The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

5 มาตรฐานความรู้ทั่วไปในการจัดการเรียนการสอน (2)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by apinya302, 2022-02-27 01:47:23

5 มาตรฐานความรู้ทั่วไปในการจัดการเรียนการสอน (2)

5 มาตรฐานความรู้ทั่วไปในการจัดการเรียนการสอน (2)

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÑÇè ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 46

5. ปรชั ญา อัตถภิ าวนิยม (Existentialism) กำเนิดขึน้ โดย ซอเรน็ คีรเ์ คอร์การด์ (Soren
Kierkegard) ได้รบั ความนิยม A.S.Neill >>> โรงเรยี นซมั เมอรฮ์ ิลล์

หลักสำคญั

- มงุ่ เนน้ ให้ผู้เรยี นมีเสรีภาพ เปน็ ผู้เลอื กสง่ิ ท่จี ะเรียนดว้ ยตวั เอง
- มนษุ ย์จะต้องเข้าใจและร้จู กั ตนเอง
- ผู้เรียนมคี วามสำคญั ท่ีสดุ ผู้สอน กระตุ้นให้กำลงั ใจนักเรยี น

6. ปรชั ญา พุทธปรชั ญา (Buddhism) กำเนิดขน้ึ โดย ศาสตราจารย์ สาโรช บัวศรี

หลกั สำคัญ

วธิ กี ารแกป้ ญั หาแบบวทิ ยาศาสตร์ ประกอบด้วย
1. ข้นั ทกุ ข์ สอดคล้องกับ การกำหนดปญั หา
2. ขัน้ สมุทัย สอดคล้องกบั การตงั้ สมมุติฐาน
3. ขน้ั นโิ รธ สอดคลอ้ งกบั การทดลองและเก็บข้อมูล
4. ขัน้ มรรค สอดคล้องกบั การวิเคราะห์ขอ้ มลู และสรปุ ผล

แผนการศึกษา 4 อยา่ ง คือ
1. พุทธศึกษา (Head) คิดวิเคราะห์เป็น
2. จริยศกึ ษา (Heart) จิตใจ คา่ นยิ ม
3. พลศกึ ษา (Hands) พฒั นาทักษะการทำงาน
4. หตั ถศึกษา (Health) มสี ขุ ภาพอนามัยทด่ี ี

** หลกั 4H ของลดเวลาเรียนนัน่ เอง **

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·èÑÇä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 47

หลักสตู รแกนกลาง 2551 ฉบับปรับปรุง 2560

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พ.ศ.2551 จัดว่าเปน็ “หลกั สตู รอิงมาตรฐาน” ตาม
คำส่งั กระทรวงศกึ ษาธิการ ที่ สพฐ. 293/2551 ลงวนั ที่ 11 กรกฎาคม 2551 เรอื่ งให้ใช้ หลักสูตร
แกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน

ผลู้ งนาม คือ นายสมชาย วงษส์ วสั ด์ิ

ผูม้ ีอำนาจในการยกเลกิ เพม่ิ เตมิ เปลย่ี นแปลงหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พื้นฐานคือ
เลขาธกิ ารคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พื้นฐาน โดยความเหน็ ชอบของคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั
พืน้ ฐาน (เลขาธกิ าร กพฐ. โดยเหน็ ชอบ กพฐ.)

ผกู้ ำหนดหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน คือ คณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พนื้ ฐาน

โรงเรียนต้นแบบและโรงเรยี นทม่ี คี วามพร้อม

ปกี ารศกึ ษา 2552 ใหใ้ ช้ในชนั้ ป.1 - ป.6 และ ม.1 , ม.4
ปีการศกึ ษา 2553 ให้ใช้ในชั้น ป.1 - ป.6 , ม.1, ม.2, ม.4 และ ม.5
ตงั้ แต่ ปีการศกึ ษา 2554 เปน็ ตน้ ไป ใหใ้ ชค้ รบทุกชั้นเรยี น *****
โรงเรียนท่ัวไป
ปกี ารศึกษา 2553 ใหใ้ ชใ้ นชั้น ป.1 - ป.6 และ ม.1 , ม.4
ปีการศกึ ษา 2554 ให้ใช้ในชั้น ป.1 - ป.6, ม.1, ม.2, ม.4 และ ม.5
ต้งั แต่ ปีการศึกษา 2555 เป็นตน้ ไป ใหใ้ ช้ครบทุกชั้นเรียน *****

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÇÔ à¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·èÇÑ ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 48

เปรียบเทยี บหลกั สตู ร

หัวขอ้ หลกั สตู รการศกึ ษา หลักสตู ร หลักสูตรแกนกลาง
ขั้นพน้ื ฐาน 2544 แกนกลาง 2551 2560
1. วิสยั ทัศน์ มี
2. หลักการ ไมม่ ี มี 6 ข้อ
3. จดุ หมาย 5 ขอ้ 6 ขอ้ 5 ข้อ
4. สมรรถนะสำคัญของผเู้ รียน 9 ขอ้ 5 ขอ้
5. คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ ไม่มี 5 ประการ 5 ประการ
6. มาตรฐานการเรยี นรู้ กำหนดในจุดหมาย 8 ประการ 8 ประการ
7. ระดบั ตัวช้วี ดั 76 มาตรฐาน 67 มาตรฐาน 55 มาตรฐาน
8. สาระการเรยี นรู้ ไมม่ ี 2 ประเภท 2 ประเภท
9. สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระ 8 กล่มุ สาระ 8 กล่มุ สาระ
10. กิจกรรมพัฒนาผเู้ รยี น มี มี
11.ระดับชว่ ง/ชน้ั ระดบั การศกึ ษา 2 ลกั ษณะ 3 ลกั ษณะ มี
12. โครงสรา้ งเวลาเรยี น 4 ช่วงชน้ั 3 ระดับ 3 ลกั ษณะ
13. การจดั การศึกษาเฉพาะกลุ่ม มี มี 3 ระดับ
14. การจดั การเรยี นรู้ มี มี
15. สื่อการเรยี นรู้ มี มี มี
16. การวดั และประเมนิ ผล มี มี มี
17. เกณฑ์การวัดและประเมินผล 3 ระดบั 4 ระดบั มี
18. เอกสารหลักฐาน มี มี มี
19. การเทียบโอนผลการเรียน 2 ประเภท 2 ประเภท 4 ระดับ
มี มี มี
2 ประเภท
มี

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÇÑè ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 49

วสิ ัยทศั น์

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน มงุ่ พัฒนาผเู้ รียนทกุ คน ซ่งึ เป็นกำลังหลกั ของชาตใิ ห้
เป็นมนษุ ย์ทมี่ คี วามสมดุลท้งั ด้านร่างกาย ความรู้ คณุ ธรรม มจี ิตสำนกึ ในความเปน็ พลเมอื งไทยและ
เปน็ พลโลก ยึดมนั่ ในการปกครองตามระบอบประชาธปิ ไตยอันมพี ระมหากษัตริย์ทรงเปน็ ประมุข มี
ความร้แู ละทักษะพ้นื ฐาน รวมท้งั เจตคติทีจ่ ำเป็นต่อการศึกษาตอ่ การประกอบอาชพี และการศึกษาตลอด
ชีวิต โดยมุง่ เนน้ ผ้เู รียนเป็นสำคัญบนพนื้ ฐานความเชอ่ื ว่า ทกุ คนสามารถเรยี นรแู้ ละพฒั นาตนเองไดเ้ ตม็
ตามศักยภาพ

ประเดน็ สำคัญ
1. มุ่งพฒั นาผูเ้ รียนทุกคน ทง้ั ด้านร่างกาย ความรู้ คณุ ธรรม
2. มีความร้แู ละทักษะพื้นฐาน รวมท้งั เจตคติที่จำเป็นตอ่ การศึกษาต่อการประกอบอาชพี
และการศึกษาตลอดชีวิต

หลักการ

1. เปน็ หลักสตู รการศึกษาเพ่อื ความเปน็ เอกภาพของชาติ มจี ุดหมายและมาตรฐานการเรยี นรู้
เปน็ เปา้ หมายสำหรบั การพฒั นาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคณุ ธรรมบนพื้นฐานของ
ความเปน็ ไทยควบค่กู ับความเปน็ สากล

2. เป็นหลกั สูตรการศึกษาเพอ่ื ปวงชน ทป่ี ระชาชนทกุ คนมโี อกาสได้รับการศึกษาอยา่ งเสมอ
ภาคและมีคุณภาพ

3. เป็นหลกั สูตรการศึกษาท่ีสนองการกระจายอำนาจ ให้สงั คมมีสว่ นรว่ มในการจดั การศึกษา
ให้สอดคล้องกับสภาพและความตอ้ งการของทอ้ งถ่ิน

4. เปน็ หลกั สตู รการศกึ ษาท่มี โี ครงสร้างยดื หยนุ่ ทง้ั ดา้ นสาระการเรยี นรู้ เวลา และการจัดการ
เรียนรู้

5. เป็นหลกั สูตรการศึกษาทเี่ นน้ ผ้เู รยี นเป็นสำคัญ
6. เป็นหลกั สูตรการศึกษาสำหรับการศกึ ษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย
ครอบคลุมทุกกลุม่ เปา้ หมาย สามารถเทยี บโอนผลการเรยี นรู้ และประสบการณ์

เทคนคิ จำ เอก ปวง กระจาย ยืดหยุน่ ผเู้ รยี น ทกุ กล่มุ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢éÁ

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹¡Ô

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·èÇÑ ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 50

จุดหมาย

หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พืน้ ฐาน มงุ่ พัฒนาผ้เู รยี นให้เปน็ คนดี มีปญั ญา มีความสขุ มี
ศกั ยภาพในการศกึ ษาต่อ และประกอบอาชพี จึงกำหนดเปน็ จุดหมายเพอื่ ใหเ้ กิดกบั ผ้เู รียน เมอ่ื จบ
การศึกษาขนั้ พน้ื ฐานดงั น้ี

1. มีคุณธรรม จรยิ ธรรม และค่านิยมทพี่ ึงประสงค์ เหน็ คุณค่าของตนเอง มีวนิ ยั และปฏบิ ัตติ น
ตามหลักธรรมของพระพทุ ธศาสนา หรือศาสนาท่ตี นนับถอื ยดึ หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง

2. มีความรู้ ความสามารถในการสอื่ สาร การคดิ การแก้ปญั หา การใช้ทักษะชีวิต และการใช้
เทคโนโลยี

3. มีสุขภาพกายและสุขภาพจติ ท่ดี ี มีสุขนิสัย และรักการออกกำลงั กาย
4. มีความรักชาติ มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยดึ ม่ันในวถิ ชี วี ิตและการ
ปกครองตามระบอบประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
5. มจี ิตสำนึกในการอนุรกั ษ์วัฒนธรรมและภมู ปิ ญั ญาไทย การอนรุ กั ษแ์ ละพฒั นาสง่ิ แวดล้อม
มจี ติ สาธารณะท่ีมงุ่ ทำประโยชน์และสร้างสง่ิ ท่ดี ีงามในสังคม และอย่รู ่วมกนั อยา่ งมีความสขุ

เทคนคิ จำ จุดหมาย คุณ รู้ กาย รกั จิต

สมรรถนะสำคญั 5 ประการ

1. มีความสามารถในการส่ือสาร
2. มคี วามสามารถในการคดิ
3. มคี วามสามารถในการแกป้ ัญหา
4. มคี วามสามารถในการใช้ทกั ษะชีวติ
5. มคี วามสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี

เทคนิคจำ สือ่ +คิด+แก้+ทกั +เทค

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÇÔ à¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÇèÑ ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 51

คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 8 ขอ้

1. รักชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์
2. ซ่อื สัตยส์ ุจริต
3. มีวนิ ัย
4. ใฝ่เรียนรู้
5. อย่อู ยา่ งพอเพียง
6. มงุ่ ม่ันในการทํางาน
7. รักความเปน็ ไทย
8. มีจิตสาธารณะ

เทคนิคจำ รัก+ซอ่ื +นยั +ใฝ่+เพียง+งาน+รัก+ณะ จุ๊บ ๆ

มาตรฐานการเรยี นรู้

การพฒั นาผู้เรียนใหเ้ กิดความสมดุล ตอ้ งคำนึงถงึ หลกั พัฒนาการทางสมองและพหุปัญญา
หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพื้นฐานกำหนดให้ผู้เรยี นไดเ้ รยี นรู้ 8 กล่มุ สาระการเรียนรู้ตามหลัก
พัฒนาการทางสมองและพหุปัญญา

1. ภาษาไทย
2. คณติ ศาสตร์
3. วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี =====> เดิมชือ่ กลุ่มสาระวทิ ยาศาสตร์
4. สงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
5. สขุ ศกึ ษาและพลศึกษา
6. ศิลปะ
7. การงานอาชพี =====> เดิมชือ่ กลมุ่ สาระการงานอาชีพและเทคโนโลยี
8. ภาษาตา่ งประเทศ
ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรูไ้ ด้กำหนดมาตรฐานการเรยี นรู้เปน็ เป้าหมายสำคญั ของการ
พัฒนาคณุ ภาพผเู้ รียน มาตรฐานการเรียนรู้ระบุส่งิ ทผ่ี ูเ้ รียนเพิ่งรู้ปฏบิ ัติได้ มคี ุณธรรมและคา่ นิยมที่พงึ
ประสงค์ เม่ือจบการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน มาตรฐานการเรียนรู้จะสะท้อนใหท้ ราบว่าตอ้ งการอะไรจะสอน
อย่างไรและประเมนิ อยา่ งไร

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÑèÇä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 52

ตวั ชี้วดั

ตัวช้ีวัดระบสุ ่ิงทนี่ ักเรยี นพึงรู้และปฏบิ ัติได้ รวมทงั้ คณุ ลักษณะของผูเ้ รยี นในแต่ละระดับชน้ั
ซึง่ สะทอ้ นถงึ มาตรฐานการเรยี นรู้ มคี วามเฉพาะเจาะจงและมีความเปน็ รปู ธรรม โดยตัวชีว้ ัดแบง่ ไดด้ งั น้ี

1. ตัวชวี้ ัดชนั้ ปี เป็นเป้าหมายในการพฒั นาผูเ้ รียนแต่ละชน้ั ปใี นระดบั การศกึ ษาภาคบงั คับ
(ป.1 – ม.3)

2. ตัวชว้ี ดั ช่วงชนั้ เปน็ เปา้ หมายในการพัฒนาผเู้ รียนในระดับชั้นมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย
(ม.4 – ม.6)

ประเด็นสำคญั
ตัวช้ีวดั ระบสุ ง่ิ ที่นักเรยี นพงึ รู้และปฏิบตั ไิ ด้ + คุณลักษณะของผู้เรียน
มี 2 ประเภท คอื ตวั ชว้ี ัดชั้นปี + ตัวช้วี ัดช่วงช้ัน

ตวั อยา่ งตัวชีว้ ัดช้นั ปี

ส 1.2 ป.2/2 หมายถงึ กลุ่มสาระการเรียนรสู้ งั คมศกึ ษาศาสนาและวฒั นธรรม
ส หมายถงึ สาระท่ี 1 มาตรฐานข้อที่ 2
หมายถงึ ตัวชี้วดั ชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 2 ข้อท่ี 2
1.2

ป.2/2

ตัวอยา่ งตัวชี้วดั ช่วงชัน้
ว 2.1 ม.4-6/2
ว หมายถงึ กล่มุ สาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
2.1 หมายถงึ สาระที่ 2 มาตรฐานขอ้ ที่ 1
ม.4-6/2 หมายถงึ ตวั ชว้ี ดั ชน้ั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย ข้อท่ี 2

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÇÑè ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 53

ร รหัสตัวอักษรแสดง กลุ่มสาระการเรยี นร้ทู ง้ั 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้

ท หมายถงึ กลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาไทย
ค หมายถงึ กลุ่มสาระการเรยี นรู้คณติ ศาสตร์
ว หมายถงึ กลุม่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (หลักสูตรปรบั ปรุงป6ี 0)
ส หมายถึง กล่มุ สาระการเรียนรู้สงั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม
พ หมายถึง กลุม่ สาระการเรยี นรู้สขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา
ศ หมายถงึ กล่มุ สาระการเรยี นรู้ศลิ ปะ
ง หมายถงึ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้การงานอาชพี (หลกั สตู รปรับปรุงปี60)

รหัสตวั อกั ษรแสดงรายวิชาในกลุ่มสาระภาษาต่างประเทศ
ก หมายถงึ เกาหลี ข หมายถึง เขมร จ หมายถงึ จนี
ซ หมายถงึ รัสเซยี ญ หมายถึง ญ่ีป่นุ ต หมายถงึ เวียดนาม
บ หมายถึง บาลี ป หมายถงึ สเปน ฝ หมายถงึ ฝร่งั เศส
ม หมายถึง มลายู น หมายถึง ลาติน ร หมายถงึ อาหรบั
ล หมายถงึ ลาว อ หมายถึง อังกฤษ ย หมายถึง เยอรมัน
ฮ หมายถงึ ฮนิ ดู

สาระการเรยี นรู้

สาระการเรียนรู้ประกอบด้วย องคค์ วามรู้ (K) ทักษะหรอื กระบวนการเรียนรู้ (P)
และคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (A) ซ่ึงกำหนดให้ผเู้ รยี นทุกคนในระดบั การศึกษาขั้นพืน้ ฐาน
จำเปน็ ต้องเรยี นรู้

ÊÒÃСÒÃàÃÕ¹ÃÙé »ÃСͺ´éÇ K P A

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÇÔ à¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÇèÑ ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 54

ตารางแสดงจำนวนสาระการเรยี นรู้ และมาตรฐานการเรยี นร้แู ตล่ ะกลุม่ สาระการเรยี นรู้

กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ หลกั สตู รแกนกลาง 51 หลักสูตรปรบั ปรงุ 60
สาระ มาตรฐาน สาระ มาตรฐาน
1.ภาษาไทย
2.คณติ ศาสตร์ 55 55
3.วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 6 14 37
4.สงั คมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม 8 13 4 10
5.สุขศึกษาและพลศกึ ษา 5 11 5 11
6.ศลิ ปะ 56 56
7.การงานอาชีพ 36 36
8.ภาษาตา่ งประเทศ 44 22
48 48
รวม 40 67 31 55

ประเดน็ สำคญั
มาตรฐานการเรยี นรู้ ปี 51 มี 67 มาตรฐาน
มาตรฐานการเรียนรู้ ปี 60 มี 55 มาตรฐาน

หลักสูตรฉบบั ปรบั ปรงุ ปี พ.ศ. 2560 ปรับเปลี่ยนมาตรฐานการเรียนรู้และตวั ช้ีวัด

กลุ่มสาระการเรยี นรคู้ ณิตศาสตร์
กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์
กลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ งั คมฯ
กลุ่มสาระการเรียนรกู้ ารงานอาชีพและเทคโนโลยี

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·èÑÇä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 55

ระยะเวลาในการใช้หลกั สตู ร

- ปกี ารศกึ ษา 2561 บังคบั ให้ใชใ้ นระดบั ป.1 , ป.4 , ม.1 และ ม.4

- ปีการศกึ ษา 2562 บังคบั ให้ใชใ้ นระดับ ป.1 , ป.2 , ป.4 , ป.5 , ม.1 , ม.2 , ม.4 , และ ม.5
- ปกี ารศึกษา 2563 บงั คบั ใช้ ในทุกชนั้ เรียน ****

ใหใ้ ช้ ผลการเรยี นรู้ แทนมาตรฐานการเรยี นรแู้ ละตวั ช้ีวดั เฉพาะรายวิชา คณิตศาสตรเ์ พิ่มเติม
และ วิทยาศาสตรเ์ พ่ิมเติม

แกไ้ ขกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ หลักสูตรปรับปรุง 60

หลักสตู รแกนกลางฯ 51 - จำนวนและพชี คณติ
- การวัดและเลขาคณติ
- จำนวนและการดำเนินการ - สถิติและความน่าจะเปน็
- การวดั ** หมายเหตุ สาระเพ่ิมเติมคอื แคลคลู สั
- เรขาคณิต
- พีชคณติ
- การวิเคราะห์ข้อมลู และความนา่ จะเปน็

แกไ้ ขกลุม่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

หลักสตู รแกนกลางฯ 51 หลักสูตรปรับปรงุ 60

- สิ่งมชี วี ติ กบั กระบวนการดำรงชวี ิต - วทิ ยาศาสตรช์ ีวภาพ

- ชีวติ กบั สงิ่ แวดลอ้ ม (สาระเพ่มิ เตมิ คือ ชีววทิ ยา)

- สารและสมบตั ิของสาร - วทิ ยาศาสตร์กายภาพ

- แรงและการเคล่อื นที่ (สาระเพิม่ เตมิ คือ ฟสิ ิกส์ , เคมี)

- พลงั งาน - วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ

- กระบวนการเปล่ยี นแปลงของโลก (สาระเพม่ิ เติมคือ โลก ดาราศาสตร์และอวกาศ)

- ดาราศาสตรแ์ ละอวกาศ ** หมายเหตุ ชอื่ กล่มุ สาระวิทยาศาสตรแ์ ละ

- ธรรมชาตขิ องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เทคโนโลยี ให้บงั คับใช้ ทกุ ชัน้ ปี ตัง้ แตป่ ี 2563

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÑèÇä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 56

แก้ไขกลมุ่ สาระการเรยี นรู้สังคมศึกษาศาสนาและวฒั นธรรม

หลักสูตรแกนกลางฯ 51 หลกั สตู รปรับปรงุ 60

- ศาสนา ศลี ธรรม จริยธรรม - ศาสนา ศลี ธรรม จริยธรรม

- หนา้ ทีพ่ ลเมือง วฒั นธรรม และการดำเนนิ - หน้าที่พลเมือง วฒั นธรรม และการดำเนิน

ชวี ติ ในสังคม ชวี ิตในสังคม

- เศรษฐศาสตร์ - เศรษฐศาสตร์

- ประวัติศาสตร์ - ประวตั ิศาสตร์

- ภูมศิ าสตร์ - ภมู ศิ าสตร์

(แก้ไขรายละเอียด มาตรฐาน ส5.1 และ 5.2)

แก้ไขกลุ่มสาระการเรียนรกู้ ารงานอาชีพ หลักสตู รปรับปรุง 60

หลักสตู รแกนกลางฯ 51 - การดำรงชีวติ และครอบครวั
- การอาชีพ
- การดำรงชีวติ และครอบครวั (สาระท่ี 2 และ 3 ยา้ ยไปกลมุ่ สาระวทิ ย์)
- การออกแบบและเทคโนโลยี ชอ่ื ในปี 2563 คือ กลุ่มสาระการงานอาชีพ
- เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่อื สาร
- การอาชีพ

ประเภทรายวิชา

รายวิชาพื้นฐาน เปน็ รายวชิ าทเ่ี ปิดสอนเพื่อพัฒนาผเู้ รียนตาม “มาตรฐานการเรยี นรู/้ ตวั ชี้วัด”
และสาระการเรยี นรู้แกนกลางทีก่ ำหนดไวใ้ นหลักสูตรแกนกลางซ่งึ เปน็ สง่ิ ทผี่ ู้เรยี นทกุ คนในระดบั
การศึกษาขนั้ พืน้ ฐานตอ้ งรู้

รายวชิ าเพิ่มเตมิ เป็นรายวิชาทส่ี ถานศึกษาแตล่ ะแห่งสามารถเปิดสอนเพ่มิ เตมิ จากส่งิ ที่กำหนด
ไวใ้ นหลกั สูตรแกนกลาง เพือ่ ให้สอดคลอ้ งกบั จดุ เน้นความต้องการและความถนดั ของผูเ้ รียนหรือความ
ต้องการของทอ้ งถน่ิ โดยมีการกำหนด “ผลการเรียนร”ู้ เปน็ เป้าหมายในการพัฒนาผเู้ รียนรายวิชา
เพ่มิ เติมตา่ ง ๆ

ประเด็นสำคัญ รายวชิ าพื้นฐาน ใช้ มาตรฐานการเรียนร้/ู ตัวชีว้ ดั
รายวิชาเพ่ิมเตมิ ใช้ ผลการเรยี นรู้

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÑÇè ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 57

กจิ กรรมพฒั นาผเู้ รยี น

กิจกรรมพฒั นาผเู้ รียน ม่งุ ให้ผู้เรียนไดพ้ ฒั นาตนเองตามศกั ยภาพ พฒั นาอย่างรอบดา้ น เพอ่ื
ความเป็นมนษุ ยท์ ่สี มบรู ณ์ ท้งั รา่ ยกาย อารมณ์ และสงั คม เสรมิ สร้างใหเ้ ปน็ ผู้มีศีลธรรม จริยธรรม มี
ระเบยี บวนิ ยั ปลกู ฝังและสร้างจติ สำนึกของการทำประโยชน์ เพ่ือสงั คม สามารถจดั การตนเองได้ และ
อยรู่ ว่ มกบั ผูอ้ ื่นอย่างมคี วามสุข แบง่ เปน็ 3 ลักษณะ ดังน้ี

1. กจิ กรรมแนะแนว
เป็นกิจกรรมส่งเสรมิ และพฒั นาผเู้ รียนให้ “รู้จักตนเอง” รรู้ กั ษส์ ง่ิ แวดล้อม สามารถคดิ ตัดสินใจ

คิดแก้ไขปญั หา กำหนดเปา้ หมาย วางแผนชวี ิตท้งั ด้านการเรียนและอาชีพ นอกจากนย้ี งั ช่วยให้ครูรจู้ ัก
และเข้าใจผู้เรยี น ทั้งยงั เปน็ กิจกรรมทีช่ ว่ ยเหลอื ใหค้ ำปรกึ ษาแก่ผู้ปกครอง ในการมสี ว่ นร่วมพฒั นา
ผู้เรียน

2. กิจกรรมนกั เรียน
เปน็ กิจกรรมทมี่ งุ่ พัฒนาความมี “ระเบยี บวนิ ัย” ความเป็นผู้นำผูต้ ามท่ดี ี โดยจัดให้สอดคล้อง

กบั ความสามารถ ความถนดั และความสนใจของผูเ้ รยี น ใหไ้ ด้ปฏิบัติด้วยตนเองในทกุ ขน้ั ตอน โดย
กจิ กรรมนกั เรียนประกอบด้วยกิจกรรมดงั นี้

1. กิจกรรมลูกเสอื เนตรนารี ยุวกาชาด ผู้บำเพ็ญประโยชน์ และ นกั ศกึ ษาวชิ าทหาร
2. กจิ กรรมชมุ นุม ชมรม

3. กจิ กรรมเพื่อสงั คมและสาธารณประโยชน์
เป็นกิจกรรมทีส่ ง่ เสริมใหผ้ ้เู รยี น “บำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน”์ ตอ่ สงั คมชุมชนและท้องถิ่น

ตามความสนใจในลักษณะอาสาสมคั ร เพ่ือแสดงถงึ ความรบั ผดิ ชอบความดีงาม ความเสียสละตอ่ สงั คม
มีจติ สาธารณะ เชน่ กจิ กรรมอาสาพัฒนา

ประเดน็ สำคญั กิจกรรมพฒั นาผู้เรยี น แบ่งเปน็ 3 ลกั ษณะ

1. กจิ กรรมแนะแนว = ร้จู ักตนเอง

2. กิจกรรมนักเรียน = มีระเบยี บวินยั มีความเป็นผู้นำ
3. กจิ กรรมเพอ่ื สังคมและสาธารณประโยชน์ = บำเพ็ญตนใหเ้ ป็นประโยชน์

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·èÇÑ ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 58

ประเภทของลกู เสอื + เนตรนารี คตพิ จน์ : ทำดีท่ีสดุ
ลกู เสอื สำรอง (Cub Scout) ชน้ั ป.1 – ป.3
ลกู เสอื สามัญ (Scout) ช้นั ป.4 – ป.6 คตพิ จน์ : จงเตรยี มพรอ้ ม
ลกู เสอื สามญั ร่นุ ใหญ่ (Senior Scout) ช้ัน ม.1 – ม.3 คตพิ จน์: มองไกล
ลูกเสือวสิ ามัญ (Rover) ช้นั ม.4 – ม.6
คติพจน:์ บรกิ าร

ระดับการศึกษาตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน

หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน

ประถม ม.ตน้ ม.ปลาย
(ป.1 – ป.6) (ม.1 – ม.3) (ม.4 – ม.6)

ระดับการศึกษาตาม พ.ร.บ. การศกึ ษาแห่งชาติ

พ.ร.บ. การศกึ ษาแห่งชาติ

กอ่ นประถม ประถม มัธยม
(อ.1 – อ.3) (ป.1 – ป.6) (ม.1 – ม.6)

เทคนิคจำ
ระดบั การศึกษาตามหลกั สูตรแกนกลาง = ถม + ต้น + ปลาย
ระดับการศึกษาตาม พ.ร.บ. การศึกษาแหง่ ชาติ = กอ่ น + ถม + ยม

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÑèÇä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 59

ประถมศกึ ษา (ป.1 – ป.6)
มุ่งเนน้ ทกั ษะพน้ื ฐานด้านการอา่ น การเขยี น การคิดคำนวณ ทักษะการคิดพื้นฐาน

การติดตอ่ สอื่ สาร กระบวนการทางสังคม และพน้ื ฐานความเปน็ มนุษย์ โดยเน้นจดั การเรียนรูแ้ บบ
บรู ณาการ

มัธยมศึกษาตอนตน้ (ม.1 – ม.3)
มงุ่ เน้นใหผ้ ู้เรียนได้สำรวจความถนดั และความสนใจของตนเอง ส่งเสริมการพฒั นาบุคลกิ ภาพ

ส่วนตน มีทักษะในการคดิ อยา่ งมีวจิ ารณญาณ คดิ สร้างสรรค์ และคดิ แก้ปญั หา มีทักษะในการดำเนิน
ชีวิต มคี วามรบั ผิดชอบตอ่ สงั คม มีความสมดลุ ทงั้ ดา้ นความรู้ ความคิด ความดีงาม และ มีความภูมใิ จใน
ความเปน็ ไทยตลอดจนใช้เป็นพ้นื ฐานในการประกอบอาชพี หรือการศกึ ษาต่อ

มธั ยมศึกษาตอนปลาย (ม.4 – ม.6)
เน้นการเพ่ิมพนู ความรแู้ ละทกั ษะเฉพาะดา้ น การตอบสนองความสามารถ ความถนดั และ

ความสนใจของผูเ้ รียนแตล่ ะคน ทงั้ ด้านวิชาการและวิชาชพี มีทกั ษะในการใช้วิทยาการและเทคโนโลยี
กระบวนการคิดขั้นสงู สามารถนำความรูไ้ ปประยกุ ต์ใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์ในการศึกษาตอ่ และการประกอบ
อาชพี

เทคนคิ จำ
ประถม = อา่ น + เขียน + คดิ คำนวณ + คดิ พน้ื ฐาน + ตดิ ตอ่ สอ่ื สาร

ม.ต้น = สำรวจความถนัดและความสนใจของตนเอง

ม.ปลาย = เพมิ่ พนู ความรู้และทกั ษะเฉพาะดา้ น

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÇÔ à¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÑÇè ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 60

โครงสรา้ งเวลาเรียน

ตามคำส่ังสำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พ้นื ฐานที่ ๙๒๒/๒๕๖๑
เร่ือง การปรับปรงุ โครงสรา้ งเวลาเรยี น

ระดบั ชน้ั ประถมศึกษา มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย
รายวชิ า/กิจกรรม
ปรบั ได้ตามเหมาะสม ปรับไดต้ ามเหมาะสม ปรบั ได้ตามเหมาะสม
รายวชิ าพน้ื ฐาน แต่ต้องมีเวลารวม แต่ต้องมีเวลารวม แต่ตอ้ งมเี วลารวม 3 ปี
880 ชม. / ปี
840 ชม. / ปี หรือ 22 หน่วยกิต/ปี 1,640 ชม.
หรอื 41 หนว่ ยกิต

(สาระประวัติศาสตร์ (สาระประวัตศิ าสตร์ (สาระประวัติศาสตร์
40 ชม. / ป)ี 40 ชม. / ปี หรอื 1 รวม 3 ปี 80 ชม. หรอื
2 หน่วยกติ )
สอดคลอ้ งกบั จดุ เน้น หนว่ ยกิต / ป)ี
และความพรอ้ มของ
รายวชิ าเพม่ิ เติม สอดคล้องกบั จดุ เนน้ สอดคลอ้ งกับจดุ เนน้
สถานศกึ ษา
เฉพาะ ป.1-ป.3 เน้น และความพร้อมของ และความพรอ้ มของ

ภาษาไทยและ สถานศึกษาและเกณฑ์ สถานศกึ ษาและเกณฑ์
คณติ ศาสตร์
การจบหลกั สตู ร การจบหลกั สูตร

กิจกรรมพัฒนาผ้เู รียน 120 ชม. / ปี 120 ชม. / ปี รวม 3 ปี 360 ชม.

เวลาเรียนรวม เป็นไปตามความ เป็นไปตามความ เปน็ ไปตามความ
เหมาะสมของ เหมาะสมของ เหมาะสมของ

สถานศึกษาโดย สถานศึกษาโดย สถานศึกษาโดย

คำนึงถงึ ศักยภาพ คำนงึ ถงึ ศกั ยภาพ คำนึงถึง ศักยภาพ
พฒั นาการตามชว่ งวัย พฒั นาการตามชว่ งวยั พฒั นาการตามช่วงวัย

และเกณฑก์ ารจบ และเกณฑก์ ารจบ และเกณฑก์ ารจบ

หลักสูตร หลกั สูตร หลกั สตู ร

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·èÇÑ ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 61

การจดั รายวิชาพนื้ ฐานและรายวิชาเพิ่มเติม

รายวชิ าพื้นฐาน

ระดับประถมศกึ ษา สามารถปรับเวลาเรียนพืน้ ฐานได้ตามความเหมาะสม แตต่ ้องมีเวลาเรยี น
ตามทกี่ ำหนดไวใ้ นโครงสรา้ ง ฯ

ระดับมธั ยมศกึ ษา ใหเ้ ปน็ ไปตามทก่ี ำหนดและสอดคล้องกบั เกณฑ์การจบหลักสูตร

รายวชิ าเพ่มิ เตมิ
ทัง้ ในระดับประถมและมธั ยม ให้จดั เป็นรายวชิ าเพ่ิมเติมหรอื กิจกรรมพัฒนาผเู้ รียน โดย

พจิ ารณาให้สอดคล้องกับความพร้อม จุดเน้นของสถานศึกษาและเกณฑ์การจบหลักสตู ร เฉพาะ
ระดบั ช้นั ป.1 – ป.3 ใหเ้ นน้ ภาษาไทย คณติ ศาสตร์

การจดั การเรียนรู้

เป็นกระบวนการสำคัญในการนำหลักสูตรสกู่ ารปฏบิ ตั ิ หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พืน้ ฐาน
เปน็ หลักสตู รท่มี มี าตรฐานการเรยี นรู้ สมรรถนะสำคญั และคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ของผเู้ รยี นเป็น
เป้าหมายสำหรบั พฒั นาเด็กและเยาวชน หลักการเรียนรู้ใหย้ ดึ หลักทวี่ ่า ผ้เู รยี นสำคัญที่สุด

องค์ประกอบของการจัดการเรยี นรู้
1. หลกั การจัดการเรียนรู้
2. กระบวนการเรยี นรู้ท่หี ลากหลาย
3. การออกแบบการจัดการเรียนรู้
4. บทบาทของผู้สอนและผเู้ รยี น

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÇèÑ ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 62

บทบาทของผสู้ อนและผ้เู รยี น บทบาทผ้เู รยี น

บทบาทผู้สอน 1. กำหนดเปา้ หมาย วางแผน และรบั ผดิ ชอบ
การเรียนรูข้ องตนเอง
1. ศกึ ษาวเิ คราะห์ผเู้ รียนเปน็ รายบุคคล 2. เสาะแสวงหาความรู้ เขา้ ถึงแหลง่ เรียนรู้
2. กำหนดเป้าหมายท่ตี อ้ งการใหเ้ กิดกับผ้เู รยี น วิเคราะห์ สงั เคราะห์ข้อความรู้ ต้งั คำถาม
3. ออกแบบการเรียนรู้และจัดการเรียนรู้ คิดหาคำตอบ หรือหาแนวทางในการแก้ไขปัญหา
4. จัดบรรยากาศทเ่ี อื้อต่อการเรยี นรูแ้ ละ 3. ลงมือปฏบิ ัติจริง สรปุ สิ่งท่ีไดเ้ รียนด้วยตนเอง
จัดเตรยี มเลือกใชส้ ่อื ให้เหมาะสม 4. มีปฏสิ มั พนั ธ์ ในการทำงาน
5. ประเมินความก้าวหนา้ ของผู้เรยี นท่ี 5. ประเมนิ และพัฒนากระบวนการเรียนรู้
หลากหลาย ของตนเองอยา่ งตอ่ เน่อื ง
6. วิเคราะหผ์ ลการประเมิน เพือ่ ใชใ้ นการ
ซ่อมเสริมและพัฒนาผูเ้ รยี น รวมท้ังปรบั ปรงุ
การจดั การเรยี นการสอนของตนเอง

สอื่ การเรยี นรู้

สื่อการเรยี นรเู้ ปน็ เครอื่ งมือส่งเสรมิ สนบั สนุนการจดั กระบวนการเรยี นรู้ให้ผเู้ รยี นเข้าถึงความรู้
ทกั ษะกระบวนการ และคณุ ลกั ษณะตามมาตรฐานของหลกั สตู รได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ การเลือกใช้สอ่ื
ควรเลอื กใหเ้ หมาะสมกับระดบั พฒั นาการและลีลาการเรยี นรทู้ ห่ี ลากหลายของผู้เรียน

สถานศกึ ษาควรคำนึงถงึ หลกั การสำคญั ของสื่อการเรียนรู้ ดงั นี้
1. ความสอดคลอ้ งกับหลกั สูตร และวัตถปุ ระสงคข์ องการเรียนรู้
2. การออกแบบกิจกรรมการเรียนรแู้ ละการจดั ประสบการณใ์ ห้ผเู้ รียน
3. เน้อื หามคี วามถูกต้องและทนั สมัย ไม่กระทบต่อความมัน่ คงของชาติ ไมข่ ัดศลี ธรรม
4. มกี ารใช้ภาษาทถ่ี กู ตอ้ ง มรี ปู แบบการนำเสนอท่ีเข้าใจง่ายและน่าสนใจ

การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้

การพฒั นาคณุ ภาพการเรยี นร้ขู องผูเ้ รียนใหป้ ระสบผลสำเร็จ ผูเ้ รียนจะต้องได้รับการพัฒนา
และประเมินตามตวั ชวี้ ดั เพื่อใหบ้ รรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้ สะทอ้ นสมรรถนะสำคญั และคุณลกั ษณะ
อันพึงประสงค์ของผเู้ รียน สถานศึกษาตอ้ งจัดทำระเบียบวา่ ดว้ ยการวัดและประเมนิ ผลการเรียนของ
สถานศึกษา

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÇÔ à¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÇÑè ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 63

การวดั และประเมินผลการเรียนรตู้ ้องอยูบ่ นพื้นฐาน 2 ประการ คือ
1. การประเมนิ เพื่อพัฒนาผู้เรยี น
2. การประเมินเพอ่ื ตดั สินผลการเรียน

การวัดและประเมินผลการเรียนรู้แบ่งการประเมินเปน็ 4 ระดบั ดังนี้
1. การประเมินระดบั ชั้นเรยี น
2. การประเมินระดับสถานศกึ ษา
3. การประเมินระดับเขตพ้นื ทกี่ ารศึกษา
4. การประเมนิ ระดบั ชาติ

1. การประเมินระดบั ชัน้ เรยี น เปน็ การวดั และประเมนิ ผลทอี่ ยู่ในกระบวนการจดั การเรยี นรู้
ผสู้ อนดำเนนิ การอยา่ งเปน็ ปกติและสม่ำเสมอ โดยผ้สู อนเปน็ ผูป้ ระเมนิ เองหรอื เปดิ โอกาสให้ผ้เู รียน
ประเมินตนเอง เปน็ การตรวจสอบวา่ ผู้เรยี นมีพฒั นาการความกา้ วหน้าในการเรียนรู้

ประเมินก่อนเรยี น ====> เพือ่ ตรวจสอบความรู้เดิม

ประเมินระหว่างเรยี น ====> เพอ่ื พัฒนาผูเ้ รยี น

ประเมนิ หลังเรยี น ====> เพ่อื ตดั สินผลการเรยี นรู้

2. การประเมนิ ระดบั สถานศกึ ษา เป็นการประเมินทีส่ ถานศึกษาดำเนินการเพอ่ื ตัดสินผลการ
เรียนรู้ของผู้เรียนเป็น รายปี / รายภาค เช่น ผลการประเมินการ อ่านคิดวเิ คราะห์เขียน คุณลกั ษณะอนั
พึงประสงค์ และ กจิ กรรมพัฒนาผเู้ รยี น

3. การประเมินระดับเขตพ้นื ท่กี ารศกึ ษา ใชเ้ ปน็ ข้อมูลพ้ืนฐานในการพฒั นาคุณภาพการศึกษา
ของเขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษา เชน่ การสอบ LAS

4. การประเมนิ ระดับชาติ เป็นการประเมินคณุ ภาพผู้เรยี นระดบั ชาตติ ามมาตรฐานการเรียนรู้
ของหลกั สูตรแกนกลางฯ เป็นการประเมินผู้เรียนทุกคนทีเ่ รียนในระดบั ชน้ั ป.3 , ป.6 / ม.3 , ม.6 เพ่อื
นำไปใชว้ างแผนยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษา และเป็น ขอ้ มูลสนบั สนุนการตดั สินใจระดับนโยบาย
ของประเทศตวั อยา่ งเช่น การสอบ O-NET การสอบ NT และการสอบ PISA เปน็ ต้น

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÇÑè ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 64

การตัดสนิ ผลการเรยี น

การตัดสินผลการเรยี น ผ้สู อนตอ้ งคำนึงถงึ การพฒั นาของผู้เรยี นแต่ละคนเปน็ หลกั ตอ้ งเก็บ
ขอ้ มูลของผ้เู รยี นทกุ ด้านอย่างสม่ำเสมอและต่อเน่ืองในแตล่ ะภาคเรียน รวมทั้งสอนซอ่ มเสรมิ ผูเ้ รียน ให้
พฒั นาจนเต็มตามศักยภาพ

เกณฑ์การตดั สินผลการเรยี นระดบั ประถมศกึ ษา

1. ผู้เรียนตอ้ งมเี วลาเรียนไมน่ อ้ ยกว่ารอ้ ยละ 80 ของเวลาเรยี นท้งั หมด
2. ผเู้ รยี นต้องได้รบั การประเมินทุกตวั ช้ีวดั และผา่ นตามเกณฑ์ทส่ี ถานศึกษากำหนด
3. ผเู้ รียนตอ้ งไดร้ ับการตดั สนิ ผลการเรยี นทุกรายวิชา
4. ผู้เรียนต้องไดร้ ับการประเมนิ และมผี ลการประเมินผ่านตามเกณฑท์ ่ีสถานศึกษา
กำหนดในการอา่ น คดิ วิเคราะห์ และเขยี น คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงคแ์ ละกิจกรรมพัฒนา
ผู้เรียน

เกณฑก์ ารตดั สนิ ผลการเรยี นระดบั มธั ยมศึกษา

เกณฑก์ ารตดั สินผลการเรยี นระดับมธั ยมศกึ ษา
1. ตดั สินผลการเรยี นเป็นรายวชิ า ผู้เรียนต้องมเี วลาเรยี นตลอดภาคเรยี นไมน่ ้อยกว่า

รอ้ ยละ 80 ของเวลาเรียนทัง้ หมดในรายวิชาน้ัน ๆ
2. ผ้เู รียนตอ้ งไดร้ ับการประเมนิ ทุกตวั ชวี้ ัดและผา่ นตามเกณฑท์ สี่ ถานศึกษากำหนด
3. ผเู้ รียนต้องไดร้ ับการตัดสินผลการเรยี นทกุ รายวชิ า
4. ผู้เรยี นต้องไดร้ บั การประเมนิ และมีผลการประเมินผา่ นตามเกณฑท์ ี่สถานศึกษา

กำหนดในการอา่ น คดิ วเิ คราะหแ์ ละเขียน คณุ ลักษณะอันพึงประสงคแ์ ละกจิ กรรมพัฒนา
ผูเ้ รยี น

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÇÑè ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 65

การใหร้ ะดบั ผลการเรยี น

ระดบั ผลการเรยี นประถมศกึ ษา

ระดับผลการเรียนรายวิชาสามารถให้ เป็น “ระบบตวั เลข ระบบตัวอกั ษร
ระบบร้อยละ และระบบท่ีใชค้ ำสำคญั สะทอ้ นมาตรฐาน” (เช่น ดีมาก พอใช)้

การประเมินการอา่ น คิดวิเคราะห์ และเขยี น และคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงคน์ ั้น ให้
ระดบั ผลการประเมนิ เป็น “ดเี ย่ยี ม ดี ผ่าน และ ไมผ่ ่าน”

การประเมนิ กจิ กรรมพฒั นาผูเ้ รียน จะตอ้ งพิจารณาทง้ั เวลาการเขา้ ร่วมกจิ กรรม

การปฏบิ ัตกิ ิจกรรมและผลงานของผู้เรยี น ตามเกณฑ์ท่ีสถานศกึ ษากำหนด และให้ผลการเข้าร่วม

กิจกรรมเปน็ “ผา่ น และ ไมผ่ ่าน”

ระบบตัวเลข ระบบตัวอกั ษร ระบบร้อยละ ระบบทใี่ ช้คำสะท้อนมาตรฐาน

5 ระดับ 4 ระดบั 2 ระดบั

4 A 80 - 100 ดเี ยี่ยม ดีเยียม

3.5 B+ 75 - 79

3 B 70 - 74 ดี

ดี

2.5 C+ 65 - 69 ผ่าน
พอใช้
2 C 60 - 64

1.5 D+ 55 - 59 ผา่ น
ผา่ น
1 D 50 - 54

0 F 0 - 49 ไมผ่ า่ น ไมผ่ ่าน ไม่ผ่าน

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é èÑÇä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 66

ระดบั ผลการเรียนมธั ยมศกึ ษา

ระดบั ผลการเรียนรายวชิ าให้ใช้ตัวเลขแสดงระดบั ผลการเรยี นเป็น 8 ระดบั

การประเมนิ การอา่ น คิดวิเคราะห์และเขียน และคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์นั้น
ใหร้ ะดับผลการประเมนิ เป็น ดีเยี่ยม ดี ผ่านและไม่ผา่ น

การประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรยี น จะต้องพจิ ารณาท้ังเวลาการเขา้ ร่วมกิจกรรม

การปฏิบตั กิ จิ กรรมและผลงานของผู้เรียน ตามเกณฑ์ทส่ี ถานศึกษากำหนด และใหผ้ ลการเข้าร่วม

กิจกรรมเปน็ ผ่าน และ ไมผ่ ่าน

ระดับผลการเรียน ความหมาย ชว่ งคะแนน

4 ดีเยีย่ ม 80 - 100

3.5 ดมี าก 75 - 79

3 ดี 70 - 74

2.5 คอ่ นข้างดี 65 - 69

2 ปานกลาง 60 - 64

1.5 พอใช้ 55 - 59

1 ผา่ นเกณฑข์ ั้นตำ่ 50 - 54

0 ไมผ่ า่ นเกณฑ์ประเมิน 0 - 50

มส หมายถึง ผเู้ รยี นไม่มสี ิทธิเขา้ รับการวัดผลปลายภาคเรยี นเนือ่ งจากเวลาเรยี นไม่ถึงร้อยละ 80 ของ
เวลาเรยี นทงั้ หมด

ร หมายถงึ ผเู้ รียนยังไม่ไดร้ ับการประเมินผลการเรยี น เน่ืองจากยงั ไมส่ ง่ งาน หรือไมไ่ ดเ้ ขา้ สอบ

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é èÇÑ ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 67

การเปล่ยี นผลการเรียน

การเปลี่ยนผลการเรยี น “0”

สถานศกึ ษาจัดใหม้ ีการสอนซอ่ มเสริมในมาตรฐานการเรียนร้/ู ตวั ชว้ี ัดท่ผี เู้ รยี นสอบไมผ่ า่ นก่อน
แลว้ จงึ สอบแก้ตวั ได้ไม่เกนิ 2 คร้ัง

ถา้ ผเู้ รียนไมด่ ำเนนิ การสอบแกต้ วั ตามระยะเวลาทีส่ ถานศึกษากำหนดให้อยูใ่ นดุลยพินจิ ของ
สถานศกึ ษาท่ีจะพจิ ารณาขยายเวลาออกไปอกี 1 ภาคเรยี น

สำหรับภาคเรียนท่ี 2 ต้องดำเนนิ การให้เสรจ็ สิน้ ภายในปกี ารศึกษานน้ั

การสอบแก้ 0 ให้ไดร้ ะดบั ผลการเรยี นไมเ่ กนิ 1

ถา้ สอบแกต้ วั 2 คร้งั แลว้ ยังไดร้ ะดบั ผลการเรียน “0” อกี ใหส้ ถานศึกษา แตง่ ตงั้ คณะกรรมการ
ดำเนินการเก่ียวกบั การเปล่ยี นผลการเรียนของผู้เรียน โดยปฏิบัตดิ ังนี้

1. ถ้าเปน็ รายวิชาพืน้ ฐาน ให้เรียนซำ้ รายวชิ าน้ัน
2. ถา้ เปน็ รายวิชาเพ่ิมเตมิ ให้เรยี นซำ้ หรือเปล่ยี นรายวิชาเรยี นใหม่ ทั้งน้ี ให้อยใู่ นดุลยพนิ จิ
ของสถานศกึ ษา
ในกรณีที่เปล่ียนรายวิชาเรียนใหม่ ใหห้ มายเหตใุ นระเบียนแสดงผลการเรยี น ว่าเรยี นแทน
รายวิชาใด

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÑèÇä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 68

การเปลี่ยนผลการเรียน “ร”

ให้ผู้เรยี นดำเนนิ การแก้ไข “ร” ตามสาเหตุ
เม่ือผเู้ รยี นแก้ไขปญั หาเสรจ็ แล้ว ใหไ้ ดร้ ะดบั ผลการเรยี นตามปกติ (ตัง้ แต่ 0 – 4 )

ถา้ ผเู้ รียนไม่ดำเนินการแกไ้ ข “ร” กรณีทสี่ ่งงานไม่ครบ แต่มีผลการประเมนิ ระหวา่ งภาคเรียน
และปลายภาคใหผ้ ้สู อนนำข้อมลู ที่มีอยตู่ ัดสนิ ผลการเรียน ยกเว้นมีเหตสุ ดุ วิสยั ใหอ้ ยู่ในดลุ ยพนิ ิจของ
สถานศกึ ษาที่จะขยายเวลาการแก้ “ร” ออกไปอีกไมเ่ กนิ 1 ภาคเรียน สำหรบั ภาคเรยี นท่ี 2 ตอ้ ง
ดำเนนิ การใหเ้ สร็จสนิ้ ภายในปกี ารศึกษานน้ั เมอ่ื พ้นกำหนดนแ้ี ล้วให้เรยี นซ้ำ หากผลการเรยี นเป็น “0”
ใหด้ ำเนินการแกไ้ ขตามหลักเกณฑ์

การเล่อื นช้นั

ระดับประถมศึกษา
เมื่อสนิ้ ปกี ารศกึ ษา ผู้เรียนจะได้รบั การเลือ่ นชั้นเมื่อมีคณุ สมบัติตามเกณฑด์ ังตอ่ ไปนี้
1. ผูเ้ รียนมเี วลาเรยี นตลอดปกี ารศกึ ษาไมน่ ้อยกว่ารอ้ ยละ 80 ของเวลาเรียนทงั้ หมด
2. ผูเ้ รียนมีผลการประเมนิ ผ่านทุกรายวชิ าพืน้ ฐาน
3. ผู้เรยี นมผี ลการประเมินการอา่ น คดิ วเิ คราะห์ และเขียน คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์

และกจิ กรรมพฒั นาผ้เู รียนผา่ นตามเกณฑ์ที่สถานศกึ ษากำหนด

ระดบั มธั ยมศึกษา
เมือ่ สิ้นปกี ารศกึ ษา ผูเ้ รียนจะไดร้ บั การเลอ่ื นชน้ั เมือ่ มีคณุ สมบัติตามเกณฑ์ ดงั ต่อไปนี้
1. รายวชิ าพน้ื ฐานและรายวิชาเพมิ่ เติมไดร้ ้บการตดั สินผลการเรยี นผา่ นตามเกณฑ์

ท่สี ถานศึกษากาํ หนด
2. ผู้เรียนตอ้ งได้รบั การประเมนิ และมผี ลการประเมินผ่านตามเกณฑ์ทส่ี ถานศกึ ษา

กําหนด ในการอา่ น คิดวเิ คราะห์ และเขยี น คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ และกิจกรรมพฒั นาผ้เู รยี น
3. ระดบั ผลการเรยี นเฉลยี่ ในปกี ารศกึ ษาน้นั ควรไดไ้ มต่ ํ่ากวา่ 1.00

ทง้ั นี้ รายวชิ าใดทไ่ี มผ่ า่ นเกณฑก์ ารประเมนิ สถานศกึ ษาสามารถซอ่ มเสรมิ ผเู้ รยี นใหไ้ ดร้ ับ
การแกไ้ ขในภาคเรยี นถดั ไป ทัง้ นสี้ าํ หรบั ภาคเรยี นที่ 2 ต้องดาํ เนินการให้เสร็จสิน้ ภายในปกี ารศึกษานนั้

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÇÑè ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 69

การเรยี นซำ้ ช้ัน

ระดับช้นั ประถมศึกษา
ผเู้ รียนทไ่ี ม่ผ่านรายวิชาจำนวนมากและมแี นวโน้มว่าจะเป็นปญั หาต่อการเรยี นในระดบั ช้ันท่ี

สูงขึ้น สถานศกึ ษาอาจตง้ั คณะกรรมการพจิ ารณาให้เรยี นซ้ำชัน้ ได้ ท้งั นี้ ใหค้ ำนงึ ถึงวุฒิภาวะและความรู้
ความสามารถของผูเ้ รยี นเป็นสำคัญ

ระดับชั้นมัธยมศึกษา
ผเู้ รยี นทไ่ี ม่ผา่ นรายวชิ าจำนวนมากและมีแนวโน้มวา่ จะเปน็ ปัญหาตอ่ การเรยี นในระดับช้ันที่

สงู ข้นึ สถานศกึ ษาอาจตัง้ คณะกรรมการพจิ ารณาใหเ้ รียนซำ้ ชัน้ ได้ ทั้งน้ี ใหค้ ำนึงถงึ วฒุ ภิ าวะและความรู้
ความสามารถของผเู้ รียนเปน็ สำคญั

การเรียนซ้ำชัน้ มี 2 ลักษณะคือ

1. ผเู้ รยี นมรี ะดับผลการเรยี นเฉลย่ี ในปีการศึกษาน้นั ต่ำกวา่ 1.00 และมีแนวโน้มว่าจะเป็นปญั หา
ต่อการเรียนในระดบั ช้นั ท่ีสูงขน้ึ

2. ผูเ้ รยี นมผี ลการเรยี น 0, ร, มส เกินคร่ึงหนึ่งของรายวชิ าท่ีลงทะเบยี นเรียนในปกี ารศกึ ษาน้ัน

ทั้งน้ี หากเกิดลกั ษณะใดลักษณะหน่ึง หรือท้งั 2 ลกั ษณะ ให้สถานศึกษาแตง่ ตง้ั คณะกรรมการ
พจิ ารณา

หากเหน็ วา่ ไม่มเี หตุผลอนั สมควรกใ็ หซ้ ้ําชนั้ โดยยกเลิกผลการเรียนเดิมและใหใ้ ชผ้ ลการเรยี น
ใหมแ่ ทน

หากพิจารณาแล้วไมต่ ้องเรียนซํ้าช้นั ใหอ้ ยู่ในดุลยพินจิ ของสถานศึกษาในการแกไ้ ข
ผลการเรียน

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÑèÇä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 70

เกณฑก์ ารจบการศกึ ษา

ระดบั ประถมศึกษา
1. ผเู้ รยี นเรยี นรายวิชาพนื้ ฐาน และรายวชิ า/กจิ กรรมเพ่ิมเตมิ ตามโครงสรา้ งเวลา

เรยี นที่หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พืน้ ฐานกำหนด
2. ผเู้ รียนตอ้ งมีผลการประเมินรายวิชาพ้นื ฐาน ผา่ นเกณฑ์การประเมนิ ตามที่

สถานศึกษากำหนด
3. ผูเ้ รียนมีผลการประเมินการอา่ น คิดวเิ คราะห์และเขียนในระดบั ผ่านเกณฑก์ าร

ประเมินตามทีส่ ถานศึกษากำหนด
4. ผเู้ รียนมีผลการประเมนิ คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ ผ่านเกณฑ์การประเมินตามที่

สถานศึกษากำหนด
5. ผเู้ รียนเข้ารว่ มกจิ กรรมพัฒนาผเู้ รียนและมีผลการประเมิน ผ่านเกณฑ์

การประเมินตามทีส่ ถานศึกษากำหนด

ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น
1. เรยี นรายวชิ าพ้นื ฐานและเพม่ิ เตมิ เปน็ รายวิชาพื้นฐาน 66 หนว่ ยกิต และรายวชิ า

เพิม่ เตมิ ตามท่ีสถานศึกษากำหนด
2. ต้องไดห้ น่วยกติ ตลอดหลกั สูตรไม่นอ้ ยกว่า 77 หนว่ ยกติ โดยเปน็ รายวชิ าพื้นฐาน

66 หนว่ ยกติ และ รายวิชาเพ่มิ เตมิ ไมน่ ้อยกวา่ 11 หนว่ ยกติ
3. มผี ลการประเมินการอา่ น คิดวิเคราะหแ์ ละเขียน ผา่ นเกณฑ์การประเมินตามที่

สถานศกึ ษากำหนด
4. มีผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ผ่านเกณฑ์การประเมนิ ตามท่ี

สถานศึกษากำหนด
5. เข้าร่วมกิจกรรมพฒั นาผ้เู รยี นและมผี ลการประเมนิ ผ่านเกณฑ์การประเมนิ ตามที่

สถานศกึ ษากำหนด

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÇèÑ ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 71

ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย
1. เรยี นรายวชิ าพ้ืนฐานและเพ่มิ เติมเป็นรายวชิ าพื้นฐาน 41 หน่วยกิต และรายวชิ า

เพิ่มเติมตามที่สถานศกึ ษากำหนด
2. ต้องได้หน่วยกติ ตลอดหลักสตู รไมน่ อ้ ยกว่า 77 หนว่ ยกิต โดยเปน็ รายวชิ าพนื้ ฐาน

41หนว่ ยกิต และรายวิชาเพมิ่ เติม ไมน่ ้อยว่า 36 หนว่ ยกิต
3. มีผลการประเมนิ การอ่าน คดิ วิเคราะห์และเขยี น ผา่ นเกณฑ์การประเมนิ

ตามทีส่ ถานศกึ ษากำหนด
4. มีผลการประเมนิ คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ ผา่ นเกณฑ์การประเมินตามท่ี

สถานศกึ ษากำหนด
5. เข้าร่วมกจิ กรรมพัฒนาผเู้ รียนและมีผลการประเมิน ผ่านเกณฑ์การประเมิน

ตามท่ีสถานศึกษากำหนด

การเทยี บโอนผลการเรียน

- การเทยี บโอนผลการเรียนควรดำเนนิ การในช่วงก่อนเปิดภาคเรียนแรก หรอื ตน้ ภาคเรียนแรก
- ผู้เรียนทีไ่ ด้รับการเทียบโอนผลการเรียนต้องศกึ ษาต่อเนือ่ งในสถานศกึ ษาท่รี บั เทียบโอน
อย่างนอ้ ย 1 ภาคเรียน

การพิจารณาการเทยี บโอนผลการเรียน
1. พิจารณาจากหลกั ฐานการศึกษาและเอกสารอ่ืน ๆ
2. พิจารณาจากความรู้ ความสามารถ ของผเู้ รียนโดยการทดสอบดว้ ยวิธีการต่าง ๆ
3. พิจารณาจากความสามารถและการปฏบิ ตั ใิ นสภาพจริง

การรายงานผลการเรยี น
การรายงานผลการเรยี นเป็นการสอื่ สารใหผ้ ปู้ กครองและผเู้ รยี นทราบความกา้ วหน้าในการ

เรยี นรู้ของผู้เรยี น ซ่งึ สถานศึกษาตอ้ งสรุปผลการประเมนิ และจดั ทำเอกสารรายงานใหผ้ ปู้ กครองทราบ
เป็นระยะ ๆ หรอื อย่างนอ้ ยภาคเรียนละ 1 ครัง้

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÑèÇä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 72

เอกสารหลกั ฐานการศกึ ษา

เอกสารหลกั ฐานการศึกษา 2 ประเภท คือเอกสารหลักฐานการศกึ ษาทกี่ ระทรวงศึกษาธกิ าร
กําหนดและเอกสารหลกั ฐานการศกึ ษาทสี่ ถานศกึ ษากาํ หนด

1. เอกสารหลักฐานการศึกษาท่ีกระทรวงศึกษาธกิ ารกําหนด

1. (ปพ.1) ระเบียนแสดงผลการเรยี น

2. (ปพ.2) ประกาศนยี บตั ร
3. (ปพ.3) แบบรายงานผู้สาํ เร็จการศึกษา

ปพ.1 หรือ ระเบยี นแสดงผลการเรียน เปน็ เอกสารแสดงผลการเรียนและรับรองผลการเรียน
ของผูเ้ รยี นตามรายวชิ า ออกเอกสารนใ้ี หผ้ ู้เรียนเมื่อผเู้ รยี น

จบการศึกษาระดับประถมศึกษา (ชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 6)

จบการศึกษาภาคบังคับ (ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3)

จบการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน (ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 6)

หรอื เมื่อลาออกจากสถานศกึ ษาในทกุ กรณี หรอื ใช้ยืน่ กรณยี ้ายสถานศึกษา

ปพ.1 มี 3 แบบ คอื
(ปพ.1 : ป) คอื ระเบยี นแสดงผลการเรยี นระดับชัน้ “ประถมศึกษา”
(ปพ.1 : บ) คือ ระเบียนแสดงผลการเรยี นระดับช้ัน “มัธยมศกึ ษาตอนต้น”
(ปพ.1 : พ) คอื ระเบียนแสดงผลการเรยี นระดบั ชน้ั “มัธยมศึกษาตอนปลาย”

ผู้ส่งั ซอ้ื ผู้อาํ นวยการเขตพืน้ ทีก่ ารศึกษาเป็นผสู้ ง่ั ซือ้ จากองคก์ ารคา้ ของ สกสค.

ผู้มสี ทิ ธิลงนาม ผ้อู ํานวยการสถานศึกษา + นายทะเบียน เปน็ ผู้มอี ํานาจลงนาม

*** ทำเอกสารคูฉ่ บบั ข้ึน 2 ฉบับ เกบ็ ไวส้ ถานศึกษา 1 ฉบับ มอบใหผ้ ู้เรยี น 1 ฉบบั ***

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÇèÑ ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 73

ปพ.2 ประกาศนยี บัตร เป็นเอกสารแสดงวฒุ กิ ารศึกษาเพือ่ รับรองศักด์แิ ละสิทธิของผจู้ บ
การศึกษาที่สถานศกึ ษาให้ไว้แกผ่ ู้จบการศกึ ษาภาคบงั คับและผ้จู บการศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน

ปพ.2 มี 2 แบบ คอื
(ปพ.2 : บ) คือ ประกาศนียบตั รแสดงการสําเร็จการศึกษาภาคบงั คับ(จบ ม.3)
(ปพ.2 : พ) คอื ประกาศนยี บัตรแสดงการสาํ เรจ็ การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน(จบ ม.6)

ผสู้ ัง่ ซ้ือ ผู้อาํ นวยการเขตพื้นทีก่ ารศึกษาเปน็ ผ้สู ่งั ซือ้ จากองค์การคา้ ของ สกสค.

ผู้มสี ทิ ธลิ งนาม ประธานคณะกรรมการสถานศกึ ษา + ผอู้ าํ นวยการสถานศกึ ษา

á¡é䢵ÒÁ ÃÐàºÂÕ º ¡¾°. ÇÒè ´Çé ÂÍíҹҨ˹éÒ·Õãè ¹¡ÒÃ͹ÁØ ÑµÔ
»ÃСÒȹÂÕ ºÑµÃáÅÐÇ²Ø ºÔ ѵâͧʶҹÈÖ¡ÉÒ ¾.È. 2563

ปพ.3 แบบรายงานผู้สาํ เร็จการศกึ ษา เปน็ เอกสารอนุมัตกิ ารจบหลกั สตู รโดยบันทึกรายช่อื
และขอ้ มูลของผ้จู บการศกึ ษา ระดับประถมศึกษา ผจู้ บการศึกษาภาคบังคับ และผ้จู บการศกึ ษาขนั้
พน้ื ฐาน

ปพ.3 มี 3 แบบ
(ปพ.3 : ป) คือ แบบรายงานสําเร็จการศกึ ษาระดบั ชัน้ ประถมศึกษา
(ปพ.3 : บ) คือ แบบรายงานสําเร็จการศึกษาระดับช้ันมธั ยมศึกษาตอนตน้
(ปพ.3 : พ) คือ แบบรายงานสาํ เร็จการศกึ ษาระดบั ชั้นมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย

ผู้สั่งซ้อื ผอู้ ํานวยการสถานศึกษาเป็นผสู้ ง่ั ซอ้ื จากองค์การคา้ ของ สกสค.

ผ้มู ีสทิ ธิลงนาม ผู้อาํ นวยการสถานศกึ ษา + นายทะเบียน เปน็ ผู้มีอํานาจลงนาม

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÇÑè ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 74

ตวั อย่าง ปพ.1

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é èÑÇä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 75

ตวั อยา่ ง ปพ.2

»Õ¡ÒÃÈ¡Ö ÉÒ 2563 à»ç¹µ¹é ä» ¼Í. ŧ¹ÒÁ¤¹à´ÕÂÇ

»Õ¡ÒÃÈ¡Ö ÉÒ 2563 à»¹ç µ¹é ä» ¼Í. ŧ¹ÒÁ¤¹à´ÕÂÇ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÇÔ à¢Áé

ตัวอยา่ ง ปพ.3

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÇÑè ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 76

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÑèÇä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 77

2. เอกสารหลักฐานการศึกษาทีส่ ถานศกึ ษากำหนด
ปพ.4 แบบแสดงผลการพฒั นาคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์
ปพ.5 เอกสารบนั ทกึ การพัฒนาคุณภาพผเู้ รยี น (ครปู ระจำวิชาดูแล)
ปพ.6 แบบรายงานผลการพัฒนาคุณภาพผเู้ รียนรายบุคคล หรือสมุดพก
ปพ.7 ใบรบั รองผลการศึกษา
ปพ.8 ระเบียนสะสม
ปพ.9 สมุดบันทึกผลการเรียนรู้

การกำหนดรหัสวิชา

การกำหนดรหสั วิชาควรใช้ตวั เลขฮินดอู ารบกิ เพอื่ สือ่ สารและการจัดทำเอกสารหลกั ฐาน
การศึกษาระบบรหสั วิชาสำหรับรายวิชาพ้ืนฐานและรายวิชาเพิม่ เติมตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษา
ขันพื้นฐาน พ.ศ. 2551 ประกอบด้วยตวั อกั ษร และตัวเลข 6 หลกั ดังนี้

ตัวอย่าง
ว13102

หมายถงึ รายวชิ ากลุม่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ชว่ งช้ันที่ 1 ปีที่ 3 (ป.3) เป็นรายวชิ าพ้นื ฐาน ลาํ ดับที่ 2

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÇÔ à¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÇèÑ ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 78

รหสั วิชาในกลุ่มสาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ลำดบั ที่ 01-19 หมายถงึ รายวชิ าในกล่มุ ฟิสกิ ส์
ลำดับท่ี 21-39 หมายถงึ รายวชิ าในกลมุ่ เคมี
ลำดบั ท่ี 41-59 หมายถึง รายวิชาในกลมุ่ ชีววทิ ยา
ลำดบั ท่ี 61-79 หมายถงึ รายวิชาในกลุ่มโลกดาราศาสตร์และอวกาศ
ลำดับท่ี 81-99 หมายถงึ รายวชิ าในกลุ่มวิทยาศาสตร์อ่ืน ๆ

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÇèÑ ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 79

การจดั ทาํ หลกั สตู รสถานศกึ ษา

1. แต่งตงั้ คณะกรรมการ

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÇÔ à¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÑèÇä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 80

องคป์ ระกอบหลกั สูตรสถานศึกษา

1. ความนำหรือสว่ นนำ
2. วิสยั ทัศน์
3. สมรรถนะสำคัญของผเู้ รยี น
4. คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์
5. โครงสรา้ งหลักสตู รสถานศกึ ษา (เวลาเรยี น,รายวิชาพื้นฐาน/เพิ่มเติม,กจิ กรรมพัฒนาผเู้ รยี น)
6. คำอธบิ ายรายวชิ า
7. เกณฑก์ ารจบหลักสตู ร

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÇèÑ ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 81

ตัวอยา่ งปกหลกั สตู รโรงเรยี น แบบที่ 1

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÇèÑ ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 82

ตัวอยา่ งปกหลกั สตู รโรงเรยี น แบบที่ 2

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÑèÇä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 83

ตวั อย่างประกาศโรงเรียนเร่ืองให้ใช้หลกั สตู ร แบบท่ี 1

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÑèÇä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 84

ตวั อย่างประกาศโรงเรียนเร่ืองให้ใช้หลกั สตู ร แบบท่ี 2

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÑèÇä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 85

3.2 ศาสตรก์ ารสอน

การจัดการเรียนรู้

การจดั การเรยี นรู้เป็นกระบวนการสำคญั ในการนำหลักสูตรสกู่ ารปฏบิ ัติ หลกั สูตรแกนกลาง
การศกึ ษาขั้นพ้ืนฐานเป็นหลกั สตู รท่ีมีมาตรฐานการเรยี นรู้ สมรรถนะสำคัญของผูเ้ รียน และคุณลักษณะ
อันเพ่ิงประสงค์ เป็นเปา้ หมายสำคัญสำหรับการพัฒนาเด็กและเยาวชน

ประเด็นสำคญั // การจัดการเรยี นรู้เปน็ กระบวนการสำคัญในการนำหลกั สตู รสู่การปฏิบตั ิ

หลักการจดั การเรียนรตู้ ามพระราชบญั ญัติการศกึ ษาแหง่ ชาติ

มาตรา 6
การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพอื่ พัฒนาคนไทยใหเ้ ป็นมนุษยท์ ี่สมบูรณ์ท้ังดา้ น.....
รา่ งกาย จิตใจ สติปญั ญา ความรู้ = เกง่
คณุ ธรรม มีจรยิ ธรรมและวัฒนธรรม = ดี
อยรู่ ว่ มกบั ผไู้ ด้อยา่ งมีความสุข = มีสุข (มุ่งหมายสงู สดุ )

ประเดน็ สำคญั // เกง่ ดี มีสขุ

มาตรา 22 การจัดการศกึ ษา
ตอ้ งยดึ หลักว่า ผูเ้ รียนทุกคนมีความสามารถเรยี นรแู้ ละพฒั นาตนเองได้
ถือว่า ผเู้ รยี นมคี วามสำคัญทสี่ ดุ กระบวนการจดั การศึกษา
ต้อง สง่ เสรมิ ให้ผเู้ รยี นสามารถพฒั นาตามธรรมชาติและเตม็ ตามศกั ยภาพ (Children

Center)

ประเด็นสำคญั // ผูเ้ รยี นมีความสำคญั ที่สุด

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÑèÇä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 86

มาตรา 23 การจดั การศึกษาทั้งการศึกษาในระบบ การศกึ ษานอกระบบ และการศกึ ษาตาม
อัธยาศยั ตอ้ งเนน้ ความสำคญั ท้ังความรู้ (K) คณุ ธรรม (A) กระบวนการเรียนรู้และบรู ณาการตาม
ความเหมาะสมของแต่ละระดับการศึกษา (P)

ประเดน็ สำคัญ // K P A // 8กลุม่ สาระ + พหุปญั ญา

มาตรา 24 การจดั กระบวนการเรยี นรู้ ให้สถานศึกษาและหนว่ ยงานท่ีเกย่ี วขอ้ งดำเนนิ การดงั นี้
1. จัดเนอ้ื หาสาระและกิจกรรมสอดคลอ้ งกับความสนใจและความถนัดของผูเ้ รยี นโดย

คำนงึ ถงึ ความแตกต่างระหว่างบคุ คล
2. ฝกึ ทกั ษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์

ความรู้มาใช้เพ่ือป้องกนั และแก้ไขปัญหา
3. จดั กิจกรรมให้ผูเ้ รยี นได้เรยี นรู้จากประสบการณ์จริง
4. จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรดู้ า้ นต่าง ๆ รวมทง้ั ปลูกฝังคณุ ธรรม

คา่ นิยมท่ีดีงาม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ทกุ วิชา
5. ส่งเสริมให้ผ้สู อนจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม ส่อื การเรียนและอำนวยความ

สะดวกเพอื่ ใหผ้ ู้เรียนเกดิ การเรียนร้แู ละมีความรอบรู้
6. จัดการเรยี นร้ใู หเ้ กิดข้ึนได้ทกุ เวลาทกุ สถานที่

ประเดน็ สำคญั // ตอ้ งคำนงึ ถึงความแตกต่างระหวา่ งบคุ คล

การออกแบบหน่วยการเรยี นรู้
การจดั การเรียนร้ใู นทุกกลมุ่ สาระการเรยี นรูต้ ้องมงุ่ พฒั นาผเู้ รยี นให้มีความรู้ความสามารถตาม

มาตรฐานเรียนรู/้ ตวั ชีว้ ดั สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียน ลักษณะอนั เพง่ิ ประสงค์ หนว่ ยการเรยี นรเู้ ป็น
ขน้ั ตอนทีส่ ำคัญในการนำหลกั สูตรส่กู ารจดั การเรียนรู้

ประเดน็ สำคญั // การออกแบบหนว่ ยการเรยี นรู้ ต้องคำนงึ ถึง มาตรฐานการเรยี นรู้
ตัวช้วี ัด สมรรถนะสำคญั คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÑèÇä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 87

การจัดการเรียนรูแ้ บบย้อนกลับ Backward Design

การออกแบบการเรียนรแู้ บบ Backward Design เปน็ การออกแบบการเรียนร้ทู ยี่ อ้ นกลบั
เริม่ ตน้ จากปลายทางท่ผี ลผลติ ทตี่ อ้ งการโดยนำการวัดผลมาเปน็ หลกั จากนั้นจึงออกแบบหลักสตู รและ
แผนการเรยี นการสอน ซึ่งการจัดการเรียนร้แู บบยอ้ นกลับมี 3 ขน้ั ตอนดงั นี้

1. กำหนดเปา้ หมายการเรียนรู้ เปน็ ขั้นตอนสำคญั ผสู้ อนต้องกำหนดเปา้ หมายการเรยี นรู้ที่

ต้องการใหผ้ ูเ้ รยี นบรรลมุ าตรฐานการเรียนรู้ ตวั ช้วี ัดและนำพาไปสู่การพัฒนาสมรรถนะสำคัญและ
คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์

2. กำหนดหลกั ฐานการเรยี นรู้ การท่ีจะรวู้ า่ ผ้เู รียนบรรลุมาตรฐานการเรยี นรหู้ รอื ตัวชี้วดั ตอ้ งมี
หลักฐานรอ่ งรอยของชน้ิ งานหรอื ภาระงานเพ่ือยืนยนั ว่าผ้เู รียนเกดิ การเรียนรูต้ ามเปา้ หมายที่ต้งั ไว้

3. การออกแบบกิจกรรมการเรยี นรู้ เป็นข้นั ตอนสำคัญท่จี ะนำผเู้ รยี นใหบ้ รรลเุ ป้าหมาย

ประเดน็ สำคัญ // Backward Design = กำหนดเป้าหมาย กำหนดหลกั ฐาน ออกแบบ
กจิ กรรม

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é èÇÑ ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 88

รปู แบบการจัดการเรียนการสอนแบบพหปุ ญั ญา 8 ด้าน

1. ด้านภาษา (Linguistic intelligence) แสดงออกทางความสามารถในการอา่ น การเขียน
การพูดการอภปิ ราย การสอ่ื สารกบั ผูอ้ ืน่ การใช้คำศัพท์ การแสดงออกของความคดิ การเลา่ เรอื่ งเป็นต้น

2. ดา้ นคณิตศาสตร์ หรือการใช้เหตุผลเชงิ ตรรกะ (Logical mathematical
intelligence) ผมู้ อี จั ฉริยภาพด้านน้ีมักจะคดิ โดยใชส้ ัญลกั ษณ์ มรี ะบบ ระเบยี บในการคดิ ชอบคิด
วิเคราะห์ แยกแยะสงิ่ ตา่ ง ๆ ให้เหน็ ชัดเจน ชอบคดิ และทำอะไรตามเหตุผลเขา้ ใจส่งิ ท่ีเป็นนามธรรมได้
ง่าย ชอบและทำคณิตศาสตรไ์ ดด้ ี

3. ด้านมิตสิ ัมพนั ธ์ (Spatial intelligence) แสดงออกทางดา้ นศิลปะ การวาดภาพ
การเหน็ รายละเอยี ด การใช้สี การสรา้ งสรรคง์ านต่าง ๆ และมักจะเห็นวธิ ีแกป้ ัญหาในมโนภาพเป็นต้น
ปญั ญาด้านนี้ถกู ควบคมุ ด้วยสมองซกี ขวา

4. ด้านดนตรี (Musical intelligence) แสดงออกทางความสามารถในดา้ นจงั หวะการรอ้ ง
เพลง แตง่ เพลงการฟงั เพลงและดนตรี การเตน้ ไวต่อการรับรูเสียงและจงั หวะต่าง ๆ ปญั ญาดา้ นน้ีถกู
ควบคุมดว้ ยสมองซกี ขวา

5. ด้านการเคลื่อนไหวรา่ งกายและกล้ามเนื้อ (Bodily kinesthetic intelligence) สมอง
สว่ นคอร์เท็กซ์ควบคมุ ปัญญาด้านน้ี โดยด้านซา้ ยคุมการเคลื่อนไหวของรา่ งกายซกี ขวาสว่ นดา้ นขวาคุม
การเคล่อื นไหวของรา่ งกายซกี ซา้ ย สตปิ ญั ญาดา้ นนีส้ ังเกตได้จากความสามารถในการเคลื่อนไหวของ
ร่างกาย เชน่ การเลน่ กีฬา เล่นเกมต่าง ๆ การแสดง การเตน้ รำการใช้ภาษาท่าทาง เป็นต้น

6. ดา้ นการสมั พันธก์ ับผู้อื่น (Interpersonal intelligence) ควบคุมโดยสมองส่วนหนา้
ความสามารถแสดงออกโดยการมีปฏสิ ัมพันธก์ บั ผู้อน่ื การทำงานกบั ผอู้ ่นื การเขา้ ใจและเคารพผอู้ น่ื การ
แก้ปญั หาความขดั แยง้ และการจดั ระเบยี บ เปน็ ต้น ผมู้ ีปญั ญาด้านนมี้ ักจะชอบชว่ ยเหลอื และให้
คำปรกึ ษาแกผ่ อู้ ื่น

7. ดา้ นการเขา้ ใจตนเอง (Intrapersonal intelligence) ปญั ญาด้านน้ีมกั เกิดร่วมกบั
สตปิ ญั ญาดา้ นอื่นมลี กั ษณะเปน็ ปฏิสมั พนั ธ์ระหวา่ งเชาวป์ ัญญา อย่างนอ้ ยม2ี ดา้ น ซ่ึงจะแสดงออกดว้ ย
การเขา้ ใจตนเอง มักเป็นคนท่ชี อบคิด ชอบความเงยี บสงบ เปน็ ต้น

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÇèÑ ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 89

8. ด้านความเข้าใจธรรมชาติ (Naturalist intelligence) ปญั ญาด้านน้เี ป็น
ความสามารถในการสังเกตสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ การจำแนกแยกแยะ จดั หมวดหมสู่ ่ิงตา่ ง ๆ รอบตวั
คนที่มีความสามารถด้านน้ีมกั เปน็ ผรู้ กั ธรรมชาติ ชอบและสนใจสัตว์ เปน็ ตน้

ประเดน็ สำคญั // พหปุ ัญญา 8 ด้าน ประกอบด้วย ภาษา คณิต มิติสมั พันธ์ ดนตรี การ
เคลื่อนไหว มนุษย์สัมพนั ธ์ เขา้ ใจตนเอง เขา้ ใจธรรมชาติ

การสอนแบบ CIPPA Model

คดิ ค้นโดย รศ.ดร.ทิศนา แขมณี เป็นรูปแบบการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนทมี่ ุง่ เนน้ ให้
นกั เรียนค้นควา้ รวบรวมขอ้ มูลดว้ ยตนเอง การมีส่วนร่วมในการสร้างความรู้ การมปี ฏสิ ัมพันธก์ ับผ้อู ื่น
และการแลกเปลีย่ นความรู้ การได้เคลอื่ นไหวรา่ งกาย การเรียนร้กู ระบวนการตา่ ง ๆ และการนำไป
ประยกุ ตใ์ ช้

C : Construct การสรา้ งความรู้ ที่เปิดโอกาสใหน้ ักเรยี นสร้างความรดู้ ้วยตนเอง

I : Interaction การปฏิสมั พนั ธก์ ับบคุ คลและสิ่งแวดล้อมรอบตวั

P : Physical Participation การมีสว่ นร่วมทางกาย เคลอ่ื นไหวรา่ งกาย

P : Process Learning การเรยี นรู้กระบวนการตา่ ง ๆ ทเ่ี ป็นทักษะท่ีจำเปน็ ต่อการดำรงชวี ิต

A : Application การนำความร้ทู ี่ไดเ้ รียนรู้ ไปประยุกตใ์ ชใ้ นสถานการณต์ ่อไป

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é èÇÑ ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 90

การสอนแบบ 4 MAT (สมองสองซีก)

คือกระบวนการเรยี นการสอนท่ีมีความสัมพนั ธ์สอดคล้องกับระบบการทำงานของสมองท้งั สอง
ซกี แนวคิดมาจาก บอร์นิส แมคคาร์ธี (Bernice McCarthy) เนน้ ความแตกต่างระหว่างบุคคลโดยใช้
สมองทง้ั 2 ซกี อย่างสมดุลกนั สมองซีกซา้ ย วิเคราะห์ คํานวณ เหตผุ ล วิทยาศาสตร์ สมองซกี ขวา
จนิ ตนาการ ความคดิ สร้างสรรค์ อารมณ์

ผเู้ รียน 4 แบบ บอร์นสิ แมคคารธ์ ี

1. ถนดั ใช้จินตนาการ ถามวา่ Why (ทำไมตอ้ งเรยี นเรื่องน้)ี

2. ถนดั การคดิ วเิ คราะห์ ถามวา่ What (เราจะเรียนอะไรกนั )

3. ถนัดการใช้สามัญสำนกึ ถามว่า How (เราจะเรยี นเร่อื งน้ีอยา่ งไร)

4. สนใจคน้ พบความรดู้ ว้ ยตวั เอง ถามวา่ If (หาคำตอบเอง)

ประเด็นสำคัญ // สมองซีกซ้าย คำนวณ // สมองซีกขวา ศลิ ปะ

การเรยี นรแู้ บบรว่ มมือ (Cooperative Learning)

1. การเรยี นรู้ต้องอาศยั หลักการพง่ึ พากัน (Positive interdependence)
2. การเรยี นรทู้ ่ดี ีต้องมีการปฏสิ ัมพันธก์ นั (Face to face interaction)
3. การเรียนรูร้ ่วมกันต้องอาศยั ทักษะทางสงั คม (Social skills)
4. การเรียนรู้ร่วมกนั ควรมกี ารวิเคราะห์กระบวนการกลุ่ม (Group processing)
5. การเรียนรู้รว่ มกันจะตอ้ งมผี ลงานหรอื ผลสมั ฤทธ์ิ ท้งั รายบุคคลและรายกลุม่ (Individual
accountability)

วิธกี ารสอนแบบสาธิต

วิธีการสอนแบบสาธิต เป็นวิธกี ารสอนทค่ี รมู ีหนา้ ท่ีในการวางแผนการเรียนการสอนเปน็ ส่วน
ใหญ่ โดยมกี ารแสดงหรือทำใหด้ ูเปน็ ตัวอยา่ งเชน่ การทดลองเหมาะสำหรับกล่มุ วชิ าวทิ ยาศาสตร์

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÇÑè ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 91

วธิ ีการสอนแบบเรียนปนเลน่ (Play way method)

- เหมาะสำหรับเดก็ เล็ก อนุบาล ประถม เปดิ โอกาสให้ผเู้ รียนเล่นอย่างสนุกสนาน
- มีจุดมุง่ หมายให้เด็กเลน่ ในส่ิงทเี่ ปน็ คณุ คา่ ทางการศกึ ษาภายใต้การควบคมุ ของครู
- ครูจดั เตรียมอปุ กรณ์ในการเล่นของเด็ก

การสอนโดยการสร้างสถานการณจ์ ำลอง (Simulation Gaming)

การสอนโดยการสรา้ งสถานการณจ์ ำลอง (Simulation Gaming) เป็นการสอนท่ผี ู้สอนนำเอา
สถานการณจ์ ริงมาจำลองไวใ้ นบทเรียนโดยพยายามใหม้ สี ภาพท่ีเหมอื นจรงิ มากท่ีสดุ

การสอนแบบโครงงาน (Project Design)

- เปน็ รปู แบบการเรยี นการสอนทม่ี ุ่งส่งเสรมิ ให้ผเู้ รียนได้ค้นหาความสามารถ ความถนัด และ
ความสนใจของตนเองในด้านตา่ ง ๆ

- มาจากแนวคดิ พื้นฐานของการเรียนรูโ้ ดยยดึ ผเู้ รียนเปน็ ศนู ย์กลาง (Child Center) และการ
เรียนรู้ตามสภาพจริง

การเรียนรทู้ ่ีใช้ปัญหาเปน็ ฐาน (Problem Based Learning) PBL

เป็นรูปแบบการเรียนการสอนทม่ี ผี เู้ รยี นเป็นศนู ย์กลางโดยใชส้ ถานการณ์ปญั หาเป็นตัวกระตุ้น
ใหผ้ ู้เรยี นแสวงหาความรู้เพอื่ นำมาแก้ปญั หาน้นั

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÇÔ à¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é èÇÑ ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 92

การจัดการเรียนรูท้ ่สี อดคล้องกบั พัฒนาการทางสมอง (Brain Based Learning)
BBL

- เป็นการจัดการเรียนร้ทู ี่สอดคลอ้ งกบั พัฒนาการของสมองในแตล่ ะชว่ งวยั
- เป็นการนำองคค์ วามรเู้ รือ่ งสมองมาใช้เป็นฐานในการออกแบบกระบวนการเรียนรู้

การสอนแบบอุปมานหรอื อุปนัย (Inductive Method)BBL
เปน็ การสอนจากสว่ นยอ่ ยไปหาส่วนรวม หรือ จากตัวอย่างแลว้ จงึ สรุปเป็นกฎหรือหลักการ

การสอนแบบอนมุ านหรือ นิรนัย (Deductive Method)

เป็นการสอนจากสว่ นรวมไปหาสว่ นย่อย เป็นการสอนให้เด็กเรยี นร้กู ฎหรอื หลกั ความจรงิ แลว้
จงึ คน้ คว้าหาปลกี ยอ่ ย

การสอนแบบอริยสัจ 4 (Buddhist’s Method)

แนวคิด รศ.ดร.สาโรช บัวศรี ซง่ึ สามารถเทียบกับหลักวทิ ยาศาสตรไ์ ด้ดงั น้ี
1. ทุกข์ ตรงกับ ขน้ั กำหนดปัญหา
2. สมุทัย ตรงกับ ข้ันตง้ั สมมตฐิ าน
3. นโิ รธ ตรงกับ ขนั้ ทดลองและเกบ็ ข้อมูล
4. มรรค ตรงกับ ขนั้ วเิ คราะหข์ อ้ มูลและสรุปผล

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÇèÑ ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 93

การสอนโดยการใช้หมวก 6 ใบ (Six thinking hats)

(Six thinking hats) คอื เทคนิคการคิดอย่างมรี ะบบ มีการจำแนกความคดิ ออกเปน็ ด้านๆ
และคิดอย่างมคี ณุ ภาพ เพ่อื ช่วยจดั ระเบียบการคดิ ทำใหก้ ารคดิ มีประสทิ ธภิ าพ เป็นแนวคดิ จาก ดร.เอ็ด
เวิรด์ เดอ โบโน (Edward de bono)

1. หมวกสีขาว คอื การกระตนุ้ ให้คดิ ในการตั้งคำถามเกยี่ วกบั ข้อเท็จจรงิ

2. หมวกสีแดง คอื การกระต้นุ ให้คดิ ในการตัง้ คำถามเกี่ยวกับอารมณ์ความร้สู ึก
3. หมวกสีเขยี ว คือ การกระต้นุ ใหค้ ดิ ในการต้ังคำถามเกีย่ วกับข้อเสนอแนะในการแก้ไขปญั หา

4. หมวกสีเหลือง คือ การกระต้นุ ให้คดิ ในการตั้งคำถามเก่ยี วกับจุดเด่นจุดเนน้ หรอื จุดท่สี ำคัญ

5. หมวกสีดำ คือ การกระตุน้ ใหค้ ดิ ในการตง้ั คำถามเก่ยี วกับการระบุปัญหาการหาสาเหตุ
ปญั หา

6. หมวกสีฟา้ คือ การสรุปความคดิ ท้ังหมดใหม้ องเหน็ ภาพรวมของการคิด

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÑèÇä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 94

การพัฒนาผู้เรียน

จดุ เนน้ การพฒั นาผเู้ รยี น คณุ ภาพในตัวผ้เู รยี นท่ีมคี วามครอบคลุมในด้านความสามารถและ
ทักษะตลอดจนคณุ ลักษณะทจี่ ะชว่ ยเสรมิ ใหผ้ ู้เรยี นมคี ุณภาพบรรลเุ ป้าหมายของหลักสตู รซงึ่ กำหนดดงั นี้

1. ความสามารถและทกั ษะของผูเ้ รยี นแตล่ ะช่วงชน้ั

1.1 ระดบั ประถมศกึ ษา

ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 1-3
ควรมีความสามารถและทักษะ อ่านออก เขียนได้ คิดเลขเป็น มที ักษะการคิดขน้ั พ้นื ฐาน
ทกั ษะชีวติ และทกั ษะการส่อื สารอย่างสรา้ งสรรค์ตามวยั

ช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 4-6
ควรมคี วามสามารถและทกั ษะ อ่านคลอ่ ง เขยี นคล่อง คิดเลขคลอ่ ง มีทักษะการคดิ ขั้นพืน้ ฐาน
ทกั ษะชวี ติ และทักษะการสอื่ สารอยา่ งสรา้ งสรรค์ตามชว่ งวยั

1.2 ระดบั มัธยมศกึ ษา

ชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 1-3
ควรมคี วามสามารถและทักษะในการแสวงหาความรู้ดว้ ยตนเอง ความสามารถในการใช้
เทคโนโลยเี พอ่ื การเรียนรู้ มีทักษะการคดิ ขั้นสงู ทักษะชีวติ และทักษะการส่อื สารอย่างสรา้ งสรรคต์ าม
ช่วงวยั

ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 4-6
ควรมีความสามารถและทักษะในการ แสวงหาความร้เู พอ่ื การแก้ปัญหา ความสามารถในการใช้
เทคโนโลยีเพอื่ การเรยี นรู้ ความสามารถในการใชภ้ าษาต่างประเทศท่มี ีทกั ษะการคดิ ขน้ั สูง ทกั ษะชีวิต
และทกั ษะภาษาองั กฤษ การส่อื สารอยา่ งสร้างสรรค์ตาม ชว่ งวัย

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÑÇè ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 95

ประเดน็ สำคญั

ป.1-3 อา่ นออก + เขียนได้ + คดิ เลขเป็น
ป.4-6 อ่านคล่อง + เขียนคลอ่ ง + คิดเลขคลอ่ ง
ม.1-3 แสวงหาความรู้ดว้ ยตวั เอง + ใชเ้ ทคโนโลยีเพ่อื การเรยี นรู้
ม.4-6 แสวงหาความร้เู พ่อื แก้ปัญหา + ใชภ้ าษาต่างประเทศ

2. คณุ ลักษณะท่ีตอ้ งเนน้ เปน็ การเฉพาะ ในแต่ละช่วงวัยและการพัฒนาตอ่ เนอ่ื งในทุก
ชว่ งชั้น

ชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 1-3 เน้น ใฝด่ ี

ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4-6 เน้น ใฝเ่ รยี นรู้
ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 1-3 เน้น อยู่อย่างพอเพียง

ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 4-6 เน้น มคี วามมุง่ ม่นั ในการทำงาน

ประเดน็ สำคัญ ใฝด่ ี
ใฝ่เรยี นรู้
ป. 1-3 อยอู่ ย่างพอเพียง
ป. 4-6 ม่งุ มัน่ ในการทำงาน
ม. 1-3
ม. 4-6

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢Áé


Click to View FlipBook Version