Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÇÑè ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ ¡
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÑÇè ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ ¢
คำนำ
หนงั สอื เตรยี มสอบครผู ชู้ ว่ ยเลม่ น้ี เขียนโดยผมู้ ีประสบการณส์ อบโดยตรงหลายสนาม โดย
รวบรวมขอ้ สอบเก่า ข้อสอบจริงทเ่ี คยออกลงไวเ้ ปน็ แนวทางสำหรับเตรียมสอบ อย่างทท่ี ่านทราบกนั
ปจั จุบนั อัตราการสอบแขง่ ขนั สูงขึน้ คนสอบต้องปรับตวั ต้องศกึ ษาแนวทางและหลกั สูตรการสอบใหถ้ ี่
ถว้ น เพอ่ื เปน็ ขอ้ มลู เบือ้ งตน้ ผู้เขียนจึงนำหลกั สตู รการสอบแขง่ ขันท่ี ก.ค.ศ. กำหนดมาให้ทา่ นไดศ้ ึกษา
ดังนี้
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÇÔ à¢éÁ
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÇÑè ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ ¤
สารบัญ
เร่อื ง หนา้
01 การเปลี่ยนแปลงบรบิ ทของโลก สังคม และแนวคิดปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียง 1
- การจดั การเรยี นการสอนในสถานการณ์ COVID – 19
- เมืองอัจฉรยิ ะ Smart City 2
- กรอบสมรรถนะครเู อเชยี ตะวันออกเฉียงใต้
- หลกั ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง 8
9
10
02 จติ วทิ ยาพัฒนาการ จติ วทิ ยาการศกึ ษา และจติ วทิ ยาให้คำปรกึ ษาในการวิเคราะหแ์ ละ 10
พฒั นาผ้เู รียนตามศักยภาพ 11
- ความรู้เบือ้ งตน้ เกย่ี วกับจติ วทิ ยา 14
20
- จติ วทิ ยาพัฒนาการ
34
- จิตวทิ ยาการศึกษา
- จิตวิทยาการแนะแนวและบริการใหค้ ำปรึกษาในการวิเคราะห์และพัฒนาผเู้ รียน
ตามศักยภาพ
03 หลักสูตร ศาสตรก์ ารสอน และการใช้เทคโนโลยดี จิ ทิ ัลในการจัดการเรยี นรู้ 40
- หลกั สูตร 42
- ความหมายของหลกั สตู ร 42
- องคป์ ระกอบของหลักสูตร 42
- ประเภทของหลักสูตร 43
- ปรชั ญาทางการศึกษา 44
- หลกั สตู รแกนกลาง 2551 ฉบับปรบั ปรงุ 2560 47
- การจดั ทำหลักสตู รสถานศกึ ษา 79
- ศาสตร์การสอน 85
- การจัดการเรียนรู้ 85
- การจดั การเรียนรูแ้ บบยอ้ นกลบั Backward Design 87
- รปู แบบการจดั การเรยี นการสอนแบบพหปุ ญั ญา 8 ดา้ น 88
- การสอนแบบ CIPPA Model 89
- การสอนแบบ 4 MAT (สมองสองซกี ) 90
ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÇÔ à¢éÁ
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÇÑè ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ §
- การเรยี นรแู้ บบร่วมมือ (Cooperative Learning) 90
- วธิ กี ารสอนแบบสาธิต 90
- วิธีการสอนแบบเรียนปนเล่น (Play way method) 91
- การสอนโดยการสรา้ งสถานการณ์จำลอง (Simulation Gaming) 91
- การสอนแบบโครงงาน (Project Design) 91
- การเรยี นร้ทู ใี่ ช้ปญั หาเปน็ ฐาน (Problem Based Learning) PBL 91
- การจัดการเรียนรูท้ ่สี อดคล้องกบั พฒั นาการทางสมอง (Brain Based Learning) 92
- การสอนแบบอุปมานหรือ อปุ นยั (Inductive Method) 92
- การสอนแบบอนุมานหรอื นิรนัย (Deductive Method) 92
- การสอนแบบอรยิ สัจ 4 (Buddhist’s Method) 92
- การสอนโดยการใช้หมวก 6 ใบ (Six thinking hats) 93
- การพัฒนาผู้เรียน 94
- การบริหารจดั การชนั้ เรียน 96
- รูปแบบการจัดช้ันเรียน 96
- ความสำคัญของการจดั บรรยากาศในชนั้ เรยี น 98
- บรรยากาศทพ่ี ึงปรารถนาในชนั้ เรยี น 98
- ประเภทของการจัดบรรยากาศในช้ันเรยี น 99
- การใชเ้ ทคโนโลยดี ิจิทลั ในการจัดการเรยี นรู้ 103
- DLTV 103
- DEEP 103
- Microsoft Teams 104
- OBEC Content Center 105
- Zoom 106
- สอื่ 106
- นวตั กรรม 112
04 การวัดประเมนิ ผลการเรยี นรู้ และการวจิ ยั เพ่ือแกป้ ญั หาและพฒั นาผู้เรียน 116
- ความหมายของการวดั ผล 117
- ความหมายของการประเมนิ ผล 117
- จดุ ม่งุ หมายของการวัดและประเมินผลทางการศึกษาตามหลกั สูตรแกนกลาง 2551 118
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢éÁ
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÇèÑ ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ ¨
- ระดบั ของการวัดผลตามหลกั สูตรแกนกลาง 2551 118
- หลักในการวดั ผล 118
- ประเภทของการวัดผล 119
- ประเภทของการประเมนิ ผล 119
- มาตราวัด 120
- เครอ่ื งมอื วดั ผลทางการศึกษา 121
- สถิตเิ บอ้ื งต้นสำหรบั การวัดประเมินผล 124
- การวจิ ัยเพือ่ แกป้ ญั หาและพัฒนาผู้เรียน 127
- ประเภทของการวิจัย 127
- กระบวนการวจิ ยั 129
- ข้อมลู ทีใ่ ช้ในการวจิ ัย 129
- ตัวแปร 130
- การวดั 131
- สมมตุ ฐิ านงานวจิ ัย 131
- ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง 133
- สถิติ 134
- โครงสร้างงานวจิ ัย 136
- เครอื่ งมอื ในการวจิ ยั 140
05 การออกแบบและการดำเนนิ การเก่ยี วกบั งานประกนั คณุ ภาพการศึกษา 151
- งานประกนั คณุ ภาพการศกึ ษา 152
- ระบบการประกันคณุ ภาพภายใน 154
- มาตรฐานการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน 155
- มาตรฐานการศึกษาปฐมวัย 159
- มาตรฐานการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน ศนู ย์การศกึ ษาพิเศษ 162
- ระบบการประกนั คณุ ภาพภายนอก 165
แนวข้อสอบ 166
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢éÁ
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÑÇè ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 1
01 การเปลย่ี นแปลงบรบิ ทของโลก สงั คม และแนวคดิ
ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง
- การจดั การเรียนการสอนในสถานการณ์ COVID-19
- เมืองอัจฉริยะ (Smart City)
- กรอบสมรรถนะครเู อเชยี ตะวันออกเฉียงใต้
- หลักปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี ง
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÇÔ à¢éÁ
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·èÇÑ ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 2
การจดั การเรยี นการสอนในสถานการณ์ COVID-19
โรคติดเชือ้ ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) คืออะไร
โรคติดเชื้อไวรสั โคโรนา 2019 (Coroavirus Disease 2019 : COVID-19) เป็นตระกลู ของไวรัส
ทก่ี อ่ ให้เกิดอาการปว่ ยตง้ั แตโ่ รคไข้หวดั ธรรมดา ไปจนถงึ โรคทม่ี คี วามรุนแรงมาก เช่น โรคระบบทางเดนิ
หายใจในตะวันออกกลาง (MERS - CoV) โรคระบบทางเดนิ หายใจเฉียบพลนั รุนแรง (SARS - CoV) เปน็
ต้น ซง่ึ เป็นสายพันธุใ์ หมท่ ีไ่ ม่เคยพบมากอ่ นในมนษุ ย์ กอ่ ใหเ้ กดิ อาการปว่ ยระบบทางเดนิ หายใจในคน
และสามารถแพร่เชื้อจากคนสู่คนได้ โดยเชอื้ ไวรสั น้ีพบการระบาดคร้งั แรกในเมอื งอูฮ่ นั่ มณฑลหูเป่ย์
สาธารณรัฐประชาชนจีน ในชว่ งปลายปี 2019 หลงั จากน้ันไดม้ กี ารระบาดไปทั่วโลก องคก์ ารอนามยั โลก
จึงต้งั ชื่อการติดเช้ือไวรัสโคโรนาสายพนั ธุ์ใหมน่ วี้ า่ โรค COVID-19
ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÇÔ à¢éÁ
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÑÇè ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 3
รูปแบบการจดั การเรียนการสอน
เรยี นท่ี เรียนโดย เรยี นผา1 น เรียนผา1 น เรยี นที่บ4าน
โรงเรียน DLTV อนิ เทอร6เนต็ โดยหนงั สอื
Application
(KU-BAND) เรยี น
ON Site เรียนทโี่ รงเรียน
ในพืน้ ท่ี สเี ขียวและ สีเหลอื ง เรียนทโ่ี รงเรยี นปกติ แต่ใหม้ ีมาตรการตามแนวทาง ศบค.
ON AIR เรียนที่บา้ นผา่ น DLTV
ในพื้นท่ี สแี ดง หรอื สสี ม้ ทมี่ คี วามเส่ียงสูง เหมาะสำหรับระดับอนบุ าล - ม.3
ONLINE เรียนผ่านอินเตอร์เน็ต
ในพื้นที่ สีแดง หรือ สสี ้ม ทม่ี ีความเสย่ี งสงู เหมาะสำหรับระดับมัธยมศึกษา
ON Demand เรยี นผ่าน Application
ในพืน้ ท่ี สแี ดง หรอื สีส้ม ทีม่ คี วามเส่ยี งสงู เรยี นดว้ ย DLTV ผ่านช่องทาง www.dltv.ac.th ,
Application , YouTube (DLTV Channel) เหมาะสำหรับ ระดบั อนุบาล - ม.3
ON Hand
ในพนื้ ที่ สีแดง หรือสีสม้ ทีม่ ีความเสี่ยงสูง สำหรับนักเรยี นท่ไี มม่ ีความพรอ้ มดา้ นอุปกรณ์ โดย
การนำหนังสือ แบบฝึกหัด ใบงาน ไปเรียนรู้ท่บี ้าน ภายใต้ความชว่ ยเหลือของผู้ปกครองและครู
ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢éÁ
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·èÇÑ ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 4
การเรียนในชนั้ เรยี น (On-Site)
ตอ้ งปฏบิ ัตติ าม 6 ข้อปฏิบตั ิ
1. วัดไข้ 2. ใส่หน้ากาก 3. ล้างมอื
4. เวน้ ระยะห่าง 5. ทำความสะอาด 6. ลดแออัด
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÇÔ à¢éÁ
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·èÑÇä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 5
การจดั การเรียนการสอนแบบผสมผสาน (Blended Learning)
การจดั การเรยี นการสอนแบบผสมสาน คือ การจัดการเรยี นรู้ ทใี่ ชร้ ูปแบบการเรยี นรู้
หลากหลาย ไมว่ า่ จะเป็นการเรยี นรทู้ ่ีเกิดขึ้นในห้องเรยี น ผสมผสานกบั การเรียนรนู้ อกห้องเรยี นทค่ี รแู ละ
นักเรียนไมไ่ ด้เผชญิ หน้ากัน หรือการใช้แหล่งเรียนรทู้ ม่ี ีอยู่อยา่ งหลากหลาย ซ่งึ มีเปา้ หมายอยู่ทีก่ าร
เรียนรู้ของนักเรียนเป็นสำคัญ โดยโรงเรียนสามารถเลอื กรูปแบบการจดั การเรยี นการสอนไดต้ ามตัวอยา่ ง
ดงั น้ี
การสลบั ช้นั มาเรียนของนกั เรยี น แบบสลบั วนั เรยี น
การสลับชั้นมาเรยี นของนกั เรียน แบบสลับวันคู่ วันคี่
การสลบั ชั้นมาเรยี นของนกั เรยี น แบบสลบั วันมาเรียน 5 วัน หยุด 9 วัน
การสลับช่วงเวลามาเรยี นของนักเรียน แบบเรยี นทุกวนั
การสลับกล่มุ นกั เรียน แบบแบ่งนกั เรียนในหอ้ งเรียนเปน็ 2 กลุ่ม
รูปแบบหรือวิธอี น่ื ๆ
ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÑèÇä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 6
การปอ้ งกันการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 กรณีเกดิ การระบาด
1. ปิดสถานศึกษา/ชน้ั ปี/ชัน้ เรยี น เพื่อทำความสะอาด เป็นระยะเวลา 3 วนั โดย
ผูอ้ ำนวยการสถานศึกษา มอี ำนาจส่งั ปิดดว้ ยเหตพุ ิเศษ ไมเ่ กนิ 7 วัน
ผอู้ ำนวยการเขตพน้ื ท่กี ารศึกษา ไม่เกนิ 15 วนั
เลขาธกิ ารคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน ไมเ่ กนิ 30 วนั
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศกึ ษาธิการ และปลัดกระทรวงศกึ ษาธิการ สั่งปดิ ไดต้ ามความ
เหมาะสม
2. สำรวจคัดกรองนักเรียนและบุคลากรทกุ คน บรเิ วณทางเข้าสถานศกึ ษา โดยใชเ้ ครอ่ื งวัด
อณุ หภมู ิแบบมอื ถอื (Handheld thermometer) และดำเนนิ การตามแผนผัง
ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢éÁ
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÑÇè ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 7
เมืองอัจฉริยะ (Smart City)
“เมืองอจั ฉริยะ” หมายความว่า เมอื งที่ใชป้ ระโยชน์จากเทคโนโลยแี ละนวัตกรรมท่ี
ทันสมัยและชาญฉลาด เพือ่ เพิม่ ประสทิ ธภิ าพของการใหบ้ ริการและการบริหารจดั การเมือง
ลดคา่ ใชจ้ ่ายและการใชท้ รพั ยากรของเมืองและประชากรเปา้ หมาย โดยเนน้ การออกแบบทดี่ ี
และการมีสว่ นร่วมของภาคธุรกิจและภาคประชาชนในการพฒั นาเมอื ง ภายใตแ้ นวคิดการ
พฒั นา เมอื งนา่ อยู่ เมอื งทันสมัย ใหป้ ระชาชนในเมืองมคี ณุ ภาพชีวิตท่ดี ี มคี วามสุขอยา่ ง
ยงั่ ยืน
เป้าหมายการพฒั นาเมอื งอัจฉริยะ
2561-2562 เมืองอจั ฉริยะ 10 เมืองใน 7
จงั หวัด 2562-2563 30 เมืองใน 24 จังหวัด
1. ภเู กต็
2. ขอนแก่น
3. เชยี งใหม่ 2563-2564 60 เมืองใน 30 จังหวดั
4. ชลบุรี
5. ระยอง 2565 100 เมอื งใน 76 จังหวดั + กทม.
6. ฉะเชิงเทรา
7. กรุงเทพมหานคร
ใหบ้ รกิ าร City Data Platform ครอบคลุมทกุ พื้นที่ในประเทศ
บรกิ ารเมืองอัจฉริยะของภาครัฐและภาคเอกชนไมน่ อ้ ยกว่า 100 บรกิ าร
ประธานคณะกรรมการขบั เคลอื่ นการพฒั นาเมืองอจั ฉริยะ = รอง
นายกรัฐมนตรที ่ีนายกรฐั มนตรีมอบหมาย
ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é èÇÑ ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 8
กรอบสมรรถนะครเู อเชียตะวนั ออกเฉียงใต้
สมรรถนะ หมายถงึ การผสมผสานระหว่างทกั ษะ องค์ความรู้ พฤตกิ รรม คณุ ลกั ษณะ
ทีจ่ ะสามารถเพ่มิ ประสทิ ธิภาพในการปฏิบตั งิ านให้ดียิง่ ข้ึน การสอนเป็นงานที่มีความซับซ้อน ครจู ำเปน็
ต้องใชก้ ารผสมผสานสมรรถนะเพื่อเชือ่ มโยงกบั บรบิ ทของการศึกษา ทก่ี ำลังเปลยี่ นแปลงในการบรู ณา
การระดับภมู ภิ าค ความทา้ ทายคือความยากในการที่จะทำใหค้ รกู วา่ 5 ลา้ นคน ในภูมิภาคเอเชยี
ตะวนั ออกเฉียงใต้ยึดถือสมรรถนะสำคญั นีว้ ่าเปน็ สิง่ ท่จี ำเป็นต่อการปฏิบัตงิ านที่นา่ พงึ พอใจทส่ี ดุ
กรอบสมรรถนะครเู อเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ จะช่วยเปน็ แนวทางในการแกไ้ ขการปฏิบตั งิ านของครูทวั่
ภูมภิ าค ในฐานะกรอบอา้ งอิง ซ-ี ทีซีเอฟจงึ เป็นเครือ่ งมอื ในการพัฒนาที่ตอบสนองตอ่ วิวฒั นาการความ
ต้องการด้านการสอนในวิชาชีพ ควรมกี ารตคี วามหรือให้ความหมายสมรรถนะที่ระบุไว้ในกรอบนี้ ตาม
บริบททอ้ งถนิ่ และความตอ้ งการจำเป็นเฉพาะดา้ นของแตล่ ะประเทศดว้ ย
กรอบสมรรถนะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ “ตอ้ งอิงบริบท”
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÑèÇä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 9
หลกั ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียง
ประเทศชาติ ประชาชน สมดุล พรอ้ มรับตอ่ การเปลี่ยนแปลง
มีภมู คิ ุ้มกันในดา้ นวัตถุ/สังคม/สง่ิ แวดลอ้ ม/วัฒนธรรม
นำไปสู่
พอประมาณ
มเี หตผุ ล มีภมู ิคมุ้ กนั
ความรู้ คุณธรรม
รอบรู้ รอบคอบ ระมัดระวัง ซ่ือสัตยส์ จุ รติ ขยันอดทน สตปิ ญั ญา
แบง่ ปนั
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÇÑè ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 10
02 จติ วทิ ยาพฒั นาการ จติ วทิ ยาการศกึ ษา และจติ วทิ ยาให้
คาํ ปรกึ ษาในการวเิ คราะหแ์ ละพฒั นาผเู้ รยี นตามศกั ยภาพ
- ความรู้เบื้องต้นเก่ียวกับจิตวิทยา
- จติ วิทยาพฒั นาการ
- จติ วทิ ยาการศึกษา
- จติ วิทยาการแนะแนวและบรกิ ารใหค้ ำปรึกษาในการ
วิเคราะห์และพฒั นาผ้เู รียนตามศักยภาพ
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é èÑÇä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 11
2.1 ความรเู้ บอ้ื งตน้ เกยี่ วกบั จติ วทิ ยา
ความหมายของจติ วทิ ยา
จิตวิทยา (Psychology) มีรากศัพทม์ าจากคำในภาษากรกี 2 คำ
1. Psyche หมายถึง วิญญาณ
2. Logos หมายถงึ ศาสตร์ วชิ าการศกึ ษา
ความหมายเดิม วชิ าทีศ่ กึ ษาคน้ ควา้ เกยี่ วกับวญิ ญาณหรือจิตใจ
ความหมายใหม่ การศึกษาเร่ืองเกย่ี วกบั พฤติกรรมของมนษุ ย์
จติ วิทยา หมายถึง วิชาท่ีศึกษาเกีย่ วกบั พฤติกรรมหรอื กิริยาอาการของมนุษยแ์ ละสัตวโ์ ดยอาศัย
กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ซ่ึงข้อมลู ดงั กลา่ วจะทำใหส้ ามารถคาดคะเนหรือพยากรณไ์ ด้ ซึ่งจะช่วยลด
พฤตกิ รรมเบยี่ งเบนอันกอ่ ใหเ้ กดิ ปัญหาในอนาคต
เป้าหมายของการศึกษาจิตวิทยา
เปา้ หมายของการศกึ ษาจติ วิทยาคอื ชว่ ยใหผ้ ศู้ ึกษาไดเ้ รียนรพู้ ฤติกรรมของมนษุ ย์โดยวิธที าง
วทิ ยาศาสตร์โดยมเี ปา้ หมายท่ีสำคญั 4 ประการคอื
1. เพอื่ อธิบายพฤตกิ รรมของบุคคล
2. เพอ่ื เขา้ ใจพฤติกรรมของบคุ คล
3. เพื่อทำนายหรอื พยากรณ์พฤตกิ รรมของบุคคล
4. เพือ่ ควบคุมพฤตกิ รรมของบุคคล
ประเด็นสำคญั // เปา้ หมายของจิตวทิ ยา อธิบาย เขา้ ใจ ทำนาย ควบคมุ
ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é èÇÑ ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 12
พฤตกิ รรม (Behavior)
หมายถงึ กรยิ าทีแ่ สดงออกหรอื ปฏิกริ ิยาโตต้ อบเมอ่ื เผชิญกบั สิง่ เรา้ หรอื สถานการณต์ ่าง ๆ เช่น
การเดิน การพูด การคิด การเตน้ ของหัวใจ การหวั เราะ การหายใจ เปน็ ต้น พฤตกิ รรมสามารถแบ่ง
ออกเป็นสองประเภทคือ
1. พฤติกรรมภายนอก (Overt Behavior) หมายถงึ พฤตกิ รรมหรอื การกระทำทปี่ รากฏ
ออกมาให้สังเกตเหน็ ได้ รบั รู้ได้ ใชเ้ ครือ่ งมอื ตรวจสอบได้ แบ่งออกเปน็ สองลกั ษณะคือ
1.1 แบบโมลาร์ มองเหน็ ได้ดว้ ยตาเปลา่ ไมต่ ้องใช้เครื่องมือในการวัด เช่น การยืน การ
เดิน การน่ัง การนอน เต้น ยิ้ม หวั เราะ
1.2 แบบโมเลควิ ลาร์ หรอื แบบโมเลกุล มองไมเ่ ห็นดว้ ยตาเปล่า รับรไู้ ดแ้ ตต่ อ้ งใช้
เครื่องมอื วัด เชน่ ความดันโลหติ ชพี จร การเตน้ ของหัวใจ
2. พฤตกิ รรมภายใน (Covert Behavior) หรือกระบวนการทางจิต หมายถึงพฤตกิ รรมที่
เกิดขึ้นในใจ มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า หรอื ไม่สามารถใชเ้ ครือ่ งมอื ตรวจสอบไดโ้ ดยตรงถ้าไม่บอกใคร
หรือไม่แสดงออกก็จะไมม่ ีใครรู้ เชน่ ความคดิ ความรู้สึก จินตนาการ ความจำ ความกลัว ความฝัน
ประเดน็ สำคัญ // พฤตกิ รรมภายนอก มองเหน็ ตรวจสอบได้
พฤติกรรมภายใน ไมบ่ อกไม่รไู้ มเ่ ห็น
ทง้ั พฤติกรรมภายนอกและพฤตกิ รรมภายในตา่ งมคี วามสัมพนั ธ์เกยี่ วข้องกนั นนั่ คอื พฤตกิ รรม
ภายในเปน็ ตัวกำหนดและการแสดงออกของพฤติกรรมภายนอก เช่น ถ้าพฤติกรรมภายในไม่มี
ความสุข มแี ต่ความเศร้าหมองก็จะแสดงออกทาง สหี นา้ แววตา ทา่ ทาง เปน็ ตน้
ประเดน็ สำคัญ // พฤติกรรมภายในเป็นตัวกำหนดพฤตกิ รรมภายนอก
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÇèÑ ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 13
นกั จิตวิทยา
ซิกมัน ฟรอยด์ บดิ าแหง่ จติ วิทยาโลก บดิ าแห่งจิตวทิ ยาวเิ คราะห์
วิลเฮลม์ แมกซ์ วนุ้ ท์ บดิ าแหง่ จติ วทิ ยาการทดลอง
เฟรอเบล บดิ าแหง่ การอนุบาลศึกษา
อลั เฟรด บิเนต์ บิดาแห่งสติปญั ญา
ธอร์นไดด์ บดิ าแหง่ จิตวิทยาการศึกษา
จอห์น บี วัตสนั บิดาแหง่ จิตวทิ ยาแผนใหม่ + บดิ าแหง่ พฤตกิ รรมนิยม
แฟรงค์ พาร์สัน บิดาแหง่ จิตวิทยาการแนะแนว
ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÇèÑ ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 14
2.2 จติ วทิ ยาพฒั นาการ (Developmental Psychology)
ความหมายของพัฒนาการ
พฒั นาการ (Developmental) หมายถึง การเปลยี่ นแปลงท่เี ป็นระบบระเบียบสามารถคาดคะเน
ได้ตามสมควร เปน็ การเปลย่ี นแปลงทกี่ า้ วหน้าของบคุ คล การเปลีย่ นแปลงนีเ้ ปน็ ผลมาจากวฒุ ภิ าวะและ
ประสบการณซ์ ึง่ เปน็ เรอ่ื งทเ่ี กดิ ขึ้นติดต่อกันตลอดชวี ติ
พัฒนาการแบ่งออกได้เป็น 4 ดา้ น
พัฒนาการทางด้านร่างกาย (Physical Development)
พฒั นาการทางดา้ นอารมณ์ (Emotional Development)
พฒั นาการทางด้านสงั คม (Social Development)
พฒั นาการทางดา้ นสตปิ ญั ญา (Mental Development)
ทฤษฎีการพฒั นาการ
ทฤษฎพี ัฒนาการทางจิตเกีย่ วกบั ความรู้สึกทางเพศของฟรอยด์หรือจิตวเิ คราะห์
ทฤษฎีลำดับข้ันทางสตปิ ญั ญาของเพยี เจต์
ทฤษฎีกระบวนการจดั ประเภททางปญั ญาของบรูเนอร์
ทฤษฎีระดบั พฒั นาการจรยิ ธรรมของโคห์ลเบอรก์
ทฤษฎีพัฒนาการทางจติ สงั คมของอรี ิกสัน
ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢éÁ
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÑèÇä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 15
ทฤษฎกี ารพฒั นาการทางจิตเก่ียวกับความรู้สกึ ทางเพศของฟรอยดห์ รอื จติ วิเคราะห์
(Freud’s Psuchosexual Development Theory)
ฟรอยด์ ไดส้ รา้ งทฤษฎนี จ้ี ากความรู้ทางพนั ธุศาสตร์และหลกั การเกย่ี วกบั พลังทางเพศตามความ
เชือ่ ของเขาโดยต้งั ทฤษฎวี ่าขน้ั การพฒั นาทางจติ เก่ยี วกบั ความรสู้ กึ ทางเพศมีอยู่ 5 ข้นั ตอ่ เนื่องกนั ไป
ตามลำดับของพ้นื ฐานทางชวี วิทยาตามสัญชาตญาณทางเพศของมนุษย์ตง้ั แตเ่ ยาว์วยั ลำดับขนั้ พัฒนาการ
ทางจติ เกยี่ วกับความร้สู กึ ทางเพศมี 5 ข้นั ดงั นี้
1. ข้นั ปาก (Oral Stage) 0-18 เดอื น ฟรอยด์เรยี กขนั้ น้วี า่ เป็นข้นั Oral เพราะความพึงพอใจ
อยู่ทชี่ อ่ งปาก เร่ิมตั้งแตเ่ กดิ เป็นวยั ทค่ี วามพึงพอใจเกิดจากการดูดนมแม่ นมขวด และดดู นิว้ เป็นต้น
2. ขั้นทวารหนกั (Anal Stage) 18 เดือน – 3 ปี เดก็ วยั นีไ้ ดร้ ับความพึงพอใจทางทวารหนกั
คือ จากการขบั ถา่ ยอจุ จาระ
3. ขั้นอวยั วะเพศ (Phallic Stage) 3-5 ปี ความพึงพอใจของเด็กวัยนอ้ี ยู่ทอี่ วัยวะสืบพนั ธุ์
เริม่ มองเห็นเพศตนกบั ต่างเพศชดั ขึ้น
- เดก็ ชายหวงแม่
- เดก็ หญงิ หวงพ่อ
4. ขั้นแฝง (Latency Stage) หรือข้ันเก็บความรู้สกึ เด็กวัยนีอ้ ย่รู ะหว่างอายุ 6-12 ปี เปน็
ระยะทฟ่ี รอยดก์ ลา่ วว่า เดก็ เกบ็ กดความตอ้ งการทางเพศหรอื ความตอ้ งการทางเพศลดลง (Quiescence
Period) เด็กชายมกั เล่นหรอื จับกลมุ่ กบั เดก็ ชาย สว่ นเด็กหญิงกจ็ ะเล่นหรือจบั กลุ่มกบั เด็กหญิง
5. ขั้นสนใจเพศตรงข้าม (Genital Stage) วัยน้ีเป็นวัยรนุ่ เร่มิ ตวั แต่อายุ 12 ปขี ้ึนไป จะมี
ความต้องการทางเพศ วยั น้จี ะมคี วามสนใจในเพศตรงขา้ ม ซึง่ เป็นระยะเริ่มต้นของวยั ผู้ใหญ่
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÑèÇä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 16
ทฤษฎีลำดับข้ันทางสติปัญญาของเพยี เจต์ (Piaget’s Stages of Cognitive
Development)
เพียเจต์ (Jean Piaget) นักจิตวทิ ยาชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผูเ้ ช่ียวชาญในทฤษฎีพัฒนาการ
ทางดา้ นสติปญั ญา เขากลา่ ววา่ เดก็ จะสร้างความรูห้ รอื พัฒนาสตปิ ัญญาผ่านการปรบั ตัวให้เข้ากบั
สิ่งแวดลอ้ ม และมีพัฒนาการทางสติปญั ญาตามช่วงวยั ดว้ ยกันทัง้ หมด 4 ขัน้
1. ขัน้ การรับรดู้ ว้ ยการเคลื่อนไหวและประสาทสัมผสั (Sensorimotor Stage) เรม่ิ ตงั้ แต่แรก
เกดิ จนถงึ 2 ปี พฤตกิ รรมของเดก็ ในวยั น้ีข้นึ อย่กู ับการเคลอื่ นไหวเปน็ ส่วนใหญ่
2. ข้ันเรมิ่ มีความคิดความเข้าใจ (pre-operational period) อายุ 2-7 ปี เด็กวยั นีเ้ ป็นวยั กอ่ น
เขา้ โรงเรยี นและวยั อนบุ าล ยังไม่สามารถใชส้ ติปญั ญากระทำสง่ิ ตา่ ง ๆ ได้อย่างเตม็ ท่ี ความคิดของเด็ก
วยั นี้ข้นึ อยูก่ ับการรับรเู้ ปน็ สว่ นใหญ่ ไมส่ ามารถใช้เหตผุ ลอยา่ งลึกซึ้งได้ วัยน้เี รมิ่ เรียนรู้การใช้ภาษา และ
สามารถใช้สญั ลักษณ์ต่าง ๆ ได้
3. ขั้นใช้ความคิดอย่างมีเหตุผลเชงิ รูปธรรม (concrete operational period) อายุ 7-11 ปี
ระยะน้ีเด็กจะมพี ัฒนาการทางความคิดและสติปญั ญาอย่างรวดเรว็ สามารถคิดอยา่ งมีเหตุผล สามารถ
นำความรู้หรอื ประสบการณใ์ นอดตี มาแกป้ ัญหาเหตุการณ์ใหม่ ๆ ได้ แต่ปัญหาหรอื เหตกุ ารณน์ ้นั จะต้อง
เกยี่ วขอ้ งกับวตั ถหุ รอื สิง่ ทีเ่ ปน็ รูปธรรม สว่ นปัญหาทเี่ ป็นนามธรรมนั้นเด็กยงั ไม่สามารถแกไ้ ด้
4. ขั้นการคดิ แบบมเี หตุผลเชิงนามธรรม (formal operational period) เดก็ ท่มี ีอายุ 11 ถึง
12 ปขี ึ้นไปเปน็ ระยะทสี่ ตปิ ญั ญาพฒั นาถงึ ข้ันทจ่ี ะคดิ เป็นแบบนามธรรมได้ ให้เหตุผลเชงิ นามธรรมได้คิด
ทำในสิ่งต่าง ๆ ทม่ี นษุ ยเ์ พง่ิ จะทำได้
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢éÁ
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é èÑÇä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 17
ทฤษฎกี ระบวนการจดั ประเภททางปัญญาของบรเู นอร์ (Bruner’s Categorizing
Process Theory)
บรูเนอร์ (Bruner) เปน็ นกั จติ วทิ ยาทส่ี นใจและศกึ ษาเรือ่ งของพฒั นาการทางสตปิ ัญญาตอ่ เนื่อง
จากเพียเจต์ บรูเนอรม์ ีความเช่ือวา่ “ การเรยี นรูเ้ ปน็ กระบวนการทางสังคมทีผ่ เู้ รยี นจะต้องลงมอื
ปฏบิ ตั ิ และสร้างองค์ความรดู้ ว้ ยตนเองท้ังนีโ้ ดยมพี ้นื ฐานอยบู่ นประสบการณ์หรอื ความรูเ้ ดมิ ” บรู
เนอรไ์ ด้จัดลำดับขน้ั พัฒนาการการเรียนรูข้ องเดก็ หรือโครงสร้างทางสติปัญญาเปน็ 3 ขั้น
ขั้นท่ี 1 Enactive representation (แรกเกิด – 2 ขวบ )
ในวัยนเ้ี ดก็ จะมกี ารพัฒนาการทางสตปิ ญั ญาโดยใช้การกระทำเป็นการเรยี นรู้ หรอื เรียกว่า
Enactive mode เด็กจะใชก้ ารสมั ผสั เช่น จบั ต้องด้วยมือ ผลัก ดึง สง่ิ ที่สำคญั เด็กจะตอ้ งลงมือกระโดด
ด้วยตนเอง เช่น การเลียนแบบ หรอื การลงมือกระทำกบั
ขนั้ ท่ี 2 Iconic representation
ในพฒั นาการข้นั น้ีจะเป็นการใช้ความคดิ เด็กสามารถถ่ายทอดประสบการณต์ ่าง ๆ ที่เกิดจาก
การมองเห็น การสัมผสั โดยการนึกมโนภาพ การสร้างจินตนาการ พฒั นาการนจี้ ะเพมิ่ ขึ้นตามอายขุ อง
เดก็ ยิง่ โตข้นึ ก็ยงิ่ สร้างจนิ ตนาการไดม้ ากขึ้น การเรียนรูใ้ นขั้นนเ้ี รียกว่า Iconic mode เด็กจะสามารถ
เรยี นรโู้ ดยการใช้ภาพแทนการสมั ผัสของจริง บรเู นอร์ไดเ้ สนอแนะให้นำโสตทัศนวัสดุมาใช้ในการสอน
เชน่ บัตรคำ ภาพนง่ิ เพอ่ื ท่จี ะช่วยเสริมสร้างจินตนาการใหก้ บั เดก็
ขน้ั ท่ี 3 Symbolic representation
ในพฒั นาการทางข้นั นี้ บรเู นอร์ถือว่าเปน็ การพัฒนาการขัน้ สูงสุดของความรู้ความเขา้ ใจ เชน่
การคดิ เชงิ เหตุผล หรือการแก้ปญั หา วธิ ีการเรยี นรู้ขน้ั น้ีเรียกว่า Symbolic mode ซงึ่ ผู้เรยี นจะใชใ้ น
การเรยี นไดเ้ มือ่ มีความเขา้ ใจในส่งิ ทเี่ ปน็ นามธรรม
ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢éÁ
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÑèÇä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 18
ทฤษฎรี ะดบั พัฒนาจรยิ ธรรมของโคหล์ เบอร์ก (Kohlberg’s Levels of Moral
Development Theory)
โคห์ลเบอร์กได้สรา้ งทฤษฎีพฒั นาการทางจริยธรรมขึ้นมาใหมโ่ ดยเห็นว่าพัฒนาการจริยธรรมจะ
มกี ารเปลี่ยนแปลงไปทลี ะเล็กทีละนอ้ ยต่อเนอ่ื งกันดงั น้ี
1. ระดบั กอ่ นกฎเกณฑ์ (Pre – Conventional)
เดก็ ท่ีอยู่ในระดับนจ้ี ะมงุ่ ความสนใจอยู่ทต่ี นเองเทา่ นัน้ จะไม่มีความเข้าใจและไมใ่ ห้การยอม
ทำตามหรือสนับสนนุ การทำตามระเบยี บกฎเกณฑ์ในสงั คม ตลอดจนการคาดหวงั จากสงั คม แตจ่ ะทำ
ตามเพราะความกลัว เดก็ ในระดบั นีจ้ ะมีอายุ 2-10 ปี (วยั กอ่ นหนา้ น้คี ือ 0-2 ปี เปน็ วยั ท่ียังไมม่ ี
จริยธรรม) จรยิ ธรรมในระดบั น้มี อี ยูส่ องข้ันคือ
1.1 ข้ันเชือ่ ฟังและหลกี เลี่ยงการลงโทษ
1.2 ขั้นใช้กฎเกณฑ์เป็นเครื่องมอื เพ่ือประโยชนข์ องตน
2. ระดับดำเนินตามกฎเกณฑ์ (Conventional)
เด็กในระดบั นี้ (10-16ป)ี พุ่งความสนใจไปทกี่ ฎเกณฑ์ การคาดหวังจากสังคมในการกำหนด
ค่านิยมของตน ยอมรบั เอาการตกลงในทางสังคมเข้ามาปฏบิ ตั แิ ละสนับสนนุ เดก็ ในระดบั นี้ต้องอาศยั
การควบคมุ จากภายนอก (เช่น พอ่ แม่ ผใู้ หญ)่ แต่กส็ ามารถเอาใจเขามาใสใ่ จเรา สามารถแสดงบทบาท
ทางสงั คมได้ ในระดบั น้มี ีสองข้นั ต่อเนอื่ งกับระยะแรกคอื
2.1 ขั้นกระทำตามความหวังและการยอมรบั ในสังคม
2.2 ขนั้ ยึดกฎและระเบยี บขอ้ บังคับของสงั คม
3. ระดบั อยู่เหนอื กฎเกณฑ์ (Post Conventional)
บุคคลท่ีอย่ใู นระดับนี้ (16 ปขี นึ้ ไป) จะมคี วามเขา้ ใจและยอมรบั กฎเกณฑข์ องสังคมแตก่ ็อยู่บน
พน้ื ฐานของหลกั การเชิงจริยธรรมแบบสากลทมี่ ีอยู่ในกฎเกณฑเ์ ทา่ นนั้
3.1 ข้ันกระทำตามสญั ญาหรอื สญั ญาสงั คมหรอื เห็นความสำคัญของข้อสญั ญา
3.2 ขน้ั มีหลักการของจริยธรรมเชงิ สากล
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÇèÑ ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 19
ทฤษฎีพฒั นาการทางจติ สงั คมของอรี กิ สัน (Erikson’s Psychosocial Theory)
อรี ิกสนั เน้นอทิ ธิพลของสภาวะแวดล้อมท่มี ตี ่ออารมณ์ ซ่งึ อยภู่ ายในความรสู้ ึกของบคุ คลที่จะ
เกดิ ข้นึ ต่อชีวติ ของมนุษย์ชาติ โดยแบง่ เปน็ 8 ขัน้ ดังนี้
1. ขั้นความไว้ใจขดั แยง้ กบั ความไมไ่ วใ้ จ หรอื ขั้นความหวงั ขั้นน้ีจะอยู่ในระยะวัยทารกหรือ
ในชว่ งปีแรกของชีวิต (0-1 ปคี รงึ่ )
2. ขน้ั ความเปน็ ตวั ของตัวเองขัดแย้งกบั ความละอายและสงสยั หรอื ขั้นพลังจติ เดก็ อายุระหวา่ ง
1-1 ปีครง่ึ ถึง 3-4 ปี หรอื วัยกอ่ นเขา้ เรียนจะพัฒนาลกั ษณะ พยายามแสดงถงึ ความมอี ิสระไม่พ่งึ พาผู้ใด
ในการท่จี ะกระทำสงิ่ ตา่ ง ๆ ด้วยตนเอง
3. ขน้ั มคี วามเริ่มในตนเองขดั แย้งกับความรู้สกึ ผิด หรอื ขั้นความมุ่งประสงค์ ความขัดแย้งขั้นน้ี
จะเปน็ ลกั ษณะสุดทา้ ยทเ่ี กดิ ข้ึนในเดก็ วัยก่อนเขา้ เรยี นซงึ่ อรี กิ สนั เรียกว่า วัยเด็กซุกซน (play age)
4. ขั้นความขยันหม่ันเพียรขัดแยง้ กบั ความรสู้ ึกต่ำตอ้ ยหรือขน้ั สมรรถภาพ ขนั้ นี้ปรากฏในช่วง
อายุ 6-11 ปี ซง่ึ เรยี กวา่ เปน็ วยั เข้าเรยี น (school age)
5. ขนั้ ความมีเอกลักษณข์ ดั แยง้ กับความสับสนในบทบาทของตนหรือขน้ั ความถูกต้องเปน็ จรงิ
ข้ันนี้อรี กิ สนั เน้นถึงวยั รุ่นซ่ึงมอี ายุระหว่าง 11-13 ปี ถงึ 20 ปี หรอื จากวยั เริ่มเข้าสวู่ ัยรุน่ จนถึงวยั ผ้ใู หญ่
ตอนต้น เด็กวันนีจ้ ะเผชิญกบั ความตอ้ งการของสังคมและการเปล่ยี นแปลงบทบาทของตน
6. ขั้นมคี วามใกล้ชิดกบั คนอน่ื กบั การแยกตวั โดดเดยี่ วหรอื ขั้นความรัก เป็นวัยที่อยู่ในช่วง 20-
25 ปี หรืออยใู่ นวยั ผ้ใู หญ่ตอนตน้ คาบเก่ียวกับวัยร่นุ ตอนปลาย นั่นคือจะเรมิ่ ใช้ชีวิตแบบผใู้ หญ่
7. ขน้ั การสร้างสรรคใ์ ห้ผู้อน่ื ขดั แย้งกบั ความเฉอ่ื ยชาหรือข้นั เอาใจใส่ อายุในชว่ งน้ีระหวา่ ง 25-
65 ปี เรยี กว่าวยั ผ้ใู หญต่ อนกลางหรอื วัยกลางคน จะพัฒนาการ ความรู้สกึ หว่ งในสวัสดิภาพของคนรุ่น
หลงั และสงั คมซ่ึงคนรุ่นนน้ั จะดำรงชวี ิตและประกอบอาชพี
8. ขัน้ มีบูรณาการขัดแยง้ กบั ความสนิ้ คิดส้ินหวงั หรอื ข้นั ความฉลาดรอบรู้ เปน็ พฒั นาการข้นั
สุดท้ายของมนษุ ยซ์ งึ่ เปน็ วยั ท่มี ีภาวะสกุ ถงึ ขีดเตม็ ที่ แตใ่ นสงั คมชว่ งนี้เป็นช่วงของวยั ชรา ซึ่งตอ้ งมีการ
ปรบั ตนหลายดา้ น
ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·èÇÑ ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 20
2.3 จติ วทิ ยาการศกึ ษา (Educational Psychology)
แนวความคดิ จติ วทิ ยากลุม่ ต่าง ๆ
กลุม่ โครงสรา้ งทางจติ (Structuralism)
กลุ่มหน้าท่ีทางจติ (Functionalism)
กลุ่มพฤตกิ รรมนิยม (Behaviorism)
กลมุ่ จติ วเิ คราะห์ (Psychoanalysis)
กลมุ่ เกสตัส (Gestalt Psychology)
กลุ่มมนษุ ยนยิ ม (Humanism)
กลุม่ โครงสรา้ งทางจติ (Structuralism) หรอื กลุม่ โครงสรา้ งนิยม
- ผกู้ อ่ ตงั้ วลิ เฮล์ม แม็ก วุน้ ท์ (Wilhelm max Wundt)
- แนวคิด การไดส้ มั ผัสเป็นสิ่งสำหรับการเรยี นรู้
- สรปุ ไดว้ า่ มนษุ ยป์ ระกอบด้วยส่วนท่เี ป็นรา่ งกายจติ ใจซ่งึ ต่างทำหนา้ ท่ขี องตวั เอง แต่มี
ความสัมพันธ์กันโครงสรา้ งทางจิตมี 3 สว่ นประกอบคอื
1. การสัมผัส (Sensation) คอื การทำงานของอวยั วะรับสมั ผสั ท้ัง 5 อัน ไดแ้ ก่ หู ตา จมกู ล้นิ
และผิวหนัง
2. ความรู้สึก ( Felling) การแปลความจากการสัมผสั เช่นตามองเหน็ ส่งิ เร้ากต็ ีความว่าสวย
นา่ เกลยี ด เป็นตน้
3. มโนภาพ (Image) การคิดและการวิเคราะห์ คดิ เป็นภาพในใจ
ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é èÑÇä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 21
กลุ่มหนา้ ท่ที างจิต (Functionalism)
ผู้นำของกลมุ่ นคี้ อื จอหน์ ดนิ อี้ (John Dewey) และ วิลเลยี ม เจมส์ (William James) ซึ่ง
นกั จติ วิทยากลุ่มน้ีใหค้ วามสนใจท่ีจะศกึ ษาเกี่ยวกบั พฤติกรรมภายในเชน่ เดียวกับกลุ่มโครงสรา้ งทางจติ
แตต่ า่ งกันทนี่ ักจติ วทิ ยากลุ่มน้ีให้ความสำคญั กับหนา้ ทีข่ องจิตและกระบวนการที่สง่ ผลตอ่ การแสดงออก
ของบุคคล โดยแนวความคดิ ของกลุม่ นไ้ี ดร้ ับอทิ ธพิ ลจากทฤษฎวี วิ ฒั นาการของ ชาร์ล ดารว์ ิน ท่ีอธิบาย
ถงึ ความสามารถในการปรับสภาพร่างกายของสิง่ มีชวี ิตเพือ่ ให้สามารถดำรงอยไู่ ด้ในสภาพแวดลอ้ ม
จอห์น ดิวอี้ มคี วามเชื่อวา่ การเรียนรูเ้ กดิ ข้ึนไดจ้ ากการกระทำ (learning by doing)
วลิ เลยี ม เจมส์ สง่ิ มชี ีวิตจะต้องรจู้ ักปรับตัวใหเ้ ข้ากบั สิง่ แวดล้อม โดยอาศยั หน้าท่ขี องจติ ที่
เรยี กว่า จติ สำนึก (Conscious)
ประเดน็ สำคัญ // กล่มุ หน้าทีท่ างจิตเนน้ การศกึ ษาเก่ยี วกบั กระบวนการเรียนร้ขู องมนษุ ย์
จอห์น ดิวอี้ การเรียนรเู้ กดิ ข้นึ ไดจ้ ากการกระทำ (learning by doing)
กลมุ่ พฤติกรรมนยิ ม (Behaviorism)
ผูน้ ำคอื จอหน์ บี วัตสัน ซึ่งอาศยั แนวคดิ ของ พาพลอฟ เกี่ยวกับการเรยี นร้โู ดยมีเง่อื นไข
แนวคิดนถี้ อื ว่า พฤตกิ รรมจะตอ้ งมสี าเหตมุ ากระตุ้น คือ สิง่ เรา้ (Stimulus) และส่งผลต่อการ
ตอบสนอง (Response) ซงึ่ การวางเงื่อนไขเป็นสาเหตุสำคญั ใหเ้ กิดพฤติกรรม
วิธกี ารศึกษาสว่ นใหญจ่ ะนิยมใช้การทดลองรว่ มกบั การสงั เกตอยา่ งมแี บบแผนแล้วบนั ทึกผล
อยา่ งละเอยี ดชัดเจน โดยจะต้องไม่นำความรู้สึกสว่ นตัวเขา้ ไปเก่ยี วข้องโดยการศึกษาของกล่มุ พฤติกรรม
นิยมมสี าระสำคัญดงั นี้
1. การสร้างและเปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรมของบุคคลน้นั ทำไดโ้ ดยวธิ ีการวางเงื่อนไขดงั เชน่ การ
ทดลองของพาฟลอฟ
2. พฤติกรรมสว่ นใหญข่ องบคุ คลทแี่ สดงออกมาน้นั เกิดจากการวางเงื่อนไขมากกว่าพฤตกิ รรมท่ี
แสดงออกตามธรรมชาติ
3. การศกึ ษาพฤติกรรมท่เี กิดจากการเรยี นรูข้ องมนุษยแ์ ละสตั วม์ ีความใกล้เคยี งกนั แต่การ
ทดลองกับสตั วจ์ ะกระทำได้ง่ายกวา่ แตท่ งั้ นก้ี ็ยงั อนุมานมาอธิบายพฤติกรรมการเรยี นรขู้ องมนษุ ยไ์ ด้
ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢éÁ
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÑèÇä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 22
ทฤษฎกี ารวางเงอื่ นไขแบบคลาสสคิ ของพาฟลอฟ (Pavlov)
พาฟลอฟ เช่ือวา่ การเรียนรูข้ องสิง่ มีชีวติ เกดิ จากการวางเงอื่ นไข (Conditioning) การ
ตอบสนองหรือการเรียนร้ทู ่เี กิดขึ้นต่อส่ิงเร้านน้ั ๆ ตอ้ งมีเงินใครหรือการสร้างสถานการณ์ให้เกดิ ข้นึ ซงึ่ ใน
ธรรมชาตหิ รือในชีวิตประจำวนั จะไม่ตอบสนองเช่นน้นั เลย
การทดลองแบง่ ออกเปน็ 3 ข้นั คอื ก่อนการวางเงอ่ื นไข ระหวา่ งการวางเง่ือนไข และหลัง
การวางเงอ่ื นไข
กอ่ นการวางเง่อื นไข นำ้ ลายไหล UCR
วางผงเนือ้ UCS น้ำลายไม่ไหล
สั่นกระดิง่ อยา่ งเดยี ว
สนุ ขั น้ำลายไหล UCR
ระหว่างการวางเง่ือนไข
วางผงเน้อื บด UCS พร้อมสนั่ กระด่งิ CS สนุ ัขน้ำลายไหล CR
หลังการวางเง่ือนไข
เอาผงเนอื้ ออก แลว้ ส่ันกระดิ่ง CS
à¡´Ô ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ÃÙé¨Ò¡¡ÒÃÇÒ§à§×è͹ä¢áºº¤ÅÒÊÊ¡Ô áÅÇé
ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢éÁ
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÇÑè ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 23
การทดลองของพาฟลอฟ สรุปไดว้ า่
ผงเนอ้ื เป็นส่งิ เร้าทีไ่ ม่ตอ้ งวางเงือ่ นไข หรอื สิ่งเรา้ แท้ (Unconditioned Stimulus : UCS)
กระดง่ิ เป็นสิ่งเรา้ ท่ีวางเง่อื นไข หรือ สงิ่ เรา้ เทียม (Conditioned Stimulus : CS)
น้ำลายไหลจากผงเนือ้ เปน็ การตอบสนองโดยไมต่ ้องวางเงอ่ื นไข (Unconditional
Response : UCR )
นำ้ ลายไหลจากการสน่ั กระดงิ่ เป็นการตอบสนองโดยวางเง่ือนไข (Conditional Response :
CR)
ทฤษฎีการวางเงือ่ นไขของวตั สนั (Watson)
ได้ทำการทดลองโดยใช้เดก็ และหนูขาว
ก่อนการวางเงอื่ นไข จับเล่นได้
หนูขาวเปน็ สงิ่ ทเ่ี ดก็ ไมก่ ลัว เดก็ ตกใจกลวั และรอ้ งไห้
เม่ือทำเสยี งดัง
เด็กตกใจกลัวและรอ้ งไห้
ระหว่างการวางเง่ือนไข
นำหนูขาวมาพรอ้ มกบั ทำเสียงดัง เดก็ ตกใจกลวั และร้องไห้
หลังการวางเง่อื นไข
นำหนูขาวมาอย่างเดยี ว
à´¡ç à¡Ô´¡ÒÃàÃÂÕ ¹ÃÙé¨Ò¡¡ÒÃÇÒ§à§×è͹ä¢
ÊÃØ»¼Å ÇµÑ ÊѹÊÒÁÒöÊÃéÒ§¾ÄµÔ¡ÃÃÁ¡ÒáÅÇÑ ãËéà¡´Ô ¢¹Öé á¡àè ´ç¡ä´é
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÇèÑ ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 24
หลงั การทดลองวัตสนั ทำการลดภาวะหรือการดบั สูญการตอบสนองโดยการทดลองใหน้ ำหนขู าว
มาใหเ้ ดก็ ดูโดยแมจ่ ะกอดเดก็ ไว้ จากนั้นเดก็ กจ็ ะค่อยๆ หายกลัวหนขู าว
ประเดน็ สำคัญ พาฟลอฟ สุนขั + กระด่งิ // วัตสนั เดก็ ชาย หนขู าว
กลมุ่ จติ วิเคราะห์ (Psychoanalysis)
ผูก้ อ่ ต้ังคอื ซกิ มุน ฟรอยด์ (Sigmund Freud) ซึ่งเขาเชือ่ วา่ พฤตกิ รรมส่วนใหญข่ องมนุษย์มี
แรงจงู ใจมาจากจติ ไรส้ ำนกึ เกิดจากแรงขับทางเพศ เขาอธิบายว่า จติ ของคนเรามี 3 สว่ นเปรยี บได้
กับภเู ขาน้ำแขง็ ลอยอยใู่ นทะเล คือ
1. จติ สำนกึ (Conscious) คอื สภาวะที่มสี ติรูต้ วั รู้ว่ากำลงั ทำอะไรอยู่หรือกำลงั จะทำอะไร
รจู้ ักตวั เองว่าเปน็ ใครตอ้ งการอะไรทำอะไรอยทู่ ่ีไหนกำลังรู้สึกอยา่ งไรตอ่ สิ่งใด การแสดงอะไรออกไปที่
แสดงไปตามหลกั เหตุผลเปรียบได้กบั สว่ นของกอ้ นน้ำแข็งทีโ่ ผล่ผวิ นำ้ ข้นึ มามจี ำนวนนอ้ ยมาก
2. จิตใต้สำนึก (Preconscious mind) หรอื จติ กอ่ นสำนกึ คือสภาพทไี่ ม่รู้ตวั ในบางขณะ
เช่น กระดิกเทา้ ผิวปาก ย้ิมคนเดียวโดยไมร่ ้ตู วั พูดอะไรออกมาโดยไม่ไดต้ ้ังใจ เปรยี บได้กบั ส่วนของก้อน
น้ำแข็งที่อยู่ใต้นำ้
3. จิตไรส้ ำนึก (Unconscious mind) เปน็ ส่วนของจิตทใ่ี หญท่ ีส่ ุดและมีอทิ ธพิ ลตอ่ พฤติกรรม
ของมนษุ ยแ์ ละเปน็ สว่ นที่ไม่รสู้ กึ ตัวเลย อาจจะมาจากเจ้าตัวพยายามเก็บกดเอาไว้ เช่นเกลียดครู หรอื
พยายามท่จี ะลืมแล้วในท่ีสดุ ก็ลมื ๆ ไป ซ่ึงดูเหมอื นว่าจะหายไปจรงิ ๆ แตท่ ีจ่ รงิ ไม่ได้หายไปไหนอาจจะ
แสดงออกมาในรปู ของความฝนั การละเมอเปรียบไดส้ ่วนของน้ำแข็งท่อี ยู่ใต้น้ำ
ฟรอยด์ ได้ศึกษาองค์ประกอบของจติ พบวา่ โครงสรา้ งทางจติ ประกอบดว้ ย 3 ส่วนคือ
1. อดิ (ID) หมายถึง ตณั หา หรอื ความตอ้ งการพนื้ ฐานของมนุษย์เป็นสิง่ ทไ่ี มข่ ดั เกลาซ่งึ ทำให้
มนษุ ยท์ ำทุกอย่างเพ่อื ความพงึ พอใจหรอื ทำงานความพงึ พอใจ เปรยี บเสมอื นสนั ดานดบิ ของมนษุ ย์
ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é èÇÑ ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 25
2. อโี ก้ (EGO) หมายถงึ สว่ นท่คี วบคมุ พฤติกรรมท่ีเกิดจากความต้องการของ ID โดยอาศยั
กฎเกณฑ์ทางสังคมและหลักแหง่ ความเจริญมาช่วยในการตดั สินใจไม่ใชแ่ สดงออกมาตามความพงึ พอใจ
ของตนเองเพยี งอย่างเดยี วแต่ต้องคิดและแสดงออกอยา่ งมีเหตผุ ล
3. ซปุ เปอรอ์ ีโก้ (SUPEREGO)
หมายถงึ มโนธรรมหรอื จิต สว่ นที่ไดร้ บั การพฒั นามาจากประสบการณก์ ารอบรมสัง่ สอนหรือ
กระบวนการทางสังคมโดยอาศยั หลักของศลี ธรรม จรรยา ขนบธรรมเนียมประเพณีและคา่ นิยมต่าง ๆ
ในสังคมนัน้ SUPEREGO จะเป็นตวั บังคับและควบคุมความคดิ ให้แสดงออกในลักษณะทีเ่ ปน็ สมาชิกทีด่ ี
ของสังคม
เทคนคิ : Id + Ego + Superego = ไมค่ ดิ + คิด + คดิ เยอะ
กลุ่มเกสตลั (Gestalt Psychology)
ผกู้ อ่ ตัง้ แมกซ์ เวอรไ์ ธเมอร์ กลมุ่ น้มี คี วามเห็นวา่ การเรียนรูไ้ ม่ใช่ผลลพั ธ์ของความสัมพนั ธ์
ระหวา่ งส่งิ เร้ากบั การตอบสนอง ทฤษฎีของกลุ่มน้จี ึงให้ความสำคญั กบั ใจ 2 ประการได้แกก่ ารรับรู้และ
การยังเห็น
1. การรบั รู้ (Perception) หมายถึง การแปลความหมายหรือการตคี วามต่อสิ่งเร้าของอวยั วะ
รบั สมั ผัส ส่วนใดสว่ นหนง่ึ หรอื ทงั้ 5 ส่วน เชน่ หู ตา จมูก ล้นิ และผวิ หนงั
2. การหย่งั เหน็ (Insight) หมายถงึ การเรยี นรูด้ ว้ ยตนเองโดยจะเกดิ แนวความคดิ ในการ
เรียนรหู้ รอื การแกป้ ญั หาขึน้ อยา่ งฉบั พลันทนั ทที นั ใด
ประเด็นสำคญั // กล่มุ เกสตสั แมกซ์ เวอร์ไธเมอร์ รบั รู้ + หยงั่ เห็น
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÇÔ à¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·èÑÇä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 26
กล่มุ มนุษย์นยิ ม (Humanism)
ผนู้ ำคอื โรเจอร์ และ มาสโลว์ กล่มุ น้ีเช่ือว่ามนษุ ย์ทุกคนพยายามปรับปรงุ ตัวเองใหเ้ ปน็ ผทู้ ่มี ี
ความสมบูรณท์ สี่ ุดเทา่ ทจ่ี ะทำได้ สิ่งทีเ่ ป็นประโยชน์ต่ออนาคตของผู้เรียนมากท่สี ดุ คอื กรรมวธิ ีในการ
เสาะแสวงหาความรู้
อบั ราฮมั มาสโลว์ ไดเ้ สนอทฤษฎีลำดบั ขนั้ ความต้องการพ้นื ฐานของมนษุ ยแ์ บ่งลำดบั ข้นั ของ
ความตอ้ งการเปน็ 5 ลำดับดังน้ี
1. ความตอ้ งการดา้ นร่างกายหรือดา้ นกายภาพ (Physiological Needs) คือความตอ้ งการ
ข้ันพนื้ ฐานทีม่ นุษย์ทกุ คนพงึ มีและพงึ ต้องการเพอ่ื การดำรงชีวิตให้อย่รู อด เช่นปัจจัย 4 ได้แก่ อาหาร
นำ้ เครื่องนุ่งห่ม ท่ีอยอู่ าศยั ยารักษาโรค
2. ความตอ้ งการดา้ นความม่ันคงปลอดภัย (Safety Needs) เปน็ การต้องการความปลอดภัย
มั่นคง ความค้มุ ครองปกปอ้ ง ความต้องการความมน่ั คงทางวตั ถปุ ัจจัยภายนอก ความปลอดภัยจากการ
คกุ คาม ปลอดภยั จากความวติ กกังวล อันตรายและความเจ็บปวดต่าง ๆ
3. ความตอ้ งการความรกั และความเปน็ เจ้าของ (Belongingness and Love Need)
หมายถึงความต้องการทางสงั คม เช่น ความต้องการความรกั อยากให้ตนเปน็ ท่ีรักได้รับการยอมรับจาก
กลุ่มตอ้ งการส่วนรว่ มในกลุ่ม
4. ความตอ้ งการการยอมรบั นับถือ (Esteem Need) หมายถึงความตอ้ งการความเคารพนับ
ถือจากผอู้ นื่ บางทีเรียกวา่ (Self- Esteem)
5. ความต้องการบรรลุศกั ยภาพสูงสุดแห่งตน (Self-Actualization Needs) เปน็ ความ
ต้องการสูงสุดของบุคคลท่ีจะต้องพยายามทำทกุ สงิ่ ทกุ อย่างตามความเหมาะสมและความสามารถของ
ตนเองในทางท่สี รา้ งสรรคด์ ีงาม
ทฤษฎกี ารเรียนรู้
ทฤษฎกี ารเรยี นรูก้ ลุม่ พฤตกิ รรมนยิ ม (Behaviorism) นักคดิ กลมุ่ นม้ี องธรรมชาติของมนุษยใ์ น
ลักษณะท่เี ป็นกลางคือ ไมด่ ี ไมเ่ ลว การกระทำตา่ ง ๆ ของมนษุ ย์เกิดจากอิทธพิ ลของสิ่งแวดลอ้ ม
ภายนอก พฤติกรรมของมนุษยเ์ กิดจากการตอบสนองต่อสิ่งเรา้ การเรยี นร้เู กดิ จากการเชือ่ มโยงระหว่าง
ส่งิ เรา้ และการตอบสนอง กลมุ่ พฤติกรรมนยิ มใหค้ วามสนใจกับพฤติกรรมมากเพราะพฤติกรรมเป็นสงิ่ ที่
เหน็ ได้ชัด สามารถวดั และทดสอบได้ ทฤษฎกี ารเรยี นรใู้ นกลมุ่ นป้ี ระกอบด้วยแนวคดิ สำคัญ 3 แนว
ดว้ ยกันคือ
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢éÁ
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é èÑÇä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 27
ทฤษฎีการเชื่อมโยงของธอรน์ ไดค์ (Thorndike’s Connectionism Theory)
ทฤษฎีสัมพนั ธเ์ ชอื่ มโยง กล่าวถึง การเชอื่ มโยงระหว่างส่งิ เร้ากับการตอบสนอง โดยมีหลัก
พน้ื ฐานว่า การเรียนรู้เกิดจากการเชอ่ื มโยงระหวา่ งส่งิ เรา้ กบั การตอบสนองทม่ี กั จะออกมาในรปู แบบ
ตา่ ง ๆ หลายรูปแบบ โดยการลองถูกลองผดิ จนกว่าจะพบรปู แบบทดี่ ีและเหมาะสมทีส่ ุด
การทดลอง
ในการทดลอง ธอร์นไดค์ ได้นำแมวไปขงั ไวใ้ นกรงทส่ี ร้างขึน้ แลว้ นำปลาไปวางล่อไวนอกกรง
ให้หา่ งพอประมาณ โดยใหแ้ มวไมส่ ามารถยืน่ เท้าไปเขยี่ ได้ จากการสังเกต พบวา่ แมวพยายามใช้วิธีการ
ต่าง ๆ เพ่อื จะออกไปจากกรง จนกระทงั่ เท้าของมนั ไปเหยียบถูกคานไม้โดยบงั เอิญ ทำใหป้ ระตูเปิดออก
หลังจาก นน้ั แมวก็ใชเ้ วลาในการเปิดกรงไดเ้ ร็วขน้ึ
จากการทดลอง ธอร์นไดค์อธิบายว่า การตอบสนองซ่งึ แมวแสดงออกมาเพอื่ แก้ปญั หา เปน็ การ
ตอบสนองแบบลองผิดลองถูก การที่แมวสามารถเปิดกรงได้เร็วขนึ้ ในช่วงหลังแสดงวา่ แมวเกดิ การ
สร้างพันธะหรือตัวเช่ือมขน้ึ ระหว่างคานไม้กบั การกดคานไม้
กฎแหง่ การเรียนรู้
1. กฎแห่งความพรอ้ ม(law of readiness) การเรยี นรู้จะเกดิ ขน้ึ ได้ดี ถ้าผเู้ รยี นมีความพร้อม
ทั้งทางรา่ งกายและจติ ใจ
2. กฎแห่งการฝึกหัด (low of exercise) การฝึกหดั หรอื กระทำบ่อย ๆ ดว้ ยความเขา้ ใจจะทำ
ให้การเรียนรนู้ ัน้ คงถาวร ถ้าไมไ่ ดก้ ระทำซำ้ บ่อย ๆ การเรียนร้นู ้นั จะไมค่ งถาวร และในทสี่ ุดอาจจะลมื ได้
3. กฎแหง่ ผลทีพ่ ึงพอใจ (law of effect) เมอ่ื บุคคลไดร้ ับผลทีพ่ ึงพอใจย่อมอยากจะเรียนรู้
ตอ่ ไป แตถ่ า้ ไดร้ ับผลทไ่ี มพ่ งึ พอใจจะไม่อยากเรียนรู้ ดังนั้นการได้รบั ผลที่พึงพอใจจึงเป็นปัจจัยสำคญั ใน
การเรียนรู้
ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢éÁ
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é èÇÑ ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 28
ทฤษฎกี ารวางเงอื่ นไข (Conditioning Theory) ประกอบดว้ ยทฤษฎยี อ่ ย 4 ทฤษฎดี งั น้ี
1. ทฤษฎกี ารวางเงอื่ นไขแบบคลาสสิค (Classical conditioning theory) ของพาฟลอฟ
เน้นการตอบสนองต่อสง่ิ เร้าทวี่ างเงื่อนไข พาฟลอฟได้ทำการทดลองทำให้สนุ ัขน้ําลายไหลด้วยเสียง
กระด่งิ สรุปแนวคดิ ตามทฤษฎนี ้ไี ดว้ า่ การเรียนรู้ของสง่ิ มีชวี ิตเกิดจากการตอบสนองตอ่ สิ่งเร้าท่ีวาง
เงื่อนไข
2. ทฤษฎีการวางเง่อื นไขแบบอัตโนมตั ิของวัตสนั (Watson’ Classical Conditioning)
เนน้ การตอบสนองต่อสง่ิ เรา้ ที่หวงั เงื่อนไขเชน่ กนั วตั สนั ได้ทำการทดลองโดยใหเ้ ดก็ คนหน่ึงเลน่ กบั หนู
ขาวแล้วทำเสียงดังจนเดก็ ตกใจร้องไห้ หลังจากนน้ั เด็กก็จะกลวั และรอ้ งไหเ้ มอื่ เห็นหนขู าว ต่อมาทดลอง
ให้นำหนขู าวมาใหเ้ ดก็ ดู โดยแมจ่ ะกอดเดก็ ไว้ จากน้นั เดก็ ก็จะคอ่ ยๆ หายกลวั หนขู าว สรุปแนวคดิ ตาม
ทฤษฎนี ีไ้ ด้ว่าการเรยี นรู้จะคงทนถาวรหากมกี ารทำให้สิ่งเร้าท่ีสมั พันธก์ ันนน้ั ควบคกู่ ันไปอยา่ งสมำ่ เสมอ
3. ทฤษฎกี ารวางเง่ือนไขแบบต่อเนื่อง (Contiguous Conditioning) ของกทั ธรี เนน้
หลักการจูงใจเขาทำการทดลองโดยปลอ่ ยแมวที่หิวจัดเข้าไปในกล่องปัญหา โดยมเี สาเล็ก ๆ ตรงกลาง
มกี ระจกทปี่ ระตูทางออก และมีปลาแซลมอนวางไวน้ อกกล่อง เสาในกล่องเปน็ กลไกเปิดประตโู ดยแมว
บางตวั ใชแ้ บบแผนการกระทำหลายแบบ เพื่อจะออกจากกล่องแตแ่ มวบางตัวใช้วธิ เี ดียว สรปุ แนวคิด
ตามทฤษฎีนไ้ี ด้วา่ การเรียนรเู้ มื่อเกิดข้ึนเพียงคร้งั เดียวก็นบั วา่ ไดเ้ รียนรูแ้ ลว้ ไมจ่ ำเปน็ ต้องทำซำ้ อกี
4. ทฤษฎกี ารวางเงอื่ นไขแบบโอเปอร์แรนต์ (Operant Conditioning) ของสกนิ เนอร์
ทฤษฎนี ี้เน้นการเสริมแรงหรอื ให้รางวัล เขาทำการทดลองโดยนำหนทู ีห่ วิ จัดใส่กล่อง ภายในมีคาน
บงั คับอาหารตกลงไปในกล่องได้ ตอนแรกหนจู ะวิ่งชนโนน่ ชนน่ี เมอื่ ชนคานจะมีอาหารตกมาใหก้ ิน ทำ
หลายๆครง้ั พบวา่ หนจู ะกดคาน ทำให้อาหารตกลงไปได้เร็วขน้ึ สรปุ แนวคดิ ตามทฤษฎนี ีไ้ ดว้ า่ การกระทำ
ใด ๆ ถา้ ได้รบั การเสริมแรงจะมแี นวโน้มท่จี ะเกิดขึ้นอีกการเสรมิ แรงทแ่ี ปรเปลีย่ นทำให้การตอบสนอง
คงทนกวา่ การเสริมแรงทีต่ ายตัว การจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีน้จี ึงเน้นทกี่ ารเสนอสิง่ เรา้ ในการ
เรียนการสอน การจัดกจิ กรรมอย่างต่อเนอื่ งมกี ารเสริมแรงหรือใหร้ างวลั เพ่ือใหผ้ เู้ รยี นเกิดความพงึ พอใจ
ทีจ่ ะเรยี นรู้
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÇÑè ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 29
ประเด็นสำคัญ
พาฟลอฟ สุนขั + ผงเนื้อ + สน่ั กระด่ิง
วตั สัน เด็กชาย + หนูขาว
กทั ธรี แมวหิวแซลมอน
สกนิ เนอร์ หนเู สรมิ แรง
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢éÁ
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÑÇè ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 30
การเสริมแรง + การลงโทษ
การเสริมแรง(Reinforcement)
การเสริมแรง(Reinforcement) หมายถึง สง่ิ เรา้ ทท่ี ำให้พฤติกรรมการเรยี นรเู้ พิม่ มากขน้ึ
อนั เปน็ ผลจากการไดร้ ับสง่ิ เสรมิ แรงทีเ่ หมาะสม เพิม่ การเกิดพฤติกรรม
1. การเสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcement) เปน็ การให้ส่งิ ทบี่ คุ คลพึงพอใจ หรอื
เพมิ่ สงิ่ ทีช่ อบเข้าไปให้ มผี ลทำให้แสดงพฤตกิ รรมถ่ีขน้ึ เช่น
ตวั อย่าง 1 : นักเรยี นทำงานเรยี บรอ้ ย ครูใหค้ ำชมเชยหรอื ใหค้ ะแนน
พฤติกรรม นกั เรยี นทำงานเรยี บรอ้ ย
เพิ่มสิ่งที่ชอบ คำชมเชย // ให้คะแนน
ผล นักเรยี นทำงานดีขน้ึ อกี (เพม่ิ การเกดิ พฤติกรรม)
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÇÔ à¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÇÑè ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 31
ตัวอย่าง 2 : แม่บอกว่า ถ้าลูกตั้งใจอา่ นหนงั สอื จนสอบบรรจไุ ด้ แม่จะซอ้ื รถยนตค์ ันใหม่ให้
พฤตกิ รรม การอ่านหนงั สอื
เพิ่มสิง่ ท่ีชอบ รถยนต์
ผล ลกู ตั้งใจอา่ นหนงั สือมากขนึ้ (เพมิ่ การเกดิ พฤตกิ รรม)
¡ÒÃàÊÃÁÔ áç·Ò§ºÇ¡ = à¾èÔÁʧèÔ ·Õªè ͺ = áÊ´§¾Äµ¡Ô ÃÃÁ¶¢èÕ éÖ¹
2. การเสริมแรงทางลบ (Negative Reinforcement) หมายถึงสงิ่ เร้าใดเมอื่ นำออกไปแลว้
ทำให้การตอบสนองเพิม่ ขึน้ ทำให้เกิดพฤติกรรมดีขึน้ เช่น
ตวั อยา่ ง 1 : ถ้านักเรียนไมต่ ้งั ใจเรียน ครูจะบน่ มาก เมอ่ื นักเรยี นตั้งใจเรียนแลว้ ครจู ะเลกิ
บน่ นกั เรียนก็จะตงั้ ใจเรยี นมากขน้ึ
พฤติกรรม นกั เรยี นไมต่ ้งั ใจเรียน
เอาสงิ่ ที่ไม่ชอบออก ครบู ่นมาก
ผล นกั เรยี นตง้ั ใจเรียนมากขนึ้ (เพิม่ พฤติกรรมด)ี
ตัวอย่าง 2 : ถา้ ลูกไม่ช่วยแมท่ ำงานบ้าน พ่อจะดุ แตเ่ มอ่ื ลกู ช่วยงานแม่ พ่อกจ็ ะเลกิ ดุ ลูก
กจ็ ะตงั้ ใจชว่ ยงานแมม่ ากขนึ้
พฤติกรรม ลูกไมช่ ่วยแม่ทำงานบ้าน
เอาสง่ิ ท่ีไม่ชอบออก พอ่ ดุ
ผล ลกู ตัง้ ใจชว่ ยงานแมม่ ากข้นึ (เพมิ่ พฤตกิ รรมดี)
¡ÒÃàÊÃÁÔ áç·Ò§Åº = àÍÒÊÔ§è ·äÕè ÁèªÍºÍÍ¡ = áÊ´§¾Äµ¡Ô ÃÃÁ´¢Õ Öé¹
เสรมิ แรงตอ่ เนอ่ื ง เปน็ การเสริมแรงทกุ คร้ังเมอื่ เกิดพฤตกิ รรมถูกตอ้ ง มุ่งให้เกดิ พฤติกรรมใหม่
เสริมแรงเป็นบางครัง้ เปน็ การรักษาพฤตกิ รรมเดมิ เอาไว้
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÑèÇä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 32
การลงโทษ
การลงโทษ หมายถงึ การทำให้อัตราการตอบสนองหรอื ความถ่ีของพฤติกรรมลดลง
1. การลงโทษทางบวก (Positive Punishment) คือ การให้สิง่ เรา้ ทบี่ คุ คลไมพ่ ึงพอใจ หรอื
เพมิ่ ส่ิงท่ไี มช่ อบเขา้ ไปให้ มีผลทำให้บคุ คลแสดงพฤติกรรมลดลง เช่น
ตวั อยา่ ง 1 : เมื่อนักเรยี นเสยี งดงั ครจู ะให้งานเพมิ่
พฤตกิ รรม นกั เรยี นเสยี งดงั
เพิ่มสง่ิ ที่ไม่ชอบ ใหง้ านเพ่มิ
ผล นกั เรยี นเลกิ เสยี งดงั (ลดการเกดิ พฤติกรรม)
ตัวอยา่ ง 2 : เมื่อนกั เรียนไมท่ ำการบา้ นสง่ ครจู ะใหค้ ดั ลายมอื เพิ่ม 5 หน้ากระดาษ
พฤตกิ รรม นกั เรยี นไม่ทำการบ้านส่ง
เพม่ิ ส่ิงที่ไม่ชอบ คัดลายมอื
ผล นักเรียนส่งการบ้านมากขึน้ (ลดการเกิดพฤตกิ รรม)
¡ÒÃŧâ·É·Ò§ºÇ¡ = à¾ÔÁè ÊèÔ§·èäÕ Áªè ͺà¢Òé ä»ãËé = Å´¡ÒÃà¡Ô´¾Äµ¡Ô ÃÃÁ
ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÑÇè ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 33
2. การลงโทษทางลบ (Negative Punishment) คอื การนาํ สิ่งเรา้ ท่บี คุ คลพงึ พอใจ หรือนำ
สิ่งทีช่ อบออกไป มีผลทาํ ให้บคุ คลแสดงพฤติกรรมลดลง เชน่
ตัวอยา่ ง 1 : เด็กไมต่ ั้งใจเรียนเพราะเลน่ โทรศพั ท์ ครูจงึ ยึดโทรศพั ท์
พฤติกรรม ไม่ตงั้ ใจเรียนเพราะเลน่ โทรศพั ท์
นำส่งิ ท่ีชอบออก โทรศัพท์
ผล นกั เรยี นเลิกเล่นโทรศพั ทแ์ ล้วต้งั ใจเรียน (ลดการเกิดพฤติกรรม)
¡ÒÃŧâ·É·Ò§Åº = ¹ÓÊè§Ô ·ªÕè ͺÍÍ¡ä» = Å´¡ÒÃà¡Ô´¾Äµ¡Ô ÃÃÁ
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢éÁ
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·èÑÇä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 34
2.4 จติ วทิ ยาการแนะแนวและบรกิ ารใหค้ าํ ปรกึ ษาในการวเิ คราะห์
และพฒั นาผเู้ รยี นตามศกั ยภาพ
จิตวิทยาการแนะแนว
บดิ าแหง่ การแนะแนว คอื แฟรงค์ พารส์ ันส์ (Frank Parsons) การแนะแนว (Guidance)
หมายถึง กระบวนการทางการศกึ ษาท่ชี ว่ ยให้บคุ คล “รู้จกั และเขา้ ใจตนเองและสงิ่ แวดล้อม” สามารถ
เลอื กตัดสนิ ใจแกป้ ัญหาได้ดว้ ยตนเอง และพฒั นาตนเองได้ตามศกั ยภาพ ปฏิบัตติ นให้เปน็ สมาชิกท่ีดขี อง
สังคม การแนะแนวไมใ่ ชก่ ารแนะนำ กล่าวคอื การแนะแนวเปน็ การชว่ ยเหลอื ให้คนสามารถช่วยเหลอื
ตนเองได้
ประเด็นสำคัญ การแนะแนวชว่ ยให้บุคคลรู้จักและเขา้ ใจตนเอง
จุดมงุ่ หมายของการแนะแนว
1. เพอ่ื การป้องกนั ปัญหา
2. เพือ่ การแก้ไขปญั หา
3. เพ่ือการส่งเสริมพัฒนา
ขอบข่ายของการแนะแนว มี 3 ข้อ
1. การแนะแนวการศึกษา (Education Guidance) มุ่งหวังให้ผเู้ รียนพัฒนาการเรยี นได้เตม็
ศักยภาพ รูจ้ ักแสวงหาความร้แู ละวางแผนการเรยี นไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพ สามารถปรับตวั ดา้ นการ
เรยี นและมีนิสัยใฝร่ ู้ใฝเ่ รยี น
2. การแนะแนวอาชพี (Vocational Guidance) ม่งุ หวังใหผ้ ู้เรียนได้รจู้ กั ตนเองและโลกของ
งานอยา่ งหลากหลาย มเี จตคติและนสิ ัยทีด่ ีในการทำงาน มีโอกาสไดร้ ับประสบการณ์และฝกึ งานตาม
ความถนดั ความสนใจ
3. การแนะแนวส่วนตัวและสังคม (Personal and Social Guidance) เปน็ การช่วยเหลอื
ให้ผ้เู รียนมีชวี ติ หรอื ความเปน็ อย่อู ยา่ งสมบูรณ์มีความเจริญท้งั ร่างกายและจติ ใจมคี วามเขา้ ใจตนเอง
ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÇÔ à¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÑèÇä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 35
ปรัชญาของการแนะแนว
1. บุคคลแตล่ ะคนยอ่ มมีความแตกตา่ งกัน
2. บคุ คลเปน็ ทรพั ยากรที่มคี า่ มศี กั ดศิ์ รีแหง่ ความเปน็ คน
3. พฤติกรรมยอ่ มมีการเปลีย่ นแปลง
4. พฤติกรรมทุกอย่างของบุคคลยอ่ มมสี าเหตุ
5. บุคคลยอ่ มมีศกั ด์ศิ รีและการยอมรับซึง่ กันและกัน
6. ธรรมชาตขิ องคนอยูร่ ว่ มกนั เป็นสังคม
ประโยชน์ที่ได้รับจากบรกิ ารแนะแนวสำหรบั นกั เรียน
1. ช่วยให้นกั เรียนรจู้ กั ตนเองดขี น้ึ ปรับปรงุ ตนเองในการเรยี นการสอนสังคมอารมณ์และ
สตปิ ญั ญา
2. ช่วยใหน้ กั เรียนตดั สนิ ใจในด้วยตนเองอย่างฉลาดและมีเหตผุ ล
3. ชว่ ยใหน้ ักเรยี นเขา้ ใจสาเหตขุ องปญั หาและวธิ กี ารแกป้ ญั หาเพือ่ สามารถดำเนินชวี ติ ไดอ้ ย่างมี
ความสขุ
ประโยชนต์ อ่ ครู
1. ชว่ ยครใู ห้เข้าใจถึงปัญหาและสาเหตุของปญั หารวมทงั้ หาวิธีแกป้ ัญหานน้ั
2. ช่วยครใู นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนใหส้ อดคลอ้ งกบั ความต้องการและความสนใจ
ของนักเรยี น
3. ชว่ ยครใู นการศึกษานักเรียนทำใหร้ ้จู กั นกั เรียนดขี ึ้น
บริการแนะแนวที่จัดขึ้นในสถานศึกษา
1. บริการศกึ ษาเด็กเป็นรายบคุ คล
2. บริการสารสนเทศ
3. บริการให้คำปรึกษา หวั ใจของการแนะแนว
4. บรกิ ารจัดกิจกรรมสง่ เสรมิ พฒั นาช่วยเหลอื นักเรยี น
5. บริการติดตามและประเมนิ ผล
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢éÁ
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÇÑè ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 36
ความหมายของการปรกึ ษาเชิงจิตวทิ ยา
สมาคมจติ วทิ ยาแหง่ อเมรกิ า (The American Association, Divisionof Counseling
Psychology, Committee on Definition, 1956, Cited in Thompson, Rudolph and
Henderson, 2004) กำหนดความหมายของการปรึกษาเชิงจิตวิทยาวา่ เปน็ กระบวนการ
ช่วยเหลือบคุ คลให้เอาชนะอุปสรรคเพอื่ การเจริญเติบโตสว่ นบคุ คลดว้ ยการเผชญิ กบั อุปสรรค
และพฒั นาศักยภาพในตัวบคุ คล
กรมวิชาการ (2545) กำหนดความหมายของการปรึกษาเชงิ จิตวทิ ยาวา่ เปน็ กระบวนการ
ชว่ ยเหลือบคุ คลให้สามารถรูจ้ กั เข้าใจ และยอมรบั ตนเอง จนเกิดความกระจา่ งในปญั หาของตนเอง
สามารถวางแผนและหาแนวทางตัดสนิ ใจแก้ปัญหาดว้ ยตนเองได้
วัตถปุ ระสงค์ของการปรึกษาเชงิ จติ วิทยา
1. สำรวจตนเองและส่งิ แวดลอ้ มเพอื่ ใหเ้ กิดการเรยี นรู้และเข้าใจ
2. ลดระดับความเครยี ดและความไมส่ บายใจท่ีเกดิ จากการมปี ฏสิ มั พันธ์กับสิ่งแวดลอ้ ม
3. พัฒนาทกั ษะทางด้านสงั คม ทกั ษะการตัดสนิ ใจ และการจัดการกบั ปญั หาใหม้ ีประสิทธิภาพ
มากยิ่งขึ้น
4. เปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรมไปในทศิ ทางที่พึงประสงค์ เช่น มีความรับผดิ ชอบในหนา้ ท่ตี า่ ง ๆ
มากขึ้น มีพฤตกิ รรมการเรียนทด่ี แี ละสัมพันธภาพกับผูอ้ น่ื ไดด้ ขี ึน้
ระยะเวลาท่ีใช้การปรึกษา
George and Cristiani (1995) เสนอแนะระยะเวลาในการใหบ้ รกิ ารปรกึ ษาเชิงจิตวิทยาไว้
ดังนี้
• เดก็ อายุ 5-7 ปี ควรใช้เวลาประมาณ 20 นาที
• เด็กอายุ 8-12 ปี ควรใชเ้ วลาประมาณ 30 นาที
• ผู้ทมี ีอายุตั้งแต่ 12 ปขี น้ึ ไปควรใชเ้ วลาประมาณ 1 ชวั่ โมง
• สำหรบั การปรึกษาในโรงเรียนควรใช้เวลาประมาณ 1 คาบเรยี น
นอกจากนยี้ ังไดแ้ สดงความเหน็ ว่าการให้การปรึกษาแต่ละราย ควรใช้ระยะเวลาอยา่ งน้อย 1 เดอื น แต่
ไมค่ วรเกิน 1 ปี
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÇÔ à¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÑÇè ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 37
หลักการให้การปรกึ ษาเชงิ จติ วิทยา
1. ยึดผูร้ บั การปรกึ ษาเปน็ หลัก
2. เน้นอารมณ์ความรสู้ กึ ของผู้รับการปรึกษา
3. เข้าใจและยอมรบั ในอารมณค์ วามรู้สึกนึกคิดของผู้รบั การปรึกษา
4. ไม่ดว่ นสรปุ หรือตัดสนิ ผ้รู บั การปรกึ ษา
5. เนน้ ท่คี วามเปน็ จรงิ ตามเหตุการณแ์ ละสถานการณ์
6. มีการโต้ตอบทีเ่ หมาะสมและเปน็ จรงิ ตามเหตุการณ์และสถานการณ์
7. ปญั หาแตล่ ะปญั หามคี วามสัมพันธ์กันไม่สามารถแยกขาดจากกันได้ เชน่ ปญั หา
ด้านเศรษฐกจิ อาจเปน็ เหตสุ ำคัญท่ีทำใหเ้ กิดปัญหาครอบครวั ปญั หาการปรบั ตวั ก็อาจเชอ่ื มโยงไปถึง
ปัญหาการเรยี นและปญั หาการเลือกอาชีพได้เปน็ ตน้
8. ต้องคำนงึ เสมอว่าปญั หาอย่างเดยี วกนั แตต่ า่ งบคุ คลและต่างสงิ่ แวดล้อมกนั
วิธีแกป้ ัญหายอ่ มแตกต่างกัน ขนึ้ อยู่กบั สาเหตุของปญั หา ความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคลและความ
แตกตา่ งของสภาพแวดล้อม
9. ผูร้ บั การปรึกษาจะต้องเปน็ ผู้คน้ หาสาเหตุของปญั หาตลอดจนหาแนวทางแกไ้ ข
และตดั สนิ ใจเลือกทางแกไ้ ขปัญหาดว้ ยตนเอง ผู้ใหก้ ารปรึกษาอาจชว่ ยชท้ี างออกหลาย ๆ ทางให้
แต่การตัดสนิ ใจควรเป็นของผรู้ บั การปรึกษา
10. การปรกึ ษาเชงิ จติ วทิ ยาจะตอ้ งกระทำไปโดยความสมคั รใจของผู้มาขอรับการปรกึ ษา
ไม่มีการบังคับหรือขอร้อง
11. การปรกึ ษาเชิงจติ วิทยาต้องยึดหลกั ในการให้บุคคลสามารถปรับตัวได้ ปญั หาบางอย่าง
ท่ไี มอ่ ยใู่ นความสามารถของผ้ใู ห้การปรกึ ษาทีจ่ ะชว่ ยแก้ไขได้กไ็ ม่ควรกระทำไปโดยขาดความมน่ั ใจ
ตอ้ งส่งให้ผเู้ ช่ยี วชาญเป็นผู้ทำหน้าทช่ี ่วยเหลือตอ่ ไป
12. การใหก้ ารปรกึ ษาตอ้ งให้แก่ทกุ คนทมี่ ีปัญหาและตอ้ งการความช่วยเหลอื โดย
ไม่เลอื กทีร่ กั มักทชี่ ัง
จรรยาบรรณของผู้ให้การปรกึ ษา
คณะครศุ าสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย (2553) ได้กำหนดจรรยาบรรณวิชาชพี จติ วทิ ยาการ
แนะแนวไว้ ดงั น้ี
1. ใหบ้ ริการด้วยความเตม็ ใจ โดยคำนึงถงึ ความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล
2. ยอมรับและศรทั ธาในวิชาชีพจติ วิทยาการแนะแนวและเป็นสมาชกิ ทดี่ ขี ององค์กร
3. เอาใจใส่ ช่วยเหลือ สง่ เสริม ใหก้ ำลงั ใจแกผ่ ้รู ับบริการดว้ ยความบรสิ ทุ ธ์ิใจโดยเสมอหนา้
ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢éÁ
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÑÇè ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 38
4. มีวสิ ัยทัศน์และพฒั นาตนเองด้านวชิ าชพี ใหท้ นั ตอ่ การเปลยี่ นแปลงของโลก
5. ปฏบิ ตั งิ านตามหลักวชิ าชีพจติ วทิ ยาการแนะแนว
6. รกั ษามาตรฐานและรับผดิ ชอบต่อการประกอบวชิ าชีพจิตวิทยาการแนะแนว
7. ยุตกิ ารใหบ้ ริการท่ีนอกเหนอื ความสามารถของตนเองและส่งต่อไปยงั บุคคล
ที่เหมาะสม
8. รกั ษาความลับของผรู้ บั บรกิ ารและผเู้ กี่ยวขอ้ ง
9. เคารพสทิ ธแิ ละไม่แสวงหาผลประโยชน์จากผรู้ บั บรกิ าร
ระบบดแู ลชว่ ยเหลอื นกั เรยี น
คอื กระบวนการดำเนินงานดแู ลช่วยเหลือนกั เรียนอยา่ งเป็นระบบข้นั ตอน มีวิธีการและ
เครือ่ งมือที่มีคณุ ภาพโดยมีขนั้ ตอนและกระบวนการดงั นี้
1. การรจู้ กั นักเรยี นเปน็ รายบุคคล
2. การคดั กรองนกั เรยี น
3. การสง่ เสรมิ นกั เรียน
4. การปอ้ งกันและแก้ไขปัญหา
5. การส่งตอ่
1. การรู้จกั นกั เรยี นเป็นรายบคุ คล เชน่ การออกเยยี่ มบ้านนักเรียน ศกึ ษาจากระเบยี นสะสม
2. การคัดกรองนกั เรียน แบง่ ออกเปน็
2.1 กลุ่มปกติ เป็นกลมุ่ ท่ีโรงเรยี นตอ้ งส่งเสริมและพัฒนา
2.2 กลมุ่ เสี่ยง เปน็ กลมุ่ ทีโ่ รงเรียนต้องปอ้ งกันหรอื แกไ้ ขปัญหาแลว้ แตก่ รณี
2.3 กลมุ่ มีปัญหา เปน็ กลมุ่ ท่ตี อ้ งชว่ ยเหลือและแก้ไขปัญหาอย่างเรง่ ดว่ น
2.4 กลมุ่ พิเศษ เปน็ กลุ่มของนกั เรียนที่มคี วามสามารถพเิ ศษ เปน็ เด็กอัจฉริยะ ตอ้ ง
ได้รบั การสง่ เสรมิ และพฒั นาศักยภาพจนถึงข้นั สูงสุด
3. การสง่ เสริมนกั เรียน สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การจดั กจิ กรรมโฮมรูม จดั กิจกรรมพัฒนา
ผเู้ รียน การจัดค่ายวชิ าการ การสอนพเิ ศษสำหรบั กลมุ่ เด็กท่สี นใจ เป็นต้น
ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢éÁ
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÑÇè ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 39
4. การป้องกนั และแกไ้ ขปัญหา มหี ลายเทคนคิ วิธกี ารเชน่ กนั แตส่ ่ิงท่ีครทู ป่ี รึกษาหรือครู
ประจำช้ันตอ้ งดำเนินการมีอยา่ งนอ้ ยสองประการคือ การให้คำปรึกษาเบอื้ งต้น และการจัดกิจกรรมเพื่อ
แกไ้ ขปญั หา
5. การส่งต่อ แบง่ เปน็ 2 แบบ
5.1 การสง่ ตอ่ ภายใน ครูท่ีปรกึ ษาสง่ ตอ่ ไปยงั ครูทสี่ ามารถให้การชว่ ยเหลือนักเรยี นได้
ในทั้งนข้ี นึ้ อยูก่ ับลักษณะของปัญหา เชน่ ครูแนะแนว ครูพยาบาล
5.2 การส่งต่อภายนอก ครูแนะแนวหรอื ฝ่ายปกครองเปน็ ผดู้ ำเนนิ งาน สง่ ต่อไปยัง
ผูเ้ ช่ียวชาญภายนอก ขน้ึ อยกู่ บั ลกั ษณะของปัญหา เช่น นกั จิตวิทยา จิตแพทย์
ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢éÁ
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÇÑè ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 40
03 หลกั สตู ร ศาสตรก์ ารสอน และการใชเ้ ทคโนโลยดี จิ ทิ ลั
ในการจดั การเรยี นรู้
3.1 หลักสตู ร
- ความหมายของหลกั สูตร
- องคป์ ระกอบของหลักสตู ร
- ประเภทของหลกั สูตร
- ปรัชญาทางการศึกษา
- หลกั สูตรแกนกลาง 2551 ฉบับปรบั ปรุง 2560
- การจดั ทำหลักสตู รสถานศกึ ษา
3.2 ศาสตร์การสอน
- การจดั การเรียนรู้
- การจดั การเรยี นรู้แบบยอ้ นกลบั Backward Design
- รูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบพหปุ ญั ญา 8 ดา้ น
- การสอนแบบ CIPPA Model
- การสอนแบบ 4 MAT (สมองสองซกี )
- การเรยี นรู้แบบรว่ มมอื (Cooperative Learning)
- วิธีการสอนแบบสาธติ
- วิธีการสอนแบบเรียนปนเลน่ (Play way method)
- การสอนโดยการสรา้ งสถานการณ์จำลอง (Simulation
Gaming)
- การสอนแบบโครงงาน (Project Design)
- การเรยี นรู้ท่ีใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem Based Learning)
PBL
- การจดั การเรียนรู้ท่ีสอดคล้องกับพัฒนาการทางสมอง
(Brain Based Learning) BBL
- การสอนแบบอุปมานหรือ อปุ นัย (Inductive Method)BBL
- การสอนแบบอนมุ านหรือ นิรนัย (Deductive Method)
- การสอนแบบอริยสจั 4 (Buddhist’s Method)
- การสอนโดยการใช้หมวก 6 ใบ (Six thinking hats)
- การพัฒนาผ้เู รียน
- การบริหารจัดการชน้ั เรยี น
- รูปแบบการจัดชัน้ เรยี น
- ความสำคญั ของการจดั บรรยากาศในชน้ั เรียน
- บรรยากาศท่ีพึงปรารถนาในช้ันเรียน
- ประเภทของการจัดบรรยากาศในชัน้ เรียน
ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é èÇÑ ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 41
3.3 การใชเ้ ทคโนโลยีดจิ ิทัลในการจัดการเรยี นรู้
- DLTV
- DEEP
- Microsoft Teams
- OBEC Content Center
- Zoom
- สือ่
- นวตั กรรม
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·èÇÑ ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 42
3.1 หลกั สตู ร
ความหมายของหลักสูตร
หลกั สตู ร (Curriculum) รากศพั ท์ หมายถึง ลวู่ ่ิง
หลกั สตู ร (Curriculum) พจนานกุ รมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2546 หมายถึง ประมวลวิชาและ
กจิ กรรมตา่ ง ๆ ทกี่ ำหนดไว้ในการศึกษาเพ่อื วัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง
สรุปไดว้ า่ หลกั สูตร (Curriculum) หมายถึงมวลประสบการณตC 1าง ๆ ท่สี ถานศกึ ษา
กำหนดให้ผูเ้ รยี นได้ศึกษาหาความรู้ ท้ังภาคทฤษฎี ภาคปฏบิ ตั ิ และการมสี ว่ นร่วมกจิ กรรมเสริมสรา้ ง
ประสบการณ์ตนเอง
องคป์ ระกอบของหลกั สตู ร
องค์ประกอบของหลักสูตรนับว่าเปน็ สว่ นสำคัญทจี่ ะทำใหค้ วามหมายของหลกั สตู รสมบรู ณ์และ
สามารถใชเ้ ป็นแนวทางในการจดั การเรยี นการสอนการประเมนิ ผลและการปรับปรงุ การเรยี นการสอน
หรอื การพัฒนาหลักสตู รได้ซึง่ มอี งคป์ ระกอบดังนี้
1. ความม่งุ หมาย (Objectives) เปน็ เสมือนการกำหนดทศิ ทางของการจัดการศึกษา เพ่ือมุง่
ให้ผเู้ รียนไดพ้ ัฒนาไปในลกั ษณะต่าง ๆ ท่พี ึงประสงคอ์ ันกอ่ ใหเ้ กิดประโยชนใ์ นสงั คม
2. เนื้อหาวชิ า (Content) เป็นสาระสำคัญทีก่ ำหนดไวใ้ นหลกั สตู รให้ชัดเจน
3. การนำหลกั สูตรไปใช้ (Curriculum implementation) เป็นองค์ประกอบทสี่ ำคญั ที่สุด
เพราะเป็นกิจกรรมทีจ่ ะแปลงหลกั สตู รไปสู่การปฏิบัติ กจิ กรรมท่ีสำคัญทสี่ ุดคือกจิ กรรมการเรยี นการ
สอน นั่นคือการสอนเปน็ หวั ใจของการนำหลักสตู รไปใช้
4. การประเมนิ ผล (Evaluation) เป็นองคป์ ระกอบทีช่ ใี้ ห้เห็นว่า การนำหลักสูตรแปลงไปสู่
การปฏบิ ัตนิ ้นั บรรลจุ ดุ มงุ่ หมายและสัมฤทธิ์ผลหรอื ไม่ มีสาเหตุจากอะไร
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÇÑè ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 43
ประเภทของหลกั สตู ร
1. หลักสตู รแบบเนอ้ื หาวชิ าหรอื แบบรายวชิ า เปน็ หลกั สูตรดงั้ เดมิ ยดึ แนวคดิ สารัตนิยม
เน้นการถา่ ยทอดเน้อื หาวิชาเปน็ หลกั ผูเ้ รียนต้องได้เนือ้ หามาก ๆ เน้นครเู ป็นศนู ยก์ ลาง
2. หลกั สูตรแบบสมั พนั ธ์วิชา มีพ้นื ฐานมาจากหลกั สตู รแบบรายวชิ า เปน็ การนำเนอ้ื หาวิชา
ต่าง ๆ ที่มลี กั ษณะคลา้ ยกันและมสี ว่ นเกีย่ วข้องสัมพันธก์ ัน มาจดั ไว้ด้วยกัน เช่นนำวชิ าวรรณคดไี ทยไป
สมั พันธก์ ับวิชาศิลปะ
3. หลกั สูตรแบบหมวดวิชาหรือสหสัมพันธ์ ผสมผสานเนื้อหาวิชาทีม่ ลี กั ษณะใกล้เคียงกัน
ให้มีความสมั พันธร์ ะหวา่ งวชิ ามากข้นึ ในลักษณะหมวดวชิ า เช่น หมวดวิชาวิทยาศาสตรป์ ระกอบด้วยวชิ า
ฟิสกิ ส์ เคมี ชวี วิทยา
4. หลกั สูตรกจิ กรรมและประสบการณ์ ยึดแนวคดิ ปรชั ญาพพิ ฒั นาการนิยม เอากจิ กรรม
ความสนใจและประสบการณแ์ วดลอ้ มมาเป็นแนวทางในการจดั ประสบการณก์ ารเรียนรู้ ผ้เู รียนมสี ว่ น
รว่ มในการวางแผนการเรียนรู้
5. หลกั สูตรเพ่ือชีวิตและสงั คม (การเรียนรูเ้ กิดจากประสบการณ)์ หลักสูตรนยี้ ึดเอา
สังคมและการใช้ชวี ิตของเดก็ เป็นหลกั
6. หลกั สูตรแกนกลาง แนวคิดปรชั ญาปฏิรปู นิยม หลักสูตรนม้ี ลี กั ษณะผสมผสาน
เนือ้ หาวชิ าเพื่อทจี่ ะตอบสนองความตอ้ งการและความสนใจของผ้เู รยี น ผเู้ รยี นหาความรู้เพ่ิมเติมเอง
7. หลกั สูตรแบบเอกัตภาพ ยึดแนวคดิ ปรชั ญาอัตถภิ าวนิยม หลกั สตู รน้ีจัดเนือ้ หาสาระของ
หลักสูตรไปตามความเหมาะสมและความตอ้ งการของผ้เู รยี นแต่ละบคุ คล ขอ้ ดีคือผู้เรียนสามารถเรียนได้
เองโดยมีครูคอยแนะนำ
8. หลกั สตู รบูรณาการ เปน็ การผสมผสานเน้อื หาเข้าด้วยกัน โดยไมแ่ ยกเป็นรายวชิ า
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢éÁ
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·èÑÇä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 44
ปรชั ญาทางการศกึ ษา
1. สารตั ถนิยม (Essentialism) กำเนดิ ขึน้ โดย วิลเลียม ซี แบกเลย์ (William C Bagley)
หลักสำคญั
- ปรชั ญาสารัตถนยิ มเป็นปรัชญาที่ยดึ เนอ้ื หากำหนดตายตัว
- เน้นเนือ้ หาท่ไี ด้มาจากมรดกทางวฒั นธรรมท่คี วรไดร้ ับการถ่ายทอดตอ่ ไป
- ปรัชญาสารตั ถนยิ ม มาจากปรัชญาพ้ืนฐาน 2 ฝ่าย คอื จติ นิยม + สจั นิยมหรอื วัตถุนยิ ม
- ขนึ้ กับผู้สอนเป็นสำคญั ผเู้ รยี นทำตามคำส่ัง
à·¤¹¤Ô Ãѵ ¨¹µÒÂ
2. ปรชั ญานิรนั ตรนยิ ม (Perennialism) กำเนิดข้ึนโดย โรเบิรต์ เอม็ ฮทั ชนิ (Robert M.
Hutchines) อลสิ โตเติล (Aristotle) เซนต์ โทมสั อะไควนสั (St. Thomas Aquinas)
หลักสำคัญ
- เน้นเหตุผล + สติปัญญา
- มุ่งความเป็นเลิศทางวิชาการ
- กระบวนการเรียนการสอน เนน้ ใชค้ วามรู้ ความคิด สติปญั ญา เนน้ อภปิ รายถกเถียง
à·¤¹¤Ô à¶Õ§¡Ñ¹ªèÇÑ ¹ÃÔ Ñ¹µÃ
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÇèÑ ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 45
3. ปรัชญาพพิ ัฒนาการนยิ ม (Progressivism) กำเนดิ ขนึ้ โดย ฟรานซิส ดับเบลิ้ ยู ปารค์
เกอร์ จอหน์ ดวิ อ้ี (John Dewey)
หลกั สำคัญ
- การศกึ ษาคือชีวติ มิใชก่ ารเตรียมตวั เพ่ือชีวิต
- สอนใหผ้ เู้ รยี นร้จู กั แก้ปัญหา เน้นประสบการณ์ ยึดผ้เู รยี นเป็นศูนยก์ ลาง
- เนน้ ใหผ้ ู้เรียนลงมอื ทำ การเรียนรูเ้ กดิ จากการลงมือทำ (Learning by doing)
- ผ้สู อนช่วยเหลือให้คำปรึกษา
- เรยี กอีกอยา่ งหน่ึงว่า ปรัชญาประสบการณน์ ิยม
à·¤¹¤Ô Learning by ´ÔÇÍéÕ
4. ปฏริ ปู นิยม (Reconstructionism) กำเนดิ ข้นึ โดย จอรจ์ เอส เค้าทส์ (George
S.Counts) ยกยอ่ งเปน็ บดิ า ธโี อดอร์ บราเมลด์
หลกั สำคัญ
- หลักสูตรแกนกลาง ฯ 51 ยดึ ปรชั ญานี้
- เนน้ การศกึ ษาเพอื่ สังคม แนวทางสร้างวฒั นธรรมใหมข่ ึ้นมา
- การศกึ ษามคี วามสัมพนั ธก์ บั สงั คมอย่างแยกไมอ่ อก
- ผู้สอนเชอื่ มั่นในหลักการประชาธิปไตยและนำไปสอนผเู้ รยี น
à·¤¹Ô¤ »¯ÃÔ Ù»á¡¹¡ÅÒ§
ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢éÁ