คู่มือครู
Teacher Script
คณติ ศำสตร์ ม.5
ช้ันมธั ยมศึกษาปท่ี 5
ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชวี้ ดั
กลุม่ สาระการเรยี นรคู้ ณิตศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551
ผ้เู รียบเรียงหนังสือเรยี น ผ้ตู รวจหนงั สือเรียน บรรณาธกิ ารหนังสือเรยี น
Dr.Yeap Ban Har นางจนิ ดา อย่เู ปน็ สุข นางสาวจนั ทรเ์ พ็ญ ชมุ คช
Asst. Prof. Dr.Choy Ban Heng นายรณชัย มาเจรญิ ทรัพย์
Dr.Joseph Yeo Boon Wooi นางสาวบรู นาถ เฉยฉิน
Mr.Teh Keng Seng
นายทวีศกั ด์ิ จันทรมณี บรรณาธิการคมู่ ือครู
นางสาวนุศรา ชมเชย
ผูเ้ รยี บเรยี งคมู่ ือครู นางสาววรรณทัศน ์ เลิศอภิสิทธิ
นางสาวจนั ทร์เพ็ญ ชุมคช
นางสาววลยั ลกั ษณ์ เพช็ รดี
พิมพครง้ั ท่ี 1
สงวนลขิ สิทธิ์ตามพระราชบญั ญตั ิ
รหสั สินคา 3546008
ค�ำแนะน�ำกำรใช้
คมู่ อื คร ู รายวชิ าพนื้ ฐาน คณติ ศาสตร ์ ม.5 เลม่ น ้ี จดั ทา� ขนึ้ สา� หรบั
ใหค้ รผู สู้ อนใชเ้ ปน็ แนวทางวางแผนการจดั การเรยี นการสอน เพอื่ พฒั นา
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการประกันคุณภาพผู้เรียนตามนโยบาย
ของส�านกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน (สพฐ.)
เพิ่ม คาํ แนะนําการใช้ ช่วยสร้างความเข้าใจ เพื่อใช้คู่มือครูได้
อยา่ งถูกต้องและเกิดประสิทธภิ าพสูงสดุ
นาํ นาํ สอน สรปุ ประเมนิ โซน 1
เพิ่ม คําอธิบายรายวิชา แสดงขอบขา่ ยเนอ้ื หาสาระของรายวิชา ขนั้ นาํ (Deductive Method)
ซง่ึ ครอบคลมุ มาตรฐานการเรยี นรแู้ ละตวั ชวี้ ดั ตามทห่ี ลกั สตู ร
กาํ หนดขอบเขตของปญ หา
กา� หนด 1. ครูกระตุนความสนใจของนักเรียน โดยให
เพิ่ม Pedagogy ช่วยสร้างความเข้าใจในกระบวนการออกแบบ นักเรียนดูภาพหนาหนวยการเรียนรูท่ี 1 ใน
การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ได้อย่างมี หนังสือเรียน หนา 2 แลวรวมกันสนทนาใน
ประสทิ ธิภาพ ชัน้ เรียนถงึ ประโยชนของคารบอน-14 (C-14)
ในการคํานวณหาอายุของวัตถุโบราณ จากนนั้
ครูอธิบายเพิ่มเติมวา “ธาตุกัมมันตรังสี
นอกจากจะใชคารบอน-14 (C-14) ในดาน
ธรณวี ทิ ยาแลว ยงั สามารถนาํ มาใชป ระโยชนใ น
ชวี ติ จรงิ ไดห ลายดา น เชน การใชไ อโอดนี -131
(I-131) ในดานการแพทย การใชโ คบอลต-60
(Co-60) ในดา นการถนอมอาหาร”
เพม่ิ Teacher Guide Overview ช่วยให้เหน็ ภาพรวมของการ
จัดการเรียนการสอนท้ังหมดของรายวิชาก่อนท่ีจะลงมือ
สอนจริง
เพม่ิ Chapter Overview ชว่ ยสรา้ งความเขา้ ใจและเหน็ ภาพรวม
ในการออกแบบแผนการจัดการเรยี นร้แู ต่ละหน่วย
เพมิ่ ข้อสอบเน้นการคิด/ข้อสอบแนว O-NET เพื่อเตรียม เกร็ดแนะครู กิจกรรม เสรมิ สรางคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค
ความพร้อมของผเู้ รียนสกู่ ารสอบในระดับต่าง ๆ
การเรยี นการสอนของหนวยการเรียนรูที่ 1 เร่ือง เลขยกกาํ ลัง ครูควรเลอื ก ครูควรปลูกฝงใหนักเรียนมีระเบียบวินัย เชน การแตงกายมา
เพิ่ม กจิ กรรม 21st Century Skills กจิ กรรมที่จะชว่ ยพฒั นา ใชว ธิ กี ารถาม-ตอบนกั เรยี น และยกตวั อยา งสถานการณใ กลต วั หรอื สถานการณ โรงเรียนใหถูกระเบียบ และกอนเร่ิมเรียนช่ัวโมงแรกครูอาจสราง
ผู้เรียนให้มีทักษะที่จ�าเป็นส�าหรับการเรียนรู้และการด�ารงชีวิต ในชีวิตประจําวันของนักเรียนเปนกรณีศึกษา จนเกิดเปนความรู ความเขาใจ ขอตกลงกับนักเรียนเกี่ยวกบั ความมวี ินยั เชน การสงการบา นหรือ
ในโลกแห่งศตวรรษที่ 21 และนาํ ความรทู ีไ่ ดไ ปประยกุ ตใ ชใ นชีวติ ประจาํ วนั ช้ินงานควรสงตรงตามเวลาที่กําหนด หากใครสงไมตรงตามเวลา
อาจถูกตัดคะแนนความรับผิดชอบ (ครูและนักเรียนรวมกันสราง
ขอตกลงดงั กลา ว)
โซน 3
โซน 2
T4
โซน 1 ชว่ ยครจู ดั โซน 2 ช่วยครเู ตรียมสอน
กำรเรียนกำรสอน โดยประกอบด้วยองคป์ ระกอบตา่ ง ๆ ที่เป็นประโยชนส์ า� หรับ
แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ครูผู้สอน ครู เพือ่ น�าไปประยกุ ต์ใช้จัดกจิ กรรมการเรยี นร้ใู นชนั้ เรียน
โดยแนะนา� ขัน้ ตอนการสอน และการจดั กจิ กรรมอย่างละเอยี ด
เพอื่ ให้นักเรยี นบรรลุผลสัมฤทธติ์ ามตวั ช้วี ัด เกร็ดแนะครู
นำ� สอน สรปุ ประเมนิ ความรู้เสริมส�าหรับครู ข้อเสนอแนะ ข้อสังเกต แนวทางการจัด
กิจกรรมและอ่นื ๆ เพื่อประโยชน์ในการจดั การเรยี นการสอน
นักเรยี นควรรู้
ความรเู้ พมิ่ เตมิ จากเนอื้ หา สา� หรบั อธบิ ายเสรมิ เพมิ่ เตมิ ใหก้ บั นกั เรยี น
โดยใช ้ หนงั สือเรยี นรายวิชาพ้ืนฐาน คณิตศาสตร ม.5 และแบบฝกหดั คณิตศาสตร ม.5 ของบริษทั อักษรเจริญทศั น์
อจท. จ�ากดั เป็นสือ่ หลกั (Core Materials) ประกอบการสอนและการจดั กจิ กรรมการเรียนรู ้ เพือ่ ใหส้ อดคล้องกับมาตรฐาน
การเรยี นร้แู ละตวั ชี้วัดของกลุม่ สาระการเรยี นรูค้ ณิตศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษา
ขน้ั พื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 ซงึ่ คูม่ ือครูเลม่ นมี้ ีองค์ประกอบทง่ี า่ ยตอ่ การใชง้ าน ดงั น้ี
โซน 1 นาํ นํา สอน สรปุ ประเมนิ โซน 3 ช่วยครเู ตรยี มนกั เรยี น
หนว่ ยกำรเรยี นรูท้ ี่ 1 ขนั้ นาํ ประกอบด้วยแนวทางส�าหรับการจัดกิจกรรมและ
เสนอแนะแนวขอ้ สอบ เพอ่ื อา� นวยความสะดวกใหแ้ กค่ รผู สู้ อน
เลขยกกำ� ลงั กาํ หนดขอบเขตของปญ หา
คาร์บอน-14 (C-14) เป็นธาตุกัมมันตรัง1สีท่ี 2. ครูใหนักเรียนยกตัวอยางการใชเลขยกกําลัง กิจกรรม 21st Century Skills
พบได้ในวตั ถตุ า่ ง ๆ เกือบทกุ ชนดิ บนโลก ซ่ึงมี
ท่ีพบเหน็ ในชวี ติ จริง กิจกรรมที่ให้นักเรียนได้ประยุกต์ใช้ความรู้ท่ีเรียนรู้มาสร้าง
(แนวตอบ นกั เรยี นสามารถตอบไดห ลากหลาย ช้ินงาน หรือท�ากิจกรรมรวบยอดเพ่ือให้เกิดทักษะท่ีจ�าเป็น
ตามพ้ืนฐานความรู เชน การคาํ นวณดอกเบีย้ ในศตวรรษท่ ี 21
ทบตน การเพ่มิ จํานวนของแบคทีเรยี )
หมายเหตุ : ครอู าจใหนักเรียนทําแบบทดสอบ ข้อสอบเนน้ การคิด
พื้นฐานกอ นเรยี น โดยการสแกน QR Code
ในหนงั สือเรียน หนา 3 ตัวอย่างข้อสอบท่ีมุ่งเน้นการคิด มีท้ังปรนัย-อัตนัย พร้อม
เฉลยอย่างละเอยี ด
ประโยชน์ทางด้านธรณีวิทยา สามารถน�ามา
คซ�าานกฟวณอสหซาิลอตาย่างุขอๆงวไัตดถ้ ุโโบดยรากณารใแชล้คะ่าอคารย่ึงชุขีวอ2ิตง ขอ้ สอบเน้นการคิดแนว O-NET
ซงึ่ คา� นวณไดจ้ ากสูตร
Nเร่ิมต้น ตัวอย่างข้อสอบที่มุ่งเน้นการคิดวิเคราะห์ และสอดคล้องกับ
Nเหลอื = 2 Tt21 แนวข้อสอบ O-NET มีทั้งปรนัย-อัตนัย พร้อมเฉลยอย่าง
ละเอียด
เมื่อ Nเหลือ = ปรมิ าณของกมั มนั ตรงั สที เี่ หลอื
Nเร่มิ ตน้ = ปรมิ าณของกมั มนั ตรงั สเี รม่ิ ตน้ กจิ กรรมเสริมสร้างคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์
T = เวลาทีใ่ ชใ้ นการสลายตัว
กิจกรรมท่ีมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนด้านคุณธรรม
t21 = ครง่ึ ชวี ติ จรยิ ธรรม ค่านยิ ม ตามทห่ี ลักสตู รกา� หนด
ตวั ชี้วัด กจิ กรรมทา้ ทาย
• เขา้ ใจความหมายและใชส้ มบัตเิ กยี่ วกับการบวก การคณู
เสนอแนะแนวทางการจดั กจิ กรรม เพอ่ื ตอ่ ยอดสา� หรบั นกั เรยี น
การเทา่ กัน และการไมเ่ ท่ากันของจา� นวนจริงในรูปกรณฑ์ ทเ่ี รยี นรไู้ ด้อยา่ งรวดเรว็ และตอ้ งการท้าทายความสามารถใน
และจา� นวนจริงในรูปเลขยกกา� ลังท่มี เี ลขชก้ี �าลงั เป็น ระดับท่ีสงู ขึ้น
จา� นวนตรรกยะ (ค 1.1 ม.5/1)
กิจกรรมสรา้ งเสริม
สำระกำรเรยี นรู้แกนกลำง Recall
• รากที่ n ของจ�านวนจริง เสนอแนะแนวทางการจัดกิจกรรมซ่อมเสริมส�าหรับนักเรียน
ที่ควรไดร้ ับการพฒั นาการเรียนรู้
เมือ่ n เปน็ จา� นวนนบั ทมี่ ากกว่า 1
• เลขยกกา� ลังทีม่ เี ลขชก้ี �าลัง เฉลยละเอยี ด
เป็นจา� นวนตรรกยะ หนังสอื เรียน คณติ ศาสตร์ ม.5
สามารถเขา้ ไปดาวน์โหลดไดท้ ี่
กิจกรรม 21st Century Skills นักเรียนควรรู
www.aksorn.com
ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-5 คน รวมกันสืบคนจาก 1 ธาตุกัมมันตรังสี (radioactive element) หมายถึง ธาตุท่ีสามารถ
อินเทอรเน็ตในหัวขอ “เลขยกกําลังที่พบเห็นในชีวิตจริง” มา แผรังสีออกมาไดเองเน่ืองดวยนิวเคลียสของอะตอมไมเสถียร และเปนธาตุท่ีมี
กลุมละ 1 เร่ือง จากน้ันใหนักเรียนแตละกลุมออกมานําเสนอ เลขอะตอมสูงกวา 82
หนาช้นั เรยี น โดยใชโปรแกรม Microsoft PowerPoint 2 คาคร่ึงชีวิต (half life) หมายถึง ระยะเวลาท่ีธาตุกัมมันตรังสีสลายตัว
หมายเหตุ : ครูควรจัดกลุมนักเรียนโดยคละความสามารถทาง จนเหลือคร่งึ หนง่ึ ของปรมิ าณท่ีมอี ยูเดมิ ใชสัญลกั ษณเปน t12
คณิตศาสตรของนักเรียน (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุม
เดยี วกนั
โซน 3
โซน 2
T5
บรู ณาการอาเซียน
ความรู้เสริมหรือการเชื่อมโยงในเรื่องท่ีเก่ียวข้องกับประชาคม
อาเซยี น
สือ่ Digital
แนะนา� แหล่งเรยี นรู้และแหลง่ ค้นคว้าจากสื่อ Digital ตา่ ง ๆ
แนวทางการวัดและประเมนิ ผล
เสนอแนะแนวทางการบรรลุผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียน
ตามมาตรฐานการเรยี นรแู้ ละตัวชว้ี ดั ท่ีหลักสตู รกา� หนด
ค�ำอธิบายรายวิชา
คณิตศาสตร ์ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้คณิตศาสตร์
เวลาเรียน 80 ชว่ั โมง/ปี
ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 5
ศึกษาเก่ียวกับรากท่ี n ของจำ� นวนจริง เลขยกกำ� ลังที่มีเลขช้ีกำ� ลังเป็นจำ� นวนตรรกยะ ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน
กราฟของความสมั พนั ธแ์ ละฟงั กช์ นั กราฟของสมการและอสมการและการนำ� ไปใช้ ฟงั กช์ นั เชงิ เสน้ ฟงั กช์ นั กำ� ลงั สอง ฟงั กช์ นั
เอกซโ์ พเนนเชยี ล ฟงั กช์ นั ขนั้ บนั ได ความหมายของลำ� ดบั การหาพจนท์ ว่ั ไปของลำ� ดบั จำ� กดั ลำ� ดบั เลขคณติ ลำ� ดบั เรขาคณติ
อนุกรมเลขคณิต อนกุ รมเรขาคณิต ดอกเบี้ยคงต้น ดอกเบย้ี ทบต้น มูลค่าของเงิน คา่ รายงวด
โดยการจัดประสบการณ์หรือสร้างสถานการณ์ในชีวิตประจ�ำวันท่ีใกล้ตัวให้ผู้เรียนได้ศึกษา ค้นคว้า ฝึกทักษะ
โดยการปฏบิ ัติจรงิ ทดลอง สรุป รายงาน เพอ่ื พฒั นาทกั ษะ กระบวนการในการคิดคำ� นวณ การแก้ปญั หา การให้เหตุผล
การส่อื ความหมายทางคณติ ศาสตร์และน�ำประสบการณด์ า้ นความรู้ ความคิด ทักษะและกระบวนการที่ไดไ้ ปใช้ในการเรียนรู้
สิ่งต่าง ๆ และใชใ้ นชวี ิตประจำ� วันอยา่ งสรา้ งสรรค์
เพ่ือให้เห็นคุณค่าและมีเจตคติท่ีดีต่อคณิตศาสตร์ สามารถท�ำงานได้อย่างเป็นระบบ มีระเบียบ รอบคอบ มีความ
รบั ผิดชอบ มีวิจารณญาณ มคี วามคิดริเริ่มสรา้ งสรรค์ และมีความเช่ือมน่ั ในตนเอง
ตัวชวี้ ดั
ค 1.1 ม.5/1 เข้าใจความหมายและใชส้ มบัตเิ กี่ยวกับการบวก การคณู การเทา่ กนั และการไมเ่ ท่ากันของจำ� นวนจรงิ
ในรปู กรณฑ์ และจำ� นวนจริงในรูปเลขยกกำ� ลังท่ีมเี ลขช้ีก�ำลังเป็นจ�ำนวนตรรกยะ
ค 1.2 ม.5/1 ใชฟ้ งั กช์ ันและกราฟของฟงั ก์ชนั อธบิ ายสถานการณ์ท่ีก�ำหนด
ค 1.2 ม.5/2 เขา้ ใจและน�ำความรเู้ ก่ียวกบั ลำ� ดบั และอนกุ รมไปใช้
ค 1.3 ม.5/1 เข้าใจและใชค้ วามร้เู กยี่ วกบั ดอกเบี้ยและมลู คา่ ของเงนิ ในการแกป้ ญั หา
รวม 4 ตัวชว้ี ดั
Pedagogy
คูม่ ือครู รายวิชาพ้ืนฐาน
คณ ิตศาสตร์ ม.5 รวมถงึ สอื่ การเรยี นรรู้ ายวชิ าพนื้ ฐาน คณติ ศาสตร์ ชนั้ ม.5 ผจู้ ดั ทำ� ไดอ้ อกแบบการสอน
(Instructional Design) อันเป็นวิธีการจัดการเรียนรู้และเทคนิคการสอนท่ีเปี่ยมด้วยประสิทธิภาพและมีความหลากหลาย
ใหก้ ับผู้เรียน เพือ่ ใหผ้ เู้ รียนสามารถบรรลผุ ลสัมฤทธต์ิ ามมาตรฐานการเรยี นรแู้ ละตัวชวี้ ดั รวมถงึ สมรรถนะและคณุ ลักษณะ
อันพึงประสงค์ของผู้เรียนที่หลักสูตรก�ำหนดไว้ โดยครูสามารถน�ำไปใช้ส�ำหรับจัดการเรียนรู้ในช้ันเรียนได้อย่างเหมาะสม
ส�ำหรบั Pedagogy หลกั ท่ีนำ� มาใชอ้ อกแบบกิจกรรมการเรยี นรปู้ ระกอบดว้ ย
รูปแบบการสอน Concept Based Teaching
ขน้ั การใช้ความร้เู ดมิ เชือ่ มโยงความรู้ใหม่ ขนั้ เขา้ ใจ
1 Prior Knowledge 2 Knowing 3 Understanding 4 Doing
ข้ันรู้ ขนั้ ลงมือทำ�
เลอื กใช้รปู แบบการสอนโดยยึดผ้เู รยี นเปน็ ศูนยก์ ลาง : Concept Based Teaching เน่ืองจากคณติ ศาสตร์เป็นวชิ า
ทีเ่ ปน็ เครอื่ งมือในการด�ำเนินชวี ิต โดยอาศัยหลกั การและความคิดรวบยอดตา่ ง ๆ เพือ่ ประยุกต์ใช้ ดงั น้ัน Concept Based
Teaching เป็นการจัดการเรียนการสอนท่ีน�ำพาผู้เรียน เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ มีทักษะ และเกิดความคิดรวบยอด
ผลของการจัดการเรียนการสอนในลกั ษณะน้ี จะทำ� ใหผ้ ูเ้ รยี นได้ความรู้ และมที ักษะในการคน้ หาความคิดรวบยอด ซง่ึ จะเปน็
ทักษะสำ� คัญตดิ ตวั ผูเ้ รียนไปตลอดชวี ติ
วิธีสอน (Teaching Method)
เลือกใช้วธิ ีการสอนทห่ี ลากหลาย เชน่ อปุ นัย นิรนัย การสาธติ แบบสาธติ แบบแกป้ ญั หา แบบบรรยาย เพอื่ ส่งเสรมิ
การเรียนรู้และเกิดความเข้าใจในเน้ือหาคณิตศาสตร์อย่างถ่องแท้ โดยจะเน้นใช้วิธีสอนแบบอุปนัย (Inductive Method)
เน่อื งจากเปน็ การสอนท่ผี ู้เรียนจะไดค้ ้นหาสงิ่ ที่มีอยู่รว่ มกนั จากตัวอย่างสถานการณ์ต่าง ๆ ซงึ่ สนับสนุนกบั การจดั การเรียน
การสอนแบบ Concept Based Teaching ทท่ี �ำใหผ้ ู้เรยี นได้เรยี นรู้กระบวนการ ซึ่งท�ำให้ไดค้ วามคิดรวบยอดทสี่ ำ� คัญ
เทคนคิ การสอน (Teaching Technique)
เลอื กใชเ้ ทคนคิ การสอนทห่ี ลากหลายและเหมาะสมกบั เรอื่ งทเ่ี รยี น เชน่ การใชค้ ำ� ถาม การใชต้ วั อยา่ งกระตนุ้ ความคดิ
การใช้แผนภาพ และการใช้สื่อการเรียนรู้ที่น่าสนใจ เพื่อส่งเสริมวิธีการสอนและรูปแบบการสอนให้มีประสิทธิภาพในการ
จัดการเรียนรู้ให้มากย่ิงข้ึน ซ่ึงช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีความสุข และสามารถฝึกฝนทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษ
ท่ี 21 ได้
Teacher Guide Overview
คณิตศาสตร์ ม.5
หนว่ ย ตวั ชว้ี ัด ทักษะทีไ่ ด้ เวลาท่ีใช้ การประเมิน สอ่ื ท่ใี ช้
การเรยี นรู้ เขา้ ใจความหมายและใช้สมบตั ิ
เก่ยี วกบั การบวก การคูณ - ทักษะการสังเกต - ตรวจใบงานท่ี 1.1-1.2 - หนงั สอื เรยี น
1 การเท่ากนั และการไม่เท่ากัน - ทักษะการระบุ - ตรวจแบบฝึกทกั ษะ รายวิชาพนื้ ฐาน
ของจำ�นวนจรงิ ในรูปกรณฑ์ - ทักษะการเช่ือมโยง ในหนังสอื เรยี น คณิตศาสตร์ ม.5
เลขยกก�ำลัง และจำ�นวนจริงในรูปเลขยกกำ�ลัง - ทกั ษะกระบวนการคดิ
ทีม่ ีเลขช้ีกำ�ลงั เปน็ จำ�นวนตรรกยะ ตัดสินใจ
(มฐ. ค 1.1 ม.5/1) - ทกั ษะการวิเคราะห์ - ตรวจ Exercise ในแบบฝึกหดั - แบบฝกึ หัด
- ทักษะการให้เหตุผล คณิตศาสตร์ รายวชิ าพน้ื ฐาน
- ทกั ษะการนำ� ความรู้ไปใช้ - ประเมนิ การนำ� เสนอผลงาน คณติ ศาสตร์ ม.5
10 - ตรวจผังมโนทัศน์ - ใบงาน
หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 1 เลขยกก�ำลงั
ชัว่ โมง
- สงั เกตพฤตกิ รรมการท�ำงาน
รายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรมการทำ� งานกลมุ่
- สังเกตความมวี ินยั ใฝเ่ รยี นรู้
มุ่งมัน่ ในการทำ� งาน
2 ใชฟ้ ังก์ชันและกราฟของฟงั ก์ชัน - ทักษะการสงั เกต - ตรวจใบงานท่ี 2.1-2.5 - หนังสอื เรยี น
อธบิ ายสถานการณท์ กี่ ำ�หนด - ทักษะการระบุ - ตรวจแบบฝึกทกั ษะ รายวิชาพื้นฐาน
ฟังก์ชนั (มฐ. ค 1.2 ม.5/1) - ทกั ษะการเช่อื มโยง ในหนงั สือเรียน คณติ ศาสตร์ ม.5
- ทกั ษะการเปรียบเทียบ
- ท ักษะการประยกุ ต์ใช้ - ตรวจ Exercise ในแบบฝึกหัด - แ บบฝกึ หัด
คณติ ศาสตร์ รายวชิ าพน้ื ฐาน
ความรู้ - ประเมนิ การนำ� เสนอผลงาน คณิตศาสตร์ ม.5
- ทักษะการวิเคราะห์ 30 - ตรวจผังมโนทัศน์ - ใบงาน
- ทักษะการพิสจู น์ความจรงิ หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 2 ฟงั ก์ชัน - QR Code
- ทกั ษะการนำ� ความรูไ้ ปใช้ ชั่วโมง
- สังเกตพฤติกรรมการทำ� งาน
รายบุคคล
- ส งั เกตพฤติกรรมการท�ำงานกลมุ่
- สังเกตความมีวนิ ยั ใฝเ่ รยี นรู้
มุง่ มัน่ ในการทำ� งาน
หน่วย ตัวช้ีวดั ทกั ษะท่ีได้ เวลาที่ใช้ การประเมนิ สือ่ ทใ่ี ช้
การเรียนรู้
เข้าใจและนำ�ความร้เู ก่ียวกบั ลำ�ดบั - ทักษะการสังเกต - ตรวจแบบฝึกทกั ษะ - หนงั สอื เรียน
3 และอนุกรมไปใช้ - ทักษะการระบุ ในหนังสือเรยี น รายวชิ าพืน้ ฐาน
(มฐ. ค 1.2 ม.5/2) - ทกั ษะการหาแบบแผน - ตรวจ Exercise ในแบบฝึกหดั คณิตศาสตร์ ม.5
ล�ำดบั - ทกั ษะการคดิ วิเคราะห์ คณติ ศาสตร์ - แบบฝกึ หัด
และอนุกรม - ท ักษะการจ�ำแนก
ประเภท - ประเมินการนำ� เสนอผลงาน รายวชิ าพื้นฐาน
- ทกั ษะการเชอ่ื มโยง - ตรวจผังมโนทัศน์ คณติ ศาสตร์ ม.5
- ท ักษะการน�ำความรู้ 30 หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 3 ล�ำดบั - QR Code
ไปใช้ และอนุกรม
- ทักษะการประยุกต์ใช้ ชว่ั โมง
ความรู้
- ส งั เกตพฤติกรรมการท�ำงาน
รายบุคคล
- สังเกตพฤตกิ รรมการท�ำงานกลมุ่
- ส ังเกตความมีวนิ ัย ใฝ่เรยี นรู้
มุ่งมน่ั ในการท�ำงาน
4 เขา้ ใจและใช้ความรูเ้ กยี่ วกับดอกเบีย้ - ทักษะการสังเกต - ตรวจใบงานท่ี 4.1-4.2 - หนังสือเรียน
และมูลค่าของเงินในการแก้ปัญหา - ทกั ษะการตคี วาม - ตรวจแบบฝึกทักษะ รายวชิ าพืน้ ฐาน
ดอกเบยี้ และ (มฐ. ค 1.3 ม.5/1) - ทักษะกระบวนการคดิ ในหนงั สือเรียน คณิตศาสตร์ ม.5
มลู คา่ ของเงนิ ตดั สินใจ - ต รวจ Exercise ในแบบฝึกหัด - แ บบฝึกหัด
- ทกั ษะการเช่อื มโยง คณติ ศาสตร์ รายวชิ าพ้นื ฐาน
- ทักษะการเปรยี บเทยี บ - ประเมนิ การนำ� เสนอผลงาน คณิตศาสตร์ ม.5
- ทักษะการวิเคราะห์ 10 - ตรวจผังมโนทัศน์ - ใบงาน
- ทักษะการประยุกต์ใช้ หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 4
ความรู้ ชวั่ โมง ดอกเบี้ยและมลู คา่ ของเงนิ
- สงั เกตพฤติกรรมการท�ำงาน
รายบุคคล
- สงั เกตพฤติกรรมการท�ำงานกล่มุ
- สงั เกตความมีวนิ ัย ใฝ่เรยี นรู้
มงุ่ มน่ั ในการท�ำงาน
สารบัญ Chapter Teacher
Overview Script
Chapter Title T4 -T5
T2 -T3
หน่วยการเรยี นรู้ท ่ี 1 เลขยกกำ� ลงั T6 -T9
T44 -T47 T10 -T25
1.1 เลขยกก�ำลังท่ีมเี ลขชีก้ �ำลังเปน็ จำ� นวนเต็ม T26 -T39
1.2 รากท่ี n ของจำ� นวนจรงิ T136 -T139 T40 -T43
1.3 เลขยกก�ำลังทม่ี ีเลขชีก้ ำ� ลงั เปน็ จ�ำนวนตรรกยะ
ทา้ ยหนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 1 T48 -T49
หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 2 ฟังกช์ ัน T50 -T82
T83 -T91
2.1 ความสัมพันธ์และฟงั ก์ชนั T92 -T117
2.2 ฟังก์ชันเชงิ เส้น T118 -T124
2.3 ฟงั ก์ชนั กำ� ลังสอง T125 -T128
2.4 ฟังก์ชนั เอกซ์โพเนนเชยี ล T129 -T135
2.5 ฟังกช์ ันขั้นบันได
ทา้ ยหนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 2 T140 -T141
หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 3 ลำ� ดบั และอนกุ รม T142 -T163
T164 -T184
3.1 ลำ� ดบั T185 -T189
3.2 อนุกรม T190 -T193
3.3 การหาพจน์ทัว่ ไปของล�ำดับ
ทา้ ยหน่วยการเรียนรทู้ ี่ 3
Chapter Title Chapter Teacher
Overview Script
หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 4 ดอกเบย้ี และมูลคำ่ ของเงิน T194-T195 T196-T197
4.1 ดอกเบีย้ T198-T211
4.2 มูลค่าของเงนิ T212-T218
4.3 คา่ รายงวด T219-T223
ทา้ ยหน่วยการเรียนรู้ที ่ 4 T224-T227
Math in Real Life T228-T229
อภธิ ำนศัพท์ T230-T231
บรรณำนกุ รม
T232
Chapter Overview
แผนการจัด ส่อื ที่ใช้ จุดประสงค์ วธิ สี อน ประเมนิ ทกั ษะที่ได้ คุณลกั ษณะ
การเรียนรู้ - หนังสือเรยี น อันพงึ ประสงค์
แผนฯ ท่ี 1 รายวชิ าพื้นฐาน
เลขยกกำ� ลัง คณติ ศาสตร์ ม.5 1. บอกความหมาย แบบนริ นัย - ตรวจแบบฝึกทกั ษะ 1.1 - ท ักษะการสังเกต 1. มีวนิ ยั
ท่มี เี ลขชกี้ ำ� ลัง - แบบฝกึ หัด ของเลขยกกำ� ลัง (Deductive - ตรวจ Exercise 1.1 - ท ักษะการระบุ 2. ใฝ่เรยี นรู้
เปน็ จ�ำนวนเต็ม ที่มีเลขช้กี ำ� ลงั Method) - การนำ� เสนอผลงาน - ทักษะการ 3. มุ่งมั่น
รายวชิ าพื้นฐาน เป็นจำ� นวนเตม็ ได้ (K) - สังเกตพฤตกิ รรม เช่ือมโยง ในการทำ� งาน
2 คณติ ศาสตร์ ม.5 2. บอกสมบัติของ การท�ำงานรายบคุ คล - ท กั ษะกระบวน
เลขยกกำ� ลัง - สงั เกตพฤตกิ รรม การคดิ ตัดสนิ ใจ
ช่ัวโมง - หนงั สือเรียน ท่มี ีเลขชีก้ ำ� ลงั การทำ� งานกลมุ่ - ท กั ษะการ
รายวชิ าพนื้ ฐาน เป็นจำ� นวนเตม็ ได้ (K) - สงั เกตความมีวินัย วิเคราะห์
แผนฯ ท่ี 2 คณติ ศาสตร์ ม.5 3. หาคา่ ของเลขยกกำ� ลัง ใฝเ่ รยี นรู้ มุ่งม่ันในการ
รากท่ี n ของ - แบบฝกึ หดั ทีม่ เี ลขช้กี ำ� ลัง ท�ำงาน
จำ� นวนจริง เป็นจำ� นวนเตม็ ได้ (K)
รายวชิ าพน้ื ฐาน 4. ใช้ความรู้ ทกั ษะ
2 คณติ ศาสตร์ ม.5 และกระบวนการ
- ใบงานท่ี 1.1 ทางคณติ ศาสตร์
ชว่ั โมง ในการแกป้ ญั หา
ได้อย่างเหมาะสม (P)
5. รับผิดชอบตอ่ หนา้ ท่ี
ทไ่ี ดร้ บั มอบหมาย (A)
1. บอกความหมายของ Concept - ตรวจใบงานที่ 1.1 - ทกั ษะการสังเกต 1. มีวินยั
รากที่ n ของจ�ำนวนจริง Based - ตรวจแบบฝกึ ทักษะ 1.2 - ทักษะการระบุ 2. ใฝ่เรียนร้ ู
และค่าหลกั ของรากท่ี n Teaching - การน�ำเสนอผลงาน - ทักษะการ 3. มุ่งมน่ั
ของจ�ำนวนจริงได้ (K) - สงั เกตพฤติกรรม เชื่อมโยง ในการทำ� งาน
2. บอกสมบัตขิ องรากที่ n การท�ำงานรายบุคคล - ทกั ษะกระบวน
ของจำ� นวนจรงิ ได้ (K) - สงั เกตพฤตกิ รรม การคิดตัดสนิ ใจ
3. หารากท่ี n ของ การทำ� งานกลุม่ - ท กั ษะการ
จำ� นวนจรงิ และค่าหลกั - สงั เกตความมวี นิ ัย วเิ คราะห์
ของรากที่ n ของ ใฝ่เรยี นรู้ มุ่งมัน่ ในการ
จำ� นวนจริงได้ (K) ท�ำงาน
4. เขียนจำ� นวนจริงใหอ้ ยู่
ในรูปอย่างง่ายโดยใช้
สมบัติของรากท่ี n
ของจ�ำนวนจรงิ ได้ (P)
5. สือ่ สาร สอื่ ความหมาย
ทางคณิตศาสตร์ และ
นำ� เสนอเกีย่ วกับ
รากท่ี n ของจ�ำนวนจรงิ
ได้ (P)
6. รบั ผิดชอบต่อหน้าที่
ทีไ่ ด้รับมอบหมาย (A)
T2
แผนการจดั สือ่ ที่ใช้ จดุ ประสงค์ วธิ สี อน ประเมิน ทกั ษะท่ีได้ คณุ ลักษณะ
การเรยี นรู้ - ห นงั สือเรียน อนั พงึ ประสงค์
แผนฯ ที่ 3 รายวชิ าพืน้ ฐาน
การหาผลบวก คณติ ศาสตร์ ม.5 1. บ อกสมบัติของรากท่ี n Concept - ตรวจแบบฝึกทักษะ 1.2 - ทักษะการสงั เกต 1. มวี นิ ัย
ผลต่าง ผลคูณ - แ บบฝกึ หดั ของจ�ำนวนจริงได้ (K) Based - ตรวจ Exercise 1.2 - ทกั ษะการระบุ 2. ใฝเ่ รยี นรู้
และผลหารของ - การนำ� เสนอผลงาน - ท กั ษะการ 3. มงุ่ ม่นั
จ�ำนวนจริงท่ีอยู่ รายวชิ าพน้ื ฐาน 2. หาผลบวก ผลต่าง Teaching - สังเกตพฤติกรรม เชื่อมโยง ในการทำ� งาน
ในรปู กรณฑ์ คณิตศาสตร์ ม.5 ผลคูณ และผลหาร การทำ� งานรายบุคคล - ทกั ษะการน�ำ
ของจำ� นวนจรงิ ท่อี ยู่ - สงั เกตพฤติกรรม ความรไู้ ปใช้
2 ในรปู กรณฑ์ได้ (K) การทำ� งานกลุม่ - ท กั ษะการ
3. เขยี นแสดงข้นั ตอน - สงั เกตความมวี ินยั วิเคราะห์
ช่ัวโมง การหาผลบวก ผลตา่ ง ใฝ่เรียนรู้ มุ่งมนั่ ในการ
ผลคูณ และผลหาร ท�ำงาน
ของจำ� นวนจริงทีอ่ ยู่
ในรูปกรณฑไ์ ด้ (P)
4. รับผดิ ชอบตอ่ หนา้ ท่ี
ทีไ่ ด้รับมอบหมาย (A)
แผนฯ ท่ี 4 - หนังสอื เรียน 1. บอกสมบตั ิของ Concept - ตรวจใบงานที่ 1.2 - ทักษะการสังเกต 1. มวี ินยั
เลขยกก�ำลงั ทมี่ ี รายวชิ าพน้ื ฐาน เลขยกกำ� ลังที่มี Based - ตรวจแบบฝกึ ทกั ษะ 1.3 - ทกั ษะการระบุ 2. ใฝ่เรยี นร ู้
เลขชี้กำ� ลังเป็น คณติ ศาสตร์ ม.5 เลขชกี้ ำ� ลงั เปน็ จำ� นวน Teaching - ตรวจ Exercise 1.3 - ทักษะการ 3. ม่งุ มน่ั
จำ� นวนตรรกยะ - แบบฝึกหดั ตรรกยะและนำ� ไปใชไ้ ด้ - การนำ� เสนอผลงาน เชื่อมโยง ในการทำ� งาน
(K) - ต รวจแบบฝกึ ทักษะ - ทกั ษะการน�ำ
4 รายวชิ าพนื้ ฐาน 2. น�ำความรู้ เรอื่ ง สมบตั ิ ประจำ� หนว่ ยการเรียนรู้ ความรู้ไปใช้
คณิตศาสตร์ ม.5 ของเลขยกกำ� ลงั ที่ 1 - ท กั ษะการให้
ช่ัวโมง - ใบงานที่ 1.2
ท่ีมีเลขชกี้ ำ� ลงั เปน็ - ตรวจผังมโนทัศน์ เหตุผล
จำ� นวนตรรกยะไปใช้ หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 1 - ท ักษะการ
ในการแก้โจทยป์ ัญหาได้ เลขยกกำ� ลงั วิเคราะห์
(K) - สงั เกตพฤติกรรม
3. เขียนจำ� นวนทีอ่ ยใู่ นรูป การท�ำงานรายบุคคล
เลขยกกำ� ลังใหอ้ ยใู่ นรปู - สงั เกตพฤติกรรม
กรณฑ์ และเขยี น การทำ� งานกล่มุ
จำ� นวนทอ่ี ยู่ในรปู กรณฑ์ - สงั เกตความมวี นิ ัย
ใหอ้ ยใู่ นรูปเลขยกกำ� ลงั ใฝ่เรียนรู้ มุ่งมนั่ ในการ
ได้ (P) ท�ำงาน
4. เขียนแสดงขนั้ ตอน
การแก้สมการ
เลขยกกำ� ลังได้ (P)
5. เขียนแสดงขัน้ ตอน
การแก้โจทยป์ ญั หา
โดยใช้ความรู้ เร่ือง
สมบัตขิ องเลขยกกำ� ลัง
ที่มเี ลขชีก้ ำ� ลังเปน็
จำ� นวนตรรกยะได้ (P)
6. รบั ผิดชอบตอ่ หน้าท่ี
ทีไ่ ดร้ ับมอบหมาย (A)
T3
นาํ นํา สอน สรปุ ประเมนิ
ขน้ั นาํ (Deductive Method)
กาํ หนดขอบเขตของปญ หา
1. ครูกระตุนความสนใจของนักเรียน โดยให
นักเรียนดูภาพหนาหนวยการเรียนรูที่ 1 ใน
หนังสือเรียน หนา 2 แลวรวมกันสนทนาใน
ชนั้ เรยี นถงึ ประโยชนของคารบ อน-14 (C-14)
ในการคาํ นวณหาอายขุ องวตั ถุโบราณ จากน้ัน
ครูอธิบายเพ่ิมเติมวา “ธาตุกัมมันตรังสี
นอกจากจะใชคารบอน-14 (C-14) ในดาน
ธรณวี ทิ ยาแลว ยงั สามารถนาํ มาใชป ระโยชนใ น
ชวี ติ จรงิ ไดห ลายดา น เชน การใชไ อโอดนี -131
(I-131) ในดานการแพทย การใชโคบอลต-60
(Co-60) ในดานการถนอมอาหาร”
เกร็ดแนะครู กิจกรรม เสรมิ สรา งคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค
การเรียนการสอนของหนว ยการเรียนรูท่ี 1 เรอ่ื ง เลขยกกาํ ลงั ครคู วรเลอื ก ครูควรปลูกฝงใหนักเรียนมีระเบียบวินัย เชน การแตงกายมา
ใชว ธิ กี ารถาม-ตอบนกั เรยี น และยกตวั อยา งสถานการณใ กลต วั หรอื สถานการณ โรงเรียนใหถูกระเบียบ และกอนเร่ิมเรียนช่ัวโมงแรกครูอาจสราง
ในชีวิตประจําวันของนักเรียนเปนกรณีศึกษา จนเกิดเปนความรู ความเขาใจ ขอ ตกลงกับนักเรียนเกีย่ วกบั ความมีวนิ ยั เชน การสงการบา นหรือ
และนาํ ความรูท ่ีไดไปประยุกตใชใ นชีวติ ประจาํ วัน ช้ินงานควรสงตรงตามเวลาท่ีกําหนด หากใครสงไมตรงตามเวลา
อาจถูกตัดคะแนนความรับผิดชอบ (ครูและนักเรียนรวมกันสราง
ขอ ตกลงดงั กลา ว)
T4
นาํ นํา สอน สรปุ ประเมนิ
หนว่ ยกำรเรียนรทู้ ่ี 1 ขน้ั นาํ
เลขยกกำ� ลงั กาํ หนดขอบเขตของปญ หา
คาร์บอน-14 (C-14) เป็นธาตุกัมมันตรัง1สีที่
พบได้ในวตั ถุต่าง ๆ เกือบทุกชนดิ บนโลก ซงึ่ มี 2. ครูใหนักเรียนยกตัวอยางการใชเลขยกกําลัง
ท่ีพบเหน็ ในชวี ติ จริง
(แนวตอบ นกั เรียนสามารถตอบไดหลากหลาย
ตามพน้ื ฐานความรู เชน การคาํ นวณดอกเบ้ยี
ทบตน การเพิ่มจํานวนของแบคทีเรยี )
หมายเหตุ : ครูอาจใหน กั เรียนทําแบบทดสอบ
พ้ืนฐานกอนเรียน โดยการสแกน QR Code
ในหนังสอื เรียน หนา 3
ประโยชน์ทางด้านธรณีวิทยา สามารถน�ามา
คซ�าานกฟวณอสหซาิลอตาย่างุขอๆงวไัตดถ้ ุโโบดยรากณารใแชล้คะ่าอคารยึ่งชุขีวอ2ิตง
ซ่ึงคา� นวณไดจ้ ากสูตร
Nเริม่ ต้น
Nเหลอื = 2 Tt21
เมอื่ Nเหลอื = ปรมิ าณของกมั มนั ตรงั สที เี่ หลอื
Nเริม่ ต้น = ปรมิ าณของกมั มนั ตรงั สเี รมิ่ ตน้
T = เวลาท่ีใชใ้ นการสลายตวั
t12 = ครึ่งชีวติ
ตัวช้ีวัด
• เขา้ ใจความหมายและใชส้ มบัตเิ ก่ยี วกับการบวก การคณู
การเท่ากนั และการไม่เท่ากันของจ�านวนจริงในรูปกรณฑ์
และจา� นวนจรงิ ในรูปเลขยกกา� ลงั ท่มี ีเลขชี้ก�าลงั เป็น
จา� นวนตรรกยะ (ค 1.1 ม.5/1)
สำระกำรเรยี นรู้แกนกลำง Recall
• รากที่ n ของจ�านวนจรงิ
เมือ่ n เป็นจา� นวนนับทมี่ ากกวา่ 1
• เลขยกก�าลังทมี่ ีเลขช้กี �าลงั
เป็นจ�านวนตรรกยะ
กิจกรรม 21st Century Skills นักเรียนควรรู
ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-5 คน รวมกันสืบคนจาก 1 ธาตุกัมมันตรังสี (radioactive element) หมายถึง ธาตุท่ีสามารถ
อินเทอรเน็ตในหัวขอ “เลขยกกําลังที่พบเห็นในชีวิตจริง” มา
กลุมละ 1 เรื่อง จากน้ันใหนักเรียนแตละกลุมออกมานําเสนอ แผรังสีออกมาไดเองเนื่องดวยนิวเคลียสของอะตอมไมเสถียร และเปนธาตุท่ีมี
หนาชัน้ เรียน โดยใชโ ปรแกรม Microsoft PowerPoint เลขอะตอมสูงกวา 82
หมายเหตุ : ครูควรจัดกลุมนักเรียนโดยคละความสามารถทาง
คณิตศาสตรของนักเรียน (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุม 2 คาคร่ึงชีวิต (half life) หมายถึง ระยะเวลาที่ธาตุกัมมันตรังสีสลายตัว
เดยี วกนั
จนเหลอื ครง่ึ หน่ึงของปริมาณทมี่ ีอยูเดิม ใชสญั ลักษณเปน t12
T5
นาํ นํา สอน สรปุ ประเมนิ
ขนั้ นาํ
กาํ หนดขอบเขตของปญ หา
3. ครูทบทวนความรู เร่ือง เลขยกกําลังที่มีเลข 1.1 เลขยกกำ� ลงั ทมี่ เี ลขชก้ี ำ� ลงั เปน็ จำ� นวนเตม็
ชี้กําลังเปนจํานวนเต็ม โดยครูกลาววา จาก
บทนยิ าม เรียก an วา เลขยกกําลงั เรยี ก a (Integer Indice)
วา ฐาน และเรยี ก n วา เลขชก้ี าํ ลงั จากนั้น ในระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น นักเรียนเคยศึกษาเร่ืองเลขยกก�าลังท่ีมีเลขช้ีก�าลังเป็น
ครูยกตัวอยางเพ่ิมเติมบนกระดาน แลวถาม จ�านวนเต็มมาแล้ว ในหัวข้อนี้นักเรียนจะได้ทบทวนความรู้เร่ืองเลขยกก�าลังท่ีมีเลขช้ีก�าลังเป็น
คําถามนักเรยี น ดังนี้ จ�านวนเต็ม ซงึ่ มบี ทนิยามและสมบัติของเลขยกก�าลงั ดังต่อไปนี้
• 23 มีฐานและเลขช้กี าํ ลังเปน เทาใด
(แนวตอบ มี 2 เปนฐาน และมี 3 เปน เลข
ชกี้ ําลัง) บทนิยาม ก�ำหนด a เป็นจ�ำนวนจริง และ n เป็นจ�ำนวนเต็มบวก
an = a • a • a • ... • a
• 20 มคี าเทา กับเทาใด
• ((12แแนนเววขตตียออนบบให12-)อ 1ย) ใู นรูปเลขยกกาํ ลังไดอ ยางไร n ตวั
a0 = 1 เมื่อ a ≠ 0
a-n = a1n เมื่อ a ≠ 0
4. ครูกลาวถึงสมบัติของเลขยกกําลัง จากน้ัน จากบทนิยาม เรียก an ว่า เลขยกกา� ลงั
เขยี นสมบตั ิของเลขยกกาํ ลงั บนกระดาน แลว เรยี ก a ว่า ฐาน
สุมนักเรียนออกมายกตัวอยางจํานวนเต็ม
ที่สอดคลองกับสมบัติของเลขยกกําลัง โดย และเรียก n วา่ เลขชี้กา� ลงั
นกั เรยี นสามารถตอบไดห ลากหลาย ขนึ้ อยกู บั
เลขยกกา� ลังทม่ี เี ลขช้ีกา� ลังเปน็ จา� นวนเต็มมสี มบตั ิ ดังน้ี
พื้นฐานความรู ดังน้ี สมบัติ ก�ำหนด a, b เป็นจ�ำนวนจริงที่ไม่เท่ำกับศูนย์ และ m, n เป็นจ�ำนวนเต็ม
• am • an = am + n
(แนวตอบ 35 • 34 = 35 + 4 = 39) 1) am • an = am + n
• (am)n = amn 2) (am)n = amn
(แนวตอบ (53)-4 = 53 ×(-4) = 5-12) 3) (ab)n = anbn
• (ab)n = anbn 4) (ba)n = bann
(แนวตอบ (-3 × 2)4 = (-3)424) 5) aamn = am - n
ba n = bann
• 43 2 = 3422 )
• (แนวตอบ = 56 - (-2)
(aaแmnนว=ตอaบm55--6n2 = 58) 4
เกร็ดแนะครู กิจกรรม สรา งเสริม
ครูควรอธิบายเพิ่มเติมเก่ียวกับเลขยกกําลังจะไมมีสมบัติการแจกแจง ครูใหนักเรียนจับคู แลวยกตัวอยางเลขยกกําลังท่ีมีเลขช้ีกําลัง
เปนจํานวนเต็ม ที่สอดคลองกับสมบัติเลขยกกําลังในแตละขอ
สาํ หรับเลขช้ีกาํ ลงั ท่มี ีฐานบวกหรือลบกนั อยู (a ± b)n an ± bn เชน พรอมทั้งแสดงวิธที าํ อยา งละเอียด
หมายเหตุ : ครคู วรใหน กั เรยี นเกง และนักเรียนออนจบั คกู นั
(3 + 5)2 32 + 52 เพราะ (3 + 5)2 = 82 = 64 แต 32 + 52 = 9 + 25 = 34
T6
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
ขนั้ สอน
แสดงและอธบิ ายทฤษฎี หลักการ
ตวั อยางที่ 1 1. ครูอธิบายถึงการเขียนจํานวนในรูปอยางงาย
เปน การจดั รปู ของผลลพั ธท ไี่ ดจ ากการดาํ เนนิ -
ใหเ้ ขียนจำ� นวนต่อไปนีใ้ นรูปอยำ่ งงำ่ ย เมื่อ a, b และ c เปน็ จ�ำนวนจรงิ ท่ไี ม่เท่ำกับศูนย์ การของเลขยกกําลังใหอยูในรูปเลขยกกําลัง
2) (a-a2b3b4c2-1)-3 ที่มีเลขช้ีกําลังเปนจํานวนเต็มบวก และฐาน
1) (ab2c-1)2 ATTENTION ที่เปนจํานวนเดียวกัน จะมีแคนิพจนเดียว
4) a-2a--22-a-a1-1+ 1 จากน้ันครถู ามคําถามนกั เรยี น ดงั นี้
3) (a2bc4-3)4 (ac3-b14)-5
วิธที �ำ 1) (ab2c-1)2 = a2(b2)2(c-1)2 รูปอย่างงา่ ย เป็นการจัดรปู • (a-4)2 เขยี นใหอยใู นรูปอยางงายไดอ ยางไร
ของผลลัพธ์ที่ได้จากการ
= a2b4c-2 ดา� เนนิ การของเลขยกกา� ลงั • ((แaน3-2ว)ต3 อเบขยี a1น8ใ)หอยใู นรปู อยางงา ยไดอยางไร
=ac2b24 ให้อยู่ในรูปเลขยกก�าลังท่ี
= (a-2 - 3b4 - 2c-1)-3 มีเลขชี้ก�าลังเป็นจ�านวน
2) (a-a2b3b4c2-1)-3 = (a-5b2c-1)-3 เต็มบวก และฐานที่เป็น (แนวตอบ 3a6)
จ�าน1วนเดียวกัน aจ-3ะม×ีแค2a่ 1
• • a-3 เขียนใหอยูใ นรปู อยางงาย
นพิ จนเ์ ดยี ว เช่น (a-1)4
เขียนให้อยู่ในรูปอย่างง่าย
= (a-5)-3(b2)-3(c-1)-3 ไดเ้ ป็น a12 ไดอ ยางไร
= a15b-6c3 (แนวตอบ a-3 • a4 = a)
=a1b56c3 จากนั้นครูยกตัวอยางท่ี 1 ในหนังสือเรียน
หนา 5-6 บนกระดาน แลวครูและนักเรียน
3) (a2bc4-3)4 (ac3-b14)-5 =(a2()b4(4c)4-3)4 • (c-1)-5 รวมกันอภิปรายการเขียนจํานวนในแตละขอ
(a3)-5 (b4)-5 ใหอยูในรูปอยางงาย พรอมท้ังเปดโอกาสให
นกั เรียนซักถามเมือ่ เกิดขอสงสยั
=a8bc1-612 • a-15c5b-20
=a8 +b1156c--2102 + 5
=a2b3-c4-7
=a2c37b4
เลขยกก�าลัง 5
กิจกรรม ทาทาย นักเรียนควรรู
ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลมุ ละ 3-4 คน แลวชว ยกนั เขยี น 1 นพิ จน หมายถึง ขอความท่ีเขยี นอยใู นรปู สญั ลักษณ เชน 7, 3x5, x + 3,
-2 x2 - 3x + 9
3 aa-2-b5bc-34
a-1b2c ใหอยูในรปู อยา งงา ย เม่อื a, b และ c 2 a ในเรื่อง เลขยกกําลัง มีขอตกลงในทางคณิตศาสตรวา ตัวเลขที่ไมมี
เปนจํานวนจรงิ ที่ไมเ ทา กบั ศนู ย เลขชี้กําลัง หมายถึง เลขยกกําลังนั้นมเี ลขชี้กาํ ลังเปน 1
หมายเหตุ : ครูควรจัดกลุมนักเรียนโดยคละความสามารถทาง
คณิตศาสตรของนกั เรียน (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยกู ลมุ
เดียวกนั
T7
นาํ สอน สรุป ประเมนิ
ขนั้ สอน 4) a-2a--22-a-a1-1+ 1 =(a-2(a--22-a-a1-1+)(a12))(a2)
=a-2 +a2-2-+ 22a--1a+-12++2 a2
แสดงและอธบิ ายทฤษฎี หลักการ =1 -12a- a+ a2
= a2-(-a2-a 1+) 1
2. ครใู หน กั เรยี นศกึ ษาตวั อยา งท่ี 2 ในหนงั สอื เรยี น = -(a(a--11)2)
หนา 6 จากน้ันครูถามคําถามนักเรียนวา
จากตัวอยางที่ 2 นักเรียนจะใชสมบัติของ = -(a - 1)2-1 เม่ือ a ≠ 1
เลขยกกําลังใดในการหาคาของ 816 • 644 • 6-23 = -(a - 1) เมื่อ a ≠ 1
= 1 - a เมอ่ื a ≠ 1
(แนวตอบ 1) am•an = am + n
2) (am)n = amn ลองทําดู
3) (ab)n = anbn)
ใหเ้ ขยี นจา� นวนตอ่ ไปนใี้ นรปู อยา่ งงา่ ย เมอ่ื a, b และ c เปน็ จา� นวนจรงิ
ใชท ฤษฎี หลักการ ทไี่ ม่เทา่ กบั ศูนย์
(a-a2a3a-b-525bc6-3-a73-)1a-2-+1 9 ฝกทําตอ
ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน 1) (a3b-2c4)3 2)
หนา 6 จากนัน้ ครสู มุ นักเรียนออกมาแสดงวิธที าํ 4) แบบฝก ทักษะ 1.1
บนกระดาน โดยครแู ละนกั เรยี นในชน้ั เรยี นรว มกนั 3) (aa-31cb-52 )3 (ab-22bc5-3)-4 ขอ 1, 3, 4
ตรวจสอบความถูกตอง
ตวั อยางที่ 2 ฝกทําตอ
ขนั้ สรปุ
ให้หำคำ่ ของ 816 • 644 • 6-23 แบบฝกทกั ษะ 1.1 ขอ 2
ตรวจสอบและสรปุ วธิ ีท�ำ 816 • 644 • 6-23 = (34)6 • (26)4 • (2 • 3)-23
ครูถามคาํ ถามนักเรียน เพ่อื สรุปความรู เรื่อง = 324 • 224 • 2-23 • 3-23
เลขยกกาํ ลังทมี่ เี ลขชีก้ ําลังเปน จาํ นวนเตม็ ดังนี้ = 324 - 23 • 224 - 23
= 3•2
ถากําหนดให a, b แทนจาํ นวนจรงิ ใดๆ และ =6
m, n แทนจํานวนเตม็ บวก ลองทําดู
• เลขยกกาํ ลงั คอื อะไร
(แนวตอบ การคณู จาํ นวนนั้นซ้าํ ๆ กัน) ใหห้ าค่าของ 1255 • 274 • 15-13
• “a ยกกําลัง n” มีความหมายวาอยางไร 6
(แนวตอบ an = a × a × a × … × a )
n ตวั
• am•an มีคาเทา กบั เทา ใด
(แนวตอบ am + n)
• (am)n มคี าเทา กบั เทา ใด
(แนวตอบ amn)
• (ab)n มีคา เทา กับเทา ใด
(แนวตอบ anbn)
เกร็ดแนะครู กิจกรรม 21st Century Skills
จแตาํ น ว3คน2ร4จูคร=วงิ รใอด31ธๆ6ิบแแาลลยะะเพคmิ่มว,เรตnเนิมแนเทกยนี่ยํ้าจวเลาํกนขับวยเลนกขเกตยําม็ กลบกังวทํากลี่มังแีเลวลาขว ช(ถี้กaาmํากล)nําังหเปนaนดmจใnําหเนช วนaน,(เ3ตb2็)ม4ศแ=ทูน3นย8 ครแู บง กลุม ใหน ักเรยี นปฏิบตั กิ ิจกรรมตามขน้ั ตอนตอ ไปนี้
• กลุมละ 3-4 คน แลวสืบคนโจทยเลขยกกําลังท่ีมีเลขช้ีกําลัง
เลขยกกาํ ลังนนั้ จะมคี าเทา กบั 1 เชน 50 = 1, -120 = 1
เปนจาํ นวนเต็ม ที่สอดคลอ งกับสมบตั เิ ลขยกกาํ ลงั
T8 • ใหนักเรียนนําโจทยท่ีสืบคนมาแสดงวิธีการหาคาของจํานวนให
อยใู นรปู อยา งงา ยและหาคา ของจาํ นวนนน้ั พรอ มทง้ั บอกสมบตั ิ
เลขยกกาํ ลังท่ใี ชใ นการหาคาํ ตอบ
• ใหแตละกลุมสงตัวแทนออกมานําเสนอขอมูลผานโปรแกรม
Microsoft PowerPoint หรือโปรแกรมนําเสนออ่ืนๆ ตามที่
นักเรียนถนดั
หมายเหตุ : ครูควรจัดกลุมนักเรียนโดยคละความสามารถทาง
คณิตศาสตรของนักเรียน (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอยูกลุม
เดยี วกนั
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
ขน้ั สรปุ
ตรวจสอบและสรปุ
แบบฝึกทกั ษะ 1.1 • ((aaแแbamnนนnววมตตมออีคีคบบา าเabทaเทnmnาา ก)-กnบั )บั เทเทา า ใใดด
•
ระดับพน้ื ฐาน
1. ให้เขียนจ�ำนวนตอ่ ไปนใี้ นรปู อยำ่ งงำ่ ย เม่ือ a, b และ c เปน็ จ�ำนวนจริงท่ไี ม่เท่ำกับศูนย์
3375 22--31
1) 25 • 30 • 2-4 2) •
•
3) 324 • 128-2 4) 23775 • 98-12-5 ฝก ปฏบิ ตั ิ
•
1. ครูใหนักเรียนจับคูทํากิจกรรม โดยใชเทคนิค
5) a2b4a-4b-2 6) (ab-7c5a-4b11c-3)-1
7) (a-c2-b2-1)3 8) (aa--35bc-65)-4 คูค ดิ (Think Pair Share) ดังน้ี
9) (a-b3b2c-12c8)5 (aa-21cb-14)-3 10) b-2b-+2 +4b2-1b-+1 4
• ใหนักเรียนแตละคนคิดคําตอบของตนเอง
2. ใหห้ ำคำ่ ของเลขยกกำ� ลังต่อไปน้ี 2) 492 • 272 • 21-5 จากแบบฝกทักษะ 1.1 ในหนังสือเรียน
1) 53 • 24 • 10-2 4) 1225470• 13-55-20 หนา 7
3) 16162• 285-56-4
• ใหนักเรียนจับคูกับเพ่ือน เพื่อแลกเปลี่ยน
ระดบั กลาง คําตอบกัน สนทนาซักถามจนเปนที่เขาใจ
รวมกนั
3. ให้เขียนจ�ำนวนต่อไปน้ใี นรปู อยำ่ งง่ำย เมอ่ื a, b และ c เป็นจำ� นวนจรงิ ทไ่ี ม่เทำ่ กบั ศนู ย์
aa64 - aa42 + a3 2) a-3 + 3aa-3-2++a3-2a-1 + 1 • ครูสุมนักเรียนออกมานําเสนอคําตอบหนา
- + a ชั้นเรยี น โดยครตู รวจสอบความถูกตอง
2. ครใู หน กั เรียนทํา Exercise 1.1 เปน การบาน
1) ขนั้ ประเมนิ
3) (a + 1)5(a - 1)4 4) (a + b)n + 2 • (aa+b-b1c)n3 1. ครตู รวจแบบฝก ทกั ษะ 1.1
(a4 - 1)2 a-3b2 2. ครูตรวจ Exercise 1.1
- 2 3. ครูประเมนิ การนาํ เสนอผลงาน
4. ครสู งั เกตพฤติกรรมการทาํ งานรายบุคคล
ระดับทา้ ทาย 5. ครสู งั เกตพฤตกิ รรมการทาํ งานกลมุ
6. ครูสงั เกตความมีวินัย ใฝเรยี นรู
4. ให้พจิ ำรณำวำ่ ข้อควำมต่อไปนีเ้ ปน็ จริงหรอื เท็จ เพรำะเหตุใด
1) am • an = am + n มุง ม่ันในการทํางาน
2) aamn = am - n
3) (ab)-n =(ab)n
4) ถา้ ax > 1 และ 0 < a < 1 แลว้ x > 0
เลขยกก�าลัง 7
ขอสอบเนน การคดิ แนวทางการวัดและประเมินผล
คา ของ 3(3(3(-3)-2)-3)-1 มีคา เทา กับขอใด
1. 13 2. 91 3. 217 4. 811 ครูสามารถวัดและประเมินพฤติกรรมการทํางานกลุม จากการทําแบบ
(เฉลยคําตอบ 3(3(3(-3)-2)-3)-1 = 3 3 3 (-13)2 -3 -1 ฝกทักษะ 1.1 ในข้ันฝกปฏิบัติ โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจาก
= 3 3 3 19 -3 -1 แบบประเมินของแผนการจดั การเรียนรใู นหนวยการเรียนรทู ่ี 1
แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทางานกลมุ่
คาชี้แจง : ใหผ้ ู้สอนสังเกตพฤตกิ รรมของนักเรียนในระหวา่ งเรยี นและนอกเวลาเรยี น แลว้ ขีด ลงในชอ่ งท่ตี รงกบั
ระดับคะแนน
ลาดับ ช่อื – สกลุ การแสดง การยอมรับฟัง การทางาน ความมนี ้าใจ การมี รวม
ท่ี ของนักเรียน ความคดิ เห็น คนอ่นื ตามทีไ่ ดร้ ับ ส่วนร่วมใน 20
มอบหมาย การปรับปรุง คะแนน
ผลงานกลุ่ม
= 3 3 31 -3 -1 43214321432143214321
= 3 • 3-1 • ((3-1)-3)-1 ลงช่อื ...................................................ผ้ปู ระเมิน
= 3 • 3-1 • 3-3 ............/................./................
= 321-73 เกณฑก์ ารให้คะแนน
= ปฏบิ ตั ิหรือแสดงพฤตกิ รรมอยา่ งสมา่ เสมอ ให้ 4 คะแนน
ให้ 3 คะแนน
ปฏบิ ตั หิ รือแสดงพฤตกิ รรมบ่อยคร้ัง ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัตหิ รอื แสดงพฤตกิ รรมบางครงั้ ให้ 1 คะแนน
ปฏบิ ัตหิ รอื แสดงพฤตกิ รรมน้อยคร้ัง
เกณฑ์การตดั สนิ คุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคณุ ภาพ
18 - 20 ดีมาก
14 - 17 ดี
10 - 13 พอใช้
ตา่ กวา่ 10 ปรบั ปรงุ
ดังนนั้ คาํ ตอบ คือ ขอ 3.)
T9
นาํ นํา สอน สรปุ ประเมนิ
ขน้ั นาํ (Concept Based Teaching) 1.2 (รnำกthทR ี่ no oขtอoงfจำ�Rนeวaนl จNรuงิ m ber)
การใชค วามรเู ดมิ ฯ (Prior Knowledge) ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น นักเรียนทราบมาแล้วว่า การหารากที่สองของศูนย์และ
จา� นวนจรงิ บวกใด ๆ คือ การหาจา� นวนจริงท่ียกกา� ลังสองแล้วได้จา� นวนจรงิ นั้น
ครทู บทวน เรอื่ ง รากท่ี 2 และรากท่ี 3 โดยถาม
คําถาม ดังนี้ ในทา� นองเดยี วกนั การหารากทสี่ ามของจา� นวนจรงิ ใด ๆ คอื การหาจา� นวนจรงิ ทย่ี กกา� ลงั สาม
แลว้ ไดจ้ �านวนจรงิ นน้ั เช่น การหารากทีส่ ามของ 27 ทา� ไดโ้ ดยการหาจา� นวนจริงท่ยี กก�าลังสาม
• หาคารากที่ 2 ของ 16 แล้วได้ 27 ซึ่งจา� นวนนัน้ คอื 3 จงึ ไดว้ ่า 3 เปน็ รากท่ีสามของ 27 ในระดบั ชนั้ นน้ี ักเรียนจะได้ศกึ ษา
(แนวตอบ รากที่ 2 ของ 16 คอื -4 และ 4 เก่ียวกับรากที่ n ในระบบจ�านวนจริง
เพราะ (-4)2 = 16 และ 42 = 16)
1. รำกท ี่ n ของจำ� นวนจรงิ (nth Root of Real Number)
• หาคารากท่ี 3 ของ 8
(แนวตอบ รากที่ 3 ของ 8 คือ 2 เพราะ Investigation
23 = 8)
ใหน้ ักเรียนเติมคำ� ตอบลงในชอ่ งวำ่ งให้ถูกต้อง
• หาคารากที่ 3 ของ 5 1. 62 = .3..6.....ด...ัง...น...น้ั .....6.....เ.ป....น็ ...ร..า...ก...ท...่ี..2.....ข...อ...ง....3...6........................................................................................
(แนวตอบ รากที่ 3 ของ 5 คือ 3 5 เพราะ 2. (-6) =2 ..........................................................................................................................................................
( 3 5)3 = 5) 3. 3 =3 ..........................................................................................................................................................
4. (-3) =3 ..........................................................................................................................................................
ขนั้ สอน 5. 3 =4 ..........................................................................................................................................................
6. (-3) =4 ..........................................................................................................................................................
รู (Knowing) 7. 2 =5 ..........................................................................................................................................................
8. 2 =6 ..........................................................................................................................................................
1. ครูอธิบายเพ่ิมเติมวา ในกรณีท่ัวไป นักเรียน 9. (-2) =6 ..........................................................................................................................................................
สามารถหาคารากท่ี n ของจํานวนจริงได 10. 1 =7 ..........................................................................................................................................................
เมอ่ื n เปน จาํ นวนเตม็ บวกทม่ี ากกวา 1 โดยให
แตละคนศึกษาและตอบคําถามจากกิจกรรม จาก Investigation จะเห็นว่า จ�านวนจริงใด ๆ เขียนในรูปเลขยกก�าลังที่มีเลขช้ีก�าลังเป็น
จา� นวนเตม็ บางจา� นวนสามารถจดั ไดท้ งั้ ฐานทเ่ี ปน็ จา� นวนบวกและฐานทเ่ี ปน็ จา� นวนลบ เชน่ 81 = 34
Investigation ในหนงั สือเรียน หนา 8 หรอื 81 = (-3)4 ซ่งึ จะเรียก 3 และ -3 วา่ เป็นรากท่ี 4 ของ 81 แต่บางจ�านวนจัดไดเ้ ฉพาะฐาน
ทเี่ ปน็ จ�านวนบวกหรือฐานทีเ่ ปน็ จา� นวนลบอยา่ งใดอยา่ งหน่งึ เท่าน้นั เช่น 27 = 33 เรยี ก 3 วา่
2. ครแู ละนกั เรยี นรว มกนั อภปิ รายและสรปุ ความรู เปน็ รากท่ี 3 ของ 27 หรอื -27 = (-3)3 ซงึ่ จะเรียก -3 ว่าเปน็ รากที่ 3 ของ -27
ทีไ่ ดรบั จากกิจกรรม Investigation 8
เฉลย Investigation
1. 62 = 36 ดงั น้นั 6 เปน รากที่ 2 ของ 36
2. (-6)2 = 36 ดงั น้ัน -6 เปน รากที่ 2 ของ 36
3. 33 = 27 ดังนน้ั 3 เปน รากท่ี 3 ของ 27
4. (-3)3 = -27 ดงั นั้น -3 เปนรากท่ี 3 ของ -27
5. 34 = 81 ดงั น้นั 3 เปนรากที่ 4 ของ 81
6. (-3)4 = 81 ดังนั้น -3 เปน รากที่ 4 ของ 81
7. 25 = 32 ดงั น้ัน 2 เปน รากที่ 5 ของ 32
8. 26 = 64 ดังน้ัน 2 เปนรากท่ี 6 ของ 64
9. (-2)6 = 64 ดงั นน้ั -2 เปนรากที่ 6 ของ 64
10. 17 = 1 ดังน้ัน 1 เปน รากที่ 7 ของ 1
เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคิด
การเรียนการสอนในหัวขอนี้ ครูควรทบทวนความรู เร่ือง รากท่ีสองและ ขอ ใดตอไปน้ีถูกตอ ง
รากท่สี ามของจํานวนจรงิ ดงั น้ี 1. รากที่ 2 ของ 49 คือ 7
2. รากท่ี 3 ของ -8 คอื -2
ให a เปนจํานวนจรงิ ใดๆ 3. รากท่ี 4 ของ -16 คอื -2
- รากท่ีสองของ a คอื จาํ นวนจริงทีย่ กกาํ ลังสองแลวเทา กับ a 4. รากที่ 5 ของ 0.00032 คือ 0.02
(เฉลยคาํ ตอบ
เขยี นแทนดว ยสัญลกั ษณ a และ - a 1. ผดิ เพราะรากท่ี 2 ของ 49 คอื -7 และ 7
- รากทีส่ ามของ a คือ จํานวนจริงที่ยกกาํ ลงั สามแลวเทา กับ a 2. ถูก เพราะ (-2)3 = -8
3. ผิด เพราะไมม จี าํ นวนจริงใดทยี่ กกาํ ลังส่ีแลว ได -16
เขียนแทนดว ยสญั ลักษณ 3a 4. ผิด เพราะรากที่ 5 ของ 0.00032 คือ 0.2
ดังน้ัน คาํ ตอบ คอื ขอ 2.)
T10
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
ในกรณที ัว่ ไป การหาคา่ รากอนั ดบั ทีต่ า่ ง ๆ ของจา� นวนจรงิ ใด ๆ ไดม้ กี ารกา� หนดบทนิยามไว้ ขน้ั สอน
ดงั น้ี
รู (Knowing)
บทนิยาม ก�ำหนด x, y เป็นจ�ำนวนจริง และ n เป็นจ�ำนวนเต็มท่ีมำกกว่ำ 1
y เป็นรำกที่ n ของ x ก็ต่อเมื่อ yn = x 3. ครูอธิบายเพ่ิมเติมวา ในกรณีทั่วไปการหา
คารากอันดับที่ตางๆ ของจํานวนจริงใดๆ
ตัวอยา งท่ี 3 สามารถหาไดจากบทนิยาม ดงั นี้
“กําหนด x, y เปนจํานวนจริง และ n เปน
ใหห้ ำคำ่ ของ จํานวนเตม็ ทมี่ ากกวา 1 y เปนรากที่ n ของ x
1) รำกที่ 5 ของ -32 กต็ อ เมอ่ื yn = x”
2) รำกท่ี 6 ของ 64
4. ครใู หน กั เรยี นศกึ ษาตวั อยา งท่ี 3 ในหนงั สอื เรยี น
วิธที ำ� 1) เน่อื งจาก -32 = (-2)5 หนา 9 จากน้ันครูอธิบายตัวอยางที่ 3 ซํ้า
ดงั น้ัน รากท่ี 5 ของ -32 คือ -2 อกี ครัง้ เพอื่ ใหน ักเรียนเขาใจมากยงิ่ ข้นึ
2) เนอ่ื งจาก 64 = 26 และ 64 = (-2)6 เขา ใจ (Understanding)
ดงั น้ัน รากที่ 6 ของ 64 คือ 2 และ -2
ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
หนา 9 จากน้นั ครสู ุมนักเรียน 2 คน ออกมาเขียน
วิธคี ดิ บนกระดาน โดยครตู รวจสอบความถกู ตอง
ลองทําดู ฝกทําตอ
ใหห้ าค่าของ แบบฝก ทกั ษะ 1.2
1) รากท่ี 5 ของ 243 ขอ 1(1)-(2)
2) รากท่ี 6 ของ 729
2. คำ หลกั ของรำกท ่ี n ของจำ� นวนจรงิ
(Principle nth Root of Real Numbers)
พิจารณาเลขยกกา� ลังทก่ี า� หนด
• (-4)3 = -64 รากทีส่ ามของ -64 มเี พยี งหนึง่ คา่ คอื -4
เรยี ก -4 ว่าเปน็ คา่ หลกั ของรากทสี่ ามของ -64
• (-2)4 = 16 และ 24 = 16 รากท่สี ข่ี อง 16 มีสองคา่ คือ -2 กับ 2
เรียก 2 ว่าเปน็ คา่ หลักของรากท่ีส่ขี อง 16
• (-1)5 = -1 รากที่หา้ ของ -1 มีเพียงหน่ึงคา่ คอื -1
เรียก -1 วา่ เปน็ ค่าหลักของรากท่หี า้ ของ -1
เลขยกก�าลัง 9
กิจกรรม สรางเสรมิ เกร็ดแนะครู
ใหน ักเรียนปฏบิ ัติ ดงั นี้ ครูอธิบายเพ่ิมเติมเกี่ยวกับรากที่ n ของจํานวนจริงวา รากที่ n ของ x
ใหน กั เรียนจับคู แลว ชวยกันหาคาของ y เมือ่ กาํ หนด 3y = 243 เมอ่ื พจิ ารณา n เปน จาํ นวนคหู รอื จํานวนคี่ ดังน้ี
โดยใชบทนยิ ามของรากที่ n ของจํานวนจริง กรณี n เปน จาํ นวนคู
หมายเหตุ : ครคู วรใหน ักเรยี นเกง และนกั เรยี นออ นจบั คกู ัน 1. ถา x > 0 แลว รากท่ี n ของ x จะมีคาํ ตอบ 2 คา คอื จาํ นวนจริงบวก
กิจกรรม ทา ทาย และจํานวนจริงลบ
2. ถา x < 0 แลว ไมส ามารถหารากที่ n ของ x ไดใ นระบบจํานวนจรงิ
ครใู หน กั เรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 3-4 คน คละความสามารถทาง กรณี n เปน จาํ นวนคี่
คณติ ศาสตร แลว ชว ยกนั หาคา ของ m + n เมอ่ื กาํ หนด 5m = 3,125 1. ถา x > 0 แลว รากที่ n ของ x จะมีคําตอบเพียงคาเดียว คือ
และ 3n = 729 โดยใชบทนิยามของรากที่ n ของจํานวนจริง
จากน้ันเขียนแสดงข้ันตอนวิธีทําลงกระดาษ A4 แลวนําสงให จํานวนจรงิ บวก
ครตู รวจ 2. ถา x < 0 แลว รากที่ n ของ x จะมีคําตอบเพียงคาเดียว คือ
จํานวนจรงิ ลบ
T11
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
ขนั้ สอน นกั เรียนจะเห็นวา่ ค่าหลักของรากที่ n ของจ�านวนจริงใด ๆ มเี พยี งหนึ่งคา่ เทา่ นนั้ ซึ่งอาจจะ
เป็นจา� นวนบวกหรือจา� นวนลบ ดงั บทนิยามตอ่ ไปน้ี
รู (Knowing)
บทนิยาม ให้ x และ y เป็นจ�ำนวนจริง และ n เป็นจ�ำนวนเต็มท่ีมำกกว่ำ 1 y เป็นค่ำหลักของรำกท่ี n
1. ครูเขียนโจทยบ นกระดาน เชน ของ x ท่ีเขียนแทนด้วย n x ก็ต่อเม่ือ
1) รากที่ 3 ของ -64 คอื -4
2) รากที่ 4 ของ 16 คือ -2 และ 2 1) y เป็นรำกท่ี n ของ x
3) รากที่ 5 ของ -1 คือ -1 2) xy ≥ 0
แลว ถามคาํ ถาม ดังน้ี ส�ำหรับ n x อ่ำนว่ำ กรณฑ์ที่ n ของ x หรือ ค่ำหลักของรำกที่ n ของ x
• ขอใดบางที่มีรากเปนอันดับคู และคําตอบ
ในแตล ะขอมกี ค่ี า จากบทนยิ ามอาจกลา่ วได้ว่า ถา้ y เป็นคา่ หลกั ของรากที่ n ของ x แล้ว xy จะมีผลคูณ
(แนวตอบ ขอ 2) มรี ากท่ี 4 เปนรากอนั ดับคู เปน็ จา� นวนบวกหรือศูนย์
และมีคาํ ตอบ 2 คา คอื -2 และ 2)
• ขอใดบางที่มีรากเปนอันดับค่ี และคําตอบ เชน่ คา่ หลกั ของรากที่ 3 ของ -8 คอื 3 -8 หรือ -2
ในแตละขอมีก่ีคา เพราะว่า (-8) × (-2) > 0
(แนวตอบ ขอ 1) และขอ 3) มีรากที่ 3 และ ค่าหลกั ของรากท่ี 4 ของ 81 คอื 4 81 หรอื 3
รากที่ 5 เปนรากอันดับค่ี และมีคําตอบ เพราะวา่ 81 × 3 > 0
เพียงคาเดยี ว คอื -4 และ -1 ตามลาํ ดับ) ค่าหลักของรากท่ี 5 ของ -15 คอื 5 -15
จากนั้นครูสรุปวา รากอันดับคูที่มีคําตอบ เพราะวา่ -15 × 5 -15 > 0
สองคาจะมีคาหลักเพียงคาเดียวเทานั้น คือ
คาท่ีเปนบวก นั่นคือ คาหลักของรากท่ี 4 ในกรณีท่วั ไปมขี อ้ สรปุ เกย่ี วกับค่าหลักของรากท่ี n ของจา� นวนจรงิ x หรอื n x ดงั น้ี
ของ 16 คือ 2 และรากอันดับค่ีที่มีคําตอบ 1. ถา้ x = 0 แล้ว n x = 0
เพียงคาเดียว ซ่ึงคําตอบท่ีไดจะเปนคาหลัก 2. ถ้า x > 0 แล้ว n x เปน็ จา� นวนจรงิ บวก
ของราก น่ันคือ คาหลกั ของรากท่ี 3 ของ -64 3. ถา้ x < 0 และ n เป็นจ�านวนค่ี แล้ว n x เปน็ จ�านวนจริงลบ
คือ -4 และคาหลักของรากที่ 5 ของ -1 คอื -1
ATTENTION และเรยี ก n วา่ อันดับท่ี
2. ครูใหนักเรียนเขียนบทนิยามคาหลักของราก
ท่ี n ลงในสมุด จากหนังสือเรียน หนา 10 แลว 1. สญั ลักษณ์ เรียกวา่ เคร่อื งหมายกรณฑ์ (radical sign)
ยกตัวอยางบนกระดาน เพ่ือใหสอดคลองกับ 2. รากที่ n เมอ่ื n เปน็ จา� นวนเตม็ ที่มากกว่า 1 เขียนแทนด้วย n
บทนยิ ามดังกลาว
หรอื ดชั นี (index) ของกรณฑ์
3. ครูอธิบาย เร่ือง สัญลักษณของเคร่ืองหมาย 3. กรณี กรณฑ์ที่ 2 (n = 2) เขียนแทนด้วย
กรณฑท่ีใชแสดงอันดับรากของจํานวนจริง
จาก ATTENTION ในหนังสอื เรียน หนา 10
10
สื่อ Digital ขอ สอบเนน การคดิ
คา ของ 81 + 30 - 3 - 2674 มีคา เทา กบั เทาใด
ครูอาจใหนักเรียนดูส่ือการเรียนรูผานทาง www.youtube.com โดยใช 81 + 3 0 - 3 - 2674 = 92 + 3 03 - 3 - 43 3
คําสบื คน ดงั น้ี (เฉลยคําตอบ = 9 + 0 - - 34
= 9 34 )
• คาหลักของรากท่ี n ของจาํ นวนจริง
• Principle nth Root of Real Number
เชน www.edltv.thai.net
T12
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
ตัวอยางท่ี 4 ขน้ั สอน
ใหห้ ำคำ่ ของ 2) 5 -243 รู (Knowing)
1) 4 16
4. ครูเขยี นตวั อยา งที่ 4 ในหนงั สือเรยี น หนา 11
วิธีทำ� 1) เนือ่ งจาก 24 = 16 และ 2 × 16 > 0 บนกระดาน และอธิบายวิธีทําอยางละเอียด
ดงั น้นั 4 16 = 2 เพื่อเนนยํา้ ใหนกั เรียนเขา ใจ
2) เนอ่ื งจาก (-3)5 = -243 และ (-3) × (-243) > 0 เขา ใจ (Understanding)
ดงั นัน้ 5 -243 = -3
1. ครูใหนกั เรียนจับคทู าํ “ลองทาํ ดู” ในหนังสอื -
ลองทําดู 2) 5 23423 ฝกทําตอ เรียน หนา 11 แลวตรวจสอบคําตอบกับคู
ของตนเอง โดยครูตรวจสอบความถูกตอง
ใหห้ าค่าของ แบบฝกทกั ษะ 1.2
1) 4 625 ขอ 1(3)-(6), 6 2. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกทักษะ 1.2 ขอ 1
ในหนังสอื เรยี น หนา 21 เปนการบาน
ตวั อยา งท่ี 5
รู (Knowing)
ใหห้ ำคำ่ ประมำณของ 3 63
วธิ ที ำ� ขนั้ ท่ี 1 หาจา� นวนเต็มทยี่ กกา� ลังสามแล้วใกลเ้ คยี งกับ 63 มากที่สดุ 1. ครูเฉลยการบา น โดยสมุ นักเรยี นออกมาเขียน
วิธีทําบนกระดาน โดยครูตรวจสอบความ
เนอ่ื งจาก 33 < 63 < 43 ถกู ตอง
3 27 = 3 และ 3 64 = 4
2. ครกู ลา วทบทวนเกยี่ วกบั รากที่ n ของจาํ นวนจรงิ
ดงั นั้น 3 63 มีค่าประมาณมากกวา่ 3 แต่ไม่ถึง 4 และคา หลักของรากที่ n ของจาํ นวนจรงิ ดังน้ี
ข้นั ท่ี 2 ประมาณค่าของ 3 63 - การหาคา รากอนั ดบั ทต่ี า งๆ ของจาํ นวนจรงิ
ใดๆ สามารถหาไดจากบทนิยาม ดังนี้
พิจารณาจาก 3.1, 3.2, 3.3, ..., 3.9 จะได้ว่า (3.9)3 = 59.319 กาํ หนด x, y เปนจาํ นวนจริง และ n เปน
ดงั นัน้ 3 63 มคี ่าประมาณมากกว่า 3.9 แตไ่ มถ่ ึง 4 จํานวนเต็มท่ีมากกวา 1 y เปนรากที่ n
พิจารณาจาก 3.91, 3.92, 3.93, ..., 3.99 ของ x ก็ตอ เม่อื yn = x
เนื่องจาก (3.95)3 ≈ 61.630 - จํานวนจริง y เปนคาหลักของรากที่ n
ของ x เขียนแทนดวย n x ก็ตอ เมือ่ y เปน
(3.96)3 ≈ 62.099 รากท่ี n ของ x และ xy ≥ 0
(3.97)3 ≈ 62.571
(3.98)3 ≈ 63.045 เขา ใจ (Understanding)
ดงั นน้ั 3.98 เปน็ คา่ ประมาณของ 3 63
1. ครูใหนักเรียนสุมตัวเลขที่ยกกําลังสามแลว
เลขยกก�าลัง 11 ใกลเ คยี งกบั 63 มากทส่ี ดุ โดยตอบเปน ทศนยิ ม
สองตําแหนง จากน้ันครูยกตัวอยางที่ 5 ใน
หนังสือเรยี น หนา 11 บนกระดาน แลว อธิบาย
การหาคาประมาณของ 3 63 แตละข้ันตอน
อยา งละเอยี ด
ขอสอบเนน การคดิ เกร็ดแนะครู
75 +2 50
ใหหาคาประมาณของ เม่ือกําหนด 2 ≈ 1.414 ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการหาคาประมาณของรากท่ี 2 และรากท่ี 3
และ 3 ≈ 1.732 โดยใชวิธกี ารเปด ตาราง ดงั นี้
(เฉลยคาํ ตอบ 75 +2 50 = 55(13.7+2325) 2 5(1.414) nn 3n n n 3n
+2 1 1.000 1.000 11 3.317 2.224
≈ 2 1.414 1.260 12 3.464 2.289
3 1.732 1.442 13 3.606 2.351
= 7.865) 4 2.000 1.587 14 3.742 2.410
5 2.236 1.710 15 3.873 2.466
6 2.449 1.817 16 4.000 2.520
7 2.646 1.913 17 4.123 2.571
8 2.828 2.000 18 4.243 2.621
9 3.000 2.080 19 4.359 2.668
10 3.162 2.154 20 4.472 2.714
เชน 15 ≈ 3.873 และ 3 10 ≈ 2.154 T13
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
ขน้ั สอน ลองทําดู ฝกทําตอ
เขา ใจ (Understanding) ให้หาคา่ ประมาณของ 3 8.1 แบบฝกทกั ษะ 1.2 ขอ 2
2. ครใู หนักเรียนจับคูทาํ “ลองทําด”ู ในหนังสือ- Journal Writing
เรยี น หนา 12 และแบบฝกทกั ษะ 1.2 ขอ 2.
ในหนงั สือเรยี น หนา 21 จากนัน้ ใหต รวจสอบ ตะวนั แสดงวิธีหาค�าตอบจากตัวอยา่ งท่ี 5 ดังน้ี
คําตอบกับคูของตนเอง โดยครูตรวจสอบ เนื่องจาก 3 27 = 3 และ 3 64 = 4
ความถูกตอ ง ดงั น้นั 3 63 มีค่าประมาณมากกวา่ 3 แต่ไม่ถงึ 4
เนอ่ื งจาก (3 +2 4)3 = (3.5)3 = 42.875
3. ครูใหนักเรียนจับคูทํากิจกรรม โดยใชเทคนิค ดังนนั้ 3 63 มคี ่าประมาณมากกว่า 3.5 แตไ่ มถ่ ึง 4
เนอ่ื งจาก (3.52+ 4)3 = (3.75)3 ≈ 52.734
คคู ิด (Think Pair Share) ดังนี้ ดงั นน้ั 3 63 มีคา่ ประมาณมากกวา่ 3.75 แต่ไมถ่ ึง 4
เนอ่ื งจาก (3.752+ 4)3 = (3.875)3 ≈ 58.186
• ใหนักเรียนแตละคนคิดคําตอบของตนเอง ดงั นัน้ 3 63 มีคา่ ประมาณมากกวา่ 3.875 แต่ไมถ่ งึ 4
เนื่องจาก (3.8752 + 4)3 = (3.9375)3 ≈ 61.047
กอน จากกิจกรรม Journal Writing ใน ดังนนั้ 3 63 มคี ่าประมาณมากกว่า 3.9375 แต่ไม่ถึง 4
เน่อื งจาก (3.93725 + 4)3 = (3.96875)3 ≈ 62.512
หนังสือเรียน หนา 12 ดงั นั้น 3 63 มีค่าประมาณมากกว่า 3.96875 แต่ไมถ่ ึง 4
• ใหนักเรียนจับคูกับเพ่ือน เพื่อแลกเปล่ียน เนอ่ื งจาก (3.968725 + 4)3 = (3.984375)3 ≈ 63.253
ดงั นัน้ 3 63 มีค่าประมาณมากกวา่ 3.96875 แตไ่ ม่ถึง 3.984375
คําตอบกัน สนทนาซักถามซ่ึงกันและกัน ดเนังื่อนงั้นจา3ก.9(736.596628575≈+23.39.898เ4ป3น็ 7ค5่า)ป3ร=ะม(3าณ.97ข6อ5ง63256)33 ≈ 62.882
จนเปนที่เขาใจรวมกัน นกั เรียนเห็นด้วยกบั วธิ ีการหาค�าตอบของตะวันหรือไม่ เพราะเหตุใด
• ครูสุมถามนักเรียน แลวใหนักเรียนรวมกัน
อภิปรายคาํ ตอบ ดงั น้ี IT CORNER
นักเรยี นสามารถใช้เครอื่ งคดิ เลขวทิ ยาศาสตร์ตรวจสอบคา่ ประมาณ 3 63 โดยกดปมุ
- จากกิจกรรม Journal Writing วิธีการ 3 63=
หาคาํ ตอบของตะวนั มกี ารแบง ชว งอยา งไร 12
(แนวตอบ แบงชวงจํานวนท่ีพิจารณาออก
เปน 2 ชวง)
- นักเรียนคิดวา วิธีใดที่ใหคําตอบที่เร็ว
กวา กนั เพราะเหตุใด
(แนวตอบ วธิ จี ากตวั อยา งท่ี 5 จะใหค าํ ตอบ
ทเี่ ร็วกวา เพราะมีการแบง ชว งที่พิจารณา
มากกวา 2 ชว ง)
4. ครูใหนักเรียนตรวจสอบคาประมาณของ 3 63
โดยใชเ คร่อื งคดิ เลขจาก IT CORNER
เฉลย Journal Writing
เหน็ ดว ย เพราะเปน การหาคา ประมาณทมี่ กี าร
แบงชว งจาํ นวนทพ่ี จิ ารณาออกเปน 2 ชวง แตอ าจ
จะไดผ ลลพั ธท ่ชี ากวาวิธีในตัวอยางท่ี 5
เกร็ดแนะครู ขอ สอบเนน การคิด
ครูอธิบายเพิ่มเติมเก่ียวกับการตรวจสอบคาประมาณวา นอกจากจะใช คาประมาณของ 3 54 - 3 98 + 4 48 มคี า เทา กบั ขอ ใด
เครือ่ งคิดเลขในการตรวจสอบคา ประมาณแลว นกั เรยี นยงั สามารถใชโ ปรแกรม เมื่อกาํ หนด 2 ≈ 1.414, 3 ≈ 1.732 และ 32 ≈ 1.260
อนื่ ๆ ในการคาํ นวณ เชน Microsoft Excel โปรแกรมคาํ นวณออนไลน Wolfram- 1. 1.638
Alpha 2. 1.789
3. 1.798
4. 1.889
(เฉลยคาํ ตอบ
3 54 - 3 98 + 4 48 = 3 32 - 3(7 2) + 4(4 3)
= 3 32 - 21 2 + 16 3
≈ 3(1.260) - 21(1.414) + 16(1.732)
= 1.798
ดังน้นั คําตอบ คอื ขอ 3.)
T14
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
Investigation ขน้ั สอน
ใหน้ กั เรียนตอบค�ำถำมตอ่ ไปนี้ รู (Knowing)
1. ให้พิจารณาขอ้ ความตอ่ ไปนี้วา่ เปน็ จรงิ หรือเท็จ 1. ครูใหนักเรียนศึกษากิจกรรม Investigation
1) 16 + 9 = 16 + 9 2) 16 - 9 = 16 - 9 ในหนังสอื เรียน หนา 13 แลวตอบคําถามจาก
กจิ กรรม
3) 16 × 9 = 16 × 9 4) 196 = 16 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปราย เพ่ือตอบ
9
2. จากข้อ 1. ให้นกั เรยี นพสิ จู น์ขอ้ ความทเ่ี ป็นจรงิ ส�าหรับกรณจี า� นวนจรงิ ใด ๆ คาํ ถามจากกจิ กรรม Investigation จนสามารถ
3. ใหห้ าค่าของ a × a สรุปเปนสมบัติของรากที่ n ของจํานวนจริง
ใดๆ ในหนงั สอื เรียน หนา 13
จาก Investigation นักเรยี นสามารถสรุปเปน็ สมบตั ไิ ด้ ดงั นี้ 3. ครูอธิบายเพิ่มเติมเก่ียวกับสมบัติของรากที่ n
ของจํานวนจริง จาก ATTENTION ดงั น้ี
สมบัติ ให้ a ≥ 0 และ b ≥ 0 จะได้ ATTENTION
a+b ≠ a+ b a+b a+ b
1. ab = a • b a-b ≠ a- b a-b a- b
กรณีท่ี a = b จะได้ว่ำ a • a = a เมอื่ a และ b > 0 เมอ่ื a และ b > 0
หรือ ( a )2 = a2 = a
เชน 4 + 5 4 + 5
2. ba = a เม่ือ b ≠ 0 4. ครถู ามคาํ ถามวา นกั เรยี นสามารถยกตวั อยา ง
b
ในกรณีท่ี a + b = a + b ไดหรือไม
(แนวตอบ ได เชน ให a = 1 และ b = 0 จะได
1 + 0 = 1 + 0)
จากสมบัตขิ ้างต้น สามารถน�ามาเขียนเปน็ สมบตั ิของรากท่ี n ในกรณที ว่ั ไปได้ ดังน้ี
สมบัติ สมบัติของรากที่ n
ให้ a และ b เป็นจ�ำนวนจริงที่มีรำกท่ี n และ n เป็นจ�ำนวนเต็มที่มำกกว่ำ 1
1. (n a )n = a เมื่อ n a เป็นจ�ำนวนจริง
a เมื่อ a ≥ 0
2. n an = a เมื่อ a < 0 และ n เปน็ จ�ำนวนคี่บวก
∙a∙ เมอ่ื a < 0 และ n เปน็ จำ� นวนคูบ่ วก
3. n ab = n a • n b
4. n ba = na เม่ือ b ≠ 0
nb
เลขยกก�าลัง 13
เฉลย Investigation
ขอ 1. 1) เปนเท็จ เพราะ 16 + 9 16 + 9 ขอ 2. จากขอ 4) ให a ≥ 0 และ b ≥ 0
2) เปน เท็จ เพราะ 25 4+3
5 7 จากขอ 3) ให a ≥ 0 และ b ≥ 0 จาก ba = a
16 - 9 จาก ab = a • b
16 - 9 1 ba 2 = ba2
7 ( ab)2 = ( a • b)2
ab = ( a • b)( a • b) b
3) เปนจริง เพราะ 16 × 9 = 16 × 9 ab = ( a • a)( b • b) ba = a a
144 = 4 × 3 ab = a2 • b2 •
12 = 12 ab = ab b b
ba = ab22
4) เปนจริง เพราะ 196 = 16 ba = ba
9
34 2 = 196
43 = 43 ขอ 3. เนื่องจาก a2 = a × a = ( a)2 = ͉a͉ T15
ดงั นั้น a × a = ͉a͉
นาํ สอน สรุป ประเมนิ
ขนั้ สอน นักเรียนสามารถน�าสมบัติของรากท่ี n ไปใช้ในการจัดรูปของกรณฑ์ให้อยู่ในรูปอย่างง่าย
ดงั ตวั อย่างตอ่ ไปน้ี
เขา ใจ (Understanding)
ตวั อยา งที่ 6
1. ครูเขยี นตัวอยางที่ 6 ในหนงั สือเรยี น หนา 14
บนกระดาน แลวอธิบายวา ในแตละขอใช ให้เขยี นจำ� นวนตอ่ ไปนีใ้ นรูปอยำ่ งงำ่ ย 2) 18
สมบัตขิ องรากที่ n สมบตั ใิ ดในการหาคําตอบ 1) 2 • 8 4) 5 64 ÷ 5 2
3) 3 81 • 4 81
2. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
หนา 14 และแบบฝก ทกั ษะ 1.2 ขอ 3. ขอ 1)-3) วิธีทำ� 1) 2 • 8 = 2 × 8 = 16 = 4
ในหนังสือเรียน หนา 22 แลวสุมนักเรียน 2) 18 = 9 × 2 = 9 • 2 = 3 2
ออกมาเฉลยวิธีคิดบนกระดาน โดยครูและ 3) 3 81 • 4 81 = 3 27 × 3 • 4 34
นกั เรียนรว มกันตรวจสอบความถูกตอ ง = 3 33 × 3 • 4 34
= 333 × 3
ลงมอื ทาํ (Doing) = 933
4) 5 64 ÷ 5 2 = 5 32 × 2 ÷ 5 2
ครูใหนักเรยี นแบงกลมุ กลมุ ละ 3-4 คน โดย = 5 25 × 2 ÷ 5 2
คละความสามารถทางคณิตศาสตร ทําใบงาน = 252 ÷ 52
ท่ี 1.1 เร่ือง รากท่ี n ของจํานวนจริง แลวให =2
ตรวจสอบคําตอบของตนเองกับเพ่ือนในกลุม
จากน้ันใหสงตัวแทนกลุมออกมาแสดงวิธีคิด ลองทาํ ดู
หนาชั้นเรียน โดยมีครูคอยตรวจสอบความ
ถูกตอ ง ใหเ้ ขียนจ�านวนต่อไปน้ีในรปู อย่างง่าย ฝกทําตอ
ขนั้ สรปุ 1) 27 • 3 2) 12 แบบฝกทกั ษะ 1.2
3) 5 32 • 3 32 4) 4 10000 ÷ 3 1000 ขอ 3(1)-(3)
ครใู หน กั เรยี นสรปุ ความรรู วบยอด เรอื่ ง รากท่ี n
ของจาํ นวนจริง ลงในสมุด 3. กำรหำผลบวกและผลตำ งของจำ� นวนจรงิ ทอี่ ยใู นรปู กรณฑ
(Addition and Subtraction of Radicals)
ขนั้ ประเมนิ
นักเรียนสามารถหาผลบวกและผลต่างของจ�านวนท่ีมีเครื่องหมายกรณฑ์อันดับเดียวกัน
1. ครูตรวจใบงานท่ี 1.1 และมจี า� นวนภายในกรณฑ์เปน็ จ�านวนเดียวกันได้ดงั ตวั อยา่ งต่อไปน้ี
2. ครตู รวจสอบแบบฝกทักษะ 1.2
3. ครปู ระเมนิ การนาํ เสนอผลงาน 14
4. ครสู งั เกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล
5. ครูสงั เกตพฤติกรรมการทาํ งานกลุม
6. ครูสงั เกตความมวี ินัย ใฝเ รียนรู
มงุ มน่ั ในการทาํ งาน
แนวทางการวัดและประเมินผล ขอ สอบเนน การคดิ
33872 • 125
ครูสามารถวัดและประเมินพฤติกรรมการทํางานกลุม จากการทําใบงาน เขียน 5 • 3 49 ในรูปอยางงา ยไดเทากับขอใด
ท่ี 1.1 เรอ่ื ง รากที่ n ของจาํ นวนจรงิ ในข้นั ลงมือทาํ โดยศึกษาเกณฑก ารวัด
และประเมินผลจากแบบประเมินของแผนการจัดกิจกรรมเรียนรูในหนวยการ 1. 103 7 2. 203 7
เรียนรูท่ี 1 3. 3107 4. 3207
แบบสงั เกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม (เฉลยคาํ ตอบ 33872 • 1525 • 3 49 = 3 (3273)2 • 1255 • 3 49
= 4 • 5 • 3 479
คาชี้แจง : ให้ผสู้ อนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรยี น แล้วขดี ลงในช่องท่ตี รงกบั = 20 3 7
ระดับคะแนน
ดงั นนั้ คาํ ตอบ คอื ขอ 2.)
ลาดบั ชือ่ – สกลุ การแสดง การยอมรบั ฟัง การทางาน ความมนี า้ ใจ การมี รวม
ที่ ของนักเรยี น ความคดิ เหน็ คนอ่ืน ตามท่ีไดร้ ับ ส่วนร่วมใน 20
มอบหมาย การปรับปรุง คะแนน
ผลงานกลุม่
43214321432143214321
เกณฑก์ ารให้คะแนน ลงชือ่ ...................................................ผู้ประเมนิ
ปฏบิ ัติหรือแสดงพฤตกิ รรมอยา่ งสม่าเสมอ ............/................./................
ปฏบิ ัติหรือแสดงพฤติกรรมบอ่ ยครง้ั ให้ 4 คะแนน
ปฏบิ ัติหรือแสดงพฤตกิ รรมบางครงั้ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครง้ั ให้ 2 คะแนน
ให้ 1 คะแนน
เกณฑก์ ารตดั สนิ คณุ ภาพ
ชว่ งคะแนน ระดบั คุณภาพ
18 - 20 ดมี าก
14 - 17 ดี
10 - 13 พอใช้
ตา่ กวา่ 10 ปรับปรุง
T16
นาํ นํา สอน สรปุ ประเมนิ
ตวั อยางที่ 7 ขนั้ นาํ (Concept Based Teaching)
ให้เขียนจ�ำนวนตอ่ ไปน้ีในรปู อยำ่ งงำ่ ย 2) 49x + 16x การใชค วามรเู ดมิ ฯ (Prior Knowledge)
1) 32 + 50 4) 4 81x + 4 16x5
3) 3 16 - 3 2 ครูทบทวนความรูเก่ียวกับรากท่ี n ของ
จํานวนจริง คา หลักของรากท่ี n ของจาํ นวนจรงิ
วิธีท�ำ 1) 32 + 50 = 16 × 2 + 25 × 2 ATTENTION และสมบตั ขิ องรากที่ n ของจํานวนจริง
= 16 • 2 + 25 • 2 p a + q a = (p + q) a
= 42+52 p a - q a = (p - q) a ขนั้ สอน
= 92
รู (Knowing)
2) 49x + 16x = 49 • x + 16 • x
1. ครูยกตัวอยางการหาผลบวกและผลตางของ
= 7x+4x จํานวนจริงท่ีอยูในรูปกรณฑ โดยถามคําถาม
ดงั นี้
= 11 x • 45 + 20 - 5 แตละพจนม ีเคร่ืองหมาย
กรณฑอนั ดบั เดยี วกนั หรือไม และมีจํานวน
3) 3 16 - 3 2 = 38×2-32 ภายในกรณฑเ ปน จาํ นวนเดยี วกันหรือไม
= 3 23 × 2 - 3 2 (แนวตอบ มเี ครอ่ื งหมายกรณฑอ นั ดบั เดยี วกนั
= 232 - 32 คือ อันดับสอง แตจํานวนภายในกรณฑ
= 32 ไมเ ปน จาํ นวนเดยี วกนั )
4) 4 81x + 4 16x5 = 4 34x + 4 (2x)4x • นกั เรียนสามารถจดั 45 + 20 - 5 ใหอยู
= 3 4 x + 2x 4 x ในรปู อยา งงายไดอยางไร
= (3 + 2x) 4 x (แนวตอบ 3 5 + 2 5 - 5)
ลองทาํ ดู 2. ครูอธิบายเพ่ิมเติมวา จากตัวอยางที่กลาวมา
จะเห็นวา 3 5 + 2 5 - 5 มีเครื่องหมาย
ให้เขยี นจา� นวนต่อไปนใ้ี นรูปอย่างง่าย ฝกทําตอ กรณฑอันดับเดียวกัน คืออันดับสอง และมี
จํานวนภายในกรณฑเหมือนกัน คือ 5 และ
1) 75 + 108 2) 3 1458x - 3 54x แบบฝก ทกั ษะ 1.2 นักเรียนสามารถใชสมบัติการแจกแจงในการ
3) 10 4 768 + 4 243 4) 5 32x - 5 243x6 ขอ 5(1)-(8) ดึงตวั รว ม 5 ได ดังน้ี
3 5 + 2 5 - 5 = (3 + 2 - 1) 5 = 4 5
เลขยกก�าลัง 15
3. ครูใหนักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 7 ในหนังสือ-
เรียน หนา 15 แลวครูอธิบายซ้าํ อกี คร้ัง เพอื่ ให
นักเรยี นเขาใจมากย่ิงขึ้น
เขา ใจ (Understanding)
ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
หนา 15 และแบบฝกทักษะ 1.2 ขอ 5. 1)-8)
ในหนังสือเรียน หนา 22 เพ่ือตรวจสอบความ
เขา ใจของนกั เรยี น โดยครตู รวจสอบความถกู ตอ ง
ขอ สอบเนน การคดิ แนว O-NET เกร็ดแนะครู
นพิ จน 3 81x4 + 23 24x4 + 3 -375x4 เทา กบั เทา ใด ครูเนน ยาํ้ เรื่อง การหาผลบวกและผลตางของจาํ นวนจริงทอ่ี ยูในรปู กรณฑ
1. -73 3x จะตอ งมขี อ ตกลง คอื อนั ดบั ของกรณฑต อ งเปน อนั ดบั เดยี วกนั และจาํ นวนทอี่ ยู
2. 23 3x ภายใตก รณฑต อ งเปน จาํ นวนเดยี วกนั ซงึ่ จาํ นวนทนี่ าํ มาบวกลบกนั จะตอ งจดั ให
3. 12x3 3x อยูในรูปอยา งงา ยกอน เชน
4. 10x3 3x
5. 13x3 3x 3 5 + 3 625 - 3 40 = 3 5 + 3 54 - 3 23 × 5
(เฉลยคาํ ตอบ = 3 5 + 53 5 - 23 5
3 81x4 + 23 24x4 + 3 -375x4 = 3x3 3x + 2(2x)3 3x + (-5x)3 3x) = (1 + 5 - 2)3 5
= 3x3 3x + 4x3 3x + 5x3 3x = 43 5
= (3x + 4x + 5x) 3 3x
= 12x3 3x T17
ดังนัน้ คําตอบ คือ ขอ 3.)
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
ขน้ั สอน
รู (Knowing)
1. ครกู ลา ววา นอกจากการหาผลบวกและผลตา ง 4. กำรหำผลคณู และผลหำรของจำ� นวนจรงิ ทอ่ี ยใู นรปู กรณฑ
ของจํานวนจริงทีอ่ ยใู นรปู กรณฑแลว นักเรียน (Multiplication and Division of Radicals)
ยงั สามารถหาผลคณู และผลหารของจาํ นวนจรงิ
ทอี่ ยูใ นรปู กรณฑได โดยมีเงอื่ นไขวา จะตองมี กรณฑ์ที่จะนา� มาหาผลคูณและผลหาร จะต้องมีอันดับของกรณฑ์ที่เท่ากนั ก่อน โดยใช้สมบตั ิ
อันดับของกรณฑท่ีเทากันกอน แลวใชสมบัติ ของรากที่ n ดังตวั อยา่ งต่อไปนี้
ของรากท่ี n จากนนั้ ครยู กตวั อยา งบนกระดาน ตัวอยางท่ี 8
แลวถามคําถาม ดังนี้ ให้เขยี นจ�ำนวนตอ่ ไปนี้ในรูปอยำ่ งง่ำย
• 2 • 4 • 8 กรณฑที่จะนํามาคณู กนั มี 1) 2 • 3 • 6 2) 3 15 • 3 25 • 3 9
เคร่ืองหมายกรณฑอนั ดับเดียวกันหรือไม
(แนวตอบ มเี ครอื่ งหมายกรณฑอ นั ดบั เดยี วกนั 3) 3 -160 4) 5 128
3 20 54
คอื อนั ดับสอง) วิธีท�ำ 1) 2 • 3 • 6 = 2×3×6
• เ3ค63ร25อื่ 5งหกมราณยฑกทรณีจ่ ะฑนอ ําันมดาับหเาดรียกวนั กมนั ี หรือไม = 6×6
=6
(แนวตอบ มเี ครอ่ื งหมายกรณฑอ นั ดบั เดยี วกนั 2) 3 15 • 3 25 • 3 9 = 3 3 × 5 • 3 5 × 5 • 3 3 × 3
คอื อันดบั สาม) = 3 5×5×5•3 3×3×3
2. ครอู ธบิ ายเพม่ิ เตมิ วา การหาผลคณู และผลหาร = 5×3
ของจาํ นวนจรงิ ทอี่ ยใู นรปู กรณฑ สามารถหาคา = 15
ได โดยใชสมบัติของรากท่ี n ดังน้ี ให a และ 3) 3 -160 = 3 -12600
3 20 = 3 -8
b เปนจํานวนจริงที่มีรากที่ n และ n เปน = -2
จํานวนเต็มทมี่ ากกวา 1
1. n ab = n a • n b
ba na 4) 5 128 = 5 1428
2. n = เมอ่ื b 0 54 = 5 32
nb =2
3. ครูสุมนักเรียนออกมาแสดงวิธีหาผลลัพธของ
ตวั อยางขางตน
(แนวตอบ 2 • 4 • 8 = 2 × 4 × 8 ลองทาํ ดู
= 2×2×2×2×2×2 = 8 ให้เขียนจ�านวนตอ่ ไปน้ใี นรปู อยา่ งงา่ ย
= 3 625 = 3 6525 = 3 125 = 5) 1) 15 • 5 • 3 2) 3 6 • 3 4 • 3 9 ฝกทําตอ
35 3 270 5 2048
4. ครใู หน กั เรยี นศกึ ษาตวั อยา งท่ี 8 ในหนงั สอื เรยี น 3) 3 10 4) 52 แบบฝก ทักษะ 1.2
ขอ 3(4)-(6)
16
หนา 16 จากนนั้ ครูอธิบายตัวอยางที่ 8 อกี ครั้ง
เพ่อื ใหนกั เรียนเขา ใจมากยงิ่ ขน้ึ
เกร็ดแนะครู ขอสอบเนน การคดิ แนว O-NET
ครเู นน ยาํ้ เรอ่ื ง การหาผลคณู และผลหารของจาํ นวนจรงิ ทอ่ี ยใู นรปู กรณฑ วา นพิ จน 4 243x5 + 54 48x5 เทากับเทาใด
มีขอตกลง คือ อันดับของกรณฑตองเปนอันดับเดียวกัน โดยใชสมบัติของ 4 768x5
รากที่ n เชน 1. 123 2. 143 3. 125 4. 145 5. 147
3 25 • 3 25 254•025
3 40 = 3 (เฉลยคาํ ตอบ 4 243x5 + 54 48x5 = 4 (34)(3)x5 + 54 (24)(3)x5
4 768x5 4 (44)(3)x5
= 3 64205 4 (3x)43x + 54 (2x)43x
= 4 (4x)43x
= 3 1825 = 3x 4 3x4x+453(x2x)4 3x
= (3x 4+x1403xx)4 3x
= 3 5233 114433xx4433xx
= 52 =
=
T18
ดังน้ัน คําตอบ คือ ขอ 2.)
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
ตัวอยา งท่ี 9 ขนั้ สอน
ให้หำผลลัพธ์ของ 2) ( 3 + 1)2 SOPLRVOIBNLGETMIP เขา ใจ (Understanding)
1) (3 + 2)(4 - 2) นักเรียนสามารถหาผลลพั ธ์
โดยคูณตามลกู ศร ดงั รปู ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
วิธที �ำ 1) (3 + 2)(4 - 2) = 12 - 3 2 + 4 2 - 2 (3 + 2)(4 - 2) หนา 16 และแบบฝกทกั ษะ 1.2 ขอ 3. 4)-6) แลว
= 10 + 2 ครูสุมนักเรียนออกมาเฉลยคําตอบบนกระดาน
ฝกทําตอ โดยครตู รวจสอบความถูกตอ ง
2) ( 3 + 1)2 = 3 + 2 3 + 1
= 4+23 แบบฝก ทกั ษะ 1.2 รู (Knowing)
ขอ 5(9)-(12)
ลองทาํ ดู 2) (4 - 3 2)2 ครูใหนักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 9 ในหนังสือ-
4) (3 6 + 4 2)2 เรียน หนา 17 จากน้ันสุมนักเรียนออกมาแสดง
ให้หาผลลพั ธ์ของ วิธีหาผลลัพธในแตละขอ แลวครูอธิบายตัวอยาง
1) (7 + 2 3)(5 - 3) ท่ี 9 ซ้ําอกี ครัง้ เพื่อใหน กั เรยี นเขาใจมากยงิ่ ขนึ้
3) (3 + 2 5)(3 - 2 5)
เขา ใจ (Understanding)
Class Discussion
1. ครใู หนกั เรียนจับคูแลวทาํ กิจกรรมดงั น้ี
ให้นกั เรียนจับคู่ แลว้ ชว่ ยกนั ตอบค�ำถำมตอ่ ไปนี้ • ใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
1. จากลองท�าดูใต้ตวั อย่างท่ี 9 ขอ้ 1), 2) และ 4) ผลคูณของจา� นวนอตรรกยะ 2 จ�านวน หนา 17 และแบบฝก ทกั ษะ 2.1 ขอ 5. 9)-12)
ในหนงั สอื เรียน หนา 22
เปน็ จ�านวนอตรรกยะหรอื ไม่ และจากขอ้ 3) ผลคณู ของจ�านวนอตรรกยะ 2 จ�านวน
เป็นจา� นวนตรรกยะหรือไม่ และมีรูปแบบของผลคณู เป็นอย่างไร • ใหน กั เรยี นทาํ กจิ กรรม Class Discussion ใน
2. จากรปู แบบในข้อ 1. นกั เรยี นคดิ วา่ เงอ่ื นไขใดทท่ี า� ใหผ้ ลคณู ของจา� นวนอตรรกยะ
2 จา� นวน เปน็ จ�านวนตรรกยะ หนงั สอื เรยี น หนา 17 แลวตอบคําถามจาก
กิจกรรมในแตละขอ
จาก Class Discussion จะเหน็ วา่ ผลคณู ของจ�านวนอตรรกยะ 2 จา� นวน ทอี่ ยูใ่ นรูปการคณู 2. ครูขออาสาสมัครนักเรียนออกมาแสดงวิธีการ
ของ (p + q a)(p - q a) จะไดผ้ ลลัพธเ์ ปน็ จา� นวนตรรกยะ ซ่ึงจะเรียก p + q a วา่ เปน็ สงั ยุค หาผลลพั ธข อง “ลองทาํ ด”ู และแบบฝก ทกั ษะ
(conjugate) ของ p - q a และจะได้ว่า p - q a เปน็ สังยุคของ p + q a ด้วย 2.1 ในแตละขอ จากนั้นครูสุมนักเรียนตอบ
ให้ p, q และ a เป็นจา� นวนตรรกยะ โดยท่ี a > 0 จะไดว้ า่ (p + q a) และ (p - q a) คาํ ถามกิจกรรม Class Discussion
เปน็ สังยคุ ซง่ึ กันและกัน
3. ครแู ละนกั เรยี นรวมกนั สรุปกิจกรรมวา ผลคูณ
ATTENTION เลขยกก�าลัง 17 ของจํานวนอตรรกยะ 2 จํานวน ที่อยูในรูป
จากสงั ยุคทีก่ ล่าวมาขา้ งตน้ ถา้ a = 0 แลว้ จะได้จา� นวนตรรกยะ การคูณของ (p + q a)(p - q a) จะได
จ�านวนเดียว คือ p น่ันคือ p + q 0 = p หรือ p - q 0 = p ผลลัพธเ ปนจาํ นวนตรรกยะ ซึ่งเรียก p + q a
วาเปน สังยุค ของ p - q a และจะไดวา
p - q a เปน สงั ยุคของ p + q a ดว ย ดังนนั้
เมอื่ p, q และ a เปนจํานวนตรรกยะ โดยที่
a > 0 จะไดว า (p + q a) และ (p - q a)
เปนสังยุคซ่ึงกันและกัน ถา a = 0 จะได
จาํ นวนตรรกยะจาํ นวนเดยี วกัน คือ p น่นั คือ
p + q 0 = p หรือ p - q 0 = p
กจิ กรรม สรา งเสรมิ เฉลย Class Discussion
ครูใหน กั เรียนจบั คู แลวทํากจิ กรรมตอไปน้ี ขอ 1. จากขอ 1), 2) และ 4) ผลคูณของจํานวนอตรรกยะ 2 จํานวน
• หาสังยุคของจาํ นวนจริงมา 1 คู ท่ไี ดผลคณู เทา กับ 1 เปน จาํ นวนอตรรกยะ
• หาสงั ยคุ ของจาํ นวนจรงิ มา 1 คู ทีไ่ ดผ ลคณู เทา กบั 3 จากขอ 3) ผลคูณของจาํ นวน 2 จาํ นวน เปน จํานวนตรรกยะ และ
หมายเหตุ : ครูควรใหน กั เรียนเกงและนักเรียนออนจบั คกู นั
มรี ูปแบบของผลคณู อยูในรปู (p + q a)(p - q a) เมือ่ p, q และ
a เปน จํานวนตรรกยะ โดยที่ a > 0
ขอ 2. เงื่อนไขท่ที ําใหผ ลคูณของจํานวนอตรรกยะ 2 จาํ นวน เปน จาํ นวน
ตรรกยะ คอื จาํ นวนอตรรกยะ 2 จาํ นวน จะตอ งอยใู นรูปของสตู ร
ผลตางกําลังสอง นนั่ คอื (a + b)(a - b) = a2 - b2
T19
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
ขน้ั สอน
รู (Knowing)
1. ครูใหนกั เรยี นศึกษาตวั อยา งท่ี 10 ในหนังสอื - จากที่กล่าวมาข้างต้น นักเรียนสามารถเขียนจ�านวนให้อยู่ในรูปท่ีตัวส่วนไม่ติดกรณฑ์ได้
เรียน หนา 18 การเขียนจํานวนใหอยูในรูป ดังตวั อยา่ งต่อไปนี้
อยางงา ยและตัวสว นไมติดกรณฑ โดยแนะนาํ
ใหนกั เรียนดูกรอบ PROBLEM SOLVING TIP ตัวอยางท่ี 10
เพื่อชวยในการทําโจทย ให้เขยี นจำ� นวนต่อไปน้ใี นรูปอยำ่ งง่ำยและตวั ส่วนไม่ติดกรณฑ์
2. ครูอธิบายตัวอยางท่ี 11 บนกระดานอยาง 1) 62 2) 2 +7 3
ละเอียด เพ่ือใหนักเรียนเขาใจโจทยท่ีตองใช วธิ ที �ำ 1) 62 = 62 • 22
สังยุคในการหาคําตอบ แลวสามารถใชสังยุค
ในการประยกุ ตใ ชก บั โจทยอ น่ื ๆ ไดด งั ตวั อยา ง = 622 = 32
= 2 +7
ท่ี นต12วััก-สเ1รว 4ยี นนจไสมาากต มนิดา้นักรครถณรเขถู ฑียาไมนดคอ1าํ 3ย2ถาาใงมหไนรอักยเใู รนยี รนูปดทงั ี่ นี้ 2) 2 +7 3 3 • 2 - 3
• 2 - 3
7(2 - 3) SOPLRVOIBNLGETMIP
= 22 - ( 3)2 2 + 3 และ 2 - 3
เปน็ สงั ยคุ ซง่ึ กันและกัน
(แนวตอบ 132 = 132 • 33 = 1233 = 4 3 ) = 144 -- 73 3
= 14 - 7 3
• สงั ยุคของ 5 + 3 เปนจํานวนใด
(แนวตอบ สงั ยุคของ 5 + 3 คือ 5 - 3 )
• นักเรยี นสามารถใชว ิธีใดในการแยก ลองทาํ ดู
ตวั ประกอบของ (3 - 5 )2
(แนวตอบ ใชวิธกี ําลังสองสมบรู ณ คือ ให้เขียนจ�านวนตอ่ ไปนใ้ี นรูปอยา่ งง่ายและตัวส่วนไม่ติดกรณฑ์ ฝกทําตอ
(a - b)2 = a2 - 2ab + b2 1) 132 2) 4 2+2 5
แบบฝก ทกั ษะ 1.2
ขอ 4, 7, 11, 12
(3 - 5)2 = 32 - 2(3)( 5) + ( 5)2 ตวั อยางที่ 11
จัดรูป (4 - 6)2 - 3 -6 6 ให้อยใู่ นรปู ของ a + b 6
=9-6 5+5
= 14 - 6 5)
วธิ ีทำ� (4 - 6)2 - 3 -6 6 = [42 - 2(4)( 6) + ( 6)2] - 3 -6 6 • 3 + 6
3 + 6
362(3- + 66))2
= (22 - 8 6) - (
= (22 - 8 6) - 6(93 -+ 66)
= (22 - 8 6) - 6(3 3+ 6)
= (22 - 8 6) - 2(3 + 6)
= 16 - 10 6
18
เกร็ดแนะครู ขอ สอบเนน การคิดแนว O-NET
ถา x = 2 - 1 แลว xx +- 11 มคี าเทาใด
ครูควรเนนยํ้าการทําตัวสวนของเศษสวนใหเปนจํานวนเต็ม โดยใชวิธีการ 1. 3 + 2 2. -2 + 2 3. 2 - 2
สงั ยคุ คอื ถา โจทยท ม่ี ตี วั สว นอยใู นรากท่ี 2 ใหใ ชว ธิ กี ารเอาสงั ยคุ ของจาํ นวนนนั้ 4. 1 - 2 5. -1 - 2
คูณทั้งตัวเศษและตัวสวน และครูควรทบทวนการแยกตัวประกอบของพหุนาม (เฉลยคําตอบ xx +- 11 (( 22 - 11)) + 11
= - -
โดยใชว ธิ กี ําลังสองสมบูรณ : a2 + 2ab + b2 = (a + b)2 และใชว ธิ ีผลตา ง
กําลงั สอง : a2 - b2 = (a - b)(a + b) กอนอธิบายตัวอยา งท่ี 11 = 22-2 2
= 2- 2
T20 • 2+2
2+2
= 22()22 + 222)
( -
-2212++---2224222
ดงั นัน้ คําตอบ คอื ขอ 5.) =
=
=
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
ขน้ั สอน
รู (Knowing)
ลองทําดู ฝกทําตอ 3. ครูใหน กั เรียนศึกษาตัวอยา งท่ี 12 ในหนังสือ-
เรยี น หนา 19 จากนั้นครอู ธิบายอยางละเอยี ด
จัดรูป (2 + 5)2 + 3 -8 5 ใหอ้ ยใู่ นรูปของ a + b 5 แบบฝก ทักษะ 1.2 ขอ 8 อีกคร้ังหน่ึง เพื่อเนนยํ้าใหนักเรียนเขาใจมาก
ตวั อยางที่ 12 ยง่ิ ขนึ้
4. ครยู กตวั อยา งเพมิ่ เตมิ โดยใหน กั เรยี นแสดงวธิ ี
กำ� หนดสมกำร x 12 = x 7 + 3 มีคำ� ตอบของสมกำร คอื p +5 q หาคา ของ y ทีต่ วั สวนไมติดกรณฑ ดังนี้
เมื่อ p และ q เปน็ จ�ำนวนเตม็ ใด ๆ ใหห้ ำคำ่ ของ p และ q
• y 27 = y 6 + 3
วิธีท�ำ x 12 = x 7 + 3 (แนวตอบ y 27 = y 6 + 3
x 12 - x 7 = 3 y 27 - y 6 = 3
x( 12 - 7) = 3 y( 27 - 6) = 3
x = 123- 7 y= 3
x = 123- 7 • 1122 ++ 77 27 - 6
= 3 27 + 6
27 - 6• 27 + 6
x = 3( 12 + 7) 32(7)227- + 66)2)
( 12)2 - ( 7)2 = ( (
x = 3162+- 721 = 8217+- 618
x = 6 +5 21
ดังนั้น จะได้ p = 6 และ q = 21 = 9 +213 2 = 3 +7 2 )
ลองทําดู ฝกทําตอ เขา ใจ (Understanding)
กา� หนดสมการ x 8 = x 6 + 2 มีคา� ตอบของสมการ คือ p + q แบบฝก ทกั ษะ 1.2 ขอ 13 1. ครูใหนักเรียนจับคูทํากิจกรรม โดยใชเทคนิค
เมือ่ p และ q เปน็ จา� นวนเต็มใด ๆ ใหห้ าคา่ ของ p และ q
คคู ิด (Think Pair Share) ดงั นี้
ตัวอยางที่ 13
• ใหนักเรียนแตละคนคิดคําตอบของตนเอง
รปู สำมเหลยี่ มรปู หนง่ึ มพี นื้ ที่ 3 - 2 ตำรำงเมตร มคี วำมยำวฐำน จาก “ลองทาํ ด”ู ในหนงั สอื เรยี น หนา 18-19
2 - 1 เมตร ใหห้ ำควำมสงู ของรปู สำมเหลย่ี มน้ี และตอบในรปู
ของ a + b 2 เมตร เมือ่ a และ b เป็นจ�ำนวนตรรกยะใด ๆ • ใหนักเรียนจับคูกับเพื่อน เพ่ือแลกเปลี่ยน
คําตอบกัน สนทนาซักถามจนเปนท่ีเขาใจ
2 - 1 ม. รวมกนั
เลขยกก�าลัง 19 • ครูสุมนักเรียนออกมานําเสนอคําตอบหนา
ชั้นเรียน โดยครูและนักเรียนในช้ันเรียน
รวมกนั ตรวจสอบความถูกตอ ง
2. ครใู หน กั เรยี นทาํ แบบฝก ทกั ษะ 1.2 ในหนงั สอื -
เรียน หนา 22-23 ขอ 7.-8. เปนการบา น
ให a เปน จํานวนจริง ซึ่ง a, a + 3 และ a + 5 เปน ความยาวดา นทั้งสามของรปู สามเหลย่ี มมุมฉากรปู หน่ึง ขอ สอบเนน การคิด
พน้ื ท่ขี องรปู สามเหลีย่ มมมุ ฉากรูปนี้ เทา กบั ขอ ใด
1. 15 + 7 5 ตารางหนวย 2. 15 + 3 5 ตารางหนวย 3. 10 + 3 5 ตารางหนวย 4. 15 + 5 ตารางหนวย
(เฉลยคําตอบ หาความยาวดานของรูปสามเหลี่ยมแตละดาน โดยใชท ฤษฎบี ทพีทาโกรสั
จะได (a + 5)2 = (a + 3)2 + a2
a2 + 10a + 25 = a2 + 6a + 9 + a2 a
a2 - 4a - 16 = 0 a+5
a = 2±2 5 a+3
เนอื่ งจากความยาวตดิ ลบไมไ ด ดงั นน้ั a = 2 + 2 5
จะได คพวน้ื าทมขี่ยอาวงรแูปตสลาะมดเาหนลเีย่ทมา กมบัุมฉ2าก+เท2า ก5=,ับ52121+××2 5 และ 7+2 5
ดังน้ัน (2 + 2 5) × (5 + 2 5)
2(1 + 5) × (5 + 2 5)
ดังนัน้ คําตอบ คอื ขอ 1.) = (1 + 5)(5 + 2 5) = 15 + 7 5 ตารางหนวย
T21
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
ขน้ั สอน วิธีท�ำ ให้รูปสามเหลี่ยมมีความสงู h เมตร
1221
รู (Knowing) และพืน้ ทขี่ องรปู สามเหลี่ยม = × ฐาน × สงู h
3- 2 = × ( 2 - 1) ×
ครใู หนกั เรียนศกึ ษาตวั อยา งท่ี 13 ในหนังสือ-
เรียน หนา 19-20 จากนั้นครูอธิบายอยาง 6 - 2 2 = ( 2 - 1) × h
ละเอียดอีกครั้ง เพื่อใหนักเรียนเขาใจมากยิ่งข้ึน 6-22
พรอมท้ังเปดโอกาสใหนักเรียนซักถามเม่ือเกิด h = 2 -1
ขอสงสยั
= 6 - 22 • 22 ++ 11
เขา ใจ (Understanding) 2 -1
6 2 + 62)-2 2 142 - 2 2
ครูใหนกั เรยี นจับคูทํา “ลองทําดู” ในหนงั สอื - = ( -
เรียน หนา 20 และแบบฝกทักษะ 1.2 ขอ 10.
หนา 23 เพ่ือตรวจสอบความเขาใจของนักเรียน = 22+-412
แลวครูสุมนักเรียนออกมาเฉลยคําตอบบน = 2+42
กระดาน โดยครตู รวจสอบความถกู ตอ ง
ดงั นน้ั รูปสามเหลยี่ มรปู นม้ี คี วามสูง 2 + 4 2 เมตร
ลงมอื ทาํ (Doing)
ลองทาํ ดู 5 + 3 ม. ฝกทําตอ
ครใู หน กั เรียนแบง กลุม กลมุ ละ 3-4 คน คละ
ความสามารถทางคณิตศาสตร แลวตอบคําถาม รูปส่เี หลี่ยมผืนผา้ รปู หน่ึงมีพน้ื ท่ี 7 - 3 ตารางเมตร แบบฝกทักษะ 1.2
“Thinking Time” ในหนงั สอื เรยี น หนา 20 จากนนั้ ถา้ รปู สเ่ี หลย่ี มรปู นม้ี ดี า้ นยาวเปน็ 5 + 3 เมตร ใหห้ า ขอ 10, 14
ครสู มุ นกั เรยี นออกมานาํ เสนอคาํ ตอบหนา ชน้ั เรยี น ด้านกว้างของรูปสี่เหล่ียมรูปน้ี และตอบในรูปของ
โดยครูตรวจสอบความถกู ตอ ง a + b 3 เมตร เมอื่ a และ b เปน็ จา� นวนตรรกยะใด ๆ
Thinking Time
ให้นกั เรียนตอบคา� ถามต่อไปน้ี
1. นกั เรยี นจะแกส้ มการ x2 - 3x + 2 = 0 โดยใช้วิธีใด และคา� ตอบที่ได้เปน็ จา� นวนตรรกยะ
หรอื จ�านวนอตรรกยะ
2. นกั เรียนจะแก้สมการ x2 + 2x - 1 = 0 โดยใช้วธิ ีใด และค�าตอบที่ไดเ้ ป็นจา� นวนตรรกยะ
3. ขหจาอรกืองสสจตูม�านรกควาา�นรตทออไี่ตดบรจ้ขระกอเยงปสะ็นมจกา� านรวกนา� ตลรังรสกอยงะหxร=ือจ-�าbน±วน2อba2ต-รร4กaยcะกใรหณ้อีใธดบิ ายวา่ คา� ตอบ
4. ค�าตอบทเี่ ป็นจ�านวนอตรรกยะท้งั สองคา� ตอบของสมการจะเป็นสงั ยคุ ซ่ึงกนั และกันหรอื ไม่
เพราะเหตุใด
20
เฉลย Thinking Time
ขอ 1. แกสมการ x2 - 3x + 2 = 0 ขอ 3. จากสตู รคาํ ตอบของสมการกาํ ลังสอง x = -b ± 2ba2 - 4ac
โดยใชว ิธกี ารแยกตัวประกอบพหุนามดีกรสี อง ดงั น้ี โดยท่ี a, b และ c เปนจาํ นวนตรรกยะใดๆ และ a 0
x2 - 3x + 2 = 0
(x - 1)(x - 2) = 0 ถา b2 - 4ac เปนจํานวนตรรกยะ
x = 1, 2 แลว x = -b ± 2ba2 - 4ac เปนจาํ นวนตรรกยะ
ถา b2 - 4ac เปน จาํ นวนอตรรกยะ
ขอ 2. แกสมการ x2 + 2x - 1 = 0 แลว x = -b ± 2ba2 - 4ac เปนจํานวนอตรรกยะ
T22 โดยใชส ูตร x = -b ± 2ba2 - 4ac ดังน้ี ขอ 4. เปน เพราะจากสูตรคาํ ตอบของสมการกําลังสอง
x = -2 ± 222(-1)4(1)(-1)
จะไดว า x = -b + 2ba2 - 4ac = 2-ba + b22-a4ac
x = -2 ±2 8 และ x = -b - 2ba2 - 4ac = 2-ba - b22-a4ac
x = -2 ±22 2 = -1 ± 2
ดังน้ัน คาํ ตอบของสมการ คอื -1 ± 2 ซ่งึ เปน จํานวนอตรรกยะ
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
ตัวอยา งท่ี 14 ขน้ั สอน
ให้หำเซตคำ� ตอบของสมกำร x2 + 3 = 2x รู (Knowing)
วิธีท�ำ เนื่องจากสมการทก่ี �าหนดมีอนั ดับกรณฑ์ คอื 2 จึงต้องนา� สมการมายกก�าลังสอง 1. ครูใหนกั เรยี นศึกษาตัวอยางท่ี 14 ในหนังสือ-
จะได้ ( x2 + 3)2 = (2x)2 เรียน หนา 21 จากนั้นครูอธิบายเพิ่มเติมวา
x2 + 3 = 4x2 คาของตัวแปรที่ไดจากการยกกําลังสอง
x2 - 1 = 0 บางคา อาจจะไมเ ปน คาํ ตอบของสมการ ดงั นน้ั
(x - 1)(x + 1) = 0 จึงจาํ เปน ตอ งตรวจคาํ ตอบเสมอ
x = 1, -1
ตรวจสอบค�าตอบของ x ใน x2 + 3 = 2x โดยการแทนคา่ x ด้วย 1 และ -1 ดังน้ี 2. ครใู หนกั เรยี นหาเซตคําตอบของสมการ
เมอ่ื x = 1 จะได้ (1)2 + 3 = 2(1)
2 =2 6x2 + 12 = 3x แลว ถามคาํ ถาม เพอ่ื ตรวจสอบ
สมการเป็นจรงิ แสดงวา่ 1 เป็นค�าตอบของสมการ ATTENTION
เม่ือ x = -1 จะได้ (-1)2 + 3 = 2(-1) คา่ ของตวั แปรท่ไี ดจ้ ากการ ความเขาใจของนกั เรยี น ดังนี้
ยกก�าลงั สองบางค่าอาจจะ
2 = -2 ไม่เป็นค�าตอบของสมการ • 6x2 + 12 = 3x มีอันดับกรณฑ คือเทาใด
สมการไม่เปน็ จรงิ แสดงว่า -1 ไม่เป็นคา� ตอบของสมการ ดงั น้ัน จงึ จา� เปน็ ต้อง
ดังน้นั เซตค�าตอบของสมการ คือ {1} ตรวจคา� ตอบเสมอ (แนวตอบ อันดบั กรณฑ คือ 2)
ลองทาํ ดู ฝกทําตอ • ( 6x2 + 12)2 = (3x)2 มคี า เทาใด
ใหห้ าเซตค�าตอบของสมการ 40 - x2 = 3x แบบฝก ทกั ษะ 1.2 ขอ 9 (แนวตอบ 9x2 - 6x2 - 12 = 3x2 - 12 = 0)
• 3x2 - 12 = 0 สามารถแยกตัวประกอบได
แบบฝึกทกั ษะ 1.2 2) รากท่ี 5 ของ -3125
4) 5 32 อยา งไร แลว x มีคา เทา ใด
ระดับพ้ืนฐาน 6) 3 343 (แนวตอบ 3x2 - 12 = 3(x2 - 4)
1. ใหห้ ำคำ่ ของ 2) 4 14 เลขยกก�าลัง 21 = 3(x - 2)(x + 2)
1) รากที่ 4 ของ 2401 4) 5 0.99 แลว x มีคา เทากับ -2 และ 2)
3) 4 1 • เมอื่ นําคา x = 2 ไปตรวจสอบคาํ ตอบของ
5) 3 -125
สมการ 6x2 + 12 = 3x จะเปน จริงหรือไม
2. ใหห้ ำค่ำประมำณของจ�ำนวนตอ่ ไปน้ี
1) 3 28 (แนวตอบ สมการเปนจรงิ เพราะ
3) 3 -124
6(2)2 + 12 = 3(2)
24 + 12 = 6
6 = 6)
• เมื่อนําคา x = -2 ไปตรวจสอบคําตอบของ
สมการ 6x2 + 12 = 3x จะเปน จรงิ หรอื ไม
(แนวตอบ สมการไมเปน จริง เพราะ
6(-2)2 + 12 = 3(-2)
24 + 12 = -6
6 = -6)
• เซตคาํ ตอบของสมการ 6x2 + 12 = 3x คือ
เทาใด
(แนวตอบ { 2 })
กิจกรรม สรา งเสริม เกร็ดแนะครู
ครใู หน กั เรียนจบั คู แลว เติมจาํ นวนลงในตารางใหถ ูกตอ ง ครคู วรทบทวนความรหู วั ขอท่ี 1.2 เร่อื ง รากที่ n ของจาํ นวนจริง กอนที่จะ
ใหนักเรยี นทาํ แบบฝก ทกั ษะ 1.2 ดังน้ี
จํานวนจริง รากท่ี 2 รากที่ 3 รากท่ี 4
8 - การเขียนเลขยกกาํ ลังใหอยใู นรปู อยางงา ย
16 - การหาผลบวก ผลตาง ผลคูณ และผลหารของจํานวนจริงท่ีอยูในรูป
81
-125 กรณฑ
-343 - การหาสังยุคของจาํ นวนจรงิ
หมายเหตุ : ครูควรใหน ักเรยี นเกง และนักเรยี นออ นจบั คูกัน
T23
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
ขนั้ สอน 3. ให้เขียนจ�ำนวนตอ่ ไปนีใ้ นรปู อยำ่ งงำ่ ย
เขา ใจ (Understanding) 1) 2 • 32 2) 3 4 • 3 64
1. ครูใหนักเรียนจับคูทํากิจกรรม โดยใชเทคนิค 3) 5 1024 ÷ 4 16 4) 4 2 • 4 4 • 4 32
คคู ดิ (Think Pair Share) ดังน้ี 5) 5 27 • 5 27 • 5 81 6) 4 5184 ÷ 4 4
• ใหนักเรียนแตละคนคิดคําตอบของตนเอง 4. ใหเ้ ขยี นจ�ำนวนต่อไปนใี้ นรูปอยำ่ งงำ่ ยและตวั สว่ นไมต่ ดิ กรณฑ์
จาก “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน หนา 21 1) 35 2) 348
และแบบฝก ทักษะ 1.2 ขอ 9. ในหนงั สือ- 3) 2 +7 3 4) 8 -42 6
เรียน หนา 23
5. ใหห้ ำผลลพั ธข์ อง
• ใหนักเรียนแตละคูแลกเปลี่ยนคําตอบกัน
สนทนาซักถามจนเปนที่เขาใจรวมกัน 1) 112 + 28 2) 48 + 12 - 27
• ครูสุมนักเรียนออกมาแสดงวิธีการหาเซต 3) 81x + 25x 4) 50x + 18x - 2x
คาํ ตอบของสมการบนกระดาน โดยครูและ
นักเรียนในชั้นเรียนรวมกันตรวจสอบความ 5) 3 250 - 3 2 6) 5 729 + 5 486
ถูกตอง 7) 240 - 12 • 45 8) 24550-0 20
10) (3 + 2 6)2
2. ครูใหน ักเรยี นทาํ Exercise 1.2 ในแบบฝกหดั 9) (5 + 2)(6 - 3 2)
เปนการบาน 11) (9 - 2 5)(9 + 2 5) 12) (2 7 + 3 5)(2 7 - 3 5)
ลงมอื ทาํ (Doing) ระดับกลาง
ครูใหนักเรียนทํากจิ กรรม ดังนี้ 6. ใหห้ ำค่ำของ 2) 5 31125
• ใหนักเรียนแบง กลมุ กลุม ละ 3-4 คน คละ 1) 3 0.001
ความสามารถทางคณิตศาสตร 7. ให้เขียนจำ� นวนตอ่ ไปน้ใี นรูปอย่ำงงำ่ ยและตัวส่วนไม่ติดกรณฑ์
• ใหนักเรียนแตละกลุมชวยกันทําแบบฝก- 1) 4 35- 2 2) 2 64+ 7
3) 2 5 3+ 8 4) 2 58+ 3 - 2 54- 3
ทักษะ ในหนงั สือเรยี น หนา 23 ขอ 11.-14.
โดยที่สมาชิกทุกคนตองเขาใจวิธีทําในขอ
น้ันๆ
• ครูสุมนักเรียนออกมาเฉลยคําตอบบน
กระดาน โดยครตู รวจสอบความถกู ตอง
5) 38 + 52 - 332 6) 247 - 148 + 43
22
ขอ สอบเนน การคิดแนว O-NET
ถา x2 + 5 = 2x - 1 แลว ͉x - 3͉ เทา กบั ขอใด
1. 1 2. 2 3. 3 4. 4 5. 5
(เฉลยคาํ ตอบ จากสมการ x2 + 5 = 2x - 1
ยกกําลงั สองท้ังสองขางของสมการ
จะได ( x2 + 5)2 = (2x - 1)2
x2 + 5 = 4x2 - 4x + 1
3x2 - 4x - 4 = 0
(3x + 2)(x - 2) = 0
น่ันคอื 3x + 2 = 0 หรอื x -2 = 0
x=- 23 หรือ 2 x=2
ตรวจคาํ ตอบนเขมอั่นื่องคสxอื ม=͉กxา--ร323จ͉ ะ=ได͉2ส -มก3า͉ ร=เป1นเท็จ เม่อื x = จะไดส มการเปน จริง
T24 ดงั น้นั คาํ ตอบ คอื ขอ 1.)
นาํ สอน สรุป ประเมนิ
7) 23 ( 142 + 237) 8) 62 ( 38 - 1328) ขนั้ สรปุ
1 (324 42 10) 4 250 (4 800 + 4 200)
9) 32 - 3 32 ) ครถู ามคําถามนกั เรยี น เพือ่ สรุปความรู เรอื่ ง
การหาผลบวก ผลลบ ผลคูณ และผลหารของ
8. ก�ำหนด h = 3 + 2 ให้หำคำ่ ของ hh2 -+21 และตอบในรปู p + q 2 โดยที่ p และ q จํานวนจรงิ ทอี่ ยใู นรูปกรณฑ ดังนี้
เป็นจำ� นวนเตม็ ใด ๆ
ให p, q และ a เปน จาํ นวนตรรกยะ โดยท่ี
9. ใหแ้ กส้ มกำรต่อไปนี้ 2) 3x + 2 = 3x a>0
1) 11x2 + 45 = 4x
• p a + q a เทากับเทาใด
10. กรอบรูปส่ีเหล่ียมอันหนึ่งมีพ้ืนที่ด้ำนใน 24 ตำรำงฟุต 3- 6 (แนวตอบ (p + q) a )
ถำ้ ดำ้ นในของกรอบรปู สเ่ี หลย่ี มรปู นมี้ คี วำมกวำ้ ง 3 - 6 ฟตุ
ใหห้ ำควำมยำวดำ้ นในของกรอบรปู สเี่ หลย่ี มนี้ และตอบในรปู • p a - q a เทา กับเทาใด
a + b 6 ฟตุ เมื่อ a และ b เป็นจ�ำนวนเต็มใด ๆ (แนวตอบ (p - q) a )
ระดบั ทา้ ทาย • สามารถหาผลคูณและผลหารของ
จาํ นวนจรงิ ท่ีอยูในรปู กรณฑไดอ ยา งไร
11. ให้เขยี นจำ� นวนตอ่ ไปนีใ้ นรปู อยำ่ งงำ่ ยและตัวสว่ นไมต่ ิดกรณฑ์ 5 (แนวตอบ กรณฑท นี่ าํ มาคณู และหาร จะตอ ง
13 3 - มีอันดับของกรณฑท่ีเทากัน โดยใชสมบัติ
1) ( 3+ 4)2 2) ( 2 + 6)2 + ( 2 6)2 รากท่ี n)
3) 63+23- 26 12 11 +- aa 4) 4287-- 580 • สงั ยุคของ p + q a เทา กับเทาใด
(แนวตอบ p - q a )
12. กำ� หนด a = และ b = ใหห้ ำคำ่ ตอ่ ไปน้ี 1b
1) b 2) b - ขนั้ ประเมนิ
13. ให้แกส้ มกำร x 7 = x 2 + 32 และตอบในรูป a + 5b 14 เมอื่ a และ b เป็นจำ� นวนเต็ม 1. ครูตรวจแบบฝก ทักษะ 1.2
ใด ๆ 2. ครูตรวจ Exercise 1.2
3. ครูประเมนิ การนําเสนอผลงาน
14. กระป๋องทรงกระบอกมปี ริมำตร (6 + 2 3)π ลกู บำศกเ์ ซนตเิ มตร 4. ครูสงั เกตพฤติกรรมการทํางานรายบคุ คล
มรี ศั มที ฐ่ี ำนยำว 1 + 3 เซนตเิ มตร ใหห้ ำควำมสงู ของทรงกระบอก 5. ครสู ังเกตพฤติกรรมการทาํ งานกลุม
และตอบในรปู a + b 3 เซนตเิ มตร เมือ่ a และ b เป็นจ�ำนวนเต็ม 6. ครสู ังเกตความมีวนิ ยั ใฝเ รยี นรู
ใด ๆ
มุง มัน่ ในการทาํ งาน
h
เลขยกก�าลัง 23
กจิ กรรม สรางเสริม แนวทางการวัดและประเมินผล
ครูใหนักเรยี นจบั คู แลวชว ยกันหาจาํ นวนตอไปน้ี ครูสามารถวัดและประเมินพฤติกรรมการทํางานกลุม จากการทําแบบ
25, 46, 3 59, 4 612, 5 715 เมือ่ ทาํ เปนผลสําเร็จแลว มีกี่จาํ นวน ฝก ทกั ษะ 1.3 ขอ 11.-14. ในขน้ั ลงมอื ทาํ โดยศกึ ษาเกณฑก ารวดั และประเมนิ ผล
ท่เี ลขโดดในหลักสบิ เปนจํานวนคู จากแบบประเมนิ ของแผนการจัดการเรยี นรูในหนว ยการเรียนรูท ่ี 1
หมายเหตุ : ครคู วรใหน ักเรยี นเกงและนกั เรียนออนจบั คูกนั
แบบสงั เกตพฤติกรรมการทางานกลุม่
คาชแ้ี จง : ให้ผูส้ อนสังเกตพฤตกิ รรมของนักเรยี นในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรยี น แลว้ ขดี ลงในช่องทีต่ รงกบั
ระดบั คะแนน
ลาดบั ชอ่ื – สกุล การแสดง การยอมรับฟัง การทางาน ความมีนา้ ใจ การมี รวม
ท่ี ของนักเรียน ความคดิ เหน็ คนอื่น ตามที่ได้รบั ส่วนรว่ มใน 20
มอบหมาย การปรับปรุง คะแนน
ผลงานกลุ่ม
43214321432143214321
เกณฑ์การใหค้ ะแนน ลงชื่อ...................................................ผ้ปู ระเมิน
ปฏบิ ัตหิ รือแสดงพฤติกรรมอยา่ งสมา่ เสมอ ............/................./................
ปฏิบัตหิ รอื แสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 4 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครงั้ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรอื แสดงพฤติกรรมน้อยครัง้ ให้ 2 คะแนน
ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคณุ ภาพ
ช่วงคะแนน ระดบั คุณภาพ
18 - 20 ดีมาก
14 - 17 ดี
10 - 13 พอใช้
ตา่ กว่า 10 ปรับปรุง
T25
นาํ นํา สอน สรปุ ประเมนิ
ขนั้ นาํ (Concept Based Teaching) 1.3 เลขยกกำ� ลงั ทมี่ เี ลขชก้ี ำ� ลงั เปน็ จำ� นวนตรรกยะ
การใชค วามรเู ดมิ ฯ (Prior Knowledge) (Rational Indice)
ครูทบทวนความรู เร่ือง เลขยกกําลังที่มี นักเรียนเคยศึกษาเลขยกก�าลังที่มีเลขชี้ก�าลังเป็นจ�านวนเต็มมาแล้ว ในหัวข้อน้ีจะกล่าวถึง
เลขช้ีกําลังเปนจํานวนเต็ม จากน้ันครูกลาววา
ในหัวขอน้ีจะเรียนเลขยกกําลังท่ีมีเลขช้ีกําลัง
เปน จํานวนตรรกยะ
ขน้ั สอน เลขยกก�าลังท่ีมีเลขช้ีก�าลังเป็นจ�านวนตรรกยะ น่ันคือ มีเลขช้ีก�าลังเป็น ab โดยท่ี a, b เป็น
จ�านวนเต็ม และ b ≠ 0
รู (Knowing)
1. ครใู หน กั เรยี นจบั คทู าํ กจิ กรรม Class Discussion Class Discussion
จากนั้นครูและนักเรียนสรุปเปนบทนิยามท่ีวา
“ถา a เปนจํานวนจริง n nเปแนลจว ําaนn1วน=เตn็มaท่ี ให้นกั เรยี นจับคู่ แล้วช่วยกันเติมคำ� ตอบลงในชอ่ งว่ำงต่อไปนี้
มากกวา 1 และ a มรี ากท่ี ก�าหนด p = 531
จะได้ p3 = 3
2. คขอรกูงลaา วแเลพะม่ิ จเะตไมิ ดววา า a(n1an1เป)nน =คaา หแลลกั วขยอกงตรัวาอกยทาี่ nง
= 5 ×3 (ใชส้ มบัติ (am)n = amn)
= 51
=5
•เ•พ(7่ือ-12ใ5ห)=13ส อ=7ด3คแ-ลล5อะงแ(กล7บัะ12)บ2[ท(=-น57ยิ31)า]3ม=ด-ัง5น้ี ดงั นัน้ p =
ในกรณนี ้ี จะมคี า่ p ท่เี ป็นไปได้เพยี งค่าเดยี ว
ดังนน้ั 513 =
เขา ใจ (Understanding) จาก Class Discussion จะเห็นว่า เลขยกก�าลังที่มีเลขช้ีก�าลังเป็นเศษส่วน โดยมีตัวเศษ
เท่ากับ 1 สามารถเขียนใหอ้ ยู่ในรปู กรณฑ์ได้ตามบทนยิ าม ดังน้ี
ครใู หน กั เรยี นคเู ดมิ ทาํ กจิ กรรม Thinking Time
บทนิยาม ถ้ำ a เป็นจ�ำนวนจริง n เป็นจ�ำนวนเต็มท่ีมำกกว่ำ 1 และ a มีรำกท่ี n แล้ว
เฉลย Class Discussion an1 = n a
กําหนด p = 531
จะได p3 = (513)3 จากบทนยิ าม จะเห็นวา่ a1n เป็นคา่ หลักของรากท่ี n ของ a และจะได้ว่า (a1n)n = a
เช่น 921 = 9 และ (921)2 = 9
(-8)13 = 3 -8 และ [(-8)31]3 = -8
= 5 13 × 3 (ใชสมบัติ (am)n = amn) Thinking Time
= 51
=5 ให้นักเรียนพิจารณาคา่ ของ a1n = n a ตามเงอ่ื นไขที่ก�าหนดตอ่ ไปนี้
ดังนัน้ p = 3 5 1. เมื่อ a < 0 2. เมอ่ื a = 0
ดในังกนรน้ั ณนี 5ี้ จ31 ะ=มคี า 3 p ทเี่ ปนไปไดเพียงคา เดยี ว 24
5
เฉลย Thinking Time ขอ สอบเนน การคิดแนว O-NET
ขอ 1. เมอื่ a < 0 และ n เปนจาํ นวนเต็มที่มากกวา 1 สามารถแบงได ถา a เปนจํานวนจริงบวก แลว 3 a3 a เทา กับขอใด
2 กรณี คือ 1. a31 2. a91
กรณี 1 n เปนจาํ นวนคูบวก จะไดว า ไมสามารถหารากที่ n
3. a29 4. a94
ของ a ได เพราะไมม ีจํานวนจริงใดๆ ทยี่ กกําลังคูบวก
5. a95 3 a3 a = [a(a) 31] 13
แลว จะไดจ ํานวนลบ = a31a 19
(เฉลยคําตอบ = a 13 + 19
กรณี 2 n เปนจํานวนค่บี วก จะไดวา รากที่ n ของ a = a 49
มีคา เปน จาํ นวนจริงลบ ดังนั้น คาํ ตอบ คือ ขอ 4.)
ขอ 2. เมื่อ a = 0 และ n เปนจาํ นวนเตม็ ท่ีมากกวา 1
จะไดวา an1 = 0n1 ไมม คี วามหมายทางคณติ ศาสตร
T26
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
ขน้ั สอน
รู (Knowing)
ตวั อยา งท่ี 15 ครูยกตัวอยา งที่ 15 และอธิบายการหาคา ของ
aเลn1ข=ยกnกaาํ ลจงั าเกพน่ือ้นั ใคหรสยู อกดตคัวลออ ยงากงบั เพบ่มิทเนตยิ ิมาบมน
ใหห้ ำคำ่ ของเลขยกก�ำลงั ตอ่ ไปน้ี
1) 1621 2) 27- 13
วิธที ำ� 1) 1621 = 16 3) (-125)- 13 กระดาน แลวใหนักเรียนหาคาของเลขยกกําลัง
ตอไปนี้
=4 25 12
2) 27- 31 = 21713 • (แนวตอบ 25 12
= 25 = 5)
64 31
= 1 • (แนวตอบ 64 31 = 3 64 = 4)
3 27
=31 -243 15
• (แนวตอบ -243 15 = 5 -243 = -3)
ลองทําดู เขา ใจ (Understanding)
ใหห้ า1ค)่าข36อ21งเลขยกกา� ลังตอ่ ไ2ป) น8ี้ - 31 ฝกทําตอ ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
หนา 25 จากนน้ั สมุ นกั เรยี น 3 คน ออกมาเขยี นวธิ ี
แบบฝก ทักษะ 1.3 หาคา ของเลขยกกําลังบนกระดาน เพ่ือตรวจสอบ
ขอ 3(1)-(4) ความเขาใจของนักเรียน โดยครูตรวจสอบความ
ถกู ตอ ง
Investigation
ใหน้ ักเรยี นจับคู่ แลว้ ช่วยกันเติมค�ำตอบลงในช่องว่ำง และตอบคำ� ถำมที่กำ� หนด
1. 532 = 52 × 1 2. 523 = 5 1 × 2
= (52) 1 = (5 1 )2 รู (Knowing)
3. = 52 การเขียน 523 = ( 5)2 และ 2. มคี วามสมั พนั ธก์ ันหรือไม่ 1. ครูใหน ักเรียนจับคทู าํ กิจกรรม Investigation
นักเรยี นคิดว่า ใหอ้ ยใู่ นรูปกรณฑ์ ในข้อ 1.
อย่างไร และตอบคาํ ถามจากกจิ กรรม แลว แลกเปล่ยี น
คําตอบกัน สนทนาซักถามจนเปนท่ีเขาใจ
จาก Investigation จะเหน็ วา่ 523 สามารถเขียนให้อยูใ่ นรปู กรณฑ์ไดเ้ ปน็ 3 52 หรือ (3 5)2 รวมกัน จากนั้นครูและนักเรียนรวมกัน
ส�าหรับในกรณีทัว่ ไปเลขยกก�าลังทม่ี เี ลขช้ีก�าลังเป็นจ�านวนตรรกยะซึง่ มีบทนยิ าม ดงั นี้ อภิปราย แลวสรุปเปนกรณีทั่วไปเลขยกกําลัง
ท่ีมีเลขชี้กําลังเปนจํานวนตรรกยะจนนําไปสู
บทนิยาม ถ้ำ a เป็นจ�ำนวนจริง m, n เป็นจ�ำนวนเต็มที่ n > 1 และ mn เป็นเศษส่วนอย่ำงต�่ำ
และ an1 เป็นจ�ำนวนจริง จะได้ว่ำ อบเปยทน านจงิยตาํ าน่ํามวแทนลี่วเตะา็มa“ทถn1่ี าnเป>aนจ1เําปแนนลวจะนําจmนnรวงิ นเปจจนะรเิงไศดษวmสา,วนn
amn = (an1)m = (n a )m amn = (an1)m = (n a )m
amn = (am)n1 = n am amn = (am)n1 = n am
25
เลขยกก�าลัง จากน้ันครูสรปุ จากบทนยิ ามวา (n a )m = n am
ขอ สอบเนน การคิด เฉลย Investigation ขอ 2. 532 = 5 31 × 2
aa-1221 aa- 3122 ขอ 1. 532 = 52 × 13 = (5 13 )2
ถา a มีคาเทา กับ 1 - 3 แลว - มคี า เทา ใด = (52) 31 = 3 52
- = 3 52
aa32a21 12
(เฉลยคาํ ตอบ a121 - a32 aa1a2121a12-12 - a121
aa-1212 aa- 3221 a12 - a121
จาก - = = ขอ 3. มคี วามสมั พันธกัน เนือ่ งจาก 3 52 = 3 25
- และ (3 5)2 = 3 5 × 3 5 = 3 25
นัน่ คอื 3 52 = (3 5)2
1 - a2 ดงั นั้น 5 32 สามารถเขยี นใหอ ยูใ นรูปกรณฑไ ดเปน 3 52 หรอื (3 5)2
a 21
= a-1 = 1a --a12 = -(1a +- a12)
a 12
= -(aa2--11) = -(a -a1)-(a1 + 1) = -(a + 1)
เนื่องจาก a = 1 - 3)
จะได -[(1 - 3) + 1] = -(2 - 3) = -2 + 3)
T27
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
ขนั้ สอน
รู (Knowing)
2. ควaารจจอู ะาธตกบิ อบางยทไคนมวิยเาทามามรกขเู พับอม่ิ ง0เตเaมชิ mnนในถ0ก-าร51อ=บm(A0<T15T)E-01NT=IแOล0N-ว1 ATTENTION
จากบทนยิ ามของ amn ถา้ m < 0 แลว้ a ตอ้ งไม่เป็น 0 เชน่
= 01 จะไมม คี วามหมายทางคณิตศาสตร
3. ครใู หน ักเรยี นศึกษาตัวอยา งท่ี 16 ในหนังสอื - ให้ aamn==0,0-m31 = (-0131)-แ1ล=ะ n=3 10
จะได้ = (0)-1 =
เรยี น หนา 26 จากนนั้ ครยู กตัวอยา งเพิ่มเตมิ ซ่ึง 10
บนกระดาน แลว ใหน ักเรียนเขียนจาํ นวนทอ่ี ยู ไมม่ ีความหมายทางคณติ ศาสตร์
ในรูปกรณฑใหอยูในรูปเลขยกกําลัง ดังน้ี
ตวั อยา งท่ี 16 3) 4 165
• 6 6 12)
(แนวตอบ เขยี นในรปู เลขยกกาํ ลงั ไดเ ปน ใหเ้ ขียนจำ� นวนตอ่ ไปน้ีในรูปเลขยกก�ำลงั
• 3 55 1) 5 2) 3 22
(แนวตอบ เขยี นในรปู เลขยกกาํ ลงั ไดเ ปน 5 53)
• 5 123 วธิ ที �ำ 1) 5 เขยี นในรูปเลขยกก�าลังได้เป็น 521
2) 3 22 เขยี นในรปู เลขยกก�าลงั ได้เปน็ 223
3) 4 165 เขยี นในรูปเลขยกกา� ลังไดเ้ ปน็ 1645
1(แ2น53ว)ตอบ เขียนในรปู เลขยกกาํ ลงั ไดเปน ลองทําดู ฝกทําตอ
4. ครูใหนักเรยี นศกึ ษาตัวอยางท่ี 17 ในหนังสือ-
เรยี น หนา 26 จากนัน้ ครูยกตัวอยา งเพมิ่ เตมิ ใหเ้ ขยี นจา� นวนตอ่ ไปนีใ้ นรปู เลขยกกา� ลัง 3) 4 245 แบบฝก ทกั ษะ 1.3
1) 7 2) 3 32 ขอ 1(1)-(4)
บนกระดาน แลวใหนกั เรียนเขยี นจํานวนท่ีอยู ตวั อยา งที่ 17 ฝกทําตอ
ในรูปเลขยกกําลงั ใหอยใู นรปู กรณฑ ดังนี้
• 3441 ใหเ้ ขยี นจำ� นวนตอ่ ไปนใี้ นรปู กรณฑ์ แบบฝกทักษะ 1.3 ขอ 2
1) 4813 2) (-32)53 3) 1532
((แ-น56วต) 35อบ เขยี นในรูปกรณฑไดเ ปน 4 34) วธิ ที �ำ 1) 4831 =3 48 3) 3923
• (1แ1น52วตอบ เขียนในรูปกรณฑไ ดเ ปน 5 (-56)3) 2) (-32)35 = 5 (-32)3
• 3) 1523 = 153 = ( 15)3
(แนวตอบ เขียนในรปู กรณฑไดเปน
115 = ( 11)5) ลองทาํ ดู
เขา ใจ (Understanding) ให้เข1ยี )นจ5า�4น13วนต่อไปน้ีในรูป2ก)รณ(-ฑ75์ )35
ครใู หน กั เรียนทํา “ลองทําดู” ในหนงั สือเรยี น 26
หนา 26 และแบบฝกทกั ษะ 1.3 ขอ 1.-2. หนา
35 จากนัน้ ครสู มุ นกั เรยี นออกมาเฉลยคําตอบบน
กระดาน โดยครูตรวจสอบความถูกตอง
เกร็ดแนะครู กจิ กรรม สรา งเสริม
ครอู ธบิ ายความรเู พ่มิ เตมิ จากกรอบ ATTENTION วจาะไถดา amnn < 00-21 แลว a ครูใหนักเรียนจับคู แลวใหแตละคนเขียนจํานวน 2 จํานวน
และ n = -1 ท่ีอยูในรูปเลขยกกําลังและรูปกรณฑลงในกระดาษ จากน้ัน
ตองไมเ ปน 0 ดว ย เชน ให a = 0, m = 2 = = (02)-1 แลกเปลยี่ นกบั คขู องตนเอง แลว เขยี นจาํ นวนทอ่ี ยใู นรปู เลขยกกาํ ลงั
= 0-1 = 10 ซึง่ ไมมีความหมายทางคณิตศาสตร เชนเดยี วกับกรณี m < 0 ใหอยูในรูปกรณฑ และเขียนจํานวนที่อยูในกรณฑใหอยูในรูป
เลขยกกําลงั
หมายเหตุ : ครูควรใหนักเรยี นเกง และนกั เรยี นออนจับคกู ัน
T28
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
ตัวอยางท่ี 18 2) 3253 ขนั้ สอน
ใหห้ ำคำ่ ของเลขยกก�ำลังต่อไปนี้ SOPLRVOIBNLGETMIP รู (Knowing)
1) (-125)32 (-125)23 ราก
ตวั สว่ นของเลขชก้ี า� ลงั 1. ครูใหนักเรยี นศกึ ษาตวั อยางที่ 18 ในหนังสอื -
วิธที ำ� 1) (-125)23 = (-12513)2 จะเป็นค่ารากเสมอ เรียน หนา 27 แลว ครชู แี้ นะกรอบ PROBLEM
= (3 -125)2 SOLVING TIP ในการชวยทําโจทยวา เลข
= (3 (-5)3)2 ยก-กาํ ลงั ทม่ี เี ลขชกี้ าํ ลงั เปน จาํ นวนตรรกยะ ซง่ึ
= (-5)2 ตัวสวนของเลขช้ีกําลังจะเปนคารากเสมอ
= 25 จากนั้นครูเขียนแสดงวิธีทําอยางละเอียด
บนกระดาน พรอมทั้งบอกวาขั้นตอนใดใช
2) 3253 = (3215)3 บทนยิ ามใด
= (5 32)3
= (5 25)3 2. ครูยกตัวอยางท่ี 19 ในหนงั สอื เรียน หนา 27
= 23 บนกระดาน และอธบิ ายขนั้ ตอนอยางละเอยี ด
=8 จากน้ันกลาวเพ่ิมเติมวา การเขียนจํานวน
ท่ีอยูในรูปกรณฑใหอยูในรูปเลขยกกําลัง
ลองทาํ ดู ซึ่งมีฐานของเลขยกกําลังเปนตัวแปรจะใช
หลักการเดียวกันกับตัวอยางท่ี 18 ท่ีมีฐาน
ให้หาค่าของเลขยกกา� ลังตอ่ ไปนี้ ฝกทําตอ ของเลขยกกําลังเปนตวั เลข
1) 6432 2) 32- 52 3) 1001.5
แบบฝก ทักษะ 1.3 เขา ใจ (Understanding)
ขอ 3(5)-(6)
ครใู หนักเรยี นจับคูทาํ “ลองทาํ ด”ู ในหนังสอื -
ตวั อยา งท่ี 19 เรียน หนา 27 แลวแลกเปลี่ยนความรู สนทนา
ซกั ถามกัน จนเปน ท่เี ขา ใจรวมกนั จากนั้นครสู ุม
ให้เขียนจำ� นวนต่อไปนใ้ี นรปู เลขยกก�ำลัง เมอ่ื x เป็นจ�ำนวนจรงิ บวก นักเรียนออกมาเฉลยคําตอบบนกระดาน โดยครู
1) 5 x3 2) 1 และนักเรียนในชั้นเรียนรวมกันตรวจสอบความ
x-3 ถกู ตอง
วธิ ที ำ� 1) 5 x3 = x35
2) 1 = x1-23
x-3
= x32
ลองทาํ ดู
ใหเ้ ขยี นจา� นวนตอ่ ไปนใ้ี นรปู เลขยกกา� ลัง เม่อื x เป็นจ�านวนจริงบวก ฝกทําตอ
1) 3 x4 2) 1
5 x-2 แบบฝก ทกั ษะ 1.3
ขอ 1(5)-(6)
27
เลขยกก�าลัง
กิจกรรม สรา งเสริม เกร็ดแนะครู
(ห-า1ค2ค5า ร)ขูใ23หองนถเักาลเเขปรยียลกน่ียกนพําเิจลลางัขรช(ณ-ีก้ 1าาํ 2จล5าัง)กเ32ปตไน ัวดอห (ย-ร1าอื 2งไ5ทม)่ี 2318แลขวอนกั 1เร)ียนจาสกาโมจาทรถย ครูเนนยํ้าจากตัวอยางท่ี 18 ขอ 1) วา (-125) 32 เปนเลขยกกําลังที่มี
เพราะเหตุใด 3232เ35ปมนีเล53ขเชปก้ี นําเลลังขชซ้กี ่ึงําถลา ังพิจซา่งึ รถณาพาติจาวั รสณวนา
เลขชก้ี ําลังเปนจํานวนตรรกยะ และมี
หมายเหตุ : ครูควรใหน กั เรยี นเกง และนักเรียนออ นจบั คูกนั แลว จะมี 3 เปน คา ราก และจากขอ 2)
ตวั สว นแลว จะมี 5 เปน คา ราก
T29
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
ขน้ั สอน Thinking Time
รู (Knowing) ใหน้ กั เรยี นเติมค�าตอบลงในช่องวา่ ง แลว้ ตอบคา� ถามทก่ี า� หนด
1. ให้ m, n เป็นจ�านวนตรรกยะ และ a, b เปน็ จ�านวนจรงิ ทีไ่ ม่เท่ากับ 0 และ am, an, bn
1. ครใู หน กั เรยี นจบั คศู กึ ษากจิ กรรม Thinking Time เปน็ จา� นวนจรงิ จะไดว้ า่
จากนั้นครูเฉลยคําตอบและสรุปวาสมบัติของ สมบัติ 1 am • an
เลขยกกาํ ลงั ทม่ี เี ลขชกี้ าํ ลงั เปน จาํ นวนตรรกยะ (aaamnm)n =................................
จะมสี มบตั เิ หมอื นกบั เลขยกกาํ ลงั ทมี่ เี ลขชกี้ าํ ลงั สมบตั ิ 2 = ................................
เปน จํานวนเตม็ สมบตั ิ 3 =................................
สมบตั ิ 4 an • bn =................................
2. ครยู กตัวอยา งที่ 20 บนกระดาน และอธิบาย สมบัติ 5 abnn
วิธีทําแตละข้ันตอน เพื่อใหสอดคลองกับ = ................................
สมบตั ิ 3 ของเลขยกกําลงั ในกจิ กรรม
Thinking Time
2. จากสมบัติ 3 นกั เรียนคดิ วา่ ถ้า a = 0 แล้วจะได้ผลลพั ธ์เปน็ อย่างไร
เฉลย Thinking Time 3. จากสมบตั ิ 5 นักเรียนคิดว่า ถา้ b = 0 แลว้ จะไดผ้ ลลัพธเ์ ป็นอยา่ งไร
ขอ 1. ให m, n เปน จํานวนตรรกยะ และ a, b 4. ให้นกั เรียนพจิ ารณาวิธพี สิ จู น์ดงั1ต่อไปนี้ (-1)21 ×2
เปนจํานวนจริงท่ีไมเทากับ 0 และ am, 1 = 1 = (-1) × (-1) = -1 • -1 = ( -1)2 = = -1
an, bn เปนจํานวนจริง จะไดว า จากวิธพี ิสจู นข์ า้ งต้น นักเรยี นคิดว่าขัน้ ตอนใดไมถ่ กู ต้อง เพราะเหตใุ ด
สมบัติ 1 am • an = a……………m…+…n……….. ตวั อยางท่ี 20
(aaamnm)n a= ……………m…-…n………..
สมบตั ิ 2 a= ……………m…×…n……….. ใหห้ ำคำ่ ของ [(243)51]2
สมบัติ 3 วิธีท�ำ [(243)51]2 = [(35)15]2
สมบตั ิ 4 an • bn a= …………(…b…)…n………..
สมบตั ิ 5 bann a= n = 32
=9
……………b……………..
ขอ 2. ถา a = 0 และ m = 0 จะไดวา ลองทําดู
(0m)n = 0 (0) × n = 00 หาคา ไมไ ด ฝกทําตอ
เนือ่ งจาก 00 ไมม ีความหมายทาง ใหห้ าคา่ ของ [(625)14]3
แบบฝก ทักษะ 1.3
ขอ 3(7)-(8)
ขอ 3. คณิตศาสตร 0ann = a0 n หาคา ตวั อยา งท่ี 21
ถา b = 0 จะไดวา
ไมมีความหมาย ให้เขียนจ�ำนวนต่อไปนี้ในรปู อย่ำงงำ่ ย 2) (913 • 8161)6
ทไมาไงดค ณเนติ ื่อศงาจสาตกรa0 1) 3221 • 865
ขอ 4. ขั้นตอน (-1) × (-1) = -1 • -1 28
ไมถูกตอ ง เพราะไมส ามารถหาคา -1
ท่เี ปน จาํ นวนจริงได
นักเรียนควรรู ขอ สอบเนน การคิดแนว O-NET
ใหหาคาของ (6412)13 + ((1024)51)12 - 1
1 -1 ไมสามารถหาคารากท่ีเปนจํานวนจริงได ซึ่งคารากที่ไดจะอยูในรูป 1. 1 2. 3 3. 5
จาํ นวนเชิงซอ น 4. 7 5. 9
(เฉลยคาํ ตอบ (6412)31 + ((1024)15)21 - 1 = ((26)21)31 + (((210)15)12 - 1)
= (23)31 + (((22)21) - 1)
=2+2-1
=3
ดังนน้ั คาํ ตอบ คอื ขอ 2.)
T30
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
ขน้ั สอน
รู (Knowing)
วธิ ีทำ� 1) 3221 • 865 = (25)12 • (23)65 3. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษาตัวอยางท่ี 21 ใน
= 252 • 2165 หนังสือเรียน หนา 28-29 จากนั้นครูถาม
= 225 • 225 คําถาม ดงั นี้
= 225 + 25 • จากตัวอยา งที่ 21 ใชสมบตั เิ ลขยกกําลังใด
= 25 ในการหาคําตอบ
(แนวตอบ สมบตั ิ (am)n = amn และสมบัติ
2) (913 • 8116)6 = [(32)31 • (34)61]6 am • an = am + n)
= (332 • 346)6 4. ครูยกตวั อยางท่ี 22 ในหนังสือเรียน หนา 29
= (323)6 • (364)6 บนกระดาน แลว ถามคําถาม ดังน้ี
• ขอ 1) ใชสมบัติเลขยกกําลังใดในการหา
= 34 • 34 คําตอบ
= 34+4
= 38 (แนวตอบ สมบตั ิ (am)n = amn และสมบตั ิ
ลองทาํ ดู a-1 = a1)
• ขอ 2) ใชสมบัติเลขยกกําลังใดในการหา
ใหเ้ ขยี นจ�านวนต่อไปนใี้ นรปู อย่างงา่ ย ฝกทําตอ คาํ ตอบ
1) 6431 • 1634 2) (2731 • 24353)3
แบบฝกทักษะ 1.3 ขอ 7 (แนวตอบ สมบตั ิ (ab)n = anbn
ตวั อยา งที่ 22 สมบตั ิ (am)n = amn
สมบตั ิ aamn = am-n และสมบัติ a-1 = a1)ç
ให้เขียนจ�ำนวนตอ่ ไปน้ใี นรปู อยำ่ งง่ำย เมอื่ m และ n เป็นจ�ำนวนจรงิ บวก
(mn)32
1) (m13 n-2)53 2) (m43 n31)2 เขา ใจ (Understanding)
วธิ ที �ำ 1) (m13 n-2)53 = (m13)53 (n-2)35
= m51 n- 65 1. ครูใหนักเรยี นจับคูทาํ “ลองทําดู” ในหนังสอื -
=mn6515 เรียน หนา 28-30 แลวแลกเปลย่ี นความรูกัน
(mn)32 = (mm34)232n(n2313)2 สนทนาซกั ถามจนเปนทเ่ี ขาใจรว มกัน จากนั้น
2) (m43 n13)2 ครสู มุ นกั เรยี นออกมาเฉลยคาํ ตอบบนกระดาน
โ ด ย ค รู แ ล ะ นั ก เ รี ย น ใ น ชั้ น เ รี ย น ร ว ม กั น
= mm2323nn2323 ตรวจสอบความถกู ตอ ง
2. ครใู หน กั เรยี นทาํ แบบฝก ทกั ษะ 1.3 ขอ 3., 7.-11.
ในหนงั สือเรยี น หนา 35-36 เปนการบา น
เลขยกก�าลัง 29
ขอสอบเนน การคดิ แนว O-NET เกร็ดแนะครู
กาํ หนดให A = 232, B = 323 และ C = 21616 ขอ ใดถกู ตอง ครูควรเนนยา้ํ เรอ่ื ง การใชสมบตั ิของเลขยกกําลงั ในตัวอยางท่ี 21 วาใช
1. A < B < C สมบัติ 1 และสมบัติ 3 ในการจัดใหอยูในรูปอยางงาย จากนั้นครูใหความรู
2. A < C < B เพ่ิมเติมวา ขอ 2) สามารถแสดงวธิ ที ําไดอกี วธิ ีหนึ่ง ดังนี้
3. B < C < A (931 • 8161)6 = (931)6 • (8116)6
4. C < B < A = 9 13 × 6 • 8116 × 6
5. B < A < C = 92 • 81 (สมบตั ิ 3)
(เฉลยคาํ ตอบ A = (223)6 = 29 = 512
B = (332)6 = 34 = 81 = (32)2 • 34
C = (21616)6 = 216 = 34 • 34
นั่นคือ B < C < A = 34 + 4 (สมบัติ 1)
ดังน้นั คาํ ตอบ คือ ขอ 3.) = 38
T31
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
ขนั้ สอน = m23 - 23 n32 - 32
= m- 56
รู (Knowing) = m165
1. ครูยกตัวอยางสมการของเลขยกกําลังบน ลองทาํ ดู
กระดาน แลว ถามคําถามนักเรยี น ดงั น้ี
• 3x = 35 แลว x มีคา เทากบั เทาใด ใหเ้ ขียนจา� นวนแตล่ ะข้อตอ่ ไปนี้ในรูปอยา่ งง่าย เมือ่ m และ n เป็นจา� นวนจรงิ บวก
(แนวตอบ x มคี า เทากับ 5) 2) (mm2-n13 -n13-)14-2
• 2y = 28 แลว y มคี า เทา กับเทา ใด 1) (m-3n5)-13 ฝกทําตอ
(แนวตอบ y มีคา เทากบั 8)
แบบฝก ทกั ษะ 1.3
2. ครูอธิบายวา สมการเลขยกกําลังดังกลาวใช ขอ 8, 11
หลกั การเทยี บสมการทงั้ สองขา ง โดยพจิ ารณา
ฐานและเลขช้ีกําลัง ถาฐานทงั้ สองขางเทากัน สมกำรเลขยกกำ� ลงั
แลวเลขชี้กําลังจะตองเทากันดวย ซ่ึงในกรณี ในกรณีทั่วไป การแก้สมการเลขยกก�าลังสามารถท�าได้โดยเปลี่ยนฐานของเลขยกก�าลังให้
ทวั่ ไป การแกส มการเลขยกกาํ ลงั สามารถทาํ ได เท่ากนั ดังน้ี
โดยเปล่ียนฐานของเลขช้ีกําลังท้ังสองขางให
ถ้า ax = an แลว้ x = n เมอ่ื a, n เป็นจ�านวนจริง โดยท่ี a > 0 และ a ≠ 1
เทากัน ดังน้ี ถา ax = an แลว x = n เมื่อ
a, n เปน จาํ นวนจริง โดยท่ี a > 0 และ a 1 ตัวอยางที่ 23
3. ครยู กตวั อยา งท่ี 23 ในหนงั สือเรยี น หนา 30 ใหห้ ำค่ำ x จำกสมกำรตอ่ ไปนี้ 2) 9x = 2143 3) (49)2x = 76249
บนกระดาน แลว ครูกลา ววา นกั เรียนสามารถ 1) 2x = 128
จดั ฐานใหเ ทา กนั โดยใชว ธิ กี ารแยกตวั ประกอบ
แลวเขยี นใหอ ยูใ นรูปเลขยกกําลงั ดังน้ี วธิ ีท�ำ 1) จาก 2x = 128
- ขอ 1) นักเรียนสามารถจัด 128 ใหเปน 2x = 27
ฐาน 2 นน่ั คือ 128 = 27 จะได้ x = 7
- ขอ 2) นักเรียนไมสามารถจัด 243 ใหเปน 3215413
ฐาน 9 ได แตส ามารถจัด 243 และ 2) จาก 9x =
9 ใหเปนฐาน 3 ได 32x =
นัน่ คอื 9 = 32 และ 243 = 35
- ขอ 3) กรณีท่ีฐานเปนเศษสวน นักเรียนจะ 32x = 3-5
ตองจัดฐานทั้งตัวเศษและตัวสวนท่ี จะได้ 2x = -5
ม762ีเ4ล9ขใชหกี้ เ าํปลน งั ฐเทานา ก94นั และสามารถจัด หรือ x = - 52
น่นั คอื 76249 = 49 3
30
เกร็ดแนะครู ขอ สอบเนน การคิดแนว O-NET
ถา 2495 x+1 = 314235 2x-1 แลว 8x + 1 มีคา เทา ไร
ครคู วรเนน ย้าํ ใหนกั เรียนเขาใจถงึ การแกส มการเลขยกกําลัง ดงั น้ี 1. -1 2. 0 3. 1 4. 2 5. 3
2495 x + 1 = 134253 2x - 1
- ฐานเทากนั แตเ ลขช้กี ําลังไมเทากนั จะได ax = ay → x = y (เฉลยคาํ ตอบ 57 2 x + 1 = 57 3 2x - 1
โดยท่ี a > 0 และ a 1 57 2x + 2 = 57 6x - 3
75 2x + 2 = 57 3 - 6x
- ฐานไมเทากนั แตเ ลขช้ีกาํ ลงั เทากัน จะได ax = bx → x = 0 2x + 2 = 3 - 6x
โดยที่ a, b > 0 และ a, b 1 8x = 1
x = 18
T32 ดังน้ัน 8x + 1 = 8 81 +1=2
ดังนนั้ คาํ ตอบ คือ ขอ 4.)
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
3) จาก (49)2x = 76249 ขนั้ สอน
[(23)2]2x = (32)6
(32)4x = (32)6 เขา ใจ (Understanding)
จะได้ 4x = 6 1. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน
หรือ x = 32 หนา 31 และใบงานที่ 1.2 เรอื่ ง เลขยกกาํ ลงั ทมี่ ี
เลขชก้ี ําลังเปน จาํ นวนตรรกยะ เปน รายบุคคล
ลองทาํ ดู 2) 49x = 3143 ฝกทําตอ แลว สมุ นกั เรยี นออกมาเฉลยวธิ คี ดิ บนกระดาน
4) (25)x = 0.16 โดยครตู รวจสอบความถูกตอ ง
ให้หาค่า x จากสมการตอ่ ไปน้ี แบบฝก ทกั ษะ 1.3
1) 5x = 625 ขอ 4 2. ครูใหน ักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน คละ
3) (49)3x = 2112887 ความสามารถทางคณติ ศาสตร แลว ทาํ กจิ กรรม
ดังนี้
Journal Writing
• ใหน กั เรยี นแตล ะกลมุ ศกึ ษากจิ กรรม Journal
1. นักเรียนได้ศกึ ษามาแล้วว่า ถา้ ax = an แล้ว x = n เมื่อ a, n เป็นจา� นวนจริง โดยที่
a > 0 และ a ≠ 1 ส�าหรบั กรณี ax = an เมื่อ a = 0 หรือ a = 1 นกั เรยี นคดิ วา่ x = n หรอื ไม่ Writing แลว ตอบคาํ ถามจากกจิ กรรม
ถา้ ไม่ ใหย้ กตัวอย่างประกอบ • ใหนักเรียนแตละกลุมรวมกันอภิปราย
2. ก�าหนด a > 0 และ x เปน็ จ�านวนจรงิ ใด ๆ นกั เรียนคิดวา่ ax มีค่าเปน็ 0 หรอื จา� นวน พรอมท้ังยกตัวอยางประกอบจากคําถาม
จรงิ ลบหรอื ไม่ ให้ยกตวั อยา่ งประกอบ ท้ังสองขอ
• นักเรียนรว มกนั สรุปกิจกรรม
Journal Writing
3. ครใู หนักเรยี นทาํ แบบฝก ทักษะ 1.3 ขอ 4. ใน
หนงั สอื เรยี น หนา 35 ลงในสมดุ เพอ่ื ตรวจสอบ
ความเขา ใจ
เฉลย Journal Writing
ขอ 1. ถา a = 0 หรอื a = 1 จะไดวา x
ไมจ ําเปนตอ งเทากับ n
จาก Journal Writing จะเห็นวา่ ถา้ ฐานของเลขยกกา� ลังมีค่าเปน็ จ�านวนจรงิ บวก แล้วคา่ ของ เชน ให x = 2, n = 11
เลขยกกา� ลังจะมีคา่ เปน็ จา� นวนจรงิ บวกดว้ ย ซ่ึงสามารถเขยี นในรปู กรณีท่วั ไปได้ ดังน้ี จะไดว า 02 = 011 = 0 แต 2 11
ให x = 5, n = 7
ถา้ a > 0 แลว้ ax > 0 เมื่อ x เปน็ จ�านวนจริงใด ๆ จะไดวา 15 = 17 = 1 แต 5 7
ขอ 2. ให a > 0 และ x เปนจาํ นวนจรงิ ใดๆ
จะได ax เปน จาํ นวนจรงิ บวกเสมอ
ดงั น้ัน ax มีคา ไมเทากับ 210 หรอื ax ไมเปน
เลขยกก�าลัง 31 จาํ นวนจรงิ ลบ เชน a = 0 และ
จะได ax = 12 2 = 41 > x=2
ขอสอบเนน การคดิ แนว O-NET เกร็ดแนะครู
ผลบวกของคาํ ตอบของสมการ 22x-1 - 17(2x) + 8 = 0 เทากบั ครูควรอธิบายเพม่ิ เติมจากกิจกรรม Journal Writing ถา a < 0 แลวคา
เทาไร ของ ax จะพจิ ารณาได ดังน้ี
ถา a < 0 และ x เปนจํานวนค่ี คาของ ax < 0
1. -3 2. -2 3. 2 4. 3 5. 4
เชน ถา -2 < 0 แลว (-2)3 = -8
(เฉลยคําตอบ 22x - 1 - 17(2x) + 8 = 0 ถา -2 < 0 แลว (-2)-3 = (-12)3 = - 81
ให 2(2x)2 - 17(2x) + 8 = 0 ถา a < 0 และ x เปนจาํ นวนคู คา ของ ax > 0
2x = A, (2x)2 = A2 เชน ถา -2 < 0 แลว (-2)4 = 16
2A2 - 17A + 8 = 0
(2A - 1)(A - 8) = 0
A = 21, 8 ถา -2 < 0 แลว (-2)-4 = 1 = 116
2 x = 2-1, 23 (-2)4
x = -1, 3
นน่ั คอื (-1) + 3 = 2
ดังน้ัน คําตอบ คอื ขอ 3.)
T33
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
ขนั้ สอน นกั เรยี นสามารถคา� นวณหาคา่ ตา่ ง ๆ ของเลขยกกา� ลงั โดยใชเ้ ครอื่ งคดิ เลขวทิ ยาศาสตร์ ดงั รปู
รู (Knowing) 1
ครใู หนักเรยี นแบง กลุม กลุมละ 3-4 คน คละ สว่ นประกอบหลักบนเคร่ืองคิดเลข
ความสามารถทางคณิตศาสตร แลวทํากิจกรรม 1. หนา้ จอแสดงผลการท�างาน
ตอ ไปนี้ 2. ปมุ เปดเคร่ือง
3. ปุม MODE/SETUP ใช้สา� หรบั เลือก
• ใหแตละกลุมนําเคร่ืองคิดเลขวิทยาศาสตร โหมดหรอื ตงั้ คา่ เครอื่ ง
มากลุมละ 1 เคร่ือง ใชรนุ เดยี วกัน ดังรปู 4 2 4. ปมุ SHIFT ส�าหรับเรียกใช้คา� สง่ั
ในหนังสอื เรยี น หนา 32 หรือรนุ ทใ่ี กลเ คียง ท่เี ป็นสีเหลือง แล้วตามดว้ ยปุม ค�าสง่ั
กนั 5 3 น้นั ๆ
• ครูอธิบายสวนประกอบตางๆ บนเครื่อง 7 6 5. ปุม ALPHA ส�าหรบั เรียกใชค้ า� สง่ั
คดิ เลขและกลา ววา เครอื่ งคดิ เลขวทิ ยาศาสตร ทเ่ี ป็นตัวอักษรสแี ดง แลว้ ตามดว้ ย
ถาย่ีหอหรือรุนที่ตางกัน จะมีปุมคํานวณ ปุมค�าสงั่ น้ัน ๆ
และวิธีการใชแตกตางกัน ใหนักเรียนดูใน 8 6. ปมุ ควบคมุ ทิศทาง ใชเ้ ลื่อนดูคา� ตอบ
กรอบ INFORMATION
หรอื แกไ้ ขการค�านวณ
• ใหน กั เรยี นแตล ะกลมุ ฝก กดปมุ เครอื่ งคดิ เลข 7. ปุมฟงั กช์ นั และสตู รการค�านวณ
วิทยาศาสตร โดยครูใชตัวอยางที่ 24 ใน 8. ปมุ ตวั เลข/เครอ่ื งหมายการดา� เนนิ การ
หนังสือเรียน หนา 32 สอนกดปุมเครื่อง
คิดเลข ซึ่งใหสมาชิกในกลุมฝกทําขอละ
1 คน จนครบทั้ง 4 ขอ
ตวั อยา งท่ี 24
ใหห้ ำคำ่ ของจำ� นวนต่อไปน้ี โดยใชเ้ ครอื่ งคิดเลข
1) 314 2) 2 -4 6
3) 3 71 4) 4 8 INFORMATION
วิธีทำ� 1) 314 = เคร่ืองคิดเลขวิทยาศาสตร์
กดปุม 3 x 1 4 ท่ียี่ห้อหรือรุ่นต่างกัน จะมี
ปุมค�านวณ และวิธีการใช้ท่ี
จะปรากฏผลลพั ธ์ 4782969 แตกตา่ งกนั เช่น 23 สามารถ
กดปมุ บนเครอื่ งคดิ เลขไดเ้ ปน็
2x 3=
หรอื 2 ∧ 3 =
หรือ 2 xy 3 =
32
เกร็ดแนะครู กิจกรรม สรา งเสริม
ครคู วรเนน ยํา้ การใชเคร่อื งคดิ เลขวิทยาศาสตรว า ฟงกชนั การคาํ นวณของ ครูใหน ักเรียนจับคู แลวชวยกันคํานวณหาคา ตอ ไปนี้
เครื่องคิดเลขแตละรุนไมเหมือนกัน นอกจากจะใชเคร่ืองคิดเลขวิทยาศาสตร • หา ( 2 + 3 + 5)2 และ 22 + 32 + 52 โดยใชเ ครื่องคดิ เลข
ในการคาํ นวณแลว นกั เรยี นยงั ใชโ ปรแกรมอนื่ ๆ ในการคาํ นวณได เชน โปรแกรม
และตอบเปนทศนิยมสองตาํ แหนง
Microsoft Excel โปรแกรม Calculator ในเคร่อื งคอมพวิ เตอร และโปรแกรม • ( 2 + 3 + 5)2 และ 22 + 32 + 52 เทา กันหรอื ไม
ออนไลน WolframAlpha
เพราะเหตใุ ด
• หา ( 2 × 3 × 5)2 และ 22 + 32 + 52 โดยใช
เคร่อื งคดิ เลข และตอบเปนทศนยิ มสองตําแหนง
• ( 2 × 3 × 5)2 และ 22 × 32 × 52 เทา กนั หรอื ไม
เพราะเหตุใด
หมายเหตุ : ครูควรใหน กั เรยี นเกง และนกั เรียนออ นจับคกู นั
T34
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
2) 2 -4 6 6 )÷4= ขน้ั สอน
กดปุม ( 2 -
เขา ใจ (Understanding)
จะปรากฏผลลพั ธ์ -0.1123724357
1. ครูใหนักเรียนแตละกลุมทํา “ลองทําดู” ใน
3) 3 71 ATTENTION หนังสือเรียน หนา 33 โดยใชเคร่ืองคิดเลข
แลวเขียนคําตอบท่ีไดลงในกระดาษ A4 เมื่อ
กดปุม SHIFT 71 = 3 เป็นคา� สัง่ ทเี่ ปน็ แตละกลุมเสร็จแลวใหนําคําตอบท่ีไดมา
สเี หลอื ง ดงั นนั้ ในการเรยี ก ตรวจสอบกับกลุมอ่ืนๆ โดยครูตรวจสอบ
จะปรากฏผลลพั ธ์ 4.140817749 ใชจ้ ะตอ้ งกดปุม SHIFT ความถกู ตอ ง
แลว้ ตามด้วย
4) 4 8 2. ครูใหนักเรียนแตละกลุมทําแบบฝกทักษะ
1.3 ขอ 5 ในหนังสอื เรียน หนา 35 จากนั้น
กดปมุ SHIFT x 4 ▲ 8= ครูสุมนักเรียนออกมาเฉลยคําตอบหนา-
ช้ันเรียน โดยครูและนักเรียนในช้ันเรียน
จะปรากฏผลลัพธ์ 1.681792831 รว มกนั ตรวจสอบความถกู ตอง
ลองทําดู
ให้หาคา่ ของจ�านวนต่อไปน้ี โดยใชเ้ คร่อื งคดิ เลข
1) 512 2) 13 9- 8 ฝกทําตอ
3) 3 46 4) 5 77
แบบฝกทักษะ 1.3 ขอ 5
ตกำวั รอเยคลาง่ือทน่ีท2ีข่ 5องอนภุ ำค1หน่งึ มีควำมสมั พนั ธร์ ะหว่ำงระยะทำง
ในแนวรำบและควำมสงู ในแนวด่งิ ซงึ่ คำ� นวณได้จำกสตู ร
h = 0.3 d + 1
เมอ่ื h แทนควำมสงู จำกพน้ื ดินมหี นว่ ยเปน็ เมตร h
ถำ้ อนภุ dำคแนทเี้ คนลระอ่ื ยนะททใ่ี ำนงแในนวแรนำวบร2เำปบน็ มรีหะยนะว่ ทยำเปงน็5เ.2ม5ตรเมตร d
ใหห้ ำควำมสงู ของอนภุ ำคนจ้ี ำกพน้ื ดนิ
วธิ ีทำ� เนอ่ื งจาก h = 0.3 d + 1
จะได้ h = 0.3 5.25 + 1
= 0.3 6.25
= 0.3(2.5)
= 0.75
ดังนน้ั อนภุ าคนจ้ี ะสงู จากพื้นดินในแนวดงิ่ เปน็ ระยะทาง 0.75 เมตร
เลขยกก�าลัง 33
กจิ กรรม สรางเสริม นักเรียนควรรู
ครูใหน ักเรยี นจบั คู แลว ทาํ กิจกรรมตอไปนี้ 1 อนุภาค เปนชิ้นหรือสวนท่ีมีขนาดเล็กมาก เชน ฝุนละออง อิเล็กตรอน
• จากตวั อยา งท่ี 25 ถา อนภุ าคนเ้ี คลอ่ื นทใ่ี นแนวราบเปน ระยะทาง นิวตรอน ซ่ึงในทางวิทยาศาสตรมักใชเรียกสวนท่ีมีขนาดเล็กกวาอะตอม เชน
อนุภาคแอลฟา อนภุ าคบีตา
4.76 เมตร ใหหาความสูงของอนภุ าคนี้จากพ้นื ดิน 2 เคล่ือนท่ีในแนวราบ เปนการเคลื่อนที่ของวัตถุขนานกับพ้ืนโลก เชน
• ถาอนุภาคน้ีมคี วามสูงจากพ้นื ดิน 1.05 เมตร ใหหาวาอนุภาค รถยนตทก่ี ําลงั แลน อยูบนถนน
เคลื่อนทีใ่ นแนวราบเปนระยะทางเทาใด
หมายเหตุ : ครูควรใหน ักเรยี นเกงและนักเรียนออนจับคกู ัน
T35
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
ขน้ั สอน
รู (Knowing)
1. ครอู ธบิ ายวา เรอ่ื ง เลขยกกําลงั สามารถนําไป ลองทาํ ดู
ใชก บั โจทยป ญ หาตางๆ ได เชน การเคล่อื นที่
ตางๆ การคํานวณดอกเบ้ียทบตน จากน้ัน วัตถุชนิดหนึง่ มีน�้าหนกั (m) เปน็ กรัม แปรผันตามความยาวของวตั ถุ (x) เป็นเซนติเมตร
วทัตส่ี ถาชุมนาริดถนค้ี า�เมน่อืวณกา� ไหดน้จาดกคสวูตามรยmาว=ขอ45งว5ัต1ถ1ุเxท่า+กับ1 ให้หานา�้ หนักของ
ครูยกตัวอยางท่ี 25 และ 26 บนกระดาน 22 เซนติเมตร ฝกทําตอ
และอธบิ ายวิธคี ิดอยา งละเอียด
แบบฝกทกั ษะ 1.3
ขอ 6, 12
2. ครถู ามคําถาม เพ่อื ตรวจสอบความเขาใจของ
นกั เรยี น ดังน้ี ตวั อยา งที่ 26
• จากตัวอยา งที่ 25 ใชบทนยิ ามใดในการแก นธิ ศิ ฝำกเงินไว้กับธนำคำรแห่งหนึ่งโดยมีขอ้ ตกลงว่ำ ถำ้ ฝำกเงินจ�ำนวน 500,000 บำท
ปญ หา ธนำคำรใหด้ อกเบ้ีย 3% ต่อปี ถ้ำนธิ ิศฝำกเงนิ โดยไม่มกี ำรถอนเงินจนครบ 7 ปี 6 เดอื น
อยำกทรำบวำ่ นธิ ศิ จะไดร้ ับเงนิ ทงั้ หมดเท่ำใด โดยก�ำหนดให้
(แนวตอบ ใชบทนิยามท่ีวา ถา a เปน A = P(1 + r)t
จาํ นวนจรงิ n เปnนแจลําว นaวนn1 เต=็มnทaี่ม)ากกวา 1
เมอ่ื A แทนจ�ำนวนเงนิ ตน้ พร้อมดอกเบยี้
และ a มีรากที่ P แทนเงินต้น
• จากตัวอยางท่ี 26 ใชบทนิยามใดในการ
แกปญหา r แทนอตั รำดอกเบยี้ ตอ่ ปี
(แนวตอบ ใชบทนิยามที่วา ถา a เปน t แทนจำ� นวนปีทฝี่ ำก
แจจลาําํ นนะววmนนnจจรรเปงิิงนจmเะศ,ไษดnสวเาว ปนaนอmnจยาํ า=นง(วตaน่าํ n1เแ)ตmลม็ ะ=ทa(่ี nnn1 >1 วิธที ำ� เน่ืองจาก A = P(1 + r)t
เปน P = 500,000
r = 5710.03500,=0=010205(.103+ 0.03)125
a )m) t =
A =
เขา ใจ (Understanding) จะได้ = 500,000( 1.03)15
1. ครูใหนักเรียนทํา “ลองทําดู” ในหนังสือเรียน ≈ 500,000(1.24819)
หนา 34 ลงในสมุด เปนรายบุคคล เม่ือทํา = 624,095
เสร็จแลวใหตรวจสอบคําตอบ โดยการใช ดงั นั้น นิธศิ จะไดร้ ับเงินท้ังหมดประมาณ 624,095 บาท
เครื่องคิดเลขวิทยาศาสตร โดยใหนักเรียน
นําสงครูตรวจสอบความถูกตองอีกครั้ง ลองทําดู
สมชายฝากเงินไว้กบั ธนาคารแหง่ หนง่ึ โดยมขี ้อตกลงว่า ถา้ ฝากเงินกับธนาคาร
2,000,000 บาท ธนาคารจ่ายดอกเบีย้ ให้ 2.5% ต่อป ถ้าสมชายฝากเงิน ฝกทําตอ
โดยไมม่ ีการถอนเงินจนครบ 5 ป 6 เดอื น อยากทราบว่าสมชายจะได้รับ แบบฝกทักษะ 1.3
เงนิ ทั้งหมดเทา่ ใด ขอ 9, 10
34
เกร็ดแนะครู กิจกรรม 21st Century Skills
ครูควรเนนย้ําจากตัวอยางท่ี 26 วา การหาดอกเบ้ียที่ไดจากการฝากเงิน ครใู หน กั เรียนทํากิจกรรมตอไปน้ี
เทา กบั เงนิ รวมทงั้ หมดลบออกดว ยเงนิ ตน ทง้ั หมด หรอื ดอกเบย้ี = เงนิ รวม - เงนิ ตน • ใหน กั เรียนแบง กลมุ กลมุ ละ 3-4 คน แลว สบื คน อัตราดอกเบี้ย
จะไดวา นธิ ศิ จะไดด อกเบี้ยในการฝากเงนิ ทัง้ หมดเทากบั 624,095 - 500,000
= 124,095 บาท ทีไ่ ดจากการฝากเงนิ ในปจ จบุ นั
• ใหน กั เรยี นแตล ะกลมุ กาํ หนดเงนิ ตน ทต่ี อ งการฝากและระยะเวลา
สื่อ Digital
ท่ีจะฝาก แลว นํามาคาํ นวณหาจาํ นวนเงนิ ทง้ั หมดทจ่ี ะไดร บั และ
ครูใหนักเรียนตรวจสอบคําตอบ “ลองทําดู” จากตัวอยางท่ี 26 โดยใช ดอกเบี้ยในการฝากเงิน
• ใหแตละกลุมสงตัวแทนออกมานําเสนอขอมูลผานโปรแกรม
โปรแกรม WolframAlpha คํานวณจาก https://www.wolframalpha.com Microsoft PowerPoint หรือโปรแกรมนําเสนออ่ืนๆ ตามท่ี
นกั เรียนถนัด
โดยพิมพ ดงั นี้ 2,000,000*(1.025)^(11/2) หมายเหตุ : ครคู วรแบง กลมุ โดยคละความสามารถทางคณติ ศาสตร
ของนกั เรยี น (ออน ปานกลาง และเกง) ใหอ ยูกลุมเดยี วกนั
T36
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
แบบฝกึ ทกั ษะ 1.3 r ขน้ั สอน
ระดับพนื้ ฐาน เลขยกก�าลัง 35 เขา ใจ (Understanding)
1. ให้เขียนจำ� นวนต่อไปนีใ้ นรปู เลขยกก�ำลงั 2) 3 52 2. ครูใหนกั เรียนทํากิจกรรมตอไปนี้
1) 10 4) 8 1217 • ใหนักเรยี นแบงกลุม กลมุ ละ 3-4 คน คละ
3) 5 256 1 ความสามารถทางคณติ ศาสตร
5) 4 x5 เมอื่ x > 0 6) 6x เม่อื x>0 • ใหนักเรียนแตละกลุมทําแบบฝกทักษะ ใน
หนงั สอื เรียน หนา 35 ขอ 6. และใหน กั เรียน
2. ใหเ้ ขยี นจ�ำนวนต่อไปนใ้ี นรูปกรณฑ์ 2) (-30)53 สืบคนโจทยปญหาที่เก่ียวกับเลขยกกําลัง
1) 2432 4) (32)45 หรอื รากที่ n ของจาํ นวนจรงิ ทางอนิ เทอรเ นต็
3) 8143 มากลุมละ 1 ขอ แลวแสดงวิธีทําอยาง
ละเอยี ด
3. ใหห้ ำค่ำของเลขยกก�ำลงั ต่อไปน้ี • ครสู มุ นกั เรยี นออกมาแสดงวธิ ที าํ บนกระดาน
1) 8121 โดยครตู รวจสอบความถูกตอง
3) -216- 31
5) 8- 53 2) 512- 31
7) [(256)81]2 4) 102415
6) (-1000)32
8) [(10000)14]3
4. ให้หำค่ำ x จำกสมกำรต่อไปน้ี 11821618
1) 11x = 1331 4x
3) 10x = 0.01 2) (23)x+2 =
4) =
5. ให้หำคำ่ ของจ�ำนวนต่อไปนี้ โดยใชเ้ ครอ่ื งคดิ เลข
1) 510 2) 316+ 13
3) 3 704 4) 4 22.2
96
5) 5 -244 6) 3 99
6. ถ้ำ r คือ ควำมยำวของรัศมีของทรงกลมมีหน่วยเป็นเซนติเมตร
และ V =คือ(34Vπป)ร13ิมถำต้ำทรขรงอกงลทมรงมกปี ลรมิมมำตีหรน่ว9ย7เ2ปπ็นลลูกกู บบำำศศกก์เเ์ ซซนนตติเิเมมตตรร
โดยที่ r
แลว้ ทรงกลมนี้จะมีรศั มยี ำวก่ีเซนตเิ มตร
ขอสอบเนน การคิด เกร็ดแนะครู
( 18 + 23 -125 - 34 4)3 มีคา เทา กบั ขอใด ครคู วรทบทวนสมบัตขิ องเลขยกกําลัง สมบตั ิของรากท่ี n การหาผลบวก
1. -1,000 ผลตาง ผลคูณ และผลหารของจํานวนจริงที่อยูในรูปกรณฑอันดับเดียวกัน
2. 1,000 การแกส มการเลขยกกาํ ลงั และโจทยก ารประยกุ ต กอ นทาํ แบบฝก ทกั ษะ 1.3 วา
3. 2 5 - 5 2 ในแตละขอตองใชสมบัติใด ครูอาจยกตัวอยางเพิ่มเติมแลวถาม-ตอบนักเรียน
4. 2 5 + 5 2 เพ่ือตรวจสอบความเขาใจของนักเรียน พรอมท้ังเปดโอกาสใหนักเรียนซักถาม
(เฉลยคําตอบ ( 18 + 23 -125 - 34 4)3 เมอื่ เกิดขอสงสัย
= ( 9 2 + 23 (-5)3 - 34 22)3
= (3 2 + 2(-5) - 3 2)3
= (-10)3
= -1,000
ดงั น้ัน คําตอบ คอื ขอ 1.)
T37
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
ขน้ั สอน ระดับกลาง
เขา ใจ (Understanding) 7. ให้เขียนจำ� นวนต่อไปนใ้ี นรูปอยำ่ งง่ำย 2) (2712 • 2443)13 • (913 • 1812)12
1) 5413 • 3221 • 8123
3. ครูใหนักเรียนแตละกลุมชวยกันทําแบบฝก- 4) (1021 • 1513)3 • (4531 • 5021)2
ทักษะ 1.3 ขอ 7-10 ในหนงั สือเรียน หนา 36 ( )3) 129126• 316631 2 (6016 • 3013)6
ลงในสมดุ จากน้นั ครสู ุม นกั เรียนออกมาเฉลย
คําตอบหนาชั้นเรียน โดยครูและนักเรียนใน 8. ใหเ้ ขยี นจ�ำนวนตอ่ ไปนใี้ นรูปอยำ่ งง่ำย เมื่อ x และ y เปน็ จำ� นวนจริงบวก
ชน้ั เรียนรวมกันตรวจสอบความถูกตอ ง 1) x45x-• 52x12 y110 • 15y-32
2) y-
4. ครใู หน กั เรียนทาํ Exercise 1.3 เปนการบา น
3) (x-3 y4)-12 4) (x23 y-45)23
ลงมอื ทาํ (Doing) 5) (x-2 y3)13 (x4 y-5)21 6) (x-3 y35)-2(x54 y-52)5
7) (xx2-13y-y31-)14-2 8) (x-225y2)-12
ครูใหนักเรียนจับคูทํากิจกรรม โดยใชเทคนิค
9) (4x4 y)21 ÷ 2x3 y-12 10) (x3 y-14)4 ÷ 5 32x4 y-8
คูค ิด (Think Pair Share) ดังน้ี
9. วทิ ยำฝำกเงนิ กบั ธนำคำรแห่งหน่ึงจำ� นวน 5,000 บำท ถำ้ เขำไปปิดบัญชีกับธนำคำรเมื่อฝำก
• ใหนักเรียนแตละคนคิดคําตอบของตนเอง ครบเปน็ 1เวลำ 5 ปี 6 เดอื น จะได้รับเงินทงั้ หมด 5,800 บำท อยำกทรำบว่ำธนำคำรจะให้
จากแบบฝกทักษะ 1.3 ในหนังสือเรียน
หนา 36 ขอ 11.-12. 10. ดวิโอรกจเนบก์ี้ยเู้ใงนนิ อ2จัตำรกำธปนีลำะคเทำรำ่ มใดำจำ� นวนหนง่ึ โดยจะตอ้ งจำ่ ยดอกเบีย้ เงนิ กู้ 4.2% ต่อปี ถำ้ วโิ รจน์
ตอ้ งจำ่ ยเงนิ ท้งั หมดจ�ำนวน 62,225 บำท เมอื่ ครบกำ� หนด 3 ปี 6 เดือน ใหห้ ำว่ำวโิ รจน์
• ใหนักเรียนแตละคูแลกเปลี่ยนคําตอบกัน กเู้ งนิ มำจำ� นวนเท่ำใด
สนทนาซักถามจนเปน ท่เี ขาใจรว มกนั
• ครสู มุ นกั เรยี นออกมาแสดงวธิ กี ารหาคาํ ตอบ
บนกระดาน โดยครแู ละนักเรยี นในชนั้ เรียน
รว มกนั ตรวจสอบความถกู ตอ ง
ระดบั ท้าทาย
11. ใหเ้ ขยี นจ�ำนวนแต่ละข้อต่อไปน้ใี นรูปอย่ำงง่ำย เม่ือ a, b, c และ d เปน็ จ�ำนวนจรงิ บวก
( ) ( )1) aa--324bb-311cc2161 3 aa531bb3254cc-5312 -4 ( )2) 684aa-3132bb4521cc--3534 3 ÷ (a8-a2bb-13 cc26)13
4) (a b+c2b)2n ÷ (a +abbc)n+23 เมือ่ n > 0
3) abbc2n × cc3ndd2n ÷ bcnn++32 เมอื่ n > 0
36
นักเรียนควรรู กิจกรรม สรา งเสริม
1 ดอกเบี้ย (intrerest) หมายถึง ผลตอบแทนท่ีผูฝากเงินไดรับจากการ ครใู หน ักเรยี นจับคู แลว ปฏบิ ัตติ ามขนั้ ตอนตอ ไปน้ี
นาํ เงนิ มาฝากไวกบั สถาบันการเงนิ หรือผลตอบแทนทีส่ ถาบนั การเงินไดร บั จาก • ตรวจสอบบัญชีออมทรัพยข องตนเองวามีเงนิ ตน ณ วนั เร่มิ ฝาก
ผูยืมเงนิ
2 กูเงนิ หมายถึง เงนิ ท่ยี ืมมาโดยมดี อกเบี้ย ซง่ึ ผูก ไู ดไ ปขอกเู งินจํานวนหนึ่ง จาํ นวนเทา ใด
กับผูใหกูและมีการทําสัญญากําหนดระยะเวลาที่จะชําระหน้ี โดยจะตกลงวา • คาํ นวณดอกเบ้ยี ทีไ่ ดจ ากอตั ราดอกเบยี้ ที่ธนาคารกาํ หนด
ผใู หก ูจ ะสามารถคิดดอกเบ้ียไดตามอตั ราท่ีตกลงกัน
ถาไมมีการถอนเงิน
• คํานวณหาดอกเบ้ียท่ไี ดแ ละจาํ นวนเงินทง้ั หมดท่ีจะไดรบั
เมอื่ เวลาผานไป 2 ป
หมายเหตุ : ครูควรใหนกั เรียนเกง และนักเรยี นออนจับคกู ัน
T38
นาํ สอน สรปุ ประเมนิ
12. ใลหกู ห้ บำำคศวก1ำห์ มนย่งึ ำมวปีขรอมิงเำสตน้ ร2ทaแยลงกู มบุมำ3ศdก์หโดนย่วตยอบดังในรูปรูปของ a ขนั้ สรปุ
d 1. ครถู ามคําถามนกั เรียน เพือ่ สรปุ ความรู เรอื่ ง
เลขยกกาํ ลงั ทมี่ เี ลขชกี้ าํ ลงั เปน จาํ นวนตรรกยะ
3 Self-Check • นักเรียนสามารถเขยี น รากท่ี 2 ของ 25 ใน
หลงั จำกเรยี นจบหน่วยแล้ว ใหน้ ักเรยี นบอกสญั ลกั ษณท์ ตี่ รงกบั ระดับควำมสำมำรถของตนเอง • น(รแูปกั นเเวลรตขียอนชบกี้สาํา2ลม5งัาไร=ดถอ2เข5ยยี า12นง)ไร(-64)32 ในรูปกรณฑ
ไดอ ยา งไร
ดี พอใช้ ควรปรบั ปรงุ (แนวตอบ (-64) 23 = (3 -64)2)
1. สามารถหารากท่ี n ของจา� นวนจรงิ ใด ๆ ได้ • นักเรยี นสามารถหาคา หลักของรากท่ี (-27)
2. สามารถหาค่าหลักรากที่ n ของจา� นวนจริงใด ๆ ได้ ของ 3 ไดอ ยางไร
3. สามารถหาผลบวกและผลตา่ งของจ�านวนจริงทีอ่ ยู่ใน (แนวตอบ [(ค-2า7ห)ล13]ัก3ข=อง-ร2า7ก) ที่ (-27) ของ 3
จะไดว า
รูปกรณฑ์ได้ • นกั เรียนสามารถแกสมการ 32x-2 = 272
4. สามารถหาผลคณู และผลหารของจ�านวนจริงทอี่ ยู่ใน ไดห รือไม อยางไร
(แนวตอบ สามารถแกสมการได โดยทํา
รปู กรณฑ์ได้ ฐานทั้งสองขางของสมการใหเทากัน แลว
5. สามารถหาคา่ ของเลขยกกา� ลงั ได้ เลขช้กี าํ ลงั จะเทา กนั
6. สามารถแกส้ มการเลขยกกา� ลังได้ จะได 32x - 2 = 272
7. สามารถค�านวณหาคา่ ตา่ ง ๆ ของเลขยกก�าลัง โดยใช้ 32x - 2 = (33)2
32x - 2 = 36
เครือ่ งคดิ เลขได้ 2x - 2 = 6
8. สามารถแกโ้ จทย์ปญั หาเกย่ี วกบั เลขยกก�าลงั ได้ x = 4)
• คา ของ x จากสมการ 3x = 21x เปน เทาใด
เลขยกก�าลัง 37 (แนวตอบ x = 0)
กจิ กรรม สรา งเสรมิ นักเรียนควรรู
ครใู หน ักเรียนจับคู แลวชว ยกนั หาคาของ x ที่ทําให 1 ลูกบาศก (cube) คือ ปริซึมซึ่งมีหนาตัดเปนรูปส่ีเหลี่ยมจัตุรัสที่เทากัน
3 1825 4 = 61265 1x ทุกหนา
หมายเหตุ : ครคู วรใหน ักเรยี นเกง และนักเรียนออ นจับคูก นั 2 ปรมิ าตร (volume) คอื จาํ นวนทบ่ี อกขนาดของรปู 3 มติ ิ มหี นว ยมาตรฐาน
ตางๆ เชน ลติ ร ลกู บาศกเ มตร
3 เสนทแยงมมุ (diagonal) คือ เสน ตรงทลี่ ากจากมมุ หน่ึงไปยงั มมุ ตรงขา ม
T39
นาํ สอน สรุป ประเมนิ
ขน้ั สรปุ สรปุ แนวคดิ หลกั
2. ครใู หน กั เรยี นแตล ะคนอา น “สรปุ แนวคดิ หลกั ” เลขยกกำ� ลงั
ในหนงั สอื เรยี น หนา 38-39
1. กา� หนด a เปน็ จา� นวนจรงิ และ n เป็นจา� นวนเต็มบวก
3. ครูถามคําถาม เพ่ือสรุปความรูรวบยอดของ an = a • a • a • ... • a
นักเรยี น ดงั น้ี n ตัว
• เลขยกกําลัง มคี วามหมายวาอยา งไร a0 = 1 เมื่อ a ≠ 0
(แนวตอบ เลขยกกําลัง หมายถึง การคูณ a-n = a1n เม่ือ a ≠ 0
จาํ นวนนนั้ ซํ้าๆ กัน)
• “3 ยกกําลงั 5” มีความหมายวา อยา งไร 2. ก�าหนด x, y เปน็ จา� นวนจรงิ และ n เปน็ จา� นวนเตม็ ท่ีมากกวา่ 1
(แนวตอบ 35 = 3 × 3 × 3 × 3 × 3 ) y เปน็ รากที่ n ของ x ก็ตอ่ เม่ือ yn = x
• คาหลักของรากท่ี 5 5ขตอัวง 12 เขียนในรูป
n x และอานไดอ ยา งไร 3. คา่ หลักของรากท่ี n ของ x เขียนแทนดว้ ย n x อา่ นวา่ กรณฑ์ท่ี n ของ x
(แนวตอบ เขยี นแทนดว ย 5 12 อา นวา กรณฑ 4. ให้ x และ y เป็นจา� นวนจริง และ n เป็นจา� นวนเตม็ ทีม่ ากกวา่ 1 y เป็นคา่ หลกั ของรากท่ี n
ท่ี 5 ของ 12)
ของ x เขียนแทนด้วย n x กต็ อ่ เมื่อ y เป็นรากท่ี n ของ x และ xy ≥ 0
• ให a เปน จาํ นวนจริง ทม่ี รี ากที่ n เมือ่ n
5. สมบตั ิของรากที่ n
เปนจํานวนเต็มท่ีมากกวา 1 แลวคาของ ให้ a และ b เป็นจา� นวนจริงทมี่ ีรากที่ n เมอื่ n เปน็ จา� นวนเต็มที่มากกว่า 1
n a เปนจํานวนจรงิ ลบเมือ่ ใด 1) (n a)n = a เมื่อ n a เป็นจ�านวนจรงิ
(แนวตอบ n a เปนจาํ นวนจริงลบ เม่ือ a < 0
a เมือ่ a ≥ 0
และ n = 3, 5, 7, 9, …) 2) n an = a เม่อื a < 0 และ n เปน็ จ�านวนค่ีบวก
• การหาผลบวกและผลตางของจํานวนท่ีมี ∙a∙ เม่ือ a < 0 และ n เป็นจา� นวนคู่บวก
3) n ab = n a • n b
เครื่องหมายกรณฑอันดับเดียวกันสามารถ 4) n ab n ab
ทาํ ไดอยา งไร = n เมอื่ b ≠ 0
(แนวตอบ การหาผลบวกและผลตางของ
จาํ นวนทมี่ เี ครอื่ งหมายกรณฑอ นั ดบั เดยี วกนั 6. การหาผลบวกและผลตา่ งของจา� นวนทีม่ เี ครือ่ งหมายกรณฑ์อนั ดับเดียวกนั จะตอ้ งมจี �านวน
จะตองมีจํานวนภายในกรณฑเปนจํานวน ภายในกรณฑ์เป็นจ�านวนเดียวกนั เช่น
เดียวกัน แลวใชสมบัติการแจกแจงในการ
ดึงตัวรวม จากนั้นนําตัวรวมมาบวกหรือ p n a + q n a = (p + q) n a
ลบกัน) p n a - q n a = (p - q) n a
38
สอื่ Digital ขอ สอบเนน การคดิ 3(x2) 39(44x)4เ.ทา4กับขอใด
หาคา x ที่สอดคลอ งกบั สมการ 3. 2 =
ครอู าจใหน กั เรยี นสบื คน ความรเู พม่ิ เตมิ ผา นทาง www.youtube.com โดย 1. -2 2. -4
ใชคาํ สืบคน ดังน้ี 3(x2) = 39(44x)
(เฉลยคาํ ตอบ
• เลขยกกําลงั
• สมบตั ขิ องรากที่ n 3(x2) = 33(48x)
• Exponent Number (3 21)(x2) = 3(4x) - 8
3 x22 = 34x - 8
T40 x22 = 4x - 8
x2 = 8x - 16
x2 - 8x + 16 = 0
(x - 4)2 = 0
x =4
ดงั น้ัน คําตอบ คือ ขอ 4.)
นาํ สอน สรุป ประเมนิ
7. การหาผลคูณและผลหารของจ�านวนที่มีเครื่องหมายกรณฑ์อันดับเดียวกัน จะต้องมีอันดับ ขน้ั สรปุ
ของกรณฑ์ที่เทา่ กัน
• การหาผลคูณและผลหารของจํานวนท่ีมี
8. (p + q a) และ (p - q a) เปน็ สังยคุ ซง่ึ กนั และกนั โดยท่ี p, q และ a เปน็ จ�านวนตรรกยะ เคร่อื งหมายกรณฑสามารถทาํ ไดอยางไร
และ a > 0 (แนวตอบ การหาผลคูณและผลหารของ
จํานวนท่ีมีเครื่องหมายกรณฑตองมีอันดับ
9. ถา้ a เปน็ จา� นวนจริง n เป็นจ�านวนเตม็ ท่มี ากกวา่ 1 และ a มีรากที่ n
• จนขาํอกั นงเรกวียรนนณเตสฑม็าเมไทดาา รอกถยนั ทาแงําลไใรหว ใ ช2ส ม+2บตั 3ขิ อเปงนรากที่ n)
a1n = n a (แนวตอบ นําสังยคุ ของ 2 + 3 คณู ทง้ั
ตัวเศษและตัวสวน และสังยุคของ 2 + 3
10. แถลา้ ะaaเ1nป็นเปจน็ า� จน�าวนนวจนรจิงรmิง ,จnะไดเป้ว็นา่ จ�านวนเตม็ ท่ี n > 1 และ mn เป็นเศษส่วนอยา่ งตา่� คือ 2 - 3)
amn = ((aam1n ))m1n = (n a)m • ทถaา1nี่ nเaป>นเป1จนาํแจนลาํวะนนmวnจนรจงิเปรแนิงลเmศว ษ,(สnnวaเนป)อmนยจ=าํางนnตวaํ่านmแเตล็มะ
amn = = n am
หรอื ไม เพราะเหตใุ ด
11. การแก้สมการเลขยกกา� ลังสามารถทา� ได้โดยเปลี่ยนฐานของเลขยกกา� ลังใหเ้ ท่ากนั (แนวตอบ เทากัน เพราะ
น่ันคือ
ถา้ ax = an แล้ว x = n (n a )m = n am
(a1n)m = (am)1n
เม่ือ a, n เป็นจ�านวนจรงิ โดยที่ a > 0 และ a ≠ 1 amn = amn )
12. สมบัติของเลขยกก�าลงั • การแกสมการเลขยกกําลังสามารถทําได
ให้ m, n เปน็ จา� นวนตรรกยะ และ a, b เป็นจา� นวนจรงิ ทีไ่ มเ่ ท่ากับ 0 และ am, an และ bn อยา งไร
เปน็ จ�านวนจรงิ จะได้ว่า (แนวตอบ สามารถทําไดโ ดยเปลยี่ นฐานของ
เลขยกกําลงั ใหเ ทา กนั )
1) am • an = am + n
(aaamnm)n = am - n
2) = amn
3) = (ab)n
4) an • bn = (ba)n
5) abnn
เลขยกก�าลัง 39
กิจกรรม สรางเสริม เกร็ดแนะครู
ครูใหน กั เรียนจบั คู แลวชวยกันยกตัวอยา งจาํ นวนทส่ี อดคลอง ครูทบทวนความรูหนวยการเรียนรูที่ 1 โดยใหนักเรียนศึกษาจากสรุป
กับสมบตั เิ ลขยกกําลังตอ ไปนี้ พรอ มท้ังหาคําตอบ
แนวคิดหลักในหนังสือเรียน หนา 38-39 แลวเขียนเปน Mind Mapping
ให m, n เปนจํานวนตรรกยะ และ a, b เปนจํานวนจริง
ท่ีไมเ ทา กับศูนย และ am, an และ bn เปนจํานวนจรงิ ลงในสมดุ พรอมทง้ั ใหยกตัวอยางประกอบมาอยา งนอ ยหัวขอ ละ 1 ขอ จากน้ัน
ครอู าจตรวจสอบความรขู องนกั เรยี น โดยใหท าํ แบบทดสอบหลงั เรยี นเพอื่ ประเมนิ
• am • an ความเขาใจของเน้ือหาหนว ยนี้
• aamn
• (am)n T41
• an • bn
• bann
หมายเหตุ : ครคู วรใหนักเรียนเกงและนกั เรยี นออ นจบั คูกัน