Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·èÇÑ ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 196
202. "เทคนิคการปกครองชัน้ เรยี น" เปน็ การจัดบรรยากาศในช้นั เรยี นรปู แบบใด
ก. บรรยากาศทางสงั คม ข. บรรยากาศดา้ นจิตวิทยา
ค. บรรยากาศทางกายภาพ ง. บรรยากาศดา้ นเทคนคิ การสอน
203. "การจดั โต๊ะเกา้ อี้นักเรียนใหเ้ ปน็ ระเบยี บเรียบรอ้ ย" เปน็ การจัดบรรยากาศในชนั้ เรียนรปู แบบใด
ก. บรรยากาศทางสังคม ข. บรรยากาศดา้ นจิตวิทยา
ค. บรรยากาศทางกายภาพ ง. บรรยากาศดา้ นเทคนคิ การสอน
204. บรรยากาศในชน้ั เรียนแบบใด ทีส่ ง่ ผลใหน้ กั เรียนรู้สกึ เครยี ด อึดอดั ขาดความมัน่ ใจและความเป็น
ผนู้ ำในชั้นเรยี น
ก. แบบประชาธิปไตย ข. แบบแบบปลอ่ ยปะละเลย
ค. แบบเผดจ็ การ ง. ถกู ทุกข้อ
205. บรรยากาศในชัน้ เรียนแบบใด ท่ีสง่ ผลให้นักเรยี นรู้สกึ สบั สนวุน่ วาย ยอ่ ท้อ ขาดระเบียบวินยั และ
ครไู มส่ ามารถควบคมุ นกั เรยี นได้
ก. แบบประชาธปิ ไตย ข. แบบปลอ่ ยปะละเลย
ค. แบบเผด็จการ ง. ถูกทุกขอ้
206. บรรยากาศในชั้นเรยี นแบบใด ท่ีสง่ ผลให้นักเรยี นเกิดการเรียนรทู้ ี่ดี
ก. แบบประชาธปิ ไตย ข. แบบปลอ่ ยปะละเลย
ค. แบบเผด็จการ ง. ถูกทุกข้อ
207. ข้อใดคือ เทคนิคการปกครองชน้ั เรยี นทีค่ รคู วรใชใ้ นการจดั การเรียนการสอน
ก. หลักประชาธิปไตย ข. หลกั ความยุตธิ รรม
ค. หลกั พรหมวิหาร ง. ถกู ทุกขอ้
208. ครคู นใดใช้คำพูดในการปกครองชัน้ เรียนไดเ้ หมาะสมทีส่ ดุ
ก. “พวกเธอเงียบเดี๋ยวนนี้ ะ” ข. “ไมพ่ ูดมนั จะตายรไึ ง”
ค. “ถ้าเธอไม่เงยี บครจู ะแจง้ ผอ.” ง. “ถา้ มคี นเสยี งดังรบกวนเธอบา้ งจะรู้สึกอย่างไร”
ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÇèÑ ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 197
209. ข้อใดไมใ่ ชก่ ารจัดสภาพหอ้ งเรยี นทด่ี ตี ามคุณลกั ษณะ
ก. มอี ากาศถ่ายเทดี ข. มีแสงพอเหมาะ
ค. มีที่ตงั้ ทีม่ บี ริเวณกว้าง ง. ปราศจากสงิ่ รบกวนตา่ ง ๆ
210. “ครเู ปน็ ผูช้ นี้ ำ โดยจัดโตะ๊ ครูอยู่หนา้ ช้นั เรยี นและมโี ต๊ะนักเรยี นวางเรียงแถวกนั แลว้ หนั หน้าเข้าหา
ครู” จากพฤติกรรมดังกล่าวเปน็ การจดั ชน้ั เรียนรูปแบบใด
ก. ชน้ั เรยี นแบบธรรมดา ข. ช้ันเรียนแบบพเิ ศษ
ค. ชั้นเรียนแบบปกติ ง. ชัน้ เรยี นแบบนวัตกรรม
211. “ครูใช้เทคนคิ การสอนแบบใหม่ และจัดโต๊ะเป็นรปู ตัวยู วงกลม และเป็นกลุ่มตามกจิ กรรมตา่ งๆ
ในชน้ั เรยี น” จากพฤตกิ รรมดงั กล่าวเป็นการจัดชัน้ เรยี นรูปแบบใด
ก. ชน้ั เรยี นแบบธรรมดา ข. ชั้นเรยี นแบบพิเศษ
ค. ชนั้ เรยี นแบบปกติ ง. ช้นั เรียนแบบนวตั กรรม
212. สง่ิ ใดทค่ี รูตอ้ งคาํ ถงึ ในการจัดวางของบนโต๊ะ
ก. มีผลงานนักเรียน ข. สวยหรูมีระดบั
ค. มแี จกันประดบั ตกแต่ง ง. มคี วามเปน็ ระเบียบเรยี บร้อย
213. การจดั โต๊ะครูในรปู แบบใด ที่เป็นการสง่ เสรมิ บรรยากาศการเรยี นรู้ "แบบเน้นผู้เรียน"
ก. กลางห้องเรยี น ข. นอกหอ้ งเรียน
ค. หนา้ ห้องเรียน ง. หลังห้องเรียน
214. การจัดโต๊ะครใู นรปู แบบใด ท่ีเป็นการสง่ เสรมิ บรรยากาศการเรยี นรู้ "แบบควบคมุ นักเรียน"
ก. กลางหอ้ งเรยี น ข. นอกหอ้ งเรียน
ค. หนา้ ห้องเรยี น ง. หลงั หอ้ งเรียน
215. การจัดโตะ๊ ครูในรูปแบบใด ท่ีเปน็ การส่งเสริมบรรยากาศการเรยี นรู้ "แบบครมู ีบทบาทเป็นผอู้ าํ นวย
ความสะดวก
ก. กลางหอ้ งเรยี น ข. นอกห้องเรียน
ค. หน้าหอ้ งเรยี น ง. หลังห้องเรยี น
ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÇÔ à¢éÁ
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·èÇÑ ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 198
216. การจัดโต๊ะครใู นรปู แบบใด ทเี่ ปน็ การสง่ เสริมบรรยากาศการเรยี นรู้ "แบบสว่ นตัว"
ก. กลางห้องเรียน ข. นอกหอ้ งเรียน
ค. หน้าหอ้ งเรียน ง. หลังห้องเรยี น
217. การจัดลักษณะช้นั เรยี นระดบั ใด ท่ตี อ้ งมีมุมประสบการณ์เพ่ือส่งเสริมพัฒนาการของนักเรียน
ทุกด้าน
ก. หอ้ งเรยี นอนุบาล ข. หอ้ งเรยี นระดบั ประถมศึกษา
ค. หอ้ งเรยี นระดับมธั ยมศกึ ษา ง. ถกู ทกุ ข้อ
218. นักเรยี นแถวหน้าควรนัง่ หา่ งจากกระดานดําไม่นอ้ ยกว่าก่ีเมตร
ก. 3 เมตร ข. 4 เมตร
ค. 5 เมตร ง. แล้วแต่ความสะดวกของครผู ้สู อน
219. การเรยี นแบบคละชั้น ควรคาํ นงึ ถงึ ส่ิงใดมากทส่ี ดุ
ก. ระดับการศึกษา
ข. อายุ
ค. จํานวนนักเรียน
ง. ความสามารถและความแตกตา่ งระหว่างบุคคล
220. การจดั ป้ายนิเทศต้องทําสิง่ ใดก่อนเป็นลําดับแรก
ก. รปู แบบการจัด ข. กาํ หนดเนอ้ื หาท่จี ะจัด
ค. ความสวยงาม ง. ความหรูหรามีระดับ
221. ข้อใดเปน็ การจดั ทนี่ ั่งสาํ หรบั ผูเ้ รยี นทม่ี ีความตอ้ งการพิเศษ
ก. ควรจัดท่ีนงั่ อยู่ใกล้ครู ข. จัดตามรูปแบบปกติ
ค. ใหแ้ ยกไปเรียนคนเดียว ง. น่ังรวมกับเพ่ือนทมี่ ผี ลการเรยี นดี
222. การสรา้ งบรรยากาศทางดา้ นจิตวิทยา ตรงกบั หลักการชน้ั เรยี นตามขอ้ ใด
ก. หลักประชาธิปไตย ข. หลักความยุติธรรม
ค. หลักพรหมวหิ าร 4 ง. หลักความใกล้ชดิ
ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÇÔ à¢éÁ
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÑÇè ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 199
223. ครูวนั ชยั แสดงความเปน็ มติ ร นักเรียนจะลักษณะอยา่ งไร
ก. นักเรียนจะเคารพ ข. นกั เรียนจะอบอุ่นใจ
ค. นักเรยี นจะแจ่มใส ง. นกั เรยี นจะศรัทธา
224. ครูวนั ทาเป็นครูทมี่ อี ารมณ์ขนั นักเรยี นจะมลี ักษณะอยา่ งไร
ก. นักเรียนมีจิตใจอ่อนโยน ข. นักเรียนสนุก
ค. นกั เรยี นจะแจ่มใส ง. นกั เรียนจะศรทั ธา
225. ครสู มหวังเป็นครทู ีม่ คี วามยตุ ิธรรม นักเรยี นจะมีลักษณะอย่างไร
ก. นักเรียนมีจติ ใจออ่ นโยน ข. นักเรยี นสนุก
ค. นกั เรยี นจะแจ่มใส ง. นกั เรยี นจะศรทั ธา
226. ครูตมู ตามแต่งกายไม่เรยี บร้อย นักเรียนจะมีลกั ษณะอย่างไร
ก. นักเรยี นมเี นือ้ ยชา ข. นกั เรยี นจะไม่เชือ่ ฟัง
ค. นกั เรียนจะขาดความเคารพ ง. นักเรยี นจะไมศ่ รทั ธา
227. เด็กหญิงดวงดาวรสู้ กึ ทอ้ แท้ สอดคล้องกับครทู ีม่ ลี กั ษณะในข้อใด
ก. ครูทอ้ ถอย ข. ครูเข้มงวด
ค. ครฉู ุนเฉยี ว ง. ครเู ฉยเมย
228. ครนู ิก พดู กลา่ วถงึ สงิ่ ท่ีประสบความสาํ เร็จมากกว่าความลม้ เหลว ตรงกับการจดั บรรยากาศ การ
เรยี นรใู้ นข้อใด
ก. บรรยากาศทา้ ทาย ข. บรรยากาศท่ีมอี สิ ระ
ค. บรรยากาศแห่งการควบคุม ง. บรรยากาศแหง่ ความสาํ เรจ็
229. ครหู มิว สร้างบรรยากาศโดยให้ผู้เรียนได้คดิ ไดต้ ัดสินใจเลอื กในสงิ่ ท่มี คี วามหมาย โดยปราศจาก
ความ กลัว และไมร่ สู้ กึ ตึงเครียด ตรงกบั การจัดบรรยากาศการเรียนรใู้ นข้อใด
ก. บรรยากาศทา้ ทาย ข. บรรยากาศทม่ี อี ิสระ
ค. บรรยากาศแหง่ การควบคมุ ง. บรรยากาศแห่งความสาํ เร็จ
ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÑèÇä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 200
230. ครสู ุดสวย ทําให้นกั เรียนเกิดความอบอนุ่ สบายใจ รูส้ ึกรกั ครู รักโรงเรียนและรกั การมาเรยี น ตรง
กับ การจดั บรรยากาศการเรยี นร้ใู นข้อใด
ก. บรรยากาศทา้ ทาย ข. บรรยากาศทม่ี อี ิสระ
ค. บรรยากาศแห่งการควบคมุ ง. บรรยากาศท่มี คี วามอบอ่นุ
231. ข้อใดเป็นการช่วยแก้ปญั หาครไู ม่ครบช้ัน และเพิ่มโอกาสทางการศึกษาใหก้ ับนักเรียนที่อยู่ห่างไกล
ก. DLTV ข. Microsoft Teams
ค. ZOOM ง. Facebook Live
232. ถ้าตอ้ งการสอนออนไลน์ไมเ่ กิน 40 นาที และไม่เกิน 100 คน ควรใช้สื่อใด
ก. DLTV ข. Microsoft Teams
ค. ZOOM ง. Youtube
233. ข้อใดเป็นประเภทสื่ออปุ กรณ์ ข. เคร่อื งขยายเสียง
ก. หนงั สือ ง. ตาํ รา
ค. สารเคมี
234. ขอ้ ใดเปน็ ประเภทสอ่ื วสั ดุ ข. วิทยุ
ก. หนังสอื ง. หนุ่ จาํ ลอง
ค. เคร่ืองขยายเสยี ง
235. ข้อใดเป็นสอ่ื ประเภทเทคนิควิธีการ ข. วิทยุ
ก. สถานการณจ์ าํ ลอง ง. แผน่ ใส
ค. สารเคมี
236. กรวยประสบการณ์ เปน็ แนวคดิ ของใคร ข. จอรน์ ดวิ อ้ี
ก. เอด การ์ เดล ง. มาสโลว์
ค. บรูเนอร์
ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÇèÑ ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 201
237. หลกั การสําคัญในการเลือกส่ือการสอน คอื ข้อใด
ก. ตรงตามความเปน็ จริง ข. ตรงกบั จุดประสงค์
ค. สอดคล้องกับความตอ้ งการของครู ง. ราคาประหยัดและมีความทนทาน
238. ขอ้ ใดเปน็ ความหมายของวจิ ยั
ก. การแสวงหาความรดู้ ้วยวิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร์
ข. กระบวนการเรยี นร้ทู ่ตี อ้ งใช้เหตแุ ละผล
ค. การพฒั นาองคค์ วามรู้
ง. กระบวนการเรียนทางธรรมชาติ
239. การคาดคะเนคาํ ตอบทางวิจยั ตรงกับข้อใด
ก. ความมุ่งหมายการวจิ ัย ข. ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล
ค. สมมตุ ฐิ านการวิจยั ง. การอภปิ รายผลขอ้ มูลวจิ ยั
240. การวจิ ยั ในชน้ั เรียนจดั เปน็ การวิจัยรปู แบบใด
ก. การวจิ ยั เชิงปฏบิ ตั ิการ ข. การวจิ ัยเชิงปริมาณ
ค. การวิจัยเพื่อสรา้ งทฤษฎี ง. การวิจัยเพื่อพฒั นาเครื่องมือ
241. “การพัฒนาพฤติกรรมการอ่านวชิ าภาษาไทยของนกั เรยี นชัน้ ม.4” ข้อใดคอื ตวั แปรตาม
ก. พฤตกิ รรมการอ่าน ข. เพศ,อายุ
ค. วิธีการพัฒนา ง. ระดบั ชัน้
242. "การพฒั นาพฤตกิ รรมการอา่ นวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรยี นชน้ั ป.5” ขอ้ ใดคอื ตัวแปรต้น
ก. พฤติกรรมการอ่าน ข. เพศ, อายุ
ค. วิธีการพฒั นา ง. ระดับช้นั
243. ข้อใดไมใ่ ช่วิธีการกาํ หนดขนาดกลมุ่ ตวั อยา่ ง
ก. ใช้ตารางสําเรจ็ รปู ข. ใชเ้ กณฑร์ ้อยละ
ค. ใชก้ ารคาดเดาคําตอบ ง. ใชส้ ูตรคํานวณ
ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢éÁ
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÑèÇä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 202
244. “เป็นวิจยั ที่มกี ารควบคมุ ตัวแปรตา่ ง ๆ ใหเ้ ป็นไปตามวัตถุประสงค์ทีก่ ําหนดไว้” สอดคล้องกบั ข้อ
ใด
ก. การวิจยั ปฏิบตั ิการ ข. การวจิ ัยเชงิ บรรยายหรอื พรรณนา
ค. การวจิ ัยเชิงทดลอง ง. การวจิ ยั เชิงปรมิ าณ
245. "วิจยั ประเภทน้ีมักจะทาํ การสํารวจหรือหาความสมั พันธ์ตา่ งๆ เก่ยี วกับความเช่อื ความคิดเหน็
เจตคติ" จากขอ้ ความข้างตน้ เปน็ วิจัยประเภทใด
ก. การวิจยั เชิงประวตั ิศาสตร์ ข. การวจิ ัยเชิงบรรยายหรอื พรรณนา
ค. การวิจยั เชิงทดลอง ง. การวจิ ัยเชิงคณุ ภาพ
246. "เป็นวิจัยทีเ่ นน้ การศกึ ษาค้นคว้าเหตุการณต์ า่ ง ๆ ที่เกิดขึน้ ในอดตี " จากขอ้ ความขา้ งต้น
เปน็ วจิ ัยประเภทใด
ก. การวจิ ยั เชิงประวตั ิศาสตร์ ข. การวจิ ัยเชิงบรรยายหรอื พรรณนา
ค. การวิจยั เชิงทดลอง ง. การวจิ ัยเชงิ คณุ ภาพ
247. การวจิ ัยเร่อื ง “เจตคตขิ องครใู นโรงเรยี นทม่ี ีต่อผู้บริหารการศึกษา” สอดคล้องกับข้อใด
ก. การวจิ ัยเชงิ ประวตั ิศาสตร์ ข. การวิจัยเชงิ บรรยาย
ค. การวจิ ยั เชงิ ทดลอง ง. การวจิ ัยเชิงคุณภาพ
248. การวจิ ยั เรือ่ ง “ระบบการศกึ ษาต้ังแต่สมัยรัชกาลที่ 1 จนถงึ ปัจจุบัน” สอดคลอ้ งกบั ขอ้ ใด
ก. การวจิ ัยเชงิ ประวัตศิ าสตร์ ข. การวจิ ัยเชิงบรรยายหรอื พรรณนา
ค. การวิจัยเชิงทดลอง ง. การวจิ ัยเชิงคณุ ภาพ
249. การทดสอบ Pre-test มีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร
ก. การทดสอบวัดความร้ขู องผูเ้ รยี น ข. การวดั ผลผู้เรยี นก่อนเรยี น
ค. การทดสอบเพอ่ื ให้ทราบขอ้ มลู เบอ้ื งต้น ง. ถกู ทกุ ข้อ
250. ครูนกิ ต้องการดูพฤติกรรมเด็กนกั เรียนทีไ่ ม่ต้งั ใจเรยี น ตอ้ งใชว้ ิธใี ดจงึ เหมาะสมที่สดุ
ก. แบบสังเกต ข. แบบสมั ภาษณ์
ค. แบบสาํ รวจรายการ ง. แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÇÔ à¢éÁ
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÇèÑ ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 203
251. KR-20 , KR21 เกย่ี วข้องกับขอ้ ใด ข. ความตรง
ก. ความเชอ่ื มนั่ ง. อาํ นาจจําแนก
ค. ความยากง่าย
252. สามารถแยกเดก็ เกง่ กับเดก็ ออ่ นออกจากกันได้ ตรงกบั ขอ้ ใด
ก. ความเชอ่ื มน่ั ข. ความตรง
ค. ความยากงา่ ย ง. อํานาจจําแนก
253. มคี วามชัดเจนในความหมายของคาํ ถาม ตรงกับข้อใด
ก. ความเชอ่ื มน่ั ข. ความตรง
ค. ความปรนัย ง. อํานาจจําแนก
254. วัดในสิง่ ทตี่ อ้ งการจะวดั ตรงกบั ขอ้ ใด ข. ความเท่ยี งตรง
ง. อาํ นาจจาํ แนก
ก. ความเช่อื มน่ั
ค. ความยากง่าย
255. สอบก่ีครัง้ กไ็ ดค้ ะแนนเทา่ เดมิ ตรงกบั ข้อใด ข. ความเที่ยงตรง
ง. อํานาจจาํ แนก
ก. ความเช่ือมน่ั
ค. ความยากงา่ ย ข. ความตรง
ง. การหาประสทิ ธภิ าพ
256. E1, E2 ตรงกับขอ้ ใด
ก. ความเชอ่ื มั่น
ค. การหาคา่ สัมประสทิ ธิ
257. ประหยัด ใช้ได้จรงิ ไมส่ ิ้นเปลืองเวลาและค่าใชจ้ า่ ย ตรงกับข้อใด
ก. ความเชอ่ื มน่ั ข. ความปรนยั
ค. ประสิทธิภาพ ง. อํานาจจาํ แนก
258. การวจิ ยั ตอ้ งดําเนินการตามขน้ั ตอนใดเปน็ อนั ดับแรก
ก. การออกแบบการวจิ ัย ข. การกาํ หนดปญั หาวิจัย
ค. การเกบ็ รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ง. ศึกษาเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวขอ้ ง
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é èÇÑ ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 204
259. คา่ p ท่ีเหมาะสมมคี ่าเท่าใด ข. 0-1.0
ก. 0.2-0.8 ง. 0.5-1.0
ค. 0.2-1
260. คา่ r ทเี่ หมาะสมมีคา่ เท่าใด ข. 0-1.0
ก. 0.2-0.8 ง. 0.5-1.0
ค. 0.2-1
261. คา่ ดัชนคี วามสอดคล้องท่ียอมรบั ได้มากท่ีสุด คือ
ก. 1 ข. 0.5
ค. 0.5-1 ง. ถูกทกุ ขอ้
262. สมมตฐิ านทางการวจิ ัย คืออะไร ข. การคาดคะเนคําถาม
ง. การคาดคะเนตวั แปรแทรกซอ้ น
ก. การคาดคะเนคําตอบ
ค. การคาดคะเนปัญหาวจิ ัย
263. สถติ ิขอ้ ใดสามารถบ่งบอกว่าข้อมลู แตล่ ะตัวห่างจากค่าเฉล่ีย
ก. มัธยฐาน ข. ฐานนิยม
ค. สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน ง. คา่ เฉล่ีย
264. วจิ ัยประเภทใดท่ีหาความสัมพันธเ์ ชงิ เหตผุ ล ของปรากฏการณต์ า่ งๆ
ก. วิจัยเชงิ พรรณนา ข. วิจยั เชิงบรรยาย
ค. วิจัยเชงิ ทดลอง ง. วจิ ัยประยุกต์
265. ค่าเฉล่ยี ของนักเรยี นท่ชี อบวิชาคณิตศาสตร์มีค่าแตกต่างกบั นักเรยี นทไ่ี ม่ชอบวิชาคณติ ศาสตร์ เปน็
การตั้งสมมตุ ิฐานในรปู แบบใด
ก. แบบมีทิศทาง ข. แบบไม่มที ิศทาง
ค. แบบเป็นกลาง ง. แบบไมเ่ ปน็ กลาง
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÑÇè ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 205
266. คา่ เฉลย่ี ของนักเรยี นท่ีชอบวชิ าศลิ ปะมีค่าสงู กว่านกั เรียนท่ีไม่ชอบวิชาศลิ ปะ
เปน็ การตัง้ สมมตุ ิฐานในรูปแบบใด
ก. แบบมีทิศทาง ข. แบบไมม่ ที ศิ ทาง
ค. แบบเป็นกลาง ง. แบบไม่เป็นกลาง
267. คา่ ความแตกตา่ งของข้อมูล max และ min ตรงกับสถิตขิ อ้ ใด
ก. ฐานนยิ ม ข. ค่าเฉลย่ี
ค. พสิ ยั ง. สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน
268. เป็นเง่อื นไขที่ตอ้ งการใหผ้ ู้อา่ นยอมรบั ล่วงหน้าโดยไม่ตอ้ งพสิ จู น์ สอดคล้องกบั ขอ้ ใด
ก. ขอบเขตการวจิ ยั ข. ข้อตกลงเบ้ืองตน้
ค. สมมุตฐิ านการวิจยั ง. กลมุ่ ตัวอยา่ ง
269. ขอ้ ใดไมใ่ ชก่ ารวดั แบบแนวโน้มเข้าสสู่ ว่ นกลาง
ก. ค่าเฉลีย่ ข. มัธยฐาน
ค. ฐานนิยม ง. ความแปรปรวน
270. ขอ้ ใดไม่ใชก่ ารวัดแบบการกระจายของข้อมูล
ก. พิสัย ข. ค่าเฉล่ยี
ค. สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน ง. ส่วนเบยี่ งเบนคา่ เฉลย่ี
271. จงหาค่าเฉล่ียของขอ้ มลู ทีจ่ ะศึกษาตอ่ ไปน้ี 5, 2, 6, 8, 1, 8
ก. 5 ข. 10
ค. 15 ง. 20
272. จงหาคา่ มธั ยฐานของขอ้ มลู ทจี่ ะศึกษาตอ่ ไปน้ี 1, 2, 6, 5, 3, 4, 7
ก. 2 ข. 4
ค. 6 ง. 8
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢éÁ
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÑÇè ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 206
273. จงหาคา่ ฐานนยิ มของข้อมูลท่ีจะศึกษาต่อไปน้ี 1, 2, 2, 3, 3, 1, 1, 4
ก. 4 ข. 3
ค. 2 ง. 1
274. จงหาคา่ พสิ ัยของข้อมลู ที่จะศกึ ษาต่อไปนี้ 1, 3, 5, 7, 9, 11
ก. 9 ข. 11
ค. 10 ง. 5
275. ค่า IOC ทเ่ี หมาะสม คือ
ก. 0.4 ข. 2
ค. 0.8 ขึ้นไป ง. 0.5 ข้ึนไป
276. ขอ้ ใดคอื จดุ มุ่งหมายของการสมุ่ ตวั อยา่ ง
ก. เพื่อความถกู ต้องตามหลักทางวิจัย ข. เพ่อื ได้ตวั แทนทีด่ จี ากประชากร
ค. เพ่อื ใชค้ าํ นาย ง. เพอ่ื ใชอ้ ้างอิงขอ้ มูล
277. เจตคติของครูในโรงเรยี นท่ีมตี ่อผู้บริหาร ควรใชเ้ ครือ่ งมือในข้อใด
ก. แบบสงั เกต ข. แบบสอบถาม
ค. แบบสัมภาษณ์ ง. แบบทดสอบ
278. “พุทธิพิสัย” ควรใช้เครือ่ งมือใดในการวัด ข. แบบสมั ภาษณ์
ก. แบบทดสอบ ง. แบบตรวจสอบรายการ
ค. แบบสังเกต
279. วัตถุประสงคก์ ารวิจยั อยู่ในส่วนใดของวิจยั ข. บทท่ี 2
ก. บทท1ี่ ง. บทท4่ี
ค. บทท3่ี
280. งานวิจยั ที่เกี่ยวข้อง อยูใ่ นส่วนใดของวิจัย ข. บทท2่ี
ก. บทท1ี่ ง. บทท4่ี
ค. บทท3ี่
ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢éÁ
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÑÇè ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 207
281. เครือ่ งมือทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั อยใู่ นสว่ นใดของวจิ ัย
ก. บทท1ี่ ข. บทท่ี 2
ค. บทท่ี 3 ง. บทท4่ี
282. สรปุ อภปิ รายผล ขอ้ เสนอแนะ อยใู่ นส่วนใดของวจิ ยั
ก. บทท1ี่ ข. บทท2่ี
ค. บทท4ี่ ง. บทท5่ี
283. คา่ สถติ ิที่ควรนําเสนอพรอ้ มกับค่าเฉลีย่ ควรเป็นข้อใด
ก. IOC ข. t-test
ค. S.D. ง. C.V.
284. "การระบุใหท้ ราบว่าการวิจัยที่จะศกึ ษากว้างขวางเพียงใดเกีย่ วข้องกับใครเน้ือเรอื่ งท่ี
ตอ้ งการพัฒนาและระยะเวลาทท่ี าํ การวิจัย" ขอ้ ความดังกล่าวคือความหมายของข้อใด
ก. วัตถุประสงค์ของการวจิ ยั ข. ขอบเขตของการวจิ ยั
ค. สมมตฐิ านของการวจิ ัย ง. ประโยชน์ของการทําวิจยั
285. ขอ้ ใดควรใหค้ ํานยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะในการวิจยั ชอ่ื “การพัฒนาบทเรียนวดี ีทศั นเ์ รอ่ื งการเจริญเตบิ โต
ของ ต้นไม้ สาํ หรับนกั เรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6 โรงเรยี นบ้านหนองฮีใหญ่”
ก. บทเรียนวีดที ศั น์ ข. การเจริญเตบิ โตของตน้ ไม้
ค. นักเรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 ง. โรงเรียนบา้ นหนองฮใี หญ่
286. การออกแบบการวิจัย O1 x O2 มีความหมายตรงกบั ข้อใด
ก. ศกึ ษากลุม่ ทดลองกลุม่ เดยี ววัดผลกอ่ นและหลงั การทดลอง
ข. ศกึ ษา 2 กลมุ่ คอื กลมุ่ ทดลองและกลุม่ ควบคุมวดั ผลกอ่ นและหลังการทดลอง
ค. ศึกษา 2 กลุ่มคอื กลมุ่ ทดลองและกลุ่มควบคมุ วัดผลหลังการทดลอง
ง. ศกึ ษากลุม่ ทดลองกลมุ่ เดียววัดผลหลังการทดลอง
287. องคป์ ระกอบหลกั ของการเขียนรายงานการวจิ ยั ตรงกับขอ้ ใดตอ่ ไปนี้
ก. สว่ นนาํ สว่ นเนอ้ื หา สว่ นสรปุ ข. สว่ นนาํ ส่วนเนอื้ หาสว่ นอา้ งอิง
ค. สว่ นนาํ สว่ นขอ้ มูล-สว่ นสรปุ ง. ส่วนนําส่วนทดลอง-สว่ นอภปิ รายผล
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÇÔ à¢éÁ
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÇèÑ ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 208
288. ค่าความตรง คือ ข. ค่า IOC
ก. ค่า SD. ง. คา่ P
ค. ค่า E1 E2
289. การหาความเทยี่ งตรงของแบบสอบถามการวจิ ยั ต้องใช้ผู้เชีย่ วชาญสอบกีค่ น
ก. 1 คน ข. 2 คนขน้ึ ไป
ค. 3 คนขึ้นไป ง. แล้วแตก่ รณี
290. r เปน็ สัญลักษณ์แทนค่าใด ข. คา่ เฉลีย่
ง. ค่าความแปรปรวน
ก. ค่าอาํ นาจจําแนก
ค. คา่ ความยากงา่ ย
291. ความแตกตา่ งของคะแนนสงู -ต่าํ คือ ข. ฐานนยิ ม
ง. พิสัย
ก. ค่าเฉลี่ย
ค. มัธยฐาน
292. การทําวิจัยในชัน้ เรยี น มีประโยชน์อย่างไร ข. ช่วยแกป้ ัญหาในชั้นเรียน
ง. ชว่ ยแกป้ ญั หาพฤตกิ รรมการสอนของครู
ก. ช่วยแก้ปัญหาของครู
ค. ชว่ ยแกป้ ัญหาการจัดการช้นั เรียน
293. ระบบการประกนั คุณภาพมีกร่ี ะบบ
ก. 1 ระบบ ข. 2 ระบบ
ค. 3 ระบบ ง. 4 ระบบ
294. ขอ้ ใดคอื ระบบประกนั คณุ ภาพการศกึ ษา
ก. ประกนั ภายใน ประกันพืน้ ฐาน ข. ประกนั ภายใน ประกนั ภายนอก
ค. ประกันขั้นพนื้ ฐาน ประกนั อดุ มศกึ ษา ง. ประกันในระบบ ประกนั นอกระบบ
295. ข้อใดคือรายงานประจำปีทสี่ ถานศึกษาตอ้ งจดั ทำเสนอตอ่ หนว่ ยงานต้นสงั กดั
ก. ZAR ข. CAR
ค. SRA ง. SAR
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÇÔ à¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é èÇÑ ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 209
296. สถานศึกษาต้องประเมินตนเองอยา่ งไร
ก. ตอ่ เน่ืองเปน็ ประจำทุกปี ข. อย่างนอ้ ย 1 ครงั้ ในทุก 2 ปี
ค. อย่างน้อย 1 ครงั้ ในทกุ 3 ปี ง. อย่างน้อย 1 ครง้ั ในทุก 5 ปี
297. ข้อใดคือหน่วยงานตน้ สงั กัดของโรงเรยี นประถมศกึ ษา
ก. สพป. ข. สพม.
ค. สำนกั งานเขตพ้นื ท่ี ง. สมศ.
298. สมศ. ประเมนิ คณุ ภาพภายนอกสถานศกึ ษาอย่างไร ข. อยา่ งนอ้ ย 1 ครั้งในทุก 2 ปี
ก. ต่อเนือ่ งเป็นประจำทกุ ปี ง. อย่างน้อย 1 ครั้งในทุก 5 ปี
ค. อย่างน้อย 1 คร้ังในทุก 3 ปี
299. กรอบการประเมินคุณภาพภายนอก รอบที่ 4 ยึดหลักใด
ก. เพิ่มเกณฑ์คณุ ภาพ ข. บริบทการศกึ ษาในปัจุบนั
ค. สอดคล้องกบั การประเมินภายใน ง. สอดคล้องกบั การประเมนิ รอบถดั ไป
300. โรงเรยี นสงั กัด สพม. ต้องยดึ มาตรฐานใด
ก. มาตรฐานการศึกษาระดับปฐมวยั
ข. มาตรฐานการศึกษาระดับการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน
ค. มาตรฐานการศึกษาระดบั การศกึ ษาขั้นพ้ืนฐานศูนย์การศกึ ษาพิเศษ
ง. มาตรฐานการศกึ ษาอาชีวะ
ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÑÇè ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 210
เฉลยแนวขอ้ สอบ
1. ข. อู่ฮัน่
2. ข. องค์การอนามยั โลก
3. ง. สสี ้ม หมายถึง โรงเรียนสามารถเปดิ เรียนได้ แต่ต้องดำเนินการปรบั ปรงุ ใหเ้ ป็นไปตามมาตรฐานที่
กำหนด และระมดั ระวงั เป็นพิเศษ
4. ค. On-Live
5. ข. On-Air
6. ง. Online
7. ค. วดั ไข้ ใสห่ นา้ กาก ลา้ งมือ เวน้ ระยะห่าง ทำความสะอาด ลดแออัด
8. ก. ไมเ่ กนิ 7 วัน
9. ค. ไมเ่ กนิ 30 วนั
10. ง. ส่งั ปดิ ได้ตามความเหมาะสม
11. ข. ไมเ่ กิน 15 วัน
12. ง. สั่งปดิ ได้ตามความเหมาะสม
13. ก. บรบิ ท
14. ข. สอนใหผ้ เู้ รียนกล้าแสดงออก
15. ค. มีภมู คิ มุ้ กัน
16. ก. ใชจ้ า่ ยไม่เกินตวั ไม่สุรยุ่ สรุ า่ ย
17. ข. จัดบรรยากาศในการเรยี นรโู้ ดยใช้เศรษฐกจิ พอเพยี ง
18. ข. พฤตกิ รรม
19. ก. เดก็ ชายหวงแม่
20. ข. เด็กหญงิ หวงพ่อ
21. ก. ธอรน์ ไดค์
22. ก. การน่ัง
23. ข. การไหลเวยี นของโลหิต
24. ง. วุ้นด์
25. ค. สกินเนอร์
26. ก. บลมู
27. ข. 3 ประเภท
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢éÁ
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÑèÇä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 211
28. ก. วุฒิภาวะและประสบการณ์ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÇÔ à¢éÁ
29. ค. พนั ธุกรรมและสิ่งแวดล้อม
30. ข. ขัน้ ที่ 2
31. ก. การรจู้ ักนกั เรยี นรายบคุ คล
32. ค. การส่งตอ่
33. ง. ผอู้ ํานวยการโรงเรียน
34. ก. สง่ ต่อครูแนะแนว
35. ง. 90 – 110
36. ก. พฤตกิ รรมนิยม
37. ค. แฟรงค์ พาร์สนั
38. ก. ส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนรจู้ กั รักและเห็นคุณคา่ ในตนเอง
39. ง. ซิกมันด์ ฟรอยด์
40. ก. วนุ้ ด์
41. ข. จติ ใตส้ าํ นกึ
42. ค. สกินเนอร์
43. ค. การลงโทษทางบวก
44. ง. การเสริมแรงทางบวก
45. ข. การวิเคราะห์
46. ค. กฎแห่งการรบั รู้
47. ค. มาสโลว์
48. ข. การหยงั่ เหน็
49. ก. ความหิว
50. ง. ปฏริ ูปนยิ ม
51. ข. ความตอ้ งการใหส้ งิ่ ใดส่งิ หนึง่ สาํ เร็จไปไดด้ ้วยดี
52. ค. คาํ ชมเชย
53. ค. พาฟลอฟ (Pavlov)
54. ข. การหยังเหน็
55. ค. กลมุ่ หนา้ ทางที่จิต
56. ค. บดิ าจิตวทิ ยาแผนใหม่ : จอห์น ดิวอี้
57. ก. ซกิ มนั ฟรอยด์
58. ข. ความพร้อม
ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹¡Ô
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÑÇè ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 212
59. ค. เป้าหมายของการแนะแนว
60. ก. การรจู้ ักนกั เรยี นเป็นรายบุคคล
61. ก. การบรกิ ารให้คำปรึกษา
62. ข. กจิ กรรมนักเรียน
63. ก. การแนะแนวการใช้ชีวิต
64. ก. มวลประสบการณท์ ่กี ำหนดให้ผู้เรียน
65. ก. สถานศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน
66. ง. กระบวนการและข้ันตอนการจดั ทาํ หลกั สตู รมีความยืดหยุน่ สามารถทําได้รปู แบบเดยี ว
67. ก. การนาํ หลักสูตรไปใช้
68. ง. สาระสําคัญ
69. ง. ศกึ ษาข้อมูลทเ่ี ก่ียวข้อง
70. ง. ผอู้ าํ นวยการโรงเรยี น หรือ ผู้อาํ นวยการโรงเรยี นและประธานกรรมการสถานศึกษา
71. ก. กพฐ.
72. ค. สพท.
73. ค. รฐั มนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธกิ าร
74. ค. แผนการศึกษาแห่งชาติ
75. ข. 31 สาระ 55 มาตรฐาน
76. ก. วสิ ัยทศั น์ หลกั การ จุดหมาย สมรรถนะสาํ คญั ของผูเ้ รียน
77. ข. มจี ิตสํานกึ ในความเปน็ พลเมอื งไทยและประชากรโลก
78. ค. 6 ประการ
79. ค. 5 ข้อ
80. ข. มาตรฐานการเรยี นรู้
81. ข. เพื่อสนองการกระจายอาํ นาจ
82. ข. วิสยั ทศั น์
83. ค. อารมณ์
84. ง. จุดหมาย
85. ข. 5 ข้อ
86. ข. ดี เก่ง มสี ขุ
87. ก. สิง่ ทผ่ี ้เู รียนพึงร้แู ละปฏิบตั ไิ ด้
88. ข. มาตรฐานการเรียนรู้
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÑèÇä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 213
89. ข. มาตรฐานการเรียนรู้
90. ค. ประสบการณท์ ง้ั มวลที่จดั ให้ผูเ้ รียน
91. ข. การวิเคราะห์ขอ้ มูลพื้นฐาน
92. ข. ครู
93. ง. เพือ่ ให้ผู้เรยี นบรรลุผลตามจดุ มงุ่ หมายของแผนการศกึ ษาแห่งชาตทิ ี่ตอ้ งการให้หลกั สูตรช่วย
พัฒนาบุคคล ตา่ งๆให้เปน็ คนทม่ี ีความร้คู วามสามารถและพฒั นาการในทุกๆด้าน
94. ค. การพฒั นาหลักสตู รระดบั เขตพื้นท่ี
95. ค. ความสามารถในการส่อื สาร การแกป้ ัญหา การใช้ทักษะชีวติ และอนรุ ักษ์วัฒนธรรม
96. ค. รกั ชาติ ศาสน์ กษตั ริย์
97. ก. กิจกรรมแนะแนว
98. ข. กจิ กรรมนกั เรยี น
99. ง. ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย
100. ข. ระดับประถมศกึ ษา
101. ค. กาํ หนดเปน็ รายปี
102. ข. เด็กทมี่ อี ายุยา่ งเขา้ ปีที่ 7 - เด็กท่ีมอี ายุยา่ งเขา้ 16
103. ก. จํานวน 9 ปี
104. ก. มาตรฐานการเรียนรู้
105. ข. หน่วยการเรียนรู้
106. ค. กพฐ.
107. ก. ผูอ้ ํานวยการหรือประธานคณะกรรมการสถานศกึ ษา
108. ค. รายงานใหท้ ราบเป็นระยะ ๆ อยา่ งน้อยภาคเรียนละ 1 คร้ัง
109. ง. การประเมนิ ผลหลักสูตร
110. ก. ปพ.1
111. ค. ป.พ.3
112. ก. สํารวจความถนดั และความสนใจของตนเอง
113. ข. วิทยาศาสตร์
114. ข. หลักสตู รแบบเน้อื หาวชิ า
115. ง. หลักสูตรเอกัตภาพ
116. ข. หลักสตู รแกนกลาง
117. ค. การประเมินระดบั จังหวดั
118. ข. การประเมนิ ระดับสถานศึกษา
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢éÁ
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·èÑÇä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 214
119. ก. ปพ.1 : ต FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢éÁ
120. ข. ประกาศนยี บตั ร
121. ค. แบบรายงานผ้สู าํ เรจ็ การศึกษา
122. ง. เป็นแบบ ปพ.3 ทุกขอ้ ท่กี ล่าวมา
123. ค. 3 ชดุ
124. ข. 2 ชดุ
125. ง. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
126. ค. ระดบั ช้ันมัธยมศึกษาตอนปลาย
127. ก. ตวั ช้วี ัดชนั้ ปี
128. ค. จุดหมายของหลักสูตร
129. ค. หลักการ
130. ข. กจิ กรรมพัฒนาผูเ้ รียน
131. ง. วสิ ัยทัศน์
132. ข. ตัวช้วี ัดช่วงชัน้
133. ง. ใบรับรองผลการศึกษา
134. ง. ก่อนเปดิ ภาคเรยี นหรอื ตน้ ภาคเรียนแรก
135. ง. ว 32201
136. ก. ว 12101
137. ง. ดเี ย่ยี ม ดี ผ่าน ไมผ่ า่ น
138. ค. 40 ชว่ั โมง/ภาคเรยี น = 1 หนว่ ยกติ
139. ข. ม.4-6/2 หมายถงึ ตวั ชว้ี ดั ชนั้ ปมี ัธยมศกึ ษาตอนปลายขอ้ ที่ 2
140. ค. 3 ระดับ
141. ค. 3 ระดับ
142. ก. มส
143. ง. ร
144. ก. ผา่ น ไมผ่ ่าน
145. ค. ผู้สอน
146. ค. สีฟา้
147. ง. สขี าว
148. ค. สแี ดง
149. ข. สีเหลือง สีดํา
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹¡Ô
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÑÇè ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 215
150. ง. แผนผังความคิด FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢éÁ
151. ง. Edwerd de bono
152. ก. การจดั การเรียนรู้
153. ข. หลกั การจดั การเรยี นรู้
154. ข. หลักการจัดการเรียนรู้
155. ค. การออกแบบการเรียนรู้
156. ก. การวเิ คราะห์
157. ง. ความคิดสรา้ งสรรค์
158. ค. 4MAT
159. ข. แมค คารธ์ ี
160. ค. การสร้างความรู้
161. ข. การมีสว่ นรว่ ม
162. ก. การสรา้ งการการเรียนรู้ด้วยตนเอง
163. ค. Inductive Method
164. ข. อะไร (What)
165. ค. Analysis Learners
166. ง. ขนั้ สงั เคราะห์ข้อมูลและสรุปผล (ขั้นมรรค)
167. ค. เปน็ ผูอ้ าํ นวยความสะดวก
168. ง. ขั้นการประเมนิ
169. ก. รศ.ดร ทศิ นา แขมมณี
170. ข. ศึกษาหลักสตู รสถานศึกษา
171. ง. บทบาทของผสู้ อนและผ้เู รียน
172. ข. บทบาทของผเู้ รียน
173. ง. ถกู ทกุ ข้อ
174. ข. วธิ ีการสอนแบบโครงงาน
175. ก. การสอนแบบสาธติ
176. ข. การกาํ หนดมาตรฐานการเรียนรู้
177. ข. การเรียนรทู้ ีใ่ ชส้ มองเป็นฐาน
178. ค. การสอนแบบ 4MAT
179. ค. ดา้ นหัตถศลิ ปศ์ กึ ษา
180. ข. แบบการแก้ปัญหา
ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹Ô¡
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·èÑÇä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 216
181. ข. แบบการกระทาํ
182. ข. สมอง
183. ค. ครูสม้ สอนภาษาไทยโดยใช้ทักษะการพดู ฟัง อา่ น เขยี น เข้าดว้ ยกนั
184. ข. พทุ ธิพิสัย
185. ก. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
186. ค. CAI
187. ก. การสอนแบบโครงงาน
188. ง. จอห์น ดวิ อ้ี
189. ง. นักเรียนมคี วามสาํ คญั ที่สุด
190. ง. If
191. ง. Application
192. ค. Brain Based Learning
193. ค. สาโรช บวั ศรี
194. ค. การสอนบทเรียนปรแกรม CAI
195. ค. วเิ คราะหผ์ ู้เรียนรายบุคคล
196. ง. การจัดสภาพแวดลอ้ มในช้ันเรียนให้เอ้ือตอ่ การเรียนการสอนและการจดั สภาพแวดลอ้ มทั้ง
ภายในและนอกห้องเรยี น
197. ก. ครู
198. ง. ความเข้มงวดของผู้สอน
199. ก. บคุ ลกิ และพฤตกิ รรมของครผู ู้สอน
200. ข. พฤตกิ รรมการสอนของครูผสู้ อน
201. ค. ความเป็นระเบียบเรียบร้อยภายในหอ้ งเรียน
202. ข. บรรยากาศดา้ นจิตวิทยา
203. ค. บรรยากาศทางกายภาพ
204. ค. แบบเผดจ็ การ
205. ข. แบบปล่อยปะละเลย
206. ก. แบบประชาธปิ ไตย
207. ง. ถูกทกุ ข้อ
208. ง. “ถ้ามีคนเสียงดงั รบกวนเธอบา้ งจะร้สู กึ อย่างไร”
209. ค. มีท่ตี ั้งท่มี ีบรเิ วณกวา้ ง
210. ก. ชนั้ เรยี นแบบธรรมดา
ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÇÔ à¢éÁ
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÇÑè ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 217
211. ง. ช้ันเรยี นแบบนวตั กรรม FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢éÁ
212. ง. มีความเป็นระเบยี บเรียบรอ้ ย
213. ง. หลงั หอ้ งเรียน
214. ค. หนา้ ห้องเรยี น
215. ก. กลางหอ้ งเรยี น
216. ข. นอกห้องเรียน
217. ก. ห้องเรียนอนุบาล
218. ก. 3 เมตร
219. ง. ความสามารถและความแตกต่างระหว่างบุคคล
220. ข. กาํ หนดเน้ือหาทจ่ี ะจัด
221. ก. ควรจดั ท่นี ัง่ อยู่ใกลค้ รู
222. ง. หลกั ความใกลช้ ดิ
223. ข. นักเรียนจะอบอุน่ ใจ
224. ข. นักเรยี นสนุก
225. ง. นักเรยี นจะศรัทธา
226. ค. นักเรียนจะขาดความเคารพ
227. ก. ครูท้อถอย
228. ง. บรรยากาศแห่งความสําเร็จ
229. ข. บรรยากาศทมี่ อี ิสระ
230. ง. บรรยากาศทม่ี ีความอบอุ่น
231. ก. DLTV
232. ค. ZOOM
233. ข. เครอื่ งขยายเสียง
234. ก. หนังสือ
235. ก. สถานการณจ์ ําลอง
236. ก. เอด การ์ เดล
237. ข. ตรงกบั จดุ ประสงค์
238. ก. การแสวงหาความรดู้ ้วยวิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร์
239. ค. สมมตุ ฐิ านการวจิ ัย
240. ก. การวจิ ยั เชิงปฏิบตั ิการ
241. ก. พฤตกิ รรมการอา่ น
ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÇèÑ ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 218
242. ค. วิธกี ารพัฒนา FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÇÔ à¢éÁ
243. ค. ใชก้ ารคาดเดาคําตอบ
244. ค. การวจิ ัยเชิงทดลอง
245. ข. การวิจัยเชงิ บรรยายหรอื พรรณนา
246. ก. การวิจยั เชิงประวตั ิศาสตร์
247. ข. การวจิ ยั เชงิ บรรยาย
248. ก. การวิจยั เชงิ ประวัติศาสตร์
249. ง. ถูกทกุ ขอ้
250. ก. แบบสงั เกต
251. ก. ความเชอ่ื มน่ั
252. ง. อาํ นาจจําแนก
253. ค. ความปรนยั
254. ข. ความเทีย่ งตรง
255. ก. ความเช่ือมัน่
256. ง. การหาประสิทธิภาพ
257. ค. ประสิทธิภาพ
258. ข. การกาํ หนดปญั หาวจิ ยั
259. ก. 0.2-0.8
260. ค. 0.2-1
261. ก. 1
262. ก. การคาดคะเนคาํ ตอบ
263. ค. สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน
264. ค. วจิ ัยเชิงทดลอง
265. ข. แบบไม่มีทศิ ทาง
266. ก. แบบมที ิศทาง
267. ค. พสิ ัย
268. ข. ขอ้ ตกลงเบอ้ื งต้น
269. ง. ความแปรปรวน
270. ข. ค่าเฉลี่ย
271. ก. 5
272. ข. 4
ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹¡Ô
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÇÑè ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 219
273. ง. 1
274. ค. 10
275. ง. 0.5 ข้ึนไป
276. ข. เพ่ือได้ตวั แทนทด่ี ีจากประชากร
277. ข. แบบสอบถาม
278. ก. แบบทดสอบ
279. ก. บทท1่ี
280. ข. บทท2่ี
281. ค. บทที่ 3
282. ง. บทท5ี่
283. ค. S.D.
284. ข. ขอบเขตของการวิจัย
285. ก. บทเรยี นวดี ที ัศน์
286. ก. ศกึ ษากลมุ่ ทดลองกล่มุ เดยี ววดั ผลกอ่ นและหลังการทดลอง
287. ข. ส่วนนาํ สว่ นเนื้อหาสว่ นอา้ งองิ
288. ข. ค่า IOC
289. ค. 3 คนขึน้ ไป
290. ก. ค่าอาํ นาจจําแนก
291. ง. พิสัย
292. ข. ชว่ ยแกป้ ญั หาในชัน้ เรยี น
293. ข. 2 ระบบ
294. ข. ประกนั ภายใน ประกันภายนอก
295. ง. SAR
296. ก. ตอ่ เนือ่ งเป็นประจำทุกปี
297. ก. สพป.
298. ง. อย่างนอ้ ย 1 ครง้ั ในทุก 5 ปี
299. ค. สอดคลอ้ งกบั การประเมินภายใน
300. ข. มาตรฐานการศกึ ษาระดบั การศึกษาข้นั พนื้ ฐาน
ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÇÔ à¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·èÑÇä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 220
แนวขอ้ สอบครูผชู ้ ว่ ย
มาตรฐานการสอน
1. ในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโรค COVID-19 รูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบใดทค่ี รู
สามารถนำไปปรับใช้ในการจดั การเรยี นการสอนตามความเหมาะสมและบรบิ ทของโรงเรียน
ก. การเรยี นผ่านโทรทศั น์
ข. การเรียนการสอนแบบออนไลน์
ค. การเรยี นผ่านโทรทัศน์ และการเรียนการสอนแบบออนไลน์
ง. การเรยี นในช้ันเรียน การเรียนผา่ นโทรทศั น์ และการเรยี นการสอนแบบออนไลน์
2. ในสถานการณ์ COVID-19 สถานศกึ ษาท่จี ดั การเรียนการสอนแบบปกตใิ นช้ันเรียนได้ ครูและนกั เรยี น
จะต้องปฏบิ ัตติ ามมาตรการอย่างไร
ก. วัดไข้ ไส่หนา้ กาก ล้างมือ
ข. วัดไข้ ใสห่ น้ากาก ล้างมอื เวน้ ระยะหา่ ง
ค. วัดไข้ ใส่หนา้ กาก ล้างมอื เว้นระยะหา่ ง ลดแออัด
ง. วดั ไข้ ใสห่ นา้ กาก ลา้ งมอื เว้นระยะหา่ ง ทำความสะอาด ลดแออดั
3. ข้อใดเป็นแนวทางการปฏิบัติของครทู สี่ ำคัญที่สดุ ในการจดั การเรยี นการสอนเพ่อื พัฒนาผู้เรียนใหเ้ ป็น
ประชากรท่ีชาญฉลาด ภายใตแ้ นวคดิ “เมอื งอัจฉรยิ ะ (Smart City)”
ก. จดั การเรียนการสอนที่เนน้ ความแตกต่างระหว่างบุคคล
ข. จดั การเรียนการสอนแบบออนไลนแ์ ละการใช้เทคโนโลยีเป็นสำคญั
ค. จดั การเรียนการสอนที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และการเรียนรทู้ ่ีไม่สิน้ สดุ
ง. จดั การเรียนการสอนที่มุ่งเน้นความรูเ้ ก่ยี วกับโลก และความรูด้ า้ นการเป็นพลเมืองท่ีดี
4. ครตู อ้ งออกแบบการเรียนรอู้ ย่างไรเพอ่ื ให้สอดคลอ้ งกบั กรอบสมรรถนะครเู อเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้
ก. อิงบรบิ ท ข. อิงเนอื้ หา
ค. องิ มาตรฐาน ง. อิงเทคโนโลยี
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é èÇÑ ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 221
5. ตามแผนการศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2560 - 2579 ผลลัพธ์ทีพ่ งึ ประสงคใ์ นขอ้ ใดทค่ี รคู วรยดึ เปน็ ฐานใน
การออกแบบและจดั กจิ กรรมการเรยี นรูเ้ พ่ือพัฒนาคณุ ลักษณะของผูเ้ รยี น 4.0
ก. Thinking Skill, Communications, Active Citizen
ข. Thinking Skill, Innovative Co-creator, Active Citizen
ค. Learner Person, Innovative Co-creator, Active Citizen
ง. Learner Person, Creativity and Innovation, Active Citizen
6. ข้อใดเปน็ แนวทางท่ดี ที ส่ี ดุ ซงึ่ ครสู ามารถนาํ มาปรับใช้เพื่อสรา้ งการเรียนรู้ พฒั นาความคดิ สรา้ งสรรค์
และการสร้างสรรค์นวตั กรรมของผเู้ รยี นในยคุ Thailand 4.0
ก. ปรับการเรียนรู้ในหอ้ งเรยี นเปน็ การเรียนรูใ้ นโรงเรียน
ข. ปรับการเรียนรู้ท่สี ่งเสริมการคดิ ในกรอบเปน็ การคดิ นอกกรอบ
ค. ปรบั การเรยี นแบบถา่ ยทอดเปน็ การเรยี นรแู้ บบร่วมมือ
ง. ปรบั การเรยี นทีเ่ ร่มิ จากการใช้ความคดิ เป็นการเรยี นจากขอ้ เท็จจริง
7. ครสู ามารถจดั การเรียนการสอนทส่ี ง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ สงั คมนวัตกรรม และพัฒนาสภาวะแวดลอ้ มของการ
พัฒนาวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัย และนวตั กรรมไดด้ งั ตอ่ ไปนี้ ยกเวน้ ข้อใด
ก. สง่ เสรมิ กิจกรรมการเรียนรสู้ ่กู ารเปน็ ผปู้ ระกอบการ
ข. ส่งเสริมการเรียนการสอนแบบ STEM Education
ค. ส่งเสรมิ ให้ผู้เรียนด้านวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยไี ด้ลงมอื ฝกึ ปฏบิ ัตใิ นสาขาเทคโนโลยี
(Technology Sector) และด้านเทคนคิ ต่าง ๆ
ง. ควบคมุ จำนวนผู้เรยี นทีส่ นใจด้านวทิ ยาศาสตร์และคณติ ศาสตรเ์ พือ่ คัดเลอื กและพัฒนา
ผ้เู รียนทีม่ อี ัจฉรยิ ภาพทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์อย่างแทจ้ ริง
8. กรณใี ห้นักเรียนเรียนอยทู่ ีบ่ ้าน ครไู มค่ วรจดั การเรยี นการสอนแบบใด
ก. มอบหมายให้เรยี นรูจ้ ากแบบเรยี น ใบความรู้
ข. จดั กิจกรรมการเรียนรู้ที่มเี นื้อหาซับซ้อน และเนน้ ภาคปฏิบตั ิ
ค. จดั การเรยี นการสอนโดยใชส้ ่อื การสอนทางไกลผา่ นโทรทัศน์หรือทางออนไลน์
ง. จัดกจิ กรรมทม่ี งุ่ เนน้ ให้ช่วยผูป้ กครองทำงานบา้ นหรือประกอบอาชีพ
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢éÁ
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·èÇÑ ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 222
9. ขอ้ ใดเปน็ แนวทางปฏิบัติทส่ี ำคัญทีส่ ุดสำหรับครใู นการนำหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งมา
ประยุกต์ใช้ ในการจัดการเรียนการสอน
ก. จดั ทำแผนการจดั การเรยี นรู้หรอื ส่อื การสอนท่บี รู ณาการกับหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจ
พอเพียง
ข. กำหนดนโยบายและภารกิจของสถานศกึ ษาโดยใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง
ค. นำหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งมาใช้ในการบรหิ ารทรพั ยากรการเรียนรู้
ง. สร้างบรรยากาศทสี่ ง่ เสรมิ การเรียนรตู้ ามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง
10. การเรยี นรู้ด้านเศรษฐกิจที่บรู ณาการกับหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ครคู วรใชก้ ิจกรรมใด
ก. ยุวมัคคเุ ทศก์
ข. กจิ กรรมปยุ๋ ชวี ภาพ
ค. กจิ กรรมสง่ เสรมิ การเปล่ยี นพฤติกรรมการบริโภค
ง. การศึกษาดงู านโครงการอนั เนอ่ื งมาจากพระราชดำริ
11. ข้อใดไม่ใชแ่ นวทางการจัดกระบวนการเรยี นรเู้ พื่อพัฒนาผู้เรยี นให้มีคุณลักษณะอยอู่ ย่างพอเพียง
ก. จัดกระบวนการเรยี นรู้เพ่ือให้ผเู้ รยี นได้ดำเนินชีวติ อย่างเหมาะสมพอดี
ข. จดั กระบวนการเรียนรูเ้ พอ่ื ใหผ้ ้เู รียนกล้าแสดงออกและเปน็ ตัวของตัวเอง
ค. จัดกระบวนการเรียนรู้เพอื่ ใหผ้ ู้เรยี นรู้จักวางแผนการทำงานโดยใช้ความรู้และเหตผุ ลในการ
ตดั สนิ ใจ
ง. จัดกระบวนการเรียนร้เู พอ่ื ใหผ้ ู้เรยี นแสดงออกถึงความต้งั ใจและรับผิดชอบในการทำงาน มี
ความอดทนเพอ่ื ใหง้ านสำเร็จตามเปา้ หมาย
12. การสรา้ งกจิ กรรมเศรษฐกิจพอเพียง ครคู วรจดั กิจกรรมให้ครอบคลมุ ในมติ ดิ ้านใดบา้ ง
ก. การปกครอง เศรษฐกจิ และสงั คม
ข. ส่ิงแวดล้อม ประเพณี และวฒั นธรรม
ค. เศรษฐกิจ สงั คม ส่งิ แวดลอ้ ม และวัฒนธรรม
ง. การปกครอง เศรษฐกจิ สังคม สิ่งแวดลอ้ ม และวฒั นธรรม
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÇÔ à¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÇèÑ ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 223
13. ในการจัดทำหนว่ ยการเรยี นร้บู รู ณาการปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ครคู วรกำหนดผลสมั ฤทธิ์
สำคัญทผ่ี ้เู รียนควรไดร้ ับในขอ้ ใด
ก. ได้ลงมอื ปฏบิ ัติจรงิ
ข. ไดล้ งมือปฏิบัตจิ ริงและไดร้ บั ความรทู้ ี่ชัดเจน
ค. มแี นวทางในการประยุกต์ใชค้ วามคิดในชวี ิตประจำวนั
ง. ได้ลงมอื ปฏบิ ตั ิจริง ไดร้ ับความรูท้ ชี่ ัดเจน และมีแนวทางในการประยกุ ตใ์ ช้ความคดิ ใน
ชวี ติ ประจำวัน
14. ขอ้ ใดเป็นพฤตกิ รรมของครูทแ่ี สดงออกถงึ ความพอประมาณ
ก. รจู้ ักออมเงินและทำบุญ
ข. เกบ็ เงนิ ประมาณครึง่ หนง่ึ ของรายได้
ค. ใช้จ่ายโดยคำนึงความประหยดั คุ้มค่า
ง. ใช้จา่ ยใหร้ ายจา่ ยสมดุลกับรายรบั ไมก่ อ่ หน้ีสนิ ลน้ พ้นตัว
15. ครูทปี่ ระกอบอาชีพดว้ ยความสุจริต ซอ่ื สัตย์ ขยนั หมนั่ เพยี ร ไมป่ ระมาท ใชส้ ติปัญญาในการ
ตัดสินใจและปรบั ตัวเพื่อใหท้ ันต่อการเปล่ียนแปลง สอดคลอ้ งกบั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งในขอ้ ใด
ก. มีความรูค้ คู่ ุณธรรม ข. มคี วามพอประมาณ
ค. มภี มู คิ มุ้ กัน ง. มเี หตผุ ล
16. ข้อใดคือพฤติกรรมภายใน ข. การทักทาย
ง. ความคิดความรู้สึก
ก. การกรน
ค. การรอ้ งเพลง
17. “เม่ือนักเรยี นยงั ง่วงนอนอยู่จึงไมส่ ามารถจะเรยี นอย่างตงั้ ใจได้" ขอ้ ความดงั กลา่ วตรงกับกฎของการ
เรียนรขู้ องทฤษฎีการลองผิดลองถูกในข้อใด
ก. กฎแหง่ ผล ข. กฎแหง่ การปฏบิ ตั ิ
ค. กฎแห่งความพรอ้ ม ง. กฎแหง่ ความสามารถ
18. ผู้นำทฤษฎีการเรียนรู้ดว้ ยการหยั่งเหน็ คือผใู้ ด ข. Wolfgang Kohler
ก. Edward L. Thorndike ง. B. F. Skinner
ค. Ivan P. Pavlov
ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÑÇè ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 224
19. ยึดโทรศัพทม์ ือถือของนกั เรียนหลังจากพบวา่ นกั เรยี นแอบเลน่ เกมในโทรศพั ทม์ ือถือในเวลาเรยี น
ก. การเสริมแรงทางบวก ข. การเสริมแรงทางลบ
ค. การลงโทษทางบวก ง. การลงโทษทางลบ
20. ให้คะแนน 10 คะแนนเต็ม แกน่ กั เรียนทุกคนที่สามารถแตง่ กลอนสสี่ ภุ าพได้อยา่ งถูกตอ้ ง
ก. การเสรมิ แรงทางบวก ข. การเสริมแรงทางลบ
ค. การลงโทษทางบวก ง. การลงโทษทางลบ
21. ให้นักเรยี นทอ่ งคำศพั ทภ์ าษาจนี จำนวน 20 คำ หลังจากพบวา่ นกั เรยี นไม่ทำการบา้ นมาส่ง
ก. การเสรมิ แรงทางบวก ข. การเสริมแรงทางลบ
ค. การลงโทษทางบวก ง. การลงโทษทางลบ
22. ให้นักเรยี นทำแบบฝึกหัดจำนวน 10 หนา้ หลังจากทีน่ กั เรยี นคุยกนั เสียงดงั ในชั้นเรยี น ครูแจง้ วา่
หากในขณะที่เรยี นนกั เรียนต้งั ใจเรยี นและไม่คุยกัน ครูจะใหท้ ำแบบฝึกหัดนอ้ ยลงเหลือเพียง 5 หนา้
ก. การเสริมแรงทางบวก ข. การเสรมิ แรงทางลบ
ค. การลงโทษทางบวก ง. การลงโทษทางลบ
23. ข้อใดกล่าวได้ถกู ต้องเกยี่ วกับหลกั พัฒนาการ
ก. พัฒนาการของบคุ คลจะมีช่วงรอยต่อที่ขาดตอนไป
ข. พฒั นาการของบคุ คลในวยั เดยี วกันจะไมแ่ ตกต่างกัน
ค. พัฒนาการของบุคคลแต่ละวยั มีลกั ษณะที่สมั พันธก์ นั
ง. พัฒนาการของบุคคลถกู ควบคุมจากส่ิงแวดล้อมเป็นหลกั
24. เมอื่ เด็กเติบโตมากขนึ้ และสามารถทำส่ิงตา่ ง ๆ ได้ แสดงวา่ ไดร้ ับอทิ ธิพลจากส่ิงใดเปน็ สำคัญ
ก. พันธุกรรมและวุฒภิ าวะ ข. การเรยี นรแู้ ละวุฒิภาวะ
ค. พันธุกรรมกับโอกาส ง. การเรยี นรแู้ ละโอกาส
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢éÁ
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÇèÑ ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 225
25. ข้อใดไมใ่ ชล่ กั ษณะของเดก็ นักเรยี นวยั ประถมศึกษาตอนตน้
ก. ให้ความสัมพนั ธก์ ับกลุม่ เพอื่ นมากขน้ึ
ข. เด็กชายและเด็กหญิงมนี ้ำหนกั ส่วนสงู ใกล้เคยี งกัน
ค. มีความรับผิดชอบครบถว้ นในส่งิ ท่ีได้รับมอบหมาย
ง. รู้จกั ใช้เหตผุ ลในการตดั สนิ ใจเลือกสง่ิ ตา่ ง ๆ เพ่มิ ขึน้
26. การทำความเขา้ ใจเกยี่ วกบั พัฒนาการของนกั เรียนเปน็ ประโยชนก์ บั ครูด้านใดมากทีส่ ดุ
ก. ครูจดั การเรียนการสอนไดต้ รงตามแผนการสอน
ข. ครูสามารถเข้าใจผเู้ รยี นและจัดกจิ กรรมการเรียนรไู้ ดอ้ ย่างเหมาะสม
ค. ครสู ามารถแสดงบทบาทเพอ่ื ใหไ้ ด้รับการยอมรับจากผ้เู รยี น
ง. ครเู ตรียมการสอนและสรา้ งสือ่ การเรียนรทู้ ี่ทันสมยั ไดอ้ ยา่ งรวดเรว็
27. วัยรนุ่ มคี วามสามารถแตกต่างจากวัยเด็กในเรื่องใดมากทสี่ ดุ
ก. การท่องสูตรคูณไดค้ ลอ่ ง
ข. การเข้าใจในส่งิ ทเี่ ป็นนามธรรม
ค. การเลียนแบบทา่ ทางของผูใ้ หญ่
ง. ความสามารถในการท่องศัพท์ภาษาองั กฤษ
28. ขอ้ ใดไม่ใชส่ ง่ิ ท่ชี ว่ ยสนับสนุนพฒั นาการของเด็กอยา่ งเหมาะสม
ก. ความรักความเข้าใจจากบุคคลรอบขา้ ง
ข. การทำกิจกรรมท่สี นับสนุนความคดิ สรา้ งสรรค์
ค. อาหารการกิน การออกกำลงั กายอยา่ งพอเพยี ง
ง. การให้โอกาสในการทดลองทำสิง่ ต่าง ๆ โดยไมม่ ีขอ้ จำกดั
29. ขอ้ ใดไม่ใช่บทบาทของครทู ี่ปรกึ ษาในการใหบ้ ริการดแู ลชว่ ยเหลือนักเรียน
ก. คัดกรองปญั หาตา่ ง ๆ ของนักเรียน
ข. รวบรวมข้อมูลนักเรียนเป็นรายบุคคล
ค. ประสานงานกับผู้ทเ่ี กยี่ วข้องในการดูแลช่วยเหลอื นักเรียน
ง. คอยชแ้ี นะใหน้ ักเรียนสอบได้คะแนนสงู และเอาชนะนักเรยี นทกุ คนในโรงเรยี น
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÇÔ à¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÇÑè ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 226
30. ครทู ี่ปรกึ ษาควรจดั กจิ กรรมในข้อใดเพอ่ื แก้ไขปญั หาดา้ นการเรยี นของนกั เรยี น
ก. กิจกรรมเยี่ยมบ้าน ข. กิจกรรมซ่อมเสรมิ
ค. กิจกรรมเสริมหลกั สูตร ง. กิจกรรมสือ่ สารกบั ผ้ปู กครอง
31. ครคู นใดมีการวางแผนพัฒนาหลกั สตู รได้มีประสทิ ธิภาพมากทสี่ ดุ
ก. ครูขาววเิ คราะหค์ วามก้าวหนา้ ทางการศกึ ษาโดยเปรียบเทยี บกบั ประเทศต่าง ๆ ในโลก
ข. ครูดำสอบถามความตอ้ งการสือ่ การเรียน และการประเมินผลผเู้ รียนจากผปู้ กครอง
ค. ครูใจดศี ึกษาข้อมลู พน้ื ฐาน ความตอ้ งการจำเป็นเกย่ี วกบั การศกึ ษาของผเู้ รียน ชุมชน และ
สังคม
ง. ครูแดงศึกษาวิถีชวี ติ ของคนไทย ตา่ งชาตแิ ละการปฏบิ ัติตนเป็นสมาชิกท่ีดขี องครอบครวั คน
ไทย
32. ขั้นตอนแรกของการพัฒนาหลกั สูตรสถานศกึ ษาคือข้อใด
ก. กำหนดจดุ มงุ่ หมายหลักสตู ร
ข. กำหนดเน้ือหาและหมวดหม่ขู องหลักสตู ร
ค. กำหนดกระบวนการนำหลักสตู รไปใช้อยา่ งต่อเน่ือง
ง. กำหนดวธิ กี ารประเมินหลักสตู รใหส้ อดคลอ้ งกบั นโยบายการศึกษา
33. การพัฒนาหลักสตู รสถานศึกษามงุ่ เนน้ ให้เกดิ ประโยชนก์ บั โรงเรียนตามข้อใด
ก. สนองความต้องการ ความถนดั และความสามารถของผู้เรียนอย่างแทจ้ ริง
ข. สง่ เสริมการตรวจสอบและประเมินผลการปฏิบัติงานอย่างโปรง่ ใส
ค. มศี ักยภาพในการจดั การศึกษาและการนำทรัพยากรมาใชม้ ากขึ้น
ง. ศษิ ยเ์ ก่า ผูป้ กครอง ชมุ ชนมีสว่ นร่วมในการจดั การเรยี นรู้
34. การประเมนิ การจดั กระบวนการเรยี นการสอนเปน็ การประเมินหลกั สูตรตามขอ้ ใด
ก. กอ่ นการนำหลักสตู รไปใช้ ข. ระหวา่ งเตรียมการใช้หลกั สูตร
ค. ระหวา่ งดำเนินการใชห้ ลกั สูตร ง. ส้ินสุดกระบวนการใชห้ ลกั สูตร
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÇÔ à¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÑèÇä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 227
35. ขอ้ ใดกลา่ วถงึ บทบาทครใู นการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาไมถ่ ูกต้อง
ก. พัฒนาหลกั สูตรร่วมกบั บุคคลทเี่ กี่ยวข้องทกุ ฝ่าย
ข. เลือกกระบวนการเรยี นรทู้ ห่ี ลากหลายและเหมาะสมกับผู้เรยี น
ค. คดั สรรจำนวนเนือ้ หาที่จะเรียนรใู้ ห้มีปริมาณมากทส่ี ุดเท่าทจ่ี ะมากได้
ง. ประเมนิ ผลตามมาตรฐานการเรยี นรแู้ ละนำผลการประเมนิ มาใชพ้ ฒั นาผ้เู รียน
36. ขอ้ ใดเป็นการจดั การเรียนรู้แบบใหส้ ง่ เสริมการเรยี นรูข้ องผู้เรยี นในวิถชี วี ติ ใหม่ “New Normal" ได้
ดีท่ีสุด
ก. การจดั การเรยี นรูแ้ บบอภปิ ราย
ข. การจดั การเรยี นร้แู บบใช้คำถาม
ค. การจัดการเรยี นรู้แบบรับใชส้ งั คม
ง. การจดั การเรียนรูโ้ ดยใช้ปัญหาเปน็ ฐาน
37. ตง้ั แตป่ ีการศึกษา 2563 เป็นตน้ ไป สพฐ. ได้มีคำส่ังใหเ้ ปล่ียนชื่อเปน็ กลมุ่ สาระการเรยี นรใู้ ดในทุก
ระดบั ชั้น
ก. กลุ่มสาระการเรียนรกู้ ารงานอาชีพ กลมุ่ สาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์
ข. กลุ่มสาระการเรยี นรู้การงานอาชพี กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ค. กลมุ่ สาระการเรียนรู้ประวตั ศิ าสตร์ กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ง. กลุ่มสาระการเรียนรูภ้ ูมศิ าสตร์ กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ กลมุ่ สาระการเรียนรกู้ าร
งานอาชพี
38. ขอ้ ใดคอื หลกั การจัดการศึกษาเพื่อปวงชนตามแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 - 2579
ก. ผ้เู รยี นทกุ ระดับมสี ว่ นรว่ มในการจดั การเรียนรู้
ข. ผเู้ รียนไมถ่ ูกปลอ่ ยปละละเลยหรอื ทงิ้ ใครไวด้ ้านหลัง
ค. ผู้เรยี นมีการดำรงชีวติ ในสังคมอยา่ งพอเพียงและมคี วามสขุ
ง. ผู้เรียนยกระดบั การแขง่ ขันในเวทโี ลกและเทา่ ทันการเปล่ียนแปลง
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é èÑÇä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 228
39. การจดั การเรยี นรู้แบบ Active Learning พัฒนาทักษะผ้เู รียนในศตวรรษที่ 21 ขอ้ ใดได้ดที สี่ ุด
ก. ทักษะด้านอาชพี และการเรียนรู้
ข. ทักษะดา้ นความเขา้ ใจตา่ งวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์
ค. ทกั ษะดา้ นคอมพวิ เตอรแ์ ละเทคโนโลยสี ารสนเทศเพ่อื การสือ่ สาร
ง. ทกั ษะด้านการคดิ อย่างมวี จิ ารณญาณและทักษะในการแก้ปัญหา
40. หากตอ้ งการส่งเสริมการเรยี นรู้แบบ Learning by doing ผสู้ อนควรจดั การสอนแบบใดจงึ จะ
เหมาะสมที่สุด
ก. การสอนแบบโครงงาน ข. การสอนแบบนิรนยั
ค. การสอนแบบอภิปราย ง. การสอนแบบใชค้ ำถาม
41. วธิ กี ารสอนแบบใดมีกระบวนการท่ีสอดคลอ้ งกบั แนวคิด “Teach Less, Learn More”
ก. การสอนแบบชปิ ปา ข. การสอนแบบสาธติ
ค. การสอนแบบมโนทศั น์ ง. การสอนแบบสรา้ งสรรคเ์ ป็นฐาน
42. การจดั การเรยี นรูข้ อ้ ใดพฒั นาทกั ษะการคิดของผเู้ รียนนอ้ ยท่ีสุด
ก. สาธติ วธิ ีการทำเจลล้างมอื
ข. อธิบายเกี่ยวกับวิถชี วี ติ ใหม่
ค. ใชบ้ ทบาทสมมติสอนการปอ้ งกันตนเองจากไวรัส COVID-19
ง. อภปิ รายกลุ่มย่อยเก่ยี วกับการสร้างสรรค์ของเดก็ ยคุ เจเนอเรช่ันอลั ฟ่า
43. การสอนให้สร้างสมั พันธอ์ ันดแี ละปรบั ตัวกับการเปล่ียนแปลงเป็นการพัฒนาสมรรถนะสำคญั ของ
ผูเ้ รยี นข้อใด
ก. การคิด ข. การสอื่ สาร
ค. การแก้ปัญหา ง. การใชท้ กั ษะชวี ิต
44. ขอ้ ใดเปน็ การจัดการเรยี นรใู้ หม้ ีบรรยากาศในชน้ั เรียนเป็นแบบอสิ ระ
ก. ผู้เรยี นไดค้ ิดตดั สินใจด้วยตนเองโดยปราศจากความกลัว
ข. ผ้เู รียนได้รบั การกระตุน้ ให้กำลงั ใจ เกิดความเชือ่ ม่ันในตนเอง
ค. ผู้เรียนไดท้ ำงานทีป่ ระสบความสำเร็จและลม้ เหลวหลาย ๆ ครง้ั
ง. ผเู้ รียนได้รบั การฝกึ ให้รจู้ ักสทิ ธิหนา้ ที่ของตนเองอยา่ งมขี อบเขต
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢éÁ
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÑÇè ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 229
45. การให้ความสำคัญตอ่ ผ้เู รียนเท่าเทยี มกนั และการเอาใจใส่ผเู้ รยี น เปน็ หลกั การปกครองชัน้ เรียนขอ้
ใด
ก. หลกั ประชาธปิ ไตย หลักความใกลช้ ดิ
ข. หลกั ความใกล้ชิด หลกั โยนิโสมนสิการ
ค. หลกั พรหมวหิ าร 4 หลักธรรมาภบิ าล
ง. หลักพรหมวิหาร 4 หลกั ความยตุ ิธรรม
46. การบรหิ ารจดั การชน้ั เรียนข้อใด ส่งเสริมให้ผ้เู รียนสรา้ งองคค์ วามรดู้ ้วยตนเองไดด้ ที ีส่ ุด
ก. คอยกำกับดแู ลผู้เรยี นใหป้ ฏบิ ตั ิตามข้นั ตอนทค่ี รบู อก
ข. ให้ผเู้ รยี นมีอิสระในการคดิ แตม่ วี นิ ยั ในการควบคมุ พฤตกิ รรมของตนเอง
ค. กำกับความประพฤตแิ ละการเรยี นรู้ของผู้เรยี นไม่ให้ออกนอกกรอบ
ง. ใหผ้ เู้ รียนปกครองกนั เอง ปฏิบัติกิจกรรมทีเ่ นน้ ความเรยี บงา่ ยและลำนากน้อยทส่ี ดุ
47. การจัดการเรียนรู้ในขอ้ ใด ใช้แหล่งเรยี นรู้ทจี่ ัดข้นึ เพือ่ การศึกษา
ก. ให้ผู้เรยี นวิ่งรอบสนามกฬี า 2 รอบ ในรายวิชาพลศึกษา
ข. เชญิ ปราชญช์ าวบา้ นมาให้ความรูก้ ับผเู้ รยี นดา้ นการดีดพิณ
ค. ให้ผู้เรียนไปค้นควา้ ประวัติชาตไิ ทยที่พิพิธภณั ฑสถานแหง่ ชาติ
ง. ใหผ้ เู้ รียนดูเทปบันทึกภาพการแสดงการละเล่นพน้ื บา้ นของไทย 4 ภาค
48. การผลิตสือ่ การสอนเทคโนโลยดี จิ ทิ ัล ครูตอ้ งให้ความสำคญั กับสงิ่ ใดเป็นอันดับแรก
ก. นา่ สนใจ มขี นาดเลก็ พกพาได้สะดวก
ข. ราคาพอเหมาะกบั กำลังซอ้ื ของผู้ปกครอง
ค. เปน็ ระบบตอบสนองกบั ผู้เรยี นจำนวนมากได้
ง. สนองจดุ ประสงค์ของการเรยี นการสอนและสามารถใชไ้ ดจ้ ริง
49. ข้อใดไม่ใชก่ ารประยุกตใ์ ช้เทคโนโลยีดิจทิ ัลในการจดั การเรียนรู้
ก. การใช้ e-Learning ของผเู้ รียนร่วมกบั ผู้ปกครอง
ข. การใช้โปรแกรม Microsoft PowerPoint ทำใบงาน
ค. การใชค้ อมพวิ เตอร์ออกแบบแผนผงั โครงสร้างฝ่ายบรหิ ารโรงเรียน
ง. การใช้โปรแกรมนำเสนองานรายงานผลการทดลองในวชิ าวทิ ยาศาสตร์
ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÇÔ à¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·èÑÇä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 230
50. ข้อใดกลา่ วไม่ถกู ตอ้ ง
ก. การสรา้ งเกมเป็นสอื่ การสอนเปน็ แนวโนม้ การใช้เทคโนโลยีเพอื่ การศึกษา
ข. การจัดการเรียนรใู้ หก้ บั ผเู้ รยี นจำนวนมากควรใชก้ ระดานดำ
ค. เครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอรเ์ ปน็ การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครอื่ งเพอื่ ใช้ข้อมลู รว่ มกัน
ง. DLTV คอื โครงการจดั ทำเนื้อหาในระบบ e-Learning ของการศึกษาทางไกลผา่ นดาวเทยี ม
51. นวัตกรรมในข้อใดสนองแนวคิดเรอ่ื งความแตกต่างระหว่างบคุ คลและความพร้อมมากท่สี ดุ
ก. ความแตกต่างระหวา่ งบุคคล : ชุดการเรียน/ ความพรอ้ ม : การเรียนทางไกล
ข. ความแตกต่างระหว่างบุคคล : แบบเรียนสำเร็จรปู / ความพร้อม : ศูนยก์ ารเรียน
ค. ความแตกต่างระหว่างบคุ คล : ศนู ย์การเรียน/ ความพรอ้ ม : การเรียนทางไปรษณยี ์ :
ง. ความแตกตา่ งระหว่างบคุ คล : การเรยี นทางไปรษณีย์ / ความพรอ้ ม : การเรยี นทางไกล
52. การใช้อนิ เทอรเ์ น็ตเพอ่ื การส่งถ่ายข้อมูลระหวา่ งกนั แบบ FTP (Files Transfer Protocol) ในการ
จดั การเรยี นรูม้ ีลักษณะใด
ก. ใชพ้ ูดคยุ โต้ตอบกันหรอื คุยเป็นกลมุ่ โดยสามารถพิมพข์ ้อความโตต้ อบกันได้
ข. ใชเ้ ปน็ ฐานข้อมูลแบบมลั ติมีเดีย มขี อ้ ความ รูปภาพ และเสยี งผใู้ ช้เครือข่าย
ค. ใช้ส่ือสารสว่ นบคุ คลโดยแต่ละคนมตี ู้จดหมายเปน็ ของตนเองที่เรียกวา่ Email
ง. ใช้ถา่ ยโอนไฟล์จากเครอ่ื งคอมพิวเตอร์ระบบหนง่ึ มายังอีกระบบหน่ึงผ่านเครือขา่ ย
53. “การสรา้ งบทเรยี นเป็นหน่วยทม่ี เี นอ้ื หาจบในตวั เอง จดั เปน็ ชดุ ใหผ้ ู้เรยี นเรียนรดู้ ้วยตวั เอง
ประกอบด้วยแนวคดิ วตั ถปุ ระสงค์ กจิ กรรมการเรยี น สอ่ื และการประเมินผล” คอื บทเรียนรูปแบบใด
ก. บทเรยี นจุลภาค ข. บทเรียนโปรแกรม
ค. บทเรยี นแบบโมดูล ง. บทเรียนคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน
54. สถานการณ์ระบาดของโรคท่ีต้องมกี ารล็อกดาวน์ โปรแกรมใดไม่เหมาะสมในการนำมาสอนแบบ
ออนไลน์
ก. โปรแกรมประมวลคำ
ข. โปรแกรมนำเสนอผลงาน
ค. โปรแกรมเพ่อื การเรยี นแบบรว่ มมือ
ง. โปรแกรมสรา้ งและทดสอบความก้าวหนา้ ของผู้เรียน
ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢éÁ
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÇÑè ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 231
55. โปรแกรม Video Call สำหรับการเรียนการสอนออนไลนข์ ้อใดเหมาะสมทส่ี ุดสำหรบั จัดการเรยี นรู้
ในเวลา 40 นาทแี ละมีผเู้ รียนไมเ่ กิน 100 คน
ก. Zoom ข. Skype
ค. Discord ง. Cisco WebEx
56. การวัดมีความสัมพนั ธ์กบั การประเมินอย่างไร
ก. ขอ้ มลู จากการวดั ถกู นำมาใช้เปน็ เกณฑก์ ารประเมิน
ข. เครอ่ื งมอื ท่ใี ช้ในการวัดแสดงความถูกตอ้ งของการประเมนิ
ค. ผลการวดั ทน่ี า่ เชอ่ื ถอื จะทำใหผ้ ลการประเมนิ เกดิ ความยตุ ธิ รรม
ง. คา่ ท่ีไดจ้ ากการวัดนำมาใชเ้ ปน็ ขอ้ มูลเปรยี บเทยี บกบั เกณฑ์การประเมนิ
57. สิง่ ใดสำคัญท่สี ดุ ในการประเมินผลการเรียนรขู้ องนกั เรยี นตามมาตรฐานการเรียนรู้
ก. คะแนนผลการเรยี นรู้ ข. เครอ่ื งมือวดั การเรยี นรู้
ค. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ ง. กระบวนการจัดการเรยี นรู้
58. ข้อใดแสดงใหเ้ หน็ ว่าผเู้ รยี นมีความสามารถในการสร้างสรรค์
ก. เขียนบทละครเวที ข. แปลนทิ านภาษาอังกฤษ
ค. แก้โจทยป์ ญั หาคณิตศาสตร์ ง. นำขอ้ มูลดบิ มาสร้างเปน็ แผนภมู ิ
59. “ข้อสอบข้อนผี้ ้สู อบตอบถูกมากกว่าตอบผดิ ” เกีย่ วขอ้ งกับคณุ ภาพของข้อสอบในเรือ่ งใด
ก. ความตรง ข. ความยาก
ค. ความเทีย่ ง ง. ความเป็นปรนัย
60. ขอ้ ใดไมใ่ ช่องคป์ ระกอบสำคญั ทที่ ำให้เกิดการประเมินเพอื่ เรยี นรใู้ นชั้นเรียน
ก. การใชค้ ำถาม ข. การใหผ้ ู้เรียนประเมนิ ตนเอง
ค. การใหข้ ้อมูลย้อนกลับแกผ่ ู้เรียน ง. การแสดงความคดิ เห็นอยา่ งอิสระ
61. การใหข้ ้อมูลยอ้ นกลบั (Feedback) มีความสำคัญอยา่ งไรต่อผเู้ รียน
ก. ปรับปรุงการเรียนรู้ ข. ประเมินประสิทธภิ าพการสอน
ค. สะท้อนขอ้ มลู ใหผ้ ้ปู กครองรับทราบ ง. พฒั นากระบวนการจดั การเรยี นการสอน
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÑèÇä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 232
62. การประเมินในข้อใดไม่ใช่วธิ ีการประเมนิ ตามสภาพจรงิ
ก. แฟ้มสะสมงาน ข. สงั เกตขณะทำกิจกรรม
ค. การประเมินภาคปฏบิ ัติ ง. การประเมินความถนัดทางการเรยี น
63. การประเมนิ ผลระหว่างเรียนมีประโยชน์ดา้ นใด
ก. วางแผนการเรียน ข. ตรวจสอบผูเ้ รียน
ค. แกไ้ ขผลการเรยี น ง. ตัดสนิ ผลการเรียน
64. ขอ้ ใดไม่เกยี่ วข้องกับการวิจยั ในชั้นเรยี น
ก. นำผลมาใช้ปรบั ปรงุ การเรียนการสอน
ข. ส่งเสรมิ พัฒนาการการเรยี นร้ขู องผ้เู รียน
ค. สะท้อนข้อมลู ของผเู้ รียนใหผ้ ู้ปกครองทราบ
ง. ดำเนนิ การเปน็ วงจรตอ่ เน่ือง นำผลไปใชท้ นั ที
65. ครจู ัดการเรียนร้เู กี่ยวกบั การอา่ นในชนั้ เรยี น พบว่ามนี กั เรยี น 3 คน จาก 35 คน ที่อา่ นสะกดคำ
ไม่ได้ ครคู วรดำเนนิ การออกแบบการวิจยั เพือ่ แกป้ ัญหาอย่างไร
ก. ศกึ ษารายกรณีเพ่อื แก้ปัญหา
ข. วิจัยเชิงประเมินเพือ่ แก้ปญั หา
ค. วิจยั ประเมนิ ความต้องการจำเป็น
ง. พัฒนานวตั กรรมแผนการจัดการเรียนรู้
66. ขอ้ ใดไมส่ อดคลอ้ งกับหลกั การเลอื กปัญหาการวจิ ัยในชั้นเรยี น
ก. เป็นปญั หาที่สามารถหาคำตอบได้ดว้ ยวิธใี ดกไ็ ด้
ข. เป็นปญั หาทม่ี ีประโยชน์โดยตรงกับนกั เรยี นมากทสี่ ดุ
ค. เปน็ ปญั หาท่มี ผี ลกระทบตอ่ นกั เรยี น จำเปน็ ตอ้ งไดร้ บั การแกไ้ ข
ง. เปน็ ปญั หาทีค่ รมู ีความรแู้ ละทักษะในการแกป้ ญั หานน้ั โดยวธิ ีวิจัย
ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÇÔ à¢éÁ
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÇÑè ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 233
67. ผู้วจิ ยั ทำการทดสอบสมมตฐิ านการวิจยั โดยใช้ t-test for dependent samples แสดงว่าออกแบบ
การทดลองรปู แบบใด
ก. ทดลองกล่มุ เดียว สอบครั้งเดียว ข. ทดลองกลมุ่ เดยี ว สอบสองครัง้
ค. ทดลองสองกลุ่ม สอบครั้งเดยี ว ง. ทดลองสองกลมุ่ สอบสองคร้ัง
คำชี้แจง จากงานวจิ ัยปฏบิ ตั ิการในชั้นเรยี นต่อไปนใ้ี ชต้ อบคำถามข้อ 68 - 70
ครมู านีเปน็ ครูวิชาภาษาจนี ตอ้ งการหาวิธีสอนสนุก จงึ ศกึ ษาความสนใจในการเรียนของ
นักเรยี นเม่อื ใช้การสอนเชงิ บวก ดำเนนิ การวจิ ยั โดยใช้กลมุ่ ทดลองกลุ่มเดยี ว โดยทำการบันทักวิดโี อการ
สอนของตนเอง แลว้ นำมาวเิ คราะหพ์ ฤตกิ รรมการสอนดว้ ยตนเอง จากน้นั ให้เพอ่ื นครดวู ิดโี อการสอน
และสอบถามนักเรยี นเก่ยี วกับการสอน ผลการวิจยั พบว่า นกั เรียนมคี วามสนใจและกระตอื รือร้นในการ
เรียนภาษาจนี ครมู ีพฤติกรรมการสอนเชงิ บวกมากขน้ึ และนกั เรียนมีการวจิ ารณ์เชิงบวกเกย่ี วกบั การ
จัดการเรยี นการสอนของครมู านี
68. หวั ขอ้ วิจยั ใดเหมาะสมกับงานวิจยั ข้างตน้ มากท่ีสดุ
ก. วธิ กี ารสอนเชงิ บวกที่มีต่อความสนใจในการเรียนภาษาจนี ของนักเรยี น
ข. การศึกษาระดบั ความกระตอื รือร้นของนักเรียนทมี่ ตี อ่ การสอนเชงิ บวกของครู
ค. การศึกษาผลของการใชว้ ิธีการสอนเชงิ บวกทีม่ ตี ่อความสนใจในการเรียนภาษาจนี ของ
นกั เรยี น
ง. การพฒั นาความสนุกสนานเพลดิ เพลนิ ในการเรยี นภาษาจีนของนกั เรียนดว้ ยวธิ กี ารสอนเชิง
บวก
69. ควรใชเ้ ครือ่ งมอื ในข้อใดเก็บรวบรวมขอ้ มลู ข. ข้อ 1) และ ข้อ 3)
1) แบบทดสอบความรู้ ง. ขอ้ 1) ขอ้ 2) และ ขอ้ 3)
2) แบบสอบถามนกั เรียน
3) แบบสงั เกตการสอนของครู
ก. ข้อ 1) และ ขอ้ 2)
ค. ขอ้ 2) และ ขอ้ 3)
70. ใครเปน็ ผสู้ ะทอ้ นผลตามวงจรการวิจยั ปฏิบตั กิ ารในชน้ั เรียนแบบ PAOR
ก. ครมู านแี ละนักเรียน ข. ครูมานีและเพื่อนครู
ค. เพือ่ นครูและนักเรียน ง. ครมู านี เพ่ือนครู และนกั เรยี น
ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢éÁ
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÇÑè ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 234
71. การประเมนิ คณุ ภาพภายใน สถานศกึ ษาจะได้ประโยชนใ์ นเรื่องใดมากที่สดุ
ก. ผลการประเมนิ สถานศกึ ษา ข. เทคนิคการประเมนิ จากผ้ปู ระเมนิ
ค. ขอ้ คิดในการจดั ทำคำของบประมาณ ง. แนวทางการพัฒนาสถานศกึ ษาทีเ่ ป็นรูปธรรม
72. ในการประกนั คุณภาพการศึกษา สถานศึกษาไมม่ ีบทบาทในข้อใด
ก. กำหนดมาตรฐานการศกึ ษาของสถานศึกษา
ข. ทำแผนพัฒนาการจดั การศกึ ษาของสถานศกึ ษา
ค. จดั ส่งรายงานผลการประเมนิ ตนเองของสถานศกึ ษาให้ สมศ.
ง. ประเมนิ ผลและตรวจสอบคณุ ภาพการศกึ ษาภายในสถานศกึ ษา
73. ขอ้ ใดคอื เป้าหมายทีส่ ำคญั ทส่ี ุดของการประกันคุณภาพภายใน
ก. พัฒนาคณุ ภาพใหเ้ กดิ กับผเู้ รียน
ข. สร้างความน่าเชอ่ื ถือให้กบั โรงเรียน
ค. เพอื่ ใหผ้ า่ นการประเมินคุณภาพภายนอก
ง. เพอ่ื เป็นทีย่ อมรบั ของผปู้ กครองและชุมชน
74. การประเมนิ คุณภาพภายนอกรอบ 4 สำหรับสถานศึกษาข้นั พืน้ ฐาน มีหลักการต้ังขอ้ ใด
ก. การประเมนิ คณุ ภาพภายนอกที่เน้นการประเมนิ เชงิ ปรมิ าณ
ข. การประเมินคุณภาพภายนอกต้องได้รบั การตรวจเย่ียมสถานศกึ ษา
ค. การประเมนิ คุณภาพภายนอกเพือ่ รบั รองว่าผา่ นหรือไม่ผา่ นเกณฑ์การประเมนิ
ง. การประเมินคุณภาพภายนอกท่ีเช่อื มโยงกับระบบการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา
75. แนวคิดการประเมนิ คณุ ภาพภายนอกรอบ 4 ในปัจจบุ นั เนน้ การประเมินแบบใด
ก. IT-based QA ข. Paper-based OA
ค. School-based OA ง. Integrated-based QA
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢éÁ
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÑÇè ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 235
เฉลยแนวขอ้ สอบครผู ูช้ ว่ ย
มาตรฐานการสอน
1. ง. การเรียนในชนั้ เรียน การเรยี นผ่านโทรทัศน์ และการเรยี นการสอนแบบออนไลน์
2. ง. วัดไข้ ใส่หนา้ กาก ลา้ งมือ เวน้ ระยะห่าง ทำความสะอาด ลดแออัด
3. ค. จัดการเรียนการสอนที่สง่ เสริมความคดิ สรา้ งสรรค์และการเรยี นรทู้ ่ไี มส่ น้ิ สดุ
4. ก. อิงบรบิ ท
5. ค. Learner Person, Innovative Co-creator, Active Citizen
6. ข. ปรับการเรียนรูท้ ส่ี ่งเสริมการคดิ ในกรอบเปน็ การคดิ นอกกรอบ
7. ก. สง่ เสรมิ กจิ กรรมการเรียนรูส้ ู่การเปน็ ผู้ประกอบการ
8. ข. จัดกจิ กรรมการเรียนร้ทู ี่มเี นือ้ หาซับซอ้ น และเนน้ ภาคปฏิบตั ิ
9. ก. จัดทำแผนการจดั การเรยี นรู้หรอื สอ่ื การสอนที่บูรณาการกบั หลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง
10. ค. กจิ กรรมสง่ เสรมิ การเปล่ยี นพฤตกิ รรมการบรโิ ภค
11. ง. จดั กระบวนการเรียนรเู้ พือ่ ให้ผ้เู รียนแสดงออกถงึ ความตั้งใจและรับผิดชอบในการทำงาน มคี วาม
อดทนเพอ่ื ใหง้ านสำเรจ็ ตามเป้าหมาย
12. ค. เศรษฐกจิ สังคม ส่งิ แวดล้อม และวฒั นธรรม
13. ง. ได้ลงมือปฏบิ ัตจิ ริง ไดร้ บั ความรทู้ ่ชี ัดเจน และมแี นวทางในการประยุกต์ใช้ความคดิ ใน
ชวี ติ ประจำวนั
14. ง. ใชจ้ า่ ยใหร้ ายจ่ายสมดลุ กับรายรับ ไมก่ ่อหนี้สินล้นพ้นตัว
15. ค. มภี ูมคิ ุ้มกัน
16. ง. ความคดิ ความรู้สกึ
17. ค. กฎแห่งความพร้อม
18.ข. Wolfgang Kohler
19. ง. การลงโทษทางลบ
20. ก. การเสรมิ แรงทางบวก
21. ค. การลงโทษทางบวก
22. ข. การเสรมิ แรงทางลบ
23. ค. พัฒนาการของบคุ คลแต่ละวัยมลี กั ษณะทสี่ มั พันธ์กัน
24. ข. การเรยี นรู้และวฒุ ภิ าวะ
25. ค. มคี วามรับผดิ ชอบครบถว้ นในส่งิ ท่ีได้รับมอบหมาย
26. ข. ครูสามารถเขา้ ใจผู้เรยี นและจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ได้อย่างเหมาะสม
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢Áé
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÇèÑ ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 236
27. ข. การเข้าใจในสิ่งทีเ่ ป็นนามธรรม
28. ง. การใหโ้ อกาสในการทดลองทำสิ่งต่าง ๆ โดยไมม่ ขี ้อจำกัด
29. ง. คอยชี้แนะใหน้ ักเรียนสอบได้คะแนนสูงและเอาชนะนกั เรียนทุกคนในโรงเรยี น
30. ข. กจิ กรรมซอ่ มเสริม
31. ค. ครูใจดศี กึ ษาข้อมลู พ้นื ฐาน ความต้องการจำเปน็ เกี่ยวกับการศึกษาของผเู้ รยี น ชมุ ชน และสงั คม
32. ก. กำหนดจุดมุง่ หมายหลกั สตู ร
33. ก. สนองความต้องการ ความถนัด และความสามารถของผู้เรียนอย่างแท้จริง
34. ค. ระหว่างดำเนนิ การใช้หลักสตู ร
35. ค. คัดสรรจำนวนเนอื้ หาทีจ่ ะเรยี นรใู้ ห้มปี ริมาณมากทีส่ ุดเท่าทจี่ ะมากได้
36. ง. การจัดการเรยี นรู้โดยใชป้ ัญหาเป็นฐาน
37. ข. กลุ่มสาระการเรยี นรูก้ ารงานอาชพี กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
38. ข. ผูเ้ รยี นไม่ถกู ปล่อยปละละเลยหรือท้ิงใครไว้ดา้ นหลงั
39. ง. ทักษะดา้ นการคดิ อย่างมวี จิ ารณญาณและทกั ษะในการแกป้ ญั หา
40. ก. การสอนแบบโครงงาน
41. ก. การสอนแบบชปิ ปา
42. ข. อธิบายเกีย่ วกบั วถิ ชี วี ิตใหม่
43. ง. การใช้ทกั ษะชวี ิต
44. ก. ผู้เรยี นไดค้ ดิ ตดั สนิ ใจดว้ ยตนเองโดยปราศจากความกลัว
45. ก. หลักประชาธิปไตย หลกั ความใกลช้ ดิ
46. ข. ใหผ้ ู้เรยี นมอี ิสระในการคดิ แตม่ วี นิ ยั ในการควบคมุ พฤติกรรมของตนเอง
47. ค. ใหผ้ เู้ รยี นไปคน้ คว้าประวตั ิชาตไิ ทยทีพ่ ิพิธภณั ฑสถานแห่งชาติ
48. ง. สนองจดุ ประสงคข์ องการเรียนการสอนและสามารถใชไ้ ด้จริง
49. ค. การใชค้ อมพวิ เตอร์ออกแบบแผนผงั โครงสร้างฝา่ ยบรหิ ารโรงเรียน
50. ข. การจดั การเรยี นรใู้ หก้ บั ผเู้ รยี นจำนวนมากควรใชก้ ระดานดำ
51. ข. ความแตกต่างระหว่างบคุ คล : แบบเรียนสำเรจ็ รปู / ความพรอ้ ม : ศนู ยก์ ารเรยี น
52. ง. ใช้ถ่ายโอนไฟล์จากเครือ่ งคอมพวิ เตอร์ระบบหนึง่ มายงั อกี ระบบหน่ึงผา่ นเครือข่าย
53. ค. บทเรยี นแบบโมดูล
54. ก. โปรแกรมประมวลคำ
55. ก. Zoom
56. ง. ค่าทไี่ ด้จากการวดั นำมาใช้เปน็ ขอ้ มูลเปรียบเทยี บกบั เกณฑก์ ารประเมนิ
57. ข. เครื่องมอื วดั การเรียนรู้
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢éÁ
Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÑÇè ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 237
58. ก. เขยี นบทละครเวที
59. ข. ความยาก
60. ง. การแสดงความคดิ เหน็ อยา่ งอสิ ระ
61. ก. ปรบั ปรงุ การเรยี นรู้
62. ง. การประเมนิ ความถนัดทางการเรยี น
63. ข. ตรวจสอบผู้เรียน
64. ง. ดำเนินการเป็นวงจรต่อเนื่อง นำผลไปใช้ทนั ที
65. ก. ศกึ ษารายกรณเี พือ่ แกป้ ญั หา
66. ก. เป็นปญั หาที่สามารถหาคำตอบไดด้ ว้ ยวธิ ีใดก็ได้
67. ข. ทดลองกลุ่มเดยี ว สอบสองคร้งั
68. ค. การศกึ ษาผลของการใชว้ ธิ ีการสอนเชิงบวกทีม่ ตี อ่ ความสนใจในการเรยี นภาษาจีนของนักเรียน
69. ค. ขอ้ 2) และ ข้อ 3)
70. ข. ครมู านแี ละเพอ่ื นครู
71. ง. แนวทางการพัฒนาสถานศึกษาท่เี ปน็ รูปธรรม
72. ค. จดั สง่ รายงานผลการประเมนิ ตนเองของสถานศึกษาให้ สมศ.
73. ก. พฒั นาคุณภาพให้เกิดกบั ผ้เู รยี น
74. ง. การประเมนิ คณุ ภาพภายนอกท่ีเชือ่ มโยงกับระบบการประกนั คณุ ภาพภายในของสถานศกึ ษา
75. ก. IT-based QA
ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢éÁ