครทําได อยางเขาเสียด วย นานๆ จึงจะโผลขึ้นมาสักคนหนึ่ง เป นคน นอกเหนือจากเหตุผลเอาอะไรมาพิสูจน ไมไดขอใหปลอยไปตามเรื่ องเสียดีกวา เอามาคิดก ็ไมได อะไรเสียเวลาเปลาคิดส ิ่ งท ี่จะเปนไปไดนี้พระพุทธเจ าสอนวาความไมมีโรคเป นลาภอยางยิ่ง เพราะคนเราตั้งแตเกิดมาก็มีโรคประจําอยูแลวเซลลทุกตัวเกิดจากดิน น้ําไฟ ลม ซึ่งเปนวัตถุธาตุ วัตถุธาตุนั้นแลเปนที่ตั้งเปนบอเกิดของโรคนานาชนิด นอกจากโรคจากเซลล แล วโรคอันหน ึ่ งซึ่ง หมอแผนปจจุบันคนไมพบก็คือโลภ โกรธ หลง มีหมอคือพระพุทธเจ าองค เดียวคนพบและรักษา ให หายข ั้ นเด ็ ดขาดและวิชานั้นยังสอนกันมาตราบเทาทุกวันน ี้เอาไหมจะสอนใหปฐมพยาบาลที แรกต องหัดน ั่ งกําหนดจิตใหรูเร ื่ องของจิตกอน เพราะจิตเป นท ี่ เกิดของโรคนานาชนิดถาไมรูเร ื่ อง ของจิตโรคเกิดขึ้นก็ไมรูและไมทราบจะรักษากันที่ไหน จงต ั้ งสติกําหนดใหรูจักจิตของตนวาคิดดี คิดร าย หยาบและละเอียดอยางไรให เห็นจิตของตนอยูทุกขณะการรูตัวอยูอยางน ี้เป นความรูที่ดีมี ประโยชนดีกวาไปรูเร ื่ องคนอื่นสิ่งอื่น นี่พระพุทธเจ าสอนปฐมพยาบาลโรคมีอยูแล วทุกคนแตไม รูจักรักษาและไมเข าใจวาตนเปนโรคจนโรคกําเริบเต ็ มท ี่ แล วจึงรูจักวาตนมีโรค หมดหนทางท ี่ จะ รักษาให หายแลว ๓.ผูถาม ตามตําราแพทย เขาบอกวา เซลลตางๆ ทํางานรับรูสัมผัสตาง ๆเชนเราร ับในการเห็นรูป เปนตน ในพุทธศาสนาเร ื่ องนี้มีความเห ็ นอยางไร ทานอาจารย เร ื่ องนี้ถายอมรับกันวาคนตายแล วถ ายังมีกิเลสอยูเกิดอีกจึงจะอธิบาย ๓.ผูถาม ยอมรับวาคนตายแล วถ ายังมีกิเลสอยูเกิดอีก ทานอาจารย เซลล เปนวัตถุธาตุชนิดหน ึ่ งสําหรับรับรูทํางานอยูกับจิต คือผูรูถาหากเซลลทํางาน ไมได แลวเชนเซลลสวนใดสวนหน ึ่ งวิกาลเสียไมทํางานแตจิตนั้นยังทํางานอยู เชนตาเสียข างหนึ่ง ไมทํางาน แตจิตนั้นยังมีความรูสึกอยูวาตานั้นยังมีอยูดังน ี้เปนตน เม ื่ อเซลลทั้งหลายพิการไป หมดแลว (คือตาย) จิตนั้นยังไปยึดเอาขันธ๕ วาเป นของกูๆ อยูยอมไปเกิดในขันธ๕ อีกตอไป ถา ยึดขันธ๔ ไปเกิดในขันธ๔ (แทที่จริงคือขันธ๕ แตรูปละเอียด) ยึดขันธหน ึ่ งก ็ไปเกิดขันธหนึ่งคือ มีแตรูป ( คือจิตมันก็มีอยูไมรูตัวแล วปลอยวางรูปไมได ) ไมทํางานแตจิตนั้นยังทํางานอยู เชนตา
เสียข างหน ึ่งไมทํางานแตจิตนั้นยังมีความรูสึกอยูวาตานั้นยังมีอยูดังน ี้เปนตน เม ื่ อเซลลทั้งหลาย พิการไปหมดแลว (คือตาย) จิตนั้นยังไปยึดเอาขันธ๕ วาเป นของกูๆ อยูยอมไปเกิดในขันธ๕ อีก ตอไป ถายึดขันธ๔ ไปเกิดในขันธ๔ (แทที่จริงคือขันธ๕ แตรูปละเอียด) ยึดขันธหน ึ่ งก ็ไปเกิดใน ขันธหนึ่งคือมีแตรูป (คือจิตก็มีอยูไมรูตัวแล วปลอยวางรูปไมได) อนึ่งคนท ี่ ตายแล วยอมสละท ิ้ งเซลลนี้ทั้งหมดแตจิตนั้นยังไปยึดขันธ๕ จึงไปเกิดในขันธ๕ แล วก ็ได เซลล ใหมขึ้นมาอีกขันธ๕ ก็ดีเซลล ใหมก็ดียอมทํางานในหน าท ี่ เดิมตอไป เพราะจิตไปยึด ในขันธ๕ จึงไดขันธ๕ มิใชเซลล ไปยึดเซลล เป นแตเกิดแล วก็ดับไป จิตผูรูถาหากรูเทาตามเปน จริงวา เซลล เปนผูรับรูจิตเปนผูรูดีรูชั่ว หยาบละเอียด บาปบุญคุณและโทษ สติควบคุมจิตให อยูใน อํานาจของตนไดไมปลอยไปตามอํานาจของกิเลส เซลล และจิตทํางานรวมกันอยางน ี้ เม ื่ อแยกออก จากกันแล วก ็ จะเห ็นเป นคนละอันกัน เซลล ไมไดไปตกนรกข ึ้ นสวรรค จิตเทาน ั้นเปนผูไป เซลล ทาง ศาสนาทานเรียกวา ปสาทะเปนวัตถุธาตุชนิดหน ึ่ งสําหรับรับรูเปน ปสาทรูป ทํางานรวมกันอยางน ี้ จึงเปนไปโดยเรียบร อยถาเซลลวิกลสวนใดส วนหนึ่งสามารถรักษาด วยยาได แตถาจิตวิกลรักษา ดวยยาไมหาย ตองรักษาด วยธรรมโอสถเม ื่ อรักษาดวยธรรมะสวนใจหายแลว สวนเซลลก็พลอย หายไปด วยเซลลนี้ในทางพุทธศาสนาสอนวา ปสาทะเปนวัตถุธาตุชนิดหน ึ่ งสําหรับรับรูจิตเปน นามธรรมสําหรับทํางานรวมกันกับปสาทะก็ไดสําหรับควบคุมจิตไมใหสงสายก ็ได เม ื่ อแยกออก จากกันแล วเซลลยอมไมมีความหมายอะไรเลยจิตสามารถไปเกิดไดอีกหรือไปตกนรกหรือไปขึ้น สวรรคก็ได
อินโดนีเซีย วันที่๒๕ ธันวาคม ๒๕๑๙ - ๑๗ มกราคม ๒๕๒๐ วันที่๒๕ ธันวาคม ๒๕๑๙เวลาค่ํา แสดงธรรมเทศนา ที่วิหารอาโลกิเตศวรจาร กาตา อาตมาเข ามาในประเทศอินโดนีเซียแลว มีความรูสึกวาชาวอินโดนีเซียสนใจในพุทธศาสนา มากเม ื่ อกอนอินโดนีเซียปกปดด วยเมฆหมอกคือการเมืองจึงไมปรากฏวา ชาวอินโดนีเซียนับถือ พุทธศาสนา เม ื่ อเมฆหมอกนั้นคอยหายไป จึงปรากฏวา ชาวอินโดนีเซียยังนับถือพุทธศาสนาอยู ประมาณ ๑๐ กวาล านคนในจํานวนพลเมือง ๑๓ ลานคนท ั้ งๆ ที่พระเจ าพระสงฆก็ไมมีเลยแตยังคง รักษาความเปนพุทธมามกะไวไดในทามกลางของศาสนาคริสเตียน อิสลาม และฮินดูจึงนาชมเชย อยางยิ่ง ในประวัติศาสตรก็ได กลาวไววาอินโดนีเซียในสมัยโนนไดเปนคูแขงกันในเรื่ องถือ พระพุทธศาสนากับประเทศไทยแตก็ไมทราบวาไทยไดพุทธศาสนามากอนอินโดนีเซีย หรือ อินโดนีเซียไดพุทธศาสนามากอนไทย ในประวัติศาสตร สองเลมแย งกันอยูนี้เป นคนอ ื่ นเขียน ตางหาก มิใชชาวอินโดนีเซียเขียน ตําราเขาเผาท ิ้ งหมดหรือไมเชนนั้นชาวฮอลันดามาปกครองอยู ๓๐๐ กวาปเขาเก ็บไปเกลี้ ยงยังเหลือแตซากโบราณวัตถุแตก็เป นแบบฮินดูผสมพุทธเมืองยอร คยา ภาคกลางของเกาะชวาเต ็มไปดวยโบราณวัตถุที่ใหญที่สุดในโลกคือ บุโรบโดุ ( หรือบรมพุทโธ ) ถึงอยางไรก็ดีอินโดนีเซียเวลานี้กําลังฟนฟูพุทธศาสนา พากันตั้งพุทธสมาคมข ึ้ นหลายแหง รัฐบาลก ็ สนับสนุนเป นอยางดีตั้งพระหรือหัวหน าศาสนานั้นๆ เปนผูแทนเข าประชุม ดานวัตถุก็ สรางปูชนียสถานที่ทํากิจในศาสนานั้นๆ คล ายๆ กันกับเมืองโบราณของไทยไวในที่ แหงเดียวเปน ตนวาคริสตก็ตั้งหอสวดมนตไวอิสลามก็ตั้งสุเหราไว พุทธก ็ สร างที่สําหรับทํากิจของสงฆไวใครมี ธุระในศาสนาใดจะทํากิจในศาสนาของตนก็ทําไดไมหาม ถูกต องตามประสงคที่พระพุทธองค สอน ไว คนทําดีไมไดหาม หามแตคนทําช ั่ วเบียดเบียนซ ึ่ งกันแลกัน นั้นหาม พุทธศาสนาสอนใหเปนคนใจกว างถึงตนเองไมสามารถจะแสดงออกมาภายนอกด วยเหตุ สิ่งแวดล อม หรือยังไมพร อม แตในใจก็นึกคิดอยูเสมอวา มนุษยสัตวทั้งหลายทุกตัวตน จงไดรับ
ความสุขๆ เถิดจงอยามีเวรภัยแกกันเลยจงรักษาตนใหพนจากทุกขทั้งปวงเทอญ พุทธศาสนายอม รวบยอดเอาทุกๆ ศาสนาและวิทยาศาสตรทุกแขนงเข ามาไวในอุดมการแหงพุทธศาสนาแหงเดียว เพราะพุทธศาสนาท ี่ เกิดและดับอยูที่ใจถึงวัตถุที่ไมมีใจ ( หมายถึงวิชาทางวิทยาศาสตร ) ผูไป พิสูจนก็คือเอาใจนั้นเองไปพิสูจน ศาสนาอ ื่ นและลัทธิอื่นถึงแม จะสอนถึงใจก็ไปยึดเอาเพียงแตใจ นั้นเองวาเป นสาระ สวนศาสนาพุทธสอนนอกเหนือออกไปกวานั้นอีกวาถาใจเป นของมีสาระแลว ใจก็ตองเป นอัตตายอมพ นจากทุกข ไมได วันที่๒๖ธันวาคม ๒๕๑๙เวลาค่ํา แสดงธรรมเทศนา ที่บานคุณสุทธิพรกรรณสูตรจาร กาตา วันนี้จะอธิบายถึงเร ื่ องศาสนามีทั้ง เปลือกและกระพ ี้ และแกน อยูดวยกัน ผูนับถือศาสนาตาง แสวงหาสาระในศาสนาไมเหมือนกัน บางคนพอเห ็นเปลือกก็พอใจยินดีเทานี้ก็พอแลว บางคนยัง ไมพอใจคิดวาต องมีกระพ ี้ และดีกวาเปลือกแนพอเข าไปถึงกระพี้ก็พอใจแล วติดอยูเพียงแคนั้น บาง คนหาติดอยูเพียงแคนั้นไมธรรมดาไมตองมีแกนเปนที่ประสงค ของคนท ั้ งหลายเพราะแกนเปน ของทนนานแลมีประสิทธิภาพดีกวาอ ื่ นหมด พอเข าถึงแกนตามประสงคก็พอใจยินดีอยางยิ่งแลติด อยูที่แกนนั้น พระพุทธเจ าตรัสเทศนาวา เขาเหลานั้นยอมไมพนจากทุกข ไปได อะไรเปนเปลือกของพุทธศาสนาศาสนพิธีตางๆ เปนตนวา สังฆทาน ตางๆ พิธีเพ ื่อปลุกเสก พระพุทธรูปเพื่อใหศักดิ์สิทธิ์หรือขลัง ( เคร ื่ องรางของขลังตางๆ ไมเก ี่ ยวเปนของภายนอกศาสนา ) วิสาขบูชา มาฆบูชาอาสาฬหบูชา เปนตน แลศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ก็จัดเข าจําพวกเปลือก เหมือนกัน แตถาผูมีใจศรัทธาเล ื่อมใสยิ่ง ตั้งใจทําด วยความนอบน อมระลึกเอาพระคุณเป นอารมณ จริงๆ จนกระท ั่ งจิตแนวแนเป นเอกัคตารมณก็เข าถึงกระพ ี้ได เหมือนกัน แตถาพอใจเพียงแคนั้น เข าใจวา นี้ก็ดีแล วก ็ เลยติดอยูในเปลือก บางคนหาไดพอใจอยูเพียงแคนั้นไมศาสนายังมีความดีที่ละเอียดเข าไปกวานั้นอีก ตามคิดคน เข าไปถึงวาใหรักษาศีลและทําพิธีตางๆ นี้เพ ื่อประโยชนอันใดก็เข าใจวา เพ ื่อประโยชนความส ุข ของใจเพื่อป องกันภัยพิบัติของชีวิต ( คือความทุกข ) เม ื่อใจเชื่ อม ั่ นแนวแนไมหว ั่นไหวจนเปน เอกัคตารมณ แลวยอมมีพลังเต ็ มท ี่สามารถไดรับความสุขได แม แตพิธีปลุกเสกซ ึ่งเปนของไมใชทาง ศาสนาก็สามารถขลังอยูยงคงกระพันไดบางกรณีใจจึงนับวาเป นกระพ ี้ ของพระพุทธศาสนาคน ไมมีใจคือคนตายยอมรักษาศาสนาไวไมได บางคนเข าถึงใจแล วก็ยินดีอยูเพียงแคนั้น ทุกส ิ่ งทุก อยางสําเร ็ จแล วด วยใจ
บางคนยังคิดตอไปอีกวา ใจเปนของไมแนนอนคลอนแคลน เด ี๋ ยวคิดไปโนนไปนี่ไมนิ่งอยู กับที่ไดใจเป นอนัตตาหาไดมีสาระอะไรไมคิดอยากโกรธเกลียดใครก็ได แล วนําความเดือดร อน มาใหแกตัวเอง ใจเกลียดใจโกรธใจเปนโทษทุกขทรมานดวยตนเองจึงเห็นวาใจนี้ไมมีสาระแลว ไมเข าไปยึดเอาใจมาเป นของตัว ปลอยวางใจเสียเห ็นใจสักแตวาผูนึกคิดทําความรูเทาแล วอยูเมื่อ อายตนะผัสสะยังมีอยูจําเป นจะต องรูตองเห็น แตไมเข าไปทําความเศราหมองใหใจเม ื่ ออายตนะน ี้ ดับไปแลวผัสสะยอมไมปรากฏ ยอมดับไปด วยกัน อันนี้เป นแกนของพระพุทธศาสนา ตนไมตองอาศัยเปลือกกระพ ี้ และแกน เป นเคร ื่ องสนับสนุนอุดหนุนซึ่งกันแลกัน ตนไมนั้น จึงจะถาวรม ั่ นคงเจริญงอกงามไดถามีแตแกนเขาเรียกวา ตนไม ตายถามีแตกระพ ี้และเปลือก ตนไม นั้นก็จะไมคงทนก็ตองล มไป ถามีแตเปลือกแล วย ิ่ งล มงายตายเร ็ วที่สุดเชนตนมะละกอเปนตน พุทธศาสนาก ็ เชนนั้นเหมือนกัน ที่เจริญมาไดถึง ๒๕๒๐ ปก็เพราะพุทธศาสนาสมบูรณดวย เปลือกกระพ ี้ และแกน ดังอธิบายมาแลว วันที่๒๗ ธันวาคม ๒๕๑๙เวลาเชา หลังจังหัน แสดงธรรมเทศนา ที่บานเอกอัครราชฑูต การเดินทางมาอินโดนิเซียคร ั้ งน ี้นับวาเปนโชคดีของอาตมาและชาวอินโดนีเซียด วยเปน เวลานานทีเดียวจึงจะได มาและตอไปก็ไมทราบวาจะได มาอีกหรือไมเพราะความคร ่ํ าคราชราของ ผูมาท ั้ งชาวอินโดนีเซียโอกาสจะไดพบเห็นเชนนี้ก็หาได ยาก พอดีกับฑูตทหารบก พ.อ.พงศ สุรพัฒน แลทานเอกอัครราชทูต คุณเถลิงไทย ชาติประเสริฐ ปรารภจะทําบุญขึ้นปใหมอยูแลวคณะ ของอาตมาเดินทางมาโดยมิได ทราบขาวเลยแตมาเจอกับเจตนารมณ ของทานท ั้ งสองพอดีฉะน ั้ นจึง เปนโชคดีแลเปนศิริมงคลมหากุศลอันล้ําเลิศอยางหนึ่ง การทําบุญขึ้นปใหมของชาวพุทธพวกเราตามประเพณีนั้น พอถึงวันที่๑ เดือนมกราคม ตอง พากันตักบาตรทําบุญประจําทุกปความจริงการทําบุญพระพุทธเจ าทานไมไดหาม การทําบุญคือ การทําความดีใหอิ่มอกอ ิ่มใจ ทําใจของเราด วยความราเริงบันเทิงด วยความดีอยูเปนนิจ ฉะนั้นจึงไม ตองเลือกวาจะเป นเดือนไหนก็ทําไดทั้งนั้น มิใชวันที่๑ มกราคมของทุกปจึงจะเปนบุญ ประเพณีก็ ไวตามประเพณีแตจิตใจของเราอยาไปถือถามิฉะน ั้ นจะขาดบุญกุศลอันตนจะพึงไดขึ้นปใหมวันที่ ๑ มกราคม ของทุกปก็เปนวันครบรอบอายุของเรารอบส ั้ นเข าไปกวานั้นอีกคืออาทิตย หนึ่ง ครบรอบหนึ่งก ็ ควรทําบุญ หรือย ิ่ งสนเข ั้ าไปอีกวันหนึ่ง ๆ รุงเช าเกิดมาเราไมตายเป นคนอยูควรจะดี ใจยินดีกับการท ี่ เรายังเป นคนอยูแล วทําบุญตักบาตรเสีย ทําอยางนี้ก็จะเป นมงคลอยางยิ่ง ทาน
เอกอัครราชทูตมาอยูอินโดนีเซียหาพระยากคิดจะทําบุญแตละทีก็ไมมีพระลําบากใจมากคราวน ี้ คิดจะทําบุญก ็ พอดีบังเอิญมีคณะของอาตมาเหมือนกับรับนิมนต ไว แตนานแลวจึงไดทําบุญตาม ปรารถนาถาหากคุณหญิงอยูดวยย ิ่งจะไดความปลาบปลื้มปติมากเทานี้ก็พอแกความต องการแลว นี้เป นการทําบุญขึ้นปใหมทุกคนควรเข าใจอยางน ี้ ยังอีกทําบุญอายุตามธรรมเนียมของคนไทย เม ื่ ออายุครบรอบ ๖๐ ๗๐ ๘๐ ๙๐ จะมีการทําบุญ ฉลองอายุคร ั้ งหนึ่งแสดงวาเรามีอายุยืนนานมาถึงขนาดนี้ยังไมตายก็ฉลองอายุคร ั้ งหนึ่งขอเท ็ จจริง แล วเราตายอยูทุกวัน ตายจากสภาพหน ึ่งเปนอีกสภาพหนึ่ง ตายแตยังอยูในครรภ มารดาจนกระทั่ง คลอดออกมาเป นเด็กเป นหนุม เป นสาวจนแกจนทุกวันนี้ความแกนั้นแลคือความแปรสภาพ เปนไปตางๆ นานาคือความตายแตไมถึงที่สุดคือแตกดับสลายไปเรียกวาอปฺปฏิจฺฉนฺน มรณะถา แตกดับสลายไปเรียกวา ปฏิจฺฉนฺน มรณะเม ื่อความตายไลเราเข าหาท ี่ จนอยูอยางน ี้ ตลอดเวลาจึง ควรทําบุญอายุแยงเอาความดีจากความตายอยาให ความตายลากเอาชีวิตของเราไปถายเดียวจงทํามา หากินอยูในขอบเขต อยาไดคิดคดโกงเลี้ยงชีพกินแล วจะไดรับความเดือดรอนภายหลังอันจะยัง ชีวิตใหสั้นไมเปนคุณประโยชน แกรางกายเลยแทที่จริงรางกายมันก็มิไดบอกใหทําชั่วแตใจไปทํา เองรางกายมันก็เพียงแตธาตุสี่คือดิน น้ําไฟ ลม เทานั้น ใชใหมันทําก็ทําตามหน าท ี่ ตายแล วผล กรรม ที่มันทําก ็ตกมาเปนของใจผูใช เกิดมาอยูในโลกนจะอย ี้ ูคนเดียวไมได อยูหมูมากตองมีการแกงแยงกัน เอารัดเอาเปรียบกัน ถา วางตัวไมถูกจะอยูเปนทุกข อายุจะส ั้ นตายงายโดยเฉพาะฆราวาสจะอยูคนเดียวไมได ชวนหาเพ ื่ อน คูรักเป นหมูกวาจะหาไดที่ชอบใจก็ นานหนักหนา ได มาก็ตองหาผูใหญมาเปนสักขีพยาน หาฤกษ วันดีคืนดีพอได มาแล วไมกี่วันตางก ็ เร ิ่ มต ั้ งตัวเป นนักเทศน วาตัวมีความรูดีกวาเขา เร ิ่ มอารัมภบท ดวยคาถาเล ็ กๆ นอยๆ เม ื่อเขาไมฟงก ็เอาใหญภรรยาสามีทะเลาะกันดวยเร ื่องปากเรื่ องท องดวย อยากเปนใหญมีอิสระเสรีตางคนก ็เปนนักเทศน ไมมีใครฟงใครแล วเทศนมันจะมีประโยชนอะไร ผลที่สุดก็พังกันทั้งสองฝาย ความอดกลั้นคือความทนทานเปนตปธรรมอยางยิ่ง เราเปนผูใหญมีการศึกษาดีรูจัดผิดถูกช ั่ วดี จงทําตนใหสมกับเปนผูใหญผิดนิดผิดหนอยคอยอดคอยกลั้นพิจารณาหาเหตุผลให เข าใจเอาช ั่ วมา ลบดีดูถายังเหลือเพียง ๕-๑๐-๒๐ เปอร เซ็นตพึงอดกล ั้นไปกอน ถาลดต ่ํ ากวาน ั้ นแล วจึงท ิ้ งเสียแต ทั้งน ี้ อยาเอาตัวบุคคลซ ึ่ งตัวอุปาทานเขาไปเกี่ ยวก็จะแก ไขกันได คนเราผิดใจกันเพราะไมเข าใจซึ่ง กันแลกัน บางทีเข าใจกันดีอยูแตภาษาคําพูดนั้นผิดกันคนละทางจึงเป นเหตุใหผิดใหญผิดโต เม ื่ อจับ จุดอันนี้ได แลวก็จะอยูดวยกันอยางราบรื่น ความสุขกายด วยความไมทะเลาะกันทําหาเล ี้ ยงชีพก ็ อยู
เปนสุขไดมากมีนอยคอยเล ี้ ยงชีพตามอัตภาพก ็เปนสุข สร างความดีก็มีพลังให เกิดความสุขเต ็ มท ี่จึง ไดชื่อวาทําบุญอายุโดยแททําบุญอายุนี้ทําไดทุกเมื่อไมตองอายุ๖๐-๗๐-๘๐ปแล วจึงทําถาทํามี ความเดือดร อนเพราะลงทุนมากไมมีเงินก็ดีเกิดความวิวาทเพราะความไมสงบก็ดีหาเปนประโยชน ไม เวลาค่ํา แสดงธรรมเทศนา ณ พุทธสมาคม เม ื องบันดุง อาตมามาอินโดนีเซียเพราะระลึกถึงชาวอินโดนีเซียไดขาววาชาวอินโดนีเซียนับถือพุทธ ศาสนามีจํานวนมากและกําลังตื่นตัวอยากฟนฟูพุทธศาสนาให เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป เราชาวพุทธด วน กันจึงอดคิดถึงไมไดไหน ๆ ก็ได มาแล วจึงไปเยี่ ยมหมูเพ ื่ อนแลญาติโยมโดยลําดับ คือค างอยู สิงคโปร ๑๐ คืน ไปออสเตรเลียเสยราวี๔ อาทิตย แล วย อนกลบมาทั ี่สิงคโปรอีก ๑๐ วัน จึงได มา ที่นี่มาแล วก ็ อยากอยูนาน ๆ ไมทราบโอกาสจะอํานวยหรือไมเทาท ี่โอกาสจะอํานวยน ี้ อาตมาจึง อยากจะอบรมภาวนาเพ ื่อเปนแนวทางปฏิบัติตอไป การอบรมภาวนานั้นหมายความวา ทําใจของตนใหเป นอารมณอันเดียวอยูในจุดเดียวใหรูใจ ของตนวาคิดดีคิดช ั่ วหยาบและละเอียดอยูตลอดเวลายืน เดิน นั่ง นอน คิดดีก็พยายามประครอง อารมณนั้นไวให เกิดปติอิ่มใจคิดช ั่ วก ็ พยายามละทิ้งอยาใหติดอยูกับใจ ทําความรูเร ื่องของใจเทาน ี้ เป นพอไมไปรูเร ื่ องอื่น เร ื่ องอ ื่ นของคนอ ื่นไมใชเร ื่ องของเราถาเราเข าไปเกี่ ยวข องแล วจะทําอะไร ใหเราไมได ภาวนาคือหัดทําความสงบของใจ รูใจของตนอยูเสมอวาคิดดีคิดช ั่ วหยาบและละเอียด ทุกอิริยาบถไมตองอยากรูโนนนี่ตาง ๆ นานา มันไมเป นภาวนาเสียแลวรูอะไรไมเทารูใจของ ตนเอง หากมันจะรูก็ใหมันเกิดเองเป นของมัน จะไปคิดปรุงแตงใหมันเกิดข ึ้นมาใชไมได เม ื่ อมัน เกิดขึ้นก็จงรักษาสติคุมใจให อยูก็แล วกัน วันที่๒๘ ธันวาคม๒๕๑๙เวลาค่ํา แสดงธรรมเทศนา ณ พุทธสมาคม เม ื องบันดุง
เปนโอกาสอันดีที่อาตมาได มาที่นี่แตเปนเวลานอยเหลือเกินจะมีเวลาอยูสัก ๓ คืนเม ื่ อมาถึง แล วเวลาน อยก ็ไปเยี่ยมใหทั่วถึงกัน เพ ื่อจะไมใหเสียเวลาเม ื่ อมาแล วก ็จะแสดงธรรมใหฟง เพ ื่อจะได นําไปปฏิบัติตอไป การแสดงธรรมในวันนี้จะแสดงเร ื่ องความอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ าของเรา ตาม ประวัติวาพระพุทธเจ าน ั้นเปนโอรสกษัตริยศากยราช ชื่อพระเจ าสุทโธทนะ นามเดิมเรียกวา สิทธัต ถะเสด ็ จออกบวชจากตระกูล บําเพ ็ ญทุกรกิริยาอยู๖ พรรษาจึงไดสําเร ็จเป นพระพุทธเจา นี่ตาม ประวัติวาไว อยางนั้น แตขอเท ็ จจริงพระพุทธเจ าเกิดขึ้นที่พระทัยอันบริสุทธิ์ของพระสิทธัตถะราชกุมาร พระองค มา ทําสมาธิให แนวแนจนเป นอารมณอันเดียวมิได เก ี่ ยวข องเร ื่องโลกวิสัยจิตผองใสสะอาดเต็ มท ี่ แลว พิจารณาเห ็ นธรรมรูแจ งตลอดทะลุปรุโปรงในธรรมทั้งปวงจึงไดเป นพระพุทธเจา เราท ั้ งหลายมา หัดภาวนาทําสมาธิอยูนี้ก็ตองการอยากเข าถึงคุณของพระพุทธเจ าท ี่ ตรงนั้น อยางน อยเม ื่ อจิตของเรา เข าถึงสมาธิแลวละอารมณทั้งหลายไดเป นคร ั้งเป นคราวก ็ไดชื่อวาดําเนินตามรอยพระบาทยุคลคือ ปฏิปทาที่ พระองค ไดดําเนินมาแลวเราท ั้ งหลายจึงควรยินดีดวยปฏิบัติตนเป นอยางยิ่ง เม ื่อไดทราบความเกิดของพระพุทธเจ าแลวจงมาฟงธรรมท ี่ พระองค สอน สอนท ี่ไหนบ าง ถึงแม พระองค จะทรงสอนพุทธบริษัทอยูนานถึง ๔๕ ปก็สอนที่มีคนฟงไมไดสอนสัตว สาราสิงห แลสอนท ี่ กายวาจา ใจให เห ็ นกายวาจา ใจของตน เม ื่ อเห ็ นแล วส ิ่ งที่ชั่วก ็ใหละเสีย สิ่งที่ดีก็ได เก็บ รักษาไว เห ็ นความสุขอันเกิดจากการปฏิบัติตาม เช ื่ อแนวแนดวยใจของตนอยางน ี้ แลวยอมตน ปฏิบัติดวยความสุจริตใจจึงไดชื่อวาพุทธบริษัทอันมีคุณธรรม ๕ ประการเป นเบ ื้ องตน คือ ๑. เช ื่ อม ั่นในพระพุทธเจ าวาพระองค ตรัสรูเป นสยัมภูดวยพระองค เองจริง ๆ เปนผูพน จากกิเลสท ั้งปวง ทําพระทัยของพระองค ใหบริสุทธิ์ได แท จริงแล วไมประมาทดูถูกถาประมาทดูถูก เหยียดหยามก ็ขาดจากความเปนอุบาสกอุบาสิกาผูนับถือพระศาสนาไป ๒. เช ื่ อม ั่นในพระธรรมคําสอนของพระพุทธเจ าวา เปนนิยยานิกธรรม นําผูปฏิบัติให ได ผลดีได แท จริงแล วไมประมาทเคารพนบน อมอยูเปนนิจถาประมาทก็ขาดจากเปนผูนับถือพระ ศาสนาไมไดชื่อวาเปนอุบาสกอุบาสิกาตอไป ๓. เช ื่ อม ั่นในพระสงฆ สาวกของพระผูมีพระภาคเจาผูปฏิบัติดีปฏิบัติตรงตอทาง นิพพานปฏิบัติเปนไปเพื่ อพ นจากทุกข ปฏิบัตินากราบไหว แลบูชา เป นนาบุญของโลกและนําเอา ศาสนาน ั้ นมาเผยแพรใหพวกเราไดปฏิบัติตาม แล วไมประมาทดูถูกเหยียดหยาม ถาประมาทดูถูก เหยียดหยามก ็ ขาดจากอุบาสกอุบาสิกาในพระศาสนาตอไป ๔. เช ื่ อกรรมเช ื่ อผลของกรรม เราทําดีไดดีทําช ั่วไดชั่วไมมีใครจะมาบันดาลใหโชคลาภ หรือเคราะห กรรมตาง ๆ ใหไดไมนับถือไสยศาสตรโหราศาสตรตาง ๆ ที่เรียกวา มงคลตื่นขาวถา
เช ื่ อหรือนับถือก ็ขาดจากพระไตรสรณคมน ๕. ไมนับถือศาสนาอ ื่ นนอกจากพุทธศาสนา ทั้งห าประการนี้เปนภูมิของอุบาสกอุบาสิกาถึงบวชสามเณรก็ถึงพระรัตนตรัยน ี้ เสียกอน จึงจะบวชพระได ๖. ถาผูมีศีลห าเปนนิจทานจัดวาเปน โสดาบันบุคคล ที่ได อธิบายมาในวันนี้ก็พอสรุปไดวา พระพุทธเจ าเกิดขึ้นที่พระทัยของเจ าชายสิทธัตถะท ี่ บริสุทธิ์ผุดผองแลวจึงได พระนามวา พุทโธ ๆ ดังน ี้ เพราะพุทโธคําน ี้ หมายความเอาคุณนามท ี่ได ตรัสรูเองชอบนั้นตางหาก มิได หมายเอาตัวคนของพระสิทธัตถะเม ื่ อทราบความเกิดของ พระพุทธเจ าแลว พระธรรมอันพระพุทธเจ าได ตรัสรูแล วน ั้ นทรงนํามาสอนแกเหลาพุทธบริษัท ทรง สอนท ี่ไหน พระพุทธเจ าสอนธรรมที่ตัวคนเรา ตัวคนเรานี้ก็มีกายวาจาใจถาไมครบทั้งสามก ็สอนไมได เพราะศาสนาจะต ั้ งอยูไดก็ที่กายวาจา ใจคนตายแล วไมสามารถรักษาศาสนาไวไดสอนให คน ประพฤติกายวาจา ใจใหสุจริต โลกอันนี้จะเปนโลกขึ้ นมาก ็ เพราะคน คนสรางโลกให เกิดขึ้น ศาสนาตามมาสั่งสอนโลกเพื่อใหโลกอยูเปนสุขโลกจะฉิบหายเส ื่ อมสูญก ็เพราะคนเราไมมี ศีลธรรมให เข าถึงข อปฏิบัติที่สุจริต เม ื่ อผูปฏิบัติฝกหัดตนจนเข าถึงความสงบแลวจะเห ็ นความบริสุทธิ์ของใจผองใสสะอาดในที่ นั้น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ ลงมารวมเข าเปนอันเดียวกัน หมดสงสัยในคุณพระรัตนตรัย เรียนมากยิ่งสงสัยมาก หากมีการปฏิบัติเข าถึงความสงบแลวจะส ิ้ นสงสัยทันทีพระองค สอนให ปฏิบัติมิไดสอนให เรียนเฉย ๆ เรียนเฉย ๆ ไมมีการปฏิบัติเทากับอมอาหารไมกลืนกิน (หมดเวลาไมไดนั่งภาวนา) วันที่๓๐ธันวาคม ๒๕๑๙เวลาเท ี่ ยง แสดงธรรมเทศนา ณ วิหารธรรมะวิริยะเม ืองโกโรลาน วันนี้ชาวอินโดนีเซียจะได พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ ครบถวนแลว มีพระสงฆทั้งชาว ไทย ชาวฝรั่งและชาวอินโดนีเซีย พรอมท ั้ งมีแมชีดวย มีมาอยูในที่นี้ครบถวนบร ิบูรณอีกวาระหนึ่ง เม ื่ อราว ๒๐ ปกวามาแลวอินโดนีเซียเปนประเทศที่มืดอยูคือไมไดขาวพุทธศาสนาวามีในประเทศ นี้เลยเพราะเมฆหมอกแหงการเมือปกคลุมอยู เราได ทราบขาวแตประวัติศาสตรวาอินโดนีเซียนํา
พุทธศาสนาไปจากเมืองไทยแล วก ็หายไปเราเขาใจวาอินโดนีเซียกลายเปนอิสลามไปหมดแลว หลังจาก ๒๐ บีมาแลวเมฆหมอกแหงการเมืองคอยจางไปจึงปรากฏวา มีเจดียสถานแลสถูปใหญโต รโหฐานอันเปนปูชนียวัตถุในทางพุทธศาสนา มีอยูในชาวภาคกลางแตไมมีพระสงฆ และพุทธ บริษัทก็มีมากประมาณ ๑๐ กวาล าน เราคิดถึงจึงได เดินทางมาสืบดูดวยตนเอง เม ื่ อเดินทางมาถึงแล วก ็ได ทราบวาอินโดนีเซียเคยถือพุทธศาสนามาในสมัยหน ึ่ งซ ึ่ งมีพระเจา แผนดินเปนประธาน ทําใหพุทธศาสนารุงโรจน มาแล วนับตั้งหลายร อยปทั้งน ี้ จะเห ็นไดจากปูชนีย วัตถุตาง ๆ ที่เมืองยอร คยาน ี้ประวัติศาสตรยังไดยินมาวา บุโรบุโดนี้ สร างอยูถึง ๙๐ ปถามิใชพระ เจ าแผนดินแล วไมมีใครทําไดโลกอันนี้มันแสหมุนไปหมุนมาเจริญแล วก ็ เส ื่ อม เส ื่ อมแล วก ็ เจริญอยู อยางน ี้ ยุคนจะเข ี้ าสูยุคเจริญด านจิตใจอีกยุคหน ึ่ งก ็ไดโดยเฉพาะเมืองอินโดนีเซียท ี่ได เห ็นทรากปู ชนียวัตถุทางพุทธศาสนา ซึ่งเป นของเกาแกมานาน อดท ี่ จะอนุสรณถึงพระศาสนาไมไดจึงพร อม กันตั้งใจสามัคคีรวมกันเข าเปนพุทธมามกะนับถือพุทธศาสนา เปนที่นาเห ็นใจอยางย ิ่ งทั้ง ๆ ที่ไมมี พระสงฆนําเลยก็ยังรวมกลุมกันไดดังจะเห ็นไดในวันนี้มารวมกันนับพัน ๆ อาตมาเห ็ นเข าแล วจน ขนลุกซูไมนึกเลยวาพุทธบริษัทจะพร อมเพรียงกันอยางน ี้ เรานึกวาดภาพชาวอินโดนีเซียกอนจะมาวาเป นคนแขก ที่ไหนมาถึงเข าแล วมิใชคนแขก รูปรางหน าตาเหมือนคนไทยดีๆ นี้แหละจะผิดแผกแตภาษาถึงอยางนั้นก็ดีหลาย ๆ คํากเหม ็ ือน ภาษาไทยขนบธรรมเนียมประเพณีคล ายกันมากเห ็ นจะเพราะชาวอินโดนีเซียเคยนับถือพุทธ ศาสนามากอนแล วก ็ได แท จริงไมวาชาติไหนภาษาไหน เม ื่ อถือพุทธศาสนาแลวจะมีกิริยาวาจาออนนอมคลายกัน เพราะพุทธศาสนาสอนใหละสักกายทิฏฐิถึงจะไมหมดก็คอยลดหยอนลงบ างคนถือพุทธศาสนาจึง ไดชื่อวาเป นธรรมทายาทรับนับถือพุทธศาสนาเป นอันเดียวกัน ถึงจะอยูถิ่นไกลแสนไกลก็เป นญาติ กันโดยธรรม ชาวอินโดนีเซียกับคนไทยเป นญาติกันโดยเชื้ อสายอาเซียน และเป นญาติโดยทาง ธรรมด วยประการฉะนี้ เวลาบาย แสดงธรรมเทศนา ที่วิหารสัจจะวิริยะธรรมะเม ืองโกโรลาน อุบาสกอุบาสิกาท ี่ มารวมกันในสถานที่ ณ ที่นี้เพ ื่ อต อนรับอาตมาพร อมด วยคณะขอแสดง ความดีใจขอขอบอกขอบใจมากซึ่งได เห ็ นชาวพุทธอินโดนีเซีย ซึ่งไมเคยคิดนึกวาจะมีชาวพุทธ พร อมเพรียงสามัคคีกันมากมายขนาดน ี้ พอเห็นก็เกิดความปลื้มปติมากทีเดียวแตกอนมาจาก เมืองไทยในความคิดความเห ็ นหรือความฝนของคนไทยเขาใจวาชาวอินโดนีเซียท ั้งหมดเปน
อิสลามและฮินดูโดยเฉพาะเขาใจวาเป นแขกเสียด วยซ้ํา เวลามาเห ็ นเข าจริง ๆ จัง ๆ ชาวอินโดนีเซีย เป นชาวพุทธกันมากแลวก ็ไมใชแขกด วยดูลักษณะทาทีหน าตาและจรรยามารยาทแมคําพูดบางคํา ก็เปนไทยเสียกันมากถาคนชาวอินโดนีเซียเข าไปในประเทศไทย หากไมพูดภาษาอินโดนีเซียก ็ จะ ไมมีใครทราบวาเป นชาวอินโดนีเซียคงจะเข าใจวาเปนคนไทยด วยกันทั้งนั้น เหตุนั้นเทาท ี่ มาเห็นนี้ จึงวา เปนที่ปลื้มปติอยางมากวา ชาวอินโดนีเซียและประเทศไทยไมใชไกลกันเลยจะเปนพี่นองกัน ดวยสายโลหิตก็วาไดคือผิวพรรณและหนาตาท ั้งการประพฤติปฏิบัติจรรยาไมตางกัน คล ายคลึงกัน มาก นอกจากนั้นอีกยังเปนธรรมทายาทสัมพันธกันเก ี่ ยวข องกันคือถือพุทธศาสนาด วนกัน เป นลาภอันดีมากที่ชาวพุทธอินโดนีเซียของเรา เม ื่ อตะกี้นี้ไดผานมาที่วิหารธรรมวิริยะก็รูสึก วามีประชาชนชาวพุทธมามากพอสมควร มาถึงที่นี้เข าก็นึกวาไมมีเพราะอยูใกลกันนิดเดียว พอดีมา เห็นที่ไหนไดมากขึ้นกวาเกาอันนี้จึงไดชื่อวาเป นลาภอันใหญยิ่งของชาวพุทธของเรา ชาวพุทธท ี่ จะ ตั้งตัวและกอตัวข ึ้นมาในระยะเวลาหกเจ็ดปมีชาวพุทธข ึ้ นมาหนาแนนเชนนี้แสดงถึงเร ื่ องน ้ําใจ หนักแนนในพระรัตนตรัยคือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ แตที่เม ื่ อกอนยังไมปรากฏตัวก็เพราะ เหตุที่วาไมมีคนมาชักชวนและแนะนํา พอดีมีพระสุภัทโตมาชี้แจงแสดงใหฟงจึงคอยพากันตื่นตัว รูตัวขึ้น จนได พากันมาปฏิญาณตนเปนพุทธมามกะเทาที่มีอยูแล วเรียกวามากเหลือหูเหลือตา ตอไป ก็เข าใจวาจะมีตอ ๆ ไปอีก นี่ไดชื่อวาเปนโชคเป นลาภอันดีของชาวพุทธในที่นี้และขอให พากัน รักษาไวประเทศพมาไมตองพูดละ สวนประเทศที่พุทธศาสนาเส ื่ อมเหมือนกับประเทศอินโดนีเซีย เม ื่ อหนหลัง เชนประเทศลาวและประเทศเขมร นับวันที่จะเส ื่อมโทรมลงไปโดยลําดับ ถาชาว อินโดนีเซียของเราต ั้ งม ั่ นอยูในพุทธศาสนาตอไป จะได เทิดทูนประเทศชาติหรือเกียรติคุณของชาว อินโดนีเซียให เทียมทันประเทศเพื่ อนบานของเราที่มีศาสนาเจริญ เรียกวากูหน าคืนมาจนไดขอให พากันระลึกถึงความข อน ี้ จงมากศาสนาเป นของดีเส ื่ อมสูญไปนานแสนนานจนไมมีชื่อในประวัติวา เส ื่อมไปตั้ งแตเม ื่อไรเม ื่ อเรารูสึกตัวอยางน ี้ แลวขอจงพากันใหตั้งมั่นตอไปในศาสนาพุทธ ที่อธิบายใหฟงวาชาวอินโดนีเซียเปนผูมีโชคดีลาภดีคือได ของดีเบ ื้ องตนคือไดอัตตภาพเปน คน ถาหากวาไปเปนสัตวดิรัจฉานเสียแลวเราก ็ไมสามารถที่จะทําอะไรไดนี่เปนโชคดีเป นลาภดีอัน ที่หนึ่ง ซึ่งชาวอินโดนีเซียได มาแลวลาภท ี่ สองคือชาวอินโดนีเซียยังไดประสบพบพุทธศาสนาแลว ไดรับเอาคําาสอนของพระพุทธเจ ามาปฏิบัติอันนี้เป นลาภคือการไดประการที่ สองลาภท ี่ได ประการที่ สาม ได พระรัตนตรัยคือได พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ มีพร อมแล วในเวลานี้ พระ ธรรมคือตัวของเราเราปฏิบัติอยูคุณงามความดีเราปฏิบัติเรียกวาพระธรรม พระสงฆก็มีพระสงฆ ปรากฏขึ้ นมาแลวอันนี้เปนการไดอันที่สาม อันที่สี่การไดนมัสการภิกษุสามเณรในวันนี้ครบ รัตนตรัยคือมีภิกษุและท ั้ งสามเณร มีทั้งแมชีดวย ปรากฏพร อมแลวเข าใจวาอินโดนีเซียยังคงไมเคย
เห ็ นแมชีพระก ็ เคยเห ็ นมาเณรก ็ เคยเห ็ นมาวันนี้ยิ่งเปนของใหมอีกคือเห ็ นแมชีดวยอันนี้เปนสิ่ง หน ึ่ งท ี่ เรียกวาเป นลาภอันหน ึ่งและได ลาภอีกอันหนึ่งคือวาพระท ี่ได มาน ั่ งอยูในเวลานี้ละท ี่ พากัน กราบไหวนมัสการอยูนี้มีทั้งพระไทย มีทั้งฝรั่ง มีทั้งพระอินโดนีเซียครบบริบูรณ หมด หายากที่สุดท ี่ จะได อยางน ี้ เวลาค่ํา แสดงธรรมเทศนา ที่วัดมัชฌิมศาสนวงศ เม ื องเมนคุต อุบาสกอุบาสิกาท ั้ งหลายท ี่ มาต อนรับอาตมาพร อมด วยคณะ ณ ที่นี้ขออนุโมทนาและยินดี ดวยในการที่ ชาวพุทธยังปรากฏอยูในอินโดนีเซีย หลังจากน ี้ไปในราว ๒๐ ปมาแล วอินโดนีเซียอยู ในที่มืดคล าย ๆ กับวาเร ื่ องพุทธศาสนาไมปรากฏในอินโดนีเซียเลยถึงแมวาอินโดนีเซียยังมี ถาวรวัตถุที่เก ี่ ยวเน ื่ องถึงเร ื่ องพุทธศาสนา เชน เจดียและวัดตาง ๆ เป นของเกาแกอยูโดยมากก็ดีชาว อินโดนีเซียพากันเคารพนับถือและปฏิบัติกันมาแตก็ยังมีเคร ื่องปกปดคือการบ านการเมืองปกปดไว เปรียบเหมือนกันกับพระจันทรพระจันทรไมมีการเศร าหมอง เศร าหมองเพราะเหตุที่เมฆหมอกปก คลุมและปดบัง หากเมฆหมอกนั้นไหลเลื่ อนหนีไปแลว พระจันทรก็จะสวางแจมจาตามเดิม ฉันใด ชาวอินโดนีเซียในเวลานี้ การบ านการเมืองก ็ไมไดปกคลุมแลวคือเราเปนเอกราชเป นชาติที่มีอิสระ มีสิทธเต ็ มที่ที่จะโฆษณาและปฏิบัติในเรื่ องพุทธศาสนา เหตุนั้นชาวอินโดนีเซียจึงไดปรากฏเดน ขึ้นมาวา ชาวพุทธในอินโดนีเซียยังมีเยอะและเจดียวัตถุที่เก ี่ ยวเน ื่ องถึงเร ื่ องพุทธศาสานท ี่ เกาแกก็ยัง มีมาก นี่เปนสิ่งที่นาชมและนายินดีกับชาวอินโดนีเซียอยางยิ่ง เพราะส ิ่ งเหลาน ี้ แสดงถึงพุทธศาสนา เคยรุงโรจน มาแล วในสมัยหนึ่งอินเดียเปนที่เกิดของพุทธศาสนาก ็ไมเหมือนอินโดนีเซียลังกาก ็ ไมได ทราบขาววามีเจดียวัตถุที่เก ี่ ยวเน ื่ องถึงเร ื่ องพุทธศาสนามากมายและถาวรอยางน ี้ในปจจุบัน เมืองไทยที่ เรียกวาศาสนารุงโรจน กวาทุกชาติทุกประเทศแตก็ยังสูอินโดนีเซียไมไดคือความใหญ ของบุโรบุโดในเมืองไทยไมมีที่ไหนใหญเทาแสดงถึงเร ื่องศาสนาในสมัยนั้นรุงโรจน มาก บางแหง บางตําราทานก ็ บอกวาศาสนาท ี่ จะเผยแพรไปสูเมืองไทยต องมาจากลังกาแล วก ็ มาสูอินโดนีเซียแลว จึงคอยเข าไปสูประเทศไทยเหตุนั้นชาวอินโดนีเซียและชาวไทยนอกจากจะมีรูปรางลักษณะและ วัฒนธรรมคล ายคลึงกันแลวก็จะต องเก ี่ ยวเน ื่ องถึงเร ื่ องศาสนาคือเปนธรรมทายาทคําสอนของ ศาสนานําไปปฏิบัติเป นญาติในทางพุทธศาสนารวมกัน เม ื่อไดรับสิทธิ์เสรีที่ได พากันถือพุทธศาสนาไวเป นเครื่องประดับเป นเกียรติของตนแลวจง
อยาพากันนิ่งนอนใจได ของดีมารักษาไวไมใชไมเปนประโยชนศาสนาเป นของดีถาใครมาถือไว เฉย ๆ ไมเปนประโยชนแก ตัวของเราเลยเพราะศาสนานั้นสอนเขาถึงจิตถึงใจไมได เพียงแตวาให มา ถือไว เฉย ๆ ถาถือไวก็เปรียบเหมือนกันกับแหวนท ี่เราใสไวในนิ้ วมือแตมันไมเข าไปถึงในใจถา หากไมเอามาปฏิบัติการปฏิบัตินี้พระพุทธเจ าทานสอน ใหมีศีลใหมีสมาธิให เกิดปญญาศีลนั้นก็ พากันเข าใจดีอยูแลวศีลหาศีลแปดอันนั้นเรียกวาบริหารภายนอกรักษาเพียงกายวาจา สวนการ บริหารทางใจได แกการหัดสมาธิภาวนา เป นการทําความสงบอบรมใจเร ื่ องศาสนาทุกศาสนา จะต องยึดเอาศาสดาคือผูตั้งศาสนาเป นสรณะศาสนาฮินดูอิสลาม คริสเตียน เขาก ็ เอาพระเจ าของ เข ามาเปนที่พึ่งคือเอาพระเจ าของเข ามาไวที่จิต ใหจิตแนวแนอยูในพระเจ าของเขาศาสนาพุทธเราก ็ เอาพระโคดมบรมครูมาเป นเคร ื่ องยึดใหจิตใจแนวแนอยูกับพระศาสดาของเรา เวลานี้ทานนิพพาน แลวเอาแตพระคุณมาไวที่ใจของตน คือนึกเอา พุทโธคําเดียวน ั่นแหละมาไวที่ใจใหใจไปจดจ อง อยูเฉพาะพุทโธอันนั้น สติคุมจิตไมใหสงไปที่อื่น ให จดจ องแตเฉพาะพุทโธอันเดียว นี่วิธีทําสมาธิ ของเรา ในทางพุทธศาสนาสอนอยางน ี้ และอยาเข าใจวาภาวนานั้นตองการปฏิหาริยฤทธ ิ์ เดชอยาง นั้นอยางน ี้ได ความรูอะไรตาง ๆ อยาไปเขาใจอยางนั้น ให เข าใจวาการทําสมาธิคือการสํารวมใจ ใจสงบอยูไดก็เปนอันใชไดสวนอภินิหารเราไมตองพูดถึงผูจะเปนหากเป นเองผูไมเป นแล วจะทํา สมาธิได มากหรือละเอียดสักเทาไรก็ไมเปนก็มีนี่วิธีทําสมาธิ ศาสนาพระพุทธเจ าสอนใหเราปฏิบัติไมใชสอนให เราถือ บางแนวปฏิบัติก็ดังอธิบายมาให ฟงแลวคือศีล สมาธิปญญาศีลถึงแม จะรักษาไมไดทั้งหมดใหไดทีละข อสองขอถามันมากนักเอา เดือนละขอเดือนหน ึ่งให งดเว นเสียจากข อหนึ่งจะเอาข อไหนก็ได เม ื่ อหลายเดือนก ็ จะครบห าขอ หรือเอาเปนปก็ไดให งดเวนปละขอ หมายความถึงการงดเว นจากความชั่วความช ั่ วท ี่ เรางดเว นได เป นของดีเปนกําไรชีวิตของเราท ี่เราได ของดีขึ้นมาไวที่ในชีวิตของเราศีลนนได ั้ ปละสิกขาบท ๆ หา ปก็ครบทั้งห าสิกขาบท ศีลห าของเราก็บริบูรณ ใหได จริง ๆ อยาไปสมาทานกับพระแล วหนีจากวัด เลยท ิ้ งเสียไมปฏิบัติตาม ถาเป นอยางนี้ก็ไมมีเวลาพอไมมีเวลาเต ็ มสักทีศีลน ั้นเป นเคร ื่ องวัดความดี ของคน ความดีของคนจะดีมากดีนอยศีลน ั้นเป นเคร ื่ องวัด นี่ขอแรกขอสองก็หัดสมาธิภาวนาดัง อธิบายใหฟงมาแลว สมาธิภาวนาก็คือการสํารวมใจใหสงบ จะสงบมากนอยสักเทาใดก็ตามใจ ไมใชจะใหสงบถึงฌานสมาธิสมาบัติมรรคผลนิพพานจึงจะทําแทที่จริงเราหัดเบ ื้ องต นหัดเล็ก ๆ นอย ๆ นี่แหละสงบได แคไหนก็ เอาช ั่ วครูหน ึ่ งก ็ เอา หัดทําความสงบใหไดถาเราไมทําก ็ไมมีใครทํา ใหนี่เปนงานประจําชีวิตของเราทุกคนท ี่ จะต องประกอบและทําถาไมทําเสียก ็ขาดจากการปฏิบัติ คุณงามความดีในชีวิต หาสิบ หกสิบ เจ ็ ดสิบปก็ตายท ิ้งเปลา ๆ พุทธศาสนาเลยไมเข าถึงจิตใจสักที ธรรมะก ็ไมมีในตนเปนคนเปลาเสียจากความดีไมมีคาถึงจิตใจ
มาคร ั้ งนี้ก็ไปหลายแหงออกจากสิงคโปรไปออสเตรเลียออกจากออสเตรเลียกลับไป สิงคโปรอีกแล วก ็ มาอินโดนีเซียกินเวลาไปตั้ งเดือนกวาแลวแตนี่เวลาไมอํานวยจึงเปนที่นา เสียดายเทาท ี่ไดผานมาจากสิงคโปรก็ดีออสเตรเลียก็ดีบรรดาชาวพุทธท ั้ งหลายมีมากและเรียบร อย ดีสูอินโดนีเซียเราไมได เหตุนั้นจึงขอขอบใจและอนุโมทนาในความเรียบร อยและในความดีงาม ของชาวอินโดนีเซียอีกวาระหนึ่ง หวังวาพวกชาวพุทธคงเจริญรงเรุ ืองและม ั่ นคงตอไป วันที่๓๑ธันวาคม ๒๕๑๙ แสดงธรรมเทศนา ที่เม ื อง ศาลาติกะ อาตมาพร อมด วยคณะซ ึ่งได เดินทางมาจากประเทศไทย มาสิงคโปรเลยไปออสเตรเลียมาน ี่ เป นคร ั้ งสุดท าย มาถึงอินโดนีเซียแลวได มาถึงสถานน ี้ มาเพ ื่ อเย ี่ ยมเยือนบรรดาอุบาสกอุบาสิกาพุทธ บริษัท ไดขาววาชาวพุทธท ั้ งหลายพากันอุดมสมบูรณดวยศรัทธาคือมีความเล ื่ อม ใสในพุทธศาสนา พร อมเพรียงกันดีอาตมาก ็ อยากจะมาชม มาเห ็นตามความเป นจริงแลวจึงขออนุโมทนาและขอ แสดงความยินดีดวย ดีแล วท ี่ พวกชาวอินโดนีเซียท ั้ งหมดด วยกัน จะต องพากันพัฒนาคือวา พากันพร อมใจกัน สามัคคีอุดหนุนเชิดชูเทิดทูนซึ่งพุทธศาสนาให เจริญรุงเรืองตอไป ตามประวัติศาสตรพุทธศาสนา ในอินโดนีเซียเคยรุงโรจน มาแล วคร ั้ งหนึ่ง ซึ่งเราจะได เห ็ นเจดียวัตถุตาง ๆ ซึ่งหมายถึงเร ื่ องวัตถุ พุทธศาสนาท ี่ เคยรุงเรืองในสมัยนั้น ทุก ๆ ประเทศโดยสวนมากหายากที่สุดท ี่ จะเหมือนอินโดนีเซีย นี้แตแล วก ็ เน ื่ องจากเหตุใดก็ไมทราบละเป นเพราะการบ านการเมืองอะไรก็ไมทราบ ศาสนาจึงได เส ื่อมโทรมทรุดไปพักหนึ่งจนกระท ั่ งคนตางชาติหลาย ๆ ชาติเกือบจะไมทราบวาชาวอินโดนีเซียมี ชาวพุทธอยูในตัวอาตมาก ็ เข าใจเชนนั้นเหมือนกัน เข าใจวาอินโดนีเซียคงจะเปนแขกไปเสีย ทั้งหมดแตแทที่จริงแลว มาเห ็ นชาวอินโดนีเซียยังนับถือพุทธศาสนาอยูมากมาย ในสมัยนี้รัฐบาล ทานก ็ สนับสนุน ใครจะถือศาสนาใดก็ไดใหสิทธิ์เสรีแกทุกคน คือจะถือศาสนานั้น ๆ ได ตาม ปรารถนาเพราะฉะนั้นเปนโอกาสที่ชาวอินโดนีเซียของเราจะฟนฟูศาสนาท ี่ เคยรุงโรจน มาแล วนั้น ให กลับพื้นคืนมาอีกให เทียมทันกับประเทศไทยหรือประเทศพมาหรือประเทศลังกา ซึ่งเขามีศาสนา อยูแล วนั้นถาหากทุกคนคิดถึงเร ื่ องน ี้ อยูตลอดเวลาแลว หวังวาพุทธศาสนาจะเจริญรุงเรืองข ึ้ นมาอีก วาระหนึ่ง เร ื่ องการเผยแพรพุทธศาสนา พระไทยเชนเจ าคุณวิน เป นตน ที่พระธรรมทูตสงมารุนแรกส ี่ องคดวยกัน ก็ได เผยแพรไปพอสมควร ตอน ั้นไปก็มีหัวหน าพุทธสมาคมแตละสมาคมเปนหัวหนา เผยแพรชักชวน หมูเพ ื่อนให เข ามานับถือพุทธศาสนา มากขึ้น ๆ โดยลําดับ ในระยะชั่วไมกี่ปนี้ก็
รูสึกวาพากันตื่นตัวเข ามาปฏิญาณตนเปนพุทธมามกะคือนับถือพุทธศาสนาเปนอันมากการ เผยแพรแบบนี้รูสึกวาเป นการเผยแพรที่ดีมาก หายากท ี่ จะมีที่อื่นเป นเชนนี้ถูกต องดีมากทีเดียวแต วาทุกศาสนาเม ื่อปฏิญาณตนเป นศาสนิกชนในศาสนานั้น ๆ แลวก็จําเป นจะต องมีกฏข อบังคับไป ตามศาสนาลัทธิของตน ศาสนาของเราก็มีขอบังคับเหมือนกัน ผูที่จะถึงพระรัตนตรัยคือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ เป นสรณะที่พึ่งจริง ๆ นั้น ตองมีกฏข อบังคับ อยางนี้คือ ขอ ๑ คือไมใหประมาทพระพุทธเจาคือให เช ื่ อพระพุทธเจ าวาเป นพระสัมมาสัมพุทธ เจ าตรัสรูเองชอบ เปนผูละบาปธรรมกิเลสได จริง ขอ ๒ พระธรรมคําสอนท ี่ พระพุทธเจ าเอามาสอนน ั้นเป นสวากขาตะธรรม และนิย ยานิกธรรม คือนําผูปฏิบัติให ละชั่ว ทําดีได จริง ๆ ขอ ๓ พระสงฆ สาวกของพระผูมีพระภาคเจ าเปนผูปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแลว นําศาสนา ธรรมคําสอนของพระพุทธเจ ามาเผยแพรแกปวงชนผูมีศรัทธาใหไดปฏิบัติตาม ขอ ๔ หามไมใหถือมงคลตื่นขาวคือให เช ื่ อกรรม เช ื่ อผลของกรรมวา ทําดีไดดีทําชั่ว ไดชั่วด วยตนเอง ไมมีพระเจ าองค ใดหรือส ิ่ งอื่นบันดาลให ขอ ๕ ไมถือลัทธิอื่นนอกจากพุทธศาสนา หากวาผูใดมีศีลห าเปนนิจคนนั้นก็จะยางเขา สูอริยภูมิเปนพระโสดาบัน มีขอบังคับอยูอยางน ี้ถาประมาทพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ ถือมงคลตื่นขาวไปเข าลัทธิ อื่น แตละขอ ๆ ใดข อหน ึ่ งก ็ขาดจากการเปนพุทธมามกะเพราะฉะนั้นการเผยแพรพุทธศาสนาจงให มีหลักเกณฑดังที่วาน ี้ เปนเวลาอันกระชั้นชิดเวลาไมพอที่อุบาสกอุบาสิกพุทธศาสนิกชนมาต อนรับและมาฟงคํา ปราศัยไดใหโอวาทเพียงแคนี้ก็เรียกวาเวลาพอสมควร เห ็ นจะต องเดินทางตอไปอีกจึงขอลาพวก พุทธศาสนิกชนทุกคน ขอจงมีความสุขความเจริญปราศจาดโรคภัยภยันตรายและขอจงบําเพ ็ ญพุทธ ศาสนาใหถาวรสืบไปตลอดกาลนาน เทอญ แสดงธรรมเทศนา ที่เม ื อง โกเปง เวลาตอมาในวันเดียวกัน ศาสนาเคยรุงโรจน เจริญมาแล วพักหน ึ่งในประเทศอินโดนีเซียน ี้ มาตอนหลัง ๆ นี้ศาสนาก ็ได เส ื่ อมสูญไป เวลาน ี้เปนโชคดีของชาวพุทธท ั้ งหลายถึงกาลถึงเวลาแล วคือพวกชาวพุทธท ั้งหลายได ตื่นตัวพร อมท ั้ งรัฐบาลก ็ สนับสนุนใหถือศาสนาโดยเสรีไมมีการกีดกัน อน ึ่ งพระสงฆไทยก็เห ็นใจ ไดสงพระธรรมทูตมาเผยแพรที่ยังเหลืออยูเด ี๋ ยวนี้ก็ยังอยูตอมาและยังมีพระอินโดนีเซียเข าไปบวช ในเมืองไทยอีกอาตมามีความคิดหวังวาศาสนาในอินโดนีเซียจะเจริญรุงเรืองอีกตอไป หากวาชาว
พุทธพากันมั่นคงอยางท ี่เป นอยูทุกวันเด ี๋ ยวนี้ก็จะไมเส ื่ อมสูญอีกเพราะฉะน ั้ นขอชาวพุทธทุกคนจง พากันยึดมั่นในไตรสรณคมณถือเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ เปนสรณะให แนวแนมั่นคงจริง ๆ หวังวาพุทธศาสนาในอินโดนีเซียจะเจริญตอไป ที่พากันมาต อนรับ เห ็ นความพร อมเพรียงสามัคคีอยางดียิ่งสมเปนพุทธศาสนิกชนโดยแท ฉะน ั้ นขอความสวัสดิมงคลจงพากันมีความสุขเจริญงอกงามทุกผูทุกคน ศาสนาในอินโดนีเซียจง เจริญรุงโรจนโดยความมุงมาดของชาวพุทธทุกคน วันที่๑ มกราคม ๒๕๒๐เวลาค่ํา แสดงธรรมเทศนา ที่วิหารธรรมโลกา เม ื องสะมารัง เข าใจวาคงจะได ทราบถึงเร ื่ องหลักพุทธศาสนาพอสมควรแลวเพราะวาพระสุธัมโมได มาจํา พรรษาอยูที่นี่พากันอบรมดีพอสมควรแลวแตขอเพ ิ่ มเติมอีกในการที่จะเป นชาวพุทธอยางแท จริง คือเปนอุบาสกอุบาสิกาท ี่ แท จริงนั้น จะต องให ซาบซ ึ้ งเข าถึงหลักพุทธศาสนาใหมั่นคง พุทธศาสนา สอนมีการกระทําไมไดสอนใหถือเอาเฉย ๆ คือทําดีละช ั่ วส ิ่ งท ี่ เราจะต องทําดีนั้นมีขอบเขตอยาให มันดีดวยความเห็นของตนเองดีในการที่ทํานั้นทําลงไปแล วมันเปนประโยชนทั้งตนและคนอื่น ไม ทําความเดือดร อนเปนทุกข ให คนอ ื่ นและตนเองจึงเรียกวาดีความชั่วนั้นมันตรงกันขาม ทําส ิ่งใดลง ไปเป นเหตุให คนอ ื่นแลตนเองเปนทุกข เดือดร อน สิ่งน ั้นไมควรทํา พระพุทธเจ าสอนให ละช ั่ วทําดีมี หลักสําคัญอยูอยางน ี้ พระพุทธศาสนาคนที่ยังมีชีวิตอยูคือยังมีกายวาจา ใจใชไดทั้งสามประการเพราะสาม ประการนี้ละ ทั้งกายวาจา ใจจึงสามารถละช ั่ วทาดํ ีหรือทําดีละช ั่วได เหตุนั้นพระพุทธเจ าจึงสอน ทั้งสามอยางเม ื่ อยังพร อมกันอยูแล วจึงสอนตัวของเรานี้คือกายวาจา ใจให เข าใจของจริงรูจักของ จริงในสิ่ งท ี่เป นจริง เชน เห็นชั่วเห็นดวยใจของตนจริง ๆ เห็นดีก็เห็นดวยใจของตนจริง ๆ เข าใจ ดวยใจของตนจริง ๆ จึงจะไดชื่อวาเข าถึงพระพุทธศาสนาถาเพียงแตถือวาเราปฏิญาณตนถึง พระ พุทธ พระธรรม พระสงฆ เป นสรณะแตยังไมได ลงมือปฏิบัติแลวแต ยังไมได เข าถึงใจคือยังไมเห็น ที่ใจของตนที่ แท จริงก็ยังไมชื่อวาเข าถึงพระรัตนตรัยผูนั้นไดชื่อวาถือศาสนายังไมทันม ั่ นคงยัง ไมได หลักฐานท ี่ แนนอนและไมถึงแกนของพุทธศาสนา เหตุนั้นชาวพุทธของพวกเราท ี่ พากันริเริ่ม ฟนฟูพุทธศาสนาในอินโดนีเซียเพ ื่อใหมีหลักฐานม ั่ นคงและเจริญงอกงามตอไป จงต ั้งรากฝงให แนน ปฏิบัติอบรมใจของเราใหเข าถึงสมาธิภาวนาจนเห ็ นการละช ั่ วทําดีวาเป นของดีอยาไปเชื่อ และถือคําพูดของคนอื่น เห็นวาถูกต องดีแล วรีบรักษาปฏิบัติไว หากวาทําดีและเห็นชัดด วยตนเอง
แล วเป นการดีคนอ ื่นจะไมชมไมนิยมนับถือก ็ ตามจงต ั้งใจปฏิบัติใหมั่นคงถาวรตอไปอันนี้แหละท ี่ จะฝงรากพระพุทธศาสนาลงท ี่ กายวาจา ใจของตน พุทธศาสนาเป นศาสนาท ี่แปลกกวาศาสนาอื่น คือพระองคทําใจใหสงบแล วเกิดความรูขึ้นที่ ใจแล วจึงเอาความรูนั้นมาเทศน หรือส ั่ งสอนคนอื่นตอไป ถึงแมวามาในสมัยน ี้ใครจะเรียนถึงเร ื่ อง พุทธศาสนามากมายเทาใดก็ ตาม ถาหากใจมันยังไมทันสงบ ใจไมทันปลอดโปรง ใจไมทันสวาง มันยังมีเคร ื่ องหุมหอคือความกระสับกระสายวุนวายของใจ ที่เรียกวากิเลส จะมองเห็นพุทธศาสนา ที่แท จริงไมได เหตุนั้นสัจธรรมคําสอนของพระพุทธเจ าจึงยังไมปรากฏ ถาใจของเราสงบแลวใจจะ ผองใสเบิกบาน สามารถรูคําสอนของพระพุทธเจ าใหถูกต องโดยแท จริง นั่นแหละจึงเปนไปเพื่ อจะ ชําระจิตใจของตนไดโดยถี่ถวน ตามหลักที่วาละชั่ว ทําดีเห ็นประจักษ แจ งด วยตนเอง นั่นแหละ เข าถึงศาสนาท ี่ แท จริง การทําสมาธิไมวาหญิงวาชายเด็ก หนุม แกทําได เหมือนกันทั้งนั้น มีความหมายเพียงวา สํารวมใจใหอยูในจุดเดียว นึกพุทโธอยูที่ใจของเรา ตั้งม ั่ นอยูที่พุทโธแหงเดียวสติคุมจิต สติคือผูที่ ระวังไปคุมจิตผูคิดผูนึกอยาใหคิดนึกสงไปที่อื่น ใหไปตั้ งม ั่ นอยูที่พุทโธแหงเดียว นี่เป นวิธีที่เรา ฝกหัดทําสมาธิหมายความวาสํารวมใจใหไดใจเรามีอยูแตวาเราสํารวมไมได เราจึงมาหัดสํารวมใจ ใจที่รวมไมไดมันไมสงบ นี่ละจึงพาให เราเดือดรอนเปนทุกข ที่จะใหพนจากทุกข ไดเพราะใจสงบ เราไมตองคิดนึกอะไรมากมายคิดวาจะให เห ็ นอยางน ั้นใหเป นอยางน ี้อะไรตาง ๆ ไมตองคิดนึกให คิดเฉพาะวาเราจะรวมใจใหสงบได เทานั้นก็พอเม ื่อเราสงบได แล วน ั้ นมากน อยเทาไรก็ใหรักษา ความสงบน ั้นไวใหมั่นคงตอไปจะเปนพื้นฐานของสมาธิภาวนา เม ื่ อเราทําไปบอย ๆ ความสงบนั้น มันจึงม ั่ นคงข ึ้นเปนลําดับ ๆ การน ั่ งผูหญิงผูชายจะน ั่ งอยางไรก็ ตาม สะดวกแบบใดนั่ งแบบนั้น เพราะการอบรมใจไมใชนั่งอยางเดียวใชอิริยาบถท ั้ งส ี่ขอสําคัญอยูที่สติคุมจิตให อยูในที่ เดียวก ็ แลว กัน ศาสนาพุทธสอนถึงอัตตา สอนอัตตาเสียกอนจึงคอยสอนอนัตตาอัตตาคือตัวตนทานสอน เบ ื้ องตน ใหพึ่งตนเอง ตนของตนเปนที่พึ่งของตน นี่เรียกวาสอนถึงตัวตน เม ื่ อสอนอัตตาแลวให คิดคนถึงตัวอัตตาที่วาเป นของตนของตัวนั้นมีอะไรเป นของแนนอนถาวรแล วเปนตนเปนตัวจริง ไหม คิดค นไปถึงอัตตาแลวไมมีอะไรเป นสาระเชน ขันธหารูปก็ไมใชถาวรแนนอนแกเเฒาชํารุด ทรุดโทรมไปเปนลําดับ หามไมไดบอกไมฟง ในผลที่สุดก็ดับสลายหายไป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป นนามธรรมก็ทํานองเดียวกัน เวทนาเกิดข ึ้ นเพราะมีเหตุปจจัยเม ื่ อเหตุปจจัยไมมีเวทนาก ็ หายไป สัญญา สังขารวิญญาณ ก็เสอมส ืู่ญไปหมดในผลที่สุดก ็ไมมีสิ่งใดที่ แนนอนถาวรเห็นขันธ หาเปนของไมแนนอนถาวรถึงจะวางได วางน ั้ นแหละค ื อตัวอนัตตา ปลอยวางค ื อตัวอนัตตาท ั้ งรูป
ทั้งนาม สอนเร ื่ องภาวนาจิตก ็เป นอนัตตา สอนไมไดหามไมฟงไมใหคิดนึกก็คิดนึก พอเราปลอย วางเราไมยึดเอาเป นของเราจิตที่คิดนึกสงสายก ็ เลยหมดเร ื่องไป ถาเราไปยึดก ็กลายเป นของเรา ขึ้นมาถาไมยึดก ็เลยเป นอนัตตา เม ื่ อถึงอนัตตาเม ื่อไรแล วจะรูสึกด วยตนเองวาอะไรเป นอนัตตา อะไรเปนอัตตา เห็นชัดด วยตนเองแตอัตตาหรืออนัตตาน ั่นแหละเป นเคร ื่ องวัดเทียบกันอยู ตลอดเวลาถามีแตอนัตตาถายเดียวไมมีอัตตาเสียแลวเราก ็จะไมมีเคร ื่ องวัดเคร ื่ องเทียบ เม ื่อไมมี เคร ื่ องวัดเคร ื่ องเทียบก ็ไมรูจักวาอะไรเปนอะไรอัตตามีสุขขนาดไหน มีทุกข ขนาดไหน วันที่๔ มกราคม ๒๕๒๐ สนทนาธรรม ที่วัดธรรมทีปาราม เม ื องมาลัง ๓. ผูถาม ที่ประเทศอินโดนีเซียชาวพุทธมีมากแตทําไมศาสนาพุทธไมเจริญครับ ทานอาจารย มันไมมีผูนําคือ พระแตนาชมที่พุทธศาสนาทรงอยูไดถึงขนาดน ี้อันนี้เนื่องมาจากวัตถุ โบราณเปนสิ่งสําคัญที่สุดคือวาเป นเคร ื่ องกระตุนเตือนใจใหระลึกถึงพุทธศาสนา เม ื่ อเข าไปเห็น แล วก ็ อดท ี่ จะระลึกถึงพุทธศาสนาไมได คนจึงนับถือพุทธศาสนาตอมาแตไมเข าใจซาบซึ้ งถึงแกน แท ของพุทธศาสนาคืออะไรกันแน ๓. ผูถาม เหตุใดพุทธศาสนาในอินโดนีเซียจึงไมเจริญ จะเป นเพราะพระสมัยกอนทานไมรักษาพระ วินัย หรือบวชแล วสึกออกไปเสีย ทานอาจารย ที่เส ื่อมไปแลวในสมัยกอนๆ ก็เพราะทางรัฐบาลไมสนับสนุนเหมือนประเทศไทย หรือประเทศพมาสมัยกอน พระก ็ปกครองกันไปเองตามยถากรรม การบรหารมิ ันตองใชทุนใชรอน ใหอํานาจอันนี้พระไมมีอะไรผูหลักผูใหญตายไปก็ เส ื่ อมสูญไป ผูนอยก ็ไมสามารถรักษาธรรม วินัยเลอะเทอะเหลวใหลไปดวยประการตาง ๆ พอมาหลัง ๆ นี้พวกชาวตางประเทศมาปกครองมา บริหารประเทศเขาเหลานั้นก็ไมพอใจในศาสนาพุทธอยูแลวเขาอยากใหเปนฮินดูอิสลามอยูแลว เม ื่ อตางชาติมาปกครองเขามีอํานาจเขามาจึงทําตามชอบใจเหตุนั้นประวัติศาสตรจึงลบหมดเลยคน รุนหลังบวชเข ามา มันเป นสมัยท ี่ เจริญในทางด านวัตถุแล วคนท ี่ มาบวชมันยากท ี่ จะมีศรัทธาอยูได นาน ๆ ไปนากลัวมันจะเป นแบบอาตมาพูดจะเป นการเผยแพรอยางลัทธิบาทหลวงน ั้ นและ ทําบุญ ทําทานก ็ แล วกันไป มันไมตั้งใจตามหลักธรรมหลักวินัย ตอ ๆ ไปมันอาจจะเป นอยางนั้น อาตมา คิดถึงตอนน ี้ แล วสลดใจมากแตยังดีกวาออสเตรเลียมากอยู เพราะวาอินโดนีเซียน ี้ มาบวชมากขึ้น ๆ
๓. ผูถาม ผมสังเกตเห ็ นวา พระท ี่ มาเผยแพรหลักธรรมะก ็ เท ี่ ยวเผยแพรไปเรื่ อย ๆ จนไมมีเวลาท ี่ จะ ปฏิบัติในเรื่ องสวนตัวของตนเองครับ ทานอาจารย ใชที่อาตมามาเด ี๋ ยวนี้ก็อยากจะมาเตือนหมูพรรคพวกน ี้ แหละคือวาใช เวลาทํางานสั่ง สอนมากกวาเวลาท ี่ จะมาสรางตนเองจุดนี้สําคัญ พูดกับทานสมบัติทานสมบัติก็คิดบ างวาไมไดทํา ความเพียรสวนตัว มาคิดถึงหน าท ี่ ของเราแล วมันยังไมพร อมไมเพียงพออยางทานสุธัมโมนิสัยใจ คอก ็แปลกเพื่ อนอยูปฏิบัติไดดีถึงขนาดนั้นก็ออนใจเหมือนกันบางคร ั้ งบางคราว นี่ละถ าพวกน ี้ไม ทํางานก ็ หมดเทาน ี้ เพราะมันเหลืออยูเทาน ี้ไมใชเผยแพรแตการปฏิบัติและการศึกษาถาเผยแพร ถายเดียวน ั้ นศาสนาเสื่อมเร็วที่สุดไปไมถึงไหนหรอก มันตองมีการปฏิบัติดวยคือตัวเราเองเปนผู ปฏิบัติเสียกอน แล วคอยไปสอนคนอื่นใหปฏิบัติตาม พอได หลักปฏิบัติแล วคอยเผยแพรปริยัติที่ หลัง หลักพุทธศาสนาเผยแพรตองเป นอยางนั้น คิดดูพระพุทธเจ าตรัสรูคร ั้งแรกไมมีการปริยัติไมมี การศึกษาอะไรเลยคือต ั้งใจปฏิบัติเห็นสัจธรรมของจริงแล วคอยเผยแพรธรรมะของจริงขั้นตอมา หมูสงฆ สาวกมาก ๆ เข าก็จําเป นจะต องบริหารหมูคณะจึงมีการศึกษาคนมันไมสม ่ํ าเสมอกัน คนเรา ก็เหมือนกับลูกไมลูกปลายรสชาติมันก็คอยจืดจางไป ลูกสุดทายของม ันก็จนไมมีรสชาติเสียเลย มันเป นธรรมดาท ี่ จะต องเป นอยางนั้น เพราะฉะน ั้ นเบ ื้ องต นต องมีการปฏิบัติเสียกอน ถาออกมา เผยแพรปริยติถายเดียวจะไปไมรอดเร ื่ องน ี้ขอใหคิดมาก ๆ ดวย ๓. ผูถาม การเป นฆราวาสมันมีธุระการงานมาก ทําอยางไรจึงจะสามารถแบงเวลาในการปฏิบัติ เพราะเด ี๋ ยวน ี้ ผมทํางานอยูงานการมีมากเวลาปฏิบัติก็นอยถึงกระนั้นก็พยายามเจียดเวลาในการ ปฏิบัติดังนั้นทั้งปริยัติและปฏิบัติผมจะต องแบงเวลาอยางไรจึงจะดี ทานอาจารย มันตองอยางนี้ชิเกิดเป นคนมันตองตอสูภาวนาก็ตองสูกับกิเลส อยูเฉย ๆ ไมได เรา ตอสูเพ ื่ อเอาชนะคนไมตอสูก็คนตายแลวไมมีประโยชนอะไรเลย ชีวิตคือการตอสูเอาชนะใหได เราชนะเร ื่ องเหลาน ี้ได แล วจะอยูเปนสุขอยายอมแพ โลกอยูเหนือโลกอยาใหโลกขึ้นขี่คอเราได ๒. ผูถาม ผมทํางานท ั้ งวันในบริษัท แตเวลามาทําสมาธิภาวนาทําราวประมาณ ๑๐ นาที๑๕ นาที ผมเห็นคุณคาประโยชนในการทําสมาธิมากเพราะเห็นอุปาทานมีมากเหลือเกินในการทํางานตลอด ทั้งวัน แตเวลามาทําความเพียรภาวนา มันเปนชวงระยะน อยเหลือเกิน มันควรจะมีมากกวาน ี้ และ ผมสนใจในการกําหนดลมหายใจแบบในสติปฏฐาน
ทานอาจารย นั่นแหละก็หัดอยางน ี้ แหละถาหากเราภาวนามาก ๆ ปฏิบัติมาก ๆ เม ื่อปลอยอุปาทาน ไมไดมันก็ไมมีประโยชนถาหากเราปลอยวางอุปาทานนั่นนิดเดียวก ็ จะเห็นคุณคาประโยชน เพราะฉะน ั้ นเราต องทําบอย ๆ อุปาทานมันมากกวามาก มันยึดมาไมรูกี่ภพกี่ชาติมาแลว ชาตินี้ก็ยึด วันหนึ่ง ๆ เรายึดไมทราบกี่มากนอยเราปลอยวางอุปาทานเห็ นคุณคาแลวเราก ็ พยายามท ี่ จะทําใหมัน มากขึ้น อยางน อย ๒๔ ชั่วโมงเราไดทําสักห านาทีก็ดีอักโขแล วละ ๒. ผูถาม เวลาของผมน อยแล วเวลาหัดฝกทําสมาธิคร ั้งแรกใจมันเหมือนกับลิงไปโนนไปนี่ บางคร ั้ งกอนนอนแทนท ี่ จะคิดนั่นคิดน ี่สูมาสวดมนตและปฏิบัติดีกวา ทานอาจารย สวดมนต ไหว พระอยูกับ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ เอาคุณงามความดีเป นอารมณ ทําจิตให แนวแนสูอารมณอันเดียวเป นสมาธิภาวนาได เหมือนกัน จับจุดตรงน ั้นไดก็อยูดวยความ สงบสุข นั่นเปนจุดประสงค ของการภาวนาแท ๑. ผูถาม ผมไมทราบถึงเร ื่ องเหลาน ี้ไมทราบวาถูกหนทางหรือเปลาผมพยายามหนีไมให เข าถึง ความสงบ เพราะกลัววามันจะไมถูกหนทาง ทานอาจารย ถูกเบ ื้ องต นถ าเราทําความสงบแลวมันซึม หรือมนเฉยเสั ียจงพยายามอยาใหใจเขาสู ความสงบไดถาใจยังไมสงบหรือสงบแลวปลอดโปรงดีก็อยาหนีจากความสงบน ั้ นเลย ๑. ผูถาม ผมมีปญหาเวลาเข าถึงความสงบแลวคล าย ๆ กับเราชอบใจเรายินดีกับความสงบอันนั้น เราเลยไมอยากจะพิจารณาคือไมมีอะไรที่ จะบังคับให เรามาพิจารณาอารมณ เกา เพราะวาเรายินดีกับ ความสงบ ก็เลยซึมเซอไป หรืองวงไปครับ ทานอาจารย ใหพิจารณาเห็นคุณคาแหงความสงบนั้นวา มันละความโลภ ความโกรธความหลงได อยางนี้เพราะความสงบ เม ื่ อกอนเราไมเป นอยางน ี้เราเป นอยางน ี้ อยูนาน ๆ เข าก ็ จะพนทุกข ไปเอง แล วก ็ เกิดปลมปื้ ติราเริงใจ ๑. ผูถาม ผมขอโอกาสถามวา ทุกคนภาวนาจะต องมีเร ื่ องเหลาน ี้ เกิดข ึ้ นหรือเปลาคือวาจะต องเบ ื่อใน การภาวนา หรือจะต องงวงซึมเซอเวลาหัดภาวนาจะต องเปนไปอยางน ั้ นเสมอหรือเปลาครับ ทานอาจารย โดยมากมักเปนไปในทํานองนั้น คือไมมีอุบายท ี่ จะพิจารณาคนเราสวนมากเรียกวา ทํางานมาเหน ื่ อยแสนเหน ื่ อยทุกอยาง ทั้งกายและใจคราวน ี้พอมาไดความสงบแล วก ็ชอบใจ มัน
เป นอยางน ี้โดยมาก ชอบใจก็ เลยงวงซึมน ั่ งหลับไปตรงนั้ นแหละ ฉะนั้นจึงพิจารณาให เกิดความรา เริงปติขึ้น ณ ที่นั้นจึงจะไมนั่งหลับ วันที่๖ มกราคม ๒๕๒๐ แสดงธรรมเทศนา ที่วัดธรรมทีปาราม เม ื องมาลัง เปนโชคดีของอาตมาท ี่ได มาเย ี่ ยมพุทธบริษัทชาวอินโดนีเซีย ทีแรกมาเย ี่ ยมท ี่ จาร กาตา มาเห็น ชาวพุทธอินโดนีเซียคร ั้ งแรกเกิดความรูสึกปลื้มปติมาก ท ี่ พากันกลมเกลียวเปนปกแผนแนนหนา แล วก็ที่ยอรคจาร กาตา เห ็ นชาวพุทธที่นี่แล วย ิ่ งมีความพอใจอยางย ิ่ งเพราะที่นี่ไดสรางเปนวัดถาวร ขึ้น หวังวาพุทธศาสนาฝายหินยานจะต ั้ งม ั่ นถาวรตอไปในอนาคตข างหน าน ี้ ขอชาวพุทธทุกคนจง พากันตั้งใจในการปฏิบัติศาสนาให เครงครัด พระศาสนาจึงจะต ั้ งม ั่ นและเจริญเร็ว พุทธศาสนานั้น เป นของดีถาหากได ของดีมาแล วแตเราไมปฏิบัติตามของดีนั้นก็ไมเป นผลแกเราเลยเหมือนกับลิง ได แก วฉะนั้น ธรรมดาลงนิ ั้ นชอบซุกซนใครใหอะไรมาก็เอาไปเลนเสียแก วเป นของดีมีคามาก พอ ลิงได มาก ็เอาไปโยนเลนเสียผลที่สุดก ็ แตกท ิ้งเปลา ซื้อขายก ็ไมเปนจะเอามาประดับกายก ็ไมได แก วคือของดีในศาสนาพุทธมีหลายอยาง ในที่นี้จะแสดงใหสักอยางหนึ่งคือศีลศีลน ี้เอามาประดับ กายวาจา ใจแลวกายวาจา ใจจะสะอาดผองใสงดงามอยางอะไรเปลี่ยนไมไดของประดับ ภายนอกถากายวาจา ใจไมสะอาดแล วจะมีประโยชนอะไรแถมจะให เกิดโทษแกผูนั้นเสียอีกด วย เชนประดับเข าแล วจะต องระวังคนลักขโมยปลนจี้วิ่งราวหรือฆาเจ าของเอาของเหลาน ี้เปนตน ลวน แล วแตเกิดจากวัตถุภายนอกของเหลานี้ทั้งนั้น สวนศีลธรรมเขาไมกระทํากันดอกของไมสะอาดเชนนั้นมีแตจะงดเวนกันทั้งน ั้ นเชนเจตนา งดเว นแตเบ ื้ องต นแม แตคิดจะฆาสัตวก็ไมมีเห็นสัตว หรือบุคคลก ็ เกิดความสงสารมีเมตตาเห็นชีวิต เขาชีวิตเราเป นของมีคาเสมอกัน เห ็ นทรัพยสินเงินทองของคนอ ื่นเป นเหมือนของตนเอง ทรัพยสิน ทั้งหลายในโลกนี้เปนของสาธารณะใครมีความเพียรพยายามหายอมไดได มาแล วก ็ใชไปตาม ปรารถนา หาไดเปนของใครไมถายังมีความหวงแหนอยูตราบใดการลักขโมยฉอโกงก็ยอมมีอยู ตราบนั้น บุตรภรรยาสามีเม ื่ อยังมีโลกนี้ อยูตราบใดก็ยังอยูตราบนั้น แตเขาเหลานั้นจําเปนตองมี สิทธิ์เสรีเฉพาะบุตรภรรยาสามีเขาผูมีวัฒนธรรมอันดีงามยอมไมละเมิดสิทธิของเขาอยางเด ็ ดขาดผู เคารพสิทธิ์เสรีของผูอื่นเปนผูเจริญแลวไมเหมือนสัตวที่ยังไมเจริญ สัมพันธกันในที่ สาธารณะไม มีหิริโอตตัปปะไมเลือกวาเปนบุตรภรรยาสามีของใคร เกิดลูกมาไมมีใครรับผิดชอบ เว นแตแมรัก ลูกตามสัญชาติญาณ ความซ ื่ อสัตยก็เปนวัฒนธรรมอันดีงามอีกข อหนึ่งผูเจริญแล วยอมสรรหาแต
สิ่งท ี่เปนประโยชนพูดคําสัตยคําจริงไมโปปดพูดเท ็จไรสาระประโยชน เม ื่ อจะพูดคําไมจริงออกมา ละอายแกใจตนเอง ทั้ง ๆ ที่คนอ ื่นไมรูเลยคนพูดเท ็ จยอมทําบาปไดทุกประการ น้ําดองของมึนเมา ทําผูดื่มแล วใหขาดสติคนเราดีๆ อยูจะต องฝกสติใหมั่นคงจึงจะประกอบภาระนั้น ๆ ใหลุลวงไป ไดดวยดีแตเม ื่ อเพ ิ่ มเคร ื่ องมึนเมาเข าแลว สติก็หายไปจึงรับทําภาระธระนุั้น ๆ ไมสําเร็จการด ื่ มสุรา เมรัยเป นเหตุใหทําช ั่วไดทุกอยางกรรมชั่ว ๆ เลว ๆ เปนตน วา ฆา ตีผูใหญที่เคารพนับถือมาแต กอนหรือครูอาจารย ของตน เม ื่ อจะทําภัยของเหลานั้นตองด ื่ มสุราเสียกอน ดื่มสุราเข าไปแล วทําได หมดแม แตมารดา บิดาบังเกิดเกล าก ็ สามารถทําร ายไดนี้เพียงแตพูดแคศีลห าข อเทานั้น เปน เคร ื่องประดับกายวาจา ใจของผูใชเปน ยอมเป นของดีเลิศแลวถาหากเปนศีลแปดศีลสิบ แลศีล สองร อยยี่สิบเจ ็ ดเลาจะเป นเคร ื่องประดับให งามดียิ่งกวาน ี้ขนาดไหนขอใหพิจารณาเอาเอง ศีลเปนบอเกิดของการกุศลท ั้ งหลายผูมีศีลแล วจะทําบุญได เมื่อถึงไมทําบุญ บุญในการรักษา ศีลก็มีอยูแลว บานเมืองใดประเทศใดจะเจริญรุงโรจนก็ตองมีศีลเป นฐานเสียกอน ถาปวงชนมีศีล สมบูรณทั้งห าข อบ านเมืองนั้นก็เจริญยิ่งถามีเพียงข อหนึ่งขอสองขอสาม ขอส ี่ก็มีความเจริญโดย ลําดับ ถาไมมีศีลเสียเลยก ็เปนบานเมืองของสัตว คนก ็เป นแตเพียงยืมรางกายมนุษย มาใช เทานั้น แต จิตใจเป นของสัตว ไปหมดความเจริญด านวัตถุจะมีประโยชนอะไรแก เขาเหลานั้น วันที่๘ มกราคม ๒๕๒๐เวลาค่ํา แสดงธรรมเทศนา ที่วัดธรรมทีปาราม เม ื องมาลัง เม ื่ อเกิดมาแล วจําเป นจะต องมีที่พึ่งอาศัยจะอยูเปนสุขถาไมมีที่พึ่งแล วจะไดรับความทุกข มาก ที่พึ่งนั้นถามีแตทางกายไมมีที่พึ่งทางใจด วยก ็ หาความสุขได ยาก มารดาบิดาคณาญาติและบ านเรือน เปนที่พึ่งทางกาย เพราะกายเปนวัตถุธาตุจะต องพ ึ่ งวัตถุธาตุดวยกันจึงจะมีความสุขการงานหนักเบา แบกหามต องอาศัยญาติพี่นองพอแมชวยเหลือแดดฝนดินฟาอากาศเย็นรอนต องอาศัยบ านรือน ปกป องกําบังจึงจะมีความสุขอันนี้เรียกวาที่พึ่งภายนอกคือทางกาย สวนที่พึ่งภายในคือใจนั้น จะพ ึ่ งด วยวัตถุนั้นไมไดเพราะใจเป นนามธรรมก็ตองพ ึ่ งด วย นามธรรมถึงจะเปนวัตถุนามธรรมก็พึ่งไมไดตองกําหนดเอานามธรรม คือคุณงามความดีของ รูปธรรมนั้นมาเป นอารมณ เชนพระพุทธเจ าหมายถึงตัวพระองคคือพระสิทธัตถะแตเมื่อจะเอามา เปนที่พึ่งทางใจแลว ตองหมายถึงคุณธรรมระลกเอาพระคึุณของพระพุทธเจ ามาเปนที่พึ่งแท จริง
พระสิทธัตถะนั้นคุณธรรมท ี่เปนพุทธเกิดข ึ้ นแลวคุณธรรมน ั้นเองเปนพุทธ มิใชพระสิทธัตถะเปน พุทธ ฉะน ั้ นเม ื่ อจะเอาพระคุณของพุทธมาเปนที่พึ่งแลวจึงต องระลึกถึงคุณธรรมอันทําให เกิดเปน พุทธน ั้นมาเป นอารมณ พระธรรมคือคําสอนของพระพุทธเจ าก ็เป นนามธรรม สอนใหละช ั่ วทําดี เราไดฟงคําสอนอันนั้นแล วปฏิบัตตามจนเป นผลสําเร็จก็เป นพระสงฆขึ้นมา สาวกผูฟงคําสอนของ พระพุทธะแล วปฏิบัติชอบตรงตอธรรม จึงถึงซ ึ่ งธรรม พระธรรมยอมเปนใหญเหนือส ิ่ งท ั้งปวงหมด รวมพระพุทธ พระสงฆ เข าถึงจุดเดียวคือพระธรรมเทานั้น นี้คือที่พึ่งทางใจของพุทธบริษัท พุทธ บริษัทผูถือพระรัตนตรัยควรใหมีที่พึ่งท ั้งกายแลใจไว อยางนี้จึงจะมีความสุขกายสุขใจถาหากหาท ี่ พึ่งแตกายใจไมทําที่พึ่งแลวเวลาตายไปก็ จะวางเปลาหาที่พึ่งไมได เม ื่ อเรานับถือพระพุทธศาสนาเราปฏิบัติตามคําสอนของพระพุทธเจาจําเป นต องปฏิบัติใหถูก ตามหลักคําสอนของพระพุทธเจาถาหาไมแล วก ็จะไมสําเร ็ จผลอันใดเลยคําสอนท ี่ พระพุทธเจา สอนก็มีศีล สมาธิปญญาวันนี้จะมีอธิบายถึงเร ื่ องสมาธิตอจากศีลท ี่ได อธิบายแลวในวันวานน ี้ สมาธิหมายถึงการทําความสงบของใจให แนวแนอยูในอารมณอันเดียวจะทําภาวนาด วยวิธี ใด ๆ ก็ตาม ถาจิตรวมลงเป นหน ึ่งได แล วก ็ไดชื่อวาภาวนาท ั้ งนั้น จิตเปนของไมมีตัวตนแตเมื่อ อบรมได แล วจะอยูนิ่งเปนสุขจิตนี้มักแสสายไปตามกระแสของอารมณตาง ๆ เปนลูกคลื่น เหมือนกับน้ําในทะเลกระทบแรงบ างไมแรงบ าง (คือทุกข และสุข)ไมอยูนิ่งได ฉะนั้นผูประสงค ความสุขจึงต องฝกอบรมใจใหสงบ เหมือนคล ื่นไมมีแล วยอมปราศจากเสียงดังฉะนั้น เม ื่ อจิตสงบ แล วก ็ มองเห็นตัวเอง (คือความสงบของใจ) นั้นแหละคือตัวเรา มองเห็นตัวเราแล วจงรักษาตัวเรา นั้นไวใหมั่นคงดวยการทําสติกําหนดให แนวแนอยูเสมอทุกเมื่อ มันจะคิดดีคิดช ั่ วหยาบละเอียดก ็ รูอยูเสมอใหรักษาอยูอยางนี้จะนานแสนนานสักเทาไรก็ตามใจอยาไปอยากรูโนนรูนี่อะไรตาง ๆ นานา มันเปนตัณหาเด ี๋ ยวจิตจะเส ื่อมใชไมได วันที่๙ มกราคม ๒๕๒๐เวลาสาย สนทนาธรรม ๓. ผูถาม การบวชเปนชีวิตท ี่จะปฏิบัติได ยากแตสิ่งท ี่ ผมต องการคืออยากจะทราบวาผมเองเปน อะไรใจคืออะไรแล วใจมีประโยชนอะไรบ างและมีสาระอะไรผมเปนทหารและฝกฝนเพื่ อจะฆา คน ผมไมชอบ จึงอยากจะทราบวาสาระอันแท จริงของชีวิตมันคืออะไร นี่เปนปญหาใหญที่ผม อยากจะทราบ
ทานอาจารย พูดตามข อเท ็ จจริงแลวเราคือธาตุสี่ดิน น้ําไฟ ลม ประสมกันเปนกอนข ึ้ นมาแล วแตก สลายดับไปเทานั้น ไมมีสาระอะไรเลยใจเปนผูเข ามาครองรูปอันนี้จึงทําให เคล ื่อนไหวได เม ื่ อก อน อันนี้แตกดับไปแลวใจก็ไมสามารถจะใชกอนอันนี้ได กรรมคือส ิ่ งท ี่ใจใชใหกอนอันนี้กระทําท ั้ งดี และช ั่ วนั้น เม ื่ อก อนอันนี้แตกดับแล วใจยอมรับผลกรรมน ั้ นแตผูเดียวใจมีประโยชน และสาระอยาง นี้เปนทหารฝกฝนไว เพ ื่ อฆาข าศึกก็เพียงแคนั้น เกิดมาก ็ เบียดเบียนกันไปกันมา หาวาเขาเบียดเบียน เรา เขาก ็ หาวาเราเบียดเบียนเขาแล วก ็ เข าประหัตประหารกันลมตายกันไปเป นกอง ๆ ชีวิตของคนเรา มันเป นเสียอยางน ี้ พระพุทธเจ าจึงสอนไมให เบียดเบียนกัน ใหมีเมตตาปราณีสงเคราะหชวยเหลือซึ่ง กันและกันจึงจะมีความสุขอยูในโลกด วยกันได วันที่๑๓ มกราคม พ.ศ.๒๕๒๐เวลาค่ํา แสดงธรรมเทศนา อบรมคณะที่ติดตาม ณ วัดพรหมวิหารเม ื องสิงหราช เรามาอินโดนีเซียเท ี่ ยวเกาะบาหลีได เห ็ นสภาพของบ านเมืองซ ึ่ งภัยธรรมชาติแผนดินไหวทํา เอาบ านเมืองแลวัดวาวินาศเสียหายไปเปนอันมาก มีความรูสึกเศราสลดใจเป นอยางยิ่งแตก็ไมทราบ จะทําอยางไรได เราเกิดมาพ ึ่ งดินฟาอากาศเขาอยู เขาเปนไปตามสภาพของเขาแตเม ื่ อเราพ ึ่ งเขาอยู เราก็ตองไปตามเขา ที่อยูดีๆ มาต ั้งหลายปมีความสุขเพ ิ่ งมาเกิดแผนดินไหวทําให เดือดร อนเปน ทุกข หนเดียวเทานั้น ขอใหอดทนสูไปคิดถึงแผนดินนี้ใหความสุขแกเรามาแลวนานแสนนาน บุญคุณนักหนา พึ่งมาไดรับทุกข คร ั้ งเดียวเทาน ี้ เม ื่ อเอาความทุกขมาลบกับความสุขแลว สุขคงยัง เหลือมากกวา เราพออยูไปได เราคิดเสียอยางนี้จึงไมเปนทุกข ถึงทุกข อยางไรของที่ เราเสียไปแล วก ็ ไมกลับคืนมาฉะน ั้ นจงอยาไปคิดถึงมันเลยจะดีกวา เรามีชีวิตอยูหาใหมยังพอได ชีวิตน ี้ เกิดมาเพ ื่ อการตอสูไหน ๆ เกิดมาเพ ื่ อสูแล วจงสูมันไปจนกวาจะถึงที่สุดเราสูสิ่งอ ื่ นคน อื่นไมสําคัญเทาสูตัวเราเองอายตนะทั้ง ๖ ของเรามีอยูครบครัน เราไปไหนเอาไปด วยขาศึกเกิดขึ้น ไดทุกเมื่อเพราะ ตาเห็นรูป หูฟงเสียงจมูกสูดกลิ่น ลิ้นถูกรส กายถูกสัมผัส ใจคิดนึกถึงส ิ่ งตาง ๆ แล วก ็ เกิดความดีใจบ าง เสียใจบางไดทุกเมื่อยิ่งกวาข าศึกภายนอกเสียอีกเพราะมันเกิดไดทุกขณะ ไมวากลางวันกลางคืน แม แตยืน เดิน นอน มันก็เกิดได เด ็ กผูใหญเกิดไดทั้งน ั้นไมเลือก ตกลงตัว ของเราเปนภัยแกเราเอง เกิดเป นคนมีอวัยวะครบครัน แทนท ี่จะเปนสุขอวัยวะน ั้ นแหละนําทุกข มา ใหไมมีที่สุด นรกหกขุมน ี้ แวดล อมหุมหอตัวของเราอยูหนีไปไหนก็ไมพนไหม อยูตลอดทั้ง กลางวันและกลางคืน นี่แหละมีของดีๆ ใชไมเปนจึงเปนทุกข
พระพุทธเจ าสอนให เรารูจักใช ของเหลาน ั้นใหเปนประโยชนมีตาเห็นรูปดีแล วถาไม มีตาก ็ จะ ไมเห็นรูป มีหูไดยินเสียงก็ดีแลวถาไมมีหูก็จะไมไดยินเสียง บางคนยังเอาหูเทียมมาใสเพราะหูฟง ไมไดยิน มีจมูกไดดมกลิ่นก็ดีแลวถาไมมีจมูกก ็จะไมรูสึกกลนเหม ิ่ ็ นกล ิ่ นหอม มีกายไดรูจักสัมผัส เย็นรอนออนแข ็ งก็ดีแลวถาไมมีกายก ็จะไมรูสัมผัสเย็นรอนออนแข็ง มีใจไวคิดนึกส ิ่ งตาง ๆ ก็ดี แลวถาไมมีใจก็คือคนตายแล วจะมีประโยชนอะไรแตมีของเหลาน ั้ นแล วใชใหเปนใหถูกตาม หน าท ี่ ของมัน ถาใชกาวกายหน าท ี่ ของกันแลกันแลว มันยุง ตกนรกท ั้งเปน และเห็นจําเปนที่จะต อง ใชประจํา เม ื่อใช แล วจงเก ็บไวใหดี(คือใชสักแตวาใช อยาเอามาเป นของตัว) ใช อยางน ี้ เรียกวาใชเปน เปนคุณเปนประโยชน แกตัวเอง ตา หูจมูกลิ้น กายใจของเรา เลยกลายเปนสวรรค ๖ ชั้นขึ้นมาใน ตัวของเราน ี้ เราจะต องตอสูกับขาศึกภายในอันเกิดจากอายตนะทั้ง หกโดยจับตัวผูสั่งการ (คือใจ) ได เสียกอน ถาผูสั่งการไมเอาเร ื่ องแลวอายตนะท ั้ งหกก ็ไปไมรอดอายตนะท ั้ งหกก็สักแตวาทํางาน ตามหน าท ี่ไมไดทําใหใจนั้นมัวหมองเพราะรูเทาเสียแลว นี้วิธีเอาชนะข าศึกภายในดวยใจเย็น ๆ ทานอาจารย พาน ั่ งภาวนาหลังแสดงธรรมเทศนาพรอมอบรมธรรมนํากอน เราจะภาวนาอะไรก็ตามใจเคยชํานาญเร ื่ องพิจารณาอานาปานสติหรือพุทธโธบางคนก็ ประสมกัน พุทธเขาโธออกก็ได เหมือนกัน คือเราใหจับอารมณใดอารมณหน ึ่งใหมั่น จิตใจให แนวแนอยูในอารมณอันเดียวคือใหสติคุมจิตให อยูในอารมณเดียว บริกรรมของเราน ั่นใหเปน อารมณ จิตแนบเนียนอยูตรงนั้น แนวแนอยูตรงนั้น จิตจะอยูตรงนั้นก็ใหรูจิตไมอยูตรงนั้นก็ใหรู ใหทําความรูสึกรูตัวเฉพาะอยูในเรื่ องนั้น ทําใหใจมั่ นคงทําความพอใจในเรื่ องท ี่ เราอบรมอยูนั้น คือ ถือวาเราอบรมทําภาวนาสมาธินี้นั้น มันเป นเร ื่ อสํารวมใจการฝกฝนใจเปนวิธีการท ี่เป นของพิเศษ ยากคนท ี่จะไดทําและยากท ี่ เราจะทําได เม ื่ อเราทําอยูนี้นั้น เรียกวาเป นของพิเศษอยูแลวจิตถึงแม จะ ไมรวมสนิทเบ ื้ องตนก็เพียงเรารูเร ื่ องของจิตก็นับวาเป นของดีกวาท ี่เราไมรูเสียเลยไมได อบรม ฝกฝนเสียเลยเม ื่ อจิตของเรารวมไดสงบไดขนาดไหนเพียงไรก็ใหยินดีพอใจในเรื่ องท ี่ เราอบรม นั้นฝกฝนนั้น ใหทําอยูอยางน ั้ นอยูตลอดกาลเวลาอยาไปทะเยอทะยานอยากจะใหดียิ่ง ๆ ขึ้นไป แท จริงก็คือความท ี่ เราทําสม ่ําเสมอไมทอถอยอันนี้ละเป นการทําให เจริญก าวหน าย ิ่ งข ึ้นโดยลําดับ ถาหากวาจะทําละเอียดสักเทาใดก็ ตามแตทําไมมั่นคงคือวาไมสามารถที่จะปลอบใจบํารุงศรัทธา ของเราใหมั่นคงในแนวปฏิบัติสักประเดี๋ยวประดาวก ็ เส ื่ อมจากคุณธรรมอันนั้นเสียใชไมได เหมือนกัน เหตุนั้นมีอะไรก็ใหยินดีในสิ่ งท ี่ ตนเองมีอยูก็จะเปนประโยชน อยางยิ่งขอสําคัญคือวา ให
สรางศรัทธาปสาทะให เกิดขึ้นในอารมณที่ตนภาวนาอยูนั้น ใหขมในสิ่ งท ี่ ควรขม สงเสริมศรัทธาให มันแกกล าในสิ่ งท ี่ ตนมีตนได อยูนั้นไมวามันจะมากหรือน อยหยาบหรือละเอียด นี่อุบายวิธีที่เราจะ สรางสมาธิภาวนาของเราใหสม ่ํ าเสมอให เข าใจถึงเร ื่ องน ี้สวนที่มันจะเปนไปหยาบหรือละเอียด เอาไวสวนหน ึ่ งตางหากอยาไปทะเยอทะยานดิ้ นรนมันเลย (นั่งภาวนาประมาณ ๓๐นาที)
สิงคโปร วันที่๑๘ - ๒๒ มกราคม พ.ศ.๒๕๒๐ วันที่๑๙ มกราคม ๒๕๒๐เวลาค่ํา แสดงธรรมเทศนา ดีใจมากขอบใจทีเดียว พากันมาประชุมพร อมกันในวันนี้มาคราวกอนไมมากอยางน ี้ มาวันน ี้ รูสึกวาหนาแนนมากคนด วยกัน ทุกคนก ็ พากันสนใจถึงเร ื่ องศาสนาพุทธ ที่ไดศึกษาแล วไดฟงมา แตก็ยังไมทันไดรับคําแนะนําอยางแท จริง มาวันน ี้ จะแนะนําทางศาสนาพุทธให เข าใจถี่ถวนถึงเร ื่ อง การจะปฏิบัติการที่ถือพทธศาสนาโดยสุวนมากเรามีเพียงแตคําวาถือยังไมใชเราลงมือปฏิบัติ ศาสนาท ี่ แท จริงพระพุทธเจ าสอนใหเราปฏิบัติถือไว เฉยๆ ไมได ผลคุมคา เปรียบเหมือนของที่เรา รับประทาน รสชาติดีก็จริง หากวาเราไมไดรับประทาน ก็ไมรูจักรสชาติของอาหารนั้นๆ เราถือ ศาสนาโดยมากมักเพียงถือเฉย ๆ ยังไมไดประพฤติปฏิบัติจึงไมรูจักรสชาติของศาสนาที่แท จริง ศาสนาพุทธสอนให คนผูทําผิดละส ิ่ งที่ผิดนั้น ๆ ที่ทําถูกแล วก็สงเสริมใหทําถูกตอไป คือให ทําดีตอไป คนเราบางคนเข าใจวา ทําผิดแล วไมมีหนทางท ี่ จะแก ไข ทําช ั่ วแล วไมมีหนทางท ี่ จะกลับ ตัวไดอันเป นความเข าใจผิดแทที่จริงคนเราถ าหากรูจักวาส ิ่งใดที่เปนของสกปรกนาเกลียด สิ่งนั้น เราก็รีบลางรีบชําระใหสะอาดเสียก ็ จะดีขึ้นไดทันทีคนที่ทําผิดคิดวาเป นของดีก็ไมผิดอะไรกลับ แมลงวันที่เห ็ นของเนาสกปรกเป นอาหารท ี่ เอร ็ ดอรอยถาหากเข าใจวาของช ั่วสกปรกเปนของน า เกลียด หรือเปนสิ่งที่นาสพึงกลัวแล วจะงดเว นเอง พระพุทธเจ าทานตรัสเทศนาไววา เหมือนกับไฟ ไหม ผมที่ศีรษะของคนเรา เม ื่ อมันรอนก็ตองรีบดับ ความชั่วและความผิดท ี่ คนทําไปแล วเห ็นโทษก็ เชนนั้นเหมือนกัน เหตุนั้นพุทธศาสนาจึงสอนใหคนละในสิ่งที่ผิดน ั้ นเสีย สิ่งที่ถูกก็สงเสริมใหทําดี ตอไป เม ื่ อเราเข าใจเชนนี้แล วก ็ สรุปรวมเขาใจงาย ๆ วาพุทธศาสนาสอนที่ตัวของคนเราถาหากเรา นําเอาคําสอนน ั้นมาปฏิบัติก็เรียกวาศาสนาพุทธมาอยูที่ตัวของคนเราทุก ๆ คน ถึงแม จะไมได บวช ไมมีวัดเราไมได เข าวัดเข าวาแตหากเรานําเอาธรรมของพระพุทธเจ าท ี่สอนให ละช ั่ วทําดีนั้นมาไวที่ ตัวของเราแลวศาสนาก ็ มาต ั้ งหรือประดิษฐานอยูที่ตัวของเราน ั่ นเองศาสนาไมได อยูในที่อื่น พุทธ ศาสนาสอนผิดจากศาสนาอื่น คือสอนแนะนําใหรูจักผิดรูจักดีรูจักชั่วแล วชาระดํ วยตนเอง
พระพุทธเจ าไมไดไปชําระสะสางใหใครทั้ งหมด ทุกคนเห็นผิดด วยตนเอง เห็นชั่วด วยตนเองแลว ละดวยตนเองไฟไหมศรีษะตนเองจะไปให พระพุทธเจ ามาชวยดับไมได เราต องดับดวยตนเองจะ ไปคอยคนอื่ นมาดับให เราก ็ แยตองรีบดับดวยตนเองซิ ศาสนาพุทธสอนใหมีอิสระในตัวทุกคน ทุกคนเม ื่อไดฟงคําสอนของพระพุทธเจ าแล วจะต อง คิดค นเหตุผลด วยตนเองแล วก ็ประพฤติดวยตนเอง เห็นโทษแลวละส ิ่ งท ี่ไมดีเห็นคุณแล วประกอบ สิ่งที่ดีคือส ิ่ งท ี่เปนบุญเปนกุศลด วยตนเอง ไมใชไปคอยให คนอ ื่ นหรือพระเจ าชวยเหลือตลอดเวลา ศาสนาพุทธสอนมีอิสระอยางน ี้ เพราะฉะนั้นทุก ๆ คนเม ื่ อมีอิสระในตัวของตนแลวจึงชอบในเรื่ อง ศาสนาพุทธถาหากผูไมมีอิสระในตัวจึงชอบศาสนาพระเจา หลักของการปฏิบัติในทางพุทธศาสนาคือมีศีลห าหรือศีลแปดกรรมบถสิบ หรอศื ีลสิบ ศีล สองร อยยี่สิบเจ็ดก็แล วแตความสามารถของตน นี่เป นหลักปฏิบัติเม ื่อเราปฏิบัติได เราจะเห ็ นวา เรา ละช ั่วไดขนาดไหนมีขอปฏิบัติศีลหาศีลแปดศีลสบประการเป ิ นตน นี่เป นเคร ื่ องวัดวาความช ั่ วเรา ละไดเพราะศีลน ั้ นแสดงถึงเร ื่ องความชั่วถาหากเราไมรักษาศีลเราไมปฏิบัติตามศีลก ็ หมายความวา ความช ั่ วของเรายังมีอยูถาเราปฏิบัติก็หมายความวาเราละความชั่วเปนขอ ๆ ไดมากไดนอยมีศีลเปน เคร ื่ องวัด นี่จะรักษาศีลไดก็เพราะปญญา ปญญาทใชี่ ตั้งแตเบ ื้ องตนตั้งแตทานมาถาไมมีปญญาแลว มีสมบัติมากหลายสักปานใดก็ไมสามารถจะทําทานไดศีลก ็ เชนเด ียวกัน ศีลหาศีลแปดศีลสิบ ศีล สองร อยยี่สิบเจ ็ ดรักษาไมไดทั้งนั้น ที่พูดถึงเร ื่ องศีล สมาธิปญญา เอาปญญาไวสุดท ายนั้น ทาน หมายถึง ปญญาขั้นสูง ตอนท ี่ จะตัดกิเลสนั้นตางหาก หรือละนิวรณ บาปธรรมทั้ งหลายเปนตน ทานอาจารย ตอบปญหาธรรม ๓. ผูถาม การปฏิบัติศาสนาจําเปนตองเข าวัดเข าวาหรือไปหาพระ หรือทําที่บานเองก ็ได ทานอาจารย ไมตองเข าวัดมันเข าของมันเองวัดอยูที่ตัวของเราถาเราทําเปนกิจวัตรเป นนิจเรียกวา เข าวัดถาเราเข าวัดแตใจยังไมทันละช ั่ วก ็ เรียกวายังไมถึงวัดเหมือนกัน ระวังนะคนที่ถือแบบนี้วา ฉันมีศีลฉันมีธรรมแล วฉันถือศาสนาในตัวแล วไมตองเข าวัดก ็ได อยางนี้มีถมไป มันเปนคําอ างเฉย ๆ เอาจริงเขา เราไมทําตามคําสอนของพระพุทธเจ าก็มีมากเหมือนกัน พวกหมูนี้มักแอบแฝงหลอก คนอื่น ๒. ผูถาม หัดภาวนาโดยสวดมนตไปพร อม ๆ กัน แล วยึดเอาคําสวดมนต เป นอารมณ ในการภาวนา อยากจะทราบวาวิธีอันนั้นถูกต องหรือเปลา
ทานอาจารย มันเป นเพียงเบ ื้ องตน ถาหากเราสวดมนต ใจมันแนวอยูในอันเดียวเชน เราสวดถึงคุณ พระระลึกถงคึุณของพระเจ าเปนตน เราสวดไป ๆ ใจมันแนวอยูในอารมณอันเดียวก ็เป นสมาธิ เหมือนกัน แตมันละเอียดไมไดเป นเบ ื้ องตน ยังไมไดจัดวาหัดภาวนาจริง ๆ จัง ๆ ที่เรียกวาหัด ภาวนาจริง ๆ จัง ๆ ไมไดสวดอะไรม ันวางหมดไมคิดนึกเร ื่ องอ ื่นใหมันเหลือแตใจอันเดียว สงบอยู ที่ใจอันเดียวจึงจะเขาภาวนาแท ๑. ผูถาม เวลาหัดภาวนา บางทีมีวิญญาณตาง ๆ มาวนเวียนอยูใกล ๆ แตไมเห็นดวยตา มันเกิดจาก ความรูสึก มันจะเป นเร ื่ องที่ปรุงแตงหรือเป นเร ื่ องจริง ทานอาจารย มันเป นเร ื่ องพิศดาร มันตองพูดเฉพาะผูที่เขาเปนมันจึงคอยรูเร ื่ องกัน พูดคนอื่นตอไป มันไมคอยรูเร ื่ องกัน บางทีก็เป นของจริงบางทีมันก ็หลอกเราให หลงเช ื่ อก ็เปนได เพราะจิตเราไมได มาตรฐานเช ื่อของเราไมไดไมเหมือนพระอริยเจ าผูละเอียดแลว ทานเช ื่ อของทานไดทานอยากรู ทานก็รูไมอยากรูทานอยูเฉยเสีย ๓. ผูถาม ขอความกรุณาทานอาจารยชวยแนะวิธีในการหัดภาวนา ทานอาจารย วิธีภาวนาคือรวมใจใจคนเราตั้ งแตเกิดมายังไมเคยรวมอยูในจุดเดียวสักทีหัดภาวนาก ็ คือรวมใจให อยูในจุดเดียวคนเราเกิดข ึ้ นมาวุน คิดนึกตลอดวันยังค ่ําไมมีพักผอนเลยเพราะฉะนั้น พระพุทธเจ าจึงสอนให เราพักใจบ างกายกับใจมีลักษณะคล ายกัน กายถ าเราทํางานตลอดเวลาไมมี การพักผอนนอนก ็ เหน ็ ดเหน ื่ อยใจของเราถ าหากมีแตคิดปรุงแตงสงสายตลอดท ั้ งกลางวันและ กลางคืน นานเข าก ็ เรียกวาโรคเสนประสาทกลายเปนบาไป หากไมรูจักสํารวมใจ พระพุทธเจ าสอน ให เรารูจักสํารวมใจสงบอารมณให อยูในจุดเดียวใหกําหนดลมหายใจเขาออก หรือมิฉะนั้นก็ให กําหนดเอาพุทโธไวที่ใจเอาสติคุมให อยูในอารมณอันเดียวกันนั้น ใจคือผูนึกวาพุทโธแล วเอาสติ ตามกําหนดคือตามรักษาคุมอันนั้นไวไมไห หนีจากนั้น ถาหากมันหนีไปจากนั้นก็เอามารวมกันไว ไมให หนีนาน ๆ เข ามันก็คอยซาคอยออนกําลังลงไป ในที่สุดมันก็จะมารวมอยูในจุดเดียวเปรียบ เหมือนกับสัตวที่เราจับมาจากปา เอามาทีแรกมันก็พยายามด ิ้ นรนเสียจนหมดเร ี่ ยวแรงอีกหนอยมัน ก็คอยอยูใจของเราก็ เชนเดียวกัน ๓. ผูถาม ในการหัดภาวนาจะต องหัดในทาไหนและกาลเวลาใดจึงจะเหมาะ
ทานอาจารย เวลาไหนก็ไดทาไหนก็ได หมดเบ ื้ องต นเราหัดน ั่ งขัดสมาธิเป นทาที่ดีกวาทาอื่น ๆ เมื่อ เราหัดใหชํานาญแล วจะอยูในอริยาบถใดก็ไดกาลเวลาไหนก็ไดทั้งนั้น ขอแตใหจิตเราสงบอยูในจุด เดียวก ็เปนอันใชได ๓. ผูถาม แล วเราจะสามารถทําไดนานสักเทาใด ทานอาจารย มันก็แล วแตใจของเราจะสงบไดนานสักเทาใดถาใจของเรามันสงบดีมันก็อยูได นาน ถาใจไมสงบมันก็อยูไมได ๓. ผูถาม แตบางทีมันก็หลับไป ทานอาจารย หลับก็ดีกวาที่มันฟุง ๓. ผูถาม ใจมันจะมีขึ้นเปนชั้น ๆ หรอเปล ื า ทานอาจารย ไมไดขึ้นไปไหนหรอกอยูที่ใจของเรา ใจมันสงบเทาใดนั้ นแหละเรียกวาชั้น มันไมได ขึ้นไปชั้นสูง มันรวมไดก็เรียกวาชั้นสูง มันอยูดวยความสงบ ยิ่งสงบมันก็ยิ่งใสสะอาดขึ้นไปก็ เหมือนกับที่เราขัดเก าอี้นั้นแหละยิ่งขัดเทาใดก็ยิ่งใสสะอาดยิ่ งข ึ้นไปเทานั้น ๓. ผูถาม ผมมีธุระการงานมากดังน ั้นในการหัดภาวนาควรท ี่จะหากาลเวลาภาวนาไมใหขัดกับการ งานใชไหมครับ ทานอาจารย นั่นแหละดีที่สุดจัดให เข าระเบียบกับกาลเวลาท ี่ เราทํางาน อยาใหมันพลาดไดอันนี้ เป นของสําคัญที่สุดเราหัดอยางน ี้ไดวันหนึ่ง ๆ เรากําหนดเวลาจะน ั่งภาวนาไหวพระสวดมนตทํา สมาธิไดเวลาใดคือใหมันไดจังหวะอยูตลอดเวลาถาเราคิดถึงเรื่องงานประจําวันของเราจะเห็นวา วันหนึ่ง ๆ เวลาท ี่เราไมไดทําภาวนาอยางนี้มันมากมาย ทําภาวนาแมมันนิดเดียวเรามาสร างความดี นี้มันนิดเดียวความช ั่ วท ี่เราไมไดปลอยวางไมไดสํารวมมันมากตอมากนักเทียบกันแล วมันขาดทุน เยอะแยะ นาเสียดายเวลาท ี่ ขาดทุนไปวันหนึ่ง ๆ ๓. ผูถาม อยากทราบวาในจักรวาลน ี้ พระเจ ามีไหม
ทานอาจารย พระเจ าน ั้นไมทราบวาอยูตรงไหนกัน ผูแตงคัมภีรก็บอกวาพระเป นเจ ามีแตแล วผูแตง คัมภีรแลคนอื่น ๆ ก็ไมเคยเห ็นพระเป นเจาไมทราบวาจักรวาลน ี้ หรือจักรวาลอื่นมีพระเจ าหรือไม ๓. ผูถาม ในตําราคัมภีรของพระพุทธศาสนาทานก็ยังพูดถึง เทวดาอินทรพรหม ภูตผีปศาจ ทานอาจารย มันเป นเร ื่ องของผูรูกับผูรูพูดกันจึงคอยรูเร ื่ องถึงในสมัยน ี้ใครจะเห็นมีเทวดาอินทร พรหม ก็เห ็ นเฉพาะตนเทานั้น จะพูดให คนอื่นฟงเขาก ็ไมเห็นดวยจึงเรียกวาไมมีเหตุผล พระพุทธเจ าสอนให เช ื่ อมีเหตุผลทําตามไดในคัมภีรทานเลานานแล วไมทราบวาทานได กลาวไวมี จุดประสงคอะไรเพื่ อคนภายหลังเราก ็ไมทราบได ๓. ผูถาม ในประวัติพระพุทธเจา ตอนท ี่ พระองค ตรัสรูมารมาหลอกหลายวิธีมารเหลาน ี้ไมใชพวกผี ดุหรือ หรือไมได หมายความถึงเร ื่ องเหลาน ี้ แตหมายถึงเร ื่ องจิต ( คือกิเลส ) ทานอาจารย เร ื่ องพุทธศาสนามันเป นเร ื่ องพิศดารถาจะพูดถึงเร ื่ องมารแลว พูดท ั้ งภายนอกด วย พูด ทั้งภายในด วย พูดทางภายในได แกกิเลส ภายนอกคือเร ื่ องบุคคลาธิษฐาน เป นเร ื่ องเทียบเคียงกัน ถา หากวาเราจะเอาตําราน ั้ นมาพูดกันมันยืดยาว มันตองเรียนหลายด านหลายทางอธิบายเป นธรรมะ ดวยเปนบุคคลด วยในธรรมะพระองคสอนใหนอมเขามาในตนเปนสวนมากเพราะเป นเคร ื่ องชําระ กิเลสของตน สวนเร ื่องภายนอกเป นแตเพียงอุปกรณ ของจิตและอุบายเทานั้น ๓. ผูถาม คนท ี่ ตายต ั้ งแตยังหนุมยังสาวเป นเพราะเรื่องของกรรมหรืออยางไร ทานอาจารย ไมวาคนหนุมคนสาวแลคนแกตายแตยังหนุมหรือแกแล วจึงตายก ็ ตาม มีกรรมด วยกัน ทั้งนั้น แตไมทราบวากรรมอะไร ทําไว อยางไรแตในอดีต เป นแตรูวากรรมเพราะผลคือความทุกข ๓. ผูถาม ขอถามปญหาเร ื่ องการแพทย ผมทํางานใหรัฐบาลรัฐบาลสงไปทํางานในที่มีไขปา มาเลเรียมากและต องฆายุง เพราะยุงเปนสัตวที่แพรเช ื้ อมาเลเรียการฆายุงผิดจากหลักของพุทธ ศาสนา ในอาชีพท ี่เป นหมอแล วรัฐบาลส ั่งใหไปฆายุงผมจะทําอยางไรเพราะตองประกอบอาชีพ และน ี่เปนคําส ั่ งของรัฐบาลใหทํา ทานอาจารย เราถือวารัฐบาลส ั่ งฆา เราอยาถือวาเราฆาก ็ หมดเร ื่ องถ าเราฆาด วยเจตนาหรือเพ ื่ ออาชีพ ก็ไมพนจากศีลขอ ปาณาติบาต
๓. ผูถาม ควรท ี่ จะยายไปอยูแผนกอื่นดีไหมครับ ทานอาจารย แตเวลาน ี้ เขายังไมยายน ี่ จะวาอยางไรเราไปสั่ งเขาย ายเราก ็เปนรัฐบาลละซี ๓. ผูถาม ผมพยายามไมฆาสัตว ครับ มดแมลงสาบไมเคยฆาสักตัวเดียวแตเด ี๋ ยวน ี้ แมลงสาบกับมด มันอยูเต ็ มบ านครับ ทานอาจารย พยายามหาหนทางไลมันไป มากรุงเทพ ฯคร ั้ งหลังนี้มีผูใหญถามด วยคําถามแบบน ี้ ทหารนั่นจําเปนตองบริหารรักษาประเทศชาติถ าหากวาข าศึกมาบุกรุกก็จําเป นจะต องรบ รบจําเปน จะต องมีการฆากัน แล วจะผิดศีลหรือไมเราก ็ อธิบายวาผิดศีลนั้นผิดแนเพราะเหตุผิดที่ฆาสัตวดวย เจตนาแตวาในหลักธรรมมีอีกข อหน ึ่ งที่วาใหรูจักกตัญูกตเวทีรูจักบุญคุณของประเทศชาติจึง ตองป องกันประเทศชาติเพราะฉะน ั้ นเราถือวาเราต องป องกันเขาไมให มารุกรานประเทศชาติของ เรา ฉันปองกันฉันไมไปรุกรานใคร ฉันเคารพรักประเทศชาติของฉัน ใครอยามารุกราน มาก็ตองได เร ื่ อง ๓. ผูถาม ในศาสนาคริสตถือวาพระเยซูเปนลูกของพระเจา ในศาสนาพุทธถือวาพระพุทธเจ าเปน อะไร ทานอาจารย พระพุทธเจ าก ็เปนลูกของพระเจ าสุทโธทนะกับพระนางสิริมหามายานั้นละซีไมได เปนลูกของพระเป นเจ าองค ใด ๓. ผูถาม ในศาสนาคริสต ไดพูดถึงพระเจ าผูสรางโลกขึ้ นมาแตในศาสนาพุทธทําไมไมเห ็ นพูดถึง เร ื่ องน ี้เป นเพราะเหตุใด ทานอาจารย เม ื่ อพูดถึงพระเจ าสรางโลกแลว พระพุทธศาสนาไมไดพูดถึงเร ื่ องสรางโลกแตเมื่อ เทียบพุทธศักราชกับครสตศิ ักราชแล วไกลกันลิบลับ คือพุทธศักราชได๒๕๒๐ ปสวนคริสต ศักราชได เพียง ๑๙๗๗ ปเทานั้น ไกลกัน ๕๔๓ ปศาสนาคริสต บอกวาพระเจ าสรางโลก ทาง วิทยาศาสตร เขาบอกวาโลกกลม ศาสนาคริสต เจ าโลกไมยอมเชื่อผลที่สุดก ็ ลงเอยกับ นักวิทยาศาสตร เขา พระพุทธเจ าบอกวาโลกนี้ กลมต ั้ งแตกอนวิทยาศาสตร ไมทันเจริญ แตถึงขนาด นั้นพระองคก็ไมสอนเร ื่องโลกเพราะไมเปนไปเพื่ อความพ นจากทุกข สอนท ี่ กายวาจา ใจอันเปน บอเกิดของกิเลส ชําระท ี่ กายวาจา ใจนี้ เพ ื่อใหพนจากทุกขทั้งปวงได
๓. ผูถาม เคยฟงคําสอนของพระวาถาเรายังไมเข าถึงนิพพานเราจะต องวนเวียน เกิด - ตายเกิด - ตายอยากจะทราบวาการเวียนวายตายเกิดเป นเร ื่ องจริงหรือไมจริง ทานอาจารย เราสังเกตส ิ่ งที่มันเปนวัตถุใหปรากฏแล วก ็ แล วกัน ตัวของเรานั่นมันไดสิ่งอะไรมา บํารุงคือวาไดจากอาหารเปนผักเปนขาวเปนปลา เอามาบํารุงหลอเล ี้ยงใหมันอยูได เวลามัน หมดอายุไปมันก็แตกสลายไปเปน ดิน น้ําลม ไฟ ผูที่มาเกิดมันก็เอาอันนั้นมาเกิดอีกเอามาใชอีก ใช แล วก็ถายอีก พูดงาย ๆ อยางนี้ก็แล วกัน เรากินอาหารถายเทลงไป ไปเปนดิน เปนน้ํา เปนผักเปน ไมคนไปเอามากินอีกกินแล วมันก็ถายไปอีก นี่แหละมันวนอยูอยางน ี้นี่เราพูดถึงเร ื่ องวัตถุพูดถึง เร ื่องใจเราแตละคน วันนี้ใจดีคือชอบ รักเพ ื่อนฝูงลูกเมีย หรือลูกผัว นี่วันนี้รักวันหลังมาไมชอบ เกลียดโกรธวันหลังก ็ เกิดรักอีกก็คนเกาน ั่ นแหละเกลียดคนเกาท ี่ เคยรัก ทําไมมันจึงวนเวียนอยู อยางน ี้ไมเบ ื่ อสักทีนี่ใหสังเกตเอาไววามันเป นเร ื่ องจริงหรือไมจริง เพราะใจเปนผูเกิดเปนผูตาย สวนกายเป นแตวัตถุธาตุใหจิตอาศัยอยูเทานั้น ถาจิตไมมีแล ววัตถุธาตุก็ไมสามารถปรุงแตงเปนตัว คนข ึ้นมาได ๒. ผูถาม เราเกิดมาเป นคนเราจะเจริญธรรมไดงายกวาเกิดเป นอยางอ ื่นใชหรือเปลา ทานอาจารย มันก็อยางนั้นละซีเราเจริญธรรมะคือพิจารณาในตัวของเราน ี่ เห ็ นความทุกข หรือเกิด แกเจ็บ ตาย สังขารรางกายเปนของไมเท ี่ ยง หรือแม เราจะพิจารณาเห ็ นอสุภะปฏิกูลในตวของเราจนั จิตใจมันชํานิชํานาญ ความรูอันนั้นมันชํานาญคลองตัวอยูตลอดเวลาถาหากวาเรายังไมทันถึงที่สุด คือยังไมทันถึงพระนิพพาน ตายแล วเกิดใหมมันก็ลืมหมดเม ื่อไปเกิดแล วมีคนใดคนหนึ่ งมาอธิบาย ใหฟง ซึ่งธรรมะมันตรงกับธรรมะท ี่ เราเคยพิจารณาแตเม ื่ อกอน เราจะพิจารณาได เร ็ วขึ้น ไดปญญา เร ็ วข ึ้ นกวาท ี่เราไมไดพิจารณามาแตกอน อานิสงส ของการภาวนามันคืออยางน ี้ ๓. ผูถาม ถาหากวาเราทําอกุศลกรรมไว มากดังนั้นจึงพยายามสรางกุศลกรรมให เกิดข ึ้ นมาก ๆ เพื่อ ลบล างกับอกุศลกรรมท ี่เราไดทําแลวจะเปนไปได หรือไม ทานอาจารย มันไมเหมือนกับที่เขาเรียนบัญชีเร ื่ องบุญเร ื่ องกุศลมันไมมีตนไมมีตัวมันปรากฏที่ใจ ประทับอยูที่ใจกรรมทางดีและช ั่ วถ าหากเราทําไว แลว มันแยกบัญชีกัน บันทึกคนละบัญชีแล วแต ใครต องการจะอานบัญชีไหนกอน บัญชีดีกอนหรอบื ัญชีชั่วกอน ทานอุปมาเปรียบเทียบเร ื่ องข อน ี้ ดังน ี้ กรรม คือความดีและความชั่วท ี่ เราทําไวเปรียบเหมือนกับสุนัขสองตัวไลเนื้อถาตัวไหนฝเทา มันดีมันทันกอน ตัวฝเท าไมดีมันจะไปทันทีหลัง เหตุนั้นไมมีการลบล างกันไดถึงแมทานได บรรลุ
ถึงอรหันตแลวจิตใจของพ นจากทุกข ไดก็จริงแตวาวิบากของเกาทานยังเหลืออยูกรรมมันตองตาม ทันอยูสวนใจนั้นตามไมทัน เหมือนกับบัญชีเราจดเอง เชน เราไปฆาคนสักคนหน ึ่งไว การท ี่เราไป ฆาคนเราก ็ เห็นวามันเปนของไมดีดวยความโทสะ มานะดวยความโกรธกริ้วจิตใจจะต องจารึก ความช ั่ วน ั้นไวในใจคนอ ื่นไมเห็นดวยแตตัวเห ็ นด วยตนเองอันนั้นกรรมชั่วคราวน ี้เราไปสร าง โบสถ สร างวิหารหรือทําบุญไวใหญโตสักแหงหนึ่ง เราไดบุญมากเพราะความพอใจอิ่มใจของเรา มากนอยเทาใดคนอื่นก็จดใหไมได เราต องจดไวดวยตนเอง ในขณะที่เราทําไวนั้น สร างบุญกุศลอัน นั้นเราอาจจะลืมความช ั่ วอันนั้นก็ได แตเวลาที่ความดีใจอิ่มใจในความดีนั้นมันหายไป ความชั่ว อาจข ึ้ นมาอีกก ็ได เหตุนั้นจึงวามันคูเคียงกันอยูมันสามารถท ี่จะใหผลไดในเวลาใดเวลาหนึ่ง นี่พูด ถึงเม ื่ อยังไมทันถึงพระอรหันตกําลังสร างบุญสรางบาปอยู เรียกวามีบัญชจดจี ําเร ื่ องบุญเร ื่องบาปอยู เด ี๋ ยวน ี้ถาหากวาทานผูสําเร ็จเป นพระอรหันตทานไมมีบัญชีลบหมดเลยไมมีทั้งสองบัญชีคือบัญชี บุญและบาปฉีกท ิ้ งเลย ๑. ผูถาม การทําภาวนาน ี้ จะต องให เข าถึงข ั้ นของอุปจารสมาธิและความสําคัญอยูในขั้นอุปจาร สมาธิใชไหมครับ ทานอาจารย คือเราใชอุบายอะไรก็ ตามเม ื่ อจับหลักไดแลว มันจะถึงอุปจารสมาธิหรืออัปนาสมาธิ มันจะต องจับหลักอันเดียวเสียกอน เราจะไปเพงใหมันถึงอุปจารสมาธิหรืออัปนาสมาธิไมได จะต องจับหลักเบ ื้ องตน คือเราจะกําหนดอะไรใหมันลงอันเดียวแนวเต ็ มที่ในหลักอนเดั ียวเสียกอน ถาไมเต ็ มที่มันก็จะเป นเพียงอุปจารสมาธิอุปจารสมาธินี้มันจะเปนปากทางของอัปนาสมาธิและ ของความฟุงซานก ็ไดถาสติมั่นคงก็จะแนวแนเข าถึงอัปนาสมาธิไปเลยถาสติไมมั่นคงก ็จะฟุงซาน ไปใหญเสียจากอุปจารสมาธิก็ได ๑. ผูถาม ขณะท ี่ มาสนทนาธรรมกับทานอาจารย ขอเปรียบเหมือนกับภาวนาที่ริเร ิ่ มเบ ื้ องตน จิตก ็ แนวแนสมควรเม ื่อไดมาสนทนาธรรมแล วจิตใจยิ่งปลอดโปรงมากจนพูดไมถูกการสนทนาธรรม ผมเห็นวาสําคัญที่สุดใชไหม ทานอาจารย มันเปนได บางคน ผูที่สนใจในทางธรรมมันก็เป นอยางนั้น จิตใจมันแนวแนอยูใน ธรรมเสมอเม ื่อปรารภวาจะไปสนทนาธรรมกับอาจารยละจิตมันเกิดปลื้มปติขึ้นมามาก พอได สนทนาธรรมเข าจริง ๆ ความปตินั้นก็ยิ่งเพ ิ่ มทวีคูณข ึ้นไมทราบวาจะพูดอยางไรถูก ทานวาธมฺม สากจฺฉา เอตมฺมํคลมุตฺตมํการสนทนาธรรมเปนอุดมมงคลอยางยิ่งคือทําใหจิตหลุดพ นจากกิเลส
ไปได อยางน อยก ็เป นหนทางนําจิตหลุดพ นได แตตรงกันขามผูที่ไมสนใจกลับงวงเซอเลยนอน หลับเลย ๑. ผูถาม จิตใจคนเราอาจจะแบงออกเป นสองสวน สวนหน ึ่ งคืออารมณที่คิดรักคิดเกลียดคิดชอบ สวนอีกอารมณหน ึ่ งสามารถท ี่ จะคิดถึงเหตุผลรูดีรูชั่วและบางทีทั้งสองฝายอาจขัดแย งกัน บางทีมัน ก็อาจจะตามกันไป แตถาหากตามอารมณ เปนสิ่งท ี่ไมดีพุทธศาสนาทานสอนเกี่ยวกับเร ื่ องพวกน ี้ อยางไรควรท ี่จะปลอยตามอารมณดีหรือวาควรท ี่ จะรักษาอารมณที่มีเหตุมีผลดีกวา ทานอาจารย หลักพุทธศาสนาสอนถึงเร ื่องใจนั้นมันมีอันเดียวใจไมมีมากอยางดอกที่มันมากคือมัน ผสม เหมือนกับน้ําท ี่ ผสมดวยสีตาง ๆ สีดําใสเข าไปก็ เรียกวาน ้ํ าดํา สีแดงใสเข าไปก็ เรียกวาน ้ํ าแดง ทั้งดําท ั้ งแดงผสมกันเข าก ็กลายเปนสีรา ๆ ไป ผสมสียิ่งมากเทาใดสีก็ยิ่งราไปหลายสีเทานั้น อารมณ ที่เราไมอยากใหมันไปตามสิ่งไมดีนั้นคือตัวปญญามันเกิดข ึ้ นมา สวนอารมณนั้นเป นเร ื่องของใจ แทที่จริงปญญาก็คือใจอารมณก็คือใจเพราะฉะน ั้ นพระพุทธองคจึงสอนใหเราอบรมใจรักษาใจให มันเหลืออยูอันเดียวไมใหมีสองสาม เพราะใจเป นของท ี่ เร ็ วที่สุดยากที่จะจับไดถามันมีอาการ หลาย ๆ อยางมันยาก หากผูมาอบรมใจใหสงบเป นหน ึ่งลงไปได แล วจะเห ็ นวามีไมมากใจอันเดียว แท ๆ เหตุนั้นจะต องอบรมจึงจะรูเร ื่ องพวกน ี้ จะอุปมาอยางนี้ก็ไดคือใหมันเป นหน ึ่ งอยางเรานับ หน ึ่ งเสียกอน ตอมา สอง สาม สี่หา หกแทที่จริงหน ึ่ งท ั้ งนั้น ถาหากเราจะใหเป นหน ึ่ งแลวเอาตัว หกใหเป นหน ึ่ งก ็ได แล วแตเราจะนับตัวไหนกอนใหเป นหนึ่ง นับหน ึ่ งถึงหกคร ั้ งก ็ เรียกวาหกเทา นั้นเองถาหากเราอยากจะใหใจเป นหน ึ่ งเรามากล ั้นลมหายใจดูพอกลั้นใจไมหายใจสักพักหนึ่งไม มีความคิดความนึกไมสงไปนั่นนี่จะยังเหลืออันเดียวคือรูสึกวามีแตผูรูเพราะมันยุงมันวุนวายคุม จิตไมอยูฉะน ั้ นจงคุมจิตให อยูอันเดียวแล วก ็ สบายเลย ๒. ผูถาม เร ื่ องของอารมณที่มันแบงออกเป นสองสวนนั้น สวนหน ึ่ งมันเปนไปตามอารมณตาง ๆ เชน ถามีญาติตาย มันก็อดท ี่ จะมีความเสียอกเสียใจไมไดสวนอีกอารมณมันมีเหตุผล ทั้งสองอยางน ี้ มันทําไมจึงแตกตางกัน ทานอาจารย เป นธรรมดาจิตของปุถุชนเม ื่ อกระทบอารมณ เข าแล วจะต องเปลี่ยนแปลงไป เปนสุข บาง ทุกขบางอันเป นกลาง ๆ นั้นเกือบจะไมมีเสียเลยเม ื่ อเห ็ นญาติหรือคนที่รักใครตายก ็ อดท ี่ จะมี ความโศรกไมไดนั่นเพราะความเขาไปยึดวาเป นญาติของเราหรือคนสนิทของเรา เวลาใดเราใช ปญญาพิจารณาตามเหตุผลวา เกิดมาแล วจะต องตายด วยกันทั้งนั้น เว นเสียแตตายช าตายเร็วเหตุนั้น การท ี่ เราหัดภาวนาใหมีปญญาค นคว าหาเหตุผลให เห ็นตามความเป นจริงจึงเป นของมีคุณคาไมให
เราเปนทุกข เศราโศกในเมื่ อเห ็ นญาติของเราตายหรือไดรับทุกข ๑. ผูถาม เม ื่อใจเข าถึงความสงบแลว ตามธรรมดาใจมันจะต องไปยึดอยางน ั้ นนานที่สุดตามสภาพ ของใจใชหรือไม ทานอาจารย นั่นแหละ มันเป นกลาง ๆ มันอยูอันเดียวน ั่ นแหละใจมันตองมีเคร ื่ องยึด มันสงบ มันก็ ตองยึดสงบ มันรักมันก็ไปยึดรัก มันเกลียดมันโกรธมันก็ไปยดเกลึ ียดโกรธคราวนี้มันสงบ มันก็ไป ยึดความสงบ มันสงบมันทรงตัวของมันอยูเรียกวายึด ๑. ผูถาม ถาใจมันสงบแลวสภาพอันนั้นมันมีประโยชนอะไร ทานอาจารย ตรงนั้นมันสุขไหม ๑. ผูถาม สุขมากเพราะกายกับใจมันเบา ทานอาจารย นั่นแหละมันมีประโยชนอย างน ี้ แล วเวลาเราคิดวุนวายเราไปเทียบกันดูซิเชนไปคิด เกลียดโกรธมาก ๆ อันไหนมันจะดีกวากัน ๓. ผูถาม ผมมีเพ ื่อนเปนชาวคริสต เขาบอกวาคนเราเกิดมาแคหนเดียว ตายไปแลวอาจจะขึ้น สวรรค หรือตกนรกดังนั้นตองพยายามทําดีให มาก ๆ สวนพุทธศาสนาสอนถึงเรื่องการเวียนวาย ตายเกิด มันตางกับคริสต ศาสนาดังน ั้นคนอาจจะประมาทคิดวาตายแล วเกิดใหมไดอีกจึงไม พยายามขวนขวายสรางความดีไว หากเขาถามเร ื่ องน ี้ เราจะตอบเขาอยางไร ทานอาจารย เขาไมรูจักความเกิดไปตกนรกแลขึ้นสวรรคนั้นแลคือความเกิดใหมของเขา พุทธ ศาสนาวา ตายแล วเกิดเกิดแล วตายเปนทุกข ไปเกิดสวรรคก็เปนทุกข คริสต สอนวาไปเกิดสวรรค เปนสุขนิรันดรพอแลว พุทธศาสนาสอนวายังมีเกิดอยูตราบใดยังไมพนจากทุกข อยูตราบนั้น ฉะนั้นจึงสอนใหละสุขละทุกข เสียจึงจะไมมีทุกขตอไป (วันนี้หมดเวลาไมไดนั่งภาวนา) วันที่๒๑ มกราคม ๒๕๒๐เวลาค่ํา แสดงธรรมเทศนา
การศึกษาพุทธศาสนาให เข าใจถึงเน ื้ อแท ของพุทธศาสนาถาหาไมก็จะปฏิบัติผิด ๆ ถูก ๆ เพราะพุทธศาสนาสอนมีเหตุผลไมเหมือนศาสนาอื่น ซึ่งโดยมากเขาสอนตามความเห็ นของตนอัน หาเหตุมิได เชน สอนวาฆาสัตวที่มันทรมานทนทุกข ใหไปเกิดสวรรค แตตนเองท ั้ งท ี่อยากจะไป สวรรคกับเขาอยูแตไมยอมให คนอ ื่ นมาฆาเพราะกลัวตายเปนตน ศาสนาพุทธทานรูเหตุของความ เกิดวา เปนทุกข ทานจึงสอนใหถอนความเขาไปถื อม ั่นในขันธนั้นเสียจึงจะไดรับความสุข ทานไม สอนวามันทุกขทรมานฆาเสียใหมันไปเกิดสวรรค และผูนั้นจะไปเกิดในสวรรคได เพราะการฆาได อยางไรถาผูนั้นไมไดประกอบคุณงามความดีไวศาสนาพุทธสอนวาคนเราจะไปเกิดในสุคติแล ทุคติไดก็เพราะกรรม คือการกระทําของตน ทําให คนอื่น ( คือฆา ) แล วจะไดไปสวรรคก็หาไม พุทธศาสนาสอนกระทําคือกรรม ถาทํากรรมดีมากก็ไดรับความสุขมากกรรมชั่วมากก ็ ไดรับความทุกข มาก สุขทุกข ในที่นี้มีคละกันไป สุขมากกวาทุกขก็เรียกวาสุขเสียถาทุกข มากกวา สุขก ็ เรียกวาทุกข เสีย ตราบใดยังไมละสุขและทุกข ใหสิ้นเชิงก็ยังเป นอยูอยางน ี้ อยูร่ําไป ทานสอนให ทําใจใหสงบอันเป นเหตุให ละความกังวลเก ี่ ยวข องหมดแล วใจจะไดสงบน ิ่ งอยูคนเดียวใจสงบแลว สิ่งอื่น ๆ มันสงบไปเอง พุทธศาสนาสอนให เราเข าถึงใจอยางเดียวกับคนท ั้ งหลายเข าใจเหมือนกัน แตคนท ั้ งหลายทําไมถูกหนทางจึงได แตพูดแตทําไมถูกเชนเขาพูดกันวากลมใจ ุ ทุกขหัวใจเจ ็บใจ มันแสบเข าถึงหัวใจดังน ี้เปนตน แตไมทราบวาใจที่ แท จริงน ั้ นคืออะไรถาทราบใจที่ แท จริงแลว เม ื่ อทุกข ใจกลุมใจเจ ็บใจก็เอาใจนั้ นออกจากเร ื่ องน ั้ นเสีย มันก็หมดเร ื่ อง เพราะคนเราไมสามารถ จะทําความสงบของใจไดจึงไมรูจักใจที่ แท จริง เห ็ นแตผูนึกคิดนึกก ็ เข าใจเองวาน ั่ นแหละคือใจจึง ปลอยตามอาการของใจอาการของใจมันตองการอะไรก็ ตามมันทุกอยาง มันไดนี่แล วก ็อยากได โนนอีกตอไป หาที่สิ้นสุดไมได แล วมันก็จะไมมองดูขางหลังวาไดอะไรมาบ างแลว มีแตตองการ ร่ําไป พุทธศาสนาถึงแม จะสอนวาความสงบของใจเป นความสุขท ี่ แท จริงก ็ จริงแลแตความสุข ที่วานี้ตองใชใหถูกพอดพองามถีูกต องตามกาลเทศะใหสมควรแกฐานะของตนจึงจะเปนสุข มิใช วาถึงความสงบสุขแล วจะทอดท ิ้ งของภายนอกท ั้ งหมดก ็ หามิไดปากท องยังมีอยูยิ่งเป นฆราวาสผูมี ครอบครัวอยูจะต องเล ี้ ยงดูรักษาตามสมควรแกอัตภาพของตน ถาท ิ้ งท ั้ งหมดเลยก ็ เดือดร อนคนอยู ภายหลังแม บางทีก็อาจเดือดร อนถึงตัวเองด วยเคยมีมาแล วเหมือนกันคนในสมัยน ี้ เอง เม ื่ อจะบวชก ็ เอาอยางพระสิทธัตถะออกหนีแตเช าเลยทีเดียวลูกเมียสมบัติไมหวงสละหมดแตเราก ็ไมเช ื่อใจ บวชเปนชีปะขาวให อยูมาไมกี่วัน คราวนี้จิตกลับเลยไมเป นพระสิทธัตถะราชกุมารเสียแลวจะไป ลาก็ละอายเลยขโมยหนไปเลย ี ใจของเราก็ จริงแลแตไมควรเช ื่ อท ั้ งหมดฝกฝนอบรมไปใหใจมันแก กล าถูกกระทบกระเทือนตออารมณ จนไมหว ั่นไหวเชื่ อม ั่นในตัวเราได แลวจะอยูก็ไดจะไปก็ไดนั่น
แลจึงควรเช ื่อใจของตนเอง พุทธศาสนาคําสอนของพระพุทธเจ าถ าจะอุปมาก็ เหมือนกับเคร ื่องปรุงแกงมีเนื้อ ปลาผัก หัวหอม พริกเกลือ น้ําปลาครบบริบูรณ ไวใหผูประสงค จะทํารับประทาน แล วก ็ สอนวาอาหารคาว ชนิดน ั้ นจะต องใสสิ่งนั้น ๆ จึงจะอรอยถามีผูประสงค จะรับประทานก็ทําตาม ถาหากไมทําตามคํา บอกเลาก ็จะไมไดรับประทานอาหารที่ อรอยสมปรารถนาแล วอยาไปโทษวาผูสอนไมดีบอกวิธี ทําอาหารไมอรอยนะเราเปนพุทธมามกะเปนลูกศิษย ของพระพุทธเจ าผูไดชื่อวาเปนพระโคดมบรม ครูมีสมญาวา ปญญาธิกะคือเลิศปญญา เม ื่อไดฟงธรรมคําสอนของพระองค แล วจงนําไปปฏิบัติให เปนมัชฌิมาพอดีพองามจึงจะงามแกตนเองและคนอื่น ทั้งไมเดือดร อนแกตนแลคนอื่นดวยเด ี๋ยวไป โทษพุทธศาสนาหาวาสอนให คนเห ็ นแกตัว บาปตาย ทานอาจารย พาน ั่ งภาวนาพรอมท ั้ งอบรมธรรมนํากอน สํารวมใจใหสงบอยูในที่ เดียวเรียกวาภาวนา ใจนั้ นเรายังไมทันรูจักวาคืออะไร ตั้งเเตเกิด จนกระท ั่ งบัดนี้ยังจับตัวใจไมไดทั้ง ๆ ที่พูดถึงเร ื่องใจอยูทุกอยาง ใจดีใจร าย ทุกข ใจกลมใจ ุ แตก็ ยังไมรูจักตัวใจใจเปนของไมมีตัวแตรูสึกนึกคิดได เพราะฉะนั้นความรูสึกนึกคิดจับตัวน ั้ นเสียกอน อาการของใจคือความรูสึกนึกคิดเอามาไวในที่ เดียวระลึกอยูในที่ เดียวคิดอยูในที่ เดียวคือนึกคิดอยู ที่พุทโธ ตั้งใจใหนึกอยูในพุทโธ สติคุมใหนึกแนวอยูในพุทโธไมใหสงไปที่อื่น ถึงมันจะสงไป ไหนก็ดึงมันมาให อยูจนกระท ั่ งเราทําอยูนั้นนาน ๆ หนักเข ามันจะหายหมดความคิดท ั้ งหลายที่นึก สงไปที่อื่น แม แตพุทโธก็ จะหยุดไมนึกแตจะสงบอยูคนเดียวของมันตางหาก นี่วิธีทําภาวนาสมาธิมี แคนี้ (นั่งภาวนาประมาณ ๓๐ นาที) ตอบปญหาธรรม ๓. ผูถาม ที่ทานอาจารย อธิบายใหฟงเก ี่ ยวกับเคร ื่ องแกงมีหลายรสผสมกัน ซึ่งเปรียบเทียบกับ หลักการปฏิบัติของพระพุทธศาสนาผมมีความเข าใจวาทานอาจารย คงหมายถึงมรรคแปด มัชฌิมาปฏิปทา สวน ศีล สมาธิปญญา เป นเคร ื่องประกอบของเครื่ องแกง นอกจากน ั้ นจะมีอะไร อีกหรือเปลา