ทานอาจารย พูดสรุปรวบรวมก็ พอเข าใจได อยางนั้น เร ื่ องศีล สมาธิปญญาได แกมรรคแปด เคร ื่องแกงในที่นี้หมายความวาการปฏิบัติบางคนปฏิบัติเครงครัดจนไมสามารถจะทําอะไรได เลยน ี่ มันเกินไป บางทีทําสมาธิจนน ิ่ งแนวไมลืมหูลืมตาไมมองใครทั้ งหมดอันนี้ถาเป นแกงเกลือมันเค็ม เกินไป บางคนพิจารณาอะไรให เห ็นเป นอนิจจังทุกขขังหมดเตลิดเปดเปงจนจิตไมรวม อันนี้ถาเปน ของหวานก ็ เรียกวาหวานเกินไป เปรี้ ยวเกินไป ไมมองหน ามองหลังไมพอดีพองาม ถาหากพอดีพอ งามวางตัวเปนกลางได แลวจะทําให ละเอียดก ็ไดทําให หยาบก ็ได เม ื่ อเราอยูในสังคมเราก็ตองทําตัว เหมือนสังคม แตเราต องรักษาตัวของเราใหดีอยาใหเหลวไหลกับสังคม ๒. ผูถาม เทาที่ทานอาจารย อธิบายใหฟงวาหลักสําคัญคือปญญาจะต องนําปญญามาใช แตวา ปญญาเปนสิ่งท ี่ หายาก มันไมมีตัวไมมีตนไมทราบวาจะหาไดที่ไหน ปญญาอยูกับใจของเรา ตัวของ เราเปนผูตัดสินตัวของเรามิใชหรือ สิ่งนี้ดีสิ่งน ี้ ควร สิ่งน ี้ไมดีสิ่งน ี้ไมควร มันขึ้นอยูกับใจถาหากวา ใจของเราไมทันอบรมในทางพุทธศาสนา ปญญาจะเกิดได อยางไรจึงตัดสินใจวามันถูกพอดีพอควร ทานอาจารย ปญญาเปนของไมมีตัวมีตน แตเราหาปญญาไดที่ใจถาเรารับรองวาใจของเรามีถาเรา จะตัดสินวาส ิ่ งนี้ดีสิ่งน ี้ให แนแลวจําเป นจะต องอบรมใจใหสงบจากความวุนวายเสียกอน เพราะ ความวุนวายเป นเหตุใหใจเศร าหมองจึงมองเห็นความดีไมได เม ื่อใจสงบจากความวุนวายแล วนั้น แลจึงจะตัดสินได แมนยําวาส ิ่งใดดีควรทําและส ิ่งใดไมควรทํา ๒. ผูถาม ถาเรามีความทะเยอทะยานมันก็จะทําให เกิดความทุกข แตถาหากเราทําจิตเฉย ๆ ไมคิดนึก เราก ็จะไมมีความเจริญก าวหนา ทําอยางไรจึงจะทําใหมันได พอดีพอควร ทานอาจารย ดีมากที่เห็นความทะเยอทะยานเปนทุกข ความสงบไมทะเยอทะยานเปนความสุขเมื่อ ความทะเยอทะยานเกิดข ึ้นเปนทุกข เราก ็ จะทําความสงบเสียเม ื่ อชีวิตอันนั้นยังเป นอยูก็จําเปนที่ จะต องแสวงหาสิ่งภายนอกมาบํารุง หามาแล วมันก็บํารุงมันก็หมดไปแล วก ็หามาใหมอยางน ี้ อยู ตลอดเวลาควรสิ้นสุดกันสักทีไหม แล วความเจริญก าวหน าในทางวัตถุภายนอกก็ดีหรือความ เจริญก าวหน าทางรางกายก็ดีมันมีที่ไหน ยิ่งกินก็ยิ่งแกยิ่งบํารุงก็ยิ่งใกล ความตายมาทุกวัน เรากิน บํารุงไว เพ ื่ อความตายเทานั้น ความเจริญหามีไม ๒. ผูถาม ขอถามถึงเร ื่ องอัตตาครับ ที่ทานอาจารยวาเราเปนผูสํารวมรักษาจิตไมใชจิตมาบังคับเรา กายไมใชของเราแตวาใจเป นของเราหรือวาจิตเป นของเราถาหากวาเราเปนผูบังคับจิต จิตก ็ไมใช ของเราแล วอะไรเป นของเรา เราเปนอะไร ในเมื่ อจิตไมใชของเรา
ทานอาจารย ที่สํารวมจิตไดนั่นแลคือควบคุมจิตรักษาจิตไมใหใชเรา เม ื่ อรักษาจิตไดมันก็รวมเขา มาเปนใจ ( คือความเป นกลาง ) ใจก็มิใชของเรา เม ื่ อเรายังมีชีวิตอยูก็ตองใชทั้งจิตแลใจอายตนะ แตกดับแลว ทานผูรูทั้งหลายทานยอมปลอยวางท ั้ งจิตแลใจ ๒. ผูถาม ที่ทานอาจารยวาเราไปยึดในสิ่ งที่วาไมใชของเราถาหากวาไปยึดมันก็ตองมีสองฝาย สิ่งท ี่ ไปยึดและผูที่ไปยึดถาหากผูที่ไปยึดและส ิ่ งท ี่ไปยึดครั้งแรกคืออะไร ทานอาจารย ตองสามฝายมิใชสองฝายคือผูที่ไปยึดครั้งแรกนั้น คือจิต สิ่งท ี่เราไปยึดนั้นคืออารมณ ผูที่รูจักวาเราไปยึดนั้นคือ ปญญา ๒. ผูถาม แลวใจย ึดอารมณ คร ั้ งแรกเม ื่อไหร ทานอาจารย เม ื่อประสบครั้ งแรกเกิดขณะใดก็ ขณะนั้น เกิดข ึ้นเวลาใดก็ เวลานั้นละไมมีเวลา ๒. ผูถาม อยากจะทราบคร ั้ งแรกเลยทใจเข ี่ ามายึดปฏิสนธิ ทานอาจารย ไมตองคร ั้ งแรกหรอกครงน ั้ ี้ เด ี๋ ยวน ี้ให เห ็ นเด ี๋ ยวน ี้ยึดเด ี๋ ยวนี้ก็เกิดเด ี๋ ยวน ี้ไมตองพูดถึง เร ื่ องภพเร ื่ องชาติเห ็ นตรงน ี้ เสียกอน เกิดข ึ้ นตรงน ี้ แหละ ปรากฏเดี๋ ยวน ี้ และยึดตรงน ี้อันที่เบ ื้ องตนที่ มันจะยึดไมตองพูดกัน อันนั้นไมมีใครไปตามไปเห็นมันหรอก ๒. ผูถาม ขอกราบเรียนถามทานอาจารยวา ปญญาท ี่ แท จริงคือปญญาท ี่ เข าใจถึงภาวะธรรม คืออะไร ครับ เปนปญญาท ี่ สามารถจะคิดค นเหตุผลในทางตาง ๆ หรือเปลาและถ าหากวาเป นอยางนั้น คน ทั่วไปคงจะไมสามารถเข าถึงมัชฌิมาปฏิปทาได ทานอาจารย ปญญาท ี่ เข าถึงสภาวะธรรม คือพิจารณาเห ็ นความเกิดดับของส ิ่ งสารพัดท ั้งปวงเปนสัก แตเกิดข ึ้ นแล วก็ดับไป หาสาระอะไรไมไดชัดแจ งจนจิตปลอยวางเองคนท ั่วไปก็ สามารถจะเข าถึง มัชฌิมาปฎิปทาได ด วยการหัดคิดค นให เห ็ นอยางนั้น ทานท ี่ เห ็ นเชนนั้นแลวก ็ตองหัดอยางน ี้ เองจน จิตแนวแนเป นเอกัคตารมณก็ถึงได เหมือนกัน ๑.ผูถาม ผมหัดภาวนาจนเข าถึงความสงบไดใจสบายและใจแนวแนอยูในอารมณอันเดียวแลว พิจารณากายอาการ ๓๒ สี่หานาทีก็พิจารณาหมดแลวเพราะเคยเห ็ นผม ขน ฯลฯ มาแล วเม ื่ อคิดวา
พิจารณาจบแลวเลยถามตัวเองคืออะไร หูนั้นคืออะไรถามไปเรื่ อยๆ เกิดความรูสึกแปลกขึ้ นมา เหมือนกับอยูในอีกสภาพหน ึ่งไมได อยูในโลก หลังจากความรูสึกน ั้นหายไปแล วรูสึกเหน ื่ อยเลยเลิก ทําความเพียรตอไป อยากทราบวาประสบการณที่ไดรับนี้มีประโยชนอะไรบ าง ทานอาจารย มันก็ดีละซินั่นแหละคุณคามหาศาลเม ื่ อเราพิจารณาจิตมันเข าถึงความสงบเบ ื้ องตน นั้น เรียกวามันสร างพลังของใจใหมันมีพลังขึ้น จนเข าถึงสภาพอีกอันหนึ่ง พอเม ื่ อมันออกมา จากน ั้ นแลวก็พิจารณามันจึงคอยชัดถาไมมีพลังของใจความสงบไมเข าถึงท ี่ แลว พิจารณามันก็ไม ชัด ชัดเบ ื้ องตนนั้นเคยเห ็ นตามสัญญาบ างและด วยอํานาจของใจที่มันมีพลังก็ชัดขึ้น แตชัดท ี่ สอง ผมคืออะไร ตรงนี้ซิมันใชปญญาละเอียดเข าไปอีกผมคืออะไรทําไมจึงเรียกวาผม ในขณะที่เรา พิจารณาน ั้ นละคล าย ๆ กับวาเปนอีกคนหน ึ่งไปอยูสถานที่อีกแหงหนึ่ง มันหมายความวาภูมิของใจ ไมใชภูมิธรรมดาเสียแลว ภูมิของใจมันสูงกวาภูมิธรรมดา มันจึงคล าย ๆ กับอีกโลกหนึ่ง เราต ั้งใจ พิจารณาด วยสมาธิมิใชตั้งใจพิจารณาธรรมดา ๆ เม ื่ อจิตถอนออกมามันจึงเหน ื่ อยถามันพิจารณา ดวยตนเองแล วจะไมเหน ื่ อย ๑.ผูถาม นั่งภาวนาตอนเช าประมาณหนึ่ งช ั่วโมง พอจะลุกข ึ้นไปล างหน าล างตาและแปรงฟนก็รูตัว ดีๆ วาแปรงฟน รูตัวดีๆ วากําลังล างหน าล างตา เม ื่อไปทํางานก็มีความรูสึกเหมือนเห ็ นตนเองกําลัง นั่งลงทํางาน จนกระท ั่ งถึงตอนเท ี่ ยงความรูสึกอันนี้คอยหมดไป ทานอาจารย อันนั้นแหละคือตัวสติถาเราฝกฝนอบรมสติดีแลว มันมีสติสติกับใจมันเปนอัน เดียวกัน มันเห ็นอาการเป นอยูทุกส ิ่ งทุกอยาง ตอนน ั้ นสติไมตองรักษาไมตองคุมสติสติหากคุมใจ เองคือสติมาดูเราเห ็ นเรา นี่เรียกวาหัดสติสมบูรณบริบูรณ ๑.ผูถาม เม ื่ อมองดูคนในขณะนั้นก็เหมือนกับนักแสดงละคร สวนเราเปนผูดูละคร นาขบขันมาก ทานอาจารย เราก ็ เลนละครเขาก ็ เลนละคร สวนผูดูมีอีกอันหน ึ่ งตางหาก นั้นแหละกายกับใจเมื่อไป เข าตรงน ั้ นแล วรูไดดีๆ ทีเดียววากายกับใจไมใชอันเดียวกัน มันคนละคนกัน มันแยกกันออกได ฝกใจไปเห็ นกายเลยเห็นสิ่งท ั้ งหลายท ั้งปวงหมดเม ื่ อกายมันแยกออกจากตัวของเราได แลวใจไป รวมเข ากับสติเปนอันหน ึ่ งอันเดียวกัน ไปเห็ นอาการของกายท ั้งปวงหมดมันก็แสดงปฎิกิริยาเหมือน แสดงละครคราวน ี้ไปดูคนอื่นมันก็คล ายๆกัน เราไปดูคนอื่นมันยิ่งชัดขึ้น มันนาขบขันหัวเราะมาก
วันที่๒๒ มกราคม ๒๕๒๐เวลาค่ํา แสดงธรรมเทศนา คนชาวสิงคโปรไมมีวัดทางพุทธศาสนาอบรมศีลธรรม เราเข าใจวาคงจะไมเข าถึงเร ื่ องหลัก ศาสนาท ี่ แท จริง เวลามาถึงเข าแล วจึงทราบความจริงวาคนสิงคโปร พากันสนใจทางธรรมและ ซาบซ ึ้ งถึงรสชาติของพุทธศาสนาอยูเปนสวนมากแท จริงหลักคําสอนของพุทธศาสนาถาต ั้งใจ ปฎิบัติทางใจแล วถึงจะไมไดศึกษาก ็ จะเข าใจเองอยางน อยก ็พอเปนหนทางดําเนินชีวิต เพราะหลัก ศาสนาแทสอนให เราเข าถึงใจและศาสนาก ็ เกิดข ึ้ นท ี่ใจของพระพุทธเจาโดยเฉพาะ สรรพกิเลส บาปธรรมทั้งปวงที่ไมดีหรือบุญกุศลท ั้ งหลายก ็ เกิดขึ้นที่ใจกิเลสท ั้ งหลายเกิดข ึ้ นแล วก็นํามาซึ่ง ความทุกข บุญกุศลท ั้งปวงเมื่ อเกิดข ึ้ นแล วนํามาซ ึ่ งความสุข พระพุทธเจ าทรงเห็นชัดอยางนี้จึงสละ ละความช ั่ วคือบาปทั้งปวงได เด ็ ดขาด บําเพ ็ ญแตความดีคือบุญกุศลใหสมบรณูก็เอาใจของพระองค นั้นแหละไปละและบําเพ ็ ญจึงไดสําเร ็จเป นพระพุทธเจาแล วเอาความรูนั้นออกมาเผยแพรให สาธุชนได ความรูได เห ็ นเข าใจแล วต ั้งใจปฏิบัติตามอยางเช ื่ อมั่น เห ็ นจริงตามพระองค สอนจึงไดชื่อ วา พุทธบริษัท ดวยประการฉะนี้ พระธรรมท ี่ พระองครูตามเป นจริงนั้น คือรูสภาวะของส ิ่ งน ั้นตามเป นจริงวาเป นอยางไรเชน รูวาคนเราเกิดมาจะชาติใดภาษาใดหรือสัตวจําพวกใดตาม จะผิดแผกแตกตางกันแตคําพูดภาษา เทานั้น แตเน ื้ อแท ธรรมชาติก็คือเกิดจากธาตุทั้งส ี่คือดิน น้ําลม ไฟ กอเปนตัวเล็ก ๆ แล วก็คอย เติบโตขึ้นมาโดยลําดับ มีรูปรางสัญฐานผิดแผกตาง ๆ กันแล วก็ดับสลายจากรูปนั้นเปน ดิน น้ําลม ไฟ ตามเดิมของมัน เป นอยูอยางน ี้ ตลอดกาลความเกิดขึ้นก็เป นธรรม เม ื่ อมีเหตุปจจัยก ็ เกิดข ึ้ นมาอยู ไดมันก็แกอยูอยางนั้น ความแกก็เป นธรรม เม ื่ อมีเหตุปจจัยหลอเล ี้ยงใหมันแกอยูอยางนั้น ความตาย ก็เป นธรรม เม ื่อหมดปจจัยอันจะหลอเล ี้ยงใหมันอยูไมได แลวจําเปนมันจะต องตายอยางนั้น ใครจะ หามไมได เด ็ ดขาด ธรรมคือส ิ่ งท ี่เปนเองใครจะตกแตงไมไดมันหากตกแตงของมันเองตางหากหาไดมีพระเจา องค ใดองค หน ึ่ งมาตกแตงใหไมพุทธศาสนาสอนให เห ็ นของจริงตามเป นจริงอยางน ี้จึงจะละถอย ความเข าไปยึดถือวาเปนตนเปนตัวเปนเราเป นเขา ไมเหมือนศาสนาพระเจาสรางโลก สรางโลก สรางสัตว แล วเข าไปยึดถือ สัตว หรือคนในโลกไมนับถือเคารพกราบไหวก็แชงใหเปนบาป ถา เคารพนับถือก็ชวยให พรอยูเย ็นเปนสุข ตายแล วไปเกิดช ั้ นสวรรค อยางน ี้ไมพนจากทุกข ไปได เลย
ตอบปญหาธรรมหลังจากแสดงธรรมเทศนา ทานอาจารย วันนี้เปนวันสุดท ายอาจนานจึงจะได พบกันอีก หากใครมีขอข องใจอะไรก็ ถามเสียเมื่อ มีโอกาส ๓.ผูถาม หลกของคนจั ีนท ี่ สอนสมัยโบราณ มีธาตุอยู๕ ธาตุคือธาตุไมน้ําดิน ไฟ โลหะธาตุลมไม มีแล วอยากทราบวาถ าเปรียบกับธาตุสี่มันเข ากันได อยางไร เม ื่ อมีธาตุโลหะกับธาตุไม ทานอาจารย ของแข ็ งท ั้งหมดไมวาโลหะหรือไม เรียกวาธาตุดินทั้งนั้น ของท ี่ แข ็ งท ี่ หยิบถูกและที่จับ ได เรียกวาธาตุดินทั้งหมดอาการท ี่ อบอุนอยูในน้ําในดินอยูในตัวคนเรา เรียกวาธาตุไฟทั้ งนั้น ธาตุ ลมคือส ิ่ งที่ปนปวนพัดอยูภายใน แม แตตนไมก็มีธาตุลม ๓.ผูถาม ที่ทานอาจารย อธิบายเร ื่ องธาตุสี่คนหนุม ๆ สมัยนี้ที่เขาเรียนวิทยาศาสตร เขาไมเช ื่อใครจะ สอนถึงเร ื่ องธาตุสี่เพราะเขามีหลักวิทยาศาสตร อยูแลวแล วนักดาราศาสตร เขาบัญญัติทฤษฎีของ เขาวาถึงเร ื่องปรมาณูธาตุประกอบดวยปรมาณูสวนละเอียดที่สุดแล วปรมาณูตาง ๆ มันเกิดจาก ปรมาณูใหมสมัยกอนมีดาวท ี่ใหญที่สุดธาตุทั้งหลายในจักรวาลของเรามันเกิดมาจากดาวดวงน ี้ เป นดาวก อนใหญกอนเดียว มันระเบิดออกเม ื่ อระเบิดออกก ็แตกสลายไปเปนจักวาลจึงมีดาวตางๆ มีโลกตางๆ พวกที่เขารูหลักวิทยาศาสตรถาใครจะพูดถึงเร ื่ องธาตุสี่เขาจะไมเชื่อเขาจะวาโลกมาจาก กอนธาตุกอนหน ึ่ งที่มันระเบิดออกมาเป นดาวตางๆ เปนโลกตางๆ ทานอาจารย นักวิทยาศาสตรที่เขาบัญญัติสูตรตางๆ ขึ้นมานั้น ไมถึงร อยปมาน ี่ เอง พระพุทธเจ าไมมี เคร ื่ องพิสูจน แตรูไดดวยจิตเป นสมาธิซึ่งปรากฎขึ้นมาให เห ็ นชัดวาในโลกนี้ทั้งหมดเกิดข ึ้ นจากธาตุ แม แตความรูอันนั้นก็เรียกวามโนวิญญาณธาตุนักวิทยาศาสตร เพียงแตอนุมานคิดนึกเอา เขาบัญญัติ วาธาตุประกอบดวยปรมาณูสวนละเอียดที่สุดแล วปรมาณูตางๆ มันก็เกิดจากปรมาณูใหญฯลฯ ปรมาณูนั้นเขาก ็ เรียกวาธาตุเหมือนกัน แตไฉนเขาไมเช ื่ อวามีธาตุพระพุทธเจ าทานเรียก มโน วิญญาณธาตุซึ่งความรูอันนั้นจะใชวิชาสมัยใหมพิสูจน อยางไรๆ ก็มองไมเห ็ นเด ็ ดขาด ๓.ผูถาม สิ่งที่เป นความรูตางๆ มันมีอยูแล วในโลกและปจจุบันนี้นักวิทยาศาสตรกําลังเพลินอยูกับ การค นควาแตวาส ิ่ งที่ตองรูก็มีอยูสิ่งท ี่ ควรรูก็มีอยู เด ี๋ ยวนี้ยังไมทราบหมดทุกส ิ่ งทุกอยางจึงต อง อนุมานเอาคือวาความรูมันมีอยูแตเรายังไมเข าใจและยังไมเข าถึงความรูนั้น
ทานอาจารย สิ่งท ี่เป นความรูตางๆ ( คือปญญา ) มันก็มีอยูแล วในโลกแตนักวิทยาศาสตร เอาความรู นั้น ( คือจินตมยปญญา ) ไปเพลินคิดค นจนลืมตัวจึงไมสามารถเขาใจตามข อเท ็ จจริงไดเพราะใจมัน ไมสงบ สิ่งที่คิดคนมันก็ไมสงบ จงคิดค นไปเถิดกี่ชั่วชีวิตของคนก ็ ตาม ของเกาในโลกนี้ก็คือส ิ่ งท ี่ นักวิทยาศาสตร จะต องคิดค นไมมีที่สุดแถมของใหมก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่ อยๆ พระทัยของ พระพุทธเจ าทานสงบน ิ่ งแลว ทุกส ิ่ งทุกอยางก ็สงบไปเอง สิ่งที่ตองรูก็มีอยูสิ่งท ี่ ควรรูก็มีอยูแตก็รู ไมไดเพราะใจไมสงบอยางเดียว ๓.ผูถาม ไมเข าใจที่ พระพุทธศาสนาสอนถึงเร ื่ องนิพพาน พุทธศาสนาไมถือพระเจาผมนับถือ ศาสนาฮินดูมีพระเจากอนท ี่ จะมีอะไรเกิดข ึ้นมาในโลกต องมีพระเจาผมเข าใจถึงเร ื่ องกรรม เร ื่ อง เวียนวายตายเกิดศาสนาฮินดูเขาก ็ สอนเหมือนกัน ถาไมเข าใจเรื่ องนี้ก็จะไมทราบถึงเหตุผลทําไม คนจึงตางกัน คือเกิดตางกัน มีทรัพยตางกัน มีศาสนาตางกันก็ขึ้นอยูกับธรรม อันนี้ผมเข าใจดี เพราะวาเรามีกรรม จิตของเราวกเวียนเกิดตายๆ เวลาเข าถึงนิพพานจิตมันหายไปไหน ถาพูดถึงเร ื่ อง นิพพานไมมีพระเจ าแล วจิตมันหายไปไหน ถาเรายกหลักพระเจ าข ึ้ นมากอนท ี่ จะมีโลกหรือมีอะไร ขึ้นมาจะต องมีพระเจาแล วทุกส ิ่ งทุกอยางก ็ มาจากพระเจา ทั่วจักรวาลมีพระเจ าอยูเป นพลังเสมอ เม ื่ อเราวนเวียนเกิดตายๆ เม ื่ อเราสําเร ็ จเราเข าถึงพระเจา เราจะอยูรวมกับพระเจา เราจะสามัคคีอยูกับ พระเจาถาพูดอยางน ี้ พอจะเข าใจไดจิตมันมีอยูมันไปอยูกับพระเจา มันไมไดหายไปไหน ถาพูดถึง เร ื่ องนิพพานจิตมันหายไปไหน ทานอาจารย เม ื่ อยังถือศาสนาพระเจ าอยูก็ยากที่จะรูเร ื่ องพระนิพพาน เพราะพระนิพพานทานสอน ไมใหยึดถืออะไรทั้งปวงหมด ที่บอกเช ื่ อวากรรมมีคนมีกรรมจงเวึ ียนวายตายเกิดและกรรมยอม ตกแตงให คนมีคนรวยไมเหมือนกันนั้น ไมจริงถาเช ื่ อวากรรมดีกรรมชั่วยอมตกแตงให คนมีคนจน ไมเหมือนกันแลวคุณคงไมเช ื่ อพระเจ าวาจะมาอํานวยดีชั่ว ทุกข สุขใหคุณ เพราะศาสนาพระเจา นั่นใครจะทําอะไรทั้ งหมดต องข ึ้ นอยูที่พระเจ าท ั้ งนั้น แม แตสําเร็จ (ไมทราบวาสําเร ็จอะไร) แล วก ็ ไปอยูกับพระเจาศาสนาพระเจ าจึงไมมีนิพพาน สวนศาสนาพุทธต องกลาวถึง เหตุปจจัยอันเป นเหตุ ใหมีใจและไมมีใจเม ื่ อรูเหตุผลของส ิ่ งท ั้ งหมดเหลาน ี้ แลวแตยังมีอายตนะผัสสะ (คือไมตาย) ก็ตอง ใชมันไป แตไม ได เข าไปยึดเม ื่ อเหตุปจจัยดับแลว (คืออายตนะผัสสะไมมี) จิตก ็ไมทราบวาจะไปใช อะไรจะวาดับก็เปน สูญญตะทิฏฐิวาไมดับก็เปน สัตตะทิฏฐิทั้งสองนี้พุทธศาสนาถือวาผิดหมด ๓.ผูถาม เม ื่ อเราสําเร ็จเปนพระอรหันตแลวเราก ็ เข าถึงสุขในชีวิตของเราคือไมมีอะไรทั้ งส ิ้นใช หรือเปลา
ทานอาจารย มันก็ใชละซีเราพูดเอาตามมติของเราเพราะเรายังไมถึงพระอรหันตแตทานผูถึงแลว ความสุขในชีวิตของทานอาจเปนไปอีกรูปหนึ่ง เพราะความรูนั้นเปนปจจัตตัง ๓.ผูถาม เวลาจะเข าถึงพระเจ ารางกายของเราต องตายกอน แล วจิตมันไปรวมอยูกับพระเจ าท ี่เปน นิรันดร ตามหลักของฮินดูคิดวาคงจะเป นอยางนั้น แตในทางหลักพุทธศาสนา เม ื่ อเราเข าถึง นิพพานเราก็ยังมีชีวิตไดกายของเราไมตองดับไปก็ไดยังมีกายอยูก็ไดใชไหมครับ ทานอาจารย ตายแล วจะเข าถึงพระเจ าหรือไมเราก ็ทราบไมไดสวนหลักพุทธศาสนาเข าถึงพระ นิพพานแตยังมีชีวิตอยูนี่แหละเม ื่ อตายแล วก็ยิ่งประจักษชัดขึ้น และไมไปอยูกับพระเจา เพราะพระ นิพพานไมมีสถานอยูและไมมีที่เกิด ๓.ผูถาม เร ื่ องยึดหรือไมยึดยังเป นเร ื่ องสงสัยอยูถึงแม ไมอยากจะไปยึดอะไรมันก็ยังไปยึดอยูดี อยางพุทธศาสนามีจุดมุงหมายท ี่ จะเข าถึงนิพพาน ในเมื่อเราอยากไดนิพพาน มันก็เลยกลายเปนเร ื่ อง ยึดไมใชวาเป นเร ื่องปลอยวาง มีปญหาสงสัยอยางหนึ่ง นี่ขอหนึ่งอีกข อหน ึ่ งคือวาอยางพวกพระ เขามาบวชในพระพุทธศาสนา ทานจะไมยึดในเรื่ องน ี้ หรือวาอยางไร ทานอาจารย แนนอน การดําเนินตามมรรควิธีตองมีการยึดเป นธรรมดาไมยึดก ็ไมทราบวาจะเอา อะไรมาดําเนิน แตการยึดนั้นทั้งๆ ที่เห ็นโทษของมันอยูแตก็ยังอดยึดไมได แตเม ื่ อถึงผลอันสูงสุด แล วยอมละไปเอง พุทธศาสนาสอนให เห็นโทษในการเขาไปยึดอยางน ี้ จนกวาจะเห็นชัดด วยตนเอง มันจะปลอยวางอุปมาเหมือนกับคางคาวตัวหน ึ่ งหากินลูกมะเด ื่อในเวลากลางคืน ไปพบต นมะเดื่อ เขา ตนมะเด ื่ อมีหากิ่งคางคาวก ็ไตไปตามกิ่ งท ี่ ๑ ไปจนตลอดปลายก็ไมเห็นมีผลสักลูกเดยวี ยัง สงสัยกิ่งท ี่๒ ก็ไตตามไปจนตลอดปลายก็ไมมีสักลูกเดียวจึงไตกิ่งท ี่ ๓ ก็เชนนั้นอีกเหมือนกัน จึง มาไตกิ่งท ี่ ๔ ดูก็ไมพบอีกเหมือนกัน เอเห็นจะไมมีลูกเสียแลวกระมังแตยังไมสิ้นสงสัยจึงไดไต ตามก ิ่ งท ี่ ๕ ลองดูเม ื่อไตไป ๆ จนถึงปลายแลวก็ไมมีลูกอีกเหมือนเดิม คางคาวตัวนั้นจึงหมดสงสัย ในต นมะเด ื่ อนั้น แล วก็บินหนีไป ฉันใดผูปฎิบัติเม ื่อไมเห ็นโทษหรือเห ็นโทษในขันธหาแตยังละไมไดก็ตองยึดไปกอน ตอเมื่อ เห ็นโทษดวยใจของตนเองจนเปนที่ชัดแจ งแล ววาขันธหาหาประโยชนไมไดไมมีสาระแล วจึง ปลอยวางดวยตนเองก็ฉันนั้นเหมือนกัน ๓.ผูถาม พยายามอานตําราเก ี่ ยวกับเร ื่ องภาวนาแล วหัดภาวนาจนเข าถึงความสงบคือเอกัคตารมณ แล วใจก็วางไปหมดไมไปยึดอะไรแล วก ็ไมคิดอยากจะมีอยากจะไดสิ่งนั้นสิ่งนี้วาง สบายใจมัน
เยือกเย็น ไมไปยึดเวลาน ั่ งทําสมาธิหน ึ่ งช ั่วโมงไมเข าไปยึดอะไรทั้ งสิ้น อยากทราบวาเวลาเข าถึง เอกัคตาจิตมันใกล เคียงกับพระนิพพานขนาดไหน ทานอาจารย เอกัคตารมณคืออารมณอันเดียว นั้นแหละใกล พระนิพพาน อารมณมากๆ ยิ่งหางไกล ออกไปจากพระนิพพาน ถาหมดอารมณ แม แตอันเดียวก ็ไมมีมันจะมีความสุขขนาดไหนต องรูดวย ตนเอง ๓.ผูถาม สามารถสํารวมวาจาและสํารวมกายได แตใจยากที่ จะสํารวมได บางทีมันมีความคิดอะไร เกิดข ึ้ นอยางอัตโนมัติ ทานอาจารย เป นธรรมดา ใจเปนของไมมีตัวมันสํารวมได ยากแตถึงอยางไรเราสํารวมใจไมได สํารวมกายวาจาย ิ่ งยากเพราะใจเป นคนบัญชาการเป นคนส ั่ งงาน กายกับวาจาสํารวมไดยากที่สุด สํารวมใจได แล วงายที่สุดแตถึงอยางไรเราตองสํารวมของหยาบๆ เสียกอน คือกายกับวาจาดีกวา จะไมสํารวม ๓.ผูถาม ปจจุบันนี้นักวิทยาศาสตร ได ทดลองแล ววากายกับใจสามารถแยกออกจากกันได อยากจะ ทราบวาทานอาจารย จะเช ื่ อเร ื่ องน ี้ หรือเปลา ทานอาจารย เชื่อ ๑๐๐ เปอร เซ็นตเลยวิทยาศาสตร ตามหลังพุทธศาสนา พระพุทธเจ าตรัสไวตั้งสอง พันกวาปมาแล ววากายสามารถแยกออกจากจิตได เม ื่ อยังมีชีวิตอยู เชนคิดนึกหรือเศราโศกเสียใจ ไมตองไปรายงานกายกอนก็ทําตามลําพังตนเองได ตายแล วก ็แยกออกจากกายไปเลยตามลําพัง ตนเองไมตองไปร่ํ าลากาย
สิงคโปร วันที่๒๐ - ๓๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๒๐ วันที่๒๐ มีนาคม ๒๕๒๐ สนทนาธรรม ๑.ผูถาม สามารถนั่งจนถึงความสงบแลว หลังจากจิตถอนออกมาแลวคิดวาน ั่ งอีกสักพักหน ึ่ งคงจะดี แตพอครูหน ึ่ งรูสึกเหน ื่ อยและชักจะข ี้ เกียจจึงบอกกับตัวเองวาน ั่ งแคนี้ก็พอแลว ทานอาจารย สภาพของคนเรามันชักใหประมาทอยูอยางนี้ร่ําไป ไดอะไรนิดๆ หนอยๆ ก็เห็นวา พอแลวแล วก ็ไมยักทําอีกแทที่จริงคือความประมาทนั่ นเองถาผูรูจริงเห ็ นจริงแลวคําวาพอแลวจะ ไมมีเลย มีแตจะเอิบอิ่มไปดวยปติเทานั้น ๑.ผูถาม ถาจะน ั่ งภาวนาตอไป ก็จะสามารถใหสภาพน ั้ นกลับคืนมาได ทานอาจารย นี่ก็เชนเดียวกัน ถาจะน ั่ งภาวนาตอไปก็สามารถใหสภาพน ั้ นกลับคืนมาได แท จริงไม สามารถทําได หรือหากทําไดก็ไมใชสภาพน ั้ นเสียแลวเป นแตจะจะแตยังไมลงมือทํา ๑.ผูถาม ทานอาจารยคงทราบดีอยูแล วเก ี่ ยวกับตัวของผม ผมน ั่ งสมาธิได แตไมสม ่ํ าเสมอคิดวาคงมี อะไรขาดตกบกพรองบางอยางในนิสัยของผม จึงถามแมชีชวน แมชีชวนก ็ไมตอบ เลยถามคุณเพ็ง คุณเพ ็ งก ็ไมตอบ วันหน ึ่ งแมชีชวนไปที่ออฟฟซของผมแล วบอกวาจะสร างวัดที่สิงคโปร สร างด วย แรงศรัทธาและกําลังใจจริงๆ ทีแรกไมเข าใจคําพูดนั้น ทีหลังนึกข ึ้นมาไดวาโอคงจะเป นศรัทธาท ี่ ขาดไปนี่ เอง เอะ ทําไมจึงขาดไป เม ื่อเราเปนนักวิทยาศาสตร เช ื่ออะไรก็ดวยเหตุผลเด ี๋ ยวน ี้ เราถือ พุทธศาสนาหัดภาวนาแล วมีศรัทธาเต ็ มท ี่ตอมาไดมีโอกาสไดไปภาคอีสานแหงประเทศไทย ไดฟง เทศนทานอาจารยในงานศพทานอาจารยฝน เกิดศรทธาเตั ็ม ๑๐๐ เปอร เซ็นตเม ื่ อกอนมีเพียง ๙๕ เปอร เซ็นตในขณะที่ทานอาจารยขึ้นเทศน และก ็ เข าใจวาทานอาจารยรูเร ื่ องของผมดีดวย เด ี๋ ยวน ี้ เวลากําหนดภาวนาพิจารณากายอยูใจมักคิดถึงเร ื่ องการสร างวัดแลคิดถึงเร ื่ องของ
ทานอาจารย แตถึงอยางน ั้นใจก็ยังสงบอยูแตถาคิดถึงเร ื่ องอ ื่นใจฟุงไปเลยในที่สุดผมก็กําหนดเอา กลางตาแลสามารถเข าถึงอัปนาแตไมนานก ็ ออกมา ภายหลังกลับจากภาคอีสานของประเทศไทยมา ที่สิงคโปร แลวการงานบางส ิ่ งบางอยางที่จําเป นมันชักไมเอาเร ื่ อง เชนหนังสือท ี่ เก ี่ ยวกับ วิทยาศาสตร แม แตหนังสือพิมพก็ไมอยากอาน ถาอานแล วรูสึกไมสบายใจแตกอนชอบฟงขาว เร ื่ องราวตางๆ เวลาภาวนารูสึกมีรากฐานม ั่ นคงกวาแตกอนมากแตถึงขนาดนั้นก็ตามมันคิดถึงการ สร างวัดและคิดถึงจะหายามาใหทานอาจารยฉันและเร ื่ องอ ื่ นของทานอาจารย อยู ผมแปลกใจมากแตกอนรากฐานของการภาวนาไมมั่นคง ภาวนาจิตเข าถึงอัปนาได นานๆ แต เด ี๋ ยวน ี้ รากฐานของการภาวนาม ั่ นคงกวาแตกอน แตทําไมเวลาภาวนาจิตจึงเข าถึงอัปนาไมนาน อยากเรียนถามทานอาจารยวา บางคร ั้ งเม ื่ อคิดถึงเร ื่ องการสร างวัดหรือคิดถึงเร ื่ องทานอาจารยจิตมัน ฟุงซานมากควรจะปลอยวางเสียหรือควรจะใหมันคิดตอไป ทานอาจารย มันเป นเร ื่ องการทดสอบของการภาวนา นักภาวนาท ั้ งหลายเม ื่ อมีความสงบมากเทาไร ก็จะมีการฟุงมากเทานั้น เพราะจิตของเรายังไมคงท ี่จึงควรใชอุบายใหมากๆ คือคิดถึงเร ื่ องนั้น ๆ จน จิตสงบลงใหได เชนเร ื่ องการสร างวัดทําใหไดประโยชน อยางนั้นๆ มีคุณอยางนั้นๆ ทําแล วจะมีอายุ อยูนานอยางนั้นๆ เมื่อหมดอายุของวัดหรือตัวเราผูสร างวัดแลว สิ่งเหลาน ั้ นจะต องสลายไปตาม สภาพของมันไมมีอะไรเหลือสักอยางเดียวเม ื่ อเราพิจารณาอยางนี้จิตก็ปลอยวางแล วรวมเข ามาเปน อันหนึ่งการภาวนาคือการตอสูถาตอสูถูกวิธีทางจิตก ็จะรวมลเป นหน ึ่งไดถาไมถูกวิถีทางก็ฟุงไป กันใหญจึงไมควรทิ้งแตพิจารณาใหถูกตามหลักกรรมฐาน ถาหากพิจารณาไมไดก็ควรท ิ้ งเสียเราก ็ จะต องตาย ตายแล วเอาอะไรไปไมไดทั้งนั้น เว นเสียแตบุญแลบาปเทานั้น ซึ่งจะติดตัวเราไปเกิดใน ภพนั้นๆ การทําจิตใหรวมลงเปนอันหน ึ่ งน ี้ แหละคือการรวบรวมเอาบุญกุศลไวสําหรับติดตัวเราไป เกิดในภพข างหนา ๑.ผูถาม เด ี๋ ยวน ี้ ผมกําหนดพิจารณาไปตามสวนตางๆ ของกายจนบางคร ั้ งมีความรูสึกการเต นของ ชีพจร บางคร ั้ งมีความรูสึกวามีคนมานวดเสนทั่วๆ ไปในรางกายเวลาเป นเชนนี้รูวากําลังเข าถึง สภาพของอัปนา เม ื่ อเข าถึงสภาพของอัปนาจะเปนสักครูเดียว ทานอาจารย สภาพของอัปนาถาเราไปรูเทาเสียกอน ความรูเทามันมักจะไมเข าสนิท ถาเราปลอยลง ทีเดียวลงไปอยางอัตโนมัติอัปนาสนิทดีเร ื่ องของอัปนาไมใชเร ื่ องต องใชเป นเร ื่ องของการพัก
ตางหากแทที่จริงเราพิจารณาอะไรตางๆ ถอนออกมาจากอัปนาแลวใช ความคิดพิจารณาด วยเหตุผล อะไรตางๆ มันถอนออกมาเรียกวาอยูในชั้นอุปจาระ พิจารณาอะไรมันจึงคอยชัดใหรูจักระวังใชใช มันเลอะเทอะไปหมดเลยทิ้ งอัปนาเขาไมถึง สวนการพิจารณาก ็ไมได ผล ๑.ผูถาม เวลาอยูที่วัดหินหมากเปง เวลาเข าถึงอัปนาก็ อยูได นาน ชอบใจยินดีที่จะอยูในสภาพนั้น แต เด ี๋ ยวนี้มันคล ายๆ กับรูสึกตัวเวลาจะเขา มันตื่นเตน แตเข าไดสักประเดี๋ ยวมันก็ออกมาแตกอนใชวิธี พิจารณาคือถอนผมออกแตมันเจ็บ เด ี๋ ยวน ี้ใชวิธีโกน ผมออกแล วเอาผมขนไวในกลองแล วเอา หนังออกแล วแลเน ื้ อเอ ็ นเสนเอาไวในกลองแล วเอากระดูกไวอีกกลองหนึ่ง สําหรับหนังกับเส นเอ็น เป นกลองท ี่ จะต องสลายไปกอน สวนกลองท ี่เป นผมกับกระดูกสองกลองน ี้ อยูนานกวา เวลา พิจารณาส ิ่ งเหลานี้นึกถึงอนิจจัง ทุกขังอนัตตานี้ยังขัดๆ อยูก็พอดีเม ื่ อคืนนี้ทานอาจารย แก ไขตอก ็ รูสึกเข าใจดีแลว หลังจากนั้นก็แผเมตตาใหกับครอบครัวของผม แตที่ทานอาจารยวาการพิจารณา อยางนี้มันมากมายหลายอยาง มันตองกลับมาท ี่ เดิมท ี่ เคยทํามาแลวคือพิจารณาอาการของกาย เมื่อ อาการไหนชัดก ็ เพงจ องอาการนั้น จนเข าถึงอัปนา ทําอยางน ี้ เร ื่อยไป หรืออยางไหนดีกวา ทานอาจารย อยางนี้ดีกวาคือมีเร ื่ องคิดพิจารณาแยกแยะในสวนน ั้นเป นอยางน ั้นในสวนน ี้เป นอยาง นี้ให เห ็ นอยางที่พิจารณาดีแล วแหละถูกแลว นี่เปนเคร ื่ องอยู เม ื่ อเห ็ นอยางน ั้ นแล วผูที่ติดอยูก็เลย สนุกกับเร ื่ องนั้น เลยไมพนจากนั้น ที่เรียกวารูปฌานคืออยางน ี้ เองคือเอารูปมาเป นอารมณ รูปฌาน นี้ถาพิจารณาเปนคือเห ็นเปนไตรลักษณ เป นอนิจจัง ทุกขังอนัตตา มันเลยกลายเปนปญญาวิปสนา ไป มันไมใชฌานเส ียแลว นี่แหละฌานมันกลับเปนวิปสนาไป มันเป นอยางน ี้ แหละ ทานบอกวา วิหารธรรมเป นเคร ื่ องอยูของนักภาวนา มีเคร ื่ องเลนเคร ื่ องอยูอยาใหสงออกไปภายนอกใชไมไดรูป ฌานเข าวิปสนาไดงายอรูปฌานเข าวิปสนาได ยากคือรูปฌานพิจารณาไตรลักษณมันไดงายถา เข าถึงอรูปฌานพิจารณาไตรลักษณ ได ยาก ๑.ผูถาม วันนี้ผมขับรถเวลาจะแซงรถบัสเกือบจะชน เม ื่ อกอนอาจจะเดือดร อนวุนวายใจแตเด ี๋ ยวน ี้ กลับสงสารคนขับรถบัส ตั้งแตหัดภาวนามันกลับกลายเป นอยางน ี้ ครับ ทานอาจารย ก็นั่นละซีมันไดประโยชน อยางน ี้เปนประโยชนทั้งทางนอกทางในเปนประโยชนทั้ง ตัวเราและคนอื่นดวย มันเปนประโยชน มากการภาวนาน ี่สามารถลดความโกรธความโลภ ความ หลงลงไดรูจักให อภัยซ ึ่ งกันและกันไดไมเอาทิฏฐิมานะเข าไปขมขู
๑.ผูถาม รูสึกวามีความกาวหน าในการภาวนาแตไมทราบวามันจะหลอกลวงตนเองหรือเปลา เด ี๋ ยวนี้พิจารณาอาการสามสิบสองตามที่ทานอาจารย บอกให ขณะที่ทานอาจารย อยูที่นี่ก็พอจะเห็น อาการสามสิบสองไดถาทานอาจารย กลับวัดหินหมากเปง พอจะพิจารณาผมและขนไดแตพอถึง เล็บ พิจารณาอยางไรก็ไมตกเลยปรากฏเป นภาพมีดตัดเล็บ แตกดอยางไรก็ไมขาดผลที่สุดก ็โกรธ มีดตัดเล็บก็เลยเอากรรไกรมาตัด ตัดเทาไรก็ไมขาดเลยเห็นวาเหตุที่มันไมขาดเพราะเราไปยึด เพราะความยึดมั่นทําใหเราตัดไมขาดเวลาพิจารณากายก ็ พอเห็นวาเป นอนิจจังได ทุกขังได แตยัง ขัดๆ อยูเป นเร ื่ องอนัตตา เม ื่ อกอนไมเคยคิดถึงเร ื่ องความตายของตน แตพออาเค ็ งคูพาไปที่ผาศพ และเห ็ นคนตายเห ็ นศพมากแล วอาเค ็ งคูบอกวาคนน ั้ นเขาตายเพราะเหตุนั้น คนน ี้ เขาตายเพราะเหตุ นี้เม ื่ อเวลาเห ็นในตอนนั้นมันเกิดชัดข ึ้นมาในใจวาคนเราเกิดมาทุกนาทีทุกวินาทีมันใกล ความตาย อยางน ี้ เอง ตอนน ั้ นการพิจารณาในกายมันก็ชัดขึ้น เม ื่ อกอนเวลาพิจารณากําหนดท ี่ อกถาอยู ธรรมดา ๆ เห็นวาอกเปนสิ่งท ี่ สวยงาม แตเวลาพิจารณาก ็ เห็นวาเปนของสกปรกเปนของปฏิกูลเมื่อ ไปที่โรงพยยาบาลเวลาเห็นผาตัดอกก ็ เห ็นเปนของสกปรกเปนของปฏิกูลจริงอยากทราบวาการ พิจารณาของดิฉันมันกาวหน าหรืออยางไร ทานอาจารย การก าวหน าหรือถอยหลงมั ันตองรูดวยตนเองซิคนอ ื่นจะไปรูใหไมได ดอกการ พิจารณาถ าหนีจากกายแล วเปนผิดท ั้ งนั้น กายน ี้เปนที่ตั้งของอุปาทาน ละก ็ ละตรงน ี้ถือก็ถือตรงน ี้ พิจารณากายนี้สวนใดสวนหน ึ่ งเห็นชัดลงถึงอนิจจัง ทุกขังอนัตตาแล วจิตมันรวมลงเป นหน ึ่ งนั้น แหละถูกหนทาง พิจารณาผม ขน มันชัดก ็ใหพิจารณาอยูอยางนั้นกอน นี่ไปพิจารณาเล็บมันไมชัด เลยไปโกรธเอากรรไกรมาตัดก ็ไมขาด มันจะขาดอะไรเราไปแตงเอาไมใชเห็นชัดแจ งด วยความ สงบน ี้ เห ็ นศพภายนอกก ็ ตามหากมีจิตเป นสมาธิอยูแล วมันชัดด วยใจของตนเองอยาไปแตงใหมัน เป นอนิจจังทุกขังอนัตตาถาจิตไมสงบแล วแตงวาดภาพเอาสักเทาไรมันก็ไมเปน ถาจิตสงบแลวไม ตองแตงมันหากเป นเองของมัน ๑.ผูถาม ไมหนีจากหลักความสงบ เวลาพิจารณานานๆ เข าก ็ เลยคลายจากการพิจารณาแตก็ ดําเนินการพิจารณาอยูอยางนั้น นานหนักเข ามีความรูสึกวาใจได เปลี่ยนไปอีกลําดับหนึ่ง เด ี๋ ยวนี้จับ จิตพิจารณาจิต และก ็ เห็นจิตแปรสภาพอยูตลอดเวลาก็เลยเป นอนิจจัง ที่มันเป นอนิจจังเพราะมันไม อยูคงท ี่ก็เลยเปนทุกขังและเพราะเหตุที่เราบังคับไมไดมันก็เลยกลายเปนอนัตตาการพิจารณาจิต เป นอยางน ี้พิจารณาอยูเร ื่อยไป แตหากวาจะกลับมาพิจารณากายไมได อยากจะทราบวาจะกลับมา พิจารณากายไดอีกไหม ถาพิจารณาอะไรมันคอย ๆ ดําเนินไป ก็เกิดความยินดีพอใจในการพิจารณา นั้น ถาหากมีอะไรขัดๆ ภายในก็มักจะไมพอใจเกิดความโกรธถาหากมันดําเนินไปเรื่ อย ๆ ก็เกิด
ความพอใจและเป นเพราะเหตุใดเมื่ อจิตใจไดเปลี่ ยนระดับไปจึงไมอยากพิจารณากาย หรือจะเกิด จากความเบ ื่ อหนายในกายที่มันไมเกิดความอัศจรรย หรืออยางไร ทานอาจารย มันอยางน ี้ แหละการพิจารณากายมันไมชัด ที่วาใจไดเปลี่ยนไปอีกลําดับหน ึ่ งนั้น คือ จิตเสื่อมจากการพิจารณากายการเห็นจิตเป นอนิจจัง ทุกขังอนัตตานั้นดีแลวความจริงก็ตองเปน อยางนั้น แตอยาไปทิ้ งกายเพราะกายน ี้เปนที่ตั้งของอุปาทาน ถาท ิ้ งกายน ี้ เสียแลวพิจารณาวิปสนาจะ ไมชัดเพราะวิปสนาต องมีรูปเป นหลักจึงจะเปนวิปสนาได เม ื่ อมันเส ื่ อมพิจารณาไมได แล วควร ตั้งใจพิจารณาใหมอยาไปเอาสัญญาเดิมวาเราเคยพิจารณามาแลวใหตั้งใจลงในปจจุบันเห ็นเปน ปจจุบันเด ี๋ ยวน ี้ก็จะกลับคืนมาเห็นชัดตามเดิม ถาเห็นชัดแล วจะเพลิดเพลินอ ิ่ มเอิบอยูดวยการ พิจารณาน ั้ นตอไป ๑.ผูถาม ทีแรกพิจารณาอาการสามสิบสองไมชัดก ็ เลยเอาพุทโธเพราะเวลาพิจารณาใจมันฟุงไปนี่ ไปโนน เพราะฉะน ั้ นเลยเอาสมองมาพิจารณา ตามความเห ็ นของผมสมองกับใจมันเปนอันเดียวกัน ดูวาสมองมันมีรูปลักษณะอยางไร มีเส นเลือดอะไรตออะไรผมเพงพิจารณาอยูอยางน ั้ นครับ ทานอาจารย ดีแลวเพงอยูอยางนั้นละ มันอยูจุดเดียวเปนใชไดทั้งนั้น อยาไปเอาหลายอยาง วันที่๒๒ มีนาคม ๒๕๒๐เวลาค่ํา สนทนาธรรม ๒.ผูถาม ผมถือลัทธิฮินดูครับ เคยหัดทําภาวนาแบบฮินดูโดยเพงพระเจ าองค หนึ่งแตวาหัดนาน บางทีก็นั่งหน ึ่ งช ั่วโมงสองชั่วโมง พยายามระลึกถึงพระเจาแตวาในลัทธิของผมสอนวาเวลาหัด ภาวนาเราต องอดอาหารบางชนิดเพราะบางชนิดมันแสลงกับกายทําใหภาวนาไมดีผมเป นคนงาน ตองทํางาน อดอาหารอยางน ั้นไมได เลยคิดวาการหัดน ี้คงไมให ผลเลยหัดอยูเพียงประมาณสาม เดือน ทานอาจารย ถือศาสนาฮินดูหรืออะไรก็ ตาม ถาฝกหัดจิตให เข าถึงเอกัคตารมณ เปนอันถึงพระเจา เหมือนกัน ฮินดูถือพระเจ าหลายองค เชนพระนารายณ พระอิศวร พระอุมา พระพรหม เปนตน บรรดาพระเจ าท ั้ งหลายเหลาน ั้นเปนของไมมีตัวตน แตให ระลึกถึงจนจิตแนวแน เป นเอกัคตารมณ พุทธศาสนาก ็ให ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ าจนจิตแนวแนเป นเอกัคตารมณ เชนเดียวกัน มัน
ผิดแปลกกันท ี่ ความระลึกถึงศาสนาพระเจาให ระลึกถึงตัวพระเจาศาสนาพุทธให ระลึกถึงคุณงาม ความดีของพระพุทธเจา ทั้งท ี่ พระองคยังทรงพระชนม อยูและดับขันธนิพพานไปแลวถาใจยังไม แนวแนเป นเอกกัคตารมณก็ยังไมถึงพระเจ าท ี่ แท จริงคําวา พุทธในพุทธศาสนามิได หมายเอาตัว บุคคลแตหมายเอาคุณธรรม ๑๐ ประการ (คือ บารมี๑๐ ประการ )ผูใดบําเพ ็ ญเต ็ มแล วยอมได สําเร ็จเป นพุทธเม ื่ อคุณธรรมนั้นปรากฏขึ้นแกบุคคลใดแลว บุคคลนั้นยอมจะไดรับความกราบไหว เคารพนับถือไปด วย ๒.ผูถาม พึ่งหัดทําไมสามารถนั่งไดถึงสองสามช ั่วโมง ทานอาจารย ไดสองสามช ั่วโมงก็เพราะใจมันรวมไดละซีใจสงบไดจึงคอยอยูไดใจไมสงบมันอยู ไมได หรอก มันเป นสมาธิใจมันรวมเป นหน ึ่ งแลวแตไมรูการศึกษาก ็ไมเพียงพอท ี่ จะรูจักมันถูก หรือผิดจิตท ี่เป นหน ึ่ งน ั้ นผูสอนก ็ไมทราบวามันเข าถึงเอกัคตาจิต เอกัคตารมณอันหน ึ่ งแล วเลยไมรู วาจะเอาอะไรมาเป นหลักถาหากจับหลักอันนั้นไดดําเนินตอไปมันก็ดีใหปฏิบัติอยางน ั้ นแหละถูก หนทางแลว นั่นแหละพระเจ าจะมาชวยคือเวลาทําไปไดรับความสงบสุข นั่นแหละคือพระเจ ามา ชวยใหพนทุกข เร ื่ องอาหารหรือเร ื่ องกรรมกรตางๆ นั่นทําไปเถิดไมเปนไรหรอกพระเจ ามาถึงแลว ไมรูจักตัวพระเจา บางทีพระเจ าอาจจะมาปรากฎตัวให เห็น แตเวลาน ี้ พระเจ ายังไมปรากฎกอน หรอกเพียงแตชวยใหไดรับความสงบสุข ๒.ผูถาม อยากจะถามเก ี่ ยวกับเร ื่ องน ั่ งสมาธิแล วอยากทราบวาอยางไหนดีกวากัน คือวาเวลาเราจะ นั่งสมาธิแตวาวันหน ึ่ งน ั่งไมกี่คร ั้ งและก็นั่งไมเปนประจําอีกอยางหน ึ่ งเราน ั่ งแตไมนาน แตวาเปน ประจําอยางไหนจะดีกวากัน ทานอาจารย ควรท ี่จะใหเปนกิจวัตรคือเราจะทําในเวลาใดเมื่อถึงกําหนดแล วเราควรทํา นาน หรือไมนานไมเปนปญหาขอใหเป นกิจวัตรวัตรคือการทําใหสม ่ําเสมอเป นการดีมาก สวนท ี่จะได นานหรือไมนานน ั้นเอาไวอีกสวนหนึ่งถาหากจิตมันสงบดีมันนานไปเองหรอกถาจิตไมสงบมันก็ ไมนาน ๓.ผูถาม ผลท ี่เราจะไดรับจากการภาวนา เราจะต องน ั่งไดนานสักเทาใดผลท ี่จะไดรับมันเก ี่ ยวกับ เวลาการนั่งภาวนาหรือเปลา
ทานอาจารย มันอยูที่อุบายของผูที่จะน ั่ งภาวนาผูที่นั่งภาวนาน ั้ นเบ ื้ องต นเราปรารภอารมณอันใด เป นเหตุเบ ื้ องตน ถาหากมันถูกต องหรือเหมาะกับอารมณ ของเรา มันก็เข าไดงายสบาย เข าสมาธิได เร ็ วและอยูได นาน ถาหากไมเหมาะสมไมถูกต องตามอารมณ ของตน มันก็ยากอยูหนอยแตเวลา เอาชนะมันได แล วก็รูจักวิธีและน ั่งได นาน ๓.ผูถาม มีเพ ื่ อนคนหน ึ่ งถามวาจะหัดภาวนาอยางไรจะเริ่มต นอยางไรเพราะเขาไมเคยภาวนาได แนะนําวาเวลาหัดเบ ื้ องต นเราจะต องถามตนเอง ขอท ี่ หนึ่ง ภาวนาคืออะไร ขอท ี่ สองจุดมุงหมายของเราคืออะไร ขอท ี่ สาม แล วเราจะทําด วยวิธีไหน ขอสุดท ายแล วเราจะไดผลอะไรบ าง เราจะต องต ั้ งคําถามสี่ขอน ี้ เพ ื่ อท ี่ จะหัดภาวนาถาหากเราจะหัดภาวนาเพราะวาเราอยากจะมี ฤทธิ์มีเดช หรืออยากรูเร ื่ องของคนอื่น หรืออะไรตออะไรก็ไมถูกหนทางและไมควรเป นส ิ่ งมุงหมาย ของการภาวนาของตน ผมเข าใจวาเราหัดภาวนาเพ ื่ อศึกษาใจของเราการอบรมเบื้ องตนก็เพ ื่ อหา ความสงบ อยากจะกราบเรียนถามทานอาจารยวาท ี่ แนะนําอยางนี้ถูกต องหรือเปลา ทานอาจารย ถูกดีอยูหรอกคือวากอนท ี่ เราจะหัดภาวนาใหรูจักความหมายของการภาวนา ภาวนา เพ ื่ออะไรจะทําวิธีไหน และจะได ผลอยางไรการหัดภาวนาอยาเข าใจนอกเหนือจากความหมาย ภาวนาคือหมายถึงหัดทําความสงบ อบรมใจให อยูในอารมณอันเดียวเพราะคนเราเกิดข ึ้ นมามีใจ กันอยูทุกคน แตวาไมรูจักใจของตน เพราะใจไมสงบ นี่คือความมุงหมายของการภาวนา พระพุทธเจ าทานสอนให เราภาวนาก็คือใหรูจักการพักใจรวมใจใหรูจักสงบ เราทุกคนคงรูสึกตัวดี วาใจของตนยังไมทันสงบเลยถาหากผูที่ไมได ภาวนาหรือทําใจไมสงบก ็ไมเห ็นใจของตนแนนอน ใจมีลักษณะอาการอยางไรใจของเราถาหากไมมีการสงบเสียเลยคือไมมีการพักก ็จะไมมีพลังใน การท ี่ จะตอสูอารมณตางๆ ไดนี่คือความมุงหมายของการหัดภาวนาหรือทําสมาธิจึงเป นหน าท ี่ ของ ทุกคนและเปนกิจของตนท ี่ จะต องทําด วยกันทั้งนั้น นี่ขอแรกจะทําด วยวิธีใดคือวิธีอบรมภาวนามี หลายอยางตามลัทธินิยมของแตละศาสนา เชนดังอธิบายมาอยางตะกี้นี้ชาวฮินดูถือพระเจาคริส เตียนก็ถือพระเจา ใหจิตแนวแนอยูในอารมณอันเดียวเหมือนๆ กัน พระพุทธศาสนาก็ถือเอาคุณ พระพุทธเจ าพระโคดม ใหจิตแนวแนอยูในอารมณอันเดียวจิตแนวอยูในอารมณอันเดียวคือจิตพัก เบ ื้ องตน ถาจิตพักเบ ื้ องต นอยูนานๆ หนักเขา มันมีกําลังเพียงพอจะวางเสียซ ึ่ งอารมณอันนั้น แล วเขา ไปสงบนิ่ งแนวอยูคนเดียว นี่วิธีฝกฝนอบรมที่ จะเข าใหถึงพระเจ าหรือจะใหจิตเข าไปพักจะเรียกวา
ถึงพระเจ าก ็ได หรือจะเรียกวาจิตเข าไปพักก ็ไดถาหากผูตองการอยากจะใหได ฤทธ ิ์ หรือปาฏิหาริย เพ ื่ อต องการเอาไปใชในเหตุนั้นๆ ในเรื่ องนั้นๆ จิตจะไมอยูในอารมณอันเดียวจะไมเป นผลสําเร็จ ในการฝกหัดเลย ๑.ผูถาม ขอถามถึงส ิ่ งแวดล อมครับ อยากทราบวาส ิ่ งแวดล อมสําคัญไหม คือวาถ าส ิ่ งแวดล อมของ เราสบายอันนี้จะชวยในการภาวนาของเรามากกวาส ิ่ งแวดล อมท ี่ไมสบายไหมครับ ที่ธิเบตพระบาง องคก็ไปนั่ งบนหิมะหนาวมากเพ ื่ ออยากจะหัดภาวนา สิ่งแวดล อมสําคัญหรือไมสําคัญ ทานอาจารย สิ่งแวดล อมเปนสิ่งสําคัญอันหน ึ่ งเหมือนกันในการภาวนา มันก็อยูที่ตัวของเราอีก เหมือนกัน สิ่งแวดล อมที่ทําใหสุขสบายคือสถานที่ก็ดีอากาศก็ดีหรือส ิ่ งแวดล อมที่ทานแสดง ในทางพุทธศาสนาวาอากาศสบาย สถานที่สบายเพ ื่ อนท ี่ อยูดวยกัน สนทนากันคุยกันเป นเร ื่ อง สบายแล วกฤด ็ูเปนที่สบายอาหารเปนที่สบาย หมูนี้ทําให เจริญภาวนากรรมฐานไดสะดวกขึ้น แตก็ เป นบางคน แตบางคนถาสบายมากก็เกิดความประมาทเสียถาขัดข องแล วมันตอสูจิตใจกล าหาญ เด ็ ดเด ี่ ยวยอมสละจิตรวมงายกวาท ี่ สบายเสียซ ้ํ ามันอยูที่อุบายของเราอยาลืมการภาวนาคือการสร าง พลังของใจ ที่ใจจะมีพลังก ็ เพราะความสละ สละได เทาใดกล าหาญเด ็ ดเด ี่ ยวเทาใด พลังใจก็มีมาก ขึ้นเทานั้น เม ื่ อสร างพลังใจใหมีพลังเต ็ มท ี่ สมาธิก็เป นเร็ว ที่จะเปนชาหรือเป นเร ็ วก ็ อยูที่ความสละ ของใจคือวาเราเปนทุกข เดือดร อนเพราะอารมณตางๆ มากระทบใจเชน ความโกรธเพราะไมถูกใจ คนใดคนหนึ่ งหรือความไมพอใจกับคนใดคนหนึ่ งซ ึ่งมากระทบใจของเรา ใจเราออนปวกเปยกไป ตาม เพราะพลังใจไมพอเหตุนั้นเราจึงต องหัดภาวนาเพ ื่ อสร างพลังใจสูกับอารมณนั้น ๆ เราจึงจะ พนทุกข ไดเป นเร ื่ อง ๆ ไป พระพุทธเจ าท ี่ จะตรัสรูกอนท ี่จะเป นพระพุทธเจ าก็ตองผจญพญามาร เสียกอน รบพญามารจนชนะจึงไดเป นพระพุทธเจา เราจะไดรับความสุขสบายก ็ จะต องผจญตอสูกับ อารมณที่มากระทบนั้นดวยพลังใจที่ เข มแข ็ งและกล าหาญ คือยอมสละเด ็ ดเด ี่ ยวเราจึงจะพ นจาก อุปสรรคคือมารน ั้นไดใหถึงซ ึ่ งความสุข ๓.ผูถาม กรรม การกระทําของเรา เราจะต องเป นผูไดรับ ญาติของเราก ็ จะต องไดรับดวยหรือไม ทานอาจารย มันผูกพันเก ี่ ยวเน ื่ องเหมือนกับตนไม เชนตนมะมวงหรือต นอะไรที่ ผลมันหวาน พอ บอระเพ ็ ดเก ี่ ยวพันเลยขมไปตามกัน สิ่งท ี่ อยูใกลๆ หรือส ิ่ งแวดล อมมันก็พลอยเปนไปตามไดดัง เห็นกันงายๆ ที่เขาพูดกันถึงเร ื่ องม ากระจอกเดินโขยกเขยกเจ าของเป นคนหัดม าเดินกะเผลก มาก ็ เลยวิ่งกะโผลกกะเผลกไปตามกัน ครอบครัวของเราถ าหากเราดีแลวคนท ี่ อยูในครอบครัวของเราก ็
อดดูความดีของเราไมได เม ื่ อเราดีแล วใครจะไมตองการอยากดีใครๆ ก็ตองการดีดวยกันทั้งนั้น มัน ก็สามารถที่จะทําดีกับเราไปไดถาหากวาเราทําชั่วครอบครัวของเราก ็ อดที่ทําช ั่วไมไดทานวาคบ คนเชนใดเปนไปเชนนั้น ๓.ผูถาม ขอโอกาสเรียนถามทานอาจารย ให ละเอียดเข าครับ ยกตัวอยางเชนพระอรหันตเม ื่ อยังมี ชีวิตอยูคือยังมีกายและจะตองรับผลกรรมท ี่ไดสร างมาแล วมิใชหรือเม ื่อเปนพระอรหันตก็ไมได สรางกรรมใหมแตวากรรมเกามันก็ยังติดตามอยูจะต องรับผลของกรรมที่เคยสร างมาหลายภพ หลายชาติแลวจะต องรับผลท ั้ งหมดหรือเปลา หรือวาไมตองรับผลกรรมก ็ไดตัวอยางอีกอันหน ึ่ งคือ วาเป นพระอรหันตแลวแตวาในชาติกอนทานเคยเป นหมอทําใหผูหญิงคนจนคนหน ึ่ งตาบอดใน ชาติตอมาเมื่อสําเร ็จเปนพระอรหันตแลวแตก็ตาบอดไปด วยแสดงวาเม ื่ อถึงแม จะสําเร ็จเป นพระ อรหันตก็จะต องไดรับผลกรรมทุกๆ ชนิดท ี่เคยไดสรางมาใชหรือไมครับ ทานอาจารย กรรมท ี่ สร างมาแล วตลอดถึงรูปกายตัวคนเราน ี่ แหละท ี่เราไดทําไว แล วต ั้ งแตชาติกอน เกิดมาชาตินี้ก็เรียกวาเราไดรับผลกรรมของชาติกอน อยางพวกเราทุกๆ คนน ี้ไดรับผลของกรรม เรียกวาวิบากคือผลของกรรมชาติกอนด วยกันทั้งนั้น สําหรับพระอรหันตทานก็รับเหมือนกันกรรม บางอยางคือบางอยางทานละไปไดแลวแตบางอยางยังติดตามอยูชักตัวอยางพระอรหันตที่ทานได ทําใหผูหญิงตาบอดสมัยกอน คือมีเร ื่ องเลาไว อยางน ี้มีผูหญิงคนหน ึ่ งเขามีเงินเขารวยหนอย หาหมอ รักษาตา พอหมอขึ้นไปบ านแกไปเห็ นสมบัติของแกมีมากๆ ก็เลยโลภอยากไดสมบัตินั้น หายามา ใสไมใหตาของคนไข หายเร็วรักษาใหมันเจ ็ บนานๆ เม ื่อไปรักษาก ็ เก ็ บเอาส ิ่งเอาของของคนไขทีละ เล็กละนอยผลที่สุดผูหญิงคนน ั้ นตาบอดกรรมอันนั้นแหละตามมา ในชาตินี้ทานทําความเพียร กอนท ี่จะไดสําเร ็จเป นพระอรหันตกรรมน ั้ นตามมาทัน ทําความเพียรไมนานจนเกิดโรคตาขึ้นดวย ผลกรรมเกา ทานทนทุกข ทรมานสอนตนเองเตือนตนเองวา ตาน ี้เปนของหาไดงาย มรรคผล นิพพานไมใชเปนของหาไดงาย เหตุนั้นจะเอาตาหรือจะเอามรรคผลนิพพานดีเตือนตนอยู ตลอดเวลา หมอเอายาไปหยอดทานก ็ไมยอมหยอด หมอจึงสงสัยได ถามทานวาทานหยอดหรือเปลา ทานก็นิ่งไปดูในที่ นอนก ็ไมมีในที่ นอน ถามวาทานหยอดตาโดยวิธีไหน ทานก็นิ่ง หมอบอกทาน วาไมหยอดตาแล วมันจะหายได อยางไร หมอก ็ เลยทอดธุระปลอยวาง พอหมอทอดธุระทานก ็ เด็ด เด ี่ ยวเข าไปอีกจนในผลที่สุดวันออกพรรษาตาเลยทะลุตาเลยแตกพร อมกับสําเร ็จเป นพระอรหันต กรรมอันนี้ตามทันแตยังไมไมสําเร ็จเปนพระอรหันตเม ื่ อสําเร ็จเปนพระอรหันตแล วกรรมวิบากอัน นั้นคือตาบอดแลเจ ็ บตาก็ยังอยู เหตุนั้นกรรมตามทันอยูเหมือนกัน วิบากกรรมยอมตามทันเม ื่ อมี ชีวิตอยู
๓.ผูถาม ทุกๆ คนรักภาวนาเพราะวาภาวนาเปนสิ่งที่ดีแตวาพวกท ี่เปนฆราวาสประกอบอาชีพ โดยเฉพาะอยางยิ่งคนหนุมไมคอยจะมีเวลาหัดได เพราะจะต องไปทํางานสามโมงเช าถึงหกโมงเย็น พอมีวิธีไหมที่จะฝกอบรมภาวนาได เชนเวลาไปยืนรอรถเมล หรือเวลาวางช ั่ วระยะหน ึ่ งท ี่ออฟฟซ พอท ี่ จะกําหนดอะไรสักอยางหน ึ่งในการภาวนาได หรือไมขอโอกาสทานอาจารยชวยแนะนํา ภาวนาในชีวิตประจําวันแบบนั้น ขอท ี่ สองคนหนุมก็ยุงมาก ชอบทําอะไรหลายอยางจุกจิกด วยเวลา นั่งภาวนาบางทีก็เลือกกําหนดลมหายใจ บางทีถาไมพอใจก็ไปเลือกพุทโธ หรือบางทีกําหนดอยาง อื่นตอๆ ไป มันไมคอยจะอยูคงท ี่อีกประการหนึ่ งคนหนุมมักจะไมสํารวม อยากจะทราบวาพอมีวิธี ที่จะตอสูกับเร ื่ องน ี้ไดไหม เพ ื่อจะใหสํารวมในการนั่ งภาวนา เพราะคนหนุมมักจะเบ ื่ องายในการ พิจารณาถาหากเรามีเร ื่องในการพิจารณาของเรา เม ื่ อนานหนักเข ามันมักจะเบ ื่ อจนเคยชินมาแลว แล วก ็ไมมีเคร ื่องเปนกําลังใจขอใหทานอาจารย แนะนําวิธีที่จะชวยกําลังใจในเรื่ องเหลานั้น ทานอาจารย เร ื่ องการทําความเพียรภาวนาทําเวลาใดก็ไดยืน เดิน นั่ง นอน ไดทั้งนั้น ขอใหทําจิต รวมลงไปไดเป นเอกัคตารมณก็ใชไดทั้งนั้น เวลาจิตมันจะรวมขณะเดียวเทาน ั้นไมมากอะไร ที่วา คนหนุมมักจุกจิกด วยการงานและส ิ่ งตางๆ นั้น ไมใชแตคนหนุม แม คนแกก็ยิ่งรับผิดชอบมากกวา คนหนุมน ั้ นเสียอีกแล วจุกจิกที่วาน ั้ นก ็ไมใชเร ื่องอะไรนอกจากเรื่องปากเรื่ องท องน ี่ แหละ พระพุทธเจ าจึงสอนใหทําความสงบ ถาไมใชเร ื่ องเหลาน ี้ แล วพระพุทธเจ าจะไมมาอุบัติในโลกนี้ และจะไมสอนให คนภาวนาเลยก็เร ื่ องภาวนานี่แหละจะกําจัดความวุนวายท ั้ งหลายมีเร ื่องปากเรื่ อง ทองเปนตน วิธีภาวนาน ี้ อยางเดียวเทานั้นที่ละช ั่ วทาดํ ีหนีจากกรรมพนจากทุกข ไดเพราะส ิ่ งท ั้งปวง ในโลกถึงแมจะหามาได มากมายก ็ไมรูจักอ ิ่ มจักพอ ตายแล วเอาอะไรไปไมไดทั้งหมดของเหลานั้น เป นสมบัติของโลก สวนสมบัติของตนได แกบุญและบาปที่ตนทําไวจะเอาไปได แตเทานั้น ๒.ผูถาม เวลาเราจะทําอะไรเราควรทําอยางเดียวไมใชทําสองอยางสามอยางในเวลาพร อมกัน เชนเดียวกับเราจะรับโทรศัพท เราจะอานหนังสือพิมพ พร อมๆ กันไมได เพราะอาเค ็ งคูมีปญหาอยาง นั้น หมายความวาเราจะต องเอาอยางเดียวคือจะรับโทรศัพท หรือวาจะอานหนังสือพิมพ ทานอาจารย ขณะของใจเป นของเร ็ วมากขณะจิตเดียวมันอาจจะมีสองสามเร ื่ องก ็ไดเพราะใจเปน ของเร ็ วเชน เราเขียนหนังสือถาหากวาใจเราไมจดจ องเฉพาะในตัวหนังสือเราก ็ เขียนไมถูกใน ขณะเดียวกันอาจจะแวบไปฟงเสียงอะไรก็ไดไมเฉพาะจดจ องในการเขียนหนังสือในขณะจิตเดียว ที่แวบไปไดยินเสียงอาจจะไดความรูความเข าใจขึ้นมาในเรื่ องนั้นก็ไดเป นของเร็ว
๒.ผูถาม เม ื่ อกอนยังไมถือศาสนาพุทธเวลาประกอบอาชีพคือกําลังดูกล อง บางทีก็ดูกลองจ ุลทัศน แล วก็รับสายโทรศัพทดวยแตเด ี๋ ยวนี้ถือศาสนาพุทธแล วเวลาจะรับสายโทรศัพทก็ไมไดดูกล อง จุลทัศน ตั้งใจรับสายโทรศัพทรับฟงเร ื่ องตางๆ แลวก ็คุยสนุกแล วเวลากลับมาดูกล องเซลล อะไร ตางๆ เข าใจและทํางานไดดีกวาเม ื่ อกอน ทานอาจารย ถาหากเรารูจักเรื่องใจแลว นําเอาใจมาใชไดดีที่สุดเราไมพักจิตเราใชในขณะนั้ นเราจะ ไดรับผลคุมคาและดีเสียด วยถาหากเราไมตองการใช เราเก ็ บเลย สบายเหมือนกัน ๓.ผูถาม ขอโอกาสถามถึงเร ื่ องกรรมครับ ยังขัดข องเก ี่ ยวกับนิทานที่ทานอาจารย เลาใหฟงเก ี่ ยวกับ หมอที่ทําใหผูหญิงตาบอดครับ พระอรหันตองคที่ทานพยายามทําความดีที่สุดในชาตินี้จนสะอาด หมดจนสําเร ็จเป นพระอรหันตนั้น กรรมวิบากนั้นก็ยังอุตสาห ตามทันทาน กรรมน ี้ไมมีความเมตตา กรุณาเสียเลย ทานอาจารย กรรมมันตามสนอง ทานเปรียบอุปมาเหมือนกับเงาคนไมคอยจะรูสึกวาเงาเรามีอยู หรอกเวลาเราเดินมันตามไป ฉันใดกรรมที่ เราทําในอดีตที่ลวงมาแลวเราก ็ไมรูวากรรมตามทันเรา มา หากมันบันดาลไปเองเพราะมีตัวเหมือนกับตัวคนเราถ ามีตัวก็ตองมีเงากรรมก ็ เชนนั้น เหมือนกัน กรรมมิใชไมมีเมตตาแตตัวเราเองไมมีเมตตาแกตัวเองกรรมไมมีตัวมีตน คนทํามีตัวตน จึงทํากรรมนั้นๆ วันที่๒๓ มีนาคม ๒๕๒๐เวลาค่ํา สนทนาธรรม คนท ั้งหลายโดยมากเขาใจวาคําสอนของพระพุทธเจ าสอนให คนหนีจากโลกไมใหมีเหย ามี เรือน ถาคนเราปฏิบัติตามคําสอนของพระพุทธเจ าแล วจะไมมีคนทํามาหากิน ไมมีลูกมีหลานสืบ พันธกันเลย ฉะน ั้ นคนจึงไมอยากเข าวัดถึงเข าก ็ คนแกๆ หรือไมก็คนท ี่ หมดภาระแล วเทานั้น ถาเขา วัดก็ตองหาพระสงฆ ก็พระสงฆนี้แลเปนผูนําเอาคําสอนของพระพุทธเจ าออกเผยแพรฉะนั้น พระสงฆจึงดูเป นเหมือนภัยแกบุคคลผูเห ็ นเชนนั้นราวขมิ้นกับปูน โดยเฉพาะคอสุรากลัวนักกลัว หนากลัวพระสงฆ จะห ิ้ วข ึ้ นจากหมอทองแดงจะอยางไรก็ ตามถ ามนุษย เกิดมีณ ที่ใดแลว พระพุทธเจ าต องไปอุบัติขึ้นในที่นั้นแล วตามสอนจงไดถาไมมีคนพระพุทธเจ าก ็ไมเกิดเพราะไมมี
ใครจะฟงคําสอนของพระองคและปฏิบัติตามด วยคนประเภทที่วาน ั้ นจะมีอยูหรือไมก็ตาม พระองคมิไดคํานึงถึงเลยอุบัติขึ้นมาแล วก ็ จะมีแตสอนด วยความเมตตาอยางเดียว ฉะนั้นคําสอน ของพระองคจึงแนนกระชับอยูในโลกตลอดกาลคําสอนน ั้นประกอบดวยประโยชน มหาศาลแกหมู มนุษยผูตองการอยากจะทําดีถาตองการอยากจะอยูครองฆราวาสในโลกนี้ก็เลือกเอาธรรมท ี่ พอเหมาะแกหน าท ี่ แลวประพฤติทําตามก ็ไดความสุขสมควรแกอัตภาพของตน เชนพระองค สอน ไมใหประกอบอบายมุข ๔ คือเหตุเคร ื่ องฉิบหาย ๔ อยาง ๑. ความเปนนักเลงเจ าชู ๒. ความเปนนักเลงสุรา ๓. ความเป นนักเลงการพนัน ๔. ความคบคนช ั่วเปนมิตร ดังน ี้เปนตน แตละข อล วนแตเปนประโยชน มหาศาลอันหาคามิได แตคนเราไมยอมทําตาม ตอเมื่อ อบายมุขครอบงําแล วจึงบนวา ฉิบหายๆ แล วจึงกลุมใจ บางทีถึงกับฆาคนตายก็มี สวนผูบวชเข ามาในพุทธศาสนาพระองค สอนใหเป นคนเล ี้ ยงงายรูภาวะของตนวาเป นคนเชน ไรควรรักษาตนใหสมควรแกสมณะเพศวิสัย มีอะไรยินดีพอใจตามมีตามไดไมทะเยอทะยานดิ้น รนจนให เกิดความทุกข นี้แลคําสอนของพระองค ยอมทําประโยชนให แกมนุษยชาวโลกเปนเอนกประการแตมนุษย คนเราไมสนใจในคําสอนของพระองค แล วมีแตบนวาถาทําตามคําสอนของพระองค แล วจะหัน หลังใหโลกแท จริงคําสอนของพระองค สอนใหหันหน าเข าหากัน และพร อมกันนั้นก็สอนให ปรองดองสามัคคีซื่อสัตยสุจริตแกกันแลกัน ไมให เบียดเบียนกัน ทุกคนเกิดมามีหน าท ี่ จะต อง ประกอบภาระกิจของตนโดยสุจริต มิใชเกิดมาเพ ื่ อเบียดเบียนกัน พระพุทธเจ าเปนผูบริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสท ั้งปวงแลวไดเทศนาส ั่ งสอนมนุษยนิกรด วย ความกรุณาอยางยิ่งแลมิได หวังผลตอบแทนดวยประการใดๆ ทั้งสิ้น คําสอนนั้นจึงควรท ี่ มนุษยทุก ๆ คนท ี่ เกิดมาพบแล วจะปฏิบัติตามอยางยิ่งคําสอนของพระองค ยอมเน ื่ องด วยชีวิตประจําวันของ คนเราด วยประการฉะนี้ สนทนาธรรม ๒.ผูถาม ผมทราบวาความตายเป นอยางไรเพราะเคยฝนบอยๆ บางคร ั้งฝนวาเกิดสงครามขึ้นมี บอมบ มาผมรีบเก็บขาวของแตก็หนีบอมบ ไมพน เคยเห็นตัวเองตายออกจากรางและรูสึกสบาย
มากเวลาไปหาหนังสืออานเร ื่ องความตาย รูสึกวามันเหมือนอยางที่ฝน จึงบอกใหใครตอใครฟงวา ไมตองกลัวตายใหปลอยวางอยาไดกังวล ทานอาจารย มันเป นธรรม อาตมาก ็ เคยเขียนในหนังสืออยางวาน ี่ แหละคนเราเวลาตายไมมีทุกข หรอก มันทุกขกอนจะตายเวลาตายแล วมันหายวาบมันไมมีทุกข อะไรคือมันทุกข เพราะมันมีกรรม กรรมนําไป ที่เรียกวากรรมนิมิตรคตินิมิตอยางท ี่ อธิบายใหฟงมานั้น ขณะท ี่ ออกจากน ี้ไมรูสึกอะไร หายหมดอันนี้มันเป นของทอดท ิ้งของปลอยวางอยางท ี่ อธิบายใหฟงมานั้น ขณะท ี่ ออกจากน ี้ไม รูสึกอะไร หายหมดอันนี้มันเป นของทอดท ิ้งของปลอยวางอยางท ี่ อธิบายใหฟง เวลาเจ็บมันไปยึด อยูกอนที่มันจะตาย เม ื่ อหมดความรูสึกแล วจึงคอยตาย ๒.ผูถาม ผมมีอาชีพเป นหมอเม ื่ อกอนไมรูจักศีลห าวา ฆาสัตว เปนบาป ครูอาจารย สอนใหฆาสัตวที่ เปนภัยแกรางกายเชน ยุง เปนตน แล วก็ฆามามากเสียด วยอยากทราบวากรรมที่ฆาสัตวดวยความ ไมรูนั้นจะหนักเบาขนาดไหน ทานอาจารย ไมวาสัตว มนุษยทุกตัวตนเกิดมาแลวใครก็ตองหวงชีวิตด วยกันทั้งนั้น สัตว บางจําพวก เชน ยุงถึงมนจะอายั ุสันเพียง ๗ วันเทานั้น มันก็ยังรักชีวิตมันอยูจะเห ็นได ขณะที่มันดูดเลือดมนุษย คนเราอยูนั้น เม ื่อคนไลมันหนีไปแล วยังย อนกลับมาอีกดูดเลือดกินอีก นี่ก็แสดงวามันรักชีวิตของ มัน มันไมอยากตาย มนุษย คนเราน ี่ เสียอีกทําเกินขอบเขต มันกินเราเพียงนิดหนอยแทนท ี่จะไลหรือ หาแส เล ็ กๆ ไวปดใหมันหนีเสียกลับตีดวยฝามือขนาดมันแบนจนไมมีเหลือแม แตชิ้นเดียวกรรมนั้น มีแนแตไมรูวาหนักเบาขนาดไหน แล วแตเจตนาของผูกระทําถาผูกระทํานั้นมีโทษร ายแรงกรรม นั้นก็รายแรงถาโทษไมรายแรงกรรมนั้นก็ไมรายแรงแลทําด วยความรูวาน ี่จะเปนบาปไดรับบาป เบากวาทําด วยความไมรูอุปมาเปรียบเหมือนคนจับไฟ ผูไมรูยอมไดรับความร อนกวาคนผูรู ๒.ผูถาม ถามถึงเร ื่ องฆายุง เม ื่ อคืนนี้ผมน ั่ งภาวนา ยุงเยอะยุงชุมจริงๆ จนกระท ั่ งน ั่งไมเข าท ี่ เลยถา ตบยุงยุงก ็ จะตายแล วก ็ จะผิดศีลถาหากผิดศีลข อหน ึ่ งก ็ไมถูกจึงลุกข ึ้นไปนั่ งที่มุมหน ึ่ งของห อง หยักไยของแมงมุมเยอะ ซึ่งคิดวายุงขืนโงตามมาก ็จะไปติดเอาหยักไยแมงมุมเข าและจะต องโดน แมงมุมเลนงานแนถาเป นเชนนั้นผมจะต องไดรับบาปเทากับที่ฆายุงหรือไม ทานอาจารย มันไมบาปผิดศีลข อหนึ่งหรอกเพราะเราไมไดฆา เราหนีมันไป ยุงมันติดเองแตผิด ธรรมเพราะเราไปยินดีกับแมงมุมท ี่ จะต องเลนงานมัน
๒.ผูถาม บางทีเราจะต องเข าไปในสถานที่ หรือส ิ่ งแวดล อมท ี่ จะต องฆาสัตว เชนเราไปในสถานที่ไม มีจําพวกผลไม หรือผักจึงเป นการจําเปนที่จะต องฆาสัตว เพ ื่ อเล ี้ ยงชีวิตของเราให อยูรอด ฆาสัตว ใน ทํานองน ั้นจะเปนบาปไหม ทานอาจารย นั่นเปนบาปใหญเจตนาท ี่ จะฆาเขาน ั้นบาปแท ๒.ผูถาม ถาหากเราไมฆาเขาเราก ็ จะต องตายเพราไมมีอะไรกิน ทานอาจารย ชีวิตของเขากับของเรามันก็ เทากันนั่นแหละเราฆาเขาตายก ็ เหมือนกับเราตายเองนั่น แหละเราตายเองไมไปฆาเขาไมเปนบาป หรือเขาไมมาฆาเราเขาก ็ไมเปนบาป อันนี้เราไปฆาเขาเรา เปนบาป เราตายเองเราไมเปนบาปเพราะเราตายเอง ๒.ผูถาม ถาหากเราไปกับหมูคณะในสถานที่ เชนนั้น เขาฆาสัตวกิน เราไมไดฆาแตเรากินเน ื้ อสัตว กับเขาด วย นั่นจะเปนบาปไหม ทานอาจารย ถาเรายินดีดวยกับการฆาของเขา เราก ็พลอยบาปด วยเทากับการฆาดวยตนเองถาเราไม ยินดีก็ไมเปนบาป ๒.ผูถาม ขอยกตัวอยางอีกเร ื่ องหนึ่งคือคร ั้ งหน ึ่งไปกรุงเทพ ฯ พักท ี่โรงแรมแหงหน ึ่ งแตยุงชุมมาก ไมกล าท ี่ จะตียุงกลัวผิดศีลเลยไปบอกพนักงานวามียุงชุมแตไมบอกให เขาฆายุง นั้นเปนบาปหรือ เปลาเพราะเปนตนเหตุให พนักงานโรงแรมเอายาฉีดมาฆายุงตาย ทานอาจารย ถาเราบอกให เขาฉีดมันก็ผิดถาหากเราบอกวายุงชุมนักไลใหหน อยเขาก ็ จะฉีดตามใจ เขา ไลยุงให หนอยมันก็หมดเร ื่ องอยาไปบอกใหฆายุงให หนอย ๒.ผูถาม คร ั้ งหน ึ่ งเคยเลนกับเพ ื่ อนสองสามคน ในที่นั้นยุงชุมมากพวกเพื่อนเขาโดนยุงกัดใชมือตบ ตีอยูตลอดเวลา สวนผมเองไมรูสึกวามียุงกัดเลยเพ ื่ อน ๆ เลยแปลกใจ ชี้ใหดูยุงที่กําลังกัดผมอยูและ ในเวลาเดียวกันจะตบยุงตัวน ั้นให ตายแตผมผลักเพ ื่อนของผมออกไปไมใหตียุงเพราะกลัวผิดศีล เพ ื่ อนผมชักไมพอใจตอวาผมวาถาไมตบยุงใหตายเดี๋ยวยุงตัวน ั้ นจะมากัดเขา ทานอาจารย ดีๆ ก็เห ็ นอานิสงส อยูแลวคนมีศีลไมฆาสัตว สัตวยอมไมรังแก
๒.ผูถาม เร ื่ องยุงอีกครับผม เม ื่ อกอนยังไมรูจักศีลหาผมตบฆายุงทุกทีเลยไมรูสึกกลัวความผิดแต กลับรูสึกดใจท ี ี่สามารถฆาเขาได แตมาตอนนี้รูจักศีลห าแลวและรูวาฆายุงเปนสิ่งที่ผิดแตเวลาฆาก ็ ยังไมรูวาผิดอะไรมากมายถาหากผมพูดสอเสียดให คนอื่นนอยใจนั้นเปนบาปมากกวา เพราะเห็น ผลโดยตรงคือวาเห ็ นคนอื่นนอยใจเมื่ อพูดคําสอเสียดและทําใหเขาโกรธรูสึกวาอันนี้เปนบาป มากกวาอยากจะกราบเรียนถามทานอาจารยวาผลของการฆายุงกับการพูดสอเสียดนั้นอันไหนจะ บาปกวากัน ทานอาจารย ก็ยุงมันพูดไมไดนี่ เราทํามันจนตาย เราดาเขาหรือพูดสอเสียดเขาไมถึงกับตายหรอก ลองคิดดูซิวาอันไหนจะหนักกวากัน อันหน ึ่ งถึงกับชีวิต อันหน ึ่ งถึงกับเพียงน อยใจเฉย ๆ ๒.ผูถาม คือวาเวลาไปที่วัดหินหมากเปงอยากจะเข าห องน้ํา ในกฏิที่ผมอยูมีหองน ้ํ าอยูสองห อง ทั้ง สองห องหัวส วมมีมดเต ็ มเลยไมทราบวาจะทําอยางไรถาไปถายที่นั่นจะต องฆาสัตว ถาหากไมกลัว ศีลห าขาดจะเอาน้ํามาราดหมดทันทีเพราะกลัวศีลห าขาดเลยไปถามแมชีชวนวาจะทําอยางไรแมชี ชวนก ็ บอกวาไมรูจะทําอยางไรเลยกลับที่กุฏิเอากระดาษชําระไลให มดออกแตก็ไมสามารถจะไล ไดเลยเอาไม กวาดที่ทําจากทางมะพร าวแล วพยายามกวาดมันออกมาแตวาไมกวาดเป นของแข็งรู วาบางตัวจะต องตายแนตัดสินใจกวาดออกให หมดเพ ื่ อท ี่ จะถายได ขณะที่กําลังกวาดอยูก็นึกไดวา ความทุกข ของเราคือวาปวดท อง เป นส ิ่ งอนิจจังและเป นอนัตตาไมใชของเราแตก็ยังอดหนักใจ ไมไดวาจะต องฆามดตายบางตัวเม ื่อมาฟงทานอาจารยพูดในวันนี้ถาหากผมเอาน ้ํ าล างไปเลย นั่นก็ ทําด วยโมหะจะเปนบาปหนักย ิ่ งกวาท ี่ไดฆาราวสองสามตัวหรือไม ทานอาจารย ถาหากเราล างเพ ื่ อทําความสะอาดถึงแมมันจะตายไปบ างก ็ไมได หมายความวาเราจะ ผิดศีลเรามีเจตนาท ี่ จะล างออกเฉยๆ ถึงแมมันจะตายแตโดยเจตนาของเราไมมีก็ไมผิดศีลหรอกถา เราต ั้งใจเจตนาพยายามจะฆาแล วสัตวนั้นตาย สัตวนั้นเป นของมีชีวิต เจตนาหนึ่ง พยายามหนึ่ง จนกระท ั่ งทําสัตวที่มีชีวิตให ตายหนึ่ง มันจึงคอยพร อม มันจึงขาดออกจากศีลดีแล วท ี่ พยายามจะ ไมใหศีลขาดแตพึงเข าใจวาเจตนาน ั้นเปนตัวสําคัญของศีล ๒.ผูถาม ถาหากเราซ ื้ อยาฆาแมลงใหคนสวน เพ ื่อใหคนสวนฆาแมลงเองจะผิดหรือเปลา ทานอาจารย ถาเราเพงเพ ื่อให เขาฆามันก็ไมพนที่จะผิดศีล
๒.ผูถาม เม ื่ อกอนไปตลาดซื้อไกจะต องเลือกไกที่อวนและถูกใจแลวบอกให เขาฆา ตอมาเม ื่ อถือศีล ไมฆาสัตว รูสึกวามันผิดถ าหากไปบอกเขาฆาสัตว แตผมชอบกินไกมีคนแนะนําใหซื้อไกที่เขาฆา แลวก็ทําเชนนั้นแตไมแนใจวามันจะถูกต องดีหรือเปลา เพราะยังเป นการสนับสนุนให คนฆาไกอยู ดี ทานอาจารย เร ื่ องน ี้เปนปญหาประจําโลกมาตั้ งนานแลวถ าเราไมกินเขาก ็ไมฆา พวกมังสาวิรัติเขาก ็ ถืออยางน ี้ เขาฆาสัตว เพราะเรากิน แตในทางพุทธศาสนาพระพุทธเจา ทานพูดถึงเร ื่ องเจตนา เจตนา ที่เราจะให เขาฆาผิดศีลตรงนั้น ถึงแม เราไมกินไกเขาก็ยังพากันฆาอยูไมใชเราคนเดียวคนท ั้ งเมือง เขาฆาขายกันเปนประจําไมใชฆาเฉพาะตัวเรา ในทางวินัยของพระทานก็หาม ทานใหฉันเน ื้อได ดวยความบริสุทธิ์๓ อยาง ๑. ไมไดใชให เขาฆาเพ ื่ อเรา ๒. ไมไดยินไดฟงจากคนอื่นวาเขาฆาเพ ื่ อเรา ๓. ไมไดรังเกียจสงสัยวาเขาฆาเพ ื่ อเรา วันที่๒๘ มีนาคม ๒๕๒๐ แสดงธรรมเทศนา การภาวนาต องหาจุดสําคัญของใจใหได ภาวนาจึงจะม ั่ นคงถาวรตอไป จะภาวนาพุทโธ ๆ หรือภาวนาอานาปานสติก็ไดไมเปนปญหาขอแตใหจับจุดของใจใหมั่นคงก ็ แล วกัน บริกรรม พุทโธๆ หรืออานาปานสติก็เพ ื่อเป นเคร ื่ องลอใจให มาอยูในจุดเดียวอยาไปจับเอาพุทโธหรืออานา ปานสติใหจับเอาใจคือผูรูวา พุทโธอยูที่ไหน ใจอยูที่ไหน แล วปลอยวางพุทโธนั้ นเสียก็จะเหลือ แตใจคือผูรูแตอยางเดียวแล วกําหนดให อยูนั้นเสียกอนจะนานแสนนานสักเทาไรก็ ตาม ถาใจมัน เป นจริงตามที่วาน ี้ แลวจะมีอาการผองใสเบิกบานราเริงอยูกับความสงบนั้น อาการปวดเมื่ อยข ี้ เกียจ อยากจะออกไมมีทั้งอยากรูโนนรูนี่ก็ไมมียินดีกับความเป นอยูของตนอยางพูดไมถูกถึงพูดให คน อื่นฟงก ็ไมเหมือนกับความเป นของตน จึงเรียกวาเห็นดวยใจของตนเอง เม ื่ อจะพิจารณาถึงนิสัยของ คนเราแลวคนเรามีนิสัยตางๆ กัน บางคนชอบคิดไปในทางที่มีเหตุผล บางคนชอบคิดไปไมมี เหตุผลอยางน ี้เปนตน จะอยางไรก็ ตามความคิดนั้นตองมีดวยกันทุกคน แตละคนมันจะต องมี จุดเดนอยูอยางหนึ่งคือเดนชัดกวาความคิดอื่นๆ ทั้งหมดเชนคนราคะจริตต องคิดถึงเรื่องกามารมณ เปนประจําน ั่ นแลคือจุดเดนของจิตผูนั้น เม ื่ อคิดถึงกามารมณตองเพงเล ็งไปหาเพศตรงกันขาม คราว
นี้เอาละเห ็ นตัวมันและเห็นจุดหมายของมันแล วมันตองการเพศตรงกันขามนั้น มันตองการอะไร เราต องต ั้ งสติลงในปจจุบันอยาไดสงออกไปเสียกอน จึงเพงพิจารณาเพศตรงกันขามนั้น ถาไมลง ปจจุบันแล วจะพิจารณาใหเปนอะไรก็ไมชัดจริงอยูละถาไมสงไปหาอดีตอนาคตแล วมันก็ไมมี อารมณ ให เอาอารมณที่เป นอดีตอนาคตน ั้ นเข ามาให อยูในปจจุบัน แล วเอาสติเข าไปควบคุมไว อยา ใหสงออกไป จึงพิจารณาจิตกับอารมณ ในปจจุบันนั้น ก็จะเห ็ นแจ งชัดวารูปที่เป นอดีตก็ดีที่เปน อนาคตก็ดีที่เราตองการนั้น มันเป นสภาวะของธาตุตางหากเราไปยึดถือเอาวาเป นอยางน ั้ นอยางน ี้ แล วก็มีความยินดีพอใจรักใครแทที่จริงธาตุมันไมรูสึกอะไรกับเรา หรือมิฉะน ั้ นจะพิจารณาใหเปน ขันธหาอายตนะก็ไดในทํานองเดียวกันนี้ก็จะเห็นชัดด วยใจไมมีสงสัยเลยวาคนเรานั้นที่เรียกวา คนๆ แทที่จริงสมมติเอาตางหากความจริงเป นเพียงก อนธาตุมาประสมกันแล วเปนรูปตางๆ ใครจะ วาอยางไรแลทําอยางไรก็ เพียงธาตุเทานั้น ใจผูอยูในปจจุบันเด ี๋ ยวน ี้ อยูไมนิ่ง เท ี่ ยวลักขโมยของเขา บานโนนบานน ี้โดยที่เขาไมรูเลยวาของเขาหายแตเราได มาแล วพอใจยินดีตื่นเต นมาก นักภาวนาท ั้ งหลายควรจับหลักสําคัญของใจใหจงได แล วจะไดดําเนินไปโดยสะดวกถาจับ หลักของใจไมไดถึงภาวนาจะดีสักเทาไรก็ เส ื่อมไดถาจับหลักของใจได แล วพึงต ั้ งสติพิจารณาหลัก นั้นๆ อยูเสมออยางน อยถ าไมเจริญก าวหน าก็ตองอยูคงท ี่นี่เป นหลักสําคัญของผูภาวนาท ั้ งหลาย สนทนาธรรม ๑.ผูถาม ทานอาจารย เคยสอนใหจับที่ตัวรูเวลาภาวนาแตก็ไมทราบวาจะจับอยางไรวันน ี้ เวลานั่ง ภาวนาจิตสงบลงก็พยายามท ี่ จะดูที่ความสงบ แตวาแมชีชวนเคยบอกใหสํารวมท ี่ใจมันจะเปนอะไร ก็ชางมัน ดังนั้นจึงปลอยใหมันเปนไปเองจึงเกิดภาพนิมิตตางๆ เห็นทานอาจารยนั่งอาน หนังสือพิมพ ฝรั่ งที่ชื่อวาโกลซึ่งเป นหนังสือพิมพที่พิมพขึ้นท ี่ บอสตันแสดงวาทานอาจารย เคยเกิด อยูที่อเมริกาแล วก็มีภาพตางๆ เกิดขึ้นอีกหลายอยาง ทานอาจารย เม ื่ อมันสงบแล วจงเข าไปดูความสงบนั้นวา ใครเปนผูสงบ ใครเปนผูรูวาใจสงบ ให พยายามดูอยูตรงน ั้ นแหละ หากจะรูขึ้นมาเอง ภาพนิมิตรก ็ จะรูขึ้นมาจากที่นั้นแหละ ๑.ผูถาม ถาอยางน ั้นจะให ขจัดนิมิตท ั้ งหมดไมใหรับนิมิตหรืออยางไร
ทานอาจารย นิมิตมันเกิดขึ้นก็ชางมัน หามไมไดมันเกิดข ึ้ นมาเองของมันตางหากแตใหรูวานิมิต มันเกิดขึ้นจากใจนี้แหละใจมิใชภาพนิมิต ภาพนิมิตมิใชใจของอาศัยกันแล วเกิดขึ้นตางหาก ฉะนั้น จึงใหกําหนดเอาท ี่ใจจะมีภาพนิมิตรหรือไมก็ตาม แตใจของเรายังมีอยูอยาใหใจหายไปแลวก ็ พอ ๑.ผูถาม อยากจะกราบเรียนทานอาจารยวา เม ื่ อกําหนดพุทโธใจก็ สงบ แตถาหากวากําหนดอาการ สามสิบสอง รสชาติมันผิดกันแล วมันก ็ไมสงบเหมือนพุทโธ หมายความวาไมใหกําหนดอาการ สามสิบสองหรือไมใหกําหนดความทุกข ให เอาแตพุทโธอยางน ั้ นหรือ ทานอาจารย พุทโธถามันสงบก ็ เอาน ั้ นแหละอยาไปตามเอาเขาวา เขาวาอาการสามสิบสองดีอยาง นั้นอยางน ี้ เราก ็เลยอยากได อยางเขาบ าง พระพุทธเจ าสอนภาวนาหลายอยางเพ ื่อให เลือกถูกตาม จริตของตน พุทโธถูกตามจริตแล วจึงคอยสงบ ภาวนาอะไรก็ ตามถ าจิตสงบแลวเปนอันใชไดทั้งนั้น เม ื่ อจะพิจารณาก ็ใหรูวาความสงบยังมีอยูหรือไมถาความสงบไมมีอยูก็จะเห็นวาการการพิจารณา นั้นไมชัดให หยุดเสียพิจารณาไปก็ไมได ผล ๑.ผูถาม ที่ทานอาจารยวาใหดําเนินทั้งสองพร อมๆ กัน หมายความวาไมทิ้งความสงบและก็ให พิจารณาไปด วย ทีนี้มีปญหาคือวา ทําความสงบแลวไมรูวาพอสมควรขนาดไหน ทานอาจารย คือพอมันสงบอยูพักหน ึ่ งแลว พอจิตสบายๆ ไมมีอะไรแลวคอยมาพิจารณา เวลา พิจารณาไป พิจารณาอาการสามสิบสอง พิจารณาอะไรก็ ตามเถิดเวลาพิจารณาไปใจมันชักจางๆ เขา มันไมแนนมันไมซึ้ง มันไมมีรสไมมีชาติใหทิ้งเสียเข าหาความสงบอีก มันรูดวยตนเองหรอกตรง นั้น ๑.ผูถาม ผมหัดภาวนาเม ื่ อเช านี้ก็ไดรับรสชาติดีครับ เข าถึงอัปนาแล วถอนออกมาแล วอยูในขั้ นของ อุปจาระแล วพิจารณาครับ มีปญหาอยากจะถามวาถึงแม เข าใจถึงเร ื่ องอนิจจัง ทุกขังอนัตตาแตก็ ยังมีกิเลสคือความโลภ ความโกรธความหลงแล วทําไมมันจึงเป นอยางนั้น ผมเข าใจเรื่องไตร ลักษณ ไดดีแตแลวราคะโทสะโมหะมันก็ยังมีอยูทําอยางไรมันจึงทําให ราคะโทสะโมหะ มัน หายไป ทานอาจารย เวลาเราไปถึงความสงบนั้น กับเวลาที่มันเกิดกิเลสนั้น เป นเคร ื่ องวัดกันอยูในตัวเวลา เข าถึงความสงบไมมีกิเลส เวลามันออกมากระทบส ิ่ งภายนอกมันมีกิเลส เรารูไดโดยมีเคร ื่ องวัดกัน อยูอยางน ี้กิเลสนี้มันเกิดเพราะมีสิ่งมากระทบ ฉะน ั้ นเราจึงต องตามส ิ่ งที่มันกระทบ มันกระทบ
อะไรเชนมีคนมาพูดใหเราไมพอใจ สิ่งของที่เราอยากไดคือมันโลภ มันอยากได เราก็คิดพิจารณา วาคนท ี่ มาพูดให เรามันก็อยูในไตรลักษณ คืออนิจจัง ทุกขังอนัตตา มันโกรธให เรามันจะต องเปน อนิจจัง ทุกขังอนัตตา สิ่งท ี่เราได มามันก็ตองเป นอนิจจัง ทุกขังอนัตตา เป นเหตุให เรากําหนดคน ถึงเร ื่ องนั้น เหตุนั้นเวลาจิตมันออกมาอยูในขั้นอุปจาระจึงมาคิดค นหมูนี้ละให เห ็ นเหตุของมันจึง จะหมดเร ื่ อง เราจะไปพูดเวลานั้นพูดไมได หรอกเวลานั้นฉันไมมีกิเลสไมได หรอก พิจารณาอยู อยางน ี้ แหละจนมันชํานาญ กิเลสมันจะหมดไปโดยไมรูตัวผูที่อวดวากิเลสฉันไมมีแลวเด ี๋ ยวเถอะ มีอะไรมากระทบกิเลสมันจะฟุงข ึ้ นมา พระอริยะเลยกลายเปนปุถุชนไปฉิบ ๑.ผูถาม ผมทราบดีวาพระอรหันตเวลาตายไป บริสุทธิ์แลวขันธหาไมติดตามไปเวลาทานตายไป ทานก ็ เข านิพพาน เวลาคนที่ยังไมสําเร ็จเป นพระอรหันตเวลาตายไปขันธหาจะติดตามไปด วยหรือ อยางไรขันธหามันเก ี่ ยวเน ื่ องกับใจ หมายความวาเวลาเกิดมาใหมเราจะต องเกิดในขันธหา หรือวา ตามท ี่ เข าใจใจของเรามันเก ี่ ยวเน ื่ องกับสมองของเรา เวลาเราตายไปสมองมันก็แตกสลายไป ถา อยางนั้นขันธหามันจะตามใจไปได อยางไร ทานอาจารย ขันธหาอยูภายใน มันมีอีกขันธหน ึ่ งซ ึ่งจะตามไปเกิด สมองไมไดพูดถึงเร ื่ องขันธหาท ี่ มันตามไปเกิด สมองพูดถึงเร ื่ องวัตถุที่มันมีอยูในภพอันนี้ในเวลานี้ สมองนั้นนะถ าไมมีตัวใจเสีย แล วสมองมันก็ใชไมได เซลลตางๆ มันก็ใชไมไดไมมีประโยชน เลยขันธหาที่มันจะตามไปเกิดเรา สังเกตุดูตอนท ี่ เรานอนหลับฝนไป สมองมันก็ไมไดไปตาม มันไปไหนก็ไมทราบ ไปอังกฤษ อเมริกา มันก็ไปไดสมองไมไดไปตามเลยอันนั้นแหละขันธหามันจะไปเกิดคือตัวนั้น เหตุนั้นเรา มาหัดชําระขันธภายนอกคือให เห็นความยึดถืออุปาทานที่ อธิบายในเบื้ องตนวาขันธนี้เป นอนิจจัง ทุกขังอนัตตา เปนของไมเท ี่ ยงม ั่ นถาวรเราเห ็ นเราพิจารณาอยางน ี้ จนกระท ั่ งมันคลายมันจืดจางไป เม ื่ อเรามีขันธหาใช อยูเราก ็ไมไดยึดขันธหาแตวาสักแตวาใช เหมือนกันกับคนที่หิวอาหารมีแต อยากกินอยางเดียวอันนั้นเรียกวาอุปาทานโดยแทผูที่พิจารณาขันธหาตามเป นจริงแลวคือเห็น อนิจจัง ทุกขังอนัตตา เปรียบเหมือนกับคนเราเกิดโรคเชน มาลาเรียเปนตน ไมอยากหรอกยา ควินนิน ขมไมมีใครอยากสักคน แตกินเพ ื่ อระงับโรคอันนั้น นี่คือความไมเข าไปยึดไมเข าไปติด สัก แตวาทําสักแตวากินเพ ื่อประโยชน แกการแกโรคเทานั้น ๑.ผูถาม ผมทราบดีวานิพพานก ็เป นท ี่ เรียกวาเป นอนัตตาด วยถาอยางน ั้ นเม ื่ อเราสําเร ็จเป นพระ อรหันตหมายความวาจิตนั้นบริสุทธิ์เวลาทานที่สําเร ็จเป นพระอรหันตเข าถึงนิพพานแลวจิตทุก ดวงของทานท ั้ งหลายที่สําเร ็จเป นพระอรหันตมันรวมเป นดวงเดียวคือวาเป นอนัตตาจะวาดวงน ี้
เป นของทานองคนี้หรือวาดวงน ั้นเป นของทานองคนั้น จะเป นอยางนั้นก็ไมได เพราะนิพพานก ็เปน อนัตตาด วยถาอยางน ั้ นหมายความวา พระอรหันตเวลาเข าถึงนิพพานจิตทุกดวงตอนน ั้ นมันรวม เป นดวงเดียวเปนอันเดียวกลมกลืนกัน ใชหรือเปลาครับ ทานอาจารย เม ื่ อเข าถึงพระนิพพานจิตรวมเข าเป นดวงเดียว นั้นเป นศาสนาพระเจา พุทธศาสนาถือ วาถึงพระนิพพานแล วขันธยังมีอยูตองใช แตไมเข าไปยึดใชกันแตใชไปเทาน ั้นเพราะเปนปจจัยแต เม ื่อปจจัยดับแลว ( คือตาย ) ไมมีอะไรใช แล วจิตก็ดับไปด วยกัน เหมือนกับไฟดับแล วไมทราบวา ไปอยูไหน ๑.ผูถาม เวลาหัดภาวนาผมจะพยายามไมไปยึดอะไรแตอยากทราบวาทําไมอยูธรรมดาๆ ก็รูสึกวา ไปยึดหนักกวาเกาอีกถาหากผมมีปญหาแล วเลาให คนอื่นฟงถาหากคนน ั้ นเห ็ นอกเห ็นใจผมบางที น้ําตารวง นี่ก็แสดงวาผมไปยึดเร ื่ องเหลานั้น อยากทราบวามันเป นเพราะเหตุใดจะเป นเพราะอยูใน วัยแกหรือจะเป นเพราะอยูในเหตุปจจัยในการภาวนาของผม บางทีดูโทรทัศน เร ื่ องที่มีคนร องไหก็ รองไห ตามเหมือนกัน ไมทราบวามันเป นเพราะเหตุใดเวลาอยูในวัยเด ็ กและวัยหนุม ครูที่โรงเรียน เขาสอนให กล ั้ นอารมณ ไมใหแสดงออกแตเด ี๋ ยวนี้มันชักจะแสดงออกงายมันเป นเพราะเหตุใด ทานอาจารย เวลาภาวนาหัดละความยึดถืออะไรทั้งหมดเวลาอยูธรรมดาๆ กลับไปยึดมากกวาเกา นั้น เป นความแกดวยเป นเพราะภาวนาด วยคือเรามาภาวนาจิตมันแนแนวในอารมณอันเดียวเห็น อะไรเมื่อควรอยากไดมันก็เข าไปยึดแตปญญาไมมีเลยยึดม ั่นในสิ่ งนั้น ตองหัดใชปญญาควบคุมจิต ใหมากๆ จึงจะสงบคงท ี่ได ๑.ผูถาม ตระกูลของผมไมนับถือศาสนาพุทธโดยตรงแตนับถือศาสนาเตา เพราะศาสนาเตาก ็ คล าย กับศาสนาพุทธโดยมากและเรียนหนังสือโรงเรียนคาธอลิก ฉะน ั้ นเร ื่ องศาสนาสําหรับผมแล วจะถือ อะไรเป นเกณฑ ไมไดสําหรับชีวิตของผมมีแตโชครายตลอดเวลา มาทีหลังได พบพระลังกาสอนให ภาวนาสละทุกส ิ่ งทุกอยางไมใหยึดอะไรทั้ งหมดผมย ิ่ งวุนใหญเพราะลูกเมียผมยังมีอยูผมสละไมได จนเกิดความไมสบายนอนไมหลับ ตองกินยาแก โรคประสาท ทานอาจารย คนสวนมากเข าใจอยางน ี้ เสียโดยมากกวา พุทธศาสนาสอนใหสละปลอยวางไมใหยึด อะไรทั้ งหมดแล วจะไปกินอะไรอยูในโลกนี้ กะเขาก ็ไมไดละซีความจริงพระองค สอนใหสละ ปจจุบันเด ี๋ ยวน ี้ เพราะเวลาน ี้( เวลาภาวนา ) ไมไดทําอะไรคิดถึงวุนวายด วยส ิ่ งตางๆ ก็ไมเปน ประโยชนเพราะเราไมไดทํา เปนทุกข แกเราเปลา ๆ เราหัดปลอยวางให จิตมันวางจากอารมณตาง ๆ
แล วรวมลงเป นหน ึ่ งสักทีบาง ใหมีพลังเพียงพอท ี่จะประกอบภารกิจตอไป ดีกวาท ี่ จะวุนวายด วย เหตุที่เปนประโยชนและไมเปนประโยชน อยูตลอดวันค่ําคืนรุง เม ื่ อหัดสละปลอยวางได แล วความ วุนวายด วยความคิดตางๆ นั้นเป นของนิดเดียวรางกายของเราเม ื่ อมีภาระอยางอื่นก็ลืมหมดแล วมัน ยังอยูตามเดิมไมเห ็นไปไหน อารมณตางๆ ทานสอนใหรูเทาแล วปลอยวางเสียแตอารมณนั้นๆ ยัง เกิดขึ้นอีกแตดวยความรูเทามันเลยไมถือเอามาเป นอารมณ ๑.ผูถาม ถาอยางน ั้ นเวลาน ั่ งภาวนาทานอาจารย จะใหกําหนดเร ื่องอะไรครับ ทานอาจารย อยูอยางน ี้แหละไมตองกําหนดอะไรใหปลอยวางหมดใหกําหนดท ี่ลมหายใจให พิจารณาใจอยูอยางนี้ละ ทดลองวันนี้แหละจะเห ็ นผลวันนี้ไมตองกินยานอนหลับก็หลับปุยเลย วันที่๒๙ มีนาคม ๒๕๒๐ สนทนาธรรม ๑.ผูถาม ขอโอกาสกราบเรียนถามวา เม่อกื อนผมเคยถามถึงเร ื่ องการภาวนาแลว ทานอาจารย บอกวา เม ื่ อเราเข าถึงสภาพวาหายไปหมดรูสึกไมรูตัวตรงน ั้นไมมีปญญาถาตรงน ั้นไมมีปญญาเราจะอบรม ปญญาวิธีไหน แล วถ าปญญาน ั้ นเกิดขึ้นปญญาน ั้นจะเปนอุปสรรคในการภาวนาของเราหรือเปลา ทานอาจารย มันเข าถึงสภาพหายวับไปไมมีปญญา นั้นก็วิธีหน ึ่ งซ ึ่ งภายหลังเราจะไดรูไวให เกิด ปญญา เราหัดอยูอยางน ี้และใหมันเปนเองเราไมตองบังคับมัน และจะบังคับมันไมไดมันหากเปน ของมันเอง เพียงแตขอใหรูเทามันไว นานหนักเข าความรูเทาน ั้ นแหละมันจะแก ไขของมันเอง นั้น แหละเรียกวาปญญาแก ความโงซึมของตนเองไดไมเปนอุปสรรคอะไรแกการภาวนาอะไรของเรา ยิ่งดีเสียอีก ๑.ผูถาม ตามท ี่ เข าใจเวลามีอารมณ เกิดขึ้น จะต องพยายามระงับ แตวาทานอาจารยวาเราจะต อง พิจารณาอารมณที่เกิดขึ้น หมายความวาอารมณที่เราจะระงับคือเป นอารมณที่เราควรจะพิจารณา หรือวาอยางไร ทานอาจารย การพยายามละอารมณคือละด วยวิธีสละท ิ้ งเลยก็จัดเปนการละได เหมือนกัน แตละไม เด ็ ดขาด พิจารณาอารมณที่เกิดข ึ้ นแล วด วยอุบายตางๆ เห็นชัดแล วจึงละ นี้เปนการละได เด ็ ดขาด ทั้ง สองอยางน ี้ใชได เหมือนกัน อยางท ี่ หน ึ่งใช เวลาอันสั้น อยางท ี่สองใช เวลายาวนาน
๑.ผูถาม หมายความวาปญญาท ี่ เกิดข ึ้ นตรงน ั้ นคล ายๆ กับความสุขท ี่ เกิดข ึ้ นจากภาวนา เกิดขึ้นชั่ว คร ั้ งคราวแล วก ็หายไป ทานอาจารย คือมันเกิดจากภาวนาความสุขเห็นชัดแล วมันสวางเต ็ มตื่นขึ้นมาด วยความอ ิ่ มเอิบ ชัดเจนในความรูอันนั้น ๑.ผูถาม ผมเคยไดรับรสชาติของความสุขเวลาหัดภาวนา เวลาไดรับรสชาตินั้นมันก็ชั่วระยะเวลา เล ็ กน อยแล วก ็หายไป เลยคิดวาความสุขอันนั้นเปนปญญา ทานอาจารย มันไมใชปญญา มันเป นเร ื่ องความสุขสงบ ความสุขเกิดจากความสงบหัดอันนั้นแหละ ไวดีเหมือนกัน หัดใหมันเข าอันนั้นได อยูเสมอๆ คือวาเรากําหนดอยางไร พิจารณาอยางไร ตั้งสติ พิจารณาอารมณ อะไร มันจึงคอยสงบเขาไปถึงตรงนั้น หัดใหมันชํานาญเสียกอน เร ื่องปญญาจึงวา กันทีหลัง ๒.ผูถาม ผมรูดีวาคนเราจะเกิดอีกทีก็เพราะความอยากแล วใจเขาไปยึดจึงเกิดแล วเกิดในครรภ มารดาซ ึ่งประสมเชื้ อจากบิดาถาความอยากมีแตนอยหรือไมมีเลยก ็ไมเกิดหรืออยากจะเกิดก ็ไปเกิด เปนผีหรือเปรต เขาเหลาน ั้ นเกิดเพราะสาเหตุอะไร ทานอาจารย สาเหตุการเกิดของมนุษย แลสัตวทั้งหลายเพราะอุปาทานอันเดียวกัน ไมวาความอยาก นั้นจะมีมากหรือน อยอยางไรก็ ตาม เม ื่ อมีความอยากแล วอุปาทานก็เข าไปยึดเทาๆ กัน แล วจึงเปน เหตุให เกิดในภพและภูมินั้นๆ ความอยากน อยอุปาทานนอยแล วจะไปเกิดเปนผีเปนเปรต อยางนั้น ไมใช ๑.ผูถาม เวลาจะน ั่ งภาวนาสมาธิเบ ื้ องต นจะสํารวมใจ มีสติควบคุมอยูในจุดเดียวเวลาจิตอยูในจุด เดียว ทําให กายเยือกเย ็ นสบายก็ชอบใจ ชอบใจเลยไปยึดใจมันไปยึดความเยือกเย็นที่มันมีอยู ภายในกาย เพราะไปยึดเลยติดชอบใจแตไมทราบวาอันไหนมากอน ทานอาจารย ใจสงบกอนกายจึงสงบภายหลังแล วใจจึงเข าไปยึดความสงบของกายนั้น นี่แลเรียกวา อุปาทาน อุปาทานนี้ยังมีอยูตราบใดแลว ภพชาติก็ยังมีอยูตราบนั้น
๑.ผูถาม ความสุขที่มันเกิดข ึ้นในศาสนาคือความไมไปยึดอะไรทั้งส ิ้นเปนปจจัยใหใดรับความสุข ที นี้ผมอบรมภาวนาเข าถึงข ั้ นของความสงบ แล วเกิดมีความสุขถาเราไปยึดเร ื่ องเหลานั้น เราจะต อง ตั้งใจดีๆ วาเราจะต องละความไปยึดใชหรือเปลา ทานอาจารย ก็ใชละซีแตความละน ั้ นจะต องมีเหตุมีผล มิใชละเฉยๆการละเฉยๆ ไมมีเหตุมีผล ภายหลังมีอารมณ มากระทบมักจะสูไมได ๑.ผูถาม ปจจัยให เกิดสงบกายคือใจความเยือกเย ็ นของกายก ็เพราะใจสงบ ฉะน ั้ นกายจึงไปยึด ทานอาจารย คนตายแล วไมมีใครเปนคนไปยึด ๑.ผูถาม ( หัวเราะ ) ทานอาจารย พาน ั่ งภาวนาพรอมท ั้ งอบรมธรรมนํากอน การสํารวมใจใหสงบคือการอบรมภาวนาดีๆ นั่นเองอยาไปคิดมากคือคิดใหเป นอยางนั้น อยางน ี้ หรืออยากให เห ็นโนนเห็นนี่นั่น ยังไมถูกหลักภาวนา ภาวนาคือหมายถึงความสงบน ั่ นเอง เบ ื้ องต นต องเอาตรงน ั้ นเสียกอน ถาหากใจยังไมทันสงบก็ยังไมเป นภาวนาจะภาวนาอะไรก็ ตาม ฉะน ั้ นเม ื่ อเราต องการให เกิดความสงบ เราจงเอาใจของเราไปเพงอยูในสิ่ งเดียวให อยูในจุดเดียว เสียกอน เชน เราจะเพงลมหายใจเขาออกก ็ ตามหรือเราจะเพงพุทโธหรือนึกพุทโธอยูในที่ เดียวแลว เอาสติควบคุมอยูในเรื่ องนั้น ถึงแม เราจะพิจารณาเฉพาะกายของเราชิ้นสวนใดสวนหนึ่ง เชน ทอน กระดูกอยางน ี้เปนตน เราเพงอยูในทอนกระดูกให เห ็นในตัวของเราน ี้ อยาไปเห็ นภายนอกจึงจะถูก หนทางกระดูกภายนอกเรามองเห ็ นแล วเราเอามาเพงภายในของเราก็เป นเชนนั้น ใหจิตไปจดจ อง เฉพาะเร ื่ องเดียว สติควบคุมอยูในนั้น จนกระท ั่ งจิตแนวอยูในอารมณอันเดียวจริงๆ จังๆ เม ื่ อสติ เพียงพอจิตมีพลังเต ็ มท ี่สิ่งท ี่ เราเพงเชนกระดูกก ็ ตามหรือลมหายใจก็ชางจะหายไปแล วจะเหลือแต ความสงบ นี่เบ ื้ องต นต องหัดอันนี้เสียกอน เม ื่ อหัดอันนี้ใหชํานิชํานาญแล วมันหากจะมีเร ื่ อง พิจารณาตอไป
สนทนาธรรม ๑.ผูถาม บางคนในที่นี้ก็ยังไมเคยหัดภาวนามากอน บางคนก ็ เคยหัดมาแลวและบางคนก็รับรสชาติ ของความสงบ ดังน ั้ นอยากจะกราบเรียนใหทานอาจารย แนะนําการหัดภาวนาใหกับทุกคนในที่นี้ เพ ื่อจะไดเอาไปใชในชีวิตประจําวันของเขาทุกคน ทานอาจารย ชีวิตของคนเราเกิดมาแล วจะต องตอสูดวยประการตางๆ จนกวาจะหมดลมหายใจ ฉะนั้นจึงควรตอสูดวยการหัดทําสมาธิอันจะนํามาซึ่งความสงบสุขแกตนเองแลคนอ ื่ นด วยเราตอสู กับอารมณของใจเราจนเอาชนะได แลวไมตองไปสูกับอารมณ ของคนอื่น ไดชื่อวาเอาชนะตนเอง และคนอื่นดวย ๑.ผูถาม สมมุติวาเราเดินไปหรือขับรถไป เราควรจะคิดถึงปญหาเฉพาะหน าหรือวาเราควรคิดถึงวา เรากําลังเดินอยูหรือกําลังขับรถไมควรคิดถึงปญหาเฉพาะหนา ทานอาจารย การต ั้ งสติคอยระวังจิตให อยูกับตัวทุกเม ื่อเปนดีที่สุดไมวาจะเดินอยูหรือขับรถอยูก็ ใชไดทั้งนั้น ปญหาเฉพาะหรืออะไรก็ เกิดขึ้นที่จิตแหงเดียวเม ื่ อต ั้ งสติลงที่จิตแล วเปนอันรวมเร ื่ อง ของจิตท ั้ งหมด วันที่๓๑ มีนาคม ๒๕๒๐ แสดงธรรมเทศนา คนเราเกิดมามีรูปกับนามเทาน ี้ แหละเป นหลักใครจะทําอะไร ๆ ก็ไมพนจากน ี้ไปได จะ ทําบุญสุนทานไปสวรรคชั้นฟาก ็ มาทําที่นี่จะทําบาปชั่ วช าเลวทรามตกนรกหมกไหมก็ตองมาทําที่นี่ หรือมนุษย จะมีจะจนก ็ เพราะความขยันหม ั่ นเพียรหรือข ี้ เกียจข ี้ คร าน ก็เพราะกายกับใจนี้ทั้งนั้น แต เม ื่อใจเปนทุกข กายก ็เปนทุกขดวยใจเปนสุขกายก ็ พลอยรับสุขเหมือนกัน ถากายเปนทุกข ใจปลอย วางไดไมเข าไปยึดถือแลวใจรูเทาอยูเฉยๆ ทุกขนั้นไมสามารถจะมาครอบงําใจใหเปนทุกข ได เร ื่ อง ของกายกับใจนี้มันแปลกมากกายศึกษายังรูจักจบเปน เชน กายวิภาค สรีรวิทยาจําแนกออกดู ชิ้นสวนตางๆ ของรางกายวารางกายอันนี้มีโครงของรางกายประกอบดวยส ิ่ งตาง ๆ รูหมด สิ่งท ี่ ละเอียดมองดูดวยตาเปลาไมเห็นก็ใช กล องจุลทัศนดูก็พอรูได แตใจแล วรูได ยากเหลือวิสัยที่ปุถุชน คนธรรมดาจะรูแลเข าใจไดวามันสร างข ึ้ นมาด วยวิธีใดดูตําราที่ทานผูรูเขียนไวก็อานออกแต
ขอเท ็ จจริงท ี่ แท แล วไมรูเลยเขียนเสนวาดภาพไปอยางน ั้ นแหละแตหาตัวจริงเอามายืนยันไมได นักปฏิบัติทั้งหลายพอจะพิสูจน หาความจริงได จากเร ื่ องเหลาน ี้ จนเห ็นประจักษ แจ งชัดด วย ปญญาตนเองวา ใจเป นของมีจริงอยูในรางกายของเราน ี้กายเป นเพียงรับใชใจถาใจไมมีเสียแลว รางกายนี้ก็เปลาประโยชนใชการไมได เชนใจสั่ งการผานสมองให ตามองเห็นรูป ประสาทหรือ เซลลรับรูรูปเฉย ๆ หาไดรูดีรูชั่วอะไรไมตัวใจตางหากเปนผูรูดีรูชั่วหยาบละเอียดแล วส ั่งให กาย วาจา ทําลงไป แล วก ็ใจเปนผูรับผลกรรมนั้นๆ ประสาทหรือเซลล หาไดรับไมแม แตจะไปกอภพกอ ชาติเกิดในคตินั้นๆ ก็ใจเปนผูหอบเอากรรมน ั้นไปเกิด สวนสมองหรือประสาทหรือเซลลที่เปนวัตถุ ธาตุทิ้งไว ตามเดิม ใจเมื่ อยังมีกิเลสถึงจะท ิ้ งวัตถุธาตุอันใชไมได แล วนั้นก็ตาม มันยังติดวัตถุธาตุ เหลาน ั้ นอยูมันก็ตองมาสรางวัตถุธาตุเหลานั้นอีกตามเดิม เหมือนกับคนเราบ านพังทลายหรือไฟ ไหม แลวคนเราอาศัยเรือนเปนเคร ื่ องอยู เม ื่อไมมีก็สร างข ึ้นใหมีคนเรามิใชนกหนูตองอาศัยรังรู เปนที่อยูเม ื่อไร พอจะมองแล วเห ็ นแล วมิใชหรอวื า ใจมีอยูในรางกายคนเราน ี้ คอยรับรูและใช กายวาจา ให ทํากรรมตางๆ เม ื่ อยังมีกิเลสอยูก็ไปเกิดใหมไดและใชวัตถุธาตุนั้นอีกตอไป ถาหากฝกฝนอบรมผูรู นั้นให เกิดปญญาฉลาดรอบรูเร ื่ องขันธอายตนะ ทั้งหลายเหลาน ี้ เห ็นตามเป นจริงแลวผูรูนั้นก็ไมรู เคร ื่ องมือท ี่จะใช เพ ื่อใหประโยชน แกโลกน ี้ตอไปอันใด ทานอาจารย พาน ั่ งภาวนาพรอมท ั้ งอบรมธรรมนํากอน การภาวนาคือการสํารวมใจ นี่แหละเปนการละบาปบําเพ ็ ญบุญ นี่เปนวิธีตัดลัดใกลที่สุดใน การท ี่ จะละช ั่ วทําดีเห็นชัดภายในใจของตนเลย ใจที่ เรายังไมได อบรมภาวนาคือไมไดนั่งสมาธิจิต จะต องยุงสงสายวุนวายไปหาอารมณที่ชั่วที่ดีโดยมากมักเปนไปในทางที่ไมดีเม ื่ อเรามาน ั่ งภาวนนา ทําสมาธิสํารวมอยูในทางที่ดีนั้นเรียกวาละชั่ว นี่แหละเป นการชําระกรรม คือวาล างบาปด วยวิธีนี้ ลางด วยความช ั่ ววิธีนี้จนกระท ั่ งเราล างชําระจนหมดจดใจมันแนวแนอยูในอารมณอันเดียวเปน สมาธิถึงอัปนายิ่ งดีแล วจะไมมีอะไรเลยในขณะนั้น นั้นเรียกวากรรมหมดจดความช ั่ วที่มีอยูใน ปจจุบันก็ละขณะน ั้ นเลยถาหากเราหัดอยูอยางน ี้ อยูตลอดเวลาความช ั่ วก ็หมดไปๆ เวลามันออกมา อีกเม ื่ อมาอยูธรรมดาๆ ก็จะไมยอมทําความช ั่ วน ั้ นตอไป วิธีละกรรมชําระบาปอยางงายที่สุดด วย การภาวนา เหตุนั้นจึงควรหมั่นทําบอยๆ จนกวามันจะหมดส ิ้นไป
(นั่งภาวนา ๓๐ นาที ) สนทนาธรรม ๓.ผูถาม ขอกราบเรียนถามทานอาจารยวา ทําไมบางคนมีชีวิตยืน บางคนมีชีวิตสั้น มันแล วแตกรรม หรือมีเหตุอื่นบังคับดวย ทานอาจารย มันพร อมกันนั่นแหละกรรมบันดาลให อายุยืนนาน สุขภาพก็ดีพร อมกัน ที่กรรม บันดาลใหมีสุขภาพไมดีคือกรรมไมดีอายุมันก็สั้น มันพร อมๆ กันเหมือนกัน ถาหากวาเราเพียงแต จะบํารุง เม ื่ อสุขภาพไมดีแล วจะมาบํารุงใหมันดีมันก็ไปไมรอดอยูไดก็ดวยการทรมาน เชนเคร ื่ อง รถเคร ื่ องรา เราตกลงยี่หอไมดีเอามาว ิ่ งมันก็ไมดีวิ่งไปก็ หยุดเด ี๋ ยวอันนั้นเสียอันนี้เสียเลยซอมแลว ซอมเลาไมรูจักจบจักส ิ้ นสักที ๓.ผูถาม บางคนก ็ ตายเวลาคลอดออกมาก็ไมมีเวลาท ี่ จะบําเพ ็ ญความดีผมเห็นวาอยางนั้นมันก็ไม ยุติธรรม เพราะเพ ิ่ งเกิดมาไมไดโอกาสทําความดีตอไป แล วก ็ตายไป อยากจะใหทานอาจารย อธิบาย ใหฟง ทานอาจารย คนเราเกิดมาความตายไมมีเคร ื่ องหมายอยากตายเวลาใดมันตายไดทั้งนั้น ความตาย มันยุติธรรมแลวแตเรานี้มันไมยุติธรรม คอยทาให แกกอนเฒากอนจึงเข าวัดทําบุญ อยางน ี้เปนตน ๓.ผูถาม นี่จะเปนกรรมอะไร เชน เมื่อเกิดอุบัติเหตุแล วหลายๆ คนตายพร อมๆ กัน ทานอาจารย ก็อยางวาน ี่ แหละอยางท ี่ เขาฆาสัตว เปนลําเรือก็มีฆาปลา ฆากุง เปนลําเรือก็มีก็ดูซิ ทําไมจึงไปฆาพร อมๆ กัน ๓.ผูถาม ผมเคยสรางกรรมชั่วมานับไมถวน เหตุนั้นการท ี่ ผมมา ปฏิบัติธรรมน ี้ จะชวยใหพนจาก กรรมท ี่ไมดีทั้งหลายท ี่ไดทํามาแล วหรือไม ทานอาจารย ผูที่ทําความผิดแกบุคคลใดแลวโทษตนไปขมาโทษแกบุคคลนั้น แล วให เขา อโหสิกรรมใหนั้นพนจากโทษได แตถาเขาไมอโหสิกรรมน ั้ นก ็ไมพนได แตถึงอยางไรถาเขาไม
อโหสิให เราคอยพยายามทําดีไปอยาไปชั่ วอีกกรรมนั้นก็คอยเบาไปบ าง เม ื่ อที่สุดคือหลุดจากกิเลส แลวขันธแตกสลายดับไปนั้ นแลกรรมจึงตามไมทัน ๓.ผูถาม อยากเรียนถามทานอาจารยวาผมมาหัดภาวนากับทานอาจารย ได ความเข าใจแลวผมหนี ไปไกลไมมีเวลาหัดอีกก็ดีทานอาจารย หนีไปไกลไมมีเวลาอบรมก็ดีผมเลยไปอบรมสํานักอื่น อยางนี้ทานอาจารย จะวาอยางไร ทานอาจารย การไปหาครูบาอาจารย หลายทานหลายสํานักไดประสบการณ หลายอยางยอมเป นการ ดีอาตมาไมใชสัญชัยเวตบุตร หามไมใหลูกศิษย ใครคนใดคนหนึ่ งหนีจากสํานักของอาตมาแลว ไปสูสํานักอื่นก็หาไมสัญชัยเวตบุตรเดิมพระโมคคัลลานะกับพระสารีบุตรเปนลูกศิษยมีบริวารคน ละ ๕๐๐ มาทีหลังกลับใจไปยอมเป นลูกศิษย พระพุทธเจา สัญชัยเวตบุตรอาจารย จะห ามสักเทาไร ๆ ก็ไมฟงเสียงผลที่สุดสัญชัยเวตบุตรเสียใจมากถึงกับกระอักเลอดตายืจะสํานักไหนอาจารยไหนก็ ตาม ถาคุณไปศึกษาดูแล วจะเห็นวา สอนในแนวเดียวกัน คือหัดสติใหมั่นคงดํารงอยูในกรรมฐาน นั้นๆ เทาน ั้นเปนจุดใหญถาไมหัดสติแล วก ็ไมใชการหัดภาวนาการหัดภาวนาจะโดยวิธีใดก็ ตาม ถายังไมขจัดกิเลสของตน ยังมีมากอยูเทาเดิม ก็ใหพึงเข าใจเถิดวา นั้นมิใชทางเสียแลว