The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

5 มาตรฐานความรู้ทั่วไปในการจัดการเรียนการสอน (2)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by apinya302, 2022-02-27 01:47:23

5 มาตรฐานความรู้ทั่วไปในการจัดการเรียนการสอน (2)

5 มาตรฐานความรู้ทั่วไปในการจัดการเรียนการสอน (2)

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÑÇè ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 96

การบรหิ ารจดั การชนั้ เรียน

ความหมายของการบริหารจดั การช้ันเรยี น
การจดั การชัน้ เรียนในความหมายโดยทวั่ ไปคอื การจัดสภาพของห้องเรียน เป็นพฤติกรรมการ

สอนทคี่ รสู ร้างและคงสภาพเงอื่ นไขของการเรียนรู้ เพื่อช่วยใหก้ ารเรียนการสอนมีประสิทธภิ าพและ

เกดิ ประสทิ ธผิ ลขึน้ ในชน้ั เรยี น ซ่ึงถอื ว่าเป็นชมุ ชนแหง่ การเรยี นรู้ การจดั ชนั้ เรยี นทม่ี ีคณุ ภาพนั้นต้องเปน็

กระบวนการทด่ี ำเนนิ ไปอยา่ งตอ่ เนื่องและคงสภาพเชน่ น้ีไปเรอ่ื ย ๆ โดยสรา้ งแรงจูงใจในการเรยี นรกู้ าร
ใหผ้ ลย้อนกลับและการจัดการเก่ยี วกบั การทำงานของนักเรยี นความพยายามของครูที่มปี ระสิทธิภาพน้ัน

หมายรวมถงึ การท่ีครเู ป็นผดู้ ำเนินการเชิงรกุ มีความรับผดิ ชอบและเป็นผูส้ นบั สนุน

ประเด็นสำคัญ

การจัดสภาพของห้องเรยี นเป็นพฤติกรรมการสอนที่ครสู รา้ งและคง

สภาพเงื่อนไขของการเรียนรเู้ พอ่ื ช่วยให้การเรียนการสอนมปี ระสิทธิภาพและเกดิ
ประสทิ ธผิ ล

รปู แบบการจัดชัน้ เรยี น

การจดั ช้นั เรยี นจัดได้หลายรูปแบบโดยจัดใหเ้ หมาะสมกบั บทเรียนกิจกรรมการเรียนการสอน
จำนวนนักเรียน สภาพแวดลอ้ มในชนั้ เรยี น ขนาดของห้องเรยี น ครูควรไดป้ รับเปลย่ี นรปู แบบของการจัด
โต๊ะเก้าอม้ี ุมวิชาการและมุมตา่ ง ๆ ในห้องเรียนเพอื่ สรา้ งบรรยากาศของห้องเรยี นให้น่าสนใจไมซ่ ำ้ ซาก
จำเจ ไมน่ า่ เบื่อหนา่ ย นักเรียนจะเกิดความกระตือรือร้นและกระฉับกระเฉงในการเรียนดีข้นึ การจัดช้นั
เรียนถา้ แบ่งตามวิธีการสอนแบ่งไดเ้ ป็นสองแบบคอื การจัดชัน้ เรยี นธรรมดา และการจัดชั้นเรยี นแบบ
นวตั กรรม

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÇèÑ ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 97

1. ชนั้ เรียนแบบธรรมดา เปน็ ชัน้ เรียนทมี่ คี รเู ป็นศนู ยก์ ลาง เป็นผู้นำการเรียนรู้ โดยมผี ู้เรยี นรู้
เป็นผรู้ ับความรูจ้ ากครู การจดั ชัน้ เรียนแบบนีจ้ ะมโี ตะ๊ ครอู ยหู่ นา้ ช้ันเรียนและมโี ตะ๊ เรียนวางเรยี งกันเป็น
แถวโดยหนั หนา้ เขา้ หาครู

1.1 ลักษณะการจดั ชน้ั เรยี น โต๊ะของนกั เรยี นอาจเป็นโตะ๊ เดี่ยวหรอื โต๊ะคูก่ ไ็ ด้ ผนงั
ห้องเรียนอาจจะมีกระดานปา้ ยนิเทศหรือสอื่ การสอนติดไว้

1.2 บทบาทของครแู ละนกั เรียน ครูจะเปน็ ผรู้ อบร้ใู นดา้ นต่าง ๆ ใช้วิธกี ารสอนแบบ
ปอ้ นความร้ใู หแ้ กน่ ักเรียนโดยการบรรยาย ครจู ะเปน็ ผู้แสดงกิจกรรมตา่ ง ๆ เองแม้กระทงั่ การทดลอง
งา่ ย ๆ ไมเ่ ปดิ โอกาสให้นกั เรียนได้หยิบจบั หรอื แตะต้องสอ่ื

2. ช้ันเรยี นแบบนวัตกรรม ชั้นเรยี นแบบนวัตกรรม เปน็ ชัน้ เรยี นท่ีเออื้ อำนวยต่อการจดั
กิจกรรมการเรียนการสอนโดยใชเ้ ทคนิควธิ สี อนใหม่ ๆ เช่นการเรียนร้แู บบร่วมมอื แบบ 4MAT
แบบโครงงาน ซึ่งนักเรียนจะมอี สิ ระในการเรียน อาจเรียนเป็นกลมุ่ หรอื เป็นรายบุคคลโดยมีครเู ปน็ ผใู้ ห้
คำปรึกษา การจดั ชัน้ เรียนจงึ มรี ปู แบบการจัดโตะ๊ เกา้ อีใ้ นลกั ษณะต่าง ๆ ไมจ่ ำเปน็ ต้องเรียงแถวหนั หนา้
เขา้ หาครู เชน่ จัดเปน็ รปู ตัวทีตวั ยู วงกลมหรอื จดั เปน็ กลมุ่

2.1 ลกั ษณะการจัดชั้นเรยี น การจดั ชน้ั เรยี นแบบนวตั กรรมนี้โตะ๊ ครไู มจ่ ำเป็นต้องอยู่
หน้าชนั้ อาจเคลอ่ื นย้ายไปตามมุมตา่ ง ๆ การจดั โต๊ะนักเรียนจะเปลี่ยนรปู แบบไปตามลักษณะการจัด
กิจกรรมการเรียนการสอนของครู ส่วนใหญ่นยิ มจดั โตะ๊ เปน็ กลมุ่ เพ่อื ให้นกั เรยี นปฏบิ ัตกิ จิ กรรมรว่ มกันมี
การจดั ตง้ั ศูนย์สนใจมสี ื่อการสอนในรูปแบบของชุดการสอน หรือเครือ่ งช่วยสอนต่าง ๆ ไว้ใหน้ ักเรยี น
ศึกษาดว้ ยตนเอง

2.2 บทบาทของครูและนกั เรียน การจดั ชน้ั เรียนแบบนค้ี รจู ะเปน็ ผูก้ ำกับและแนะแนว
นกั เรียนเปน็ ผู้แสดงบทบาท ครูจะพูดนอ้ ยลงให้นักเรยี นได้คดิ ได้ถามในแกป้ ัญหาและทำกจิ กรรมด้วยกัน
เอง

ประเดน็ สำคัญ รูปแบบการจัดชั้นเรียนมี 2 แบบ
1. ชนั้ เรียนแบบธรรมดามีครูเปน็ ศนู ย์กลาง
2. ชนั้ เรียนแบบนวตั กรรมเหมาะกับการเรยี นการสอนด้วยเทคนิคใหมๆ่

เช่น จัดแบบตวั ยู วงกลมแบบกลมุ่

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÇÑè ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 98

ความสำคัญของการจัดบรรยากาศในชั้นเรียน

1. ชว่ ยส่งเสริมใหก้ ารเรยี นการสอนดำเนินไปอย่างราบรนื่ เช่น ห้องเรยี นทีไ่ มค่ ับแคบ
จนเกนิ ไป

2. ช่วยเสริมสร้างลักษณะนสิ ยั ทีด่ ีงามและความมีระเบยี บวินยั ใหแ้ ก่ผูเ้ รียน เช่น หอ้ งเรยี นท่ี
สะอาดจดั โตะ๊ เก้าอี้ไว้อย่างเปน็ ระเบยี บ

3. ชว่ ยสง่ เสริมสขุ ภาพทด่ี ีให้แกผ่ เู้ รยี น เชน่ มีแสงสว่างทเ่ี หมาะสมมที ่นี ั่งไม่ใกล้กระดานดำมาก
เกินไปมขี นาดโต๊ะและเก้าอี้ท่ีเหมาะสมกบั วัย

4. ช่วยสง่ เสริมการเรียนรแู้ ละสร้างความสนใจในบทเรยี นมากย่งิ ขน้ึ เช่น การจัดมุมวิชาการตา่ ง
ๆ การจดั ปา้ ยนิเทศ

5. ช่วยสง่ เสรมิ การเป็นสมาชกิ ทดี่ ีของสังคมเช่นการฝกึ ใหม้ มี นษุ ย์สมั พันธ์ทด่ี ตี อ่ กันฝึกให้มี
อัธยาศยั ไมตรใี นการอยู่รว่ มกนั

6. ชว่ ยสร้างเจตคตทิ ดี่ ตี อ่ การเรียนและการมาโรงเรยี น

บรรยากาศที่พงึ ปรารถนาในช้นั เรยี น

1. บรรยากาศทท่ี ้าทาย (Challenge) เปน็ บรรยากาศทค่ี รกู ระตุน้ ให้กำลงั ใจนักเรียน เพ่ือให้
ประสบผลสำเรจ็ ในการทำงาน นกั เรยี นจะเกิดความเชอ่ื ม่นั ในตนเองและพยายามทำงานให้สำเร็จ

2. บรรยากาศที่มีอสิ ระ (Freedom) เป็นบรรยากาศที่นักเรยี นมีโอกาสได้คดิ ไดต้ ัดสินใจ
เลือกสิง่ ทม่ี ีความหมายและมคี ุณค่า รวมถึงโอกาสทีจ่ ะทำผดิ ด้วย โดยปราศจากความกลวั และวติ กกงั วล
บรรยากาศเชน่ น้ี จะสง่ เสริมการเรยี นรู้ ผูเ้ รียนจะปฏิบตั ิกจิ กรรมด้วยความตัง้ ใจโดยไมร่ สู้ ึกเครยี ด

3. บรรยากาศทม่ี กี ารยอมรับนบั ถือ (Respect) เป็นบรรยากาศทค่ี รรู สู้ ึกว่านักเรยี นเปน็
บคุ คลสำคัญ มคี ณุ คา่ และสามารถเรยี นได้ อันสง่ ผลให้นักเรยี นเกดิ ความเช่ือมั่นและเกิดความยอมรบั
นบั ถือตนเอง

4. บรรยากาศที่มีความอบอนุ่ (Warmth) เปน็ บรรยากาศทางดา้ นจติ ใจ การทค่ี รมู คี วาม
เข้าใจ นักเรยี นเปน็ มิตร ยอมรับให้ความช่วยเหลือ จะทำให้นักเรียนเกิด...ความอบอนุ่ สบายใจและรัก
การมาเรยี น

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·èÑÇä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 99

5. บรรยากาศแหง่ การควบคุม (Control) การควบคมุ ในทนี่ ้ี หมายถึง การฝกึ ใหน้ ักเรยี นมี
ระเบียบวนิ ยั มิใช่การควบคมุ ไมใ่ ห้มอี ิสระ ครูตอ้ งมเี ทคนิคในการปกครองช้ันเรียนและฝึกใหน้ ักเรยี น
รูจ้ กั ใช้สทิ ธิหนา้ ท่ี ของตนเองอยา่ งมขี อบเขต

6. บรรยากาศแห่งความสําเร็จ (Success) เปน็ บรรยากาศทผี่ เู้ รียนเกิดความรสู้ ึกประสบ
ความสาํ เร็จในงานทที่ าํ

ประเภทของการจดั บรรยากาศในช้ันเรียน

1. บรรยากาศทางกายภาพ (Physical atmosphere) การจดั สภาพแวดล้อมต่าง ๆ ภายใน
หอ้ งเรียน ใหเ้ ปน็ ระเบยี บเรยี บรอ้ ยน่าดู มคี วามสะอาด

2. บรรยากาศทางจติ วิทยา (Psychological atmosphere) บรรยากาศทางดา้ นจติ ใจท่ี
นักเรียนรูส้ กึ สบายใจ มคี วามอบอนุ่

ประเด็นสำคญั // การจดั บรรยากาศในชัน้ เรียนมี 2 แบบ คอื บรรยากาศทางกายภาพ +
บรรยากาศทางจิตวทิ ยา

1. การจดั บรรยากาศทางกายภาพ (Physical atmosphere)

การจดั โต๊ะและเกา้ อขี้ องนกั เรยี น
1. จดั ใหม้ ีขนาดเหมาะสมกบั รูปรา่ งและวยั ของนกั เรียน
2. จัดใหม้ ชี อ่ งว่างระหวา่ งแถวทีน่ ักเรียนจะลกุ นั่งได้สะดวกและทำกจิ กรรมได้คลอ่ งตวั
3. จัดใหม้ คี วามสะดวกต่อการทำความสะอาดและเคล่อื นย้าย เปล่ียนรปู แบบ

ทีน่ ง่ั เรียน
4. จดั ใหม้ รี ูปแบบท่ีไม่จำเจ เช่น อาจจะเปลยี่ นเป็นรูปตัวที ตวั ยู รปู คร่งึ วงกลม

ได้อยา่ งเหมาะสมกับกจิ กรรมการเรยี นการสอน
5. จัดให้นักเรยี นท่ีน่ังทกุ จดุ อ่านกระดานดำไดช้ ัดเจน
6. จดั ให้แถวหนา้ ของโต๊ะเรยี นควรอยู่หา่ งจากกระดานดำพอสมควร ไมน่ ้อยกว่า 3

เมตร

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÑÇè ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 100

2. การจัดโตะ๊ ครู
1. ใหอ้ ยู่ในจดุ ทเ่ี หมาะสม อาจจัดไวห้ นา้ หอ้ ง ขา้ งห้อง หรือหลงั หอ้ งกไ็ ด้ งานวิจัยบาง

เร่อื งเสนอแนะใหจ้ ัดโต๊ะครไู ว้ดา้ นหลังห้องเพื่อให้มองเห็นนักเรยี นไดอ้ ยา่ งทัว่ ถงึ อย่างไรก็ตามการจัด
โต๊ะครูนนั้ ขึ้นอยู่กบั รปู แบบการจดั ท่ีนัง่ ของนักเรยี นด้วย

2. ให้มคี วามเป็นระเบยี บเรยี บร้อย ทัง้ บนโตะ๊ และในล้นิ ชกั โตะ๊ เพื่อสะดวกตอ่ การ
ทำงานของครแู ละการวางสมุดงานของนักเรียน ตลอดจนเพือ่ ปลกู ฝงั ลกั ษณะนสิ ัยความเป็นระเบยี บ
เรียบรอ้ ยแก่นักเรียน

3. การจดั ป้ายนเิ ทศ
ควรติดไวท้ ี่ฝาผนงั ของห้องเรยี น สว่ นใหญจ่ ะติดไวท้ ่ีข้างกระดานดำท้ัง 2 ขา้ ง

4. การจดั สภาพห้องเรียน การจัดสภาพหอ้ งเรยี นใหถ้ กู สุขลกั ษณะควรจดั ดงั นี้
1. มีอากาศถ่ายเทไดด้ ี มหี น้าตา่ งพอเพียงและมีประตเู ข้าออกไดส้ ะดวก
2. มแี สงสวา่ งพอเหมาะ เพอ่ื ชว่ ยใหผ้ ้เู รยี นอ่านหนงั สือที่ชัดเจน เพ่ือเป็นการถนอม

สายตาควรใช้ไฟฟา้ ชว่ ย ถา้ มีแสงสวา่ งนอ้ ยเกนิ ไป
3. ปราศจากส่ิงรบกวนต่าง ๆ เช่น เสียง กลิ่น ควนั ฝนุ่ ฯลฯ
4. มีความสะอาด โดยฝึกให้นักเรียนรบั ผิดชอบชว่ ยกนั เกบ็ กวาดเชด็ ถู เป็นการปลกู ฝงั

นสิ ยั รกั ความสะอาด และฝกึ การทำงานร่วมกนั

5. การจัดมมุ ต่าง ๆ ของห้องเรียน
1. มมุ หนังสอื ควรมีไวเ้ พ่อื ฝกึ นสิ ัยรักการอา่ น
2. มุมเสรมิ ความร้กู ลมุ่ ประสบการณต์ ่าง ๆ ควรจดั ไว้ใหน้ า่ สนใจช่วยสร้างความรู้
3. มุมแสดงผลงานของนกั เรียน ครูควรตดิ บนปา้ ยนิเทศ
4. ตู้เก็บสอื่ การเรียนการสอน
5. การประดับตกแต่งหอ้ งเรยี น
6. มมุ เก็บอปุ กรณ์ทำความสะอาด ตลอดจนชนั้ วางเคร่ืองมอื เครอ่ื งใชข้ องนักเรียน

ประเดน็ สำคญั // FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢éÁ
โต๊ะเรยี นแถวแรกควรอยหู่ ่างจากกระดานดำไม่นอ้ ยกว่า 3 เมตร
โตะ๊ ครู ควรจัดไวห้ ลังห้อง
ป้ายนิเทศ ติดไว้ทีข่ า้ งกระดานดำท้ัง 2 ข้าง

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹Ô¡

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÑÇè ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 101

2. บรรยากาศทางจติ วิทยา (Psychological atmosphere)

การจัดบรรยากาศทางดา้ นจิตวทิ ยาทางดา้ นจิตใจจะชว่ ยสรา้ งความรู้สกึ ให้นักเรยี นเกดิ ความ
สบายใจในการเรียน

ปัจจยั ในการจดั บรรยากาศทางจติ วิทยาของครู ประกอบดว้ ย
1. บคุ ลกิ ภาพ
2. พฤตกิ รรมการสอน
3. เทคนคิ การปกครองชน้ั เรียน
4. ปฏิสัมพนั ธใ์ นหอ้ งเรยี น

บุคลกิ ภาพครปู ระเภทที่ 1 จะสร้างบรรยากาศแบบประชาธปิ ไตย นักเรียนจะร้สู ึกสบายใจใน
การเรียน เปน็ บรรยากาศท่สี ่งเสริมใหเ้ กิดการเรียนร้ทู ด่ี ี

- ถ้าครแู สดงความเปน็ มติ ร นกั เรียนจะอบอุน่ ใจ
- ถ้าครยู ิม้ แย้ม นักเรียนจะแจม่ ใส
- ถ้าครูมีอารมณ์ขนั นักเรียนจะเรยี นสนุก
- ถ้าครูกระตือรอื รน้ นกั เรียนจะกระปร้กี ระเปร่า
- ถ้าครูมนี ำ้ เสยี งนุม่ นวล นกั เรยี นจะสภุ าพออ่ นน้อม
- ถา้ ครูแตง่ ตวั เรยี บร้อย นักเรียนจะเคารพ
- ถา้ ครใู ห้ความเมตตาปราณี นกั เรยี นจะมีจิตใจออ่ นโยน
- ถา้ ครูให้ความยตุ ธิ รรม นกั เรยี นจะศรทั ธา

บุคลกิ ภาพครปู ระเภทท่ี 2 จะสรา้ งบรรยากาศแบบเผด็จการ เป็นบรรยากาศทไี่ มส่ ่งเสรมิ ให้

เกิดการเรยี นรทู้ ดี่ ี

- ถา้ ครเู ขม้ งวด นกั เรยี นจะหงดุ หงดิ

- ถา้ คณุ หนา้ นวิ่ คว้ิ ขมวด นกั เรียนจะรสู้ ึกเครยี ด

- ถ้าครฉู ุนเฉียว นักเรียนจะอดึ อัด

- ถ้าครูปนั้ ปึง นักเรียนจะกลัว

- ถา้ ครแู ตง่ กายไม่เรยี บร้อย นกั เรียนจะขาดความเคารพ

- ถ้าครูใชน้ ้ำเสยี งดดุ นั นกั เรียนจะหวาดกลวั

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÇÔ à¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÇÑè ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 102

การปกครองชน้ั เรยี น ครูควรยดึ หลกั ดังน้ี

1. หลกั ประชาธิปไตย ครูควรให้ความสำคญั ต่อนกั เรยี นเทา่ เทียมกนั
2. หลักความยุตธิ รรม ครคู วรปกครองโดยใชห้ ลกั ความยตุ ธิ รรมแกน่ ักเรยี นทุกคนโดยทั่วถึง
3. หลกั พรหมวหิ าร 4 อันได้แก่ เมตตา กรุณา มทุ ติ า อุเบกขา
4. หลักความใกลช้ ิด ครูจะต้องร้จู ักนกั เรยี นในชนั้ ทกุ คน ครจู ะสละเวลาของตน เพ่อื เดก็
นกั เรียน

ประเดน็ สำคญั //

เทคนิคการปกครองช้ันเรียน ใชห้ ลักประชาธิปไตย ถ้าแนวพระพุทธศาสนาใช้
หลักพรหมวิหาร 4

หลกั การจัดชัน้ เรียน

การจัดบรรยากาศทางกายภาพ และการจัดบรรยากาศทางดา้ น จติ วิทยาในชัน้ เรียน ให้
เออ้ื อำนวยตอ่ การเรยี นรปู้ ฏิสมั พนั ธ์ในหอ้ งเรียน คำนงึ ถงึ หลกั การจัดชนั้ เรียน ดังนี้

1.การจดั ชนั้ เรียนควรใหย้ ืดหยนุ่ ไดต้ ามความเหมาะสม
2.ควรจัดช้ันเรียนเพ่อื สร้างเสรมิ ความรทู้ ุกดา้ น
3.ควรจดั ช้ันเรยี นใหม้ ีสภาพแวดล้อมท่ีดี
4.ควรจดั ช้นั เรียนเพือ่ เสริมสรา้ งลกั ษณะนิสยั ที่ดงี าม
5.ควรจดั ชั้นเรียนเพอ่ื สร้างความเป็นระเบยี บ
6.ควรจดั ชน้ั เรียนเพอื่ สร้างเสริมประชาธปิ ไตย
7.ควรจัดช้ันเรียนให้เอ้อื ต่อหลกั สตู ร

ประเดน็ สำคญั // หลักการจดั ชั้นเรยี นตอ้ งมคี วามยืดหยนุ่

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÇèÑ ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 103

3.3 การใชเ้ ทคโนโลยดี จิ ทิ ลั ในการจดั การเรยี นรู้

DLTV (Distance Learning Television)

รปู แบบ
- DLTV เป็นการสอนออกอากาศผา่ นสัญญาณดาวเทยี ม
- โรงเรียนตน้ ทางคือ โรงเรยี นวงั ไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบครี ขี ันธ์
- ดูแลโดย มลู นธิ ิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ในพระบรมราชูปถัมภ์

ชอ่ งทางการรับชม
- ชอ่ งทางที่ 1 สญั ญาณทางไกลผา่ นดาวเทียมระบบ KU-BAND ชอ่ ง 186 – 200 ออกอากาศ

15 ชอ่ ง (DLTV 1 – 15) ตลอด 24 ชั่วโมง
- ช่องทางท่ี 2 ผ่านระบบอนิ เทอร์เนต็ เวบ็ ไซต์ www.dltv.ac.th
- ชอ่ งทางที่ 3 ผา่ นแอปพลเิ คชนั DLTV (DLTV Application) บนมอื ถือ / แทบ็ เล็ต

จุดเดน่
- เพ่ิมโอกาสทางการศกึ ษาใหก้ บั นักเรยี นทอี่ ยหู่ ่างไกล
- ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา
- แกป้ ัญหาครูไมค่ รบช้นั

DEEP (Digital Education Excellence Platform)

รปู แบบ
- แพลตฟอร์มการเรยี นรอู้ อนไลน์
- เรียนรู้การจดั การเรียนการสอนออนไลน์ ดว้ ย 2 แพลตฟอรม์ G Suite for MOE และ

Microsoft Teams

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÑèÇä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 104

Microsoft Teams

รูปแบบ
Microsoft Teams เป็น Application สอ่ื สารระดบั องค์กร เป็นเคร่ืองมอื การทำงานรว่ มกัน

ผา่ นการทำ Chat ให้สามารถทำงานรว่ มกนั และแบ่งปนั ขอ้ มูลผ่านพน้ื ที่สว่ นกลาง และเป็นตวั เช่ือมตอ่
กบั App อนื่ ๆ ของ Microsoft เชน่ Skype, SharePoint, Exchange

จดุ เด่น
1. ผูใ้ ช้สามารถใชง้ าน Microsoft Teams ได้ฟรี โดยในเวอรช์ นั ฟรีจะรองรับสูงสดุ 300 Users

ส่วนในเวอรช์ นั Office 365 สามารถรองรับคนได้สูงสดุ 10,000 คนตอ่ ทมี พื้นทเี่ กบ็ ไฟล์ เก็บบันทึกการ
ประชุมขนาดใหญ่

2. ฟีเจอรก์ ารประชมุ ออนไลน์ แชรไ์ ด้ทั้งคนนอกคนใน นอกจากจะประชมุ ได้ 300 คน ไมจ่ ำกัด
เวลา, แชร์หน้าจอ ฯลฯ เหมือน Skype for business แล้ว Teams ยังสามารถบันทกึ การประชุม และ
เก็บข้ึน Stream ได้อีกดว้ ย

3. การส่งไฟล์ก้าวขา้ มทกุ ขอ้ จำกัด การส่งไฟลภ์ ายใน Teams สามารถสง่ ไฟลไ์ ด้ขนาดสูงสดุ
100 GB ตอ่ ไฟล์

สง่ ไฟล์แลว้ ไฟลไ์ มห่ ายตามการเวลา
มี Tab แยกเพ่ือใหค้ น้ หาและจดั การได้ง่าย
และสามารถแกไ้ ขไฟล์ Word | Excel | PowerPoint ภายใน Teams ไดพ้ รอ้ มกันออนไลน์
สงู สดุ 100 คน โดยไมต่ ้องโหลดไฟลล์ งเครื่องก่อน

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÇÔ à¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÑèÇä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 105

OBEC Content Center

รูปแบบ
- แพลตฟอร์มสำหรับให้บรกิ ารเผยแพรเ่ น้อื หาอิเล็กทรอนกิ ส์
- รองรบั การเขา้ ถงึ เน้อื หาอเิ ล็กทรอนกิ ส์จำนวน 7 ประเภท ได้แก่ แอพลเิ คชั่น, หนงั สอื

อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ (Pdf, ePub), วดี ิทัศน์ (Mp4), รูปภาพ (Jpg, Png), เสียง (Mp3), สอ่ื มลั ติมีเดีย
(Flash)และงานวิจยั ทางการศกึ ษา

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·èÇÑ ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 106

Zoom

รปู แบบ
- แอปพลิเคชน่ั สำหรับประชุมออนไลน์แบบเหน็ หนา้ ( VDO Conference )

ขอ้ ดีของการใช้งานของแอป ZOOM
- สามารถพิมพค์ ยุ ได้
- สามารถเปล่ียนพ้นื หลังสำหรับคนทใี่ ช้ VDO Conference ได้
- สามารถ Share หนา้ จอได้
- สามารถอัดการประชุมได้ และ เม่ือจบการประชุม สามารถแยกไฟลเ์ ก็บไวไ้ ด้ด้วย ยกตวั อย่าง

เช่น ไฟลเ์ สียง, ไฟลว์ ดี โี อ
- เข้ารว่ มประชมุ ไดถ้ งึ 100 คน (เวอรช์ ่ันฟรจี ะจำกดั การประชมุ ครั้งละไม่เกนิ 40 นาที )

สอ่ื

ส่ือการสอน หมายถงึ วัสดอุ ปุ กรณแ์ ละวิธกี ารซงึ่ ถูกนำมาใชใ้ นการเรยี นการสอนเพื่อเป็นตัวกลาง
ในการนำส่งหรอื ถา่ ยทอดความรู้ทกั ษะเจตคติ จากผสู้ อนหรอื แหล่งความรู้ไปยังผู้เรยี นชว่ ยใหก้ ารเรยี น
การสอนดำเนินไปอยา่ งสะดวกและมีประสทิ ธิภาพและทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนร้ตู ามวัตถุประสงคข์ อง
การเรียนการสอนท่ีต้ังไว้

ส่อื การสอนแบ่งตามคณุ สมบตั ิเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ
1. วัสดุ (Materials) เปน็ ส่ือเลก็ หรือสอื่ เบา บางทีเ่ รียกว่า Soft Ware สอื่ ประเภทนผี้ ุพังไดง้ ่าย

เช่น แผนภมู ิ แผนภาพ เปน็ ต้น
2. อปุ กรณ์ (Equipment) เปน็ ส่อื ใหญ่หรือหนกั เป็นสื่อทปี่ ระกอบดว้ ยกลไกไฟฟ้าและ

อิเลก็ ทรอนิกสบ์ างที่เรียกวา่ ส่ือ Hardware ส่อื ประเภทน้ไี ดแ้ ก่ เครอ่ื งฉายข้ามศีรษะ เคร่อื งฉายสไลด์
เครื่องฉายภาพยนตร์ ตลอดจนเคร่อื งสอนและคอมพิวเตอร์

3. เทคนิค วิธกี าร หรือกจิ กรรม (Method Technique or Activities) เปน็ สอื่ ท่เี กดิ จากการ
ถา่ ยทอดด้วยประสบการณค์ วามรู้ ได้แก่ บทบาทสมมตุ ิ (Role Playing) , สถานการณจ์ ำลอง

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÑÇè ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 107

สอ่ื การสอนตามหลกั ของเอ็ดการ์ เดล (Edgar Dale)

เดล ได้แบง่ สือ่ การสอนออกเป็น 11 ประเภทโดยพจิ ารณาจากลกั ษณะของประสบการณท์ ไี่ ดร้ บั
จากสอ่ื การสอน โดยยึดความเปน็ รปู ธรรมและนามธรรม เปน็ หลักในการแบง่ ประเภทและได้แบ่ง
ประเภทสื่อการสอนในรูปกรวยประสบการณ์ (The Cone of Experience) โดยให้สอื่ ท่ี มีความเป็น
รปู ธรรมมากที่สุดไวท้ ฐ่ี านกรวย และสอื่ ที่เปน็ นามธรรมนอ้ ยท่สี ุดไวท้ ี่ยอดกรวย ดังนี้

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÑèÇä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 108

1. ประสบการณ์ตรง ซึ่งเปน็ ขัน้ ท่เี ป็นรปู ธรรมมากทีส่ ดุ เพราะผเู้ รียนไดร้ ับประสบการณ์จาก
ของจรงิ สถานท่จี รงิ

2. ประสบการณ์จำลอง เป็นประสบการณ์ทีจ่ ำลองแบบจากของจริงเพราะของจริงอาจมขี นาด
ใหญห่ รอื มคี วามซบั ซ้อนเกนิ ไปถา้ ใช้ของจำลองอาจจะทำใหเ้ ข้าใจงา่ ยกวา่ ประสบการณน์ ้ีไดแ้ กส่ ่งิ ของ
ตวั อยา่ งหรอื หุ่นจำลอง

3. ประสบการณ์นาฏกรรมหรอื การแสดง เป็นการแสดงบทบาทสมมติ หรอื การแสดงละคร

4. การสาธิต เปน็ การใหด้ ตู ัวอยา่ งประกอบการอธิบายการสาธิตทด่ี ีตอ้ งมีอปุ กรณป์ ระกอบผู้
สาธติ ควรรจู้ ักการใชอ้ ปุ กรณน์ น้ั ดว้ ยเช่น การทดลองทางวิทยาศาสตร์การสาธติ ทา่ กายบรหิ ารต่างๆ

5. การศึกษานอกสถานท่ี การพาผู้เรียนไปศกึ ษานอกสถานท่ีเพือ่ ใหผ้ ูเ้ รียนมปี ระสบการณ์และ
ความรกู้ ว้างมากข้ึนเปน็ เครื่องมอื ทช่ี ว่ ยให้ผูเ้ รยี นประสบกับบางสงิ่ โดยตรง จึงไมส่ ามารถจดั ไดใ้ น
หอ้ งเรียน

6. นิทรรศการ เป็นการจดั แสดงสง่ิ ของต่าง ๆ เพื่อใหค้ วามรูแ้ ก่ผดู้ ูซ่ึงอาจรวมเอาหุ่นจำลองการ
สาธิตแผนภมู ติ า่ งๆไวเ้ พ่ือให้ผู้ดูรับประสบการณต์ ่างๆจากสิ่งเรานัน้

7. โทรทศั น์ รายการโทรทัศน์จะทำใหผ้ ้เู รียนได้เห็นภาพได้ยนิ เสียงเหตกุ ารณแ์ ละความเปน็ ไป
ตา่ ง ๆ ในขณะเดยี วกับทม่ี ีการถา่ ยทอดเหตุการณ์นน้ั ๆ อยู่

8. ภาพยนตร์ เปน็ การจำลองเหตกุ ารณม์ าให้ผูเ้ รยี นได้ดูไดฟ้ ังใกลเ้ คยี งกบั ความเปน็ จรงิ แม้ไม่ใช่
เวลาเดียวกนั กับเหตกุ ารณ์จริงสามารถใช้ได้ดีในการประกอบการสาธติ เพราะเปิดโอกาสให้ผู้ดไู ดเ้ ห็น
เหตกุ ารณอ์ ยา่ งใกล้ชดิ

9. ภาพนิง่ และการบันทกึ เสยี ง ได้แกภ่ าพถา่ ยภาพวาดการบนั ทกึ เสียงตา่ งๆ

10. ทศั นสญั ลักษณ์ เช่น แผนภูมิ แผนที่ แผนสถิติ ภาพโฆษณาการ์ตูนซง่ึ มลี ักษณะเป็น
สญั ลกั ษณส์ ำหรับการถ่ายทอดความหมายนำมาใช้แทนความหมายทเ่ี ปน็ ข้อเทจ็ จริง

11. วจนสัญลักษณ์ ซง่ึ เป็นขั้นนามธรรมมากท่สี ดุ ได้แก่ ตวั หนังสือ เสียงพดู

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é èÑÇä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 109

สื่อการเรยี นการสอนแบ่งตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพื้นฐานพุทธศักราช
2551
มี 3 ประเภทได้แก่

1. ส่อื ส่งิ พมิ พ์ไดแ้ กห่ นังสือและเอกสารสิ่งพมิ พต์ า่ ง ๆ
2. สื่อเทคโนโลยี ไดแ้ ก่สอ่ื ทีผ่ ลิตข้ึนเพือ่ ใช้กบั เครอื่ งมอื โสตทศั นะวสั ดุ หรือเครือ่ งมอื ทีเ่ ปน็
เทคโนโลยใี หม่ ๆ
3. สื่ออ่ืน ๆ ไดแ้ ก่บุคคลภูมปิ ญั ญาท้องถ่นิ สอ่ื ธรรมชาติกจิ กรรมกระบวนการวัสดุเคร่ืองมอื
อุปกรณ์

หลักการเลอื กใชส้ ่ือการเรียนการสอน

ผูส้ อนจะต้องตัง้ วตั ถุประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรมในการเรียนใหแ้ นน่ อนกอ่ น เพื่อใช้วตั ถุประสงค์น้ัน
เปน็ ตัวชน้ี ำในการเลอื กส่อื เชน่

1. สื่อนนั้ ตอ้ งสัมพันธก์ บั เนื้อหาบทเรยี นและจดุ มุ่งหมายท่จี ะสอน
2. เลอื กส่อื ที่มเี นอื้ หาถกู ตอ้ ง ทนั สมัย นา่ สนใจ
3. เป็นสือ่ ทีเ่ หมาะสมกบั วัยความรแู้ ละประสบการณ์ของผ้เู รยี น
4. สื่อนัน้ ควรสะดวกในการใช้
5. ตอ้ งเป็นส่ือท่มี ีคณุ ภาพ
6. มีราคาไมแ่ พงจนเกินไป

ประเด็นสำคัญ //
หลักการเลือกใช้สือ่ = สมั พันธก์ ับเนื้อหาบทเรียนและจุดมุง่ หมาย + ถกู ตอ้ ง + ทันสมยั +
น่าสนใจ + เหมาะกบั วัย + สะดวก + มีคุณภาพ + ไมแ่ พง

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÇÔ à¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·èÇÑ ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 110

หลกั การใช้ส่ือการสอน การใช้สอ่ื การสอนมีหลกั การดังน้ี FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢Áé
1. เตรยี มตัวผู้สอน
2. เตรียมจดั สภาพแวดลอ้ ม
3. เตรียมตวั ผเู้ รยี น
4. การใชส้ ื่อให้เหมาะกับขน้ั ตอนและวธิ กี าร
5. การติดตามผล

ตวั อย่างส่ือ ประเภทต้ังแสดง ได้แก่
1.กระดานชอล์ค (Chalk Board)

- ขอบลา่ งควรอยู่ในระดบั สายตาของผ้นู ง่ั เรยี น
- ผ้เู รียนควรนง่ั อยู่ ในอาณาเขตมุม 60 องศา วดั จากจุดกง่ึ กลางของกระดาน
- ผู้เรียนแถวหนา้ ควรอยู่ห่างจากกระดาน อย่างน้อย 3 เมตร
- เวลาลบให้ลบจากบนลงลา่ ง และลบเบาๆ ซ้ายไปขวา

2. ปา้ ยนเิ ทศ (Bulletin Boards)
- เปน็ ปา้ ยทีใ่ ช้แสดงเรอ่ื งราวโดยใช้รปู ภาพ แผนภมู ิ สถติ ิ
และขอ้ ความตา่ งๆ เพ่ือชว่ ยในการเรียนรู้
- โดยทั่วไป มกั มขี นาด ขนาด 2 x 3 ฟตุ หรือ 2 x 4 ฟุต

3. ป้ายสาํ ลี (Felt Board)
- มีลกั ษณะเปน็ แผน่ ปา้ ยแข็งห้มุ ด้วยสําลี
- ใชเ้ ปน็ ปา้ ยสําหรบั ตดิ ชนิ้ สว่ นท่เี ปน็ ภาพตดั ขอบ
หรอื บัตรคําทีม่ ีกระดาษทรายติดอยู่

4. กระเปา๋ ผนงั (Slot Board)
- เปน็ แผน่ ป้ายสำหรบั ใสบ่ ตั รคาํ ภาพมกั สอนเกยี่ วกบั รปู แบบ
คาํ ประโยค ไวยากรณ์

5. ป้ายไฟฟา้ (Electronic Board)
-เป็นแผน่ ปา้ ยทมี่ ีทั้งคาํ ถามและคําตอบอยบู่ นแผน่ ป้าย
- ให้ผู้เรยี น เรียนด้วยตนเอง โดยการจับคู่

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹Ô¡

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é èÇÑ ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 111

- เมื่อจบั ค่ไู ด้ ถูกต้อง จะมีสญั ญาณ

ตัวอย่างส่อื ประเภทกราฟฟกิ ไดแ้ ก่
1. แผนสถติ ิ ..............(Graphs)
2. แผนภาพ...............(Diagrams)
3. แผนภมู ิ ................(Chart)
4. ภาพโฆษณา...........(Posters)
5. การต์ ูน ..................(Cartoons)
6. แผนทแ่ี ละลูกโลก ..(Maps)
7. ภาพวาด ...............(Drawing)
8. ภาพถา่ ย ...............(Photograph)
9. สัญลกั ษณ์ .............(Logo)

ตวั อยา่ งสอ่ื ประเภทกจิ กรรม ได้แก่
1. การสาธิต................................ (Demonstration)
2. การจัดนทิ รรศการ....................(Exhibition)
3. นาฏการ ..................................(Dramatization)
4. การใช้ชุมชนเพือ่ การศึกษา.......(Community Study)
5. สถานการณจ์ ําลอง ..................(Simulation)

ตวั อยา่ งสอ่ื ประเภทเครอื่ งฉาย ไดแ้ ก่
1. เคร่อื งฉายวสั ดุทบึ แสง
2. เคร่ืองฉายฟลิ ม์ สตรปิ
3. เครือ่ งฉายฟิลม์ สไลด์
4. เคร่ืองฉายขา้ มศีรษะ

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÇÔ à¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÇèÑ ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 112

นวัตกรรม (Innovation)

นวัตกรรม (Innovation) หมายถึง ความคดิ การปฏิบัติ หรือสงิ่ ประดิษฐใ์ หม่ ๆ ที่ยังไมเ่ คยมี
ใช้มาก่อน หรอื เป็นการพฒั นาดดั แปลงมาจากของเดมิ ทม่ี อี ยู่แลว้ ใหท้ ันสมัยและใช้ได้ผลดีย่งิ ขึ้น
นวตั กรรม มรี ากศัพทม์ าจาก Innovare ในภาษาลาติน แปลว่า ทำสงิ่ ใหมข่ น้ึ มา

นวัตกรรมทางการศึกษา หมายถงึ นวตั กรรมท่ีจะช่วยให้การศกึ ษา และการเรยี นการสอนมี

ประสิทธิภาพดยี งิ่ ขน้ึ ผูเ้ รยี นสามารถเกิดการเรียนรอู้ ยา่ งรวดเรว็ มปี ระสิทธิผลสงู กวา่ เดมิ
แนวความคิดพ้นื ฐานทางการศกึ ษาทที่ าํ ให้เกดิ นวตั กรรม มี 4 ประการ

1. ความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individual different)
- คอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอน ………CAI
- แบบเรียนสาํ เร็จรูป ………….Programmed Text Book
- เครื่องสอน ……………………..Teaching Machine
- การสอนเปน็ คณะ ……………Team Teaching
- การเรียนแบบไม่แบง่ ช้ัน ……Non-Graded School

2. ความพร้อม Readiness ตวั อยา่ งเชน่
- ศนู ยก์ ารเรียน Learning center
- การจดั การเรียนในโรงเรียน
- การสอนเป็นคณะ

3. การใช้เวลาเพอื่ การศึกษา ตวั อยา่ งเช่น
- การจดั ตารางสอนแบบยดื หย่นุ
- มหาวิทยาลัยเปดิ
- การเรยี นแบบสําเรจ็ รูป
- การเรียนทางไปรษณยี ์

4.ประสิทธภิ าพในการเรียน การขยายตัวทางวชิ าการ การเปล่ยี นแปลงทางสงั คม
ตัวอยา่ งเชน่

- มหาวทิ ยาลยั เปิด
- การเรยี นทางวทิ ยุ โทรทัศน์
- การเรียนทางไปรษณยี ์ แบบสําเร็จรปู
- ชดุ การเรียน

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÇÔ à¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÑèÇä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 113

ประเภทของนวัตกรรมทางการศกึ ษา

1. นวตั กรรมทางดา้ นหลักสูตร
- หลักสูตรบรู ณาการ หลกั สตู รรายบุคคล

2. นวตั กรรมทางดา้ นการเรียนการสอน
- การสอนแบบศนู ยก์ ารเรียน การวิจยั ในช้นั เรยี น

3. นวัตกรรมทางดา้ นสอื่ การสอน
- คอมพิวเตอรช์ ่วยสอนCAI ชุดการสอน

4. นวัตกรรมทางดา้ นการประเมินผล
- การพฒั นาคลงั ขอ้ สอบ การใช้คอมพวิ เตอร์ชว่ ยตดั เกรด

5. นวัตกรรมทางดา้ นการบรหิ ารจัดการ
- ฐานข้อมลู นักเรียน ฐานขอ้ มลู ในสถานศึกษา

เทคโนโลยที างการศึกษา (Educational Technology)

เทคโนโลยที างการศึกษา หมายถึง การนาํ เอาความรู้ แนวคิด กระบวนการ และผลผลติ ทาง
วิทยาศาสตร์ มาใชร้ ่วมกนั อยา่ งมรี ะบบ เพ่ือแก้ปัญหาและพัฒนาการศกึ ษาใหก้ ้าวหนา้ ไปอย่างมี
ประสทิ ธภิ าพ

ตัวอย่างนวตั กรรมและเทคโนโลยีการศกึ ษาทสี่ าํ คัญ

1. Computer Assisted Instruction CAI คอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน
2. Mutimedia ............................................มลั ตมิ ิเดยี
3. Tele Conference .................................การประชมุ ทางไกล
4. Programed Instruction .......................บทเรยี นสําเรจ็ รปู
5. Leraning Packeg ..................................ชดุ การสอน
6. E - Book .................................................หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์
7.ThaiMOOC ...........การศกึ ษาระบบเปิดเพื่อการเรยี นรตู้ ลอดชีวิต

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÑèÇä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 114

โปรแกรมการทำงานต่างๆ
Microsoft Word = ใชพ้ มิ เอกสาร
Microsoft Excel = ใช้คำนวณข้อมลู
Microsoft PowerPoint = ใช้นำเสนอผลงาน
SPSS for Window = ใชใ้ นการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิตวิ ิจยั

ศนู ย์ปฏบิ ตั กิ ารของประทรวงศกึ ษาธกิ าร
PMOC ศนู ย์ปฏิบตั กิ ารสำนักนายกรฐั มนตรี
MOC ศนู ยป์ ฏิบัติการกระทรวงศึกษาธิการ
DOC ศูนยป์ ฏบิ ตั ิการระดับกรม (สพฐ.)
AOC ศนู ย์ปฏิบตั กิ ารระดับเขตพื้นทีก่ ารศึกษา
SOC ศูนย์ปฏบิ ตั กิ ารระดบั สถานศกึ ษา

ศพั ท์ที่ควรรู้
E-Learning หมายถึง การเรียนโดยใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ
Internet หมายถึง การเชอื่ มตอ่ เครือขา่ ยคอมพวิ เตอรข์ นาดใหญท่ ส่ี ุดของโลก
Intranet หมายถึง ระบบเครือขา่ ยภายในองคก์ ร
Extranet หมายถงึ ระบบเครอื ขา่ ยภายนอกองค์กร
LAN หมายถึง เครือขา่ ยความเร็วสูงภายในองคก์ ร
MAN หมายถึง เครือข่ายครอบคลุมพนื้ ท่ภี มู ศิ าสตรท์ ่ีใหญ่กว่า LAN ระหวา่ งองค์กร
WAN หมายถึง เครอื ข่ายทเี่ กิดจากการเชอ่ื ม LAN ที่อยู่ไกลกนั เขา้ ด้วยกนั ระหวา่ งจงั หวดั หรือ

ระหวา่ งประเทศ

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÇÔ à¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÑÇè ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 115

การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ในการศกึ ษาและใช้ในการเรียนการสอนต้องคำนงึ ถงึ
ความสำคญั 3 ประการคือ

1. ประสทิ ธภิ าพ ในการเรยี นการสอนตอ้ งให้ผ้เู รยี นผู้สอนได้เรยี นและไดส้ อนเต็มความสามารถ
เต็มหลกั สตู รเตม็ เวลาดว้ ยความพงึ พอใจ เกิดการเรียนรู้ตามวตั ถปุ ระสงค์เต็มความสามารถและเกดิ
ความพึงพอใจทไ่ี ดใ้ ช้ส่อื นั้น

2. ประสทิ ธิผล ในการจัดการเรยี นการสอนให้บรรลจุ ุดประสงค์ตามท่ีกำหนดไว้ นกั เรยี นตอ้ ง
เกิดการเรยี นรทู้ ด่ี กี วา่ การไมใ่ ชส้ ่อื นนั้

3. ประหยดั ในการใชน้ วัตกรรมและเทคโนโลยเี ข้ามาช่วยในการจัดการเรยี นการสอนตอ้ ง
คำนงึ ถึงสภาพความเหมาะสมตามฐานะแล้ว จะต้องประหยดั ประหยัดท้ังเงินและเวลา

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é èÇÑ ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 116

04 การวดั ประเมนิ ผลการเรยี นรู้ และการวจิ ยั เพอ่ื
แกป้ ญั หาและพฒั นาผเู้ รยี น

- ความหมายของการวัดผล
- ความหมายของการประเมนิ ผล
- จุดมงุ่ หมายของการวดั และประเมนิ ผลทางการศึกษาตามหลักสตู ร
แกนกลาง 2551
- ระดบั ของการวดั ผลตามหลักสูตรแกนกลาง 2551
- หลกั ในการวัดผล
- ประเภทของการวัดผล
- ประเภทของการประเมนิ ผล
- มาตราวัด
- เครอ่ื งมอื วัดผลทางการศกึ ษา
- สถติ ิเบ้อื งตน้ สำหรับการวดั ประเมินผล
- การวิจยั เพ่อื แกป้ ญั หาและพฒั นาผูเ้ รียน
- ประเภทของการวิจัย
- กระบวนการวจิ ยั
- ข้อมูลที่ใช้ในการวจิ ยั
- ตวั แปร
- การวดั
- สมมตุ ิฐานงานวิจยั
- ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง
- สถติ ิ
- โครงสร้างงานวิจัย
- เครื่องมอื ในการวิจัย

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÑÇè ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 117

ความหมายของการวัดผล (Measurement)

คือกระบวนการหาปรมิ าณหรอื จำนวนส่งิ ตา่ ง ๆ โดยใชเ้ คร่อื งมืออยา่ งใดอย่างหนง่ึ เกย่ี วกบั
คณุ ภาพและปริมาณ ผลท่ไี ด้จากการวัดจะออกมาเป็นตวั เลขหรือ สญั ลักษณ์ เช่น

นกั เรียนแดง สูง 180 ซม. (เครื่องมอื คือท่วี ัดส่วนสงู )
นักเรยี นดำหนัก 70 กโิ ลกรัม (เคร่ืองมือทใี่ ชว้ ัดคอื เครื่องชั่งน้ำหนัก) โดยถอื ว่า การวดั ผลเปน็
ส่วนหนงึ่ ของการประเมนิ ผล

ความหมายของการประเมินผล (Evaluation)

เปน็ กระบวนการตอ่ เนื่องจากการวัด คอื การนำตวั เลขหรือสัญลักษณ์ท่ไี ดจ้ ากการวดั มาตคี ่า
อย่างมเี หตผุ ล โดยเทยี บกับเกณฑห์ รอื มาตรฐานทกี่ ำหนดไว้ เชน่

ผลจากการวดั ส่วนสงู ของนักเรยี นแดง 180 ซม. (อาจประเมนิ วา่ เดก็ ชายแดงสงู )
ผลจากการชั่งนำ้ หนกั ของนักเรยี นดำ (อาจประเมินวา่ เด็กชายดำมนี ำ้ หนกั มาก)

ประเดน็ สำคัญ // การวัดผลเป็นสว่ นหน่งึ ของการประเมนิ ผล

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÑÇè ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 118

จุดมุ่งหมายของการวัดผลและประเมนิ ผลทางการศกึ ษาตามหลกั สูตรแกนกลาง 2551

จุดม่งุ หมายของการวดั ผลและประเมินผลทางการศึกษาตามหลักสตู รแกนกลาง 2551 มี 2 ข้อ
คอื วัดและประเมินเพ่ือพัฒนาผู้เรยี น (Formative assessment) วัดและประเมินผลเพอ่ื ตดั สนิ ผลการ
เรยี นรู้ (Summative assessment)

1. วัดและประเมินเพ่อื พฒั นาผู้เรียน (Formative assessment) เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูล
เก่ยี วกับการเรียนรูข้ องผูเ้ รยี นในระหวา่ งการเรียนการสอนอยา่ งต่อเน่ือง การวัดและประเมินผลกับการ
สอนจงึ เป็นเรื่องทสี่ มั พันธ์กนั ถ้าหากหาส่ิงใดสง่ิ หน่งึ การเรยี นการสอนกข็ าดประสิทธภิ าพ เปน็ การวดั
และประเมินท่ีเกิดขน้ึ ในหอ้ งเรยี นทกุ วนั เปน็ การประเมนิ เพอ่ื ใหร้ ้จู ุดเด่นจุดทต่ี อ้ งปรับปรงุ จึงเป็นขอ้ มูล
เพ่อื ใช้ในการพฒั นา

2. วดั และประเมนิ ผลเพื่อตดั สินผลการเรียนรู้ (Summative assessment) เป็นการ
ประเมนิ สรุปผลการเรียนรเู้ มอ่ื จบหนว่ ยการเรียนหรอื จบรายวชิ าเพอื่ ตดั สินใหค้ ะแนนหรือให้ระดบั ผล
การเรยี นหรอื ใหก้ ารรบั รองความรู้ ความสามารถของผเู้ รียนวา่ ผา่ นรายวชิ าหรอื ไม่ควรได้รับการเล่อื นช้ัน
หรอื ไมห่ รอื สามารถจบหลักสูตรหรอื ไมโ่ ดยสถานศกึ ษามหี นา้ ทีใ่ นการอนมุ ตั ิและรายงานผลการเรียน

ระดับของการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรตู้ ามหลกั สตู รแกนกลาง 2551

1. ระดบั ช้นั เรียน (ระดับน้ีสำคญั ทส่ี ดุ ) ดูพัฒนาการ
2. ระดบั สถานศึกษา ตัดสินผลการเรยี นรายปี รายภาค
3. ระดับเขตพ้นื ทกี่ ารศึกษา ใชพ้ ัฒนาคุณภาพของเขตฯ
4. ระดบั ชาติ (O-Net .....NT)

หลกั ในการวดั ผลทางการศกึ ษามดี งั นี้ ได้แก่ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢Áé

1. ตอ้ งวดั ใหต้ รงกบั จดุ มงุ่ หมายของการเรยี นการสอน
2. เลอื กใช้เคร่อื งมอื วัดท่ีดีและเหมาะสม
3. วัดใหค้ รอบคลมุ พฤตกิ รรมที่ตอ้ งการวัด ระวังความคลาดเคลื่อน
4. เลือกสุม่ ตัวอย่างของสิ่งที่จะวดั ใหเ้ หมาะสม
5. ใช้วิธีวัดและเคร่อื งมอื วัดหลาย ๆ ประเภท

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹¡Ô

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÇèÑ ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 119

6. ใช้เครอ่ื งมอื วัดทีม่ คี ณุ ภาพดี
7. แปลผลอย่างถูกต้อง
8. มคี วามยตุ ธิ รรม
9. ใชผ้ ลการวัดใหค้ ุม้ คา่

ประเภทของการวดั ผล

1. การวดั ทางตรง วัดคณุ ลกั ษณะทต่ี อ้ งการโดยตรง ตัวอย่าง สว่ นสงู นำ้ หนัก ปรมิ าตร
ระยะทาง เปน็ ต้น

2. การวดั ทางอ้อม วัดคณุ ลักษณะทต่ี ้องการโดยตรงไมไ่ ด้ ตอ้ งวัดโดยผา่ นกระบวนการทาง
สมอง ตัวอย่างง วดั ความรู้ วัดเจตคติ วัดบคุ ลกิ ภาพ วัดทักษะ วัดความสนใจ วัดบคุ ลกิ ผา่ นเครอ่ื งมอื วดั
เป็นตน้

ประเภทของการประเมินผล

การประเมินผลสามารถจำแนกได้หลายประเภทท้ังนข้ี ึน้ อยู่ท่ีวา่ จะยึดอะไรเป็นหลักการแบ่ง
ประเภทการประเมนิ ผลสามารถจำแนกไดด้ ังนี้

การประเมนิ ผลจำแนกตามระบบการวดั แบ่งออกเปน็ 3 ประเภท
1. การประเมนิ แบบอิงตน (self referenced evaluation) เปน็ การประเมิน

เพือ่ ท่จี ะดูวา่ ตนเองมีความก้าวหนา้ หรอื ไม่ อยา่ งไร เชน่ การสอบกอ่ นเรียน - สอบหลังเรียน
2. การประเมนิ ผลแบบองิ เกณฑ์ (Criterion referenced evaluation) เป็นการ

ประเมินผลโดยเอาคะแนนทไ่ี ด้จากการสอบไปเปรียบเทียบกบั เกณฑท์ ่กี าํ หนดไว้ แล้วพิจารณาตดั สนิ ไป
ตามน้ัน

3.การประเมนิ ผลแบบอิงกลุ่ม (norm referenced evaluation) เป็นการ
ประเมินผลโดยเอาคะแนนทไ่ี ดจ้ ากการสอบไปเปรียบเทียบกบั ความสามารถของกลมุ่

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é èÑÇä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 120

การประเมนิ ผลจำแนกตามจดุ ประสงคข์ องการประเมิน แบ่งออกเปน็ 3 ประเภท

1. การประเมนิ ผลกอ่ นเรยี น( pre-assessment or pre-evaluation) เปน็ การ
ประเมินผลเพื่อค้นหา ความรูพ้ ้นื ฐานของผูเ้ รยี น ทั้งนเ้ี พราะว่าทุกคนมีความแตกต่างระหว่างบุคคล

2. การประเมินผลระหวา่ งเรียน (formative evaluation) การประเมินผลวธิ ีนี้
มีจดุ มุง่ หมายเพอื่ ปรับปรุง หรือแกไ้ ขการเรียนการสอนระหว่างเรยี น อาจจะทำโดยการสอนซอ่ มเสรมิ

3. การประเมินผลหลงั เรยี น (summative evaluation) เปน็ การประเมนิ ผล
ภายหลังทีค่ รไู ดส้ อนจบ กระบวนการเรยี นการสอนทงั้ วชิ าแล้ว หรือทเ่ี รยี กวา่ การประเมนิ ผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรยี น โดยมจี ุดมงุ่ หมาย เพื่อตัดสนิ ผลการเรยี น

ระดบั ของการวัด/มาตราวดั

1. มาตรานามบญั ญัติ (Nominal Scale) เป็นการวดั ระดบั ต่ำสุด กําหนดขึน้ เพอ่ื ใชเ้ รียกชอ่ื
การจัดประเภท เช่น หมายเลขมือถอื ภูมลิ าํ เนา ชือ่ คน เชอ้ื ชาติ อาชพี เลขทบี่ ้าน (ตัวเลขในมาตราน้ี
เปรียบเทียบกนั ไม่ได้ บวกลบคณู หารไมไ่ ด)้

2. มาตราเรียงลาํ ดับ (Ordinal Scale) เป็นการกําหนดตัวเลขให้กบั ลักษณะข้อมลู ตามความ
มากนอ้ ย เช่น อันดบั 1,2,3 อันดับการแข่งขนั กีฬา การสอบจดั หอ้ งเรยี น (ตวั เลขในมาตรานี้บวกลบ
คณู หารกันไมไ่ ดส้ ามารถนํามาเรียงลําดบั ได้)

3. มาตราอนั ตรภาคชนั้ (Interval Scale) การกําหนดตวั เลขใหเ้ ข้ากับส่งิ ท่ตี อ้ งการวัด เชน่
อณุ หภมู ิ คะแนนท่ไี ด้จากการทดสอบ (ตวั เลขในมาตรานบ้ี วกลบคณู หารได้ ไมม่ ศี นู ย์แท้ เชน่ ถา้ เด็ก
สอบได้ 0 คะแนน ไม่ไดแ้ ปลว่าเด็กไม่มคี วามร้เู ลย)

4. มาตราอัตราส่วน (Ratio Scale) เป็นการวัดระดบั สงู สดุ สว่ นมากมกั เปน็ ขอ้ มลู ด้าน
กายภาพ เช่น เวลา อายุ น้ำหนัก ความสงู ระยะทางตวั เลขในมาตรานี้สามารถหาคา่ ทางสถิติได้ นาํ มา
เปรียบเทียบกันได้ มศี ูนย์แท้ (เชน่ มเี งิน 0 บาท นน่ั คือ ไม่มเี งนิ เลย)

ประเด็นสำคัญ // มาตราอัตราส่วนเป็นมาตราท่มี ศี นู ยแ์ ท้

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÇÑè ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 121

เครอ่ื งมอื วดั ผลทางการศึกษา

1. การสังเกต (Observation) คือ การพจิ ารณาปรากฏการตา่ ง ๆ ทเ่ี กดิ ขึน้ เพ่อื ค้นหาความ
จรงิ บางประการโดยอาศยั ประสาทสมั ผสั ของผู้สงั เกตโดยตรง แบ่งตามเกณฑก์ ารมีสว่ นรว่ มได้เป็นสอง
ประเภทคือ

1.1 การสงั เกตแบบมสี ่วนร่วม เปน็ การสงั เกตที่ผ้สู ังเกตเข้าไปมสี ว่ นร่วมในกิจกรรมที่
ต้องการสงั เกตหรอื เข้าไปเป็นสมาชกิ คนหน่ึงในกลมุ่ ศกึ ษาจะทำใหไ้ ดข้ อ้ มูลท่ลี ะเอยี ดถกู ต้องชัดเจน การ
สังเกตแบบนี้เปน็ การสงั เกตทางตรง

1.2 การสังเกตแบบไม่มสี ่วนร่วม เป็นการสงั เกตทผี่ ู้สงั เกตไม่ได้เข้าไปร่วมกจิ กรรมใน
เหตุการณ์ที่ศึกษาแต่เฝา้ ดูอยหู่ า่ งห่างอาจให้ผูถ้ กู สงั เกตร้ตู ัวหรือไมร่ ้ตู ัวก็ไดก้ ารสงั เกตแบบนเ้ี ป็นการ
สงั เกตทางออ้ ม

2. การสัมภาษณ์ (Interview) การสัมภาษณค์ อื การสนทนาหรือการพดู โตต้ อบกนั อย่างมี
จดุ หมายเพอ่ื ค้นหาความรู้ความจริงตามวัตถุประสงค์ทก่ี ำหนดไว้ลว่ งหนา้

3. แบบสอบถาม (Questionnaire) แบบสอบถามเปน็ เคร่ืองมอื ชนดิ หนึ่งท่นี ยิ มใช้กันมาก
โดยเฉพาะการเก็บแบบสอบถามจะมสี องลกั ษณะคือ

3.1 แบบสอบถามปลายเปดิ เป็นแบบสอบถามที่ไมไ่ ดก้ ำหนดคำตอบไวเ้ พือ่ เปดิ
โอกาสให้ผูต้ อบเขยี นตอบอย่างอิสระดว้ ยความคดิ ของตนเองแบบสอบถามชนิดน้ตี อบยากและเสียเวลา
ในการตอบมากเพราะผูต้ อบจะต้องวเิ คราะหอ์ ยา่ งกวา้ งขวาง

3.2 แบบสอบถามปลายปดิ แบบสอบถามชนิดนป้ี ระกอบด้วยขอ้ คำถามและตัวเลอื ก
(คำตอบ) ซึง่ ตวั เลือกน้สี ร้างข้ึนโดยคาดวา่ ผตู้ อบสามารถเลือกตอบไดต้ ามความตอ้ งการ

4. การจดั อนั ดบั (Rang Order) เป็นเครอื่ งมอื วัดผลให้นักเรียน ผไู้ ด้รบั แบบสอบถามเป็น
ผูต้ อบโดยการจัดอนั ดับความสำคญั หรอื จดั อันดบั คณุ ภาพและใชจ้ ดั อนั ดบั ของขอ้ มูลหรอื ผลงานตา่ ง ๆ
ของนกั เรียนแล้วจึงใหค้ ะแนนภายหลงั เพ่อื การประเมนิ โดยอนั ดบั ความสำคัญจะเรียงจากมากทีส่ ดุ ไป
หานอ้ ยท่สี ดุ

5. การประเมินผลจากสภาพจรงิ (Authentic Assessment) หมายถงึ กระบวนการ
สังเกตการณ์บนั ทึกและรวบรวมข้อมลู จากงานและวธิ ีการทนี่ ักเรยี นทำการประเมินผลจากสภาพจรงิ จะ

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÇÔ à¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÇÑè ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 122

เนน้ ใหน้ กั เรียนสามารถแก้ปัญหาเป็นผู้ค้นพบและผผู้ ลติ ความรู้นกั เรยี นไดฝ้ ึกปฏบิ ตั จิ ริงรวมทง้ั เนน้
พัฒนาการเรยี นรขู้ องผู้เรยี น

6. การวัดผลภาคปฏิบตั ิ (Performance Assessment) เป็นการวดั ผลงานที่นกั เรยี นลงมอื
ปฏบิ ัติจริงซ่งึ สามารถวดั ได้ทัง้ กระบวนการและผลงานในสถานการณ์จรงิ หรือในสถานการณจ์ ำลองส่ิงที่
ควรคำนงึ ในการสอบวัดภาคปฏิบัตคิ อื ข้ันเตรยี มงาน ข้นั ปฏิบตั ิงาน เวลาท่ีใชใ้ นการทำงาน ผลงาน

7. การประเมินโดยใช้แฟม้ สะสมผลงาน (Portfolio) เป็นแนวทางการประเมนิ ผลโดยการ
รวมขอ้ มูลท่ีครแู ละผเู้ รียนทำกจิ กรรมต่าง ๆ รว่ มกนั โดยกระทำอย่างต่อเนอ่ื งตลอดภาคเรียนดงั นนั้ การ
วดั ผลและประเมนิ ผลโดยใช้แฟ้มสะสมผลงานส่วนหน่งึ จะเป็นกิจกรรมทส่ี อดแทรกอยใู่ นสภาพการเรียน
ประจำวนั โดยกจิ กรรมท่สี อดแทรกเราน้ีจะวดั เน้อื หาทีเ่ ก่ียวขอ้ งกบั สภาพชีวติ ประจำวนั เปน็ การวดั ผล
ในชั้นเรียนท่ีดที ีส่ ดุ ดคู วามก้าวหน้านักเรยี นได้

8. แบบทดสอบ (Test) แบบทดสอบสามารถแบง่ ออกได้ หลายลักษณะขึน้ อยกู่ บั เกณฑท์ จ่ี ะใช้

8.1 ข้อสอบอตั นยั หรือความเรียง เป็นลกั ษณะของขอ้ สอบท่มี เี ฉพาะคำถามแล้วให้

เขียนตอบ

8.2 ขอ้ สอบแบบกา ถกู -ผดิ (True – false Test) ลกั ษณะของข้อสอบแบบนคี้ ือ
ขอ้ สอบเลอื กตอบมสี องตัวเลอื ก เชน่ ถูก - ผดิ ใช่ – ไม่ใช่

8.3 ข้อสอบแบบเตมิ คำ (Completion Test) เป็นขอ้ สอบที่ประกอบด้วยประโยค
หรอื ขอ้ ความทย่ี งั ไมส่ มบรู ณ์แล้วให้ผูต้ อบเตมิ คำหรือประโยคใหถ้ กู ตอ้ ง

8.4 ขอ้ ทดสอบแบบตอบสน้ั ๆ (Short Answer Test) เปน็ ลกั ษณะข้อสอบท่ี
ต้องการคำตอบสน้ั เป็นคำเดียววลเี ดยี วหรือประโยคสนั้

8.5 ข้อสอบแบบจบั คู่ (Matching Test) เป็นข้อสอบเลอื กตอบชนิดหนง่ึ โดยมคี ำ
หรือขอ้ ความแยกออกจากกนั เป็นสองชุดแลว้ ให้ผตู้ อบเลือกจบั ค่วู ่ามคี วามสมั พนั ธ์กันอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÇÑè ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 123

8.6 ข้อสอบแบบเลือกตอบ (Multiple Choice Test) คำถามแบบเลือกตอบจะ
ประกอบด้วยตัวเลอื กที่เป็นคำตอบถกู และตัวเลือกทีเ่ ป็นตวั ลวงและคำถามแบบเลอื กตอบท่ดี นี ยิ มใช้
ตัวเลอื กที่ใกล้เคียงกันดเู ผิน ๆ จะเห็นวา่ ทุกตวั เลือกถกู หมด

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÇÔ à¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÑèÇä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 124

สถติ ิเบ้อื งต้นสำหรบั การวัดและประเมินผล

1. การแจกแจงความถี่
การแจกแจงความถ่ี (Frequency Ditribution) หมายถงึ การนาํ ขอ้ มลู หรือคะแนน ที่

เกดิ จากการทดสอบ หรือการวัดผลมาเรียงใหม่ เพอื่ ช่วยให้สะดวกในการพจิ ารณาหรอื สะดวกในการหา

คา่ ทางสถิติ

2. การวัดแนวโนม้ เขา้ ส่สู ่วนกลาง
มอี ย่หู ลายวิธีแตท่ ี่นิยมกนั มากคอื
1. คา่ เฉลีย่ เลขคณิต…….(Mean)
2. มธั ยฐาน………………..(Median)
3. ฐานนิยม………………..(Mode)

1. คา่ เฉลี่ยเลขคณิต (Mean) เป็นการวัดแนวโนม้ สศู่ ูนย์กลาง สามารถหาไดโ้ ดยนำข้อมูล
ท้ังหมดมารวมกนั แลว้ หารด้วยจำนวนของขอ้ มลู เช่น ข้อมลู ชุดหนึง่ มีค่าตวั เลขคือ

13579

คา่ เฉลีย่ คอื = =1+3+5+7+9 25 5
5 5

2. มธั ยฐาน (Median) เปน็ การวัดแนวโนม้ สศู่ ูนย์กลาง คือค่าทอ่ี ย่ตู รงกลางเมือ่ นำข้อมลู มา
เรยี งลําดบั จากนอ้ ยไปมากหรือจากมากไปนอ้ ย

เชน่ ข้อมลู ชดุ หนง่ึ มีคา่ ตัวเลขคอื

4156927
จัดเรยี งขอ้ มูลใหม่ได้เป็น

1245679

ดงั นน้ั มัธยฐานคอื 5

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÇèÑ ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 125

3. ฐานนยิ ม (Mode) คอื คะแนนทีม่ ีความถี่ซำ้ กนั มากทส่ี ุด

เช่น
4415129247

จะเห็นวา่ มีตวั เลข 4 ซ้ำกนั มากทส่ี ุดคือ 3 ตัวดังนั้นฐานนิยมของขอ้ มูลชดุ น้ีคอื 4

3. การวัดการกระจาย เปน็ สถติ ิช่วยให้ทราบถงึ ความแตกต่างกันหรอื การแปรผันของคะแนน
ในกล่มุ นนั้

- ถ้ามีค่าสงู แสดงวา่ ประกอบดว้ ยคะแนนที่แตกต่างกันมาก
- ถา้ มคี ่าต่ำแสดงวา่ ประกอบดว้ ยคะแนนทแ่ี ตกต่างกันนอ้ ยหรือใกลเ้ คยี งกนั
- การวัดการกระจายท่ีสำคัญไดแ้ ก่ พิสัย เปอรเ์ ซ็นไทล์ ส่วนเบี่ยงเบนควอไทล์ ส่วน
เบย่ี งเบนเฉลี่ยส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐานและความแปรปรวน

1. พสิ ยั (Range) เปน็ การกระจายทีต่ รงท่สี ดุ และงา่ ยท่ีสุดพสิ ยั เปน็ ช่วงระหวา่ งคะแนนสงู สดุ
กับคะแนนต่ำสดุ หาไดจ้ ากสูตร

R = H–L

เม่อื R แทน พิสัย
H แทน ข้อมลู ที่มคี า่ สงู สุด
L แทน ข้อมูลทีม่ ีคา่ ตำ่ สุด

ตัวอยา่ ง จงหาพสิ ัยของคะแนนวชิ าฟสิ กิ สข์ องนกั เรียน 6 คนดังนี้

10 15 9 18 13 8

วิธีทำ R = 18 – 8 = 10

ดงั นั้น พิสยั มคี ่าเป็น 10

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÇèÑ ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 126

2. เปอรเ์ ซ็นไทล์ (Percentile) หมายถึงตำแหน่งที่บอกใหท้ ราบว่า ณ ตำแหนง่ นั้นมจี ำนวน
คนท่อี ยู่ตำ่ กว่าหรือมีความสามารถตำ่ กวา่ อยกู่ ่คี นใน 100 คนเช่น

เชน่

เดก็ ชายนิกสอบไดเ้ ปอร์เซ็นไทลท์ ่ี 65 หรอื P 65 หมายความวา่
เดก็ ชายนิกมีความสามารถสูงกวา่ คนอ่นื 65 คนจากคน 100 คน

หรือ ตำแหน่งทบี่ อกใหท้ ราบว่ามีคะแนนท่ีต่ำกวา่ คะแนนจำนวนน้ันเปน็ จำนวนร้อยละ
เท่าใด เชน่

เดก็ ชายนกิ สอบได้ 80 คะแนน คิดเปน็ เปอรเ์ ซน็ ไทลท์ ่ี 70 หมายความวา่
ในจำนวนผู้เรียน 100 คน มีคนที่ได้คะแนนตำ่ กวา่ 80 คะแนน อยู่ 70 คน รวมท้งั เดก็ ชายนกิ ดว้ ย

3. ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน (Standard deviation, SD) เปน็ คา่ สถติ ทิ ่ใี ช้วัดการกระจายของ
คะแนนในกลุ่ม

- ถา้ ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐานมคี ่า สงู สุด แสดงว่าคะแนนของกลุม่ นั้น กระจายกว้าง หรอื ห่างกนั
มาก เด็กในกลมุ่ น้นั มีความรู้ความสามารถแตกตา่ งกนั มาก

- ถา้ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานมคี า่ ต่ำ แสดงวา่ คะแนนของกลมุ่ นน้ั กระจายหา่ งกันนอ้ ย เดก็ ใน
กลุม่ น้ันมีความรู้ความสามารถแตกตา่ งกันนอ้ ย

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÇèÑ ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 127

การวิจัยเพอ่ื แก้ปญั หาและพัฒนาผ้เู รียน

ความหมายของการวจิ ยั
การวิจัย ตรงกบั คำในภาษาอังกฤษว่า Research ประกอบจาก 2 คำ คือคำวา่ RE + SEARCH

(RE แปลวา่ ซำ้ , SEARCH แปลว่า ค้น) แปลว่า ค้นควา้ ซำ้ แลว้ ซ้ำอีก
หมายถงึ “กระบวนการ แสวงหาความรู้อย่างเปน็ ระบบ เพ่อื ตอบประเด็นทส่ี งสัย โดยมีระเบยี บ

วิธีอันเปน็ ท่ยี อมรับในศาสตร์แตล่ ะศาสตรท์ เ่ี กยี่ วขอ้ ง”

ประเภทของการวิจยั

1. แบง่ ตามระเบยี บวธิ ีวิจัย แบ่งไดเ้ ปน็ 3 ประเภท
1.1 การวจิ ยั เชงิ ประวตั ิศาสตร์ (Historical Research) เป็นการวจิ ัยเพือ่ ค้นหา

ความจรงิ ในอดตี
1.2 การวจิ ัยเชิงพรรณนา (Descriptive Research) เป็นการวจิ ยั เพ่ือค้นหา

ขอ้ เทจ็ จริง บรรยายและอธิบายปรากฏการณใ์ นสภาพการณ์ทเี่ ป็นอยใู่ นปัจจุบนั
1.3 การวจิ ัยเชิงทดลอง (Experimental Research) เป็นการวจิ ยั เพอื่ ค้นหาความรู้

ความจริง ทใ่ี ชว้ ธิ ีการทางวิทยาศาสตร์มาชว่ ย เพื่อพิสูจนผ์ ลของตวั แปรทศี่ กึ ษา มกี ารทดลองและ
ควบคุมตัวแปร (วิจยั ทางการศกึ ษา)

2. แบ่งตามประโยชนท์ ีไ่ ด้รับ แบ่งไดเ้ ป็น 3 ประเภท
2.1 การวจิ ัยบรสิ ทุ ธิ์ (Pure Research) บางทเี่ รียกวา่ การวิจัยพนื้ ฐาน (Basic

Research) เปน็ การวิจัยทมี่ ุ่งคน้ หาความร้คู วามจริงที่เป็นหลกั การ กฎเกณฑ์ ทฤษฎี เพ่อื ขยายพ้ืน
ฐานความรู้ในการศกึ ษา เรอ่ื งอื่นๆ ต่อไป

2.2 การวจิ ยั ประยุกต์ (Applied Research) เปน็ การวจิ ัยที่มงุ่ เสาะแสวงหาความรู้
และประยุกต์ใช้ความรูห้ รอื วทิ ยาการต่าง ๆ ใหเ้ ป็นประโยชน์ในทางปฏบิ ัติ

2.3 การวจิ ัยเชงิ ปฏบิ ตั ิ (Action Research) เป็นการวิจยั ประยกุ ตใ์ นลกั ษณะหนงึ่ ท่ี
มงุ่ แกป้ ญั หาเฉพาะหนา้ เป็นเรอ่ื ง ๆ

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÇèÑ ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 128

3. แบ่งตามลักษณะของข้อมูล แบง่ ได้ 2 ประเภท
3.1 การวิจยั เชิงปริมาณ (Quantitive research) เน้นข้อมลู ตัวเลขทเ่ี ป็นหลักฐาน

ยนื ยันความถกู ตอ้ งของข้อค้นพบ เปน็ การใช้ขอ้ มูลทางคณิตศาสตร์ และสถิติ
3.2 การวจิ ยั เชิงคณุ ภาพ (Qualitative research) เน้นอธบิ ายปรากฏการณ์ทาง

สงั คม และความสัมพันธป์ รากฎการณ์สภาพแวดลอ้ ม เป็นการใชข้ ้อมูลเชงิ คณุ ลักษณะ

4. แบง่ ตามชนดิ ของขอ้ มูล แบ่งไดเ้ ปน็ 2 ประเภท
4.1 การวิจัยเชงิ ประจกั ษ์ (Empirical Research) เปน็ การวิจยั ท่คี ้นหาความรคู้ วาม

จรงิ โดยเก็บรวบรวมขอ้ มูลจากแหล่งปฐมภมู ิ ในสภาพปจั จุบันและมักใช้วิธีการทางสถิติมาช่วยในการ
วิเคราะหข์ ้อมลู

4.2 การวิจยั เชงิ วิพากษว์ ิจารณห์ รอื เชิงไม่ประจักษ์ (No empirical Research)
เปน็ การวิจยั ทห่ี าความรู้ความจรงิ จากข้อมูลเอกสารและวรรณกรรม

5. แบ่งตามการควบคมุ ตัวแปร แบ่งออกไดเ้ ปน็ 3 ประเภท คอื
5.1 การวจิ ัยเชิงทดลอง เปน็ งานวิจัยที่ผ้วู จิ ยั มีการสรา้ งสถานการณแ์ ละเงือ่ นไขขึน้ มา

เพอื่ ทำการทดลองส่ิงทต่ี อ้ งการมีการควบคมุ สภาพต่าง ๆ ทไ่ี ม่ตอ้ งการให้เขา้ มารบกวนการทดลอง
5.2 การวิจัยเชงิ กึ่งทดลอง เปน็ งานวจิ ัยท่ผี ู้วิจัยมกี ารควบคมุ สภาพบางอยา่ ง และ

บางส่วนกป็ ลอ่ ยใหเ้ ปน็ ไปตามสภาพธรรมชาติ หรือสภาพทีเ่ ปน็ อย่ตู ามปกติ
5.3 การวิจยั เชิงธรรมชาติ เปน็ งานวิจยั ทผี่ ู้วจิ ัยปล่อยสภาพตา่ ง ๆ ใหเ้ ป็นไปตาม

ธรรมชาติ ไมม่ กี ารควบคุมสภาพใด ๆ

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÇèÑ ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 129

กระบวนการวจิ ัย

ลำดบั ขนั้ ตอนในการทำวจิ ยั แบ่งได้ 5 ขนั้ ตอนดงั น้ี
1. ข้ันกำหนดปัญหา จะต้องคำนงึ ว่าปัญหาเกิดข้นึ ได้อย่างไร โดยเกิดจากการสงั เกต
2. การตง้ั สมมติฐาน เปน็ การคาดคะเนคำตอบของปญั หาลว่ งหนา้
3. ขน้ั ทดลองและเก็บขอ้ มูล เป็นขนั้ ตอนท่ีผวู้ จิ ยั ทำการศกึ ษาสง่ิ ท่ีเกยี่ วกับขอ้ ปญั หาท่ี

กำหนดไว้ โดยการทดลองและเก็บข้อมูล
4. ข้ันการวเิ คราะห์ขอ้ มลู เป็นการนำขอ้ มูลจากขอ้ การทดลองและเก็บขอ้ มูลมาจดั

กลุ่มหมวดหมู่ดว้ ยวธิ กี ารทางสถิติ เปน็ ขอ้ มูลเชิงปรมิ าณ
5. ขัน้ การสรปุ ผล เปน็ การนำข้อมลู ที่ได้จากขนั้ วิเคราะหข์ อ้ มลู มาสรุปผล เปน็ การ

ตอบคำถามในการวิจยั

ข้อมูลทใ่ี ชใ้ นการวิจยั

เมื่อจำแนกตามลักษณะของขอ้ มูล สามารถแบ่งออกไดเ้ ปน็ 2 ชนดิ
1. ขอ้ มูลเชิงปรมิ าณ หมายถึงข้อมลู ท่ีสามารถวดั ค่าได้ เชน่ คะแนนสอบ อณุ หภมู ิ

ส่วนสูง น้ำหนัก ความกวา้ ง ความยาว
2. ข้อมูลเชงิ คณุ ภาพ หมายถึง ขอ้ มลู ท่ีไม่สามารถวัดได้ เชน่ เพศ ศาสนา สีผม สีผิว

เช้อื ชาติ หมู่เลอื ด เม่ือจำแนกตามแหลง่ ท่ีมาของขอ้ มูล สามารถแบ่งออกได้เปน็ 2 ชนิด
1. ขอ้ มลู ปฐมภมู ิ หมายถงึ ขอ้ มลู ทีผ่ ู้ใช้เป็นผเู้ กบ็ รวบรวมขอ้ มูลขน้ึ เอง
2. ขอ้ มลู ทตุ ยิ ภมู ิ หมายถึง ข้อมลู ทผี่ ูใ้ ชน้ ำมาจากหนว่ ยงานอื่นหรือผอู้ ่ืนที่ได้

ทาํ การเกบ็ รวบรวม มาแลว้ ในอดีต

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÇèÑ ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 130

ตัวแปร

คอื คุณลักษณะอย่างใดอย่างหนึง่ ทผ่ี วู้ จิ ัยสนใจศกึ ษา เพอื่ ใหไ้ ดผ้ ลออกมาในรปู แบบใดรูปแบบ
หนง่ึ ตวั แปรสามารถแบง่ ประเภทตามลกั ษณะต่าง ๆ ได้หลายแบบดังนี้

แบ่งตามชนดิ ของตวั แปร

1. ตัวแปรตน้ หรือตวั แปรอิสระ (Independent variable) เปน็ ตวั แปรท่เี ปน็
สาเหตุก่อให้เกิดผล หรอื เชื่อว่าเปน็ ตน้ เหตุใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงขึ้นกบั ตวั แปรอน่ื นะ

2. ตวั แปรตาม หรอื ตวั แปรเกณฑ์ (Dependent variable) เปน็ ตัวแปรที่เป็นผล ท่ี

เกี่ยวเนื่องกบั ตวั แปรต้นหรอื ตัวแปร อสิ ระ
3. ตวั แปรนอกหรอื ตัวแปรเกนิ (Extraneous variable) เปน็ ตวั แปรท่ีผวู้ จิ ัยไมไ่ ด้

สนใจศึกษาหรอื ไม่ควบคุม

4. ตวั แปรแทรกซอ้ น (Intervening variable) เปน็ ตวั แปรที่เกิดขึ้นจากการทไ่ี ม่ได้

จดั การควบคมุ ทดี่ ี พอเป็นตวั แปรท่ีเกิดขน้ึ ในระหว่างการวจิ ยั ซง่ึ อาจมีผลกระทบต่อไปยังตวั แปรตามทาํ
ให้ผลการวิจัยพลาดไปได้

ประเด็นสำคัญ //
ตวั แปรตน้ หรือตวั แปรอิสระ (Independent variable) = ตน้ เหตุ หรอื นวตั กรรม
ตัวแปรตาม หรอื ตวั แปรเกณฑ์ (Dependent variable) = ผลที่เกดิ จากตวั แปรต้น

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÇèÑ ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 131

การวัด

การวดั เชิงคุณภาพ เปน็ การวัดทบ่ี อกถึงความแตกต่าง แต่ไม่ไดบ้ อกถึงปริมาณของส่ิงทีว่ ดั
ได้แก่ การวดั ในมาตรานามบญั ญตั ิ และมาตราเรยี งอนั ดบั

การวดั เชงิ ปรมิ าณ เปน็ การวดั ท่บี อกถงึ ปรมิ าณความแตกตา่ งได้ ได้แก่ การวัดในมาตราอันตร
ภาค และมาตราอัตราสว่ น

ตวั อยา่ ง
งานวจิ ัยเรือ่ ง :การเปรยี บเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวชิ าวิทยาศาสตร์ ของนกั เรียน

ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 2 ท่ีได้รับการสอนโดยวธิ ีการสอนแบบ 5E และแบบนิรนัย

ตัวแปรต้น วธิ ีการสอน 2 วธิ ี คือ วิธกี ารสอนแบบ 5E และวธิ ีการสอนแบบนริ นัย
ตวั แปรตาม ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นวชิ าวิทยาศาสตร์
ตัวแปรแทรกซอ้ น/ตัวแปรเกนิ ระดบั สติปญั ญา เพศ คณุ ภาพของแบบทดสอบ ฯลฯ
ตัวแปรสอดแทรก ความวติ กกังวล แรงจงู ใจ แรงจูงใจใฝส่ มั ฤทธิ์ ฯลฯ

สมมตฐิ านการวิจยั

สมมติฐาน หมายถงึ ขอ้ ความที่คาดคะเนความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งตวั แปรตั้งแตส่ องตวั ขึ้นไป หรอื
ขอ้ ความท่ผี วู้ จิ ัยตัง้ ไวเ้ พอ่ื คาดคะเนหรอื ทำนายผลการวิจยั สมมตฐิ านมี 2 อยา่ งคือ สมมตฐิ านทางวจิ ัย
สมมติฐานทางสถติ ิ

1. สมมตฐิ านทางวจิ ัย เปน็ สมมตฐิ านท่ีเขียนอยใู่ นรูปของข้อความที่ แสดงถึงความสัมพนั ธข์ อง
ตัวแปร สมมตฐิ านการวจิ ยั มี 2 ประเภท

- สมมตฐิ านแบบมที ิศทาง คอื สมมติฐานทร่ี ะบุได้แนน่ อนถึงความสัมพันธข์ องตวั แปรวา่
สัมพันธ์กันในทิศทางใด เชน่ ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนของนักเรียนที่อย่หู อพกั สงู กวา่ นกั เรียนท่อี ยู่บา้ น

- สมมตฐิ านแบบไม่มีทิศทาง คือ สมมตฐิ านท่รี ะบุไมไ่ ดแ้ น่นอนถึงความสมั พนั ธ์ของตัวแปรว่า
สมั พนั ธก์ ันในทศิ ทางใด เช่น การไม่ตั้งใจนกั เรยี นที่มีเพศตา่ งกนั มีเจตคตติ อ่ วชิ าคณิตศาสตร์แตกตา่ งกัน

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÇÑè ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 132

2. สมมติฐานทางสถิติ เป็นสมมตฐิ านทเ่ี ปล่ียนรูปมาจากสมมติฐานการวิจัย โดยใชส้ ญั ลกั ษณ์

ทาง คณติ ศาสตร์ท่แี ทนคณุ ลกั ษณะเกี่ยวกับค่าพารามเิ ตอร์ของประชากร มาเขยี นอธิบายความสมั พนั ธ์

ของตวั แปร
μ (Mu)
แทน ค่าเฉล่ยี ของกลมุ่ ประชากร
ρ (Rho) แทน ความสมั พันธร์ ะหว่างตวั แปร
σ (sigma) แทน ความเบยี่ งเบนมาตรฐานของกลุ่มประชากร

(sigma square) แทน ความแปรปรวนของกลมุ่ ประชากร

ตัวอยา่ งสมมติฐานแบบมที ศิ ทาง
1. ความคดิ สร้างสรรคก์ ับผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนมีความสัมพนั ธ์กันทางบวก
2. การสบู บุหรี่กบั การเปน็ มะเรง็ มีความสมั พนั ธ์กนั ทางลบ
3. เดก็ ทีไ่ ด้รับการอบรมเลยี้ งดแู บบเข้มงวดมีวินยั ในตนเองมากกวา่ เดก็ ทไี่ ดร้ บั การ

อบรมเลยี้ งดูแบบปลอ่ ยประละเลย

ตัวอย่างสมมตฐิ านแบบไม่มีทิศทาง
1. ความคดิ สร้างสรรคก์ ับผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นมคี วามสมั พนั ธก์ นั
2. การสบู บุหรี่กับการเป็นมะเรง็ มคี วามสัมพันธก์ นั
3. เดก็ ท่ไี ด้รับการอบรมเลยี้ งดแู บบเขม้ งวดรกับเด็กทไี่ ดร้ บั การอบรมเลย้ี งดแู บบปลอ่ ย

ประละเลยมีวนิ ยั ในตนเองแตกต่างกนั

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÑèÇä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 133

ประชากร และ กลุม่ ตัวอยา่ ง

ประชากร (Population) หมายถงึ สมาชกิ ทั้งหมดที่อยู่ในกรอบที่ผวู้ ิจัยตอ้ งการศึกษา หรอื
กลมุ่ ของ คน สัตว์ หรือสงิ่ ของท่เี ป็นเปา้ หมายในการนาํ ผลการศกึ ษาไปอธิบาย

กลมุ่ ตวั อยา่ ง (Sample) หมายถึง สมาชิกบางสว่ นของประชากรเปา้ หมาย ท่ไี ดร้ บั การเลือก
หรอื สุ่มมาเพอื่ เป็นตัวแทนของประชากรในการศึกษา

วิธเี ลอื กกลุ่มตัวอยา่ ง

การสุ่มตัวอยา่ ง (Sampling) หมายถงึ กระบวนการได้มาซ่ึงกลุ่มตวั อยา่ งทม่ี คี วามเป็นตัวแทนท่ี
ดขี องประชากร วธิ เี ลอื กตวั อยา่ งมี 2 วธิ คี ือ

1. การเลือกแบบเปน็ ตวั แทน (Probability sampling)
2. การเลือกแบบไมเ่ ป็นตวั แทน (Non - Probability Sampling)

การเลือกแบบเปน็ ตวั แทน (Probability sampling)
1. การสุ่มอยา่ งงา่ ย (Simple Random Sample) ไดแ้ ก่การใชต้ ารางเลขสุ่มและการจับ

สลาก วิธนี ้ีเหมาะกบั ประชากรที่มีลักษณะคล้ายคร่ึงกันหรอื เหมือน ๆ กนั หรือไมแ่ ตกตา่ งกนั มาก
1.1 การใชต้ ารางเลขสมุ่ โดยให้หมายเลขประจำแก่องคป์ ระกอบของประชากรแลว้

คัดเลือกตวั เลขจากตารางสมุ่ อยา่ งมรี ะเบียบแบบแผน เชน่ คดั เลือกตัวแทนตามแนวตง้ั แนวนอน แนว
ทแยงหรืออย่างใดอย่างหน่งึ

1.2 การจับสลาก โดยเขียนหมายเลขของประชากรลงในสลากมว้ นใสใ่ นภาชนะ คละ
กันใหท้ ัว่ แล้วหยบิ ข้ึนมาให้ได้ตามจำนวนที่ตอ้ งการ

2. การสมุ่ อย่างเป็นระบบ (Systematic Random Sample) วิธนี ใ้ี ช้ในกรณที ่ปี ระชากร
จดั เรียงอยา่ งเป็นระบบอยแู่ ล้ว เชน่ บญั ชรี ายช่อื บคุ คล บญั ชรี ายชือ่ หนังสอื สมุดโทรศพั ท์ หากยังไม่มีก็
จะทำเบอร์ประจำตวั ใหเ้ รยี งเปน็ ลำดับไปจนครบจำนวนประชากร

3. การส่มุ แบบแบง่ ชน้ั ภูมิ (Stratified Random Sample) ในกรณีท่ปี ระชากรแตกต่างกนั
ในบางลักษณะ เชน่ อาชพี การศึกษา ศาสนา ก็สามารถแยกออกมาเปน็ กล่มุ ยอ่ ยท่เี หมือนกนั ให้อยู่
ด้วยกันเป็นพวก ๆ เพือ่ ศึกษาเปรยี บเทียบตวั แปรตา่ ง ๆ

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÑèÇä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 134

4. การสุ่มแบบยกกลมุ่ หรือสมุ่ แบบพืน้ ที่ (Cluster Random Sample) วธิ นี แี้ บง่ ประชากร
ออกเป็นกลมุ่ ใหญก่ อ่ นแลว้ สมุ่ กลุ่มใหญ่นีโ้ ดยการสมุ่ ตวั อย่างแบบง่ายหรอื กล่มุ แยกประเภทให้ไดต้ วั อยา่ ง
ตามทีต่ อ้ งการแตถ่ า้ ประสงค์จะศนู ย์ยอ่ ยลงไปอกี ก็ย่อมกระทำได้

5. การสุ่มแบบหลายขนั้ ตอน (Multi-stage Random Sample)เปน็ การสุ่มตวั อยา่ งที่
กระทำเปน็ ตอน ๆ หลายขน้ั กลา่ วคือองค์ประกอบของประชากร หรอื ประชากรแต่ละหน่วยถูกจดั ไว้
เป็นกลุ่มตามระดับสงู ตำ่ ของช้นั เช่น จากภาคมาจงั หวดั อาํ เภอ ตําบล หมูบ่ ้าน ยอ่ ยลง เร่อื ยๆ โดยทํา
การส่มุ ประชากรจากหนว่ ยหรือลำดบั ชนั้ ทใ่ี หญก่ ่อน

การเลอื กแบบไม่เปน็ ตวั แทน (Non - Probability Sampling)

1. การเลอื กโดยบังเอิญ วธิ นี ้ีเลอื กจากองคป์ ระกอบของประชากรตามสะดวกถ้ากลุ่มประชากร
ที่จะศึกษาเปน็ กล่มุ ขบั รถแทก็ ซผี่ ู้วจิ ัยก็สัมภาษณค์ นขบั รถแท็กซคี่ ันใดก็ไดท้ ผี่ ่านมาโดยบงั เอญิ จนครบ
ตามจำนวนตามท่กี ำหนดไว้

2. การเลือกแบบโควตา เม่อื เลอื กกล่มุ ตัวอย่างแบบโควตา ต้องศกึ ษาองค์ประกอบของ
ประชากรเสียกอ่ นว่ามอี งคป์ ระกอบแตล่ ะอยา่ งอยู่ร้อยละเท่าใดแลว้ เลือกตวั อย่างตามสัดสว่ นท่ีมอี ยูใ่ น
ประชากรทง้ั หมด

3. การเลือกแบบเจาะจง วิธีน้ถี อื หลกั ว่าอาศยั การพิจารณาตัดสินใจทด่ี กี ็จะสามารถเรยี ก
ตวั อยา่ งทต่ี อ้ งการได้

สถิติ

สถิติหมายถึงวธิ ีการท่ีว่าด้วยการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู การนำเสนอขอ้ มลู การวเิ คราะห์ขอ้ มูลและ
การตีความหมายข้อมูล เชน่ จำนวนผู้ประสบอุบัติเหตบุ นทอ้ งถนน อัตราเกดิ ของเดก็ ทารก ปรมิ าณ
นำ้ ฝนในแต่ละปี

สถติ ิทใี่ ช้ในงานวจิ ยั มี 2 ประเภท
1. สถติ ิพรรณนา
2. สถิติอา้ งอิง

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÇÔ à¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÇèÑ ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 135

1. สถติ พิ รรณนา (Descriptive statistics) เปน็ สถิตทิ ่ีใช้อธบิ ายคณุ ลักษณะของสงิ่ ทต่ี อ้ งการ
ศึกษากลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ไม่สามารถอา้ งอิงไปยงั กลมุ่ อ่นื ๆ ได้ สถติ ิทอ่ี ยใู่ นประเภทนี้เชน่ ค่าเฉล่ีย มธั ยฐาน
ฐานนิยม สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน คา่ พิสยั การนาํ เสนอผลการวิเคราะหข์ อ้ มลู พรรณนาจะอยู่ในรปู
ตาราง (table) และแผนภูมิ (Chart) ชนดิ ตา่ ง ๆ

2. สถิติอ้างองิ (Inferential statistics) เป็นสถติ ิทใ่ี ชอ้ ธบิ ายคุณลกั ษณะของสง่ิ ท่ีต้องการ
ศึกษากล่มุ ใดกลมุ่ หนงึ่ หรือหลายกลมุ่ แลว้ สามารถอ้างอิงไปยังกลุม่ ประชากรได้ โดยกลมุ่ ท่นี ำมาศึกษา
จะตอ้ งเป็นตัวแทนทด่ี ขี องประชากร โดยตวั แทนท่ีดีของประชากรได้มาโดยวธิ ีการสุ่มตัวอย่าง สถติ ิ
อา้ งอิงแบ่งไดเ้ ป็น 2 ประเภทคอื

2.1 สถิติแบบอ้างอิงพารามิเตอร์ เปลี่ยนวิธกี ารทานสถติ ิทจ่ี ะต้องเป็นไปตามขอ้ ตกลง
เบือ้ งตน้ สามประการคอื

1. ข้อมูลท่เี กบ็ รวบรวมไดจ้ ะตอ้ งอยู่ในระดบั ช่วงขน้ึ ไป
2. ข้อมูลท่เี กบ็ รวบรวมได้จากกลมุ่ ตวั อยา่ งจะต้องมกี ารแจกแจงเปน็ โคง้ ปกติ
3. กลมุ่ ประชากรแตล่ ะกลุ่มท่นี ำมาศึกษาจะต้องมคี วามแปรปรวนเท่ากัน
สถิติทอ่ี ยใู่ นประเภทน้เี ชน่ t-test , Z-test ANOVA , Rwgression

2.2 สถิตแิ บบไมอ่ ้างอิงพารามเิ ตอร์ เป็นวธิ ีการทางสถติ ทิ สี่ ามารถนำมาใชไ้ ดโ้ ดย
ปราศจากข้อตกลงเบื้องตน้ สามประการขา้ งตน้ เป็นกลมุ่ ตวั อยา่ งขนาดเลก็ ไม่ทราบลกั ษณะการแจกแจง
ของประชากรท่สี นใจจะศึกษา สถติ ิที่อยูใ่ นประเภทนีเ้ ช่น chi-square , medium test , Sign test

ความรเู้ พิ่มเตมิ sig คืออะไร ??
significant = นัยสำคญั ทางสถิติ
ตวั อย่างการต้ัง เชน่ 0.01 หรอื 0.05
คือ ถ้าใช้ 0.01 แปลความว่าผิดพลาดได้เพยี ง 0.01 เปอร์เซ็นต์ จาก 100

เปอรเ์ ซ็นต์ หรอื เรยี กว่า คา่ ทยี่ อมให้ผิดพลาดได้
sig // ไม่ sig
เช่น
sig น้อยกว่าหรอื เท่ากบั 0.05 มนั จะ.... sig
sig มากกวา่ 0.05 มนั จะ......ไม่sig

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÑèÇä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 136

โครงสรา้ งงานวจิ ยั
โครงสร้างงานวิจยั กำหนดเปน็ 3 ส่วนคอื
1. สว่ นคำนำ
2. ส่วนเนือ้ หา
3. สว่ นสนับสนุนหรอื อ้างอิง

ประเด็นสำคญั // โครงสรา้ งงานวจิ ัยกำหนดเป็น 3 สว่ น คำนำ + เนื้อหา + สนับสนนุ

1. ส่วนคำนำ ประกอบด้วย
1.1 หน้าหัวเรื่อง
ชือ่ รายงาน
ชอ่ื ผู้แต่ง
สถาบนั หรือสงั กัด
วันเดือนปที ี่จัดพมิ พ์

1.2 คำนำ
กิตติกรรมประกาศขอบคุณบุคคล หน่วยงานชว่ ยเหลอื หรือให้ทนุ
บดคดั ย่อ สรุปอภปิ ราย และขอ้ เสนอแนะ
สารบญั
สารบญั ตาราง สถติ แิ ละแผนภูมิ แผนภาพ

2. สว่ นของเนือ้ หา ประกอบดว้ ย
บทที่ 1 บทนำ
บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจัยท่ีเกย่ี วขอ้ ง
บทที่ 3 วธิ ดี ำเนินการวิจัย
บทที่ 4 ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู
บทท่ี 5 สรุป อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é èÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·èÇÑ ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 137

บทท่ี 1 บทนำ ประกอบดว้ ย

1) ความเป็นมาและความสำคญั ของปญั หา
- ปรากฏการณห์ รือสภาพในขณะนนั้ เก่ยี วกบั เรอื่ งทีก่ ำลังศกึ ษาอยู่

- ประเด็นท่เี ป็นปัญหาทีอ่ ยากจะหาคำตอบ

- ประโยชนท์ ่ีจะได้ ถ้าทราบคำตอบของปัญหาน้แี ลว้

2) วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั
- เขยี นในรปู ประโยคบอกเล่าให้สอดคลอ้ งกบั ปัญหาการวจิ ัย
- เขยี นอย่างชัดเจนง่ายแกก่ ารเข้าใจ
- เขยี นในลักษณะต้องการคำตอบไมใ่ ชต่ ้องการนำไปใชป้ ระโยชนอ์ ย่างไร
- ถ้ามวี ตั ถปุ ระสงคม์ ากขอ้ ใหเ้ ขยี นแยกเป็นข้อ ๆ

3) ขอบเขตของการวจิ ัย
3.1) ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง
3.2) เนอื้ หาทวี่ ิจยั
3.3) ตวั แปรในการวจิ ัย
3.4) ระยะเวลาการวิจยั

4) นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ
- เลอื กศพั ทเ์ ฉพาะทางวชิ าการทม่ี ีความหมายหลากหลายไมแ่ นน่ อนหรือกว้าง

เกนิ ไป
- ใหค้ วามหมายศพั ทต์ า่ ง ๆ ให้ผอู้ ่านเข้าใจตรงกันกบั ผ้เู ขียน
- เปน็ ศัพท์ท่กี ำหนดเฉพาะในการวจิ ยั นี้ซง่ึ อาจจะไมต่ รงกบั งานวจิ ยั อนื่ ๆ

5) ประโยชนท์ ่ีคาดวา่ จะได้รับ
- เป็นประโยชน์ทีไ่ ด้จากผลการวิจัยน้ี
- ประโยชนท์ างด้านวิชาการจะได้ความรู้ใหม่อย่างไร
- ประโยชนท์ างการประยุกตใ์ ชส้ ามารถนำไปแกป้ ญั หาหรอื กำหนดนโยบาย

อะไรบ้าง

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÔÇà¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é èÑÇä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 138

บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยทเ่ี กี่ยวขอ้ ง

2.1 เอกสารท่เี ก่ียวขอ้ ง
- โครงการแผนงานระเบียบตา่ ง ๆ ที่เกี่ยวกับตัวแปรทศี่ ึกษา
- ทฤษฎที สี่ นับสนุนเกย่ี วกับตวั แปรที่ศึกษา
- แนวคดิ จากขอ้ เขยี นในเอกสารตา่ ง ๆ

2.2 งานวจิ ยั ที่เก่ียวข้อง
- ผลของการวิจัยที่มีตัวแปรลักษณะเดยี วกันกบั ตวั แปรท่ศี กึ ษา
- ผลการวิจัยท่ีมเี น้ือหาใกล้เคียงกบั เรอื่ งที่ศึกษา
- สรปุ ผลการวิจัยทีค่ ้นพบวา่ สนบั สนนุ หรือขัดแยง้ ในปัญหาอย่างไร

บทที่ 3 วธิ ีดำเนนิ การวจิ ยั

3.1 รูปแบบการวจิ ัย
- เปน็ รปู แบบการวิจยั ทดลองหรอื ไมท่ ดลอง
- ถา้ เปน็ การวจิ ยั ทดลองใช้แผนทดลองอยา่ งไร
- ถา้ เป็นการวจิ ยั ทีไ่ มม่ กี ารทดลองใช้รูปแบบเชิงบรรยายเชิงเปรยี บเทียบหรือ

เชงิ สัมพนั ธภาพ

3.2 ประชากรและกล่มุ ตวั อย่าง
- ระบปุ ระชากรใหช้ ัดเจนทัง้ ในดา้ นพน้ื ทแี่ ละช่วงเวลา
- ขนาดกลมุ่ ตัวอยา่ งเทา่ ไหรค่ ดิ จากสตู รอะไร
- วธิ กี ารเลือกกลุ่มตัวอย่างใชว้ ธิ ีการสุ่มหรอื ไมม่ กี ารสุม่

3.3 ตวั แปรทศ่ี กึ ษา
- ตวั แปรอิสระและตวั แปรตามมีอะไรบา้ ง
- การวัดคา่ ตวั แปรวดั อยา่ งไรใช้มาตราอะไร

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·èÑÇä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 139

3.4 เครอื่ งมอื ในการวจิ ัย
- ใช้เครือ่ งมอื อะไรในการทดลองข้อมูล
- วิธกี ารสร้างเคร่ืองมือขอบเขตเน้ือหาในเคร่อื งมือและการตรวจสอบคณุ ภาพ

3.5 การวิเคราะหแ์ ละสถิติทีใ่ ชใ้ นการวเิ คราะหข์ อ้ มลู
- วิธคี ดิ วิเคราะหแ์ ละสถติ ทิ ีใ่ ช้
- การแปลค่าความหมายของสถติ ิ

บทท่ี 4 ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล

4.1 ลักษณะท่ีใช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มลู
- สญั ลกั ษณท์ ใ่ี ช้ในสูตรการคำนวณทางสถติ ิ
- ความหมายของสญั ลกั ษณ์ตา่ ง ๆ

4.2 ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู
- เสนอผลการวิเคราะหต์ ามวตั ถปุ ระสงค์
- อาจจะนำเสนอในรปู ขอ้ ความตารางแผนภาพหรอื แผนภมู ติ ่าง ๆ

บทท่ี 5 สรุปอภิปรายผลและข้อเสนอแนะ

5.1 สรุปผลการวจิ ยั
- สรุปผลตามวตั ถปุ ระสงคห์ รือสมมตฐิ าน
- ไมเ่ นน้ คา่ สถิติแตเ่ ขียนภาษาเขยี นเป็นประโยคท่ีง่ายแกก่ ารเขา้ ใจ
- สอดคล้องกับสมมตุ ฐิ านการวจิ ัย

5.2 อภิปรายผลการวิจยั
- ข้อคน้ พบสอดคลอ้ งกบั แนวความคดิ ทฤษฎขี องใคร
- ถา้ ขอ้ ค้นพบขดั แยง้ กบั สมมุติฐานหรอื ทฤษฎีใด ๆ ให้เสนอความคิดเหน็ วา่

ทำไมขอ้ คน้ พบจึงเปน็ เชน่ น้ัน
- ความคดิ เห็นของผ้วู ิจัยเพม่ิ เตมิ ในการค้นพบคำตอบต่าง ๆ

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªÇè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÇÔ à¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é èÑÇä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 140

5.3 ข้อเสนอแนะ
- ใครบา้ งทคี่ วรนำผลการวิจยั ไปใชป้ ระโยชน์
- การนำไปใชป้ ระโยชนใ์ นลกั ษณะใด
- ควรจะมกี ารปรับเปลยี่ นหรอื คงไว้สำหรบั สิง่ ทเ่ี ก่ียวข้องอยา่ งไร
- ควรจะมกี ารศึกษาต่อไปในประเดน็ ใดบ้าง

3. สว่ นสนบั สนนุ หรอื อา้ งอิง
ส่วนสนบั สนนุ หรืออ้างอิงประกอบดว้ ย
1. บรรณานุกรม
2. ภาคผนวก

เครอื่ งมอื ในการวจิ ยั

คือเคร่ืองมอื ที่ใชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มูล ประกอบด้วย แบบสอบถาม แบบสังเกต แบบ
สมั ภาษณ์ แบบทดสอบ เครือ่ งมอื วัดต่าง ๆ เคร่อื งมือท่ใี ช้ในการวิจยั กอ่ นจะนำไปใชเ้ กบ็ ข้อมูลจริง
จะต้องผา่ นการตรวจหาคณุ ภาพกอ่ นเพื่อให้แน่ใจว่าเปน็ เครอื่ งมอื ท่มี คี ณุ ภาพ สามารถวัดในสง่ิ ทต่ี อ้ งการ
จะวัดได้ ดังน้ี

1. ความเทย่ี งตรง หรอื ความตรง (Validity) วดั ได้ในสิ่งทต่ี ้องการจะวดั ตรงจดุ มงุ่ หมาย
2. ความเชอื่ มน่ั หรอื ความเทย่ี ง (Reliability) วดั ได้คงท่แี น่นอน วดั กี่ครง้ั กเ็ ท่าเดมิ
3. ความยากงา่ ย(Difficulty) ข้อสอบแต่ละข้อตอ้ งไมย่ ากและไมง่ ่ายเกินไปกับกลุม่ ผู้สอบ
4. อํานาจจําแนก (Discrimination) ความสามารถของข้อสอบแตล่ ะขอ้ ในการจาํ แนกคนที่
อยูใ่ นกลมุ่ เก่งออกจากคนที่อยู่ในกลุ่มอ่อนได้
5. ความเปน็ ปรนยั (Objectivity) ชัดแจ้งในความหมายของคำถาม ตรวจให้คะแนนได้ตรงกัน
แปลความหมายของคะแนนไดต้ รงกนั

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·ÑèÇä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 141

1. ความเท่ยี งตรง หรือความตรง (Validity)

วัดไดใ้ นสิ่งที่ต้องการจะวัดตรงจุดม่งุ หมายจำแนกเปน็ 4 ประเภท
1.1 ตรงตามเนื้อหา เป็นความสามารถในการวดั ผมเนือ้ หาทต่ี อ้ งการจะวดั ได้

ครอบคลมุ และเป็นตวั แทนของสงิ่ ท่ตี อ้ งการวดั เชน่ วัดความสามารถในการทอ่ งศัพทว์ ัดทกั ษะดา้ นตา่ ง ๆ
การหาความตรงเชงิ เน้ือหาทำไดโ้ ดยการหาคา่ ดชั นีความสอดคล้อง (Index of Item-Objective
Congruence: IOC) โดยผูเ้ ช่ยี วชาญ

การหาคา่ IOC หรือ ค่าความตรง

การหาค่า IOC จะต้องมีผู้เช่ยี วชาญตง้ั แต่ 3 คนขึน้ ไปทําการตรวจ โดยสามารถให้
คะแนนได้ 3 แบบ

ให้คะแนน +1 คอื ตรงตามจดุ ประสงค์
ใหค้ ะแนน 0 ไมแ่ นใ่ จว่าตรงตามจดุ ประสงค์หรือไม่
ใหค้ ะแนน -1 ไมต่ รงตามจุดประสงค์

เสร็จแล้วคำนวณจากสมการ

IOC มคี า่ ระหว่าง 0 - 1.0 คา่ ทีไ่ ดอ้ ยา่ งน้อยไม่ควรตำ่ กว่า 0.5 ถา้ ตำ่ กว่า 0.5 ควร
แกไ้ ขปรับปรงุ ข้อคาํ ถามใหม่

คา่ IOC ทด่ี ีทส่ี ดุ คอื 1.0 (ความเหน็ ตรงกนั ทงั้ หมด 3 คน)

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢éÁ

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é èÑÇä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ 142

1.2 ตรงตามโครงสร้าง คือความสามารถของเครอ่ื งมือทวี่ ดั ไดต้ รงตามสง่ิ ทีต่ อ้ งการวัด
โดยผลการวดั จะมคี วามสอดคลอ้ งกับโครงสร้างหรอื ทฤษฎีของลักษณะทว่ี ัดน้นั จำแนกได้ 3 วธิ ี

1. การหาคา่ สมั ประสทิ ธส์ิ หสัมพันธ์ เป็นการหาควาสำพนั ธข์ องแบบทดสอบ
2 ชุดทว่ี ดั ในเรอื่ งเดียวกนั

2. เปรียบเทียบกบั กลมุ่ ทม่ี ลี กั ษณะต้องการวัดอย่างเด่นชัดโดยใช้การ
เปรียบเทยี บด้วย t-test

3. การวิเคราะห์องค์ประกอบ
1.3 ความตรงตามสภาพ ความสามารถในการวัดทักษะทส่ี นใจไดต้ รงสภาพของสง่ิ นั้น
เชน่ ผ้เู รยี นเกง่ ท่สี ดุ ต้องทำแบบทดสอบได้คะแนนสงู สุด
1.4 ความตรงเชงิ พยากรณ์ ความสามารถในการวดั ลักษณะทีส่ นใจไดต้ รงตาม
ลกั ษณะของสิ่งน้นั ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

2. ความเชอ่ื มนั่ หรือ ความเที่ยง (Reliability)

วดั ได้คงที่แน่นอน วดั กคี่ รงั้ กเ็ ท่าเดิม วิธีการหาความเชือ่ มัน่ ทำได้โดย
2.1 การทดสอบซ้ำ (Test- Retest) คำนวณจากการวดั สองครั้งเวลาต่างกัน

เคร่อื งมอื ชนดิ เดมิ
2.2 การใชข้ ้อสอบเทียบเทา่ กันหรือเหมือนกนั (Equivalent-Form Reliability)

คำนวณจากการวัดกลุ่มเดียวเครอื่ งมอื 2 ชนดิ ที่เท่าเทยี มกนั
2.3 การทดสอบแบบแบง่ คร่งึ (Split Half Reliability) แบง่ ครึ่งขอ้ สอบท่ีสมมูลกัน

ใชส้ ูตร Spearman Brown
2.4 การหาความคงทภ่ี ายในโดยใชส้ ูตร KR-20 และ KR-21 ใหค้ ะแนนแบบ 0-1
2.5 การทดสอบวิธสี มั ประสิทธแ์ิ อลฟา

ประเดน็ สำคัญ // ความเชอ่ื มนั่ วดั กีค่ รัง้ กไ็ ด้ผลเทา่ เดมิ

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÇÔ à¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é èÇÑ ä»ã¹¡Òè´Ñ ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 143

2.1 การทดสอบซ้ำ (Test- Retest) ความคงเสน้ คงวาของคะแนนจากการวดั ใน
ชว่ งเวลาที่ต่างกนั โดยวิธีสอบซำ้ ดว้ ยแบบทดสอบเตมิ การหาความเชอื่ มน่ั ใชก้ ารคำนวณคา่ สมั ประสทิ ธิ์
สหสัมพันธร์ ะหวา่ งคะแนนท่ีวดั ได้จากคนกลุ่มเดียวกนั ดว้ ยเครอื่ งมอื เดียวกันโดยทำการวัดสองครัง้ ใน
เวลาทต่ี า่ งกนั

2.2 การใชข้ อ้ สอบเทียบเท่ากันหรอื เหมือนกนั (Equivalent-Form Reliability)
การหาความเชอ่ื มั่นใชก้ ารทดสอบแบบใช้ขอ้ สอบเหมอื นกันใชก้ ารคำนวณคา่ สมั ประสทิ ธิส์ หสัมพันธ์
ระหว่างคะแนนทว่ี ัดได้จากคนกลุ่มเดียวกันด้วยเครอ่ื งมอื สองฉบบั ท่ที ดั เทียมกนั

2.3 การทดสอบแบบแบ่งครง่ึ (Split Half Reliability) เปน็ การหาความเชือ่ ม่นั
โดยการหาความคงท่ภี ายในโดยใชแ้ บบทดสอบชุดเดยี วและสอบครงั้ เดียวแตแ่ บ่งข้อสอบออกเปน็ สอง
สว่ นคอื ข้อค่แู ละข้อคี่ การหาคา่ ความเชือ่ มน่ั ใชก้ ารคำนวณคา่ สมั ประสิทธ์ิสหสมั พนั ธ์ระหว่างคะแนนท่ี
วดั ไดจ้ ากการแบง่ ครง่ึ ขอ้ สอบทสี่ มมลู กันโดยใช้สูตรของ Spearman Brown

2.4 การหาความคงท่ภี ายในโดยใช้สตู ร KR-20 และ KR-21 เป็นการหาถา้ ข้อความ
เชื่อมั่นโดยการทดสอบว่าแบบทดสอบหรอื แบบสอบถามแตล่ ะขอ้ มคี วามสัมพันธก์ ับขอ้ อ่ืนในฉบับ
เดยี วกันหรือไมห่ ากหา้ ความเชือ่ มั่นไดโ้ ดยใช้การคำนวณคา่ สถติ ขิ องคะแนนรายขอ้ ใหค้ ะแนนแบบ 0-1
และถ้าหนูรวมใชส้ ูตร (Kuder-Richardson) (KR-20, KR-21)

2.5 การทดสอบวิธสี มั ประสิทธ์แิ อลฟา เปน็ การหาความเชือ่ มั่นโดยการ ทดสอบวา่
แบบสอบถามแต่ละข้อมคี วามสัมพันธ์กับข้ออน่ื ๆ ในฉบบั เดยี วกนั หรือไม่ การหาคา่ ความเชือ่ ม่ัน
แบบสอบถามทัง้ ฉบับการคำนวณคา่ สถติ ขิ องคะแนนรวมทัง้ ฉบับโดยใช้สตู รคำนวณสัมประสิทธแ์ิ อลฟา่
ของคอนบาค

ประเดน็ สำคัญ // เมื่อรวมทง้ั ฉบับตอ้ งมคี า่ ความเช่อื มนั่ ทั้งฉบับ 0.7 ข้ึนไป

ྨ Êͺ¤ÃÙ¼ÙéªèÇ by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙé·èÑÇä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 144

3. ความยากง่าย(Difficulty)

ความยากงา่ ย (Difficulty) หรือคา่ P เปน็ สัดสว่ นของการตอบถกู -ผดิ บ่งบอกถึงคณุ ลักษณะของ
ข้อสอบทย่ี ากหรือง่ายเกินไป

การหาค่าความยากงา่ ยหรือค่า P ใช้สมการคอื

โดยคา่ P ควรเป็นดังน้ี

- คา่ P มคี ่าระหว่าง 0 - 1.0
- ค่า P ทีย่ อมรับได.้ .....อยู่ระหวา่ ง 0.2 - 0.8
- ค่า P ท่ีดมี าก............อยู่ระหวา่ ง 0.4 - 0.6
- ค่า P ที่ดที ่สี ุด............คอื 0.5
- คา่ ความยากยง่ิ สูง........ขอ้ สอบย่ิงง่าย
- ค่าความยากย่งิ ตำ่ ........ขอ้ สอบย่งิ ยาก

ประเด็นสำคญั // ค่า P ท่ใี ชไ้ ด้คือ 0.2 - 0.8 คา่ ที่ดที ่สี ุดคือ 0.5

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹¡Ô FB ¤ÃÙ¹Ô¡ µÔÇà¢Áé

Áҵðҹ¤ÇÒÁÃÙ·é ÇèÑ ä»ã¹¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÂÕ ¹¡ÒÃÊ͹ 145

4. อำนาจำแนก (Discrimination Power)

ค่าอำนาจจำแนกหรอื ค่า r เป็นความสามารถของเคร่อื งมือทีจ่ ำแนกกลมุ่ คนเกง่ -ออ่ น ออกจากกัน
ถา้ คนเก่งจะตอบถกู หรือทำคะแนนได้สูง สว่ นคนออ่ นจะตอ้ งตอบผิดหรอื ทำคะแนนไดน้ อ้ ย

การหาค่าอำนาจจำแนกทำได้ดังนี้

Ru = จำนวนกล่มุ ตัวอย่างทถี่ กู ในกลุ่มเกง่

RL = จำนวนกล่มุ ตัวอยา่ งทีถ่ ุกในกลุ่มออ่ น
N= จำนวนกลมุ่ ตัวอย่างท้งั หมด

ค่าอำนาจจำแนกควรเปน็ ดังนี้

ค่า r มีคา่ ตั้งแต่ (-1.00) – (+1.00)
r > 0.40 = ดีมาก
r > 0.3 – 0.39 = ดี
r > 0.20 – 0.29 = พอใชไ้ ด้
r < 0.19 = ยังตอ้ งปรบั ปรุง
r ติดลบ = ใช้ไม่ได้ ต้องตดั ทงิ้

ค่า r ยงิ่ สงู หรอื เข้า...ใกล้ 1.0 ย่งิ ดี

ถา้ คนเก่งตอบผิดเปน็ ส่วนใหญ่ แตค่ นออ่ นตอบถูกเป็นสว่ นใหญ่ จดั ว่า ขอ้ สอบมีค่าอำนาจ
จำแนกไม่ดี

ྨ Êͺ¤Ãټ٪é Çè  by ¤ÃÙ¹Ô¡ FB ¤ÃÙ¹¡Ô µÇÔ à¢Áé


Click to View FlipBook Version