๓. ผูถาม ในประเทศตะวันตก ทุกขชั่วคราวก็มีอยูทุกอยางแตชาวตะวันตกมองไมเห ็ นทุกขสักคน คือเห ็ นทุกขอยูแตคิดวาเคร ื่องภายนอกอาจจะป องกันทุกขได เขาไมยอมดูทางธรรม พอจะอธิบายให เขา ทราบไดงาย ๆ หรือไมวาทุกขมีอยูจริง และการท ี่ จะแก ไขด วยวัตถุภายนอกน ั้นไมได ผล ทานอาจารย อธิบายไดวาทุกขมีอยูจริง คนในโลกนี้ เกิดมาตางก ็ พยายามแกทุกขด วยวิธีตาง ๆ ยิ่งคน ในปจจุบันย ิ่ งหาวิธีแกทุกขทันสมัยที่สุด สร างเครองยนต ื่ กลไกตาง ๆ ขึ้นมาไมตองออกแรงกายก็สําเร็จ ได แตถึงขนาดนั้นมนุษยก็ตองแก ตองเจ็บ ตองตาย อยู จึงเรียกวาแกทุกขไมไดสักคนเดียว ถึง พระพุทธเจ าและพระอริยสงฆสาวกของพระพุทธเจ าก็ดับสูญส ิ้ นขันธไปเชนน ั้ นเหมือนกัน แตทานทําใจ ไมให เป นทุกข อยูเหนือทกขุ เลยไมเป นทุกข คนชาวตะวันตกและใคร ๆ ก็ตาม ที่เห ็ นวาเป นสุขน ั้ นเพราะทุกขเปลี่ ยนสภาพอยูเสมอ ๆ เชน ทุกขในการนั่ งนาน ๆ แล วก ็เปลี่ ยนอิริยาบถเดิน ทุกขในการนั่ งก ็หายไป เด ี๋ยวไปเป นทุกขในการเดิน เดินนาน ๆ เข าก ็เป นทุกข ก็เปลี่ ยนอิริยาบถเป นการนอน นอนนาน ๆ เข าเปนท ุกขก็เปลี่ ยนอิริยาบถใน การนอนมายืน ในการเปลี่ ยนอิริยาบถนี้ทําใหลืมทุกข แทที่จริงการเปลี่ ยนอิริยาบถน ั้ นแลคือ ความทุกข ๓. ผูถาม ผมมีทุกขอยูบางแตไมเป นอุปสรรคให เลิกทํากรรมฐาน เคยบวชอยูที่ประเทศศรีลังกา และเคยน ั่ งกรรมฐานวันละ ๒๐ ชั่วโมง ตลอดเวลา ๑ เดือน ตอนนี้ก็เคยชินกับการน ั่ งแลว แตก็ยังมี ทุกขอยู ทานอาจารย นั่นแหละเรียกวาทุกข แล วก ็ให เอาทุกขเป นอารมณ พระพุทธเจ าก ็สอนให เอาทุกขมา เป นอารมณดังใน ธัมมจักกัปวัตตนสูตร ทุกขเป นของจริงจึงเอาทุกขมาเป นอารมณสําหรับท ี่จะใหโทษ ทุกขที่เกิดมาเปนมนุษย เพราะเหตุที่มาเกิดอยูในโลกอันนี้มีแตทุกขทั้งนั้น อันท ี่ไมทุกขไมมี ที่ไมทุกข นั้นคือคนหลงทุกข คนเมาในทุกขเอาทุกขมาเป นสุขก ็ เลยเข าใจวาสุข แทที่จริงก็คือทุกขนั่นแหละ เหตุ นั้นจึงให เอาทุกขมาพิจารณา ตราบใดถาใจไมสงบจะไมเห ็ นทุกขเลย จะเมาหลงทุกขวาเป นสุขอยู ตลอดเวลา ถาไมมีทุกขแล วคนเราไมพยายามท ี่ จะหนีจากทุกข การศึกษาเลาเรียนเบ ื้ องตน การอาชีพทุก ประเภท ในที่สุดการรักษาศีลและการบวชในพุทธศาสนาก ็ เพราะอยากจะหนีจากทุกข เพราะเห ็ นทุกขที่ เป นอยูเด ี๋ ยวน ี้ ตางคนก ็ จะหาวิธีที่จะหนีจากทุกข แตหาไปบางคร ั้ งบางทีอาจจะผิดพลาดกลับย ิ่ งทุกขราย กวาเกา
๓. ผูถาม พุทธศาสนาสอนเร ื่ องทุกข ที่ทานอาจารยอธิบายใหฟงมาน ั้ นก ็ พอเข าใจอย ู แตเวลา อธิบายศาสนาพุทธให คนอ ื่ นเข าใจ คนอ ื่ นจะพูดวาเราเห ็นในแงรายอยูตลอดเวลาแล วทําใหไมสบายใจ เราจะหาวิธีอธิบายได อยางไรครับ ทานอาจารย ถูกคือวาพุทธศาสนาสอน ทุกขนิยม เขาถือกันวาอยางนั้น ศาสนาอ ื่ นเขาสอนสุขนิยม สอนไปเกิดช ั้นฟาสวรรคสุขสบายอยางน ั้ นอยางน ี้ ความเป นจริงก็คือสอนทุกขนิยม คือสอนให เขาหนี จากทุกขนั่นเอง มันก ็ อยูในนั้ นแหละแตเขาไมเข าใจ คือ ไปเกิด สุขคติ สุขาวดี หมายความวาโลกอันน ี้ มันมีทุกขนั่นแหละ จึงสอนใหทําดีจึงคอย ๒. ผูถาม เม ื่ อมีเวลาก ็ปฏิบัติ เม ื่อไมไดรับความก าวหน าอะไรก็ หยุดไป ตอมาก ็ กลับมาทําใหม เข าใจวายังไมไดอุบายท ี่ เหมาะสม ตามปรกติใชอานาปานสติ ทานอาจารย เอออันน้แหละี ก็ทําอยูแล วแตไมมีใครคอยแนะนํา นาเห ็นใจ ใชอานาปานสตินั้นถูก แลว จงทําไปเถิด ๓. ผูถาม ภรรยาของผมเป นชาวกรีก นับถือศาสนาคาธอลคเขิมแข งมาก ผมก ็เป นชาวกรีกและนับ ถือศาสนาพุทธ ผมจะวางตัวอยางไร จะอธิบายอยางไร ภรรยาถึงจะเขาใจได ทานอาจารย ให อธิบายวา ไมวาศาสนาใด ๆ จะเป นพุทธ ฮินดู อิสลาม ครสติ สอนใหถึงพระเจา ดวยกันท ั้ งนั้น เด ี๋ ยวน ี้คนไมเข าถึงพระเจ าจึงพากันลังเลสงสัย หาวาพุทธศาสนาเป นอยางนั้น คริสตเปน อยางน ี้ อิสลาม ฮินดูเป นอยางโนน ถาหากทําใจให เข าถึงความสงบระลึกถึงพระเจ าซ ึ่งเปนของไมมี ตน แตเราระลึกเอาพระคุณของทานมาไวที่ใจของเราจนใจแนวแนเป นอารมณอันเดียว เราก ็ จะถึงพระเจา ดวยกันทุก ๆ ศาสนา ๓. ผูถาม เม ื่ อเขาถ ึงจุดบริสุทธ ิ์ แลว จะต องออกมาชวยผูอื่น รูสึกวาจะเหมือนกับมหายาน อยาก ทราบวาทานอาจารยมีความคิดเห ็ นอยางไรในเรื่ องน ี้ ทานอาจารย ความบริสุทธิ์ในทางพุทธศาสนานั้น ถือเอา บริสุทธิ์ศีล ๔ เป นเกณฑคือ ๑ ปาฏิโมกขสังวร สํารวมในพระปาฏิโมกขทุกข อโดยมี หิริโอตัปปะเป นเคร ื่ องอยูประจําใจ
๒ อินทรียสังวร เห ็นโทษในการที่ไมสังวร แล วสังวรในอินทรียทั้ง ๖ โดยสมบูรณ ๓ อาชีวะบริสุทธ ิ์ เล ี้ ยงชพโดยบร ี ิสุทธ ิ์ ไมหลอกลวง เพราะเห ็ นแกปากท อง ๔ ปจจยปจจเวกขณะ พิจารณาเสียกอนแล วจึงบริโภคซึ่งปจจัย สี่ มีจีวรเป นตน ให เห ็นเปน ธาตุ เป นอสภาะุ หรือเพ ื่ อเก ื้ อกูลพระพุทธศาสนา เพ่อยื ังอัตตภาพให ทรงอยู จะไดบําเพ ็ ญความดีตอไป สวนความบริสุทธิ์ฝายมหายานน ั้นไมทราบวาจะหมายเอาความบริสุทธ ิ์ อยางหินยานหรือเปลาก ็ ไมทราบ พุทธศาสนาสอนให เราทําดีบริสุทธ ิ์ เสียกอนจึงสอนคนอ ื่ นจึงจะไมเปนปูสอนหลาน พระพุทธ องคทรงกระทํามาเป นตัวอยางแกพระสาวกอยางน ี้ ๓. ผูถาม ถาหากเกิดการตอสูกันขึ้น ถาเราไมสูเราก็ตองตาย ดังน ั้ นเราจึงจําเป นต องฆาเขา บาป หรือไม ทานอาจารย เราป องกันตัวเรา เราไมไดไปรุกรานเขา ทุกคนก็ตองการป องกันตัวเราป องกันตัวของ เราเอง ใครมาบุกรุกเราเปนตายไมทราบท ั้ งนั้น ๓. ผูถาม การกินเจจะมีอานิสงสอะไรบ างครับ ทานอาจารย การไมรับประทานเนื้อ ถาขาดอาหารโปรทีน วิตมินบางชนิด แลไขมันตาง ๆ แล วจะ ทําใหสุขภาพเส ื่ อม เพราะคนเราหลอเลยงด ี้ วยเลือดเน ื้ อมาแล วต ั้ งแตเกิด (คือนมของมารดา) การฆาสัตว ไมวาตัวเล ็ กหรือตัวใหญเป นการทําลายชีวิตทําลายความสุขเขาใหสิ้นไป บรรดาการทําลายคนอ ื่ นส ิ่ งอื่น มากที่สุด นอกจากการกระทําของมนุษยแล วไมมีพระพุทธเจ าจึงสอนใหพิจารณาเนื้อท ี่ จะฉัน คือ ดวย ไมได เห ็ นเขาฆาเพ ื่ อตน ๑ ไมไดยินวาเขาฆาเพ ื่ อตน ๑ และไมไดรังเกียจวาเขาฆาเพ ื่ อตน ๑ ถือวาเปน การบริสุทธ ิ์ เพราะมนุษยกินเนื้อเป นอาจิณอยูแลว ๓. ผูถาม มีความรูสึกวาทานอาจารยเปยมไปด วยความเมตตา ทานอาจารย ดีมาก อยากจะพูดกับคนอยางน ี้ แหละ ขอบใจ พอใจอยากพูดอยูดอกถึงอยางไรก็ ยอม เสียสละเวล ่ําเวลาไมวา ๓. ผูถาม ขอขอบพระคุณทานอาจารยมาก และหวังวาจะได พบทานอาจารยอีกถ าหากไมใชที่นี่ก็ คงจะเป นเมืองไทย
ซิดนีย วันท ี่๗ ธันวาคม ๒๕๑๙เวลาค่ํา แสดงธรรมเทศนา ที่พุทธสมาคมชาวจีน แหงนครซิดนีย ขอแสดงความดีใจมากในการที่ไดมาสถานที่นี้ซึ่งเป นพุทธสมาคมของชาวจีนในเมืองซิดนียที่พา กันมีความยินดีและต อนรับอาตมาด วยความเต ็มใจอาตมาออกจากประเทศไทยมาครั้ งน ี้ก็มีความ ประสงคที่จะเห ็นและปรารถนาที่ จะสมาคมกับชาวพุทธในตางประเทศ ซึ่งหาวัดและหาพระในพุทธ ศาสนายากมากแตก็พากันสนใจเป นพิเศษ เหตุนั้นท ี่ได มาเห ็ นเชนน ี้จึงขอแสดงความยินดีเป นอยางยิ่ง พวกเราท ี่ เกิดมาเป นสัญชาติมนุษยดวยกัน ถึงแม จะอยูตางกันคนละทวีป แตก็มีจิตใจเป นธรรม คือ มุงม ั่นในทางคําสอนของพระพุทธเจา พยายามท ี่ จะละช ั่ วทําดีดวยกันท ั้ งนั้น เหตุนั้นพวกเราจึงไดชื่อวา ญาติธรรมด วยกันท ั้ งนั้น จึงสมควรแล วท ี่ จะพากันสนใจถึงจุดสําคัญ คือคุณธรรม อันเปนเครื่องนํา สัมพันธไมตรีมาสูมนุษยชาติดวยกัน จุดมุงหมายของชาวพุทธด วยกัน อยูตรงหลักสําคัญของพุทธศาสนาคือพากันละช ั่ วทําดีนี้เปน จุดสําคัญเบ ื้ องตน คือรูจักช ั่ วแล วก ็ ละชั่วเห ็ นความช ั่ วน ั้นเป นภัยแล วละช ั่ วน ั้ นเสียเห็นการกระทําดีเปน สิ่งที่นํามาซ ึ่งประโยชนคือความสุขจงพากันต ั้งใจปฏิบัติตามโอวาทคําสอนของพระพุทธเจา ตอน ั้นไป พากันชําระใจของตนให บริสุทธ ิ์ใสสะอาด นี้เป นจุดสําคัญของหลักพระพุทธศาสนา ทุกคนปรารถนา เหมือนกันอยางน ี้ คําวาละชั่ว ทําดีในที่นี้ขอให พากันรูจักความช ั่ วเสียกอน ชั่วเป นอยางไรดีเป นอยางไรถาไมรูจัก ชั่วก ็ไมทราบจะละชั่วด วยประการใดถาไมรูจักดีก็ไมทราบจะทําดีดวยประการใดขอใหรูจักช ั่ วและดีให เห ็นโทษของความชั่ วและคุณของความดีคนเรามักเขาข างตวั อะไรชอบใจก็ เห ็ นวาดีทั้งหมดอยางน ั้นไม ถูกความชั่วความดีมีหลักอยูดังน ี้ เม ื่ อทําส ิ่งใดลงไปแลวเป นภัยคือเปนโทษให เกิดความทุกขและความ เดือดร อนแกตนและคนอื่น อันน ั้ นอยาทํา นั้นเรียกวาความชั่ว หรือเรียกวาบาปก็ไดถาทําส ิ่งใดเปนไป เพ ื่อประโยชนและคุณแกตนเองและผูอื่น นําสุขมาให แกตนเองและคนอื่น นั้นจึงเรียกวาดีคําสอนของ พระพุทธเจ าที่วาละชั่ว ทําดีตองมีหลักเหลาน ี้เป นเคร ื่ องตัดสิน พอจะสังเกตไดวา พุทธศาสนาสอนโลกและมนุษยทั้งหลายใหไดรับความสันติสุขเทาท ี่ อธิบายมา นี้คําสอนของพระพุทธเจ าจะเปนไปเพื่อประโยชนสุขจริงหรือไมถาหากเราปฏิบัติถูกต องตามท ี่ อธิบาย มาน ี้ และหากพากันเข าใจเชนน ั้ นจริงจังแลวจงพากันยึดม ั่ นหลักสําคัญของพระพุทธศาสนา เพียงสาม ประการนี้ไวเสยกี อน แล วจึงคอยดําเนินตอไปโดยลําดับ
ความชวและความด ั่ ีดังอธิบายมาน ี้ที่พระพุทธเจ าสอนใหละเป นของทําไดไมใชเป นของยากอยา ไปทําท ั้ งหมดทีเดียวคือใหทําเป นข ั้ นๆ ความช ั่ วท ี่ อธิบายมาแลวเราละไดเทาไรก็ จงรักษาไว อยาให ความ ชั่วน ั้ นร ั่วไหลเข ามาอีกตอไป ความดีที่วามาแล วน ั้ นถ าหากเรารักษาไดปฏิบัติไดก็จงรักษาไว อยาให เส ื่ อมสูญไป เม ื่ อเราพยายามรักษาหรือเก ็ บส ิ่ งท ี่เราไดมาไมเส ื่ อมสญไป ูแลวว ันหลังก ็ จะมีวันพอในการ สร างคุณงามความดีคือ พยายามสร างทีละนิดทีละหนอยไมใชจะใหได หมดพร อมกันท ั้ งหมดความดี ทั้งหลายแหลตองพากันพยายามเก ็ บเล ็ กผสมน อยเหมือนกับเราหาทุนทรัพยไมใชจะใหเป นหม ื่ นๆ เปน แสนๆ เป นล านๆ ถึงจะเอา ตองคอยเก ็ บเล ็ กผสมนอยไป นานๆ หนักเข าของท ี่ เกบได ็ ไมเส ื่ อมสูญสลายใช จายไมสุรุยสุรายก็มีวันหน ึ่ งท ี่ จะรวยกับเขาบ าง ความดีที่วาน ี้ แหละ หากตางคนตางพากันรักษาคนละนิดคนละหนอยคนหน ึ่ งรักษาไวสักสองสาม อยางถาสองคนก ็ มากข ึ้นไป มากคนต องมากข ึ้นไปอีก ตางคนตางพากันรักษาความดีของตนไมใหเส ื่ อม สูญ มากคนกจะพาก ็ ันไดความสุขไปพร อมๆ กัน ถาหากวาเข าใจรักษาความดีปฏิบัติความดีอันนํามาซึ่ง ประโยชนคือความสุขอยางน ี้ แลวกลุมใด ชุมชนใดเร ิ่ มตนต ั้ งแตครอบครัวไปจนถึงบ านเมืองของเรา ใน ครอบครัวน ั้ นมีกี่คนพากันรักษาความดีสิ่งท ี่เป นความชั่วงดเวนเสียคนละอันๆ อันไหนเห็ นวาไมดีงด เว นเสีย นั้นแหละจะนําซ ึ่งประโยชนคือความสุขมาให แกชุมชนหรือกลุมชนน ั้ นๆ ตั้งแตครอบครัวของ เราข ึ้นไป จึงไดชื่อวาเราปฏิบัติตามคําสอนของพระพุทธเจา เห ็นประโยชนคุมคา เห ็ นคุณความดีปรากฏ ชัดแกตน ขออยาได เข าใจวา เราเป นฆราวาสมีภาระกจมากิ ไมสามารถจะปฏิบัติหลักธรรมคําสอนของ พระพุทธเจาอยาไปคิดอยางน ี้ไมถูกเร ื่ องของฆราวาสมีภาระมากก ็ จริงถาหากเราเห ็นโทษทุกขในเรื่ อง ภาระมาก หากเราไมมีการพักผอน ทั้งด านกาย ทั้งด านใจคือทางด านกายมีงานมากไมมีการพักผอน เราก ็ เหน ็ ดเหน ื่ อย ทํางานอันน ั้นไมตลอดรอดฝง งานของใจคือความคิดความนึกมาก หากเราไมสงบอบรมใจ ของเราใหนิ่งเป นสมาธิภาวนาก็จะเหน ็ ดเหน ื่ อยเหมือนกัน การงานท ี่ เราคิดนึกก ็จะไมลุลวงไปได ฉะนั้น จงพากันรูจักพักผอนท ั้งทางกายและทางใจคือรูจักทําความสงบ ฆราวาสทําไดไมใชไมไดในที่นี้ทานให ทําเร ื่ องความสงบอบรมสมาธิภาวนา ในขณะปจจุบันในขณะที่เราทําสมาธิภาวนา เชนกลางคืนเรา พักผอนในขณะเราพักผอนเราทําสมาธิในขณะที่เราไมมีภาระในกลางคืนหรือวางๆ เราพักผอนใจคือ ทํา ความสงบ เมอใจสงบได ื่ ใจก็มีพลัง สามารถคิดค นแก ไขอุปสรรคใหลุลวงไปไดอย างดี ธรรมท ั้ งหลายท ี่ อธิบายมานั้น ที่เราจะรูจักวาเป นธรรม อยางท ี่ พระพุทธเจ าสอนให เราละช ั่ วทําดี เป นส ิ่ งนํามาซ ึ่งประโยชนคือความสุขนั้น เป นของยากท ี่ จะเขาใจไดหากวาใจเราไมสงบ ไมอบรมใหเปน สมาธิภาวนาเสียกอน เพราะธรรมท ั้ งหลายเกิดจากความสงบ ไมใชเกิดจากความฟุงซาน ความฟุงซาน เป นเร ื่องของโลกไมใชเรองของธรรม ื่ ที่เราพากันคิดนึกปรุงแตง ฟุงซาน สงสาย ไปตลอดกาลเวลาจิตใจ ไมสงบ ลวนแลวแตเปนการฟุงเฟอ สงสายไมเห ็ นของจริง ทั้งๆ ที่เราคิดหาของจริงน ั้ นแหละแตไมเห็น ตามเป นจริง มีแตจะปรุงแตงใหยืดยาวตอไป ไมมีที่สุดไมมีที่สงบ ธรรมท ั้ งหลายเกิดจากความสงบ
ความสุขเกิดจากความสงบ สุขอ ื่ นท ี่ประกอบด วยอามิสทุกๆ คนก ็ พากันรูรสชาติของมันแล ววามันมี รสชาติขนาดไหน แตความสุขท ี่ เกิดจากความสงบบางคนอาจจะไมได พบเลยก็มีเพราะฉะน ั้ นจึงควรท ี่ จะ พากันอบรมความสงบ ใหรูจักรสชาติของความสงบบ าง ที่อธิบายมาในวันน ี้ พอจะสรุปรวบรวมใจความโดยยอไดคือกลาวถึงเร ื่ องชาวพุทธที่นับถือ พระพุทธศาสนา เพราะเล ื่อมใสศรัทธาวาเป นทางนํามาซ ึ่ งสันติสุขโดยแทกอนท ี่ จะศึกษา พระพุทธศาสนาขอให เขาใจหล ักใหญๆ ๓ ประการคือ พระพุทธเจ าสอนให เราละชั่ว ทําดีแล วก็ชําระใจ ของตนใหใสสะอาดบริสุทธ ิ์นี้หลักใหญ เม ื่อเรามาปฏิบัติตาม ละช ั่วได แลวอยาใหชั่วน ั้ นกลับเกิดมาได อีก ทําดีได แลวก็ใหรูจักษาความดีเอาไวให อยูมั่นคงตอไป อยาใหเส ื่ อม การละช ั่ วทําดีที่วานี้นั้น ไมตองทํากันมาก พยายามเก ็ บเล ็ กผสมน อยอยางน อยที่สุดจะเปนปหรือ เดือนก ็ ตาม ปหน ึ่ งหรือเดือนหนึ่งใหได อยางหนึ่งละช ั่วไดอันหน ึ่งใหไดอีกอันหน ึ่ งขึ้นมาแทน สะสมเก็บ เล ็ กผสมนอยได อยางนี้จึงจะมีจึงจะเห ็นไดวา เราปฏิบัติตามหลักคําสอนของพระพุทธเจ าเปนของได ขึ้นมาอยาพากันถือศาสนาไว เฉย ๆ พระพุทธเจ าทานสอนให พากันปฏิบัติปฏิบัติแล วก ็ไมใชวาจะไปเปน คุณประโยชนแกใครก็นําความสุขให แกตัวเราน ั้ นเองและอยาได เข าใจวา เราเป นฆราวาสมีภาระกิจมาก ทําไมไดทําไดเราหาโอกาสทําใหไดถาหากเราเห ็นโทษไมวาอะไรทั้งหมดเราจะพยายามละจนได เรา หาโอกาสทําไมใชวาจะทําตลอดวันยังค ่ํ าคืนยังรุงการปฏิบัติตามหลักคําสอนของพระพุทธเจ าสอนให ทําปจจุบัน ครูเดียวขณะเดียวจิตใจเราปลอยความช ั่ วท ั้งหมดใหมาสูในที่ เดยวีอยูในที่ สงบ วางในขณะ เดียวให เข าถงความสงบึอบรมสมาธิจนกระท ั่ งถึงสมาธิจึงจะเห ็ นชัดแจ งในธรรมคําสอนของ พระพุทธเจา เพราะพระธรรมเกิดจากความสงบ ความสงบคืออบรมจิตใหเป นสมาธิอันเป นพ ื้ นฐานท ี่ จะ ให เกิดความรูความเข าใจชัดเจนในคําสอนของพระพุทธเจา ทานอาจารย พาน ั่ งภาวนาพรอมท ั้ งอบรมธรรมนํากอน นั่งภาวนาทําสมาธิอยาไดคิดมากขอใหคิดเสียวาอบรมใจให เข าถึงความสงบ เพราะใจเราทุกคนมี อยูดวยกัน แตเราไมรูจักใจและเราควบคุมใจไมไดใจจึงใช เราบังคับเราใหวิ่งวอนเดือดร อนเป นทุกขเมื่อ เราไมรูจักใจเราก็ฝกหัดใจคุมใจไมอยูฉะน ั้นในการที่หัดสมาธิภาวนาก็ตองการอบรมใจให อยูในความ สงบ และรูจักลักษณะอาการของใจวา ใจแทคืออะไร สิ่งท ี่ไมใชใจเราจะไดปลอยวางท ิ้ งเสีย นี่คือ ความหมายในการภาวนาอบรมสมาธิอยาไปคิดมุงมากมายอยากจะใหไดโนนไดนี่ เห ็นโนนเห ็ นน ี่อะไร ตางๆ อันน ั้นไมถูกยิ่งอยากได เทาไรใจยิ่งไมสงบ ธรรมะคือคําสอนของพระพุทธเจ าให เข าถึงหลักธรรม คือความสงบ ถาหากเราสละเด ็ ดเด ี่ ยวเทาไรใจยิ่งสงบได เร็ววิธีฝกหัดทําสมาธิมีจุดอยูตรงน ี้ที่จะเกิด ความรูเกิดอะไรตางๆ เยอะแยะน ั้ นมันไมใชเป นนิสัยของทุกคนไป บางคนก ็เป นบางคนก ็ไมเปน บางคน
มีจิตละเอียดสักเทาไรก็อาจจะไมมีความรูอยางน ั้ นก ็ได บางคนจิตรวมนิดๆ หนอยๆ เกิดความรูพิศดาร กว างขวางและเกิดอะไรตออะไรมากมายก็มีเหมือนกัน เหตุนั้นอยาไปมุงอยาไปปรารถนา ทําอยางไรจะ สงบยอมสละลงปจจุบันได เทาน ี้เป นพอ ( นั่งภาวนาประมาณ ๒๐นาที ) ทานอาจารยตอไปนี้ใครมีปญหาข องใจเปดโอกาสใหถามได ๓. ผูถาม ไดอานประวัติทานอาจารยมั่น ในประวัติบอกวาทานเดินจงกรมมากดังน ั้นอยากจะใหทาน อาจารยอธิบายเก ี่ ยวกับเร ื่ องการเดินจงกรม และเลาประวัติทานอาจารยมั่นใหฟงบ าง ทานอาจารยพูดถึงเร ื่ องการเดินจงกรมก ็เปนการเปลี่ ยนอิริยาบท แทที่จริงก็คือการภาวนาน ั่ นเอง เรานั่ง ภาวนากําหนดพิจารณากรรมฐานอะไร เวลาเดินเราก็ทําอยางเดียวกัน เป นเพียงการเปลี่ ยนอิริยาบทเทานั้น ไมมีอะไรยืน เดิน นั่ง นอน อิริยาบทท ั้ งส ี่ใช ภาวนาอนเดั ียวกันเพ ื่อใหชํานาญ เพราะกิเลสมันเกิดข ึ้นได ในอิริยาบถนั้น เราจะไดตอสูกับกิเลสนั้น ๆ วันท ี่๘ ธันวาคม ๒๕๑๙เวลาบาย สนทนาธรรม ที่วัดพุทธรังษีซิดนีย ๒.ผูถาม ทานอาจารยกูพูดใหผมฟงตอนผมบวชใหมๆ วา ทานอาจารยมั่นถามลูกศิษยวาอะไรดับตัณหา ถึงดับ ทานอาจารยกูตอบวา ตัณหาในปจจุบันดับ กระผมไมทราบวาจะถูกหรือไม ทานอาจารยลงปจจุบันถึงไมดับหมดมันก ็ สงบ นั่นแหละเบ ื้ องต นที่เราจะหัดภาวนา เราทําอยางน ี้ใหบอย ใหชํานาญ ก็จะเปนภาวนาไปเองในที่สุด ๓.ผูถาม คราวนี้มันยากท ี่ใหลงปจจุบัน จะดับสัญญาปจจุบันมันยากยากตรงน ี้ เอง
ทานอาจารย นั่นแหละตรงน ั้ นเอง มันยากตรงน ั้ นมันจึงต องทําตรงนั้น ถามันงายทํางายก ็ไมเรียกวาความ เพียร ๓.ผูถาม การน ั่ งกรรมฐาน ทําไมนั่งในปาช าจึงดี ทานอาจารยเพราะในปาช าคนโดยมากมักกลัวและคนตายบอยอันเป นเหตุใหไมประมาท เม ื่ อเห ็ นคน ตายจะไดนํามาพิจารณาจึงต องไปภาวนาในปาชาแตถาภาวนาเป นแล วอยูไหนก็ เหมือนกัน ๓.ผูถาม ดูจากภายนอกก็รูสึกวาผมเป นคนที่มีความสุขสบายแท จริงแล วหาไดเป นเชนน ั้นไมเพราะ ภายในใจมีแตความทุกขวุนวายเม ื่ อมีโอกาสไดมาปฏิบัติกับทานอาจารยจึงคอยยังช ั่ วขึ้น ทานอาจารย ความทุกขของคนเรามีสองอยางคือทุกขทางกายและทุกขทางใจความเป นผูสมบูรณดวย ทรัพยสมบัติและรางกายมีพลานามัยดีก็เป นความสุขทางกายแตถาทางใจไมสุขเสียแลวความสุข สมบูรณเหลาน ั้นหาไดเปนประโยชนอะไรความสุขสงบของใจอยางเดียวยอมครอบงําหมดถึงกายด วย แท จริงความสุขกายก็คือความสุขใจนั้ นเอง เชน คนพูดวาดีใจ ชอบใจ ชื่นใจ สุขใจ ทุกขกายก็คือทุกขใจ นั่นเอง เชน กลุมใจเสียใจ ทุกขใจไมพอใจไมชอบใจฯลฯเป นตน ๓.ผูถาม คนท ี่ หลับไมคอยจะไดนั้นควรจะมีการฝกอบรมใจใชหรือไม ทานอาจารย ควรอยางย ิ่ งทีเดียวเมื่อใจสงบแลวกายก ็ พลอยสงบนอนหลับด วยใจเปนใหญกวากายเปน ของสําคัญกวากายอย างน ี้ เวลาค่ํา ทานอาจารย อบรมพระภิกษุและคณะท ี่ เดินทางไปดวยกัน การพิจารณาอานาปานสติถาจิตเรายอมสละทอดธุระปลอยวางจิตแนวอยูเป นเอกัคตารมณมันก ็ ลง ไดถาหากมนไม ั เป นเชนนั้น ทําไมรูกี่ปๆ มันก ็ไมลงไมเปนอานาปานสติได เหมือนกัน เมอห ื่ ัดภาวนา โดยวิธีอานาปานสติจนจิตเข าถึงเอกัคตารมณแลว บางทีมันก ็ เพงพิจารณาอาการสามสิบสองไปเองก็ได บางทีไปหยุดน ิ่ งอยูในเอกัคตารมณเสียกอน นานๆ หนักเข าก ็รวมเป นภวังคก็มีถาหากยังไมรวมเปน
ภวังคเราก็ตั้งฐานในความสงบเอกัคตารมณได แลวเราจึงคอยมาพิจารณาอาการสามสิบสองถึงขนาดนั้น ก็ตาม เม ื่ อพิจารณาอาการสามสิบสองนานๆ ความสงบน อยลงมันก ็ไมคอยชัดเม ื่อเป นเชนน ั้นใหรูจักและ ปลอยท ิ้ งเสียอยาไปมุงแตจะพิจารณาอยางเดียวใหรักษาความสงบ อบรมความสงบใหมันมีพลังเต ็ มท ี่ เสียกอน จึงคอยมาพิจารณากันใหมมันต องมีแยบคายหลายเร ื่ องหลายอยางในการที่ จะหัดภาวนา กรรมฐาน การภาวนาจะพิจารณาอานาปานสติหรือจะพิจารณากายคตาสติก็ตาม หรืออาการสามสิบสองอะไร ก็ตามเถิดความประสงคคือต องการจับใจไดคือใหใจของเราไปจับอยูในจุดเดียวเสียกอน เพราะตอนน ี้ใจ ของเราฟุงซานไมทราบวาอะไรเปนอะไร มันยุงเหยิงกันไปหมดไมทราบวาอะไรเป นตัวใจอะไรเป นตัว จิต อะไรเปนอาการของใจการมาหัดภาวนาเพ ื่ อต องการใหจับใจใหไดใจตัวจริงหรือใจตัวเดิม เหตุนั้นเรา จึงต องเอาใจไปจดจ องเฉพาะเร ื่ องเดียวคือลมหายใจแล วเอาสติควบคุมไวให อยูในจุดเดียวจนกระท ั่ งมัน ถอน วางเร ื่ องอ ื่ นๆ ทั้งหมดแลวใจมันจะน ิ่ งแนวอยูในอารมณอันเดยวี นั่นแหละจึงจะเห ็นใจ นี่เปน จุดหมายเบ ื้ องต นในการหัดภาวนาทําสมาธิเรองอ ื่ ื่ นๆ เอาไวพิเศษตางหากการภาวนาไมใชเรองอยากได ื่ อะไรๆ ทั้งหมดทุกส ิ่ งทุกอยางมันได มามากมายเยอะแยะแลวคราวน ี้ เราลองมาหัดท ิ้ งดูเสียบ างคิดหัด ปลอยวางลงในปจจุบัน ให เห ็ นจิตแทคือตัวจริงตัวเดิม มันเป นตัวประธาน เหตุนั้นการภาวนาจึงต องการ ใหรูจักตัวใจเป นของสําคัญ พยายามจับใจใหไดเสียกอน อยากจะให เข าใจวาการภาวนาจะเกิดความรูหรือ นิมิตภาพอะไรตางๆ นั้น มันเป นเองตางหากไมใชเราจะไปทําใหมันเกิดแตมันเป นเอง นิมิตอะไรก็ ตาม ความรูอะไรก็ชางที่มันเกิด มันเป นตามนิสัยวาสนาบารมีของแตละบุคคลท ี่ สรางมาไมเหมือนกัน แตถึง อยางไรจิตมันต องวางเสียกอน จึงคอยเกิดเชนนั้น ผู จะเกิดมันก ็ เกิดผูจะไมเกิดมันก ็ไมเกิด บางทีจิตมี ความลึกซ ึ้ งละเอียดมากแตก็ไมมีก็มีบางคนรวมลงไปนิดเดียวคือโดยเผลอๆ คล ายๆ เราเผลอสติไม ตั้งใจจะใหมันเปน แตพอจิตปลอยวางมันก ็ จะเกิดความรูอะไรขึ้นมาไดเหตุนั้นของพรรคนั้นมันเป นของ สําคัญ หลักใหญใจความที่สุดคือเราหัดปลอยทอดธุระลงในปจจุบันในขณะนั้น ใหยังเหลือแตใจจริงๆ จิตเดิมถ าเราจะสังเกตและเห ็ นชัดคือของเดิมแท ของใจถาจะเปรียบก ็เปรียบเหมือนกับน้ํา น้ําเปนของใส สะอาดแตเม ื่ อผสมสเขี าแล วมันจะต องมีสีตางๆ ใจของเราก็ทํานองเดียวกันนั้น ที่ทานวาจิตตํปภสฺสรํ จิตเดิมเปนของผองใส สวนกิเลสคือความยุงมันมาผสมให เกิดราคะโทสะโมหะ มานะทิฏฐิหรืออวิชชา อะไรตางๆ หลายเร ื่ องหลายอยาง มันเป นเร ื่ องกิเลสเขาไปประสมใหเปนไปตางๆ เหตุนั้นให เข าใจอุปมา อุปมัยอันน ี้ เสียกอน ชําระใจเหมือนของมาติดอยูกับใจเชนของสกปรกที่ มาถูกของสะอาด มันไมใชเนื้อ แท ของมัน เราจึงคอยชําระไดดังน ั้ นพระพุทธเจ าหรือพระอริยสาวกของทานจึงชําระไดถาเป นเนื้อ เดียวกันแล วไมมีใครสามารถจะชําระไดสักคนเดียวเลยอยางเราอยขณะน ู ี้มีความโกรธไหม มีราคะ เกิดข ึ้นไหมเวลานี้ทําไมไมเห ็ นมีอะไร นั่นหมดไดไมมีอะไรในเวลานี้ เวลามันจะเกิดมันเกิดเพราะอะไร เราก็รูไดมันเกิดเพราะอายตนะผัสสะเพราะความวิตกกังวลมันเกิดขึ้น เร ื่ องสญญาอารมณั มันเกิดขึ้นมา
ดังนั้น เม ื่ อเราจะกําจัดส ิ่ งเหลาน ี้ได เราก ็ จะต องมาฝกหัดอบรมใจให เข าถึงอารมณอันหนึ่ง ใหมันวางหมด เสียกอน ยังเหลือแตใจกิเลสภายนอกเข ามาก็ชําระใหมันออกไป วันท ี่ ๑๐ธันวาคม ๒๕๑๙เวลาบาย สนทนาธรรม ที่วัดพุทธรังษีนครซิดนีย ๓.ผูถาม ทุกคนสามารถท ี่ จะดําเนิน มรรคแปดไดใชไหมครับ ทานอาจารย ถามีศรัทธาก็สามารถท ี่ จะเดินได แตยากท ี่จะให ครบถ วนท ั้งแปดไดถาครบถ วนบริบูรณก็ เป นพระอริยเจ าได ละซี ๓.ผูถาม มรรคแปดเมื่ อดําเนินไดไมครบน ี้ จะมีผลหรือเปลาครับ ทานอาจารย มรรคแปดแตละข อมีผลด วยกันท ั้ งน ั้ นแตไมเป นมรรคสมบูรณตามท ี่ พระพุทธเจ าได ตรัสไว ทั้งไมเป นอริยมรรคด วย ๒.ผูถาม รูสึกเหมือนงูที่เพ ิ่ งออกมาจากรูถาจับเด ี๋ ยวน ั้ นก็จับงาย ทานอาจารยก็ใชละซีพระพุทธเจ าทานเทศนาไวปญหาเทวดาถามกุมารกัสสป มีจอมปลวกอันหนึ่ง มีรู อยูหกรูเห ี้ ยมันเข าไปอยูในนั้ นเวลาจะจับเห ี้ ยน ั้ นจะทําอยางไร ปดเสียท ั้ งห ารูเหลืออยูรูเดียว บุคคล ตองการจะจับเห ี้ ยรออยูที่ปากรูนั้น เวลาเห ี้ ยออกมาจับเอาเลย ตา หูจมูกลิ้น กายเรยกวี าห ารูปดหมดยังเหลือแตใจคอยจ องจับเอาท ี่ใจมันจะคิดนึกอะไรตางๆ อยางท ี่ อธิบายใหฟง ใจคือตัวกลาง เข ากับหลักที่วากลาง มันไมมีอะไร พอแวบออกไปที่รูจับคอมันทันที ใจคือตัวกลางไมมีอะไรไมไดสงไปตาม ตา หูจมูกลิ้น กาย มโนทวารคือใจ พอแวบออกไปจับตัวนั้น เลย ๒.ผูถาม ถาหากเราผิดศีลขอท ี่ สองคือเราลักขโมยจะไดรับผลอะไรบ าง ทานอาจารย ได ผลคือใจของเราเปนบาปผิดปรกติคิดช ั่ วลักของเขาโดยไมสุจริตบาปตามสนองใหได ความทุกขเดือดร อนวาตนทําผิดอยูเสมอ ตายไปก็ จะเดือดร อนเป นอยูร่ําไปเพราะกรรมไมดีนั้น
๒.ผูถาม ในหนังสือมรรควิธีทานอาจารยยกเอาอสุภะข ึ้ นมาพิจารณากรรมฐานภายในกายเห็ นวาเราต อง พิจารณาอสุภหรืออานาปานสติหรือพุทโธ มันเป นท ั้งหมดใชหรือไม ทานอาจารย อันน ั้นยกเอามาเป นตัวอยางเฉยๆ จะพิจารณาอานาปานสติหรือพุทโธก็ได แล วแตใครจะ พอใจอะไรขอสําคัญจิตรวมไดเป นพอกอนจะพิจารณาอะไรก็ ตาม พึงเข าใจวาบริกรรมน ั้นเป นแตเคร ื่ อง ลอธรรมดานายพรานเบ ็ ดเอาเหย ื่ อลอปลาความประสงคของนายพรานมิใชประสงคที่เหยื่อ ประสงคเอา ปลาโนนต างหาก ฉันใดผูบริกรรมภาวนาก ็ประสงคเอาสมาธินั้นตางหากคือบริกรรมไปๆ ใหเอาสตินั้น คอยจับจ องท ี่ใจมันจะเข ามาเป นสมาธิเม ื่ อจับใจได แล วบริกรรมน ั้ นท ิ้ งเสียโดยไมรูตัว หรือหากมันไมทิ้ง ก็ใหมันปลอยวางเสีย ๒.ผูถาม เคยพิจารณากาย โดยใช หลักอนิจจัง ทุกขังอนัตตาอยากกราบเรียนถามทานอาจารยวาการ พิจารณาปญหาในชีวิตประจําวันจะใช หลักเดียวกนได ั หรือไม ทานอาจารยถึงแมวาเราจะพิจารณาปญหาชีวิตประจําวันก็ยังไมหนีจากอนิจจัง ทุกขังอนัตตาคืออยาให หนีจากความเกิด-ดับ จึงจะเข าหลักธรรม พิจารณาอาการของมันเปนไปตามโลกแลว นั่นจะไมมีที่สิ้นสุด เกิดความเดือดร อนเสียเปลาๆ เราเอาธรรมะมาใชในชีวิตประจําวันควบคูไป ถึงแม จะทําอะไรก็ ตาม เรา จะต องทําสักแตวาทําเพ ื่อประกอบอาชีพใหยังชีวิตคงอยูไปวันหน ึ่ งๆ เทานั้น ผลที่สุดส ิ่ งท ั้ งหลายเหลานั้น ไมมีสาระสักอยางเดียวเราทําอยางน ี้ เราจึงจะมีวิชาทางธรรมและจะทําใหไมเดือดร อนเป นทุกขชีวิตเมื่อ เกิดข ึ้ นมาก็จําจะตองหลอเล ี้ ยงมัน ตองรักษาบริหารแตรักษาบริหารผลที่สุดก็ตองทอดทิ้ง เห ็ นอยางนี้จึง คอยสบาย นี่แหละธรรมเปนของมีคุณคา มีประโยชนตอชีวิตประจําวันของชาวโลกอยางน ี้ ๒.ผูถาม สัมมาอาชีพหมายถึงอะไร ทานอาจารย สัมมาอาชีพตามที่ทานอธิบายเรียกวาการเปนอยูโดยสุจริตเรียกวาสัมมาอาชีพ ได แกการท ี่ เราเกิดมาเป นคนแลว ทํามาหาเล ี้ ยงชีพในทางที่สุจริต ไมผิดจากหลักศีลธรรม คือวาไม ใหเปนไปเพื่อ ความเดือดร อนตนและคนอื่น เรียกวาสมมาอาชั ีพ ๑.ผูถาม ไปภาวนาที่ปาช าแล วเห ็นภาพกระโหลกศีรษะได พยายามเพงตอไปให เห ็นเป นหน าของตนเอง อยบนกะโหลกศูีรษะเม ื่ อกลับมาไดนั่งภาวนาอีกเห ็นภาพกะโหลกศีรษะอีก ทําใหตกใจจนถึงกับนอน
ไมหลับ ผมพอจะไดอานหนังสือมาบ างซ ึ่ งแนะนําไมใหไปยึดเร ื่ องภาพนิมิต แตอยางไรก็ ตาม ขณะนี้ก็ยัง กลัวอยูขอทานอาจารยโปรดแนะนําวาทําอยางไรจึงจะหายตกใจกลัว ทานอาจารยจะเรียนรูมาเทาไรก็ ตาม เวลาเกิดนิมิตมามันลืมหมดไปเห็นประจักษเฉพาะใจการจดจําจาก ตํารามันทิ้งถาไมทิ้งมันก ็ไมเกิด มันเกิดขึ้นจนกระทั่งตกใจทําให กลัวขึ้นมาไดโดยเขาใจวานิมิตน ั้นเปน ของจริงจังขึ้นมาจงย อนถอนจิตออกดูขางนอกอีกทีหน ึ่ งวา นั้นมันเป นจริงหรือไมก็เห ็ นวาไมจริงอยา ไปอยากเห็ นหน าบนกะโหลกศีรษะซีใจถอนออกแลวจะไมรวมอีก มันจะเห ็ นก็ชางมัน ขอให ตามรูอยูวา นั้นเป นภาพนิมิต แล วต ั้ งสติคุมจิตให อยูที่ใจ ภาพนิมิตและความตกใจนั้นก ็จะหายไป ๑.ผูถาม เวลาน ั่ งธรรมดา ๆ นิมิตก็ยังปรากฎอยู ทานอาจารย เปนไดเพราะใจเป นสมาธิอยูสมาธิหมายความวาใจมันแนวแนอยูในอารมณเดียวถึงจะมี ธุระการงานส ิ่ งอ ื่นใดจิตก ็เปนไปกับงานน ั้ นบางคร ั้ งบางคราวแตแล วมันก ็ กลับวกคืนเป นสมาธิอีก ภาพ นิมิตก ็มาปรากฎอีกเรียกวาอุคหะนิมิต อุคหะนิมิตนี้มีทั้งโทษทั้ งคุณ คุณน ั้ นทําใหใจนิ่ งแนวอยูได นาน ๆ ในอารมณอันเดียวโทษนั้ นถ าผูไมรูเทาเข าใจไปถือวาเปนจร ิงเป นจังก็จะหลงมัวเมาซึมเซอเส ียคน จึงควร ระวังอยาเข าไปติดภาพนิมิตน ั้ นจะเสียคนไป ๑.ผูถาม ใจของคนเราซาบซึ้ งอยูในกายแล วกายก ็เป นวิบากกรรมของคน เป นที่รับทุกขเราห ามไมไดจึง ตองรับทุกขแตสิ่งท ี่ เราทําไดคือเราเขาใจถ ึงเร ื่ องความทุกขนั้นและใช ความเข าใจนั้นเป นเคร ื่ องตอสูกับ ความทุกขอยากทราบวาความเห ็ นเชนนี้ถูกตองหรือไมครับ ทานอาจารยแนละซ ีวิบากคือผลของกรรมท ี่ สรางไว แลวจะเอาไปใหใครใครก็ไมเอาถึงแม เราจะเห็น เป นทุกขก็ตองทนสูอุตสาหเล ี้ ยงมันไปจนกวาจะแตกดับ มีทางเดียวคือพิจารณาเห ็นตามความเป นจริง แล วไมเข าไปยึดถือมัน แตถึงกระน ั้ นเม ื่อเราไมพิจารณาทุกขอันน ั้ นก ็ กลับเข ารุมล อมอีก ฉะน ั้ นพระอริย เจ าท ั้ งหลายทานจึงพิจารณาอยูดวยความไมประมาท จนกวาจะแตกดับไปเป นที่สุด ๑.ผูถาม ใจของผมคล ายจะแบงออกเป นสองสวน สวนหน ึ่ งยังติดข องอยูในอารมณที่เคยไดยินไดฟง ติด อยูในกิเลสบาปกรรมที่ เคยทํามาแลวอีกสวนหน ึ่งเป นสวนใหมที่มีความเข าใจวาอันน ี้เป นเร ื่องไมถูก ทํา ไมดีแล วใจทั้ งสองสวนนี้มันแยงกัน จะทําอยางไรจึงจะแก ไขได ทานอาจารย มันยึดมานานแสนนานยากท ี่ จะแก ไขได แตก็ยังดีที่เห ็ นวาสวนหน ึ่งเป นจิตท ี่ไปคิดติดอยูกับ กิเลสบาปกรรมที่ทํามาแตกอน จงไปยึดเอาจิตท ี่เป นสวนใหมที่เห ็ นวาไมดีไมถูกน ั้ นเสีย นาน ๆ เข ามันก ็
ลืมไปเอง พร อมกันน ั้นขอใหพิจารณาเห ็นโทษจิตท ี่ไมดีไปยึดเอาส ิ่ งตาง ๆ นั้นวาเป นภัยเป นศัตรูทําให เกิดบาปกรรมมาก ๆ มันก ็ จะเบ ื่ อหนายเกลียดกลัวแล ววางไปเอง ๑.ผูถาม ที่วาไมไปยึดหมายความวาอยางไรครับ ทานอาจารย หมายความวาไมใหเอาใจไปจดจองปกฝงแนนอยูกับอารมณนั้นๆ ทั้งดีและช ั่วไมลืมเลยอัน เป นเหตุดึงดูดใหไดไปเกิดเปนภพชาติต อไป ๑.ผูถาม ถาภาวนาน ิ่ งอยูกับอารมณอันเดยวีหากวามีอารมณอื่นเข ามาแทรกแล วเราจะพิจารณาเป นธรรมท ี่ เกิดขึ้น เพราะมีปจจัยใหมันเกิดขึ้น อันนี้ถูกตองหรือเปลาครับ ทานอาจารย ถาภาวนาน ิ่ งอยูกับอารมณอันเดียวถูกแลวอารมณอันอ ื่นมาแทรกไมถูกแตอารมณอันน ั้ นถา มาพิจารณาเป นธรรมก ็ใชได แตใหวางไดในเมื่ อพิจารณาแล วถ าวางไมไดก็ไมถูกจะวางก ็ได จะพิจารณาก ็ ไดจึงจะถูกเม ื่ อพิจารณามันจะเป นธรรมคือลงท ี่ไตรลักษณก็ได หรือไมพิจารณามันจะอยูเฉย ๆ ของมัน มีสติคุมจิตให อยูในความสงบสุขตอไป ๑.ผูถาม ถาเราพิจารณาอยางน ี้ แลวแล ววางจิตเฉย ๆ เชน ถากระเปาถูกขโมยแลวก ็ทําเฉยๆ เชนน ั้ นหรือ ทานอาจารยนักภาวนาท ั้ งหลายพิจารณาถอนอัตตาแล วเฉยไดไมกังวลกับส ิ่ งของท ั้ งหลายแม แตชีวิตของ ตนก ็ไมเข าไปยึด นับประสาอะไรแคกระเปา ๑.ผูถาม คําวาอุบายน ี่ หมายถึงวิธีการใชไหมครับ ทานอาจารย อุบายน ี่ หมายถึงโครงการ หรือวิธีการท ี่ จะทําใหถูกตามเป าหมายน ั้ นๆ ที่ตนกําหนดไว แลว ๑.ผูถาม ที่วาไมไปยึดถือถาเราพิจารณาอยางน ี้ แลวเราจะทําตัวอยางไรในชีวิตประจําวันของเรา ทานอาจารย ยึดน ั้ นต องยึดแนๆ ถาไมยึดถือจะพิจารณาอยางไรแตเม ื่ อพิจารณาส ิ่ งนั้น ๆ เห ็ นตามสภาพ ความเป นจริงแลวไมทราบจะยึดถืออะไรกัน ยึดหรือไมยึดมันก ็ เพียงแคนั้น การงานประจําวันทําก็สักแต วาทํา เพ ื่อใหลุลวงไปวันหนึ่ง ๆ เทานั้น ชีวิตความเป นอยูถาทําได อยางนี้มันก ็เบาไมเป นทุกข ๑.ผูถาม บางทีรูสึกวาไมมีตัวใจก็ไมมีมันมีแตการเกิด-ดับ เทานั้น ในชีวิตประจําวันเวลาอยูกับ ครอบครัวก ็ เห ็ นวาครอบครัวไมไดเป นของเราอยากทราบวาความคิดเชนน ั้นเป นจริงหรือวาเป นมารมา หลอกลวง
ทานอาจารยไมมีมารมาหลอกลวงความเห ็ นน ั้นเป นธรรมแลวแตมารมาหลอกลวงตางหากวาความเห็น เชนน ั้ นอาจจะผิดไป จงอยาเช ื่ อคําหลอกลวงของมารเลยผูเห ็ นเชนนี้มิใช ของงายต องพิจารณาถึงพระไตร ลักษณจึงจะเห ็นได ๑.ผูถาม ปฏิบัติธรรมะแล วก ็เป นสุข ทานอาจารยก็ถูกละซีปฏิบัติธรรมแล วเป นสุขไปหาสุขท ี่ไหนไมไดอีกแลวในชีวิตประจําวันก ็ หา ความสุข ทําบุญทําทานก ็ หาความสุขจะเอาอยางไรอีกใหสังเกตอีกนัยหน ึ่ งวาความสุขท ี่เราไดรับนั้น ทํา ให คนอ ื่นไดรับความทุกขเดือดรอนหรือไมถาทําให คนอ ื่ นเดือดร อนมันก็ยังไมทันถูก ๒.ผูถาม ขอกราบเรียนถามวาถารางกายประกอบด วยธาตุสี่ เม ื่ อมีรอน มีหนาวเรารูสึกคือรูที่ใจใจผูรู มันรูสึกเดอดรื อนไปตาง ๆ นานา ใจนี้มันเป นธาตุหรือเปลาครับ ธาตุสี่นั้นพอจะเข าใจแตตัวรูนี่สมมุติวา เราจะวางนะครับวาไมใชของเรา ไมเทยง ี่ ตัวรูนี่คืออะไร เป นธาตุหรือเปลาครับ ทานอาจารย เป นธาตุรูเหมือนกัน ถาหากเราไมไปถือวาเป นเราเสียธาตุรูสักแตวารูเย็น รอน ออน แข็งก็ สักแตวา เย็น รอน ออน แข็งธาตุรูสักแตวาธาตุรูมันก ็ หมดเร ื่ องกัน ๒.ผูถาม ธาตุรูนี่ไมใชไหมครับ ทานอาจารยธาตุรูคือผูรูนั่นแหละ ๒.ผูถาม แล วถ าไมถือวาเป นเราถือเปนใครครับ ทานอาจารยถือเป นสักแตวาปจจัยกระทบกัน สัมพันธเก ี่ ยวเน ื่ องกัน ให เห ็นเป นหน าท ี่ ของมันของท ี่ ไมใชเราแล ววางไดถาหากวาเราวางไมไดก็ไปยึดเปนของเราเป นอุปาทาน ๒.ผูถาม เม ื่ อวานนี้ทานอาจารยโปรดพระมหาสมัยเก ี่ ยวกับเร ื่ องอนัตตาลักขณสูตร บอกวาคนโดยมาก เข าใจวาไมมีตัวตน หมายความวาอยางไรครับ กระผมขอไดยินสั้น ๆ อีกทีหน ึ่ งครับ วาควรจะเข าใจ อยางไรจึงจะถูก ทานอาจารยคําวาอนัตตาในที่นี้นั้นนะไมได หมายความวาไมมีมีอยูแตไมมีสาระ ตัวคนเรานะมีมีอยู เหมือนกัน แตวาหาสาระไมไดคือวาเกิดข ึ้ นมาแล วมันแปรสภาพตั้ งแตเกิดมาจนบัดน ี้นั่งอยูนี่ก็แปร สภาพไปเรื่ อยไมมีสาระแกนสารอะไร สักแตวาเปนปจจัยสืบเน ื่ องกันไป อยางเซลลตัวต นมันดับไปตัว อื่นเกิดมาแทน ตาย-เกิด-ตายผลที่สุดหมดปจจัยแล วก็ดับหมดเลย นั่นจึงวาไมใชของเราคือไมมีสาระ
๒.ผูถาม ถาดับหมดธรรมชาติของตัวรูจะยังมีอยูหรือจะดับไปด วยครับ ทานอาจารยเร ื่ องนี้ตองแล วแตเหตุปจจัยถาเหตุปจจัยของผูรูยังมีอยูก็ยังไมดับ ๒.ผูถาม แล วธาตุรูนี่มันจะติดตอจากชาติหน ึ่งไปอีกชาติหน ึ่ งเร ื่ อยๆ ใชไหมครับ ทานอาจารยถาหากวายังไมทันหมดบริสุทธ ิ์ เด ็ ดขาดคือมันเข าไปยึดอยูมันก็ยังตอไปเรื่ อยๆ ๒.ผูถาม ตอนนี้ถาหมดบริสุทธ ิ์ได แลวธาตุรูนี่จะหายไปหรือครับ ทานอาจารยเม ื่ อเราเข าใจและไมเข าไปยึดแลวไมมีปจจัยมันก ็ไมสรางอะไรทั้ งนั้น อันน ั้นไมตองพูดกัน ละ ๒.ผูถาม ทานอาจารยพูดเร ื่ องน ี้ แล วนาสนใจขอกราบเรียนใหทานอาจารยอธิบายในเรื่ องน ี้ ทานอาจารยคือวามันเป นภพอันหน ึ่งของใจเม ื่อเวลาใจเขาไปในนั้น ๆ แลว มันวางทอดธุระอายตนะ ภายนอกท ั้ งหมดอันน ั้นเปนภพของใจ ภพของใจจําเป นจะต องมีขันธธาตุอายตนะมีหมด นี่พูดถึงเร ื่ อง อายตนะภายใน คือมันคุยอยูคนเดียว มันมีกระทบกระท ั่ งอยูคนเดียว มันรูเร ื่ องของมันอยูคนเดียวอะไร ทั้งหมดมีเหมือนอายตนะภายนอกน ี่ แหละ ๑.ผูถาม ที่ทานอาจารยกลาวน ี้ หมายความวาจิตนี่มันมีขันธหาพร อมอยูในตัวของมันหรือครับ ทานอาจารย ใชแลวไมใชมีแตขันธหาอายตนะท ั้ งหลายก็มีดวยถาไมมีมันจะเอาอะไรมาเกิดจิตนี้มัน สร างของมันไวสองภพ ภพนี้ดับไปแล วมันก ็ไปถือเอาภพอ ื่ นตอไป ผูภาวนาถึงข ั้ นความสงบพิจารณาเห็น วาหมดกิเลสแล วก ็ อยูเฉย ๆ นั้นแหละคือสรางภพใหมไวใหตัวเอง ๑.ผูถาม ตามความเห็นของผมคือเราต องอาศัยปจจัยส ี่ในการที่ จะชวยเหลือคนอื่น ตัวเราเองก ็ตองอาศัย ปจจัยส ี่ จุดหมายของเรามนมั ีอยูเพียงเทาน ี้ใชไหมครับ ทานอาจารย เม ื่ อเรายังมีชีวิตอยูมันก็ตองอาศัยปจจัยส ี่ถึงแมวาเราจะวาปจจัยส ี่เป นทุกขก็ตาม แตเราเกิด ขึ้นมาทุกขก็ตองอาศัยทุกขไปเสียกอน ถาหากวาเราเขาไปย ึดน ั้ นจริง ๆ จังๆ มันก ็ เกิดทุกขขึ้นมาถาหาก วาเราไมไปย ึดเป นเพียงเคร ื่ องอาศัยมันก ็ไมมีกิเลสเกิดขึ้น เหมือนเราจะต องการข ามน ้ํ าด วยเรือเราต อง อาศัยเรือ พอไปถึงฝ งแล วเราก็ทิ้งเรือไมเอาเรือไปด วยเหมือนๆ กัน
๒.ผูถาม ตามจิตวิทยาของฝรั่งบอกไววาถามีอารมณภายในใจต องมีการแสดงออกถึงจะระบายอารมณ นั้นไดทานอาจารยมีความเห ็ นอยางไร ทานอาจารย ถูกแลวถาไมแสดงอาการออกมาคือไมระบายออกมามันก็ยังค างอยูแตมิได หมายความวา หมดแลวแตถาปฏิบัติเข าถึงธรรมแลวไมมีการแสดงอาการออกมาก ็หมดได ๒.ผูถาม ความตายคืออะไรครับ ทานอาจารยตาย หมายถึงความแตกดับของรางกาย หรือเรียกวาความสลายไปของสภาพอันหนึ่งจิตก็มี สภาพใหนึกคิดปรุงแตงโนนน ี่ เหมือนกัน เม ื่ อมันดับจากอารมณนี่แล วก ็ไปปรุงแตงอารมณอื่นตอไป เรียกวาเกิดอารมณใหมตอไป จิตก็มีการ เกิด-ดับ เหมือนกัน เรียกวาภพน อยภพใหญทั้งท ี่ ขณะยังมีชีวิตอยู นี้ ๒.ผูถาม ผมอยากจะเปรียบเทียบศาสนาพุทธกับคริสตศาสนาคริสตสอนเร ื่ องวิญญาณ วิญญาณน ี้เปน อัตตาเป นตัวเป นตน เม ื่ อตายแล วมีการข ึ้ นสวรรคตกนรกเวลาทําดีหรือทําชั่วถาจะเปรียบกับศาสนาพุทธ จิตก ็ คล าย ๆ วิญญาณใชหรือไม ทานอาจารย คล ายกัน คือจิตกับวิญญาณในพุทธศาสนาก็มีเรียกช ื่ อวาจิตก็มีวิญญาณก็มีคือวาผ ูที่สร าง กรรม รับกรรม คือตัวจิตหรือวิญญาณน ั่ นเองแตทางพุทธศาสนาไมไดถือวาพระเจ าเป นคนสงถือกรรม นิมิตคตินิมิตปนคนส งใหขึ้นสวรรคตกนรก สวนคริสตศาสนามีพระเจ าเป นคนสงผิดกันเทาน ั้ นแหละ เวลาค่ํา แสดงธรรมเทศนา สอนชาวไทยที่ อยูในซิดนียที่วัดพุทธรังษีนครซิดนีย มนุษยคนเราเกิดมามความปรารถนาอย ี ูอยางหนึ่ง ซึ่งต องด ิ้ นรนแสวงหาด วยอาการตางๆ กันสุดแท แตความสามารถของตน ตั้งต นแตศึกษาหาความรูใสตัวแล วประกอบอาชีพน ั้ นๆ เป นตน แตถึงกระน ั้ นก ็ ยังไมประสบผลสําเร็จ สิ่งที่วานี้คือความสุขความต องการของตน นี่แหละเป นส ิ่ งท ี่ มนุษยตองการอยาง ยิ่งความสุขน ี้ไมมีขอบเขตวาขนาดไหนที่ มนุษยเราต องการ พากันงมหาเหมือนกับงมเข ็มในมหาสมุทร งมเทาไรๆ ก็ไมพบสักทีเป นที่นาสลดสังเวชมาก พระพุทธเจ าเม ื่ อคร ั้ งเสวยพระชาติเปนพระโพธิสัตว เห็นมนุษยเรางมงายอยูอยางไมรูจักความหมายของตน และผลท ี่ ตนจะพ ึ่งไดนั้นก ็ไมทราบวาอะไรเปน อะไร ฉะน ั้นพระโพธิสัตวจึงปรารถนาพระโพธิญาณเม่อสื ําเร ็ จแล วจะโปรดสัตวที่หลงงมงายอยูนั้นให เห ็นทางไป เม ื่ อตรัสรูแล วก ็ไดอุตสาหสอนมนุษยถึง ๔๕ ปจึงเสด ็ จดับขันธเข าสูปรินิพพาน มนุษย
โดยมากก็ยังหาความสุขท ี่ ตนต องการไมเห ็ นจนกระท ั่ งบัดน ี้ถึงอยางไรธรรมะที่ พระองคสอนน ั้ นยังสอง แนวทางใหเราไดปฏิบัติสองอยางคือ ประโยชนโลกนี้และประโยชนโลกหนาอันจะนําเราใหถึงสันติ คนเราเกิดมาดวยเหตุปจจัยคือความดีและความชั่วดีก็ยึดเอาไวชั่วก็ถือเอาไว แตทําดีแล วยึดเอาไวให ผล คือเกิดมาไดรับความสุขความช ั่ วน ั้ นทําแล วยึดเอาไวให ผลคือเกิดมาไดรับความทุกขนานัปการคน จะต องเวียนวายอยูในโลกนี้ดวยประการฉะนี้ เม ื่ อเกิดมาแล วจําต องดําเนินชีวิตตอไป ประกอบอาชีพแต ในทางสุจริต อยาคิดฉ อโกงเขาดวยประการตางๆ ฯลฯจะทําตนเองให เดือดร อนและคนอ ื่ นเดือดร อนด วย พระพุทธองคตรัสวาคนเราเกิดมาไดชื่อวาเป นญาติวงศกันด วยเกิดรวมชาติรวมโลกกัน ถึงอดีต อนาคต ไมชาติใดก็ ชาติหนึ่ง บางทีบิดามารดามาเกิดเปนล ูกเป นหลานของเราก ็ได แม แตสุนัข สุกร หรือวัวควาย ที่อยูในทุงไรทุงนาก็อาจจะเป นพอแมหรือลูกหลานของเราก ็ได ฉะน ั้ นจึงอยาทําการเบียดเบียนซ ึ่ งกัน และกัน ใหถือวาเขาเหลาน ั้นเป นญาติของเราอยางน อยก ็เป นญาติเกิดแกเจ็บ ตายดวยกันท ั้ งนั้น จงรัก แลเคารพปรองดองสามัคคีมีเมตตาปรานีซึ่งกันแลกัน คนเราเกิดมาแม จะไมไดความสุขอันยิ่ง สุขเพียง เทานี้ก็พอแลว นี้เรียกวาความสุขในปจจุบัน ความสขในปรโลกนุั้นเอาฝงไวในใจเพราะกายน ี้ แตกดับแล วใจจะต องเกิดอีก สุขอันใดซึ่ งเกิดจาก คุณงามความดีเป นต นวา ทําบุญ ทําทาน รักษาศีลเจริญเมตตา ทําสมาธิภาวนาถึงภายนอกไมเห ็ นผลแต ภายในปรากฎชัดด วยตนเอง ปลาบปลื้ มซาบซ ึ้ งด วยใจของตนเอง นั้นแลจงเก ็ บรักษาไวใหดีเวลาตายที่พึ่ง อื่นนอกจากนี้แล วไมมีที่พึ่งอันน ี้ใครก็รูดวยไมได เว นแตตัวของเราเองอันน ี้ เรียกวาสุขในปรโลกอัน บุคคลหาได ยาก สุขอยางย ิ่งได แกสุขอันปราศจากสิ่ งเก ี่ ยวข องท ั้งปวง สุขอันใดถ ายังแสวงหาอยูสุขอันน ั้ นเรียกวา สุขไมพอ สุขเจือทุกขอยูสุขอันใดหมดอยาก หมดทะเยอทะยานอ ิ่ มพอแลว หยุดน ิ่ งอยูกับท ี่ สุขอันนั้น พระพุทธเจ าทานวา สุขอมแล ิ่ ว พอเต ็ มท ี่ บริบูรณแลววัตถุภายนอกไมวามีมากมีนอยไมเปนปญหา นั่น เป นเพียงเงาแหงความสุขเทานั้น ความสุขอันแท จริงได แกความสุขท ี่ปราศจากความอยากนี้ เพราะความ อยากนําให เกิดความไมอิ่ม ไมพอในของที่มีอยูและไมมีเม ื่ อกายตายแล วความอยากน ั้ นก็ยังมีติดตามใจ อยู เหตุนั้นจึงให พากันรักษาใจดวยการทําภาวนาสมาธิใหสงบ หัดสมาธิคือ หัดใหใจอิ่ม คือ หัดใหมัน พอเราเคยสงคิดเคยปรุง เคยแตงอยูตลอดเวล ่ํ าเวลายิ่งคิดยิ่งหิวยิ่งปรุงย ิ่ งแตงยิ่งหิวเรียกวาไมมีความ อิ่มความพอเรามาหัดสมาธิหัดหยุดคือให เห ็นโทษในเรื่ องยุง ในเรื่ องวุนวาย หัดทําความสงบอบรมจิต ตั้งสติควบคุมจิต ผูมันคิดน ั่นแหละใหมันอยูจุดเดียวใหมันนิ่ง พิจารณาอยูในจุดเดียวคอื ลมหายใจเขา ออก สติคุมอยูตรงนั้น วิธีที่ใหจิตอิ่ม จิตพอ มีวิธีเดียวน ี้
ทานอาจารย พาน ั่ งภาวนาพรอมท ั้ งอบรมธรรมนํากอน การหัดภาวนาอยาไปคิดมากอยาไปคิดคาดสูงเกินขอบเขต การภาวนาจะถึงมรรคผลนิพพานหรือ จะถึงญาณ สมาธิสมาบัติอยาไปคิดเราคิดแตเพียงวาเราจะสํารวมใจใหสงบอยูในที่ เดียวเป นเอกัคตา รมณเอกัคตาจิต เราพยายามทําจิตน ิ่ งอยูในที่ เดียวอารมณเดียวเทานี้ก็เปนใชไดสวนอ ื่ นซ ึ่ งมันจะเปน ตอไปละเอียดลงไปหรือวาจะเปนอะไรตอไปอีกเป นอีกเรื่องหนึ่งตางหาก นี่เป นพ ื้ นฐานของธรรม ทั้งหลายท ี่ จะถึงมรรคผลนิพพาน ฌาน สมาธิสมาบัติอยูที่ตรงจิตเป นหน ึ่ งเสียกอน ถาหากเราต ั้ งตรงน ี้ไว ได แล วจะเช ื่ อตัวเองวา มรรคผลนิพพาน ฌาน สมาธิมีจริงหรือไมพุทธศาสนาสอนให คนละช ั่ วทําดี ไดรับความสุขจริงหรือไม ( นั่งภาวนาประมาณ ๒๐ นาที ) ตอบปญหาธรรมภายหลังน ั่ งภาวนา ๒.ผูถาม ขอกราบเรียนถามวาจะมีวิธีใดชวยใหจําไดดีครับ ทานอาจารยมีอันเดียวคือ บํารุงสติสัญญาคือความจํา สติหากไมควบคุมสัญญามันก็จําไมอยูสัญญามัน ไปจําจําแล วก็ทิ้ง สติคุมไวมันจึงคอยอยู ๒.ผูถาม จิตของเราเป นส ิ่ งท ี่ไปเกิดใหมได และจิตดวงน ั้ นสามารถสะสมทุกส ิ่ งทุกอยางท ี่ มาจากอดีต แลว เวลาเราเกิดใหมเราจะจําเร ื่องในอดีตได หรือเปลา ทานอาจารยมันไมทั่วกัน ความจําในอดีต ในเวลาที่ตายไป แล วเกิดใหมความจําน ั้ นมันหายสูญไปหมด เวลาท ี่ ตายบรรดาความจําก็ดีความปรุงความแตงก็ดีความคิดนึกอะไรทั้งหมดไปรวมอยูในก อนเดียว หากผูมีบุญวาสนาบารมีที่ไดสั่งสมไวเคยอบรมไวในอดีตชาติเวลาท ี่ตายไปมันยังสามารถท ี่ จะจําได อยู ในความรูสึกในขณะที่ไปเกิดใหมกอนท ี่จะปฏิสนธิเวลาปฏิสนธิจริงๆ แล วไมมีเลย หายหมดไมรูสึก อะไร มีแตพระพุทธเจ าองคเดียวที่รูอยูเม ื่อปฏิสนธิอยูในครรภหากวาบุญวาสนาอยางน ั้นไดสรางไว มาก พอเกิดข ึ้ นมาก ็ ระลึกไดจิตดวงน ั้ นที่มันไปเกิดน ั้ นมันคล ายกันกับเม ็ ดมะมวง เมดมะม ็ วงแตละลูกน ั้ นมัน รวบรวมเอาไวหมด ตั้งแตรากลําตน และใบ ตลอดถึงผลและดอกอยูในที่ แหงเดียวแตเวลาที่มันไปเกิด ก็หมายความวามันไปตกลงในดิน ถูกน ้ํ าถูกดินชุม มันก ็คอยแตกออกมา ปรากฏเป นรากเป นลําตน ตลอด ถึงเป นลูกเป นผลจิตของเราเวลาที่มันตายมันก ็ รวบรวมเอาบุญ เอาบาป เร ื่ องกิเลส หรือเรองสารพ ื่ ัด ทั้ง
ปวงหมดก็รวมไวในแหงเดียวฉันน ั้ นเหมือนกัน เวลาแตกขยายเป นรากเปนใบ เป นตน ก็เหมือนกับมัน ระลึกไดทุกส ิ่ งทุกอยางไปหมด ๒.ผูถาม เด ็ กอายุประมาณ สอง-สามปบางทีพูดถึงชาติกอน หรือวาเขามีบุญวาสนาท ี่ พอจะระลึกถึงชาติ กอนไดใชหรือไม ทานอาจารย มีบางคนเม ื่ อเกิดมาเป นเด ็ กๆ พอระลึกได แตเม ื่อโตๆ มาก็ชักจะลืมๆ ไปมีมากเหมือนกัน โดยสวนมากพวกน ี้ เม ื่ อเกิดใหมในระหวาง ๓-๔ ขวบ หรือ ๔-๕ ขวบ ระลึกชาติได พวกนี้มักเป นพวกท ี่ ตายแล วรีบเกิดเร ็ วๆ มันไมไดไปเสวยทนทุกขทรมานหรือไมไดไปเกิดเป นอยางอ ื่ นอีก พวกกลับชาติตาย เร ็ วๆ เกิดเร็ว ๆ โดยมากมักเป นอยางนั้น อน ึ่ งเด ็กไมมีภาระมากจึงจําได พอแกภาระมากก็ลืมหมด ๒.ผูถาม เม ื่ อพระพุทธเจ าสําเร็จเปนพระพุทธเจ าแลว พระอรหันตสําเร็จเปนพระอรหันตแล วดวงจิตยังมี อยูหรือเปลาหรือวาจิตมันลอยไปในภพของพระพุทธเจ าหรือพระอรหันตแลว ทานอาจารย ความเข าใจของเรานั้ นมิใชเราเป นเราเห ็ นทานก ็หาไมจิตของพระพุทธเจ าหรือของพระ อรหันตทั้งหลาย ทานรูสภาพความเป นจริงของส ิ่ งสารพัดทุกอยางแลว ทอดธุระปลอยวางไมเข าไปยึดมั่น ถือม ั่นในสิ่ งท ั้ งหลายเหลานั้น ถึงจะพบทานก ็ปลอยวางได ดวยอุบายปญญาอันชอบของทานแล วอยูเปน สุขในโลกนี้ เวลาธาตุแตกขันธดับใชการไมได แลวจิตของทานก ็ไมทราบวาจะไปใชอะไรอีกไมมีเหตุ ปจจัยอะไรที่นํามาใชตอไป จิตของทานจะเรียกวาเกิดก ็ไมใชไมเกอดอีกก ็ไมใช เพราะไมมีปจจัยท ี่ จะนํา ให เกิดและไมเกิดของพรรคนี้รูเฉพาะตนเองจะไปเดาไมไดผิดหมด ๒.ผูถาม พระอรหันตนั้นเมื่อดวงจิตของทานไมมีงานทําแล วมันหายไปไหนครับ ทานอาจารย อยาไปพูดถึงเร ื่ องน ั้ นเถิด มันสูงเกินไป เด ี๋ ยวคนจะเบ ื่ อพระนิพพาน ๒.ผูถาม ผมคิดเร ื่ องน ี้ มาต ั้งสองปแลว ทานอาจารย คิดเทาไรก็ไมออกถ าหากเราไมเข าถึงตรงนั้น ไมเห ็ นตรงน ั้นไมรูเร ื่ องเลย พูดก ็ไมรูเร ื่ องวา ความดับเป นความสุข ตั้งร อยปก็ไมรูเร ื่ องถาหากเราไมไปเห็ นตรงนั้น เร ื่ องอันน ี้เป นของเฉพาะสวนตัว เรามาพูดกันน ี้เป นสมมุติบัญญัติเทานั้น อันน ั้ นมันนอกเหนือไปจากสมมุติบัญญัติแลวเราพูดอันน ั้ นมัน พูดไมถูก มันเป นของเฉพาะสวนตัวเราอยูในโลกิยะเราไปพูดถึงเร ื่องโลกุตระ พูดได แตชื่อไมเห ็ นตัวก ็
ไมรูเร ื่ องก็ดีเหมือนกันคิดค นมาต ั้งสองปแล วนับวาสนใจพอใช จงมาเร ิ่ มต นปฏิบัติตามสติปฏฐานนี้ เสียกอนจึงจะเขาใจได ๒.ผูถาม คนท ี่ เข าถึงโลกุตระแลว สําเร็จเปนพระอรหันตแลวแล วจะกลับมาเกิดเปนโลกิยะหรือเปลา ทานอาจารย โลกุตระมีหลายอยางเชนพระโสดา พระสกิทาคามีพระอนาคามีและพระอรหันตสองพวก เบ ื้ องต นตายแล วมาเกิดอีกบําเพ ็ ญบารมีตอจึงไดสํ าเร ็ จพระอรหันตสองพวกหลังไมตองเกิดอีกไปบังเกิด ในที่สูงหรือนิพพานเลย ๒.ผูถาม ชาวตางประเทศสวนมากมีความคิดเห ็นในเรื่ องพุทธศาสนาที่วาถึงโลกุตระแล วไปเป นพรหม หรือสวรรคดังน ั้ นจึงอยากใหทานอาจารยอธิบายเรองโลก ืุ่ตระทางพุทธศาสนานี้อีกครับ ทานอาจารย เร ื่ องมหายาน หรือศาสนาท ี่ เช ื่ อพระเจาโลกุตระของเขาหมายถึงสวรรคหรือพรหมเทานั้น เขาจึงเข าใจอยางนั้น สวนโลกุตระฝายหินยาน กลาวถึงโลกุตระมีสองดวยสามารถละกิเลสได แตไมหมด เปนพระโสดา พระสกิทาคามีตายไปเกิดท ี่ สวรรคแล วกลับลงมาเกิดอีก ๒-๓ หรือ ๗ ชาติทําใหสิ้นทุกข ได พระอนาคามีตายแล วไปเกิดพรหมโลก ทําที่สุดทุกขในที่นั้นไมกลับลงมาเกิดอีก นี้อยางหนึ่ง สวน พระอรหันตทําที่สุดทุกขในโลกนี้ แล วนิพพาน ไมตองมาเกิดอีก สวนมหายานหรือศาสนาเช ื่ อพระเจาถือวาทําดีถึงที่สุดแล วไดไปเกิดเพียงสวรรคหรือพรหมโลก เทานั้น ความดีในทางพุทธศาสนาต องละช ั่ วจึงส ิ้ นทุกขไดถายังยึดอันใดอันหน ึ่ งอยูยังไมพนไปจากทุกข ได แตศาสนาคิดไมถึงหรือทําไมไดจึงเห ็ นเพียงแคนั้น ๒.ผูถาม การบรรลุพระโสดาก็ดีพระสกิทาคามีก็ดีสําเร็จเปนพระอรหันตก็ดีถือวาเขาโลกุตรธรรม นอกน ั้นไมใชโลกตรธรรมใชุไหมครับ ทานอาจารย ถูกแล วโลกุตระมีสองขั้น ขั้นหน ึ่ งยังเทียวเวียนวายตายเกิดอยูแตนอยที่สุดคือ ๒-๓ ชาติ เทานั้น หรือ ๗ ชาติขั้นท ี่ สองถึงพระอรหันตแล วนิพพานเลย ๒.ผูถาม สมมุติวาเสียชีวิตเม ื่อตอนเป นสกิทาคามีเม ื่ อมาเกิดจะต องทําเปนโสดากอนแล วจึงคอยเปน
สกิทาคามีใชไหมครับ ทานอาจารย มันก็ตองเปนไปตามลําดับเหมือนกัน แตวามันไปอยางเร็ว บางทีถึงพระสกิทาคามีเลยก ็ได ถาธรรมเทศนาไปตรงกับภูมิของตนเขา วันท ี่ ๑ธันวาคม ๒๕๑๙ สนทนาธรรม ที่วัดพุทธรังษี ๒.ผูถาม ผมมีโรคประจําตัวปรากฏอาการเป นคร ั้ งคราวเม ื่ อยี่สิบปที่ผานมา ปรากฏอาการในสมองคล าย มีอะไรมาดันเจ ็ บมากที่ศีรษะ ตรวจแล วไมใชเน ื้ องอกไมพบพยาธิสภาพในสมองผมไปรักษาตัวท ี่ ลอนดอนแพทยฉีดยาใหอาการของโรคหายไปถึงห าปหลังจากน ั้นปรากฏอาการเป นคร ั้ งคราวเป นๆ หายๆ อยูเร ื่ อยมาจนถึงปจจุบันน ี้ ตอนน ี้ หายมา ๔ วันแลวอีกหนอยคงเป นอีกไมอยากจะไปผาตัดไม อยากฉีดยาด วย พยายามท ี่ จะหัดภาวนาอยากทราบวาจะมีวิธีแก หรือเปลาครับ ทานอาจารย มันอยูที่ใจของเราถาหากใจของเราสงบมีพลังเพียงพอสามารถท ี่จะปลอยวางไมยอมเข าไป ยึดในเรื่ องความเจ ็ บน ั้นไดคือยอมสละคล ายวาท ิ้ งเลยเป นของเนาเบ ื่ อหนายเปนโทษทุกขมานาน ทิ้งเลย ยอมสละในปจจุบัน เม ื่ อจิตมีพลังเต ็ มท ี่หายได เด ็ ดขาด ๒.ผูถาม แนวของการปฏิบัติที่จะปลอยวางมีอะไรบ างครับ ทานอาจารย วิธีที่จะปลอยวางมีสองอยางโดยเฉพาะเรื่ องการตอสูเวทนา มันปวดตรงไหน มันเจ็บ ตรงไหน เวทนาเกิดข ึ้นตรงไหน กําหนดเอาใจไปไว ตรงนั้น จดจ องเฉพาะตรงนั้น รูอยูสิ่งเดียวไมตองให มันแสสายไปที่อื่น พอจิตแนวแนจองมองเฉพาะความเจ ็ บอยูอยางนั้น เพงพิจารณาถึงเร ื่ องความเจ ็ บอัน นั้น บางคร ั้ งบางคราวเม ื่ อจิตรวมสงบได อาจแตกกระจายหายวับไปไดก็มีบางทีเม ื่ อเราเอาจิตเขาไปถึง ตรงน ั้นไปจ องอยูตรงน ั้ นรวมวูบลงไปหายเลยก็มีหรือมิฉะน ั้ นเราทอดธุระอยางท ี่ อธิบายมาใหฟงแลว อันน ี้เป นก อนทุกขมันทุกขทรมานมานานแลวคราวน ี้อะไรก็ทิ้ง เลยเราจะกําหนดเอาใจผูเดียวใจผทีู่ไป เห ็ นมันทุกขรูสึกวามันทุกขจับเอาเฉพาะความรูสึกไมตองไปทําความรูสึกกับผูทุกขจับความรูสึกผูที่ไป จองอยูอันเดียว พอจิตอันนี้มีพลังหายได เหมือนกัน ๒.ผูถาม เม ื่ อเรารูสึกเจ็บ ความเจ ็ บมันอยูที่สมองหรืออยูที่ในใจ
ทานอาจารยมันพูดยาก ตอเม ื่อสงบใจจนกระทั่ งมันวางหมดเสียกอน แล วมีใจเหลืออยูอันหน ึ่ งจึงจะรูสึก วาใจกับสมองน ั้ นคนละเร ื่ องกัน เด ี๋ ยวนี้มันยังเก ี่ ยวเน ื่ องกันอยูมันยังแยกกันไมทันออกจะพูดอันนี้มันก ็ ไปถูกอันนั้น จะพูดอันน ั้ นมันก ็ไปถูกอันน ี้ พูดถึงใจไปถูกเซลลจะพูดถึงเซลลไปถูกใจ พูดเจ ็ บก ็ไปถูกใจ พูดใจก็ไปถูกเจ็บ เมื่อใจมันวางหมดความเจ ็บไมมีมันไปเหลืออันหน ึ่ งของมันตางหาก มันไมปรากฏจึง คอยไปรูสึกวาใจกับสมองมันแยกคนละอันแตวาเม ื่ อยังมีชีวิตอยูมันทํางานรวมกัน ๒.ผูถาม การปฏิบัติของผมยังเข าไมถึงจากที่ทานอาจารยอธิบายผมเข าใจวาท ั่ วๆ ไปแยกกายกับใจไมได ถาหากเอามีดมากรีดก็ตองรูสึกเจ็บ ตอเม ื่อใจสงบแนวอยูที่อารมณหน ึ่ งก ็ไมรูสึกเจ็บ เพราะใจไมไป เก ี่ ยวข องกับกายในขณะนั้น คิดวาพวกโยคีคงจะใชวิธีอันนี้ตอสูกับความทุกขใชหรือไม ทานอาจารย ก็ใชละซีคือวาเขาแยกใจออกจากกาย เขาแยกออกจากกันได คนเราเวลาจะตายมันไมเอา เซลลอะไรใจมันไปของมันตางหากเซลลตางๆ นั้นมันมีอยูแล วใจจึงมาใช แตเวลาตายเราไมได เอาเซลล ไปด วยไปสรางเอาใหม ๒.ผูถาม ขอกราบเรียนถามวาเม ื่อเราจะฝกหัดใจให แนวแนแล วทําไมจะต องพิจารณากายใหเป นส ิ่งปฏิกูล เป นอสุภะ มันไมใชสิ่งปฏิกูลไมเป นอสุภะ มันเป นแคเซลลและธาตุผมไมเห ็ นด วยที่มันเป นอสุภะ ปฏิกูล ทานอาจารยปฏิกูล หมายความวาเปนของสกปรกการล างหน าล างตาน ั้นไมใชของสกปรกหรือ ทําไมไม เห็น พิจารณาเห็นเปนของปฏิกูลเป นธาตุเพ ื่อไมใหติดในกายเห็นเป นสักแตวาของปฎิกูลเป นธาตุใจไป ยึดเอาตางหากแท จริงแล วไมใชกายของเราก็ปลอยวางยังเหลือแตจิต ๒.ผูถาม ภายนอกสกปรกแตภายในมันไมไดเป นเชนน ั้ นครับ ทานอาจารยน้ําเลือด น้ําหนองสกปรกไหม น้ํามูก น้ําลาย น้ําปสสาวะอุจจาระสกปรกหรือไม ๒.ผูถาม ไมเห ็ นวาสกปรก มันเป นแตธาตุน้ําและธาตุดิน ทานอาจารยถาไมสกปรกต องล างมือทําไม เวลาผาตัดล างมือหรือไม ๒.ผูถาม ใชครับ เป นความจริงอยางที่ทานอาจารยพูด ผมไมอยากจะเทียบศาสนาพุทธกับศาสนาคริสตศาสนาคริสตเขาไหว พระเจาและขอใหพระเจา ชวยเหลือประการหนึ่งและอีกประการหนึ่ งเพ ื่อจะให เร ื่ องน ั้ นๆ สําเร ็ จหรือดีขึ้น ในทางพุทธศาสนาเขา
ทํากันอยางน ี้ หรือเปลา เราควรท ี่จะกราบไหว พระพุทธเจ าแล วใหทานชวยเหลือด วยประการตางๆ หรือไม ทานอาจารย เบ ื้ องต นทุกศาสนาต องมีศาสดาเป นสรณะถือเอาศาสดาของตนเป นที่พึ่งหนวงเหน ี่ ยวจิตใจ ไวถือวาศาสดาน ั้ นๆ เป นผูดีแลวจึงเอาศาสดาน ั้ นๆ มาเป นเคร ื่ องระลึกเพ ื่อเราจะไดทําดีกาวหน าตอไป แตวาตอนที่ทําน ั้ นต องทําดวยตนเองฝายทางศาสนาคริสตเราทําเองแทบล มแทบตายไดอะไรมาก็บอกวา พระเจาชวยเพราะถือพระเจ าชวยอยางเดียวศาสนาพุทธถือวาตนเองเป นคนทํา ตนเองเปนคนไดรับท ั้ งดี และชั่วศาสนาคริสตบอกวาดีและช ั่ วพระเจ าใหทั้งๆ ที่ตนทําอยูเองมันผิดกันตรงน ี้ อะไรๆ ก็จะใหพระเจาชวยทั้งหมดไปใช แตพระเจาบาปนะพระเจาเอาไวบูชา เอาไวเปน เคร ื่ องระลึกเราระลึกถึงพระเจ าแล วเราจะทําดีอยางพระเจาไมใชเอาพระเจ ามาใช ๒.ผูถาม ถาหากเราเอาพระเจ ามาใชในทางที่ดีจะถูกต องหรือเปลา ทานอาจารย ถึงทางที่ดีก็เหมือนกัน เอาพอแมมาใชในทางที่ดีจะเอามาใช อยางไรเอาพอแมมาใช เล ี้ ยงลูก จนเติบโตอยางน ั้ นหรือลูกอาศัยพอแมจนวันตายแล วเม ื่อไรลูกจะเป นผูเป นคนกับเขาสักที ๒.ผูถาม ไมใชเอามาใชเล ี้ ยงลูกเวลาเราจะปรึกษากับคุณพอคุณแมทานจะได แนะนําเราด วยปญญา ทานอาจารยอยางน ั้ นก ็ใชไดซีพระพุทธเจ าสอนเราก ็ สอนอยางน ั้ นหรือพระเจ าสอนเรากสอนอย ็ างนั้น แตอันน ี้จะใหทานลงมือลงแรงรับบาปรับกรรมไปด วยอยางไรได ๒.ผูถาม บางลัทธิบอกวาพวกเทพตางๆ สามารถบันดาลใหเปนไปตางๆ ไดในศาสนาพุทธมีเชนน ี้ หรือไมเวลาเราต องการความชวยเหลือพระพุทธเจ าจะชวยบันดาลให เราหรือเปลา ทานอาจารยเร ื่ องเทพตางๆ พูดยากเป นส ิ่ งท ี่ไมปรากฏด วยกาย พระพุทธเจ าเอาไว เหนือนอกเหตุผล สวน ขอเท ็ จจริงมาเอาตรงที่วา พระพุทธเจ าสอนทุกส ิ่ งทุกประการใหทําด วยตนเอง เชนสอนใหรับประทาน อาหาร พระองคไมไดปอน สอนใหรับประทานอยางน ั้ นๆ แลว ตางคนตางรับประทานเอง พระองคสอน แล วจะตามไปป อนทุกคนอยางน ั้นไมได ทางพุทธศาสนาเป นอยางน ี้สวนท ี่ จะมีรสเอร ็ ดอรอยน ั้ นแล วแต บางทีมันอาจจะมีเทพ มีภูตผีปศาจอะไรเอายาพิษหรอรสชาตื ิอรอยมาใส อันนนไม ั้ ตองพูดถึง เพราะเปน ของไมมีตัว เป นของนอกเหนือเหตุผลศาสนาพุทธสอนส ิ่ งที่มีเหตุผล นอกเหนือจากเหตุผลแลว สิ่ง มหัศจรรยจะรูเฉพาะพวกที่รูดวยกัน อยางที่พูดมานี่แหละเทพมาบันดลบันดาลอะไรตางๆ ไมมีใครรูเห็น ดวย พระองคไมพูดจะพูดเป นบางคร ั้ งบางคราวโดยเฉพาะพวกที่รูเหมือนกัน
๒.ผูถาม ไมทราบวาเร ื่ องอนนั ี้มันนอกเหนือเหตุผลหรือเปลาแตอยากทราบวาบางคนสามารถจะรับ บันดาลของเทพหรือของพระเจ าได หรือเปลา ทานอาจารยก็นั่นละซีมันเหนือเหตุผล มีเหตุผลอะไรที่วาเทพบันดาลอะไรเป นสักขีพยาน ดังน ั้ นจึงวา เหนือเหตุผล ๒.ผูถาม ผมอยากทราบเร ื่ องอันน ี้ เพราะศาสนาจีนมหายาน สอนถึงเร ื่องพระโพธิสัตวครับ เขาบอกวาถา เขาขอความชวยเหลือจากพระโพธิสัตวๆ บันดาลชวยเราไดเขาเองเคยไดรับผลด วย พระโพธิสัตวไดชวย บันดาลเร ื่องใดเรื่องหนึ่งตามความประสงคของเขาแตเวลาท ี่ ผมศึกษาทางหินยานกลับไมมีเร ื่ องเหลาน ี้ จึงอยากทราบวาฝายใดถูกฝายใดผิด ทานอาจารยมันถูกทุกอันน ั้ นแหละ มันถูกไปคนละแงละมุมกัน พระโพธิสัตวนั้นเขาถือวาทุกคนสร าง บารมีเปนพระโพธิสัตวดวยกันท ั้ งนั้น ไมเลือกผูหญิงผูชายถึงแมจะไม เป นพระพุทธเจ าก ็ ตาม แตเป นการ สร างความดีถูกตรงนั้น ที่จะเป นพระพุทธเจ าหรือไมนั้นเป นอีกเร ื่ องตางหาก สวนความดีนั้นถูกทุกคน เปรียบอยางนี้วา เราเรียนมหาวิทยาลัยหวังความสําเรจท ็ุกคน แตจะสําเร ็ จหรือไมสําเร ็ จก็ชางมัน เราเรียน ยอมไดความรูบางคนก็สําเร็จ บางคนก ็ไมสําเร็จ สําเร ็ จแล วบางคนอาจจะไมไดทํางานก ็ไดศาสนาก ็ อยาง ที่อธิบายใหฟงในเบื้ องตน คือยึดเอาศาสดาส ิ่ งท ี่ เราถือวาเป นของดีแลวเม ื่ อเรายึดเอาส ิ่ งนั้น แลวเราก ็มี อุตสาหะวิริยะเป นการชวยตัวไปในตัวถึงกวนอิมโพธิสัตวจะมาชวยหรือไมชวยเราชวยเราเองถาหากเรา ถือวาพระโพธิสัตวมาชวยเราทุกส ิ่ งทุกอยางแลวเม ื่ อบางคนสําเร็จ บางคนไมสําเร ็ จเราก ็จะไปโทษพระ โพธิสัตวไมยุติธรรม คนท ี่ไดผลสําเร ็ จก็นับถือพระโพธิสัตวสวนคนท ี่ไมสําเร ็ จก ็โทษพระโพธิสัตวไมดี เราอยาไปถือยางน ั้ นเลยเรายึดเอาพระโพธิสัตวเป นที่พึ่ง ทําดีอยางพระโพธิสัตวใหสําเร ็จไปเลยดีกวา ๒.ผูถาม เวลาเราหัดภาวนา ใจคอยสงบ อารมณคอยละเอียดลงๆ เม ื่อไรเราจะยกขันธหามาพิจารณา หรือ วาเร ื่ องน ั้ นมันจะเกิดข ึ้นเองโดยอัตโนมัติ ทานอาจารย มันจะเป นอยางไรปลอยใหมันเปนไปเต็ มท ี่ เสียกอน อยาเพ ิ่ งยกมาพิจารณาเลย มันจะ ละเอียดขนาดไหนก็ใหมันละเอียดไปกอน บางทีมันอาจจะยกข ึ้ นมาพิจารณาเองก ็ได บางที่มันไมยกขึ้น มาพิจารณาก ็ไดถามันไมยกข ึ้ นมาพิจารณาก ็ปลอยใหมันลงเต ็ มท ี่ เราคอยตามพิจารณาทีหลังวาจิตท ี่เปน อยางน ั้ นเพราะเรากําหนดพิจารณาอยางน ี้ การกําหนดอยางนี้มันจึงคอยลงแบบน ี้ เราตามกําหนดให เข าใจ เร ื่ องจิตอยูอยางน ั้นไปเรื่ อยๆ เสียกอน ตอไปมันเป นเองของมัน อยาพ ึ่งอยากได ความรูกอนไมดีใหมัน เปนไปกอนแล วจึงคอยร ตามหลูังคืออยาใหไปฉลาดกอนโงถาไปฉลาดกอนโงมันก ็เลยไมฉลาดสักที
ความโงมาเสยกี อน ความฉลาดมันจึงมาตามหลัง มันไปรูความโงมันจึงคอยฉลาดถาไปฉลาดกอนเลยไม รูจักโงรูจักโงนั้นแลคือความฉลาด ๒.ผูถาม ผมเคยไปปนังไปที่วัดมหายานและไดเส ี่ ยงเซียมซีเสร ็ จแล วไปที่วัดอีกแหงหน ึ่ งแล วไดเส ี่ ยง เซียมซีอีกใบเซียมซีทั้งสองวัดก็มีขอความเหมือนกัน ไปวัดแหงท ี่ สาม ก็ไดใบเซียมซีที่มีขอความ เหมือนกันอีก นี่เปนปรากฏการณคร ั้ งแรก หลายปตอมาผมไปปนังอีกและทําเชนน ั้ นอีกคราวน ี้ เส ี่ ยง เซียมซีอยูสองวัด ปรากฏวามีขอความอยางเดียวกัน เลยไดรับความประทับใจตั้ งแตนั้นมาความจริงเชนน ี้ มันอาจเปนไปได หรือไม ทานอาจารย มันเป นบางคร ั้ งบางคราวถาหากมันแมนอยางน ั้ นทุกส ิ่ งทุกอยางคนในโลกนี้ก็ไมลําบากไป อาศัยเซียมซีก็หมดเร ื่ องทุกอยาง ตองการโชคลาภอะไรกไปหาเซ ็ ียมซีถาหากเราไปเชื่ ออยางน ั้ นเราก ็ไม ตองเช ื่ อกรรมเช ื่ อผลของกรรม แล วก ็ไมตองทําอะไรอีกตอไป คือคอยรับแตใบเซียมซีเส ี่ ยงทายนั้น หรือ ทําก็ตองให เซียมซีชี้บอกจึงทํา เซียมซีเลยเปนผูนําเป นตัวกรรม เซยมซี ีก็มาจากคนเป นผูเขียน คนจะดี วิเศษกวาพระพุทธเจ าอยางไร พระพุทธเจ าสอนวา ตนทําดียอมไดดีทําช ั่ วยอมไดชั่วมิใชเซียมซีจะมาลิขิต ใหเป นไปตาม ๒.ผูถาม ทีแรกผมคิดวาการเช ื่ อถอเรื ื่ องเซียมซีอยางน ี้เป นเร ื่ องงมงายแตพอมาทีหลังมันปรากฏชัดก็ชัก จะเช ื่ อเสียแลว ทานอาจารย มันธรรมดา มันเป นบางคร ั้ งบางคราวก็เหมือนกับพวกอาจารยบอกเบอรนั่นแหละ พอถูกที หน ึ่ งก็ดัง ที่ไมถูกเลยไมเอามาพูดกัน พูดก็ทิ้งให กรรมบอกวาบุญไมมีถึงถูกก ็ไมไดคิดไปโนน ๒.ผูถาม ในมหาสติปฏฐานสูตร พระพุทธเจ าทานทรงพยากรณวา……..ถาปฏิบัติตามน ี้ แล วจะได มรรค ผลอยางเร ็ วเจดว ็ ัน อยางช าเจ ็ดปที่วาปฏิบัติตามน ี้ หมายความวาต องปฏิบัติอยูทุกนาทีหรือเปลาครับ หรือ ปฏิบัติอยางไรที่วาอยางเร ็ วเจ ็ ดวันอยางช าเจ ็ดป ทานอาจารย ใหคิดเบ ื้ องต นเพียงแคนี้ก็แล วกัน เห็น รูป เวทนาจิต ธรรม สักแตวาไมใชสัตวบุคคลเราเขา จับหลักอันน ี้ใหไดเสียกอน คําที่วา“ไมใชสัตวบุคคลตัวตนเราเขา สักแตวา”ลองดูซิเราทําอยางน ี้มันไม มีสัตวบุคคลตัวตนเราเขาคือวางเปลาเสียจากสาระแล วต ั้ งจิตไว อยางน ั้นเป นอารมณลองดูสักเจ ็ ดวัน แลว โลกอันนี้มันเป นอยางไรก็รูสึกดวยตนเองไม ตองไปเชื่ อคนอ ื่ นวาสติปฏฐาน ที่พระองคเทศนไวเป นของ จริงขนาดไหน
๒.ผูถาม ถาฟงเสียงสักแตวาไดยินแลวถาหากวาเราทําได อยางน ั้ นเราก็จําอะไรไมไดละซีครับ ทานอาจารย แนนอนในขณะนั้ นจําไมไดเพราะสติปฏฐานเปนโลกุตรธรรม ถาไมเป นอยางน ั้ นก ็ไมใชสติ ปฏฐาน เม ื่ อเห็น กาย - เวทนา - จิต - ธรรม สักแตวากาย - เวทนา - จิต - ธรรม ทั้งสมมติบัญญัติยังเหลือ แตสภาพธรรม เมอจ ื่ ิตออกจากน ั้ นมาแลวจึงจะมองเห ็ นสมมติบัญญัติชัดแจ งตามเป นจริงจําไดไมใชไม จําแตจําตามเป นจริงของมัน ไมหลงเหมือนเม ื่ อกอน การหัดภาวนาต องหัดใหจิตเปนธรรม พนจากสมมติ บัญญัติอยางน ี้ เสียกอน แลวจ ึงย อนมาพิจารณาสมมติบัญญัติให อยูกับโลกตอไป วันท ี่ ๑๑ธันวาคม ๒๕๑๙เวลากลางวัน แสดงธรรมเทศนาอบรมนักเรียนไทย ที่วัดพุทธรังษี นักเรียนไทยที่ มาเรียนอยูเมืองนอกจงอยาพากันลืมพระพุทธศาสนา เรียนวิชาอาชีพแตลืมแกนแทคือ พุทธศาสนาเสียใชไมได แท จริงวิชาทุกชนิดท ี่จะใชไดตองถือหลักพุทธศาสนายืนตัวกอน ถาหาไมแลว ใชไมไดถึงใชไดก็เลอะเหลว ตัวอยางท ี่ เห ็นไดงายต ั้ งต นแตการศึกษาเลาเรียนตองหมั่นขยันอดทนตอสู อุปสรรคตางๆ จึงจะสําเร ็จได เม ื่ อสําเร ็ จมาแล วจะประกอบอาชีพใดๆ ก็ตาม ตองต ั้งใจทําหน าท ี่ ของตน อดทนตอการงานน ั้ นๆ และซ ื่ อสัตยสุจริตไมคิดทรยศเห ็ นแกไดฝายเดียวไมเหลียวแลคนอ ื่ นบ าง ใหมี เมตตาปรานีแกคนอ ื่ นผูอื่น เหลานี้ลวนแตพระพุทธเจ าสอนไวทั้งนั้น ใหคิดเถิดคําสอนของพระองคเจือ ปนอยูในวิชาอาชีพทุกแขนง ซึ่งจะไมมีคําสอนของพุทธศาสนาเจือปนอยูดวยไมมีพุทธศาสนาเขามาสู เมืองไทยสองพันกวาปแลวเหตุนั้นไมวาจะพูดจะทําอะไรทั้ งหมดคําสอนของพุทธศาสนาจะปรากฏในที่ นั้นๆ อยูเสมอ ฉะน ั้ นจึงขอนักเรียนชาวไทยอยาลืมเสียโดยมากเรียนวิชาอาชีพไปเลยลืมหาวาไมมีคํา สอนของพระพุทธเจ าปนอยูดวยใชไมได ตอบปญหาธรรมภายหลังธรรมเทศนา ๒.ผูถาม ขอกราบเรียนใหทานอาจารยอธิบายเร ื่ องจิต กับวิญญาณ ทานอาจารย จิต คือผูคิดผูนึกน ั่ นน ี่อะไรตางๆ วิญญาณ คือผูรูสึกผูรูสึกนี้มีแตความรูสึกเฉยๆ ไมปรุง แตงอะไรเลยวิญญาณทานแสดงถึงวิญญาณในขันธหาคือวิญญาณในขันธหาสําหรับรับรูแล วสงไปให เวทนาเสวย สัญญาการจดจําไวสังขารใหปรุงแตงกับวิญญาณในปฏิสนธิให เกิดมากอนรูอะไรตออะไร ตางๆ เพราะวิญญาณในปฏิสนธิมาเกิดเบองต ื้ นไมรูอะไรเลยแมตัวมาเกิดก ็ไมรูเป นแตตัววิญญาณ ความรูมีอยูแตไมรูวาอะไรเปนอะไร
ถาจะอธิบายความก ็ จะต องต ั้ งสูตรใหมนี่เปนมติของอาตมานะเพ ื่ ออธิบายให เข าใจงายขึ้น ใจคือ ตัวกลางเหมือนกับภาษาบ านเราน ี่ แหละ พูดถึงใจต องพูดถึงตัวกลางท ั้งหมดใจจึงเปนกลางไมรูสึกนึกคิด อะไรทั้ งหมดความคิดนึกเป นจิต ความรูสึกเป นวิญญาณ ความปรุงแตงเป นสังขารความเสวยอารมณนั้น เป นเวทนาออกจากใจทั้ งนั้น ถาเราอยากรูใจที่ แท จริงแลว ตองกล ั้นลมหายใจสักพักหน่งึความรูสึกนึก คิดหายหมดแม แตความโลภ โกรธหลง หรือสรรพกิเลสท ั้งปวงหายหมดแตมันรูตัววาผูรูนั้นยังมีอยูนั่น คือใจแทนโม ปุพฺพํคมธมฺมาธรรมท ั้ งหลายมีเวทนา สัญญา สังขารและสรรพกิเลส ทั้งปวงมีนิวรณหา เป นตน ลวนเกิดจากใจออกจากความเป นกลางแล วจึงเปน เวทนา สัญญา สังขารจิตคือผูคิดนึกโดยทั่วไป แตเม ื่อไปคิดนกตามอารมณึ ที่เป นกิเลส เชน นิวรณหาก ็ เรียกวานิวรณ ๒.ผูถาม กอนท ี่ พระพุทธเจ าจะปรินิพพาน ทานยังมีความต องการท ี่ จะชวยให มนุษยในโลกนี้พนทุกขอยู หรือเปลาครับ ทานอาจารยกอนท ี่จะปรินิพพานสามเดือน พระองคทรงปลงอายุสังขารคือจะไมเท ี่ยวโปรดสัตวละ ( หมายความวาต ั้ งตอความตายอยางเดียว ) ผลที่สุดเม ื่ อทรงบรรทมอยูที่สวนของมัลลกษัตริยแหงฉวีเมือง กุสินารา มีพราหมณแกคนหน ึ่ งเข ามาหาพระอานนทพระอานนทหามเข าเฝ าพระองคทอดพระเนตรเห็น อุปนิสัยของหราหมณวาจะไดสําเร็จเปนพระอรหันตจึงทรงอนุญาตให เข าเฝาถามป ญหาพระองค พระองคทรงแกปญหาจบพราหมณไดสําเร็จเปนอรหันองคสุดท ายเร ื่ องมีอยางน ี้ถาจะวาพระองคคิด ชวยเหลือมนุษยอยูพระองคก็ยังเป นหวงอยูถาจะวาพระองคไมหวง เม ื่ อทรงพิจารณาเห ็ นอุปนิสัยผูที่จะ ไดสําเร็จเปนพระอรหันตถาพระองคไมโปรดแล วก ็หมดโอกาส ดวยพระมหากรุณาพระองคจึงโปรด เป นคร ั้ งสุดท ายแล วก ็ พอดีกับพระองคปรินิพพาน ๓.ผูถาม กระผมขอเรียนถามเกี่ยวกับเร ื่ องนิมิต เม ื่อปฏิบัติไปบางทีจะมีนิมิต พระพุทธเจ ามา พระอรหันต มาแตทานอาจารยบอกวาพอทานนิพพานแล วก ็ หมดนิวรณแลว นิมิตท ี่ เกิดกับบุคคลซ ึ่ งทํากรรมฐานนั้น คืออะไรครับ ทานอาจารย นิมิตท ี่ เกิดจากบุคคลท ี่ภาวนาไมใชพระพุทธเจ ามาจริงๆ เป นธรรมนิมิต ธรรมท ี่เป นเคร ื่ อง สอสอนแสดงผูใดปฏิบัติถึงภูมิธรรมตรงน ั้ นแลวธรรมจะต องมาสอน ธรรมมาแนะนําส ั่ งสอนแตไมเปน ทั่วไป เป นบางคนเทานั้น รอยคนพันคนจะเป นสักคนหนึ่งธรรมเปนของไม มีตนไมมีตัวแตเรามีตนมีตัว มีรูปรางเหตุนั้นจะให เข ากับตัวเราแสดงเปนภาพเปนตนเป นตัวคือแสดงเป นพระพุทธเจ ามาสอนเรา มัน เข ากับหลักท ี่ พระพุทธเจ าสอน ผูใดเหนธรรมผ ็ ูนั้นเห ็ นเราคือเห ็ นธรรมเข าใจถึงหลักธรรมแล วภาพน ั้ นก ็ ปรากฏ ถาจะเปรียบกับโทรทัศนก็วาคล ื่ นมันตรงกันไดสวนสัดกันก ็ปรากฏเห็ นภาพเทาน ั้ นเอง
๓.ผูถาม สวนผูทีนับถือพระเจาธรรมนิมิตก ็จะเป นพระเจ าใชไหมครับ ทานอาจารย ใจเป นสมาธิเหมือนกัน พอสมาธเกิ ิดเขาเช ื่ อพระเจ าก ็ เห ็ นภาพพระเจ าปรากฏ แทที่จริงไมใช พระเจาเป นภาพนิมิตตางหาก ๓.ผูถาม ถาเจตนาเปนไปตามโมหะเป นมิจฉาทิฏฐิคิดวาทําแล วเป นบุญ เชน ไปฆาสัตวเพ ื่ อถวายพระเจา คิดวาเป นบุญ เขาคิดทําและเสียสละเพ่อพระเจื า เขาทําแล วมีความปลาบปลื้มใจวาเขาไดทําบุญ แบบน ี้ จะ เป นกุศลหรือเปลาครับ ทานอาจารย กุศลสวนน ี้ในทางพุทธศาสนาทานวามันเป นมิจฉาทิฏฐิได อานิสงสเหมือนกันแตวากุศล สวนนี้มันยังไมไดเป นกุศลอันบริสุทธ ิ์ กุศลที่ทําใหเขาไดรับความปลื้มปตินิดหน ึ่ งน ั้ นนะแตมันไป เบียดเบียนคนอ ื่ นเขากรรมท ี่ไปเบียดเบียนคนอ ื่ นมันยังติดตามอยูกรรมดีและช ั่ วเราทําแล วต องรับผลของ กรรมน ั้ นด วยตนเองจะสละใหพระเจาไมไดนั้นเป นแตความเช ื่ อเฉยๆ พระเจารับหรือไมรับเราก ็ไมเห็น ๓.ผูถาม วิบากกรรมเป นส ิ่ งท ี่ ตามมาสนองแล วทําบุญเพ ื่ อลางกรรมไดไหมครับ ทานอาจารย ไมได อยางพระองคุลีมาลกรรมที่ทานทําไมมีเจตนาแตทําเพราะคําแนะนําของอาจารยเมื่อ ไดสําเร็จเปนพระอรหันตแล วกรรมมันตามทันอยูไปบิณฑบาตรเขายังปาก อนหินอะไรตางๆ ไปถูก ศีรษะทานเลย ๓.ผูถาม ขอเรียนถามถึงเร ื่ องกฎของกรรม กรรมที่ตนกระทําไวสมมุติวาทํากรรมดีเม ื่อไรผลของกรรมดี จะมาสนอง ทานอาจารย กรรมบันดาลเองโดยที่เราไมตั้งใจ มันเปนไปของมันเองของพวกน ี้ แตงกันไมไดถาเราแตง ไดก็สบายนะซีเชน เราเกิดมาน ี้ จะต ั้งใจเกิดมาเป นผูหญิงก ็ไมได จะต ั้งใจเกิดมาเป นชายก ็ไมไดจะเป นคน ดําคนขาวผิวเหลืองผิวแดงไมไดทั้งนั้น แตกรรมบันดาลมาให เอง พระพุทธเจาเทศนาไวกรรมเป นผู จําแนกแจกให เกิดเรามาเสวยกรรมของเรา ฉะน ั้นเราเป นอันใดเราพอใจยินดีของเราดีกวา เราเป นผูชายก ็ ยินดีความเป นผูชายเป นผูหญิงก็ยินดีความเป นผูหญิงอยาไปเปลี่ ยนเพศมันเลยไปแตงเพศใหมเปลือง เงินเปลา ๓.ผูถาม ผมเคยอานหนังสือเรื่องหนึ่งเก ี่ ยวกับกรรม บอกวากรรมน ี้ เหมือนเมล ็ ดจะต องข ึ้ นกับ ดิน น้ําลม ไฟ ทํากรรมอะไรไวมันก็ตองข ึ้ นกับส ิ่ งแวดล อมของมันมาพรอม
ทานอาจารย ก็นั่นแหละมันมาใหผลไมสม ่ํ าเสมอกัน เราแตงเอาไมได แล วแตเหตุผลกรรมดีก็ให ผลดี กรรมช ั่ วก ็ให ผลชั่วแล วก็ขึ้นอยูกับเจตนาอีกด วยถาเจตนาที่ทํากรรมน ั้ นแรงผลก็ชั่วร ายกาจถาเจตนาไม แรงทํากรรมน ั้ นผลก ็ไมรายกาจ ๓.ผูถาม อีกเรื่องหนึ่งของพระอาจารยมั่น มีพี่นองอยูสองคนท ี่ สร างเจดียไวยังไมเสร ็ จแล วก ็ เกิดส ิ้นไป ทานอาจารยเราไมคิดถึงกรรมท ี่ เราทําไว และลวงมาแลวเอาปจจุบัน ทําใหใจบริสุทธิ์ในขณะนี้ไมคิดถึง เร ื่ องอดีตเรื่องอนาคต ถาไปคิดแล วกลุมใจรอนใจ มันย ิ่ งสรางกรรมไมดีตอไปอีกเม ื่อเราลงปจจุบัน เด ี๋ ยวน ี้ แล วไมมีอะไรเลยอยางพระองคุลีมาลที่วาทานทํากรรมไมดีไว มาก ฟงเทศนของพระพุทธเจ าลง ปจจุบัน ทานไมไดคิดถึงข างหน าถึงข างหลัง มันจึงลุลวงไปได แตวาเม ื่ อขันธวิบากอันนี้ยังเหลืออยูตราบ ใดมันก็ยังต องเสวยกรรม เพราะขันธวิบากอันน ี้เป นผลยังมีอยูวิบากคือผลของกรรมเกา ๓.ผูถาม สมมุติวาเราตกอยูในสถานการณที่ไมดีหรือวามีเหตุรายเกิดขึ้น เราควรจะนึกวาน ี่เป นกรรมของ เรา เชน สมมุติวาเกิดมาเป นคนจน เราคดวิ าเป นกรรมของเราแล วไมขวนขวายท ี่จะประกอบอาชีพ อยางน ี้ เราไมควรจะคิด หรือวาคิดอยางน ั้ นถูกแล วครับ ทานอาจารยถูกเราทุกขยากลําบากกาย ไมมีอาชีพ เรามาคิดถึงเร ื่ องผลกรรม เราไดทําความช ั่วไว แตกอน กระมังจึงไดเสวยทุกขอยางน ี้ แล วเราก ็ เว นเสียจากกรรมชั่วอยาทําตอไป ประกอบอาชีพทําแตทางดีหรือ เม ื่อไดรับความทุกขกลุมใจแลวก็บอกวาน ี่ แหละเราเคยทําไว เชนใดแล วเราก ็ไดรับอยางน ี้ แหละเราก ็ พอใจยินดีกับกรรมของเราแล วเราจะไมทํากรรมช ั่ วน ั้ นข ึ้ นอีกตอไป กรรมที่มันมีอยูแล วแตกอนก็คอยๆ หมดไป ๆ ไมใหกรรมใหมเกิดข ึ้ นมาอีก นี่จึงจะถูกถูกหนทางท ี่ พระพุทธเจ าทานสอน อยาไดสร างกรรม เวรตอไปอีกจะเกิดภพเกิดชาติไมมีที่สิ้นสุดลงได ๓.ผูถาม แสดงวาไมควรท ี่จะขวนขวายให เราทําช ั่ วอีกควรจะขวนขวายในการทําความดีนั้นตอไป ทานอาจารย ใชขวนขวายในความดีขวนขวายดีพระพุทธเจ าไมหาม แตพึงเข าใจวาความดีนั้นเป นบอเกิด ของการรวยรวยท ั้ งบุญ ทั้งทรัพย ๓.ผูถาม การขวนขวายในทางโลกเพื่อใหมีสมบัติมากขึ้น เล ี้ ยงชีพในชาตินี้ก็ควรจะทําใชไหมครับ ทานอาจารย การอาชีพของฆราวาสทานไมหาม ทานห ามแตอาชีพในทางเบียดเบียนผูอื่น นําทุกขให เกิดข ึ้ นแกตนเองแลผูอื่น ๓.ผูถาม ถาขวนขวายแล วไมไดก็ใหคิดวาผลวิบากมันยังก ั้ นอยูใหปลอยวางเสียใชไหมครับ
ทานอาจารย ใหขวนขวายไปจนหมดกําลังคนขยันยอมไมอดตายอยาปลอยวางให ผลวิบากของเกา เรา ไมทราบไดวามันมีหรือไมเม ื่ อขวนขวายจนสุดความสามารถแล วก็ยังไมมีจึงคิดวาบางทีจะเป นเพราะ กรรมเกากระมัง เพ ื่อปลอบใจเราตางหาก ๓.ผูถาม ที่เราเกิดมาเปนมนุษยนี้มีโอกาสดีกวาพวกสัตวอื่นๆ เพราะสามารถท ี่ จะบําเพ ็ ญบารมีใหได บรรลุถึงนิพพานในที่สุดคนท ี่ เกิดมาแล วแทนท ี่ จะทําดีแตทําช่วตั อไป นี่อาจจะเป นเพราะกรรมมาตัดเสีย จะเปนไดไหมครับ ทานอาจารย จะเรียกวาเพราะกรรมมาตัดรอนเสียก ็ไดเพราะเราไมสามารถจะตัดกรรมน ั้นได แตมิใช กรรมเกานะกรรมปจจุบันน ี้ เองคนเราเม ื่ อสูกับกิเลสไมได ( คือใจชั่ว ) แล วทํากรรมช ั่วลงไป มักจะทิ้ง ให กรรมช ั่ วพาทําอยางนั้น และเพราะมีกรรมช ั่ วน ั้ นแหละเราจึงต องทํากรรมดีให มากเพ ื่ อเอาชนะกรรมชั่ว ๓.ผูถาม ในชาดกมีอยูตอนหน ึ่ งที่วาพระอินทรแปลงเป นอสูรแกและไปไดนางสุชาดาเปนภรรยาขอ เรียนถามวาเทวดาไมควรจะมีแกเพราะเขาวา เทวดาน ี่ เวลาตายก ็หายไป เวลาเกิดก ็ เกิดวับข ึ้ นมาอยางน ี้ แสดงวาเร ื่ องนี้บันทึกไวไมถูกต องใชหรือไมครับ ทานอาจารย ไมผิดถาผิดตัวพระอินทรเองซ ึ่งเปนใหญกวาเทวดาช ั้ นดาวดึงสก็ผิดคือพระอินทรยังมีตน ปาริชาติมีชางเอราวัณ มีสระโบกขรณีมีสวนดอกไมมีรถพระที่นั่งเม ื่ อคราวรบกับอสูร มาตะลีเทวบตรุ ขับรถหนีขาศึกไปทางทิศปจฉิม เสียงรถบดอากาศดังสน ั่ นหว ั่นไหวทําใหลูกพระยาครุฑตกใจแทบจะ กระโดดหนีจากรัง เหลานี้ลวนแตสัตวเดรัจฉาน เกิดแกเจ็บ ตายดวยกันท ั้ งนั้น ในตํานานบอกวา พระอินทรลักเอานางสชาดาหนุีไป อสูรโกรธเลยเกิดสงครามกัน แทที่จริง ไมไดลักลูกสาวลูกสาวเราไปชอบอสูรแกเขาไดกันแล วเขาจะพาไปเลี้ ยงท ี่ไหนก็ตามใจเขาเพราะเรา ไมไดมีขอแม แตทีแรกวา ได แล วจะอยูกับพอตาแมยายอยางน ั้ นอยางน ี้ พระอินทรไดไปแล วก ็ปรากฏวา เล ี้ ยงดูเป นอยางดีไปไหนก็เอาไปด วยเร ื่ องนิยายมันอยางน ี้ แหละศาสนาใด ๆ ก็มีเหมือนกัน มีไวสําหรับ ผูมีปญญาคิดคุณมีปญญาก็คิดไป เกิดความรูในทางไหนก็สุดแตคุณจะพิจารณาเอา ๓.ผูถาม คนท ี่ จะพูดวาพระองคนั้นองคนี้เป นพระอรหันตคนน ั้ นต องเป นพระอรหันตกอนหรือจึงจะพูด ถูก ทานอาจารยคนทุกวันนี้ตื่นพระอรหันตนัก ตนก ็ไมรูธรรมท ี่จะเป นพระอรหันตแตไปตื่ นวาองคนั้นองค นี้เป นพระอรหันตเสียแลวอยาพากันหลงต ื่ นเต นเลยเด ี๋ ยวพระอรหันตเหลาน ั้ นจะอยูไมติดเราไมรูจัก ขอให พากันเพียงแตวา ทานปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ นาเคารพเล ื่อมใสเทาน ั้ นก ็ พอ
๓.ผูถาม ทุกวันน ี้ในประเทศไทยพากันเช ื่ อวาอาจารยบางองค ถึงข ั้นโน นข ั้ นน ี้ การท ี่เป นเชนน ี้เป นผลดี และผลเสียอยางไรบ าง ทานอาจารย มีผลดีตอนต นคนที่ยังไมทันเล ื่อมใสจะดึงดูดให เล ื่อมใสศรัทธาแตไมคอยดีตอนปลายผูมี ปญญาฉลาดเฉียบแหลมจะเหยียดหยามดูถูกเขาหาวาโงงมงายอาตมาจึงอธิบายในหนังสือท ี่ อาตมาเขียน วาถาใครถอวื าตนเป นพระอรหันตคนน ั้ นยังไมทันเป นพระอรหันต ๒.ผูถาม พระอริยบุคคลสองประเภทเบื้ องตน ยังไมถึงที่สุดทุกขตายแล วไปเกิดใหมยังเป นอริยบุคคลอยู หรือ ทานอาจารย พระอริยบุคคลสองประเภทเบื้ องต นตายแล วไปเกิดใหมไมไดเป นอริยบุคคลเปนปุถุชน เพราะวาคนในโลกนี้เปนปุถุชน ไมมีพอพระอริยเจาแมพระอริยเจ าก ็ไมมีแมพระโสดา พระสกิทาคา พระอนาคาก ็ไมมีมีแตแมปุถุชน เหตุนั้นจึงมาเกิดเปนปุถุชน ๒.ผูถาม ถาหากเปนพระโสดาบันยังมีสามีภรรยาแลลูกได อยูหรือขอไดโปรดอธิบาย ทานอาจารย เร ื่ องน ี้ อธิบายยากเพราะทานพูดไว อยางน ั้ นแล ววาพระโสดาบันละสังโยชน๓ เบ ื้ องต นได เด ็ ดขาดแลวแตนางวิสาขาไดสําเร ็จโสดาบันแตอายุเจ ็ ดขวบ เม ื่ ออายุได๑๖ ปแตงงานกับลูกชายมิคคาร เศรษฐีมันอยางไรอยู เป นอันวาพระโสดาบัน เป นผูตกถึงกระแสพระนิพพาน ยึดเอาพระนิพพานเป นอารมณก็แลว กัน คือทานยังไมถึงนิพพานแลทานยึดเอาพระไตรลักษณญาณเป นอารมณพระไตรลักษณญาณน ี้เปนเปน สายยึดเหน ี่ ยวของผูจะไปนิพพาน คนใดเห็ นชัดเจนแจมแจ งในพระไตรลักษณแล วยึดม ั่ นอยูในนั้ นแลว ไมหลงลืม นั่นแลเรียกวาตกกระแสพระนิพพาน ถาพูดถึงเร ื่ องการละสังโยชนสามเบ ื้ องตน พระสกาทามีก็ทําได ราคะโทสะโมหะ บางเบา เทานั้น แตก็ไมทราบวาเบาบางขนาดไหน ราคะโทสะโมหะก็เป นที่ตั้งของสักกายทิฏฐิมติของอาตมา ละสักกายทิฏฐิคือเห็นพระไตรลักษณชัดแจ งแล วยึดเอาพระไตรลักษณเป นอารมณแนวแนเม ื่ อเห ็ นพระ ไตรลักษณวิจิกิจฉาความสงสัยในพระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆก็ไมมีแตธรรมข ั้ นละเอยดตี องมีแน แตพระโสดาบันน ั้ นพิจารณาไมถึง สีลพัตปรามาสก็ไมมีคือความเชื่อกรรมเชื่อผลของกรรมแนวแนไม สงสัยไมยึดถือเคร ื่ องลางของขลัง ตลอดถึงโชคลางแลผีเจ าเข าทรงตางๆ เอาเพียงแคนี้ก็เห ็ นจะพอสมควร ๓.ผูถาม ขอโอกาสครับ ที่วาพระอริยบุคคลที่ตัดสังโยชนไดสามประการจะมาเกิดอีกเจ ็ ดชาติเม ื่ อทานมา เกิดอีกตอๆ ไปจนถึงชาติสุดท ายจะหมดได เอง เชนน ี้จะไมเป นพระพุทธเจ าหรือครับ
ทานอาจารย คือวา ทานอธบายในแง ิ หน ึ่ งตางหากอานิสงสของการเจริญธรรมะอยางเราเจริญกายคตาสติ ในชาตินี้แหละคลองที่สุดเราตายแล วไปเกิดใหมถามใครมาพ ีูดเร ื่ องกายคตาสติจับได เร ็ วพิจารณาไดงาย อยางน ี้เป นตน ถาจะอธิบายใหชัด พระอริยบุคคลตายแล วเกิดใหมก็่เป นบุคคลธรรมดาแตเม ื่อไดฟงธรรม ที่ตรงกับจริตนิสัยท ี่ ตนอบรมมายอมรูได เร็ว มันตอกันได เพราะมันเป นสายเดยวกี ัน โบราณทานยังสอน อาตมายังจําไมลืมการพิจารณากายคตาอาการสามสบสองตายไปแล ิ วไปเกิดชาติหน าได ตาทิพยหูทิพยฟง แล วมันชอบอกชอบใจอยากภาวนาเหลือเกิน การท ี่จะไดเป นพระพุทธเจ าต องสร างบารมีสิบทัศให บริบูรณจึงจะเปนไดมิใชวาตายแล วเกิด บารมีนั้นก ็ แกกล าเลยเป นพระพุทธเจ าไปเลย ๓.ผูถาม ขอโอกาสครับ ในสมัยพระพุทธเจ าการสําเร ็ จอริยผลข ั้ นสูงสุดเป นพระอรหันตทันทีถ าหาก ไมได เกิดในสมัยของพระพุทธเจ าจะสําเร ็ จอริยผลข ั้ นสูงสุดหรือไมหรือทานจะต องมาเกิดในสมัยของ พระพุทธเจ าอีกเพ ื่อให แนะนําอีกหนอยหน ึ่ งจึงจะสําเร็จ ทานอาจารย มันต องอยางนั้น พระอริยบุคคลท ั้ งหลายท ี่ไมเกิดในที่ สูญกัปปตองมาเกิดในสมัยพุทธกาล หรือพุทธกัปปพระอริยเจ าท ั้งหลายไมไปเกิดในที่วางพระพุทธเจา สูญกัปปคือวางไมมีพระพุทธเจา ภัทรกัปปคือกัปปที่กําลังเจริญมีพระพุทธเจาอริยบุคคลท ั้ งหลายต องมาเกิดในพุทธกัปปพระปจเจก พุทธเจ าเกิดในระหวาง พุทธันดรคือระหวางพุทธกับพุทธเกิด ๓.ผูถาม ผูที่ไมไดเป นพระอริยบุคคลแตมีบารมีสูงจะเปนพระปจเจกพุทธะหรือไมครับ ทานอาจารย พระปจเจกพุทธะนั่น ทานบําเพ ็ ญบารมีนอยกวาพระพุทธเจา พระปจเจกตามบาลีแปลวารู เฉพาะตน ที่กลาวกันวาพระปจเจกไมสอนกันน ั้นไมจริง พระปจเจกไมสอนกันจะไปรูกันได อยางไรอยู กันเป นต ั้ งหมูตั้งพันองคหรือห าร อยหกร อยองคพระปจเจกไมบัญญัติธรรมวินัยนิพพานแล วธรรมวินัยก ็ สูญ ตัวหนังสือกับความจริงมันตางกัน แม แตพระพุทธเจ าบางองคเวลานิพพานแล วเลิกหมดไมบัญญัติ สิกขาบทวินัยอยางพระศรีอารยไมมีบัญญัติพระธรรมวินัยดวยพระองคทรงเห ็ นวาวิสัยของสตวั ที่จะ บรรลุมรรคผลไมมีอีกแลว ๓.ผูถาม อริยบุคคลน ี้ไมจําเป นต องมาเกิดในประเทศที่มีพุทธศาสนาไดใชหรือไมครับ ทานอาจารย มันบันดาลเองใหได มาเกิดในปฏิรูประเทศเพราะวาสนาทานไดสรางไว แตบางองคทานก ็ ไปเกิดในประเทศที่ไมมีพุทธศาสนาเชน พระปุณณะและพระอิสีคิรีเป นตน แตแล วพระพุทธเจ าก ็ตามไป โปรดเอาจนไดสวนพระปุณณะเถระนั้นไปคาขายจากปจจันตประเทศไปพบพระพุทธเจ าเข าเล ื่อมใสขอ บวช
๓.ผูถาม ในสมัยพระพุทธองคทานทรงเร ิ่มประกาศพระพุทธศาสนา พระปญจวัคคีจะเป นพระอริยบุคคล มากอนบ างหรือเปลาครับ หรือเป นผูที่สําเร ็จไดงายๆ ทานอาจารย ทานเหลาน ั้ นที่สําเร ็จไดงายๆ ลวนแตไดบําเพ ็ ญมาแล วท ั้ งนั้น ปญจวัคคีก็ไดบําเพ ็ ญมาแลว เป นฤาษีทั้งน ั้ นแหละเร ื่ องมานพสิบหกคนก ็เป นผูไดบําเพ ็ ญมาแล วท ั้ งนั้น แตมาเกิดใหมก็หมดสภาพเปน อริยบุคคลไป แตนิสัยเดิมยังมีอยู เวลาค่ํา แสดงธรรมเทศนา ณ พุทธสมาคมชาวจีน ซิดนีย ขอแสดงความดีใจในการที่ได มาเย ี่ ยมชาวออสเตรเลีย มีชาวพุทธมารวมสามัคคีคอยฟงอบรมวันน ี้ เป นคร ั้ งท ี่ สอง เม ื่อไดยินเพียงช ื่ อชาวพุทธออสเตรเลียก็รูสึกเยือกเย ็นภายในใจเพราะคําวาชาวพุทธ หมายถึงความเย ็นใจเหตุนั้นจึงอดปลื้มปติไมไดวันน ี้ จะขอพูดถึงเรื่องความเยือกเย ็นใจความไมเป นเวร เป นภัยความสันติสุขของพระพุทธศาสนาตอไป คําวา พุทธศาสนา หมายถึงความสงบ คือความสันติ ทุกๆ วิถีทางถึงแม ศาสนาพุทธจะมีลัทธินิกายแตกตางไปมากมาย เชนหินยาน มหายาน จุดสําคัญก ็ อยูที่ ความสันติดวยกันท ั้ งนั้น เว นเสียแตวาอุดมการณของศาสดาจารยนั้นๆ จะสอนไปในวิธีใดแนวใดแตก็ ไมหนีจากหลักสันติธรรม คือสันติสุขเหตุนั้นพุทธศาสนาจึงเข ากับความประสงคของชาวโลกแต ชาวโลกไมเข าใจถึงหลักของพุทธศาสนาจึงมีความคิดแปลกๆ แตกตางกันไปตามวิสัยอุดมคติของตน หรือตามศาสดาจารยนั้นๆ ซึ่งมีอุดมการณไมเหมือนกัน แตถึงอยางไรขอให เข าใจวา พุทธศาสนาคือ ความสันติทางเดียวเทานั้น พระพุทธเจ าทานทราบดีถึงเร ื่ องมนุษยชาวโลกเกิดขึ้นมาคือตัวพระองคเองก ็เปนมนุษยชาวโลกกับ เขาคนหนึ่งเหมือนกัน พอเกิดข ึ้ นมาแล วจะต องมีพร อมท ั้งกายและใจคือรูปกับนาม กายกับใจนี่ แหละ ที่มาเป นตนของคนเราคนเราจะดีหรือจะช ั่ วก ็ อยูตรงท ี่ กายกับใจของเราจะเจริญก าวหน าหรือถอยหลังก ็ อยูที่กายกับใจเหตุนั้นพระพุทธเจ าจึงสอนให เราเขาใจเฉพาะต ัวของเราเสียกอน คือเราคนหน ึ่ งมีกายกับ ใจ ทั้งกายและใจที่ อยูรวมกันน ี่ แหละ สําคัญที่สุดก็คือใจใจเป นคนส ั่ งงาน คล ายๆ กับวาใจเปนนาย รูปรางคือตัวกายของเราเปนคนใช เหตุนั้นใจจึงสําคัญย ิ่ งกวากายในหลักพุทธศาสนาของเรา วามีการตาย แล วมีการเกิด ที่มีการเกิดได แกใจที่ยังไมทันตายเหตุนั้นใจยังไมทันตายตราบใดกายยอมไมเป นของ
สําคัญ กายน ั้นหาใหมได เหมือนกันกับเราอาศัยบ าน ไฟไหม หรือบ านพังเราไปขออาศัยหรือไปสรางใหม ได เม ื่ อกายกับใจยังประกอบสัมพันธกันอยูก็เหมือนกับคนเราอยูพักอาศัยที่บาน ถาบ านเราผุพัง เราก ็ อยูไมไดไมสบายถาบ านเราอยูดีมีความสะอาดเรากอย ็ ูสบาย ฉันใดกายกับใจอยูรวมกันก็ฉันนั้น เหมือนกัน จึงจําเป นจะต องทนุบํารุงท ั้งกายและใจใหมีสุขภาพดีจึงจะไดรับความสุขในปจจุบัน แตอยา ลืม กายกับใจอยูรวมกันประกอบภาระกิจท ั้ งดีและช ั่ วผิดและถูกรวมกัน ดังอธิบายใหฟงแล วข างต นวาใจ เป นคนส ั่ งกายกายเป นคนกระทําผิดหรือถูกรับภาระรวมกันเม ื่ อยังอยูรวมกัน หากวาเราทําดีนํา ผลประโยชนคือความสุขมาให เชน เราประกอบอาชีพสุจริต ไมอิจฉาและเบียดเบียนซ ึ่ งกันและกันก ็ อยู ดวยกันด วยความผาสุขสบาย หากวาประกอบภาระกิจอาชีพประจําชีวิตของตน เปนไปเพื่ อความ เดือดร อนท ั้ งแกตนและคนอื่น ก็รอนท ั้งกายและใจเหตุนั้นจึงอยาพากันลืมท ี่ กายกับใจอยูดวยกัน ตองมี ภาระรับชวงด วยกันอยางน ี้ แตเป นที่นาเสียใจในเมอร ื่ วมกันทําจิตท ั้ งดีและช ั่ วพร อมกันรับความสุขและ ทุกขในขณะที่ อยูรวมกัน ในตอนสุดท ายหากวาแตกดับ กายไมยอมรับรูใจเป นคนรับภาระคนเดียว ทั้งหมดดีและชั่วถาดีก็ไดรับประโยชนดีกําไรหนอยแตถาหากช ั่ วก ็ไดรับความเดือดร อนเป นทุกขแย หนอยใจเป นคนรับภาระแยกวากายเมื่อเรามาเขาใจรูเหตุผลความเป นจริงโดยประการอยางน ี้ แลวจงอยา พากันหลงระเริงลืมตัวมัวเมาบํารุงแตสุขภาพทางกายฝายเดียวจงให พากันระลึกถึงเร ื่ องสุขภาพทางใจ บางกายเป นของแตกสลายดับสูญไดสวนใจผูเป นเจ าของยังจะต องไดรับผลตอไปดังอธิบายแลว กายกับใจในขณะที่รวมสัมพันธ เก ี่ ยวข องกัน ประกอบภาระกิจน ั้ นๆ ทั้งดีและช ั่วเปรียบเหมือนกัน กับลูกไมผลไมตางๆ เม ื่ อมีลูกติดอยูกับตน จะต องบํารุงผลอันน ั้นใหเจริญงอกงามข ึ้นโดยลําดับ จนกระท ั่ งแกจนกระท ั่ งหลุดรวงลงมาจากตน เม ื่ อหลุดรวงลงมาจากต นแลวเน ื้ อก ็ จะต องสลายลงหมดยัง เหลือแตเม็ดกายกับใจเมื่ อรวมกันทําภาระกิจก ็ เหมือนๆ กัน แตในขณะที่กายแตกดับ ความดีและความชั่ว สารพัดอยางท ี่รวมกันทําน ั้นจะไปรวมประมวลอยูในใจแหงเดียวคือเม็ดเม ็ ดน ั้ นแหละถ าเป นพันธุดีก็จะ ไปเกิดในที่ดีถาเป นพันธุไมดีเกิดใหมอีกก ็ไมดีเม ื่ อเม ็ดไปถูกน ้ํ าถูกดินเข าอีกก็จะงอกงามขึ้นมาเป นของดี ตอไป ถาเป นพันธุไมดีก็จะแยหนอยจิตใจของคนเราก็ เชนเดียวกัน ถาเราทําดีก็จะได เกิดในที่ดีมีความสุข ความดีจะปรากฏขึ้นในภายหลังถาทําช่วความชั ั่วจะปรากฏให เดือดร อนเป นทุกขฉันน ั้ นเหมือนกัน รางกายท ี่ เราทนุถนอมบํารุงบําเรอด วยประการตางๆ เราเข าใจวาเปนไปด วยความเจริญงอกงาม แท ที่จริงมิใชเปนไปเพื่ อความเจริญ เปนไปเพื่ อความเสอม ื่ ใหสังเกตดูคนเราอยูในครรภของมารดาแกแลว จึงคอยคลอด หมายความวามันเส ื่ อมจากสภาพเดิมมาแกจึงคอยคลอดเม ื่ อคลอดมาแล วก ็ แกขึ้นโดยลําดับ เราเรียกวาหนุมวาสาววามันเจริญ แทที่จริงมันแกจนเลยปฐมวัย มัชฌิมวัยเราถงจะรึ ูตัววาเข าถึงข ั้ นหกสิบ เจ ็ ดสิบปแล วเป นคนแกแทที่จริงเราบํารุงทนุถนอมมานั้น แทนที่มันจะเจริญงอกงาม มันไมใชเจริญงอก งาม คือมันแกชํารุดทรุดโทรมโดยลําดับ สวนใจเราบํารุงใหเจริญงอกงามได เราจะเห ็นได เม ื่ อเกิดมาครั้ง แรกแม แตบิดามารดาก ็ไมรูจัก ภาษาก ็ไมรูจักพูด พอเติบโตขึ้นมาเราฝกฝนอบรมรูจักบิดามารดาและญาติ
ตลอดถึงรูจักดีรูจักชั่วรูจักหยาบ รูจักละเอียด ตลอดถึงมีวิชาความรูความสามารถในแขนงวิชาตางๆ สมัย นี้เขาพัฒนาวิชากันอยางสงสู ุดกวาสมัยใดอยางวิชาท ี่ เขาทําจรวด สร างจรวดข ึ้นไปเหยียบโลกพระจันทร ไมเคยมีในประวัติศาสตรของโลกอันน ี้ เพราะเหตุดานวัตถุเจริญพัฒนา เขาบํารุงด านวัตถุเจริญไดดวย ประการอยางน ี้ แตอันน ั้ นมันเปนไปเพื่อโลกไมใชเร ื่ องธรรม เร ื่องโลกมันจะกลับมาเป นเร ื่ องเดือดร อน อีกตอไป เขาสรางจรวดไมใชเพ ื่ อสันติสุขถายเดียวแตมันจะเป นภัยภายหลัง ทําให เกิดสงครามโลกขึ้นได เหตุนั้นจึงเหมาะแล วทุกประการที่ชาวเรามาเป นสมาชิกรวมกัน เรียกวาเป นพุทธสมาคมต องการจะ พัฒนาจิตใจของตนให เข าถงสึ ันติสุขเพ ื่อใหถึงหลักธรรมคําสอนของพระพุทธเจา เราไมไดเป นภัยเรา ฝกฝนอบรมจิตใจของเราให เข าถึงความสงบสุขไมไดเปนภ ัยแกโลกแกบาน แกเมือง หรือเป นภัยแกใคร ทั้งหมดอันนี้จึงเหมาะสมแล วทุกประการ เหตุนั้นสมาชิกพุทธสมาคมทุกๆ คนจงพากันสนใจฝกฝน อบรมจิตใจของตนให เข าถงความสงบสึุขดวยธรรมปฏิบัติคือเห ็นโลกเปนของไมเท ี่ ยงโลกนํามาซึ่ง ความเดือดร อนเป นทุกขธรรมเทาน ั้ นท ี่ จะนํามาซ ึ่ งความสันติ ดังท ี่ อธิบายมาแล วเร ื่ อง สุขภาพทางกายเราบํารุงมามากแลวแตสุขภาพทางใจคือความสงบของใจ ไมมีการพักผอน เม ื่อไมมีการพักผอนสุขภาพทางใจก็ไมดีทําใหจิตใจหงุดหงิดวุนวายเดือดร อน เพราะฉะน ั้ นเราควรพากันท ี่จะหาโอกาสหาเวลารักษาสุขภาพของใจคือใหทําความสงบใหไดไมมากก ็ เล ็ กๆ นอยๆ ไดชั่วครูหน ึ่ งขณะหน ึ่ งก ็ เอา เราจึงจะรูสึกคุณคาของพุทธศาสนาวาการทําความสงบอบรมใจ ตามคําสอนของพระพุทธเจ าน ั้นเป นทางนํามาไดโดยสันติอยางแท จริงอยาไปเขาใจวาเรามีอาชีพ เปน ฆราวาสภาระมากไมสามารถท ี่ จะทําความสงบได ความเข าใจอันนั้นผิดไป พระพุทธศาสนาสอนให คนผู มีความเดือดรอนน ั่ นแหละเป นทุกขนั่นแหละใหไดรับความสุขถาหากคนสุขสบายหมดแลว พระพุทธเจ าก ็ไมไดสอน เราร อนกระวนกระวายเราจึงคอยอาบน้ํา เรากระหายหิวเราจึงคอยรับประทาน อาหารถาหากเราจะไปบนแตวาหิวแตวากระหายแตวาร อน แตเราไมอาบน้ํา เราไมรับประทานอาหาร เราไมดื่มน้ําก็ไมมีหนทางท ี่ จะระงับความกระวนกระวายน ั้นได เวลาท ี่ เหลืออยูนี้สําหรับผูที่มีความข องใจปญหาตางๆ ซักถามได การบรรยายก ็ ขอจบเพียงแคนี้ ทานอาจารย พาน ั่ งภาวนาพรอมท ั้ งอบรมธรรมนํากอน เราเป นชาวพุทธคือนับถือพุทธศาสนาศาสนาท ี่ จะเกิดมีขึ้นมาเกิดจากพระทัยของพระพุทธเจ าท ี่ ทานรวมเป นหน ึ่ งเสียกอน ธรรมท ั้ งหลายมันเกิดจากใจเป นอันหนึ่งคือ มันมารวมลงท ี่ เดียวเสียกอน หาก จะมีปญหาถามวารวมในที่ เดียวจะมีความรูอะไรขอใหคิดอยางนี้ก็แล วกัน สิ่งตางๆ ทั้งปวงถาหาก กระจายอยูเราจะไมรูถามารวมอยูในที่ เดียวเราจะรูอะไรเปนอะไร เหตุนั้นเม ื่อเราสละปลอยวางทุกส ิ่งให เหลือแตจิตน ิ่ งอยูอันเดียวแลว ทุกส ิ่ งทุกอยางจะปรากฏในที่นั้น เพราะมันเกิดจากใจอันเดียวเม ื่ อเราทําใจ เข าถึงความสงบเป นเอกัคตารมณอยางน ี้จึงจะไดชื่อวา เราเข าถึงหลกพัุทธศาสนาโดยแท
ตอบปญหาธรรมภายหลังน ั่ งภาวนา ๓.ผูถาม เราจะทราบได อยางไรวา เม ื่ อตายแล วจิตมันจะไปเกิดอีก ทานอาจารยทราบไดดวยอนุมานเอาวาจิตใจเรายังฝงพัวพันเก ี่ ยวข องอยูดวยส ิ่ งตาง ๆ ซึ่งเหมือนกับ ความเป นอยูของเราในเวลานี้สิ่งใดเหมือนกัน เกิด ตายก็ตองเหมือนๆ กัน เพราะคนตายแลวไมได มา บอกวาเกิดในที่ใดและไมเกิดอีกจึงยากท ี่จะบอกไดวาเกิดหรือไมเกิดอีกเป นแตอนุมานเทานั้น ๓.ผูถาม พุทธศาสนาในประเทศจีนมีหลายนิกาย บางนิกายก็มีการทํากรรมฐาน บางนิกายมีการสวดมนต หรือระลึกถึงพระพุทธคุณ ในชีวิตประจําวันของชาวพุทธฝายหินยานมีปฏิปทาอยางไร ทานอาจารย ชีวิตประจําวันและปฏิปทาของเราชาวพุทธบริษัทจงต ั้ งม ั่ นอยูในคุณพระรัตนตรัยคือ พระ พุทธ พระธรรม พระสงฆใหมั่นคงแล วจงระวังสังวรอยูในศีลห าใหดีจงฝกหัดอบรมสมาธใหิ เปนไป หม ั่ นระลึกถึงคุณงามความดีของตนอยูเสมอเทานี้ก็เป นอันพอแล วสําหรับชาวพุทธท ั้ งหลาย ๓.ผูถาม อยากจะทราบปฏิปทาของทานอาจารยเอง ทานอาจารย อันภาระของพระมันก ็ หลายเร ื่ องเหมือนกัน กิจประจําวันของพระข อใหญใจความสําคัญ ที่สุดคือ สํารวมกายวาจา ใจของตน ตรวจตรากายวาจา ใจของตน แม จะพูดจะทําจะคิดอะไรก็ให พิจารณาตนเองอยูตลอดเวลา เราเป นพระชีวิตของเราอาศยคนอั ื่นเป นอยูเราควรทําตัวให เขาเล ี้ ยงงาย เวลาน ี้ กายวาจาและใจของเราสะอาดดีแล วหรือยังถายังไมสะอาดก็ทําใหสะอาดดีขึ้น ถาสะอาดแล วก ็ รักษาไวใหดีเหลาน ี้เป นตน ๓.ผูถาม เด ็ กๆ บางคนไมทันเติบโตอะไรเลยก็ยังไมทันทําความดีและความช ั่ วแตตายไปเสียกอน เมื่อ เป นกรณีอยางน ี้ เด็กคนนี้เม ื่ อตายแล วไปเกิดในคติแหงใด ทานอาจารย ความดีและความช ั่ วมิได หมายถึงการกระทําแตชาตินี้เทานั้น เขาทําไว ชาติกอนๆ แล วตามตัว เขามาเกิดเขาตายแตยังเด ็ กกรรมเกาของเขาน ั้ นแหละติดตามเขาไปอีกแตเขาไมได สรางกรรมใหมเพ ิ่ มอีก การจะไปเกิดในคติใดนั้น ก็แล วแตกรรมนิมิต คตินิมิตของเขาคนเราจะแตงเอาเองไมได ทานอาจารย กลาวคําอําลาชาวพุทธสมาคมจีน ที่ไดให เกียรตินิมนตอาตมามาอบรมพุทธศาสนา ณ สถานที่นี้ถึงแมวาอาตมามาอบรมเพียงเล ็ กน อย
ก็หวังวาชาวพุทธสมาคมทุกคนคงจะพอได ความเข าอกเข าใจบ างแล วจะไดนําไปปฏิบัติตาม ความสามารถของตนๆ และขอแสดงความยินดีอนุโมทนาด วยที่ทุกๆคนพากันมาอบรมแสดงความเคารพ สุภาพเรียบร อยเป นที่นาปลื้มปติธรรมะท ี่ใหการอบรมไปนี้คงจะไมไรประโยชนหากพากันต ั้งใจเอาไป ปฏิบัติตอถึงอยางไรก็ ตามเถอะ พุทธศาสนาสอนก ็ เพียงแตพระพุทธเจ าเป นผูสอนผูอบรมผูใหคําแนะนํา เทานั้น การปฏิบัติอยูที่พวกเรา ฉะน ั้ นถึงแมวาเราจะไมมีวัดวาศาสนาอยูประจําแตพุทธบริษัทท ั้ งหลายพา กันจดจํานําเอาไปปฏิบัติตามหลักนี้ก็หวังวาคงจะไดผลตามสมควรวันจันทรที่๑๓ นี้คงจะได เดินทาง กลับสิงคโปรแล วจะได เดินทางไปอินโดนิเซียตอไปอีกเทาท ี่ได มาน ี้ มาเห ็นสภาพความเป นอยูของชาว พุทธสมาคมซิดนียจึงขออนุโมทนายินดีและขอร ่ําลาเป นคําสุดท าย วันท ี่๑๒ ธันวาคม ๒๕๑๙เวลาสาย แสดงธรรมเทศนา สอนนักเรียนไทยในซดนิ ียที่วัดพุทธรังษี เราเป นนักเรียนเพ ื่ อแสวงหาความรูเพ ิ่ มเติม ได ออกมาเรียนนอกประเทศถึงออสเตรเลยนี ี้มิใชทาง ใกลๆ สิ้นเปลืองเงินทองไปอะโข มาเรียนแล วจงต ั้งใจเรียนให จบอยาประมาท การมาเรียนตางประเทศพา กันต ั้งใจสังเกตดูเหตุการณสิ่งแวดล อมรอบๆตัวของเราใหดีวา สิ่งน ั้ นๆ ตางจากเมืองไทยของเราอยางไร มิใชเห ็นแปลกแตกตางเพียงรูปรางลักษณะทาทีของสิ่งเหลาน ั้ นๆ เทานั้น แตให เห ็ นลึกเข าไปในๆ กวา นั้นอีกเน ื้ อแท ของมันคืออะไรเชน คนเอเชียชอบทํางานด วยแรงของคน ชาวยุโรปชอบทํางานด วยเคร ื่ อง ทุนแรงอยางน ี้เป นตน เม ื่ อจับต นตอหัวข อคิดน ั้นได แลวคิดไปมันก ็ กว างขวางออกไป อยางน ี้ เรียกมาหา เรียนวิชาเพ ิ่ มเติม มิใชมาหาเรียนแตวิชาของเกาเขาที่มีอยูในตําราน ั้ นเทานั้น มันจบเปน จบแล วกลับไป เมืองไทยทําอะไรก็ แคเพียงตําราเทานั้น ตําราน้นเขาเรัยนกี ันมาแลวและทํากันแลวความเจริญก าวหนา ของตนและของประเทศชาติก็แคนั้น ไมเจริญย ิ่ งๆ ขึ้นไป การเรียนวิชาต องกล าหาญเช ื่อในความสามารถ ของตนเองกล าคิดกล าทําในสิ่ งที่ถูกท ี่ ควรเม ื่ อเรียนวชาได ิ จากตํารามาแลว มาเปนใหญเปนโตนั่ งส ั่ งการ งานอยูบนเก าอ ี้ทําอะไรไมได เลยผูนอยจะมีความคิดริเร ิ่ มข ึ้ นมาสกเลั ็ กน อยก ็ หาวาลวงเกินเลยไมกล าคิด ทําอยางน ี้ การงานก ็ไมกาวหนา สวนตัวก ็ไมเจริญ นักเรียนท ั้ งหลายมีโอกาสได มาเรยนเมี ืองนอกนี้นับวาโชคดีจะไดรูเห ็นของแปลก ๆตางๆ แลว นําไปแกไขของในเมืองเราใหดีขึ้น คนไทยที่ อยูหางทางโน นก็มีความหวังเชนน ั้ นเหมือนกัน ฉะน ั้ นขอจง ตั้งใจเรียนใหสําเร ็ จแล วจะได กลับภูมิลําเนาเดิมโดยดวน ในโอกาสนี้ ขออานวยพรให ํ นักเรียนท ั้ งหลายจงสําเร ็จความปรารถนาของตนจนทุกคนเทอญ
สนทนาธรรมภายหลังธรรมเทศนา นักเรียน ทําบุญแล วสบายใจดีครับ ทานอาจารย นั่นแลบุญ คือไดความสบายใจ ทําแล วสบายใจดีบุญก็มาจากบริบูรณนี่เอง มันเต ็ มมันอิ่ม ในใจเรียกวาบุญ อยาไปพูดวาทําบุญแล วตายจะไดไปเกิดช ั้นฟาสวรรคอยางน ั้ นอยางน ี้เราไมเห็น เรา เห ็ นชัดในปจจุบันน ี้ เห ็ นหน าพระจิตใจของเราก็ เบิกบาน ทําไมจึงเบิกบาน คือทานดีกวาเรา ทานมี ศีลธรรม สัมมาจาราวัตรดีกวาเราจิตใจก็ผองใส ความช ั่ วเราเคยกระทําก ็ ละอายแล วละได อาตมาพูดมัน เป นเร ื่ องตลก ภรรยาสามีทะเลาะกันพอพระไปก็ หายดี๊ดีพระล างบาปลางโกรธเป นจริงๆ เคยมีมาแลว นี้ เรียกวาพระล างบาปแทหายไปหมด พูดหยาบคายบงเบงๆ เวลาพระข ึ้ นบ านไปแล วพูดดีกันจากน ั้ นเลยดี กัน เคยเห ็ นมาแลว นี่พูดความจริง พระมีประโยชนแกศาสนิกชนอยางน ี้ ๓.ผูถาม ผูหญิงก็มีสิทธิในการงาน บางทีผูหญิงทํางานอยางเดียวกับผูชายแตวาได เงินเดือนน อยกวาก็มี ทานอาจารย เด ี๋ ยวน ี้ เสมอภาคกันแลวไมตองวิตกกังวลผูหญิงเป นถึงขนาดราชทูตก็มีแลว ที่ลดหล ั่ นกัน อยูก็แตเพศผูชายเป นแมบานไมไดสุดวิสัย ๓.ผูถาม ความรักความเกลียดความโกรธอะไรตออะไรเกิดท ี่ใจหรือเกิดท ี่ กายครับ ผมเดาวาเกิดท ี่ใจใช ไหมครับ ทานอาจารยใหพิจารณาเอาเองกายน ี้โกรธเปนไหม ใหพิจารณาตัวเอง เชนคนตายไมมีใจแล วโกรธเปน ไหม รักใครไหม เกลียดใครไหม ๓.ผูถาม ถาทานอาจารยถามอยางนั้น ผมวาเร ื่ องน ี้ เกดทิ ี่จิต เพราะฉะน ั้นความไมรูเร ื่ องอนิจจัง เกิดอยูที่ จิต ที่ใจและถ าเราเป นคนดีนิสัยดีหรือช ั่ วก็ขึ้นอยูที่ใจ ทานอาจารย เพราะวาเกิดจากใจ พระพุทธเจ าจึงสอนใหอบรมใจใหทรมานใจตนเองอยางเบองต ื้ นหัด อยาใหมันโกรธอยาใหมันสงสายไปหาความโกรธใหจิตใหใจสงบขึ้น เน ื่ องจากมันเกิดท ี่ใจเราจึงต อง หัดดูที่ใจ พอมาหัดอบรมท ี่ใจแลวใจมันก็ดีนิสัยมันก็ดีขึ้น ถาใจดีแล วกายมันก็ดีไปเสียทุกอยางความ โกรธมันก ็ไมมีความหงุดหงิดฉุนเฉียวมันก ็ไมมีเพราะเราอบรมใจอยางคนติดคุกติดตารางน ั่ นนะเอาไป ขังไวที่คุมขัง ใจไมใชมันหายจากการเปนขโมยเพราะใจไมได ทรมานคุมขัง ๓.ผูถาม บางคนเกิดมาเป นคนเสียจริต ไมอาจจะน ั่งภาวนาได จะทําอยางไร
ทานอาจารยคนเสียจริตมันก็พูดยากเหมือนกัน ทางแพทยก็คงจะทราบกันดีเพราะเคร ื่ องมือท ี่ใชทํางาน ไมดีที่ทํางานเสียผูทํางานก ็ไมดีก็เลยไมดีตามไป สถานที่ทํางาน คือเซลลประสาทไมดีผูทํางานคือใจ มันไมดีกรรมไมดีมันก ็ เลยหมดหนทาง ๓.ผูถาม การท ี่หมอให ยาระงับประสาท ระงับอารมณแกผูปวยทางพุทธศาสนามีความคิดเห ็ นอยางไร ทานอาจารย มันก ็ใชได เรียกวาพักงานเสียก็อยางคนไปทํางานออฟฟซน ั่ นแหละงานไมตองเดินกันละ ๓.ผูถาม การท ี่ หมอสามารถผาตัดสมองและประสาทของคนวิกลจริต แล วทําใหดีขึ้น อันนี้ทานอาจารยมี ความเห ็ นอยางไรครับ ทานอาจารย มันก็ดีเหมือนกัน สํานักงานของจิตมันไมดีแตงใหมใหดีเสียมันก ็ใชได ๓.ผูถาม ในกรณีที่ผาตัดแล วเกิดทําใหนิสัยของผูปวยเปลี่ยนไป ใครเป นผูรับผิดชอบในการตัดสินใจที่ให ผาตัดสมองผูปวยหรือหมอ ทานอาจารย ก็ผูปวยและผูปกครองละซีซึ่งจะต องรับภาระนี้ตอไป ๓.ผูถาม ไดพิจารณาถึงเร ื่ องสังขารตามที่ทานอาจารยอธิบาย มีความเห ็ นจริงวา สังขารน ั้ นเกดขิ ึ้ นมาแล วก ็ ดับไป มันไมเท ี่ ยง ทานอาจารย สังขารมีสองคือ สังขารรูป ๑ สังขารนาม ๑ รูปสังขารที่ปจจัยตกแตงได แกรูปคนเราอันมี ดิน น้ําลม ไฟ ประสมกันเข าเป นรูปกายอันนี้ขึ้นมาก็ดีหรือรถราอันประกอบดวยสรรพสัมภาระตางๆ มี เคร ื่ องจักรรถยนตเป นต นแล วว ิ่งไดก็ดีทั้งหมดน ี้ประกอบด วยธาตุทั้ง ๔ จึงเป นรูปขึ้นมา เรียกวาสังขาร รูป สังขารนามน ั้นไมประกอบด วยธาตุ๔ ก็ไดคือ ปรุงด วยใจอยางเดียวแตเม ื่อปรุงแตงแล วทํา เป นรูปจึงปรากฏ ถาไมทําเป นรูปปรุงแล วตายไปปรุงใหมอีกวิสัยของสังขารตองเป นอยางนี้ทุกคนไป ตราบใดยังไมรูเทาเข าใจตามเป นจริงของมันแลวก็จะต องปรุงแตงอยูอยางนี้ร่ําไปไมมีสิ้นสุด ๓.ผูถาม ผูที่มีสติดีดวยกายดวยวาจาแตวาสติยังผิดเก ี่ ยวกับความคิดภายในใจคือวา เวลาคิดถึงเร ื่ องชั่ว ลืมสติที่จะสํารวมใจในขณะนั้นจะเปนบาปไหม ทําในทางที่ดีทางกาย ทางวาจาแตวาสํารวมใจไมได อันนี้ผิดหรือไมครับ
ทานอาจารยคิดช ั่ วด วยใจเรียกวามโนทุจริต คิดดีดวยใจเรียกวามโนสุจริต ในกรณีที่ลืมสติที่จะสํารวมใจ นั้น เปน โมหะจริต เป นมูลแหงอกุศลท ั้ งหลายผิดโดยแท ๒.ผูถาม การสะกดจิตกับการน ั่ งกรรมฐานเหมือนกันหรือไมครับ ทานอาจารยวิธีอันเดียวกัน แตวามีความหมายมุงผิดกัน วิธีสะกดจิตน ั้ นมุงท ี่ จะสะกดจิตผูอื่น ไมไดคิดท ี่ จะทําใหกิเลสของตนหมดไป คือต ั้งใจใหจิตแนวเป นสมาธิบังคับจิตผูอื่นให อยูในอํานาจของตน ลงอัน เดียวเหมือนกันกับเราน ั่ งกรรมฐาน แตเราน ั่ งกรรมฐานจิตเป นสมาธิแล วเห ็ นกิเลสของตน เราพยายามจะ ละกิเลสบาปกรรมนั้น ละความวุนวี่วุนวายท ั้ งหลาย ใหจิตมันสงบ ใหพนจากกิเลส วิธีอันเดียวกัน แต ความมุงหมายผิดกัน ๒.ผูถาม พระดอนสนใจในเรื่ องน ี้ทานบอกวาคนสกดจิตบอกใหคิดวากายของเราเปนปฏกูลิเม ื่ อสกด แล วทําให กายของเราและกายของคนอนเป ื่ นปฏิกูล ทําให อาจคล ั่ งถึงกับฆาตัวตายไดถาไมระวัง หรือสกด ให เห ็นเป นธาตุสี่ก็ได เหมือนกัน ตอนน ี้ พระดอนกําลังสนใจทางดานน ี้ ขอเรียนถามความเห ็ นของทาน อาจารย ทานอาจารยคือวาคนอ ื่ นทําให หรือ ๒.ผูถาม ทําเองก ็ได ครับ ทานอาจารย ไมเป นสัมมาทิฏฐิพระพุทธเจ าไมสอน ๒.ผูถาม เร ื่ องน ี้ จะมีประโยชนหรือเปลาครับ ทานอาจารยมีประโยชนเหมือนกันถ าหากรูจักใช ๓.ผูถาม ถาเป นอยางน ั้ นพระกรรมฐานท ั้งหลายไปสะกดจิตแล วบอกคนสะกดวาทุกส ิ่ งทุกอยางเป นของ ปฏิกูลก็ดีมาก ทานอาจารยไมดีเลยผิดทางกรรมฐานท ั้งหลายไมทํากันหรอกไมเปนปจจัตตัง ๓.ผูถาม มโนทุจริตเราจะแก ไขอยางไร
ทานอาจารยมโนทุจริต แก ไขด วยอุบายแยบคายสวนตัวเองคนอ ื่ นชวยเหลือไดคืออุบายแยบคายในที่นี้ จะต องคิดค นหาเหตุผล สิ่งท ี่ควรไมควรแก กายแก ได เชน ใครทําไมดีผูกมัดก ็ไดใครพูดไมดีก็ตีได แตใจ มันไมใชอยางนั้น มันพูดอยูคนเดียวคนจะชวยก ็ เพียงแนะแนวทางคิดนึกเทานั้น เวลาค่ํา สนทนาธรรม ที่วัดพุทธรังษี ๒.ผูถาม ถาเราจะกําหนดเกศา เราจะคิดพิจารณาด วยวิธีไหนครับ ทานอาจารยอาการ ๓๒ ที่เรากําหนดคิดคน เราคิดพิจารณาเฉพาะเป นอยางๆ ไป ในตําราที่ทานสอนบอก วา ใหคิดค นท ี่ เกิด ที่ตั้งกลิ่น แลสีเป นตน ของมัน พิจารณาสีสันของมันท ี่เปนของไมดีปฎิกูลโสโครก ผม เล็บ ฟน หนังโดยเฉพาะเป นเร ื่ องๆ เป นอยางๆ ไป ถาเราพิจารณาเร ื่องใดใจให จดจอในเรื่ องนั้น อยา ไปพิจารณาเร็วอยาไปพิจารณาชา ตรงนี้มันลําบากเหมือนกัน แล วแตความพอดีพอเหมาะของเราถาหาก พิจารณาเร ็ วเกินไปไมชัดถาพิจารณาช าเกินไปใจมันพุงไปเสียกอน ถาหากใจเราจดจองในเรื่ องนั้น คือไป เห ็นในเรื่ องน ั้ นแลว มันเกิดความสนใจพอใจ ชัดแจง มันพอดีของมันละคราวน ี้ เวลาพิจารณาเร ื่ องเดียว ในสิ่ งเดียวใจมันรวมวูบไปมันวางหมดเลยอันอ ื่นไมตองพิจารณาตอไปไดถาหากมันไมเป นเชนนั้น คือ วาบางทีคอยพิจารณาเป นสวนเป นช ิ้นไป ชัดบ างไมชัดบ างแตอยาไปทอดธุระท ิ้ งเสียใหพิจารณาอยูอยาง นั้นละ มีวันหน ึ่ งซ ึ่ งมันจะชัดลงไป ถามันชัดเกิดอสุภะเปนของปฏิกูลข ึ้ นมาก็ดีหรือบางทีมันอาจจะไป เห ็นเป นของ เกิด-ดับ ขึ้นมาก็ดีบางทีมันเห ็นไตรลักษณอนิจจัง ทุกขังอนัตตาก็ดีมันอาจจะมีในวาระใด วาระหนึ่ง เราพิจารณาอยูอยางนี้ชัดแลว ทีหลังมันสรุปรวมเลย พิจารณาอสุภะรวบหมดเลย บางทีเรา พิจารณาอสุภะเปนไตรลักษณรวมวูบเลยถ าหากเราชานาญแลํ วจะพิจารณาอะไรก็ ตามเถิดอาการ ๓๒ ก็ ตาม หรือพุทโธๆ หรือลมหายใจก็ตาม เม ื่ อพิจารณาไปๆ มันชัดข ึ้นมาโดยวิธีใดเราจับอุบายวิธีนี้ใหได แล วก็ทีหลังพิจารณาอยางน ั้ นอีกแตมิได หมายความวามันจะเป นอยางน ั้ นอยูตลอดเวลาแตอุบายท ี่ เรา พิจารณาน ั้ นอยาไปทิ้ งอยาไปทอดธุระขอสําคัญที่สุดก็คือความชํานาญ เปนอะไรๆ ถาไมชํานาญแลว รักษาไมไดขอสําคัญอีกนัยหนึ่ง เราพิจารณาอะไรถ าหากมันไมชัดอยาไปดิ้ นรน คือเราอยากจะให เห็น อยากจะใหเปน อยากจะใหชัดอันน ั้นไมถูก มันเน ื่องจากความสงบของเราไมพอถาหากมันแนวแนอยูใน อาการอันเดียวอยูแลวการพิจารณามันก็ชัดขึ้นมา พิจารณาเร ื่ องเดียวก ็ แล วกัน อาการอ ื่นไมตองพิจารณา นี่แหละหลักสําคัญที่เราจะตองพยายามจับมันใหได
๒.ผูถาม จะต องมีขันติความอดทนจึงจะทําได ทานอาจารย ก็นั่นแหละความเพียร หรือเรียกวาความอดทน ของมันไมเป นเอง เราจึงตองอดทน ตองทํา ของเป นเองเราก ็ไมทํากันละ ทีนี้มันไมเป นเองเราจึงคอยพากันทํา บานเรือนมันไมเป นข ึ้ นมาเองไมมีใคร เนรมิตให เขาจึงคอยพากันสร างขึ้น พระพุทธเจ าเทศนาไว แล ววา พนทุกขได เพราะความเพียรแตให พิจารณาอีกนัยหน ึ่ งวาการอดทนการตอสูนั้นไมใชของสุขคือความทุกขความเพียรความพยายามคือ ความทุกขแตหากพ นทุกขได เพราะทุกขถาหากไมมีทุกขก็ไมพนทุกขไดทานจึงวา พนทุกขได เพราะ ความเพียรเชน เราประกอบอาชีพ มันไมมีของสําเร ็ จแล วสักอยางเดียวการประกอบอาชีพน ั้ นก็คือความ เพียรขยันหม ั่ นเพียรประกอบการงานอะไรๆ หมดน ั่ นแหละเรียกวาความเพียรความเพียรน ั่ นแหละคือ ความทุกขแตหากวามันไมทุกขมากประกอบแลวเราไดสิ่งวัตถุที่เราต องการบํารุงความทุกขทุกขมา บําบัดทุกขไปชั่ วครูชั่วขณะถาหากต องการแตสุขถายเดียวไมตองทําอะไรเลยยิ่งทุกขมากกวาเกาจึงพน ทุกขได เพราะความเพียร วีรชนท ั้งหลายในโลกเขายอมสละชีวิต แม แตนายทหารเข าสงครามเขาก็ยอมสละชีวิตกวา จะเป นวีรชนได พระพุทธเจ าของเราก ็ เชนเด ียวกัน ยอมสละชีวิตบําเพ ็ ญทุกรกิริยาอยูถึงหกปจึงไดเปน พระพุทธเจา นี่ละความเพียรคือความทุกขแตชนะทุกขได เพราะความเพียรคนขยันหม ั่ นเพียรทําการ ทํางานหาผลประโยชนรายได เห ็ นท ี่ไดไมรูสึกเหน ็ ดเหน ื่ อยไมรูสึกข ี้ เกียจคนท ี่ หากินไมไดผลประโยชน คุมคาขี้เกียจ ทําอะไรมีแตทุกขหมดผูบําเพ ็ ญเพียรภาวนา ทําคณงามความดุีเห ็ นคุณคาแล วไมขี้เกียจ ทุกข หายไปเอง ๒.ผูถาม เม ื่ ออยูกับพระสงฆทําความเพียรได แตวาถ าอยูธรรมดามนกั ็ ยากอยูครับ ทานอาจารย ก็นั่นแหละคือวาเรายังไมพบของดีถาหากพบของดีแล วมันก ็สบายไปอยูไหนมันก ็ เหมือนกัน เหตุนั้นพระพุทธเจ าก็ดีสาวกก็ดีหรือผูที่เข าฌาน สมาธิสมาบัติทานน ั่ งอยูไดเป นหลายๆ ช ั่วโมง ทานเข านิโรธอยูไดตั้งเจ ็ ดวัน เพราะทานพบของดีของน ั้นเป นของมีคุณคาความทุกขไมมีหาย หมดเรามาทําความเพียรคอมาหาพระเจื าพระสงฆเพราะเราดีใจเราปลื้มปติมันก ็เลยไมรูสึกเหน็ด เหน ื่ อยผูที่ขี้เกียจภาวนาคือทําความเพียรไมเปน ก็ไมเห ็นอะไรเลยขี้ เกียจ ๒.ผูถาม อยากกราบเรียนถามทานอาจารยวาอุปจารสมาธิคืออะไร มันแตกตางกับอัปนาสมาธิอยางไร ทานอาจารย อุปจารสมาธหมายถิ ึงจิตที่ยังไมแนวเต ็ มท ี่มันหยิบๆ วางๆ มันเอาบ างไมเอาบ าง มันใกล ๆ จะเอาจริง ๆ จัง ๆ แตมันยังไมเอาเต ็ มท ี่ถาอัปนาสมาธิแล วยอมรับเอาอารมณนั้นเต ็ มท ี่ เลย
๒.ผูถาม ทานอาจารยอธิบายถึงอัปนาฌาน เม ื่ อเขาถ ึงอปนาฌานแล ั วลมหายใจไมปรากฏ เม ื่ อเวลาเข าแลว จิตมันสงบ แตไมสามารถท ี่ จะพิจารณาอะไรไดสภาพอันน ี้เป นสภาพท ี่ไมดีเราไมตองการใชหรือเปลา ทานอาจารยสภาพเชนน ั้ นมันเป นธรรมชาติของมัน คือธรรมชาติของจิตที่ตองเข าไปพักเพ ื่อใหมีพลัง เหมือนกับสภาพของกายธรรมดา ประกอบภารกิจพอสมควรมันเหน ื่ อยมันก ็ เข าไปพักคือนอน สภาพของ ใจที่ เข าถึงสภาพเชนนั้นนะเพ ื่ อบํารุงพลังของใจใหมันมีพลังตอไป ใชไดไมใชไมใช แตวาเพียงให เรา เข าไปรูเร ื่ อง ใชใหมันถูกฐานะของมันแล วก ็ใชได ตอนน ั้ นมันเปนเองเราไมไดบังคับใหมันเปน ถาบังคับ แล วไมเปน ๒.ผูถาม เทาท ี่ เคยศึกษามาแลว พุทธศาสนาสอนถึงเร ื่ องอนัตตาแตเทาที่ฟงโอวาทของทานอาจารยถึง เร ื่ องจิต คิดวาจตคิ ืออัตตา เพราะวาไมได ตายมันไปเกิดใหมแล วมันคล ายๆ เป นท ี่ เก ็ บทุกส ิ่ งทุกอยางแลว ก็เกิดใหมเพราะฉะน ั้ นคล ายๆ อัตตาและอยากทราบวามันเป นอยางไรแนครับ ทานอาจารย คือวาสอนอัตตาเสียกอน สอนกายสอนจิตใหพิจารณาเห ็นเปนของไมมีสาระแลวจึงทอดทิ้ง ถาไปสอนอัตตาทีเดียวใครจะเห็ นด วยอนัตตามันก ็ เกิดจากอัตตา เห ็ นอัตตาไมมีสาระแล วจึงจะทอดทิ้ง อัตตาน ั้ นเสียได ๒.ผูถาม เห ็ นวากายของเรากับใจมันเป นคนละอันกัน กายมันต องแตกสลายไปจิตมันไปเกิดใหม เพราะวาจิตมันไมแตกไมดับไมสูญไป คล ายๆ มันเป นตัวเป นตน ทานอาจารยใชจึงวาพูดถึงเร ื่ องตนเสียกอนเด ี๋ ยวนี้นะยังไมทันหมดเร ื่ อง มันยืดยาวคือวาพูดถึงเร ื่ องอัตตา แม แตเราภาวนาพุทโธๆ ก็อัตตา ภาวนาอานาปานสติก็อัตตา เข าอารมณฌาน สมาธิสมาบัติยึดเอาอารมณ ตางๆ ก็เรียกวาอัตตาอยูในขอบเขตของอัตตาหมดคราวน ี้ จะมาพูดถึงเร ื่องให เห ็ นอนัตตาอยางกายน ี่ เรา ทนุบํารุงมัน มันก็มีสภาพแปรไปโดยลําดับ เส ื่ อมสญไปโดยล ูําดับ ไมอยูในบังคับของใครอาศัยมันมันก ็ เพียงแคนั้น ก็เรียกวากายไมมีสาระเพียงเป นที่พึ่งอาศัยเพียงเล ็ กๆ นอยๆ จิตเราไปยึดส ิ่งใดสิ่ งหน ึ่ งซ ึ่ งเอา มาเป นตัวเป นตัวมาเป นของจริงของจังมันก ็หายไปได เหมือนกัน อยางเราไปยึดความเกลียดความโกรธ ความโลภ ความหลง นี่หรือยึดวัตถุสิ่งของอะไรแล วมันก็หายสูญท ิ้งไป มันมีเวลาปลอยวางได เหมือนกัน เหตุนั้นใจจึงเป นอนัตตาอารมณกรรมฐานที่เราไปยึดเห ็ นอสุภะปฏิกูลภาพนิมิต อะไรตางๆ ก็เส ื่ อมสูญ ไปไดเหมือนกัน ในผลที่สุดเรามาพิจารณาจนเห ็ นวา เพียงเหตุปจจัยอาศัยซ ึ่ งกันและกันช ั่ วระยะหน ึ่ งๆ แทที่จริงไมมีสาระอะไรเลยกายก ็ เหมือนกัน ใจก็ เหมือนกัน อยางเชนไปรักผูหญิงสักคนหนึ่งรักที่สุด เอามาเป นลูกเป นเมีย ตอเม ื่ อมาอยูดวยกันแล วผูหญิงคนน ั้ นเกิดไมดีแล วท ิ้ งผูหญิงคนนั้น ทีแรกเป นอัตตา
คือ ชอบรักผหญู ิงคนน ั้นไดมาเป นเมีย ทีหลังผูหญิงคนน ั้ นทําช ั่วไมดีเลยเบื่อเลยทิ้งอันน ั้ นเรียกวา อนัตตาเหมือนกัน ๒.ผูถาม ขอกราบเรียนถามถึงเร ื่ องจิตอีกครับ ผมเข าใจวาจิตมันไมดับไป มันคงท ี่ ทานอาจารย จิตก ็ไมเท ี่ ยงอยูได เพราะเหตุปจจัยคือมันไปยึดเอาส ิ่งใดสิ่ งหน ึ่ งมันจึงคอยอยูไดถาไมมี เร ื่ องยึดมันก ็ไมมีเคร ื่ องอยเหม ู ือนกัน จะวาดับก ็ไมใชไมดับก ็ไมใชถามันยึดม ั่ นก็ยังปรากฏตั้ งอยูถามัน ไมยึดส ิ่ งน ั้ นมันก ็ไมมีที่อยูจะวาดับก ็ไมใชไมทราบวามันอยูไหน มันมีก็ไมใชเพราะมันไมมีที่ตั้ง ๒.ผูถาม เคยศึกษาเก ี่ ยวกับเร ื่ องศาสนาคริสตและเข าใจเรื่ องน ี้ ยากเพราะวาเขาสอนถงเรึ ื่ องแบบวิญญาณ เวลาเราตายอาจเกิดในสวรรคหรือนรกถือวาวิญญาณคืออัตตาเป นตัวเป นตน เลยคิดวาจะเสียเวลาอีกนาน ที่จะเข าใจ ทานอาจารย ใชพุทธศาสนาก็ถือกันโดยสวนมากถือวิญญาณเกิดดับ ไมมีที่สิ้นสุดถืออยางน ี้ เหมือนกัน ถือวาตายแล วเกิดก็คือถือเร ื่ องอัตตาแตเขาไมไดคิดค นตายแล วเกิดเพราะปจจัย ตายแล วเกิดเหมือนกัน กับคริสตไมผิดเลยจะเข าใจถึงอนัตตาไดก็ตองถึงเหตุปจจัยอยางเราอยูปรกติธรรมดาน ี้ความโกรธไมเกิด เพราะไมมีเหตุปจจัยขึ้นมาแตความโกรธมันฝงอยูในนั้น พอมองเห ็ นส ิ่งใดไมพอใจเขา นั่นแหละปจจัย เป นเหตุให เกิดความโกรธขึ้นมา เหตุนั้นผูที่จะละความโกรธไดตองพิจารณาให เห ็ นอนัตตาวาส ิ่ งน ั้ นมันก ็ ไมเท ี่ ยงไปยึดเอาไวเป นทุกขแกเราเปลา มันต องใช เวลามาก นั่นแหละศาสนาคริสตเรียกวาสุขนิรันดร ไมเคล ื่อนไหวในศาสนาพุทธไมได เรียกวาสุขนิรันดรคืออันน ั้ นยังมีการยึดยังมีตัวตนอยู เม ื่ อเหตุปจจัย ยังมีตอเน ื่ องอยูมันก ็ปรากฏอยูละเหตุดับเหตุดับปจจัยจะวามีก็ไมใชไมมีก็ไมใชจึงไมมีเร ื่ องพูดกัน ตรงน ั้ นจึงเรียกวาเหนือจากคําพูด พูดกันไมถูกผูรูทั้งหลายต องรดวยตนเองู ๒.ผูถาม ตอนแรกอานเรองอน ื่ ัตตาแล วกลัวมากเด ี๋ยวหมดไมมีอะไรและไมเพียงแตกลัวอยางเดียวคิดวา เม ื่ อคนอ ื่ นเขาใจผ ิดเร ื่ องอนัตตา ทีหลังทําอะไรก็ตามจะไมรับผิดชอบ โดยถือวาทําอะไรก็ ตามตายแลว หมดเร ื่ อง ทานอาจารย อยาไปเขาใจวาอนัตตาเปนของไมมีถาเปนของไมมีก็กลัวกันหมดอนัตตาเป นของมีอยูแต อนัตตาเปนของไมมีสาระคือไมมีแกนสารส ิ่ งน ั้นเป นสักแตวาเคร ื่ องอาศัยเป นช ั่ วคร ั้ งช ั่ วคราวแตไมใช ของจริงของจัง เห ็นเป นสักแตวาเคร ื่องใชชั่วคราวผูเห ็ นอนัตตาด วยใจของตนแลวจะหายจากความกลัว นี่เป นคําพูดเฉยๆ ยังไมทันถึงตรงน ั้ นเลยกลัวกอน ๒.ผูถาม ถาอยางน ั้ นก ็เป นส ิ่ งท ี่เราใช แลวเราก ็ตองท ิ้งไวใชไหมครับ
ทานอาจารย ก็เหมือนเราหิวน้ํา เราก็ดื่มน ้ํ าเพ ื่ อระงับกระหายแตวาน ้ํ ามันก ็ละลายไปเป นเหง ื่อเปน ปสสาวะ มันมีอยูใช อยูตามสภาพของมัน แตวาไมใชของเราจิตใจถ าเราเห ็นเป นเพียงสักแตวาเทาน ั้ นมัน ก็ไมไปเอามาเป นของเรา เหมือนกับน้ํา มันไมใชเราแตมันไประงับความหิวกระหาย มันแคนั้นเองจึง เรียกวาอนัตตาตรงนั้น ๒.ผูถาม จะต องใช ความพยายามคิดค นอีกหลายป ทานอาจารย ดีถาคิดค นไมออกแล วจึงคอยไปหาที่ เมืองไทย ๒.ผูถาม ผมเข าใจเรื่องไมมีพระเจา เคยอานหนังสือพระศรีลังกาเขียนวาไมมีพระเจ าและเห ็ นด วยถามี พระเจาแล วใครสร างพระเจาไมมีที่สิ้นสุดแตเข าใจวาในหลักพุทธศาสนาสอนวา เราทําดีเราได ผลดีเรา ทําช ั่วได ผลชั่วเราทําอะไรตองได ผลอันนั้น ผมเห ็ นวาเหมือนมีผูสั่งไมเข าใจและอยากกราบเรียนทาน อาจารยวาท ี่ไมเข าใจเป นเพราะเด ี๋ ยวน ี้ อยูในโลกียะวันหลังเม ื่ อเข าใจสูงข ึ้ นแล วคงจะรูใชไหมครับ ทานอาจารย ใจเรานั้นแหละเป นผูสั่ง เราจะทําดีและทําชั่วถาใจไมสั่งแล วกายไมทําคิดดูซีการฆาคน ถา ใจไมสั่งแล วกายจะไปฆาได อยางไร ใจไมมีเสียอยางเดียวกายจะทําอะไรก็ไมได เรียกวาคนตาย ๒.ผูถาม ในสังคม บุคคลท ี่ไมเช ื่ อพระเจ าเปนคนไม ดีเกือบท ั้ งนั้น บางคนบอกวาหมอไมถือศาสนาไม เช ื่ อพระเจ าไมดี ทานอาจารย พระเจาสอนให เช ื่ ออยางเดยวไม ี มีผล หมอเรียนถึงเหตุผลรูแล วจะเช ื่ อพระเจ าอยางไรลง มี นายอะไรคนหนึ่ งวาโลกกลม ครูสอนศาสนาคริสตบอกวาความเห ็ นอันน ั้ นผิดจากศาสนา เอาตัวมา ลงโทษถึงสองครั้ง นายคนน ั้ นก็ยังยืนยันอยูอยางนั้น แล วผลเป นอยางไร นายคนน ั้นแกไมไดสรางโลกแต แกรูเร ื่ องน ั้ นดีกวาพระเจาแตก็ไมมีคนนับถือแกเหมือนพระเจา ทานอาจารยนั่งภาวนา พรอมท ั้ งอบรมธรรมนํากอน ที่นั่งภาวนาคือเรารวมใจ สํารวมใจให อยูในอันเดียวใหปลอยวางหมดเราไปยึดมามากแลวคราว นี้เราจะไมยึดอะไรทั้ งหมดใหมันวางอยูในที่ เดียวคนเดียวลองหัดแบบน ี้ ลองดูหากมันจะไปยึดเราบอก วาไมเอา มันจะสงไปยึดอะไรเราไมเอาท ั้ งนั้น จะปลอยใหมันวางทําความรูสึกอยูโดยเฉพาะคือ มี ความรูสึกอยูเราจับต องอันน ั้นใหไดจับอันน ั้นให อยูตรงน ั้นในจุดอันเดียว ( นั่งภาวนาประมาณ ๒๐ นาที )
สิงคโปร วันที่๑๕ - ๒๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๙ วันที่๑๕ ธันวาคม ๒๕๑๙เวลาบาย สนทนาธรรม ๑.ผูถาม เทาท ี่ไดศึกษามากับสวามีก็ดีจากทานอาจารยฝนก็ดีเวลาน ั่ งภาวนามีปญหาอะไรเกิดขึ้น ไมวาจะเปนปญหาในครอบครัวหรือปญหาในชีวิตประจําวันก็ดีบางทีก็ใชบริกรรมโอมะ บางทีก็ ระลึกถึงพระคุณของครูบาอาจารยทั้งหลาย บางทีจิตก ็สงบไดชั่วครูขณะแล วก็ฟุงซานอีก ทําอยางน ี้ มันถูกหรือผิดคะ ทานอาจารย ถูกการหัดภาวนาเบ ื้ องตนก็ตองใชคําบริกรรมเสียกอน จะเอา โอมะหรือระลึกถึงครู บาอาจารย หรือระลึกถึงพระพุทธเจ าก ็ได ขอแตใหทําใจให แนวแนลงอันเดียวก ็ แล วกัน ถาใจยังไม แนวแนมันก็สงสายละซีมันพาวนเสียไมเป นภาวนาแตก็อดทนไปเพราะใจเรายังไมเคยภาวนา มี แตสงสายอยูตลอดเวลา พึ่งมาภาวนาน ี่เองจะใหมันรวมทีเดียวมันก็ยากอยูถาเราไมทําก ็ไมมีเวลาจะ รวมลงไดขอให อดทนทําไปเถิด ๑.ผูถาม เวลากําหนดภาวนาไมคิดพระเจาองค หน ึ่ งองค ใดเลยเพียงบริกรรมโอมะใจมันก็สงบลงได ถาไมมีปญหาอะไรมันก็จะเป นอยางนั้น จะใหทําเชนนั้นหรือคะ ทานอาจารย ได เหมือนกัน ไมตองระลึกถึงพระเจ าองค ไหนหรือครูบาอาจารย องค ไหนหมดถา ภาวนาโอมะใจมันรวมไดก็ใชได เหมือนกัน เม ื่อใจมันรวมไดก็ถึงพระเจ าทุกองค เวลาเราสงบลง แล วแกปญหาไดไหม ปญหาประจําวันที่มันเกิดขึ้น การภาวนาแก ไดไหม ๑.ผูถาม ไมสามารถที่จะแกปญหาชีวิตประจําวันไปไดการแกปญหาชีวิตประจําวันที่เกิดเฉพาะ หนา บางทีก็คิดวาเราจะแก ไขด วยวิธีนี้หรือจะแกดวยวิธีนั้น ในที่สุดก็ตัดสินใจอะไรไมได เลยเกิด อาการกระสับกระสายคิดถึงครูบาอาจารยที่เคยศึกษามาด วยเพราะคิดวาครูบาอาจารยมี ความสามารถท ี่ จะชวยใหตัดสินไดถูกคิดลังเลวาถ าเป นเชนนี้มันจะมีผลเกิดข ึ้นไหม
ทานอาจารย มันลังเลอยู เอาหลายอยางเกินไป เอาอยางเดียวซิจะเอาอยางไหนก็ เอา ใหถือเสียวา เร ื่ องตางๆ นั้นอยูที่ตัวของเราอยาไปพึ่ งพระเจ าองคนั้นองคนี้เราสงสัยวาพระเจ าหรือครูบาอาจารย จะมาชวย นี่แหละมันเป นเหตุให เราลังเลสงสัยก็เลยทําใหใจไมสงบ เม ื่อไมสงบก็เลยไปพึ่งอยูอยาง นี้เพราะฉะน ั้นให เอาอันเดียวความคิดเห ็นภายในใจที่วา ปญหาน ี้ เกิดข ึ้ นเฉพาะที่ตัวของเราถาหาก เราไมสงบ เร ื่ องมันยุงอยูอยางน ี้ แหละ ฉะน ั้นเราจะปลอยวางทอดธุระหมดเพราะใจเราฟุงใจจึงไม เห ็ นของจริง ปลอยวางเสียใหใจสงบด วยวิธีที่ไมสงสัยลังเลอะไรทั้ งหมดเวลานี้มันไมมีอะไรให วางท ั้งหมดให เหลือแตใจคือผูรูผูเดียวผูรูนั่นรูนี่คือตัวใจศาสนาพระเจาถือพระเจ าแล วก ็ เช ื่ อวาพระ เจ าจะต องมาชวยอยูร่ําไป ความจริงแล วเป นความเชื่อ พระเจ าไมได มาชวยอะไรหรอกเราน ี่เองเปน คนทําให เกิดเร ื่ องข ึ้ นมา พระเจ าไมได บอกเราหาเร ื่ องมายุง เราไปหาเรื่ องยุงเร ื่ องสงสายเองถาหาก เราถือวาพระเจ าจะชวยทุกอยาง เม ื่ อเราทุกข หรือเดือดร อนสงสายดวยประการตางๆ รองขอให พระ เจ าชวยอยางน ี้ อยูร่ําไป พระเจ าแยเลยพระเจ าก็เลยไมมีโอกาสที่จะทําดิบทําดีได เลยอยางเราหิวข าว หิวอาหารไมใชพระเจ าบอกให เราหิวแตวาธาตุมันตองการไมใชเร ื่ องพระเจ าบอกใหหิวแตถา หากพระเจ าชวยให พระเจาไปหาใหเรารับประทานลองดูมันจะมีไหม พระเจ าจะมาชวยไหม หาก พระเจ ามาชวยให คนรับประทานอาหารแลวคนรับประทานอาหารทั้งโลกเป นภาระของพระเจา ทั้งหมด พระเจ าก็เลยไมมีเวลาวาง นี่เพราะธาตุเราตองการเราจึงหิวเม ื่ อเราหิวเราก็ตองไปหามาเอง มารับประทานเองจึงจะระงับความหิวไดฉันใดเรื่ องอื่นๆ ก็เชนน ั้ นเหมือนกัน ไปใช พระเจ านักไม ไหวหรอก พระเจาเอาไวสักการะบูชาอันนี้เอาพระเจ าไปใช หมดคุณวาพระเจ าเปนผูดีผูวิเศษ ครูบา อาจารยทานเปนผูดีผูวิเศษ เราระลึกถงทึ านแลวเราจะไดทําดีอยางทานอยางนั้นตางหากหรอกอยา เอาพระเจ ามาใชสุมสี่สุมห าไมได หรอก ๑.ผูถาม เคยไดรับประสบการณทานอาจารยฝนแนะนําใหกําหนดซากศพตลอดเวลาและกําหนดท ี่ กาย พยายามทําอยูสองวันนั้นแล วรูสึกวากายอยากจะพักผอน เลยปลอยวางไมกําหนดอะไร หลังจากไดรับประสบการณนั้นแล วไดไปกราบทานอาจารยที่วัดหินหมากเปงอยากทราบวามัน เป นเพราะเหตุใด ทานอาจารย บอกวา ตองทําอยางนี้กําหนดอยางน ี้ หลังจากนั้นก็พิจารณากายอีก ถาหากรูสึกเม ื่ อยก ็ มากําหนดบริกรรม แตเด ี๋ ยวนี้ถาหากกําหนดบริกรรม ถาใจสงบมักจะข ี้ เกียจ พิจารณากาย ไดรับประสบการณถาหากพิจารณากายมักจะเหน ื่ อยเพลียเลยไมอยากพิจารณากาย ถึงแม จะไดรับความสงบขนาดไหนก็ ตาม ทานอาจารย มันมีสองอยางอยางหนึ่งเราพิจารณากายถาหากมันชัดมันไมขี้เกียจหรอก มันเพลิน มันอิ่มอกอ ิ่มใจ พอใจถาไมชัดมันมักจะข ี้ เกียจมันอยากปลอยวางแล วสงบเลยอยางท ี่ สงบเลยมัน
รวมไดงายแตไมไดปญญาอยางที่พิจารณากายอาการสามสิบสองนั้น ถาหากจิตมันไมสงบมันไม แนวมันก็ขี้เกียจแตพยายามทําความพอใจในการพิจารณาอาการสามสิบสองน ั้ นจนกระท ั่ งมันจับ หลักไดคือใจมันไปชัดในอาการใดอาการหนึ่ งแลวใจมันจึงเบิกบานผองใส อันนั้นมีประโยชน มากคือเรามีความรูความฉลาด ๑.ผูถาม เม ื่อปลอยวางภาระอะไรทั้ งหมดแลว พยายามมากําหนดที่รูปนามใหมใจมันมักจะเหน ื่ อย เพลียจึงปลอยวาง เม ื่อปลอยวางแล วไมบังคับตอไปรูสึกสบายแลวไมอยากพิจารณาอะไรอยากอยู เฉยๆ ทานอาจารย การพิจารณารูปนามมันถูกแลวแตพิจารณาไมเป นมันเลยเหน ื่ อยเพลีย ตองพิจารณาให เห ็นเป นอสุภะ หรือเห ็นเป นอนิจจังลงทุกขังอนัตตา ซิถาจิตมันแนวแนจริงๆแลว มันไมเหน ื่อยไม เพลียหรอก มีแตจะเพลิดเพลินแลอ ิ่ มเอิบในใจ มันจะอยูเฉยๆไมได เพราะเห ็ นของมีอยูเป นอยูใน กายนี้ทั้งหมด ๑.ผูถาม พิจารณากายสวนใดสวนหน ึ่งใหมันเป นธาตุแตวาไมเปนของสกปรกเห ็ นแตสักแตวาเปน ธาตุเร ื่องของสกปรกไมใชมันมาจากกายแตมันมาจากภายนอก ตัวของเราจะสกปรกหรือไม แล วแตเราจะชําระหรือไมถาเราชําระก ็ไมสกปรกถาไมชําระมันก็สกปรกยอมรับวากายของเรา เป นธาตุแตไมยอมรับวากายของเราสกปรก ทานอาจารย ก็ใชได เหมือนกัน ให เห ็นเป นธาตุก็ใชได เหมือนกัน ให เห ็นเปนของสกปรกก็ใชได เหมือนกัน คําวาสกปรกในที่นี้คือวามันไมดีมันไมชอบใจเราอยางเราลองพิจารณาเคร ื่องใน ตับ ก็ ดีไสใหญไสนอยก็ดีอาหารอยูในท องอยูในลําไส เราก็ดีหรือเลือดของเราที่มันไหลอยูก็ดีมันเปน แผลมันเป นหนองมันไหลออกมาสกปรกไหม เหงื่อไคลของเราอยูในตัวของเราขี้ตานี้ก็ตัวของเรา มันจะไมสกปรกได อยางไรลางวันหน ึ่ งต ั้ งก ี่ คร ั้ งก ี่ หน นี่ก็แสดงวาสกปรกซิทําไมจะไมสกปรก อยางธรรมดาเราเห ็นเป นธาตุอยางน ี้สกปรกไหม เราล างไหม คือวาถ าหากไมสกปรกเราไมเกลียดก ็ ไมตองล างอันนี้เราล างเพราะมันสกปรกจึงคอยล าง เพราะเราไมชอบใจมันเหม็น ๑.ผูถาม เม ื่ อทานอาจารย อธิบายเหตุผลใหฟงคล ายๆ ใจมันไมยอมรับ ทานอาจารย ไมเปนไรหรอกอยากใหคิด พิจารณาแบบน ี้ แหละคือวามันยังไมทันชัดภายในใจมัน ยังไมทันรับ เม ื่ อเห็นดวยตนเองแล วจึงคอยยอมรับ มันเป นธรรมดาถึงจะอธิบายเหตุผลวามันเปน
อยางนี้ๆ แตใจอันหน ึ่ งซ ึ่ งแตเดิมมันไมยอมรับวาเปนของปฏิกูลอันความรั้นอันนั้นมันยังร ั้ นอยูใคร จะวาอยางไรมันก็ไมยอมรับ ตอเม ื่อไปพิจารณาเห็นชัดด วยตนเอง มันจึงยอมรับวาออเป นอยางน ี้ นี่เองที่ทานวาอยางนั้น ๆ เวลาค่ํา แสดงธรรมเทศนา ทานเตือนพวกเราใหเปนผูไมประมาท อปฺปมาเทน สมฺปเธถ ติผูมีชิวิตอยูดวยความไม ประมาท คือมีปญญา เปนผูประเสริฐ นี่พระพุทธเจ าทานเตือนพวกเราอยางน ี้ คนเราถ าหากวาไมมี ปญญาอยูดวยความโงเขลา ทําชีวิตใหสั้นเปลาไปเฉยๆ ไมมีคุณคาถาหากผูมีปญญามีชีวิตอยูแม ใน วันเดียวก ็ไดชื่อวาเปนของประเสริฐย ิ่ งกวาผูมีชีวิตต ั้ งร อยปคือจะต องรูจักตน รูเร ื่ องรูความเป นอยู ของตนวาวันหน ึ่ งๆ นั้นภาระส ิ่งใดที่ เราจะพึงทํากอนทําหลัง สิ่งใดที่เปนประโยชนตนประโยชน คนอื่น นี่เรียกวาคนผูมีปญญา ใหสังเกตดูคนเรา เวลาใดถ าอยูดวยความฉลาดด วยปญญายอม พิจารณาถึงเหตุผลกิจการงานนั้นๆ ที่เราจะต องประกอบ ที่เราจะต องกระทํา มีความรอบคอบรอบรู ในสิ่ งท ี่ ตนจะต องกระทําวากิจส ิ่ งน ี้ ควรทํากอนควรทําหลังกิจสวนน ี้ คนท ี่จะเปนประโยชน ตน ประโยชน คนอื่น ตรึกตรองหรือพิจารณาอยูอยางนี้ทุกเวลาคนที่มีปญญายอมอ ิ่ มเอิบอยูดวยความรู แบบน ี้ดวยความคิดแบบน ี้ ถาพูดตามสมัยใหมเขาเรียกวาคนมีมันสมองคนมีมันสมองยอมทําประโยชน แกประเทศชาติ แกครอบครัวหรือแกตนเองด วยเหตุผลดังอธิบายมาน ี้ถาหากพูดในทางหลักธรรม หรือทางปฏิบัติ เปนผูไมประมาท คือคิดนึกเร ื่องความเป นอยูของตนแตละวันๆ วาเราทําอะไรบ างกิจภาระท ี่ เราพึง ทํา พิจารณาถึงตัวของตนอยูตลอดเวลาไมไดไปคิดสงไปหาคนอื่ นหรือเพงโทษคนอื่น เราเพง พิจารณาตนโดยเฉพาะแตภายในวาส ิ่งใดที่ เราทําลงไปแล วหรืยังไมไดทํา สิ่งนั้นๆ ที่เราพิจารณานั้น มันเปนไปเพื่ อความดีหรือเปนไปเพื่ อความชั่วเม ื่ อช ั่ วก ็ ละเสียเม ื่ อดีก็ใหรักษาไวตลอดไป ทาน สอนพระโดยเฉพาะทานสอนผูมีชีวิตประกอบดวยปญญา ทานสอนอยางน ี้คือสอนใหรูจักความ เส ื่ อมความส ิ้นไปของชีวิตคนเราคนเราน ั้ นแทที่จริงน ั้ นความเจริญไมมีมีแตความเส ื่ อม ที่เราวา เจริญนั้นคือเราเข าใจผิดคิดผิดผูมีชีวิตอยูดวยปญญาจะต องเห ็ นความเส ื่ อมของตนอยูตลอดเวลา ตั้งแตเกิดอยางเราเกิดข ึ้ นมานั้น เส ื่ อมสภาพจากเดิม จนกระท ั่ งคลอดคลอดมาแล วแกมาโดยลําดับ
เป นเด ็กเป นหนุมเป นสาวเฒา ชราจึงเรียกวาเส ื่ อม เส ื่ อมจนกระท ั่ งชํารุดทรุดโทรมจนเห็นไดชัด ไปมาที่ไหนก็ลําบาก หลงคั อมหลังขดหลังงออันนี้เรียกวาความเส ื่ อม ความเป นจริงมันเส ื่ อมอยาง นี้พระพุทธเจ าทานสอนวาผูมีชีวิตอยูดวยปญญาเปนของประเสริฐด วยเหตุนี้คําวาประเสริฐแปลวา ของดีผูมีชีวิตอยูดวยปญญาเป นของดีหมายความวาถ าหากเห ็ นความเส ื่ อมของตนอยูตลอดการ เวลา เราจะต องเรงรีบทําภาระกิจของตน สิ่งท ี่ ควรทําสําเร ็จใหรีบรอนทําใหสําเร ็ จเสียเพราะความ เส ื่ อมสูญส ิ้นไมหยุดย ั้ งแตละนาทีวินาทีเหตุนั้นจึงรีบเรงทําเสียในกิจของตนท ี่ จะพึงทําจึงเป นของ ประเสริฐคนบางคนท ี่ เข าใจวา พิจารณาถึงความเส ื่ อมแล วเป นเหตุใหเศราใจเป นเหตุใหไมอยากทํา ภาระกิจใดๆ ทั้งหมดน ั้ นเรียกวาเปนผูประมาทโดยแทไมไดชื่อวาชีวิตเปนของประเสริฐไมไดชื่อ วาชีวิตประกอบดวยปญญา ชีวิตอันนั้นเปนของประเสริฐ ความเส ื่ อมความชํารุดทรุดโทรม แม แตเราบริโภคอาหารก็ เพ ื่ อชลอความชํารุดทรุดโทรม ไมใชเพ ื่ อความเจริญงอกงาม เม ื่ อเราเข าใจเห็ นเชนนี้แลวจะเปนผูไมประมาท จะรีบเรงสร างคุณ งามความดีใหมันทันกับกาลเวลา ทานอาจารย พาน ั่ งภาวนาพรอมท ั้ งอบรมธรรมนํากอน ให เพงพิจารณาความเส ื่ อม ความหมดไปสิ้นไปแหงชีวิตของตน นับตั้งแตวินาทีนาทีหรือ ชั่วโมงวันคืน เส ื่ อมสูญส ิ้นไปไมได กลับคืนมาอีก นี่เรียกวาความเส ื่ อมส ิ้นไปของชีวิตรางกาย เพราะฉะน ั้ นเราจะต องรักษาใจของเราใหสงบ อยาไดปลอยไปตามความสิ้นสูญไปของชีวิต ใจของ เราให หยุดนิ่งอยาให เล ื่อนไหลไปตามกาลเวลา เส ื่ อมครั้งแรกนั้นมันแสงอรุณมันใสมันออนคน ชอบ เข าใจวามันเจริญ เม ื่ อคอยสูงข ึ้ นแดดมันก็เร ิ่ มแกพอแกจัดเต ็ มที่มันก็คอยออนลงๆ หมดไปๆ ลับไป แล วก็ขึ้นมาใหมมันวนอยูอยางน ี้โลกอันนี้คือรางกายเราก็เชนเดียวกันความเส ื่อมของโลก ภายนอกเส ื่ อมอยูตลอดทุกนาทีวินาทีคนเราเกิดในระยะแรกๆ เส ื่ อมยังคอยยังช ั่ วหนอย พอเส ื่ อม ทามกลางหนักหนอยเส ื่ อมบั้นปลายหมดทาเลย ตอบปญหาธรรมหลังธรรมเทศนา ๑.ผูถาม เวลาน ั่ งภาวนา พิจารณาวาคนอ ื่ นเหมือนแมลงครั้งแรกมันก็เปนไขตอมาก ็เปนตัวหนอน แล วตอมาเม ื่ อเส ื่ อมจากนั้นก็เปนตัวแมลง เอาเรื่องแมลงข ึ้ นมาเทียบ